นำมาจาก คุณเอก มารวิชัย แห่งเวป หลวงปู่สุภา
ตำนาน
จังหวัดฉะเชิงเทรา มีตำนานที่เป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมาเป็นเวลาช้านาน คือ ตำนานหลวงพ่อพระพุทธโสธร หรือหลวงพ่อโสธรตำนานของหลวงพ่อพระพุทธโสธร มีการเล่าขานกันสืบต่อมาว่า ในสมัยลานช้างลานนาเศรษฐีพี่น้อง3คนซึ่งอาศัยอยู่ทางเหนือ
มีจิตเลื่อมใสศรัทธาจะสร้างพระพุทธรูปเพื่อเสริมสร้างบารมีและเพิ่มพูนผลานิสงส์ จึงได้เชิญพราหมณ์มาทำพิธีหล่อพระพุทธรูปต่าง ๆ ตามวันเกิด อันมีปางสมาธิ ปางดุ้งมารและ
ปางอุ้มบาตร แล้วทำพิธีบวงสรวงชุมนุมเทวดาตามโหราศาสตร์ เพื่อทำพิธีปลุกเสก แล้วอัญเชิญ
เข้าสู่วัดในกาลต่อมา ได้เกิดยุคเข็ญขึ้น พม่าได้ยกทัพมาตีไทยหลายครั้งหลายหน
จนครั้งสุดท้าย คือ ประมาณครั้งที่ 7 ก็ตีเมืองแตก และได้เผาบ้านเผาเมืองตลอดจน
วัดวาอารามต่างๆ หลวงพ่อ 3 พี่น้องจึงได้ปรึกษากัน เห็นว่าเป็นสถานการณ์คับขัน
จึงได้แสดงอภินิหารลงแม่น้ำปิง แล้วล่องมาทางใต้ตลอด 7 วัน จนกระทั่งมาถึงแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงบริเวณที่ปัจจุบันเรียกว่า“สามแสน” จึงได้แสดงอภินิหารลอยให้ชาวบ้าน
ชาวเมืองเห็น ชาวบ้านนับแสน ๆ คน ได้ทำการฉุดหลวงพ่อทั้ง
3 องค์ ถึง 3 วัน 3 คืน ก็ฉุดไม่ขึ้น ตำบลนั้นจึงได้ชื่อว่า “สามแสน” ซึ่งได้เพี้ยนเป็น “สามเสน” ในภายหลังหลวงพ่อทั้ง 3 องค์ลอยเข้าสู่พระโขนงลัดเลาะจนไปถึงแม่น้ำบางปะกง
ผ่านคลองซึ่งปัจจุบันเรียกว่าคลองชักพระ ก็ได้แสดงอภินิหาร
ลอยขึ้นมาให้ชาวบ้านได้เห็นอีกครั้ง ชาวบ้านประมาณ3 พันคนพยายามชักพระขึ้นจากน้ำ ก็ไม่สำเร็จ คลองนี้จึงได้นามว่า “คลองชักพระ” ต่อมาทั้ง 3 องค์ ได้ลอยทวนน้ำต่อขึ้นไปทางหัววัดอีก สถานที่นั้นจึงเรียกว่า“วัดสามพระทวน” ซึ่งต่อมาเรียกเพี้ยนเป็น “วัดสัมปทวน”
หลวงพ่อได้ลอยต่อไปตามลำน้ำบางปะกง เลยผ่านหน้าวัดโสธรไปจนถึงคุ้งน้ำใต้ วัดโสธรแล้วแสดงอภินิหารให้ชาวบ้านเห็นอีกชาวบ้านได้ช่วยกันฉุดก็ยังไม่สำเร็จ
จึงได้เรียกหมู่บ้านและคลองนั้นว่า “บางพระ” ต่อจากนั้นก็ลอยทวนน้ำวนอยู่หัวเลี้ยวตรงกองพันทหารช่างที่ 2
สถานที่ลอยวนอยู่นั้นจึงเรียกว่า “แหลมหัววน” และคลองก็ได้ชื่อว่า “คลองสองพี่น้อง” มาจนทุกวันนี้
ต่อจากนั้น พระพุทธรูปองค์ที่ใหญ่ได้แสดงอภินิหารลอยไปถึงแม่น้ำแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม ชาวประมงได้ช่วยกันอาราธนาท่านขึ้นประดิษฐานไว้ ณ วัดบ้านแหลม มีชื่อเรียกว่า “หลวงพ่อบ้านแหลม” อีกองค์หนึ่งได้แสดงปฏิหาริย์ล่องเข้าไปในคลองบางพลี ชาวบ้าน
