แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - cartoon_2

หน้า: [1]
1
เป็นประสบการณ์ที่อยากถ่ายทอดให้ฟัง เพื่อให้เราเข้าใกล้ปัจจุบันขณะกันมากขึ้น ไม่ใช่ว่าในช่วงเวลากลางวัน เราทำอะไรมากมาย ทั้งหลง ทั้งโกรธ เกลียด ชอบ ดีใจ เสียใจ มทั้งวัน แล้วจึงไปนั่งสมาธิและทำวิปัสสนาในตอนกลางคืน เพื่อไปนั่งดูจิตตนเอง จริงๆแล้วเราต้องรู้ความทุกข์ สุข ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา จึงจะทำให้เราเกิดปิติได้ตลอด

วันที่ 1 มกราคม 2556 ผมไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหน เพราะปีนนี้ลูกต้องเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว จึงเก็บตัวจากกิจกรรมที่ชอบกางเต็นท์ หันมาพักอยู่ที่บ้านตลอดวันหยุด 5 วัน วันที่ 1 เป็นวันปีใหม่ ผมชวนครอบครัวไปทำบุญที่วัดโดยจัดเตรียมปิ่นโตและเงินใส่ซองถวายพระ เมื่อไปถึงวัด เราก็รีบเอาอาหารในปิ่นโตไปจัดใส่จานเพื่อถวายวัด เมื่อทำเสร็จเราก็ไปนั่งรอเพระมาฉันเพล ระหว่างที่รอยายที่บ่้านที่มาด้วยก็ขยั้นขยอแฟนผมให้เอาเงินในซองไปหยอดตู้ แฟนผมก็เฉยเพราะตั้งใจจะถวายพระ เสียงขยั้นขะยอยังมีอยู่ตลอด ตอนนั้นอารมณ์ผมเริ่มขุ่นแล้ว หงุดหงิดว่าทำไม แต่ขณะที่ไม่สบายใจ ผมก็รีบไปมองที่จิตว่ามันเกิดอะไร เป็นเพราะมันเปิดรับอายตนะให้เข้ามากระทบจิตได้ จึงเกิดการปรุงแต่งอารมณ์ เมื่อเราคิดได้รู้ทันมันก็ปล่อยวาง จิตเกิดปิติขณะนั่งอยู่ในศาลาวัด หากเรามัวแต่ไปให้เหตุผลทางโลกว่าเราต้องการถวายพระมากกว่าใส่ตู้ ต่างคนต่างมีเหตุผลและจุดประสงค์ที่ต่างกันมันเกิดทุกข์ทั้งสองฝ่ายแน่ เราก็เปลี่ยนไปดูที่จิตว่าทำไมมันทุกข์เพราะมันเปิดให้เสียงเข้ามา เมื่อเรารับรู้คำพูด เราก็มาปรุงแต่งอารมณ์ ความไม่พอใจมันถึงเกิด เมื่อเห็นแบบนี้ เข้าใจแล้ว จิตก็ปล่อยวาง ไม่ทุกข์แล้ว

เมื่อพระฉันเพลเสร็จ เด็กที่วัดจะนำเอาถาดอาหารที่เหลือจากการฉันมาให้พวกเราได้กินต่อเพื่อเป็นมงคลที่ได้กินข้าวกันบาตร อาหารและผลไม้ที่อยู่ในถาดผมมีแต่ของดีดีทั้งนั้น แต่แล้วก็มีคุณยายเข้ามาแบ่งอาหารออกไป แบ่งผลไม้ออกไป จิตมันรู้สึกหวง เกิดความโลภ คิดว่าเป็นของของตนซะแล้ว ทุกข์เริ่มเกิดอีกแล้ว เมื่อเราหันไปดูจิต จะพบว่า นี่แหละที่เขาเรียกว่าตัวกูของกู ไปยึดมั่นถือมั่น ยึดกับตัวตน กายหยาบ จนเกิดทุกข์ จิตติดโลภเกิดขึ้น ทั้งที่อากหารเหล่านี้เมื่อผ่านลิ้นไปแล้วก็ไม่มีอะไร ย่อยเสร็จก็เป็นของเน่าเหม็น ไม่ได้เป็นทองคำเลย เมื่อจิตรู้ทันมันก็ปล่อยวาง ไม่เกิดความอยากที่จะรู้รสของอาหาร ความโลภ หลง ก็หายไป ปิติก็เกิดอีกครั้ง

สิ่งที่ผมถ่ายทอดให้ทุกท่านได้อ่าน หรือเขียนให้เห็นสิ่งที่ผมพบเจอมา เพื่ออยากให้ทุกท่านเห็นว่า การดูจิต เห็นจิต หรือการรู้เท่าทัน มันต้องเกิดขึ้นทุกขณะ ไม่ใช่แค่ได้ยินหนอ ยินหนอ แต่ใจครุกรุ่นไปแล้ว หรือการทำวิปัสสนามันเกิดได้ทุกอริยาบท เกืดได้ทั้งวัน ไม่ต้องรอก่อนอน 15 นาทีแล้วจึงไปนั่งสมาธิ สามารถพิจารณาได้ทุกขณะจิต  ซึ่งจะทำให้เราเข้ากิเลสอย่างหยาบ ไปจนถึงกิเลสอย่างละเอียดได้

บทความนี้ถ่ายทอดจากประสบการณ์ผม ไม่ขอกล่าวอ้างโอ้อวดอันใด ที่จะหลบลู่ผู้รู้ท่านอื่น เป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์มุมมองเท่านั้นครับ

2
เรื่องนี้สำคัญมาก ทำไมเราต้องกล่าวถึงจิตที่เป็นกุศล และจิตที่ไม่เป็นกุศลหรืออกุศลจิต เพราะจิตเมื่อไหร่ที่ไม่เป็นกุศล เวลาเราพิจารณาจิต เราจะดูจิตไม่ออก ว่าจิตทุกข์หรือสุข จิตทุกข์เพราะอะไร มันไม่ชัดเจน

จิตที่ติดกิเลสเป็นจิตที่เรียกว่าอกุศลจิต เป็นจิตที่ติดโลภ ติดโกรธ ติดหลง นั่นคือจิตที่ติดกิเลส จิตที่ติดสุขก็ใช่ว่าจะเป็นกุศลจิต สุขที่เกิดจากการปรุงแต่ง สุขที่ได้รับจากการสนองความอยาก ก็เป็นจิตที่ติดในกิเลส ดังนั้นจิตที่ดีที่เป็นจิตที่เป็นกุศล ก็คือจิตที่เป็นกลาง ไม่ยินดี ยินร้ายต่อทุกข์และสุข เมื่อเราสามารถปฏิบัติได้ จะทำให้เราดูจิตของเราได้ชัดเจน เป็นพื้นฐานในการพิจารณาขันธ์ 5 เราเป็นไปอย่างดี 

3
สิ่งที่ผมอยากถ่ายถอดประสบการณ์อีกเรื่อง ดูเหมือนจะเขียนซ้ำซาก เน้นเหลือเกินกับบางสิ่ง เหตุเป็นเพราะผมหลงทาง หลงทางจาการอ่านตำรา หลงทางกับการบอกเล่าที่ผมเองไม่รู้ว่าโดยนัยแล้วต้องเป็นอย่างไร เมื่อพิจารณาจะใช้ความคิดโดยมีพื้นฐานมาจากการอ่าน การศึกษาด้วยตนเองเป็นส่วนใหญ่ สิ่งที่จะทำให้เห็นทุกข์ เห็นเหตุแห่งทุกข์ ตลอดจนวิธีดับทุกข์ เป็นไปได้ยากมาก เพราะจิตที่เป็นอกุศล เมื่อมาพิจารณาจิตประการหนึ่งแล้ว ไม่สามารถวิเคราะห์หรือเห็นจิต เห็นอารมณ์ตนเเองได้อย่างชัดเจน ซึ่งส่วนหนึ่งก็คือการวิเคราะห์จากความคิด จากประสบการณ์ที่มีมา ซึ่งจะเป็นจิตที่มันคิด การเกิดสติก็เกิดจากการตั้ง ซึ่งมันไม่ถูกต้อง ทุกข์ที่เกิดมันก็มองไม่เห็น แก้ไม่ได้

จิตรู้ ก็คือการรู้ รู้ว่าตอนนี้โกรธทันทีที่โกรธ ให้รู้ รู้ว่าหลงให้รู้ว่าจิตหลง ซึ่งต่างจากจิตคิด คิดว่าโกรธ โกรธหนอ โกรธหนอ อย่างนี้เป็นต้น การรู้มันจะรู้โดยทันที รู้โดยตัวมันเอง มองดูแล้วรู้ ซึ่งเมื่อเรายกจิตขึ้นพิจารณา เราจะเห็นจิตที่ติดในกิเลสก็ให้รู้ เห็นเกิดก็รู้ เห็นตั้งอยู่ก็รู้ เห็นดับก็รู้ รู้จนจิตมันยอมรับการเกิดดับทั้งหลาย เห็นโกรธ แล้วโกรธก็ดับไป เห็นราคะ ราคะก็ดับไป อย่างนี้ มองดูอย่างเข้าใจ เมื่อใดที่จิตยอมรับมันจะปล่อยวางทันที การปล่อยวางเกิดจากจิตที่รู้ รู้จากปัญญา ไม่ใช่จิตไปนั่งคิด ซึ่งถ้าเราทำได้ เราจะรู้สึกจิตมีความสบาย เบา 

4
ผมเขียนไป 2-3 กระทู้ ได้พูดถึงการเห็นเกิดดับของรูปและนาม บางคนที่อ่านมากก็สามารถอธิบายให้ฟังได้อย่างชัดเจน บางคนอ่านตำรานั้นตำรานี่ ก็จำเอาว่า เมื่อเราเห็นเกิดดับของรูปและนามและต้องยอมรับว่ามันเป็นธรรมชาติ แต่การยอมรับนั้นมันมาจากการเรียน การอ่าน ยังไม่ใช่การยอมรับของจิต ที่เห็นและยอมรับในในสภาพที่เรามองเห็น หรือที่เราได้สังเกตุดู การมองดูจิตของเราในเรื่องของนามจนเราเห็นจนเกิดการยอมรับ เมื่อเราเกิดอารมณืโลภ ความรู้สึกของเรา เราจะรู้สึกอยากได้ อยากได้ของคนอื่น อยากได้มากกว่าคนอื่น เป็นต้น หากเรามีสติ สติเป็นตัวสำคัญที่จะทำให้เราได้วิเคราะห์มองสภาวธรรมที่เกิดขึ้น รู้ว่าเกิดความอยากได้ รู้การปรุงแต่งจากความอยากที่เกิดขึ้นอย่างมากมาย

รู้เท่าทัน ก็คือการเห็นจิตที่มันติดใน โลภ โกรธ หลง ดูจนเข้าใจในสภาวะที่เกิดขึ้น จนจิตยอมรับมัน เห็นการเกิดดับเป็นจริง การปล่อยวางจะเกิดขึ้น การมองดูจิต ดูสังขาร ดูผลกระทบที่เกิดจากอายตนะทั้ง 6 อันประกอบด้วย หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นทวารที่ให้จิตสัมผัสกับอารมณ์ภายนอก

การรู้เท่าทันตัวเราต้องมีสติ หลายท่านที่ปฏิบัติอาจจะใช้ว่า การรู้ปัจจุบันขณะ นั่นคือการไม่พยายามไปปรุงแต่งจนทำให้เกิดทุกข์มากมาย และต้องมองเห็นเกิดดับได้อย่างชัดเจน

 

5
สนทนาภาษาผู้ประพฤติ / จิตดื้อ
« เมื่อ: 25 พ.ย. 2555, 05:03:54 »
สำหรับผู้ที่เริ่มปฏิบัติธรรม การหลับตาท่องพุธเมื่อหายใจเข้า โธเมื่อหายใจออก หรือ ยุบหนอพองหนอตามอาการหายใจของเราที่ประมาณว่าเมื่อมีอากาศในร่างกายเราตัวเราจะพอง เมื่อหายใจออกร่างกายเราจะยุบ ซึ่งทั้ง 2 วิธีล้วนแต่ฝึกให้เรามีสติ รู้ปัจจุบันขณะ จิตไม่ส่งออกนอก เมื่อเรานั่งท่องพุทโธ เผลอแป๊บเดียว ไปนึกถึงเรื่องอื่นซะแล้ว จิตวิ่งไปโน่นไปนี่ เหมือนเด็กที่ซนและดื้อ พอมีสติก็ตามจิตกลับมา หลายคนที่ตั้งใจถึงกับเกร็งหน้าเกร็งตา เพื่อไม่ให้ตนเองเผลอ

จิตที่ไม่ถูกฝึกมันเหมือนเด็กดื้อวิ่งเล่นซนไปทุกจุด อายาตนะเมื่อเปิด จิตจะวิ่งไปทุกที่ หูได้ยินจิตวิ่งไป ปรุงแต่งตามอารมณ์ จมูกได้กลิ่น จิตก็ปรุงแต่ง ลิ้นรับรสก็ปรุงแต่ง มันดื้อมันซนจนเวลาเรานั่งทำสมาธิ มันก็จะวิ่งซนไปเรื่อย หลายท่านจึงเบื่อเพราะไม่สามารถควบคุมจิตให้เกิดสมาธิได้ มีการบังคับให้เกิด ยิ่งนั่งสมาธิยิ่งเครียด

หลายท่านที่มีปัญหาจิตส่งออกไปนอกมาก นั่งท่องอยู่ก๊แว็บไปเรื่องนั้นเรื่องนี้แล้ว อทนที่จะไปตามจิตให้กลับมา เราควรนั่งดูจิตไปเลย อยากไปไหนก็ตามไปดู เพราะเราจะเป็นผู้ดูเด็กดื้อมากกว่าที่เราจะตาม ดูไปเออ...ไปเรื่องนี้แล้ว ให้เรารู้...ว่าวิ่งไปเรื่องนี้ ตามดูไปเรื่อย เป็นผู้ดูไม่เครียดไม่เหนื่อย เมื่อเรารู้ทันจิตก็จะกลับมารวมเอง อย่าคอยวิ่งตามให้เครียด 

6
สนทนาภาษาผู้ประพฤติ / ขันธ์5
« เมื่อ: 25 พ.ย. 2555, 09:32:24 »
ในอดีตเวลาอ่านหนังสือธรรมะ เราจะพบเห็นมากมาย หลายพระอาจารย์ที่กล่าวถึงขันธ์ 5 อ่านเท่าไร ฟังเท่าไรก็ไม่เข้าใจ หลังจากเริ่มเห็นทางสว่าง การยกจิตขึ้นพิจารณา ถึงเกิดความเข้าใจ ปัญญาที่เกิดจากการศึกษาภายในตัวเราเอง ความสงสัยว่า ทำไมพระพุทธองค์ถึงแบ่ง รูปเพียง 1 แบ่งนามถึง 4 ความรู้เข้าใจในจิตนั้นมันละเอียดมาก พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาอย่างละเอียด เราจะเห็นข้อเท็จจริงที่ว่า การเห็นรูปนั้นดูได้ง่าย เข้าใจธรรมชาติได้ง่าย เห็นเกิด เห็นตั้งอยู่ และดับไปได้ง่าย เช้น เห็นผิวหนัง ที่เกิดมาแทนที่ และคงอยู่ สุดท้ายก็หลุดออกเป็นขี้ไคลไป ส่วยจินนั้นมันละเอียด ท่านจึงแบ่งให้พิจารณาถึง 4

เวทนา อันเป็นความรู้สึกในจิตใจ เกิดความรู้สึก ร้อน หนาว เย็น สุข ทุกข์ มันเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้น
สัญญา ความระลึกได้ จำได้ บางครั้งการจำได้ว่า ถ้าเป็นแบบนี้เราจะไม่พอใจ ถ้ามีคนพูดแบบนี้เราจะพอใจ การระลึกจำได้ถึงรสชาติต่างๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้เราเกิดเวทนา ความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้น
สังขาร เป็นตัวปรุงแต่ง ปรุงแต่งอารมณ์ของเราไปตามสิ่งที่เราพอใจ ต้องการนึกคิด ปรุงแต่งไปตามอารมณ์ ความอยาก ปรุงไปเรื่อยๆจนเกิดเวทนามากมาย
วิญญาน คือตัวเรา ตัวรับรู้ ว่าสิ่งที่คิดสิ่งที่ทำนั้นถูก เรารับรู้สิ่งที่คิด ตัวกูของกูเกิดตรงนี้

