ผู้เขียน หัวข้อ: บันทึกธรรม...๒๖ ส.ค.๕๒...เบื่อๆอยากๆ...  (อ่าน 1059 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ รวี สัจจะ...

  • รองประธาน
  • *****
  • กระทู้: 1137
  • รวี สัจะ-สมณะไร้นาม-วจีพเนจร
    • ดูรายละเอียด
    • รวี สัจจะ สมณะไร้นาม (เคลื่อนไหวดุจสายลม)
"เบื่อกับอยากเป็นของคู่กัน"
เมื่อความอยากเกิดขึ้นจิตก็ดิ้นรนขวนขวาย
หาเหตุและปัจจัยมาสนองตอบความอยาก
ถ้าสนองตอบตัณหาความอยากได้ จิตก็ยินดี
ถ้าไม่ได้ตามที่ปราถนา จิตมันก็เกิดปฏิฆะ
และเมื่อเสพในความอยากจนเต็มที่แล้ว
จิตมันก็จะเบื่อในอารมณ์นั้น ความอยากในสิ่งอื่นก็เข้ามาแทนที่
เป็นเช่นนี้เรื่อยมาคือ"อยากๆเบื่อๆแล้วก็เบื่อๆอยากๆ"
ตามกิเลสตัณหาที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงของอารมณ์
ถ้าเราไม่รู้เท่าทันอารมณ์เหล่านี้ ชีวิตของเราก็จะไม่มีความสุข
เพราะเราต้องดิ้นรนขวนขวายหาปัจจัยมาสนองตอบตัณหาไม่สิ้นสุด
แต่ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์
รู้เท่าทันอารมณ์ รู้จักข่มกิเลส ดับตัณหาลงได้
ใจเราก็จะไม่เร้าร้อนไม่วุ่นวายทุรนทุรายเพราะตามใจกิเลส
การที่จะข่มกิเลส ดับตัณหาลงได้นั้น ต้องอาศัยปัญญา
การคิดพิจารณา ให้เห็นทุกข์ เห็นโทษของกิเลสตัณหา
จนเกิดความเกรงกลัวและละอายในกิเลสตัณหานั้นขึ้นในจิต
มันจะเกิดความยับยั้งขึ้นในจิตทำให้เราไม่กล้าคิดและกล้าทำ
องค์แห่งคุณธรรมได้เกิดขึ้นในจิตของเราแล้ว
และถ้าเราเพียงแต่คิดได้ แต่ยังทำไม่ได้นั้น
แสดงว่าเรายังอ่อนกำลัง ยังเป็นผู้พ่ายแพ้
แพ้ต่อกิเลส แพ้ต่อตัณหา ยังเป็นผู้ห่างไกลจากองค์ธรรม
เป็นได้เพียงใบลานเปล่า เป็นเช่นภาชนะที่มีรอยรั่ว
มีประโยชน์ใช้สอยเพียงน้อยนิด...เพราะคิดแต่ไม่ทำ....
 :059:ขอบคุณกิเลสตัณหาที่มาเป็นแบบทดสอบอารมณ์ :059:
              เชื่อมั่น-ศรัทธา-ปรารถนาดี-ด้วยไมตรีจิต
            รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม-กลุ่มยุทธธรรมสัญจร
๒ กันยายน ๒๕๕๒ เวลา ๒๒.๔๗ น. ณ ศาลาน้อยริมน้ำโขง ชายแดนประเทศไทย

ใช่หวังจะดังเด่น  จึงมาเป็นสมณะ
เพียงหวังจะลดละ  ซึ่งมานะและอัตตา
เร่ร่อนและรอนแรม ไปแต่งแต้มแสวงหา
สัญจรร่อนเร่มา  ผ่านร้อยป่าและภูดอย
ลาภยศและสรรเสริญ  ถ้าหลงเพลินจิตเสื่อมถอย
พาใจให้เลื่อนลอย  จิตเสื่อมถอยคุณธรรม
       ปณิธานในการปฏิบัติธรรม

ออฟไลน์ Lizm Club

  • “The one thing you cannot teach a person is COMMON SENSE.”
  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 309
  • เพศ: หญิง
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: บันทึกธรรม...๒๖ ส.ค.๕๒...เบื่อๆอยากๆ...
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 02 ก.ย. 2552, 11:01:01 »
ขอบคุณสำหรับข้อคิดดีดีเกี่ยวกับกิเลสตัณหาน่ะค่ะแล้วพอจะมีการระงับอารมณ์เวลาโกรธบ้างหรือป่าวค่ะ.............ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
"ก่อนทีท่านจะว่าผู้อื่น ลองหันมองดูตัวเองก่อนเถิดว่าตัวเองนั้นเป็นเช่นไร ถ้าเราไม่ได้ดีกว่าเขาก็อย่าว่าเขาเลย".......

