ผู้เขียน หัวข้อ: การฝึกจิตกับการทำงานบ้าน  (อ่าน 1591 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ เค็น

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 189
  • เพศ: ชาย
  • หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ "เทพเจ้าแห่งลุ่มน้ำนครชัยศรี"
    • ดูรายละเอียด
การฝึกจิตกับการทำงานบ้าน
« เมื่อ: 02 มิ.ย. 2550, 10:31:58 »
สำหรับคนที่ไม่มีเวลาในการนั่งสมาธิ

...หรือบอกกับตัวเองว่าไม่มีเวลา แต่ถ้าฝึกจิตหรือสมาธิด้วยวิธีแบบนี้แล้วคุณยังบอกว่าไม่มีเวลานนั้นก็แสดงว่ าตะกอนของกิเลสตัณหาคงทับทมกันจนอยากที่จะถอดทอนได้ มิหนำซ้ำ ขี้โคลนเลนยังมาทับถมอีกชั้นหนึ่ง ก็แล้วแต่คุณจะเลือก มารอพิสูจน์กันตอนอายุมากๆก็แล้วกัน

สำหรับแม่บ้านหรือคนที่ทำงานในออฟฟิต
การฝึกสมาธิถือว่าฝึกได้ตลอด ไม่ว่ากวาดบ้าน ล้างห้องน้ำถ่ายเอกสาร นั่งทำงานอยู่ทีโต๊ะทำงาน ฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ อื่นๆอีกมากมาย การฝึกก็คือ คุณมีสติจดจ่อในขณะที่ทำหรือไม่ จิตคุณอยู่ที่คุณหรืออยู่ที่ไหน ถ้าคุณกวาดบ้านแล้วจิตนึกถึงละครก็ขาดสติ ถือว่าผิดต้องดึงมันกับมา

ถ้าทำงานที่ออฟฟิต

จิตอกนอกออฟฟิตไปหาที่อื่นซึ่งไม่เกี่ยวกับงาน ณ ขณะนั้นก็ขากสติต้องรีบดึงมันกลับมาในขั้นต้นพอคุณเริ่มทำอาจจะยากหน่อยมีสติขาดสติบ้าง ส่วนมากจิตจะถูกดึงออกไปมากกว่า พอมีคนอื่นมาคุยด้วยก็ต้องฝึกรู้ว่ากำลังคุยกำคนอื่น พอหยุดคุยก็ต้องมีสติกลับมาที่ตัวเราขณะที่ดูละครหรือฟังวิทยุถึงบทที่นางร้ายทำร้ายนางเอกก็ต้องกำหนดรู้

ถ้าเรามีอารมณ์เกลียดนางร้ายถือว่าขาดสติตกหลุมกิเลสคือไม่ได้

ดังใจ ถึงบทพระเอกนางเอกดีกัน รักกันก็ต้องกำหนดรู้ ไม่งั้นคุณจะตกหลุมกิเลสที่เรียกว่าได้ดังใจ ชอบใจ ต้องให้รู้ว่านี่คือละครหรือแม้แต่ฟังรายการวิทยุ โดยเฉพาะเรื่องการเมือง ถ้าโทรศัพท์มาวิจารณ์คุณจะต้องฟังทั้งที่ชอบใจและไม่ชอบใจเสมอ

คุณจะต้องฝึกที่จะเรียนรู้ทั้งที่ชอบและไม่ชอบมีสติกำหนดรู้

แล้วดูที่ตัวเองว่ามีอาการอย่างไรถ้าไม่ชอบใจ หงุดหงิดไหม โกรธไหม อยากโทรศัพท์ไปโต้ตอบไหม ส่วนถ้าชอบใจมีอาการอย่างไร เอ่อคิดเหมือนเราดีมาก สุขใจ อยากฟังนานๆ ความคิดเราแน่และถูกต้อง คิดไม่ผิดยิ่งมีคนเห็นด้วยมาก คุณเริ่มขาดสติแล้ว หลงกับมันแล้วทั้งชอบและไม่ชอบ ต้องรีบดึงสติกลับคืนมาโดยเร็วอย่าหลงกับมันฝึกปล่อยแล้วคุณจะเข้าใจว่าเป็นกลางที่แท้จริงเป็นอย่างไร

สำหรับบางคนคิดว่าตัวเองเป็นกลาง

ไม่เข้าข้างทั้งสองฝ่ายที่ชอบและไม่ชอบ มันไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ได้ยินมาดูมา มันจริงหรือเปล่า แล้วคุณก็ทำตัวนิ่งเฉยๆ เหมือนกับว่าวางตัวเป็นกลางแต่ใจกับคิดหรือคิดมากแต่ไม่แสดงอาการ คุณอาจตกอยู่ในกิเลสที่เรียกว่าลังเลสงสัย

ว่าชอบหรือไม่ชอบ

บางครั้งเหตุผลฝ่ายไหนดีก็เอนเอียงทั้งที่อาจจะจริงหรือไม่จริง ต้องฝึกวางความลังเลสงสัยเพราะมันเป็นกิเลสที่ละเอียดกว่าสองตัวข้างบน ต้องฝึกบ่อยๆเพราะมันเกิดขึ้นกับชีวิตประจำวันเป็นประจำ

เมื่อเราฝึกบ่อยทั้งที่บ้าน ที่ทำงาน

สถานที่ต่างๆ คุณจะเริ่มรู้เท่าทันกิเลส ๓ ตัวนี้มากขึ้น เป็นการฝึกที่ละนิดเพื่อการสะสม ฝึกบ่อยๆทุกๆวันๆละนิด คุณจะเห็นการเปลี่ยนแปลงแน่นอนความทุกข์จะน้อยลงแน่นอน กลับรู้สึกตัว มีสติมากขึ้นเมื่อคุณฝึกดีแล้วคุณจะเข้าถึงความเป็นกลางที่แท้จริง มันจะอยู่เหนือความชอบ ความไม่ชอบ ความลังเลสังสัย จิตคุณจะมีสติรู้ทันมัน และอยู่เหนือมันได้