หากเราเข้าใจขันธ์ 5 เราจะเห็นว่าขบวนการที่มนุษย์เกิดทุกข์มาจากอะไร ความรู้สึกไม่พอใจเกิดจากอะไร เกิดสัญญาที่ว่าถ้านาย ก. มาลูบหัวเราไม่เป็นไร เพราะเรานับถือ แต่ถ้าคนอื่นไม่ได้ โกรธ สัญญามันจะจำ ระลึก ส่งอารมณ์ไปที่เวทนา ความไม่พอใจเกิด สังขารก็ช่วยปรุงแต่งอารมณ์

หากเราพิจารณาแล้ว เข้าใจแล้ว เรานั่งดูจิตเราแล้ว เข้าใจขั้นตอนต่างๆแล้ว เราจะเห็นธรรมชาติของจิต เป็นไปตามหลัก มีเกิด มีตั้งอยู่ ดับไป เป็นธรรมชาติ หากเราเข้าใจไปถึงขันธ์ 5 เรายิ่งรู้เท่าทันจิต จิตไม่สามารถปรุงแต่งอีกต่อไปได้ จิตจะปล่อยวางทันที เวทนาก็จะไม่เกิด

ปัญญาที่เกิดจากธรรมะของพระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่นัก มันอยู่ใกล้ตัวเรา ภายในตัวเรา จิตที่ดีคือการรู้เท่าทันจิต การปล่อยวางทั้งสุขและทุกข์ จิตที่ไม่ติดกิเลสย่อมสามารถพิจารณาข้อเท็จจริง โดยไม่เข้าข้างความคิด วันนี้เข้าใจแล้ว สมาธิทำให้เกิดปัญญา ปัญญาที่เกิดขึ้นต้องทำให้เกิดผู้รู้ ปัญญาที่เกิดจากการศึกษาตัวเราเอง ไม่ใช่ปัญญาที่เกิดจากสมการคณิตศาสตร์ ไม่ใช่เกิดจากการเคาะระฆังแล้วไปนั่งจำเอา มันเกิดจากความเข้าใจในขันธ์ 5 มากกว่า

การปล่อยวางทั้งสุขและทุกข์ย่อมเป็นหนทางแห่งความสงบที่แท้จริง  เมื่อมีสุขจิตติดในสุขเมื่อสุขดับไป ก็อยากแสวงหามัน ล้วนแต่เกิดเป็นทุกข์

7
ความตั้งใจตั้งแต่สมัยเด็ก พยายามศึกษาแนวทางปฏิบัติของเถระอาจารย์ โดยเฉพาะสายหลวงปู่มั่น อ่านมากแล้วมาปฏิบัติเอง โดยที่ไม่มีใครสอน หรือแนะนำ การหลับตาแล้วท่องพุทโธตลอดเวลาจนจิตเกิดการรวม แล้วรู้สึกตัวลอยขึ้นจนต้องเอามือตบพื้นเพราะตกใจ ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่สามารถทำได้ เกิดการติดใจในหนทางนี้ หวังจะให้ตัวลอยอีกครั้งแต่ก็ไม่สามารถทำได้ ผมใช้เวลาทำมาเรื่่อยวันละ ครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง จนเข้าถึงวัยครบบวช จึงตัดสินใจบวชกับหลวงปู่นิล สายพระอาจารย์มั่น ช่วงที่บวชจึงเข้าใจว่าสิ่งที่เรานั่งหลับตาเพื่อให้จิตสงบแล้วอยากตัวลอยอีกนั้น มันไม่ใช่หนทางแห่งการพ้นทุกข์แน่นอน จิตมันติดกิเลส ผมบวชสั้นมากเพราะต้องสึกออกไปเรียนต่อ ป.โท บวชอยู่ 14 วัน สึกออกมา ยังนั่งทำสมาธิอยู่ตลอดเวลา จิตสงบนิ่ง แต่มันเป็นการสงบที่เราไปบังคับมัน ให้ไม่คิด ไม่ให้ฟุ้งซ่าน มันสามารถเกิดสมาธิได้ แต่อะไรละคือปัญญาที่จะเกิด

