ผู้เขียน หัวข้อ: สิ่งที่รู้ที่เห็น อาจจะไม่เป็นเหมือนอย่างที่คิด  (อ่าน 2988 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ รวี สัจจะ...

  • รองประธาน
  • *****
  • กระทู้: 1137
  • รวี สัจะ-สมณะไร้นาม-วจีพเนจร
    • ดูรายละเอียด
    • รวี สัจจะ สมณะไร้นาม (เคลื่อนไหวดุจสายลม)
ตถตาอาศรม บ้านบึง ชลบุรี
  ๑ มีนาคม ๒๕๕๔
               เมื่อมีการกระทำ ย่อมมีผลของการกระทำ ซึ่งผลของการกระทำนั้นจะเป็นอย่างไร
ขึ้นอยู่กับ จังหวะ เวลา โอกาศ สถานที่ บุคลลและเจตนาแห่งการกระทำนั้น เป็นเหตุเป็นปัจจัย
ให้เกิดผล ซึ่งแต่ละคนย่ิอมมีเหตุและปัจจัยที่แตกต่างกัน ทำให้ความรู้ ความเห็นและความเข้าใจ
นั้นแตกต่างกันไปตามเหตุและปัจจัย ไม่มีใครคิดเห็นถูกไปเสียทั้งหมดและไม่มีใครผิดไปทั้งหมด
เพราะความคิดเห็นของแต่ละคนนั้นเป็นปัจเจก จึงไม่มีอะไรดีที่สุดและอะไรถูกต้องที่สุด มีเพียงความ
เหมาะสมกับจังหวะ เวลา โอกาศ สถานที่และตัวบุคคล " สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั้น
เป็นอนัตตา แปรเปลี่ยนไปตามเหตุและปัจจัย เป็นไปตามความเหมาะสม
              ฉะนั้นสิ่งที่รู้ ที่เห็นและที่เข้าใจในวันนี้ จึงไม่ใช่ที่สุดไม่ใช่ข้อสรุปของสิ่งทั้งหลายทั้งปวง
ตราบใดที่เรายังไม่สิ้นอาสาวะยังไม่หมดกิเลส ยังไม่เป็นพระอริยะบุคคลขั้นสูงคือบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์
ความรู้ความเห็นความเข้าใจของเรานั้น ยังวนเวียนปะปนไปด้วยกิเลสตัณหาและอัตตา ทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามานั้น
มันจึงเป็นเพียงประสพการณ์ของชีวิต อย่าไปยึดติด ยึดถือและยึดมั่นจริงจังกับมันจนเกินไป จนกลายเป็นความงมงาย
ทุกอย่า่งนั้นมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปทุกขณะ สิ่งที่คิดว่าใช่นั้นอาจจะไม่ใช่ สิ่งที่คิดว่าเข้าใจหมดแล้วนั้น
มันยังมีเหลืออีกมากมายที่เรายังไม่ได้เห็น ไม่ได้เข้าใจ  ทุกสิ่งเพียงผ่านมาแล้วจากไป สิ่งท่ี่คงเหลือไว้นั้น
คือประสพการณ์ของชีวิต ที่ให้เราได้เรียนรู้และศึกษา
               สิ่งที่รู้ ที่เห็นและเป็นไป ที่เกิดจากปฏิบัติธรรมเจริญสติภาวนานั้นก็เช่นกัน สามารถเกิดขึ้นได้ทุกขณะ
ด้วยหลายเหตุและปัจจัย แปรเปลี่ยนไปตามกำลังของสติสัมปชัญญะและกำลังของสมาธิ สิ่งที่เรียกว่า " นิมิต "
เกิดขึ้นจากกำลังของสมาธิ ในช่วงที่สติอ่อนกำลัง " สมาธิกล้า สติล้า นิมิตจะเกิด " จึงอย่าไปจริงจัง ยึดถือ
