หลังจากที่ได้กราบหลวงปู่ม่วง และหลวงปู่โต๊ะแห่งวัดยางงามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตามกระทู้ด้านล่าง
http://www.bp.or.th/webboard/index.php/topic,8989.0.html
ต่อไปผมจะพาไปกราบหลวงพ่อสุรศักดิ์ อติสักโข แห่งวัดประดู่
จะว่าไปแล้วหากพวกเราลองนั่งนับลำดับของพระคณาจารย์ที่เรืองเวทย์ในเมืองไทย...คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า ?สองฝากฝั่งของลำน้ำแม่กลอง? อุดมไปด้วยคณาจารย์มากมายหลายท่าน ซึ่งแต่ละองค์ต่างมีความสามารถและจุดเด่นให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของคนไทยที่นิยมในคติความเชื่อเรื่องเหล่านี้..
ก่อนยุค ๒๕๐๐ เช่นหลวงพ่อคง วัดบางกระพ้อม หลวงปู่ใจ วัดเสด็จ หรือยุคหลัง ๒๕๐๐ เช่นหลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี หลวงพ่อหยอด วัดแก้วเจริญ ซึ่งปัจจุบันแต่ละท่านได้ถึงแก่มรณภาพไปแล้วก็ตาม แต่ความอมตะทางด้านวิทยาคมและความศักดิ์สิทธิ์ของวัตถุมงคลที่ท่านได้สร้างไว้ ก็ยังคงเป็นที่เสาะแสวงหาของบรรดาผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาในตัวท่าน....
บันทึกน้อยของผมตอนนี้...เป็นเรื่องของ?พระมหาสุรศักดิ์ อติสักโข เจ้าอาวาสวัดประดู่? อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ซึ่งท่านเป็นผู้สืบสานตำนานอาคมสองลุ่มลำน้ำครับ?.จะเป็นลุ่มลำน้ำไหนบ้าง..ผมจะพ่นให้ฟังครับ....
?ถึงคลองอัมพวาที่ค้าขาย
เห็นเรือรายเรือนเรียงเคียงขนาน
มีศาลาท่าน้ำน่าสำราญ
พวกชาวบ้านซื้อขายคอนท้ายเรือ?
วัดประดู่ เป็นวัดโบราณสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย มีเรื่องราวที่เล่าขานกันเป็นตำนานโบราณหลายเรื่อง เช่นเรื่องลายแทงสมบัติ ฯลฯ แต่เรื่องเล่าขานที่เป็นความจริงก็คือวัดประดู่แห่งนี้เป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสต้นทางชลมารคมายังวัดประดู่ เมื่อวันที่ ๒๑ กรกฏาคม พ.ศ.๒๔๗๗ และได้ทรงเสวยพระกระยาหารเช้าที่วัดประดู่แห่งนี้...
พระองค์ทรงมีพระราชศรัทธาต่อ?หลวงปู่แจ้ง? อดีตเจ้าอาวาสวัดประดู่ เป็นอย่างมากและได้ทรงถวายเครื่องราชศรัทธาที่สำคัญๆ เช่น เรือเก๋งพระที่นั่ง พระแท่นบรรทม ตาลปัตร ฯลฯ ซึ่งปัจจุบันนี้ พระมหาสุรศักดิ์ เจ้าอาวาสได้จัดเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี หากใครสนใจก็ขอเข้าชมได้ที่พิพิธภัณฑ์ของทางวัดครับ...
พระมหาสุรศักดิ์ อติสักโข เป็นพระรูปร่างเล็กๆ ผิวขาว อัธยาศัยดีมากครับ สุภาพ อ่อนน้อม ถือว่าเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีเมตตาสูง ...ท่านเมตตาเล่าประวัติให้พวกเราฟังพอสังเขปว่า..
ในช่วงวัยเด็กท่านเป็นเด็กที่มีร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยอยู่บ่อยๆ คุณพ่อของท่านเอาตุ๊กตาเด็กที่ไว้ผมทรงโบราณ เช่น ผมจุก ผมแกละ ผมเปีย ฯลฯ ให้ท่านคลานไปเลือก ท่านเลือกเป็นผมปอยถึงสองครั้ง คุณพ่อของท่านจึงได้ให้ท่านไว้ผมปอยตั้งแต่นั้นมา...
