พลังแห่งบุญ
ในเมืองโกสัมพี มีเศรษฐี ๓ คนคือ โฆสกเศรษฐี กุกกฎเศรษฐี และปาวาริกเศรษฐี
เมื่อกาลใกล้ถึงฤดูฝัน เศรษฐีเหล่านั้นเห็นฤาษี ๕๐๐ มาจากป่าหิมพานต์กำลังเที่ยวรับภิกษาอยู่ในพระนครก็บังเกิดความเลื่อมใส จึงนิมนต์ให้ฉันอยู่แต่ในเรือนของพวกตนตลอด ๔ เดือนและให้ฤาษีเหล่านั้นรับปากว่าจะต้องกลับมาฉันเป็นประจำเช่นนี้อีกตลอด ๔ เดือนในฤดูฝนของทุกๆ ปี
ตั้งแต่นั้นมา ฤาษีเหล่านั้นอยู่ในป่าหิมพานต์ตลอด ๘ เดือน พอถึงฤดูฝนก็พากันมาอยู่ประจำในสำนักของเศรษฐีทั้ง ๓ ตลอด ๔ เดือน
สมัยหนึ่ง ฤาษีเหล่านั้นพากันออกจากป่าเพื่อไปยังสำนักของเศรษฐีทั้ง ๓ ในระหว่างทางเห็นต้นไทรใหญ่จึงพร้อมใจกันเข้าไปนั่งหลบแดดที่โคนต้นไทรนั้น
เมื่อเข้าไปนั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฤาษีผู้เป็นหัวหน้าแหงนหน้ามองขึ้นไปบนต้นไทรพลางคิดว่า เทวดาผู้สิงอยู่บนต้นไม้นี้ จักมิใช่เทวดาผู้ต่ำศักดิ์ แต่จักเป็นเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ทีเดียวเชียวละ จักเป็นการดีหนอ ถ้าหากเทวดาตนนี้ พึงให้น้ำดื่มแก่หมู่ฤาษี เทวดาตนสิงสถิตอยู่ที่ต้นไทรนั้นก็บันดาลให้ฤาษีเหล่านั้นได้น้ำดื่ม ฤาษีเมื่อได้ดื่มน้ำแล้วก็คิดถึงน้ำอาบ เทวดาก็ได้บันดาลให้พวกฤาษีได้น้ำอาบ ฤาษีเมื่อได้น้ำอาบก็นึกถึงโภชนะ เทวดานั้นก็ได้บันดาลให้พวกฤาษีได้โภชนะอีกตามที่ปรารถนา
ลำดับนั้น ฤาษีคนนั้นก็เกิดความคิดขึ้นว่า เทวดาตนนี้ให้ทุกสิ่งที่เราคิด ผลนี้คงจักเป็นผลหรือพลังอำนาจของบุญที่ยิ่งใหญ่เป็นแน่ ทำอย่างไรหนอ เราจึงจะได้เห็นเทวดาคนนี้ ในขณะนั้นนั่นเอง เทวดาตนนั้นก็ชำแรกลำต้นไม้ แสดงตนให้ปรากฏ ฤาษีเหล่านั้นต่างพากันรุมถามเทวดานั้นว่า ท่านเทวดา ท่านมีสมบัติมากมาย สมบัตินี้ท่านได้เพราะทำกรรมอะไรหนอ เทวดาตนนั้นนึกละอายอยู่ เพราะกรรมที่ตนทำไว้ เป็นกรรมเล็กน้อยจึงไม่กล้าบอก แต่เมื่อถูกฤาษีเหล่านั้นเซ้าซี้บ่อยๆ เข้า จึงตัดสินใจเหล่าบุพกรรมของตนแก่ฤาษีเหล่านั้น
เหตุต้นผลกรรม
ในอดีตชาติ เทวดานั้นเป็นคนเข็ญใจเที่ยวหางานทำอยู่ ในที่สุดได้งานทำการรับจ้างอยู่ในสำนักของอนาถบิณฑิกเศรษฐี อาศัยการงานนั้นเลี้ยงชีวิต
ต่อมาในวันอุโบสถ วันหนึ่งเศรษฐีกลับมาจากวัดแล้วถามว่า วันนี้ เป็นวันอุโบสถ มีใครบอกแก่ลูกจ้างคนนั้นไหม เมื่อคนในบ้านตอบว่า ยังไม่มีใครบอก ขอรับ เศรษฐีจึงบอกให้หุงหาอาหารเย็นไว้ให้เขา ชายเข็ญใจนั้นทำงานอยู่ในป่าตลอดทั้งวัน ตกเย็นก็กลับบ้าน เมื่อเขาจัดหาอาหารมาให้ก็อดที่จะแปลกใจมิได้ เพราะในวันอื่นๆ นั้น ผู้คนในเรือนจะเดินแจกและขออาหารเย็นกันขวักไขว่ แต่วันนี้ ทุกคนพากันเงียบเสียงพากันเข้านอนแต่หัวค่ำ จัดอาหารเย็นไว้เพื่อเขาคนเดียวเท่านั้น ด้วยความสงสัยชายเข็ญใจจึงถามผู้ที่จัดอาหารเพื่อเขานั้นว่า คนที่เหลือบริโภคแล้วหรือ
ผู้จัดอาหารชี้แจงว่า ในเรือนนี้ เขาไม่หุงหาอาหารในเย็นวันอุโบสถ ทุกคนเป็นผู้รักษาอุโบสถ แม้เด็กที่ยังดื่มนม ท่านเศรษฐีก็ให้บ้วนปากให้ใส่ของหวาน ๔ ชนิดคือ เนยใส เนยข้น น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ลงในปากทำให้เป็นผู้รักษาอุโบสถ เมื่อสมาทานรักษาอุโบสถแล้ว ทุกคนต่างพากันเข้าสู่ที่นอนทำการสาธยายอาการ ๓๒ (ส่วนประกอบต่างๆ ของร่างกาย) แต่ว่าพวกเราลืมบอกท่านว่า วันนี้เป็นวันอุโบสถ ฉะนั้น พวกเราจึงหุงข้าวไว้เพื่อท่านคนเดียว เชิญท่านรับประทานอาหารนั้นเถิด
ชายเข็ญใจได้ฟังเช่นนั้นก็เกิดความเลื่อมใสใคร่จะรักษาอุโบสถจึงไหว้วานให้ชนผู้จัดอาหารนั้นไปเรียนเศรษฐีให้ทราบ
เศรษฐีกล่าวว่า ชายนั้น ไม่บริโภคในบัดนี้ วนปากแล้วอธิษฐานองค์อุโบสถ จักได้อุโบสถครึ่งหนึ่ง
ฝ่ายชายเข็ญใจ ได้ฟังแล้วก็ทำตามนั้น เมื่อหิวจัดลมก็กำเริบปั่นป่วนขึ้นในท้อง เมื่อลมกำเริบหนักเข้า เขาก็ใช้เชือกผูกท้องจัดปลายเชือกไว้แล้วนอนกลิ้งเกลือกอยู่
เศรษฐีทราบข่าว ก็สั่งให้คนใช้ถือเอาของหวาน ๔ ชนิด แล้วรีบรุดไปดูอาการของชายเข็ญใจนั้น ถามดูทราบอาการแล้วก็บอกให้เขากินของหวานที่เตรียมมา
ชายเข็ญใจถามว่า นาย แม้พวกท่านก็รับประทานหรือขอรับ เศรษฐีตอบว่า พวกเราไม่ได้ป่วยนี่ เจ้ากินเถิด
ชายเข็ญใจจึงกล่าวกะเศรษฐีว่า นาย ข้าพเจ้าเมื่อรักษาอุโบสถ ก็ไม่อาจเพื่อจะทำอุโบสถกรรมทั้งสิ้นได้ อุโบสถกรรมครั้งนี้ของข้าพเจ้า อย่าได้บกพร่องเลย แล้วก็ไม่ปรารถนาที่จะกิน แม้เศรษฐีจะกล่าวอยู่ว่า ท่านอย่าได้ทำเช่นนั้นเลย ก็ยังไม่ปรารถนาที่จะกิน พออรุณรุ่ง ก็ทำกาลกิริยาตายไปเกิดเป็นเทวดาที่ต้นไทรนี้นั่นแล
ที่มา
http://www.watsamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=252052