กับนิมิตที่เกิดขึ้นจนเกินไป จนกลายเป็นความงมงายไร้เหตุผล เพราะนิมิตทั้งหลายนั้น เป็นเพียงนามธรรม
ไร้ซึ่งหลักฐานที่เป็นรูปธรรม จับต้องไม่ได้ เป็นความรู้ ความเห็นที่เกิดขึ้นภายใน เกิดขึ้นที่ใจและเห็นด้วยจิต
เป็นการรู้เห็นเฉพาะตนของผู้ปฏิบัติ ซึ่งสิ่งที่เห็นนั้นอาจจะจริงบ้างและไม่จริงบ้าง ตามเหตุและปัจจัยของการเกิด
               อุปสรรคของผู้ปฏิบัติธรรมส่วนมากที่พบเห็อยู่เป็นประจำนั้น ก็คือเรื่องของนิมต เพราะการถูกปลูกฝัง
ความคิดว่าเมื่อเจริญสติภาวนาแล้วมันต้องมีนิมิต ต้องรู้ ต้องเห็น เมื่อไม่รู้ ไม่เห็นและไม่มีนิมิต จิตก็พยายยามที่
จะสร้างภาพนิมิตขึ้นมา เพื่อให้รู้และให้เห็น ซ่งเป็นการหลงทางจิต ของผู้ปฏิบัติธรรมเจริญสติภาวนาทั้งหลาย
นิมิตนั้นมีได้เฉพาะผู้ที่เจริญรูปฌาน คือการเอารูปต่างๆมาเป็นอารมณ์กรรมฐานในการภาวนา ซึ่งเมื่อมีเหตุและปัจจัย
มาจากรูป ผลนั้นย่อมจะเป็นรูปเป็นนิมิตตามจิตแห่งอารมณ์ภาวนา
                 การที่จะศึกษาว่านิมิตที่พบเห็นนั้นจริงหรือไม่ ใช่หรือหลอก ก็คือการมีสติสัมปชัญญะ คือการระลึกรู้
ความรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ทุกขณะจิตเมื่อเจริญสติภาวนา น้อมจิตเข้าไปพิจารณา ให้เห็นการเกิดดับของสรรพสิ่งและเห็น
ความเป็นจริงของธรรมชาติของจิต คือการเห็นที่เกิดของนิมิตทั้งหลายเหล่านั้น ว่าเกิดขึ้นในขณะใด จิตในขณะนั้นเป็นอย่างไร
เกิดจากภายนอกหรือเกิดจากภายใน เป็นการปรุงแต่งของจิตเราหรือไม่ หรือเป็นความรู้สึกนึกคิดใต้จิตสำนึกของเราที่ผุดขึ้นมา
ซึ่งถ้าเรารู้เห็นที่เกิดของนิมิตทั้งหลายเหล่านั้นแล้ว ความสงสัยลังเลและความกังวลเกี่ยวกับนิมิตนั้นก็จะหายไปหมดไป
ความเจริญก้าวหน้าในธรรมของผู้ปฏิบัตินั้นก็จะสูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ผู้ซึ่งเจริญสติสัมปชัญญะในขณะภาวนาอย่างต่อเนื่องนั้น
จะไม่เห็นและไม่มีนิมิต เพราะจิตมีสติและสัมปชัญญะควบคุมอยู่ แต่สามารถที่จะกำหนดนิมิตขึ้นมาได้ถ้าใจปรารถนา ตามกำลัง
ของสมาธิของผู้ปฏิบัตินั้น จึงขอฝากไว้เป็นข้อคิดสะกิดเตือนใจแก่ผู้ปฏิบัติธรรมเจริญจิตภาวนาทั้งหลาย
                         ด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิตแด่มวลมิตรทุกผู้คน
                                      รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม
๑ มีนาคม ๒๕๕๔ เวลา ๑๘.๑๕ น. ณ ตถตาอาศรม บ้านบึง ชลบุรี
 
