ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องของวิปัสสนาญาณ....  (อ่าน 1694 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ~@เสน่ห์เอ็ม@~

  • ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย พระคุณบิดามารดาผู้มีพระคุณ แล ครูบาอาจารย์ผู้เกื้อหนุน สาธุ..
  • เด็กวัด
  • *****
  • กระทู้: 5894
  • เพศ: ชาย
  • ศิษวัดบางพระ
    • ดูรายละเอียด
เรื่องของวิปัสสนาญาณ....
« เมื่อ: 08 เม.ย. 2553, 10:31:52 »


เรื่องของวิปัสสนาญาณ

 

                        -การขึ้นต้นของการเจริญพระกรรมฐาน  ถ้าเอากันเต็มแบบจริง ๆ  ท่านให้ใช้วิปัสสนาญาณก่อน  คือว่าใช้อารมณ์วิปัสสนาญาณอย่างอ่อน  ให้คิดถึงไตรลักษณญาณ  คือ อนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา  อันดับแรก  ท่านให้คิดถึงความเป็นจริงของไตรลักษณญาณ

                        1.  ทุกขัง  การเกิดมาในโลก  การมีชีวิตของคนและสัตว์มันเต็มไปด้วยความทุกข์  ที่มันทุกข์ก็เพราะอาการต่าง ๆ  มันไม่เที่ยง  เป็นอนิจจัง  มันไม่มีการทรงตัว  ความทุกข์มันมีมาตั้งแต่เด็ก  ความหิวก็เป็นทุกข์  ความป่วยไข้ไม่สบายก็เป็นทุกข์  การประกอบกิจการทุกอย่างเหน็ดเหนื่อยก็เป็นทุกข์  การพลัดพรากจากของรักของชอบใจก็เป็นทุกข์ และในที่สุดความตายเข้ามาถึงก็เป็นทุกข์  มีความทุกข์ตั้งแต่เด็ก  ต่อมาเป็นผู้ใหญ่และก็แก่ตายในที่สุด  มีความทุกข์  อนิจจัง  ทุกขัง ต่อไปก็อนัตตาตามลำดับ

                        2.  อนัตตา คิดตามความเป็นจริงว่าคนหรือสัตว์ก็ดีที่เกิดมาในโลกนี้  ในที่สุดก็ต้องตายเหมือนกันหมดทั้งโลก  เราก็ตายเหมือนกัน

                        -เรื่องของวิปัสสนาญาณนั้น  ส่วนสำคัญถ้าจะกล่าวให้ละเอียดก็คือ  ตอนต้นที่จะเริ่มทำสมาธิ  ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกคนใช้กำลังปัญญาก่อน  ปัญญานี่เป็นส่วนหนึ่งของวิปัสสนาญาณ  อันดับแรกใช้ปัญญาของสมาธิ  โดยการใช้อารมณ์เมตตาจิต เมตตาความรัก  กรุณา ความสงสาร  แผ่เมตตาไปในจักรวาลทั้งปวง  คือทั้งโลก  ให้มีความรู้สึกว่าเราจะเป็นมิตรที่ดีของคนและสัตว์ทั้งหมด

                        กรุณาความสงสาร  ถ้าคนหรือสัตว์ก็ตามเขามีความทุกข์  ถ้าไม่เกินวิสัยที่เราจะพึงช่วยได้ เราจะช่วยให้เขามีความสุข  ตั้งใจตามนี้ไว้ก่อนเป็นอันดับแรก

                        -เมื่อจิตมีอารมณ์โปร่ง  มีความสุขดีแล้ว  ต่อไปให้นึกถึงด้านวิปัสสนาญาณขั้นอ่อน  มีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่า  โลกนี้มีแต่ความไม่เที่ยง  เป็นอนิจจัง  ทุกอย่างไม่เที่ยงไม่มีการทรงตัว  เราเองเกิดจากท้องมารดาใหม่ ๆ  เป็นเด็กเล็ก  ต่อมาก็เปลี่ยนแปลง  กลายเป็นเด็กใหญ่  เป็นหนุ่มเป็นสาว  เป็นวัยกลางคน  จนมาเป็นคนแก่  เป็นเพราะมันไม่เที่ยง  ขณะที่ทรงร่างกายอยู่มันก็ไม่เที่ยง  มีการป่วยไข้ไม่สบายเป็นปกติ  ที่อาการไม่เที่ยงทำให้เราเป็นทุกข์  ในที่สุดพึงเข้าใจว่าในที่สุดเราก็ต้องตาย  ก่อนตายเราก็เลือกทางไปว่าเราจะไปทางไหน  ถ้าเราไปสวรรค์  เพียงแค่ให้ทานก็ได้  รักษาศีลก็ได้  ถ้าจะไปพรหมโลก  ก็ต้องเจริญสมาธิจิตให้ได้ญาณสมาบัติ  แต่ถ้าต้องการนิพพาน  ก็ต้องให้เข้าใจตามความเป็นจริงด้วยปัญญา  มีความเข้าใจว่าโลกนี้เป็นทุกข์  หาความสุขไม่ได้  ร่างกายมีความเกิดขึ้นและมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา  ถ้าเรายังมีร่างกายแบบนี้  เราก็มีแต่ความทุกข์ไม่สิ้นสุด  ฉะนั้น  ขึ้นชื่อว่าการเกิดมีร่างกายแบบนี้จะมีกับเราชาตินี้ชาติเดียวเป็นชาติสุดท้าย  เราไม่ต้องการเกิดแบบนี้อีก  เราต้องการนิพพาน

