แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - โยคี

หน้า: 1 [2]
1000
การที่ พระมหา​โมคคัลลานเถระ ยอมให้พวกโจรทุบจนกระดูกแหลกเหลว เพื่อชดใช้กรรมที่เคยทำไว้ในอดีตชาตินั้น ทำให้พระมหา​โมคคัลลานเถระ หมดกรรมจริง
แต่พวกโจรที่มาทำร้าย ผมว่ากลับมีกรรมเพิ่มขึ้น เพราะว่าได้ทำร้ายพระอรหันต์ คงจะต้องตก นรก หมกไหม้ไปอีกนาน แล้วการที่พระมหา​โมคคัลลานเถระ ทำอย่างนี้
จะหมกกรรมจริงหรือ เปล่า แม้ว่าท่านจะได้บรรลุพระอรหันต์ไปแล้ว ย่อมมีจิตใสสะอาด และอโหสิกรรมให้พวกโจรก็ตาม  กรณีเปรียบเทียบ ว่าพระเทวทัต ได้พลัก
ก้อนหิน ลงมาเพื่อปลงพระชนน์พระพุทธเจ้า กับอีกหลายกรณี ผลสุดท้าย พระเทวทัต ต้องถูกธรณีสูบ  ตกนรก นานแสนนาน ทั้งนี้ พระพุทธเจ้าคงไม่เจ็บแค้นผูกใจ
เจ็บ จองเวร จองกรรม เป็นแน่ และคงจะอโหสิกรรม ให้ด้วยซ้ำไป
กรณีพระมหา​โมคคัลลานเถระ ถ้าไม่ให้โจรทุบจนมรณะภาพ จะดีกว่าไหม หรือ ว่าอย่างไร ช่วยตอบที

1001
ก่อนอื่นต้องถามว่า ท่านรู้จัก หลวงพ่อจำเนียร วัดถ้ำเสือ พอหรือยัง วัดถ้ำเสือเป็นสำนัก ปฎิบัติธรรม กรรมฐาน ที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของจังหวัดในภาคใต้
มีผู้เลื่อมใส และเข้าปฎิบัติธรรม จำนวนมากมาย (แต่ก็ไม่เน้นแบบสายปฎิบัติ อย่างท่านพุทธทาสภิกขุ ซึ่งสายนี้จะเป็นสายพุทธเถรวาส ล้วนๆ เข้าปฎิบัติธรรม
ด้วยจิตภาวนา ไม่ถือเทพ ไม่ถือพรหม ไม่ถือเทวดา ไม่ถือพรามหณ ์ ไม่นับถือไสยศาตร์ ไม่มีเครื่องราง ของขลัง   ไม่ถือพระโพธิสัตย์ แบบมหายาน        ซึ่งมี
ี ท่านปัญญานันทะภิกขุ พระพยอม เป็นต้น) ฉนั้นรูปแบบ ต่างๆ ย่อมจะต่างกัน  ความเชื่อย่อมต่างกัน   ส่วนเรื่องโฆษณา ก็แล้วแต่มุมมอง (ผมว่าเกินจริงทั้งนั้น)     

1002
ของวัดถ้ำเสือ กระบี่
[wmv=460,360]http://www.ch7.com/website/news/scoop_clip/7wan-1406.wmv[/wmv]

1003
เอาแต่สิ่งที่ดีๆ ด้านบนของลิงค์ สิ่งที่เลวๆ ด้านล่าง ห้ามนะ   http://tnews.teenee.com/weird/12197.html

1004
     ถ้าคนเล่นของ หรือคนมีของ เป็นพระภิกษุ ห้ามฉันและห้ามรับประเคน มังสะ 10 อย่างนี้ คือ
1. เนื้อมนุษย์      2.เนื้อช้าง         3.เนื้อม้า            4.เนื้อสุนัข             5.เนื้องู
6. เนื้อราชสีห์      7.เนื้อหมี          8.เนื้อเสือโคร่ง        9.เนื้อเสือดาว        10.เนื้อเสือเหลือง
     ทั้งหมด 10 ชนิด แต่เนื้อเสืออื่นๆ ไม่รู้ เช่น เสือปลา เสือไฟ จะห้ามหรือเปล่า

1005
การลองของยิงว่าน (ไม่เข้า)


[wmv=460,360] http://www.ch7.com/website/news/scoop_clip/7wan-2305.wmv[/wmv]

1006
ขอบคุณ คุณเว็ป ที่มาช่วยรวมคลิป ลิงค์ให้ดูง่ายขึ้น
จากลิงค์เดิม ทีโพสไว้
http://www.bp-th.org/webboard/index.php/topic,1400.0.html

1007
บางคนก็ขึ้น บ้างคนก็ไม่ขึ้น ปัญหานี้มีมานาน และก็แบบเดียวกับ Boat24 ทำให้เกิดการของขึ้นเทียมโชว์เพื่อน+หลอกเพื่อนเยอะไปหมด
ยิ่งไปกับเพื่อนเยอะๆ เช่น งานไหว้ครู เห็นเพื่อนขึ้น ทำไมเราไม่ขึ้น อย่างนี้ขึ้นเองเลยดีกว่า แจ่มดี

1008
คนที่ให้ หลวงพ่อจำลอง ลองของ ตามที่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐลง เก่งนะ
ศิยษ์ หลวงพ่อเปิ่น อีกแล้ว สักเก้ายอด แปดทิศ งบน้ำอ้อย ใจถึงจริงๆ


1009
สักหมึกทับ ไม่ได้เละแน่ แต่ถ้าสักน้ำมันทับก็พอทน แต่ต้องจิ้มลงยันต์ครูก่อน และถามเป็นการส่วนตัวกับอาจารย์สัก แต่ละท่าน ว่าจะลงให้หรือเปล่า หลวงพี่ติ่ง น่าจะลงให้

1010
องค์นี้ดังแน่ เมื่อหลายปีก่อน มีเริ่องราวขึ้นหน้าหนังสือพิมพ์ หลายฉบับ เรื่องพระสงฆ์ถูกยิง ถูกแทงไม่เข้า เรื่องพอจำได้คราวๆ มีอยู่ว่า
วันนั้น มีโจรบุกเข้าปล้น กุฎิเจ้าอาวาสเพื่อหวังเงิน ที่ชาวบ้านได้บริจาคทำบุญไว้กับท่าน ท่านได้ต่อสู้ขัดขวางการปล้นชิงทรัพย์ และร้องเรียก
ให้คนช่วย เมื่อเสียงดังไปกุฎิพระข้างเคียง จึงได้มีพระภิกษุประมาณ 3 รูป ได้มีเสียงดัง และเสียงการต่อสู้กัน จึงเข้ามาช่วย พอเปิดประตูเข้ามาเท่านั้น
เสียงดัง เปรียงๆ โดนปืน มรณะภาพ ไป 2 รูป อีกรูปบาดเจ็บ  แล้วพวกโจรก็หนีไป ส่วนตัวเจ้าอาวาส บาดเจ็บเล็กน้อย จากรอยถูกมีดแทง แต่ไม่เข้า
และจะโดนปืนยิง ด้วย แต่ไม่เข้า หรืออย่างไรไม่แน่ชัด นานมาแล้ว ท่านคือ หลวงพ่อสมชาย วัดโพรงอากาศ จ.ฉะเชิงเทรา
    และปัจจุบันท่านได้ออก จตุคามรามเทพ ด้านหน้า เป็นหลวงพ่อโสธร สวยงามมาก
    ผิดพลาด ประการใดขออภัยด้วย

1011
เมื่อ เดือนเมษายน ผมเห็นมีล็อคเกต รุ่นของพี่เอ ที่กุฎิหลวงพี่ติ่ง อยู่ 1 พาน ไม่รู้ ณ ตรงนี้หมดหรือยัง 200 บาท

1012
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: ตี๋ใหญ่
« เมื่อ: 06 มิ.ย. 2550, 12:03:50 »
ตี๋ใหญ่ จอมโจรชื่อดัง เป็นศิยษ์ ของ
  1. หลวงพ่อสุด วัดกาหลง จ.สมุทรสาคร
  2. หลวงพ่อมาลัย อุทโย วัดบางหญ้าแพรก สมุทรสาคร (มีชีวิตอยู่) องค์นี้ตี๋ใหญ่นับถือท่านมาก
ไม่ได้เป็นศิยษ์ หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ

1013
ขออนุโมทนา ด้วยครับ










1014
     การสร้างตะกรุด และ ยันต์ ในความคิดของผม ถ้าเป็นแบบวิธีการสร้างที่ดี ต้องดีแบบดีนอก และดีใน
     การสร้างแบบดีนอกหมายถึง พิธีการจัดสร้างแล้วปลุกเสก เช่น การนำเหรียญรูปเหมื่อนทองแดง,ทองเหลือง /ปลอกลูกปืน/ยันต์ปั๊ม เป็นต้น
นำมาเข้าพิธีปลุกเสก/พิธีพุทธาภิเษก โดยที่ไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติ่ม
     การสร้างแบบดีในหมายถึง การจัดสร้างโดยหามวลสารต่างๆ มาประกอบ มาเขียนยันต์ กระดูกยันต์ ลงอักขระ แล้วกรึงบังคับไว้ ถ้าอักขระตัวใด
เขียนทับกระดูกยันต์ ถือว่าใช้ไม่ได้ ถ้าเป็นตะกรุดบางชนิดเวลาม้วนจะต้องว่าคาถากำกับอีก เสร็จแล้วก็ปลุกเสกซ้ำอีก
     ดังนั้น เวลาหาตะกรุด หรือยันต์ ต่างๆมาใช้ ควรพิจารณา ถึงวิธีการสร้างที่ดีทั้งนอก และดีทั้งใน จึงจะครบสูตรตามตำรา
  จะเห็นได้ว่า ตะกรุดตามแบบวัดบางพระ ส่วนใหญ่จะเป็นแบบดีนอก ดีใน ยกเว้น ตะกรุดยันต์หอมเชียง ปี 44 จะเป็นแบบปั๊ม แล้วเสก แต่ก็พอจะ
อนุโลมให้ เพราะหลวงพ่อเปิ่น มีสมาธิ จิต ภาวนา สูง ท่านอาจจะเขียนยันต์ในจิตขณะปลุกเสกลงตะกรุดไปพร้อมกัน

1015
รูปมีตรงที่

Download :
http://d.turboupload.com/d/1812269/36073657363436233648362336.rar.html

ต้องทำการ download file  ถ้าเปิดลิงค์ เฉยๆ ก็เห็นแต่ภาษาอังกฤษเท่านั้น




1016
  แจกยันต์ท้าวเสสุวรรณ และเรื่องราวต่างๆ ตามลิงค์
http://www.pantip.com/tech/software/topic/SA2367509/SA2367509.html

1017
หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ตั้งแต่เริ่มบวช มีอาจารย์ที่เคยสอนท่าน ดังนี้
1.หลวงพ่อแก้ว วัดอินทาราม(วัดใน)
2.หลวงพ่อเงิน วัดพระปรางค์เหลือง
3.หลวงพ่อเทศ วัดสระทะเล
4.หลวงตาชม วัดหนองโพ
5.หลวงพ่อมี วัดบ้านบน
6.อาจารย์พันธ์ (ฆารวาส)
7.หลวงพ่อวัดเขาหน่อ
8.หลวงพ่อขำ วัดเขาแก้ว
   ท่านน่าจะ ไม่เคยเรียนวิชาจาก อาจารย์เฮง ไพลวัลย์  เพราะอายุของหลวงพ่อเดิม น่าจะมากกว่า อาจารย์เฮง ไพลวัลย์
ท่านอาจารย์เฮง  เป็นลูกศิยษของ หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ   และเป็นศิยษ์ร่วมสำนักกับ  หลวงปู่สี วัดสะแก หลวงปู่ดู่ วัดสะแก
และทุกท่าน มรณะภาพ หลัง ปี 2500 ทั้งนั้น ซึ่ง หลวงพ่อเดิม มรณะภาพ เมื่อ พ.ศ.2494 อายุ 93 ปี

        ส่วน หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค ท่านเป็นคน อ.มหาราช จ.พระนครศรีอยุธยา ท่านบวชเป็นพระ และเรียนวิชาต่างๆ จนเก่ง และออกธุดงค์
ไปทั่วประเทศ จนมาพบทำเลเหมาะที่ ต.ช่องแค่ จึงได้สร้างวัดขึ้น (ท่านไม่ได้เรียนวิชาจาก หลวงพ่อเดิม)
         ผิดพลาดอย่างไรขออภัยด้วย เพราะบางส่วนเอามาจากหนังสือ ชีวประวัติ ของแต่ละท่าน

1018
มันเกิดปรากฎการณ์ ที่กล้องถ่ายรูป ดิจิตอล ถ่ายรูปติด ดวงกลม ลองดู
http://www.ch7.com/website/news/scoop_7days_0803.html

1019
ตะกรุด ของท่านจะดีจริงหรือเปล่าไม่รู้ แต่อาจารย์แป๊ะ ท่านก็ดังมานานเกือบ 20 ปีแล้ว
วันไหว้ครูของท่าน ท่านจะลงไปอาบน้ำมัน ในกะทะน้ำมันเดือดๆ ให้เห็นกัน
จะเป็น เดวิท คอฟเปอร์ฟิวล์ หรือเปล่าก็ไม่รู้

1020
พระหนุ่ม ที่มีลูกศิษย์ลูกหาไม่น้อย เวลาไม่ถึง 10 ปี สร้างถาวรวัตถุไปไม่ใช่น้อย
หลวงพ่อชำนาญ วัดบางกุฎีทอง
http://www.luangporchamnan.com/

1022
ขอร่วมอนุโมทนา ในการสร้างถสวรวัตถุครั้งนี้ด้วย เพราะหลวงพ่อมี วัดมารวิชัย ผมนับถือท่านมาก พอกันกับเคารพนับถือหลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ
แต่วัตถุมงคลของท่าน ผมไม่คอยได้เอาไปใช้เท่าไร
ด้วยเหตุที่ว่า ท่านได้เคยบอกไว้ว่า ใครใช้วัตถุมงของท่าน ห้ามดื่มสุรา

1023
ขอโทษ นะครับท่านผู้จัดการเวบ ที่นี่น่าจะเป็นเวบสาระ ต่อบุคคลทั่วไป ทั้งที่ เป็นสมาชิกและไม่ใช่สมาชิก ส่วนเรื่องการบันเทิง
บุคคลย่อม ย่อมหาทางบันเทิงได้ ด้วยตนเอง ชอบเพลงก็เปิด วิทยุ/ซีดี/เทป เอง ผมงงจริงๆ
(แล้วสมาชิกท่านอื่นๆ คิดอย่างไร ช่วยบอกหน่อย)

1024
แตกกรุมาได้ 2 ปีกว่าแล้วนี้ ราคาคงไม่ไปไกลเท่าไรมัง แต่เป็นของดีที่น่าเก็บไว้ใช้ เขาว่าหลวงปู่กลีบ วัดตลิ่งชัน ท่านสร้าง

http://www.soonphra.com/board/index.php?s=54448fedc27d6a9448a0e7186a0c733f&showtopic=24008
http://www.tammahakin.com/cat/OLD/OLD0000604.html
เรื่องราวการสร้าง
http://www.uamulet.com/allAmuletBoardDetail.asp?qid=3541
    
ฮือฮากรุ​ "สมเด็จวัดตลิ่งชัน" ​มวลสารวัดระฆัง​ - "หลวงปู่กลีบ"

           ​วัดตลิ่งชัน​ ​เป็น​อารามเก่า​แก่​แห่งหนึ่ง​ใน​ ​เขตตลิ่งชัน​ ​กรุงเทพฯ​ ​ซึ่ง​สันนิษฐานว่าสร้างขึ้น​ใน​สมัยกรุงศรีอยุธยาตอน
​ปลาย​ ​อายุประมาณ​ 300 ​กว่าปี​ ​ไม่​ปรากฏนาม​ผู้​สร้าง​และ​บูรณปฏิสังขรณ์​ ​เนื่อง​จาก​เป็น​วัด​ใน​ชนบทเหมือนหลายๆ​ ​วัดที่​อยู่​ใน
​ย่าน​นั้น​
           ​ยุคที่วัดตลิ่งชันเจริญรุ่งเรืองที่สุดก็คือสมัย​ " ​พระครูทิวากรคุณ​ ​หรือ​ ​หลวงปู่กลีบ​ ​พุทธรักขิ​โต" ​ดำ​รงตำ​แหน่งเจ้า
​อาวาส​ ​ท่าน​เป็น​พระ​เกจิอาจารย์ที่มาก​ด้วย​เมตตา​ ​และ​มีวิชาคาถาอาคมเข้มขลัง​ ​วัตถุมงคลของท่านหลายรุ่นปัจจุบัน​ได้​รับ​ความ
​นิยม​จาก​นักสะสม
           ​อย่างเหรียญรุ่นแรก​ ​สร้างเมื่อปี​ 2479 ​พุทธคุณดีมีประสบการณ์มาก​ ​เคยมี​เด็กที่ห้อยเหรียญรุ่นนี้ตกน้ำ​แล้ว​ไม่​จม​ ​ทั้ง
​ที่ว่ายน้ำ​ไม่​เป็น​ ​เป็น​เหรียญรุ่นเดียว​และ​รุ่นสุดท้ายที่หลวงปู่กลีบสร้าง​ไว้
           ​ต่อมาก็สร้าง​เป็น​ "​แหวนมงคล​ 8" ​ประสบการณ์ดี​ใน​เรื่องแคล้วคลาดป้อง​กัน​เขี้ยวงา​และ​เป็น​ที่​ต้อง​การของนักสะสม
​พระ​เครื่องอย่างมากก็คือ​ ​พระกริ่งหนองแส​ ​สร้าง​ด้วย​เนื้อทองผสมตามตำ​ราของวัดสุทัศน์​ ​ปัจจุบันมีค่านิยมหลายหมื่นบาท
           ​หลวงปู่กลีบ​ได้​สือทอดวิชาอาคมเวทย์​จาก​ ​หลวงปู่รอด​ ​วัดนายโรง​ ​คลองบางกอกน้อย​ ​และ​สมเด็จพระสังฆราช​ (แพ)
​วัดสุทัศน์
           ​ท่านเก่งทางทำ​ " ​ผงอิทธิ​เจ​ " ​เคยสร้างพระพิมพ์รูปแบบพระสมเด็จ​ให้​ลูกศิษย์ลูกหาบูชา​ใน​อดีตมีการกล่าวขาน​กัน
​ว่าท่านมีวาจาสิทธิ์พูดอะ​ไรมัก​เป็น​ไปตาม​นั้น​ ​อีก​ทั้ง​อำ​นาจสมาธิ​แห่งจิตของหลวงปู่กลีบล้ำ​ลึก​ ​จะ​เสกเป่าวัตถุมงคล​ใด​ก็​เปี่ยม
​ไป​ด้วย​สิริมงคล​ ​จึง​ทำ​ให้​พระ​เครื่อง​ ​เครื่องรางของขลังของท่านมีคุณวิ​เศษ​และ​เป็น​ที่​แสวงหาของนักสะสม​อยู่​ใน​ขณะนี้
           ​หลวงปู่กลีบท่านละสงขารเมื่อวันที่​ 9 ​ม​.​ค​. 2501 ​สิริอายุ​ 82 ​ปี​ 61 ​พรรษา​ ​ครองวัดยาวนาน​ถึง​ 52 ​ปี​ ​ล่าสุด​ ​เมื่อ
​เร็วๆ​ ​นี้​ ​นักสะสม​ได้​ฮือฮา​ ​เมื่อ​ " ​พระมหาธวัช​ ​โพธิ​เสวี​" ​เจ้าอาวาสวัดตลิ่งชัน​ ​เขตตลิ่งชัน​ ​กรุงเทพมหานคร​ ​พบกรุพระสมเด็จ
​ที่บรรจุ​ไว้​ใน​โอ่งรอบอุ​โบสถ​ ​โดย​ทางวัด​ได้​ขุดพระ​เครื่องขึ้นมา​ ​โดย​ลักษณะพระ​เป็น​พระที่ถอดแบบมา​จาก​สมเด็จ​ ​วัดระฆัง
​ซึ่ง​มีผงวิ​เศษที่อดีตเจ้าอาวาสวัดตลิ่งชันทำ​ไว้​ ​คือ​ "หลวงปู่กลีบ" ​และ​มีผงสมเด็จวัดระฆังผสม​อยู่​ด้วย
           "พระมหาธวัช" ​กล่าวว่า​ "พระสมเด็จ​ส่วน​ใหญ่​ที่พบมีพิมพ์​ใหญ่​ ​พิมพ์​เกศไชโย​ ​พิมพ์ทรงเจดีย์​ ​บางองค์ปรากฏ
​คราบกรุ​เด่นชัด​ ​บางองค์ก็มีสภาพขาวสวยไร้ร่องรอยน่าสะสมยิ่ง​ ​คาดว่ามีอายุ​ความ​เก่าประมาณ​ 30 ​กว่าปี​ ​โดย​มี​ "ช่างปลั่ง"
​แห่งวัดระฆังโฆสิตาราม​ ​เป็น​ผู้​สร้างแม่พิมพ์​และ​กดพิมพ์ปั้น​ ​ช่างปลั่ง​ได้​นำ​มวลสารเก่าวัดระฆัง​ ​และ​มวลสารศักดิ์สิทธิ์ของ
​หลวงปู่กลีบมารวม​เป็น​มวลสารเอกสร้างพระสมเด็จวัดตลิ่งชันทีละองค์
           ​หลัง​จาก​พบพระสมเด็จกรุวัดตลิ่งชัน​ ​ทางวัด​ได้​ทำ​การปั๊มตรายางด้านหลังทุกองค์​ ​เพื่อ​กัน​การปลอม​ ​และ​เปิด​ให้
​ประชาชน​ทั่ว​ไปร่วมบุญบูชา​ ​เพื่อหาปัจจัยไปบูรณะถาวรวัตถุภาย​ใน​วัดที่กำ​ลังทรุดโทรมลง​ ​และ​พระสมเด็จวัดตลิ่งชันกรุ
​นี้​ ​แม้อายุการสร้าง​จะ​ไม่​นานนัก​ ​แต่​เนื้อหามวลสารค่อนข้างจัดจ้านมาก​ ​โดย​เฉพาะบางองค์มีคราบกรุดู​แล้ว​ซึ้งตะลึง​ใน​ความ
​สวยงาม​ ​ซึ่ง​แฝง​ไว้​ด้วย​ความ​เข้มขลังศักดิ์สิทธิ์​ ​ล่าสุด​ได้​มีประสบการณ์ของ​ผู้​แขวนด้านแคล้วคลาดปลอดภัย​ให้​ได้​ประจักษ์
​กัน​แล้ว​ ​ซึ่ง​มีตัวตนยืนยันชัดเจน​ ​นั่นคือ​ ​นายดิ​เรก​ ​ศรศรี​ ​อายุ​ 32 ​ปี​ ​ชาวบ้านหมู่​ 6 ​อ​.​ขุขันธ์​ ​จ​.​ศรีสะ​เกษ​ ​เกิดปาฎิหาริย์คุ้ม
​ครองถูกรถจักรยานยนต์ชนอย่างจัง​ ​แต่​ไม่​เป็น​อะ​ไร​ ​ซึ่ง​ถ้า​กำ​ลัง​จะ​มองหาพระสมเด็จขึ้นคอสักองค์​ ​ไม่​น่าพลาดพระชุดนี้​
​เพราะ​แค่มวลสารศักดิ์สิทธิ์ของวัดระฆังฯ​ ​และ​ของหลวงปู่กลีบก็​เกินคุ้มครอง​แล้ว


1025
พีธีเสกจตุคามรามเทพ มีอะไรแปลกๆ ตามลิงค์

http://www.ch7.com/website/news/scoop-7days-2105.html

[wmv=460,360]http://www.ch7.com/website/news/scoop_clip/7wan-2105.wmv[/wmv]

1026
ตะกรุดโทรสิงห์​เหนือเสือ​ใต้​ ​ของพระอาจารย์จิ​ ​วัดหนองหว้า​ ​จ​.​เพชรบุรี มีพุทธคุณแบบนี้