ซึ่งในเรื่องการเลือกไว้ทรงผมนี้ ถือได้ว่าเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของคนไทย โดยเฉพาะคนไทยในชนบท สมัยโบราณเรียกการกระทำแบบนี้ว่า ?เอาคุณพระเข้าช่วย?...
ผมเชื่อว่าเพื่อนๆ หลายท่านคงเคยได้ยินเรื่องทำนองนี้มาบ้าง..ที่ว่าไว้ผมเพื่อเป็นการแก้เคล็ด เนื่องจากเด็กมักเจ็บไข้ออด ๆ แอด ๆ อยู่เสมอ หรือเป็นเด็กที่เลี้ยงยาก ผู้ใหญ่จึงให้เปลี่ยนมาเป็นไว้จุก ไว้แกละ ไว้ปอย หรือไว้เปีย ไปตามแต่จะเห็นสมควร บางทีพอเปลี่ยนทรงผมแล้ว กลายเป็นเด็กแข็งแรงเลี้ยงง่ายไปเลยก็มี?
?คงเป็นเรื่องของวาสนาที่มัน ?รีด? ให้ฉันได้เข้ามาอยู่ในพระพุทธศาสนา?(ยิ้ม)
หลังจากที่จบชั้น ป.๗ ท่านจึงได้บวชเป็นสามเณรที่วัดประจันตาราม จ.สมุทรสงคราม ในช่วงที่เป็นสามเณรได้มีเหตุการณ์เฉียดตายกับท่านในเรื่องของอุบัติเหตุทางน้ำแต่ท่านสามารถรอดมาได้หลังจากนั้นเมื่ออายุครบบวช จึงได้บรรพชาที่วัดประจันตารามและเข้าเรียนนักธรรมต่อจนจบเปรียญห้า....
?เขาคงเอาเราไปไม่ได้ เพราะว่าต้องมาเป็นสมภารวัดประดู่? (หัวเราะ)
ด้วยแนวความคิดที่ว่า ?พระพุทธศาสนาเป็นระบบการศึกษา สมภารวัดคือผู้บูรณาการทุกสิ่งให้ดำเนินไปตามจุดมุ่งหมาย? พระมหาสุรศักดิ์ท่านจึงได้จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ศิลปกรรมต่างๆเช่นการทำหัวโขน การทำหุ่นปั้นจากดินสอพอง เพื่อให้นักเรียนจากโรงเรียนต่างๆ และประชาชนทั่วไปได้เข้ามาศึกษาหาความรู้ ...
ในวันที่พวกเราไปกราบนมัสการท่านพบว่ามีคณะครูจากนครปฐม เข้ามากราบขอพรจากท่านเนื่องจากต้องย้ายไปสอนที่โรงเรียนแห่งใหม่..ท่านได้บอกให้พวกเขาไปขอพรจาก ?หลวงพ่อใหญ่? พระประธานศักดิ์สิทธิ์ของวัดประดู่ และท่านได้ให้แนวคิดกับคณะครูเหล่านี้ได้น่าฟังครับ....
?เมื่อจะเริ่มสอนขอให้เราน้อมนำเอาวิญญาณครูเข้ามาสู่จิตใจของเรา...เราจะได้สอนอะไรได้แตกฉาน...
ทุกวันนี้คนเราขาดตรงนี้คิดว่าเป็นครูก็ขึ้นสอนเลย...ลืมเอาจิตวิญญาณของความเป็นครูเข้ามาด้วย?บารมีของครูบาอาจารย์แต่ก่อนเก่ามีจริง.....?
ครับ..?บารมีของครูบาอาจารย์?..สำหรับผมแล้วเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงและมีจริง..ในโลกที่หมุนเร็วทุกวันนี้ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดขึ้นมากมายในสภาพสังคมปัจจุบัน เราจะเห็นได้จากข่าวสารที่มีเข้ามากระทบกับชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในเรื่องของครูบาอาจารย์ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม...
ผมคงไม่ต้องยกตัวอย่างเพราะเชื่อว่าเพื่อนๆคงจะผ่านหูผ่านตามาบ้างแล้ว คนเรานะครับการจะทำอะไรสักอย่างให้ได้ดีนอกจากจะเกิดขึ้นโดยประสบการณ์และความชำนาญแล้ว ?จิตวิญญาณ? ยังมีความสำคัญ..ไม่อย่างนั้นเพลงพระคุณที่สาม คงจะไม่ยืนยงคงกระพันมาจนถึงทุกวันนี้หรอกครับ...
