ผู้เขียน หัวข้อ: ประวัติครูบาคำเป็ง แห่งสำนัคสงฆ์มะค่างาม  (อ่าน 9474 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ oOkongkehaOo

  • ตติยะ
  • ***
  • กระทู้: 55
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
หลวงปู่บวชที่วัดทรงคุณ จ.ปราจีนบุรี บวชในสายหลวงปู่สมชาย วัดเขาสุกริม จันทบุรี

หลวงปู่บวชที่วัดทรงคุณ จ.ปราจีนบุรี บวชในสายหลวงปู่สมชาย วัดเขาสุกริม จันทบุรี
เรื่องของสมาธิ ส่วนมากเป็นเองแล้วตั้งแต่ก่อนบวช ไปนั่งก็มักเกิดขึ้นมาเอง
หลวงปู่ใช้คำภาวนาพุทโธ สมาธิดิ่งเข้าฌาน นั่งสงบไป ก็รู้ว่านี่คืออุปจารสมาธิ
นี่แหละคือปฐมญาณ นี่แหละโคตรภูญาณ อยู่ระหว่างปุถุชน กับอริยชาติ เราเข้าไปถึงจุดนั้น เสร็จแล้ว
ดูเหมือนจะเป็นพรรษาที่ 3
พรรษาแรก บวชปั๊บ เราตั้งใจว่า จะไม่นอนวันแรก วันแรกบวช เลยไม่นอนทั้งคืน แล้วนั่งภาวนา
ก่อนบวช เรานั่งสมาธิเต็มแล้ว โดยบริกรรมพุทโธ เราก็สำเร็จแล้ว
ทีนี้เราอยากรู้ใคร เราก็กำหนดจิตเข้าไป มันก็จะรู้หมด
ตอนหลังมา เจออาจารย์ นิมิตมันเกิด และอาจารย์ก็ถามว่า เกิดนิทิตอะไรบ้าง
เราก็บอก วันนั้น จิตสงบ เราเห็นตัวเราเอง ออกไปอยู่กลางทุ่งนา เราเลี้ยงไก่อยู่
มีไก่ตัวเมียกำลังให้ลูกหากิน แล้วก็ไก่ตัวผู้ เป็นไก่แจ้
ไก่ตัวผู้ก็แปลงร่าง มาเป็นอาจารย์วิทยา ไก่ตัวเมีย เป็นแม่ชี
ตอนนั้นอาจารย์กับแม่ชีกำลังจะนั่นกัน รู้สึกกระวนกระวายอยากสึก
เราก็พูดเรื่องแบบนี้ให้ท่านฟัง บอกว่าท่านเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
ท่านก็บอก เฮ้อ ดูถูกฉันทำไม หาว่าผมเป็นไก่ ผมมาจากชั้นอะไร แกก็พูดไปตามเรื่อง
ตั้งแต่นั้นมา เราก็ว่าจะไม่ดูใครแล้ว ถ้าดูแล้วมันเป็นดาบสองคม เขาไม่เชื่อก็เข้าเรา

 http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=267897&d=1200880100 
มีครั้งหนึ่ง เราภาวนาจนดำดิ่ง เข้าไปลึกสุด จนถึงขั้นมันพิจารณาตัวเองของมัน
ถึงบทอนิจจัง ดูสรรพสิ่งในโลกนี้ ล้วนอนิจจังหมด
มันพิจารณาจนพอแล้ว มันก็พิจารณาต่อไปขั้นทุกขัง มันเห็นสรรพสิ่งล้วนแต่เป็นทุกขังหมด
จบแล้วเราจะพิจารณาอนัตตา มันก็มีพลังตัวหนึ่ง ผลักออกมา ให้เราถอนออกจากสมาธิ
หมายถึงว่า เราพิจารณาไม่สำเร็จ มรรคผล ก็ไม่เข้ามาถึงเรา
เพราะอดีตชาติ เราปรารถนาพุทธภูมิ สร้างบารมีเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้า
เราก็ไม่ยอมลง เพราะเราไม่ได้ถอน(ถอนคำอธิษฐานจิต)
ตั้งแต่นั้นมา เมื่อจิตเราไม่ลงไปเป็นสาวกภูมิ และเวลาที่เหลือก่อนจะตาย เราจะทำอย่างไร


