แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - N!c

หน้า: [1]
1


 "ชีวิตมันเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่เราทำให้มันยากเอง..."

        ท่ามกลางยุคแห่งทุนนิยมที่พรั่งพร้อมไปด้วยความทันสมัย ผสมปนเปกับความวุ่นวายทางการเมือง เราได้รู้จักกับนักปราชญ์ผู้ซึ่งใช้ชีวิตสวนกระแสกับสังคมสมัยใหม่อย่างสุดขั้ว หลายคนคงเคยได้ยินกิตติศัพท์ "ความบ้า" หรือวิถีชีวิตอันแปลกแยกของเขามาบ้าง แต่ในความแตกต่างนี้มีคนจำนวนไม่น้อยยกย่องเขาว่าเป็นอัจฉริยะด้านการใช้ชีวิตที่แท้จริง ....และนี่คือ "โจน จันได"

        โจน จันได หรือที่หลายคนรู้จักเขาในนาม "โจน บ้านดิน" คนจนผู้ยิ่งใหญ่จากรายการ เจาะใจ เมื่อหลายปีก่อน มาวันนี้ เขาคือผู้เชี่ยวชาญในการสร้างบ้านดินของประเทศไทย โจน จันได เป็นผู้ปลุกกระแสบ้านดินให้ฟีเวอร์ในปัจจุบัน เขาเดินทางไปรอบโลกเพื่อนำเสนอแนวทางในการสร้างบ้านดิน  โดยเรียนรู้ชีวิตผ่านประสบการณ์ตรงนอกระบบการศึกษา จนแตกแขนงออกเป็นเครือข่ายคนสร้างบ้านดินในทุกวันนี้

        เดิมที โจน จันได เกือบจะได้เป็นนักกฎหมาย เมื่อครั้งจากบ้านที่ยโสธรเข้ามาร่ำเรียนศาสตร์สาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่กรุงเทพมหานคร เขาใช้ชีวิตอยู่วัด กินข้าววัด และทำงานพิเศษเพื่อหาเงินค่าเล่าเรียนเอง แต่แล้วลูกอีสานคนนี้ ก็ตัดสินใจทิ้งอนาคตนักกฎหมาย และลาสังคมเมืองที่หลายคนหลงใหล  ด้วยเหตุว่าถามหาความสุขที่แท้จริงให้ชีวิตไม่เจอ !?!

        "คนเราจำต้องไหลไปตามกระแสส่วนใหญ่ของสังคม จริงหรือ... ทั้งที่เราไม่ชอบ เราก็จำเป็นต้องแต่งตัว เที่ยว ตามเพื่อน ๆ เพื่อป้องกันคำครหานินทางั้นหรือ.."

        "คนเราเรียนมาก ๆ แล้วจะทำงานดี ๆ ได้เงินเยอะ ๆ จริงหรือ แล้วการมีเงินเยอะมันคือเป้าหมายของชีวิตงั้นหรือ มีเงินเยอะทำให้มีความสุขจริงหรือเปล่า และการที่เราทำงานหนัก จะทำให้ลูกเมียเรามีความสุขจริงหรือ.."

        โจน จันได ตัดสินใจไปใช้ชีวิตอยู่ในป่าที่จังหวัดเชียงใหม่  เขาอยู่โดยไร้ซึ่งความสะดวกความสบายทุกชนิด ไม่มีน้ำประปา ไม่มีไฟฟ้า มีแต่ตัวเองกับธรรมชาติ โดย โจน จันได อาศัยอยู่ภายใต้หลังคาบ้านดินที่เขาสร้างเองกับมือ  โดย โจน จันได ปลูกบ้านจากดินเหนียวหลังแรกจากความคิด ผสมกับที่ได้เห็นภาพการทำ บ้านดิน ในหนังสือของฝรั่ง เมื่อบ้านดินหลังแรกสำเร็จ โจน จันได ก็ทำหลังต่อ ๆ มาให้กับชุมชนแถบนั้นโดยไม่เก็บเงิน โดย โจน จันได อยู่อย่างง่าย ๆ  ปลูกผักปลูกข้าวกินเอง เขาไม่มีเงินเก็บ เพราะคิดว่าเงิน เก็บไว้ก็เอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่ข้าวและพืชผักปลูกไว้แล้วเลี้ยงชีวิตได้ สบายใจกว่า...

        "ผมเคยไปอยู่กรุงเทพฯ เจ็ดปีไม่เคยกินอิ่มเลย และถามตัวเองว่า ชีวิตเราทำงานให้ใคร ผมก็เลยกลับบ้านไปเป็นชาวบ้าน แต่ผมก็ไม่ได้อยู่อย่างชาวบ้าน เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ปลูกผักเพื่อขาย ยิ่งปลูกยิ่งไม่เหลืออะไร ทั้ง ๆ ที่ชีวิตเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่ทำไมคนส่วนใหญ่ทำให้ชีวิตซับซ้อน จนไม่มีเวลาคิดถึงตัวเอง คิดถึงแต่งาน งาน หาเงินและใช้เงิน ทำงานหนักขนาดนี้แล้วไม่พอกิน ก็ต้องคิดแล้ว" โจน จันได กล่าว
ปัจจุบันนอกจากการอยู่กับธรรมชาติอย่างมีความสุขแล้ว โจน จันได ยังได้รับเชิญจากหลายหน่วยงานให้ไปสอนการปลูกบ้านดิน โดย โจน จันได ไม่คิดค่าใช้จ่ายสักบาท เพียงขอแต่ค่าเดินทาง เพราะอย่างที่บอกเขาไม่ใช่คนที่มีเงินมากนัก แต่กระนั้น หลังจากที่ทำงานบ้านดินมากว่า 10 ปี โจน จันได บอกว่าเขาได้ค้นพบอีกสิ่งหนึ่งที่อยากทำมาก ๆ ในตอนนี้

        "ทำงานบ้านดินมา 10 ปี รู้สึกว่าเหนื่อย จึงอยากพัก บ้านดินทำเมื่อไหร่ก็ได้ แต่สิ่งที่อยากทำจริงๆ ในตอนนี้ คือการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พื้นบ้านแท้ ๆ มาเพาะปลูก การเก็บเมล็ดพันธุ์มีความสำคัญกว่าการทำบ้านดิน เพราะความรู้ในการทำบ้านดิน เรียนรู้ได้ง่าย ทำเมื่อไหร่ก็ได้  แต่เมล็ดพันธุ์นับวันจะหายไปจากโลกทุกวัน การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ต้องรีบทำ ไม่อย่างนั้นจะหายไปจากโลก ต้องเร่งรีบเก็บรักษาไว้" โจน จันได กล่าว

        ด้วยความคิดนี้ โจน จันได จึงจัดแจงหาซื้อที่ดินที่ใน อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ และลงมือปลูกพืชผัก ตั้งชื่อว่า "ไร่พันพรรณ" มีคนอาศัยและช่วยงานอยู่ 7-8 คน เป็นครอบครัวเล็ก ๆ เขามีลูกและภรรยาชาวอเมริกัน หญิงที่รักงานด้านเอ็นจีโอจากโคโลราโดเป็นคู่ชีวิต ที่ไร่ของ โจน จันได มักจะมีแขกแวะเวียนไปเยี่ยม ทั้งคนไทย ฝรั่ง ต่างผลัดเปลี่ยนกันมาเรียนรู้วิถีชีวิตแบบสมถะในแบบของเขา

        "ฝรั่งที่มาเรียนรู้ บางคนเป็นสถาปนิก ผู้พิพากษา นักเขียน บางคนตกงานแต่สับสนในชีวิต ไม่ชอบวิถีชีวิตแบบเดิม ไม่รู้จะไปไหน หลายคนมาก็เปลี่ยนแปลงชีวิต แต่คนไทยมาฝึกฝนเรื่องเกษตรน้อย เพราะมองว่าการเกษตรเป็นเรื่องต่ำต้อย คนที่มาเป็นชนชั้นกลาง ไม่ใช่ชาวนาหรือเกษตรกร การเป็นเกษตรกรทำให้ผมมีเวลา ทำอะไรก็ได้อย่างอิสระ ผมจะไม่กลับไปทำงานแบบเดิม ตอนนี้ผมพอใจกับสิ่งที่ได้ประสบในชีวิตแล้ว และก็จะใช้ชีวิตที่เหลือให้เป็นประโยชน์มากที่สุด ไม่มีอะไรให้กังวล" โจน จันได เล่า

        ....การเอาชนะใจตัวเอง ชนะกระแสสังคม ชนะระบบเงินตรา และใช้ชีวิตอยู่อย่างสามัญในแบบ โจน จันได ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ไม่ง่ายสำหรับใครหลายคน (จริงไหม)

ขอบคุณ www.kapook.com ครับ

 

2
เราได้รับการปลูกฝังความเชื่อว่า การกินเจ คือการไม่กินเนื้อสิ่งมีชีวิต
ซึ่งนำมาซึ่งการเบียดเบียนชีวิตสัตว์ที่น้อยลง เราจะได้บุญจากการกินเจ
ตัวผมเองที่ผ่านมาช่วงที่ตั้งใจกินเจ ก็จะคิดว่าได้บุญไปด้วยทำความสะอาดลำไส้ไปด้วย

แต่จริงๆแล้วการทานเจ ได้บุญจริงหรือ ? การทานเจแล้วได้บุญเป็นความเชื่อจากไหน ?

ในยุคพุทธกาล(พระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่) พระเจ้าเทวทัตได้ขอให้พระพุทธเจ้า
เพิ่มวินัย(ข้อห้าม)สำหรับพระสงฆ์เพิ่มอีก 5 ข้อ และหนึ่งในนั้นก็คือ "ห้ามกินเนื้อสัตว์"
เพราะการกินเนื้อสัตว์จะเป็นการเบียดเบียนชีวิตอื่น
แต่พระพุทธเจ้าไม่เห็นด้วย ส่วนหนึ่งก็เพราะพระสงฆ์เป็นผู้ขอคนอื่นทาน
หากไม่ทานเนื้อสัตว์ จะกลายเป็นผู้กินยากอยู่ยาก
และเป็นการสร้างความลำบากให้กับชาวบ้านทั่วไปที่ต้องการจะถวายอาหาร

พระพุทธเจ้าได้บัญญัติว่าเนื้อที่ไม่ควรทานมี 10 อย่างคือ
เนื้อมนุษย์ เนื้อช้าง เนื้อม้า เนื้อราชสีห์ เนื้อเสือโคร่ง เนื้อเสือดาว เนื้อเสือเหลือง เนื้อหมี เนื้อสุนัข เนื้องู
ส่วนการทานเนื้ออื่นจะบาปเมื่อ ได้เห็น ได้ยิน หรือสงสัยว่าเขาฆ่าเพื่อถวายตน
เช่น พระได้รับนิมนต์จากชาวบ้าน ตอนเดินผ่านหน้าบ้านเห็นไก่ 1 ตัว
ชาวบ้านบอกว่าเดี๋ยวจะทำไก่บ้านต้มให้กิน แล้วชาวบ้านก็หายไปสักพัก
แล้วก็ยกไก่บ้านต้มมาให้กิน แบบนี้ฉันไม่ได้ บาป เพราะได้เห็น ได้ยิน หรือสงสัยว่าเขาฆ่าเพื่อถวายตน
แต่ถ้าพระไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้ยิน ชาวบ้านฆ่าไก่ไว้แล้วทำไก่บ้านต้มเสร็จแล้วพระถึงมา
แล้วชาวบ้านก็ยกไก่บ้านต้มมาให้ฉัน แบบนี้ฉันได้ เพราะไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่รู้ว่าเขาฆ่าเพื่อถวายให้ตน
นี่ขนาดเป็นพระซึ่งเป็นผู้ที่ปฏิบัติเพื่อให้บรรลุธรรม พระพุทธเจ้ายังไม่ห้ามกินเนื้อสัตว์เลยนะครับ

คำถามที่สำคัญก็คือ การงดเว้นการกินเนื้อสัตว์(เจหรือมังฯ) เป็นคำสอนในพุทธศาสนาหรือไม่ ?
คำตอบก็คือ "ไม่ใช่" พระพุทธเจ้าไม่ได้สนับสนุน ไม่ได้สรรเสริญ
เพราะการไม่ทานเนื้อสัตว์ไม่ได้ทำให้บรรลุธรรมหรือบารมีใดเป็นพิเศษเลย
และพระพุทธเจ้าก็ทรงฉันเนื้อสัตว์ตามปกติ ไม่ได้กินเจหรือมังฯ

ในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า การทานเนื้อสัตว์ไม่บาปข้อฆ่าสัตว์(ปานาติบาต)
เพราะเราจะบาปเมื่อเราฆ่า ส่งเสริมให้ฆ่า ยินดีที่เขาฆ่า ชื่นชมที่เขาฆ่า "สัตว์ที่มีชีวิต" เท่านั้น
การที่เรากินเนื้อสัตว์โดย ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่รู้ว่าเขาฆ่าเพื่อเรา "ไม่บาป" เพราะถือว่าเรากินเนื้อที่ตายแล้ว
ส่วนบาปจากการทำให้สัตว์นั้นตายจะตกอยู่กับคนฆ่าส่วนคนกินไม่บาป
เปรียบเทียบง่ายๆว่า สิงโตฆ่ากวาง แต่ไม่กิน แล้วแร้งมากิน
หากเราเป็นกวางที่ถูกฆ่า เราจะโกรธสิงโตหรือแร้ง คำตอบก็คือเราโกรธสิงโต(คุณมาทำร้ายฉันทำไม)
ฉันใดฉันนั้นเมื่อโกรธสิงโตที่เป็นผู้ฆ่า แปลว่าบาปจะตกอยู่กับผู้ฆ่า ผู้กินไม่บาป

ประเด็นที่คนมักจะเอามาอธิบายว่าการไม่ทานเนื้อสัตว์ คือการไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์
การกินเนื้อสัตว์เป็นการทำให้มีการฆ่าสัตว์มากขึ้น
หากกินเนื้อสัตว์น้อยลง ก็จะทำให้คนฆ่าสัตว์น้อยลง เราจึงได้บุญ
เราก็ต้องมองบนพื้นฐานของความเป็นจริงที่ว่า
พืชที่เรากินนั้น คนปลูกพืชก็ต้องฆ่าสัตว์จำนวนมากก่อนที่เราจะได้กิน
เช่น การปลูกข้าว ต้องฆ่าแมลงและสัตว์มากมายในตอนที่ปลูก
และแม้แต่ตอนขนส่งและเก็บรักษาก่อนจะมาถึงเราก็มีการฆ่าสัตว์มากมายเพื่อให้มาถึงเรา
การกินพืชก็ทำให้มีการฆ่าสัตว์มากขึ้นด้วยเช่นกัน
ถ้าการกินอาหารที่ส่งเสริมให้ฆ่าสัตว์เราจะบาป ก็น่าคิดว่า
เรากินสเต็ก 1 จาน กับกินผัก 1 จานอันไหนจะบาปมากกว่ากัน

ในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า การไม่ทานเนื้อสัตว์ไม่ได้บุญอะไรพิเศษ
เพราะในบุญกิริยา 10 ซึ่งเป็นเรื่องการทำบุญ
และการสร้างบารมี 10 ชาติสุดท้ายของพระพุทธเจ้า(ชาดก)
ก็ไม่มีเรื่องการไม่ทานเนื้อสัตว์เลยแม้แต่นิดเดียว !
หากการไม่ทานเนื้อสัตว์ได้บุญ วัว ควาย จะได้บุญมากมายมหาศาลเพราะไม่กินเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต
และแปลว่า วัว ควาย มีบุญกว่าเราเพราะได้เกิดมามีชีวิตที่ได้สร้างบุญมากมายขนาดนั้น
งั้นเรามาเกิดเป็นวัว ควาย จะดีกว่าเกิดเป็นคน เพราะสร้างบุญบารมีได้มาก(ล้อเล่นนะ)

สรุปว่า การไม่ทานเนื้อสัตว์แล้วได้บุญได้บารมี ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ไม่ใช่คำสั่งสอนในพุทธศาสนา และไม่ได้บุญไม่ได้บารมีใดไทั้งสิ้น
ใครที่นับถือศาสนาพุทธแล้วเชื่อว่า ไม่ทานเนื้อสัตว์แล้วได้บุญบารมี ถือว่ามีความเห็นผิด
ส่วนใครที่เชื่อว่าไม่กินเนื้อสัตว์แล้วได้บุญบารมี ก็ต้องถามตนเองก่อนว่า
ความเชื่อนี้เป็นของลัทธิใดหรือศาสนาใด หรือเป็นเพียงเรื่องที่เชื่อต่อๆกันมาเท่านั้น
วันนี้หากเรานับถือศาสนาพุทธ เราก็ควรจะเชื่อพระศาสดาของเราซึ่งก็คือพระพุทธเจ้า

เรื่องของบุญบาปนั้นเป็นเรื่องสากลเป็นกฎธรรมชาติ ที่แปลว่าไม่ว่าเราจะเชื่อแบบไหนนับถือแบบไหน
สิ่งที่บาปก็ยังบาปอยู่วันยังค่ำ สิ่งที่เป็นบุญก็ยังเป็นบุญอยู่วันยังค่ำ
การเปลี่ยนความเชื่อหรือศาสนาไม่ได้ทำให้เราได้บุญหรือบาปที่เปลี่ยนไปเลย
เหมือนนักกีฬาโอลิมปิกไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เดียวกัน
ในส่วนของข้อขัดแย้งในความเชื่อของแต่ละศาสนานั้น
ก็จะขึ้นอยู่กับว่าเราจะโชคดีที่ได้เชื่อในศาสนาที่เข้าใจกฎธรรมชาติได้ถูกต้องหรือไม่

หากเราอยากจะทานเจเพราะสบายใจ เพราะตามกระแส หรือเพื่อสุขภาพ ก็สามารถทานได้
แต่หากเราจะทานเพื่อให้ได้บุญ ได้บารมี ก็ต้องคิดทบทวนอีกครั้ง
เพราะอาหารเจนั้นส่วนใหญ่จะได้โปรตีนน้อยกว่าปกติจะทำให้เราขาดสารอาหารและหิวง่าย
ส่วนอาหารเจที่มีโปรตีนจากพืชผสมก็มักจะแพงกว่าอาหารปกติหลายเท่า
และในศาสนาพุทธ การไม่กินเนื้อสัตว์(เจหรือมังฯ) ไม่ได้บุญหรือบารมี

ขอบคุณ  http://www.liverpoolthailand.com/forum/index.php?showtopic=4771&mode=threaded

ปล.1 ขอถามความเห็นของพวกพี่ๆครับ
ปล.2 ผมไม่ได้เชียร์ลิเวอร์พูลครับ>>เชียร์บางกอก กลาส ครับ

3



He was born when Queen Victoria was on the British throne.
But whether Luang Phu Supha is really the world's oldest man remains open to debate.
The Buddhist monk claims to be celebrating his 115th birthday today at a temple in Phuket, Thailand.

He is certainly likely to provide some hot competition for American Walter Bruening, 113, who has also laid claim  to the coveted title

Luang Phu Supha's birth was only registered two years after he was born and the certificate reads 17 September 1896.
 No doubts: Henry Allingham was the world's oldest man when he died earlier this year at 113

This would also made him older than Bruening - but only by four days.
Luang Phu Supha lives at the temple on Phuket where he is abbot. The site is, appropriately enough, named after him.

The monks now intend to invite Guinness records representatives to verify their abbot's claim.

He puts his longevity down to eating less, speaking less and always speaking the truth.
Luang Phu Supha seems particularly serious about eating less and only consumes nine mouthfuls at each meal as well as avoiding spices and salts.
He is, however, partial to khao neaw kaew, a desert made of sticky rice with sugar.
Bruening, who celebrates his birthday on September 21, laid claim to the title after the death of  Briton Henry Allingham.
The World War One veteran died in July at the age of 113.