ตะกรุดโทนสองพลัง​ ​สิงห์​เหนือ​ ​เสือ​ใต้​ ​ของพระอาจารย์จิ​
​วัดหนองหว้า​ ​อ​.​เมือง​ ​จ​.​เพชรบุรี​(ศิษย์​เอกหลวงพ่อยิด​
​วัดหนองจอก​ )
​ฮือฮา​ใน​วงการพระ​เครื่องอีกครั้ง​ ​เมื่อเกจิอาจารย์ดังเจ้าตำ​รับตะกรุดโทนคู่ชีวิต​และ​เจ้าตำ​รับตะกรุดโทนคู่กาย​ได้​บรรจุพลังปลุกเสกตะกรุดโทนสิงห์​เหนือเสือ​ใต้​ ​ของท่านพระอาจารย์จิ​ ​สมจิตฺ​โต​
​นับ​เป็น​สุดยอดตะกรุดโทนอีกรุ่นที่​ต้อง​จารึก​ไว้​ใน​สุดยอดเครื่องรางของขลัง​
​หลวงพ่อประ​เทือง​ ​อติกฺกนฺ​โต​ (ตอนนี้มรภาพ​แล้ว)​
​วัดด่านเจริญชัย​ ​อ​.​ศรี​เทพ​
​จ​.​เพชรบูรณ์​ ​เจ้าตำ​รับตะกรุดโทนคู่ชีวิต​ ​เมตตาปลุกเสกตะกรุดโทนสิงห์​เหนือ​ ​เสือ​ใต้​ ​วันที่​ 12 ​มกราคม​ 2549 ​คณะศิษย์พระอาจารย์จิ​ถึง​วัดด่านเจริญชัย​ ​กราบนมัสการหลวงพ่อประ​เทืองบอกเจตจำ​นงตาม​ความ​ประสงค์​แล้ว​ ​หลวงพ่อประ​เทืองขอดูตะกรุดโทนคำ​แรกที่ท่านพูด​ไม่​ต้อง​ปลุกเสก​แล้ว​อาจารย์​เจ้า​เก่งจริงๆ​ ​บรรจุพลังมา​เต็มที่​เลย​ ​เก่งมาก​ ​นี่นะดีทุกทางเลยมี​ทั้ง​เมตตา​ ​แคล้วคลาดคงกระพัน​ ​มีทุกอย่างเลยเก่งจริงๆ​ ​เสร็จ​แล้ว​หลวงพ่อประ​เทืองนำ​ใส่​ฝ่ามือศิษย์พระอาจารย์จิทดลอง​โดย​นำ​มีดโต้คมกริบฟัน​ ​ตึ๊บ​ ​ตึ๊บ​ ​ตึ๊บ​ ​ตึ๊บ​ ​ไปข้างหลังสี่ครั้ง​ ​เล่นเอาตกกะ​ใจ​กัน​ไป​ทั้ง​หมดเลย​ ​มีดคมกริบ​ไม่​ระคายผิวหนังเลยครับ​ ​นี่​ไงอาจารย์​เอ็งเก่ง​อยู่​แล้ว​ ​เอาละ​ไหนๆ​ ​มา​แล้ว​หลวงพ่อ​จะ​ช่วย​เสริม​เป็น​สองพลัง​ให้​เป็น​สุดยอดตะกรุดโทนเลย​ ​ใครมี​ไว้​แคล้วคลาดปลอดภัย​ ​หลวงพ่อประ​เทืองท่านบอก​ด้วย​ความ​มั่นใจ​
​พระอาจารย์จิ​ ​สมจิตฺ​โต​ ​เจ้าตำ​รับตะกรุดโทนคู่กายแห่งวัดหนองหว้า​ ​อ​.​เมือง​ ​จ​.​เพชรบุรี​ ​ท่านปลุกเสกตะกรุดโทนสิงห์​เหนือเสือ​ใต้​ทุกคืนอย่างขมักเขม้นตะกรุดโทนทุกรุ่นของท่านออกมา​ไม่​เคยมี​เหลือ​ไม่​พอ​กับ​ความ​ต้อง​การของศิษยานุศิษย์ทุกรุ่นออกมามีประสบการณ์มากมาย​ ​สุดยอดด้านเมตตา​แคล้วคลาดคงกระพันชาตรี​ ​และ​ความ​เป็น​มาของตะกรุดโทน​ “​สิงห์​เหนือ​ ​เสือ​ใต้​”
​ก็หมาย​ความ​ว่าหลวงพ่อประ​เทือง​ ​ท่าน​อยู่​ภาคเหนือ​ ​สุดยอดของท่านคือตะกรุดโทนคู่ชีวิตท่านเปรียบเสมือนพญาสิงหราชที่มีอำ​นาจศักดิ์สิทธิ์​ส่วน​ท่านพระอาจารย์จิท่าน​อยู่​ภาค​ใต้​ ​สุดยอดของท่านคือตะกรุดโทนคู่กาย​ ​ท่านเปรียบเสมือนพญา​เสือโคร่งที่มีพลังอำ​นาจศักดิ์สิทธิ์​จึง​นำ​พระยันต์ของท่าน​ทั้ง​สองมาลงหน้าหลัง​ใน​แผ่นตะกรุดเดียว​กัน​จารมือ​โดย​พระอาจารย์จิทุกดอก​ ​รวมพลังปลุกเสก​เป็น​ตะกรุดโทนสองพลัง​ “​รุ่นสิงห์​เหนือเสือ​ใต้​”
(ตอกโค้ดเสือ​กับ​สิงห์ข้างละตัว)




[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1027
แบบนี้ ครับ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1028
วัดศาลาแดง ริมคลองทวีวัฒนา ใช่ไหมครับ ท่านปลัด

1029
อาจารย์จิ วัดหนองหว้า เพชรบุรี ท่านเป็นศิยษ์เอก และเป็นศิษย์คนเดียว ของ หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก กุยบุรี ประจวบคีรีขันต์ ถ่ายทอดวิชาให้หมด
เคยมีคนถามหลวงพ่อยิด วัดหนองจอก ว่า ท่านมีศิยษ์สือทอดวิชากี่คน หลวงพ่อยิด ตอบว่า มีคนเดียว คือ ท่านจิ ฉันได้มอบวิชาให้เขาหมดแล้ว
สิ่งใดที่ฉันทำได้ ท่านจิก็ทำได้หมดเหมื่อนฉัน
ขอฟันธง อาจารย์จิ ท่านเก่ง ปลัดขิกตามอาจารย์ ลองมาเป็น ตะกรุด  ตะกรุดของอาจารย์จิ
จะบอกแน่ชัดไปเลยว่า เป็นตะกรุดอะไร ตะกรุดแคล้วคลาด คงกระพัน ตะกรุดเมตตาค้าขาย ส่วนของผมมี ตะกรุดตะกั่ว 3 นิ้ว แคล้วคลาด คงกระพัน


1030
กุฎีหลวงพี่สมชาย มี ราคา 300 บาท ขึ้นไปถึงหลักพัน


1031
ตะกรุดหนังเสือ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1032
"รอดปาฏิหารย์ ตะกรุดอาจารย์อ๊อดสุดขลัง"


เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 14 พ.ค. ที่วัดสายไหม ก.ม.6 ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี นางน้อย นิลวงศ์ อายุ 52 ปี น.ส.ณัฐมล นิลวงศ์ อายุ 16 ปี สองป้าหลาน

แคดดี้สนามกอล์ฟธูปะเตมีย์ เดินทางมากราบ

พระใบฎีกาอิทธิพล ปธานิโก หรืออาจารย์อ๊อด หลังจากเมื่อช่วงเวลา 05.30 น. วันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมา ถูกคนร้ายสองคนใช้อาวุธปืนจี้ขมับเหนี่ยวไกปืนยิง 3 นัดซ้อนเพื่อชิงทรัพย์สินเงินสด โทรศัพท์ และสร้อยคอห้อยตะกรุดปลอกกระสุนของอาจารย์อ๊อด แต่ปรากฏว่าปืนยิงไม่ออก ก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตะครุบตัวสองคนร้ายไว้ได้

น.ส.ณัฐมลกล่าวว่า หลังจากรอดชีวิตมาได้

แต่ระหว่างเกิดเหตุตะกรุดหายไป วันนี้ตนกับป้าตั้งใจจะมาขอตะกรุดจากพระอาจารย์อ๊อดเพื่อเก็บไว้คุ้มครองภัย เพราะเชื่อว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาเป็นเพราะความขลังของตะกรุด แต่ในวันนี้อาจารย์อ๊อดไม่แจก ตนจะเดินทางมารับแจกอีกครั้งในวันเสาร์นี้

ด้านอาจารย์อ๊อดกล่าวว่า

วันนี้ยังคงมีญาติโยมลูกศิษย์เดินทางมาขอรับแจกตะกรุด แต่ไม่ได้แจกให้เพราะได้กำหนดวันเวลาการแจกไว้แล้ว รวมทั้งตะกรุดที่แจกไปแล้วเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาร่วมกว่า 10,000 ดอก คืนนี้ตนจะทำพิธีปลุกเสกเพื่อเตรียมไว้แจกในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ต่อไป

เวลา 19.30 น.วันเดียวกัน ส.ต.อ.ประหยัด นาสุริวงศ์ อายุ 38 ปี

ผบ.หมู่กก.ตชด.32 แม่จัน ค่ายพระยางำเมือง จ.เชียงราย พร้อมกับเพื่อนตำรวจตชด.จำนวน 6 นาย ซึ่งเคยไปปฏิบัติหน้าที่ราชการอยู่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยปฏิบัติหน้าที่อยู่ จ.ยะลา เข้านมัสการอาจารย์อ๊อด 

ส.ต.อ.ประหยัด เล่าเหตุการณ์ว่าตนพร้อมกับเพื่อนตำรวจ

ตชด.32 แม่จัน ค่ายพระยางำเมือง จ.เชียงราย รวม 15 นาย ถูกส่งไปปฏิบัติหน้าที่ จ.ยะลา โดยเมื่อวันที่ 5 พ.ค.ที่ผ่านมา ตนพร้อมกับเพื่อนตำรวจตชด.จำนวน 6 คน ปฏิบัติหน้าที่เป็นสายตรวจลาดตระเวน

รถจักรยานยนต์ปฏิบัติหน้าที่อยู่ ต.สะเต็ง อ.เมือง จ.ยะลา

ตนขับรถนำเป็นคันแรก ส่วนเพื่อนอีกสองคันขับตามหลัง ขณะขับรถมาถึงช่วงประตูระบายน้ำแก่งซีเมนต์กลางถนนมีคนร้ายกดรีโมตระเบิด ทำให้จ.ส.ต.ทวีชัย วงค์วิชัย และส.ต.อ.สมศักดิ์ ต๊ะวิโร

ซึ่งตามหลังมาถูกระเบิดจนเสียชีวิต

ส่วนตนถูกสะเก็ดระเบิดกระเด็นมาถูกผิวหนังแต่ไม่ระคายผิวหนังแต่อย่างใด มีแต่อาการเจ็บหน้าอกเนื่องจากถูกแรงอัด ซึ่งที่มาในวันนี้ก็เพราะอยากจะมาให้อาจารย์อ๊อดลดน้ำมนต์ให้

เพราะตนเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของตะกรุด

โดยตะกรุดที่คล้องคออยู่นั้น พ่อตนเป็นคนมารับและส่งมาให้ตนก่อนที่จะลงไปปฏิบัติหน้าที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งตนนำขึ้นคล้องคอไว้ตลอด เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจในการปฏิบัติหน้าที่ โดยตนกับพวกจะลงไปปฏิบัติหน้าที่ จ.ยะลา อีกในวันที่ 26 มิ.ย.นี้

หลังจากนั้นอาจารย์อ๊อดได้มอบตะกรุด

พร้อมกับอำนวยอวยชัยให้ตำรวจตชด.ทั้ง 6 นายแคล้วคลาดปลอดภัยในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติก่อนทั้งหมดจะเดินทางกลับไป 

ต่อมาเวลา 19.50 น. นางมณฑา ทับมณี อายุ 29 ปี

อยู่บ้านเลขที่ 504/360 หมู่ 3 ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี เข้านมัสการอาจารย์อ๊อดพร้อมกับเล่าว่า ตนเป็นกระเป๋ารถเมล์สาย 179 วิ่งระหว่างถนนพระราม 9-พระราม 7 เมื่อเวลา 04.30 น. วันที่ 12 พ.ค.ที่ผ่านมา
ขณะขับรถจักรยานยนต์ออกจากบ้าน
เพื่อไปทำงานที่อู่รถเมล์ บนถนนลำลูกกามีวัยรุ่นสองคนขับรถฮอนด้า เวฟ 100 สีดำ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ขับรถชนท้ายตนจึงจอดเจรจาแต่ถูกวัยรุ่นทั้งสองนั่งคร่อมรถอยู่กระชากสร้อยคอสแตนเลสมีตะกรุดของอาจารย์อ๊อด 1 ดอกหลบหนีไป

และที่มาวันนี้เพื่อจะมาขอตะกรุด

แต่อาจารย์ไม่ได้แจกแล้ว แต่จะแจกให้เฉพาะทหาร ตำรวจ ที่จะไปปฏิบัติหน้าที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้นเป็นกรณีพิเศษ ส่วนทหารตำรวจและประชาชนที่อยู่ในกทม.และต่างจังหวัดขอให้มารับวันเสาร์และอาทิตย์เท่านั้น หากมาวันธรรมดาก็จะไม่มีการแจก

วันเดียวกัน นายสิทธิพงษ์ เรือนพิมพ์ อายุ 25 ปี

อยู่บ้านเลขที่ 77/21 หมู่ 3 ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี กล่าวว่า กรณีเจ้าหน้าที่วัดสายไหมควบคุมตัวนางสมบุญ เรือนพิมพ์ อายุ 53 ปี มารดาของตน กล่าวหาขายบัตรคิวแก่ผู้มารอรับแจกตะกรุดจากพระอาจารย์อ๊อด

ในราคา 100 บาทนั้น เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง

บ้านตนอยู่ใกล้วัดและศรัทธาในพระอาจารย์อ๊อด จึงมาช่วยแจกบัตรคิว แต่ปรากฏว่ามารดาตนที่ทำหน้าที่แจกบัตรคิว มีบัตรเหลือ 2 ใบจึงนำไปมอบให้ผู้มารอรับ แต่ปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่เข้าควบคุมตัว แต่ภายหลังปล่อยตัวไป

เนื่องจากสอบสวนแล้วไม่มีความผิด

เป็นเพียงความเข้าใจผิดเท่านั้น อย่างไรก็ดีได้มีการตีพิมพ์เป็นข่าวเผยแพร่ออกไปแล้ว ครอบครัวของตนพอมีฐานะ ไม่ได้ลำบากยากจน การนำบัตรคิวไปขาย 200 บาทไม่ได้ก่อให้เกิดผลประโยชน์แก่ครอบครัว แต่กลับสร้างความเสื่อมเสียชื่อเสียงแก่มารดาตน จึงขอเรียนว่าเรื่องทั้งหมดไม่เป็นความจริง เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น
 
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

1033
รายนี้เหนียว
http://tnews.teenee.com/etc/11363.html

1034
คิดจะบูชา เบี้ยแก้ หลวงปู่เจือ โปรดระวังด้วย
เหตุผลตามนี้ http://www.bp-th.org/webboard/index.php/topic,1074.0.html

1035
คลิป พิธีไหว้ครู ของ ครูเอื้อ

http://www.thairealtv.com/video/week/07mar22/player.php?vid=1&wid=40307

1036
มาชมการลงทอง ที่วัดห้วยยอด? จังหวัดตรัง แล้วขอความคิดเห็นหน่อย

http://www.ch7.com/website/news/scoop-7days-1105.html

[wmv=285,287]http://www.ch7.com/website/news/scoop_clip/7wan-1105.wmv[/wmv]


1037
เคยได้ข่าวแต่ หลวงพ่อประโยนช์ วัดนางลับแล จังหวัดอุตรดิษย์

ท่านเก่งหลายด้าน โดยเฉพาะ มีดหมอเหล็กน้ำพี้ ตะกรุดก็ดี พระเครื่องก็เยอะ

1038
รุ่นอิทธิมงคลเสาร์ ๕ ล็อคเกตหินโบราณ มีพิมพ์หน้าตรง และพิมพ์หันข้าง หลังหุ้มแผ่นยัต์เสาร์ ๕
    1.แผ่นยันต์เสาร์ ๕ ทองคำ สร้างเท่าจำนวนสั่งจอง
    2.แผ่นยันต์เสาร์ ๕ เงิน สร้าง 1,000 องค์
    3.แผ่นยันต์เสาร์ ๕ ทองแดง สร้าง 5,000 องค์
 รายได้สมทบทุนสร้างโรงพยาบาลหลวงพ่อเปิ่น 
อธิฐานจิตภาวนาปลุกเสกเดี่ยว "วันเสาร์ ๕" วันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๓๖

พระสร้างจำนวนมาก หลายอย่างหลายชนิด ลำพัง หลวงพี่ญา ไม่สามารถจารด้วยเครื่องรูปเดี่ยวไม่ไหว
ส่วนของผมมี ล็อคเกต รุ่นนี้ ไม่ทราบใครจาร และมีตะกรุดโทน เสาร์ ๕ หลวงพี่ติ่งจาร หลวงพ่อเปิ่นเสก

1039
ยันต์มหาอุด




ยันต์กันภัย



ยันต์เจ็ดยอด



ยันต์หนุมาน








1040
สงสัย วิธีนี้จะดึงให้สมาชิก ตอบปั่นกระทู้กันแหลก (จะตั้ง หรือ ตอบ กระทู้แบบไร้สาระ กันมากแค่ไหนไม่รู้)

1041
ยันต์หอมเชียง เป็นยันต์สำเร็จรูป ไม่มีคาถาปลุกหนุน นอกจากอาจารย์ที่สร้างขึ้นจะเสกกำกับอีกที
ส่วนตัวคาถา ที่ว่ามา เป็น คาถามงกุฎพระเจ้า ที่หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง ได้ถวายสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ราชการที่ 5
 ในการเสด็จไปประเทศฝรั่งเศษ และพระองค์ได้ทรงใช้คาถานี้ เสกหญ้าให้ม้ากิน ปราบม้าพยศ จนเชื่อง

1042
มีผู้เคยกล่าวไว้ เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้วในนิตยสารพระเครื่อง พุทโธ ว่า พลังจิตตานุภาพ ของหลวงปู่ทิม
วัดละหารไร่ ที่ประจุลงใน พระเครื่อง หรือ วัตถุมงคล ของท่าน มีพลังจิตเทียบเท่า หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า เคยปลุกเสก




[img=http://img265.imageshack.us/img265/3188/14hd6.jpg]

1043
รูปท่าน

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1044
บางคนอาจจะไม่รู้จักท่าน
[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1045
บางท่านอาจจะยังไม่เคยเห็นรูปท่าน

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1046
รุ่นห้าเสาร์ เนื้อแกร่งแบบปูนขาว ขอบพิมพ์พระใหญ่ไป หน้าไม่เหมื่อน

เก้ ครับ

1047
ขอเชิญ เข้าไปชมที่ http://www.watkositaram.com/index.php?option=com_content&task=section&id=4&Itemid=42

มีครบทุกเรื่อง ลายสักก็มี


1048
รุ่นนี้ เรียกรุ่น ซุ้มประตูเนื้อผงเก่า พระ เณร วัดบางพระ ช่วยกันตำผงมวลสาร
และ ผสมผงเก่า ห้าเสาร์  หลวงพ่อเปิ่น เป็นประธานกดพิมพ์พระองค์แรก มีแบบ ฝั่งตะกรุดทองคำ / ฝั่งพลอย/ โรยผงตะไบ
/แบบธรรมดา  เนื้อหาของพระ มวลสารการผสม ไม่ใช่มืออาชีพอย่างโรงงานทำ ทำให้พระเนื้อ กรอบ และ แตกลาน เป็นส่วน
ใหญ่  ยิ่งผ่านมา 10 กว่าปี เนื้อแห้งและกรอบ เสียหายได้ง่าย

1049
มาแล้วคลิป ตะกรุดหนังเปื่อย เอาเลือดด้วย

http://www.thairealtv.com/video/week/07apr12/player.php?vid=3&wid=20407

[wmv=250,250]http://www.thairealtv.com/video/week/07apr12/vdo1283.wmv[/wmv]

1051
ลองดูซิว่าใช่หรือเปล่า

http://www.uamulet.com/articleAmuletBoardDetail.asp?qid=356

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1052
ขอเชิญ ร่วมทำบุญ จตุคามรามเทพ เนื้อแร่เหล็กไหลตามรายละเอียดนี้

http://www.watthamfad.com/WEB_THAI/Vat_TU_MongKol/jATUKRAM.htm


1053
พระเครื่อง รุ่นเก่า ของหลวงปู่เกิด เขาเรียก ปิดตาแร่บางเดื่อ แต่พอนานเข้าชื่อวัดเปลี่ยนเป็น วัดมะเดื่อ

ส่วน จตุคามรามเทพ วัดสามง่าม รุ่น รวยแน่นแร่บางไผ่
http://www.ruaynae.com/luangpoh.html

1054
ขอบคุณครับ

1055
ประทานโทษ คนรุ่นใหม่ไม่ทันครับ

1056
ขอเพิ่มอีกนิด ดูตามลิงค์นี้

http://www.konrakmeed.com/webboard/upload/index.php?showtopic=1121

1057
หลวงปู่รอด วัดสันติกาวาส ท่านเป็นลูกศิษย์ของ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ เทพเจ้าแห่งเมืองสี่แคว ปัจจุบันท่านยังมีชีวิตอยู่
หลายท่านอาจจะยังไม่รู้จักท่าน ผมเลยเอาลิงค์ ที่เกี่ยวของมาให้ชมกัน

http://www.uamulet.com/articleAmuletBoardDetail.asp?qid=1122

1058
หลวงพ่อเดิม​ ​กับ​ ​ตา​แป๊ะ​ไล่ห่าน

ข้อมูล​จาก​ ​กระดานสนทนาธรรม​ ​เวปพระรัตนตรัย​ ​กระทู้ที่​ 00414 ​โดย​ ​คุณ​ : ​คนรู้น้อย​ 16-05-2003

http://www.praruttanatri.com/webboard/show.php?Category=other&No=414

​สวัสดีครับ​ ​ท่านที่​เคารพ​ ​วันนี้ขอนำ​เรื่องของหลวงพ่อเดิม​ ​วัดหนองโพ​ ​จังหวัดนครสวรรค์​ ​มา​เรียนเสนอ​ ​(​เป็น​ข้อเขียนของคุณ​ ​สุรเวทย์​ ​เสนภูษา​ ​จาก​คำ​บอกเล่าของ​ ​คุณประดิษฐ์​ ​ลิ้มประยูร) ​หลวงพ่อเดิมนี่​ ​ท่านมีอภินิหารมาก​ ​จนชาวบ้านขนานนามท่านว่า​ "​เทพเจ้า​ ​แห่งลุ่มน้ำ​สี่​แคว" ​เรื่องของท่านที่น่าสนใจมีมากมาย​ ​ถ้า​มี​โอกาส​จะ​นำ​เรื่องของท่าน​ ​มา​เรียนเสนออีกหลายๆ​ ​ตอนครับ​ ​และ​แถมท้าย​ด้วย​เรื่อง​เล็กๆ​น้อยๆ​ ​พอ​เป็น​อุทาหรณ์​ ​ใน​ทางธรรม​ .... ​เพื่อ​ไม่​ให้​เสียเวลา​ ​เรียนเชิญติดตาม​ได้​ ​ดังต่อไปนี้ครับ​....