ขอขอบคุณที่มาจากเวป(และอ่านต่อเพิ่มเติมได้ที่)
http://kaskaew.com/index.asp?contentID=10000004&title=%E0%C3%D7%E8%CD%A7%A2%CD%A7%C7%D4%BB%D1%CA%CA%B9%D2%AD%D2%B3&getarticle=138&keyword=&catid=23

ขอบคุณรูปภาพประกอบจาก google.com

ออฟไลน์ umpawan

  • ก้นบาตร
  • *****
  • กระทู้: 3112
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์วัดบางพระ
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เรื่องของวิปัสสนาญาณ....
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 08 เม.ย. 2553, 10:34:10 »
ขอบคุณสำหรับเรื่องของวิปัสนาญานนะครับ  ต้องเข้าไปอ่านต่อซะแล้ว  :016:

ออฟไลน์ อชิตะ

  • อัฏฐมะ
  • ***
  • กระทู้: 3218
  • เพศ: ชาย
    • MSN Messenger - aston_25@hotmail.com
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เรื่องของวิปัสสนาญาณ....
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 08 เม.ย. 2553, 10:57:41 »
ขอบคุณท่านเอ็มครับ  นำธรรมะภาคปฎิบัติมาแบ่งปันพี่น้อง  ได้บุญเยอะเลยนะครับ   :005: :005:

มีเวลาแบ่งปันเรื่องดีๆ แบบนี้  แสดงว่า ไม่กังวลกับเรื่องที่พลั้งพลาดไปแล้ว  ดีใจด้วยครับท่าน

การเจริญวิปัสสนาญาน อาจจะต้องตั้งหลักให้ดีกว่า สมถะฯ แต่ สมถะเหมือนทางอ้อม วิปัสสนาเหมือนทางตรงสู่พระนิพพาน

ผลที่ได้ก็ต่างกัน  ถ้าไปสายวิปัสสนาญานล้วนๆ

สำเร็จเป็นพระอรหันต์ก็จัดเป็น สุกขวิปัสสก กิเลสแห้งไปแต่ไม่ทรงคุณวิเศษ  เช่นไม่ได้ฌานสมบัติ  ไม่ได้อภิญญา

เปรียบเหมือน เรียนจบมหาเปรียญแต่เทศน์ปฎิภาณไม่ได้

ถ้าเจริญสมถกรรมฐาน ก็จะได้ซึ่ง ฌาน สมาบัติ  มีอิทธิฤทธิ บุญญฤทธิ์  เต็มที่

เหมือนมหาเปรียญเทศน์ปากเปล่า ได้สบาย

ที่บอกมานี่ ยังทำไมไ่ด้นะครับ อาศัยเข้าไปกราบเรียนถามขอเมตตาธรรม จากหลวงปู่ หลวงพ่อ มาอีกที

ออฟไลน์ ธรรมะรักโข

  • มีสติ...กำหนดรู้...อยู่ที่จิต
  • อัฏฐมะ
  • ***
  • กระทู้: 749
  • เพศ: ชาย
  • ผู้รักษาธรรม
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เรื่องของวิปัสสนาญาณ....
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 08 เม.ย. 2553, 11:09:20 »
ขอขอบคุณน้องเอ็มครับ  ที่นำเสนอธรรมะดีๆมาแบ่งปันพี่ๆน้องๆ 

ขอบคุณอีกครั้งครับ :016: :015:   

ออฟไลน์ ~@เสน่ห์เอ็ม@~

  • ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย พระคุณบิดามารดาผู้มีพระคุณ แล ครูบาอาจารย์ผู้เกื้อหนุน สาธุ..
  • เด็กวัด
  • *****
  • กระทู้: 5894
  • เพศ: ชาย
  • ศิษวัดบางพระ
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เรื่องของวิปัสสนาญาณ....
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 08 เม.ย. 2553, 11:36:10 »
ขอบคุณท่านเอ็มครับ  นำธรรมะภาคปฎิบัติมาแบ่งปันพี่น้อง  ได้บุญเยอะเลยนะครับ   :005: :005:

มีเวลาแบ่งปันเรื่องดีๆ แบบนี้  แสดงว่า ไม่กังวลกับเรื่องที่พลั้งพลาดไปแล้ว  ดีใจด้วยครับท่าน

การเจริญวิปัสสนาญาน อาจจะต้องตั้งหลักให้ดีกว่า สมถะฯ แต่ สมถะเหมือนทางอ้อม วิปัสสนาเหมือนทางตรงสู่พระนิพพาน

ผลที่ได้ก็ต่างกัน  ถ้าไปสายวิปัสสนาญานล้วนๆ

สำเร็จเป็นพระอรหันต์ก็จัดเป็น สุกขวิปัสสก กิเลสแห้งไปแต่ไม่ทรงคุณวิเศษ  เช่นไม่ได้ฌานสมบัติ  ไม่ได้อภิญญา

เปรียบเหมือน เรียนจบมหาเปรียญแต่เทศน์ปฎิภาณไม่ได้

ถ้าเจริญสมถกรรมฐาน ก็จะได้ซึ่ง ฌาน สมาบัติ  มีอิทธิฤทธิ บุญญฤทธิ์  เต็มที่

เหมือนมหาเปรียญเทศน์ปากเปล่า ได้สบาย

ที่บอกมานี่ ยังทำไมไ่ด้นะครับ อาศัยเข้าไปกราบเรียนถามขอเมตตาธรรม จากหลวงปู่ หลวงพ่อ มาอีกที


ขอบคุณพี่เมฆสำหรับความรู้เพิ่มเติม และคำแนะนำดีๆ เสมอมาครับ