สิ่งที่เราชอบที่สุดคืออะไร สิ่งที่เราชอบตอนนั้น คือชอบศึกษาวิชา
ทำเครื่องรางของขลัง ทำพระเครื่อง ชอบที่สุด
เลยฝึกปลุกเสกมาเรื่อยๆ จนถึงปีหนึ่ง มาจำพรรษาอยู่ในเขตใกล้ๆ เพชรบูรณ์ มั๊ง
คนเขาก็ว่า หลวงพ่อ... เก่ง คนนั้นก็ว่า หลวงพ่อ.. เก่ง อีกคนก็ว่าหลวงพ่อ....เก่ง
โอ้ เก่งจริงหรือเปล่า เราบอก ทีนี้เราไม่มีเวลา เราบอกเราจะทดสอบดูว่า
ครูบาอาจารย์จะเก่งจริงมั๊ย ก็เลยถือดินปืนมา ขอดินปืนมาได้ ก็ทดลองครูบาอาจารย์
หลวงพ่อ.... หลวงพ่อ.... อะไรต่างๆ ส่วนมากจุดแล้วจะไม่อยู่
ของแก ฝึกแต่ของพื้นๆ ครูบาอาจารย์รุ่นใหม่ เลยเอาไม่อยู่
เสร็จจากนั้น เราก็ย้ายจากพิจิต ไปสุพรรณบุรี ก็ไปทดสอบหลวงพ่อ......
หลวงพ่อ.... ก็ไม่ค่อยอยู่ ก็ไปกาญจนบุรี อาจารย์ไหนเก่ง ก็จุดหมด ก็ไม่อยู
ออกจากนั้น ก็เดินทางไปนครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี ไปประจวบคีรีขันธ์
อาจารย์ไหนเก่งๆ ก็ทดสอบหมด ก็ไม่อยู่
ตอนอยู่ประจวบฯ วัดบางสะพานน้อย อาจารย์คนหนึ่งชวนไปพักวัดบางสะพานน้อย
หลังจากพักแล้ว ท่านก็บอกให้เราเฝ้าวัด แล้วท่านก็ไม่มา ปล่อยให้เราอยู่ตรงนั้น
เราก็เลยไม่รู้จะทำอะไร เขาไม่อยู่แล้ว เราอยู่คนเดียว ก็เงียบเหงา
ก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พุทธศาสนานี้ เขาบอกให้มันมี 5,000 ปี
อย่าเลย เราจะเสกคาถาให้ครบ 5,000 ชั่วโมง
ก็เริ่มเสกมาตั้งแต่ตรงนั้น เสกอยู่วัดนั้นได้ประมาณ 600 ชั่วโมง
ตอนนั้นเล่นแต่มหาอุตม์ มันมีแต่เห็นภาพอะไรต่างๆ อยากฟัง อยากลอง อยู่เรื่อย
จิตตอนนั้นมันเหิมเกริม ผ่านมา เราก็ต้องเสกอีกต่อไป ครบ 12,000 ชั่วโมง
มีแต่อยากไป ไม่อยากอยู่ ไปไหนก็ช่าง ขอให้ได้ไปเถอะ สบายใจ เสกครบ 12,000 ชั่วโมงแล้ว
อยากไป เราก็ว่า ทำไมจิตเรามันร้อนอย่างนี้ อย่าเลยหลังจากเที่ยวภาคใต้ แล้ว
ก็มาที่กาญจนบุรี มาบริกรรม ครบ 5,000 ชั่วโมง จิตมันก็เย็น อยู่ได้ ไม่เดือดร้อน
หลังจากออกพรรษาที่กาญจนบุรี ตอนนั้นเล่นวิชามหาอุตม์อยู่
เราเสกของให้เขาทดสอบยิงดู ยิงไปปั๊บดินมันไม่ออก ยิงด้วยปืนแก๊ปชาวบ้าน
ดินปืนมันออกรูหลัง ปู๊ด ขึ้นมา โยนปืนทิ้งเลย และบางทีมันยิงไม่ออก
และลูกปืนมันละลายคาอยู่ลำกล้อง เราก็คิดว่า เราฝึกวิชาทางนี้มาพอสมควร
เอาละ แค่นี้ก็พอแล้ว ต่อไปจะศึกษาธรรมะ ก็มาอยู่ จังหวัดกำแพงเพชร
อยู่ไปอยู่มา เงินที่มีก็ใช้จนหมดไม่เหลือ บอกให้ทายก ช่วยเอายาพารา มาให้หน่อย
มันก็ไม่ยอมเอามาให้ เราจะทำอย่างไรหนอ ในเมื่อเราไม่สบาย


