ผู้เขียน หัวข้อ: หอคำ พระราชวังของกษัตริย์เชียงใหม่  (อ่าน 5913 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ขุนส่อง

  • คนเหนือ เหนือคน
  • ฉัฏฐะ
  • *
  • กระทู้: 199
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล


คุ้มหลวงริมแม่น้ำปิงเป็นที่ประทับของเจ้าแก้วนวรัฐ (ถูกรื้อเป็นตลาดวโรรส)


หอคำ พระราชวังของกษัตริย์เชียงใหม่  

คำว่า หอคำ เป็นคำของคนไทหลายกลุ่มที่ใช้เรียกที่อยู่ของเจ้าผู้ครองเมืองหรือที่เรียกในภาษาสันสกฤตว่ากษัตริย์ คำว่าหอคำก็คือคำว่าพระราชวังที่คนไทยรู้จักกันดี
          กลุ่มคนไทที่เรียกพระราชวังว่าหอคำ ได้แก่คนไทใหญ่ ไทเขิน ไทลื้อ ไทยอง ไทอาหม และไทยวน การศึกษาของบรรจบ พันธุเมธา (ไปสอบคำไท. 2522) คนไทเขินในเมืองเชียงตุง คนไทใหญ่ในเมืองไทย รัฐฉานของพม่าเรียกที่อยู่ของเจ้าผู้ครองเมืองว่า หอคำ และหอเจ้าฟ้า
          การศึกษาของเรณุ วิชาศิลป์ (พงศาวดารไทอาหม. 2539) พบว่าคนไทอาหมแห่งรัฐอัสสัมของอินเดียภาคตะวันออกติดกับพม่าเรียกที่อยู่ของเจ้าผู้ครองเมืองว่าหอนอน หรือหอหลวง
          ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ของเชียงใหม่และล้านนาเรียกที่อยู่ของเจ้าผู้ครองเมืองเชียงใหม่และล้านนา ว่า ?หอคำ? โดยตลอด
          ส่วนคนไทในสยมอยู่ใกล้ชิดกับอารยธรรมของเขมรซึ่งรับอิทธิพลมาจากอินเดียอีกทอดหนึ่ง คนไทสยามจึงหันไปใช้คำว่า ?พระราชวัง?หรือ ?พระบรมมหาราชวัง? รวมทั้งคำว่ากษัตริย์ก็ได้รับอิทธิพลมาจากเขมร ขณะที่คนไทกลุ่มอื่น ๆ ใช้คำว่าเจ้าเมืองหรือเจ้าฟ้าเพื่อเรียกกษัตริย์
          เนื่องจากคนไทสยามสามารถสถาปนาอาณาจักรขึ้นได้อย่างมั่นคง แต่คนไทกลุ่มอื่น ๆ ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ และยังสูญเสียอำนาจการปกครองและศิลปวัฒนธรรมตลอดจนภาษาถูกทำลาย คำว่า ?หอคำ? จึงค่อย ๆ หายไป คนไทยทั่วประเทศจึงรู้จักแต่คำว่าพระราชวัง
          นอกจากคำว่า ?หอคำ? ยังมีคำว่า ?คุ้มหลวง? ที่ใช้ในความหมายเดียวกันและปรากฏในเอกสารตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ด้วย นั่นคือคำว่า พระบรมมหาราชวัง นั่นเอง
          แต่คำว่า ?คุ้ม? คำเดียวแปลได้ 2 อย่างคือ คุ้มที่หมายถึงหอคำ คือที่ประทับของเจ้าผู้ครองเมือง ซึ่งถ้าต้องการความหมายที่ชัดเจนก็ต้องใช้คำว่า คุ้มหลวง แต่หากเป็นคำว่าคุ้ม ยังอาจหมายถึงที่ประทับของเจ้านายในแง่นี้ คำว่าคุ้ม คำเดียวอาจหมายถึงคำว่า ?วัง? ในภาษาไทย
          กล่าวอีกแง่หนึ่ง คุ้มหรือวังมีได้หลายแห่งเพราะเจ้านายมีหลายคน แต่คำว่าคุ้มหลวง หรือหอคำก็คือพระราชวัง แม้จะมีหลายแห่งแต่ก็เป็นของเจ้านายทั่ว ๆ ไป จากการสำรวจของสมโชติ อ๋องสกุล ในปี พ.ศ. 2537 คุ้มภายในเขตกำแพงเมืองเชียงใหม่มีประมาณ 25 คุ้ม แบ่งออกได้เป็น 6 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 1. คุ้มที่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดีจากทายาท 2. คุ้มที่ทายาทขายไป แต่ยังคงได้รับการดูแลรักษาอย่างดี 3. คุ้มที่ทายาทรื้อเพื่อถวายวัด 4. คุ้มที่ทายาทมอบให้ทางราชการ แต่ถูกรื้อไปแล้ว 5. คุ้มที่ทายาทขายให้คนอื่น และถูกรื้อไปแล้ว เหลือแต่รูปภาพ และ 6. คุ้มที่เหลือแต่ภาพ
          การที่คนไทในบริเวณหุบเขาต่าง ๆ คือ ไทลื้อ ไทยอง ไทยวน ไทใหญ่ ไทเขิน และไทอาหม มีคำใกล้เคียงกัน ก็สะท้อนให้เห็นประเด็นสำคัญ 4 ข้อคือ
          หนึ่ง ความเป็นมาที่คล้ายคลึงกันเพราะอยู่ใกล้เคียงกันและรับอิทธิพลเดียวกันและ
          สอง คนไทสยามอยู่ใกล้เขมร ชื่นชมและยอมรับอารยธรรมเขมรและอินเดียคนไทสยามจึงรับอารยธรรมเหล่านั้นมาเป็นของตน และเมื่อสามารถสร้างอาณาจักรไทยได้ และเข้ายึดครองรัฐของคนไทกลุ่มอื่น ๆ รัฐไทสยามจึงขยายอิทธิพลทางวัฒนธรรมของเขมร ? อินเดียไปยังท้องถิ่นต่าง ๆ คำที่มีอยู่เดิมในแต่ละท้องถิ่นจึงเลือนหายไป แทบไม่มีใครรู้จัก ขณะที่คำจากไทสยามและวัฒนธรรมสยามเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ ในท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วประเทศ
          สาม การที่กลุ่มคนไทส่วนใหญ่อยู่ในหุบเขา มีวัฒนธรรมร่วมกันค่อนข้างมาก และวัฒนธรรมเหล่านั้นเปลี่ยนแปลงช้าด้วยสภาพภูมิรัฐศาสตร์ดังกล่าว อาจสะท้อนให้เห็นรากเหง้าหลายประการที่คนไทในอดีตเคยมี แต่เนื่องจากกลายเป็นเมืองขึ้นหรือสิ้นไร้อำนาจการเมือง วัฒนธรรมจึงถูกละเลยและทำลายตามไปด้วย และ
          สี่ การที่คนกลุ่มใดก็ตามจะอวดอ้างความเป็น ?ไท? หรือ ?ไทย? และโฆษณาศิลปวัฒนธรรมของคนไทกลุ่มอื่น จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรและสร้างความเสียหายให้แก่วัฒนธรรมและคน ?ไท? มากขึ้นเรื่อย ๆ