ใช่หวังจะดังเด่น  จึงมาเป็นสมณะ
เพียงหวังจะลดละ  ซึ่งมานะและอัตตา
เร่ร่อนและรอนแรม ไปแต่งแต้มแสวงหา
สัญจรร่อนเร่มา  ผ่านร้อยป่าและภูดอย
ลาภยศและสรรเสริญ  ถ้าหลงเพลินจิตเสื่อมถอย
พาใจให้เลื่อนลอย  จิตเสื่อมถอยคุณธรรม
       ปณิธานในการปฏิบัติธรรม

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
นมัสการพระอาจารย์
========
สรุปว่า ถ้ามีสติก็สามารถควบคุมได้ ถ้าควบคุมไม่ได้แสดงว่าเป็นอุปทาน ซึ่งต้องหยุดและทบทวนใหม่ใช่ไหมครับ
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว....ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา...สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา...กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ออฟไลน์ berm

  • สิ่งที่ควรทำคือความดี..สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม..สิ่งที่ควรจำคือ...บุญคุณ
  • อัฏฐมะ
  • ***
  • กระทู้: 1008
  • เพศ: ชาย
  • อยู่คนเดียวระวังความคิด อยู่กับมิตรระวังวาจา
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
กราบนมัสการพระอาจารย์กับคำสอนที่เป็นประโยชน์สำหรับศิษย์ครับ
ทุกคนย่อมมีปัญหาของตัวเองเกิดขึ้นตลอดเวลา  อยู่ที่ใครเลือกที่จะเดินหนีปัญหา...หรือเลือกที่จะแก้ไขปัญหา

ออฟไลน์ derbyrock

  • คณะกรรมการ
  • *****
  • กระทู้: 2494
  • เพศ: ชาย
  • สติมา ปัญญาเกิด........ปัญหามา ปํญญามี.......
    • MSN Messenger - derbyrock@hotmail.com
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
กราบนมัสการพระอาจารย์ กราบขอบพระคุณที่เมตตาสั่งสอนครับ

ความสุขที่แท้จริงรอคอยคุณอยู่.......เพียงแค่คุณนั่งลงแล้วหลับตา

ออฟไลน์ yout

  • อัฏฐมะ
  • ***
  • กระทู้: 1742
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
กราบนมัสการครับ................... :090: :090: :114: :090: :090:........................

ออฟไลน์ ~@เสน่ห์เอ็ม@~

  • ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย พระคุณบิดามารดาผู้มีพระคุณ แล ครูบาอาจารย์ผู้เกื้อหนุน สาธุ..
  • เด็กวัด
  • *****
  • กระทู้: 5894
  • เพศ: ชาย
  • ศิษวัดบางพระ
    • ดูรายละเอียด
กราบมนัสการพระอาจารย์ที่เคารพ  :054:
กราบขอบพระคุณพระอาจารย์มากครับที่ให้ความรู้สั่งสอนศิษย์... :054:

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
สัพเพ ธัมมา อนัตตา=ธรรมชาติ

ใช่หรือไม่ครับ

ออฟไลน์ artcokes

  • จตุตถะ
  • ****
  • กระทู้: 48
  • เพศ: ชาย
  • สัมมาอะระหัง ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
    • ดูรายละเอียด
ขอบคุณที่กรุณาสั่งสอนให้ลูกช้างได้รู้แจ้งเห็นจริงตามสติและความคิดที่อันพึงเกิดและพึงดับตามกาลเวลา
และไม่ได้ยึดติดกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาไปหมด ทุกสิ่ง.... อนัตตามีเกิดและก็มีดับ..................................
 พระสันเพชรเจ้า ว่าเป็นทุกข์ขัง ว่าเป็นอะนิจจัง ว่าเป็นอนัตตา
                                 สัมมาอะระหัง
                                     สาธุ......
                               

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
สมถะ-วิปัสสนากรรมฐาน, ฌาน, ญาณ, อภิญญา...ญาณ มี 7 อย่างคือ

สมถะ-วิปัสสนากรรมฐาน, ฌาน, ญาณ, อภิญญา

ญาณ มี 7 อย่างคือ


บุเพนิวาสานุสสติญาณ ปัญญาที่สามารถระลึกชาติในอดีตของคนหรือสัตว์ได้

จุตูปปาตญาณ ปัญญาที่รู้ว่าคนหรือสัตว์ก่อนจะมาเกิดเป็นอะไรมาก่อน เมื่อตายแล้วไปเกิดเป็นอะไร

เจโตปริยญาณ ปัญญาที่รู้ใจคน รู้อารมณ์ความคิดจิตใจของคนและสัตว์

อตีตังสญาณ ปัญญาที่รู้เรื่องในอดีต เหตุการณ์ที่ล่วงมาแล้ว ทั้งในอดีตชาติ ปัจจุบันชาติ ของคนและสัตว์