He had only held the title for a few weeks after the death of Tomoji Tanabe at 113 on June 19.
The world's oldest person - a woman - is Kama Chien, 114.

credit  http://www.dailymail.co.uk/news/worldnews/article-1214175/Is-115-year-old-Buddhist-monk-Luang-Phu-Supha-worlds-oldest-man.html

4



เมื่อเวลา 14.45 น. วันที่ 13 ส.ค. นายสมบูรณ์ โสตถิอนันต์ ลูกศิษย์ใกล้ชิดพระเทพวิทยาคม หรือหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ได้นำตัวหลวงพ่อคูณฯ ส่งโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาอย่างเร่งด่วน เนื่องจากมีอาการซึมเบลอหลงลืมไม่พูดจากับใคร โดยก่อนหน้านี้หลวงพ่อคูณฯ มีอาการนอนผวา สะดุ้งตกใจเป็นระยะๆ และมีอาการชักกระตุก โดยลูกศิษย์ที่ดูแลได้เชิญแพทย์จากโรงพยาบาลด่านขุนทดมาตรวจอาการอย่างเร่งด่วน พร้อมให้ฉันยาตามที่แพทย์สั่งเป็นประจำ แต่อาการไม่ดีขึ้น แพทย์โรงพยาบาลด่านขุนทดจึงรีบให้ลูกศิษย์นำร่างของหลวงพ่อคูณฯ ขึ้นรถโรงพยาบาลด่านขุนทดส่งต่อมารักษาที่โรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมาเป็นการด่วน

          เมื่อหลวงพ่อคูณฯ เดินทางมาถึงนายแพทย์กวี ไชยศิริ ผอ.โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ,นายแพทย์พินิศจัย นาคพันธุ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญหัวใจและหลอดเลือด และนายแพทย์สุรินทร์ แซ่ตั้ง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทได้นำหลวงพ่อคูณเข้าห้องตรวจเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง เอ็กซเรย์หน้าอก และตรวจคลื่นหัวใจ ซึ่งผลการตรวจพบว่า หลวงพ่อคูณมีอาการผิดปกติที่บริเวณสมองด้านขวามีรอยช้ำเล็กๆ 4-5 แห่ง เบื้องต้นแพทย์คาดเป็นอาการหลงลืมของผู้สูงอายุหรือเกิดจากการนอนผวาสะดุ้งตกใจและพักผ่อนไม่เพียงพอ พร้อมกับสั่งให้หลวงพ่อคูณนอนพักรักษาตัวที่อาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 8 ห้อง 9821 โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา อย่างไม่มีกำหนดและมีแพทย์และพยาบาลเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด

          นายแพทย์พินิศจัย นาคพันธุ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา และเป็นแพทย์ประจำตัวของหลวงพ่อคูณ กล่าวภายหลังจากตรวจอาการของหลวงพ่อคูณว่า ผลการตรวจระบบสมองของหลวงพ่อคูณไม่พบรอยเส้นเลือดในสมองแตก ส่วนรอยจุดช้ำ 4-5 แห่งที่สมองด้านขวานั้นเกิดจากรอยแผลเป็นที่หลวงพ่อเคยเข้ารับการผ่าตัดเมื่อปี 2546  ผลการเจาะเลือด การตรวจคลื่นหัวใจ คลื่นสมอง และการเอ็กซเรย์ช่วงอกก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ

          ทั้งนี้อาการหลงๆลืมๆจำใครไม่ได้ของหลวงพ่อคูณนั้น แพทย์คาดว่าน่าเกิดจากภาวะสับสนแบบเฉียบพลันในคนสูงอายุซึ่งอาจจะเกิดจากอาการเครียด อดนอน หรือมีอาการเหนื่อยผิดปกติรวมถึงผวาตกใจ รวมทั้งเกิดจากอาการชัก เพราะหลวงพ่อมีแผลเป็นในสมองที่เกิดจากการผ่าตัดครั้งใหม่เมื่อปี 2546 ซึ่งอาการดังกล่าวนี้จะพบได้ในผู้สูงอายุที่มีประวัติความผิดปกติทางสมองมาก่อนและหลวงพ่อคูณจะมีอายุถึง 86 ปีในวันที่ 4 ต.ค. 52 นี้  ซึ่งโดยสรุปแพทย์จะต้องดูอาการหลวงพ่อแบบใกล้ชิดวันต่อวันและยังไม่มีกำหนดออกจากโรงพยาบาลและแพทย์ได้ให้หลวงพ่อฉันยาบำรุงสมองเพื่อให้ได้พักผ่อนมากๆ และกำชับให้งดเยี่ยมอย่างเด็ดขาด


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก ข่าวสด


5

โลกกลมๆ ใบนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรี ๆ
ของฟรีไม่เคยมี  ของดีไม่เคยถูก
อยู่ให้ไว้ใจ  ไปให้คิดถึง
คนเราต้องเดินหน้า  เวลายังเดินหน้าเลย
ไม่ต้องสนใจว่าแมวจะสีขาวหรือดำ  ขอให้จับหนูได้ก็พอ
ยิ่งมีใจศรัทธา  ยิ่งต้องมีสายตาที่เยือกเย็น
ในโลกกลม ๆ ใบนี้ ไม่มีคำว่า }แน่นอน~
คนเราเมื่อ ตัวตายก็ต้องลงดิน
ท้อแท้ได้ แต่อย่าท้อถอย  อิจฉาได้ แต่อย่าริษยา  พักได้ แต่อย่าหยุด
เหตุผลของคน ๆ หนึ่ง อาจไม่ใช่ของคน อีกคนหนึ่ง
ถ้าไม่ลองก้าว  จะไม่มีวันรู้ได้เลยว่า  ข้างหน้าเป็นอย่างไร
หนทางอันยาวไกลนับหมื่นลี้  ต้องเริ่มต้นด้วยก้าวแรกก่อนเสมอ
ปัญหาทุกอย่าง  อยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น
จะเห็นค่าของความอบอุ่น  เมื่อผ่านความเหน็บหนาวมาแล้ว
อันตรายที่สุดคือ การคาดหวัง
เริ่มต้นดีแล้ว  ลงท้ายก็ต้องดีด้วย
อย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่
จงใช้สติ  อย่าใช้อารมณ์
เบื้องหลังความเข้มแข็ง  สมควรมีความอ่อนโยน
ไม่มีคำว่า บังเอิญ ในเรื่องของความรัก  มีแต่คำว่า ตั้งใจ
ยินดีกับสิ่งที่ได้มา  และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป 

หลังพายุผ่านไป  ฟ้าย่อมสดใสเสมอ
หลังผ่านปัญหา  จะรู้ว่าปัญหานั้นเล็กนิดเดียว
ไม่เป็นขุนนางนะ ได้  แต่ไม่เป็นคนไม่ได้
มีแต่วันนี้ที่มีค่า  ไม่มีวันหน้า  วันหลัง 
เมื่อวานก็สายเกินแล้วพรุ่งนี้ ก็สายเกินไป
อย่าหวังว่าจะได้รับความรัก จากคนที่คุณรัก
เพราะคนที่คุณรัก ไม่ได้รักคุณ หมดทุกคน

เพื่อนทั่วไป ไม่เห็นคุณร้องไห้ 
เพื่อนแท้ มีหัวไหล่ไว้คอยซับน้ำตาให้
เพื่อนทั่วไป ถือขวดไวน์ติดมือมางานปาร์ตี้ของคุณ
เพื่อนแท้ จะมาแต่หัววันเพื่อช่วยเตรียมงาน
เพื่อนทั่วไป คาดหวังให้คุณเคียงข้างเขาเสมอ
เพื่อนแท้ คาดหวังที่จะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป
เพื่อนทั่วไป เข้าหาผลประโยชน์ ที่ได้รับจากเรา

ที่มา fw mail ครับ

6
หลวงพ่อปาน ท่านเป็นผู้มีความเมตตา ปรานี และมีวาจาสิทธิ์ จนเป็นที่ยำเกรงแก่ประชาชนทั่วไป บรรดาลูกศิษย์ของท่านจะพยายามปฏิบัติตนอยู่ในคุณงามความดี เพราะกลัวหลวงพ่อว่าตนไม่ดี แล้วจะไม่ดีตามวาจาสิทธิ์ของท่าน กอปรกับท่านมีเจโตปริยญาณ และอนาคตังสญาณ

อาทิเช่นครั้งหนึ่งท่าน เตรียมจะออกเดินธุดงค์ พร้อมกับพระภิกษุสามเณรจำนวนมากจากวัดต่างๆ พระทั้งหลายจะต้องเข้ามาหาหลวงพ่อ เพื่อรายงานตัวก่อน ถ้าท่านไม่ให้ไปก็ไปไม่ได้ ในครั้งนั้นมีพระอยู่องค์หนึ่ง ชื่อพระผิว หลวงพ่อได้เรียกเข้ามาหา และบอกว่า

“คุณเก็บบาตร เก็บกลด กลับวัดไปเถอะ”

พระผิวเสียใจเป็นอย่างยิ่งถึงกับร้องไห้ หลวงพ่อปานจึงกล่าวกับพระผิวว่า

“อย่าเสียใจไปเลยคุณ กลับไปวัดเถอะ เดินทางไปกับหลวงพ่อมันลำบากมาก องค์อื่นท่านแข็งแรง หลวงพ่อกลัวคุณจะลำบากจึงให้กลับไปก่อน”

พระ ผิวจึงจำใจกลับ หลังจากพระผิวกลับมาถึงวัดได้ ๒ วันเท่านั้นท่านก็เป็นไข้ทรพิษ และมรณภาพลงในที่สุด การเดินธุดงค์นั้น ท่านมักจะให้ศิษย์ออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อนทุกคราว แต่พอถึงจุดนัดหมาย หลวงพ่อจะไปคอยอยู่ข้างหน้าก่อนเสมอ

หลวงพ่อปานท่านเป็นพระที่ เคร่งครัดเอาจริงเอาจัง มีจิตใจกล้าหาญ ผิดว่าผิด ถูกว่าถูก ไม่มีการเอนเอียงไปทางใดเลย การทำกรรมฐาน ท่านให้นั่งพิจารณาธาตุ เพ่งสิ่งต่างๆ เช่น ไฟเทียน น้ำในบาตร ปฐวีธาตุ จนพลังใจแก่กล้ามั่นคง และฝึกสติโดยการให้เดินจงกรม เมื่อฝึกจิตจนได้ที่แล้วท่านจึงจะสอนวิชาเคล็ดลับต่างๆ ให้ มีทั้งอยู่ยงคงกระพัน เมตตามหานิยม และวิชาไสยศาสตร์ต่างๆ ที่เรียนนี้ก็เพื่อรู้ เรียนไว้เพื่อแก้ และเพื่อป้องกันตัว (เวลาออกธุดงค์) ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากในสมัยนั้น ในการไปเดินธุดงค์คราวหนึ่ง ท่านไปได้หินเขียววิเศษ เป็นวัตถุสีเขียว แวววาวมาก โตขนาดเมล็ดถั่วดำ และข้างๆ หินนี้ มีเต่าหินที่สลักด้วยหินทรายสีออกน้ำตาลแดงเล็กน้อย หลวงพ่อปานท่านนิมิตเห็นสิ่งนี้ก่อนท่านจะออกธุดงค์

ของวิเศษนั้น หลวงพ่อปานไม่เคยเปิดเผยกับใคร ท่านนำไปไว้ยังศาลที่ปลูกไว้ภายในบริเวณวัด ที่ศาลนี้มีพระพุทธรูปศิลาศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้วย ใครไปมาผ่านศาลก็จะกราบไหว้พระพุทธรูป และจะเห็นเต่าศิลาตัวนั้น แต่บางคราวเต่านั้นก็หายไป และก็น่าแปลกที่หลวงพ่อปานก็จะไม่อยู่ด้วยทุกครั้ง ทุกคนเข้าใจว่าท่านไปธุดงค์ในป่า แต่ทำไมจะต้องนำเต่าหินนั้นไปด้วยเพราะทั้งหนัก และต้องลำบากดูแลรักษา

เรื่อง นี้ใครๆ ไม่สนใจ แต่สามเณรน้อยองค์หนึ่งสนใจ และคอยแอบดูอยู่ ว่าเต่าหายไปไหนใครพามันไป ทั้งๆ ที่หนักมาก สามเณรน้อยนี้มีความพยายามมาก ท่านคอยซ่อนตัวแอบดูเต่าหินนั้น ซึ่งบัดนี้มีดวงตาเป็นหินสีเขียว โดยหลวงพ่อปานท่านลองใส่เข้าไปตรงดวงตาเต่าก็เข้ากันได้พอดี อย่างไรก็ตามความพยายามของสามเณร หลวงพ่อท่านก็ทราบโดยตลอด

ต่อมา เป็นวันข้างแรมเดือนดับ สามเณรก็ยังมาคอยดูอยู่เช่นเคย ทันใดนั้น! เณรน้อยก็ตกตะลึงตัวชาอยู่กับที่ เพราะเต่าหินกำลังเคลื่อนไหวคลานออกจากศาล และลอยไปในอากาศ เรียกว่าเต่าหินเหาะก็ไม่ผิด สามเณรพยายามข่มตาไม่ยอมหลับนอน ทนไว้เพื่อจะได้ดู ตอนเต่าหินกลับมา เวลาล่วงเลยไปจนถึงประมาณตี ๔ เณรน้อยก็ต้องอัศจรรย์ใจอีกครั้ง เพราะเต่าหินนั้นได้เหาะกลับมา และคลานกลับไปอยู่ที่เดิม สามเณรนั้นเดินไปสำรวจเต่าหินดู ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ เป็นหินที่เขาสลักมาจากหินทราย ถ้าไม่ใช่ของกายสิทธิ์จะคลานแล้วลอยไปในอากาศได้อย่างไร หลวงพ่อปานท่านคอยดูความมานะ อดทนตลอดจนปัญญาไหวพริบของสามเณรน้อยลูกศิษย์ท่านอยู่เงียบๆ จากการสังเกตเฝ้าดู เณรน้อยพบว่าเต่าหินนี้จะเหาะไป และกลับตอนตี ๔ ทุกๆ วันแรม ๑๕ ค่ำ
โดย: โจรสลัด (เจ้าบ้าน ) [28 พ.ย. 50 23:50] ( IP A:124.121.161.81 X: )   
ความคิดเห็นที่ 1
   ใน ที่สุดเณรน้อยก็ตัดสินใจ ท่านครองผ้าอย่างทะมัดทะแมง เตรียมตัวจะไปผจญภัยกับเต่าหิน เมื่อถึงเวลา เต่าหินก็ค่อยๆ คลานลงมาจากศาล สามเณรก็ปราดออกจากที่ซ่อน กระโดดเกาะเต่าหินนั้นไว้ เมื่อเต่าหินค่อยๆ ลอยขึ้นสามเณรก็กอดไว้แน่นด้วยใจระทึกเพราะเกรงจะตกลงไป ในที่สุดก็มาถึงเกาะแห่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นสถานที่แห่งใด มองไปรอบๆ ตัวพบกับแสงสว่างเย็นตาน่ารื่นรมย์ เต่าหินค่อยๆ ลอยต่ำลง เมื่อถึงพื้นดินก็ตรงไปยังป่าไผ่ กินหน่อไผ่อย่างไม่รู้จักอิ่ม สามเณรก็ไม่กล้าลงจากหลังเต่า เพราะเกรงถูกทิ้งไว้ ได้แต่รั้งหักหน่อไม้มาได้หน่อหนึ่ง เพื่อเป็นสักขีพยานว่า ไม่ได้ฝันไป ได้มาอยู่บนเกาะนี้จริงๆ

เต่าหินนั้นกินอยู่พักหนึ่ง ก็เหาะกลับแต่ขณะที่เดินทางนั้น สามเณรไม่สามารถกำหนดจดจำทิศทางได้เลย เมื่อกลับมาที่วัด เต่าหินก็กลับไปประจำที่ ส่วนเณรน้อยก็ถือหน่อไม้เข้ากุฏิไป หลวงพ่อปานท่านพิจารณาแล้ว เห็นว่าเรื่องเต่าหินวิเศษนี้จะไม่เป็นความลับอีกต่อไป ท่านจึงได้นำดวงตาอันเป็นหินสีเขียวสดใสนั้นออกเสีย เพื่อเต่าศิลาจะได้ไม่สามารถเหาะไปเที่ยวได้อีก (ท่านคงพิจารณาแล้วว่า ถ้าเรื่องถูกแพร่งพรายออกไปคงจะเกิดความวุ่นวาย และสามเณรนั้นคงจะทดลองเกาะเต่าไปเที่ยวอีก และอาจเกิดอันตราย กระผมเข้าใจว่า หลวงพ่อท่านสามารถควบคุมเต่าได้ และสามารถเกาะหลังเต่าไปในที่ต่างๆ ได้ ตามที่ท่านปรารถนา) ปัจจุบันเต่าหินตัวนี้ ยังปรากฏอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดใกล้เคียง (เรื่องเต่าหินเหาะได้นี้ ท่านพระครูโกศล ปาสาธิโก ศิษย์ของหลวงพ่อปาน ซึ่งเป็นผู้ทรงอภิญญาเช่นเดียวกัน เป็นผู้เล่าให้ฟัง)

เนื่องจาก หลวงพ่อปานฯ เป็นผู้ที่ชอบเรียนรู้อยู่เสมอ ท่านจึงชอบธุดงค์ไปในที่ต่างๆ บางครั้งท่านก็ไปองค์เดียว คราวหนึ่งท่านเดินธุดงค์ไปทางจังหวัดปราจีนบุรี ไปถึงวัดโพธิ์ศรี เมื่อไปถึงวัด ท่านเจ้าอาวาสกำลังขึงกลองเพลอยู่ ท่านเห็นดังนั้นก็ลงมือช่วยเหลือทันที พอเสร็จเรียบร้อย สมภารท่านก็นิมนต์หลวงพ่อปานขึ้นไปคุยกันบนกุฏิ ขณะที่คุยกันอยู่มือของท่านสมภารก็ปั้นลูกดินกลมๆ อยู่ในมือ สักครู่หนึ่งท่านสมภารก็โยนลูกดินนั้นขึ้นไปบนอากาศ กลายเป็นม้าตัวหนึ่ง กับตุ๊กตาอีกตัวหนึ่งไล่จับเหยี่ยวอยู่บนท้องฟ้า

หลวงพ่อปานเห็น ดังนั้นท่านก็หัวเราะชอบใจ แต่ไม่ได้พูดอะไร เมื่อท่านลงจากกุฏิของท่านสมภารแล้ว ท่านได้พูดกับพระในวัดนั้นว่า “โดนลองดีเข้าให้แล้ว” พอพูดจบท่านก็หยิบผ้าสังฆาฏิที่พาดบ่าท่านอยู่ นำมาม้วนแล้วโยนขึ้นไปในอากาศ ปรากฏว่าผ้านั้นได้กลับกลายเป็นกระต่ายหลายตัว วิ่งอยู่ในลานวัด ใครจะจับก็จับไม่ได้ เป็นที่อัศจรรย์แก่ผู้พบเห็น หลังจากนั้นหลวงพ่อปานท่านจะออกเดินธุดงค์ ท่านมักจะมุ่งหน้าไปทาง อำเภอศรีมหาโพธิ์ จังหวัดปราจีนบุรีเสมอ เพราะในย่านนั้นเต็มไปด้วยพระอาจารย์ผู้มีวิชาอาคม ท่านปรารถนาจะเรียนในสิ่งที่ท่านยังไม่รู้ให้เพิ่มพูนยิ่งขึ้น

ท่านพระ ครูโกศล ปาสาธิโก ท่านเล่าให้ฟังว่า “หลวงพ่อปาน วัดคลองด่าน ท่านเก่งเรื่องจิต ท่านแสดงฤทธิ์ได้มากมาย ท่านได้เคยเล่าถึงสรรพคุณของเต่าวิเศษที่พาท่านไปในเมืองลับแล ซึ่งเป็นภพซ้อนภพกันอยู่นี่ ได้ไปพบกับสิ่งอัศจรรย์หลายอย่าง พอเป็นคติเตือนใจ ครั้นเมื่อกลับมาจากการท่องเที่ยวครั้งนั้น หลวงพ่อปานได้เคร่งครัดการปฏิบัติกรรมฐานของท่านอย่างหนัก โดยไม่ปล่อยกาลเวลาให้ผ่านพ้นไป ท่านตระหนักดีว่า ชีวิตของท่านนั้นสั้นนัก ควรจะเร่งรีบภาวนา ทำจิตให้มีกำลัง มีสมาธิ และมีปัญญาติดตัวไว้ อุบายธรรมของท่าน ก็คือการพิจารณา สภาวธรรมความจริงแห่งวัฏฏะ เพราะสรรพสิ่งในโลกนี้มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ความทุกข์ความวุ่นวาย เกิดเพราะจิตเข้าไปยึดมั่น จิตปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา การระงับดับเหตุทั้งปวง ย่อมต้องระงับดับที่ใจ เพราะใจเป็นใหญ่ใจเป็นประธาน ท่านมีความมุ่งมั่นในการปฏิบัติ เพื่อพระนิพพานเป็นที่หมาย เพื่อให้พ้นจากวัฏฏะอันหมุนวนไม่รู้จักจบ”

ก่อน ที่หลวงพ่อปานจะมรณภาพนั้น ประชาชนที่มีความเคารพบูชาหลวงพ่อ ได้พร้อมใจกันหล่อรูปท่านขึ้นมาองค์หนึ่ง ขนาดเท่าองค์จริง เพื่อไว้เป็นที่เคารพบูชา เพราะหลวงพ่อไม่ค่อยได้อยู่วัด ท่านมักจะเดินธุดงค์ไปในที่ต่างๆ เป็นประจำ จะได้กราบรูปหล่อแทนตัวท่าน แต่เมื่อหล่อรูปแล้วท่านก็ไม่ค่อยจะเข้าวัด ท่านมักจะปลีกตัวไปจำวัดที่พระปฐมเป็นประจำ การที่ท่านไม่อยากเข้าวัดของท่านนั้น อาจเป็นเพราะท่านรู้ล่วงหน้าว่าถึงคราวจะหมดอายุขัยแล้ว ท่านจึงต้องการความสงบในการพิจารณาธรรม แต่ท่านก็ไม่กล้าพูดกับใครๆ เมื่อญาติโยมอ้อนวอนมากๆ เข้า ท่านก็บ่ายเบี่ยงไปว่า “เข้าไปไม่ได้ อ้ายดำมันอยู่ ขืนเข้าไปอ้ายดำมันจะเอาตาย” คำว่า “อ้ายดำ” หมายถึงรูปหล่อของท่านนั่นเอง ปัจจุบันนี้รูปหล่อของท่านก็ยังประดิษฐานอยู่ที่วัดมงคลโคธาวาส (วัดคลองด่าน หรือวัดบางเหี้ย) คืออยู่ที่กุฏิของหลวงพ่อซึ่งได้จัดสร้างขึ้นใหม่ และปรากฏความศักดิ์สิทธิ์มากมาย น้ำมนต์ที่หน้ารูปหล่อของท่านก็มีคนนำไปดื่ม

ขอขอบคุณ http://www.pantown.com/board.php?id=30817&area=3&name=board6&topic=10&action=view

7
ปลัดขิก เป็นเครื่องรางของขลัง ที่นับถือกันมาช้านาน ตั้งแต่โบราณเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยเรามีเกจิคณาจารย์ทั้งเก่าใหม่ ไม่ว่าพระสงฆ์ หรือฆราวาส ได้สร้าง ปลัดขิก เอาไว้จำนวนมากมาย ความนิยมมากน้อยต่างกันไป ส่วนที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน ก็มีอยู่ด้วยกันหลายคณาจารย์ เช่น ปลัดขิกของหลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ จ.ชลบุรี ปลัดขิกของหลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก จ.ฉะเชิงเทรา ปลัดขิกของหลวงพ่อกลั่น วัดอินทราวาส จ.อ่างทอง ปลัดขิกของหลวงพ่อฟัก วัดนิคมประชาสรรค์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ หรือ ปลัดขิกของอาจารย์เฮง ไพรวัลย์ จ.พระนครศรีอยุธยา อาจารย์ฆราวาส เป็นต้น

 การสร้างปลัดขิก ตั้งแต่โบราณ ทำจากวัสดุด้วยกันหลายชนิด เท่าที่พบเห็นก็มีทำจากหินศักดิ์สิทธิ์ ไม้มงคล ทองเหลือง ทองแดง เงิน ทองคำ เขี้ยวสัตว์ เขาสัตว์ งาช้าง และกัลปังหาจากท้องทะเล เป็นต้น