และก็หลายครั้งนะครับที่ ?ความเจริญไม่ได้นำมาซึ่งผลดีต่อทุกอย่าง? เพราะอย่างน้อยที่สุด...สิ่งที่ความเจริญนำมาสู่จิตใจของคนเราในปัจจุบันก็คือ ?ความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว?..
เห็นท่านพระมหาสุรศักดิ์ เป็นพระนักพัฒนาและทันสมัยขนาดนี้ ทำไมถึงได้มาสนใจในคติความเชื่อเรื่องคาถาอาคม ซึ่งต่างเวอร์ชั่นกันอย่างมาก... เรื่องนี้มีที่มาที่ไปครับ...ท่านได้เล่าให้พวกเราฟังค่อนข้างยาว ผมเลยขอสรุปเอาพอสังเขปครับ....เริ่มจากตอนที่ท่านเป็นเณรบวชอยู่กับหลวงพ่อสุด วัดกาหลง เริ่มสนใจ ?ยันต์ตะกร้อ?..แต่ก็ไม่ได้ศึกษาซักเท่าไหร่หลวงพ่อสุด ท่านก็มรณภาพเสียก่อน..
พอมาบวชเป็นพระได้พรรษาแรก ท่านได้พบกับ ?หลวงตามี? พระลูกวัดประจันตาราม ซึ่งเป็นผู้ที่เขียนยันต์ให้กับหลวงพ่อเจ้าอาวาส ท่านจึงได้ขอเรียนการเขียนอักขระขอม..ในช่วงนั้นด้านหลังโบสถ์ของวัดประจันตาราม ก็มี ?พระอาจารย์รวม? ซึ่งเป็นอาจารย์สักที่มีชื่อเสียง โดยเฉพาะ ?ยันต์หมูทองแดง? ...
พระอาจารย์รวมเป็นพระที่มีอาคมขลังและหนังเหนียว มีฉายาในกลุ่มลูกศิษย์ว่า ?ตารวม หนังแห้ง? ด้วยความเป็นพระที่มีกิริยานอบน้อม พระอาจารย์รวมจึงได้ถ่ายทอดวิชาการต่างๆให้จนหมดสิ้น...ภายหลังพระอาจารย์รวมได้ย้ายมาจำพรรษาอยู่กับท่านที่วัดประดู่และได้มรณภาพที่วัดแห่งนี้..
ในช่วงนั้นท่านพระมหาสุรศักดิ์ได้พบกับ ?คุณโยมพ่อใหญ่ ยังมีสุข? ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของ ?หลวงปู่ใจ วัดเสด็จ? จึงได้เรียนวิชา ?การลงอุนาโลม และการถักเงื่อนจระเข้ขบฟัน?...ถึงตรงนี้..ผมขออธิบายเพิ่มเติมตามที่ท่านมหาได้เล่าให้ฟัง
?การถักเงื่อนจระเข้ขบฟันคือการถักเชือกหุ้มตะกรุด นัยว่าเป็นเคล็ดเรื่องการปิดกั้นอาวุธไม่ให้แสดงฤทธิ์หรือทำร้ายเราได้??
จะว่าไปแล้วคาถาอาคมหรือไสยศาสตร์นี่สำคัญนะครับ นอกจากตัวคาถาที่แม่นยำแล้วยังต้องมีการฝึกจิตและต้องมีสมาธิที่ดี....ของถึงจะขลัง...
?สายชลแม่กลอง น้ำนองสองฟากล้นฝั่ง
น้ำใจจงหลั่ง พอได้ประทังชีพฉัน
สายน้ำมิอาจ ตัดขาดออกไปจากกัน
สายใยสัมพันธ์ ขาดกันไม่ได้หรอกเอย?
?ประวัติศาสตร์บอกถึงจุดกำเนิด วัฒนธรรมบอกถึงเรื่องราวความเป็นมา?...สายวิชาของการทำ ?ตะกรุดลูกอมโลกธาตุ? เริ่มจาก?หลวงปู่แจ้ง?...