หอคำของกษัตริย์เชียงใหม่
          เมื่อพญามังรายยกทัพเข้าโจมตีและยึดเมืองหริภุญไชยได้ในปี พ.ศ. 1835 หลังจากนั้นจึงมาสร้างเวียงกุ๋มคามในปี พ.ศ. 1837 ตั้งอยู่ในเขตอำเภอสารภีในปัจจุบันและมาสร้างเวียงเชียงใหม่ให้เป็นศูนย์อำนาจบนลุ่มแม่น้ำปิงในปี พ.ศ. 1839 ส่งผลให้เมืองเชียงใหม่เป็นศูนย์อำนาจของรัฐล้านนาซึ่งรวมเอาลุ่มน้ำกก และลุ่มน้ำปิงเข้าด้วยกันกระทั่งสามารถแผ่อิทธิพลไปถึงลุ่มแม่น้ำวัง ยม และน่าน กลายเป็นรัฐที่เข้มแข็งที่สุดในบริเวณหุบเขาทั้งหลายที่ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างแม่น้ำโขงและแม่น้ำคง (สาละวิน)
          การที่พญามังรายมิได้อาศัยเมืองหริภุญไชยเป็นศูนย์อำนาจของรัฐใหม่หลังจากที่ยึดได้แล้ว มิได้อาศัยเวียงเจ็ดลินและเวียงสวนดอก (ซึ่งอยู่ในบริเวณมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และรอบ ๆ ในปัจจุบัน) แต่ได้สร้างเมืองใหม่อีก 2 เมืองคือ เวียงกุ๋มคาม และเวียงเชียงใหม่ ย่อมต้องมีเหตุผลบางประการที่ควรศึกษาค้นคว้าต่อไป
          ใน ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ (ปริวรรตโดยอรุณรัตน์ วิเชียรเขียวและเดวิด วัยอาจ, 2540) พญามังรายได้สร้างอาคารต่าง ๆ หลายหลังได้แก่หอนอน ราชวังคุ้มน้อย โรงคัล (สถานที่เข้าเฝ้า) โรงคำ (ท้องพระโรงที่เสด็จออกราชการ) เหล้ม (พระคลังมหาสมบัติ) ฉางหลวง (ที่เก็บเสบียง) โรงช้าง โรงม้า ฯลฯ แต่ทั้งหมดนี้รวมกันอยู่ในบริเวณหอคำ
          ดังนั้น คำว่าหอคำ จึงอาจหมายถึงเฉพาะหอที่ประทับ หรือบริเวณทั้งหมดที่เป็นของกษัตริย์ก็ได้
          ต่อมาภายหลัง เมื่ออิทธิพลของวัฒนธรรมเขมร-อินเดียที่ไทสยามรับเข้ามาเผยแพร่ บวกกับคำบาลี-สันสกฤตที่เข้ามาทางวัฒนธรรมพุทธศาสนา คำใหม่ ๆ ก็เกิดขึ้นด้านหนึ่งสะท้อนให้เห็นพัฒนาการด้านภาษาอีกด้านหนึ่ง สะท้อนว่าอำนาจของผู้หกครองย่อมเพิ่มขึ้นได้ด้วยปัจจัยหลายด้าน เช่นด้านภาษา และศิลปวัฒนธรรม เป็นต้น
          ใน ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่คำว่าหอคำ ไม่เพียงแต่หมายถึงที่ประทับหากยังเป็นคำเรียกพระนามของกษัตริย์บางพระองค์ เช่น คำว่า ?สมเด็จพระเป็นเจ้าหอคำลคอน? (ลำปาง) ส่วนในงานของบรรจบ พันธุเมธา (ไปสอบคำไท) เจ้าฟ้าของรัฐต่าง ๆ ในเขตฉาน ไม่ว่าจะเป็นคนไทเขินหรือไทใหญ่ ก็มีคำว่า ?เจ้าหอคำ? ?ขุนหอคำ? ซึ่งอยู่ในแนวเดียวกับคนอยุธยา มีกษัตริย์ทรงพระนามว่า ?พระเจ้าปราสาททอง?