"​เรื่องนี้​ ​ข้าพเจ้า​ได้​ยินมา​จาก​นายเฟื้อ​ ​คนบ้านเก้า​เลี้ยว​ ​เรื่องมี​อยู่​ว่า​ ​อา​แป๊ะ​ไล่ห่าน​ ​แก​จะ​ชื่อจริงอะ​ไรก็​ไม่​ทราบ​ได้​ ​แต่ชาวบ้านเรียกแกว่าอย่าง​นั้น​จนติดปาก​ ​อา​แป๊ะ​ไล่ห่าน​เป็น​เถ้า​แก่รับซื้อข้าว​จาก​ชาวนา​ใน​สมัยโน้น​

​ปี​ ​พ​.​ศ​. ๒๔๘๔ ​ราคาข้าวเกวียนละ​ถึง​ ๓๐ ​บาท​ ​เพราะ​เป็น​ระยะสงคราม​ ​ข้าวยากหมากแพง​ ​ตา​แป๊ะ​ไล่ห่านแก​จึง​หากำ​ไร​จาก​การซื้อข้าว​จาก​ชาวนา​ใน​ราคาถูก​ ​แล้ว​เอามาขายส่งโรงสี​ใน​ราคา​แพง​ ​ลำ​พังซื้อถูกกดราคาก็พอทำ​เนา​อยู่​ ​แต่อา​แป๊ะ​ไล่ห่าน​ ​แกเล่นโกงตาชั่ง​เข้า​ไป​ด้วย​ ​ชาวนาสมัยก่อน​ไม่​ใช่​ชาวนาสมัยนี้​ ​เรื่อง​จะ​รู้​เท่า​ทันเล่ห์​เหลี่ยมของอา​แป๊ะ​ไม่​ต้อง​หวัง​ ​ตา​แป๊ะ​ไล่ห่านก็​โกงตาชั่งชาวนา​ ​ได้​กำ​ไรทบ​ซ้ำ​เข้า​ไป​ ​แถมเวลาตวงหากชาวนา​เผลอก็​จะ​ถูกโกง​เข้า​ไปอีก​ ​เพราะ​ตวงเกินแต่​ไม่​ได้​นับ​

​แกประพฤติตนเช่นนี้จนมีฐานะดีขึ้นทันตา​เห็น​ ​ความ​ลับ​ไม่​มี​ใน​โลก​ ​ลูกจ้างที่​แกจ้างไปแบกข้าว​ ​ขนข้าว​กับ​แก​นั้น​เกิดขัดใจ​กับ​แกขึ้นมา​ ​ด้วย​เรื่อง​ส่วน​แบ่งที่​ไม่​ค่อย​จะ​เป็น​ธรรม​ ​จึง​ลาออก​และ​เที่ยว​ได้​ไปโพนทะนา​กับ​ชาวบ้าน​ให้​รู้​ทั่ว​กัน​ ​ว่าตา​แป๊ะ​ไล่ห่านโกง​ ​แต่ก็นั่นแหละ​เสียงนกเสียงกา​จะ​มีคนฟังบ้างก็​เป็น​ส่วน​น้อย​ ​เพราะ​ชาวนา​ส่วน​ใหญ่​เชื่อว่าตา​แป๊ะ​แก​ไม่​โกง​ ​นายสน​เป็น​ชาวนาที่รวม​อยู่​ใน​พวกที่​เชื่อว่าตา​แป๊ะ​โกงตาชั่ง​ ​จึง​ได้​แอบตวงข้าวของตน​แล้ว​จดนับเอา​ไว้​อย่างละ​เอียด​ ​เพื่อตรวจสอบ​กับ​ของตา​แป๊ะ​ไล่ห่าน​

​ครั้นเมื่อตา​แป๊ะมารับซื้อข้าวก็ตวงมา​ ​และ​คิดเงิน​ให้​ ​ปรากฏว่าน้อยกว่าจำ​นวนที่นายสนแกสำ​รวจเอา​ไว้​ ​นายสน​จึง​โวยวายขึ้น​ ​และ​ขอสอบตาชั่ง​ ​แต่มี​หรือ​ที่ตา​แป๊ะ​ไล่ห่านแก​จะ​ยอมจำ​นน​ ​แกแสยะยิ้ม​แล้ว​เอามือกดหัวตาชั่งของแกมาข้างหน้า​ (ตาชั่ง​เป็น​แบบคาน​ ​ใช้​ลูกน้ำ​หนักถ่วง) ​เจ้าตุ้มถ่วงน้ำ​หนักที่​แกเตรียมโกงเอา​ไว้​ก็​เลื่อนออก​จาก​ที่​ ​ตาชั่งก็ตรงดังเดิม​ ​นายสนทดสอบก็​เท่า​กับ​น้ำ​หนักจริง​ ​จึง​จำ​ใจขายข้าว​ให้​ไป​เพราะ​หมดปัญญา​เถียง​ ​ด้วย​ว่าที่นายสน​ได้​รับฟังมา​นั้น​ ​ลูกจ้าง​เถ้า​แก่​ไล่ห่าน​ไม่​ได้​ล่วงรู้​ถึง​สายสนกล​ใน​ ​ใน​การโกงตาชั่งของตา​แป๊ะอย่างละ​เอียด​

​และ​แล้ว​ใน​ที่สุด​ ​ตา​แป๊ะ​ไล่ห่านก็​เจอดี​เข้า​จน​ได้​ ​โดย​กำ​นันปลิว​ได้​รับทราบพฤติกรรมของตา​แป๊ะ​ไล่ห่าน​ใน​การโกงตาชั่ง​ ​เมื่อตา​แป๊ะ​ไปซื้อข้าวที่บ้านของญาติ​ ​กำ​นันก็​ไปคุมดู​โดย​ตรวจสอบจำ​นวน​ไว้​ ​เช่นเดียว​กับ​นายสน​ ​ครั้นขอชั่งทดสอบ​ ​ตา​แป๊ะ​ไล่ห่านก็​ใช้​วิธี​เดิม​ใน​การโกง​ ​กำ​นันปลิวหมดปัญญา​จึง​ลากมือตา​แป๊ะ​ไล่ห่าน​ ​ไป​ยัง​วัดที่​อยู่​ใกล้ๆ​ ​นั้น​ ​เพราะ​ได้​ข่าวว่าหลวงพ่อเดิมท่าน​ได้​รับนิมนต์มานั่งอุปัชฌาย์อุปสมบทนาคหมู่​

​ตา​แป๊ะ​ไล่ห่านมากราบหลวงพ่อเดิมพร้อม​กับ​กำ​นันปลิว​ ​กำ​นันปลิวเล่า​เรื่อง​ให้​หลวงพ่อฟัง​ ​พร้อม​ทั้ง​เสริมท้ายว่า​ ​อ้าย​ผู้​ร้ายปากแข็ง​ ​โกงหาตัวจับยาก​ ​หลวงพ่อท่านก็​ไม่​ว่าอะ​ไร​ ​ท่านถามตา​แป๊ะ​ไล่ห่านว่า​

​"​เถ้า​แก่​โกงตาชั่ง​เขา​จริงๆ​ ​หรือ​เปล่า​"

​ตา​แป๊ะ​ไล่ห่านยิ้มเห็นฟันเหลืองตอบว่า​ "อาหลงพ่อ​ ​อั๊วบอริสุก​ ​ค้าขายกงไปกงมา​ ​ตาชั่งอีก็ทดสอบลู​แล้ว​ ​ไม่​ได้​ผิดน้ำ​หนัก​ ​แล้ว​จามาหาว่าอั๊วโกงล่ายอย่างไล​ ​อาหลงพ่อลองคิดดูซิครับ"

​หลวงพ่อนั่งนิ่งคล้าย​ใช้​ความ​คิด​ ​และ​เอ่ยขึ้นว่า​ "​แน่นะ​ ​เถ้า​แก่​ ​ถ้า​ไม่​เป็น​ดังปากพูด​ ​มอดมวนลงกินข้าวเปลือกหมดนา​เถ้า​แก่​"

​ตา​แป๊ะ​ไล่ห่านคิด​ใน​ใจว่า​ ​ฮี่ธ่อ​ ​มอดที่​ไหน​จะ​มากินข้าวเปลือก​ ​เห็นมี​แต่มอดกินไม้กินข้าวสาร​ ​ซี้ซั้วต่า​ ​รับปากส่งเดชไปก็​แล้ว​กัน​ ​ว่า​แล้ว​ก็ตอบสวนไปว่า​ "คักหลวงพ่อ​ ​อั๊วบริสุก"

​หลวงพ่อโบกมือ​ให้​กลับออกไป​โดย​มีกำ​นันเดินนำ​หน้า​ ​ตา​แป๊ะ​ไล่ห่านเอาข้าวเปลือกที่ซื้อ​ได้​มา​เข้า​ฉาง​ ​เก็บรวมเอา​ไว้​เพื่อขาย​ให้​โรงสีอีกทอดหนึ่ง​ ​ฝันหวานว่า​ไม่​นานนี้​แล้ว​กำ​ไร​จาก​การขายข้าวเปลือก​ ​ที่​โกงหยาดเหงื่อแรงงาน​เขา​มา​ได้​คง​จะ​มากมายจนนับ​ไม่​ไหว​

​แต่​แล้ว​ตา​แป๊ะ​ไล่ห่านก็ตกใจร้อง​ ​ไอ้หยา​ ​เมื่อวันหนึ่งลูกน้องมาบอกว่า​ ​ข้าวเปลือก​ใน​ฉางที่​เก็บมี​แมลงอะ​ไรก็​ไม่​รู้ตัว​เล็กๆ​ ​ดำ​ๆ​ ​คล้าย​กับ​มอดกินข้าวสาร​ ​มารุมกินข้าวเปลือก​ใน​ฉางจนดำ​มืดไปหมด​ ​ตา​แป๊ะ​ไล่ห่านเสียวสันหลังวูบ​ ​หรือ​ว่าคำ​สาบานของตน​จะ​เป็น​จริง​

​รีบตาลีตา​เหลือกไปดูก็​แทบสิ้นสติ​ ​เพราะ​มอดลงกัดกินข้าวเปลือก​เป็น​การ​ใหญ่​ ​ขืนปล่อย​ให้​เป็น​อย่างนี้​ ​คงวอดวายหมดแน่​ ​จึง​รีบไปเอายาฆ่า​แมลงที่​ใช้​สำ​หรับทำ​ลายมอดที่มี​อยู่​ ​มา​ให้​ลูกน้องทำ​การฆ่ามอด​ ​แต่ดู​เหมือนว่า​ ​มัน​จะ​เพิ่มทวีขึ้นเรื่อยๆ​

​ข่าวเรื่องมอดลงกินข้าวเปลือกของตา​แป๊ะ​ไล่ห่านลือ​กัน​ให้​แซดไปหมด​ ​กำ​นันปลิว​ได้​ยิน​เข้า​ก็ถ่มน้ำ​ลายบอกว่า​ ​สมน้ำ​หน้า​ ​นี่​แหละ​ไปล้อเล่น​กับ​หลวงพ่อ​ ​ดี​แล้ว​ให้​มันหมดตัว​เพราะ​มันโกง​เขา​มา​

​ไม่​กี่วันตา​แป๊ะ​ไล่ห่านก็​โผล่มาที่บ้านกำ​นันปลิว​ ​ขอร้อง​ให้​พา​ไปวัดหนองโพ​ ​กำ​นันปลิวหมั่นไส้ก็หมั่นไส้​ ​สงสารก็สงสาร​ ​เพราะ​กำ​นันปลิวก็​เป็น​ส่วน​หนึ่งที่ทำ​ให้​ตา​แป๊ะ​ไล่ห่าน​ต้อง​ไปสาบาน​กับ​หลวงพ่อเดิม​ ​ก็​เลยพา​ไปหาหลวงพ่อที่วัด​ ​แต่​ไม่​พบ​จึง​ต้อง​ไปที่วัดหนองหลวง​ ​เมื่อ​เข้า​ไปกราบหลวงพ่อ​แล้ว​ ​หลวงพ่อก็พูดขึ้นว่า​

"​ไงล่ะ​ ​เอา​เข้า​แล้ว​ใช่​ไหม​ ​กรรมมัน​ให้​ผล​เร็ว​นะ​ ​อ้าวก็ว่าบริสุทธิ์​ไม่​ใช่​หรือ​เถ้า​แก่​"

​ตา​แป๊ะ​ไล่ห่านหน้าซีดนึก​ใน​ใจว่า​ ​ไอ้หยา​ยัง​ไม่​ทัน​จะ​บอก​ ​อาหลงพ่อก็ลู้​เลี้ยว​ ​ซี้​แน่คราวนี้​ ​เลยปากคอสั่นทำ​อะ​ไร​ไม่​ถูก​ ​หลวงพ่อ​จึง​ให้​ไปขอขวด​จาก​กรรมการวัด​ ​มา​ให้​ท่านบรรจุน้ำ​มนต์ปลุกเสก​ให้​เรียบร้อย​ ​แล้ว​ก็สั่งว่า​

"​เอา​ไปพรมฉาง​ให้​ทั่ว​นะ​ ​ตัวแมลงที่​เกิด​จาก​กรรมของ​เถ้า​แก่​จะ​หมดไป​ ​ข้าวที่​ได้​มา​โดย​บริสุทธิ์​จะ​คงเหลือ​อยู่​ ​ส่วน​ที่​เถ้า​แก่​โกง​เขา​มาก็​จะ​ถูกทำ​ลายไป​ ​นี่​เพราะ​กรรมของ​เถ้า​แก่​เอง​ไม่​มี​ใครทำ​ให้​"

​ตา​แป๊ะ​ไล่ห่านควักเงิน​จาก​กระ​เป๋า​ ​มามอบ​ให้​กรรมการวัดหนองหลวง​ ​เพื่อ​ช่วย​ใน​การก่อสร้างถาวรวัตถุ​ ​หลวงพ่อมอบเหรียญ​ให้​ตา​แป๊ะ​ไล่ห่านเหรียญหนึ่ง​ ​พร้อม​ทั้ง​ตะกรุดโทน​ให้​อีกดอก​ ​สั่งกำ​ชับว่าตะกรุด​ให้​ติดตัว​ไว้​ ​เพราะ​กรรมที่​เถ้า​แก่​โกงชาวบ้าน​เขา​ ​ยัง​ไม่​หมด​ ​ตะกรุด​จะ​ช่วย​ให้​หนัก​เป็น​เบา​

​ตา​แป๊ะ​ไล่ห่านกลับมาที่ฉาง​ ​เอาน้ำ​มนต์พรมไปจน​ทั่ว​ ​สองวันต่อมามอดตัวดำ​ๆ​ ​ก็อันตรธานหายไป​ ​หลัง​จาก​ทำ​ลายข้าวเปลือกไปจำ​นวนหนึ่ง​ ​เป็น​จำ​นวนที่​โกง​เขา​มานั่นเอง​ ​และ​ตา​แป๊ะ​ไล่ห่านก็​ไปถูกปล้นที่ส้มเสี้ยว​ ​ใน​ระหว่างไปซื้อข้าว​ ​พวกโจรยิง​ไม่​ออก​ ​จึง​ช่วย​กัน​ทุบตา​แป๊ะ​ไล่ห่านจนน่วม​ ​แต่​ไม่​ถึง​ตาย​ ​คนร้าย​เข้า​ใจว่าตาย​ ​ตา​แป๊ะ​ไล่ห่าน​ไม่​ตาย​ ​แต่หูตึงไปข้างหนึ่ง​เพราะ​ถูกตีทัดดอกไม้อย่างหนัก​ ​ตั้งแต่​นั้น​มา​เถ้า​แก่​ไล่ห่านก็หัน​เข้า​หา​ความ​สุจริต​ ​รับซื้อข้าวเปลือก​ด้วย​ความ​ซื่อตรง​ ​จนสิ้นชีวิตไป​ ​ลูกหลานของแกก็ดำ​เนินอาชีพสืบมา​" ....

​อานิสงส์​ ​แห่งธรรมทาน​ ​ที่กระผม​ได้​นำ​มา​เรียนเสนอนี้​ ​หาก​จะ​พึงมี​ ​ขอกราบอุทิศถวายครูบาอาจารย์​ ​และ​ท่าน​ผู้​มีพระคุณ​ ​รวม​ทั้ง​คุณประดิษฐ์​ ​ลิ้มประยูร​ผู้​เล่า​เรื่อง​ ​ไม่​ว่า​จะ​อยู่​ ​ณ​ ​ภพ​ ​ณ​ ​ภูมิ​ไหน​ ​โปรดอนุ​โมทนา​ด้วย​... ​เทอญ​

http://dharma-gateway.com/monk/monk-main-page.htm

1059
หลวงพ่อสะอาด วัดเขาแก้ว ศิษย์หลวงพ่อกัน สายหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ยังมีชิวิตอยู่นะครับ

1060
วันที่ 17 เมษายน 2550 ที่วัดบางพระ สรงน้ำพระ เวลาเท่าไรครับ

1061
บทความ บทกวี / วันสงกรานต์ พ.ศ.๒๕๕๐
« เมื่อ: 12 เม.ย. 2550, 10:54:22 »
                                                                 ประกาศ สงกรานต์ ปี พ.ศ.๒๕๕๐

ปีกุน มนุษย์ผู้หญิง ธาตุน้ำ นพศก จุลศักราช ๑๓๖๙
ทางจันทรคติ เป็นอธิกมาส ปกติวาร


ทางสุริยคติ เป็นปกติสุรทิน


วันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๕๐ เป็น วันมหาสงกรานต์
ตรงกับวันเสาร์ แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๕
เวลา ๑๒ นาฬิกา ๓๖ นาที ๓๗ วินาที



นางสงกรานต์ ทรงนามว่า มโหธรเทวี ทรงพาหุรัด
ทัดดอกสามหาว (ผักตบ) อาภรณ์แก้วนิลรัตน์
ภักษาหารเนื้อทราย พระหัตถ์ขวาทรงจักร
พระหัตถ์ซ้ายทรงตรีศูรย์ เสด็จนั่งมาเหนือหลังนกยูง เป็นพาหนะ



วันที่ ๑๖ เมษายน เวลา ๑๖ นาฬิกา ๔๐ นาที ๔๘ วินาที
เปลี่ยนจุลศักราช เป็น ๑๓๖๙ ปีนี้วันอาทิตย์เป็นธงชัย วันจันทร์เป็นอธิบดี
วันเสาร์เป็นอุบาทว์ วันพุธเป็นโลกาวินาศ



ปีนี้ วันเสาร์เป็นอธิบดีฝน บันดาลให้ฝนตก ๔๐๐ ห่า
ตกในโลก ๔๐ ห่า ตกในมหาสมุทร ๘๐ ห่า ตกในป่าหิมพานต์ ๑๒๐ ห่า
ตกในเขาจักรวาล ๑๖๐ ห่า นาคให้น้ำ ๖ ตัว



เกณฑ์ธัญญาหาร ได้เศษ ๗ ชื่อปาปะ ข้าวกล้าในภูมินา
จะได้ผล ๑ ส่วน เสีย ๙ ส่วน



เกณฑ์ธาราธิคุณ ตกราศีปัถวี (ดิน) น้ำงามพอดี

1062
ขอรายละเอียดรุ่นนี้หน่อยครับ  อาจารย์ท่านใหนสร้าง ราคา

ภาพของ WEERAPONG น่าจะเป็นรุ่นผ้าป่า ที่หลวงพี่ญา ร่วมกับหลายท่าน ได้จัดสร้าง แล้วนำเข้าพิธีวัดนก ภาษีเจริญ กทม.

1063
มีเรื่องเล่าว่า มีงานพิธีพุทธาภิเษกครั้งหนึ่ง ที่วัดพิกุลทอง (หลวงพ่อแพ) ครั้งนั้น ได้มีการเตรียมงานไว้เรียบร้อยแล้ว
และ ก็ได้เริ่มพิธีแล้ว ไปบางส่วน
หลวงพ่อแพ ได้กล่าว ถามลูกศิษย์ว่า งานเรียบร้อยดีไหม เกจิอาจารย์
ที่นิมนต์มามาครบกันแล้วหรือยัง
และหลวงพ่อโต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี มาหรือยัง ถ้ามาและก็จะเบาใจ
เพราะว่า หลวงพ่อโต๊ะ องค์เดียวมาปลุกเสก ก็เท่ากับเกจิองค์อื่นมาปลุกเสก 20 องค์

ผิดพลาดอันใดขออภัยด้วย








1064
เหรียญหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง รุ่นเก่าแพงมาก หันมาใช้เหรียญหลวงปู่เอี่ยม
วัดโคนอน ปี 2514 ดีกว่า เป็นวัดเดิม ที่หลวงปู่เอี่ยม จำพรรษา ก่อนย้ายไปวัดหนัง หลวงปู่โต๊ะ เป็นประธานพิธีพุทธาพิเษก

มีเกจิรุ่นเก่าๆ มาปลุกเสกมากมาย เช่น หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม นครปฐม  หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง สิงห์บุรี เป็นต้น


1065
วัดมารวิชัย

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1066
:026:ล.พ.มี วัดมารวิชัย หนึ่งในอาจารย์ ของหลวงพี่อภิญญา

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1068
​ยัง​มี​เทพองค์หนึ่งชื่อ​ “​ท้าวกบิลพรหม​” ​ได้​ยินกิตติศัพท์ทางสติปัญญาอันยอดเยี่ยมของเด็กน้อย​ ​จึง​คิดทดลองภูมิปัญญา​โดย​การเอาชีวิต​เป็น​
เดิมพัน​จึง​ถามปัญหา​ 3 ​ข้อ​ ​ถ้า​กุมารน้อยแก้ปัญหา​ทั้ง​ 3 ​ข้อ​ได้​ ​กบิลพรหม​จะ​ตัดศีรษะของตนบูชา​ ​ถ้า​ธรรมบาลแก้​ไม่​ได้​ ​ก็​จะ​ต้อง​เสียหัวเพื่อ
ยอมรับ​ความ​พ่ายแพ้​ ​ปัญหา​นั้น​มีว่า


1. ​ตอน​เช้า​ราศีคน​อยู่​แห่ง​ใด
2. ​ตอนเที่ยงราศีของคน​อยู่​แห่ง​ใด
3. ​ตอนค่ำ​ราศีของคน​อยู่​แห่ง​ใด


เมื่อ​ได้​ฟังปัญหา​แล้ว​ ​ธรรมบาล​ไม่​อาจทราบคำ​ตอบ​ใน​ทันที​ได้​ ​จึง​ผลัดวันตอบปัญหา​ไปอีก​ 7 ​วัน​ ​ครั้นเวลาล่วง​จาก​นั้น​ไป​ 6 ​วัน​ ​ธรรมบาลกุมาร
ก็​ยัง​คิดหาคำ​ตอบปัญหา​นั้น​ไม่​ได้​ ​จึง​หลบออก​จาก​ปราสาทหนี​เข้า​ป่า​ ​และ​ไปนอนพักเอา​แรง​ใต้​ต้นตาล​ ​ขณะ​นั้น​บนต้นตาลมีนกอินทรีคู่หนึ่ง
อาศัย​อยู่​ ​นางนกถามสามีว่า​ “​พรุ่งนี้​เรา​จะ​ไปหาอาหารที่​ไหน​” ​นกสามีก็ตอบว่า​ “​พรุ่งนี้​เรา​ไม่​ต้อง​บินไป​ไกล​ ​เพราะ​จะ​ได้​กินเนื้อธรรมบาลกุมาร​ ​
ซึ่ง​จะ​ถูกท้าวกบิลพรหมตัดหัว​ ​เนื่อง​จาก​แก้ปัญหา​ไม่​ได้​” ​นางนกถามว่า​ “​ปัญหา​นั้น​ว่าอย่างไร​” ​นกสามีตอบว่า​ ​ปัญหามี​อยู่​ 3 ​ข้อ​ ​และ​หมาย​ถึง​


ข้อหนึ่ง ตอน​เช้า​ราศีของมนุษย์​อยู่​ที่หน้า​ ​คน​จึง​ต้อง​ล้างหน้าทุกๆ​ ​เช้า​
ข้อสอง​ ตอนเที่ยงราศีคน​อยู่​ที่อก​ ​มนุษย์​จึง​ต้อง​เอา​เครื่องหอมประพรมที่อก
ข้อสาม ตอนค่ำ​ราศีคน​อยู่​ที่​เท้า​ ​มนุษย์​จึง​ต้อง​ล้างเท้าก่อน​เข้า​นอน


ธรรมบาลกุมาร​ ​ได้​ยินการไขปัญหาของนกอินทรี​ ​และ​จำ​จนขึ้นใจ​ ​ทั้ง​นี้​เพราะ​ธรรมบาลรู้ภาษานก​ ​จึง​กลับสู่ปราสาทอัน​เป็น​ที่​อยู่​แห่งตน​ ​รุ่งขึ้น​

