นรก อยู่ไหน ๑/๒
บาป กรรม ที่ไหน.. นรก
ทุกคนคงไม่คิดว่านรกจะมีจริงใช้ไหม แต่มีคนอยู่ไม่กี่คนเท่านั้นที่เคยไปถึงนรก ทั้ง ๆ ที่เค้ายังไม่ถึงคาด จะว่าไปก็อาจจะไม่ค่อยมีคนเชื่ออีกเช่นเคย คนเราจะเคยได้ยินแต่ "สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ" มันก็คงจะจริงเหมือนกันนั่นแหละ เพราะ"ทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว" แต่จะมีสักกี่ึคนที่จะรู้แจ้งเห็นจริงกับเรื่องราวของนรก คุณคงเคยเห็นว่านรกหน้าตาเป็นอย่างไร อย่างเช่นในหนังในละครได้นำมาเผยแพร่กัน คือต้องมีต้นงิ้ว มีกระทะทอง มีนกเหล็ก มีคนถือหอกคอยทิ้มแทง อะไรประมาณนี้
แต่อันที่จริงนั้นนรกน่ากลัวกว่าที่เราได้เห็นทางทีวีกันมากกว่า เพราะคนที่เคยไปถึงนรกนั่นได้นำประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟัง เพื่อที่จะให้เรา ๆ ท่าน ๆ ทั้งหลายได้กลัวเกรงต่อบาป กรรม กันบ้าง ไม่มากก็น้่อย เพราะการถ่ายทอดของเค้าเป็นการที่เค้าอยากให้เราทั้งหลายสร้างบุญกุศลเอาไว้ให้มาก ๆ เมื่อตายไปแล้วเราจะได้ไม่ต้องตกนรก แต่การขึ้นสวรรค์นั้่นยังไม่มีใครเคยมาถ่ายทอดประสบการณ์ให้ฟังน่ะ
เรื่องของบุคคลคนนี้ที่ไปนรกนั้น ก็ไม่มีใครหรอกจะคาดการณ์ได้ว่าเค้าได้ไปนรกมาจริง ๆ แต่การยืนยันนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่น่าเชื่อได้ และัอีกอย่างบุคคลคนนี้เป็นคนที่ไม่เคยโกหก และเป็นผู้ที่มีจิตใจเป็นกุศลด้วย
เริ่มเรื่องเลยดีกว่า
ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า นรกนั้นใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงแล้ว เพราะอะไรนั่นเหรอ ก็เพราะเมืองมนุษย์ กับเมืองนรกเป็นภพคนละภพกัน การเดินทางเลยไม่เหมือนเช่นในเมืองมนุษย์ เรื่องก็มีอยู่ว่า มีครอบครัวอยู่ครอบครัวหนึ่ง มีอาชีพทำนา ครอบครัวนี้จะมีกันเพียง 3 คนเท่านนั้น คือ พ่อ แม่ และลูกสาวอีกคนเท่านั้น ในทุก ๆ วันครอบครัวนี้ก็จะมีหน้าที่ออกไปทำนา ทำสวนตามปกติ คือ เช้าตอนประมาณตี 4 ก็จะออกเดินทางจากบ้าน ซึ่งกว่าจะถึงท้องนาก็ประมาณ 20 กิโลเมตรได้ ผู้เป็นแม่จะมีหน้าที่ในตอนเช้าเพื่อเติมอาหารนำไปกินที่นาด้วย พวกเค้าจะทำแบบนี้ในทุก ๆ วันไม่มีเว้น เพราะข้าวในนาก็คือเงินที่พวกเค้าจะนำมาเลี้ยงชีพนั้นเอง
ทุกอย่างของชีวิตทั้งสามก็ดำเนินมาแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนมาถึงวันหนึ่ง ในวันนั้นไม่มีใครคาดคิดได้เลยว่าแม่ที่รักของเค้าจะได้พบยังนรกมา ก่อนที่แม่ของเค้าจะได้ไปนรกนั้น แม่ของเค้าก็ทำภาระกิจเหมือนเดิม ๆ แต่พอเวลาใกล้เที่ยงซึ่งวันนั้นอากาศร้อนมาก เรียกว่าร้อนอย่างผิดปกติเลยทีเดียว ทุังสามก็ได้ทำนากันตามปกติ แต่แล้วจู่ ๆ แม่ก็ได้เป็นลมล้มพับลงไป ซึ่งพ่อ กับลูกสาวตอนนั้นได้อยู่ห่างจากผู้เป็นแม่แต่ก็ไม่ไกลเกินไปนัก ในขณะนั้นพ่อก็ได้หันมามองที่แม่ ซึ่งตอนนี้แม่ก็ได้ล้มลงไปกับพื้นนาเสียแล้ว ผู้เป็นพ่อจึงร้องเรียกลูกสาวให้มาดูแม่ แต่พ่อได้มาถึงตัวแม่ก่อนและได้ตะโกนบอกลูกสาวว่า "แม่เป็นอะไรไม่รู้" ลูกสาวรีบวิ่งมาดูอาการของแม่ และได้ช่วยกันนำแม่ไปไว้ยังใต้ต้นไหม้ใหญ่ที่อยู่เลยไป ทั้งคู่ก็ได้พยายามทำให้แม่พื้น แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ ผู้เป็นแม่ไม่มีลมหายใจแล้วในขณะนี้
ที่มา
http://khonsin.blogspot.com/2009/10/blog-post_15.html