แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - ★แดนพระนิพพาน★

หน้า: [1]
1
(ขออนุญาตเจ้าของกระทู้นำมาเผยแพร่ครับ)มาจากเว็บบอร์ดพลังจิตจากคุณ Powernext สมาชิกเว็บพลังจิตอีกที
หมาขี้เรื้อนเปลี่ยนคนใจดำ‏ ( อ่านแล้วน้ำตาคลอ )


เรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เอง
หมาขี้เรื้อน เปลื่ยนคนใจดำ

เรื่อง มีอยู่ว่า.. พี่ชิตแกเป็นคนใจดำครับ ชอบยิงนกตกปลาไปเรื่อย
แต่ที่หนักก็คงเป็นเนื้อหมา แกกินแหลกครับแต่ แม่แกบอกมันบาปนะลูก(ไม่สนโว้ย)

เมื่อราว 15 ปีก่อน มีเหตุการณ์ที่ทำให้แกเปลี่ยนไป
ครั้งนั้นมีหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งครับมันมักวิ่งไปหาของกินแถวๆบ้านแกบ่อย
เพราะบ้านแกติดตลาด พี่แกกินหมาอยู่บ่อย ๆ แต่กรณีหมาขี้เรื้อนแกบอก 'กินไม่ ลงว่ะ'
แกทำอย่างเดียวคือไล่ฆ่า แต่มันรอดได้ทุกครั้ง (สงสัยมีของ)
มันไปหาของกินบางทีก็ได้บางทีก็ไม่ได้ คราวนั้นเนื้อแห้งที่แกตากไว้หายไป


พอมองไปก็เห็นแม่หมาขี้เรื้อนวิ่งหลุน ๆ ไปแกเดือดทันทีครับวิ่งตามไป
คราวนี้ทันครับเพราะหมาขี้เรื้อนวิ่งช้ามาก แกทุบไปทีเดียวหมานั่นล้มลงชักทันที
(แกบอกว่าหากตีตรงจุด แค่ใช้ไม้บรรทัดก็ตาย)
แกทิ้งไว้ตรงนั้นไม่อยากจับแต่จะทำกินตรงนั้น
จึงกลับบ้านไปเตรียมของ (แค้นจัดอยากกินหมาขี้เรื้อน) ให้ผมเฝ้าไว้
ผมก็มัวแต่เก็บตะขบจนลืมดู (ในใจอยากให้มันรีบไปจะได้ไม่ตาย)
มันไปจริงครับหายวับไป พี่ชิตแกโกรธมากคงอยากเตะผมเต็มแก่
แต่ลุงผม แกเป็นนักเลงใหญ่และเป็นคนสอนวิธีฆ่าหมาให้
ก็ต้องวิ่งตามอย่างเดียวพร้อม บ่น " ทำไมมันไม่ตายวะ "

พักหนึ่งก็ได้ยินเสียงหมาเห่าแกตามทันทีพอไปถึง ภาพที่เห็น ..............................................
หมาขี้เรื้อนกำลังจะตายมันมีลูกที่ต้องเลี้ยง 5 ตัวครับ วัยกำลังหย่านมบางตัวยังกินนมอยู่
บางตัวก็วิ่งไปคาบเนื้อที่แม่หมาขี้เรื้อนคาบไปฝาก (เห็นกับตา)
ที่มันยังไม่ยอมตายเพราะต้องกลับไปให้นมลูก
แม้น้ำนมแห้งกรัง เอาอาหารไปให้ลูกมัน เรียกลูกๆเพื่อให้นม
ให้อาหารเป็นครั้งสุดท้าย แม่หมาพยายามอย่างดี ที่สุด


มันมองผมกับพี่ชิตอย่างขอร้อง ขอให้มัน ให้นมลูกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตาย
ไม่อยากเชื่อนั่นคือน้ำตาของหมาขี้เรื้อน มันแค่ต้องการให้นมลูกก่อนตาย
พี่ชิตไม้หล่นลงกับพื้น เดินเข้าไปดูแม่หมานั่น


ในยามนั้นสิ่งที่แกเห็นไม่ใช่หมาขี้เรื้อน แต่แกเห็นแม่ที่ยิ่งใหญ่ที่ทนเจ็บกลับไปหาลูก
แกไม่พูดอะไรทุกอย่างจุกอยู่ที่ลำคอ สายตาอ่อนโยนลง ลูกหมาตัวหนึ่งวิ่งไปหาแกกระดิกหางให้



แกอุ้มลูกหมาขึ้นพร้อมพูดว่า "ขอโทษ" พูดได้แค่นั้นแม่หมาก็ตาย
เราช่วยกันฝังแม่หมา แกรับเลี้ยงหมานั่นไว้ ทั้ง 5 ตัว
ตั้งแต่นั้นแกกลายเป็นคนใจดีไม่ไล่ยิงนกยิงหมายิงแมวอีก
แกบอก "มันอาจมี ลูกรออยู่ก็ใด้ "


เมื่อ 12 สิงหา 2 ปีที่แล้ว แกเอามะลิร้อยเป็นพวงไปให้แม่ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยทำ พูดกับแม่ว่า

"แม่ตอนผมอายุ16 แม่สอนผมยังไงนะสอนอีกหนใด้ไหมครับ"

แม่แกน้ำตาคลอพูดไม่ออก

ไม่อยากเชื่อแม่หมาขี้เรื้อนตายไป 1 ตัว
กลับทำให้คนใจดำอย่างแกเปลี่ยนไปขนาดนี้.....รักแม่

ใกล้ถึงวันแม่แล้วนะครับ หาสิ่งดีๆไปหาและกราบท่านบ้างนะครับ
รักท่านตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นะครับ อย่าไปรักท่านตอนที่ท่านไม่ได้มีชีวิตอยู่ในโลกนี้นะครับ......ผมรักแม่มากๆนะครับ


ขอขอบคุณบทความจาก เว็บพลังจิต และขออนุโมทนาครับ

2


ยันต์กระทู้ ๗ แบก เป้นตำราของสมเด็จลุน แห่งนครจำปาสัก ถ้าสังเกตุดูคาถาจะเป้นคาถา บทพุทธคุณ อิติปิโส ฯ อ่านตามแนวขว้าง คล้ายยันต์เกราะเพรช (คำตอบผิดพลาดต้องขออภัยนะครับ ตอบตามเท่าที่รู้มา )

ตั้งนะโม ๓ จบ
๑. อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา
บทนี้ชื่อ กระทู้ ๗ แบก ประจำอยู่ทิศบูรพา (ทิศตะวันออก)
บทที่ 1 เสกเป่าแก้พิษสัตว์กัด ต่อยได้

๒. ติ หัง จะ โต โร ถิ นัง
บทนี้ชื่อ ว่า ฝนแสนห่า ประจำอยู่ทิศอาคเณย์ (ทิศตะวันออกเฉียงใต้)
บทที่ 2 เสกทำน้ำมนต์ รดคนเจ็บไข้ได้ป่วย ผีเจ้าเข้าทรง

๓. ปิ สัม ระ โล ปุ สัต พุท
บทนี้ชื่อ นารายณ์เกลื่อนสมุทร ประจำอยู่ทิศทักษิณ (ทิศใต้)
บทที่ 3 เสกภาวนากันภูตผีปีศาจ เป่าพิษบาดแผล

๔. โส มา ณะ กะ ริ ถา โธ
บทนี้ชื่อ นารายณ์ถอดจักร์ ประจำอยู่ทิศหรดี (ทิศตะวันตกเฉียงใต้)
บทที่ 4 เสกจดครบ 108 จบ ทำน้ำมนต์ ไล่ผีหรือ ให้คนท้องกิน จะคลอดลูกง่าย

๕. ภะ สัม สัม วิ สะ เท ภะ
บทนี้ชื่อ นารายณ์ขว้างจักร์ตรึงไตรภพ ประจำอยู่ทิศประจิม (ทิศตะวันตก)

บทที่ 5 เสกพรมร่างคนไข้ ไล่ภูตผีปีศาจร้าย ดีนัก

๖. คะ พุท ปัน ทู ทัม วะ คะ
บทนี้ชื่อ นารายณ์พลิกแผ่นดิน ประจำอยู่ทิศพายัพ (ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ)
บทที่ 6 เสกทำน้ำมนต์ ป้องกันผีเจ้าเข้าทรง หรือถูกคุณกระทำชะงัดนัก

๗. วา โธ โน อะ มะ มะ วา
บทนี้ชื่อ ตวาดฟ้าป่าหิมพานต์ ประจำอยู่ทิศอุดร (ทิศเหนือ)
บทที่ 7 เสกด้าย หวาย มีด ข้าวสาร ขับไล่ผีบ้าน ผีป่าเวลาเดินทางดีนัก

๘. อา วิช สุ นุต สา นุ ติ
บทนี้ชื่อ นารายณ์แปลงรูป ประจำอยู่ทิศอีสาน (ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ)
บทที่ 8 เสกเป่าตัวเองป้องกันตัวเองเวลาเดินทางออกจากบ้าน แคล้วคลาดได้

3
กระทู้ 7 แบก ตามตำราของสมเด็จลุน แห่งนครจำปาสัก


4
ขออนุโมทนาสาธุครับกับธรรมะของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ครับ  :015:

5
ไม่รู้ว่าจะเอาลงห้องไหนจะเหมาะสมดี ก็เลยขอเอาลงตรงนี้เลยล่ะกันนะครับ  :005: (หากลงผิดหมวดขออภัยด้วยนะครับ)

เป็นตำราฤกษ์พรหมประสิทธิ์ตาม หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุงนะครับ หากรูปเล็กต้องขออภัยนะครับ 



กดขยายเองนะครับ ^^

ขออนุโมทนาสาธุ ๆ ครับ

6
ทีนี้ต่อจากนี้ไป ก่อนที่จะเดินทางไปนรก เราก็มาหาทุนกันก่อน ไปไหนไม่มีทุนนั้นไม่ได้ ทุนในทสี่นี้ไม่ใช่เงิน ไม่ใช่ทอง แต่ว่าเป็นทุนการบำเพ็ญบารมี เรามาพูดกันเสียก่อนว่า บารมีทสี่จะทำให้คนลงนรกน่ะ มันมียังไง เขาจึงได้ลงกันได้

นรกน่ะ แบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ นรกขุมใหญ่ และ ยมโลกียนรก


แล้วก็เฉพาะนรกขุมใหญ่แต่ละขุมกันมีนรกบริวารด้านละ ๔ ขุม ๔ ด้าน เป็นอันว่านรกขุมใหญ่ ๑ ขุม มีนรกบริวาร ๑๖ ขุม แต่ว่าสัตว์นรกที่จะผ่านนรกบริวารก็ผ่านแต่เพียง ๔ ขุม เพราะออกด้านใดด้านหนึ่งก็ผ่านสี่ขุม นรกขุมใหญ่นี่เราเรียกกันว่า นรกแป๊ะเจี๊ยะ หมายความว่า ลงโทษไม่จำกัดโทษ ไม่ใช่แยกประเภท

สำหรับยมโลกียนรกนั่นแยกประเภท คือ หมายความว่า ถ้าคนใดทำกรรมชั่วไปลงนรกขุมใหญ่ก่อน ลงขุมนี้เวลาจะออกจากขุมนี้ผ่านนรกบริวาร ๔ ขุม ถ้ากรรมชั่วอย่างหนักยังไม่หมดก็ไปลงขุมโน้นต่อไป ออกจากขุมนั้นก็ผ่านนรกบริวารอีก ๔ ขุม นรกขุมใหญ่นี้ เรียกกันว่า นรกแป๊ะเจี๊ยะ ไม่จำกัดโทษ ตรงกันข้ามกับยมโลกียนรก เขาแยกโทษเข้าไว้


ทีนี้มาว่ากันไป นรกขุมใหญ่มีโทษอะไร นี่ศึกษาบารมีการลงนรกเสียก่อน คนที่จะลงนรกต้องสร้างบารมี ต้องบำเพ็ญบารมี ถ้าบารมีไม่ถึงเขาก็ขับไปสวรรค์บ้าง ขับไปพรหมโลกบ้าง ขับมาเกิดเป็นมนุษย์บ้าง เป็นสัตว์เดียรัจฉานบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นอสุรกายบ้าง เขาไม่ยอมให้ลง แต่ถ้าหากว่ามีบารมีสมควร เขาก็ยินดีรับเอาไว้ในนรก นี่เฉพาะนรกขุมใหญ่นะ


บรรดาพระคุณเจ้าที่เคารพที่กำลังรับฟัง และ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท จะพูดให้ฟังว่านรกขุมใหญ่มีอะไรบ้างที่เราจะได้ไปน่ะ ต้องสร้างบารมีอะไร บารมีที่จะลงนรกขุมใหญ่นั้น ท่านกล่าวว่า ต้องสร้างบารมี ๑๐ อย่างครบถ้วน สุดแล้วแต่หนักเบา ถ้าสร้างเบาหน่อยก็ลงนรกขุมที่ ๑ หนักลงไปอีกนิดก็ลงนรกขุมที่ ๒ หนักลงไปอีกหน่อยก็ลงนรกขุมที่ ๓ หนักไปตามลำดับ ถ้าหนักเต็มที่ลงนรกขุมที่ ๘ เรียกว่า อเวจีมหานรก แล้วก็มีนรกพิเศษอีกอย่างหนึ่ง ถ้าหนักล้นเกินไปละก้อ ลงโลกันตนรก แล้วจึงจะถอยมาสู่อเวจีมหานรก


บารมีที่เขาปฏิบัติ ๑๐ อย่าง ก็คือ กรรมบถ ๑๐ ใครไม่เคารพกรรมบถ ๑๐ ต้องลงนรกขุมใหญ่ ๑๐ หรือเรียกว่า ใครไม่เคารพในกรรมบถทั้ง ๑๐ ประการ มีโอกาสได้อยู่นรกขุมใหญ่สบาย ๆ มีวาสนาบารมีมาก

กรรมบถทั้ง ๑๐ ประการ ที่ควรเว้นมีอะไร คือ

๑.เราต้องไม่ ฆ่าสัตว์ ถ้าเราฆ่าสัตว์ ก็เรียกว่า เราไม่เคารพในกรรมบถข้อนี้
๒.การลักทรัพย์
๓.การประพฤติผิดในกาม ทั้งเมียเขา ทั้งลูกเขา ทั้งผัวเขา ทั้งลูกจ้างของเขา ขี้ข้าเขา ทาสเขา ทั้งนั้น จิปาถะ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตถือว่าเป็นการไม่เคารพในกรรมบถ ๑๐
๔.ไม่พูดโกหกมดเท็จ
๕.ไม่ส่อเสียดยุยงส่งเสริมให้เขาแตกร้าวกัน
๖.ไม่พูดคำหยาบ
๗.ไม่พูดจาเพ้อเจ้อ เลอะเทอะหาประโยชน์มิได้
๘.ไม่เพ่งเล็งอยากจะลักทรัพย์ ขโมยทรัพย์ ปล้นทรัพย์ แย่งทรัพย์ คดโกงทรัพย์ของบุคคลอื่น
๙.ไม่จองล้างจองผลาญ ที่เรียกกันว่า ความพยาบาท
๑๐.ไม่มี ความเห็นไม่ตรงกับพระพุทธเจ้า ไอ้ส่วนที่เลวคิดว่าดี ส่วนที่ดีคิดว่าเลว ที่พระพุทธเจ้าตักเตือนแล้วไม่เอา

นี่การบำเพ็ญบารมี เพื่อจะอยู่ในนรกขุมใหญ่ บำเพ็ญกันให้ครบ ๑๐ อย่างดีไหม บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท

เอ๊ะ..๑๐ อย่างนี่ ไม่มีน้ำเมาไว้ด้วยนะ น่ากลัวนรกขุมใหญ่นี่เขาไม่รับคนชอบดื่มเหล้า คนชอบดื่มเหล้านี่ควรจะดีใจนะ นรกขุมใหญ่เขาไม่รับแล้ว มันดีไม่พอ อย่าลืมนะบรรดาท่านผู้ฟัง และญาติโยมพุทธบริษัทที่กำลังรับฟัง และพระคุณเจ้าที่เคารพ อยากจะไปนรกท่องให้ดีนะ เฉพาะนรกขุมใหญ่