เวียงแก้ว ? เวียงของกษัตริย์เชียงใหม่

          เวียงแก้ว คือเวียงของกษัตริย์หมายถึงเขตพระบรมมหาราชวังของรัฐสยามนั่นเอง เมื่อเป็นเวียงก็ย่อมหมายถึงมีกำแพงล้อมรอบ
          เวียงแก้วของเวียงเชียงใหม่ตั้งอยู่ในเขตกำแพงเมืองเชียงใหม่ ภายในเวียงแก้วมีหอคำอันเป็นที่ประทับ หอกลอง โรงคัล โรงคำ เหล้ม และอื่น ๆ ที่ได้กล่าวไปแล้ว
          เวียงแก้ว ในที่นี้จึงมีความหมายกว้างกว่าคำว่าหอคำ เพราะเวียงแก้วรวมอาคารทั้งหมดไว้ภายใน
          คำว่า แก้ว เป็นสิ่งของมีค่า ต่อมาจึงกลายเป็นคำคุณศัพท์ แปลว่า ดี มีคุณค่าคำนี้จึงนำไปใช้กับสิ่งอื่นที่มีคุณค่า เช่น นางแก้ว เมียแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว ลูกแก้ว (ลูกชายที่ออกบวชเป็นสามเณร ส่วนบริเวณรอบพระเจดีย์ ก็เรียกว่า ?ข่วงแก้ว?
          จากประตูช้างเผือก ซึ่งอยู่ด้านทิศเหนือ อันเป็นเดชเมือง (หนึ่งในทักษาเมือง) บริเวณต่อจากนั้นจะเป็นที่โล่งกว้าง เรียกว่า ?ข่วงหลวง? หรือ ?สนามหลวง? เวียงแก้วจึงอยู่บริเวณใกล้ ๆ เขตหัวข่วง ที่ปัจจุบันคือวัดหัวข่วง ด้านทิศตะวันตก

