กระดานสนทนาวัดบางพระ
หมวด ธรรมะ และ นอกเหตุ เหนือผล => สนทนาภาษาผู้ประพฤติ, กฎแห่งกรรม และ ประสบการณ์วิญญาณ => กฎแห่งกรรม => ข้อความที่เริ่มโดย: ทรงกลด ที่ 01 ส.ค. 2554, 07:10:29
-
กรรมฐานคือเทียนส่องนำทางให้พ้นทุกข์ 1/2
สุกัญญา รัตนบูรณะ
ดิฉันศรัทธาและปฏิบัติตมาแนวทางของพระพุทธศาสนามาตั้งแต่เด็ก เนื่องจากคุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยายรวมถึงคุณพ่อคุณแม่ได้แนะนำและนำให้ปฏิบัติ เริ่มจาการหัดใส่บาตร เข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรม ตอนแรกก็เป็นการถูกบังคับแกมเต็มใจปฏิบัติบ้าง ตามประสาเด็กๆที่ต้องทำเพื่อไม่ให้โดนดุ นานเข้ากลับกลายซึมซับเข้าสู่จิตใจกลายเป็นพฤติกรรมที่ประพฤติปฏิบัติอย่างต่อเนื่องโยมิต้องมีใครมาคอยเคี่ยวเข็ญให้ทำ
ดิฉันเริ่มปฏิบัติธรรมจริงจังมากขึ้นเมื่ออายุประมาณ ๑๕ ปี โดยไปถือศีลและปฏิบัติธรรมที่วัด และแต่ละครั้งก็ชอบที่จะบำเพ็ญบุญอยู่ที่โรงครัว เพราะรู้สึกเป็นสุขอย่างมากที่จะทำให้ผู้มาถือศีลปฏิบัติธรรมได้เกิดความสะดวกสบายในการกินอยู่ เห็นชุดขาวก็จะเป็นสุขเหลือเกิน ได้ยินเสียงสวดมนต์ก็จะยิ่งมีความสุขมากขึ้น ดิฉันไม่เคยทิ้งการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเลย บางช่วงตั้งใจว่าจะให้ตัวเองได้เห็นทุกข์อย่างชัดเจน และถือเป็นการทดสอบฝึกความอดทนของกายและใจด้วย ดังนั้นหากมีเวลาไม่ว่าเป็นการไปปฏิบัติธรรมตามวัดต่างจังหวัดที่ทุรกันดาร ไปทอดกฐินหรือผ้าป่าตามจังหวัดต่างๆ หรือแนวปฏิบัติใดที่เป็นแนวของพระพุทธองค์ดิฉันปฏิบัติหมด โดยไม่ได้ยึดติดแนวใดเลย แต่จะนำหลักของแต่ละแนวมาปฏิบัติและยึดถือเพื่อมุ่งควบคุพฤติกรรมของตัวเองให้อยู่ในกรอบธรรมให้มากที่สุดเท่านั้น
ขณะนี้ดิฉันอายุ ๓๐ ปีแล้ว ระหว่างอายุ ๑๕ ปีถึง ๒๐ ปีที่ผ่านมานี้ มีมรสุมชีวิตมากมายเหลือเกินเข้ามาให้ขบคิดแก้ไขและหาทางออกให้กับตัวเอง ครอบครัว รวมถึงคนรอบข้างอยู่ตลอดเวลา ทุกข์มีมากกว่าสุข เพราะทุกๆวันเต็มไปด้าวคำว่าต้องอดทนเมื่อมองย้อนไปถึงเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมา ก็อดภาคภูมิใจในความอดทนของตัวเองไม่ได้ ส่วนหนึ่งก็รู้สึกขอบใจตัวเองที่นำพาตนเข้าสู่การสร้างสมบุญอย่างจริงจัง สร้างความอดทนให้กับกายและจิตอยู่ตลอดขณะปฏิบัติธรรม จึงทำให้คำว่าอดทนนั้นมีประโยชน์เหลือเกินเมื่อประสบทุกข์
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับครอบครัวดิฉันส่วนใหญ่มาจากปัญหาเรื่องเงินและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ในการตัดสินใจของผู้เป็นพ่อและแม่ในการลงทุนเพื่ประกอบอาชีพ ผลที่ได้รับก็คือกลายเป็นภาระหนี้ผูกพันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากการเป็นหนี้ ๑ รายก็เพิ่มเป็น ๒ ราย ๓ ราย และต่อๆไปมากขึ้นทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย จิตใจเกิดความหวาดระแวงเมื่อถูกทววงเงิน เกิดความทุกข์ใจเศร้าใจอย่างหนัก ส่งผลให้สุขภาพย่ำแย่ลง ครอบครัวขาดความอบอุ่น มีแต่ความเครียดอยู่ตลอดเวลา ทะเลาะกันเป็นระยะๆ บ้านมิต่างอะไรกับไฟเลย และไหนจะปัญหาภาระการผ่อนชำระนาคารที่มีค่างวดสูงจนธนาคารกำลังจะยึดบ้าน ผนวกกับภาระเรื่องการเรียนของน้องชายซึ่งอยู่ระหว่างหัวเลี้ยวหัวต่อ เพราะกำลังจะจบปริญญาตรีซึ่งต้องใช้เงินเพิ่มในการทำวิทยานิพนธ์
ช่วงเวลานี้พี่สาวและน้องชายต่างออกจากบ้านไปอาศัยอยู่กับเพื่อนเพื่อไปให้พ้นจากปัญหา เหลือดิฉันคนเดียวที่ต้องรับรู้และแก้ไขปัญหาทุกเรื่อง นอกจากนั้นดิฉันยังถูกหัวหน้างานและเพื่อนร่วมงานไม่เข้าใจ พยายามที่จะสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นตลอดเวลา โดยกดดันดิฉันทุกเรื่องที่จะทำได้ ไหนจะปัญหาสุขภาพอีกที่ป่วยโดยไม่มีสาเหตุอยู่หลายครั้ง ซึ่งอาจเกิดจากความเครียดที่ดิฉันประสบอยู่ก็เป็นได้ ทุกปัญหาวิ่งเข้ามาในเวลาเดียวกันหมดเลย ทำให้สงสัยว่าคนทำดีต้องประสบอะไรเช่นนี้ด้วย ยิ่งคิดก็ยิ่งท้อทั้งทางโลกและทางธรรม
ดิฉันต้องทำงาน ๗ วัน ไม่มีวันหยุดเลย เพื่อหาเงินมาผ่อนหนี้สินให้พ่อและแม่ ส่งธนาคารและส่งน้องเรียน จนกระทั่งมันทุกข์ที่สุด นั่นคือหาทางออกไม่ได้แล้ว แก้ปัญหาไม่ได้แล้ว ปลงตกแล้ว คิดอยู่ในใจว่าบ้านจะถูกยึดก็ให้ยึดไปพ่อแม่จะถูกเจ้าหนี้แจ้งตำรวจจับหรือน้องจะเรียนไม่จบหรือตนเองจะถูกให้ออกจากงาน ก็ต้องปล่อยไป จะป่วยจนตายไปเลยก็ต้องปล่อยตามนั้น เมื่อคิดได้เช่นนั้นทำให้ดิฉันกลายเป็นคนนิ่งสงบ ความเงียบเข้ามมาแทนที่ความสบสันและน้ำตา จนงงกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อจิตนิ่งอยู่ได้สักพักก็ทำให้ดิฉันได้ข้อคิดขึ้นมาอย่างหนึ่งว่าเมื่อทุกข์จนถึงที่สุดจนชินกับความทุกข์นั้นแล้ว จิตก็สงบนิ่งไปเองอาจเป็นเพราะทุกข์จนเกิดการปล่อยวางไปโดยไม่ตั้งใจกระมัง จึงจารณาได้ว่าการปล่อยวางนี่เองที่นำมาซึ่งความสงบของจิต ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าในช่วงที่ทุกข์หนักนั้นกลับทำให้ดิฉันสุขใจมากกว่าทุกข์ใจ เมื่อเทียบกับทุกข์ครั้งที่ผ่านมาทำให้เกิดกำลังใจที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับปัญหาใหญ่อีกครั้งค่อยๆแก้ไขปัญหาไปเรื่อยๆเท่าที่จะทำได้
ประมาณปลายปี ๒๕๔๔ ดิฉันมีโอกาสได้ไปถือบวชที่วัดอัมพวันตามคำชักชวนของเพื่อน ซึ่งได้อ่านประวัติของหลวงพ่อและวัดอัมพวันทางอินเตอร์เน็ท แล้วเกิดความศรัทธาอยากไปกราบหลวงพ่อและอยากได้ถือบวช เมื่อได้ไปถึงวัดดิฉันได้มีโอกาสได้พบหลวงพ่อจรัญ ได้ฟังธรรมจากท่าน ซึ่งได้ข้อคืดทางธรรมเพื่อนำมาใช้ในชีวิตประจำวันอย่างมากทีเดียว ดิฉันได้ถือบวชอยู่ที่นั่น ๓ วัน รู้สึกศรัทธาหลวงพ่อและแนวปฏิบัติกรรมฐานอย่างมาก