ผมหลงทางอยู่ในสมาธิมาหลายปี จนอายุปาเข้าไป40กว่าปี ถึงมีโอกาสไปปฏิบัติธรรมที่สายยุบหนอพองหนอ ผมไป 7 วัน โดยที่ทำงานส่งไปอบรมวิปัสนากรรมฐาน ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ผมได้ฝึกปฏิบัติเพื่อให้รู้ปัจจุบันขณะตามวิธีของสำนักที่มีวิทยากรเป็นผู้ให้ความรู้ ย่างเข้าวันที่ 5 แล้ว ผมยังค้นไม่พบว่า หลังจากสมาธิแล้วต่อไปคืออะไร อะไรคือปัญญาที่เราจะรู้จากการปฏิบัติ คืนนั้น ผมนอนอยู่ในกุฏิเล็กๆ ผมฝันว่ามีปะขาวทั้งชายหญิงมานั่งไหว้ที่ข้างเตียงในห้อง ผมสดุ้งตื่นขึ้นมา ยกมือสาธุ มาครั้งนี้คงสามารถค้นพบสิ่งที่จะศึกษามาได้แน่

เช้าตี 4 ผมเดินไปที่ศาลาที่ปฏิบัติธรรม เสียงระฆังที่ผู้ช่วยวิทยากรตีลั่น เพื่อเรียกผู้ปฏิบัติให้มารวมกันเพื่อปฏิบัติธรรม ก่อนปฏิบัติธรรม ผู้ช่วยวิทยากรบอกว่า สมาธิทำให้เกิดปัญญา ดังนั้นใครที่มีสมาธิย่อมจะรู้ว่า เขาตีระฆังไปกี่ครั้ง ถ้าใครมีสมาธิจะตอบได้ ผมเริ่มปฏิเสธในใจ มันจะเป็นไปได้อย่างไร ไม่มีเหตุผล ถ้าใครไม่ตั้งใจจะนับ จะรู้เลยโดยการนั่งทำสมาธิได้อย่างไร ใจเกิดการไม่ยอมรับ เกิดความไม่พอใจ พอวิทยากรตัวจริงมา ก็มาทักทายทุกคน แล้วก็เน้นไปทักทายผู้ปฏิบัติที่เป็นผู้หญิงท่านหนึ่ง ถามว่า เมื่อคืนลูกส่งกระแสจิตไปหาแม่เหรอ แม่สามารถรับได้ ผู้ปฏิบัติท่านนั้นนั่งงง หน้าเด๋อตามรับลูกไม่ทัน ผมถามว่าสิ่งกล่าวกันมาว่ามีกระแสจิตนั้นใช่หนทางที่เราปฏิบัติหรือ มันไม่ใช่หนทางที่พระพุทธเจ้าสอน การอวดว่ามีฤทธิ์จิตติดกิเลสแน่นอน ผมตัดสินใจลุกออกจากศาลา เดินกลับไปที่กุฏิ ความหวังจากเมื่อคืนที่ว่ามาครั้งนี้คงค้นพบอะไรดีดีแน่เริ่มลิบหรี่ลง ผมเข้าไปนั่งในห้องตัดสินใจปฏิบัติตามวิธีปฏิบัตืที่เคยศึกษามาสมัยบวชเรียนสายพระป่ามา ตั้งใจเลยว่า ถ้าวันนี้ไม่พบอะไรจะไม่ออกไปกินข้าว กินน้ำ แล้วผมก็นั่งทำสมาธิ ทำเท่าไรก็ไม่สงบ บังคับให้มันสงบ ไม่ให้วอกแวก มันก็สมารถสงบได้ แต่ยังไม่กล่าที่จะยกจิตขึ้นพิจารณา เพราะกลัวหลุดจากสมาธิ เวลาผ่านไปนาน อาการหิวก็เกิด หิวน้ำมาก จนมันจะไม่เกิดสมาธิแล้ว เลยตัดสินใจยกจิตขึ้นดู หลุดเป็นหลุด เอาจิตนั่งดูจิต เห็นจิตมันไม่สงบ ที่มันไม่วอกแวกเพราะเราไปบังคับมัน จิตมันติดโทสะ จิตเริ่มถอยมาดูจิต เห็นจิตที่ติดโทสะ เริ่มนั่งดูเห็นความไม่พอใจ มันสูงยิ่งดูแล้วยิ่งสูงขึ้น ดูไปเพลินไปจนถึงจุดหนึ่งมันค่อยๆลดลง ลดลง เริ่มเห็นแล้วว่ามันเกิด มันตั้งอยู่ แล้วมันเริ่มจะดับแล้ว แต่ถ้าจะดับให้หมดเลยคือการให้อภัย เราคิด ใหเอภัย แต่ก็ไม่เห็นมันหมดไปจากจิต เพราะเราใช้การคิด จนพิจารณาไปเรื่อย อภัยที่จะให้มันหายไปได้ คือทุกสิ่งต้องทำมาจากจิตไม่ใช่คิด ไม่ใช่เรียนรู้ จิตเห็นจิต เข้าใจจิต จิตปล่อยวางโทสะ เกิดความสบายใจทันที ปิติเกิดทันที ความเบาความสบายที่ไม่เคยเจอในโลกนี้มันเกิดแล้ว มันเย็นจากข้างใน อธิบายไม่ถูกมันปลื้ม จิตนั่งดูจิตไปเรื่อยๆ เห็นกิเลสที่เป็นโทสะมากกมาย ที่ติดอยู่กับเรา เมื่อรู้เท่าทันเข้าใจ การเกิด การตั้งอยู่ แล้วดับไป จิตปล่อยวางทันที ผมเริ่มดูกิเลสอย่างหยาบทั้ง โลภะ โทสะ โมหะ เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เห็นการรู้เท่าทัน จิตเริ่มปล่อยวาง ผมเกิดปิติขึ้นอย่างมาก

