ผู้เขียน หัวข้อ: ดูหนังดูละคร แล้วให้ย้อนมาดูจิต  (อ่าน 739 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ รวี สัจจะ...

  • รองประธาน
  • *****
  • กระทู้: 1137
  • รวี สัจะ-สมณะไร้นาม-วจีพเนจร
    • ดูรายละเอียด
    • รวี สัจจะ สมณะไร้นาม (เคลื่อนไหวดุจสายลม)
๒๔ มีนาคม ๒๕๕๓ เวลา ๐๘.๓๙ น.
ริมฝั่งแม่น้ำโขง วัดทุ่งเว้า มุกดาหาร
          เหนื่อยล้ากับการเดินทางที่ผ่านมา ทำภาระกิจที่จำเป็นให้ลุล่วงไป ตามหน้าที่ของศิษย์
เมื่อเสร็จภาระกิจ ชีวิตก็กลับมาเหมือนเดิม คือการเดินตามความใฝ่ฝันที่ได้ตั้งใจไว้ในทางธรรม
มีบางครั้งที่รู้สึกท้อแท้และเบื่อหน่าย แต่เมื่อสติระลึกได้ก็ปรับความรู้สึกได้ทัน ละวางซึ่งอารมณ์นั้น
เป็นธรรมดาของชีวิตและความคิดที่เกิดขึ้น เพราะมันมีเหตุและปัจจัย"ธรรมารมณ์สิ่งที่มากระทบจิต"
ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด เรียกว่าจิตไปเสพรับรู้ซึ่งอารมณ์นั้น และปรุงแต่งมันให้มีกำลังเพิ่มขึ้น
ถ้าไม่รู้จักควบคุมใจหมั่นดูจิต ปล่อยให้ความคิดมันปรุงแต่งไป ใจนั้นก็จะเป็นทุกข์เพราะเข้าไปยึดถือ
ครูบาอาจารย์ท่านสอนเสมอว่า "ดูหนังดูละคร แล้วให้ย้อนมาดูจิต มาดูความคิดของตัวเราเอง"
เป็นการเจริญสติปัฏฐานสี่ มีสติอยู่กับ กาย เวทนา จิต ธรรม มีความสำรวมอินทรีย์โดยมีสติกำกับอยู่
เพื่อให้รู้กาย รู้จิต รู้ความคิด และรู้การกระทำ ในปัจจุบันธรรมทั้งหลาย
       คำครูบาอาจารย์ท่านได้กล่าวไว้ "จิตที่ส่งออก เป็นสมุทัย ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอกเป็นทุกข์
จิตเห็นจิตเป็นมรรค ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิตเป็นนิโรธ"   การเจริญวิปัสสนาคือการเจริญสติปัฏฐานสี่
คือการบำเพ็ญภาวนากุศล การฝึกตนให้มีสติอยู่กับรูปและนาม คือความเป็นผู้ไม่ประมาทไม่อยู่ปราศจากสติ
ผู้นั้นจึงได้ชื่อว่า ปฏิบัติตรง ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติเป็นมัชฌิมาคือสายกลาง ปฏิบัติถูกต้องตามพุทธพจน์
ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ชอบแล้ว
      การมองปัญหานั้นให้เรามองทุกแง่มุม ตั้งสมมุติฐานทั้งสองอย่าง คือมองทั้งแง่ดีและแง่ร้าย
เจาะลึกลงไปถึงที่ีมาของปัญหา อย่าเอาคติความรักความชอบ หรือความไม่พอใจของเรามาเป็นที่ตั้ง
คืออย่าไปตั้งธงคำตอบก่อนที่จะพิจารณา แล้วเราจะเห็นที่เกิดที่มาของปัญหาเหล่านั้นโดยความเป็นจริง
เมื่อรู้และเห็นแล้ว ก้ต้องทำความเข้าใจในปัญหา โดยการหาวิธีแก้ไขปัญหานั้น ซึ่งต้องใช้สติพิจารณา
มองให้รอบด้าน ละวางอัตตา ตัวกูของกู ดูให้เห็นถึงความเหมาะสมของเหตุและปัจจัยในปัจจุบันที่มี
ดูผลกระทบที่จะมีต่อผู้ที่ได้รับผลประโยชน์และผู้สูญเสียผลประโยชน์ ให้เห็นความพอดี ความเหมาะสม
ที่สามารถจะกระทำได้และรับได้ทั้งสองฝ่าย การแก้ไขปัญหาจึงจะเกิดขึ้นได้ถ้าทุกฝ่ายยอมรับความจริง
ไม่ยึดติดยึดถือจนเกินไป วิธีการนี้ใช้ได้ทั้งในทางโลกและทางธรรม ถ้ารู้จักนำไปปฏิบัติประยุกต์ใช้
     แต่อะไรๆในโลกนี้"มันก็เป็นเช่นนั้นเอง" ตามที่พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ไว้ว่า "จิตใจคนจะเสื่อม
ไปจากคุณธรรมตามกาลและเวลา จนสิ้นสุดพระศาสนาเมื่อครบ ๕,๐๐๐ ปี" เพราะโลกนี้เปลี่ยนแปลงไป
ตามกฏของพระไตรลักษณ์ "ขอเพียงความเสื่อมนั้นอย่าเกิดจากเราเป็นผู้กระทำก็เพียงพอแล้ว"
          ขอฝากไว้เป็นข้อคิดเพื่อสะกิดเตือนใจ ก่อนที่จะคิดและทำอะไรให้ดูใจของเราก่อน
                       เชื่อมั่น-ศรัทธา-ปรารถนาดี-ด้วยไมตรีจิต-แด่มวลมิตรทุกผู้คน
                                    รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม-วจีพเนจร
๒๔ มีนาคม ๒๕๕๓ เวลา ๐๙.๐๙ น. ณ ริมฝั่งแม่น้ำโขง ชายขอบประเทศไทย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 มี.ค. 2553, 09:11:57 โดย รวี สัจจะ... »
ใช่หวังจะดังเด่น  จึงมาเป็นสมณะ
เพียงหวังจะลดละ  ซึ่งมานะและอัตตา
เร่ร่อนและรอนแรม ไปแต่งแต้มแสวงหา
สัญจรร่อนเร่มา  ผ่านร้อยป่าและภูดอย
ลาภยศและสรรเสริญ  ถ้าหลงเพลินจิตเสื่อมถอย
พาใจให้เลื่อนลอย  จิตเสื่อมถอยคุณธรรม
       ปณิธานในการปฏิบัติธรรม

ออฟไลน์ derbyrock

  • คณะกรรมการ
  • *****
  • กระทู้: 2494
  • เพศ: ชาย
  • สติมา ปัญญาเกิด........ปัญหามา ปํญญามี.......
    • MSN Messenger - derbyrock@hotmail.com
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: ดูหนังดูละคร แล้วให้ย้อนมาดูจิต
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 24 มี.ค. 2553, 09:49:17 »
กราบนมัสการพระอาจารย์ครับ การควบยคุมจิตเป็นเรื่องยากพอสมควรเลยน่ะครับ บางครั้งทั้งๆที่รู้ว่าผิด บาป แต่ก็ไม่สามารถควบคุมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ ทุกวันนี้พยายามควบคุมให้ได้ครับ

ความสุขที่แท้จริงรอคอยคุณอยู่.......เพียงแค่คุณนั่งลงแล้วหลับตา