๑. พยายามฆ่าสัตว์เข้า
๒. ลักทรัพย์ ขโมยทรัพย์ ปล้นทรัพย์ แย่งชิงทรัพย์ คดโกงทรัพย์ ใครเขามาทำบุญสุนทาน กันเข้ากระเป๋าไว้บ้าง
๓. ไอ้เรื่องกาเมสุมิจฉาจาร เหมาะเมื่อไรว่าเมื่อนั้น ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องเลือกจะเป็นลูกใคร เมียใคร ขี้ข้าใคร คนรับใช้ใคร ลูกจ้างใคร ไม่เกี่ยว มีโอกาสจัดการเรื่อยไป แล้วผัวใครด้วยนะ
๔. เรื่องความจริงไม่ต้องพูดกัน โกหกมันดะ
๕. ยุยงส่งเสริมให้แตกร้าวกันเสีย มันสนุกดี มันทะเลาะกันได้ มันตีกันได้ มันฆ่ากันได้ เราสบายใจ
๖. เรื่องวาจาสุภาพอย่าไปพูดมัน พูดหยาบ ๆ คาย ๆ มึงวาพาโวย ด่าพ่อล่อแม่ใครก็ได้ตามอัธยาศัย
๗. เรื่องที่เป็นเรื่องอย่าพูด พูดมันแต่เรื่องที่เลอะเทอะเปรอะเปื้อน
๘. ทรัพย์สินของใครมีอยู่ ถ้าชอบใจ ตั้งใจเลยว่า เราจะขโมยของเขา
๙. จองล้างจองผลาญ จ้องประหัตประหารมันเรื่อยไปไม่ว่าใคร
๑๐. คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไม่มีความหมาย เราไม่เชื่อ มาพูดอะไรกัน เรื่องสวรรค์ เรื่องนรก เรื่องอะไรต่ออะไรไม่เห็นมีความหมาย เราไม่เชื่อ

เอาละ บำเพ็ญบารมี ๑๐ อย่าง อย่างนี้พอ พอที่จะลงนรกขุมใหญ่ได้แบบสบาย ๆ พระยายมไม่รังเกียจ

ตานี้ มานรกขุมเล็กอีก ๑๐ ขุม เรียกกันว่า ยมโลกียนรก ทำรับเฉพาะ เรียกว่ารับเฉพาะ ไม่ใช่นรกแป๊ะเจี๊ยะ ทำอย่างนี้อยู่ขุม ๑ ได้ ทำอย่างนี้อยู่ขุม ๒ได้ เขาเรียกกันว่าอะไร จะพูดบารมีให้ฟัง เวลามันใกล้จะหมด


ถ้าอยากจะอยู่นรกขุมที่ ๑ ฆ่าสัตว์ให้หนัก
อยากจะอยู่นรกขุมที่ ๒ เจ้าชู้ให้หนัก
อยากจะอยู่นรกขุมที่ ๓ ลักขโมยให้หนัก คดโกงเขาให้หนัก

ขุมที่ ๔ ดื่มน้ำเมาให้หนัก
ขุมที่ ๕ โกงเงินทำบุญให้หนัก ทายกกับพระนี่ระวังนะ ระวัง ถ้าชอบใจอยู่ ขุมที่ ๕ สำหรับยมโลกียนรก โกงให้หนัก
ขุมที่ ๖ เป็นข้าราชการ โกงให้หนัก
ขุมที่ ๗ เรื่องซื่อตรงไม่มีสำหรับเขา
ขุมที่ ๘ เรื่องเมตตาปรานี ไม่มีสำหรับเขา
ขุมที่ ๙ ด่าดะไม่เลือกว่าใคร
ขุมที่ ๑๐ ซ้อมคู่ครองให้หนัก


นี่เป็นบารมีสำหรับยมโลกียนรกส่วนใหญ่ คนฆ่าสัตว์แล้วก็เลยลงนรกขุมใหญ่มาก่อน พ้นจากนรกขุมใหญ่แล้วเข้านรกบริวาร ๔
ขุม แล้วจึงมาเข้าขุมที่ ๑ นี่เขามาคิดบัญชีกันต่าง หากเฉพาะอย่าง สำหรับนรกขุมใหญ่น่ะ เป็นนรกแป๊ะเจี๊ยะ ไม่ยอมคิดบัญชีให้ เรียกว่าอะไร ๆ ก็ไปรวมอยู่ก่อน เสร็จจากนรกขุมใหญ่ ก็มาไล่เบี้ยกันทีหลังว่าแกมีโทษอะไรบ้าง ฉันจะจัดการกับแกตามโทษนั้น


เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่าน นี่พูดไปพูดมา พูดมาพูดไป ก็เห็นว่าจะหมดเวลา ๓๐ นาทีเสียแล้วกระมัง เพราะดูเวลามันก็หมดแล้วนี่ เมื่อหมดแล้วสำหรับพุธนี้ ก็ยังไม่ได้อะไร เพียงแต่ได้อารัมภบทมาบำเพ็ญบารมีลงนรกกัน เมื่อรู้บารมีแล้ว ก็ตั้งใจไว้จะไปนรกขุมไหน


เอาละ สำหรับวันนี้ก็หมดเวลาแล้ว อาตมาก็ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี

แหล่งที่มา ขออนุโมทนาบุญกับ

7
เห็นไหมเล่า บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท พระพุทธเจ้าทรงยืนยันพระนิพพานว่าเป็นดินแดนพิเศษ เป็นทิพย์พิเศษสูงยิ่งกว่าพรหม คราวนี้เรื่องของพรหม เรื่องของเทวดา เรื่องพระนิพพานนี่ ถ้าเรายังไม่เห็น เราก็อย่าพึ่งรับรองกันนักว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง ถ้าใครเขาถามขึ้นก็บอกว่าพูดตามตำรากันไว้ก่อน ต่อมาเมื่อเราเข้าถึงทิพจักขุญาณ แล้วก็สามารถเจริญวิปัสสนาถึงระดับพอที่จะเห็นพระนิพพานได้ ตอนนั้นเราค่อยพูดกันเรื่องพระนิพพาน จะพูดกันได้ตอนไหน

ก็ตอนที่ท่าน ทั้งหลายเจริญสมถะพอสมควรจนได้ทิพจักขุญาณแล้ว แล้วก็เจริญวิปัสสนาญาณให้เข้าถึงโคตรภูญาณ โคตรภู รู้จักไหม? ถ้าไม่รู้จักก็จะบอกว่า อยู่ระหว่างโลกียะกับโลกุตตระ ส่วนหนึ่งของใจยังเป็นโลกียชน อีกส่วนหนึ่งของใจจะเป็นโลกุตตรชน จะเป็นพระโสดาบัน ตอนนั้นแหละท่านทั้งหลายจะอาศัยทิพจักขุญาณเห็นพระนิพพานได้แบบสบาย ๆ ตอนนั้นแหละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย เราพูดกันถึงเรื่องพระนิพพาน


เวลานี้ท่านเห็นเปรตบ้างไหม? เปรตมีสภาพหยาบที่สุด ถ้าหากว่าท่านไม่สามารถจะเห็นเปรตก็อย่าเพิ่งพูดเรื่องของพระนิพพาน ถ้าพูดแล้วมันผิด ที่นี้เรื่องของพระกรรมฐานนี่นะ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท มีหลวงพี่องค์หนึ่งท่านสอนมาทางอากาศ ว่าอย่าเที่ยวนำพูดเพ้อเจ้อไปนะ เรื่องกรรมฐานนี่ ต้องพูดเฉพาะในเวลาที่สมควร ถ้ายังไม่ถึงเวลาสมควรมาพูดละ ดีไม่ดีเป็นอวดอุตตริมนุสสธรรม ตีความหมายเป็นอย่างงั้นนะ


อาตมาฟังแล้วก็สงสัย ไม่รู้ว่าพระอะไร ได้ยินแต่เสียง ก็อยากจะถามท่านเสียตอนนี้เลยว่า ไอ้ "เวลาสมควร" น่ะ มันตรงไหนเวลาเท่าไหร่ เมื่อไรจึงจะสมควร เวลานี้บรรดาท่านพุทธบริษัทที่เป็นฆราวาสเขาเจริญพระกรรมฐานกัน มีหลายท่านได้ทิพจักขุญาณ ไปนั่งอายเขามานี่หลายคนแล้วนะ จะบอกให้ ผู้หญิงบางทีเรียนนอกเรียนนามาตั้งแต่อายุ ๖ ขวบ ๗ ขวบ กว่าจะเข้ามานับถือพระพุทธศาสนาก็ ๓๐ ปีเศษ เขาได้ทิพจักขุญาณ เขาสามารถใช้กำลังจิตรักษาโรคก็ได้


นี่อำนาจพระกรรมฐานเข้าไปถึงฆราวาสแล้วหลวงพี่ แล้วถ้าหล่วงพี่ยังจะมรานั่งคอยเวลา "สมควร" น่ะ นี่ถามจริง ๆ เถอะพ่อคุณ บวชเข้ารมาเวลานี้น่ะ ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า? ที่พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า การบวชจะต้องถือกฎ ๓ อย่าง เป็นสำคัญ

๑. อธิศีลสิกขา รักษาศีลยิ่งกว่าฆราวาส
๒. อธิจิตสิกขา ทำจิตให้มั่นคงในสมาธิที่เรียกกันว่า ได้ฌาน
๓. อธิปัญญาสิกขา ทำจิตใจของเราให้ผ่องใสจากกิเลส

นี่คงจะบวชเข้ามาแล้วก็ทำตัวเป็นฆราวาสเอาเอ่น แล้วเวลาพูดก็เห็น อ้างพระอาจารย์อะไรต่อพระอาจารย์อะไร พระอาจารย์ทั้งหลายเหล่านั้นยังเมาอยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ตามธรรมดาน่ะ พระที่บวชเข้ามาน่ะ เขาเกาะพระพุทธเจ้ากันนะ เขาไม่ได้เกาะพระที่มีกิเลส ก็หลวงพี่ไปเกาะพระที่มีกิเลสเป็นสรณะ แล้วกิเลสมันจะหมดหัวได้ยังไง แสดงว่า กิเลสยังเต็มหัวอยู่

เรื่องของพระกรรมฐานเป็นเรื่องธรรมดาที่พุทธ บริษัทควรรู้ ถ้าเราไม่พูดเมื่อไรเขาจะรู้ จะมานั่งหลอกลวงเขากินอยู่ หรือว่าเราบวชเข้ามาแล้วน่ะ ดียังงั้นดียังงี้ ควรแก่การไหว้ สักการะของบรรดาพุทธบริษัท แต่ความจริงแล้วจะพูดเรื่องพระกรรมฐานก็บอกไม่สมควร นีมันดีหรือหลวงพี่?


จำไว้นะ จำไว้ให้ดีว่า เราบวชเข้ามาแล้ว จงเอาสวรรค์ เอาพรหมโลก เอาพระนิพพานเป็นปัจจัยของเรา เอาสิ่งทั้งสามประการเป็นที่พึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนที่เราจะบวช เวลานี้นักปรูดทั้งหลาย ( ไม่ใช่นักปราชญ์ ) ตัดความสำคัญออก

เมื่อก่อนนี้เวลาเขาจะบวชกับอุปัชฌาย์ว่า

"นิพพานนัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา" ซึ่งแปลเป็นใจความว่า "ข้าพเจ้าขอรับผ้ากาสาวพัสตร์เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน"


แต่เวลานี้นักปรูดทั้งหลายตัดทิ้งไป ใช้อะไรเสียก็ไม่ทราบ ไปขึ้น เอสาหัง ก็ปรารภพระนิพพานในเบื้องต้นเหมือนกัน ในเมื่อเราบวชเข้ามาปรารภพระนิพพาน แล้วเวลาเราบวชเข้าแล้วจริง ๆ เราจะมาปรารภ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เพื่อประโยชน์อะไร

เป็นอันว่า หลวงพี่เข้าใจผิดเสียแล้วนะ หลวงพี่นะดีไม่ดี ผมจะบอกว่า หลวงพี่นั่นแหละ เวลานี้กำลังใจยังทรามกว่าฆราวาสที่เป็นผู้หญิงหลายคนที่เขาปฏิบัติตนได้ดี กว่าหลวงพี่นะ เพราะเห็นว่าควรแล้ว


เวลานี้กรรมฐานตั้งสำนักกันอย่างกับดอกเห็ด มีทั่วประเทศ มีกระทั่งนอกประเทศ ถ้าเวลานี้ยังไม่สมควรพูดเรื่องกรรมฐาน เวลาไหนมันจะควร หรือว่าจะรอให้กิเลสมันเลยหัวไปสักหน่อยแล้วจึงจะควร อันนี้เราฟังกันไว้แล้วก็คิดด้วยนะ ถ้าหลวงพี่องค์นั้นรับฟังละก้อเอาไปคิดด้วย แล้วก็จงรู้ตัวเสียด้วยว่าเราทำเราพูดน่ะมันไม่ควร


เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท อาตมาเป็นคนปากเสียเป็นปกติ แต่เสียแบบนี้เสียในฐานะเพื่อจะตักเตือนเพื่อนพระด้วยกัน ให้บวชให้เป็นพระ ไม่ใช่บวชเข้ามาแล้ว แล้วก็จะเอาปฏิปทาอย่างอื่นมาใช้ ประเดี๋ยวจะพูดให้ฟัง เรื่องทะเลาะกันแล้วนะ หลวงพี่องค์นั้นก็เหมือนกัน ทีหลังจะทะเลาะกับผลละก้อ ฟังเรื่องต่อไปว่าท่านชอบอะไร


วันนี้ เรามาเริ่มเรื่องไตรภูมิกัน แล้วเราจะไปไหนกันก่อนล่ะ มีอบายภูมิสี่ คือ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดียรัจฉาน นี่จัดเป็นภูมิที่หนึ่ง ภูมิที่สองก็ได้แก่ สวรรค์ชั้นกามาวจรสวรรค์ ภูมิที่สามก็ได้แก่ พรหม พระนิพพานยังไม่เกี่ยว สามภูมินี่เราจะไปไหนกันก่อน ขอชวนบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท และพระคุณเจ้าที่เคารพ ไปเที่ยวนรกกันก่อนดีกว่า


ต่อจากนี้ไป เราไปทัศนาจรนรกกัน แน่ะ พูดทันสมัยเสียด้วย ไอ้ทัศนาจรนี่น่ะ มันเป็นศัพท์บาลีแกมไทย ทัศนะ จระ จระเป็นภาษาบาลี ไทยล่อจรเข้าให้ ก็เรียกว่าเที่ยวไปดูนรก ทัศนาจร แปลว่า เที่ยวดู ดูอะไร ดูนรก ตานี้เราจะไปนรก เราก็มาคิดดูว่า เราจะไปอยู่เลยหรือว่าเราจะไปเที่ยว ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทมีความสมัครใจจะอยู่นรกขุมไหน ตามอาตมาไปแล้วก็สมัครใจอยู่ได้เลย อาตมาจะบอกปฏิปทาให้ว่า เขาบำเพ็ญบารมีอะไร? จึงจะอยู่ขุมนรกนั้นได้ แต่ใครไม่อยากอยู่ก็ไปเที่ยวเฉย ๆ ก็แล้วกัน เวลากลับก็กลับด้วยกัน


ทีนี้เวลานำเที่ยวเวลานี้ใช้ยานอะไรเป็นพิเศษ? ไม่ยาก ใช้ยานหนังสือ เรียกว่าใช้ยานหนังสือเอาพระไตรปิฎกเป็นหลัก นี่.. คนชั้นดีเขาต้องทำยังงี้นะ นี่..ไม่มีใครเขายกก็ยกมันเองละ ไปมัวคอยชาวบ้านยกย่องสรรเสริญ เมื่อไรเขาจะยก ก็เอาพระไตรปิฎกเป็นหลัก แล้วก็เอาเรื่องที่พระคณาจารย์ทั้งหลายที่ทรงฌาน ทรงญาณพิเศษ อย่างพระโมคคัลลาน์ไปพบเห็นมา เอามาพูดต่อ รวมกันเข้าไป ญาติโยมทั้งหลายจะได้ทราบว่าตอนนี้ ที่นี้นรกชั้นนี้ สวรรค์ชั้นนี้ วิมานแบบนั้น เขาบำเพ็ญบารมีอะไรเข้าไว้ จึงจะได้อยู่อย่างนั้น นี่เป็นอันว่าเข้าใจ

8
กรรมที่นำไปสู่นรก


ท่านสาธุชนพุทธบริษัท ทั้งหลาย และพระคุณเจ้าที่เคารพ วันนี้อาตมามีโอกาสพบกับบรรดาท่านพุทธบริษัทตามปกติ เอายังงี้ก็แล้วกันนะ คือว่าเราพูดกันถึงเหตุมานานแล้ว การที่นำเอาเรื่องราวของหลวงพ่อปานและคณะศิษยานุศิษย์ก็ดี หรือว่าพระรุ่นท่าน พระเพื่อนท่านก็ตาม เอามาเล่าให้บรรดาท่านพุทธบริษัทฟัง อันนี้เป็นเหตุ เหตุที่บอกก็บอกว่าถ้าใครทำความดีแบบนั้น ใครทำความชั่วแบบนั้นจะไปสู่อบายภูมิ หรือว่าไปสู่สวรรค์ ไปสู่พรหมไปสู่นิพพาน นี่เรียกว่าเราเล่าต้นทาง แล้วก็พาดพิงไปถึงปลายทางว่า ถ้าทำแบบนี้ละก็ ท่านจะต้องไปนรก หรือว่าไปสวรรค์ ไปทำแบบนี้ละก็ ท่านจะต้องไปนรก หรือว่าไปสวรรค์ ไปพรหมโลก หรือไปนิพพาน ตอนต้นเรากล่าวกันอย่างนั้น