ได้อาราธนาขึ้นประดิษฐานที่วัดบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ มีชื่อเรียกว่า “หลวงพ่อโตบางพลี”
ส่วนพระพุทธรูปองค์สุดท้าย หรือหลวงพ่อพระพุทธโสธรนั้นได้แสดงอภินิหาร
ลอยมาขึ้นที่หน้าวัดหงส์ (จังหวัดฉะเชิงเทรา, 2539 : 34-37) ซึ่งเป็นชื่อเดิม
ของวัดโสธรวรารามวรวิหาร วัดนี้แต่เดิมเป็นวัดราษฎร์ สร้างขึ้นตอนปลายกรุงศรีอยุธยา ตามประวัตินั้น แต่แรกมีชื่อว่า “วัดหงส์” เพราะมี “เสาหงส์” อยู่ในวัด เป็นเสาสูงมียอดเป็นตัวหงส์อยู่บนปลายเสา (จังหวัดฉะเชิงเทรา, 2540 : 27)
วัดนี้มีลักษณะดี ตั้งอยู่บนแหลมเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นที่ธรณีสงฆ์ รักษา พระศาสนาสืบต่อไปได้ ตามธรรมเนียมจีน สถานที่นี้เรียกว่า “ที่มังกร” ถ้าได้ประทับ ณ สถานที่นี้ จะเกิดรัศมีบารมีและมีความศักดิ์สิทธิ์ ที่จะรักษาบ้านเมืองและพุทธศาสนาสืบต่อไป หลวงพ่อพระพุทธโสธร
จึงได้ตัดสินใจขึ้นประทับ ณ วัดหงส์แห่งนี้ ในเดือนยี่ติดต่อเดือนสาม
ตามประวัติกล่าวว่า เมื่อองค์หลวงพ่อได้แสดงอภินิหารลอยมาขึ้นที่หน้าวัดหงส์ได้มีชาวบ้าน
ยกและฉุดเป็นจำนวนมาก แต่ไม่สามารถเชิญหลวงพ่อฯ ขึ้นจากน้ำ จนกระทั่งได้มีอาจารย์ผู้หนึ่ง รู้วิธีการอัญเชิญหลวงพ่อโดยตั้งพิธีบวงสรวงใช้ด้ายสายสิญจน์คล้องกับพระหัตถ์หลวงพ่
อพุทธโสธร แล้วอัญเชิญขึ้นมาบนฝั่ง โดยใช้คนไม่กี่คนก็สามารถอัญเชิญขึ้นประดิษฐานในวิหารสำเร็จ ตามความประสงค์ จึงได้จัดให้มีการสมโภชน์ฉลององค์หลวงพ่อ หลังจากที่ได้ประทับที่วัดหงส์เรียบร้อยแล้ว ชื่อเสียงหลวงพ่อยังไม่ปรากฏ ซึ่งหลวงพ่อต้องการชื่อเดิมของท่าน จำเดิมองค์หลวงพ่อประทับ
ที่วัดศรีเมืองทางภาคเหนือ ซึ่งมีชาวบ้านขนานนามหลวงพ่อว่า “พระศรี” องค์หลวงพ่อมีความประสงค์
จะใช้นามว่า “หลวงพ่อพุทธศรีโสธร” จึงมีเหตุการณ์ดลบันดาลให้เกิดพายุพัดเอาหงส์ที่ตั้งอยู่บนยอดเสาหงส์ลงมา ชาวบ้าน จึงแก้ไขเป็นเสาธง จึงเปลี่ยนจากวัดหงส์เป็น “วัดเสาธง” อยู่ต่อมาไม่นานก็เกิดพายุอีก พัดเสาธงหัก จึงเปลี่ยนจากวัดเสาธง เป็น “วัดเสาธงทอน” ต่อมาชาวบ้านเห็นว่าไม่เพราะ จึงได้ขนานนามว่า “วัดศรีโสทร” ในที่สุดหลวงพ่อก็ดลบันดาลให้เปลี่ยนชื่อเป็นวัดโสธร และต่อมาได้มีข้าราชการได้ไปนมัสการหลวงพ่อที่วัด เล็งเห็นความสำคัญของวัด จึงได้เสนอแต่งตั้งให้เป็นวัดหลวงและขนานนามหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อโสธร หรือหลวงพ่อพระพุทธโสธร” ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา (บรรณาธิการฉบับพิเศษ, ม.ป.ป. : 29)