อดีตเจ้าอาวาสของวัดประดู่แห่งนี้ ได้ถ่ายทอดวิชาการทำย้อนลำนำแม่กลองไปยัง?หลวงปู่ยิ้ม อดีตเจ้าอาวาสวัดหนองบัว? จังหวัดกาญจนบุรี หลังจากนั้น..
?ท่านพระราชมงคลวุฒาจารย์ หรือหลวงปู่ใจ วัดเสด็จ? ท่านก็ได้ไปขอศึกษาและนำมาถ่ายทอดต่อยัง ?หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี และ หลวงพ่อหยอด วัดแก้วเจริญ? ในช่วงดังกล่าวพระมหาสุรศักดิ์ ได้ปฏิบัติหน้าที่เลขาของหลวงพ่อหยอด จึงได้ขอศึกษาและหลังจากหลวงพ่อหยอดท่านมรณภาพ...
พระมหาสุรศักดิ์ท่านจึงได้นำมาสร้างจนเผยแพร่ในปัจจุบัน.....จะว่าไปแล้วพระมหาสูรศักดิ์องค์นี้แหละครับที่สืบสายตำนานวิชาของลำน้ำแม่กลอง...อีกลำน้ำหนึ่งที่ผมจะขอกล่าวถึงพอสังเขปไว้ในบันทึกน้อยตอนนี้แต่รายละเอียดปลีกย่อยคงต้องขอค้างไว้ก่อน.(เรื่องมันยาว)..คือ?แม่น้ำนครชัยศรี?..จังหวัดนครปฐม..
พูดถึงตรงนี้เข้าใจว่าเพื่อนๆ คงร้องอ๋อ...ครับ ?วิชาการทำเบี้ยแก้? จาก ?หลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว? ซึ่งหากมีเวลาว่างพวกเราจะเห็นภาพพระมหาสุรศักดิ์ท่านเข้าไปช่วยหลวงปู่เจือบรรจุปรอทและลงยันต์กำกับ...ในเรื่องการเข้าไปช่วยทำเบี้ยแก้นี้ พระมหาสุรศักดิ์บอกกับพวกเราว่าเป็นการ ?สนองคุณครูบาอาจารย์? ครับ...
?ตะกรุดแต่ละดอก ฉันก็ว่ามันเหมือนคนเรานั่นแหละ มันมีลักษณะ มีเอกลักษณ์เป็นตัวของตัวเอง... ต่อให้ทำและเขียนจากคนๆเดียวกันก็เถอะ... ฉันก็ว่ามันก็จะต้องมีอะไรสักอย่างที่ไม่เหมือนกัน?
คำพูดของพระมหาสุรศักดิ์ที่บอกกับพวกเราในระหว่างสนทนาครั้งนี้ เป็นการยืนยันคุณภาพของผู้ที่ทำได้ว่ามีความชำนาญและวิริยะขนาดไหน..ซึ่งในยุคสมัยใหม่ที่การผลิตตะกรุดของวัดบางแห่งมักจะนิยมสั่งทำจากโรงงาน นัยว่าเพื่อให้ได้ปริมาณตามที่ต้องการ การที่พระซักองค์จะมัวมานั่งเขียนตะกรุดโดยมือที่ละดอกถูกมองว่าเป็นเรื่องชักช้าและไร้สาระ...จะว่าไปแล้วในปัจจุบันจะหาวัดที่มีการสร้างตะกรุดที่เขียนขึ้นจากมือที่ละแผ่นและมานั่งม้วนถักเชือกที่ละดอกค่อนข้างหายาก และแทบจะสูญพันธุ์ไปแล้ว..
เปรียบไปแล้ว..การเขียนตะกรุดด้วยมือแทนเครื่องจักร...ก็คงเหมือนกับ ?ดอกบัวสีแดง? ดอกหนึ่งที่อยู่ท่ามกลาง ?หมู่ดอกบัวสีขาว? หลายๆดอก เป็นความจริงว่าดอกบัวสีแดงนี้มันอาจจะไม่เหมือนดอกบัวอื่นๆ..แต่อย่างน้อยมันก็น่าสนใจนะครับว่า....ทำไมดอกบัวสีนี้มันถึง?โผล่?ขึ้นมาได้...