ต่อจากนี้ไป จะขอให้เรื่องที่พูดนี้ เรียกกันว่าเรื่อง "ไตรภูมิ"

ไตรภูมิ แปลว่า ภูมิสาม ภูมิ ก็แปลว่า แผ่นดินหรือสถานที่อยู่ เป็นสถานที่ที่อยู่กัน เราเรียกกันว่าภูมิ สำหรับภูมิในที่นี้ จะกล่าวถึงอบายภูมิ แล้วก็สวรรค์ พรหมโลก ดีไม่ดี ก็จะย่องพูดถึงเรื่องนิพพานสักนิดหนึ่ง เพราะกันตัวอาตมาเองเป็นมิจฉาทิฏฐิ สำหรับคนอื่นไม่เกี่ยว อาตมาน่ะเป็นห่วงตัวเอง ห่วงความเป็นมิจฉาทิฏฐิของตัวเอง ที่เทศน์ว่าพระนิพพานสูญมานาน ใครเขาจะถามถึงพระนิพพานก็บอกเลย บอกว่าพระนิพพานนี่มีสภาพสูญ

มีอุปมาดุจ หนึ่งว่าควันไฟที่ลอยไปในอากาศ จะมีที่เกาะที่พักมันก็ไม่มีฉันใด แม้พระที่เข้าสู่พระนิพพานก็เหมือนกัน มีสภาพเหมือนควันไฟ นี่ไปค้านกับคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้า เพราะว่าไปค้นในพระไตรปิฎก ไปพบเอาตอนที่พระพุทธเจ้าทรมานท้าวผกาพรหมที่ท้าผกาพรหมท่านบอกว่า พรหมเท่านั้นแหละเป็นความสุขสูงสุด และพรหมไม่เป็นอนัตตา พรหมเป็นอัตตาไม่มีการสลายตัว

ทั้งนี้ก็เพราะว่า อาศัยพวกระฆังเล็ก ๆ ทั้งหลายสนับสนุนยุยงส่งเสริม เห็นว่าท่านผกาพรหมเป็นพรหมที่มีวาสนาบารมีมากก็เลยยุท่านส่งเดชเข้าให้ ท่านผกาพรหมก็เมามัน ไอ้เสียงคนนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัทกรอกหูนาน ๆ มันอดจะเขวไม่ได้หรอก เป็นเรื่องธรรมดา


ทีนี้ในเมื่อท่านผกาพรหมท่านมาเข้าแล้วท่านก็ เลยคิดว่าในเมื่อพรหมเป็นอมตะ เป็นแดนไม่ตาย เป็นแดนที่มีความสุขมากที่สุด เวลานี้พระสมณโคดมออกจากตระกูลศากยราชมาบวชแล้วก็ประกาศว่า สิ่งที่สูงสุดยิ่งกว่านั้นมีอยู่ คือ พระนิพพาน ยิ่งกว่าพรหม สูงกว่าพรหมมีพระนิพพานเป็นที่ไป แล้วก็เป็นแดนสูงสุด มันจะจริงหรือไม่จริงเราไม่เชื่อ เมื่อพระพุทธเจ้าทราบวาระน้ำจิตของท่านผกาพรหมก็เสด็จไปสู่พรหม ท้าทายกันด้วยเรื่องฤทธิ์ต่าง ๆ เพื่อเป็นการทรมาน

ในที่สุดพระพุทธเจ้า ก็บอกว่า หากว่าท่านเก่งจริงละก้อ เล่นซ่อนหากับเรา พระพุทธเจ้าให้ท้าวผกาพรหมซ่อนก่อน จะซ่อนที่ไหนก็ตาม พระพุทธเจ้าก็มองเห็น ในที่สุดหมดท่า ก็ให้พระพุทธเจ้าซ่อนบ้าง พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ซ่อน ท่านประทับนั่งอยู่ตรงนั้นแล้วก็ทำให้ท้าวผกาพรหมไม่เห็น พระองค์ก็ทรงแสดงเสียงให้ ปรากฏท้าวผกาพรหมก็มองไม่เห็นว่าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่ตรงไหน เป็นอันว่าท้าวผกาพรหมยอมแพ้พระพุทธเจ้า


ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงตรัสว่า ผกาพรหมเธอเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะคำป้อยอของคนอื่น บรรดามารทั้งหลาย คำว่า มารในที่นี้ไม่ได้แปลว่า ยักษ์ มาร แปลว่า ผู้ฆ่า คือ ความเห็นที่ไม่ถูกทางของบุคคลผู้ยุยงส่งเสริม พยายามเกลี้ยกล่อมชักจูงเธอให้เห็นผิด เธอเกิดเป็นพรหมชั้นสูงแล้วมาเกิดเป็นพรหมชั้นต่ำแล้วก็ต่ำลงมา อาศัยที่เธอบำเพ็ญบารมีมามาก ไปเป็นพรหมเสียหลายร้อยกัปหลายพันกัปจึงลืมสภาวะเดิม ลืมเรื่องของการจุติ การเกิดการตายในแดนที่ไม่ใช่พระนิพพาน ต่อจากนี้ไปเธอจงเป็นผู้เห็นถูก ในที่สุดท้าวผกาพรหมก็ยอมรับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงตรัสว่า ดินแดนที่มีสุขยิ่งกว่านี้มีอยู่ นั่นคือ พระนิพพาน

9
อานิสงส์ การทำบุญด้วยแสงไฟ (ถวายเทียนเข้าพรรษา)
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง



นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ)

                        อัตตา หิ  อัต ตโน  นาโถ     โก หิ นาโถ ปโร  สิยา
                        อัตตา  หิ  สุทันเตนะ           นาถัง  ลภติ  ทุลลภัง  ตี ติ
   
               

           ณ  โอกาส บัดนี้ อาตมาจะแสดงพระสัทธรรมเทศนา  ในความเป็นมาของพระอนุรุทธ  เพื่อเป็น เครื่องโสรจสรงองค์ศรัทธาบารมี  แก่บรรดาท่านพุทธ ศาสนิกชนทั้งหลาย  ที่มาบำเพ็ญกุศลในวันนี้

          สำหรับวันนี้  ตรง กับวันที่  14  กรกฎาคม  2535  เป็นวันอังคาร ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8  เราก็เรียกกันว่าวันจะเข้าพรรษา  บางวัดก็เข้าพรรษาวันนี้  บางวัด ก็เข้าพรรษาวันพรุ่งนี้  แต่สำหรับวัดท่าซุงเข้า พรรษาวันนี้  เป็นอันว่าวันนี้  บรรดา ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  ทำบุญมีอานิสงส์  2  ประการด้วยกัน  คือ

          1.  ถวาย เทียนเข้าพรรษา
          2.  ถวาย ผ้าไตร  หรือผ้าวัสสิกสา แก่บรรดาพระสงฆ์


          ทั้งสองอย่างนี้มีอานิสงส์ไม่ เหมือนกัน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่างแรก  ถวายเทียนเข้าพรรษาจะเทศน์วันนี้  สำหรับ อานิสงส์ถวายผ้าไตรจะเทศน์วันพรุ่งนี้ ถ้าวันนี้ไม่จบ

พระอนุรุทธ

          เป็นอันว่าเมื่อองค์สมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่  ณ  เชตวันมหาวิหาร  องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมา สัมพุทธเจ้า ทรงปรารภพระอนุรุทธ ความจริงพระอนุรุทธนี่เป็นพระอนุชาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  อนุชานะไม่ใช่อาชานะ  อนุชานี่เขา แปลว่าน้อง  อาชาแปลว่าม้า  เป็น น้องพระพุทธเจ้า คือว่าเป็นลูกของอา  ในตระกูลมีอยู่  2  คน  คือ  ท่านมหานาม  1  สอง พระอนุรุทธ

         ในสมัยเมื่อพระพุทธเจ้าทรงบรรลุ อภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว  ท่านท้าวมหานามก็ปรารภ กับน้องชายว่า  เวลานั้นท้าวมหานามเป็นพระมหา กษัตริย์  ตระกูลอื่นเขาก็มีคนบวชกันหมดแล้ว  ตระกูลของเรายังไม่มีใครบวช  ถ้า ยังงั้นขอให้น้องเป็นพระราชาต่อไป  พี่จะบวช  พระอนุรุทธก็บอกว่า  การเป็นพระ ราชาทำยังไง  เวลานั้นพระราชาต้องทำนาเหมือนกัน  ก็ต้องเลี้ยงทหาร  เขาบอกว่า  ตอนต้นปีก็ไถนาแล้วก็หว่าน  พอ ปลายปีก็เกี่ยวข้าวเอาเข้าฉาง  ต้นปีไถนาแล้วก็หว่าน  ปลายปีเกี่ยวข้าวเข้าฉาง  แบบนี้ เรื่อยไปตลอดชีวิต พระอนุรุทธถามว่า  ไอ้การทำนานี่ ไม่มีการเลิกรึ  ท่านมหานามบอก เลิกไม่ได้  พระอนุรุทธก็บอกว่า  ถ้ายังงั้น พี่อยู่เถอะฉันบวชเอง  ก็ไปชวนเพื่อนอีก 4 คนบวช


เป็นผู้เลิศในทิพจักขุญาณ

        เมื่อบวชเข้ามาแล้วก็ปรากฎว่า  พระอนุรุทธเจริญพระกรรมฐานไม่ช้าไม่นานนัก  วันเข้าพรรษาวันนี้ก็ได้บรรลุอรหัตถผลพร้อมไปด้วยทิพ จักขุญาณ  เป็นพระวิชชาสาม ต่อมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตั้งพระอนุรุทธเป็นผู้เลิศในทิพจักขุ ญาณ  นั่นหมายความว่า  พระ อรหันต์นี่มี 4 ขั้น  ตัดกิเลสได้เหมือนกัน แต่ความสามารถไม่เท่ากัน คือ

        1.  สุกขวิปัสสโก  ตัดกิเลสได้ แต่ไม่มีจิตเป็นทิพย์  ไม่สามารถเห็นผี นรก สวรรค์ ได้

        2.  เตวิชโช  อย่างนี้สามารถมีจิตเป็นทิพย์  เห็นสวรรค์ได้ นรกได้ เปรตได้ อสุรกายได้ เห็นอะไรก็ได้ และสามารถระลึกชาติได้

        3.  ฉฬภิญโญ  สำหรับหมวดนี้เหาะเหินเดินอากาศได้  แปลง ได้  เนรมิตได้

         4.  ปฏิสัมภิทัปปัตโต  ปฏิสัมภิทาญาณ  มี ความฉลาดมาก

          ฉะนั้น  สำหรับ พระอนุรุทธเป็นพระอรหันต์ขั้นวิชชาสาม  แต่ความจริง พระอรหันต์ขั้นวิชชาสามนี่ความจริงต้องอ่อนกว่าทุกอย่าง  อ่อน กว่าฉฬภิญโญ  ฉฬภิญโญก็คืออภิญญาหก  แต่ ว่านี่ท่านเข้มแข็งในด้านทิพจักขุญาณ  จะพิสูจน์ใน สมัยองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้านิพพานเวลานั้น เวลาที่พระพุทธเจ้านิพพาน  พระอนุรุทธเข้าฌานตาม  พระ อรหันต์ตั้งสองแสนองค์ ไม่สามารถจะเข้าฌานตามได้  ไม่ รู้จิตใจของพระพุทธเจ้าว่าเวลานี้อยู่ที่ไหน  แต่ สำหรับพระอนุรุทธติดตามได้

           พระอานนท์เข้าไปสะกิดถาม  หลวงพี่  เวลานี้พระพุทธเจ้าอยู่ ที่ไหน  ไปนิพพานหรือยัง  ใน ขณะที่ท่านจะเข้านิพพานท่านเข้าสมาธิเต็มที่  ไอ้การ เข้าสมาธิเต็มที่นี่ บรรดาพุทธบริษัทบางทีเขานึกว่าหัวใจหยุดเต้น  ความจริงไม่หยุด  มันเต้นเบาลม หายใจน้อย บางคนคิดว่าไม่มีลมหายใจ  ท่านก็บอกว่า  เวลาที่พระพุทธเจ้าอยู่ที่ฌาน 1 บ้าง  ฌาน 2 บ้าง  ฌาน 3 บ้าง  ฌาน 4 บ้าง  ในอรูปฌานบ้าง  แล้ว เลื่อนมาในฌาน 4 ของรูปฌาน นิพพานตอนนั้น

           นี่จะเห็นว่าพระอนุรุทธชื่อว่า เป็นผู้เลิศในทิพจักขุญาณ  เลิศจริง ๆ ทั้งนี้เพราะอะไร  เพราะว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรม ศาสดากล่าวว่า  กล่าวถึงประวัตินะ ตอนนี้ยังไม่นิพพาน  ท่านบอกว่า  พระ อนุรุทธนี่ในสมัยชาติก่อนชอบทำบุญด้วยแสงไฟ

           ก็อย่างที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ทั้งหลาย บูชาเทียนเข้าพรรษานี่แหละ บูชาเทียนเข้าพรรษาบ้าง  ช่วยค่ากระแสไฟฟ้าบ้าง  ช่วยน้ำมันตะเกียง บ้าง  อย่างนี้เป็นต้น เป็นเรื่องให้เกิดแสงไฟ  ให้เกิดแสงสว่างขึ้น  พระอนุรุ ทธชอบทำอย่างนี้  ทุกวาระถึงปีถึงเวลาเข้าพรรษาก็นำ เทียนเข้าพรรษาถวายตามวัด  วันละหลาย ๆ วัด  เป็นการบูชาให้แสงสว่าง  ฉะนั้น มาชาติหลังสุด  อานิสงส์ถวายเทียนเข้าพรรษา  แสงไฟ  จึงได้ทิพจักขุญาณเป็นเลิศ กว่าพระอรหันต์ทุกองค์

ด้วยอานิสงส์ในการให้ธรรมทานในครั้งนี้ขอให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุปันนี้เถิด

เคดริตจากเว็บ www.kaskaew.com

10


ขุมที่                ชื่อ                             อายุนรก                       เปรียบเทียบจานวนวัน                                                            หมายเหตุ


1                  สัญชีพนรก                    500 ปี                     1 วันนรก = 9 ล้านปีมนุษย์ 4,500 ล้านปีมนุษย์
2                  กาฬปุตตะนรก                1,000 ปี                  1 วันนรก = 36 ล้านปีมนุษย์  36,000 ล้านปีมนุษย์
3                  สังฆาฏตนรก                  2,000 ปี                  1 วันนรก = 145 ล้านปีมนุษย์ 290,000 ล้านปีมนุษย์
4                  โรรุวนรก                       4,000 ปี                  1 วันนรก = 234 ล้านปีมนุษย์  936,000 ล้านปีมนุษย์
5                  มหาโรรุวนรก                  8,000 ปี                  1 วันนรก = 9,216 ล้านปีมนุษย์ 73,728,000 ล้านปีมนุษย์
6                  ตาปะมหานรก                 16,000 ปี                1 วันนรก = 184,212 ล้านปีมนุษย์ 2,947,392,000 ล้านปีมนุษย์
7                  มหาตาปะนรก                 1/2 กัป                   ไม่มีการแจ้งไว้ นับไม่
8                  อเวจีมหานรก                  1 กัป                      ไม่มีการแจ้งไว้นับไม่ได้
พิเศษ             โลกันตนรก                    ไม่มีอายุ                   เป็นการทาบาปที่พิเศษที่สุด ไม่มีระบุในตารา เสร็จจากนี้ต้องไปต่อที่ขุมอเวจีมหานรกต่อไป

ความหมายของ 1 ปีนรก
1 ปีมี 12 เดือน เดือนละ 30 วัน ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับปีมนุษย์

ความหมายของ 1 กัป
สมมติให้มีกล่องที่ กว้าง 1 โยชน์ ยาว 1 โยชน์ สูง 1 โยชน์ บรรจุเมล็ดผักกาดจนเต็มเวลาผ่านไป 100 ปี หยิบออก 1 เมล็ด จนกระทั่งหมดไม่มีเหลือ นับเป็น 1 กัป
นรกขุมใหญ่ ต้องโทษเพราะไม่เคารพ และผิดในกรรมบถ 10
** โยชน์หนึ่ง 8000 วา หรือ 16000 เมตร คือ 16 กม.