 วันนี้ขอพูดถึง ปลัดขิก ของ หลวงพ่ออี๋ พุทฺธสโร วัดสัตหีบ จ.ชลบุรี ก่อน เพราะถือว่าท่านเป็นพระอาจารย์ท่านหนึ่งที่ทำปลัดขิกขึ้นมาแล้วได้รับความนิยมสูงสุด ในอันดับต้นๆ ซึ่งเชื่อกันว่า ท่านเป็นผู้ทรงเวท ด้านวิทยาคม ในการปลุกเสกปลัดขิกเป็นอันมาก มีความศักดิ์สิทธิ์ อิทธิฤทธิ์ เห็นผลทันตา ลงวิชาพุทธคุณ บารมี นะเมตตา โภคทรัพย์ ไว้รอบด้าน

 หลวงพ่ออี๋ ในท้องถิ่น อ.สัตหีบ ท่านดังเรื่อง ปลัดขิก ลูกศิษย์ของท่านที่เป็นทหารเรือ และชาวประมงมีมากมาย เขาพากันเรียกปลัดขิกของท่านว่า ปลัดฉลามเมิน

 ท่านเกิดเมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีฉลู ตรงกับวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๔๐๘ ณ ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี โยมบิดาชื่อ ขำ ทองขำ โยมมารดาชื่อ เอียง ทองขำ หลวงพ่ออี๋เป็นบุตรชายคนโต ได้รับการศึกษา และอบรมสั่งสอนให้เป็นกุลบุตรที่ดี เป็นที่รักใคร่ของญาติพี่น้อง

 บิดาของท่านรับราชการ ตำแหน่งที่ชาวบ้านในสมัยนั้นเรียกว่า นายกอง

 ในปี ๒๔๓๓ ท่านมีอายุ ๒๕ ปี ได้บรรพชาอุปสมบท ณ วัดอ่างศิลานอก โดยมี พระอาจารย์จั่น จันทสโร วัดเสม็ด เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ทิม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์แดง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาทางพระพุทธศาสนาว่า “พุทธสโร ภิกขุ” แปลว่า “ผู้ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า”

 หลังจากบวชเป็นพระภิกษุแล้ว หลวงพ่ออี๋ได้อยู่เรียนวิชาการและศึกษาพระธรรมกับพระอาจารย์แดง วัดอ่างศิลานอก ซึ่งเป็นพระเถระที่มีภูมิธรรมสูง ทั้งยังมีวิชาอาคม แก้อาถรรพณ์คุณไสย ตลอดถึงการสักยันต์

 พระอาจารย์จั่น พระอาจารย์แดง และพระอาจารย์เหมือน ได้สอนศาสตร์วิชาต่างๆ ให้แก่หลวงพ่ออี๋ ลูกศิษย์ของท่าน จนหมดสิ้น เป็นเวลา ๖ พรรษาเต็มๆ

 การที่หลวงพ่ออี๋ท่านมุมานะศึกษาเล่าเรียน จุดประสงค์ก็เพื่อจะนำมาสงเคราะห์ญาติโยม ชาวบ้านผู้เดือดร้อนโดยทั่วไป

 ช่วง พ.ศ.๒๔๕๐-๒๔๕๑ หลวงพ่ออี๋ โยมบิดา ตลอดถึงชาวบ้าน ได้ร่วมกันสร้างวัด โดยไปหาไม้สวยๆ ในบริเวณใกล้เคียงมาทำเสา ทำฝา และหาดินเหนียวที่บางปะกง เอาไปเผาทำกระเบื้องมุงหลังคา

 การสร้างวัดของท่าน ไม่ถึง ๕ ปีก็แล้วเสร็จ เว้นอุโบสถ วิหาร และศาลาการเปรียญ ซึ่งได้มีการสร้างในเวลาต่อมา วัดที่สร้างขึ้นนี้ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ใน พ.ศ.๒๔๖๓   

 ปีที่หลวงพ่ออี๋ท่านสร้างวัดนั้น กิตติศัพท์ของท่านได้ขจรขจายอย่างกว้างไกล ในด้านความศักดิ์สิทธิ์ และอภินิหาร ผู้คนพากันหลั่งไหลไปกราบท่านมากมาย มีทั้งที่ต้องการฟังธรรมะ และการปฏิบัติสมาธิกับท่าน บางคนต้องการวัตถุมงคล ก็ได้สมความปรารถนาทุกประการ

 ต่อมาท่านได้ออกรุกขมูลอยู่เป็นประจำ เหมือนครูบาอาจารย์ของท่าน และนี่เองเป็นมูลเหตุในการสร้าง ปลัดขิก ของท่าน

 เท่าที่ทราบ ปลัดขิก ของ หลวงพ่ออี๋ สร้างจากวัสดุมงคลหลายชนิด อาทิ ไม้กัลปังหา ที่ขึ้นอยู่ใต้ท้องทะเล มีทั้งสีดำ สีแดง สีขาว ซึ่งปัจจุบันปลัดขิกกัลปังหาสีขาว ของท่านเป็นของหาชมได้ยากมาก สันนิษฐานว่า น่าจะสร้างจำนวนน้อย เพราะว่าวัสดุคงหายาก

 ส่วนประเภทที่สร้างจากไม้ ท่านได้ใช้ต้นไม้ หรือชื่อต้นไม้ที่เป็นมงคลในตัว เช่น แก่นจากไม้ต้นคูณ แก่นจากไม้ต้นมะขาม แก่นจากไม้ต้นขนุน และไม้อื่นๆ อีกหลายชนิด ซึ่งลูกศิษย์ลูกหา รวมทั้งชาวบ้าน แกะมาให้ท่านลงอักขระ ปลุกเสกให้ก็มีจำนวนมาก

 ปลัดขิก ของ หลวงพ่ออี๋ มีหลายขนาด ทั้งขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ และตัวปลัดขิกมีลักษณะเดียวกัน คือ เรียวยาว ได้สัดส่วน ปลายหัวปลัดขิกมี ๒ แบบ คือ

 แบบแรก ปลายหัวปลัดขิกจะเรียว ออกแหลม เรียกว่า หัวปลาหลด

 แบบที่สอง ปลายหัวปลัดขิกจะมีลักษณะมน ออกบาน เรียกว่า หัวหมวกเยอรมัน

 โดยเรียกกันตามลักษณะที่เห็น แล้วแต่ใครจะชอบเรียกกันแบบไหน

 แต่ที่สำคัญที่สุดของปลัดขิกหลวงพ่ออี๋ ต้องมีสัญลักษณ์เดียวกันทุกชิ้น คือ อักขระยันต์ที่ลงในตัวปลัดขิกด้านข้าง จะต้องเป็นตัวอักขระขอมอ่านได้ว่า กันหะ เนหะ

 ส่วนหัวด้านข้างทั้งสองด้าน จะลงอักขระยันต์ขอมตัว มิ ไว้ทั้งสองข้าง

 ตรงกลางหัวปลัดขิก จะลงอักขระยันต์ขอมตัว อุณาโลม

 ด้านในด้านบน ติดกับขอบหัวปลัดขิก จะลง พินทุ ซึ่งมีลักษณะเป็นวงกลมเล็กๆ เอาไว้

 ทั้ง ๔ จุดนี้ ถือเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญที่สุดของปลัดขิกหลวงพ่ออี๋

 ปัจจุบันนี้ ปลัดขิกของหลวงพ่ออี๋ ได้รับความนิยมสูงสุด คู่มากับปลัดขิกของหลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก

 ด้านพุทธคุณ นอกจากเชื่อว่า ปลัดขิกของหลวงพ่ออี๋ มีพุทธคุณด้านเมตตา มหานิยม ให้โชค ให้ลาภ มีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตครอบครัวแล้ว ปลัดขิกของท่านยังช่วย ป้องกันภูตผีปีศาจ และ ปัดป้องสิ่งที่เป็นเสนียดจัญไร ได้อีกด้วย

ขอขอบคุณ http://www.komchadluek.net/detail/20090420/9667/%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%82%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B9%8B%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%AB%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%AD.%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%AB%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%88.%E0%B8%8A%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B5.html

8
วิ่งแข่งกับเรือ

   ครั้งหนึ่งมีงานฉลองกุฏิที่วัด บรรดาสาวแก่แม่ค้าชาวสัตหีบที่มีศรัทธาปสาทะ ก็มาช่วยงานโรงครัวหรือไม่ก็งานเบ็ดเตล็ด ครั้นเสร็จงานหลวงพ่อก็หาของที่ระลึกมาแจก โดยท่านห่อกระดาษไว้ บอกให้ไปแกะดูที่บ้าน ปรากฏว่าแม่ครัวเหล่านั้นมาถึงกลางทาง อยากรู้จนอดใจไม่ได้ ก็แกะห่อออกดู เห็นเป็นปลัดขิกแกะจากแก่นกัลปังหาตัวเล็กๆ น่ารัก น่าเอ็นดู แจกให้เพียงคนละตัว ทำให้บรรดาสาวแก่แม่นางเหล่านั้น หัวเราะกันคิกคักด้วยความเหนียมอาย ก็พากันโยนลงทะเลหมด แต่ปลัด ของวิเศษ คิดว่าเขาท้าแข่ง ก็เลยว่ายแข่งไปกับเรือไม่ยอมแพ้ จนเป็นเหตุให้สาวแก่แม่นางเกิดความเสียดาย ต้องหยุดเรือเก็บไว้อย่างเดิม ทั้งเกิดการตื่นเต้นในอภินิหาร ซึ่งไม่เคยประสบพบเห็นมาก่อน

ควายขวิดไม่เข้า

   ครูบุญช่วย รร.วัดสัตหีบ ได้ปลัดหลวงพ่อมา มักไม่ชอบนำติดตัว ได้เก็บไว้ที่บ้าน พอตกกลางคืนเวลาดึกสงัดจะมีเสียงเหมือนคนเดินอยู่เสมอก็นึกว่าขโมยขึ้นบ้าน จึงได้ลุกขึ้นคอยนั่งจับขโมย แต่ก็มองไม่เห็นมีขโมยสักคน นอกจากเสียงฝีเท้าคนเดิน ใจหนึ่งก็กลัวนึกว่าผีหลอก จึงตัดสินใจฉายไฟดู ก็ไม่พบเห็นอะไร นอกจากปลัดวางอยู่ข้างหน้า ห่างประมาณ ๑ ศอก จึงหยิบขึ้นมาแล้วนำไปไว้ใต้หมอนหนุนศีรษะ รุ่งเช้าครูบุญช่วยจึงได้นำปลัดติดตัวไปโรงเรียนด้วย ในระหว่างเดินมาตามทาง เห็นควายสองตัวกำลังขวิดกันอยู่ในทุ่งนา ที่จะต้องเดินผ่าน พอดีควายตัวหนึ่งวิ่งหนี อีกตัวก็ไล่ขวิด ตัวที่ไล่แลเห็นครูบุญช่วยมายืนขวางหน้า ก็ตรงรี่เข้าขวิดครูบุญช่วยจนกระทั่งล้มลง แล้วก็เข้ามาขวิดอีกจนครูบุญช่วยกลิ้งไปกลิ้งมา ตามแรงเขาควายที่ขวิด จนเสื้อกางเกงขาดหมด เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นและดิน ครูบุญช่วยจึงร้องขอความช่วยเหลือ จากชาวบ้านแถวนั้น มาช่วยไล่ควายให้หนีไป แต่น่าอัศจรรย์ที่ตัวครูบุญช่วย ไม่ได้มีบาดแผลจากเขาควายตัวนั้นเลย

ถูกปืนยิงไม่เป็นไร

   คุณสำราญ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่ง ได้ปลัดมาจากหลวงพ่อ ไว้ใช้ติดตัวเพื่อป้องกันอันตราย วันหนึ่งได้ชวนพวกเพื่อนๆ มานั่งคุยที่หน้าบ้าน เพื่อนคนหนึ่งก็ชักปืนขึ้นมาล้อเล่น เผอิญปากกระบอกปืนหันมาตรงหน้าคุณสำราญพอดี เพื่อนอีกคนหนึ่งก็ปัดปืนไป เพื่อไม่ให้เอามาล้อเล่นกัน ในขณะที่ปัดปืนนั้นเสียงปืนก็ดังปังขึ้น กระสุนถูกหน้าอกคุณสำราญอย่างจังถึงกับตัวงอ คุณสำราญเอามือกุมหน้าอกด้วยความเจ็บ เมื่อเพื่อนๆ เข้ามาช่วยเหลือไม่เห็นมีเลือดออกมาเลย นอกจากรอยถูกปืนที่หน้าอกเสื้อเท่านั้น เมื่อถูกสอบถามจากบรรดาเพื่อนๆ ว่ามีของดีอะไร คุณสำราญไม่บอก แต่ควักปลัดของหลวงพ่ออี๋ให้ดู

แคล้วคลาด

   นายทหารเรือชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ได้เล่าว่าเมื่อครั้งยังประจำการอยู่ที่สัตหีบ ได้ขับรถมาบ้านในกทม. ในระหว่างขับรถมาตามทาง ได้ถูกรถบรรทุกพุ่งชนท้ายรถอย่างแรง รถเลยเสียหลักการทรงตัว ได้พลิกคว่ำลงข้างทางหลายตลบ รถพังยับเยินใช้การไม่ได้ ตัวเองหน้าอกได้กระแทกกับพวงมาลัย สลบไป คนขับรถบรรทุก ไม่ได้ช่วยเหลือ กลับขับหนีไป ชาวบ้านต้องพากันมาช่วย นำตัวออกมาทางกระจกหน้ารถ เพราะประตูรถใช้การไม่ได้ เมื่อฟื้นจากสลบก็คลำหน้าอก เนื้อตัวไม่ได้รับอันตรายใดๆ เลย ท่านกล่าวว่า “ทั้งเนื้อ ทั้งตัว ผมมีปลัดขิกของหลวงพ่ออี๋ ห้อยคออยู่เพียงอันเดียว

ขอขอบคุณ http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-ee-hist-01.htm

9
เห็นว่ามีกระทู้แนวนี้เยอะๆ ผมขอแจมด้วยครับ...เผื่อท่านใดที่กำลังเป็นอย่างบทกลอนนี้ ผมขอให้กำลังใจทุกท่านครับ    
         
          ถ้าใครคนหนึ่งผ่านเข้ามาในชีวิต
          และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต
          แต่ด้วยเหตุผลใดก็ตาม
          ที่ทำให้เขาไม่สามารถอยู่กับคุณได้ อย่าได้เสียน้ำตา
          แต่จงดีใจที่เราได้พบกัน
          และเขาทำให้เรามีความสุข
          แม้ว่ามันจะเป็นช่วงเวลาอันสั้นมากก็ตาม

     เพราะเวลาจะเป็นเครื่องชี้บ่ง
          ถ้าเขาเป็นของคุณจริงๆ เขาจะต้องกลับมา
          คุณจะรู้ตัวว่าคิดถึงใครคนหนึ่งมากๆ
          ก็ตอนที่คุณคิดถึงเขาแล้วหัวใจคุณเต้นรัวถี่ขึ้น

          เพียงแค่เขาทักทายคุณด้วยความอบอุ่นในน้ำเสียง
          ก็จะทำให้ประสาทของคุณซาบซ่า
          ผ่อนคลายลงอย่างมีความสุข
          ถึงกระนั้นก็ตาม บางทีคุณก็ยังไม่รู้สึกตัว
          และยังชอบปฏิเสธว่าคุณไม่ได้ชอบเขา ไม่ได้รักเขา

     ปรอทที่จะวัดความรักในหัวใจของคุณได้
          เมื่อคุณคิดถึงใครคนหนึ่ง แทบทุกขณะจิต
          และเมื่อคิดถึงแล้ว
          ทำให้คุณมีความสุขอย่างประหลาด
          อยากสละความสุขส่วนตัวให้แก่คนๆ นั้น
 
          แม้ว่าคุณจะเจ็บปวดก็จะทนขอเพียง
          แต่ว่าอยากให้เขาคนนั้นมีใจรักคุณสักนิด
          อย่าหันหลังให้กับความรัก
          ในขณะที่ความรักยืนจังก้าอยู่ต่อหน้า
          คุณอย่าได้ไล่มัน ออกไปจากคุณ
          เพราะถ้าคุณทำอย่างนั้นสักวันหนึ่ง
          คุณจะหวนคิดขึ้นมาได้ว่า
          สิ่งที่คุณไล่เปิดไปนั้นแท้จริงแล้ว
          ครั้งหนึ่งเคยอยู่ใกล้ชิด ตัวคุณนี้เอง

   ขอขอบคุณ http://hilight.kapook.com/view/36214

10
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร

คัดจากเทปธรรมอบรมจิต



บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

ได้แสดงเรื่องสัมมาทิฏฐิตามเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ มาถึงข้ออุปาทาน และข้ออุปาทานนี้ก็กำลังอธิบายทิฏฐุปาทาน ความยึดถือทิฏฐิคือความเห็น และก็ได้แสดงถึงทิฏฐิคือความเห็นผิดต่างๆ ที่เป็นอย่างรุนแรง เป็นนิยตะมิจฉาทิฏฐิที่ดิ่งลง คืออกิริยะทิฏฐิความเห็นว่าไม่เป็นอันกระทำ คือไม่มีบุญไม่มีบาป อเหตุกะทิฏฐิความเห็นว่าไม่มีเหตุ คือผลที่ได้ต่างบังเกิดขึ้นตามคราวแห่งโชคเราะห์ นัตถิกะทิฏฐิความเห็นว่าไม่มี เป็นการปฏิเสธสมมติสัจจะความจริงโดยสมมติ ปฏิเสธคติธรรมดาเช่นคติกรรมและผลของกรรม เป็นความเห็นที่ผิดหลักพุทธศาสนาสิ้นเชิง เพราะฉะนั้น พระอาจารย์จึงแสดงว่าความเห็นผิดทั้ง ๓ นี้ ห้ามทั้งสุคติคือคติที่ดี ห้ามทั้งมรรคผลนิพพาน และได้แสดงต่อไปถึงทิฏฐิคือความเห็น ๒ อย่าง ๒ คือสัสสตทิฏฐิความเห็นว่าเที่ยง อุจเฉททิฏฐิความเห็นว่าขาดสูญ กล่าวสั้นง่ายๆ คือเห็นว่าตายเกิด กับเห็นว่าตายสูญ แต่ต้องเข้าใจว่าเห็นว่าตายเกิดที่เป็นสัสสตทิฏฐินั้น คือต้องเกิดกันร่ำไปไม่มีสิ้นสุด แต่กล่าวสั้นว่า เห็นว่าตายเกิด กับเห็นว่าตายสูญ วิภัชวาทะ อันความเห็นดั่งนี้เป็นความเห็นที่ผิดจากสัมมาทิฏฐิในอริยสัจจ์ คือสัมมาทิฏฐิในองค์มรรค สัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบในองค์มรรคในอริยสัจจ์นี้ แสดงเป็นวิภัชวาทะ คือกล่าวจำแนกตามเหตุและผล ทุกข์เป็นผล สมุทัยเป็นเหตุ นิโรธเป็นผล มรรคเป็นเหตุ ทุกข์กับสมุทัยเป็นผลและเหตุ ในด้านก่อทุกข์ นิโรธกับมรรคเป็นผลและเหตุ ในด้านดับทุกข์ สำหรับในด้านก่อทุกข์นั้น คือทุกข์กับสมุทัย ทุกข์นั้นก็ดังที่ได้สวดได้ทราบกันอยู่แล้วเนืองๆ เริ่มต้นด้วย ชาติปิทุกขา แม้ความเกิดเป็นทุกข์ คือชาติเป็นทุกข์ และสมุทัยนั้นก็ได้แก่ตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก ฉะนั้น เมื่อยังมีตัณหาเป็นสมุทัยอยู่ ก็จะต้องมีทุกข์ มีชาติความเกิดเป็นต้น กล่าวสั้นเมื่อยังมีตัณหาอยู่ก็ต้องเกิด ส่วนนิโรธและมรรคนั้น เป็นผลและเหตุในด้านดับทุกข์ นิโรธคือดับตัณหาได้ ก็ดับทุกข์ได้ กล่าวโดยตรงก็คือเมื่อดับตัณหาได้ ก็ดับทุกข์ ตั้งต้นแต่ชาติคือความเกิดได้ ฉะนั้นเมื่อดับตัณหาได้ ก็ไม่เกิดอีก แต่ทั้งนี้จะต้องปฏิบัติในเหตุคือมรรคมีองค์ ๘ ฉะนั้นตามหลักพุทธศาสนาจึงไม่ยืนยันตายตัวว่าตายเกิด และไม่แสดงว่าตายสูญ แต่แสดงไปตามเหตุผล เมื่อยังมีตัณหาอยู่ก็ยังต้องเกิด เมื่อดับตัณหาได้ สิ้นตัณหาเสียได้ ก็สิ้นชาติคือความเกิด คือไม่เกิดอีก

๓ พุทธศาสนาไม่แสดงว่าตายสูญ ฉะนั้น ตามหลักพุทธศาสนาจึงตายเกิดกันตลอดเวลาที่ยังมีตัณหา แต่เมื่อดับตัณหาได้ จึงจะไม่เกิดอีก แต่แม้ไม่เกิดอีกก็ไม่แสดงว่าตายสูญ ดังได้มีเรื่องเล่าว่ามีพระรูปหนึ่งในสมัยพุทธกาล ได้เที่ยวกล่าวว่าพระอรหันต์ตายสูญ ท่านพระสารีบุตรได้เรียกเอาพระรูปนั้นมา และก็ได้ถามว่าเธอเที่ยวพูดดั่งนั้นจริงหรือ พระรูปนั้นก็ตอบรับว่าจริง เที่ยวพูดไปอย่างนั้นจริงว่าพระอรหันต์ตายสูญ ท่านพระสารีบุตรก็ถามว่าอะไรเป็นพระอรหันต์ รูปเป็นพระอรหันต์หรือ พระรูปนั้นก็ตอบว่าไม่ใช่ ท่านก็ถามไปโดยลำดับ และพระรูปนั้นก็ตอบไปโดยลำดับดั่งนี้ เวทนาเป็นอรหันต์หรือ ไม่ใช่ สัญญาเป็นพระอรหันต์หรือ ไม่ใช่ สังขารเป็นพระอรหันต์หรือ ไม่ใช่ วิญญาณเป็นพระอรหันต์หรือ ไม่ใช่ ท่านพระสารีบุตรจึงได้กล่าวว่า ก็เมื่อเธอได้ตอบว่า รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ มิใช่เป็นพระอรหันต์ ทำไมจึงกล่าวว่าพระอรหันต์ตายสูญ
พระรูปนั้นจึงได้ยอมรับว่าที่กล่าวไปนั้น เป็นการกล่าวไปด้วยความไม่รู้ และมิได้เฉลี่ยวคิดตามที่ท่านพระสารีบุตรได้ถาม และตนก็ได้ตอบไปนั้น พิจารณาดูตามคำถามและคำตอบนี้ก็จับความได้ว่า ที่เรียกว่าตายนั้นก็คือขันธ์ ๕ แตกทำลาย แต่เมื่อขันธ์ ๕ ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ ครั้นขันธ์ ๕ แตกทำลาย ทำไมจึงกล่าวว่าพระอรหันต์ตายสูญ แต่ว่าท่านก็ไม่ได้เฉลยว่า เมื่อไม่ตายสูญแล้วเป็นอย่างไร แต่ว่าได้มีพระพุทธภาษิตแสดงไว้โดยอุปมา ว่าเหมือนอย่างไฟที่ต้องลมพัดดับไป หรือว่าไฟที่สิ้นเชื้อดับไป อันไฟนั้นเมื่อมีเชื้อก็ติดขึ้นมาอีก และเมื่อสิ้นเชื้อก็ดับ ๔ และเมื่อไม่มีเชื้อที่จะก่อให้เกิดไฟขึ้นอีก ไฟก็ไม่เกิด แต่ว่าไฟนั้นก็ไม่ควรจะกล่าวว่าสูญ เพราะเมื่อมีเชื้อไฟก็เกิดขึ้นอีก หากไม่มีเชื้อ ไฟจึงจะไม่เกิดขึ้นมาอีก พระอรหันต์นั้นสิ้นกิเลสซึ่งเป็นเชื้อให้เกิดแล้ว ยกตัณหาขึ้นมาเป็นข้อแสดง ก็คือสิ้นตัณหาแล้ว สิ้นเชื้อที่ให้เกิดแล้ว เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่เกิดอีก แต่ก็ไม่สูญ พิจารณาดูเทียบกับธาตุไฟ เทียบกับไฟดังที่กล่าวมานั้น ตัวธาตุไฟนั้นไม่สูญ คือหมายถึงตัวธาตุที่เป็นธาตุแท้ เมื่อไม่มีเชื้อก็ไม่ติดเป็นไฟขึ้นอีก แต่ว่าธาตุที่เป็นธาตุแท้นั้นก็ไม่ปรากฏ

เมื่อเป็นดั่งนี้ พระอรหันต์จึงไม่มีวิญญาณ เมื่อท่านดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว ไม่มีวิญญาณที่จะท่องเที่ยวอยู่ เมื่อมีวิญญาณที่ยังท่องเที่ยวอยู่ ก็แสดงว่ายังไม่เป็นพระอรหันต์ ยังต้องถือภพถือชาติ คือเกิดในภพชาติอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ดังได้มีเรื่องที่เล่าว่า เมื่อพระอรหันต์บางรูปท่านดับขันธ์ปรินิพพาน มารได้ค้นหาวิญญาณของท่าน ว่าวิญญาณของท่านไปในที่ไหน แต่ก็ไม่สามารถจะพบวิญญาณของพระอรหันต์ได้ พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่ามารไม่สามารถจะพบวิญญาณของพระอรหันต์ได้ ก็เช่นเดียวกับไม่สามารถที่จะพบรอยต่างๆ เช่นรอยมือรอยเท้าในอากาศได้ เพราะท่านไม่เกิดเป็นอะไรอีก และก็มีแสดงว่า เมื่อดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว ก็พ้นสมมติบัญญัติ พ้นทางของถ้อยคำ ที่จะพูดถึงอีกต่อไปว่าเป็นอะไร เพราะเมื่อพูดถึงได้ว่าเป็นนั่นเป็นนี่ ก็ต้องแสดงว่าต้องมีภพ มีชาติ จึงยังเป็นนั่นเป็นนี่อยู่ เมื่อไม่มีภพมีชาติ ไม่เป็นโน่นเป็นนี่อะไรทั้งหมดแล้ว ก็ไม่มีที่ตั้งของถ้อยคำอะไรที่จะยกขึ้นมาพูดได้ เรียกว่าวิญญาณก็ไม่ได้ จิตก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น ๕ เพราะฉะนั้น บรรดาผู้ที่ยังมีความคิดเห็น ว่ายังสามารถจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ไปเฝ้าพระอรหันต์ได้ในที่นั้นที่นี้ จึงไม่ตรงกับหลักแห่งพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ ดังที่ได้กล่าวมานี้ ท่านไม่มีภพมีชาติเป็นนั่นเป็นนี่ ที่จะไปเฝ้าได้ มีทางเดียวก็คือเห็นธรรมะ ดังที่มีพระพุทธภาษิตตรัสไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ก็คือเห็นธรรมะด้วยปัญญา เห็นสัจจะคือความจริงด้วยปัญญา ดังที่ธรรมจักษุดวงตาเห็นธรรม ได้บังเกิดขึ้นแก่ท่านพระโกณฑัญญะว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา เห็นเกิดเห็นดับ ของสิ่งที่เกิดดับทั้งหลาย เห็นสัจจะคือความจริงดั่งนี้ชื่อว่าเห็นธรรม และเมื่อเห็นธรรมดั่งนี้ก็เห็นพระพุทธเจ้า คือย่อมรู้ย่อมเห็นว่าพระพุทธเจ้า ผู้ตรัสแสดงธรรมะข้อนี้ไว้เป็นพุทโธ คือเป็นผู้ตรัสรู้จริง ดั่งนี้ คือเห็นพระพุทธเจ้า เห็นพระพุทธเจ้าก็คือเห็นธรรม เห็นธรรมก็คือเห็นพระพุทธเจ้า เห็นดั่งนี้ก็คือเป็นการเห็นสัจจะธรรม

เอื้อเฟื้อข้อมูล : http://board.dserver.org/e/easydharma/00000207.html

11
เห็นมีกระทู้เกี่ยวกับปั้นเหน่งของแม่นาคแล้วมีสมาชิกท่านหนึ่งถามหา กระผมเลยได้หาข้อมูลมาให้อ่านกันครับ

   ความจริงแล้ว คำว่า "ปั้นเหน่ง" มีความหมายถึง หัวเข็มขัด แต่ที่เรียกว่า "ปั้นเหน่งแม่นาค" เพราะว่ากันว่าเป็นที่สิ่งสถิตของวิญญาณแม่นาคพระโขนง ทั้งนี้ ตามตำนานเล่ากันว่า ในสมัยของรัชกาลที่ 4 เมื่อครั้งที่แม่นาคออกอาละวาดหลอกหลอนผู้คนอย่างหนัก และครั้งหนึ่งข่าวแม่นาคหลอกหลอนหนักโดยเฉพาะที่แยกมหานาค(ในปัจจุบัน) ทำให้สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ได้มาทำการสะกดวิญญาณความเฮี้ยน และเจาะกะโหลกผีแม่นาคเอามาขัดเป็นมัน ลงอักขระอาคม ทำเป็นปั้นเหน่งคาดเอว ซึ่งหลังจากนั้นได้นำปั้นเหน่งไปเก็บรักษาไว้ที่วัดระฆังโฆสิตาราม

         ครั้นเมื่อท่านชรามากแล้ว ได้มอบปั้นเหน่งกระดูกหน้าผากแม่นาคนี้ไว้กับหม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันทน์ ซึ่งในภายหลังท่านได้เป็นหม่อมเจ้าสมเด็จพระพุฒาจารย์ (ทัต) ต่อมาท่านได้ประทานปั้นเหน่งแม่นาคให้กับหลวงพ่อพริ้ง หรือพระครูวิสุทธิ์ศิลาจารย์ แห่งวัดบางปะกอก ซึ่งภายหลังได้นำเอาปั้นเหน่งอันนี้มาถวายแด่กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ใน เวลาต่อมา ก่อนที่ปั้นเหน่งแม่นาค จะถูกเปลี่ยนมือไปอีกหลายทอด และหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย อย่างไรก็ตาม "ปั้นเหน่งหรือกะโหลกหน้าผากแม่นาค" ถือได้ว่าเป็นหลักฐานที่หลงเหลือและจับต้องได้เพียงชิ้นเดียว จากตำนานรักอมตะระหว่างผีกับคน ที่ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่า ของศักดิ์สิทธิ์จากตำนานรักแม่นาค ตกทอดไปอยู่ในมือของผู้ใด? 

         ครั้งหนึ่ง อดีตพระเอกคนดัง ซึ่งเคยรับบทพ่อมาก เมื่อหลายปีก่อน อย่าง พีท ทองเจือ ได้เคยออกมาประกาศตามหาปั้นเหน่งแม่นาค เพื่อนำมาบูชา หลังเปิดใจกลางรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งว่า เขามีความเชื่อว่าตัวเองมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับแม่นาคพระโขนง โดยอ้างต้นตระกูลสืบเชื้อสายมาจากตระกูล "เทพหัสดิน ณ อยุธยา" ซึ่งแม่นาคถือเป็นญาติฝ่ายคุณยาย นับญาติกันแล้ว พีทมีศักดิ์เป็นเหลนหรือโหลนของแม่นาค ที่เคยมีชีวิตอยู่ในช่วงรัชกาลที่ 2 นอกจากนั้น พัทยังอาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกับบ้านที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยของแม่นาคเมื่อ ในอดีต

         "ครอบครัวผมเป็นครอบครัวใหญ่ ซึ่งญาติๆ จะอาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ทั้งคุณพ่อ, คุณแม่, น้องสาว, น้า และอา รวมประมาณ 6-7 ครอบครัว โดยมีบ้านอยู่ในพื้นที่เดียวกับวัดมหาบุศย์ หากเข้ามาในซอยวัดมหาบุศย์ จะถึงก่อนบ้านผมประมาณ 1 กิโลเมตร สมัยเด็กบ้านที่ผมอยู่จะอยู่ริมคลองพระโขนง เป็นบ้านทรงไทยโบราณ ใต้ถุนสูงมีป่าไผ่ ปัจจุบันนี้ก็ยังคงน่ากลัวเหมือนเดิม ทุกวันพระผมมักจะเจอผู้หญิงในชุดสไบมาหาอยู่บ่อยๆ ภายหลังเชื่อว่าอาจจะเป็นวิญญาณแม่นาคที่มาหา" พีท กล่าว

         พร้อม กันนี้ พีท ยังเล่าถึงชีวิตที่ผูกพันกับแม่นาค และประสบการณ์เฉียดตายที่เคยรับบทพ่อมากในละครเมื่อหลายปีก่อน โดยขณะนั้นพีทยังไม่ทราบว่า มีสายเลือดผูกพันกับแม่นาค กระทั่งวันหนึ่งต้องขับรถจากสิงห์บุรีไปถ่ายละครเรื่องอังกอร์ ปกติไม่ว่าจะถ่ายละครหนักแค่ไหนก็ไม่เคยหลับใน แต่วันนั้นประมาณตี 4 เกิดหลับใน แต่เหมือนมีคนสะกิด จึงรอดชีวิตมาได้
 สำหรับการตามหาปั้นเหน่งแม่นาค นายหนุ่ม-คงกะพัน แสงสุริยะ ผู้ดำเนินรายการ บางอ้อ ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี ได้เปิดเผยถึงข้อมูล "ปั้นเหน่งแม่นาค" ว่า จากการสืบค้นหาร่องรอยของ "ปั้นเหน่งแม่นาค" นั้นมีหลายร่องรอย โดยเชื่อว่า บุคคลที่มีมีปั้นเหน่งอยู่ในมือนั้นมีอยู่ 3 สาย ซึ่งแต่ละสายล้วนมีความน่าเชื่อถือทั้งนั้น  ไม่ว่าจะเป็นสาย "กำนันชูชาติ"  ซึ่งตอนนี้ปั้นเหน่งแม่นาค ในมือกำนันชูชาติ ได้ถูกเปลี่ยนไปสู่ คุณเทพ กำแหง, สายที่ 2 อยู่กับ พระองค์เจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลทิฆัมพร (องค์ชายกลาง) และสายที่ 3 อยู่กับชาวบ้านในละแวกวัดบางปะกอก

          ขณะเดียวกัน อาจารย์เพิ่มศักดิ์ วรรลยางกูร ผู้รวบรวบเรื่องปั้นเหน่งแม่นาค ในวังนางเลิ้ง กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า จากการศึกษาข้อมูลทำให้เชื่อว่าปั้นเหน่งแม่นาคมีอยู่จริงๆ ไม่ใช่แค่เรื่องเล่า ซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะอยู่กับทายาทผู้รับมรดกของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ 

          อย่างไรก็ตาม ล่า สุด คุณเทพ กำแพง นักเทคโอเวอร์พระชื่อดัง ได้นำ "ปั้นเหน่ง" ที่เชื่อกันว่า เป็น ปั้นเหน่งแม่นาค ที่ยอมทุ่มเงินเป็นล้านๆ มาให้ชมในรายการ บางอ้อ พร้อมกับกล่าวว่า สิ่งนี้ไม่ใช่เป็นเพียงแค่กระดูกผี หรือเครื่องรางธรรมดา แต่เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ซึ่งเชื่อมโยงว่าแม่นาคพระโขนงมีอยู่จริง และหลังจากที่ได้ปั้นเหน่งนี้มา ก็เกิดเรื่องมหัศจรรย์ในบ้าน วันแรกที่นำเข้าบ้าน จู่ๆ ไฟก็ดับโดยไม่มีสาเหตุ บางครั้งก็มีกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นน้ำอบไทย ตลบอบอวลในบ้านด้วย

credit : http://blog.eduzones.com/rangsit/17008

ในโอกาสหน้าผมจะพยามหาข้อมูลว่าใครบ้างที่เคยครอบครองปั้นเหน่งของแม่นาค

12
คนล้านนามี ความผูกพันเกี่ยวเนื่องอยู่กับการนับถือผี สามารถพบเห็นได้จากการดำเนินชีวิตประจำวันของคนเมืองเอง เช่น เมื่อเวลาที่ต้องเข้าป่าไปหาอาหารหรือต้องค้างพักแรมอยู่ในป่า มักจะต้องบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางเสมอ และเมื่อเวลาที่กินข้าวในป่าก็มักจะแบ่งอาหารให้เจ้าที่ด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นเมื่อเวลาจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ไม่ว่าจะอยู่ในเมืองหรือในป่า เมื่อเวลาที่ต้องถ่ายปัสสวะก็มักจะต้องขออนุญาตจากเจ้าที่ก่อนอยู่เสมอ เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าวิถีชีวิตของคนเมืองผูกผันอยู่กับการนับถือผี

จากประวัติศาสตร์ดั่งเดิมของคนล้านนาในอดีตมีความเชื่อในการนับถือผีมา เนินนานหลายยุคหลายสมัยแล้ว ประวัติศาสตร์ดังกล่าวยังได้กล่าวอ้างว่า ก่อนที่พระยามังรายจะสร้างเมืองเชียงใหม่ในปี พ.ศ.1839 นั้น บริเวณรอบเชิงดอยสุเทพเป็นที่อยู่ของชนเผ่าพื้นเมืองดั่งเดิมก็คือ "ลัวะ"

เมื่อพระยามังรายสร้างเมืองเชียงใหม่แล้วจึงได้ขับไล่ชาวลัวะให้ออกจาก พื้นที่ มีชาวลัวะบางส่วนต้องอพยพขึ้นเขาเข้าป่าเป็นจำนวนมาก บางส่วนที่อ่อนข้อหน่อยก็ตกเป็นทาสรับใช้ของคนเมืองไป การที่คนล้านนาเข้ามาอยู่ในเชียงใหม่จึงให้เกิดวัฒนธรรมในรูปแบบผสมระหว่าง วัฒนธรรมพื้นบ้านดั่งเดิมกับการปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เข้ากับการดำเนินชีวิต ในสังคม แม้แต่ในปัจจุบันเองคนเมืองเชียงใหม่บางส่วนยังต้องถกเถียงกันถึงรูปแบบ วัฒนธรรมอันดั่งเดิมที่ถูกต้อง ซึ่งถ้าหากจะว่ากันถึงความถูกต้องแล้วคงจะอาศัยเหตุผลของนักวิชาการที่ได้ ศึกษาเรื่องนี้มากล่าวอ้าง แต่ในที่นี่จะกล่าวถึงความสัมพันธ์ของคนล้านนากับความเชื่อในเรื่องการ เลี้ยงผี ซึ่งจะเป็นผีบรรพบุรุษ หรือ ผีเสื้อบ้านเสื้อเมือง เป็นต้น

คนเมืองล้านนากับการเลี้ยงผีดูเหมือนจะแยกจากกันไม่ออก เพราะนับตั้งแต่เกิดมาคนล้านนาจะเกี่ยวพันกับผีมาตลอด เช่น เมื่อมีเด็กเกิดขึ้นในบ้านจะต้องทำพิธีเรียกขวัญ หรือที่คนเมืองเรียกว่า "ฮ้องขวัญ" เมื่อเวลาที่เด็กเกิดความไม่สบายร้องไห้ก็มักจะเชื่อว่า มีวิญญาณของผีตายโหงมารบกวนเด็ก คนล้านนายังเชื่อว่าขวัญของเด็กเป็นขวัญที่อ่อนภูตผีวิญญาณต่าง ๆ มักจะมารบกวนได้ง่าย ดังนั้นเมื่อเด็กไม่สบายก็จะต้องทำพิธีเลี้ยงผี หรือหาเครื่องลางมาผูกที่ข้อมือของเด็ก ปัจจุบันในแถบทางชนบทเรายังสามารถพบเห็นการกระทำแบบนี้อยู่

การเลี้ยงผีของคนล้านนาจะอยู่ในช่วงระหว่างเดือน 4 เหนือ จนถึงเดือน 8 เหนือ ช่วงเวลานี้เราจะพบว่าตามหมู่บ้านต่าง ๆ ในภาคเหนือจะมีการเลี้ยงผีบรรพบุรุษกันอย่างมากมาย เช่นที่อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยาก็จะมีการเลี้ยงผีเสื้อบ้านเสื้อเมือง ซึ่งเป็นผีบรรพบุรุษของชาวไทลื้อ พอหลังจากนี้อีกไม่นานก็จะมีการเลี้ยงผีลัวะ หรือประเพณีบูชาเสาอินทขิล ซึ่งเป็นประเพณีเก่าแก่ของคนเมือง และยังไม่นับรวมถึงการเลี้ยงผีมดผีเม็งและการเลี้ยงผีปู่แสะย่าแสะของชาวลัว ะซึ่งจะทะยอยทำกันต่อจากนี้

ที่บอกว่าคนล้านนามีความผูกพันเกี่ยวเนื่องอยู่กับการนับถือผีนั้น เราสามารถพบเห็นได้จากการดำเนินชีวิตประจำวันของคนล้านนาเอง เช่น เมื่อเวลาที่ต้องเข้าป่าไปหาอาหารหรือต้องค้างพักแรมอยู่ในป่า มักจะต้องบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางเสมอ และเมื่อเวลาที่กินข้าวในป่าก็มักจะแบ่งอาหารให้เจ้าที่ด้วยเช่นกัน แต่สิ่งที่ดูเหมือนว่าอาจสำคัญประการหนึ่งก็คือเมื่อเวลาจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ไม่ว่าจะอยู่ในเมืองหรือในป่า เมื่อเวลาที่ต้องถ่ายปัสสวะก็มักจะต้องขออนุญาตจากเจ้าที่ก่อนอยู่เสมอ เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าวิถีชีวิตของคนล้านนาผูกผันอยู่กับการนับถือผีอย่าง แยกไม่ออก

ในช่วงกลางฤดูร้อนจะมีการลงเจ้าเข้าทรงตามหมู่บ้านต่าง ๆ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะความเชื่อของชาวบ้านที่ว่า การลงเจ้าเป็นการพบปะพูดคุยกับผีบรรพบุรุษ ซึ่งในปีหนึ่งจะมีการลงเจ้าหนึ่งครั้ง และในการลงเจ้าครั้งนี้จะถือโอกาสทำพิธีรดน้ำดำหัวผีบรรพบุรุษไปด้วย ยังมีพิธีเลี้ยงผีอยู่พิธีหนึ่งที่มักจะกระทำกันในช่วงเวลานี้และที่สำคัญใน ปีหนึ่งจะทำพิธีนี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ การเลี้ยงผีมดผีเม็ง ชาวบ้านที่ประกอบพิธีนี้ขึ้นบอกว่า การเลี้ยงผีมดผีเม็งจะเลี้ยงอยู่ 2 กรณี คือเมื่อเวลามีคนเจ็บป่วยไม่สบายในหมู่บ้านจะทำพิธีบนผีเม็งเพื่อขอใช้ช่วย รักษา เมื่อเวลาที่หายแล้วจะต้องทำพิธีเชิญวิญญาณผีเม็งมาลง และจัดหาดนตรีมาเล่นเพื่อเพิ่มความสนุกสนานแก่ผีมดผีเม็งด้วย อีกกรณีหนึ่งเมื่อไม่มีคนเจ็บป่วยในหมู่บ้าน จะต้องทำพิธีเลี้ยงผีมดผีเม็งทุกปี โดยจะต้องหาฤกษ์ยามที่เหมาะสมและจะต้องกระทำระหว่างช่วงเวลาเดือน 4 เหนือ ถึง เดือน 8 เหนือ ก่อนเข้าพรรษา เพราะถ้าไม่ทำพิธีผีมดผีเม็งอาจจะไม่คุ้มครอง คนในหมู่บ้านก็ได้ ดังนั้น เมื่อใกล้ถึงช่วงเวลาดังกล่าวเรามักจะพบภาพพิธีเหล่านี้ตามหมู่บ้านต่าง ๆ

คนล้านนากับความเชื่อในการเลี้ยงผี ถือได้ว่าเป็นพิธีกรรมที่สำคัญของพวกเรา แม้ว่าการดำเนินชีวิตของพวกเขาจะราบรื่นไม่ประสบปัญหาใด แต่ภายใต้จิตสำนึกที่แท้จริงแล้ว คนล้านนาเหล่านี้ไม่อาจลืมเลือนวิญญาณของผีบรรพบุรุษที่เคยช่วยเหลือให้พวก เขามีชีวิตที่ปกติสุขมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่า แม้กาลเวลาจะแปรเปลี่ยนไปอย่างไร ภาพที่เรายังคงพบเห็นได้เสมอเมื่อเวลาเดินทางไปยังหมู่บ้านต่าง ๆ ในชนบทก็คือ เรือนเล็ก ๆ หลังเก่าตั้งอยู่กลางหมู่บ้านนั่นก็คือ หอเจ้าที่ประจำหมู่บ้าน ที่ยังย้ำเตือนให้พวกเขาไม่ให้หลงไหลไปกับกระแสสังคมนั่นเอง

credit : http://www.bbznet.com/scripts/view.php?user=aramee&board=4&id=14&c=1&order=lastpost

13

หลวงพ่อศุขแสดงอภินิหารให้บรรดาชาวบ้านและศานุศิษย์เห็นประจักษ์ครั้งนั้น
ทำให้ผู้ที่พบเห็นเกิดมีความพิศวงงงงวยในอภินิหารของ ท่านไปตามๆกัน
การแสดงอภินิหารของท่านนั้น ผู้เขียนเคยได้ฟังคำบอกเล่าจากพระคณาจารย์
ผู้เฒ่าที่เป็นศิษย์ของหลวงพ่อเล่าว่า

ครั้งหนึ่งเมื่อเดือนยี่ เป็นปีที่หลวงพ่อศุขไม่ได้ออกเดินธุดงค์เหมือนปีก่อน ๆ
ในปีนี้เองหลวงพ่อท่านกำลังบูรณะปฏิสังขรณ์วัดวาอารา มของท่านเป็นการใหญ่
ในครั้งนั้นได้มีผู้ศรัทธาบริจากทรัพย์สินเงินทองช่ว ย ให้หลวงพ่อทำการทำนุบำรุง
ก่อสร้างโบสถ์ วิหาร ศษสลาการเปรียญจนเสร็จสิ้น นับว่าวัดปากคองมาขามเฒ่ามี
ความเจริญขึ้นมาก ได้มีบรรดาลูกศิษย์ลูกหาตามหัวเมืองต่างๆ ที่เป็นพระภิกษุสงฆ์
และฆราวาส ตลอดจนเจ้านายเชื่อพระวงศ์ได้มาเยี่ยมเยียนท่าน พระครูวิมลคุณากร
หลวงพ่อศุขเป็นอันมาก ในเวลานั้นชื่อเสียงของหลวงพ่อแผ่กระจายไปทั่วศานุทิ ศ
เชื่อมั่นเลื่อมใสในอภินิหารของท่านอย่างจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เสด็จในกรม
หลวงชุมพร ๆ เจ้านายเชื้อพระวงศ์องค์นี้มาเยี่ยมพระอาจารย์อยู่เส มอ บางครั้งมีเวลา
ว่างก็พักแรมอยู่ที่กุฏิหลวงพ่อ ๒-๓ วัน แล้วก็กลับ บางครั้งหลวงพ่อมีเวลาว่างก็ไปหา
เสด็จในกรมฯ พักอยู่ในวังหลายๆวันเหมือนกัน

เวลานั้นท่านได้ประกอบพิธีปลุกเสกเลขยันต์ตระกรุดโทน พระเครื่อง
ผ้าประเจียดไว้เป็นจำนวนมาก แล้วแจกจ่ายให้บรรดาศานุศิษย์และญาติโยม ผู้ที่มีความ
เลื่อมใสศรัทธาโดยทั่วถึงกัน ในเดือนยี่ปีนั้นเองเป็นหน้าแล้ง ได้มีชาวหนือทางอุตรดิตถ์
เดินทางมาค้าขาย โดยมีช้างเป็นพาหนะราว ๘-๙ เชือก การค้าขายนั้นจะค้าขายอะไร
ฟังไม่ชัด ในสมัยนั้นทางคมนาคมไม่สะดวก การเดินทางมีแต่ป่าดงพงทึบ เดินทางจาก
อุตรดิตถ์ ผ่านสุโขทัย กำแพงเพชร์ นครสวรรค์ อุทัยธานี จนถึงจังหวัดชัยนาท ชาวเหนือ
ที่มานั้นมีประมาณ ๑๕ คน ได้พากันมาพักแรมอยู่ที่ใต้ถุนศาลาวัดปากคลองมะขามเฒ ่า
วัดหลวงพ่อศุขนี้เอง ไปปล่อยช้างกินหญ้ากินใบไผ่อยู่ตามบริเวณวัด ๒-๓ วัน ช้าง ๘-๙
เชือกของชาวเหนือบางครั้งไปเหยียบย่ำของหลวงพ่อที่ปล ูกไว้บ้างเช่น ต้นดอกไม้ ต้นกล้วย
ผัก พริก มะเขือ เอางวงดึงใบกล้วยกินบ้างจนแหลกลาญหมด หลวงพ่อมิได้พูดว่าแต่ประการใด
บรรดาชาวบ้านต่างก็พาลูกเล็กเด็กแดงมายืนดูช้างอยู่ใ นวัดเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีช้างสีดอ
ช้างพัง ช้างพลาย และลูกช้า ๒-๓ เชือก เวลานั้นเป็นเวลาประมาณ ๑๖.๓๐ น. พวกเลี้ยงช้าง
ที่มานั้นต่างก็พากันหุงข้าวปลาอาหารอยู่ที่ใต้ถุนศา ลา รุ่งขึ้นว่าจะมากันเดินลงไปทางใต้
คือ ผ่านจังหวัดสิงห์บุรี ในขณะที่กำลังหุงข้าวกันอยู่นั้นได้มีผู้คนในย่านนั้ นเองมามุงดู
ชาวเหนือกำลังนึ่งข้าวเหนียวอยู่นั่งกันเป็นกลุ่มพูด ภาษาพื้นเมืองของเขาอย่างเจี๊ยวจ๊าว
พากันบ่นว่ากับข้าวไม่พอกันกิน อีกคนหนึ่งพูดว่าจะไปยากอะไรนกพิราบอยู่บนหลังคา
โบสถ์ จับเป็นกลุ่มปืนเราก็มีหน้าไม้ก็มีจัดการเลย ชาวบ้านที่ยืนมุงดูนั้นก็พากันห้ามปราม
ว่าหลวงพ่อท่านห้ามไม่ให้ยิงนกในวัด พวกนั้นไม่เชื่อฟัง อีกคนหนึ่งหยิบเอาปืนแก๊ปขึ้น
ประทับบ่ายิงไปที่นกพิราบกลุ่มนั้นสับดังเซี๊ยๆ ตั้งหลายครั้งพยายามเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่ออก
เอาปืนยิงเท่าไหร่ไม่สำเร็จ ก็เลยหันไปหยิบหน้าไม้ยิงไปอีก ยิงทีไรลูกศรตกจากร่องหน้า
ไม้ทุกที เป็นที่น่าแปลกประหลาดแก่ผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง ชายฉกรรจ์ชาวเหนือ
วัยกลางคนชักโมโหพูดว่า "ขรัวตาวัดนี้มีอะไรวะ....." เมื่อพูดแล้ว คว้าได้ ขวานสั้น อันคมกริบ
มาฟันลงหน้าแข้งฉาดๆ กระเด็นออกเป็นฟืนหุงข้าว ทำให้ผู้คนยืนมุงดูเป็นการใหญ่ ชาวบ้าน
แถวนั้นตลอดจนพระสงฆ์พากันมายืนมุงดูอีกเป็นจำนวนมาก ชาวเหนือคนเลี้ยงช้างได้ใจยิ่ง
แสดงถากหน้าแข้งอย่างไม่หยุดยั้งออกเป็นฟืนกองใหญ่ ในขณะนั้นได้มีชาวบ้านวิ่งหน้าตา
ตื่นไปบอกกับหลวงพ่อศุขทันทีว่า "ได้มีคนดีมาจากเหนือ ถากหน้าแข้งเป็นฟืนหุงข้าวได้
มีคนมุงดูกันเนืองแน่น" หลวงพ่อศุขพูดว่า "ใครวะคนดี คนเก่ง" ชาวบ้านบอกว่า
"คนเลี้ยงช้างครับหลวงพ่อ" หลวงพ่อศุขดุด่าขึ้นเสียงดัง "ไอ้ห่านี่...มันถากเสาศาสลากู
เดี๋ยวเถอะกำแหงใหญ่แล้วพวกนี้" ในเวลานั้นเป็นเวลาใกล้พรบค่ำแล้ว หลวงพ่อศุขคิดจะ
ดัดสันดานพวกนี้ให้เข็ดหลาบเพราะท่านทราบว่า จวนจะได้เวลาพวกเลี้ยงช้างจะต้องต้อน
ช้างไปผูกแล้วสุมไฟให้ช้างนอน หลวงพ่อเดินลงจากกุฏิคว้ากะลามะพร้าวอันหนึ่งเดินไป
ลานหญ้าหน้ากุฏิ หยุดบริกรรมพระเวทย์อันศักดิ์สิทธิ์ เรียกฝูงช้างมารวมกัน ด้วยอำนาจ
เวทย์มนต์หลวงพ่อศุข ช้างถูกลมพัดปลิวเท่าตัวแมลงวันตกอยู่ตรงหน้าแล้วท่า นเอากะลา
ครอบลง แล้วเอาเท้าเหยียบ ตรึงด้วย พระคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ เป่าลงบนกะลาครอบนั้น
เสร็จแล้วท่านก็เดินขึ้นไปบนกุฏิ
พวกเลี้ยงช้างพากันกินข้าวปลาอาหารอิ่มหนำสำราญแล้ว ก็พากันไปต้อน
ช้างเข้านอนช่วยกันหาเท่าไหร่ก็ไม่พบจนอ่อนใจจนถึงกั บพากันร้องไห้ ขึ้นไปกราบเท้า
หลวงพ่อปรับทุกให้ท่านฟัง ขอสมาลาโทษต่อหลวงพ่อว่าถ้าช้างถูกขโมยไปแล้วเขา
จะกลับบ้านไม่ได้ ขอให้หลวงพ่อช่วยสักครั้งเถิด หลวงพ่อศุขก็สั่งสอนว่า "เรามาทำมาหากิน
ให้อุตส่าห์ขยันหมั่นเพียร อย่าเบียดเบียนคนอื่น จะได้เอาเงินกลับไปเลี้ยงลูกเมีย พวกมึงกำแหง
ศาลากูสร้างต้องเสียเงิน มึงเอาขวานมาถากเสาศาลาทำให้เสียหาย มึงจะต้องเอาเงินมาเปลี่ยน
ทำเสาศาลากูให้ดีอย่างเดิม กูจึงจะเอาช้างให้มึง" พวกเลี้ยงช้างเหล่านั้นก็ยอมรับผิด แล้วมอบ
เงินให้กับหลวงพ่อ ให้พอกับการ เปลี่ยนเสาศาลาให้ดีเท่าเก่า ก้มลงกราบอ้อนวอนขอสมาลาโทษ
ทุกอย่าง หลวงพ่อศุขบอกว่า "มึงตามมา พรุ่งนี้มึงต้องไปนะ ต้นไม้กูปลุกไว้ฉิบหายหมด
นี่ --- แน่ะ--- ช้างมึงกูเอากะลาครอบเอาไว้" หลวงพ่อศุขเปิดกะลาที่ครอบนั้นออก ช้างก็กลาย
ร่างเท่าเดิม พวกชาวเหนือเห็นดังนั้นก็ก้มลงกราบแทบเท้าหลวงพ่อ แล้วนำช้างเข้าพักนอน
หลวงพ่อแสดงอภินิหารให้เห็นประจักษ์ครั้งนี้ เป็นที่ทราบกันทั่วไปในหมู่พระสงฆ์และชาวบ้าน
ย่านนั้นจึงเล่ากันต่อๆ มาจนตราบเท่าทุกวันนี้

14
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ทหารผี
« เมื่อ: 03 เม.ย. 2552, 06:55:20 »

ทหารไทย ในยุคสงคราอินโดจีน ได้แสดงให้ทหารฝรั่งเห็นปาฏิหาริย์ ในหลายสมรภูมิ

ตัวอย่างหนึ่ง ผมขอคัดบทความจาก ... อ.วารุณี พิทักษ์สินากร หนังสือพิมพ์ เสรีชัย L.A. USA มาเล่าสู่กันฟัง นะครับ
อยู่ยง..คงกระพัน โดย อ.วารุณี พิทักษ์สินากร


เวทมนตร์..คาถา การปลุกเสก อยู่ยงคงกระพัน เครื่องลางของขลัง มีมานานพร้อมๆกับความเชื่อเก่าๆของผู้เฒ่าผู้แก่ สมัยนี้ยังมีอยู่มาก เรามาดูกันว่าเขาใช้วิธีใดที่ทำให้อำนาจพุทธคุณหรือเครื่องลางของขลังต่างๆ ทำงานได้ ใครที่ไม่เคยเชื่อเรื่องอย่างนี้ยอมรับได้แล้ว



เพราะในอดีต จากเวทมนตร์คาถา เครื่องรางของขลังเคยกู้ชาติปกป้องบ้านเมืองมาแล้วจากสงครามอินโดจีนที่ กล่าวไปแล้ว ขอให้เปิดใจรับอย่างมงายเหมือนกบในกะลาครอบ การรู้ไว้บางทีอาจป้องกันตัวเองได้บ้าง


พิธีปลุกเสกระดับเซียนจากสี่หลวงพ่อดัง ที่ทำให้ชนะศึกอินโดจีนนั้น เกิดอะไรขึ้นขณะทำพิธี...ฟังแล้วขนลุกไม่รู้ล้ม ทำให้เป็นที่กล่าวขานกันต่อมาอีกนาน



ในสมัยสงครามเกาหลี ทหารไทยที่พกพระพิมพ์ของหลวงพ่อแฉ่งไม่ว่าปางใด พิมพ์เล็กหรือใหญ่ ต่างอยู่ยงคงกระพันรอดตายกันมาทุกคน รวมทั้งบรรดาอัศวินแหวนเพชร หรือพวกนายตำรวจในยุคนั้นต่างก็มีพระนางพญาของหลวงพ่อแฉ่งกันถ้วนทั่ว


ยุคนั้นบรรดาอัศวินต่างมีชื่อเสียงมาก โจรผู้ร้าย ทั้งในเขตนครบาลหรือภูธรหัวหดเงียบกริบ กับถูกฆ่าตัดตอนเก็บกันระนาวจากบรรดาอัศวินแหวนเพชรทั้งหลาย เป็นยุคที่ตำรวจเฟื่องมากๆ




พิธีปลุกเสกระดับชาติได้ทำกันที่วัดบวรนิเวศน์วิหาร โดยเริ่มพิธีตั้งแต่อาทิตย์เริ่มอัสดง จนถึงรุ่งอรุณของวันใหม่ เป็นพิธีที่ใหญ่โตมโหราฬยิ่งกว่าการปลุกเสกครั้งใดๆ ท่ามกลางเหล่าทหารหาญที่คอยป้องกันอยู่รอบนอก ไม่ให้ผู้ใดรบกวนสมาธิของเกจิอาจารย์ทั้งสี่ ภายในห้ามออกภายนอกห้ามเข้ากันทีเดียว



ภายในตัววัดเมื่อพลบค่ำจึงมีแต่ความวิเวกวังเวงของบรรยากาศ ทำให้ทหารทุกคนทั้งรอบนอกรอบในวัดตื่นตัวกลัวกันตลอดคืน ก็ใครเล่าจะกล้าหลับตานอนได้ในบรรยากาศเช่นนั้น
เหตุการณ์ปกติไปเรื่อยจนย่างเข้ารุ่งอรุณของวันใหม่ทุกคนที่อยู่ในพิธีต่าง สะดุ้งกันสุดตัวแล้วพยายามระงับความตื่นเต้น ประหลาดใจกับอะไรที่เกิดขึ้น กับเก็บสุ้มเสียงกันไว้อย่างมิดชิด


มีรายการขนลุกขนพองเห่อชาขึ้นมาตามแขนขาไปจรดต้นคอกันถ้วนทั่วอย่างช่วยไม่ ได้ระงับไม่อยู่ ที่ท่ามกลางความเงียบสงัดปราศจากแม้เสียงแมลงกลางคืนที่เงียบมาตลอดคืนแล้ว จู่ๆเกิด มีเสียงกรี๊ดร้องอย่างโหยหวลทำลายความวังเวง มาจากทุกสารทิศที่..ไม่ใช่เสียงเดียวเพศเดียวแต่หลายเสียง มันดังก้องเข้าไปในจิตวิญญานของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์


จากนั้นยังปรากฏร่างของวิญญาณ ที่มาทั้งในรูปผู้คน เงา มากมายนับไม่ได้เป็นร้อยเป็นพันบ้างเดินบ้างวิ่งบ้าง มีมาไม่ขาดสาย..ในบริเวณวัดพร้อมทั้งเสียงกรีดร้องนั้นยังดังอยู่อย่างต่อ เนื่อง กับยังปรากฏหมอกควันพวยพุ่งออกมารอบๆพระอุโบสถ ชวนให้พยานสายตาในที่นั้นหนาวเย็นวูบวาบไปถึงตับไตใส้พุงแม้จะเป็นเหล่าทหาร กล้าก็เถอะ


เหตุการณ์ที่เกิดระหว่างการปลุกเสกนี้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาทุกคนที่อยู่ บริเวณนั้น ให้เป็นที่โจษขานกันมาหลายยุคหลายสมัย คงไม่มีครั้งใดจะแรงและทรงพลานุภาพเท่าจวบจนยุคปัจุจบัน ไร้เทียมทานจริงๆ



การปลุกเสกใช้เวลา 12 ชั่วโมง โดยพระทั้งสี่รูปจะนั่งนิ่งอยู่ในท่าเดิมไม่ขยับเขยื้อนเป็นการรวมพลังจิต ให้มีอนุภาพที่แก่กล้าแล้วรวมเพ่งไปที่ผ้าประเจียดที่วางอยู่บนพานทอง เพื่อให้ได้ผลเต็มร้อย


หลังเสร็จพิธีหลวงพ่อทั้งสี่ จึงมอบผ้าประเจียดให้กับพลตรี หลวงเกรียงศักดิ์พิชิต เพื่อนำไปใช้ปกป้องทหารในสงครามต่อไป ก่อนนำออกแจกจ่าย ยังมีการทดลอง ความอยู่ยงคงกระพัน โดยการนำผ้าประเจียดไปลองยิงดู ซึ่งถ้าไม่ได้ผลหลวงพ่อทั้งสี่องค์ ท่านจะทำพิธีให้ใหม่ แต่ปรากฏว่างานแรกครั้งเดียวขลังทันใด..ใช้ได้ทันที



เครื่องลางของขลังจากการปลุกเสก ทำให้ทหารไทยชนะสงครามอินโดจีนกับถูกตราหน้าว่าเป็นทหารผี...อันนี้พิสูจน์ กันชัดๆอีกอย่างของคลื่นพลังจิตที่รวมกันเข้าจากเกจิอาจารย์ทั้งสี่



การผสมธาตุซึ่งจะประกอบเป็นเครื่องลางของขลังนั้น ต้องผสมให้ถูกต้องจึงจะใช้เป็นสื่อเพื่อบรรจุพลังปราณ(พลังจิต)ของผู้ปลุก เสกได้เต็มที่ หากธาตุผสมผิดส่วนพลังปราณจะลดหย่อนลง พลังนี้ท่านเปรียบเหมือนพลังแม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งมีอยู่แล้วในทุกตัวคน


เราขอแนะนำให้ตรวจหาพลังนี้ได้เองจากการทำสมาธิ เมื่อเข้าถึงขั้นหนึ่งแล้วจะมีความรู้สึกว่ามีพลังบางอย่างวิ่งไปตามหน้าขา ไหล่แขน บางที่มาในรูปของความร้อนวิ่งไปทั่วร่าง ทางฮินดูเรียกว่า พลัง “คุณดาลินี” หรือพลังปราณนั่นเอง


หลักการใช้คลื่นหรือพลังจิตนี้ ผู้ที่จะทำเครื่องลางของขลังได้ต้องฝึกจิตจนถึงองค์ญาณสมาบัติเสียก่อน จิตจึงจะมีพลังงานแล้วสามารถรวบรวมพลังนี้บรรจุลงในสิ่งใดได้ พลังที่บรรจุนี้จะต้องแบ่งสายปราณให้ถูกต้องด้วยการใช้วิชาลึกลับอันเป็นต้น สูตร โดยเฉพาะเป็นแหล่งกำเหนิดให้เกิดพลังขึ้นได้อย่างหนึ่งเช่น ของขลังที่จะใช้เกี่ยวกับการป้องกันอันตรายใช้วิชา “เรยูกูระบัด”ประกอบกับวิชา “อิลละมู” หรือใช้วิชา “สังกะลัม” ประกอบกันสองอัน หรือจะใช้เพียงวิชาอิลละมู ประกอบเวทมนตร์ก็ได้ (ชื่อวิชาเหล่านี้เป็นของพวกโยคีสมัยเก่า) แต่ถ้าใครเรียนถึงวิชา เรยูกูระบัด หรือสังกะลัม เครื่องรางของขลังจะให้พลังงานสูง
ในสมัยสงครามอินโดจีน ในช่วงที่กำลังร้อนระอุ ทหารไทยถูกประนามว่า เป็นทหารผี...เพราะเหตุใดเรามาดูกัน กับใครอยู่เบื้องหลัง บทต่อจากนี้ ที่เกี่ยวข้องกันอย่างช่วยไม่ได้ คืออยู่ยง...คงกระพัน



ตอนนั้นทหารไทยมีหน้าที่ต้องบุกเข้ายึดเมืองศรีโสภณให้ได้ แต่ไม่ใช่ของง่ายเลยเพราะฝ่ายตรงข้าม คือทหารญวนกับทหารมอร็อคโคมีมากกว่า อุปกรณ์การฆ่าทันสมัยกว่าแน่นอนกำลังใจย่อมดีกว่า รวมถึงความจัดเจนในการเชือดการปาดคล่องตัวกว่าเรียกว่าเขี้ยวลากดินกันทุกคน เพราะเหตุนี้ ท.ทหารไทยจึงมองหาทางออก มองหาสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ คือความ..เหนียวแบบไร้เทียมทาน...หรืออยู่ยงคงกระพัน ดังนั้นวันบุกเข้าจู่โจมจึงเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น คือ


เมื่อวันที่ทหารไทยบุกเข้าศรีโสภนนั้น ทหารญวนกับมอร็อคโคต่างสาดกระสุนมาดุจห่าฝน แต่หาได้ระคายเคืองผิวทหารไทยอย่างไรไม่ ไม่ว่าจะยิง จะแทงฟันเชือด ปาด เด็ด ดึง..ทหารไทยอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดเลือดตกออกมาสักหยด ทหารต่างชาติเหล่านั้นไม่เคยเชื่อหรือรับรู้ในเรื่องวิชาอาคมเวทมนตร์คาถา ตอนนั้นรู้อย่างเดียวว่า ทหารไทยฆ่าไม่ตาย กับที่เหลือตัวใครตัวมัน หมดกำลังใจที่จะต่อสู้ยึดพื้นที่เอาไว้ได้ เพราะถูกฆ่าอยู่ฝ่ายเดียว เห็นไพร่พลล้มตายเกลื่อน จึงพากันทิ้งเมืองเอาตัวรอด งานนี้ทหารญวนกับมอร็อคโคถูกจับได้อย่างมากมายพร้อมทั้งอาวุธปืนเป็นจำนวน มาก



ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากอนุภาพ ของผ้าประเจียด ที่สี่หลวงพ่อทำการปลุกให้ไปแจกทหารที่ออกรบ ข่าวการชนะศึก ของทหารไทย ข่าวการยิงไม่เข้าแทงไม่เข้าไม่ระคายเคืองผิว กับการอยู่ยงคงกระพันของเหล่าทหารกล้า ทำให้สี่เซียนดังไปเจ๊ดย่านน้ำ หลวงพ่อทั้งสี่ได้แก่



หลวงพ่อ ชวน (โอภาสี)
หลวงพ่อแฉ่ง แห่งวัดบางพังจ
หลวงพ่อจาด
และหลวงพ่อจง แห่งวัดหน้าต่างนอก




กล่าวกันว่า กรณีพิพาทกับอินโดจีนฝรั่งเศสครั้งนั้น รัฐบาลไทยได้นิมนต์หลวงพ่อทั้งสี่องค์นี้มาทำพิธีปลุกเสกผ้าประเจียด เพื่อแจกจ่ายกับทหารที่ออกรบทุกคน เพื่อเป็นการป้องกันตัวกับเรียกขวัญกำลังใจ พิธีปลุกเสกกระทำกันที่วัดบวรนิเวศน์วิหารโดยเริ่มพิธีตั้งแต่ตะวันตกดิน... แล้วปรากฏมีเหตุอาเภทอาถรรพ์เกิดขึ้นในวันทำพิธี ..

15
ถ้าเคยได้ยินวัดสะพานสูงนนทบุรี ก็จะนึกถึง พระเดชพระคุณ หลวงปู่เอี่ยม(ปฐมนาม)แห่งวัดสะพานสูง เจ้าของวิชาตะกรุดโสฬสมงคล อันโด่งดัง และศิษย์ของท่าน ที่สืบทอดวิชาสายนี้ ทั้ง ปลวงปู่กลิ่น ถึงหลวงพ่อทองสุข แต่ถ้าไม่กล่าวถึงอาจารย์ แปลกก็คงไม่ได้ ท่านเป็นศิย์เอกของหลวงปู่เอี่ยม แม้จะสึกเป็นฆารวาสก็เข้มขลังไม่แพ้ใครครับ

ว่ากันตามคำบอกเล่าต่อๆกันมาได้ความคร่าวๆว่าอาจารย์เเปลก (หรือ เเปลก เรือลอย) ท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่เอี่ยม ปฐมนาม แห่งวัดสะพานสูง เล่ากันว่าพื้นเพเดิมท่านก็เป็นคนเมืองนนท์โดยกำเนิด ในคราวที่อุปสมบทที่วัดสะพานสูงก็เป็นพระรุ่นพี่ของหลวงปู่กลิ่นซึ่งบวชใน ยุคราวคราวเดียวกัน แต่อาจารย์แปลกนั้นบวชมาก่อนเลยแก่พรรษากว่าหลวงปู่กลิ่น ท่านได้ศึกษาสรรพวิชาจากหลวงปู่เอี่ยมมาพร้อมๆกับหลวงปู่กลิ่น โดยเฉพาะวิชาการสร้างตะกรุดอันลือลั่นของสายวัดสะพานสูง ตะกรุดของท่านนั้นขมังมากนัก เน้นหนักไปทางคงกระพันและแคล้วคลาดเป็นหลัก ถึงขนาดนักเลงเมืองนนท์สมัยก่อนเชื่อกันถึงความหนียวของพุทธคุณตะกรุด อาจารย์แปลก ปืนและมีดดาบไม่เคยต้องหวั่นกลัว ถึงคราวที่จะต้องประลองกัน ถ้าได้อาราธนาตะกรุดของอาจารย์แปลก มีแต่จะวิ่งเข้าใส่ เพราะของท่านแรงจริงๆ

ด้วยความที่ท่านได้เคร่งศึกษาการสร้างตะกรุดให้ดีเลิศ จนทำให้ท่านถึงขั้นร้อนวิชา หลวงปู่เอี่ยมท่านจึงแนะนำให้ลาสิขาเพื่อไปครองเพศฆราวาสจะดีกว่า แต่อาจารย์ท่านก็ยังให้ถือศีลและข้อห้ามต่างๆอย่างเคร่งครัดเพื่อให้ได้ถึง ความขลังในการสร้างตะกรุดของอาจารย์แปลก หลังลาสิขา ชีวิตของท่านส่วนใหญ่จะอาศัยกินนอนอยู่บนเรือ เพราะถือหลักที่ว่าความแรงและความขลังสามารถบรรเทาอากัปกิริยา และปล่อยวางได้ถ้าได้อาศัยอยู่บนน้ำ ท่านจึงไม่มีที่อยู่เป็นหลักเเหล่ง เร่ร่อนไปเรื่อยๆ ปล่อยให้เรือลอยไปโดยไม่ใช้ไม้พาย เล่ากันว่าในคลองพระอุดมสมัยก่อน ถ้าได้ข่าวว่าเรือของอาจารย์แปลกท่านลอยมาถึง ทุกๆบ้านที่มีลูกสาวก็จะเตรียมท่อนไม้ไผ่ยาวๆไว้ที่ท่าเทียบเรือ เมื่อไรที่เรืออาจารย์แปลกลอยมาติดที่ท่าเรือหลังบ้าน เจ้าของบ้านก็จะคอยเอาไม้ไผ่ที่เตรียมไว้ เขี่ยเรืออาจารย์แปลกออกไป ไม่ให้มาติดที่ท่าจอด ถ้าบ้านไหนไม่ได้เตรียมไว้แล้วเรืออาจารย์แปลกมาลอยติดที่ท่าแล้วจอด เพียงแค่พ้นคืนราตรีเดียว ลูกสาวของบ้านนั้นก็ไม่พ้นที่จะตกเป็นเมียของท่าน

บางครั้งก็จะมาจอดที่หน้าวัดสะพานสูง มีเหตุการณ์ครั้งหนึ่ง ช่วงนั้นเป็นช่วงเข้าพรรษา อยู่ดีๆเรืออาจารย์เเปลกก็มาจอดหน้าวัดสะพานสูง ทันทีที่อาจารย์เเปลกถึงวัด ก็เดินตรงเข้ามาที่กุฎิหลวงปู่กลิ่นทันที เเล้วตรงเข้ามากราบหลวงปู่กลิ่นอย่างนอบน้อม เเล้วเอ่ยถามหลวงปู่กลิ่นว่า ... อาจารย์ลากเรือผมมาที่วัดทำไมครับ หลวงปู่กลิ่นท่านยิ้มเเล้วตอบว่าน้ำปีนี้จะมีมาก อยากให้มาอยู่ที่วัดเสียด้วยกัน เเละเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งในปีนั้นเอง เกิดมีน้ำมากจริงๆ เหตุการณ์ครั้งนี้เเสดงให้เห็นว่าหลวงปู่กลิ่นท่านรับรู้ด้วยญาณก่อนเเล้ว เเละในปีนี้เองที่อาจารย์เเปลกลงตะกรุดโสฬสมงคลเเจอศิษย์ไว้มากที่สุด

การสร้างตะกรุดของอาจารย์แปลกนั้นเข้มขลังมาก พระยันต์ที่ประทับด้านในมักจะเป็นพระยันต์โสฬสมงคลของวัดสะพานสูง ส่วนจารนอกก็แล้วแต่ท่านจะลงหรือไม่ และมียันต์หลายๆแบบที่ใช้ในการประทับหน้า (ผมเองได้เคยพบยันต์เป็นรูปองค์พระในคราวที่มีโอกาสได้เลาะเชือกศึกษาตะกรุด อาจารย์แปลกครั้งหนึ่ง) เล่ากันว่าเวลาท่านจารและเสกตะกรุด คนที่มาขอตะกรุดท่านต้องไปนั่งห่างๆด้านหน้า พออาจารย์แปลกทำตะกรุดเสร็จก็จะโยนไปข้างหน้าที่ศิษย์มาขอ แล้วเอ่ยวาจาให้ศิษย์ก้มเก็บตะกรุดของท่านให้หน่อย เพราะมันกระโดดไป พอศิษย์เผลอก้มเก็บตะกรุดของท่าน

ในช่วงวินาทีที่มือของศิษย์ได้จับสัมผัสกับตะกรุดแล้ว ในเวลานั้นอาจารย์แปลกก็จะหยิบหลาวไม้ยาวที่มีปลายเป็นเหล็กแหลม คว้างเข้าใส่อย่างแรงและเร็วเพื่อหวังจะได้เข้ากลางหลัง แต่หลาวดังกล่าวก็จะกระดอนออกไปจากตัวศิษย์ทุกครั้งไป ตัวศิษย์เองก็ตกใจไม่น้อย แต่ก็ทำให้เชื่อและศรัทธาถึงอานุภาพตะกรุดของอาจารย์แปลก และจะหวงแหนเป็นอย่างยิ่งเมื่อได้ครอบครอง จะเก็บไว้ติดแนบกายไม่ห่างเลย นอกจากตะกรุดโสฬสที่ท่านมักจะสร้างเสมอๆแล้ว ยังมีตระกรุดอีกหลายแบบที่ท่านได้สร้าง ซึ่งล้วนแต่จะขลังและหายากยิ่ง เช่น ตะกรุดคุ้มบ้าน ตะกรุดเมตตา (แต่ผมว่าก็ยังไม่พ้นเหนียวอยู่ดี) และที่หายากและเป็นที่หวงแหนกันยิ่งคือ ตะกรุดเป่าแล่น ใครได้ครอบครองก็จะใช้ติดตัวไม่เคยห่าง เรื่องนี้คนเก่าแก่ในพื้นที่จะรู้จักกันดี

ในสมัยคราวที่ท่านอาจารย์แปลกทำการสร้างตะกรุดนั้น ท่านเน้นย้ำเสมอว่าตะกรุดของท่านไม่ให้ซื้อขาย อยากได้ก็มาขอเอาเอง ยกเว้น พ่อให้ลูก อาจารย์ให้ศิษย์ หรือให้กันเองในเครือญาติ ผู้ใหญ่กับผู้น้อย ผู้บังคับบัญชากับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ถ้าจะต้องให้ผู้อื่นด้วยความเสน่หาแล้วมีผลตอบแทนกลับมาเป็นสินน้ำใจ ให้นำเอาสินน้ำใจหรือเงินดังกล่าว มาถวายหรือทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา คำสอนดังกล่าวของท่านนั้นทำให้ผมรู้สึกได้ว่า ถึงแม้ท่านอาจารย์จะเป็นฆราวาส แต่อาจารย์แปลกท่านก็เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมและเมตตาธรรม นั่นเองที่ทำให้ท่านขลังมากนักแล

สำหรับชื่อของท่าน "แปลก" นั้นผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นชื่อเดิมของท่านเองเลยหรือเปล่า หรือเป็นการเรียกฉายาตามพฤติกรรมของท่านที่บางครั้งแปลกผิดกับคนทั่วไปกระทำ ครั้นท่านสร้างตะกรุดให้กับผู้หลักผู้ใหญ่ ท่านจะทุ่มเทในการสร้างเป็นอย่างมาก ปราณีตในการเสก ขนาดทุ่มเทสรรพกำลังที่มีอยู่เพื่อให้ได้ตะกรุดที่มีอานุภาพขั้นสูง ในบางครั้งถึงขึ้นที่ต้องคาบแผ่นทองแดงและเหล็กจาร ปีนขึ้นไปบนต้นตาลหน้าวัดที่สูงเป็นสิบๆเมตร เมื่อถึงปลายยอดก็ใช้ขาหนีบต้นตาลไว้แล้วห้อยหัวลงมาเพื่อทำการจารตะกรุด แล้วเสกจนเสร็จ ถึงได้ลงมาจากต้นตาล ซึ่งท่านห้อยหัวอยู่บนนั้นนานเป็นหลายชั่วโมง

พอได้ลงมาศิษย์ก็ถามว่าทำไมท่านจึงต้องปีนต้นตาลเช่นนั้น ท่านว่า "มันแรง มันร้อน มันร้อนมากๆ ต้องไปให้ลมแรงๆโกรกใส่" สำหรับตะกรุดพิเศษนี้ท่านจะให้ศิษย์นำทองแดงที่ม้วนเป็นตะกรุดดังกล่าว เข้าไปกราบหลวงปู่กลิ่นผู้ที่อาจารย์แปลกนับถืออย่างยิ่งท่านหนึ่ง เพื่อของผงพุทธคุณ ที่เรียกว่าผงโสฬสมงคลซึ่งเป็นผงชนิดเดียวกันกับที่หลวงปู่กลิ่นท่านใช้ สร้างพระปิดตา มาโรยที่ตะกรุดหลังจากถักเชือก แล้วนำไปคลุกหรือลงรักคลุมไว้เพื่อให้ผงวิเศษได้เกาะตัวติดกับตะกรุด แล้วนัดให้ศิษย์เข้ามารับตะกรุดอีกทีในวันหลัง ก่อนที่จะมอบให้กับศิษย์ท่านก็จะนำตะกรุดดังกล่าวไปปลุกเสกอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเพิ่มความเข้มขลัง ในบางครั้งท่านก็จะเข้าไปกราบขอเมตตาจากหลวงปู่กลิ่นเพื่อช่วยเสกกำกับให้ อีกคราว

เล่าถึงเรื่องความแปลกของท่านอาจารย์แปลก เรื่องหนึ่งที่ผมยังจำได้ไม่เคยลืมเพราะถือว่าเป็นเรื่องเล่าที่แปลกจริงๆ คือเรื่องอาจารย์แปลกกับกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ว่ากันว่าในคราวที่กรมหลวงชุมพรฯ ได้เข้ามาพำนักที่ตำหนักในกรุงเทพมหานคร ชื่อเสียงของกรมหลวงฯท่านนั้นโด่งดังมากโดยเฉพาะเรื่องความขมังเวทย์ของท่าน ที่ไม่เป็นรองใครเพราะถือว่าเป็นผู้มีอาจารย์ที่ดีเลิศคือหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า เป็นอาจารย์ที่เรืองเวทย์และประสิทธิ์ประสาทวิชาให้แก่กรมหลวงฯ วันหนึ่งชื่อเสียงความโด่งดังของกรมหลวงฯท่านนั้นแว่วไปถึงหูอาจารย์แปลก ซึ่งลอยเรืออยู่ในคลองพระอุดม อาจารย์แปลกจึงคิดอยากจะลองวิชากับกรมหลวงฯสักคราว ว่าชื่อเสียงที่เล่าลือกันนั้นจะเก่งแท้สักขนาดไหน โดยท่านได้เล่าให้ศิษย์ฟังถึงเรื่องที่ท่านจะทำว่า "จะเข้าไปเมืองหลวง จะไปขอข้าวลูกท่านหลานเธอกิน" หลังจากนั้นอาจารย์แปลกก็ไม่ได้อยู่ที่เรือที่ท่านอาศัย และได้จอดเทียบท่าอยู่ที่ท่าน้ำวัดสะพานสูง

แล้วให้ศิษย์คอยเฝ้าเรือของท่านไว้ ท่านจะไม่อยู่สักพัก .... ในขณะเดียวกันที่วังของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ก็ได้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น เรื่องของเรื่องก็คือ ในห้องเครื่องต้น (ห้องจัดเตรียมอาหารในวัง) ได้มีคนลอบเข้ามาขโมยกินข้าวหัวหม้อหรือข้าวต้นหม้อ ซึ่งเป็นข้าวที่จะถวายสำรับแก่กรมหลวงฯ เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นในทุกๆมื้ออาหารที่จะนำถวายสำรับแก่กรมหลวงฯ และเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอยู่หลายวัน แต่ได้มีการปกปิดเรื่องไว้ จนกระทั่งสุดท้ายวันหนึ่งความก็หลุดไปถึงกรมหลวงฯเข้า ท่านโกรธมากเป็นฟืนเป็นไฟ ว่าใครที่มาทำกับท่านแบบนี้ ถ้าจับได้ ท่านจะนำไปประหาร กรมหลวงฯจึงวางแผนตั้งเวทยฺค่ายกลเพื่อดักจับโจรขโมยกินข้าวท่านให้ได้ โดยที่ทุกครั้งที่ที่ดักจับ โจรดังกล่าวก็หลุดหนีไปได้ทุกทีด้วยมนต์กำบังกายขั้นสูง

จนกรมหลวงฯท่านแทบจะทนไม่ได้ที่ยังจับโจรดังกล่าวไม่สำเร็จ จึงได้ไปขอวิธีและข้อชี้แนะจากอาจารย์ของท่านคือหลวงปู่ศุข หลังจากที่ได้วิธีที่น่าจะใช้จับโจรได้แล้ว กรมหลวงฯท่านก็ดำเนินการวางแผนอย่างแยบยลและเคร่งครัด จนกระทั่งแผนดังกว่างนั้นได้สำเร็จผล คือจับโจรที่ขโมยกินข้าวต้นหม้อได้ จากนั้นก็นำไปคุมขังเพื่อให้ปริปากเอ่ยว่าเป็นใคร ทำไมถึงทำอย่างนั้น ขณะนั้นอาจารย์แปลกท่านไม่ได้เอ่ยปากใดๆแก่ทหารองค์รักษ์เลยแม้แต่น้อย ท่านเม้มปิดปากอยู่ตลอดเวลาบางครั้งก็พึมพำๆ โดยคำสั่งที่ทหารได้รับมอบมาจากกรมหลวงว่าจะต้องสอบปากคำให้จงได้

ทหารดังกล่าวจึงคิดที่จะใช้วิธีทรมานผู้ต้องขัง (อาจารย์แปลก) ด้วยวิธีต่างๆนาๆ แต่ก็ไม่เป็นผล ทั้งมีด ทั้งปืน ไม่ได้กินเนื้อกินเลือดท่านเลยแม้แต่น้อยนิด เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนตกถึงค่ำ โจรขโมยข้าวที่ถูกคุมขังได้หลุดหนีออกไป ก่อนหนี ก็ได้ลอบเข้าไปในห้องบรรทมของกรมหลวงฯ แล้วเข้าไปกระซิบข้างๆหูว่า "ท่านเป็นศิษย์ของอาจารย์ใหญ่ ผู้เป็นหนึ่งในปากเกร็ด ที่ลอบเข้ามาก็เพื่อแค่จะทักทายท่านฯเพราะได้ข่าวถึงเรื่องความขมังเวทย์ของ ท่านฯ มิได้คิดจะทำเรื่องใหญ่โตอะไร ต่างฝ่ายต่างมีอาจารย์ดีทั้งคู่" ก่อนอันตธานหายไป... ตื่นเช้ามากรมหลวงฯท่านจึงเรียกมหาดเล็กคนที่มีพื้นเพในพื้นที่ปากเกร็ด มาสอบถามถึง อาจารย์ใหญ่แห่งปากเกร็ด จึงได้ความว่าผู้ที่ลอบเข้ามาขโมยกินข้าวท่านก็คืออาจารย์แปลก ผู้เป็นศิษย์หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง ปากเกร็ด นนทบุรีนั่นเอง

16


อันนี้ผมเห็นมาจากเวบนึงนะครับ...ไม่ทราบว่าเป็นลายมือของหลวงพ่อจริงหรือไม่ครับ ผิดถูกประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ
                                       

17
เรื่องการสักของหลวงปู่แย้มนั้น มีน้อยคนมากที่จะทราบว่าท่านสามารถสักได้ ซึ่งเรื่องประสบการณ์การสักของท่านนั้นเป็นที่กล่าวขานของบรรดาลูกศิษย์กัน อย่างมากมาย ซึ่งไม่ต่างอะไรกับหลวงพ่อเต๋ คงทอง ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของท่าน ที่มีลูกศิษย์ลูกหาและผู้คนมากมาย ที่เดินทางไปหาท่านไม่ว่าท่านจะอยู่ ณ ที่แห่งใดใกล้ไกลแค่ไหน แม้ตอนที่หลวงพ่อเต๋ท่าน เดินทางไปตัดไม้ที่เมืองกาญเป็นหลายๆเดือน ก็ยังมีคนคอยเดินทางไปให้หลวงพ่อเต๋ท่านสักให้ จนบางครั้งหลวงพ่อเต๋มีอาการเป็นลมกันทีเดียว เนื่องจากท่านสักตั้งแต่เช้าจนมืด .. (หลวงปู่แย้มเล่าให้ผมฟังครับ) เรื่องประสบการณ์การสักของหลวงพ่อเต๋ท่าน คงไม่ต้องพูดอะไรกันอีกแล้ว เพราะผู้คนมากมายที่ได้ไปสักกับท่าน โดยเฉพาะบรรดาทหารที่ได้ไปออกรบในสงครามช่วงนั้นต่างเป็นที่ประจักษ์กัน อย่างชัดเจนและกว้างขวาง

   หลวงปู่แย้มท่านก็เป็นอีกองค์หนึ่งที่มีชื่อเสียงในด้านนี้อย่างเงียบๆ เพราะท่านไม่เคยบอกใครว่าท่านสักได้ ท่านไม่เคยบอกใครว่าของท่านดีอย่างไร ซึ่งเรื่องประสบการณ์การสักจากท่านนั้นเป็นเรื่องที่เล่ากันในหมู่บรรดาลูก ศิษย์แบบปากต่อปากกันซะจนข่าวได้กระจายไปอย่างกว้างขวาง
   การขอสักจากท่านนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย บางคนมาเป็นสิบๆครั้ง มาเป็นปีๆ ยังไม่ได้สักจากท่านก็มี เนื่องจากท่านจะมีเหตุผลในการพิจารณาของท่านเองว่าท่านจะสักให้มั๊ย? เช่น ความตั้งใจ ความพยายาม ความอดทน อีกทั้งเหตุผลของท่านอีกมากมาย ถ้าประเภทมาแบบอยากลอง อยากพิสูจน์ หรือพวกที่ชอบสัก มีรอบสักเต็มตัว ท่านมักจะไม่ค่อยลงให้ เพราะท่านจะบอกว่า “เฮอะ .. สักอะไรกันมากมาย มีดีอยู่แล้วจะเอาอะไรกันอีก.. ไม่ได้เรื่อง..!!” ... อะไรทำนองนี่ก็มีครับ

อย่างบางคนที่สักเต็มตัวมา แล้วท่านสักให้ทีเลือดกระจาย ท่านจะยิ้มหัวเราะแล้วบอกว่า "มันเหนียวตรงไหนนนน...!!"

วันที่ท่านจะสักให้นั้นมีสองวันคือ วันอังคาร และ วันเสาร์ เพราะถือเป็นวันที่แรงและกำลังวันมาก..

เรื่อง จำนวนครั้งในการสักนั้น ท่านไม่ได้พูดชัดเจนเท่าไร แต่ลูกศิษย์ก็จะขอสักกับท่านให้ได้เต็มที่ 7 ครั้ง เป็นอันว่าเต็มที่สุดๆแล้ว (จริงๆครั้งเดียวก็พอแล้วครับ หากไม่สะดวกเรื่องเวลาและโอกาส)

เข็มที่ท่านใช้สักนั้นจะพวกเข็มสแตนเลส หรือไม่ก็ เข็มทองเหลือง ตัวด้ามมีความยาวประมาณ 1 ท่อนแขนครับ

น้ำมัน ที่ใช้สักนั้นเป็นน้ำมันที่เคี่ยวมาจากกระดูกสัตว์บ้าง เนื้อว่านต่างๆ ซึ่งมีส่วนผสมของน้ำมันของหลวงพ่อเต๋ท่านอยู่ด้วย ลักษณะน้ำมันที่สักนั้นจะเคี่ยวอย่างเข้มข้น จนมีสีเหลืองเข้มแต่ใส และค่อนข้างเหนียวมันอย่างมาก

ยันต์ที่ท่านใช้สักนั้น ไม่เชิงเป็นรูปภาพ แต่ท่านจะแทงสักวนเป็นรูปยันต์และแทงเป็นอักขระบนตัวมากกว่าที่จะแทงเป็นรูป ให้เห็นเหมือนกับการสักยันต์ตามที่เราคุ้นเคยได้เห็นกันทั่วๆไป

การสักของท่านนั้นจะเริ่มตั้งแต่ กลางกระหม่อม จนทั่วศีรษะ จากนั้นจะไล่ลงมาบริเวณลำคอ ช่วงแผงหน้าอก ท้อง สีข้าง หัวไหล่ ท่อนแขนทั้งสองข้าง ... แล้วมาต่อที่ด้านหลัง ตั้งแต่หลังคอ แผงหลัง หลังท่อนแขนทั้งสองข้าง เอว สีข้างด้านหลัง .. หลังจากนั้นท่านจะเป่าเรียกยันต์ทั้งหมด พร้อมกับการลองเล็กๆน้อยๆ โดยการใช้เข็มเกี่ยวหลังคอ 2-3 ครั้ง เป็นอันจบพิธี

การลงน้ำหนักเข็มของหลวงปู่เป็นที่เลื่องลือว่า “หนักมาก”.. เพราะท่าทางการแทงเข็มของหลวงปู่นั้น ท่านจะแทงลักษณะการกระแทกเข็มลงมาที่ตัว หากเป็นบริเวณศีรษะจะเสียงดัง “กึกๆๆ” ดังมาก .. บางรายถึงขนาดเลือดไหลเป็นหยดเลยก็มีครับ และด้วยเหตุนี้มีหลายรายที่ทนเจ็บปวดไม่ไหวจนแสดงอาการออกมาให้หลวงปู่ท่าน เห็น ... ท่านก็จะหยุดทันที และจะไม่สักให้คนๆนั้นอีกเลยครับ

ปัจจุบัน หลวงปู่ท่านได้วางเข็มมาเกือบ 2 ปีแล้ว เนื่องจากสุขภาพของท่าน โดยเฉพาะกำลังแขนและกำลังการของท่านที่น้อยลง และเหนื่อยง่ายขึ้นของท่าน อีกทั้งหลวงปู่ท่านเอ่ยปากด้วยตัวท่านเองว่าท่านจะไม่สักแล้ว ปัจจุบันจะเห็นเข็มวางอยู่ด้านหลังท่าน แต่น้ำมันสักนั้นได้ให้ลูกศิษย์เก็บไปบูชาแล้วครับ



เครดิต http://www.pantown.com/board.php?id=34549&area=3&name=board4&topic=26&action=view

18

ขอบคุณความไม่รู้   ที่ทำให้รู้วิธีลุกขึ้นสู้
ขอบคุณความยากจน   ที่ทำให้เป็นคนมุมานะ
ขอบคุณความล้มเหลว   ที่ทำให้เกิดความเชี่ยวชาญ

 
ขอบคุณความผิดพลาด   ที่ทำให้ฉลาดยิ่งกว่าเดิม
ขอบคุณความริษยา   ที่ทำให้กล้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่
ขอบคุณคำวิพากษ์วิจารณ์   ที่ทำให้ผลิบานอย่างไร้ข้อตำหนิ

 
ขอบคุณความไม่รู้   ที่ทำให้รู้จักครูที่ชื่อประสบการณ์
ขอบคุณความผิดหวัง   ที่ทำให้ตั้งสติเพื่อลุกขึ้นมาใหม่
ขอบคุณศัตรูที่แกร่งกล้า   ที่ทำให้รู้ว่าเรายังไม่ใช่มืออาชีพ

 
ขอบคุณมหกรรมคอรัปชั่น   ที่ทำให้เราอยากสร้างสรรค์การเมืองใหม่
ขอบคุณความป่วยไข้   ที่ทำให้เราตั้งใจดูแลสุขภาพ
ขอบคุณความทุกข์ที่   ทำให้เรารู้ว่าความสุขมีค่าแค่ไหน

 
ขอบคุณความพลัดพราก   ที่ทำให้เราสละจากความยึดมั่น ถือมั่น
ขอบคุณเพลิงกิเลส   ที่ทำให้เรามีเหตุอยากถึงพระนิพพาน
ขอบคุณความตาย   ที่ทำให้ฉากสุดท้ายของชีวิตสมบูรณ์แบบ
            เจริญพร
                 ว. วชิรเมธี


19
แก้วที่คว่ำอยู่กลางสายฝน                                ต่อให้ฝนตกกระหน่ำทั้งคืน
ก็ไม่อาจเต็มไปด้วยน้ำ                                     คนที่ไม่ยอมเปิดใจเรียนรู้
ต่อให้คลุกคลีอยู่กับนักปราชญ์ทั้งคืนทั้งวัน             ก็ยังโง่เท่าเดิม
                                                                    ว วชิรเมธี

20
พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะมีพระแก้วประจำองค์
และมีได้ตั้งแต่ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่และจะปรากฎชัดขึ้น
"ตามความเข้มข้นของบารมีที่สร้าง"

ยุคพระศรีก็จะมีพระแก้วแดงทำจาก ทับทิมแดง
(คล้ายพระพุทธรูปในภาพเหตุที่ใช้ว่า "คล้าย" เพราะองค์จริงงดงามกว่ามาก)

ส่วนพระแก้วขององค์ปฐมนั้นจะเป็นองค์สีขาว

ยกตัวอย่างพระแก้วคู่บารมีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ในภัทรกัปนี้

1. พระกกุสันธพุทธเจ้า
หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์
เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อสมัย เป็นพระโพธิสัตว์
หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป
ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,024 พระองค์
เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 40,000 พรรษา
พระสรีระสูง 40 ศอก หรือ 20 เมตร
บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 10 เดือน
พุทธรังสีสร้านไปไกล 10 โยชน์ (160 กิโลเมตร)
พระแก้วประจำองค์ พระแก้วขาว หน้าตักกว้าง 20 วา


2. พระโกนาคมพุทธเจ้า
หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า
เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป
ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,024 พระองค์
เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 30,000 พรรษา
พระสรีระสูง 30 ศอก หรือ 15 เมตร
บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 1 เดือน
พุทธรังสีสร้านไปไกล ตามแต่พระประสงค์
พระแก้วประจำองค์ พระแก้วเหลือง หน้าตักกว้าง 15 วา

3. พระกัสสปพุทธเจ้า
หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า
เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป
ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,024 พระองค์
เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 20,000 พรรษา
พระสรีระสูง 20 ศอก หรือ 10 เมตร
บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน
พุทธรังสีสร้านไปไกล ตามแต่พระประสงค์
พระแก้วประจำองค์ พระแก้วน้ำเงิน หน้าตักกว้าง 10 วา

4. พระศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า
หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า
เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 4 องไขยแสนกัป
ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีก 24 พระองค์ ซึ่งน้อยมาก
เป็นปัญญาพุทธเจ้า อายุไขย 80 พรรษา
พระสรีระสูง 4 ศอก หรือ 2 เมตร
บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 6 ปี
พุทธรังสีสร้านไปข้างละ 1 วา เป็นปกติ
พระแก้วประจำองค์ พระแก้วเขียว(เขียวมรกต) หน้าตักกว้าง 5 วา

5. พระอริยเมตตรัยพุทธเจ้า
หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า
เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 16 อสงไขยแสนกัป
ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 477,029 พระองค์
เป็นวิริยะพุทธเจ้า อายุไขย 80,000 พรรษา
พระสรีระสูง 80 ศอก หรือ 40 เมตร
บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน
พุทธรังสีสร้านไปไกล ยังกำหนดไม่ได้
พระแก้วประจำองค์ พระแก้วแดง และทรงเครื่องบรมหาจักรพรรดิ
หน้าตักกว้าง 20 วา
พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะมีพระแก้วประจำองค์
และมีได้ตั้งแต่ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่และจะปรากฎชัดขึ้น
ตามความเข้มข้นของบารมีที่สร้าง
ยุคพระศรีก็จะมีพระแก้วแดงทำจากทับทิมแดง
ปัจจุบันนี้ประดิษฐานเตรียมไว้แล้ว ณ ภูมิทิพย์
ซึ่งซ้อนอยู่กับ สถานที่แห่งหนึง
และพระแก้วแดงจะปรากฎออกมา เมื่อถึงยุคพระศรี

พระแก้วคู่บารมีของพระพุทธเจ้า องค์ปัจจุบันก็คือพระแก้วมรกต
ส่วนพระแก้วคู่บารมีของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ
เป็นพุทธนิมิตอยู่ที่พระนิพพานคู่วิมานพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์

credit http://www.watthummuangna.com

21
ผมตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา สำหรับคนที่ยังไม่รู้หรือยังมีความสงสัยนะครับ สำหรับคนที่เข้าใจแล้วหรือเข้าใจยิ่งกว่าผม จะมาเพิ่มเติมหรือแก้ไขก็จะดีมาก เพื่อประโยชน์ของทุกท่านที่ได้อ่านนะครับ

คิดว่าหลายๆคนคงเคยอ่านที่มาที่ไปของคาถาเงินล้าน ที่หลวงปู่ปานได้เรียนจากโยมคนหนึ่ง และมีเจ้าของห้างตราใบโพธิ์ได้พิมพ์แจกจ่ายเพื่อเป็นทาน

มีตอนหนึ่งที่บอกว่า
หากเอาคาถามาทำเป็นกรรมฐาน ยิ่งได้ผลดีมาก
ตรงส่วนนี้ ผมคิดว่าหลายๆคนอาจจะยังสงสัยว่า ทำเป็นกรรมฐาน ทำอย่างไร เพราะคนส่วนใหญ่จะคุ้นเคยกับการ ภาวนา พุทโธ หรือ ยุบหนอพองหนอ หรือ นะมะพะธะ

แล้วเอาคาถามเงินล้านมาทำเป็นกรรมฐาน ทำอย่างไร
การเอาคาถามเงินล้านมาภาวนาเป็นกรรมฐาน มีวิธีการง่ายๆคือ
การท่องคาถาเงินล้านในใจพร้อมกับจับลมหายใจไปด้วย นั่นก็คือการใช้อานาปานุสติ กับองค์ภาวนาคาถาเงินล้านนั่นเอง(แต่ใครจะใช้ควบคู่กับกสิน ก็แล้วแต่สะดวกนะครับ แต่ในที่นี้จะขอยกการใช้ควบคู่อานาปานุสติ)

อาจจะยังไม่คล่อง
สำหรับท่านที่ฝึกอานาปานุสติใหม่ๆ จะสวดแบบท่องออกปากก่อนเลยก็ได้ สักรอบ 3รอบ หรือกี่รอบก็แล้วแต่สะดวก เอาจนมีสมาธิดีขึ้นค่อยท่องในใจต่อ
สำหรับคนที่เคยใช้พุทโธหรือนะมะพะธะจนคล่องแล้ว ก็ลองเปลี่ยนคำภาวนามาเป็นคาถาเงินล้านลองดูสิ จะสามารถเข้าถึงสมาธิได้ง่ายดายยิ่งขึ้นด้วย แต่สองรอบแรก อาจจะจำเป็นต้องให้สมาธิอยู่ที่ตัวคาถามากกว่าลมหายใจ เพื่อจะได้ไม่เผลอกลับไปใช้องค์ภาวนาที่เคยใช้
อย่าตกใจถ้าจังหวะการหายใจกับท่อนภาวนาไม่ตรงกันในรอบแรกกับรอบที่สองเพราะการภาวนาในแต่ละวรรคในรอบแรกอาจจะตรงกับจังหวะหายใจเข้า แต่รอบต่อๆไปอาจจะตรงกับจังหวะหายใจเข้าหรือหายใจออก ก็อย่าได้ตกใจ ไม่งั้นสมาธิจะเคลื่อนลงได้ปล่อยใจภาวนาไปเรื่อยๆก็พอพร้อมกับจับลมหายใจเป็นอานาปานุสติไปด้วยอย่าลืมเชียว
มีไม่น้อยที่มีอารมณ์ทรงฌาณหรือเข้าฌาณได้คล่องโดยที่ไม่รู้ตัว บ่อยครั้งที่ใช้คาถาพร้อมกับจับลมหายใจไปด้วย แล้วคำภาวนาหายไปทั้งที่ว่าคาถายังไม่ทันจบ แล้วตกใจ กลับมาว่าคาถาใหม่ ทำให้สมาธิเคลื่อนลงมา
หากไม่แน่ใจ กลัวว่าประสิทธิภาพจะได้ไม่เต็มที่ ก็สามารถจะภาวนาคาถาให้จบในรอบแรกโดยที่ไม่จับลมหายใจ แล้วไปเริ่มจับลมหายใจในรอบที่สองหรือจะภาวนาคาถาให้ครบเก้าจบตามสูตร แล้วค่อยเริ่มจับลมหายใจไปด้วยในรอบต่อไปก็ได้ไม่เห็นแปลก
เมื่อคำภาวนาหายไปก็เป็นกระบวนการทำกรรมฐานต่อไปตามแต่ความสามารถ
เพราะถ้าหากสามารถใช้คาถาจนกระทั่งอารมณ์ฌาณยิ่งสูงมาก อานุภาพของคาถาก็จะยิ่งมากไปด้วย


และวิธีการเอาคาถามาทำเป็นกรรมฐานวิธีนี้ สามารถใช้ได้กับทุกคาถา ไม่จำเพาะว่าต้องเป็นคาถาเงินล้าน
แต่ที่ยกตัวอย่างคาถาเงินล้าน เพราะเป็นเป็นคาถาที่ให้ผลในทางโลกโดยตรงที่สุดและคำกล่าวทีว่า"เอามาภาวนาเป็นกรรมฐาน"ก็มีปรากฏในประวัติคาถาเงินล้าน จึงคิดว่า ยกตัวอย่างคาถาเงินล้าน น่าจะเข้าใจง่ายที่สุด
credit ซาตานคลั่ง.http://board.palungjit.com/showthread.php?t=138779

22
บทความ บทกวี / วิธีใช้หนี้พ่อแม่
« เมื่อ: 22 ต.ค. 2551, 09:06:24 »
อย่ายืนพูดกับพ่อแม่ อย่าบังอาจกับพ่อแม่ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก พ่อแม่เป็นครูคนแรกของลูก ก่อนออกจากบ้านควรกราบพ่อแม่ 3 หนที่เท้าฯ โปรดจำไว้ วันเกิดของลูก คือวันตายของแม่ เพราะวันที่ลูกเกิด แม่อาจต้องเสียชีวิต การออกศึกสงครามเป็นการเสี่ยงตาย สำหรับคนเป็นแม่ฉันนั้นฯ ถ้าวันเกิดเลี้ยงเหล้า จดไว้ได้เลย จะอายุสั้น จะบั้นทอนอายุให้สั้นลง ท่านน่าจะสวดมนต์ไหว้พระ ปฏิบัติธรรมให้พ่อแม่ วันเกิดของเราคือวันตายของแม่เรา ไปกราบพ่อกราบแม่ ขอพรพ่อแม่ รับรองพ่อแม่ให้พ่อลูก รวยทุกคน ไปเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ให้อิ่มค่อยไปเลี้ยงเพื่อนฯ สอนเด็กว่า วันเกิดของเรา อย่าพาเพื่อนมาให้พ่อแม่ทำครัวเลี้ยงนะ เธอจะบาป ทำมาหากินไม่ขึ้น เธอต้องเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ให้อิ่มก่อน แล้วจึงไปเลี้ยงเพื่อนทีหลังฯ อยู่ในท้องแม่ เหมือนท้องแม่เป็นโรงแรม ดูดน้ำเลือด น้ำเหลืองของแม่ จนอายุครบกำหนดคลอด ดังนั้นต้องรักแม่ให้มากๆฯ

วิธีใช้หนี้พ่อแม่ดีไม่ยากเลย

จงสร้างความดีให้กับตัวเองและนี่ก็เป็นการใช้หนี้ตัวเอง ตัวเราพ่อให้ใจ แม่ให้น้ำเลือดน้ำเหลืองอยู่ในตัวแล้ว จะไปแสวงหาหาพ่อที่ไหน จะไปแสวงหาแม่ที่ไหน บางคนรังเกียจแม่ว่า แก่เฒ่าไม่สวยไม่งาม พอตัวเองแก่ก็เลยถูกลูกหลานรังเกียจ จึงเป็นกงกรรมกงเกวียนยืดเยื้อกันต่อไปอีก ใค้รที่คุณพ่อคุณแม่ล่วงลับไปแล้ว ก็ให้หมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ท่านและถ้าจะทำบุญด้วยการเจริญกรรมฐานแล้วอุทิศส่วนกุศลไป การทำเช่นนี้ถือว่าได้บุญมากที่สุดทั้งฝ่ายผู้ให้ให้ผู้รับ ผู้ใดก็ตามที่คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ก็ให้กลับไปหาแม่ ไปกราบเท้าขอพรจากท่านจะได้มั่งมีศรีสุข ส่วนคนที่เคยทำไม่ดีกับท่านก็นำเทียนแพไปขอกราบอโหสิกรรม ล้างเท้าให้ท่านด้วยเป็นการขอขมาลาโทษฯ ขอฝากท่านไว้ไปสอนลูกหลาน อย่าได้คิดไม่ดีกับพ่อแม่เลยไม่ต้องถึงกับฆ่าหรอกแค่คิดว่าพ่อแม่เราไม่ดี จะทำมาหากินไม่ขึ้น เจ๊ง ท่านต้องแก้ปัญหาก่อนคือ ถอนคำพูดไปขอขมาลาโทษเสีย แล้วมาเจริญกรรมฐาน รับรองสำเร็จแน่ มรรคผลเกิดแน่ฯ
บางคนลืมพ่อแม่ อย่าลืมนะการเถียงพ่อเถียงแม่ไม่ดี ขอบิณฑบาต สอนลูกหลานอย่าเถียงพ่อเถียงแม่ อย่าคิดไม่ดีกับพ่อกับแม่ ไม่อย่างนั้นจะก้าวหน้าได้อย่างไร ก้าวถอยหลังดำน้ำไม่โผล่ฯ บ้านหนึ่งพ่อมีเมีย 4 คน เมียหลวงบอกลูกว่า พ่อเจ้าไม่ดี ลูกก็ไปด่าพ่อ ว่าพ่อ แล้วมาบวชวัดนี้ บวชแล้วเป็นโน่นเป็นนี่จนจะกลายเป็นโรคประสาท นี่แหละบวชก็ไม่ได้ผล หลวงพ่อก็ให้ไปถอนคำพูดและขอขมาลาโทษกับพ่อเขาก่อน แล้วกลับมานั่งกรรมฐานจึงได้ผล(ลักษณะนี้ควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแม่ที่จะแก้ปัญหานี้เอง) คนที่มีบุญวาสนาจะกตัญญูกับพ่อแม่ คนเถียงพ่อเถียงแม่เอาดีไม่ได้.....คนไม่พูดกับพ่อแม่ นั่งกรรมฐานร้อยปีก็ไม่ได้อะไร?ถ้าไม่ขออโหสิกรรมฯ



ขออโหสิกรรม ที่คิดไม่ดีกับพ่อแม่ คิดไม่ดีกับครูบาอาจารย์ คิดไม่ดีกับพี่ๆๆน้องๆๆจะไม่เอาอีกแล้ว เอาน้ำไปขันหนึ่ง เอาดอกมะลิโรย กายกัมมัง วจีกัมมัง มโนกัมมัง โยโทโส อันว่าโทษทัณฑ์ใด ความผิดใด ทึ่ข้าพเจ้าพลั้งเผลอจิตสติไป ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ขอให้คุณพ่อคุณแม่คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย คุณพี่คุณน้อง อโหสิกรรมให้ด้วย แล้วเอาน้ำรดมือรดเท้าฯ


นี่แหละท่านทั้งหลายทั้งหลายเอ๋ย เป็นหนี้บุญคุณพ่อแม่มากมาย ยังจะไปทวงนาทวงไร่ ทวงตึก มาเป็นของเราอีกหรือ ตัวเองก็พึ่งตัวเองไม่ได้ เป็นคนอัปรีย์จัญไรในโลกมนุษย์ ไปทวงหนี้พ่อแม่ พ่อแม่ให้แล้ว(ให้ชีวิต ...ให้...ให้....ให้...ฯลฯ)เรียนสำเร็จแล้ว ยังช่วยตัวเองไม่ได้ มีหนี้ติดค้าง รับรองทำมาหากินไม่ขึ้นฯ หนี้บุญคุณอันยิ่งใหญ่ เหลือจะคณานับนั้น คือหนี้บุญคุณของ บิดามารดาฯ

จากหนังสือ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ (ปาฏิหาริย์ที่เกิดจากคำสอนที่เป็นจริงและนำไปปฏิบัติจริงได้ผลสมจริงดังอัศจรรย์)โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์(หลวงพ่อ จรัญ ฐิตธัมโม)

23
รักยมเป็นรูปเด็กแกะด้วยไม้คู่หนึ่ง มีลักษณะเป็นเด็กผมจุกยืนกำหมัดทั้งสองข้าง คล้ายกำลังทำท่าชกมวย ตัวที่ชื่อรักนั้น เกจิอาจารย์แกะด้วยไม้รักซ้อน บางตำราก็ใช้ต้น บางตำราก็ใช้รากที่ชี้ไปทางทิศตะวันออก และต้องเป็นรากที่เรียกว่าตายพราย คือตายเองด้วย ส่วนตัวที่ชื่อยม ก็แกะจากไม้มะยม ใช้ต้นและราก ลักษณะเดียวกันกับรากหรือต้นรักซ้อนนั้นแต่มีสีขาว ส่วนตัวที่ทำจากรากรักซ้อนมีสีดำ เมื่ออาจารย์ได้บรรจง
แกะรูปเด็กหัวจุกทั้งสองเสร็จแล้ว ก็จะกระทำพิธีปลุกเสกโดยเอารูปแกะกุมารทั้งสองวางลงในขันสำริด ที่มีน้ำมันหอมหรือน้ำมันจันทร์ใส่เตรียมไว้ก่อนแล้ว อาจารย์จะต้องทำให้เกิดนิมิตในขณะปลุกเสก คือปลุกจนกระทั่งรูปแกะกุมารทั้งสองนั้นลุกขึ้นเต้นและเล่นกันดุจมีชีวิตวิญญาณ แล้วจึงเป็นอันใช้ได้ ผู้ที่จะให้เจ้ารักเจ้ายมช่วยเหลือในภารกิจของตน ก็นำรักยมพร้อมทั้งน้ำมันหอมนั้นประจุลงในขวดแก้วเล็กๆ ซึ่งมีขนาดพอดีกับตัวของรักยมที่จะลงไปอยู่ด้วยกันได้ทั้งคู่ นำติดตัวในเมื่อจะออกจากบ้านไปทำภารกิจนั้นๆ ครั้นเมื่อกลับเข้าสู่เคหะสถานบ้านเรื่อนตน ก็นำรักยมเข้าไว้ในที่อันสมควร จัดแจงข้าวปลาอาหารขนม ให้รักยมทั้งสองบริโภค ดุจดังเราเลี้ยงเด็กๆ ไว้ในบ้าน การพูดจากับรักยมนั้นก็ต้องพูดเอง และตัวผู้ใช้ตอบเอง ที่เรียกว่า "พูดเองเออเอง"แล้วแต่ปรารถนาสิ่งใดๆ ก็ให้กล่าววาจากับเขาขอให้รักยมช่วยในกิจนั้นๆ ผู้ใช้จะต้องคอยดูน้ำมันหอมที่ใส่ในขวดรักยมอยู่เสมอ และระวังอย่าให้แห้งได้ เมื่อจวนจะแห้งหรือ น้ำมันจันทร์เหลือน้อย จำเป็นต้องเติมมิให้พร่องลงได้ ท่านว่ารักยมจะขึ้น และให้ผลแก่ตัวเจ้าของดีนัก ทั้งน้ำมันจันทร์ในขวดนั้นเล่าก็ใช้ทาคิ้วทาผมเป็นเครื่องสำอางค์ ที่จะยังเสน่ห์ให้แก่ผู้ใช้เป็นเอนกประการ และที่แตกต่างบางที ใช้น้ำมันว่านไก่แดงการไปตัดไม้มาทำรักยม ในขณะที่จะไปเอารากรักและรากมะยมมากระทำพิธีแกะนั้น ท่านให้เดินทางออกจากบ้านไปแต่เช้าตรู่ ห้ามพูดกับผู้ใดในขณะนั้น เมื่อถึงต้นรักและมะยมที่หมายตาเอาไว้ก่อนแล้วก็ลงมือพลี (ขุดและตัดเอารากมา) โดยพูดว่า
เจ้ารัก (ยม) เอ๋ย จงไปอยู่กับพ่อ จงช่วยพ่อให้สำเร็จสมปรารถนาเถิด
"นะมะพะทะอาคัจฉายะ อาคัจฉามิ มานี่มะมามา" เมื่อพลีไม้รักหรือไม้ยมมาได้แล้ว ท่านให้วิ่งกลับบ้าน โดยมิให้เหลียวหลังไปดูต้นไม้นั้นเป็นอันขาด ครั้นเมื่อถึงบ้านแล้วจึงเอารากรักซ้อนและรากยมนั้นปิดทองคำแผ่นให้งดงาม แล้วเอาคั่นกลางใจบ้าน พลีมาด้วนคาถา นะ มะ พะ ทะ หยิบมือหนึ่ง ห่อด้วยกระดาษว่าว ตั้งไว้หน้ารากรักและยมพร้อมด้วย สำรับกับข้าวเล็กๆ เป็นการบวงบนแด่วิญญาณของรักยม กระทำดังนั้นแล้ว พอได้เวลาสมควร (กะว่าจุดธูปหมดดอก) จึงนำไม้นั้นไปมอบให้อาจารย์สร้างรักยมต่อไป กาลครั้งหนึ่งในราวป่าหิมพานต์อันเป็นที่บำเพ็ญพรตของเหล่าพระฤาษีทั้งหลายผู้มีอายุนับด้วยกัปป์ อยู่มาวันหนึ่งพหลปีติฤาษีออกจากอาศรมไปเที่ยวเก็บผลไม้เพื่อขบฉัน ผ่านสระน้ำแห่งหนึ่งอันมีปทุมชาติ ชูช่ออยู่ดารดาษ พหลปีติฤาษีตั้งใจจะตักน้ำใส่เต้าที่ทำด้วยผลน้ำเต้าแห่งป่าหิมพานต์เอาไปไว้บริโภคที่อาศรม ก็เหลือบไปเห็นกุมารน้อยคู่หนึ่งอยู่ในรัตตะอุบล (บัวสายมีสีอันแดง) จึงได้เก็บกุมารน้อยนั้นนำมาเลี้ยงไว้ ยังอาศรมของตน
ครั้นกาลต่อมาเมื่อกุมารน้อยนั้นเติบใหญ่พหลปีติฤาษีจึงให้ชื่อกุมารน้อยนั้นว่า รัตตะกุมารคนหนึ่ง และยมกะกุมารหนึ่ง พร้อมกันนั้น พหลปีติฤาษีก็ได้ถ่ายทอดวิทยาคมทั้งปวงให้แก่กุมารทั้งสองนั้น เป็นอันดีสมชาติชายชาตรีทุกประการ
สำหรับรัตตะกุมารนั้นกล่าวว่าเป็นมานพน้อยมีรูปโฉมงดงาม ส่วนยมกะกุมารนั้นเล่าแม้จะด้อยในทางรูปสมบัติ แต่ก็มีความเชี่ยวชาญชำนาญในทางกระบวนยุทธ แลเวทย์อาคมทั้งปวง เป็นที่ชดเชยกันกับรูปสมบัติแห่งตนนั้น ไม่ยิ่งหย่อน อยู่มาเวลาหนึ่งกุมารทั้งสองซึ่งบัดนี้เป็นหนุ่มใหญ่ฉกรรจ์เข้าไปบังคับพระพหลปีติฤาษีผู้มีอุปการะดุจบิดาบังเกิดเกล้า ขอลาเข้าไปยังในบ้านในเมืองเพื่อหาโอกาสทำราชการหาความดีความชอบใส่ตนต่อไป พหลปีติฤาษีมีความอาลัยยิ่งนัก แต่ด้วยความเป็นผู้นำบำเพ็ญพรตสละโลกียวิสัยจึงตัดความอาลัยรักเสียนั้นได้ แล้วสั่งกำชับแก่กุมารทั้งสอง ผู้บุตรบุญธรรมนั้นว่ามาตร์แม้นได้เข้ารับราชการงานเมืองเป็นทหารแห่งพระราชา ณ แคว้นใดแล้ว อย่าไปถือว่า ตนเป็นผู้มีวิชาเก่งกล้าทำลายชีวิตมุนษย์และสัตว์โดยไม่จำเป็นเป็นอันขาด จงตั้งใจอยู่ในความไม่ประมาท อย่าทำอันตรายแก่ผู้ด้อยกว่าตนรัตตะกุมารและยมกะกุมารนพน้อยก็รับคำพหลปีติฤาษี แล้วออกจากอาศรม ของพระผู้มีคุณนั้นไปด้วยใจรันทดยิ่งนัก
เมื่อมานพน้อยทั้งสองออกจากพหลปีติฤาษีอาศรมไปไม่นานเท่าใดนัก เขาก็ได้เข้าไปเป็นทหารอาสาอยู่กับพระราชา ผู้ครองแคว้นแห่งหนึ่ง ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตประกอบกับความเป็นผู้มีฝีมือแห่งฤาษีบุตรทั้งสอง รัตตะกุมารได้ตำแหน่ง ทหารเอกแห่งแคว้น ส่วนยมกะกุมารได้ตำแหน่งที่ปรึกษาราชการงานแผ่นดินแห่งแคว้นในเวลาต่อมา ด้วยรัตตะกุมารนพเป็นผู้ที่มีรูปโฉมสง่างามสมชายชาตรีดังกล่าวแล้ว จึงเป็นที่เสน่ห์หาและหลงใหลแก่ราชธิดา ของพระราชาแคว้นนั้นแต่ความรักของรัตตะกุมารมานพและเจ้าหญิงมีอุปสรรคความทราบถึงราชบิดาเข้า ก็ไม่ทรงพอพระทัย เพราะเจ้าหญิงได้ถูกหมายหมั้นปั้นมือจากกษัตริย์ผู้บิดาว่าจะให้อภิเษกสมรสกับ เจ้าชายผู้ครองแคว้นอีกแคว้นหนึ่ง ซึ่งเป็นราชตระกูลกษัตริย์เท่าเทียมกันเจ้าหญิงจึงต้องถูกพรากตัวออกไป
จากราชวังที่พระองค์เคยประทับอยู่ด้วยความเกษมสำราญมาแต่ทรงพระเยาว์ รัตตะกุมารทราบเรื่องเข้ามีความแค้นเคืองพระราชาแห่งแคว้นเจ้าเหนือหัวของตนเป็นอย่างมากและวางแผนการณ์ ที่จะฆ่าเสีย ความทราบถึงยมกะกุมารมานพเข้า ผู้ปรึกษาราชการแคว้นจึงยับยั้งแผนการณ์ร้ายนั้นได้แล้วกล่าวเตือน ให้รัตตะกุมารมานพถึงคำสั่งของพหลปีติฤาษีรัตตะกุมารมานพทหารเอกจึงเดินทางเข้าไปพบพหลปีติฤาษี เล่าเรื่อง และความตั้งใจของตนที่จะฆ่ากษัตริย์ให้ฤาษีฟัง พหลปีติฤาษีกล่าวห้ามและให้โอวาทว่า การทำลายเบียดเบียน ชีวิตมุนษย์นั้นเป็นบาปมหันต์เวรจักไม่สิ้นสุด ชาตินี้เราฆ่าเขา ต่อชาติหน้าเวรนั้นจักสนองตอบ เขาต้องฆ่าเรา เป็นการตอบแทนบ้าง เป็นอย่างนั้นไม่มีที่สิ้นสุดแต่ความรักทำให้รัตตะกุมารตามืดตามัวเสียแล้ว ด้วยความคั้งแค้น และพิษแห่งความคั่งแค้นและพิษแห่งความเสน่หา รัตตะกุมารผู้มีฝีมือลืมถ้อยคำของพหลปีติฤาษีเสียสิ้น เขาเดินทางกลับเข้านคร ลอบเข้าไปในที่บรรทมของกษัตริย์ ใช้ดาบคู่มือทำร้ายพระราชาถึงสิ้นพระชนม์ เมื่อล้างแค้นแก่ผู้ที่พรากดวงใจเขาให้หลุดลอยไป แล้วรัตตะกุมารมานพก็กลับไปรับสารภาพผิดกับพหลปีติฤาษี พหลฤาษีเสียใจเป็นอย่างมากที่ศิษย์ของตนละเมิด โอวาทคำสั่งสอน รัตตะกุมารมานพผู้โสภาจึงสละเพศฆารวาสวิสัย ขอบวชประพฤตพรหมจรรย์บำเพ็ญพรตอยู่จนกว่า จะสิ้นชีวิตของตน รัตตะฤาษีเป็นผู้บำเพ็ญพรตมีศีลวัตรอันเคร่ง ครั้นเมื่อกาลจะสิ้นอายุขัย พหลปีติฤาษีเห็นใจได้ถามว่า รัตตะฤาษีปรารถนาพรอันใด ท่านทหารเอกแห่งแคว้นผู้พราดรักจึงตอบไปว่า แม้นไปเกิดในชาติปางใดก็ดี ขอให้มีเสน่ห์ เป็นที่รักของคนทั้งปวง ขออย่าให้มีศัตรูด้วยประการใดๆ เลย พหลปีติฤาษีว่าท่านเป็นผู้ฆ่าผู้เบียดเบียนอยู่จักยัง ไม่ไปเกิดในมุนษย์โลกได้ทันทีหรอก แต่ด้วยบารมีที่สร้างไว้แต่ปัจจุบันชาติในมัชฌิมวัยคือขณะนี้มีอยู่บ้าง กรรมจะมีปัจจัยให้เป็นวัตถุสิ่งหนึ่งที่มีชีวิตแต่หามีจิตใจไม่ วัตถุสิ่งนั้นจะมีคุณดั่งคำขอนั้นเถิด กล่าวพรจบ รัตตะฤาษีก็ถึงกาลกริยาและ ณ ที่ตรงอศุภแห่งรัตตะฤาษีนั้นต่อมาก็ได้บังเกิดพืชชนิดหนึ่งขึ้น มีดอกอันซ้อน มีสรรพคุณเป็นที่รักที่ชอบแก่คนทั้งปวงดั่งพรแห่งพหลปีติฤาษี คนทั้งหลายเรียกพืชนั้นว่า ต้นรักซ้อน ส่วนยมกะกุมารมานพ ครั้นภายหลังเมื่อย่างเข้าสู่วัยชราก็สละเพศฆราวาสวิสัย ออกบวชและจำศีลภาวนาอยู่ ณ ตรงอาศรมแห่งรัตตะกุมารผู้สหายกำเนิดนั้น จวบจนสิ้นอายุขัย ณ ตรงที่ยมกะกุมารฤาษีอดีตแห่งที่ปรึกษา ของพระราชากระทำกาลกิริยาดับขั้นธ์ลงไปก็บังเกิดเป็นพันธุ์แห่งผลไม่ชนิดหนึ่งชูช่อส่งผลอยู่เคียงคู่ต้นรักซ้อนนั้น คนทั้งลายเรียกกันว่าต้นยมกะ แล้วเพี้ยนกันมาจนเป็นมะยมในทุกวันนี้ ด้วยเรื่องราวแห่งความเป็นมาของรักซ้อนและมะยมมีมาด้วยมุขปาฐกดังกล่าวนี้ พระเกจิอาจารย์เจ้าท่าน จึงนำส่วนแห่งต้นไม้ทั้งสองมาแกะเป็นรูปกุมาร หมายเอาถือรัตตะกุมารและยมกะกุมารผู้กำเนิดแต่รัตตะอุบล เมื่อใช้ศิลปะการแกเป็นภาพกุมารทั้งสองนั้นแล้ว ก็ให้นามสั้นๆ ว่า "รักยม" อันคุณภาพของรักยมนั้น ท่านว่า อยู่กับผู้ใดเมื่อบำรุงเลี้ยงเขาทั้งสองจนดีแล้ว กุมารนั้นก็จะให้คุณเป็นการตอบแทนแก่เจ้าของอย่างสมใจ หรือตามแต่ท่านจะปรารถนาเป็นเอนกประการ
credit  http://www.bbznet.com/scripts/view.php?user=aramee&board=5&id=1&c=1&order=lastpost

25
พอดีว่ายันต์นี้หลวงพี่ต้อยเมตตาให้ผม..ไม่ทราบว่ายันต์นี้คือยันต์รายครับ ขออภัยด้วยครับเพราะรูปไม่ชัดจริงๆ

26
ขอถามหน่อยครับ...เสา-อาทิด นี้อาจารย์หนวดจะมาที่วัดมั้ยครับ...หรือท่านยังไม่กลับจากต่างประเทศ

27
ธรรมะ / น้ำมนต์ที่แท้จริง
« เมื่อ: 13 มิ.ย. 2551, 09:01:01 »
เหงื่อนั่นแหละคือน้ำมนต์ให้ผลเลิศ นำให้เกิดสุขสวัสดิ์พิพัฒน์ผล น้ำมนต์รด-รดเท่าไรไม่ช่วยคน จนกว่าตนจะมีเหงื่อเมื่อทำจริง จงรักเหงื่อเชื่อมั่นบากบั่นเถิด หน้าที่เกิดสมบูรณ์ดีมีผลยิ่ง เป็นพระเจ้ามาช่วยเราอย่าประวิง จะเป็นมิ่งขวัญแท้แก่ทุกคน พระพุทธองค์ทรงเคารพในหน้าที่ ดูให้ดีเหงื่อออกมามหาผล ใช้บูชาพระพุทธองค์มิ่งมงคล สาธุชนมีสุขเหลือเพราะเหงื่อ เอย ทำอะไรด้วยใจไม่หมายมั่น ว่า"ตัวฉัน" " ของฉัน" นั้นคุณหลาย ใจเย็นชื่นครื้นเครงเบาสบาย ทั้งร่างกายแคล่วคล่องว่องไวดี ทำไปพลางเสร็จไปพลางอย่างตั้งจิต แต่ไม่คิดว่าของใครที่ไหนนี่ ไม่มี "ตัว" ใครทำล้ำวิธี งานก็ดีคนก็สุขทุกวัน เอย ( พระพุทธทาส ภิกขุ )

28
ผมอยากทรายว่าหลวงพ่อเปิ่นของเรามีการทำ ผงยาจินดามณีออกมาบ้างมั้ยครับ..เห็นศูนย์พระบอกว่าเป็นของหลวงงพ่อเปิ่น ก็เลยงง

29
ช่วยแนะนำหน่อยสักยันต์ไหนได้ม้างที่บริเวณขาอ่อน...

30
รุ่นนี้รุ่นไรครับ ปล.ขิโทดนะครับรูปไม่ชัด

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

31
1.ถามว่าตะกรุดเสาร์5นี่ที่วัดยังมีอยู่หรือเปล่าหรือต้องไปเช่าที่วัดนกครับ
2.ถามว่าตะกรุดหนังเสือของหลวงพ่อเนี่ยที่วัดยังเหลือมั้ยครับ

32
1.พอดีผมได้เช่าตะกรุดยันต์เกาะเพชรมาตรงแผงที่วัดครับ..ไม่ทราบง่าทันหลวงพ่อปลุกเสกรึเปล่าครับ
2.ถ้าจะไปวัดกลางบางแก้วนี่ไปลงท่านาแล้วนั่งรถอะไรต่อครับ

33
วันนี้ผมไปสักกับหลวงพี่แป้วมาครับ ท่านให้7ยอด ผมอยากทราบว่ายันต์7ยอดมีพุทธคุณทางด้านไหน

34
1.ถ้าสมมติว่าไปวัดประมาณเที่ยงได้สักประมาณกี่โมงครับ(วันธรรมดา)
2.เวลาสักครั้งนึงประมาณกี่นาที
3.ครั้งแรกควรให้อาจารย์ท่านไหนจารให้ครับ
4.เวลาสักจะเหมือนถูกคัตเตอร์ทิ่มเนื้อหรือเจ็บกว่าคร

35
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / รบกวนถาม
« เมื่อ: 14 ธ.ค. 2550, 11:17:17 »
1.ผมอายุ17ปีา18ปี ท่านจะสักให้ผมมั้ยครับ
2.การสักนั้นเจ็บแค่ไหนครับ
3.สักน้ำมันนั้นต้องลงสีก่อนใช่มั้นครับ

หน้า: [1]