สำหรับประวัติความเป็นมาของหลวงพ่อพระพุทธโสธรนั้น มีนักโบราณคดีและผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่าน ที่มีความเห็นแตกต่างกันออกไปดังนี้ (พิพิธวิหารกิจและคณะ,2542:50 – 52)
ก. ความเห็นของนักโบราณคดี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้รับการยกย่องว่า ทรงพระปรีชา สามารถ ในทางปกครองเป็นยอดเยี่ยม ทรงเป็นนักโบราณคดี
นักประวัติศาสตร์ และอื่น ๆ ได้ทรงบันทึกไว้ในจดหมายถึงมกุฏราชกุมาร เมื่อเสด็จประพาสมลฑลปราจีนบุรี ร.ศ.127 ความตอนหนึ่งว่า”…พระพุทธรูป ว่าด้วยศิลาแลงทั้งนั้น องค์ที่สำคัญว่าเป็นหมอดีนั้น คือ องค์ที่อยู่กลางดูรูปตักและเอวงาม ทำเป็นทำนองเดียวกันกับพระพุทธเทวปฏิมากร แต่ตอนบนกลายไปเป็นด้วยฝีมือผู้ที่ไปปั้นว่า ลอยน้ำก็เป็นความจริงเพราะเป็นพระศิลาคงจะไม่ได้ทำในที่นี้”
พระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พอจะสรุปได้ว่า พระพุทธโสธรนี้เป็นพระศิลา (แลง) ไม่ได้ทำในจังหวัดฉะเชิงเทรา และคงจะมาจากที่อื่น
นอกจากพระบรมราชวินิจฉัยดังกล่าวแล้ว ยังมีนักโบราณคดีอีก 2 ท่าน ได้ให้ทรรศนะเกี่ยวกับพระพุทธโสธร ดังต่อไปนี้คือ
(1) หลวงรณสิทธิพิชัย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศิลปากร ได้บันทึกไว้ในเรื่องการสำรวจของโบราณในเมืองไทย เกี่ยวกับ พระพุทธโสธรนี้
“…หลวงพ่อโสธรเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิหน้าตักกว้าง 1.65 เมตร สูง 1.98 เมตร เป็นพระพุทธรูปที่บูรณะขึ้นในปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา หรือต้นสมัยรัตนโกสินทร์ และช่างผู้บูรณะนั้นเข้าใจว่าจะเป็นฝีมือช่างผู้มีภูมิลำเนาอยู่ทางภาคอีสาน ประวัติที่ข้าพเจ้าพึงกล่าวได้นั้นมีเพียงเท่านี้ และที่กล่าวนี้โดยอาศัยวัตถุที่เห็นเท่านั้น”
เหตุผลที่สันนิษฐานว่าพระพุทธโสธรได้บูรณะหรือสร้างขึ้น ในปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาหรือต้นสมัยรัตนโกสินทร์นั้น ในฐานะที่ นายมานิต วัลลิโภดม ภัณฑารักษ์เอกของกรมศิลปากรในสมัยนั้นได้ร่วมเดินทางไปสำรวจโบราณวัตถุกับหลวงรณสิทธ
ิพิชัย
ในครั้งนั้นด้วย ได้ชี้แจงว่าที่สันนิษฐานเช่นนั้นก็สังเกตจากวงพระพักตร์ ชายสังฆาฏิ ทรวงทรง และลีลาในการสร้างโดยเฉพาะช่างฝีมือในภาคอีสาน การสร้างพระพุทธรูปไม่สู้จะเปลี่ยนแปลง
ไปจากเดิมมากนัก
(2) นายมนตรี อมาตยกุล อดีตหัวหน้ากองประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร ได้ให้ทรรศนะไว้ในเรื่องนำเที่ยวฉะเชิงเทรา กล่าว