เมื่อเราเสียชีวิต หากพลาดพลั้งต้องตกนรก กรรมของเราจะถูกพิจารณา คือ 1. 2. กรรมหนักที่สุดของเรามีอยู่เท่าไร เทียบได้กับขุมใหญ่ขุมไหน ก็ไปยังขุมใหญ่นั้นๆ 3. เมื่อเสร็จสิ้นจากขุมใหญ่แต่ละขุม ต้องไปลงนรกบริวารอีก 4 ขุมก่อน 4. แล้วค่อยมาว่ากันอีกครั้งว่ามีกรรมเหลือเท่าไร จากนั้นจึงมาเปรียบเทียบใหม่ ว่ากรรมที่หนักที่สุดนั้นมีอยู่เท่าไรเทียบได้กับขุมใหญ่ขุมไหน ก็ไปยังขุมใหญ่นั้นๆ ต่อไป ....... วนเวียนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดกรรม

นรกขุมใหญ่ ขุมที่ 1 สัญชีพนรก

- ลักษณะพื้นเป็นเหล็กหนา เผาไฟจนแดงโชน ขอบด้านข้าง 4 ขอบก็เช่นกัน มองออกไปไม่แลเห็นขอบบ่อ
- มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล แต่จะหาที่ว่างเว้นจากไฟไม่ได้เลย
- ระหว่างไฟจะมีสรรพาวุธต่างๆ เช่น หอก ดาบ ฯลฯ สารพัดจะมี ถูกไฟเผาแดงจนมีความคมจัด
- สัตว์นรกที่อยู่ในนั้นจะวิ่งพล่าน เพราะเท้าเหยียบไฟ ร่างกายก็จะถูกเผาไฟติดไฟตลอดเวลา เวลาวิ่งไปก็จะไปกระทบกับหอก ดาบ ฆ้อน หรืออาวุธต่างๆ มาฟัน แทง สับ ร้องครวญครางดิ้นเร่าๆ แต่พอร่างกายขาดแล้ว ก็จะมาต่อติดกันใหม่โดยทันที มาทรมานต่อไป ไม่มีวันตาย
- สรุปว่ามีไฟเผากายตลอดเวลา มีสรรพาวุธประหัตประหารตลอดเวลา

นรกขุมใหญ่ ขุมที่ 2 กาฬปุตตะนรก

- มีกาแพงทั้ง 4 ด้านเป็นเหล็ก พื้นเป็นเหล็ก ถูกเผาไฟจนแดงโชน
- นายนิริยบาลจะจับเอาสัตว์นรกนอนลงไป นาเส้นบรรทัดมาตีเป็นเส้นที่ตัว จากหัวถึงท้ายบ้าง ตีตามขวางบ้าง ไม้บรรทัดนั้นทาจากสายเหล็กที่เผาไฟจนแดงโชน
- เมื่อตีเส้นเป็นแนวแล้ว ก็จะนาเลื่อยบ้าง ขวานบ้าง มีดอีโต้บ้าง มาสับลงตามรอยที่ตีไว้แล้วนั้น

นรกขุมใหญ่ ขุมที่ 3 สังฆาฏนรก

- มีกาแพงทั้ง 4 ด้านเป็นเหล็ก พื้นเป็นเหล็ก ถูกเผาไฟจนแดงโชน
- มีภูเขาเหล็ก 2 ลูก กลิ้งไปกลิ้งมาคอยบดทับสัตว์เหล่านั้น ภูเขาเองก็เป็นเหล็กที่ถูกเผาจนแดงโชนเช่นกัน
- เมื่อถูกบดจนละเอียดแล้วก็จะฟื้นขึ้นมาใหม่ ไม่ตาย รับการทรมานต่อไป
- คนที่วิ่งหนีก็จะถูกนายนิริยบาลตีบ้าง แทงบ้าง ฟันบ้าง ตลอดเวลา

นรกขุมใหญ่ ขุมที่ 4 โรรุวนรก

- มีกาแพงเหล็ก 4 ด้าน ไฟลุกโชน จนหาเปลวไม่ได้ ยิ่งลึกมาก ก็ยิ่งร้อนมากขึ้นไปเรื่อยๆ
- ตรงกลางขุมจะมีดอกบัวเหล็ก กลีบเหล็กถูกเผาไฟจนแดงโชน กระแสแห่งไฟพุ่งออกจากกลีบตลอดเวลา
- ไม่มีนายนิริยบาล
- สัตว์นรกจะถูกกรรมทาให้ต้องเอาหัวมุดลงไปในดอกบัว มือและขาก็จะจุ่มลงไปเช่นกัน
- กลีบบัวจะงับเข้ามาหนีบขาไว้ถึงข้อเท้า หนีบมือไว้ถึงข้อมือ ส่วนหัวจะหนีบไปถึงคาง เพื่อให้ไฟนั้นเผาอยู่ตลอดเวลา

นรกขุมใหญ่ ขุมที่ 5 มหาโรรุวนรก

- มีดอกบัวขนาดใหญ่ ไฟร้อนจัด กลีบบัวมีความคมเป็นกรด วางตั้งอยู่ทั่วไป
- ระหว่างช่องที่ว่างอยู่จะมีแหลนหลาว ปักเอาไว้ โดยเอาปลายแหลมชี้ขึ้น เผาไฟจนแดงโชน
- แต่ดอกบัวนี้จะไม่งับแน่นนัก สัตว์นรกที่อยู่ในดอกบัวทั้งหลายจะร้อน และดิ้นไปโดนกลีบบัว เมื่อกระทบกลีบบัวก็จะขาดตกลงมา ถูกแหลนหลาวข้างล่างแทงรับไว้ แต่เนื่องจากแหลนหลาวนั้นเป็นไฟลุกแดง จึงทาให้เนื้อตัวของสัตว์นรกนั้นลุกร้อนเป็นไฟ ตกลงมาที่พื้น
- เมื่อตกถึงพื้น ก็จะมีหมาที่คอยกัดกินจนเหลือแต่กระดูก จนหมดเกลี้ยง แล้วก็จะก่อตัวขึ้นมาเป็นกายใหม่
- จากนั้นนายนิริยบาลก็จะบังคับไล่แทงให้ไปอยู่บนดอกบัวต่อไปอีก

นรกขุมใหญ่ ขุมที่ 6 ตาปะมหานรก

- แสงเพลิงสว่างไสวมาก เป็นแสงไฟละเอียด มีความร้อนจัด
- สัตว์ร้องระงมเซ็งแซ่ไปหมด มีกาแพงล้อมรอบ 4 ด้าน และพื้นเป็นเหล็กร้อน แดงฉาน
- มีแหลนหลาวไฟลุกแดงโชน พุ่งมาเสียบเอาสัตว์นรกแล้วเอาขึ้นตั้งไว้
- พอไฟไหม้เนื้อหนังหล่นลงมา สัตว์นรกก็จะหล่นลงมาด้วย ก็จะถูกสุนัขขนาดใหญ่เท่าช้าง เที่ยวไล่กัดกิน แทะจนหมดเหลือแต่กระดูกแล้วก็ไปเริ่มต้นใหม่
- สัตว์นรกตัวใดไม่ยอมไป ก็จะถูกนายนิริยบาลเอาแหลนไปเสียบแล้วมาขึ้นตั้งไว้อย่างเดิม

นรกขุมใหญ่ ขุมที่ 7 มหาตาปะนรก

- มีกาแพงทุกด้าน มีไฟที่ความร้อนสูง คล้ายแสงสว่าง พุ่งเข้ามาจากรอบทิศ มารวมกันตรงกลาง
- มีภูเขาที่ตั้งอยู่ตรงกลางขุมนรก ก็จะมีไฟพุ่งเข้าพุ่งออกเป็นเหล็กที่เผาแดง
- นายนิริยบาลจะบังคับให้สัตว์นรกป่ายปีนขึ้นไปบนยอดเขา วิ่งขึ้นไป พอไปใกล้ถึงยอดก็จะทนไม่ไหว ร่วงหล่นลงมา ก็จะถูกแหลนหลาวที่ปักเอาไว้โดยรอบแทงเข้า
- เมื่อหล่นจากแหลนหลาวนั้นร่างก็จะเต็ม แล้วถูกไฟเผาตามเดิม นายนิริยบาลก็จะมาไล่ให้ขึ้นไปยอดเขาต่อไป

นรกขุมใหญ่ ขุมที่ 8 อเวจีมหานรก

- พิเศษกว่าทุกขุม คือ ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้
- กระดูกแดงฉาน เนื่องจากถูกไฟเผาจนสุก ถูกให้ยืนกางแขนกางขา
- มีกาแพงปิดเฉพาะตัว 6 ทิศ
- มีหอกแทงทะลุตรึงไว้ทั้งหมด จากบนลงล่าง ซ้ายทะลุขวา หน้าทะลุหลัง หลายสิบเล่ม จนไม่สามารถจะขยับได้เลยแม้แต่น้อย
- จานวนสัตว์นรกที่อยู่ในขุมนี้ มีมากกว่าทั้ง 7 ขุม ที่กล่าวมาแล้วรวมกันทั้งหมดเสียอีก

นรกขุมใหญ่ พิเศษสุด "โลกันตนรก"
- ไม่มีอายุ
- หลังจากใช้กรรมจนหมดแล้ว จะต้องไปต่อที่อเวจีมหานรกต่อไปทันที่ ลักษณะเป็นภูเขาที่ใหญ่โตประมาณมิได้ ภายในภูเขานั้น เป็นถ้าขนาดใหญ่มาก มีความเย็นจัดจนบอกไม่ถูก เป็นการทรมานสัตว์นรกด้วยความเย็น
- ภายในถ้ามีน้าเป็นน้ากรด แรงจัด และเย็นเฉียบ มีแต่ความมืดมิด ไม่มีแสงสว่าง
- สัตว์นรกทั้งหลายจะไต่ตามผนังข้างๆ ถ้า หินที่ผนังจะคมเป็นกรด สัตว์ทั้งหลายจะมองไม่เห็นกัน ต่างก็คิดว่าอยู่คนเดียว พอไต่มาพบกันก็จะนึกว่าเป็นอาหาร ก็กัดกินกันจนตกลงไปในน้ำ น้ำกรดก็จะกัดกร่อนทาลายเนื้อหนังจนหมดสิ้น เหลือแต่กระดูก ก็จะประกอบขึ้นมาเป็นร่าง ไต่ขึ้นมาตามผนังถ้าใหม่อีกครั้ง ต่อไปเรื่อยๆ จนหมดกรรม

ด้วยอานิสงส์การให้ธรรมทานในครั้งนี้ขอให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด...

ขอขอบคุณ เคดริตจากเว็บ

11
ธรรมะ / เป็นเปรตเพราะทุบพระ
« เมื่อ: 07 ก.ค. 2553, 10:48:42 »


 :015: พระพุทธรูปก็ดี พระเครื่องที่เป็นองค์ก็ดี ไม่ควรทุบหรือทำลายใด ๆ ทั้งสิ้นถึงแม้องค์นั้นจะชำรุด หรือ แตกหักใด ๆ ควรนำไปบรรจุเจดีย์ ใต้ฐานองค์พระพุทธรูป หรือนำไปบรรจุตอนเขาหล่อพระ หรือซ่อมแซมที่แตก :015:

เรื่องที่ผมนำเอาลงนี้เป็นเรื่องราวที่ถ่ายทอดโดยหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง ขออานิสงส์ธรรมทานในครั้งนี้ขอให้ข้าพเจ้าได้ถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เถิด.

       ที่ถ้ำเชียงดาวนี้ พระแหวนได้พบเปรตตนหนึ่ง ซึ่งท่านได้กล่าวไว้ว่า

                  “ ในระหว่างพรรษา วันหนึ่งประมาณ ๕ โมงเย็น ท่านกำลังเดินจงกรมอยู่ ก็มีเสียงดังโครมครามเหมือนกิ่งไม้ใหญ่หักลงมา จึงเหลียวไปดู กลายเป็นสัตว์ร่างใหญ่ร่างหนึ่งเอาไม้เกาะอยู่บนกิ่ง ห้อยหัวลงมา มีผมยาวรุงรัง เสียงร้องโหยหวน ท่านบอกว่าๆไม่นึกกลัว และไม่ได้สนใจ ยังคงเดินจงกรมต่อไป
เมื่อร่างนั้นเห็นพระไม่สนใจ ก็หนีหายไป

                  สองสามวันต่อมาก็ปรากฏอีก แต่พระก็เดินจงกรมโดยไม่สนใจ หลังจากนั้นจึงมาปรากฏตัวให้เห็นทุกเย็น แต่ไม่ได้เข้ามาใกล้พระ คงแสดงอาการเหมือนเดิมทุกครั้ง
วันหนึ่ง ท่านได้กำหนดจิตถามไปว่า ที่มานั้นเขาต้องการอะไร ทีแรกเขาทำเฉยเหมือนไม่เข้าใจ จึงกำหนดจิตถามอีก เขาจึงบอกว่าต้องการมาขอส่วนบุญ
กำหนดจิตถามต่อไปว่า เขาเคยทำกรรมอะไรมา จึงต้องทุกข์ทรมานอยู่ในสภาพเช่นนี้
เปรตเล่าถึงบุพกรรมของเขาว่า เขาเคยเป็นคนที่เชียงดาวนี้ มีอาชีพลักขโมยและปล้นเขากิน ก่อนไปปล้น เขาจะเอาดอกไม้ธูปเทียนไปขอพร และขอความคุ้มครองกับพระพุทธรูปองค์หนึ่งในถ้ำเอาทำอย่างนั้นทุกครั้ง และก็แคล้วคลาดตลอดมา

                  อยู่มาวันหนึ่ง เขาไปขอพรพระพุทธรูปแล้วออกไปปล้นเช่นเคยบังเอิญเจ้าของรู้ตัวก่อน จึงเตรียมการต่อสู้ เขาถูกเจ้าของบ้านฟันบาดเจ็บสาหัส จึงหนีตายเอาตัวรอดมาได้
ด้วยความโมโหว่าพระไม่คุ้มครอง เขาจึงกลับไปที่ถ้ำแล้วเอาขวานทุบพระพุทธรูปจนคอหัก ขณะเดียวกันก็ยังคุมแค้นอยู่ ตั้งใจว่าบาดเจ็บหายแล้วจะกลับไปแก้แค้นข้าวของบ้านให้ได้
เผอิญบาดแผลที่ถูกฟันนั้นสาหัสมาก เขาจึงต้องตายในเวลาต่อมา วิญญาณเขาจึงต้องมาเป็นเปรตทนทุกข์ทรมานอยู่ที่เชียงดาวนี้
จึงได้พยายามมาขอส่วนบุญเพื่อให้พระท่านช่วยแผ่เมตตาให้จะได้คลายทุกข์ทรมานลงไปได้บ้าง
ท่านเล่าว่า บุพกรรมของเปรตตนนั้นหนักมากเหลือเกินท่านได้รวบรวมจิตอุทิศบุญกุศลไปให้ ตั้งแต่นั้นมาร่างนั้นก็ไม่ปรากฏให้เห็นอีกแต่จะได้รับบุญกุศลเพียงใดขึ้นกับตัวเขาเอง
ท่านบอกว่า เปรตตนนั้นเป็นเปรตสมัยใหม่เพราะใช้คำแทนตัวเองว่า “ผม” แต่เปรตตนอื่นๆ ที่หลวงปู่เคยพบมาจะใช้คำแทนตัวเองว่า “เรา” หรือ “ข้าพเจ้า” จึงนับว่าเปรตตนนี้เป็นเปรตสมัยใหม่

                บรรดาสัตว์ทั้งหลายนั้น เมื่อมีทุกข์มาถึงตัว มักจะไม่เห็นคุณของพระศาสนา มัวเมาประมาท ปล่อยกายปล่อยใจให้ประพฤติทุจริต ผิดศีลธรรมอยู่เป็นนิสัยเห็นผิดเป็นถูก เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ต่อเมื่อได้รับทุกข์เข้า ที่พึ่งไม่มี นั่นแหละจึงได้คิดถึง พระ คิดถึงศาสนา แต่เวลาที่สายไปเสียแล้ว เรื่องความดีนั้นเราต้องทำอยู่เสมอ ให้เป็นที่อยู่ของจิตเป็นอารมณ์ของจิต ให้เป็นมรรคคือทางดำเนินไปของจิตมันจึงจะเห็นผลของความดี
ไม่ใช่เวลาใกล้ตายจึงนิมนต์พระไปให้ศีล ให้ไปบอก พุทโธ หรือตายไปแล้วญาติจึงเคาะโลงบอกให้รับศีล เช่นนี้เป็นการกระทำที่ผิดหมด
เหตุเพราะว่า คนเจ็บนั้นจิตมัวติดอยู่กับเวทนาไฉนจะมาสนใจใยดีศีลได้ เว้นแต่ผู้ที่มารักษาศีลมาเป็นปกติเท่านั้นจึงจะสามารถระลึกศีลของตัวได้ เพราะตนเองเคยทำมาจนเป็นอารมณ์ของจิตแล้วเท่านั้น
แต่ส่วนมาก พอใกล้ตายแล้ว จึงมีผู้เตือนให้รักษาศีลยิ่งคนตายแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะคนตายนั้นร่างกายกับจิตใจไม่รับรู้ใดๆแล้ว
แต่ที่ทำมาก็ยังถือว่าเป็นเรื่องดี
ตัวอย่างเช่น พระเทวทัตทำกรรมมาจนสุดท้ายถูกแผ่นดินสูบ เมื่อร่างลงไปถึงคาง จึงระลึกถึงความดีของพระพุทธเจ้าได้แล้วขอถวายคางเป็นพุทธบูชา
พระเทวทัตยังมีสติระลึกได้ จึงพอมีผลดีอยู่บ้างในอนาคตแม้เปรตตนนั้นก็เหมือนกัน ตายไปแล้วจึงสำนึกได้มาขอส่วนบุญเมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่เคยทำลายแม้กระทั่งพระพุทธรูปที่ตนเคารพนับถือ