หลังจากเสร็จสิ้นการบวชดิฉันได้นำแนวกรรมฐานมาปฏิบัติต่อที่บ้านอย่างต่อเนื่องมากบ้างน้อยบ้างตามความสามารถของสภาพกายและใจในขณะนั้น ด้วยคิดว่าเราย่อมช่วยเหลือตัวเราเองก่อนไม่ว่าจะทางธรรมหรือทางโลก หลายครั้งรู้สึกท้อต่อการปฏิบัติแต่ก็ไม่เคยคิดที่จะหยุดปฏิบัติ ไม่ว่าจะเหนื่อยงานหรือท้อแท้กับปัญหาขนาดไหนก็จะปฏิบัติกรรมฐานอย่างต่อเนื่องทุกวัน ทำให้ดิฉันเริ่มมีสติมากขึ้นในการใช้ชีวิตประจำวัน มีทางออกในการแก้ไขปัญหาให้กับตัวเองมากขึ้น เมื่อเกิดปัญหาขึ้นจะรู้จักเรียงลำดับปัญหาที่สำคัญมากไปจนถึงสำคัญน้อยจาก นั้นก็จะนำเอาทุกปัญหามาคิดหาทางออก ซึ่งบางปัญหาจะมีทางออกให้เลือกมากกว่า ๑ ทาง เมื่อได้ทางออกแล้วก็จะใจเย็นมากข้นในการแก้ไขโดยไม่คาดหวังมากนัก นั่นคือหากแก้ไขได้ก็ดีไป หากแก้ไขไม่ได้ก็จะไม่ฟูมฟาย จะค่อยๆหาทางออกไปเรื่อยๆจนกว่าจะแก้ไขได้
ทุกวันนี้ดิฉันไม่ละทิ้งการปฏิบัติกรรมฐานเลย ในช่วงนี้จะเน้นที่การปฏิบัติในชีวิตประจำวันควบคู่ไปด้วย นั่นคือการนำสติเข้ามาควบคุม กาย วาจา ใจ คือตามดูตามรู้เพื่อให้จิตละเอียดมากขึ้น และเพื่อไม่ให้เกิดการสร้างอกุศลกรรมขึ้นอีก รู้สึกใจเย็นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ปล่อยวางสุขและทุกข์ได้มากขึ้น รู้จักบริจาคทานมากขึ้น มีความรักความเมตตาให้กับคนรอบข้าง รู้จักให้อภัยมากขึ้น และทำให้รู้จักมีความเกรงใจทุกคนมากขึ้น
ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html
-
กรรมฐานคือเทียนส่องนำทางให้พ้นทุกข์ 2/2
มีอยู่ช่วงหนึ่งหลังจากปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดิฉันได้คำตอบว่าทำไมเราจึงหมดเงินอยู่ตลอดทั้งที่ใช้เงินอย่างประหยัดและอยู่อย่างเพียงพอ หมดไปกับหนี้สินและภาระที่ตัวเรามิได้สร้างขึ้นมาเลย จนนับครั้งไม่ถ้วน คำตอบที่ได้ก็คือ สมัยที่ยังเรียนหนังสือมีผู้ชายที่อายุมากแล้วคนหนึ่งมาติดพันฉัน แต่ดิฉันไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย จึงไปปรึษาเพื่อนๆช่วยกันคิดแผนแกล้งลุงคนนั้นให้หมดเงินจะได้หลาบจำไม่กล้ามายุ่งอีก โดยขอเงินไปเลี้ยงเพื่อนๆ ลุงบอกว่าไม่มีเงินเพราะเงินเดือนยังไม่ออก มีแต่เงินจากซองกฐิน แม้ใจก็รู้สึกกลัวบาปอยู่บ้าง เพื่อนของดิฉันรับซองกฐินไปแกะดึงเงินออกมาจนหมดทุกซอง ดิฉันยังกำชับให้ลุงคนนั้นเอาเงินเดือนของลุงใส่คืนในซองด้วย ใจก็ยังคิดและกังวลอยู่ตลอดกลัวจะบาป แต่เหตุการณ์นี้ผ่านพ้นมานานมากแล้ว จึงรู้สึกแปลกใจว่าทำไมเหตุการณ์นี้จึงได้ย้อนขึ้นมาปรากฏในความทรงจำอีก ที่สำคัญมาปรากฏในขณะปฏิบัติกรรฐานด้วยนี่สิ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องเงินและภาระที่แบกรับที่ผ่านมา น่าจะมีสาเหตุสืบเนื่องมาจากผลกรรมของเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ด้วยชีวิตของเพื่อน ๒ คนที่ฉีกซองและยุในวันนั้นก็ย่ำแย่ไม่แตกต่างจากดิฉันเลย เพื่อนคนหนึ่งถึงขนาดกิจการที่บ้านเกือบล่มสลาย