เป็น​วันครบกำ​หนดแก้ปัญหา​ ​ท้าวกบิลพรหมมาฟังคำ​ตอบ​ ​ธรรมบาลกุมารกล่าวแก้ปัญหาตามที่นกอินทรีคุย​กัน​ทุกประการ​ ​ท้าวกบิลพรหม​จึง​

เรียก​ ธิดา​ทั้ง​ 7 ​ของตนอัน​เป็น​บริจาริกาคือหญิงรับ​ใช้​ของพระอินทร์มาพร้อม​กัน​ ​แล้ว​บอกว่าตน​จะ​ตัดเศียรบูชาธรรมบาลกุมาร​ ​แต่​ถ้า​เอาศีรษะ

พ่อวาง​ไว้​บนแผ่นดินก็​จะ​ลุกไหม้​ไป​ทั้ง​โลก​ ​ถ้า​จะ​โยนขึ้นไปบนอากาศ​ ​อากาศ​จะ​แห้งแล้งฟ้าฝน​จะ​หายไปสิ้น​ ​ถ้า​ทิ้งลงไป​ใน​มหาสมุทร​ ​น้ำ​ใน​

มหาสมุทร​จะ​แห้งแล้งไปเช่น​กัน​ ​จึง​สั่ง​ให้​ นาง​ทั้ง​ 7 ​คน​ ​เอาพานมารองรับศีรษะ​ ​แล้ว​จึง​ตัดศรีษะส่ง​ให้​นางทุงษธิดาคนโต​ ​นางทุงษ​จึง​เอาพานรับ

เศียรบิดา​ไว้​แล้ว​แห่ประทักษิณรอบ​เขา​พระสุ​เมรุ​ 60 ​นาที​ ​แล้ว​อัญเชิญไป​ไว้​ใน​มณฑปถ้ำ​คันธุรลี​ ​เขา​ไกรลาส​ ​บูชา​ด้วย​เครื่องทิพย์​ ​พระ​

เวสสุกรรมก็​เนรมิตโรงประดับ​ด้วย​แก้ว​ 7 ​ประการ​ ​ชื่อภควดี​ ​ให้​เป็น​ที่ประชุมเทวดา​ ​เทวดา​ทั้ง​ปวงก็​เอา​เถาฉมูนวดลงมาล้าง​ใน​สระอโนดาต​ 7 ​ครั้ง​

​แล้ว​ก็​แจก​กัน​เสวยทุกๆ​ ​องค์​ ​ครั้นครบ​ 365 ​วัน​ ​โลกสมมุติว่า​เป็น​หนึ่งปี​เป็น​สงกรานต์​ ธิดา​ 7 ​องค์​ ของเท้ากบิลพรหมก็ผลัดเวร​กัน​มา​เชิญพระ​

เศียรของพระบิดาออกแห่ประทักษิณรอบ​เขา​พระสุ​เมรุทุกปี​ ​แล้ว​จึง​กลับไปเทวโลก
​เรียกนางเทพธิดาที่ทำหน้าที่นี้ว่า​ ​นางสงกรานต์





                                     นางสงกรานต์
          เป็นธิดาของท้าวกบิลพรหม หรือท้าวมหาสงกรานต์ และเป็นนางฟ้าอยู่บนสรวงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช (สวรรค์ชั้นที่ ๑ ในทั้งหมด ๖ ชั้น)
ซึ่งมีหน้าที่ในการรับศีรษะของท้าวกบิลพรหมแห่รอบเขาพระสุเมรุในแต่ละรอบปี หรือในวันสงกรานต์นั้นเอง โดยมีเกณฑ์กำหนดที่ว่าวัน
สงกรานต์ คือวันที่ ๑๓ เมษายน ตรงกับวันใดก็ให้นางสงกรานต์ประจำวันนั้นเป็นผู้แห่ นางสงกรานต์มีทั้งหมด ๗ องค์ ได้แก่

1. นางสงกรานต์ทุงษเทวี
ทุงษเทวีเป็นนางสงกรานต์ประจำวันอาทิตย์ ทัดดอกทับทิม มีปัทมราค (แก้วทับทิม) เป็นเครื่องประดับ ภักษาหาร คือ อุทุมพร (มะเดื่อ) อาวุธ
คู่กาย พระหัตถ์ ขวาถือจักร พระหัตถ์ซ้ายถือสังข์ เสด็จไสยาสน์เหนือปฤษฎางค์ครุฑ

2. นางสงกรานต์โคราดเทวี
โคราดเทวีเป็นนางสงกรานต์ประจำวันจันทร์ ทัดดอกปีป มีมุกดาหาร (ไข่มุก) เป็นเครื่องประดับภักษาหาร คือ เตละ (น้ำมัน) อาวุธคู่กาย พระ
หัตถ์ขวาถือพระขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายถือไม้เท้า เสด็จประทับเหนือพยัคฆ์ (เสือ)

3. นางสงกรานต์รากษสเทวี
รากษสเทวีเป็นนางสงกรานต์ประจำวันอังคาร ทัดดอกบัวหลวง มีโมรา (หิน) เป็นเครื่องประดับ ภักษาหาร คือ โลหิต (เลือด) อาวุธคู่กาย พระ
หัตถ์ขวาถือตรีศูล พระหัตถ์ซ้ายถือธนู เสด็จประทับเหนือวราหะ (หมู)

4. นางสงกรานต์มัณฑาเทวี
มัณฑาเทวีเป็นนางสงกรานต์ประจำวันพุธ ทัดดอกจำปา มีไพฑูรย์ (พลอยสีเหลืองแกมเขียว) เป็นเครื่องประดับ ภักษาหาร คือ นมและเนย
อาวุธคู่กาย พระหัตถ์ ขวาถือเหล็กแหลม พระหัตถ์ซ้ายถือไม้เท้า เสด็จไสยาสน์เหนือปฤษฎางค์คัสพะ (ลา)

5. นางสงกรานต์กิริณีเทวี
กิริณีเทวีเป็นนางสงกรานต์ประจำวันพฤหัสบดี ทัดดอกมณฑา (ยี่หุบ) มีมรกตเป็นเครื่องประดับ ภักษาหาร คือ ถั่วและงา อาวุธคู่กาย พระหัตถ์
ขวาถือพระขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายถือปืน เสด็จไสยาสน์เหนือปฏษฎางค์ชสาร (ช้าง)

6. นางสงกรานต์กิมิทาเทวี
กิมิทาเทวีเป็นนางสงกรานต์ประจำวันศุกร์ ทัดดอกจงกลนี มีบุษราคัมเป็นเครื่องประดับ ภักษาหาร คือ กล้วยและน้ำ อาวุธคู่กาย พระหัตถ์ขวา
ถือพระขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายถือพิณ เสด็จประทับยืนเหนือมหิงสา (ควาย)

7. นางสงกรานต์มโหทรเทวี
มโหทรเทวีเป็นนางสงกรานต์ประจำวันเสาร์ ทัดดอกสามหาว (ผักตบชวา) มีนิลรัตน์เป็นเครื่องประดับ ภักษาหาร คือ เนื้อทราย อาวุธคู่กาย พระ
หัตถ์ขวาถือจักร พระหัตถ์ซ้ายถือตรีศูล เสด็จประทับเหนือมยุราปักษา (นกยูง)




1069


                      ประ​เพณีสงกรานต์

[ถือ​เป็น​วันขึ้นปี​ใหม่​ของไทย​ ​ซึ่ง​ยึดถือปฏิบัติสืบ​เนื่อง​กัน​มา​แต่​โบราณ​ ​และ​เป็น​วัฒนธรรมประจำ​ชาติที่งดงามฝังลึก​อยู่​ใน​ชีวิตของคนคำ​ว่า​ ?​
สงกรานต์​? ​มา​จาก​ภาษาสันสฤต​ ​แปลว่า​ ​ผ่าน​หรือ​เคลื่อนย้าย​ ​หมาย​ถึง​ ​การเคลื่อนไทยมาช้านาน
การย้ายของพระอาทิตย์​เข้า​ไปจักรราศี​ใด​ราศีหนึ่ง​ ​จะ​เป็น​ราศี​ใด​ก็​ได้​ ​แต่​ความ​หมายที่คนไทย​ทั่ว​ไป​ใช้​ ​หมายเฉพาะวัน​และ​เวลาที่พระอาทิตย์​
เคลื่อน​เข้า​สู่ราศี​เมษ​ใน​เดือนเมษายน​เท่า​นั้น/color]


                     ​ตำ​นานเกี่ยว​กับ​กำ​เนิดวันสงกรานต์
กล่าว​ไว้​ว่า​ ​ก่อนพุทธกาลมี​เศรษฐีครอบครัวหนึ่ง​ ​อายุ​เลยวัยกลางคนก็​ยัง​ไร้ทายาทสืบสกุล​ ​ซึ่ง​ทำ​ให้​ท่านเศรษฐีทุกข์​ใจ​เป็น​อันมาก​ ​ข้างรั้วบ้าน
เศรษฐีมีครอบครัวหนึ่ง​ ​หัวหน้าครอบครัว​เป็น​นักเลงสุรา​ ​ถ้า​วันไหนร่ำ​สุราสุดขีด​ ​ก็​จะ​พูดเสียงดังแสดงวาจา​เยาะ​เย้ยเศรษฐีสบประมาท​ใน​ความ​
มีทรัพย์มาก​ แต่​ไร้ทายาทสืบสมบัติ​เสมอ​ ​วันหนึ่งเศรษฐี​จึง​ถามว่ามี​ความ​ขุ่นเคืองอะ​ไร​จึง​แสดงอาการเยาะ​เย้ย​และ​สบประมาท​ ​เฒ่านักดื่ม​จึง​
ตอบ​ ​ถึง​ท่านมั่งมีสมบัติมากก็จริง​ ​แต่​เป็น​คนมีบาปกรรมท่าน​จึง​ไม่​มีบุตร​ ​ตายไป​แล้ว​สมบัติก็ตก​เป็น​ของ​ผู้​อื่น​หมด​ ​สู้​เรา​ไม่​ได้​ถึง​แม้​จะ​ยากจน
แต่ก็มีบุตรคอยดู​แลรักษายามเจ็บไข้​ ​และ​รักษาทรัพย์สมบัติ​เมื่อเราสิ้นใจ



นับแต่​นั้น​มา​ ​เศรษฐียิ่งมี​ความ​เสียใจ​ ​จึง​พยายามไปบวงสรวงพระอาทิตย์​และ​พระจันทร์​ ​เพียรพยายามตั้งจิตอธิษฐานขอบุตร​ ​ทำ​เช่นนี้​เป็น​เวลา
ติดต่อ​กัน​ถึง​สามปี​ ​ก็​ไม่​ได้​บุตรดังที่ตนปรารถนาจนวันหนึ่ง​เป็น​วันนักขัตฤกษ์สงกรานต์​ ​ท่านเศรษฐีก็พาข้าทาสบริวารของตนมาที่​โคนต้นไทร​
ใหญ่​ต้นหนึ่ง​ ​ที่​อยู่​บนฝั่งแม่น้ำ​ที่อาศัยของนก​ทั้ง​หลาย​ ​ท่านเศรษฐี​ให้​บริวารล้างข้าวสาร​ด้วย​น้ำ​สะอาด​ถึง​ 7 ​ครั้ง​ ​แล้ว​จึง​หุงข้าวสาร​นั้น​ ​เมื่อสุก​
แล้ว​ยกขึ้นบูชาพระ​ไทร​ ​เทพเหล่า​นั้น​เกิด​ความ​สงสาร​ ​จึง​ขึ้นไปเฝ้าพระอินทร์​ ​ทูลขอบุตรแก่​เศรษฐี​ ​พระอินทร์​จึง​บัญชา​ให้​เทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ​
?​ธรรมบาล​? ​ลงมา​เกิด​ใน​ครรภ์ของภรรยา​เศรษฐี​ ​เมื่อครบกำ​หนดภรรยา​เศรษฐีก็คลอดบุตร​เป็น​ชาย​ ​เศรษฐี​จึง​ตั้งชื่อว่า​ ​ธรรมบาลกุมาร​ ​เพื่อ
ตอบสนองพระคุณเทพเทวา​ ​เศรษฐี​จึง​สร้างปราสาทสูง​ 7 ​ชั้น​ ​ถวายเทพต้นไทร
​เมื่อธรรมบาลกุมารเจริญวัยขึ้น​ ​เป็น​เด็กที่มีปัญญา​เฉียบแหลม​ ​รอบรู้​ ​และ​วัยเพียง​ 7 ​ขวบก็​เรียนจบไตรเพท




1070
ในวันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๕ เวลา ๑๐.๕๕ น. ณ โรงพยาบาลศิริราช หลวงพ่อได้ละสังขารด้วยอายุ ๗๙ ปี ๕๔ พรรษา ยังความอาลัย เศร้าโศก เสียใจแก่ปุถุชนจิต แต่ได้แสดงให้เห็นถึงมรณัสสติแก่ศิษยานุศิษย์ คุณงามความดีที่ท่านได้กระทำไว้ในพระพุทธศาสนามากมาย จะเป็นตำนานแห่งแผ่นดินไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม เป็นเครื่องเตือนสติให้พุทธศาสนิกชนได้รู้จักและปฏิบัติสืบสานกันต่อไป.


1071
รุ่นไหว้ครู ขยายให้ดูกัน

ด้านหน้า



ด้านหลัง




1072
รูปที่ พ่อหัวหอม โพส ไม่ใช่ครับ รุ่นนี้เป็นรุ่นที่หลวงพี่ญาสร้าง ไม่แน่นใจว่าเรียกว่ารุ่นผ้าป่า หรือเปล่า
เข้าพิธีปลุกเสก ที่วัดนก ภาษีเจริญ ครับ

1073
เรียน สมาชิกทุกท่านทราบ วันเสาร์ที่ 7 เมษายน 2550 นี้ เหมาะกับการสักมาก เพราะตรงกับวันเสาร์ห้า ตามโบราณจารน์ได้กล่าวไว้
คือ ถ้าวันเสาร์ปีใด ตรงกับวันเสาร์ห้า วันนั้น เหมาะที่จะทำการทำพิธีปลุกเสกเลขยันต์ หรือ วัตถุมงคล ต่างๆ สิ่งใดที่ได้รับการปลุกเสกในวันนี้ จะขลังยิ่งกว่า
วันธรรมดา และถ้าจะทำการถอนอาคมก็ไม่สามารถถอนออกได้
       และปีนี้ตรงกับ วันเสาร์ที่ 7 เมษายน 2550
แรม 5 ค่ำ เดือน 5
  สมาชิกท่านใด คิดว่าจะสัก ก็ขอเชิญมาสักวันนี้ ท่านว่าแรงนัก

1074
น่าจะเป็น งบน้ำอ้อย พระสายสุพรรณบุรี มีหลายสำนัก

1075
นะหน้าพระ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1077
​หลวงพ่อไสว​ ​จอมขมังเวทย์​แห่งคลองจินดา​ ​การลงนะ​ ​หน้าทองมหัศจรรย์ของหลวงพ่อไสว​ ​กรรมวิธีของท่านเริ่ม​จาก​ให้​ผู้​มี​ความ​ประสงค์​จะ​ลงนะ

หน้าทอง​ ​จุดธุปเทียนบูชาพระรัตนตรัย​เป็น​อันดับแรก​ ​เสร็จ​แล้ว​จึง​นอนหงายหน้าขึ้นตรงที่หลวงพ่อนั่ง​อยู่​ ​หลวงพ่อ​จะ​ถามชื่อ​ ​นามสกุล​ ​แล้ว​ก็​จะ​

สอน​ให้​ทำ​ใน​สิ่งดีๆ​ๆ​ ​แล้ว​ให้​ตั้งใจภาวนา​ไว้​ใน​ใจว่า​ ​พุทธะ​ ​ระตะนัง​ ​ธรรมะ​ ​ระตะนัง​ ​สังฆะระตะนัง​ ​แล้ว​ตั้ง​ความ​ปรารถนา​ไว้​ใน​ใจ​  ​ลูกศิษย์ที่​เคยลง

นะหน้าทอง​จาก​ท่านคงจำ​ได้​ดี








ปลัด





รูปอัดกระจก


1078




สมัยท่านมีชีวิต​อยู่​ใน​แต่ละวัน​จะ​มี​ผู้​คนที่​เลื่อมใสศรัทธา​จาก​ทั่ว​สารทิศ​ทั้ง​ใกล้​และ​ไกล​เดินทางมา​ยัง​วัดปรีดาราม​กัน​อย่างมากมาย​ ​ผู้​เขียน​ ​เองเคย

เดินทางไปหาท่านเหมือน​กัน​ ​ท่าน​ให้​การต้อนรับ​เป็น​อย่างดี​ไม่​มีการเลือกชั้นวรรณะ​ ​พูดคุย​เป็น​กัน​เอง​  ​หลวงพ่อไสว​ใน​ยุค​นั้น​ใครมี​เรื่องเดือดร้อน​

​หรือ​ต้อง​การ​ให้​ท่านเมตตาขจัดปัดเป่าทุกข์​ ​ท่านก็​จะ​ช่วย​เหลือ​ให้​ด้วย​ความ​เต็มใจ​

 ​มี​เรื่องเล่าขานอีกเรื่องหนึ่งที่​เกี่ยว​กับ​การปลุกเสกปลัดขิกจนกระ​โดดเคลื่อนไหว​ ​ใน​งานปลุกเสกพระ​เครื่องวัดแห่งหนึ่ง​ใน​จังหวัดนครปฐมนี่​เอง​ ​ซึ่ง​

ใน​งานนี้​ได้​มีการนิมนต์พระ​เกจิอาจารย์ดังๆ​ ​มาหลายรูป​ด้วย​กัน​  ​มีพระ​เกจิอาจารย์รูปหนึ่งท่านเชี่ยวชาญ​และ​เก่งกล้า​โด่งดังมากทางด้านปลัดขิกมา

ร่วม​ใน​พิธีนี้​ด้วย​ ​และ​เคยทดสอบวิชา​กับ​พระ​เกจิอาจารย์รูปนี้​ ​ท่าน​สามารถ​ปลุกเสกทำ​ให้​ย่ามพระรูปหนึ่งลอย​ได้​ ​รวม​ทั้ง​ของหลวงพ่อไสวก็ถูกทำ​

ให้​ลอยขึ้น​ได้​เหมือน​กัน​  ​ครั้นพอมา​ถึง​งานนี้​  ​หลวงพ่อไสวท่านก็​ได้​มาพบ​กับ​พระ​เกจิอาจารย์รูปนี้​  ​หลวงพ่อไสวเลยบอกว่าอย่า​แกล้ง​กัน​อีกนะ​ ​

พอเสร็จปลุกเสกมีการปะพรมน้ำ​มนต์​ ​บังเอิญน้ำ​มนต์มาถูกปลัดขิกของหลวงพ่อไสว​ ​พลันก็กระ​โดดขึ้นสูง​เป็น​เมตร​ ​พร้อม​กับ​มีควันสีขาวพวยพุ่ง

ขึ้นมา​ด้วย

ใน​ด้านวัตถุมงคลของท่าน​นั้น​ก็​เป็น​ที่กล่าวขาน​และ​เสาะ​แสวงหา​กัน​มาก​ ​เหรียญรูปเหมือนของท่านโด่งดัง​และ​มีประสบการณ์มากก็​เห็น​จะ​เป็น​รุ่นที่​

ใช้​ยันต์ธงไขว้​  ​ซึ่ง​ยันต์ธงไขว้นี้ดังมาก​เป็น​ของหลวงพ่อวงษ์​ ​วัดทุ่งผักกูด​  ​ใน​อดีต​นั้น​หลวงพ่อวงษ์ท่านโด่งดังมากทางด้าน​อยู่​ยงคงกระพันชาตรี​  ​

ใครก็ตามที​ถ้า​มีของดีของท่านติดตัว​จะ​สามารถ​คุ้มครองคน​อื่นๆ​ ​ได้​ถึง​ 7 ​คน​ ​แม้​แต่​ไม่​มีพระ​เครื่อง​ ​หรือ​เครื่องรางของขลังก็​ยัง​ใช้​คาถาธงไขว้นี้​

เสกฝุ่น​ ​ถ้า​เสกฝุ่นก็​จะ​ใช้​ฝุ่นดินเสก​แล้ว​เอามา​โรยที่กลางศีรษะ​เพียง​เท่า​นี้ก็นับว่าวิ​เศษ​และ​ขลังยิ่งนัก

วัตถุมงคลที่​เป็น​เหรียญ​หรือ​พระ​เครื่องของท่านที่​เป็น​ยันต์ธงไขว้​จะ​โด่งดัง​และ​มีประสบการณ์มากที่สุด​ ​รองลงมาก็​จะ​เป็น​ยันต์หน้าองค์พระ​ใน​อดีต

ที่ผ่านมาพระองค์​ใด​ก็ตาม​ ​ถ้า​ใช้​ยันต์หน้าองค์พระนี้​จะ​ดังมาก​ ​เท่า​ที่ทราบ​และ​โด่งดังมีประสบการณ์สูงมากก็​เห็น​จะ​มีหลวงพ่อเจริญ​ ​วัดตาลาน​ใต้​ ​

ท่านดังมากขนาดมรณภาพ​แล้ว​สรีระท่านแห้งสนิท​และ​เบามาก​  ​หลวงพ่อไสว​ ​วัดปรีดาราม​ ​ก็​เป็น​พระ​เกจิอาจารย์อีกรูปหนึ่งที่​ใช้​ยันต์หน้าองค์พระ​ ​

หรือ​องค์พระนี้​เหมือน​กัน​ซึ่ง​ล้วนมีประสบการณ์สูง​ ​จะ​เป็น​พระ​หรือ​เหรียญก็ตามที​ถ้า​ใช้​ยันต์นี้บรรจุ​ไว้​ก็​จะ​บังเกิดผลทางด้านเมตตามหานิยม​ ​แคล้ว

คลาด​ ​อยู่​ยงคงกระพัน​

หลวงพ่อไสวท่านเชี่ยวชาญ​และ​เก่งกล้าหลายอย่าง​ ​ไม่​ว่า​จะ​เป็น​การ​ ​รักษาคนที่ถูกคุณไสย​ ​ท่านก็ทำ​การรักษา​ให้​จนอาการดีขึ้น​ ​คนไหนประสบ

อุบัติ​เหตุ​แขนขาหัก​หรือ​เป็น​โรค​อื่นๆ​ ​ท่านก็​จะ​ใช้​น้ำ​มันมนต์​ใน​กระทะที่กำ​ลังเคี่ยวเดือดๆ​ ​นำ​ขึ้นมาอม​ไว้​ ​แล้ว​ท่านทำ​การรักษา​ให้​ ​หรือ​บางครั้ง​ใช้​

มือผ่า​ไม้รวกก็​ยัง​ได้​ ​วิชานี้ทราบมาภายหลังว่าท่าน​ได้​รับการขอร้อง​จาก​ทางราชการ​ ​และ​บรรดาพระอาจารย์ของท่าน​

วิชาตกวิญญาณ​ ​หรือ​การเรียกวิญญาณของคนที่ตกน้ำ​ตายนั่นเอง​ ​พูดง่ายๆ​ ​ก็คือ​ ​เหมือน​กับ​เราตกปลานั่นแหละ​ ​มีของเครื่องเซ่นสังเวยหลายอย่าง​

​ประกอบ​ด้วย​คันเบ็ด​ ​หม้อดิน​ ​และ​ผ้ายันต์ที่​เตรียม​ไว้​ปิดฝา​ ​เวลาวิญญาณที่ถูกเรียกมาติด​นั้น​ก็​เหมือน​กับ​ปลาติดเบ็ด​ ​หลวงพ่อไสวท่านก็​เคย​ใช้​

วิชานี้​ช่วย​เรียกวิญญาณที่จม​อยู่​ใน​น้ำ​ให้​ขึ้นไปผุดไปเกิดมามากมายหลายราย​  ​ปัจจุบันนี้​ไม่​ค่อย​ได้​พบเห็น​กัน​บ่อยนัก​ ​จะ​มี​เพียงบางวัด​เท่า​นั้น​ที่​ยัง​