                          " การที่พระแผ่เมตตาให้ เขาจะได้รับหรือเปล่าก็ไม่รู้ สู้เราทำเองไม่ได้ เราทำให้ตัวเราเอง จะได้มากน้อยเท่าไรก็มีความปีติเอิบอิ่มมากเท่านั้น”



12
ท่านพระอาจารย์แนะนำให้ขอขมา บิดามารดา ในวัดสำคัญต่าง ๆ ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่เถียงท่านก็ดี แต่การประพฤติ ทางกาย วาจา ใจ เราก็ต้องขอขมา อโหสิกรรม ต่อท่าน ขออนุโมทนาสาธุ

13
จาก หนอนน้อยที่น่ารังเกียจสู่ผีเสื้อที่สวยงาม จากผีเสื้อที่สวยงามคือความตาย ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยงแท้ เกิดกับทุกชีวิต ขออนุโมทนาครับ

14
หรือจะทำง่าย ๆ โดยการอัดจากคอมที่บ้านเลยครับ อ่านแล้วใช้โปรแกรมอัดเสียงอัดเข้าไปครับ ทำบุญทางเสียงจัดเป็นการให้ธรรมะ คือการให้ธรรมทาน หรือหากต้องการทำบุญธรรมทานเช่นเดียวกัน แต่ไม่ใช้เสียงก็ นำธรรมะมาลงให้ตามกระทู้ หรือพิมพ์หนังสือธรรมะ อันนี้ก็จัดได้ว่าเป็นธรรมทานเหมือนกัน ขออนุโมทนา ครับคิดดีคิดกุศลแล้วสาธุ ๆ  :015:

15
ธรรมะ / อานิสงส์การอนุโมทนา
« เมื่อ: 05 ก.ค. 2553, 10:09:53 »


ปัตตานุโมทนามัย... อนุโมทนากับคนที่ทำบุญ เราก็ได้บุญด้วย โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ) วัดท่าซุง

ผู้ถาม มีคนฝากให้มาถามหลวงพ่อว่า พ่อแม่ไม่ค่อยทำบุญแต่เป็นคนดี คนซื่อ ถ้าบุตรหลานทำให้แล้วจะใส่ชื่อเขาด้วย อยากทราบว่า ท่านจะได้หรือไม่ครับ

หลวงพ่อ เขา โมทนาด้วยหรือเปล่า ถ้าลูกไปบอกว่า "พ่อ(หรือแม่) ฉันทำบุญให้แล้ว ถ้าท่านยินดีด้วย ท่านได้แน่นอน ถ้าบอก กูไม่รู้โว้ย ด่าตะเพิด อันนี้ไม่ได้แน่


ผู้ถาม อย่างเวลาเลิกพระกรรมฐานแล้ว ก็มีคนไปถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ แต่หนูไม่มีของก็ยกมืออนุโมทนาด้วย อย่างนี้จะมีอานิสงส์ไหมคะ...?

หลวงพ่อ อานิสงส์ที่จะพึงได้ก็คือ ปัตตานุโมทนามัย เป็นผลกำไรจากการเจริญพระกรรมฐานไม่ต้องลงทุน ถ้าตั้งใจจริงถึง 90 เปอร์เซ็นต์ เจ้าของได้ 100 เปอร์เซ็นต์ เราได้ครั้งละ 90 ผ่านไป 10 คนเราได้ 900 มากกว่าเจ้าของ เอ้า! เยอะจริงๆ มันทำบารมีให้เต็มเร็ว เร็วมาก

การ โมทนา เขาแปลว่า ยินดีด้วย ต้องยินดีด้วยความจริงใจนะ สักแต่ว่า สาธุ มันไม่ได้อะไร คำว่า "สาธุ" ไม่จำเป็นต้องออกเสียง ไม่จำเป็นต้องยกมือไหว้ก็ได้ เอาใจยินดีใช้ได้เลย
และการแสดงความยินดีมันก็คือ มุทิตา เป็นตัวหนึ่งใน พรหมวิหาร 4 นี่บุญตัวใหญ่ ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า "จิตเต อสังกิลิฏเฐ สุคติ ปาฏิกังขา" ถ้าก่อนตายจิตผ่องใส ก็ไปสู่สุคติ หมายถึง สวรรค์ ก็ได้ พรหมก็ได้ นิพพานก็ได้ สุดแล้วแต่กำลังใจเรา

และการโมทนานี่ทำให้ชุ่มชื่นใจ ใช่ไหม....เขาทำดีเรายินดีด้วย ยินดีกับความดีของเขา ไม่ช้าเราก็ดีตามเขา เพราะเราเห็นเขาดี เราก็ชอบดีใช่ไหม... แต่อย่าไปชอบดีเฉยๆ นะ ต้องทำดีด้วยนะ ทำบุญด้วยตนเองบ้าง


ผู้ถาม หลวงพ่อครับ ปัตตานุโมทนามัย กับ ไวยาวัจจมัย นี่เหมือนกันไหมครับ

หลวงพ่อ ไวยาวัจจมัย เขาแปลว่า ขวนขวายในกิจการงาน เช่น เขาส่งสตางค์มาทำบุญ เราช่วยส่งต่อ หรือพวกที่ช่วยขนสังฆทานนี่ ก็พลอยได้บุญไปด้วย มีอานิสงส์ต่ำกว่าบวรเณรนิดหนึ่ง ไม่เบานะ
แต่ ปัตตานุโมทนามัย ไม่ต้องลงทุน แต่พวกถือมานี่ ยังต้องออกแรงนะ พวกโมทนานี่ไม่ต้องออกแรงเลย แต่อย่าลืมนะเอาแค่โมทนาอย่างเดียวไม่ดีนะ ต้องอาศัยคนต้นตลอด ถ้าไม่ได้อาศัยคนต้นจริงๆ จะสำเร็จมรรคผลไม่ได้ เช่นเดียวกับ พระนางพิมพา ต้องอาศัยพระพุทธเจ้าตลอด


ขออนุโมทนาเคดริตจากเว็บ


16
ธรรมะ / ตอบ: ความสูญเปล่า ๗ ประการ
« เมื่อ: 05 ก.ค. 2553, 06:57:17 »
คนไปวัดมี ๓ ประเภทคือ
๑. ไปขอพึ่งบารมีพระพุทธเจ้าเวลาเจ็บป่วยเดือดร้อนฉิบหาย เวลาดีไม่นึกถึง ถ้าไปก็ต้องเอาของมาล่อจึงไปเช่น มีลิเก รำวง การไปวัดเช่นนี้ได้บุญนิดเดียว
๒. ใจไม่เข้าวัด มีแต่ความสงสัยแต่ไปขอโชคลาภ ไปหาหมอดู คนทรง อย่างนี้ก็ไม่ได้บุญ แต่มาเสียเงิน
๓. คนที่ตั้งใจจะไปทำบุญโดยเฉพาะ ตั้งสัจจะไว้ว่าจะมาก็มาเป็นคนผู้เดียวอย่างแท้จริง


คน ๓ ประเภท คือ
๑. มีเจตนาเอง ศรัทธาเองหาได้ด้วยตนเอง ไปทำบุญเอง ประเคนเอง ได้บุญมากที่สุด
๒. อยากทำบุญ รอให้เขามาบอกก่อน ถ้าไม่มาบอกก็ไม่ไป ถ้าเขามาบอกก็ไป บังคับให้ไปก็ไปเมื่อนั้น ถ้าอย่างนี้คนที่มาบอกบุญครั้งหนึ่ง เจ้าของทานได้บุญครึ่งหนึ่ง
๓. อีกพวกหนึ่งบอกก็ไม่ไป ไม่บอกก็ไม่ไป


    พวกหมู วัว ควาย เกิดมาสร้างอุเบกขาปรมัตถ์บารมี รู้ว่าเขาจะเอาไปฆ่าก็ยอมให้เขาฆ่าเพราะกรรมยึดไว้ไม่ให้หนี ถ้าไม่มีกรรมก็จะหนีได้ อย่างสุนัขที่รักเจ้าของ ถูกตีถูกต่อยก็ไม่หนี หรือสามีภรรยาด่าว่ากัน โกรธครู่เดียวก็หาย เพราะกรรมดึงไว้ ทั้งนี้เนื่องจากในอดีตเคยช่วยกันตกแต่งของทานไปทำบุญ ขณะทำงานก็ด่ากันไปด้วย ฉะนั้นบุญก็ได้ บาปก็ได้ เมื่อเกิดใหม่หาทรัพย์มาด้วยกัน ไปทำบุญด้วยกัน แต่ก็ทะเลาะกันเป็นประจำ

17
ธรรมะ / ความสูญเปล่า ๗ ประการ
« เมื่อ: 05 ก.ค. 2553, 06:54:21 »
ความสูญเปล่า ๗ ประการ โดยหลวงปู่ครูบาชัยยะวงศา

จักขุสุญโญ มีตาอันสูญเปล่า ได้แก่บุคคลที่มีตาเสียเปล่าแต่ไม่มองดูพระพุทธรูป ไม่มองดูพระธรรมอันเป็นโอวาทของพระพุทธเจ้า ไม่มองดูนักปราชญ์บัณฑิต ไม่มองดูบุคคลอื่นผู้ทำบุญทำทาน ไม่มองดูที่ซึ่งเขากระทำบุญ ไม่มองดูตระกูลของพ่อแม่ ไม่มองดูเหล่าพระสงฆ์ยามเที่ยวไปบิณฑบาต ไม่มองดูยาจกขอทานผู้มาขอ ไม่มองดูผู้รักษาศีล ภาวนา คอยเล็งดูแต่กิจการของตน ไม่เอื้อเฟื้อต่อผู้อื่น จึงได้ชื่อว่า คนไม่มีตา

โสตสุญโญ มีหูอันสูญเปล่า ได้แก่ บุคคลที่มีหูเสียเปล่าแต่ไม่ฟังพระธรรมเทศนาอันเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ฟังคำสอนของท่าน ไม่ฟังคำประเพณีเก่า ไม่ฟังคำท่านเล่าเรื่องกองบุญ ไม่ฟังคำอันเป็นคุณในชาติหน้า ไม่ฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ไม่ฟังบทบาทบาลี ผู้อื่นชวนกระทำบุญอันดีทำเป็นดั่งหูหนวกไม่ได้ยิน จึงได้ชื่อว่า คนไม่มีหู

หัตถสุญโญ มีมืออันสูญเปล่า ได้แก่บุคคลที่มีมือเสียแต่ไม่ยกมือไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ไหว้สาหมู่พระสงฆ์ ไม่ไหว้พ่อแม่และอุปัชฌาย์ ไม่ขวนขวายกระทำบุญใส่บาตรด้วยมือตน ไม่ถือลูกประคำภาวนาเจริญเมตตา จึงได้ชื่อว่า คนไม่มีมือ

ปาทะสุญโญ
มีเท้าอันสูญเปล่า ได้แก่บุคคลที่เท้าเสียเปล่าแต่ไม่เดินเข้าไปสู่ที่พระพุทธเจ้าเทศนาธรรม ไม่ไปกระทำบุญด้วยเท้าของตน ไม่เข้าไปหานักปราชญ์บัณฑิตผู้มีปัญญา ไม่เข้าไปสถานที่ที่เขาทำบุญเป็นหมู่เป็นคณะ ไม่เข้าไปสู่วัดวาอาราม จึงได้ชื่อว่า คนไม่มีเท้า


มุกขะสุญโญ มีปากอันสูญเปล่า ได้แก่บุคคลที่ปากเสียเปล่า แต่ไม่ร่ำเรียน (ท่องบ่น) พุทธบทคาถา ไม่ร่ำเรียนกัมมัฏฐานภาวนาตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ถามทางเข้าสู่พระนิพพาน ไม่ชักชวนกันไปสู่วิหารเพื่อฟังธรรม ไม่พูดจาประสาธรรม คอยกล่าวแต่วจีทุจริต จึงได้ชื่อว่า คนไม่มีปาก


กายะสุญโญ มีกายอันสูญเปล่า ได้แก่บุคคลที่มีร่างกายเสียเปล่าแต่มัวเมาลุ่มหลงในกายตนซึ่งเป็นของไม่ เที่ยง เฝ้าเลี้ยงดูแต่กายไม่ขวนขวายคุณงามความดีใส่ตัว เพราะมัวเมาอยู่กับโลกสงสารตามอาการวิสัยคนเห็นผิดจากธรรม ทรัพย์สมบัติที่หามาได้มากมายน่าเสียดาย ถึงคราวตายก็เอาไปไม่ได้ซักอย่าง จึงได้ชื่อว่า คนไม่มีกาย


อายุสุญโญ
มีอายุสูญเปล่า ได้แก่ผู้ที่มีอายุเสียเปล่าแม้จะมีอายุยืนยาวซัก ๑๒๐ ปีแต่ไม่สนับสนุนให้ลูกบวชเรียน ประพฤติพรหมจรรย์ ไม่ถวายกุฏีและเจดีย์ธาตุ ไม่ได้ให้อาวาสเป็นทาน ไม่ได้เขียนธรรมค้ำชู้พระพุทธศาสนาให้สืบต่อภายหน้าปล่อยใจตามเวลา จึงได้ชื่อว่า คนไม่มีอายุ

18

คำปรารภ
           พระธาตุเจ้าดอยต๊อกหรือ พระธาตุเจดีย์ศรีพุทธสถานอภิบาลดอยเต่านี้ แต่เดิมมีซากปรักหักพัง เหลือเพียงอิฐก้อนใหญ่แบบสมัยโบราณและซากเศษกระเบื้องเท่านั้น แต่สถานที่แห่งนี้มีความศักดิ์สิทธิ์มากแห่งหนึ่ง เมื่อหลายปีก่อนในอดีต ชาวบ้านมักเห็นพระบรมสารีริกธาตุเสด็จแสดงปาฏิหาริย์บ่อย ๆ ในคืนวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ โดยพระบรมสารีริกธาตุจะเสด็จลอยไปพระธาตุเจ้าดอยเกิ้ง และเสด็จกลับมาดอยต๊อกเป็นอย่างนี้ประจำ ที่ภูเขาหรือดอยลูกนี้ ถ้าใครทำอะไรไม่ดีในบริเวณนี้มักจะมีอันเป็นไปต่าง ๆ

    สำหรับข้าพเจ้าเอง (พระอาจารย์บุญศรี อภิปุณฺโณ) ก็เคยเห็นพระบรมสารีริกธาตุเสด็จจากดอยต๊อกแห่งนี้ ไปทางพระมหาธาตุเจ้าดอยเกิ้ง เมื่อกลางพรรษาปี ๒๕๓๘ เวลาเที่ยงคืนเศษ ข้าพเจ้าได้ไปกราบคารวะครูบาเจ้าชัยยะวงศาที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ขณะนั่งรถกลับมาจะถึงดอยเกิ้งอีก ๗ กิโลเมตร ได้พบเห็นพระบรมสารีริกธาตุองค์ใหญ่ ประมาณพระจันทร์เพ็ญเต็มดวง พร้อมบริวารคล้ายดาวหางยาวประมาณ ๒ วา มีสีเขียวประกายพรึกงดงามยิ่งนัก เสด็จลอยข้ามหน้ารถจากซ้ายไปขวา มุ่งไปหน้าไปทางพระธาตุเจ้าดอยเกิ้ง