บ้านถูกยึด แล้วครอบครัวก็แตกแยก เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ทำให้ดิฉันกลัวบาปมากขึ้น ทุกวันนี้ดิฉันบริจาคเงินมากขึ้นเพื่อช่วยเหลือคน และทำบุญให้กับวัดและสถานปฏิบัตืธรรมต่างๆ ไม่ว่าใครชวนทำบุญอะไรหากมีปัจจัยพอก็จะรีบทำเลยทันที พร้อมกับบอกตัวเองอยู่เสมอว่าจะนำเหตุการณ์ครั้งนี้ไปสิอให้คนอื่น ๆ ได้ทราบ เพื่อให้เกิดความละอายและเกรงกลัวต่อผลกรรม
ยังมีอืกเรื่องที่ทำให้ดิฉันมุ่งมั้นมากขึ้นที่จะสร้างแต่คุณงามความดี เพื่อชดใช้บาปที่ได้สร้างไว้ นั่นคือในงานเผาศพของยายที่ดิฉันรักมาก ดิฉันโกรธพระรูปหนึ่งที่เคลื่อนศพคุณยายขึ้นเมรุโดยไม่รอดิฉัน ดิรู้สึกโกรธเสียใจที่สุด นั่งจ้องหน้าพระรูปนั้นแบบโกรธจัด นั่งจ้องอยู่นานพอสมควร จนกระทั่งญาติคนหนึ่งได้เดินมาดึงตัวดิฉันขึ้นไปที่เมรุเพื่อมองรูปภาพยายหน้าโลง เมื่อเห็นภาพยายจึงได้สติจากเหตุการณ์นั้นทำให้ดิฉันทราบคำตอบที่ว่า ทุกวันนี้ดิฉันไม่ได้ทำร้ายใครเลย ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลังแต่ดิฉันต้องประสบเคราะห์กรรมด้วยการถูกรังเกียจจากคนอื่นๆอยู่ตลอดเวลา บางคนไม่ชอบหน้าดิฉันเอามากๆทั้งที่ไม่เคยพูดคุยกันเลยด้วยซ้ำ ไม่ว่าดิฉันจะทำอะไรก็จะถูกกลั่นแกล้งอยู่ตลอดเวลาทั้งจากหัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน และคนในองค์กร
สองเรื่องที่ยกตัวอย่างมานี้ เป็นกรรมที่ต้องชดใช้เพราะสร้างไว้อย่างหนัก ต้องชดใช้คืนด้วยความเต็มใจ และถือเป็นแบบฝึกหัดให้กับตัวเอง ในการใช้สติเอาชนะปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ไม่คิดโทษโชคชะตาฟ้าดิน จะมองทุกเรื่องให้เป็นแง่บวกที่สำคัญไม่ลืมที่จะเร่งสร้างบุญให้มากขึ้น เพื่อเป็นเส้นใยที่แข็งแกร่งนำพาชีวิตให้ได้ไปเกิดในร่มพระพุทธศาสนาอีกครั้ง คิดเพียงเท่านี้ก็มีกำลังใจที่จะมีชีวิตสร้างความเพียรอย่างถึงพร้อมทั้งทางโลกและทางธรรม
อีกสิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นกรรมดีนั่นคือ ความกตัญที่มีต่อพ่อและแม่ สำหรับฉันไม่ว่าท่านจะมีปัญหาเรื่องหนี้สินหรือเรื่องใดๆขึ้นมาก็ตาม ดิฉันก็จะหาทางช่วยเหลือท่านอย่างถึงที่สุด ผลบุญที่ดิฉันได้รับในทุกวันนี้ก็คือ ทุกๆปัญหาที่เข้ามาดิฉันก็จะมีทางออกในการแก้ไขทั้งสิ้น บางครั้งอยู่เฉยๆก็มีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออยู่ตลอด ไม่มีคำว่าตกอับเลยสักครั้ง
ในปัจจุบันก็ยังมีปัญหาและความทุกข์เข้ามาในชีวิตเรื่อยๆ แต่ทว่าไม่ทุกข์ใจเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เพราะดิฉันรู้จักปล่อยวางเป็น คิดหาทางแก้ไขเป็น และมองทุกอย่างในแง่บวกมากขึ้น ส่งผลให้เรามีกำลังใจที่จะต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคนั้นๆ ได้อย่างแข็งแรง