ความไว้ตอนหนึ่งว่า”…พระพุทธโสธรเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ลงรักปิดทอง มีขนาดสูง 10 เมตร 98 เซนต์ หน้าตักกว้าง 1 เมตร 65 เซนต์ เท่าที่ตรวจดูรูปภายนอกซึ่งลงรักปิดทองไว้ ปรากฎว่าเป็นพระพุทธรูปฝีมือช่างแบบลานช้าง หรือซึ่งเรียกกันเป็นสามัญว่า “พระลาว” พระพุทธรูปแบบนี้นิยมทำกันมากที่เมืองหลวงพระบางในประเทศอินโดจีน ฝรั่งเศส และทางภาคอีสานของประเทศไทย”
พระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และความเห็นของนักโบราณคดีอีกสองท่าน ที่ได้กล่าวนามมาแล้ว พอจะสรุปได้ว่า หลวงพ่อโสธรไม่ได้ทำขึ้นในจังหวัดฉะเชิงเทรา แต่ได้นำมาจากที่อื่น เพราะพระพุทธโสธรทำด้วยศิลาแลง พระพุทธรูปเป็นฝีมือแบบชาวลานช้างหรือที่เรียกว่า ”พระลาว” ได้บูรณะหรือสร้างขึ้นในปลายกรุงศรีอยุธยา หรือต้นสมัยรัตนโกสินทร์
ข. ข้อสันนิษฐานของผู้ทรงคุณวุฒิ ตามพระพุทธประวัติของพระพุทธโสธร
จัดพิมพ์โดยนายทองใบ ภู่พันธ์ ณ สำนักวัดพิกุลเงิน อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี เมื่อวันที่
13 กุมภาพันธ์ 2492 ได้บรรยายข้อสันนิษฐานไว้ดังต่อไปนี้ โดยได้จากการสัมภาษณ์กับท่านเจ้าคุณเทพกวี อดีตเจ้าคณะมณฑลปราจีนบุรี วัดเทพศิรินทราวาสว่า ขณะที่ท่านเจ้าคุณเทพกวี ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้า
คณะมณฑลปราจีนบุรี เมื่อปี พ.ศ. 2472 ถึง พ.ศ. 2482 ได้ความต้องกันเป็นส่วนมากว่า พระพุทธโสธรที่ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถวัดโสธรปัจจุบันนี้ เดิมที่เสด็จปาฏิหารย์ลอยมา
ตามกระแสน้ำจากทางเหนือลำแม่น้ำบางปะกง เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิแกะด้วยฝีมือหยาบ ๆ ขนาดหน้าตักกว้างประมาณ 2 คืบเศษ ไม่มีพุทธลักษณะงดงามอะไร ข้อที่ว่าจะลอยมาจากแห่งหนตำบลไหน ตั้งแต่เมื่อใดนั้นยังไม่มีใครสอบสวนได้ความ ส่วนที่ว่าพระพุทธโสธรเสด็จลอยตามน้ำมาจริงหรือไม่นั้น ท่านเชื่อว่าพระพุทธโสธรเสด็จลอยน้ำมาจริง เพราะเชื่อว่าลอยน้ำได้และท่านยังมีเหตุผล
พอจะสันนิษฐานได้ว่าพระพุทธโสธรองค์นี้เป็นพระที่แกะสลักด้วยไม้โพธิ์เข้าใจว่า
สร้างขึ้นโดยฝีมือชาวเวียงจันทร์หรือลาวนครเชียงรุ้ง หรือลาวโซ่งอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะ
เคยทราบมาว่า พวกลาวชาวพื้นเมืองที่กล่าวนี้นิยมสร้างพระพุทธรูปด้วยไม้โพธิ์
และน่าคิดว่าพระพุทธรูปเสด็จลอยน้ำมาจากทางเหนือลำแม่น้ำบางปะกง และได้สันนิษฐาน
ต่อไปว่าน่าจะลอยมาจากตำบลใดตำบลหนึ่งในท้องที่อำเภอพนมสารคาม อยู่ตอนเหนือ