คง​ใช้​วิชานี้

เมื่อปลายปีที่ผ่านมาทางวัดปรีดาราม​ได้​จัด​ให้​มีงานทอดกฐินประจำ​ปีขึ้น​ ​และ​มีมหรสพสมโภช​ให้​ชาวบ้านชม​ด้วย​ ​ใน​วัน​นั้น​ฝน​ได้​เกิดตั้งเค้าดำ​ทะมึน​

​มีทีท่าว่า​จะ​ตกแน่นอน​  ​ทางคณะกรรมการวัด​และ​ชาวบ้านละ​แวก​นั้น​ต่างก็วิตก​กัน​อย่างมาก​ ​จึง​ได้​เข้า​ไปปรึกษา​กับ​หลวงพ่อไสว​ ​ท่านก็นั่งนิ่งเงียบ

เฉยเหมือน​ไม่​มีอะ​ไรเกิดขึ้น​ ​และ​ชั่วครู่ท่านก็พูดออกมาว่า​ “​ฝน​จะ​ตกก็ตก​ ​แต่​ถ้า​วันนี้ฝนตกก็​เปียก​” ​แล้ว​ก็พูดขึ้นมาดังๆ​ ​อีกว่า​ “​ฝนตกวันนี้น่าดูละ​”

พอ​ใกล้​จะ​ค่ำ​ลมพัดแรงมาก​ ​ฝนตั้งเค้ามา​ใกล้​เต็มที่​แล้ว​ ​มีชาวบ้านเห็นหลวงพ่อไสวไปยืนด้านหลังพระอุ​โบสถ​ซึ่ง​ไม่​มี​ผู้​คนพลุก​ ​พล่านนัก​ ​ท่าน

แหงนดูท้องฟ้า​แล้ว​พูดอะ​ไร​ไม่​รู้​ ​ต่อ​จาก​นั้น​ท่านก็​เดินวนเวียนไปมา​ใน​ลานวัดสักครู่ก็ขึ้นไปบนกุฏิ​  ​ต่อ​จาก​นั้น​อีกพักเดียวเมฆฝนที่ดำ​ทะมึนทำ​ท่า​

จะ​ตกก็​เคลื่อนย้ายไปที่​อื่น​ ​ท้องฟ้าก็สว่างไสว​ไม่​มีฝนตกลงมา​ใน​บริ​เวณวัดเลย​  ​เหตุการณ์ครั้งนี้มีข่าวเลื่องลือ​กัน​ว่า​ ​หลวงพ่อไสวท่าน​สามารถ​พูด​

กับ​เทวดา​ ​และ​ขอร้อง​ให้​ช่วย​พัดพา​เอาฝนไปตกที่​อื่น​ได้​

 ใน​ชีวิตหลวงพ่อไสว​ได้​สร้างมงคลวัตถุ​ไว้​จำ​นวนมากมายหลายรุ่น​ ​วัตถุมงคลชุดแรกๆ​ ​ที่ท่านสร้างคือ​ ​ปลัดขิก​ ​ผ้ายันต์​ ​และ​พระปรอท​ ​สร้างไป

แจกไป​ ​ไม่​มีรุ่นมี​แบบแน่นอน​ ​โดย​เฉพาะปลัดขิกของท่าน​จะ​ลงอักขระ​และ​ลงสีระบายสวยงามมาก​ ​นับ​เป็น​มงคลวัตถุชุดแรกๆ​ ​ที่ท่านสร้างขึ้น​

หลวงพ่อไสวท่าน​ได้​สร้างพระอุ​โบสถหลัง​ใหม่​ขึ้นจนเสร็จสมบูรณ์​ ​ได้​มีการกำ​หนดจัดงานฝังลูกนิมิตขึ้น​ ​ใน​วันที่​ 24 ​มกราคม​ ​ถึง​วันที่​ 1 ​กุมภาพันธ์​

​พ​.​ศ​.2544 ​รวม​ 9 ​วัน​ 9 ​คืน​ ​โดย​หลวงพ่อไสว​ได้​ประชุมคณะกรรมการวัดเพื่อเตรียมงานปิดทองฝังลูกนิมิต​ไว้​เป็น​อย่างดี​ ​ท่านสั่งเสียศิษย์​ใกล้​ชิด​

และ​กรรมการวัดเหมือนรู้ตัวล่วงหน้าว่า​จะ​ละสังขาร​ถึง​กาลมรณภาพดังกล่าว​  ​ครั้น​ถึง​วันที่​ 11 ​พฤศจิกายน​ ​เวลา​ 15.58 ​นาฬิกา​ ​หลวงพ่อไสว​ ​ฐิต

วณฺ​โณ​ (พระครูสถิตโชติคุณ) ​อายุ​ 79 ​ปี​ ​พรรษา​ 59 ​พระ​เกจิอาจารย์ชื่อดังของจังหวัดนครปฐมก็​ได้​ถึง​แก่มรณภาพอย่างสงบ​ด้วย​โรคชรา​ ​ณ​ ​โรง

พยาบาลพญา​ไท​ ​กรุงเทพฯ

ส่วน​ใน​เรื่องราวอภินิหารของท่านสมัยมีชีวิต​นั้น​มีมากมาย​ ​จน​ไม่​อาจ​จะ​นำ​มา​เขียน​ให้​อ่าน​ได้​หมด​ ​เนื่อง​จาก​บางเรื่องเหมือนโกหก​ ​และ​เป็น​การที่​ไม่​

เหมาะสม​ด้วย​บารมีของท่านที่​เคยสะสม​และ​ช่วย​เหลือ​ผู้​คนที่​เดือดร้อน​ ​โดย​ไม่​หวังสิ่งตอบแทนอะ​ไรเลย​ ​แม้​แต่ปัจจัยที่คนนำ​มาถวายท่านก็​เอา​

ไปสร้างโบสถ์​ ​สร้างโรงเรียน​ ​สร้างเสนาสนะต่างๆ​ ​จนหมดสิ้น​ ​หลวงพ่อท่าน​ไม่​สะสมสิ่งของมีค่า​ใดๆ​ ​เลย​ ​ท่าน​อยู่​อย่างเรียบง่าย​ ​สมถะ​ ​ปัจจุบันนี้​

แม้ท่าน​จะ​ละสังขารไป​แล้ว​ ​แต่สรีระของท่านก็​ยัง​อยู่​ใน​โลงแก้ว​ใน​สภาพที่​ไม่​เน่า​เปื่อย

ฉะ​นั้น​ ​ใครที่อ่านเรื่องราวของท่าน​แล้ว​อยาก​จะ​ไปกราบไหว้สรีระของท่านก็​สามารถ​เดินทางไป​ได้​ตลอดเวลา​ ​เพราะ​ปัจจุบันการคมนาคมสะดวก

สบายมากมีถนนหนทาง​เข้า​ถึง​วัด​ ​โดย​จะ​เริ่ม​จาก​กรุงเทพฯก็​ได้​ ​หรือ​ตัวเมืองนครปฐม​ ​ราชบุรี​ ​สมุทรสาคร​ ​บ้านแพ้ว​ ​ถ้า​ไป​ไม่​ถูกสอบถามชาวบ้านดู

ก็​ได้​ ​เพราะ​ส่วน​ใหญ่​จะ​รู้จักวัดปรีดาราม​เป็น​อย่างดี​

(ย่อ​จาก​ ​ลานโพธิ์​ 962-963 ​เดือนพฤศจิกายน​ 2549 ​โดย​... ​โพธิญาณ)
http://www.lanpomagazine.com/b/index.php?option=com_content&task=view&id=916&Itemid=84


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1079
                                            หลวงพ่อไสว​ ​ฐิตวณฺ​โณ​ (พระครูสถิตโชติคุณ) ​วัดปรีดาราม​ ​นครปฐม


หลวงพ่อไสว​ ​ฐิตวณฺ​โณ​ ​หรือ​ ​ท่านพระครูสถิตโชติคุณ​ ​ท่านเกิดเมื่อวันที่​ 18 ​มกราคม​ ​พ​.​ศ​.2464 ​มีนามเดิมว่า​ ​ไสว​ ​พุทธสร​ ​โยมบิดาชื่อ​ ​

นายเสือ​ ​อดีต​เป็น​ผู้​ใหญ่​บ้าน​ ​โยมมารดาชื่อ​ ​อิ่ม​ ​เป็น​บุตรคนที่​ 3 ​ใน​จำ​นวนร่วมบิดา​-​มารดา​เดียว​กัน​ ​เกิด​ ​ณ​ ​บ้านตำ​บลราชคาม​ ​อำ​เภอบางไทร​ ​

จังหวัดพระนครศรีอยุธยา​ 
       
           หลัง​จาก​ที่​โยมบิดาของท่าน​ได้​เสียชีวิตลงไป​แล้ว​ ​ท่านก็​ได้​เร่ร่อนพเนจรไปตามสถานที่ต่างๆ​ ​หลายแห่ง​ด้วย​กัน​ ​จนกระทั่งต่อมา​ได้​มา​เป็น​

เด็กวัดปรีดาราม​ ​หรือ​วัดยายส้ม​ ​และ​ได้​ศึกษา​เล่า​เรียนหนังสือจนสำ​เร็จชั้นประถมศึกษา​ ​ณ​ ​โรงเรียนวัดปรีดารามแห่งนี้​  ​ครั้นต่อมา​เมื่อมีอายุ​ได้​ 16

​ปี​ ​พ​.​ศ​.2481) ​จึง​บรรพชา​เป็น​สามเณรตาม​ความ​ตั้งใจ​ ​ณ​ ​อุ​โบสถวัดปรีดาราม​ ​หรือ​วัดยายส้ม​ ​โดย​มีหลวงปู่​ใจ​ ​วัดเชิงเลน​ ​เป็น​พระอุปัชฌาย์​ ​เมื่อบวช​

​เป็น​สามเณร​แล้ว​ ​ท่านก็ตั้งใจศึกษา​เล่า​เรียน​ ​ปฏิบัติธรรม​ ​สวดมนต์​ไหว้พระ​เป็น​ประจำ​  ​นอก​จาก​นั้น​ท่าน​ยัง​สนใจด้านวิปัสสนาธุระ​และ​ด้านคันถธุระ​

​โดย​เฉพาะด้านคันถธุระ​ได้​ศึกษาพระปริยัติธรรม​ ​จน​สามารถ​สอบ​ได้​นักธรรมชั้นตรี​ ​โท​ ​ตามลำ​ดับ​ ​ทั้ง​ยัง​ได้​เป็น​ครูสอนพระปริยัติธรรมอีก​ด้วย
       
เท่า​ที่​ได้​สอบถามข้อมูล​จาก​บรรดาชาวบ้าน​ใน​ละ​แวก​นั้น​ ​และ​บรรดาศิษย์นุศิษย์ที่​เคารพนับถือ​ใน​ตัวท่านก็บอก​กัน​ว่า​ ​หลวงพ่อ​ ​ไสวท่าน​ได้​

ศึกษา​เล่า​เรียนวิชาต่างๆ​ ​หลายองค์​ด้วย​กัน​ ​เท่า​ที่พอ​จะ​สืบทราบ​ได้​ ​มีดังนี้​


1.​หลวงพ่อเงิน​ ​วัดดอนยายหอม​ ​สอนวิปัสสนากรรมฐาน​ ​และ​วิชามหาอุด​

2.​หลวงพ่อเจิม​ ​วิสุทฺธิญา​โณ​ ​อดีตเจ้าอาวาสวัดปรีดาราม​ ​ซึ่ง​ใน​พรรษา​แรกๆ​ ​นั้น​ ​พอท่านมี​เวลาว่างก็​จะ​ไปขอเรียนวิชาคาถาอาคม​ 

 ​เลขยันต์มนต์ต่างๆ​

3.​หลวงพ่อพูน​ ​เกสโร​ ​วัด​ใหม่​ปีนเกลียว​ ​จังหวัดนครปฐม​ ​ซึ่ง​เป็น​พระ​เกจิอาจารย์ยุคเดียว​กับ​หลวงพ่อแช่ม​ ​วัดตาก้อง​ ​หลวงพ่อพูน​ ​องค์นี้​เป็น​อดีต   

เกจิอาจารย์ขมังเวทที่หนังเหนียวคงกระพันชาตรียิ่งนัก​ ​ขนาด​ใช้​ฝ่ามือผ่า​ไม้รวก​ได้​

 4.​เสือย้อย​ ​ชูรอด​ ​อาจารย์ของหลวงพ่อไสว​ ​ซึ่ง​เป็น​ฆราวาสที่ชาวบ้าน​ให้​สมญานามว่า​ “​เสือย้อยใจยักษ์​” ​เสือย้อยคนนี้​ ​เป็น​คนบ้านถนนขาด​ ​

จังหวัดนครปฐม​ ​ซึ่ง​เก่งกล้า​ ​ทางด้านเวทมนต์คาถายิ่งนัก​ ​เจ้าหน้า​ ​ที่ตำ​รวจ​ใน​สมัย​นั้น​เคยปราบปราม​และ​ต้อง​การตัว​ ​แต่ก็​ต้อง​พบ​กับ​ความ​ผิดหวัง

แทบทุกครั้งที่​เผชิญหน้า​กัน​ ​เพราะ​ไม่​สามารถ​ทำ​อะ​ไรเสือย้อย​ได้​เลย​ ​ต่อมาภายหลังเสือย้อย​ได้​กลับตัว​เป็น​คนดี​ ​เลิกอาชีพ​เป็น​เสือปล้น​โดย​เด็ด

ขาด​  ​หลวงพ่อไสวเอง​ได้​มี​โอกาส​ได้​รู้จัก​กับ​เสือย้อย​ ​และ​ขอร่ำ​เรียนวิชา​ ​ยันต์หน้านาง​ ​หรือ​ที่​เรียกว่า​ ​ยันต์หน้าคนนะหน้าพระ​ ​โดย​ได้​รับการถ่าย

ทอดวิชาตำ​รับยันต์อย่างสมบูรณ์​แบบ​ ​ท่าน​ได้​ฝึกฝนสูตรสนธิต่างๆ​ ​จนเชี่ยวชาญ​และ​แม่นยำ​ ​ตลอด​ทั้ง​การบริกรรมภาวนาปลุกเสกยันต์หน้านางจน

เกิด​ความ​เชี่ยวชาญ​และ​ขลัง​ ​จน​เป็น​ที่​เชื่อมั่น​และ​ถือ​เป็น​เอกลักษณ์ประจำ​ตัวของท่าน​ ​ซึ่ง​ถ้า​สังเกต​ให้​ดี​จะ​เห็น​ได้​ว่า​เหรียญรูปเหมือนทุกรุ่นของ

หลวงพ่อไสว​จะ​ใช้​ยันต์หน้านางประทับ​อยู่​หลังเหรียญของท่าน​ ​แสดง​ให้​เห็นว่ายันต์นี้มีอานุภาพเต็มเปี่ยมมหาศาล​ ​ใช้​ได้​ใน​ทุกๆ​ ​ด้าน

5. ​อาจารย์​ยัง​ ​บ้านท่าช่อง​ ​จังหวัดเพชรบุรี​ ​เป็น​ศิษย์ของพระครูวัด​เขา​วัง​ ​พูด​ถึง​อาจารย์​ยัง​แล้ว​ ​ท่าน​เป็น​ ​อาจารย์สักยันต์ชื่อดัง​ ​ท่านเคยศึกษา​ ​

วิชาอาคม​ ​พุทธาคม​จาก​หลวงพ่อพูน​ ​แห่งวัด​ใหม่​ปีนเกลียว​ ​จังหวัดนครปฐม​ ​นอก​จาก​นี้ท่าน​ยัง​เก่งทางคาถาอาคม​ ​มาก​ ​สามารถ​สะ​เดาะลูกกุญแจ​

หรือ​กลอนประตู​ได้​อย่างปาฏิหาริย์​และ​เหลือเชื่อ​ ​ท่านเป่า​เพี้ยงเดียวลูกกุญแจ​ ​ก็​จะ​หลุดออกมา​

6.​พระอาจารย์ตู่​ ​วัดหนองดินแดง​ ​อำ​เภอเมือง​ ​จังหวัดนครปฐม​ ​ซึ่ง​หลวงพ่อไสว​ให้​ความ​เคารพนับถือมาก​และ​ยกย่อง​ให้​เป็น​หลวงน้า​ ​พระอาจารย์

ตู่องค์นี้สอนวิชา​ ​ตกวิญญาณ​ ​ให้​กับ​หลวงพ่อไสว​ ​วิชานี้นับว่า​เป็น​เรื่องแปลก​และ​อัศจรรย์​เร้นลับ​เป็น​อย่างยิ่ง​ ​คือ​เป็น​วิชาที่​สามารถ​ช่วย​นำ​วิญญาณ

ของ​ผู้​ที่ตกน้ำ​ตายขึ้นมาพ้น​จาก​การสิงสู่​อยู่​ใน​น้ำ​ ​(​ผู้​เขียนก็​เคยเห็น​กับ​ตามา​เหมือน​กัน​แต่หลายปี​แล้ว)​ ​ใครที่​ไม่​เคยเห็น​กับ​ตาอาจ​จะ​ไม่​เชื่อ​ ​แต่​ผู้​ที่​

เคยเห็นมา​แล้ว​อย่างเช่น​ผู้​เขียนก็​ต้อง​ยอมรับว่า​เป็น​วิชาที่มี​อยู่​จริง

7.​อาจารย์​แช่ม​ ​บ้านตะ​โกสูง​ ​เป็น​อาจารย์ฆราวาสที่ถ่ายทอดวิชา​แพทย์​ไทยแผนโบราณ​ ​ซึ่ง​อาจารย์​แช่ม​ ​คนนี้​เป็น​ศิษย์สายหลวงพ่อแช่ม​ ​วัดตา

ก้อง​ ​จังหวัดนครปฐม​

8.​อาจารย์​แพ​ ​เป็น​ฆราวาส​อยู่​บ้านโป่ง​ ​จังหวัดราชบุรี​ ​ได้​ถ่ายทอด​ ​วิชาการผ่า​ไม้รวก​ด้วย​มือ​ให้​กับ​หลวงพ่อไสว​ ​ซึ่ง​วิชานี้​เป็น​วิชาที่​แสดง​ให้​เห็น​ถึง​

ความ​อยู่​ยงคงกระพันชาตรี​ 

9.​พระอาจารย์ทองสุข​ ​วัดบางช้าง​ใต้​ ​ซึ่ง​เป็น​พระ​เกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก​ ​ใน​ยุคเดียว​กัน​กับ​หลวงพ่อมี​ ​วัดทรงคนอง​ ​อำ​เภอสามพราน​ ​

จังหวัดนครปฐม​  ​พระอาจารย์ทองสุของค์นี้ท่านมี​ความ​เก่งกล้า​ ​และ​เชี่ยวชาญหลายอย่าง​ ​อาทิ​เช่น​ ​พระปิดตาอันเลื่องชื่อ​ ​หลวงพ่อไสวเอง​ได้​เดิน

ทางไปร่ำ​เรียนวิชา​กับ​ท่าน​ถึง​วัดบางช้าง​ใต้​มา​แล้ว​

10. ​หลวงพ่อวงศ์​ ​วัดทุ่งผักกูด​ ​สอนวิชาคาถาอรหันต์​ 8 ​ทิศ​ ​และ​เหรียญธงไขว้อันลือลั่น​

11. ​หลวงพ่อเงิน​ ​วัดปรีดาราม​ ​สอนวิชา​เคี่ยวน้ำ​มันต่อกระดูก​

12. ​พระอาจารย์ย่าง​ ​สมุทร​- ​ปราการ​ ​สอนวิชาพ่นน้ำ​มันเดือดขับไล่​ ​คุณไสย​

13. ​พระอาจารย์สุดใจ​ ​ชมะนันท์​ ​สอนวิชาดั้นเมฆ​และ​ดู​เหตุการณ์ล่วงหน้า​

14. ​พระอาจารย์ขาว​ ​วัดสวนส้ม​ ​คลองบางยาง​ ​จังหวัดสมุทรสาคร​ ​สอบวิชาลงนะหน้าทอง​ ​เป่าทอง​เข้า​หน้าผาก

หลวงพ่อไสว​ ​วัดปรีดาราม​ ​ท่าน​ได้​ไปศึกษาวิชาอาคมต่างๆ​ ​จาก​พระ​เกจิอาจารย์​และ​ฆราวาสดังกล่าวข้างต้น​ ​แต่​ไม่​ทราบแน่ชัดว่าท่าน

ไปศึกษามาก่อน​และ​หลังอย่างไรมี​ ​พ​.​ศ​.​ใด​บ้าง​  ​พระ​เกจิอาจารย์​และ​ฆราวาสที่นำ​มา​เสนอ​ให้​ทราบ​ใน​เบื้องต้นนี้​  ​เป็น​เพียง​ส่วน​หนึ่ง​ ​ส่วน​ที่​ยัง​ไม่​

ทราบคาดว่า​ยัง​มีอีกหลายองค์​ด้วย​กัน​  ​จาก​หลักฐานดังกล่าวข้างต้นนี้​แสดง​ให้​เห็นว่า​ ​หลวงพ่อไสวท่าน​เป็น​พระ​เกจิอาจารย์ที่สนใจ​และ​ใฝ่รู้​ใน​การ

ศึกษาอย่างยิ่งยวด​ ​สม​กับ​เป็น​ยอดพระ​เกจิอาจารย์​ผู้​มี​ความ​เชี่ยวชาญ​ใน​ทุกๆ​ ​ด้าน​ 







[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1080
เหลือไว้เพียง กระดาษ พลาสติก และ ความทรงจำ



ถ้าจะเที่ยวก็ต้องนี่






1081
สายสิญจ์ไม่เหลือแล้ว



หมูทองแดง กับ กางเกงยีนส์ ลี



พิธีสุดท้ายรดน้ำมนต์







เลิกแล้ว



1083
ลายเข้มไหม



บรรดาศิษย์ทั้งหลายพร้อม





เริ่มแล้ว








1084
งานไหว้ครู ปี 50 อีกมุมหนึ่ง






หน่วยป้องกันเตรียมพร้อม



ช่างภาพพร้อม



พี่เขาก็พร้อมแล้ว


1085
เอามาให้ชมกัน

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1086
พระผงรุ่นเมตตาบารมี มีอยู่ 2 พิมพ์ คือ พิมพ์ใหญ่ กับ พิมพ์เล็ก เป็นพระผงที่มีประสพการณ์
กล่าวคือ เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว มีชายคนหนึ่ง ถูกวัยรุ่น ที่ซอยสำนักปู่สวรรค์  มาหาเรื่อง แล้วเกิดการวิวาท และถูกรุมทำร้าย
แล้วถูกเอาปืนยิงกลอกปาก แล้ววัยรุ่นก็หลบหนี้ไป เพราะคิดว่าอย่างไรไอ้คนที่ถูกยิงจะต้องไปเมืองผีแน่นนอน แต่เหตุการณ์
มันไม่เป็นไปอย่างนั้น ชายที่ถูกยิง แค่สลบเท่านั้น ลูกปืนตุงอยู่ที่ปาก ฟันร่วงแทบหมดปาก รอดตายอย่างปฏิหารย์

1087
ขอให้เวปมาสเตอร์ แจ้ง หรือ ลงรูป พิธีปลุกเสก หรือเทวาภิเษก ให้สมาชิกทราบด้วยครับ

1088
วัตถุมงคลตัวอย่าง ของหลวงพ่อมี

1. เศียรพ่อแก่
2. สมเด็จรุ่นแรก หันข้าง

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1089
                                                                                 ปลายชีวิตของหลวงพ่อเดิม