คุกในหอคำ
          คุกหรือที่คนเมืองเรียกว่า ?คอก? ซึ่งมีไว้เพื่อจองจำนักโทษทั้งหลาย เอกสารในอดีตชี้ให้เห็นว่าคุกตั้งอยู่ในคุ้มหลายแห่งมิใช่มีคุกเดียวในคุ้มเดียว และมิใช่ว่าคุกมีเฉพาะในหอคำเท่านั้น
          หมายความว่าเจ้าหลวงและเจ้าายในอดีตมีอำนาจมากสามารถจับกุมคุมขังไพร่ที่ฝ่าฝืนคำสั่งหรือกระทำผิดกฎหมายหรือศีลธรรมของยบ้านเมือง หรือไม่พอใจไพร่ทาสบางคนด้วยเหตุผลบางประการ เมื่อจับกุมคุมขังนักโทษ จึงต้องมีคุกไว้ วิธีการในสมัยก่อนก็คือสร้างคุกภายในบริเวณคุ้ม เพราะแต่ละคุ้มมีทหารและข้าราชบริพารคอยดูแลอยู่แล้ว ก็เพิ่มภาระให้ทหารเหล่านั้นดูแลคุกอีกอย่างหนึ่ง หรืออาจเพิ่มจำนวนทหารเพื่อทำหน้าที่ดูแลตรวจตราคุกเป็นพิเศษ
          แรกเริ่มอาจเป็นห้องใดห้องหนึ่งโดยเฉพาะ ต่อมานานเข้า หรือเห็นว่านักโทษต้องมีสถานที่ลงโทษพิเศษ ก็อาจมีการสร้างอาคารเฉพาะหรือขุดดินลงไปให้นักโทษอยู่เพื่อยากแก่การหลบหนี
          คุกกลางหรือคุกหลวงน่าจะหมายถึงคุกที่คุมขังนักโทษด้วยศาลลูกขุนที่แต่งตั้งโดยเจ้าหลวง เป็นคุกที่คุมขังนักโทษที่ทำผิดต่อรัฐหรือต่อบ้านเมือง หรือต่อบุคคลที่ผู้นำระดับเจ้าหลวงเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องลงมาดูแลเอง ส่วนคุกที่อยู่ภายในของแต่ละคุ้มเป็นคุ้มเล็ก ๆ ที่สร้างขึ้นเพื่อลงโทษผู้กระทำผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ เฉพาะภายในคุ้มนั้นนั่นเอง เช่น ลักเล็กขโมยน้อย หรือไพร่ทาสภายในคุ้มทะเลาะตบตีกัน เป็นชู้กัน หรือทำงานไม่เป็นที่พอใจของเจ้านาย หรือเจ้านายไม่ชอบใจไพร่ทาสบางคน ฯลฯ
          อำนาจอันล้นฟ้าในระบอบศักดินาทำให้เจ้าหลวงและเจ้านายสามารถสั่งจับกุมคุมขังใครก็ได้อยู่แล้ว ในเมื่อทายแก้ต่างก็ไม่มีกฎหมายก็ไม่มีชัดเจนในหลายกรณี จึงขึ้นอยู่กับว่าผู้มีอำนาจมีธรรมะเพียงใด และไพร่ทาสแข็งแกร่งมีอำนาจต่อรองระบบที่กดขี่ขูดรีดได้แค่ไหน
          เช่น จากเอกสาร ?คอกในคุ้ม คุ้มในคอก? ของสมโชติ อ๋องสกุล (2545) ในสมัยเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าหลวงหรือเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 7 ในราชวงศ์กาวิละ (พ.ศ. 2413-2440) คุกของเมืองเชียงใหม่ (อาจารย์สมโชติใช้คำว่าคุกที่เป็นทางการ ผู้เขียนเห็นว่าน่าจะเหมือนกับคำว่าคุกกลาง หรือ State prison มิใช่คุกของเจ้านายองค์ใดองค์หนึ่ง) อยู่ในคุ้มของเจ้าอินทวิชยานนท์ คุ้มนี้ตั้งอยู่ที่บริเวณสถานีตำรวจกองเมืองบนถนนราชดำเนินในปัจจุบัน