ออฟไลน์ รวี สัจจะ...

  • รองประธาน
  • *****
  • กระทู้: 1137
  • รวี สัจะ-สมณะไร้นาม-วจีพเนจร
    • ดูรายละเอียด
    • รวี สัจจะ สมณะไร้นาม (เคลื่อนไหวดุจสายลม)
ตอบ: บันทึกธรรม...๒๖ ส.ค.๕๒...เบื่อๆอยากๆ...
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 04 ก.ย. 2552, 11:00:42 »
ขอบคุณสำหรับข้อคิดดีดีเกี่ยวกับกิเลสตัณหาน่ะค่ะแล้วพอจะมีการระงับอารมณ์เวลาโกรธบ้างหรือป่าวค่ะ.............ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
การฝึกระงับอารมณ์ความโกรธนั้นมีหลายวิธีและหลายขั้นตอน แล้วแต่จังหวะ เวลา โอกาศ สถานที่ และตัวบุคคล
อย่างแรกคือหนีออกจากอารมณ์โกรธนั้น ทั้งทางกายและทางจิต
ทางกายก็คือเดินหนีคู่กรณีที่อยู่ตรงหน้า(ถ้ามีคู่กรณี)หรือเคลื่อนไหวทางกาย สลายทางจิต เปลี่ยนอิริยาบท หาสิ่งอื่นมาทำ
ทางจิตก็คือการย้ายจิตหนีอารมณ์โกรธนั้น ไปคิดถึงสิ่งอื่นแทน ไปคิดถึงสิ่งดีๆที่เราได้เคยทำมา อย่าไปปรุงแต่งในอารมณ์โกรธ
ที่กำลังเกิดขึ้น เพราะมันจะทำให้อารมณ์โกรธนั้นมันรุนแรงขึ้น พยายามตั้งสติและสัมปชัญญะให้กลับมา อย่างที่คนโบราณท่านว่า
"เวลาโกรธนั้นให้นับหนึ่งถึงสิบเสียก่อนแล้วจึงค่อยตอบโต้" เพราะเราจะมีเวลาตั้งสติได้
ขั้นตอนต่อไปก็คือการพิจารณากายและจิตของเรา...
ก่อนที่มันจะโกรธนั้น มันเริ่มจากความไม่พอใจไม่สบอารมณ์ ที่เรียกว่า "ปฏิฆะ"คืออารมณ์เริ่มขุ่นมัว
และถ้าเราไปปรุงแต่งมันอีกต่อไปก็จะกลายเป็นความโกรธคือความไม่พอใจที่มากขึ้น
และถ้าเรายังปรุงแต่งอีกต่อไปมันก็จะกลายเป็นโทสะ คือการที่ต้องการระบายออก ตอบโต้ ทำร้ายกัน
ความโกรธนั้นเกิดจากจิตและมีความสัมพันธ์กับกาย คือเมื่อเราเริ่มมีอารมณ์โกรธ ลมหายใจของเราก็จะเร็วขึ้น
เมื่อลมหายใจของเราเร็วขึ้น มันก็จะเกิดความร้อน หัวใจเต้นเร็วขึ้น เลือดลมสูบฉีดเร็วขึ้น
ทำให้ธาตุไฟในกายเรามีกำลังมากขึ้น ลมหายใจจะติดขัดเพราะจะหายใจเข้าออกสั้นลงและเร็วขึ้น
จะเกิดความร้อนที่หน้าท้องและทรวงอก ลมร้อนในกายจะขึ้นเบื้องบน ทำให้หน้าแดง หูอื้อ ตาลาย
ถ้าควบคุมไม่ได้ ปล่อยให้อารมณ์มันรุนแรงต่อไปเรื่อยๆ อาจจะทำให้เส้นโลหิตฝอยในสมองแตกได้
ถ้าเราพิจารณาได้ใจมันจะสงบลง เพราะเราได้เห็นทุกข์เห็นโทษของอารมณ์โกรธแล้ว
....ทุกอย่างต้องผ่านการฝึกฝน...ทุกคนยังมีอารมณ์โกรธกันอยู่ ถ้ายังไม่หมดกิเลส...
แต่อยู่ที่ใครจะระงับดับอารมณ์โกรธได้เร็วกว่ากันเท่านั้น...ให้มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปให้เร็ว
รู้เท่าทันในอารมณ์นั้น...โดยใช้สติและสัมปชัญญะ..หิริและโอตัปปะ...เข้ามาควบคุมอารมณ์...
.....ขอเจริญพร....