วิธีฝึกจิตให้มีพลัง (2/5)
ในกายนี้ ถ้าหากว่าเป็นกายในอดีต ท่านก็ให้พิจารณาถึงว่า เมื่อเรา 50, 40, 30, 20, 10 ปี 9, 8, 7, 6, 5, 4, 3, 2, 1 นี่เรียกว่าเราดูกายของเราตั้งแต่นี้ไปจนกระทั่งถึงเด็ก มันเป็นยังไง รูปร่างลักษณะ
และต่อนี้ไปก็ อนาคตัง วา คือกายในอนาคต ที่ต้องพิจารณาดูว่า จาก 50 แล้วเป็น 60 จาก 60 เป็น 70 จาก 70 เป็น 80 จนกระทั่งถึงตาย ลักษณะของการมีกายในอนาคตนั้น คือความแก่ และความตาย ลักษณะเป็นอย่างไร นี่เป็นกายในอนาคต ในการที่จะพิจารณาให้เห็นเป็นการส่งเสริมสติ
และ ปัจจุปันนัง วา กายในปัจจุบัน พระพุทธเจ้าแนะนำว่ากายในปัจจุบันนั้น อะยังโข เม กาโย กายของเรานี้แล อุททัง ปาทะ ตะลา เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา อะโท เกสะ มัทถะกา เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป ตะจะ ปริยันโต มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ ปุโร นานัปปะการัสสะ อสุจิโน เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ อัตถิ อิมัสสมิง กาเย มีอยู่ในกายนี้ เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ เรียกว่า ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ในร่างกายอันนี้
หนังนั้นเป็นอย่างไร เนื้อนั้นเป็นอย่างไร กระดูกนั้นเป็นอย่างไร จนกระทั่ง ท่านได้แสดงว่า อัญเญนะ ชังคะถิกัง กระดูกแข้งจะกระเด็นไปทางอื่น อัญเญนะ พาหัตถิกัง กระดูกแขนจะกระเด็นไปทางอื่น เป็นต้น คือท่านให้แยกแยะออกไปว่า อันนี้คือ โครงกระดูก อันนี้คือกระดูกแขน อันนี้คือลำไส้ อันนี้คือน้ำเลือด อันนี้คือน้ำเหลือง อันนี้คือร่างกายส่วนต่างๆ จะเป็นกระดูกเท้า กระดูกแขน กระดูกมือ ก็ว่าไป
อันนี้เรียกว่า ปัจจุปันนัง วา กายในปัจจุบัน การพิจารณาอย่างนี้ถือว่าได้ดำเนินจิตเข้าสู่มหาสติปัฏฐาน สติ แปลว่าสติ ฐานะ แปลว่าความมั่นคง จึงเรียกว่าสติปัฏฐาน ทีนี้ท่านก็ใส่ข้างหน้าไว้ว่าเป็น มหา แปลว่าใหญ่ จึงเรียกว่ามหาสติปัฏฐาน คือเป็นฐานที่ตั้งแห่งสติใหญ่ ความใหญ่ ความยิ่ง ก็ถือว่าเป็นความสำคัญ
เพราะฉะนั้น เมื่อต้องการจะเสริมสติ ในเมื่อจิตนี้มันเข้าไปสู่ภวังค์ หรือจิตนี้มันเข้าไปสู่ความสงบ เราก็นำจิตอันนี้เข้ามาดูร่างกาย จะเป็นร่างกายในอดีต หรือจะเป็นร่างกายในอนาคต หรือจะเป็นร่างกายในปัจจุบันนั้น ก็สุดแล้วแต่ว่าเราจะกำหนดลงไปตรงไหน เมื่อกำหนดลงไปแล้ว ไม่ใช่ว่าจะให้กำหนดอยู่แต่ตรงนั้น อย่างเดียว
เมื่อกำหนดพิจารณาไปเห็นตามสมควรแล้ว เราก็ย้อนจิตกลับคืนมาที่ตั้งของจิต เหมือนกันกับคนที่เค้านั่งอยู่ เมื่อเวลาที่นั่งอยู่นั้น ต้องการอยากจะมองดูสิ่งใด ก็มองไป เห็นหน้าต่าง เห็นประตู แต่ว่าเรานั่งอยู่ในที่นี้ เมื่อเห็นแล้วเราก็หลับตา เราไม่ต้องการที่จะมองให้เห็นอีก เราก็เอาจิตนี้มานั่งอยู่ที่เรานั่ง
เหมือนกับเรามองดูกายในอดีต อนาคต ปัจจุบัน เมื่อเรามองไป ในที่สุด เราก็ย่อกลับคืนมาหาจิต คือมาตั้งอยู่ที่จิต ในขณะที่เราพิจารณาร่างกายอันนั้น เรามองไปเห็น มันจะชัดเจนขึ้นตามลำดับ ถ้าหากว่าความชัดเจนที่เกิดขึ้นนี้ เกิดขึ้นโดยที่ สันทิฎฐิโก ผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นเอง คือเห็นเองที่ว่า เมื่อเรามองลงไปแล้ว ความชัดเจนนี้มันจะชัดเจนเพิ่มขึ้น
ถ้าความชัดเจนเพิ่มขึ้น แสดงว่าจิตนี้เกิดความผ่องใส หรือว่าจิตนี้มีความก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ และก็จิตนี้มีสติอันเข้มแข็งขึ้นตามลำดับ เพราะว่าความสว่างหรือความเห็นแจ้งลงไปในร่างกายอันนี้นั้น มันจะไม่ชัดเจน เริ่มต้นด้วยความไม่ชัดเจน จนกระทั่งไปหาความชัดเจน ไปถึงความชัดเจน ก็ไปจนถึงความแจ้งสว่าง จากความแจ้งสว่าง ก็เรียกว่าถึงความลึกซึ้ง
อันนี้ก็เป็นไปด้วยอำนาจ หรือเรียกว่าพลังของจิต อำนาจและพลังของจิตนั้น ย่อมจะแสดงให้เห็นถึงกิริยา เพราะว่าอำนาจจะมีแค่ไหนนั้น ก็สุดแต่ฐานที่ตั้ง หรือเรียกว่าสติปัฏฐานนี่แหละ เมื่อสติปัฏฐานนี้ มันเป็นของธรรมดา เราก็ไม่ใส่ มหา ลงไป ใส่แต่ว่าสติปัฏฐานอย่างเดียว แต่ถ้าหากว่าเกิดความยิ่งใหญ่ขึ้นมา ทีนี้จึงจะเรียกว่าเป็นมหา เรียกว่ามหาสติปัฏฐาน
ก็คือเกิดความแจ่มแจ้ง เกิดความชัดแจ้ง ความชัดแจ้งอันนี้ มันไม่ใช่เป็นสิ่งเดา หรือไม่ใช่เป็นสิ่งคิด คือคิดขึ้นมาก็ไม่สว่าง หรือถ้าเดาไปมันก็ไม่สว่าง แต่ว่ามันจะต้องเกิดความจริงขึ้น อันนี้เป็นเครื่องทดสอบว่าจิตของเรานั้น มีความเจริญก้าวหน้าไปแค่ไหนแล้ว
ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/misc/lp-viriyang-03.htm