ไม่เชื่อเพื่อนๆ ลองแกะตะกรุดของวัดประดู่ออกมาดูซิครับ..จะเห็นว่าโลหะชนิดเดียวกัน อักขระเดียวกัน ม้วนได้ครบรอบเท่ากัน...แต่เชื่อผมเถอะว่ามันต้องมีแตกต่างกัน เช่น ความเรียบของชิ้นโลหะ หรือการลงรักที่หนาบาง ฯลฯ ลองสังเกตดูเถอะครับ แล้วจะรู้ว่าตะกรุดที่ผลิตจากมือ...หนึ่งร้อยดอก ก็มีหนึ่งร้อยแบบ..
อย่างนี้แหละครับที่เป็นเสน่ห์ชวนใฝ่หาของผู้ที่นิยมของขลังประเภทนี้....จริงๆแล้วพระมหาสุรศักดิ์ท่านได้สืบทอดวิชาการทำตะกรุดมาจากหลายคณาจารย์ เช่น ตะกรุด ?ตาลยอดด้วน? ตะกรุด?ดาวล้อมเดือน? ฯลฯ
ในบันทึกน้อยของผมตอนนี้ขอเขียนถึงสายพระราชมงคลวุฒาจารย์ หรือหลวงปู่ใจวัดเสด็จ เพราะเห็นว่าขณะนี้มีประสบการณ์เกิดขึ้นกับลูกศิษย์หรือผู้ที่มีไว้ติดตัวอยู่เนืองๆ...เรามาฟังพระมหาสุรศักดิ์อธิบายพร้อมๆ กันครับ...
?ตะกรุดมหาระงับปราบหงสา...ดีทางระงับดับภัย โทษร้ายกลายเป็นดี เขียนลงแผ่นทองแดงขนาด ๗ นิ้ว พอกยาซึ่งประกอบไปด้วยใบไม้รู้นอน ๗ ชนิดคือ ใบมหาระงับ ใบผักกะเฉด ใบกระทืบยอด ใบสมิ ใบแคขาว ใบชุมเห็ด และหญ้าใต้ใบ...ถักเชือก..เสร็จแล้วก็ลงรักปิดทอง?
?ตะกรุดโภคทรัพย์ หรือตะกรุดคู่ชีวิต ดีทางคุ้มครองดวงชะตาและก่อให้เกิดมีทรัพย์สินเงินทองเพิ่มพูน เขียนลงบนแผ่นทองแดงขนาด ๖ นิ้ว ถักเชือก พอกยาและปิดทองแบบเดียวกับมหาระงับ
ถึงตรงนี้ผมขอคั่นรายการซักนิดเพื่อกล่าวถึง?วิชาไหม ๕ สี? ซึ่งเป็นวิชาที่หลวงพ่อหยอดนำมาสร้างแจกบุคคลทั่วไปและมีประสบการณ์ที่เล่าลือกันไม่หวาดไม่ไหว...ซึ่งพระมหาสุรศักดิ์กล่าวว่า ...
วิชานี้เป็นของ ?หลวงปู่ใจ วัดเสด็จ? โดยในยุคของหลวงปู่ใจจะสร้างจากไหมญี่ปุ่นจำนวน ๕ สี ได้ความหมายว่าเป็นศีลห้า...นำมาถักขวั้นกัน โดยใช้คาถาพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆ์คุณ กำกับเวลาขวั้นไหม..วิชาไหม ๕ สีนี้เมื่อตกทอดมาสู่?หลวงพ่อหยอด? จึงได้เปลี่ยนมาใช้ไหมเทียม โดยโรงงานทำไหมเทียมซึ่งเป็นของลูกศิษย์ท่าน
วันหนึ่ง ?หลวงพ่อหยอด วัดแก้วเจริญ? ได้มีโอกาสพบกับ ?หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม?..เกิดชอบใจในวิชา ?การขอดเชือก? จึงได้ขอความเมตตาเรียนจากหลวงพ่อแช่ม และหลวงพ่อหยอดก็ได้นำ ?ตัวขอด? นี้มาไว้เป็นส่วนหนึ่งในส่วนของไหม ๕ สี....ในยุคสมัยของหลวงพ่อหยอดรูปร่างหน้าตาของไหม ๕ สีจึงเป็นแบบตามรูปที่ผมลงให้ดู ....และเป็น ?ปกาศิตจากหลวงพ่อหยอดว่า..?
?เมื่อใดที่เชือกขาด ให้เก็บตัวขอดนี้ไว้ เพราะนี่คือตะกรุดหนึ่งดอก?