ของจังหวัดฉะเชิงเทราขึ้นไป โดยท้องที่สองฟากฝั่งแม่น้ำบางปะกง ตอนนี้ ในระหว่างสมัยรัชกาลที่ 3 ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่ ปี พ.ศ.2367 ถึง พ.ศ.2394 ต่อเนื่อง
กันมาจนถึงต้นสมัยรัชกาลที่ 4 ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประเทศไทยมีสงคราม
ติดพันกับแคว้นต่าง ๆ ในความอารักขาของอินโดจีน ฝรั่งเศส เช่น เมืองเวียงจันทร์ เมืองเชียงตุง เมืองเชียงรุ้ง และลาวโซ่ง เหล่านี้เรื้อรังอยู่ช้านาน เมื่อกองทัพฝ่ายใดตีดินแดนของข้าศึกได้ ก็กวาดต้อนผู้คนพลเมือง
ตลอดจนเสบียงอาหาร ช้าง ม้า โค กระบือ และอาวุธยุทโธปกรณ์ ในดินแดนของข้าศึกที่ยึดได้ ส่งเข้ามาควบคุม
รักษาไว้ในดินแดนของตน และให้ครอบครัวเชลยเหล่านั้นตั้งรกราก ทำมาหากินอยู่เป็นหมู่เป็นพวก อยู่ภายใน
เขตที่อันมีกำหนดจนกว่าสงครามจะสงบ และมีการเจรจาแลกเปลี่ยนเชลยกันในภายหลัง โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งท้องที่ตำบลต่าง ๆ ในอำเภอพนมสารคามนี้ แต่ก่อนพื้นที่ราบเป็นป่าไม้กระยาเลยนานาชนิด อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น แร่ตะกั่ว แร่เหล็ก และอื่น ๆ อยู่เป็นอันมาก ในท้องที่ที่กล่าวนี้
ีครอบครัวลาวเวียงจันทร์ตั้งรกรากทำมาหากินอยู่หลายร้อยครัวเรือนตลอดมาจนถึงยุคปัจจ
ุบันก็ยังปรากฏว่า
ครอบครัว ลูกหลานเหลน ตั้งถิ่นฐานบ้านช่องกลายเป็นคนพื้นเมืองไปเลยเข้าใจว่าครอบครัวที่ถูกกวาดต้อน
มาเป็นเชลยนี้เอง ได้สร้างพระพุทธโสธรขึ้นด้วยไม้โพธิ์ หรือมิฉะนั้นก็อาจสร้างมาจากเมืองเวียงจันทน์
หรือแคว้นลาวแคว้นใดแคว้นหนึ่งที่กล่าวข้างต้น เมื่อเจ้าของถูกกองทัพไทยกวาดต้อนเอาตัวมา
ก็เลยอาราธนาพระพุทธรูปองค์นี้มาด้วย เพื่อช่วยป้องกันอันตรายภัยพิบัติอันจะพึงบังเกิดขึ้น
เมื่อตนต้องพลัดพรากจากบ้านเกิดเมืองมารดร ต่อมาจะเป็นโดยบังเอิญหรือโดยเจตนาอย่างไร
ก็ยากที่จะสันนิษฐาน พระพุทธโสธรจึงเสด็จลอยตามน้ำมาจนถึงวัดแหลมหัววน ซึ่งเป็นที่ตั้ง
กองพันทหารช่างที่ 2 อยู่ในปัจจุบันนี้ และในที่สุดพระสงฆ์และชาวบ้านไปพบพระพุทธโสธรลอยน้ำอยู่ จึงอาราธนาขึ้นมาประดิษฐานไว้ ณ พระอุโบสถวัดโสธร แล้วเลยถวายพระนามไปตามชื่อ
ของวัดโสธรแต่นั้นเป็นต้นมา
ค. คำบอกเล่าสืบต่อกันมา นอกจากที่ปรากฏในตำนานเรื่องหลวงพ่อพุทธโสธร คำกลอนประพันธ์โดยนายเพิ่ม อยู่อินทร์ ดังได้กล่าวมาแล้วในตอนต้นว่า ได้ปลอมแปลง
เป็นพระพุทธรูปเสด็จลอยมาตามลำน้ำบางปะกง เพื่อจะลองดีคนทางใต้ นอกจากนั้นแล้วนายทองใบ ภู่พันธ์ สำนักวัดพิกุลเงิน ยังได้กล่าวไว้ในหนังสือพุทธประวัติของพระพุทธโสธร ซึ่งได้จากการสัมภาษณ์ เจ้าคุณเทพกวี วัดเทพศิรินทร์ ความอีกตอนหนึ่งว่า “….ในระหว่างที่ฉันดำรงตำแหน่งเจ้าคณะมณฑลอยู่ ทราบจากคนพื้นเมืองจังหวัดฉะเชิงเทราที่มีอายุสูง ๆ ว่าพระพุทธโสธรนั้น เมื่อมีกิติศัพท์