ปัจจุปปันนังสญาณ ปัญญาที่รู้เรื่องในปัจจุบันว่าขณะนี้ใครทำอะไรอยู่ และมีสภาพอย่างไร

อนาคตตังสญาณ ปัญญาที่รู้เรื่องในการต่อไปว่า คน สัตว์ สรรพวัตถุ เหล่านี้ต่อไปจะเป็นอย่างไร รู้ได้ตามภาพที่ปรากฏ ถ้าภาพที่ปรากฏไม่ชัดเจน ก็อธิษฐานถามก็จะรู้ชัดและไม่ผิด

ยถากัมมุตญาณ ปัญญาที่รู้ผลกรรม คือ รู้ว่าคนเราที่ทุกข์หรือสุขทุกวันนี้ ทำกรรมอะไรมาในอดีตชาติ และปัจจุบันชาติจึงเป็นเช่นนี้ และจะแก้ไขได้หรือไม่ประการใด

อภิญญาหก อภิญญา แปลว่า ความรู้อย่างยิ่งสูงกว่า ญาณมี 6 อย่าง

เมื่อเราฝึกการใช้ฌาณทั้ง 7 จนคล่องแคล่วชำนาญดีแล้ว อภิญญาจะค่อยๆ เกิดตามมา อภิญญาทั้ง 6 ได่แก่

อิทธิฤทธิ์ แสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้ เช่น อยู่ยงคงกระพัน ล่องหนหายตัว ย่นระยะทางได้ เหาะเหินเดินอากาศ ดำดิน เดินบนผิวน้ำ หรือเดินลงไปในน้ำได้

ทิพยโสต มีหูทิพย์ สามารถฟังเสียงในที่ไกลหรือเสียงอมนุษย์ ได้ยินเสียงสัตว์ เสียงเทพ เสียงพรหม รู้เรื่อง

จุตูปปาตญาณ รู้การตายและการเกิดของคนและสัตว์ แต่รู้หมดทุกภพทุกชาติ ถ้าฌาณธรรมดาจะรู้เพียง 4-5 ชาติ แต่อภิญญารู้หมดทุกภพทุกชาติ

เจโตปริยญาณ รู้วาระจิต รู้ความคิดในใจของคนและสัตว์ได้

ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติต่างๆ ของคนหรือสัตว์ได้ทุกภพทุกชาติ

อาสวักขยญาณ ปัญญาที่ขจัดอาสวกิเลสตัณหาให้หมดสิ้นไป อภิญญาข้อนี้เองจะเป็นหนทางให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้



สมถะ แปลว่า ความสงบ กาย วาจา ใจ วิปัสสนา แปลว่า การทำปัญญาให้เห็นแจ้ง กรรมฐาน คือ การกระทำตั้งมั่นอยู่ สมถะวิปัสสนากรรมฐาน คือ การกระทำตั้งมั่นอยู่เพื่อเกิดความสงบทาง กาย วาจา ใจ เป็นการทำปัญญาให้เห็นแจ้ง

ฌาน

ฌาน คือ การหยั่งรู้หรือการเพ่งในองค์กรรมฐาน ฌานนั้นมี 4 รูปฌาน และ 4 อรูปฌาน รวมกันเราเรียกว่า สมาบัติ 8 และอุปสรรคขวางกั้นฌานคือ นิวรณ์ 5

พระพุทธเจ้าสอนให้เราเริ่มจากทาน คือรู้จักการให้ เพื่อลดความตระหนี่ถี่เหนี่ยวหรือละความโลภก่อน แล้วจึงมาถึงศีลคือ การไม่เบียดเบียนกัน สมาธิคือการฝึกจิตตั้งมั่นในการบำเพ็ญเพียรภาวนาจนเกิดฌาน คือ การหยั่งรู้ แล้วจะเกิดฌาน คือ ปัญญานั่นเอง อย่างที่เราเรียกว่า ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา

ฌานนั่นมี 4 รูปฌาน และ 4 อรูปฌาน

ฌานหนึ่งหรือปฐมฌาน มีองค์ประกอบ 5 อย่างคือ วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตารมณ์