?ใครที่ใช้ไหม ๕ สี นอกจากจะสวดระลึกถึงหลวงปู่ใจ หลวงพ่อหยอดแล้ว ให้ระลึกถึงหลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอมด้วย?
คราวนี้มาพูดถึงตะกรุดอีกประเภทหนึ่งซึ่งผมเชื่อว่าเพื่อนๆ หลายท่านกำลังสนใจอยู่..ครับ...?ตะกรุดโลกธาตุ?...ในเรื่องของวิชาการทำตะกรุดโลกธาตุ..มีเรื่องเล่าขานกันว่า..เป็นตะกรุดที่มีคุณวิเศษอเนกอนันต์ ในยามคับขันหรือจวนตัวให้กลืนเข้าไปในท้อง จะสามารถล่องหนหายตัวและป้องกันอันตรายได้ทุกประการ...
เมื่อใครได้กลืนเข้าไปแล้วก่อนนอนให้ตั้งจิตอธิษฐาน ตื่นเช้ามาก็จะพบตะกรุดปรากฏอยู่ข้างตัว ตะกรุดโลกธาตุนี้จะไม่ออกทางทวารเบื้องต่ำอย่างเด็ดขาดและคาถาที่ลงในตะกรุดคือ ?อิจฉันโต จิตโต อิจฉันโต โลกธาตุมหิ อัตตะภาเวนัง นาทุยิ วาระวีสะติ สิทธังละอะ? ....
นอกจากคุณสมบัติที่ลึกล้ำแล้ว การจะลงตะกรุดก็ไม่แพ้กัน กล่าวคือผู้ที่จะเรียนวิชานี้ได้ต้องมีความสามารถนั่งสมาธิเพ่งไส้เทียนจนขาด..นัยว่าเพื่อเป็นการแสดงถึงสภาวะจิตที่เข้มแข็ง......
มีคำกล่าวว่า ?นิทานเป็นอาหารวิเศษสำหรับเด็ก..และเป็นขนมหวานของจิตใจ?...ถึงเรื่องสรรพคุณของ ?ตะกรุดโลกธาตุ? ที่หลวงพ่อพระมหาสุรศักดิ์ได้เล่ากับพวกเรา จะฟังดูแล้วเหมือนนิทาน เหมือนเรื่องโกหก..ผมเรียนถามท่านว่า
?แล้วหลวงพ่อสามารถนั่งเพ่งจนไส้เทียนขาดไหมครับ?
?ฉันยังทำไม่ได้แบบนั้น?...
?ในระหว่างวันฉันไม่มีโอกาสได้นั่งเขียนตะกรุด และมีเรื่องราวต่างๆ เข้ามาให้คิดตลอด โชคดีที่ตัวเรามีสติ...
ดังนั้นเมื่อฉันเริ่มทำ ฉันจะโยนทุกอย่างทิ้งไปหมด บอกกับตัวเราเองว่า เรามีหน้าที่เขียนตะกรุด ทำออกไปให้กับกลุ่มลูกศิษย์และผู้ที่เคารพศรัทธาเรา...
เพราะฉะนั้นเราจะขาดสติและสมาธิไม่ได้...ตราบใดที่เรายังคุมตัวเองไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าจะสร้างอะไรให้เขาบูชาเลย บาปซะเปล่าๆ?
ผมรูดซิปที่เป้คู่ชีพ...ควานหาถุงพลาสติกที่ใส่ตะกรุดโลกธาตุ รู้สึกอุ่นใจ..ผมไม่ได้นำมาคืนท่านเพราะว่าท่านเพ่งไส้เทียนไม่ขาดหรอกนะครับ การที่ท่านบอกว่า ?ฉันยังทำไม่ได้แบบนั้น? ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ทั้งหมด ไม่ต้องเพ่งขาดหรอกครับ เอาแค่ ?ท่านมหาสุรศักดิ์นั่งเขียน ร้อยไหม ถักตัวขอดได้พวกผมก็เชื่อแล้ว? ..
อีกอย่างการที่ท่านจะมานั่งบอกพวกผมว่าฉันนะนั่งเพ่งจนไส้เทียนขาดไปหลายเล่มแล้ว...เพื่อนๆ ฟังดูแล้วรู้สึกยังไงครับ...นี่คือการพูดอวดตัวเองหรือเปล่าขอโปรดพิจารณา....