ประวัติพระธาตุเจ้าดอยต๊อก โดยสังเขป


    ดังมีประวัติเล่าสืบ ๆ กันมาว่า ในสมัยของพระนางจามเทวี พระนางได้มาสร้างวัดป่าหยวก (ปัจจุบันนี้ได้จมไปใต้น้ำเขื่อนแล้ว) ต่อจากนั้นมาสร้างวัดแคป (น้ำท่วมไปแล้ว) ต่อจากนั้นก็ไปสร้างวัดหัวโต่งหรือวัดหัวทุ่ง ซึ่งปัจจุบันนี้เป็นวัดร้างอยู่กลางสวน ต่อจากนั้นก็ไปสร้างที่เมืองฮอดคือวัดหลวงฮอดในปัจจุบัน จากนั้นไปสร้างที่วัดดอยน้อย อำเภอจอมทอง หลังจากนั้นไปสร้างที่เมืองลำพูนคือวัดจามเทวีในปัจจุบัน ในเวลาขณะนั้นได้เกิดสงครามกับม่าน (พม่า) ที่ยกทัพมาตีเมืองเชียงใหม่ ชาวบ้านเกิดความระส่ำระสายกลัวภัยสงคราม จึงนำของมีค่าจากวัดป่าหยวก วัดแคป วัดหัวโต่ง มาซ่อนไว้ในถ้ำดอยพระเคี่ยน เนื่องจากกลัวพม่านำของมีค่าไป ปากถ้ำมีทางทิศตะวันออกที่เราสร้างฐานพระครอบไว้ในเจดีย์นี้ เป็นปล่องถ้ำลึกลงไป ๑๐ ศอก เป็นที่เก็บของสำคัญต่าง ๆ เดิมทีพุทธสถานแห่งนี้เป็นชื่อ ดอยพระเคี่ยน แต่เมื่อเกิดสงครามกับพม่าชาวบ้านกลัวพม่า นำของมีค่าไปจึงเปลี่ยนชื่อเป็นดอยต๊อกไป แต่ดอยต๊อกจริง ๆ ก็มีอยู่อีกแห่งหนึ่ง

    ดอยต๊อกนี้คงสร้างหรือบูรณะในระยะไล่เลี่ยกับสมัยที่พระนางจามเทวีได้ไป สร้างและบูรณะที่วัดพระบรมธาตุแก่งสร้อย หรือเมืองท่าสร้อยเมื่อปี พ.ศ. ๑๒๓๐ และหลังจากนั้นมาเมืองท่าสร้อยก็เจริญรุ่งเรือง มาถึงที่สุดในสมัยกษัตริย์องค์สุดท้ายชื่อ ปทุมราชบรมกษัตริย์ ได้ทรงสร้างและบูรณะวัดอารามขึ้นมาใหม่ถึง ๙๙ วัดจนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๓๑๐ ทางอโยธยา เกิดศึกสงครามกับพม่า จึงมาเกณฑ์เอาชาวเมืองท่าสร้อยไปช่วยทำศึก เมืองท่าสร้อยจึงร้างตั้งแต่นั้นมา จนถึงยุคสมัยของครูบาเจ้าชัยลังกาและครูบาศรีวิชัย จึงได้สร้างองค์พระเจดีย์ขึ้นใหม่ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๗ แล้วเสร็จเมื่อปี ๒๔๖๘ เมื่อเสร็จแล้วจึงจัดให้มีงานฉลองสมโภชขึ้นเป็นเวลา ๗ วัน ๗ คืน ล่วงมาถึงปี ๒๕๓๗ ครูบาชัยยะวงศา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม อันเป็นลูกศิษย์แห่งครูบาเจ้าศรีวิชัย ก็ได้นำลูกศิษย์มาบูรณะพระธาตุเจดีย์แก่งสร้อย (เกตุสร้อย) และสร้างวิหารหลวงด้านหลังเจดีย์ขึ้น ทั้งยังจัดงานสรงน้ำพระธาตุประจำปีขึ้นอีกด้วยทุก ๆ ปี เมื่อครูบาชัยยะวงศาได้ละสังขารหรือมรณภาพไป ครูบานิกร ชัยยะเสนโน ก็ได้บูรณะพัฒนามาจนถึงทุกวันนี้


วัดพระบรมธาตุแก่งสร้อย

    สำหรับซากเมืองท่าสร้อยหรือแก่งสร้อย ปัจจุบันได้จมอยู่ใต้น้ำเขื่อนภูมิพล พร้อมทั้งวัด ๙๙ วัดนั้น เหลือไว้แต่พระธาตุและรอยพระบาท ที่เราได้ไปสักการะทุกวันนี้เท่านั้น เมืองแก่งสร้อยหรือท่าสร้อยนั้น ในตำนานพระพุทธเจ้าเลียบโลกผูกที่ ๔ เมืองท่าสร้อยเป็นที่ประดิษฐานพระธาตุกระดูกแขนซ้ายและพระเกศาธาตุของพระ พุทธเจ้า
สำหรับดอยพระเคี่ยนหรือดอยต๊อกนั้น ข้าพเจ้ามาพิจารณาดูในตำนานพระพุทธเจ้าเลียบโลกในกัณฑ์ที่ ๑ แล้ว น่าจะเป็นท่าหัวเคี่ยน เพราะอยู่ทางทิศใต้ของจังหวัดเชียงใหม่ และอยู่ติดฝั่งแม่น้ำปิง ตรงกับวัดพระมหาบรมธาตุเจ้าดอยเกิ้งด้วย ในตำนานยังกล่าวไว้ว่า ที่นี่(ดอยพระเคี่ยนหรือดอยต๊อก) พระพุทธองค์ได้ทรงประทับรอยพระพุทธบาทไว้เหนือก้อนหินก้อนหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันก็ได้พบรอยพระพุทธบาทนี้แล้วเช่นกัน


       ครูบาชัยยะวงศาท่านได้บอกว่า จากหน้าเขื่อนภูมิพลไปถึงวัดพระบรมธาตุแก่งสร้อย(เมืองสร้อย)นั้น ได้จมน้ำไป ๙๙ วัด หากท่านใดที่เคยไปอาจจะเห็น บางปีน้ำลด จะเห็นพระธาตุสะหรีอุ่นเมืองสร้อย ปรากฏให้เห็น บางปีจะเห็นพระพุทธรูปสูงขึ้นมาจากเกาะ บางปีจะไม่เห็น ขึ้นอยู่กับระดับของน้ำ ในปี ๒๕๕๒ ที่ละอ่อนดอยไปเดือนตุลาคมนั้น ปรากฏออกมาให้เห็นทั้งพระพุทธรูปและพระธาตุสะหรีอุ่นเมืองสร้อย และภายในวัดพระบรมธาตุแก่งสร้อยนั้น มีทั้งรอยพระบาทและรอยพระหัตถ์ วัดถูกล้อมรอบด้วยน้ำ บางปีน้ำสูงท่วมวัดบ้าง และจากหน้าเขื่อนภูมิพลไปถึงแม่ฮอด มีวัดจมน้ำ ๙๙๙ วัด ใครอยากไปล่องแพไปดูวัดที่จมน้ำก็ได้ครับ ติดต่อแพที่เขื่อนภูมิพลครับ ขอย้ำให้ไปเป็นคณะครับ เพราะแพลำหนึ่ง ๖,๕๐๐ กว่าบาท นั่งได้ ๓๐ กว่าคนสวยงามมากครับ เส้นที่เราเดินทางไปนั้น มีภูเขาล้อมรอบมีผักชวาตามระยะทางขึ้นหนามาก ไม่มีคลื่นโทรศัพท์ครับ ส่วนเวลานั้นไม่แน่นอนครับ แล้วแต่แพ ของผมขาไปใช้เวลา ๑๑ ชั่วโมงกว่าบนแพ ขากลับอีก ๑๑ ชั่วโมงกว่าครับ ขอให้มีความสุขกับการเดินทางครับ[/size]

19
   
เหตุที่ครูบาชัยยะวงศาไม่สามารถจำวัดและให้คณะศรัทธาพักที่ วัดพระพุทธบาทตะเมาะได้ เนื่องจากขณะนั้นครูบาศรีวิชัยต้องอธิกรณ์ ซึ่งเจ้าหน้าที่และคณะสงฆ์ของจังหวัดเชียงใหม่มีความเข้มงวด ในระหว่างที่กำลังก่อสร้างอยู่นั้น ศิษย์ของครูบาอภิชัยขาวปีเกิดมีเรื่องกับเจ้าหน้าที่และคณะสงฆ์ของบ้านเมือง จนกระทั่งพระปันถูกจับสึกให้นุ่งห่มขาว (ครูบาขาวคำปัน) เป็นเหตุให้ครูบาอภิชัยขาวปี ต้องย้ายจากวัดพระพุทธบาทตะเมาะไปอยู่วัดพระธาตุห้าดวง และ วัดพระพุทธบาทผาหนาม ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอลี้ จังหวัดลำพูน และเมื่อสร้างมณฑปเสร็จแล้ว ก็ทำการฉลองกันอย่างรีบเร่ง เมื่อฉลองเสร็จครูบาชัยยะวงศาก็ติดตามครูบาอภิชัยขาวปีไปพำนักยังสถานที่ อื่นเพื่อสร้างบารมีต่อไป

    หลังจากเหตุการณ์สงบลงแล้ว คณะศรัทธาเคยอาราธนานิมนต์ให้ครูบาอภิชัยขาวปีกลับไปที่วัดพระพุทธบาทตะเมาะ แต่ท่านก็ไม่รับนิมนต์ และบอกว่า “อีกหน่อยจะมีตุ๊ใต้มาอยู่กันเป๊อะเรอะ” (พระภาคใต้มาอยู่กันมาก ภาคใต้ตามความหมายของคนเหนือคือ นับจากภาคกลางของประเทศไทยลงไปเป็นภาคใต้ทั้งหมด) ส่วนครูบาชัยยะวงศาท่านบอกว่า “ถ้าไม่ได้มาอยู่ที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ก็จะมาอยู่ที่วัดพระพุทธบาทตะเมาะแห่งนี้”

    ในอดีต วัดพระพุทธบาทตะเมาะเป็นวัดที่มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก โดยเฉพาะสมัยครูบาอภิชัยขาวปีได้มาจำพรรษา มีคณะศรัทธาญาติโยมทั้งชาวไทยและชาวเขากระเหรี่ยง มาร่วมกันทำบุญเป็นจำนวนมาก มีการก่อวิหาร ที่พักของพระสงฆ์ และเสนาสนะอื่น ๆ ภายในวัด นอกจากนี้ ครูบาอภิชัยขาวปียังได้รับนิมนต์ไปก่อสร้างสาธารณประโยชน์ที่อื่นอีกมาก ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ครูบาอภิชัยขาวปีไปจำพรรษาอยู่ที่วัดอื่น ซึ่งภายหลังที่ท่านจากวัดพระพุทธบาทตะเมาะไปแล้ว วัดก็ค่อย ๆ เสื่อมโทรมลงจนกลายเป็นวัดร้างในที่สุด

    ปัจจุบันมีพระมหานภดล สิริวฑฺฒโน เป็นเจ้าอาวาสที่วัดพระพุทธบาทตะเมาะได้ ๒๗ ปี ตอนนี้ทางวัดมีโครงการที่จะจัดทำสำนักปฏิบัติธรรมนานาชาติ ซึ่งปัจจุบันมีพระภิกษุชาวญี่ปุ่นอยู่ ๒ รูป

จบประวัติพระพุทธบาทตะ เมาะ


20



(คัดลอกจาก หนังสือประวัติครูบาชัยยะวงศา ถ่ายทอดโดย สิริวฑฺฒโน ภิกขุ )



ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม เล่าให้ฟังว่า วัดพระพุทธบาทตะเมาะ เป็นวัดเก่าแก่ที่มีความสำคัญมาตั้งแต่อดีตกาลเพราะเป็นสถานที่ ที่พระพุทธเจ้า ๔ พระองค์แห่งกัปนี้ คือพระพุทธเจ้ากกุสันโธ พระพุทธเจ้าโกนาคม พระพุทธเจ้ากัสสปะ และพระพุทธเจ้าสมณโคดม เคยเสด็จมาโปรดเวไนยสัตว์ และประทับรอยพระพุทธบาทไว้ นอกจากนั้นยังมีพุทธสาวกอีกหลายองค์มาปฏิบัติธรรมและบรรลุธรรม ณ สถานที่แห่งนี้

ภายในวัดยังมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หลายแห่ง เช่นรอยพระบาทของพระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ แท่นหินที่พระพุทธเจ้าทั้ง ๔ พระองค์ประทับไสยาสน์
รอยพระบาทของพระสาวกซึ่งเป็นพุทธอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้ากกุสันโธ รอยพระบาทของพระฤๅษีที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ฯลฯ

ที่วัดพระพุทธบาทตะเมาะแห่งนี้ เคยเป็นที่ปฏิบัติธรรมของพระฤๅษี ๒ องค์ซึ่งต่อมาบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา และปฏิบัติธรรมจนบรรลุเป็นพระอรหันต์ สถานที่นิพพานของท่านอยู่บนแท่นหินภายในวัด พระสรีระของท่านทั้งสองยังไม่ได้ประชุมเพลิง
พระอินทร์ได้อัญเชิญพระสรีระขององค์หนึ่งไปไว้บนยอดเขาตะเมาะ ส่วนอีกองค์หนึ่งไว้ที่ยอดเขาดอยเกิ้งเพื่อรอพระศรีอริยะเมตไตรยมาประชุม เพลิงด้วยพระองค์เอง บารมีของท่านทั้งสองยังคุ้มครองสถานที่แห่งนี้ ให้ผู้มุ่งหวังปฏิบัติธรรมได้รับความสงบสุข(ชาวบ้านมักเห็นแสงไฟดวงกลมวิ่ง ไปมาระหว่างยอดเขาทั้งสองเสมอ)

    เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๒ ครูบาชัยยะวงศาได้พาคณะศิษย์ไปที่วัดพระพุทธบาทตะเมาะ ซึ่งขณะนั้นมีพระชาวต่างชาติมาจำพรรษาอยู่ ท่านได้เล่าให้ฟังว่า ครูบาอภิชัยขาวปีเป็นผู้สร้างวัดแห่งนี้ และจำพรรษาอยู่ที่วัดนี้ ตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๖๗ รวมเวลาที่ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดนี้ ๓๓ ปี คำว่า “ตะเมาะ” นั้น เป็นคำพูดที่เพี้ยนมาจากคำว่า “เต่าหมอบ” เพราะที่วัดมีก้อนหินที่มีลักษณะคล้ายเต่าหมอบอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อพูดคำว่าเต่าหมอบ นานเข้าจึงเพี้ยนเป็น ตะเมาะ

    ครูบาชัยยะวงศาได้บูรณะสถานที่สำคัญหลายแห่งภายในวัด เช่น มณฑป ๙ ยอดครอบรอยพระพุทธบาท ฯลฯ และครูบาชัยยะวงศาได้มาช่วยครูบาอภิชัยขาวปีก่อสร้างเป็นเวลา ๕ ปี สิ่งก่อสร้างที่เหลือไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้ชื่นชมอีกอย่างก็คือ กำแพงซึ่งทำจากหินล้วน ไม่มีการใช้ปูนแต่อย่างใด กำแพงหินดังกล่าวเป็นแนวยาว ๒ ชั้น แต่ละชั้นยาวประมาณ ๑๐๐ เมตร

    นอกจากแนวกำแพงหินแล้ว ในปี พ.ศ.๒๕๐๐ ครูบาชัยยะวงศายังได้สร้างมณฑปไม้ไว้ด้วย มณฑปนี้เป็นรูปทรงล้านนา และทำจากไม้ทั้งหลัง ซึ่งปัจจุบันจะหาช่างทำได้ยาก เพราะมณฑปทั้งหลัง ใช้การเข้าลิ่มสลักด้วยไม้ทั้งสิ้น จะใช้น็อตเหล็กยึดเพียงไม่กี่ตัว ครูบาชัยยะวงศาเล่าให้ฟังว่า มณฑปนี้เป็นสิ่งก่อสร้างที่ล้ำค่าสำหรับท่าน เพราะต้องผจญกับอุปสรรคต่าง ๆ นานับประการ เนื่องจากเขตวัดพระพุทธบาทตะเมาะขึ้นกับจังหวัดเชียงใหม่ ในขณะนั้นทางการจังหวัดเชียงใหม่เข้มงวดเรื่องป่าไม้มาก แม้จะนำมาสร้างเป็นถาวรวัตถุในพระพุทธศาสนาก็ยังเป็นการลำบาก