วิตก : คือ ยังภาวนาพุทโธอยู่

วิจาร : คือ การคิดว่าพุทหายใจเข้า โธหายใจออก

ปิติ : มีอาการ 5 อย่างคือ ขนลุก น้ำตาไหล ตัวโยก ตัวลอย ตัวขยายใหญ่ขึ้น (อาจมีเพียงแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง)

สุข : จิตที่อิ่มในอารมณ์

เอกัคคตารมณ์ : จิตที่มีอารมณ์เป็นหนึ่ง ไม่ฟุ้งซ่าน

ฌานสองหรือ ทุติยฌาน จะมีเพียงแค่ ปิติ สุข และเอกัคคตารมณ์

ฌานสามหรือ ตติยฌาน จะมีเหลือเพียง สุข กับ เอกัคคตารมณ์

ฌานสี่หรือ จตุตถฌาน คนเราส่วนมากมักจะติดอยู่ในฌานสาม จะมีแต่สุขกับเอกัคคตารมณ์ หรือจิตที่มีอารมณ์เป็นหนึ่ง เมื่อสุขแล้วก็ไม่อยากคิดอะไร จึงติดอยู่ในสุขไปไหนไม่ได้ ฌานหนึ่งถึงฌานสามเรียกว่าสมถะกรรมฐาน คือ ความสงบในกาย วาจา ใจ ถือเป็นสมถะกรรมฐาน เราต้องใช้วิปัสสนาด้วย วิปัสสนาคือ การทำปัญญาให้เห็นแจ้ง เมื่อจิตสงบอยู่ในฌานสาม ให้รีบพิจารณา พิจารณาอะไร พิจารณาพระไตรลักษณ์ คือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา

ลักษณะ 3 อย่าง คือถ้าเรานั่งสมาธิไปนานๆ มันจะเกิดความปวดเมื่อย ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ เราเรียกว่า ทุกขัง คือ ภาวะที่ทนได้ยาก อนิจจัง คือ ความไม่เที่ยง เราจะนั่งอยู่อย่างนี้ทั้งวันทั้งคืน ทั้งเดือน คงจะไม่ได้ จะต้องเปลี่ยนแปลงจากนั่งเป็นยืน เดิน นอน การเปลี่ยนแปลงนี้เราเรียกว่า อนิจจัง ความไม่เที่ยง

อนัตตา คือ กายนี้ไม่ใช่ของเรา ถ้าเป็นของเรา เราจะต้องไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่แก่ ไม่เฒ่า เพราะกายนี้ไม่ใช่ของเรา เป็นอนัตตา ตัวไม่ใช่ตนของเรา ความตายไม่มีใครหนีไปได้

พระพุทธเจ้าทรงถามพระอานนท์ว่า อานนท์เธอคิดถึงความตายอย่างไร พระอานนท์ตอบว่า คิดถึงทุกวันเลยพระองค์ท่าน พระพุทธเจ้าก็ทรงเฉย พระอานนท์ก็ตอบอีกว่า คิดถึงวันละ 3 เวลาเลยพระองค์ท่าน พระพุทธเจ้าทรงส่ายพระพักตร์ ตรัสว่า เธอควรคิดถึงความตาย ทุกลมหายใจเข้าออก เพื่อความไม่ประมาท

ในเมื่อเรารู้แล้วว่า เราหนีความตายไปไม่พ้น ตายแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง แล้วเราจะโลภ จะโกรธ จะหลงไปทำไม เมื่อจิตไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่อยาก ก็จะเข้าสู่อุเบกขา คือการวางเฉย ในฌานสี่ มีองค์ประกอบอยู่ 2 อย่างคือ อุเบกขา และเอกัคคตารมณ์