แพร่หลายเลื่องลือไปตามท้องถิ่นต่าง ๆ แล้ว พระภิกษุสงฆ์ในวัดโสธร ตลอดจนทายกทายิกา
ผู้มีศรัทธาเลื่อมใสในอภินิหารอันศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธโสธรต่างพากันปริวิตกเกรงกล
ัวไปว่า สักวันหนึ่งอาจมีผู้ลักลอบเอาพระพุทธโสธรไปเสียที่อื่น ฉะนั้น จึงพร้อมใจกันจัดสร้าง
พระพุทธรูปจำลองแบบไม้ธรรมดาขึ้น แล้วนำเอาไปสวมครอบปิดบังพระองค์จริง
ของพระพุทธโสธรไว้เสียภายใน เพื่อเป็นการพรางตา และต่อมาจะเป็นด้วยเห็นว่า
พระพุทธรูปจำลองด้วยไม้ที่ทำมาแล้วครั้งก่อน ยังไม่เป็นการปลอดภัยเพียงพอ
ที่จะป้องกันไม่ให้โจรผู้ร้ายมาลักหรือจะอย่างไรไม่ปรากฏชัด จึงได้มีการทำพระพุทธรูป
แบบไม้ชนิดเดียวกับครั้งก่อน แต่มีขนาดใหญ่กว่าขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง และแล้วก็ปฏิบัต
ิเช่นเดียวกับที่ทำมาเมื่อคราวแรก คือ เอาสวมครอบซ้อนพระพุทธรูปจำลองครั้งแรก
ลงไปอีกชั้นหนึ่ง ในกาลต่อมาจะเกิดความคิดพิเศษอะไรขึ้นมากกว่าครั้งก่อน ๆ
จึงปรากฏว่าคราวนี้ได้ใช้ปูนพอกทับพระพุทธรูปจำลองเมื่อครั้งที่สองเสียแน่นหนาใหญ่โ
ต
จะประจักษ์แก่ผู้ที่ไปนมัสการปัจจุบันนี้ว่า พระพุทธโสธรมีขนาดหน้าตักกว้างถึง 3 ศอกเศษ
ซึ่งความจริงพุทธศาสนิกชนรุ่นเรา ๆ หาได้เคยเห็น พระพุทธโสธรพระองค์จริงไม่”
ความศักดิ์สิทธิ์และอภินิหารของหลวงพ่อพระพุทธโสธร ขจรขจายไปทั่ว เมื่อใดที่เกิด
ความสิ้นหวังหรือทุกข์ร้อนในชีวิต ชาวบ้านมักใช้วิธีบนบานศาลกล่าวกับ “หลวงพ่อ” ที่ตนเคารพนับถือ เพื่อให้ได้สิ่งอันต้องประสงค์หรือเพื่อขจัดความทุกข์นั้น ครั้นเมื่อตนได้สิ่งอันประสงค์ ความเลื่อมใส
ศรัทธาก็ยิ่งเพิ่มทวี จนองค์หลวงพ่อกลายเป็นศูนย์รวมจิตใจและที่พักพิงของคนไทยทั่วทั้งประเทศ
……ตามหนังสือประวัติหลวงพ่อโสธร ที่ท่านพระราชเขมากร (ก่อ เขมทสสี ป.ธ. 7) ตเจ้าอาวาสวัดโสธรได้เขียนไว้ (พิพิธวิหารกิจและคณะ, 2542 : 62) มีความตอนหนึ่งว่าเมื่อหลวงพ่อได้มา
ประดิษฐานอยู่ในวัดโสธรแล้ว ประชาชนชาวเมืองนับถือมาก กล่าวกันว่าถ้าได้บอกหลวงพ่อแล้วสินค้าก็ซื้อง่าย
ขายคล่องเป็นเทน้ำเทท่า ครั้นต่อมาเมื่อการคมนาคมทางบกสะดวกขึ้นจึงมีผู้คนไปนมัสการมากขึ้น ผู้ใดเจ็บไข้ได้ป่วยก็มาขอความคุ้มครองรักษาจากหลวงพ่อโสธร มักจะได้ผลสมความปรารถนาเป็นส่วนมาก มูลเหตุอีกอันหนึ่งที่กิตติศัพท์ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโสธรได้แผ่ไพศาลไปในท้อง