ในระหว่างที่ครูบาชัยยะวงศามาทำการก่อสร้างที่วัดพระพุทธบาทตะเมาะอยู่นั้น ท่านต้องพักผ่อนจำวัดอยู่ที่ห้วยน้ำอุ่น(ปัจจุบันเป็นวัดห้วยน้ำอุ่น มีครูบาบุญยังเป็นเจ้าอาวาส) ซึ่งอยู่ในเขตจังหวัดลำพูน ห่างจากวัดพระพุทธบาทตะเมาะ ๕ กิโลเมตร กิจวัตรประจำวันของท่านคือ ตื่นนอนเวลา ๐๔.๐๐ น. สวดมนต์ทำวัตรจนถึง ๐๕.๐๐ น. แล้วเดินจากวัดห้วยน้ำอุ่นไปวัดพระพุทธบาทตะเมาะ ฉันภัตตาหารที่วัดพระพุทธบาทตะเมาะ จากนั้นจึงนำคณะศรัทธาก่อสร้าง โดยท่านเป็นผู้ควบคุมเอง ในช่วงเที่ยงวันคณะศรัทธาจะพักรับประทานอาหาร ขณะนั้นครูบาชัยยะวงศาฉันมื้อเดียว จึงใช้เวลาที่คณะศรัทธาพักรับประทานอาหารนี้ ไปก่อหินถนนระหว่างวัดห้วยน้ำอุ่นกับวัดพระพุทธบาทตะเมาะ ซึ่งคณะศรัทธาอีกคณะหนึ่ง ได้นำหินมากองเรียงไว้ เมื่อถึงเวลาช่วงบ่าย ครูบาชัยยะวงศาจะกลับมาควบคุมการก่อสร้างที่วัดพระพุทธบาทตะเมาะต่อไป จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน ไม่สามารถมองเห็นลายมือแล้ว จึงเดินทางกลับไปพักที่วัดห้วยน้ำอุ่น ระหว่างเดินทางกลับ ก็ช่วยกันยกหินที่คณะศรัทธาอีกคณะหนึ่งเรียงกองไว้ นำมาทำถนนระหว่างทางไปเรื่อย ๆ ท่านจะกลับวัดห้วยน้ำอุ่นประมาณ ๒๒.๐๐ – ๒๓.๐๐ น. ทุกวัน จากนั้นได้สรงน้ำ สวดมนต์ ไหว้พระ เจริญกรรมฐาน และจำวัดประมาณ ๒๔.๐๐ น. ตื่นนอนเวลา ๐๔.๐๐ น. ใช้เวลา ๓ เดือนจึงก่อสร้างแล้วเสร็จ นับเป็นความวิริยะอุตสาหะอย่างยิ่ง

21

พระอริยะน่ะ เขาดูจริยาไม่ได้ พระอริยะนี่ถ้าดูจริยาภายนอกผิดหมด เพราะพระอริยะนี่เป็นคนใจเปิด ถ้าเป็นพระอรหันต์เมื่อใดก็ดูเหมือนเด็ก ๆ ตอนเด็ก ๆ
หรือก่อนบวชเป็นยังไง ท่านจะใช้จริยานั้นเพราะเป็นพระไม่มีการผูกอีกต่อไป จึงไม่มีมายานิสัยเดิม ๆ เป็นยังไง พระอริยะก็ใช้นิสัยนั้น
ท่านปล่อยตามสบายเพราะจิตท่านไม่มีอะไร

อย่าง พระสารีบุตร ท่านไปกับพระพุทธเจ้ากับพระสงฆ์ พอถึงลำรางพระองค์อื่น ๆ ค่อย ๆ ย่อง ๆ ไป พระสารีบุตรขัดเขมร
โดดแพล๊บนั่นพระอัครสาวกเบื้องขวานะ ภายหลังมีพระถามพระพุทธเจ้าว่า “ทำไมพระอัครสาวกเบื้องขวาจึงขัดเขมรโดด”
พระพุทธเจ้าบอก

“อย่าไปว่าท่านเลย ลูกตถาคตไม่มีอะไรหรอกก็มาจากลิง” แล้วก็มี พระอีกองค์หนึ่งท่านเป็นแม่ทัพมาก่อน
พอเป็นพระอรหันต์แล้วท่านก็อยู่ในป่า ท่านรบของท่านองค์เดียวก็เอาไม้เล็ก ๆ นี่มันหักแล้วมาตัด มาวางตั้งเป็นกองทัพ
ไอ่นี่เป็นเมือง ไอ่นี่ตั้งเป็นกำแพงเมือง ไอ่นี่เคลื่อนทัพมาทางนี้ ข้าศึกมาทางโน้น และก็ทัพนั้นตี ตีอยู่คนเดียว เล่นง่วนอยู่องค์เดียว
 ตีไปตีมาในที่สุดพระย่องมาเห็นเข้า จึงไปฟ้องพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอก “ลูกตถาคตเป็นพระอรหันต์แล้วไม่ไปตีกับใครหรอก ก็ตีอยู่แค่นั้นแหละ”
น่ากลัวจะเป็นต้นตระกูลหมากรุกนะ นี่เห็นไหม กลับไปเป็นสภาวะเดิมหมด องค์นี้เขายังนึกถึงนิสัยของสภาวะเดิม เพราะสิ่งนั้นมันไม่เป็นพิษเป็นภัยกับท่าน
ที่ท่านเล่นตีไปตีมาอย่างนั้นน่ะ ท่านก็มองดูว่ามันไม่เป็นเรื่องตีกันเพื่อประโยชน์อะไร

บ้านก็แตก เมืองก็แตก แล้วแต่ แต่ละคนก็ตายไปหมด เรียกว่าทุกคนมีอำนาจวาสนาก็ตาย ตายไปแล้วเอาอะไรไปได้หรือเปล่า
แล้วก็ทำให้ชีวิตมนุษย์ตาย ทำให้คนลำบาก ใช่ไหม...ไม่เกิดประโยชน์ นี่ท่านเห็นความไม่เป็นเรื่องเป็นราวของชีวิต
ทีนี้ที่คุณถามว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่า พระองค์นั้นองค์นี้เป็นพระอริยะ ถามคนอื่นมันจะถูกรึ ถ้าหากว่าคุณกินแกง
แล้วถามคนอื่นว่าเค็มไหมวะ ... เผ็ดไหมวะ...เขาจะรู้ไหม ?


จากหนังสือธัมวิโมกข์ฉบับรวมเล่มปีที่ ๒ วัดท่าซุง
   

22


เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๖ มิ.ย. ๒๕๓๖
สมเด็จองค์ปฐม ทรงพระเมตตามาตรัสสอนให้ไว้ มีความสำคัญดังนี้

๑. จงทำจิตให้ยอบรับกฎของกรรมโดยความสงบ
เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นกฎธรรมดา


๒. ปัญหาใด ๆ เกิดขึ้นจงอย่าใช้อารมณ์แก้ปัญหา
จง นิสัมมะ กะระณัง เสยโย ใคร่ครวญด้วยปัญญา
เอาปัญญาเข้าแก้ไข


๓. ให้หมั่นนึกถึงความตายให้มาก ๆ
อย่าลืม ทุกลมหายใจเข้า-ออก เจ้าอาจตายได้
ร่างกายมันตาย จิตอย่าเกาะงานให้มากนัก
ทำไปเรื่อยๆ โอนอ่อนผ่อนตามสถานการณ์


๔. ยึดหลักเอาจิตปฏิบัติธรรมให้มากที่สุด
งานอื่นไม่มีความสำคัญเท่ากับงานทางธรรม
ให้ทำงานการซ่อมแซมไป สักแต่ว่าเป็นหน้าที่
จิตระลึกนึกถึงปลายทางเพื่อพระนิพพานไว้เสมอ


๕. ปัญหาใด ๆ เกิดขึ้น ก็ให้พิจารณาลงตัวธรรมดาให้หมด
อย่าคิดว่างานซ่อมแซมสำคัญมากกว่าการเอาจิตปฏิบัติธรรม


๖. ร่างกายทำหน้าที่ของกาย จิตทำหน้าที่ของจิต
พยายามอย่าให้จิตบกพร่องก็แล้วกัน
งานซ่อมแซมก็ทำไป เพราะเป็นหลักที่เจ้าจักอยู่วัดได้
ใครจักเห็นความดีหรือไม่เห็นก็ไม่สำคัญ
หรือเจ้าคิดจักทำความดีอวดใครเขา
(ตอบว่าเปล่าคะ)


๗. ดีภายนอกก็ควรทำ ดีภายในก็ยิ่งต้องทำให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป
จุดหมายปลายทางที่เจ้าต้องการจักจบกิจ
ก็จงหมั่นคิดถึงจุดหมายปลายทางนั้นให้ขึ้นใจ
(ทรงหมายถึง ทำทุกอย่างเพื่อพระนิพพานจุดเดียว)


๘. พิจารณาอารมณ์ของจิตตนเองไว้เสมอว่า
เวลานี้ไปสู่ทิศทางใด ออกนอกลู่นอกทางพระนิพพานหรือเปล่า
อย่าดูอารมณ์ของผู้อื่น ดูอารมณ์ของเจ้าไว้ให้ดี ๆ


๙. พยายามเห็นธรรมดาในธรรมดาให้มาก ๆ
ทุกคนที่ยังตัดสังโยชน์ ๑๐ ไม่ได้ครบ
ก็ต้องมีอารมณ์แสดงออกมาเป็นธรรมดา
ปกติมันเป็นอย่างนั้น
เจ้าจักยึดถืออารมณ์นั้นเพื่อประโยชน์อันใด


๑๐. หลงอารมณ์ เกาะยึดอารมณ์ทำให้จิตเศร้าหมอง
นั่นแหละคือ จิตหลงเดินทางผิดมรรคผลนิพพานละ


๑๑. คิดให้ดี ๆ อย่าวู่วาม จักเสียผลทั้งทางโลกและทางธรรม
(อย่าใจร้อน ให้ใจเย็น ๆ)


๑๒. ตั้งใจดีแล้ว ก็ต้องตั้งวาจาและกายให้ดี
มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ด้วย

๑๓. ทัศนะส่วนตัวจักเป็นอย่างไร พยายามอย่าแสดงออกให้มากนัก
จงหมั่นเก็บเอาไว้ในใจ อย่าให้รั่วไหลออกมาทางกายและวาจา
จักเป็นผลเสียมากกว่าผลดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกิจกรรมของวัดของสงฆ์
แม้จักไม่เห็นด้วย ก็จงอย่าแสดงทัศนะส่วนตัวออกมา


๑๔. ขอให้แต่นี้ไป เจ้าจงหมั่นสงบปากสงบกายให้มาก ๆ
จักไม่เป็นภัยอันตรายย้อนเข้าหาตัว


๑๕. เจ้าแย่อย่างนี้มานานแล้ว นับอสงไขยกัป กลับใจเสียใหม่
ถ้าแก้นิสัยอย่างนี้ไม่ได้ เห็นจักเอาดีได้ยาก
(ก็รับไปว่า จะพยายาม)


๑๖. หมั่นระลึกถึงการสำรวมอายตนะให้มาก ๆ
และหมั่นใช้ปัญญา พิจารณาปัญหาที่เข้ามากระทบทั้งปวงด้วย
รู้ธรรมที่เข้ามากระทบ
ทุกสิ่งในโลกนี้มันมีแต่ธรรมดา
จงทำจิตให้ยอบรับกฎของธรรมดานั้น


๑๗. แล้วอย่าทำจิตให้เศร้าหมอง
หมั่นกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก
ควบกับมรณานุสสติเอาไว้เสมอ ๆ


๑๘. เห็นทุกข์ เห็นอนิจจัง เห็นอนัตตา ในธรรมที่เข้ามากระทบเสมอ ๆ
และยอบรับตามนั้น

๑๙. จิตทรงฌานรักพระนิพพานเป็นอารมณ์เอาไว้ให้ชิน
จิตก็จักมีความสุข คิดมานิดหนึ่ง ระลึกมาหน่อยหนึ่ง
เพื่อพระนิพพานจุดเดียว แค่นั้นจิตก็จักเบาสบายใจขึ้น


๒๐. เวลานี้ปฏิฆะเริ่มเด่นขึ้นมาอีกแล้ว เจ้าก็อย่าทิ้งภาพพระเป็นอันขาด
ระงับราคะแล้ว ก็ต้องระงับโทสะไปในตัว
อย่าโง่เกินไป จับโน่นทิ้งนี่ ผลก็เกิดได้ยาก
และขอให้คิดดี ๆ ก่อนพูดด้วย



[shake]พล.ต.ท.นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน ผู้รวบรวม
จากที่มา : หนังสือ “ธรรม ที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๕
พระราชพรหมยานมหาเถระ
และนำมาจากเว็บพลังจิตอีกทีหนึ่งนะครับ ขออนุโมทนาบุญนะครับ สาธุ ๆ[/shake]
[/size][/color]

23
ผู้ชายก็ควรนึกถึงผู้หญิงด้วยครับ
เรามันเพศผู้
ควรคิดก่อนทำ
เฮ้อๆๆๆๆๆ
^
^
^
สาธุ ๆ ครับ

อย่าเอาความสนุกหรือความหลงไปใช้กันเล่นชั่วคราวครับ เจ้ากรรมนายเวรตามสนองอยู่ ๕๐๐ ชาติ

เคยได้ยินหลวงพ่อท่านบอกว่าใครที่ทำแท้งมาครอบครัวนั้นจะทำมาค้าขายไม่ขึ้น

24
“พระธรรมทูตที่พระเจ้าอโศกมหาราช ส่งมายังสุวรรณภูมิในพุทธศตวรรษที่ ๓ นั้น ไม่ใช่มีเพียง ๒ รูป คือ พระโสณะและพระอุตตระเท่านั้น แต่มีถึง ๕ รูป โดยมีรายชื่อดังนี้ พระโสณะ พระอุตตระ พระฌานียะ พระภูริยะ และพระมูนียะ  แต่พระโสณะและพระอุตตระเป็นหัวหน้า เพราะถ้ามา ๒ รูป จะทำสังฆกรรรมเช่นสวดปาติโมกข์และอุปสมบทกุลบุตรไม่ได้ เรื่องนี้นับว่าน่าคิด ซึ่งหลักความจริงน่าจะเป็นอย่างนี้ แต่ในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาเท่าที่ค้นพบมาก่อนนั้น มีแต่พระโสณะและพระอุตตระเท่านั้น เมื่อท่านมาค้นพบว่ามีถึง ๕ รูปโดยปรากฏตาม กเบื้องจาร ที่ท่านค้นพบเช่นนี้ นับเป็นสิ่งที่มีเหตุผล และน่าค้นคว้าเพิ่มเติมสำหรับนักประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง”


จากนิตยสารน่านฟ้า ฉบับที่ ๓๑ เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๒

25
ลีลาพระโพธิสัตว์ในความเป็นพระภิกษุ พระราชกวี (อ่ำ ธมฺมทตฺโต)

พระราชกวี (อ่ำ ธมฺมทตฺโต) พระภิกษุผู้เป็นพระโพธิสัตว์ร่วมสมัยกับพวกเรา มีความเที่ยงแท้ต่อพระโพธิญาณ เพราะได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าแล้วว่า จะได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๑๐ ทรงมีพระนามว่า พระสุมงคลสัมมาสัมพุทธเจ้า ชีวิตในภพชาติของท่าน เป็นฆราวาสอยู่เพียง ๑๖ ปี จากนั้นหันหน้าเข้าหาพระพุทธศาสนา บำเพ็ญเนกขัมมบารมีโดยเป็นสามเณร ๔ ปี และอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ๕๘ ปี รวมชีวิตในเพศพรหมจรรย์ ๖๒ ปี ท่านละสังขารไปตั้งแต่วันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๓๕
 
    ระหว่างที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เป็นพระเถระสำคัญในวัดโสมนัสวิหาร คนทั่วไปหรือแม้แต่คนในวัดโสมนัสวิหาร รับรู้แต่เพียงว่า ท่านเป็นพระราชาคณะหรือเจ้าคุณเท่านั้น ไม่รู้หรอกว่าหลวงพ่อเจ้าคุณอ่ำหรือพระราชกวีรูปนี้ ท่านปรารถนาพุทธภูมิ มาให้ความสนใจกันอย่างกว้างขวางก็ตอนที่หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ เปิดม่านที่ปกปิดปฏิปทาพระโพธิสัตว์ให้ลูกศิษย์ของท่านได้รับรู้ ดังบางตอนที่หลวงพ่อฤๅษีลิงดำพูดไว้ดังนี้
 
“เจ้าคุณพระราชกวี วัดโสมนัสวิหารองค์นี้ ท่านปรารถนาพุทธภูมิ ความจริงยังไม่เคยเจอหน้ากันเลยนะ แต่ก็มีจิตใจยอมรับนับถือซึ่งกันและกัน อาตมาก็ยอมรับนับถือท่าน ท่านก็ยอมรับนับถืออาตมา ต่างคนต่างฝากข่าวไปหากัน พบกันแค่ข่าว ถึงกระนั้นก็ดี แต่ว่าข่าวของอาตมากับข่าวของท่านนั้นตรงกัน รู้สึกตรงกัน จะหาว่าบ้าก็บ้าเสมอกัน หากว่าดีก็ดีเสมอกัน ท่านเจ้าคุณพระราชกวีท่านปรารถนาพุทธภูมิ การปรารถนาพุทธภูมินี่ไม่ใช่พระอรหันต์ แต่ว่าอย่าลืมนะ การปรารถนาพุทธภูมินี่ปรารถนาจริง ๆ มันต้องครบทุกอย่าง เพราะปรารถนาพุทธภูมิเพื่อความเป็นครู ทั้งหลักสูตร สุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต ต้องรู้ทั้งหมด เพราะอะไร เพราะพระคอยบอก”

คำพูดของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำทั้งหมดนี้ ความสำคัญอยู่ที่ประโยคสุดท้ายตรง “พระคอยบอก” เนื่องจากหลวงพ่อฤๅษีลิงดำพูดอยู่เสมอว่า พระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรด หรือเสด็จมาเพื่อทรงแนะนำให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ คนส่วนหนึ่งเกิดความสงสัยว่าเป็นไปไม่ได้ เมื่อนิพพานแล้วก็ต้องสูญ จะเสด็จมาทำไม หลวงพ่อคอยอึดอัดกับคำพูดเหล่านี้มาก จึงพยายามหาพยานบุคคลที่น่าเชื่อถือ เพื่อยืนยันในสิ่งที่ท่านพูด ก็เห็นหลวงพ่อพระราชกวี วัดโสมนัส ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาพระโพธิญาณ เป็นพระจริงพระแท้ที่พูดความสัตย์ความจริง และอยู่คนละสาย คือหลวงพ่อฤๅษีลิงดำอยู่มหานิกาย ส่วนหลวงพ่อพระราชกวีท่านอยู่สายธรรมยุต โดยหลวงพ่อฤๅษีลิงดำพูดว่า
 
“ถ้าใครสงสัยที่อาตมาพูดว่าพระพุทธเจ้ามีจริง พระพุทธเจ้าบอกอย่างนั้น พระพุทธเจ้าบอกอย่างนี้ ถ้าจะบอกว่าพระพุทธเจ้าทรงนิพพานไปแล้ว มีความสูญ ขอให้ไปถามเจ้าคุณพระราชกวีได้ หรือไปถามคนที่เขาปฏิบัติได้ให้ได้จริง ๆ แล้วกัน ที่เขาทำทิพจักขุญาณได้ก็ดี ทำอภิญญาได้ก็ดี เขาตอบได้แน่นอน”
 
    การเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของหลวงพ่อพระราชกวีโดยหลวงพ่อฤๅษีลิงดำครั้งนี้ อยู่ในช่วงสุดท้ายของหลวงพ่อพระราชกวีแล้ว คนทั้งหลายจึงบ่นเสียดายที่ท่านปกปิดตัวเอง ไม่ยอมแพร่งพรายให้สาธารณชนรับรู้ ตามคำยืนยันของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ จับใจความได้ว่า ท่านไม่ได้มุ่งพระอรหันต์ แต่มุ่งพระพุทธภูมิ

ท่านหลวงพ่อพระราชกวีไม่ละเลยในการอบรมสั่งสอนสานุศิษย์ของท่าน ให้รู้จักคำสอนแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา ในหนังสือวิชาการทางพระพุทธศาสนาที่ทรงคุณค่ายิ่ง ที่ท่านตั้งชื่อว่า “สมณธรรม” เป็นแสงสว่างส่องทางเดิน หรือ สะพานทอดสู่มรรคผลนิพพานโดยตรง หากใครลงมือปฏิบัติตาม หรือปรารถนาจะบรรลุมรรคผลนิพพานในปัจจุบันชาตินี้ ก็สามารถที่จะลงมือปฏิบัติได้ด้วยตนเอง บอกรายละเอียดการปฏิบัติเบื้องต้น ทั้งสมถะและวิปัสสนาไว้ชัดเจน เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับนักปฏิบัติใหม่ ท่านผู้รู้ชมว่า นี่แหละคือของจริงของแท้ ที่ท่านเจ้าคุณราชกวีนำออกมาตีแผ่ ขอคัดมาให้อ่านบางตอนดังนี้   
 
“พระพุทธเจ้าตรัสว่า มีสติคือการนึกตั้งเฉพาะหน้า คราวนี้จะปรากฏความรู้สึก ๔ ประการ คือ นึกหรือระลึก เรียกว่าสติ รู้สึกชัดทราบชัดว่ากำลังนึกอยู่ เรียกว่าสัมปชัญญะ ทั้งนึกและรู้สึกตัวนึกอยู่นั้น ก็ยังมีธรรมชาติอีกอย่างหนึ่ง ลอดหรือเล็ดออกไปเกาะหรือนำซึ่งสิ่งใดอื่นมาปรากฏ หรือออกไปในที่ใด ๆ อื่น สิ่งนี้เรียกว่าจิตตะคือใจ กระนี้ก็ยังอาจไม่สงบได้ จึงต้องมีการกระทำให้มีอีก(ภาวนา) และการนี้เรียกว่ากรรมฐาน คือที่ตั้งการกระทำของสติสัมปชัญญะและใจ”
 
หลวงพ่อพระราชกวีเคยพูดกับศิษย์ของท่าน ที่ขอร้องให้ท่านช่วยสอนกรรมฐานแก่สาธุชน เพราะเห็นทำเลวัดโสมนัสเป็นสัปปายะ มีความเหมาะสมทุกประการ โดยท่านพูดว่า “ถ้าเราจะทำก็ทำได้ แต่เราไม่ทำ เขาให้เรามาเกิด ไม่ให้มาทำหน้าที่นี้” แสดงให้เห็นว่า ท่านรู้จักหน้าที่ของท่าน คือการบำเพ็ญเนกขัมมบารมีในชาตินี้ในฐานะพระโพธิสัตว์ ขณะเดียวกันก็เอื้อประโยชน์แก่สาธุชน ผู้ใฝ่ใจใคร่รู้แนวทางปฏิบัติให้บรรลุมรรคผลนิพพานตามหลักพระพุทธศาสนา


สมเด็จพระวันรัต อดีตเจ้าอาวาสวัดโสมนัสวิหาร เจ้าประคุณสมเด็จเป็นพระรัตตัญญูแห่งยุครูปหนึ่ง เขียนคำไว้อาลัยในงานพระราชทานเพลิงศพหลวงพ่อเจ้าคุณราชกวีว่า “เมื่อข้าพเจ้ามาอยู่วัดโสมนัสวิหาร พระราชกวียังเป็นสามเณร กำลังเรียนบาลี สอบได้ถึง  ปธ. ๖ ได้ตั้งให้เป็นครูใหญ่ พ.ศ. ๒๔๙๗ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะสามัญที่พระธรรมวงศ์เวที พ.ศ. ๒๕๑๗ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ที่พระราชกวี เวลาที่ข้าพเจ้าไม่อยู่ ได้มอบหมายให้เป็นผู้รักษาการเจ้าอาวาส ความเป็นไปในวัดเรียบร้อยเป็นปกติทุกครั้ง แม้เป็นเวลานาน ๆ ก็ตาม เพราะมีผู้ช่วยและผู้รักษาการแทนที่สามารถ และขอตั้งให้เป็นอุปัชฌาย์ ได้ให้บรรพชาอุปสมบทแก่กุลบุตรแทน แต่ในหน้าที่พระกรรมวาจาจารย์แล้ว พระราชกวีสวดได้ดีมาก ถูกต้องชัดเจนในภาษาบาลีและไพเราะมาก”
 
หลวงพ่อพระราชกวี เป็นผู้ซื่อตรงต่อเวลามาก บทบาทในการสอนหนังสือในห้องเรียน เหมือนกับอาจารย์เสถียร โพธินันทะ (ท่านผู้นี้ปรารถนาพุทธภูมิเช่นกัน) ระหว่างที่บรรยายพระสูตร หรือวิชามหานิกายที่มหาวิทยาลัยสงฆ์มหามงกุฎ ฯ เมื่อเสียงออดบอกเวลาดังขึ้น ถ้าเป็นชั่วโมงสอนของท่าน จะเห็นหน้าอาจารย์เสถียร โผล่มาปรากฏที่หน้าห้องทันที พอหมดเวลาก็เช่นกัน เมื่อเสียงออดดังขึ้นท่านจะไม่โอ้เอ้ เดินออกจากห้องทันทีเหมือนกัน พระธรรมวิสุทธิกวีเจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน (ศิษย์ของท่านรูปหนึ่ง) บอกว่า “ท่านเจ้าคุณพระราชกวี ผู้อาจารย์ท่านสอนหนังสือเอาจริงเอาจัง ตรงต่อเวลาและไม่ขาดสอน  ปฏิเสธการรับนิมนต์ในชั่วโมงสอนของท่าน ถือว่าการสอนสำคัญกว่ากิจนิมนต์ ท่านตรงต่อเวลา รวดเร็ว ไม่ชักช้า ไม่ว่าในด้านกิจนิมนต์ หรือสอนหนังสือ ไม่ต้องให้ใครมารอท่าน ท่านจะมาถึงก่อนเสมอ  พระราชกวีใช้วิชาสืบค้นหาแหล่งวัตถุโบราณบ้านคูบัว แหล่งสำคัญทางประวัติศาสตร์ ซึ่งวันหนึ่งข้างหน้าอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามพยานหลักฐานที่ท่านค้นพบ ท่านค้นพบ กเบื้องจาร (เขียนศัพท์นี้ตามท่าน) ข้อความตอนนี้ขออนุญาตคัดจากสำนวนเขียนของท่านเจ้าคุณพระธรรมวิสุทธิกวีครั้งเป็นพระราชวิสุทธิกวีดังต่อไปนี้

26


อัตชีวประวัติหลวงปู่คำแสน คุณาลังกาโร


หลวงปู่คำแสน คุณาลังกาโร เกิดเมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๔๓๖ ปีมะเมีย นามเดิม คำแสน เพ็งทัน เป็นบุตรของนายเป็ง นางจันทร์ตา เพ็งทัน บ้านสันโค้งใหม่ ตำบลทราบมูล อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ มีพี่น้องรวมกัน ๘ คน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๗

ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุได้ ๑๗ ปี โดยมีพระอธิการโพธิ (ครูบา) วัดสันโค้ง เป็นพระอุปัชฌาย์ และต่อมาก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดดอนมูลนี้ เมื่อบวชได้ ๓ พรรษา ท่านก็ได้ไปศึกษาต่อกับพระอธิการแก้ว ชัยยะเสโน(ครูบาแก้ว) ที่วัดน้ำจำ ตำบลร้องวัวแดง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ โดยได้ศึกษาธรรมและเรียนกรรมฐาน

ก่อนหน้านั้นท่านได้ทราบข่าวจากชาวบ้าน ว่าทางราชการได้จับครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนา มากักขังไว้ ที่วัดศรีดอนไชย จังหวัดเชียงใหม่ ครูบาคำแสนมีความเคารพและเลื่อมใสในครูบาศรีวิชัยเป็นอย่างยิ่ง ก็รู้สึกเสียใจและอยากไปกราบนมัสการ ได้ชักชวนพระสงฆ์และชาวบ้านให้พากันไปเยี่ยม แต่คนทั้งหลายกลัวจะถูกตำหนิ หรือถูกกลั่นแกล้งจากทางราชการ ในที่สุดก็เดินทางไปกับเณรและลูกศิษย์เพียง ๒ – ๓ คนเท่านั้น

ท่านได้เดินทางประมาณ ๑๕ – ๑๖ กิโลเมตรกว่าจะถึงวัดศรีดอนไชย เมื่อเข้าไปภายในวิหารนั้น เขาใช้เชือกมนิลาเส้นโต ผูกเสาวิหารไว้เป็นรูปสี่แหลี่ยมเหมือนคอกหมู ภายในคอกสี่เหลี่ยมนั้นมีพระสงฆ์สูงอายุรูปหนึ่งนั่งอยู่ด้วยอาการสงบ ในลักษณะขัดสมาธิ ห่มผ้าสีกรัก กำลังนับลูกประคำอยู่



ในขณะที่กราบลงไปนั้นก็เกิดความอ่อนไหว จนร้องไห้ออกมาโฮใหญ่ ด้วยความที่สงสารในครูบาศรีวิชัย ที่ต้องมาถูกจองจำ และจะถูกจับสึกที่กรุงเทพฯ เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของครูบาคำแสนในขณะนั้น ทำให้ครูบาศรีวิชัยเอื้อมมือมาตบที่ไหล่พร้อมว่า

"ท่านเป็นพระจะร้องไห้ไม่ได้ พระเป็นผู้ตัดแล้วซึ่งกิเลส เมื่อเป็นเช่นนั้นต้องระงับอารมณ์ ไม่ให้มีการร้องไห้เด็ดขาด"

ขณะเดียวกันก็เริ่มสอนให้นั่งขัดสมาธิ เอามือประสานกันวางไว้บนตัก หลับตามพร้อมกับท่องคำว่า นะโม ในใจหลายสิบหลายร้อยจบให้ท่องไป เรื่อย ๆ ครูบาคำแสนก็ปฏิบัติตามคำสั่ง ท่องไปท่องมาไม่นาน อาการสะอึกและน้ำตาก็หายไป ครูบาศรีวิชัยจึงสั่งให้ลืมตาขึ้น แล้วก็ถามว่าเป็นใครมาจากไหน

ครูบาคำแสนก้มลงกราบแทบเท้า และกล่าวตอบว่ามาจาก อำเภอสันกำแพง ครูบาศรีวิชัยได้เทศน์อบรมเกี่ยวกับขันติ ให้ครูบาคำแสนฟัง พร้อมกับแนะนำสั่งสอนให้ศึกษาวิปัสสนา แล้วครูบาคำแสนก็นมัสการลา จึงนับว่าเป็นบทเรียนบทแรกในชีวิต เกี่ยวกับการศึกษาวิปัสสนา และท่านก็หาทางจะศึกษาในเรื่องนี้ จากทุกแห่งที่มีข่าวว่ามีอาจารย์สอน

ต่อมาเมื่อท่านได้เรียนกรรมฐานจากครูบาแก้ว ชัยยะเสโนแล้ว ท่านก็ขอลาครูบาแก้ว ออกเดินธุดงค์จาริกไปในที่ต่าง ๆ เมื่อคราวเข้าพรรษา ท่านจึงจะกลับมาอยู่ที่วัดดอนมูล พออายุได้ ๓๔ ปี ๑๓ พรรษา เจ้าอาวาสพระอธิการธรรมเสนาก็มรณภาพลง ทางคณะศรัทธาจึงได้นิมนต์ครูบาคำแสนเป็นเจ้าอาวาสแทนสืบต่อมา

จนท่านมีอายุได้ ๓๙ ปี ๑๘ พรรษามีพระธุดงค์ชื่อพระ อาจารย์แหวน สุจิณฺโณ


เดินธุดงค์มาพักอาศัยอยู่ที่วัดอู่ทรายคำ ในเมืองเชียงใหม่ เมื่อทราบว่าดังนั้น ท่านได้ให้โยมคนหนึ่งไปนิมนต์พระอาจารย์แหวน สุจิณฺโณ ให้มาเผยแพร่พระธรรมและอบรมศรัทธาที่วัดดอนมูล

ต่อมาพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้มาพำนักอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง พระอาจารย์แหวนและครูบาคำแสน ก็ได้ไปนมัสการและได้มอบกาย มอบจิตถวายเป็นศิษย์พระอาจารย์มั่นตั้งแต่บัดนั้นมา

ต่อมาพระอาจารย์แหวน ท่านได้จาริกไป ๆ มา ๆ ในเมืองเชียงใหม่ และไปจำพรรษาที่วัดป่าห้วยน้ำริน อำเภอแม่แตง ส่วนครูบาคำแสนหลังจากได้เรียนพระกรรมฐานจากพระอาจารย์มั่นแล้ว ท่านก็ออกเดินธุดงค์ไปยังประเทศพม่า ย่างกุ้ง หงสาวดี แล้วเดินย้อนกลับไปสู่ภาคอีสาน ไปอยู่กับท่านอาจารย์สิงห์ที่จังหวัดนครราชสีมา

จากนั้นจึงได้เดินทางกลับขึ้นไปทางเหนือไปอยู่ถ้ำเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ถ้ำพระ จังหวัดเชียงราย ถ้ำดอกคำพร้าว พระบาทสี่รอย อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ที่ใดเป็นที่วิเวก เป็นป่าเปลี่ยว ท่านก็ได้พักภาวนาเรื่อยไปไม่หยุดหย่อน ตามโอวาทของพระอาจารย์มั่น ที่ได้ให้ข้อคิดไว้ว่า “ทำจริง ก็คงจะได้เห็นของจริงเท่านั้น” ท่านเป็นลูกศิษย์ที่อยู่ในมหานิกาย ไม่ต้องญัตติใหม่เป็นธรรมยุติ

ครูบาคำแสนได้มรณภาพในวันอาทิตย์ ที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๒ เวลา ๑๐.๑๒ น. อายุได้ ๘๖ ปี ๖๘ พรรษา

หน้า: [1]