ฌานห้าหรืออรูปฌานหนึ่ง เรียกว่า อากาสานัญจายตนะ ฌานที่ไม่มีรูป สังขาร ร่างเหมือนอากาศที่ว่างเปล่า เมื่อได้ฌานสี่หรือจตุตฌาน เราสามารถถอดกายได้ วิธีการถอดกายอย่าถอดกายออกจากฐานกระหม่อมเบื้องบน เพราะถ้ากายทิพย์ลอยออกจากกระหม่อม เราก้มลงมาเห็นกายหยาบนั่งอยู่จะตกลงมาทันที ให้พยายามถอดกายออกจากด้านข้าง หรือทางด้านหน้า ถอดออกแล้วอย่าไปไหน ให้พยายามมองดูตัวเองที่นั่งสมาธิอยู่ มองดูกายหยาบจนเห็นชัด เห็นแล้วให้รีบพิจารณาอสุภกรรมฐาน มองดูตั้งแต่ เส้นผม หนังศีรษะ กะโหลก มันสมอง เส้นขน ผิว หนัง เนื้อ กระดูก ซี่โครง หัวใจ ตับไต ไส้พุง มองพิจารณาให้เห็นเป็นอสุภกรรมฐาน มองจนสลายกลายเป็นเถ้าถ่านไป เรียกว่า ฌานห้าหรืออรูปฌานหนึ่ง

ฌานหกหรืออรูปฌานสอง เรียกว่า วิญญาณัญจายตนะ ให้พยายามมองดูที่ดวงจิตที่ใส เหมือนดวงแก้ว มองจนดวงจิตนั้นหายไปเรียกว่า วิญญานัญจายตนะ ไม่มีวิญญาณ

ฌานเจ็ดหรืออรูปฌานสาม เรียกว่า อากิญจัญญายตนะ ให้มองที่กาย มองดูที่จิตพร้อมกันทั้งสองอย่างมองจนกระทั่งหายไปทั้งกายและดวงจิต เรียกว่า อากิญจัญญายตนะ ไม่มีกาย ไม่มีจิต

ฌานแปดหรืออรูปฌานสี่ เรียกว่า เนวะสัญญานาสัญญายตนะ กายทิพย์นั้นจะกลับเข้าสู่ร่างเดิม แต่จะชาหมด ลมหายใจเหลือแผ่วๆ เบามากจนแทบไม่มีการหายใจ ไม่รับรู้อะไรทั้งหมด ชาไร้ความรู้สึกเหมือนท่อนไม้

เมื่อเราได้ฌานแปดหรือสมาบัติแปด ญาณหรือปัญญาจะเกิด ญาณนั้นมี 7 อย่าง บางคนอาจจะไม่ได้ถึงฌานแปด อาจจะได้ฌานหนึ่ง สอง หรือสาม ก็สามารถเกิดญาณหรือปัญญาได้ หรือบางคนอาจจะไม่ได้ฝึกสมาธิเลยก็มีญาณเกิดขึ้นได้ ถือว่าเป็นฌานหรือตัวรู้ ที่ติดตัวมาแต่ชาติปางก่อน เช่น เราอาจจะเคยพบคนที่สามารถรู้อะไรว่าจะเกิดล่วงหน้า และก็เกิดตามที่คิดนึกรู้นั้น บางคนเรียกว่า ลางสังหร ความจริงแล้วเป็นญาณอย่างหนึ่ง เรียกว่า อนาคตตังญาณ คือปัญญาที่จะรู้เหตุที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ขอบคุณ ที่มา
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=dalar&month=01-2010&date=18&group=2&gblog=18
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12 มี.ค. 2554, 07:44:10 โดย ทรงกลด »

ออฟไลน์ annop.tee

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 23
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ศิษย์กราบขอบพระคุณอาจารย์ ที่ได้เตือนสติ และแนะแนวทาง ต่อแต่นี้ศิษย์จะได้ปฏิบัติเพื่อละ จะได้ไม่ละโมภ

ออฟไลน์ nsp8428

  • ก็หมวยนี่คะ
  • ฉัฏฐะ
  • *
  • กระทู้: 193
  • เพศ: หญิง
  • ชีวิตก้าวไปข้างหน้า วันเวลาไม่เดินถอยหลัง
    • ดูรายละเอียด
    • www.nsp8428@hotmail.com
    • อีเมล
     กราบนมัสการพระอาจารย์ และกราบขอบพระคุณอย่างสูงที่ชี้แนะแนวทางปฏิบัติธรรมค่ะ