ความสุขใจที่เกิดขึ้น ความปล่อยวางที่เกิดขึ้น และความเพียรที่เกิดขึ้นนี้เอง ทำให้ดิฉันมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างสมแต่ความดีตลอดไป และหากมีโอกาสก็จะแนะนำและนำพาคนรอบข้างได้สร้างสมความดีอย่างต่อเนื่องมากขึ้น
กรรมฐานเปรียบเสมือนแสงเทียนที่จะนำส่องเส้นทางการดำเนินชีวิตของเราให้ก้าวไปสู่ที่ดีที่งามทั้งทางโลกและทางธรรม
เพราะการปฏิบัติกรรมฐาน ก็คือการฝึกสร้างสตินั่นเอง คนที่มีสติไม่ว่าจะคิดจะพูดหรือจะทำสิ่งใดก็จะเป็นไปด้วยความถูกความควรไม่เป็นการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ที่สำคัญบุญบารมีที่ได้จากการปฏิบัติกรรมฐานนั้นมีคุณค่าอนันต์ที่จะทำให้เราเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมมากขึ้น
ขอบุญกุศลทั้งหลายทั้งปวง จงได้เป็นบัจจัยน้อมถวายแด่พระคุณหลวงพ่อจรัญด้วยเทอญ
.........................
ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html
-
กรรมฐานช่วยคุณแม่ได้
เกื้อกูล สุขปิติ
ข้าพเจ้าเป็นอาจารย์ ๓ ระดับ ๔ โรงเรียนพนัสพิทยาคาร อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี อายุ ๔๕ ปี มีบุตร ๒ คน สามีรับราชการในตำแหน่งนิเทศ ๗ ข้าพเจ้าได้เข้าร่วมโครงการนำนักเรียนไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน ตั้งแต่รุ่นที่ ๑ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๖ จนถึงปัจจุบันเป็นรุ่นที่ ๒๑ (๓๐ พฤศจิกายน ๔ ธันวาคม ๒๕๔๖) เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๓ คุณแม่ของข้าพเจ้าป่วยหนัก เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลรามาธิบดี กรุงเทพฯ เป็นเวลา ๑ เดือนเต็มๆ ตอนนั้นคุณแม่อายุ ๖๗ ปี วันหนึ่งคุณแม่เล่าว่าฝันเห็นผู้ชาย ๔ คน จะพยายามมาเอาตัวท่านไปท่านบอกว่า รอลูกสาวก่อน เดี๋ยวลุกสาวจะมา
วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ หมอบอกว่าอาการของคุณแม่ไม่ค่อยดีนักให้เตรียมใจเพราะโอกาสมีแค่ ๕๐% แต่ต่อมาอีกประมาณ ๔ วันอาการดีขึ้นบ้าง หมอแนะนำให้กลับบ้านและซื้อเครื่องช่วยหายใจเวลาหอบและขาดอากาศ
ข้าพเจ้ารับคุณแม่กลับไปพักฟื้นที่บ้านพี่สาว ข้าพเจ้านอนเฝ้าท่าน เวลาท่านนอนจะทรมานกระสับกระส่าย พอท่านหลับ
ข้าพเจ้าจะสวดมนต์ไหว้พระและนั่งสมาธิ แผ่เมตตาอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรแทนท่าน
หลังจากคุณแม่นอนหลับสนิทจนรุ่งเช้า ท่านอยากถวายสังฆทานเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ข้าพเจ้าไปทำสังฆทานให้ท่านที่วัดใหม่สิริกมลาวาส กรุงเทพฯ หลังจากนั้นอาการก็ดีขึ้นตามลำดับ ตั้งแต่นั้นมาคุณแม่ใส่บาตรตอนเช้าสวดมนต์ไหว้พระ ฟังเทศน์ปัจจุบันคุณแม่แข็งแรงเดินทางไปไหนมาไหนคล่อง
.........................
ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html
-
ขอบคุณมากคะ สำหรับบทความธรรมะดีๆ อ่านแล้วได้ความรู้มากๆคะ :090: :050: :090: