กระดานสนทนาวัดบางพระ

หมวด มิตรไมตรี => บทความ บทกวี => ข้อความที่เริ่มโดย: รวี สัจจะ... ที่ 02 ก.พ. 2553, 02:26:54

หัวข้อ: กวีลำนำ...ยามบ่ายกับสายลมร้อน
เริ่มหัวข้อโดย: รวี สัจจะ... ที่ 02 ก.พ. 2553, 02:26:54
๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕
ตถตาอาศรม ริมแม่น้ำโขง
         พักผ่อนยามบ่ายหลังจากใช้แรงงานปฏิบัติธรรมโยธากรรมฐาน เพราะความร้อนของแสงแดดและสายลม
แสงแดดที่แผดเผา สายลมพัดเอาไอร้อน มากระทบกาย ใบไม้แก่เริ่มร่วงหล่นเมื่อต้องลม กระจายบนพิ้นลานวัด
พิจารณาให้เป็นสัจจธรรม รำพันออกมาเป็นบทกวี ชี้ให้เห็นถึงความเป็นจริง ของสรรพสิ่งที่อยู่รอบข้างกาย....
               ใบไม้เอย.....
               ยามเจ้าอยู่บนกิ่งต้น
               เจ้ามีคุณค่ามากมาย
               สังเคราะห์แสงเป็นอาหาร
               หล่อเลี้ยงลำต้นพืชพันธ์
               สร้างสีสรรค์ให้ร่มเงา
               ใบไม้เอย.....
               เมื่อหมดสิ้ยอายุไขย
               ก็ร่วงหล่นไปตามวัย
               ทิ้งใบลงสู่พื้นดิน
               ทับถมกันนานวัน
               ย่อยสลายไปตามกาลเวลา
               มีคุณค่าเป็นปุ๋ยให้ดูดกิน
               คนเอย....
               ตั้งแต่เจ้ากำเนิดเกิดมา
               เจ้าเคยสร้างสิ่งที่มีคุณค่าแล้วหรือไม่
               เคยทำอะไรเป็นประโยชน์ต่อแผ่นดิน
               ถิ่นที่เจ้าได้อยู่อาศัยได้ใช้ประโยชน์
               จงได้โปรดพิจารณาดูเพราะเจ้ารู้แก่ใจ
               อย่าให้วันเวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์
               คนเอย......
               ชีวิตคือของน้อยแขวนห้อยอยู่กับลมหายใจ
               ตั้งอยู่มินานก็ต้องถึงกาลที่จะต้องจากไป
               ทรัพย์สินความรู้ทั้งหลายเอาติดตัวไปไม่ได้
               สิ่งที่เหลือไว้คือการกระทำที่ผู้คนจดจำ
               ทำดีคนก็กล่าวสรรเสริญยกย่องอาลัย
               ทำชั่วไว้คนก็สาปแช่งนินทาสมน้ำหน้า
               กาลเวลาผ่านไปผู้คนก็หลงลืม
               คนเอย......
               ชีวิตเจ้าอย่าไร้ค่ากว่าใบไม้
               ยังไม่สายสำหรับการเริ่มต้นใหม่
               สร้างประโยชน์ไว้แก่ตนและสังคม
               สั่งสมคุณงามความดีจารึกไว้ในแผ่นดิน
               เมื่อชีวิตเจ้าสูญสิ้นไป คนทั้งหลายระลึกถึง
               อย่าให้ครั้งหนึ่งที่เกิดมา...ชีวิตไร้ค่ากว่าใบไม้...
คำสอนในพระพุทธศาสนา นั้นสอนให้หันมาสู่ภายใน"โอปะนะยิโก"น้อมเข้ามาพิจารณา กาย ใจและการกระทำ
ของตัวเราเอง " จิตที่ส่งออกคิดแต่เรื่องภายนอก เป็นสมุหทัยคือเหตุให้เป็นทุกข์
                    จิตจะเป็นสุขเมื่อจิตเห็นจิต เห็นความคิดเห็นการกระทำ
                    ยอมรับในความเป็นจริงของสรรพสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป
                    ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิตเป็นนิโรธคือเห็นความดับไปเห็นที่สิ้นสุด
                    บทพิสูจน์ไม่ใช่เพียงความคิดหรือคำพูด แต่เป็นการกระทำ
                    น้อมนำสิ่งเหล่านั้นมาประพฤติปฏิบัติ ให้เห็นใน"ปัจจัตตัง"
                    ท่านก็จะเข้าถึงและเห็นความเป็น"ตถตา"รู้ว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง"
จึงขอฝากไว้ให้เป็นข้อคิดสะกิดเตือนใจแด่ท่านทั้งหลายให้คิดพิจารณา อย่าให้เวลาผ่านไปโดยไร้ประโยช์
ทั้งในทางโลกและทางธรรม"คิดดี พูดดี ทำดี และมีเจตนาที่ดี ผลย่อมออกมาดี"
          ด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิตแด่มวลมิตรทุกผู้คน
                 รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม-สมณะชายขอบ
๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๓ เวลา ๑๔.๒๗ น. ณ ศาลาน้อยริมน้ำโขง ชายขอบประเทศไทย
           
หัวข้อ: ตอบ: กวีลำนำ...ยามบ่ายกับสายลมร้อน
เริ่มหัวข้อโดย: yout ที่ 02 ก.พ. 2553, 03:15:58
ขอบพระคุณครับหลวงพี่................. :114: :114: :114: :114:.....................
หัวข้อ: ตอบ: กวีลำนำ...ยามบ่ายกับสายลมร้อน
เริ่มหัวข้อโดย: Lizm Club ที่ 02 ก.พ. 2553, 03:27:11
กราบนมัสการและขอบคุณค่ะ................ :054: :054: :054:
หัวข้อ: ตอบ: กวีลำนำ...ยามบ่ายกับสายลมร้อน
เริ่มหัวข้อโดย: ~เสน่ห์ack01~ ที่ 02 ก.พ. 2553, 04:15:35
              ชีวิตเจ้าอย่าไร้ค่ากว่าใบไม้
               ยังไม่สายสำหรับการเริ่มต้นใหม่
               สร้างประโยชน์ไว้แก่ตนและสังคม
               สั่งสมคุณงามความดีจารึกไว้ในแผ่นดิน
               เมื่อชีวิตเจ้าสูญสิ้นไป คนทั้งหลายระลึกถึง
               อย่าให้ครั้งหนึ่งที่เกิดมา...ชีวิตไร้ค่ากว่าใบไม้...



....กราบนมัสการขอบพระคุณสำหรับแง่คิดครับ....