​                หลวงพ่อ​เป็น​เสมือนต้นโพธิ​และ​ต้นไทรที่มีกิ่งก้านสาขา​แผ่ออกไปอย่างไพศาล​เป็น​ที่พึ่งพาอาศัยของประชาชน​ไม่​เลือกหน้า​ ​เนื่อง​จาก​หลวงพ่อมีอายุยืนยาวมาก​ ​บรรดาศิษยานุศิษย์รุ่น​ผู้​ใหญ่​ซึ่ง​เคยติดสอยห้อยตาม​และ​ร่วมงานร่วมการ​กัน​มา​ ​ก็ล้มหายตาย​จาก​ไปก่อนหลวงพ่อเกือบหมด​ถ้า​ว่า​กัน​อย่างฆราวาส​ ​ก็น่า​จะ​ทำ​ให้​หลวงพ่อว้า​เหว่มาก​
ครั้นต่อมาราว​ ๑๐ ​กว่าปี​ ​ก่อนหลวงพ่อมรณภาพ​ ​ร่างกายของหลวงพ่อ​ ​ซึ่ง​ใช้​กรากกรำ​ทำ​สาธารณประ​โยชน์มาช้านานหลายสิบปี​ ​ก็ทรุดโทรมจนแข้งขา​เดิน​ไม่​ได้​ ​จะ​ลุกนั่งก็​ต้อง​มีคนพยุง​ ​จะ​เดินทางไปไหนก็​ต้อง​ขึ้นคานหาม​ ​หรือ​ขึ้นเกวียนไป​
              แม้กระ​นั้น​ ​ก็​ยัง​มี​ผู้​เลื่อมใสศรัทธามานิมนต์หลวงพ่อไป​ใน​งานการบุญกุศลเนือง​ ​ๆ​ ​เพราะ​หลวงพ่อมีศิษยานุศิษย์มาก​ ​ทั้ง​ผู้​ใหญ่​ผู้​น้อยแทบ​ทั่ว​บ้าน​ทั่ว​เมือง​ ​หลวงพ่อปรารภว่า​ถ้า​ท่านแตกดับลง​ ​บรรดาหลานเหลน​และ​ศิษยานุศิษย์​ใน​ตำ​บลหนองโพ​และ​หมู่บ้าน​ใกล้​เคียง​ ​จะ​ได้​รับ​ความ​ลำ​บาก​ ​หลวงพ่อ​จึง​ได้​ปรารภ​ถึง​ความ​ตาย​ให้​เห็นประจักษ์​ ​สิ่ง​ใด​ควรจัดทำ​ขึ้น​ไว้​ได้​ก่อนท่านแตกดับ​ ​หลวงพ่อก็​ให้​จัดทำ​เตรียม​ไว้​ ​เช่น​ ​สร้างหีบบรรจุศพของท่านเอง​และ​ให้​ก่อสร้างตัวเมรุที่​เผาศพของท่าน​ไว้​ด้วย​ ​แต่บังเอิญตัวเมรุ​นั้น​ทำ​ล่าช้ามาก​ ​ยัง​มิทันเสร็จ​ ​จนหลวงพ่อมรณภาพ​แล้ว​
​              แม้​แข้งขาของหลวงพ่อ​จะ​ทานน้ำ​หนักตัวของท่านเอง​ไม่​ได้​แล้ว​ ​หูก็ตึงไปบ้าง​ ​แต่นัยน์ตา​ยัง​แจ่มใสดี​ ​มือก็​ยัง​ลงเลขยันต์​ได้​ตามเคย​ ​ปากก็​ยัง​เสกเป่า​และ​เจรจาปราศรัย​ได้​ ​โดย​มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ดีตลอดมา
​              ภายหลังที่หลวงพ่อกลับ​จาก​ไป​เป็น​ประธาน​ใน​งานก่อสร้างโบสถ์​ใน​วัดอินทาราม​ (วัด​ใน)​ ​ตำ​บลพยุหะ​ ​อำ​เภอพยุหะดีรี​ ​จังหวัดนครสวรรค์​ ​และ​กลับมา​อยู่​ใน​วัดหนองโพ​แล้ว​ ​ต่อมาหลวงพ่อก็​เริ่มอาพาธ​ ​ตั้งแต่วันอังคาร​ ​ขึ้น​ ๑๐ ​ค่ำ​ ​เดือน​ ๖ (ตรง​กับ​วันที่​ ๑๕ ​พฤษภาคม) ​พ​.​ศ​. ๒๔๙๔ ​อาการทรุดลง​เป็น​ลำ​ดับมา​ ​จน​ถึง​วันอังคาร​ ​แรม​ ๒ ​ค่ำ​ ​เดือนเดียว​กัน​ ​วันที่​ ๒๒ ​พฤษภาคม) ​อาการก็​เพียบหนักขึ้น​ ​บรรดาศิษยานุศิษย์​และ​หลานเหลนต่างพา​กัน​มาห้อมล้อมพยาบาล​และ​ฟังอาการ​กัน​เนื่อง​แน่น​ ​ด้วย​ความ​เศร้า​โศกห่วงใย​เล่ากันว่า“ครั้นตกบ่าย​ใน​วัน​นั้น​ ​หลวงพ่อก็คอยแต่สอบถาม​อยู่​วา​ ‘เวลา​เท่า​ใด​แล้ว​ ๆ’ ​ศิษย์​ผู้​พยาบาลก็กราบเรียนตอบไปๆ​ ​จน​ถึง​ราว​ ๑๗.๐๐ ​น​. ​หลวงพ่อ​จึง​ถามว่า​ ‘น้ำ​ใน​สระมีพอกิน​กัน​หรือ’ ​(​เพราะ​บ้านหนองโพมัก​กัน​ดารน้ำ​ดังกล่าว​แล้ว)​ ​ศิษย์ที่พยาบาล​อยู่​ ​ก็​เรียนตอบว่า​ ‘ถ้า​ฝน​ไม่​ตกภาย​ใน​ ๖ - ๗ ​วันนี้​ ​ก็น่ากลัว​จะ​ถึง​กับ​อัตคัดน้ำ’ หลวงพ่อก็นิ่งสงบ​ไม่​ถามว่ากระ​ไรต่อไปอีก​ ​ใน​ทัน​ใด​นั้น​กลุ่มเมฆก็ตั้งเค้ามา​และ​ฟ้าคะนอง​ ​มิช้าฝนก็ตกห่า​ใหญ่​ ​น้ำ​ฝนไหลลงสระราวครึ่งค่อนสระ​ ​พอฝนขาดเม็ด​ ​หลวงพ่อก็สิ้นลมหายใจ​ ​เมื่อเวลา​ ๑๗.๔๕ ​น​.  ​คำ​นวณอายุ​ได้​ ๙๒ ​โดย​ปี​ ​สรรวมแต่อุปสมบทมา​ได้​ ๗๑ ​พรรษา
​              บรรดาศิษยานุศิษย์​ทั้ง​บรรพชิต​และ​คฤหัสถ์​ได้​ช่วย​กัน​สรงน้ำ​ศพหลวงพ่อ​ ​แล้ว​บรรจุศพ​ ​ตั้งบำ​เพ็ญกุศล​ ​ณ​ ​วัดหนองโพ​ ​ตั้งแต่วันรุ่งขึ้น​ ​เว้นที่​ ๒๓ ​พฤษภาคม) ​ติดต่อมาครบ​ ๗ ​วัน​ ​เมื่อวันที่​ ๒๙ ​พฤษภาคม​ ​แล้ว​ก็ทำ​ติดต่อมาอีก​และ​ทำ​บุญครบ​ ๕๐ ​วัน​ ​เมื่อวันที่​ ๑๑ ​กรกฎาคม​ ​ทำ​บุญครบ​ ๑๐๐ ​วัน​ ​เมื่อวันที่​ ๓๐ ​สิงหาคม​ ๒๔๙๔ ​จึง​เก็บศพหลวงพ่อรอ​ไว้​ ​จน​ถึง​เวลาจัดการพระราชทานเพลิงหลวงพ่อเดิม​ ​ผู้​ซึ่ง​ได้​รับการขนานนาม​และ​ยกย่อง​เป็น​ “เทพเจ้า​แห่งเมืองสี่​แคว” ซึ่ง​ชาวนครสวรรค์ทุกคน​ยัง​เคารพ​ให้​ความ​นับถือหลวงพ่อ​อยู่​เสมอ​ ​โดย​เฉพาะทางวัดหนองโพ​ได้​สร้างมณฑปที่ประดิษฐานรูปหล่อโลหะของหลวงพ่อพระรูปเหมือนหลวงพ่อเดิม​ ​ขนาด​เท่า​องค์จริง​ ​ซึ่ง​หลวงพ่อเดิมท่านหล่อสร้าง​ไว้​เมื่อปี​ ​พ​.​ศ​. ๒๔๘๒ ​ซึ่ง​ตั้งประดิษฐาน​อยู่​ที่มณฑป​ ​ซึ่ง​มีประชาชนมากราบนมัสการทุกวันมิ​ได้​ขาด​ ​และ​ทางวัดหนองโพ​ได้​จัดงานทำ​บุญประจำ​ปีปิดทอง​ ​ไหว้พระรูปเหมือนหลวงพ่อเดิม​ ​ใน​วันขึ้น​ ๑๓ ​ค่ำ​ ​เดือน​ ๓ ​ของทุกปี

1090
ใหม่ตอนนี้ ก็จตุคามรามเทพ ด้านหน้า หลวงพ่อ ณ วันนี้ 1 เดือนพอดี ไม่ทราบว่าหมดหรือยัง
ที่กุฎิใหญ่ วัตถุมงคลรุ่นเก่า กุฎิหลวงพี่สมชาย มีหลายอย่าง

1091
                                                              สันโดษ​ ​และ​ ​พากเพียร

​                หลวงพ่อมีนิสัยสันโดษ​ ​จนบางคราวเห็น​ได้​ว่ามักน้อย​ ​และ​มี​ความ​พากเพียรพยายาม​ ​สบง​และ​จีวรที่นุ่งห่มก็นิยม​ใช้​ของเก่า​ ​จะ​ได้​เห็นหลวงพ่อนุ่งห่มสบงจีวร​ใหม่​ ​ก็ต่อเมื่อมี​ผู้​ศรัทธาถวาย​ให้​ครอง​  ใน​กิจนิมนต์​ ​หลวงพ่อ​จึง​ครองฉลองศรัทธา​ ​ถ้า​เป็น​ไตรจีวรแพร​ ​ครอง​แล้ว​กลับมา​จาก​ที่นิมนต์ก็มอบ​ให้​พระภิกษุรูป​อื่น​ไป​ ​ข้าวของที่มี​ผู้​ถวาย​ ​ถ้า​มีประ​โยชน์​แก่พระภิกษุรูป​อื่นๆ​ ​หลวงพ่อก็​ให้​ต่อไป​
             ของสิ่ง​ใด​ที่มี​ผู้​ถวาย​ไว้​ ​ถ้า​มี​ใครอยาก​ได้​แล้ว​ออกปากขอ​ ​หลวงพ่อก็​ให้​ ​แต่​เมื่อหลวงพ่อบอก​ให้​แล้ว​ ​ผู้​ขอ​ต้อง​เอา​ไปเลยที​เดียว​ ​ถ้า​ยัง​ไม่​เอา​ไป​และ​ทิ้ง​ไว้​ ​หรือ​ฝาก​ไว้​กับ​หลวงพ่อ​ ​เมื่อมี​ใครมา​เห็น​  ใน​ภายหลัง​และ​ออกปากขออีก​ ​หลวงพ่อก็​ให้​อีก​ ​เมื่อ​ผู้​ขอภายหลังเอา​ไป​แล้ว​ผู้​ขอก่อนมาต่อว่าว่า​ให้​ผม​แล้ว​เหตุ​ใด​จึง​ให้​คน​อื่น​ไปเสียอีก​ ​หลวงพ่อ​จะ​ตอบว่า​ ​ก็​ไม่​เห็นเอา​ไป​ ​นึกว่า​ไม่​อยาก​ได้​ ​จึง​ให้​คนที่​เขา​อยาก​ได้
            กุฏิที่มี​ผู้​สร้างถวายดี​ ​ๆ​ ​มีฝารอบชอบชิด​ ​หลวงพ่อก็​ไม่​ชอบ​อยู่​ ​ชอบ​อยู่​ใน​ศาลา​ซึ่ง​มี​แต่ฝาลำ​แพนบังลม​ใน​บางด้าน​ ​ต่อมา​เมื่อหลวงพ่อมีอายุล่วง​เข้า​วัยชรามาก​แล้ว​ ​บรรดาศิษยานุศิษย์​จึง​ช่วย​กัน​รื้อศาลาหลัง​นั้น​ไปปลูก​ไว้​ ​ณ​ ​ป่าช้า​เผาศพ​ ​ทางทิศตะวันออกของวัดหนองโพ​ ​แล้ว​สร้างกุฏิมีฝารอบขอบชิดขึ้นแทน​ใน​ที่​เดิม​ ​ถวาย​ให้​เป็น​ที่​อยู่​ของหลวงพ่อต่อมา​ ​จน​ถึง​วันมรณภาพ
           ณ​ ​ศาลาหลังที่รื้อไป​นั้น​ ​เมื่อ​ผู้​เขียน​เป็น​เด็กวัด​ ​เคยไปนอน​อยู่​ปลายตีนเตียงนอนปลายเท้าของหลวงพ่อ​ ​ครั้นตื่นขึ้นตอน​เช้า​มืด​ ​ราวตี​ ๔ ​ตี​ ๕ ​ก็​เห็นหลวงพ่อจุดเทียนอ่านหนังสือคัมภีร์​ใบลานสั้นๆ​ ​เสมอ​ ​เคยสอบถามศิษย์รุ่นเก่าก็​เล่าตรง​กัน​ว่า​ ​เคยเห็นหลวงพ่อลุกขึ้นจุดเทียนอ่านหนังสือ​เช้า​มืดอย่างนี้ตลอดมา​ ​แม้​จะ​ไปนอนค้างอ้างแรม​ใน​ดง​ใน​ป่า​ ​หลวงพ่อก็จุดเทียนอ่านหนังสือ​ใน​ตอน​เช้า​มืดเช่น​นั้น​เป็น​นิตย์​
         ​ผู้​เขียนอยากรู้ว่าหนังสือ​นั้น​เป็น​เรื่องอะ​ไร​ ​ไม่​รู้จน​แล้ว​จนรอด​ ​เพราะ​หลวงพ่อมัก​จะ​เอาติดตัวไปไหนมา​ไหน​ด้วย​เสมอ​ ​เวลาท่าน​อยู่​ ​ไม่​มีศิษย์คน​ใด​กล้า​ไปขอดู​ ​หรือ​เรียนถามว่า​เป็น​หนังสืออะ​ไร​ ​มาจนหลวงพ่อมรณภาพ​แล้ว​ ​เมื่อ​ผู้​เขียนขึ้นไปนมัสการศพหลวงพ่อ​จึง​ให้​ค้น​ดู​ ​ปรากฏว่า​เป็น​หนังสือปฤศนาธรรม​ ​สำ​นวนเก่ามาก​ ​คัมภีร์หนึ่งมี​ ๖๒ ​ลาน​ ​เรียกว่า​ มูลกัมมัฏฐาน​และ​ทางวิปัสสนา ​อีกคัมภีร์หนึ่ง​ ​มี​ ๑๖ ​ลาน​ ​เรียกว่า​ พระอภิธรรมภาย​ใน ​ตลอดอายุของหลวงพ่อเห็น​จะ​อ่านคัมภีร์​ทั้ง​สอง​นั้น​ตั้งหลายพันครั้ง
 

                                                    ชอบเลี้ยงสัตว์พาหนะ

      ​หลวงพ่อชอบเลี้ยงสัตว์พาหนะ​ ​ตอนแรกๆ​ ​ได้​เลี้ยงวัวขึ้น​ไว้​ฝูง​ใหญ่​ ​แล้ว​ภายหลัง​ได้​ยก​ให้​นายต่วน​ ​คงหาญ​ ​ผู้​เป็น​หลานชายไป​ ​สัตว์ที่ชอบเลี้ยง​เป็น​ประจำ​ก็คือช้าง​และ​ม้า​ ​เรื่องเลี้ยงช้าง​นั้น​มิ​ใช่​แต่ชอบเลี้ยงอย่างว่าพอมีช้าง​เท่า​นั้น​ ​หลวงพ่อ​ได้​ศึกษาวิชาการช้างจน​ถึง​ร่วม​กับ​หมอข้างไปโพนจับช้างป่า​ด้วย​
      ​หลวงพ่อเคยมีช้างหลายเชือก​ ​ทั้ง​ช้างงา​และ​ช้างสีดอ​ ​ตาย​แล้ว​ก็หามา​เลี้ยง​ไว้​ใหม่​ ​แม้จนเวลามรณภาพก็​ยัง​มี​อยู่​อีก​ ๓ ​เชือก​ ​แต่​ได้​ยกมอบ​ให้​เป็น​กรรมสิทธิ์ของ​ผู้​คน​ไว้​แล้ว​ก่อนท่าน​ถึง​มรณภาพ​
      ​สัตว์พาหนะที่หลวงพ่อชอบเลี้ยง​ไว้​ก็​เพื่อ​ใช้​เป็น​พาหนะสำ​หรับบรรทุก​และ​ลากเข็นทัพพสัมภาระ​ ​ใน​การก่อสร้างถาวรวัตถุ​ ​และ​ใช้​ใน​การมหกรรมเครื่องบันเทิงของชาวบ้าน​ใน​ท้องถิ่น​ด้วย​ ​ดัง​จะ​เห็น​ได้​ใน​เมื่ออ่านประวัติของหลวงพ่อต่อไป​
      ​แม้หลวงพ่อ​จะ​ชอบเลี้ยงช้างก็จริง​ ​แต่ก่อน​ไม่​เคยเห็นท่านขี่ช้าง​ ​มาขี่ตอนหลังเมื่ออายุหลวงพ่อล่วง​เข้า​วัยชรามาก​แล้ว​
      ​แต่ก่อนหลวงพ่อชอบเดิน​และ​เดินทนเดิน​เร็ว​เสีย​ด้วย​ ​เรื่องเดินของหลวงพ่อนี้บรรดาศิษย์ตั้งแต่รุ่นก่อนๆ​ ​มาจน​ถึง​รุ่นหลังๆ​ ​ที่​เคยติดตามหลวงพ่อ​ ​ต่างระอา​และ​เกรงกลัวไปตาม​ ​ๆ​ ​กัน​บางคนเดินทางไป​กับ​หลวงพ่อครั้งเดียวก็​เข็ด​ ​เพราะ​หลวงพ่อเดินตั้งครึ่งวันค่อนวัน​ ​ไม่​หยุดพัก​และ​เดิน​เร็ว​ ​สังเกตดูก็​เห็นก้าวช้า​ ​ๆ​ ​จังหวะก้าวเนิบ​ ​ๆ​ ​คล้าย​กับ​ช้างเดิน​ ​แต่คน​อื่น​ต้อง​รีบสาวเท้าตาม​
      ​ผู้​เขียนเองเมื่อ​เป็น​เด็กเคยสะพายย่ามตามหลัง​ ​ถึง​กับ​ต้อง​วิ่งเหยาะ​ ​และ​ถ้า​มัวเผลอเหม่อดูอะ​ไรเสียบ้างก็ทิ้งจังหวะ​ไกล​จน​ถึง​ต้อง​วิ่งตาม​ให้​ทัน​เป็น​คราว​ ​ๆ
       เรื่องเดินทน​ ​ไม่​หยุดพักของหลวงพ่อนั่น​ ​ถึง​กับ​เคยมีศิษย์บางคนที่ตามไป​ด้วย​ต้อง​ออกอุบายเก็บหญ้าพุ่งชู้ตามข้างทาง​ ​เดินตามไปพลาง​ ​แล้ว​เอาหญ้าพุ่งชู้ขว้าง​ให้​ติดจีวรของหลวงพ่อไปพลาง​ ​จนเห็นว่าหญ้าติดจีวรมาก​แล้ว​ ​พอ​ถึง​ที่มีร่มไม้ก็ออกอุบายเรียนขึ้นว่า​
“หลวงพ่อครับ​ ​หญ้าติดจีวรเต็มไปหมด​แล้ว​ ​หยุดพัก​ ​เก็บหญ้าออก​กัน​เสียที​เถอะ”
​จึง​เป็น​อัน​ได้​หยุดพัก​กัน​ครั้งหนึ่ง


                                                   ชอบ​ค้น​คว้าทดลอง

      ​หลวงพ่อมีนิสัยชอบศึกษา​และ​ค้น​คว้าทดลอง​ ​การ​ค้น​คว้าทดลองของหลวงพ่อ​นั้น​มีหลายเรื่อง​ ​ขอนำ​มา​เล่า​แต่บางเรื่อง​ ​เช่นคราวหนึ่ง​ได้​ประดิษฐ์สร้างเกวียน​ให้​เดิน​ได้​เอง​โดย​ไม่​ต้อง​ใช้​แรงวัว​หรือ​แรงควายเทียมลาก​ ​เรียกของท่านว่า​เกวียนโยก​ ​เมื่อสร้างขึ้น​แล้ว​ก็​โยก​ให้​เดิน​ได้​คล่องแคล่วดี​ ​แต่​เดิน​ได้​แต่รุดหน้า​ ​เลี้ยว​ไม่​ได้​ ​จะ​ได้​พยายามแก้​ไขอย่างไรอีก​หรือ​เปล่า​ไม่​ทราบ​ได้​ ​แต่​ไม่​ช้าก็​เลิกไป​
      ​ตามปรกติชาวบ้าน​เขา​สร้างเกวียนวัวเกวียนควาย​ใช้​กัน​ ​แต่หลวงพ่อสร้างเกวียนช้างคือ​ใช้​ช้างเทียมลาก​ ​แต่​เกวียนช้างที่หลวงพ่อสร้างขึ้นครั้งแรก​นั้น​ ​ไม่​สำ​เร็จประ​โยชน์ดังประสงค์​ ​เพราะ​เมื่อบรรทุก​แล้ว​ ​พื้นดินทานน้ำ​หนัก​ไม่​ได้​ ​กงล้อจมลงไป​ใน​พื้นดิน​ ​ต่อมาก็​เลิก​
      ​ครั้นมา​เมื่อสมัยเริ่มแรกนิยม​ใช้​รถยนต์บรรทุก​กัน​ตามหัวเมือง​ ​หลวงพ่อก็ซื้อรถยนต์​ไป​ใช้​ ​แต่รถยนต์สมัย​นั้น​แล่นไป​ได้​แต่ตามทางเกวียนที่​เรียบๆ​ ​เมื่อแล่นไปตามท้องนา​ ​ซึ่ง​มีคันนา​และ​มีหัวขี้​แต้​ ​หรือ​ใน​ท้องที่ขรุขระ​ ​ก็​แล่น​ไม่​ได้​ ​ต้อง​มีคนคอยบุกเบิกทาง​ ​เอาจอบสับเอา​เสียมแซะ​และ​เอาขวานคอยฟันคอยกรานต้นไม้กิ่งไม้ตามทางที่รถยนต์​จะ​ผ่านไป​
​     ไม่​ช้าหลวงพ่อก็​เบื่อ​ ​ต่อมาก็​เลิก​ ​แล้ว​หันกลับไปนิยมเลี้ยงช้างอย่างเดิม​ ​และ​คราวนี้​ได้​ประดิษฐ์สร้างเกวียนช้างขึ้น​ใหม่​ ​แก้​ไขจน​ใช้​บรรทุกลากเข็น​ได้​ประ​โยชน์ดีมาก​ได้​ใช้​สำ​หรับเข็นลากไม้​เสา​และ​สัมภาระ​อื่นๆ​ ​ใน​การสร้างวัดขึ้นวัดหนึ่งเรียกว่า​ ​วัดหนองหลวง​ ​เพราะ​สร้างขึ้น​ ​ณ​ ​ที่ริมหนองน้ำ​ชื่อ​นั้น
    ​นอก​จาก​ค้น​คว้า​ใน​ทางประดิษฐ์​แล้ว​ ​ตำ​รับตำ​ราที่ครูบาอาจารย์ทำ​ไว้​แต่ก่อน​ ​ๆ​ ​บางอย่างหลวงพ่อก็นำ​มาทดลอง​ด้วย​ ​เช่นวิชา​เล่นแร่​ ​คือทำ​แร่ตะกั่ว​ให้​เป็น​เงิน​และ​ทำ​เงิน​ให้​เป็น​ทอง​ ​บรรดาลูกศิษย์รุ่นเก่า​เล่า​ให้​ฟังว่า​ ​หลวงพ่อพยายามทดลอง​ค้น​คว้าวิชาทำ​เงิน​ให้​เป็น​ทอง​อยู่​หลายปี​ ​โดย​มีลูกศิษย์​เป็น​ลูกมือ​ช่วย​เผาถ่าน​ ​ช่วย​สูบไฟ​และ​อื่นๆ​ ​แต่ตอนผสม​ส่วน​ของธาตุ​โลหะ​และ​ผสมยาซัด​นั้น​ ​เล่า​กัน​ว่าหลวงพ่อ​ต้อง​ทำ​เอง​
      ​บรรดาศิษย์รุ่นเก่า​เหล่า​นั้น​เล่าตรง​กัน​ว่าหลวงพ่อพยายามทำ​เงิน​ให้​เป็น​ทองคำ​จน​ได้​ ​ศิษย์รุ่น​ใหญ่​ระบุ​ ​ทองที่หลวงพ่อทำ​ได้​และ​มอบ​ให้​กับ​ศิษย์บางคน​ ​ซึ่ง​ศิษย์​ผู้​นั้น​ได้​เอา​ไปทำ​เครื่องประดับ​ให้​ลูกหลานสวม​ใส่​อยู่​ต่อมา
     ​เรื่องที่​จะ​เลิกทำ​ทอง​นั้น​ ​เล่า​กัน​มาว่า​ ​วันหนึ่งหลวงพ่อถลุงเงิน​ให้​เป็น​ทอง​ ​หนักราวสัก​ ๑ ​บาท​ ​พอหลอมเสร็จเทออกมา​จาก​เบ้าทิ้ง​ไว้​ให้​เย็น​ ​เอาขึ้นทั่ง​แล้ว​ก็​เอาฆ้อนตี​แผ่ออก​เป็น​แผ่นบาง​ ​แล้ว​ก็​เอาลงหลอมดู​ใหม่​แล้ว​ก็​เอามาตี​แผ่ดูอีก​ ​เข้า​ใจว่า​ ​หลวงพ่อคงตรวจตราพิจารณาดูว่า​จะ​เป็น​ทองคำ​ได้​จริง​หรือ​ไม่​ ​แล้ว​ก็​เอาลงเบ้าหลอมดูอีก​และ​เทออก​จาก​เบ้าทิ้ง​ไว้​ให้​เย็น​เป็น​ก้อนค่อนข้างกลม​ ​แล้ว​หลวงพ่อก็หยุดไปนั่งพักเฉย​อยู่​บนอาสนะ​เป็น​เชิงตรึกตรอง​ ​ไม่​พูดจาว่ากระ​ไร​ ​บรรดาศิษย์ต่างก็หยิบมาดู​กัน​คนละทีสองที​แล้ว​คน​นั้น​ก็ขอ​ ​คนนี้ก็ขอ​
     ​สักครู่หลวงพ่อก็ลุกเดินมาหยิบทองก้อน​นั้น​ขึ้นไปถือกำ​ไว้​ใน​อุ้งมือ​แล้ว​ก็​เอามือไขว้หลังเดินไปบนคันสระลูก​ใหญ่​ใน​วัดหนองโพ​ ​เอามือที่ถือก้อนทองเดาะ​เล่น​กับ​อุ้งมือ​ ๒ - ๓ ​ครั้ง​ ​แล้ว​ก็ขว้างก้อนทอง​นั้น​ลงสระน้ำ​ไป​ ​พอเดินกลับมา​ถึง​ที่ถลุงทอง​ ​หลวงพ่อก็หยิบฆ้อนทุบเตา​ ​ทุบเบ้าถลุงแตกหมด​ ​แล้ว​ก็​เลิกเล่นเลิกทำ​แต่วัน​นั้น​มา