?ว่ากันว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกพิกลพิการใบนี้ ย่อมต้องมีสิ่งที่ดีเสมอ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเรื่องทุกข์หรือเรื่องสุข? ....ไม่มีใครที่อยากมีความทุกข์หรอกครับ..
และก็เป็นความจริงที่ทุกคนก็อยากมีความสุข ..?การที่เรามีความสุขมากๆจะทำให้เราหลงลืม?...แต่?ความทุกข์จะทำให้เราต้องหันกลับมามองหาความจริงของชีวิตมากยิ่งขึ้น...?
เช่นเดียวกับในสมัยปัจจุบันนี้..พวกเรามักจะมองว่าผู้คนทั่วไปจะยึดติดกับคติความเชื่อในเรื่องคาถาอาคมหรือพิธีกรรมมากกว่าจะมองหาแก่นแท้ของศาสนา...ท่านพระมหาสุรศักดิ์ยิ้มน้อยๆและกล่าวถึงเรื่องนี้สั้นๆว่า...
?เราอยู่ในสมัยที่คนต้องเป็นที่พึงของตัวเองมากขึ้น?(ยิ้ม)
จะว่าไปแล้วผมว่าเรื่องนี้น่าคิดนะครับ...เพราะปัจจุบันนี้จะสังเกตได้ว่าคนรุ่นใหม่กล้าที่จะเปิดเผยตัวเองว่า ตนชอบนั่งสมาธิ ชอบปฏิบัติธรรมซึ่งแต่เดิมแล้วน้อยมากที่คนเราจะออกมาพูดถึงเรื่องพวกนี้...?การปฏิบัติธรรมในสมัยนี้ถือเป็นเรื่องธรรมดา? ปฏิบัติกันแบบเป็นครอส เป็นแบบโครงการ เรียกได้ว่าทุกวันนี้เป็นที่ยอมรับของสังคม...
?ยาที่รักษาโรคหากใช้ถูกก็มีค่าอนันต์ หากใช้ผิดก็มีโทษมหันต์?..เช่นเดียวกันหากเพื่อนๆ สังเกตดูจะพบว่า ?บทบาทของพระสงฆ์น้อยลง? แต่ ?บทบาทของฆราวาสเพิ่มมากขึ้น? การปฏิบัติธรรมโดยไม่มีพระสงฆ์คอยควบคุมดูแลก็มากขึ้นตามลำดับ..สาเหตุนี้มาจากอะไร..ผมเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้...
ดังนั้นการที่พระซักองค์จะก้าวเข้ามาโดยใช้ ?กุศโลบายทางด้านวัตถุมงคล หรือแนวความเชื่อในเรื่องขนบธรรมเนียมเก่าๆ? เพื่อดึงคนเหล่านั้นให้หันกลับมาเข้าวัดตามแบบเดิม...จึงเป็นเรื่องที่น่าสนับสนุนหรือไม่ก็ต้องฝากเพื่อนๆ..ช่วยคิดละครับ...
ในความเป็นจริงแล้ว..?พระพุทธศาสนาของเราจะมีทั้งกลุ่มที่ไม่ยึดติดวัตถุมงคลและกลุ่มที่ยึดติดวัตถุมงคล?...
ซึ่งทั้งสองกลุ่มก็ยังอยู่ภายใต้บทบัญญัติเดียวกันและเหมือนๆกัน..แต่ก็เป็น ?ความเหมือนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง? กล่าวคือ.....?กลุ่มหนึ่งเน้นในด้านจิตวิญญาณ อีกกลุ่มหนึ่งเน้นในเรื่องของพิธีกรรม?...
แต่บุคลิกที่แตกต่างของทั้งคู่ก็เป็น ?ผลดีต่อการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน?ไม่ใช่หรือครับ...
ดังเช่นคำกล่าวที่ว่า ?การอ่านเป็นพื้นฐานที่ดีที่สุดสำหรับการเขียนที่ดี?....ผมว่าการดำเนินกิจกรรมในร่มเงาของพระพุทธศาสนาควบคู่ไปทั้งสองด้านของพระมหาสุรศักดิ์...?จึงเป็นทั้งการอ่านและการเขียน..ที่ดีเยี่ยม?...สวัสดีครับ
ข้อมูลจาก http://www.oknation.net/blog/sitthi/2008/07/19/entry-1 โดยคุณศิษย์กวง