          เมื่อเจ้าอุปราชบุญทวงศ์สิ้นชีวิตในปี พ.ศ. 2425 เจ้าอินทวิชยานนท์ได้ใช้คุกในคุ้มเจ้าบุรีรัตน์ (มหาอินทร์) เป็นคุกทางการ คุกนี้ตั้งอยู่ที่บริเวณกลางเวียง เจ้าบุรีรัตน์ผู้เคยเป็นแม่ทัพปราบกบฏพญาผาบที่อำเภอสันทรายในช่วงปี พ.ศ. 2432-2433 น่าเชื่อว่าครั้งนั้นเมื่อชาวนากบฏจำนวนมากถูกจับกุมกบฏชาวนาจากสันทราย ดอยสะเก็ด สันกำแพง สารภี และหางดงที่ถูกจับกุมในกรณีกบฏดังกล่าวถูกนำมาคุมขังที่นี่ก่อนการประหาร
          เรื่องนี้สามารถสืบได้ว่าคุกในกรุงเทพฯและอยุธยาตั้งอยู่ที่ใด มีการคลี่คลายอย่างไร แต่สำหรับคุกในสมัยราชวงศ์กาวิละที่มีหลายแห่งภายในคุ้มต่าง ๆ สะท้อนให้เห็นข้อเท็จจริงและข้อสังเกตบางประการ ดังต่อไปนี้
          ประการแรก การที่เจ้าอินทวิทชยานนท์ใช้ทุกในคุ้มของเจ้านายบางองค์เป็นคุกทางการหรือคุกกลางน่าจะแสดงว่า คุกในหอคำไม่มี อาจจะด้วยเหตุผลว่าไม่ต้องการให้สิ่งไม่ดีอยู่ในหอคำ ด้วยหวั่นเกรงอันตรายหรือความสกปรก ฯลฯ ขณะเดียวกันก็แสดงว่าเจ้าายเจ้าของคุ้มมที่คุกนั้นเป็นคุกกลางเป็นบุคลที่เจ้าหลวงไว้ใจ ว่าจะต้องมีระบบการป้องกันนักโทษหลบหนีอย่างดี
          ประการที่สอง การที่คุกอยู่ในคุ้มใดคุ้มหนึ่งหรือหลายคุ้ม ย่อมสะท้อนให้เห็นระบบการบริหารราชการอย่างง่าย การจัดแบ่งหน่วยงานยังไม่หลากหลาย กล่าวคือ ระบบการบริหารดังกล่าวมิได้จัดตั้งคุกเป็นพิเศษ เช่น ตั้งอาคารอยู่นอกกำแพงเมืองหรือแบ่งเขตรั้วให้ชัดเจน มีเจ้าหน้าที่ดูแลชัดเจนตามหน่วยราชการที่ตั้งขึ้น
          ดังที่ได้กล่าวแล้ว การมีคุกอยู่ในคุ้มก็อาศัยทหารภายในคุ้มนั่นเองทำหน้าที่ดูแลนักโทษในคุก อยู่ไม่ไกลจากสายตา ดูแลง่าย ไม่ต้องเพิ่มกำลังพลเพื่อดูแลเฉพาะคุก
          ประการที่สาม มีความเป็นไปได้อย่างมากที่นักโทษในแต่ละคุ้มมีจำนวนไม่มากนัก จึงถูกคุมขังไว้ในแต่ละคุ้ม เพราะถ้าหากมีมากมาย ก็ย่อมมีความจำเป็นที่รัฐจะต้องคิดถึงการจัดตั้งหน่วยงานพิเศษเพื่อดูแลควบคุมนักโทษได้อย่างมีประสิทธิภาพ
          กล่าวโดยสรุป หอคำเป็นพระราชวังของกษัตริย์เมืองเชียงใหม่และเมืองต่าง ๆ ของคนไทยหลายกลุ่มหลายเมืองในบริเวณหุบเขาตั้งแต่ล้านนาขึ้นไป ส่วนเวียงแก้วแสดงให้เห็นบริเวณหอคำที่มีกำแพงล้อมรอบชัดเจน และคุ้มแต่ละแห่งมีคุกอยู่ภายในเพื่อคุมขังนักโทษ แต่คุ้มหลวงหรือเวียงแก้วหรือหอคำนั้นไม่มีคุก แต่คุกกลางอยู่ในคุ้มบางแห่งที่เจ้าหลวงชอบ??