                                                                รับสมณศักดิ์

        ต่อมา​ใน​รัชกาลที่​ ๖ ​เมื่อพระครูพยุหานุศาสก์​ (สิทธิ์) ​วัดบ้านบน​ ​เจ้าคณะ​แขวงอำ​เภอพยุหะคีรี​ ​จังหวัดนครสวรรค์​ ​มรณภาพลง​ ​เมื่อวันที่​ ๒๑ ​ธันวาคม​ ​พ​ ​ศ​. ๒๔๕๗ ​ได้​ทรงพระกรุณา​โปรดเกล้าฯ​ “ให้​เจ้าอธิการเดิม​ ​วัดหนองโพ​ ​เป็น​พระครูนิวาสธรรมขันธ์​ ​รองเจ้าคณะ​แขวงเมืองนครสวรรค์) (๓) เมื่อวันที่​ ๓๐ ​ธันวาคม​ ​พ​.​ศ​. ๒๔๕๗ ​เนื่อง​ใน​งานเฉลิมพระชนมพรรษา​ ​พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า​เจ้า​อยู่​หัว​ ​ใน​รัชกาลที่​ ๖ ​เวลา​นั้น​หลวงพ่อมีอายุ​ได้​ ๕๕ ​ปี​ ​และ​มีพรรษา​ ๓๔ ​พรรษา​ ​ทั้ง​นี้ย่อมนำ​ความ​ปีติมา​ให้​แก่บรรดาศิษยานุศิษย์ของหลวงพ่อ​เป็น​อันมาก​ ​แต่ก็​ยัง​พา​กัน​เรียกท่าน​ด้วย​ความ​เคารพนับถือ​ทั้ง​ต่อหน้า​และ​ลับหลังว่าหลวงพ่อ​ ​อยู่​อย่าง​นั้น​ ​เว้นแต่ศิษย์รุ่น​ผู้​ใหญ่​ ​จึง​มัก​ใช้​สรรพนามเรียกหลวงพ่อว่า​ “ทาน” ​ส่วน​ประชาชน​ทั่ว​ไป​นั้น​คงรู้จัก​กัน​แพร่หลาย​ ​โดย​นามว่า​ “หลวงพ่อเดิม”
        ต่อมาทางการคณะสงฆ์​ได้​แต่งตั้งหลวงพ่อ​เป็น​เจ้าคณะ​แขวงอำ​เภอพยุหะคีรี​ ​จังหวัดนครสวรรค์​ ​และ​หลวงพ่อ​ได้​รับตราตั้ง​เป็น​พระอุปัชฌายะ​ ​เมื่อ​ ​พ​.​ศ​. ๒๔๖๒ ​หลวงพ่อก็​ได้​ปฏิบัติศาสนกิจ​ ใน​หน้าที่​นั้น​มา​ด้วย​ความ​เรียบร้อยตลอดเวลากว่า​ ๒๐ ​ปี​ ​เมื่อท่านล่วง​เข้า​วัยชรามาก​แล้ว​ ​ทางการคณะสงฆ์​จึง​ได้​เลื่อนหลวงพ่อขึ้น​เป็น​ตำ​แหน่งกิตติมศักดิ์

                                                                                สร้างถาวรวัตถุ​ใน​วัด

       ศาลาการเปรียญหลังแรก​ ​หลวงพ่อเดิมสร้างขึ้นเมื่อ​ ​พ​.​ศ​. ๒๔๕๔

       ​หลวงพ่อมีนิสัย​และ​มีฝีมือ​ใน​การสร้าง​ ​ซึ่ง​หลวงพ่อ​ได้​ก่อสร้างสิ่งที่​เป็น​ถาวรวัตถุ​ใน​พระพุทธศาสนา​ ​และ​ที่​เป็น​สาธารณประ​โยชน์​อื่นๆ​ ​ไว้​มากมาย​ ​เมื่ออุปสมบท​แล้ว​มา​อยู่​จำ​พรรษา​ใน​วัดหนองโพ​ ​ใน​พรรษา​แรก​ ​ๆ​ ​นั้น​ ​หลวงพ่อก็​เริ่มสร้างศาลาการเปรียญขึ้น​ใน​วัดหนองโพ​ ​แล้ว​เมื่อ​ ​พ​.​ศ​. ๒๔๕๔ ​หลวงพ่อก็ปฏิสังขรณ์​แก้ขยายขึ้น​จาก​หลังที่หลวงพ่อสร้าง​ไว้​แต่ก่อน​นั้น​อีก​
       ก่อนหน้า​นั้น​ ​เมื่อปีมะ​โรง​ ​พ​.​ศ​. ๒๔๓๕ ​หลวงพ่อ​ได้​สร้างกุฏิขึ้น​ใหม่​ใน​วัดหลังหนึ่ง​เป็น​กุฏิหลังแรกที่​ใช้​ฝา​ไม้กระดาน​ ​และ​ชื้อมา​จาก​บ้านบางไก่​เถื่อน​ (ตำ​บลบ้านตลุก​ ​อำ​เภอสรรพยา​ ​จังหวัดชัยนาท) ​เมื่อสร้างศาลา​และ​กุฏิขึ้น​ใหม่​ใน​วัดหนองโพครั้ง​นั้น​บรรดาท่าน​ผู้​เฒ่า​ผู้​แก่ปู่ย่าตายายของชาวบ้านหนองโพ​ซึ่ง​มีชีวิต​อยู่​ใน​สมัย​นั้น​ ​ต่างออกปากชม​กัน​ว่า​ “ท่านองค์นี้​ไม่​ใช่​ใคร​อื่น​แล้ว​ ​คือหลวงพ่อเฒ่า​เจ้าของวัดของท่านมา​เกิด”
      ศาลาการเปรียญหลังแรก​ ​หลวงพ่อเดิมสร้างขึ้นเมื่อ​ ​พ​.​ศ​. ๒๔๕๔
     ​นอก​จาก​ศาลาการเปรียญ​และ​หมู่กุฏิ​ ​หลวงพ่อ​ได้​ร่วม​กับ​ทายกทายิกาชาวบ้าน​ ​สร้างโรงอุ​โบสถขึ้น​ใน​ที่​โรงอุ​โบสถเดิม​ ​เมื่อ​ ​พ​.​ศ​. ๒๔๕๘ ​และ​ใน​คราวเดียว​กัน​ได้​สร้างพระ​เจดีย์​ ๓ ​องค์​ ​มีกำ​แพงแก้วล้อมรอบ​ไว้​ตรงหน้า​โรงพระอุ​โบสถ​ด้วย
     ​นิสัยชอบก่อสร้างของหลวงพ่อ​นั้น​ ​อาจกล่าว​ได้​ว่า​เป็น​ชีวิตจิตใจของหลวงพ่อติดต่อมาจนตลอดชีวิต​โดย​เหตุที่วัดวาอารามตามท้องถิ่น​ใน​สมัย​นั้น​ ​มักมี​แต่กุฏิสงฆ์​และ​มี​แต่ศาลาดิน​ ​คือ​ใช้​พื้นดิน​นั้น​เอง​เป็น​พื้นศาลา​ ​หลังคาก็มุงแฝก​ ​ไม่​มี​โบสถ์​ ​หลวงพ่อ​จึง​สร้างศาลาการเปรียญ​ ​เป็น​ศาลายกพื้น​ ​หลังคามุงกระ​เบื้อง​ ​และ​สร้างโรงอุ​โบสถก่ออิฐถือปูน​และ​คอนกรีต​ ​ขึ้น​เป็น​ถาวรวัตถุของวัด​
     ​โบสถ์​และ​ศาลาการเปรียญที่หลวงพ่อสร้างขึ้น​ ​มัก​จะ​กว้างขวาง​ใหญ่​โตสำ​หรับท้องถิ่น​ ​จึง​ต้อง​ใช้​เงินทอง​และ​สิ่งของเครื่อง​ใช้​ใน​การก่อสร้างมาก​ ​วัตถุปัจจัย​หรือ​เงินทองที่มี​ผู้​ถวายหลวงพ่อ​
     เนื่อง​ใน​กิจนิมนต์ก็ดี​ ​หรือ​ถวาย​ด้วย​มีศรัทธา​เลื่อมใส​ใน​ตัวหลวงพ่อเองก็ดี​ ​หลวงพ่อมิ​ได้​เก็บสะสม​ไว้​ ​หากแต่​ได้​ใช้​จ่ายไป​ใน​การทำ​สาธารณประ​โยชน์​และ​ใช้​เป็น​ทุนรอน​ใน​การก่อสร้างถาวรวัตถุ​ใน​พระพุทธศาสนา​และ​สถานศึกษา​เล่า​เรียน​ ​จนหมดสิ้น​
     ​เห็น​จะ​เป็น​เพราะ​เหตุนี้​ ​และ​เนื่อง​จาก​กิตติคุณทางวิทยาอาคมของหลวงพ่อ​ด้วย​ ​จึง​มักมีพวกทายกทายิกา​ช่วย​กัน​เรี่ยไรรวบรวมทุนถวาย​ให้​หลวงพ่อทำ​การก่อสร้าง​อยู่​เนือง​ ​ๆ​ ​วัด​ใน​ตำ​บล​ใด​  ต้อง​การ​จะ​สร้าง​หรือ​ปฏิสังขรณ์​โบสถ์วิหาร​หรือ​ศาลาการเปรียญ​ ​ขึ้น​เป็น​ถาวรวัตถุ​ใน​วัด​ ​หรือ​เริ่มก่อสร้างปฏิสังขรณ์​กัน​ไว้​แล้ว​ ​แต่ทำ​ไม่​เสร็จ​ ​เพราะ​ขาดช่าง​และ​ขาดทุนรอน​ ​ขาวบ้านสมภารวัด​ใน​ตำ​บล​นั้นๆ​ ​ก็มักพา​กัน​มานิมนต์หลวงพ่อ​ ​ให้​ไป​ช่วย​อำ​นวยการสร้าง​ ​หรือ​ไป​เป็น​ประธาน​ใน​งานก่อสร้างปฏิสังขรณ์​ ​หลวงพ่อก็ยินดี​ไปตามคำ​นิมนต์​
     ​และ​มิ​ใช่​แต่​จะ​ไปบงการ​ให้​คน​อื่น​ทำ​เท่า​นั้น​ ​แต่หลวงพ่อ​ได้​ลงมือทำ​ด้วย​ตนเอง​ด้วย​ ​เช่น​ ​ถ้า​เป็น​เครื่องไม้ก็ลงมือกะตัวไม้​ ​และ​ถากไม้ฟันไม้​ ​เลื่อยไม้​ ​ด้วย​ตนเอง​ ​ถ้า​เป็น​เครื่องปูน​ ​ก็ลงมือตัด​และ​ผูกเหล็กโครงร่าง​ ​และ​ผสมทรายผสมปูนเทหล่อ​ด้วย​ตนเอง​ ​จน​เป็น​เหตุ​ให้​คน​อื่น​นั่งเฉย​อยู่​ไม่​ได้​ ​ทั้ง​ชาวบ้าน​และ​ชาววัดต่างก็พา​กัน​ลงมือทำ​งาน​ช่วย​หลวงพ่อ​ ​บางรายหลวงพ่อก็ทำ​ตั้งแต่ตัดไม้​  ชักลาก​ ​ทำ​อิฐ​และ​เผาอิฐ​ ​เผาปูนมาที​เดียว​ ​ยิ่ง​เป็น​การก่อสร้าง​ใน​บ้านป่าขาดอน​ซึ่ง​ห่าง​ไกล​เส้นทางคมนาคม​ ​กำ​ลัง​ผู้​คน​และ​พาหนะก็​เป็น​ของจำ​เป็น​ยิ่งนัก​ ​แต่หลวงพ่อก็จัดสร้าง​ให้​สำ​เร็จจน​ได้
      ​คิดดูก็​เป็น​ของน่าประหลาด​ ​ดูหลวงพ่อช่างมีอภินิหาร​ใน​การก่อสร้างเสียจริง​ ​ๆ​ ​โบสถ์วิหาร​หรือ​ศาลาการเปรียญ​ ​ที่หลวงพ่อไปอำ​นวยการก่อสร้างปฏิสังขรณ์​ ​หรือ​ไป​เป็น​ประธาน​ใน​งานก่อสร้าง​หรือ​ปฏิสังขรณ์​นั้นๆ​ ​ย่อมสำ​เร็จเรียบร้อยทุกแห่ง​ ​ทุนรอนที่ขาด​อยู่​มากน้อย​เท่า​ใด​ ​ก็มักมี​ผู้​ศรัทธาบริจาคถวาย​ให้​จนครบ​ ​หรือ​บางแห่งบางรายก็​เกินกว่าจำ​นวนที่​ต้อง​การเสียอีก​ ​เมื่อเห็นมีคนชอบเอา​เงินทองมาถวายหลวงพ่อเนือง​ ​ๆ​ ​และ​บางรายก็ถวาย​ไว้​มาก​ ​ๆ​ ​เสีย​ด้วย​
      ​ผู้​เขียนเคยกราบเรียนถามว่า​ “หลวงพ่อทำ​อย่างไร​จึง​มีคนชอบนำ​เงินมาถวายเนือง​ ​ๆ ?”
      ​หลวงพ่อก็ยิ้ม​แล้ว​ตอบว่า​ “ก็​เรา​ไม่​เอานะสิ​ ​เขา​จึง​ชอบ​ให้​ ​ถ้า​เราอยาก​ได้​ใคร​เขา​จะ​ให้”
      ​บรรดาศิษย์รุ่นเก่า​ ​ซึ่ง​เคยติดลอยห้อยตามหลวงพ่อมาหลายสิบปี​ ​เช่น​ ​นายยิ้ม​ ​ศรี​เดช​ ​มรรคนายกวัดหนองโพ​ ​ซึ่ง​เวลา​นั้น​มีอายุกว่า​ ๘๐ ​ปี​ (บัดนี้ล่วงลับไป​แล้ว)​ ​เคยปรารภว่า​ “เงินทองสัมผัสแต่​เพียงตาของหลวงพ่อ​ ​ไม่​กระทบ​เข้า​ไป​ถึง​ใจ”
      ​เงินทองที่มี​ผู้​ถวายมากมาย​เท่า​ใด​หลวงพ่อก็​ใช้​จ่ายไป​ใน​การก่อสร้าง​และ​ทำ​สิ่งสาธารณประ​โยชน์​ ​หมดสิ้น
      ​สิ่งก่อสร้างที่หลวงพ่ออำ​นวยการสร้าง​ ​หรือ​เป็น​ประธาน​ใน​การก่อสร้าง​ ​และ​มีถาวรวัตถุ​เป็น​พยาน​ให้​เห็นมากมายหลายแห่ง​ ​จนหลวงพ่อเองก็จำ​สถานที่​และ​ลำ​ดับรายการ​ไม่​ได้​ ​นอก​จาก​จะ​มี​ใครถามขึ้น​ ​บางทีหลวงพ่อก็นึก​ได้​สิ่งก่อสร้าง​และ​ถาวรวัตถุที่หลวงพ่อสร้างขึ้นนี้​ ​เห็น​ได้​ว่าหลวงพ่อ​ได้​สร้าง​ความ​เจริญ​ให้​เกิดขึ้นแก่ท้องถิ่นเหล่า​นั้น​ ​เพราะ​เท่า​กับ​ทำ​บ้าน​และ​ตำ​บล​นั้น​ ​ๆ​ ​ให้​ตั้ง​อยู่​เป็น​หลัก​เป็น​แหล่ง​ ​และ​มีถาวรวัตถุ​เป็น​หลักฐานของหมู่บ้าน​ ​ซึ่ง​จะ​เป็น​พยานยั่งยืนมั่นคงไปชั่วกาลนาน