เหตุผลที่ไปอยู่กำแพงเพชรนี้ เราตั้งใจมาศึกษาธรรมะ แล้วเราอยู่ วัดนั้น
ออกไปเดินบิณฑบาต เขาก็ใส่บาตรดี วันสองวันแรก วันที่สาม พอถามว่าเราอยู่วัดไหน
เราบอกเราอยู่วัดนี้ เสร็จแล้วต่อมา เขาไม่ใส่บาตรให้เลย
เราก็ถามว่า ทำไมไม่ค่อยใส่บาตร เขาว่า วัดนี้เจ้าอาวาสเคยเอาผู้หญิงมาอยู่ด้วย
เป็นพระปาราชิก พระแถวนี้ก็คงพอกัน เขาก็เลยไม่ใส่
เราก็คิดว่า เฮ้อ เราก็ไม่มีการมีงานอะไร อย่าเลย เราจะต้องทดสอบดูว่า อยู่นี่แล้วจะเป็นอย่างไร
เราก็อยู่ตรงนั้นมาเรื่อยๆ เสร็จแล้ว เงินไม่มีจะซื้อยา จะทำยังไง
ก็เลยเห็นคนมา เลยเอาพระมาเสกตั้งไว้ เอาดินปืนวางขอบวางพระตรงกลาง
จุดให้เขาดู จุดแล้วมันติด แต่มันไม่ข้าม เขาก็บูชาไป 10,20,30 ก็พอได้เงิน
เป็นรุ่นอีเป๋อ แต่ไม่ใช่รุ่นยิมนาสติก เป็นแม่อุมา ก็ได้เงินตรงนั้น
ทีนี้เขาเอาไปแล้ว บางคนมาบอกว่า เอ้อ พระเครื่องของท่านนี้ ขายของดี บางคนบอกว่า ขายของไม่ได้เลย
มันพูดเข้าหูเราบ่อยๆ ว่าพระเครื่องเรามันขายของไม่ดี เราก็เลยยัวะ ทีนี้อย่าเลย จะฝึกทางเมตตาดู
ก็เลยฝึกจากนั้นมา เข้าปัจจุบันนี้ ใช้เวลาประมาณ 11 ปี ฝึกของเมตตานี่ ก็มีแค่นั้น

ตามที่ได้เล่าเรื่องของครูบาคำเป็งมาจนถึงจุดที่ปู่ได้ทดลองสัมผัสพลังต่างๆไปแล้วนั้น วันนี้มาต่อกันอีกครับ

-การบริกรรม อยู่เทียนตลอดเวลา พอหลับตาจะสว่างเห็นหมด
-หายใจเข้า ออก สองสามครั้ง ก็เข้าสมาธิได้แล้ว เป็นวสี
-แม่อุมา ถ่ายทอดพลังมายังปู่ เป็นพลังเย็นซึมเข้าตัว เป็นสิบๆครั้งแล้วหยุด
พลังแม่กวนอิม พลังแบบไปเรื่อยๆ


พลังแม่อุมา เปรียบเหมือนฟ้าแลบ ฟ้าผ่า พลังลมเปรี้ยงปร้าง
พลังแม่กวนอิม ออกมาในลักษณะ กระแสน้ำไหล ไม่ขาดตอน


สององค์นี่ เห็นด้วยตาเนื้อ ไม่ได้เห็นด้วยตาใน เห็นแต่ไม่เคยคุย

พระรุ่นแรกของหลวงปู่คือแม่อุมา หลวงปู่บอกว่า ถ้าเราไปทำอย่างอื่นแล้วไปทดสอบปืน มันไม่สมควรถ้าเป็นรูปอีเป๋อ ไม่เป็นไร เช่นเราทำตะกรุด สมัยนั้น ทำตะกรุด เสกตั้ง 10 วันถึงจะปืนยิงไม่ออก
ถ้าเสกแม่อุมา 3 วัน ก็ยิงไม่ออก ธาตุของเรากับธาตุตัวนี้มันถูกกันหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถึงไว บางทีคาถาบทเดียวกันนะ



ตะกรุดส่วนมาก เสก เขียน พวก นะโมพุทธายะ นะโมวิมุติมัง สายหลวงปู่มั่นแรกๆ ยังไม่ทำเป็นอีเป๋อนะ ทำเป็นมีผ้าพัน เอาไปเสก ก็ไม่ออก เสกตั้งแต่เป็นฆราวาสแล้ว


เป็นฆราวาส ฉันเคยปั้นลูกอมเล็กๆ หลวงพ่อ.....นี่ ท่านเอาไม้ไผ่ตัน เช่ามา 300 มายิง ไม่อยู่ฉันก็ใช้คาถาปั้นลูกอม ปูนกะขี้เถ้า เสกแล้ว อิติปิโสถอยหลัง กับมหาอุตม์ บทสองบท ก็ยิงไม่ออกของหลวงปู่..... กระจุยเลย เราเลยบอก หลวงปู่.....ไม่ขลังพอ
สมัยฆราวาส สมาธิไม่เข้า มาบวชจึงทำสมาธิเป็นใครพูดเรื่องคาถา เราชอบ เราต้องไปดู ไปศึกษากับเขาส่วนมากวิชาที่เราได้เป็นวิชาแบบครูพักลักจำ แบบห้วนๆมา แล้วมาปะติดปะต่อ


ตอนทำลูกอม ก็อายุ 40 กว่าแล้ว ประมาณ 49-50 หลวงปู่บวชตอนอายุ 49 ตอนนี้ 17 พรรษาแล้วเราก็ 66 เกิด พ.ศ.2484 เดือนยี่ เทียบประมาณวันที่ 1 มกราคม 2484

พรรษาแรก อดข้าง 16 วัน ติดต่อกัน
พรรษาที่สอง ฉันวันเว้นวัน ตลอด 3 เดือน
พรรษาที่สาม อด 9 วัน กินข้าว 1 วัน
พรรษาที่สี่ กินแต่ข้าวเปล่า 3 เดือน จนร่างกายทนไม่ไหว แทบช๊อค
บางพรรษา ไม่กินข้าว กินแต่ผลไม้ มันก็อยู่ได้


ตอนอด 16 วัน วันที่ 12 ร่างกายไม่ไหวใจจะขาด คิดว่าพรุ่งนี้จะไม่อด
ก็ลงมา เห็นสปอนเซอร์ ก็กินไป พลังก็คืนมา เหมือนเดิม ก็เลยอดได้ 16 วัน
แต่มาคิดว่า อดข้าว แต่ไม่อดกาแฟ เลยไม่อยากหลอกตัวเอง

..............................................จบบริบูรณ์...................................................



  ขอขอบคุณ
http://www.kampang.com  และลูกศิษย์
การเล่นดนตรีนั้นต้องใช้จิตใจไม่ใช่เล่นตามกระแส เพราะถ้ามันไม่ออกมาจากจิตใจ คนฟังก็คงไม่คิดว่ามันเพราะ



คุนลองเล่นกีตาร์ในห้องน้ำดูสิ แล้วคุนจะได้ซาวไหม่ในบ้านคุน 555+