เริ่มเข้าใจว่าสมาธิทำให้เกิดปัญญานั้นหมายถึงอะไร ปัญญาที่เกิดล้วนแต่ศึกษาจากร่างกายเราทั้งนั้น ไม่ต้องไปสนใจภายนอกเลย เห็นข้อเท็จจริง วันนั้นผมรู้ว่ามาครั้งนี้ผมได้รับแล้ว รู้และเป็นแนวปฏิบัติที่ดีสำหรับผม ผมหลงทางมา 30 ปีกว่าจะเห็นทางกับเขาบ้าง

ผมจากที่ไม่เคยเข้าใจขันธ์ 5 เริ่มเห็นความหนักของมันแล้ว เห็นเกิดดับ ที่มันเป็นธรรมชาติ เริ่มเข้าใจสิ่งที่พระพุทธเจ้ากำหนด รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน เห็นรูปเห็นนาม

ผมก้มกราบพระพุทธในห้องอย่างสุดซึ้ง ท่านเป็นที่สุดจริงๆ ที่เราศึกษามันไม่ไกลตัวเลย มันอยู่ใกล้ๆนี่เอง

ผมอาจใช้เวลาเขียนในช่วงสั้น ไม่ได้ผ่านการขัดเกลา เป็นการทอดแลกเปลี่ยนสิ่งที่ประสบกับอีกหลายท่าน ไม่ประสงต์จะอวดหรือลบหลู่ผู้ใด ด้วยความรู้อันน้อยนิดกับประสบการณ์ที่ไม่มาก ถ่ายทอดออกมาเมื่อมีโอกาส เพียงเพื่อหวังว่าไม่อยากให้ท่านอื่นหลงทางในสิ่งที่ตนเคยหลงทางมาหลายปีครับ 


9
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาแวะไปทำธุระที่นครปฐม เลยตั้งใจไปกราบพระอาจารย์แป๋ว เมื่อเจอท่านตอนเกือบ 11 โมง ท่านถามว่ามาทำธุระอะไรวันนี้ บอกไปธุระเลยแวะมากราบพระอาจารย์ ท่านก็ถามว่าจะสักมั้ยวันนี้ เมื่อท่านเมตตาก็เป็นบุญถวายพาน ได้รับเมตตา หัวใจเสือ 2 ยันต์ ยันต์ 2 ยอดหรือนะมหาละลวย ยันต์สาลิกา ท่านยังเมตตาศิษย์เหมือนเดิมครับ

หน้า: [1]