 :002:  :002:  :002:  :002:  :002:  :002:


 


นะโมพุทธายะ  ยะนะมะ  พะทะจะ  ภะกะสะ  นะมะอะอุ
สุวิอะ  นะสะมะ  อะสังวิสุโล  ปุละพุภะ
สุวะอัง  อาภะนิมุ  ปัสสะ


ออฟไลน์ อชิตะ

  • อัฏฐมะ
  • ***
  • กระทู้: 3218
  • เพศ: ชาย
    • MSN Messenger - aston_25@hotmail.com
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: หอคำ พระราชวังของกษัตริย์เชียงใหม่
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 17 มี.ค. 2552, 03:31:26 »
 :054: :054: ขอบคุณมากครับ ได้ความรู้อีกแล้ว   :045: :045:

ออฟไลน์ nutagul

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 573
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: หอคำ พระราชวังของกษัตริย์เชียงใหม่
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 17 มี.ค. 2552, 03:39:43 »
ขอบคุณความรู้ดีๆครับ พักนี้ท่านขุนส่องพาขึ้นเหนือบ่อยนะครับ ทำให้คิดถึงบ้านไปเลยครับ
อิติสุคโตอะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ ฐิตคุโณอาจาริโย จะมหาเถโร มหาลาโภ สัพพะสุขขัง จะมหาลาภัง สัพพะโภคัง สัพพะธะณัง ภะวัณตุเม

ออฟไลน์ ขุนส่อง

  • คนเหนือ เหนือคน
  • ฉัฏฐะ
  • *
  • กระทู้: 199
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: หอคำ พระราชวังของกษัตริย์เชียงใหม่
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 17 มี.ค. 2552, 04:30:35 »
พอดีผมเป็นคนเชียงใหม่ครับ และก็ทำงานนิคมอุตสาหกรรม ลำพูนครับ
จึงอยากจะนำเสนอเรื่องราวความเป็นมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ของดินแดนที่เรียกกันว่า ล้านนา จึงได้ค้นหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ
มานำเสนอให้พี่น้องชาวบางพระ ได้อ่านกันนะครับ
ทำให้เราได้หวนรำลึกถึงบุญคุณ ความดีของบรรพบุรุษของเราครับ
และเพื่อที่จะได้เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้กันครับ
รออ่านกันเรื่องต่อไปนะครับ มีอีกเยอะครับ


 :009:  :009:  :009:  :009:  :009:

ออฟไลน์ 5 แถว

  • ตติยะ
  • ***
  • กระทู้: 217
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: หอคำ พระราชวังของกษัตริย์เชียงใหม่
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 17 มี.ค. 2552, 04:49:56 »
 :054: :054: :054: :054: :054: :054:

ออฟไลน์ ~เสน่ห์ต้นน้ำ~

  • ลูกบางพระ
  • ผู้คุมกฎ
  • *****
  • กระทู้: 3234
  • เพศ: ชาย
  • แก้งค์ ศาลา ชาติ ศาสน์ กษัตริย์
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: หอคำ พระราชวังของกษัตริย์เชียงใหม่
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 17 มี.ค. 2552, 04:55:56 »
ขอบคุนคับความรู้ดีๆมาอีกแล้ว

ออฟไลน์ ชลาพุชะ

  • เราอาจไม่รู้มากนัก แต่เรารู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร
  • อัฏฐมะ
  • ***
  • กระทู้: 1526
  • เพศ: ชาย
  • ที่นี่คือเว็บวัดบางพระ เราก็ศิษย์วัดบางพระ
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: หอคำ พระราชวังของกษัตริย์เชียงใหม่
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 17 มี.ค. 2552, 06:10:23 »
ช่วงนี้ สายล้านนา มาแรง นะครับ ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะครับ

ออฟไลน์ tum72

  • อัฏฐมะ
  • ***
  • กระทู้: 2246
  • ณ ตลาดพลู
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: หอคำ พระราชวังของกษัตริย์เชียงใหม่
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: 19 มี.ค. 2552, 09:27:18 »
ยังไปไม่ถึงเลยครับ
โอม ราศีกูเอ๋ย  จงมาเป็นอาสน์  สีธาวาส  มาเป็นเกียรติ  ศรีชายมาเป็นช่วง
หญิงชายทั้งปวง รักกูมิรู้วาย  ด้วยราศีกูงามคือฟ้า  หน้ากูงามคือพรหม
หญิงเห็นหญิงรัก  ชายเห็นชายทัก  กูอยู่ทุกเมื่อ  ไม่เบื่อแต่สักวัน
โอม หญิงชายทั้งหลายเอ๋ย  มา

ออฟไลน์ ۞เณรน้อยเส้าหลิน۞

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 1560
  • เพศ: ชาย
  • ไม่สู้ ไม่หนี ทําดีเรื่อยไป
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: หอคำ พระราชวังของกษัตริย์เชียงใหม่
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: 19 มี.ค. 2552, 10:21:41 »
ขอบคุณครับ
ครูผู้บริสุทธิ์ ครูผู้หมดกิเลสเครื่องเศร้าหมอง
ครูผู้มี"พระปัญญาธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ" อย่างประมาณมิได้
บรมครูผู้นั้นคือ "สมเด็จพระพุทธเจ้า"
ขอนอบน้อมกราบกรานพระบรมศาสดา

ออฟไลน์ หนึ่ง

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 252
  • เพศ: หญิง
  • ชีวิตมันสั้นทำทุกวันให้มันมีค่า
    • MSN Messenger - iporlove@hotmail.com
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: หอคำ พระราชวังของกษัตริย์เชียงใหม่
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: 19 มี.ค. 2552, 10:41:45 »
ขอบคุณสำหรับความรู้ดีดีที่นำมาแบ่งปันนะคะ 15;
ชีวิตมีแค่วันนี้ทำให้ดีตราบที่ยังหายใจ