ที่ต่างเล่ากันว่า ในสมัยหนึ่งบ้านโสธรเกิดทุพภิกขภัยข้าวยากหมากแพ ฝนแล้ง ข้าวกล้าในนา ผลไม้ในสวนเหี่ยวแห้ง สัตว์พาหนะเกิดโรคระบาดล้มตาย ผู้คนทั้งเด็กและผู้ใหญ่เป็นโรคฝีดาษต่างพากันอพยพหนี ทิ้งบ้านช่องเอาตัวรอด ในกาลครั้งนั้นยังมีบุรุษหัวหน้าครอบครัวหนึ่ง เมื่อเกิดโรคระบาดนี้ขึ้น ตนหาที่พึ่งไม่ได้ก็หันเข้าหาพระเป็นสรณะที่พี่งที่ยึดถือจึงไปนมัสการอธิษฐานบนบานข
อความ
คุ้มครองรักษาจากหลวงพ่อโสธร ในพระอุโบสถ เอาขี้ธูปบ้าง ดอกไม้เหี่ยวแห้งที่บูชาแล้วบ้าง
กับทั้งอธิษฐานหยดเทียนขอน้ำมนต์จาก หลวงพ่อบ้างแล้วมากิน มาทาและอาบ ปรากฏว่า
ได้ผลสมความปรารถนาโรคหายเป็นปกติ ด้วยความดีใจที่โรคหายสมความประสงค์ จึงจัดให้มีการสมโภชแก้บนถวาย แต่นั้นมากิตติศัพท์ความศักดิ์สิทธิ์ของ หลวงพ่อโสธร
ก็แพร่สะพัดไปในที่ต่าง ๆ กว้างขวางมากขึ้น จนเป็นที่เลื่องลือนับถือกันว่า “หลวงพ่อโสธรศักดิ์สิทธิ์” ผู้ใดปรารถนาสิ่งใด ที่ชอบ ที่ควร ท่านก็ประสิทธิ์ประสาทให้สมความประสงค์ ความศักดิ์สิทธิ์
ของหลวงพ่อมีมากมายเหลือจะพรรณนาให้หมดสิ้นได้ จนในกาลต่อมาถึงรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ข้าราชการในจังหวัดฉะเชิงเทราเข้าถือ
น้ำพิพัฒน์สัตยาในพระอุโบสถอันเป็นที่ประดิษฐานองค์หลวงพ่อโสธร ซึ่งแต่เดิมมากระทำ
ที่วัดปิตุลาธิราชรังสฤษดิ์ (วัดเมือง) กระทำต่อ ๆ มาจนสิ้นสมัยการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโสธร แม้สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ก็ได้ทราบกล่าวไว้ในขณะเสด็จตรวจคณะสงฆ์ในมณฑลปราจีนบุรี พ.ศ. 2459 ว่า
“………พระประธานในพระอุโบสถวัดนี้ เป็นพระศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวจังหวัดนี้นับถือมาก มีคนมานมัสการไม่ขาด และมีการไหว้ประจำปี กำหนดในวันเพ็ญเดือน 12 ถึงวันนี้ มีเรือมาเป็นอันมาก นอกจากไหว้พระ มีการออกร้านและแข่งเรือ……” (พิพิธวิหารกิจและคณะ, 2542 : 63)
จากความเชื่อของชาวพุทธ หลวงพ่อพุทธโสธรเปรียบเสมือนร่มโพธิ์ร่มไทรอันยิ่งใหญ่
ให้สรรพสัตว์ได้พำนักอาศัย กางกั้นสรรพภัยอันตรายและความเดือดร้อนลำเค็ญ ดลให้เกิดความ
อยู่เย็นเป็นสุข เป็นแพทย์ผู้วิเศษพยาบาลผู้อาพาธให้หายขาด เป็นสรณะที่พึ่งพาของหมู่พระบริษัท
ผู้ถูกภัยคุกคาม เป็นผู้พยากรณ์ทำนายโชคชะตาวาสนา เป็นผู้บันดาลให้ทุกท่านผู้กราบหลวงพ่อ
เป็นสัพพัญญูผู้สำเร็จวิชาทั้งทางโลกและทางธรรม และเป็นบรมครูของเทวดาและมนุษย์
ปล. http://luangpoosupa.invisionzone.com/index.php?showtopic=3411/color]