กระดานสนทนาวัดบางพระ
หมวด บทสวดมนต์ และ คาถา => บทสวดมนต์ และ คาถา => คาถาอาคม => ข้อความที่เริ่มโดย: yimwann ที่ 07 ก.ค. 2556, 08:03:08
-
คาถาที่ใช้ท่องเพื่อทำให้เกิดความรัก เมตตา เอ็นดู เป็นอวิชชาหรือเปล่าคะ เป็นส่วนหนึ่งของการทำเสน่ห์หรือเล่นของหรือเปล่าคะ รบกวนผู้รู้ช่วยตอบด้วยค่ะ
-
คาถาที่ใช้ท่องเพื่อทำให้เกิดความรัก เมตตา เอ็นดู เป็นอวิชชาหรือเปล่าคะ เป็นส่วนหนึ่งของการทำเสน่ห์หรือเล่นของหรือเปล่าคะ รบกวนผู้รู้ช่วยตอบด้วยค่ะ
ภาวนาก่อให้เกิดสติและสมาธิกำลังใจที่ดีในทางพุทธคือกุศโลบายอย่างหนึ่งครับ ไม่ใช่การเล่นของ เมื่อความเชื่อมั่นเกิด ผลก็เกิดตามมาครับ
-
ธรรมชาติที่ไม่รู้ตามความเป็นจริง เรียกว่า "อวิชชา" มี ๘ ประการ คือ
ความไม่รู้ในทุกข์(ทุกเข อัญญาณัง) ๑, ความไม่รู้ในเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์(ทุกขสมุทเย อัญญาณัง-ไม่รู้สมุทัย) ๑, ความไม่รู้ในความดับทุกข์(ทุกขนิโรเธ อัญญาณัง-ไม่รู้นิโรธ) ๑, ความไม่รู้ในข้อปฏิบัติให้ถึงซึ่งความดับทุกข์(ทุกขนิโรธคามินิยา ปฏิทายะอัญญาณังไม่รู้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา) ๑, ความไม่รู้ในส่วนที่เป็นอดีต ๑, ความไม่รู้ในส่วนที่เป็นอนาคต ๑, ความไม่รู้ทั้งในส่วนที่เป็นอดีตและในส่วนที่เป็นอนาคต ๑ และความไม่รู้ในปฏิจจสมุปบาทธรรมอีก ๑ รวมเป็น "อวิชชา ๘" สรุปรวมคือ "ความไม่รู้ในอริยสัจ ๔" [เมื่อสิ่งนี้มี..สิ่งนี้จึงมี "อวิชชาปัจจะยา สังขารา.......ฯ" (ปะฏิจจะสะมุปปาทะปาฐะ)]
ความไม่รู้ ท่านจัดเป็นอวิชชา แต่ความรู้ในอีกหลายๆอย่าง ก็จัดเป็นอวิชชาได้เช่นกัน
มันเป็นเช่นนั้นเอง..(ตถตา).
-
อวิชชา แปลว่าความไม่รู้ครับ ไม่ใช่วิชามนต์ดำทำเสน่ห์ครับ คาถาเมตตามหานิยมเป็นการใช้อำนาจพระรัตนตรัยบารมีครูอาจารย์ช่วยในการทำมาหากินค้าขายดีคนมารักมาหลงมาอุดหนุนสินค้าซื้อง่ายขายดีแต่มีข้อห้ามในทางห้ามผิดศิลข้อ -3 ครับ เพราะว่าอำนาจพระรัตนตรัยบารมีครูอาจารย์จะเกิดผลและคุ้มครองผู้ประพฤติปฎิบัติดีเท่านั้นครับ ถ้าเป็นวิชาที่ทำเสน่ห์มนต์ดำ เค้าเรียกว่าเดรัจฉานวิชชาครับ พวกนี้ยิ่งแต่จะเพิ่มบาปเพิ่มกรรม แย่งผัวแย่งเมียกันไปแย่งกันมาไม่จบไม่สิ้นอาฆาต โกรธ หึง หวง คนที่เค้ารับทำของพวกนี้เค้าเรียกใช้พวกจิตวิญญานของพวกผี สัมภเวสีมั่ง มาสร้างกรรมสร้างบาปกันครับคือสรุป ทั้้งผีทั้งคนที่เป็นคนกระทำ ผู้ให้กระทำ รับกรรมกันไปเป็นทอดทอด มนุษย์ ครับ รัก โลภ โกรธ หลง ขึ้นอยู่ว่าใครมีมากมีน้อย ครับ
-
ขอบคุณทุกท่านมากค่ะ ที่ชี้แนะ
-
ธรรมชาติที่ไม่รู้ตามความเป็นจริง เรียกว่า "อวิชชา" มี ๘ ประการ คือ
ความไม่รู้ในทุกข์(ทุกเข อัญญาณัง) ๑, ความไม่รู้ในเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์(ทุกขสมุทเย อัญญาณัง-ไม่รู้สมุทัย) ๑, ความไม่รู้ในความดับทุกข์(ทุกขนิโรเธ อัญญาณัง-ไม่รู้นิโรธ) ๑, ความไม่รู้ในข้อปฏิบัติให้ถึงซึ่งความดับทุกข์(ทุกขนิโรธคามินิยา ปฏิทายะอัญญาณังไม่รู้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา) ๑, ความไม่รู้ในส่วนที่เป็นอดีต ๑, ความไม่รู้ในส่วนที่เป็นอนาคต ๑, ความไม่รู้ทั้งในส่วนที่เป็นอดีตและในส่วนที่เป็นอนาคต ๑ และความไม่รู้ในปฏิจจสมุปบาทธรรมอีก ๑ รวมเป็น "อวิชชา ๘" สรุปรวมคือ "ความไม่รู้ในอริยสัจ ๔" [เมื่อสิ่งนี้มี..สิ่งนี้จึงมี "อวิชชาปัจจะยา สังขารา.......ฯ" (ปะฏิจจะสะมุปปาทะปาฐะ)]
ความไม่รู้ ท่านจัดเป็นอวิชชา แต่ความรู้ในอีกหลายๆอย่าง ก็จัดเป็นอวิชชาได้เช่นกัน
มันเป็นเช่นนั้นเอง..(ตถตา).
ศาสนาพุทธ มีธรรม 2 ระดับ คือโลกุตระ และโลกียะ ในระดับโลกุตระ อ้างได้ตามนั้น แต่ในระดับโลกียะ คาถาที่ว่าดูตามวัตถุประสงค์ คุณไม่ใช้เพื่อผิดศีล 5 (เป็นอย่างน้อย) เป็นไปในธรรมทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ และสัมปรายิกัตถประโยชน์