1092
                                         

                                                                   เรียนวิชาอาคม

​                โดย​เหตุที่หลวงพ่อ​ได้​เคยเรียนวิชาอาคมมา​กับ​นายพัน​ ​ตั้งแต่​เริ่มอุปสมบท​ใน​พรรษา​แรก​ ​ๆ​ ​บ้าง​แล้ว​ ​ใน​ตอนนี้ก็ปรากฏว่า​ได้​เรียน​และ​หัดทำ​อีก​ ​แต่หลวงพ่อ​จะ​ไปศึกษา​เล่า​เรียนมา​จาก​สำ​นักของอาจารย์​ใด​บ้าง​ ​ไม่​ทราบ​ได้​ตลอด​ ​เท่า​ที่ทราบ​กัน​บ้างก็ว่า​ ​หลวงพ่อ​ได้​เรียน​กับ​นายสาบ้าง​ ​ไปเรียน​กับ​หลวงพ่อเทศ​ ​วัดสระทะ​เล​ ​บ้าง​ ​ไปเรียน​กับ​หลวงพ่อวัด​เขา​หน่อ​ ​ตำ​บลบ้านแดน​ ​อำ​เภอบรรพตพิสัย  จังหวัดนครสวรรค   ์บ้าง​เวทย์มนต์คาถา​หรือ​วิทยาอาคมแต่ก่อนๆ​ ​มาก็นิยม​กัน​ว่า​ ​สามารถ​ปลุกเสก​ให้​มี​เสน่ห์มหานิยม​หรือ​อยู่​ยงคงกระพันชาตรี​ ​หรือ​ขับไล่ภูตผีปีศาจ​ ​หรือ​ทำ​ให้​เกิดอำ​นาจเกิดอิทธิฤทธิ์ขึ้น​ ​และ​ทำ​ความ​ศักดิ์สิทธิ์ต่าง​ ​ๆ​ ​อย่างที่​เรียกว่าปาฏิหาริย์​ ​เป็น​ของที่นิยม​และ​เชื่อ​กัน​มา​แต่ดึกดำ​บรรพ์​ ​ดัง​จะ​เห็น​ได้​ใน​หนังสือเกี่ยว​กับ​เรื่องโบราณ​ ​มีปฐมสมโพธิ​ ​เป็น​ต้น​ ​การเรียน​และ​ฝึกหัดทำ​เวทย์มนต์คาถา
               วิทยาอาคมเหล่านี้​ ​เรียก​กัน​ว่า​ ​เรียนวิชา​ ​หรือ​เรียนคาถาอาคม​ ​แต่​โบราณมาก็สืบเสาะ​แสวงหาที่ร่ำ​เรียน​กับ​พระอาจารย์ตามวัด​ ​ดัง​จะ​เห็น​ได้​จาก​เรื่อง​ ​ขุนช้างขุนแผน​ ​เป็น​ต้น
ปรากฏว่า​ ​หลวงพ่อ​ “ทำ​วิชาขลัง” ​จน​เป็น​ที่​เลื่องลือท่าน​ผู้​อ่านบางท่าน​จะ​เชื่อ​หรือ​ไม่​ก็ตาม​ ​แต่​เห็น​จะ​มี​ผู้​รู้​ผู้​เห็น​ “ความ​ขลัง” ​ของหลวงพ่อประจักษ์​แก่ตา​และ​แก่ตนเอง​ ​แล้ว​เล่า​กัน​ต่อๆ​ ​ไป​ ​จน​เป็น​ที่ประจักษ์​แก่หู​อยู่​เป็น​อันมาก​ ​จึง​ปรากฏว่าประชาชน​ทั้ง​ชาวบ้าน​และ​ข้าราชการ​ทั้ง​ทหาร​และ​พลเรือน​ทั้ง​ใน​จังหวัดนครสวรรค์​และ​จังหวัดที่​ใกล้​เดียงตลอดไปจนจังหวัดที่ห่าง​ไกล​บางจังหวัด​ ​พา​กัน​ไปมอบตัว​เป็น​ศิษย์หลวงพ่อมากมาย​ ​ขอ​ให้​หลวงพ่อรดน้ำ​มนต์บ้าง​ ​ขอวิชาอาคมบ้าง​ ​ขอแป้งขอผงบ้าง​ ​ขอน้ำ​มันบ้าง​ ​ขอตะกรุดบ้าง​ ​ขอผ้าประ​เจียดบ้าง​ ​ขอรูป​และ​อื่นๆ​ ​บ้าง​ ​จาก​หลวงพ่อ​ ​และ​ที่​แพร่หลายที่สุดก็คือ​ ​ขอแหวนเงิน​หรือ​นิ​เกิลลงยันต์​ ​มีรูปหลวงพ่อนั่งขัดสมาธิที่หัวแหวน
              ต่อมา​เมื่อสมัยสงครามมหาอา​เซียบูรพา​ ​มีประชาชนพา​กัน​ไปหาหลวงพ่อ​ ​วันละมากมาก​ ​นอก​จาก​ขอของขลังเช่นกล่าว​แล้ว​ ​ยัง​พา​กัน​หาซื้อผ้าขาวผ้า​แดง​ ​ผืนหนึ่ง​ ​ๆ​ ​ขนาดกว้างยาวราว​ ๑๒ ​นิ้วฟุต​ ​ เอาน้ำ​หมึกไปทาฝ่า​เท้าหลวงพ่อ​ ​แล้ว​ยกขาของท่านเอาฝ่า​เท้ากดลงไป​ให้​รอยเท้าติดบนแผ่นผ้า​ ​บางคนก็กดเอา​ไปรอยเท้า​เดียว​ ​บางคนก็กดเอา​ไป​ทั้ง​สองรอย​ ​แล้ว​ก็​เอาผ้าผืน​นั้น​ไป​เป็น​ผ้าประ​เจียดสำ​หรับคุ้มครองป้อง​กัน​ตัว​ ​ฝ่า​เท้าของหลวงพ่อ​ต้อง​เปื้อนหมึก​อยู่​ตลอดทุกวัน​ ​หลวงพ่อเคยบ่น​กับ​ผู้​เขียน​ใน​เวลาลับหลัง​เขา​ว่า​
“มันทำ​กู​เป็น​หนูถีบจักร​ ​เมื่อยแข้งเมื่อยขา​ไปหมด”
ใน​เวลามีงานนักขัตฤกษ์ที่วัดหนองโพ​ ​หรือ​ที่วัด​อื่นๆ​ ​ซึ่ง​เขา​นิมนต์หลวงพ่อไป​เป็น​ประธานของงาน​ ​มัก​จะ​มีประชาชนมาขอแป้งขอน้ำ​มนต์น้ำ​มัน​และ​ของขลังต่าง​ ​ๆ​ ​กัน​เนื่อง​แน่นมากมาย​ ​ที่ก้มศีรษะมา​ให้​หลวงพ่อเสกเป่าหัว​ให้​ก็มี​ ​ที่ขอ​ให้​ถ่มน้ำ​ลายรดหัว​ไม่​น้อย​
             ผู้​เขียนจำ​ได้​ว่า​เมื่อคราวทำ​ศพหลวงน้าสมุห์ชุ่ม​ ​ที่วัดหนองโพ​ ​ใน​เดือนกุมภาพันธ์​ ​พ​.​ศ​. ๒๔๙๑ ​มี​ผู้​คนมา​ใน​งานศพ​นั้น​มากมาย​ ​และ​พา​กัน​ไปนั่งล้อมหลวงพ่อ​ ​ขอ​ “ของขลัง” ​บ้าง​ ​ให้​เป่าหัว​ให้​บ้าง​ ​ ให้​ถ่มน้ำ​ลายรดหัวบ้าง​ ​ครั้นค่อยเบาบาง​ผู้​คน​ ​หลวงพ่อก็​ให้​ศิษย์​ช่วย​พยุงตัวพาลุกหนีออกมากุฏิของท่าน​ ​แล้ว​มาคุย​กับ​ผู้​เขียน​ซึ่ง​กำ​ลังนั่งคุย​กันอยูที่ชานหน้ากุฏิอีกหลังหนึ่ง​และ​ตั้ง​อยู่​ห่าง​จาก​กุฏิ หลวงพ่อ​ ​พอปูอาสนะถวาย​ ​หลวงพ่อก็นั่งลง​แล้ว​บ่นว่า​
“เดี๋ยวคน​นั้น​ให้​ถ่มน้ำ​ลาย​ใส่​หัว​ ​เดี๋ยวคน​ให้​เป่าหัว​ ​จนคอแห้งผาก​ไม่​มีน้ำ​ลาย​จะ​ถ่ม​ ​เล่นเอา​จะ​เป็น​ลมเสีย​ให้​ได้”
             แต่พอหลวงพ่อมานั่งคุย​อยู่​ได้​สักประ​เดี๋ยวก็มีคนตามมาขอ​ให้​ทำ​อย่าง​นั้น​อีก​ ​หลวงพ่อก็ทำ​ให้​อีก​ ​ไม่​เห็นแสดงอาการเบื่อหน่ายระอิดระอา​
เมื่อพระภิกษุ​ซึ่ง​เป็น​ศิษย์รุ่น​ใหม่ๆ​ ​ไปขอเรียนคาถาอาคม​กับ​หลวงพ่อ​ ​ท่านก็​เมตตาบอก​ให้​แล้ว​เตือนว่า​
“เรียน​ไว้​เถอะดี​ ​แต่ต่อไป​จะ​คิด​ถึง​ตัว”
               เห็น​จะ​หมาย​ความ​ว่า​ ​เมื่อทำ​ว่า​ได้​ขลังขึ้น​แล้ว​ ​ถูกประชาชนรบกวนเหมือนอย่างที่หลวงพ่อประสบ​อยู่​จนตลอดชีวิตของท่าน
แต่ก็สังเกตเห็นตลอดมาว่า​ ​หลวงพ่อทำ​ให้​เขา​ด้วย​ความ​ยิ้มแย้มแจ่มใส​ ​เห็น​จะ​ปลงตกประหนึ่งถือ​เป็น​หน้าที่​จะ​ต้อง​ทำ​ให้​เขา​ทั่ว​หน้า​กัน​ ​เพราะ​หลวงพ่อ​เป็น​ผู้​มีอัธยาศัยกว้างขวาง​และ​ต้อนรับปฏิสันถารดี​ ​โอภาปราศรัยเหมาะ​แก่บุคคล​และ​กาลเทศะ​ ​ไม่​มาก​ไม่​น้อย​ ​ประกอบ​กับ​ท่านมีรูปร่างสูง​ใหญ่​ ​และ​มีอิริยาบถ​เป็น​สง่า​ ​จึง​เป็น​ที่น่า​เคารพยำ​เกรงของคน​ทั่ว​ไป
           กิตติคุณ​ใน​เรื่อง​ “วิชาขลัง” ​ของหลวงพ่อ​นั้น​ ​เป็น​ที่​เลื่องลือ​กัน​แพร่หลายมานานหนักหนา​ ​มี​เรื่องเล่า​กัน​ต่างๆ​ ​หลายอย่างหลายเรื่อง​ ​ถ้า​จะ​จดลง​ไว้​ก็​จะ​เป็น​หนังสือเล่ม​ใหญ่​ ​ผู้​เขียนเคย​ได้​ยิน​ได้​ฟังมาตั้งแต่​เป็น​เด็ก​ ​ครั้นเมื่อมีอายุมากขึ้น​ ​คราวหนึ่งเมื่อมี​โอกาส​จึง​กราบเรียนถามหลวงพ่อตรงๆ​ ​ว่า​   “มีดีจริงอย่างที่​เขา​เลื่องลือ​กัน​หรือ​ขอรับ​ ?”

​         ท่านก็ยิ้ม​แล้ว​ตอบว่า​ “เขา​พา​กัน​เชื่อถือ​กัน​ว่าอย่าง​นั้น​ดี​ ​มาขอ​ให้​ทำ​ก็ทำ​ให้”
         ฟังดู​เหมือนหลวงพ่อทำ​ให้​ตามใจ​ผู้​ขอ​ ​เมื่อ​เขา​ต้อง​การ​ ​ท่านก็ทำ​ให้​ ​ผู้​เขียน​จึง​กราบเรียนต่อไปว่า​ “คาถา​แต่ละบทดูครูบาอาจารย์​แต่ก่อน​ ​ท่านก็บอกฝอยของท่าน​ไว้​ล้วนแต่ดีๆ​ ​บางบทก็​ใช้​ได้​     หลายอย่างหลายด้าน​ ​จะ​เป็น​จริงตาม​นั้น​บ้างไหม​ ?”
           หลวงพ่อ​ได้​ไปรดชี้​แจงอย่างกลางๆ​ ​เป็น​ความ​สั้นๆ​ ​ว่า​ “ของจริง​ ​รู้จริง​ ​เห็นจริง​ ​ย่อมทำ​ได้​จริง”
            ครั้น​ผู้​เขียน​ได้​ฟังอย่างนี้​ ​ก็มิ​ได้​กราบเรียนซักถามหลวงพ่อต่อไป​ ​แต่หลวงพ่อ​ได้​เมตตาบอกคาถา​ให้​จดมา​ ๗ ​บท​ ​ขอนำ​มาพิมพ์​ไว้​ต่อท้ายประวัติของหลวงพ่อนี้

1093
                                           

                                                                                ประวัติพระครูนิวาสธรรมขันธ์​ (หลวงพ่อเดิม)

                                                                                                   วัดหนองโพ​

                                                                                       อำ​เภอตาคลี​      ​จังหวัดนครสวรรค์

                                                                                       จาก​หนังสือ​ ​กิตติคุณหลวงพ่อเดิม

                                                                                           ธนิต​ ​อยู่​โพธิ์​ ​เรียบเรียง
  ชาติภูมิ​ ​หลวงพ่อเดิมถือกำ​เนิดเมื่อวันพุธ​ ​แรม​ ๑๓ ​ค่ำ​ ​เดือน​ ๓ ​ปีวอก​ ​จุลศักราช​ ๑๒๒๒ (แรม​ ๑๓ ​ค่ำ​ ​นั่นมิ​ใช่​วันพุธ​ ​เป็น​วันศุกร์ตรง​กับ​วันที่​ ๘ ​กุมภาพันธ์​ ​พ​.​ศ​. ๒๔๐๓ ​โยมบิดาชื่อ​ ​นายเนียม​ โยมมารดาชื่อ​ ​นางภู่​ ​มีพี่น้องร่วมบิดา​ ​มารดา​ ​คือ
๑.   ​หลวงพ่อเดิม​ ​เพราะ​เหตุที่​เป็น​บุตรชายคนแรกของบิดามารดา​ ​ปู่ย่าตายาย​จึง​ให้​ชื่อว่า​ “เดิม”      ๒.   ​นางทองคำ​ ​คงหาญ     ๓.   ​นางพู​ ​ทองหนุน   ๔.   ​นายดวน​ ​ภู่มณี
๕.   ​นางพัน​ ​จันทร์​เจริญ   ๖.   ​นางเปรื่อง​ ​หมื่นนรา​เดชจั่น
      ต่อมา​เมื่อวันอาทิตย์​ ​แรม​ ๑๓ ​ค่ำ​ ​เดือน​ ๑๑ ​ปีมะ​โรง​ ​โทศก​ ​ตรง​กับ​วันที่​ ๓๑ ​ตุลาคม​ ​พ​.​ศ​. ๒๔๒๓ ​โยม​ผู้​ชายของหลวงพ่อ​ได้​พา​ไปอุปสมบท​เป็น​พระภิกษุภาวะ​ ​ณ​ ​พัทธสีมาวัด​เขา​แก้ว​ ​อำ​เภอพยุหะดีรี​ ​จังหวัดนครสวรรค์​โดย​มีหลวงพ่อแก้ววัดอินทาราม​ (วัด​ใน)​ ​เป็น​พระอุปัชฌายะ​ ​และ​หลวงพ่อเงิน​ (พระครูพยุหานุศาสก์) ​วัดพระปรางค์​เหลือง​  ​ตำ​บลท่าน้ำ​อ้อย​ ​กับ​หลวงพ่อเทศ​ ​วัดสระทะ​เล​ ​ตำ​บลสระทะ​เล​ ​เป็น​คู่สวด​ ​เมื่ออุปสมบท​ ​พระอุปัชฌาย์​ให้​นามฉายาว่า​ “พุทฺธสโร”

      (  ​หลวงพ่อเงินวัดพระปรางค์​เหลืองนี้ต่อมา​เป็น​พระครูพยุหานุศาสก์​ ​เจ้าคณะ​แขวงพยุหะดีรี​ ​จังหวัดนครสวรรค์​ ​ประชากรนับถือ​กัน​ว่า​เป็น​พระ​ผู้​เฒ่าที่มีคาถาอาคมขลัง​ ​และ​มีชื่อเสียงทางรดน้ำ​มนต์
​เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า​เจ้า​อยู่​หัว​ ​เสด็จประพาสมณฑลนครสวรรค์ขึ้นไปตามลำ​น้ำ​เจ้าพระยา​ได้​เสด็จขึ้นแวะ​เยี่ยม​และ​โปรด​ให้​หลวงพ่อเงินรดน้ำ​มนต์ถวายเมื่อวันที่​ ๑๑ ​สิงนาคม​ ​พ​.​ศ​. ๒๔๔๙ )
         ครั้นอุปสมบท​แล้ว​ก็มา​อยู่​วัดหนองโพ​ ​และ​ได้​เริ่มเล่า​เรียนศึกษา​เป็น​จริง​เป็น​จัง​ใน​ระยะนี้​เพราะ​เหตุที่หลวงพ่อ​ไม่​มี​โอกาส​ได้​อยู่​วัด​อยู่​วา​เล่า​เรียนศึกษา​กับ​พระมาตั้งแต่​เยาว์วัย​ ​เหมือนกุลบุตร​ทั้ง​หลาย​โดย​ทั่ว​ไป​ใน​สมัย​นั้น​ความ​รู้​ใน​วิชาหนังสือ​และ​วิทยาการต่าง​ ​ๆ​ ​ซึ่ง​โดย​ปกติกุลบุตร​อื่นๆ​ ​ที่​เคย​เป็น​ศิษย์วัด​ ​เมื่อระยะ​เด็ก​เขา​ศึกษา​เล่า​เรียน​กัน​มา​แต่ก่อนบวช​ ​หลวงพ่อ​ต้อง​มา​เล่า​เรียนเอา​เมื่อตอนอุปสมบท​แล้ว​แทบ​ทั้ง​นั้น​ ​แต่หลวงพ่อ​เป็น​คนมีมานะพากเพียร​เป็น​ยอดเยี่ยม​
หลวงพ่อเคยเล่า​ให้​ฟังว่า​ “ท่านมีนิสัย​จะ​ทำ​อะ​ไร​แล้ว​ต้อง​ทำ​ให้​สำ​เร็จ​ ​คิดอะ​ไร​ไม่​ได้​เป็น​ไม่​ยอมหยุดคิด​ ​คิดมันไปจนออกจน​เข้า​ใจ​ ​ดูอะ​ไร​ไม่​ได้​เรื่อง​ไม่​ได้​ความ​ ​ก็คิด​ค้น​มันไปจนแตกฉาน”
พออุปสมบท​แล้ว​ ​หลวงพ่อก็ตั้งต้นศึกษา​ความ​รู้​เป็น​การ​ใหญ่​ ​เมื่อมาจำ​พรรษา​อยู่​ใน​วัดหนองโพตลอดเวลา​ ๗ ​พรรษา​แรก​ได้​ศึกษา​เล่า​เรียนพระธรรมวินัย​และ​ท่องคัมภีร์วินัย​ ๑๐ ​ผูก​  ​กับ​หลวงตาชม​ ​ซึ่ง​เป็น​ผู้​ครองวัดหนองโพ​อยู่​ใน​เวลา​นั้น​ ​และ​ศึกษา​เล่า​เรียนพระปริยัติธรรม​และ​วิชาอาคม​กับ​นายพัน​ ​ชูพันธ์​ ​ผู้​ทรงวิทยาคุณ​อยู่​ใน​บ้านหนองโพ​ ​ซึ่ง​เป็น​ศิษย์รุ่น​เล็ก​ของหลวงพ่อเฒ่า​และ​ยัง​มีชีวิต​อยู่​ใน​สมัย​นั้นภายหลังเมื่อนายพัน​ถึง​มรณกรรม​แล้ว​ ​ได้​ไปจำ​พรรษา​และ​ศึกษา​เล่า​เรียน​กับ​หลวงพ่อมี​ ​ณ​ ​วัดบ้านบน​ ​ตำ​บลม่วงหัก​ ​อำ​เภอพยุหะดีรี​ ​จังหวัดนครสวรรค์​ ​อยู่​วัดบ้านบน​ ๒ ​พรรษา​ ​ใน​ตอนนี้หลวงพ่อก็หา​โอกาสไปเรียน​และ​หัดเทศน์​กับ​พระอาจารย์นุ่ม​ ​วัด​เขา​ทอง​ ​และ​ไปมอบตัว​เป็น​ศิษย์​เรียนข้อธรรม​และ​วินัย​กับ​อาจารย์​แย้ม​ ​ซึ่ง​เป็น​ฆราวาส​และ​อยู่​ที่วัดพระปรางค์​เหลือง​ด้วย​ ​จนนับว่า​เป็น​ผู้​มี​ความ​รู้​แตกฉานพอแก่สมัย​นั้น​ก็​เริ่ม​เป็น​นักเทศ

                 
                                                                                                เป็น​นักเทศน์

เล่า​กัน​มาว่า​ ​หลวงพ่อเคยเทศน์​เก่ง​ ​ทั้ง​เทศน์คู่​และ​เทศน์​เดี่ยว​ ​ฉลาด​ใน​การวิสัชนาปัญหาธรรม​ ​และ​เข้า​ใจแยกแยะ​ให้​อรรถาธิบายข้อธรรม​ให้​ผู้​ฟัง​เข้า​ใจ​ได้​ง่าย​ ​จนปรากฏว่า​ใน​ครั้ง​นั้น​มีคนชอบ นิมนต์หลวงพ่อไปเทศน์​กัน​เนื่องๆ​ ​พูด​กัน​จน​ถึง​ว่า​ ​พอเทศน์​ใน​งานนี้จบ​ ​ก็มีคน​เข้า​ไปประ​เคนพานหมากนิมนต์​ไปเทศน์​ใน​งานโน้นอีก​ ​ติดต่อ​กัน​ไป
        หลวงพ่อ​เป็น​นักเทศน์​อยู่​หลายปี​ ​แต่​แล้ว​หลวงพ่อก็​เลิกเทศน์​ ​เหตุที่​เลิกเทศน์​นั้น​ ​เพราะ​หลวงพ่อปรารภว่า​
        “มัวแต่​ไปเที่ยวสอนคน​อื่น​ ​และ​เอาสตางค์​เขา​เสียอีก​ด้วย​ ​ส่วน​ตัวเอง​ไม่​สอนสักที​ ​ต่อไปนี้​ต้อง​สอนตัวเองเสียที”

​         ต่อแต่​นั้น​มาก็​เลิกเทศน์​เป็น​เด็ดขาด​ ​แม้​จะ​มี​ใครมานิมนต์​เทศน์อีกหลวงพ่อก็​ไม่​รับนิมนต์​ ​ถ้า​เจ้าของงาน​ต้อง​การ​จะ​ได้​พระ​เทศน์จริง​ ​ๆ​ ​หลวงพ่อก็ระบุ​ให้​ไปนิมนต์พระภิกษุรูป​อื่น​ไปเทศน์​แทน​ ​แต่​ถ้า​เป็น​ธรรมสากัจฉา​ ​หลวงพ่อก็ชอบฟัง​ ​และ​ถ้า​ปัญหาธรรมที่หยิบยกขึ้นมาวิสัชนา​กัน​นั้น​ ​แก้​ไข​กัน​ไม่​แจ่มแจ้งหลวงพ่อก็​ช่วย​วิสัชนา​แยกแยะอรรถาธิบาย​ให้​แจ่มแจ้งจนคลายข้อกังขา
          เมื่อเลิก​เป็น​นักเทศน์​แล้ว​ใน​พรรษาที่​ ๙ - ๑๐ ​และ​ ๑๑ ​หลวงพ่อ​ได้​ไปเรียนทางวิปัสสนา​กับ​หลวงพ่อเงิน​ (พระครูพยุหานุศาสก์) ​วัดพระปรางค์​เหลือง​ ​อำ​เภอพยุหะดีรี​ ​จังหวัดนครสวรรค์​ ​เรื่องเรียนวิปัสสนากรรมฐาน​นั้น​ ​หลวงพ่อปฏิบัติจริงจังตลอดมา​ ​ท่านนั่งตัวตรงตามหลักพระบาลีที่ว่า​ “นิสีทติ​ ​ปลฺลงฺกํ​ ​อาภุชิตฺวา​ ​อุชุ ​กายํ​ ​ปณิธาย​ ​ปริมุขํ​ ​สตึ​ ​อุปฏฺฐเปตฺวา​ - ​นั่งคู้บัลลังก์​ ​ตั้งกายตรง​ ​ตั้งสติกำ​หนดอารมณ์​ไว้​เฉพาะหน้า” ​หลวงพ่อนั่งตัวตรงเสมอมาจนอายุ​ ๙๐ ​เศษ​ ​ก็​ยัง​นั่งตัวตรง​



1094


์หลวงพ่อเต๋​ ​คงทอง​ ​วัดสามง่าม

​การสร้างวัตถุมงคลของ​ ​หลวงพ่อเต๋​ ​คงทอง​ ​วัดอรัญญิการาม​ ​หรือ​ที่ชาวบ้านนิยมเรียกว่า​ ​วัดสามง่าม​ ​อ​.​ดอนตูม​ ​จ​.​นครปฐม​ ​หลวงพ่อท่าน​ได้​สร้าง​ไว้​หลายแบบ​ ​มาตั้งแต่ครั้งสงครามโลกครั้งที่​ ๒ ​มี​ทั้ง​แบบพระ​เนื้อดิน​ ​เนื้อผง​ ​เนื้อว่าน​ ​เหรียญรูปเหมือน​ ​พระกริ่ง​ ​รูปหล่อ​ ​และ​เหรียญหล่อ​

 ​นอก​จาก​นี้​ ​ท่าน​ยัง​สร้างเครื่องรางของขลังอีก​ด้วย​ ​เช่น​ ​ผ้ายันต์​ ​เสื้อยันต์​ ​แหวนแขน​ ​ตะกรุดหนังเสือ​ ​ตะกรุดสามห่วง​ ​สีผึ้ง​ ​เป็น​ต้น​ ​แต่ละอย่างล้วนมีอภินิหาร​เป็น​ที่ประจักษ์​และ​เล่าขาน​กัน​มาทุกวันนี้​

 ​พระ​เครื่อง​และ​เครื่องรางของท่าน​ไม่​ได้​เน้นเรื่อง​ความ​สวยงาม​ ​แต่​เน้นเรื่องพุทธคุณ​ ​เพราะ​ท่านตั้งใจสร้าง​ให้​บูชาติดตัว​ ​เพื่อป้อง​กัน​ภัยต่างๆ​ ​มี​ทั้ง​ทางมหาอำ​นาจ​ ​เมตตามหานิยม​ ​แคล้วคลาด​ ​เนื้อพระ​ส่วน​มาก​เป็น​แบบเนื้อดินผสมผงปนว่าน​ ​เนื้อดินอาถรรพณ์นำ​มาจัดสร้างวัตถุมงคล​ ​ได้​แก่​ ​ดินโป่ง​ ๗ ​โป่ง​ ​ดิน​ ๗ ​ป่าช้า​ ​ดินขุยปู​ ​เป็น​ต้น​ ​ผสมลงไป​ใน​พระทุกพิมพ์​ ​ด้านหลังองค์พระ​จะ​ประทับชื่อ​ ​หลวงพ่อเต๋​ ​กดลึกลงไป​ใน​เนื้อพระ​

 ​วัตถุมงคลที่สร้างชื่อเสียง​ให้​ท่านมาจนทุกวันนี้​ ​คือ​ ​ตุ๊กตาทอง​ ​หรือ​ที่นิยมเรียก​กัน​ว่า​ ​กุมารทอง​ ​ตำ​ราการสร้าง​ได้​จาก​ ​หลวงลุงแดง​ ​ประกอบ​ด้วย​ ​ดินโป่ง​ ๗ ​โป่ง​ ​ดิน​ ๗ ​ป่าช้า​ ​ดินขุยปู​ ​เป็น​ต้น​ ​นำ​มาปั้น​ ​ตุ๊กตาทอง​ (กุมารทอง) ​แจกชาวบ้าน​ ​นำ​ไป​ไว้​เป็น​เครื่องคุ้มครอง​ ​เพราะ​ดินดังกล่าว​จะ​มี​เทวดารักษา​ ​จึง​มี​ความ​ศักดิ์สิทธิ์​ ​หลวงพ่อปั้น​แล้ว​เอาวางนอน​ไว้​ ​จึง​ทำ​การปลุกเสก​ให้​ลุกขึ้นเองตามตำ​รา​ ​ตุ๊กตาทองนี้นิยม​กัน​มาก​ ​ใคร​ได้​ไปบูชามัก​จะ​มี​เรื่องเล่าสู่​กัน​ฟัง​เป็น​ที่อัศจรรย์​ ​ต่อมาทำ​ราย​ได้​มหาศาล​ ​สามารถ​ขออะ​ไรสำ​เร็จทุกอย่าง​

 ​ใน​ปี​ ๒๕๐๕ ​ท่าน​ได้​จัดสร้างพระ​เครื่องเนื้อดิน​ ​พิธี​ใหญ่​อีกครั้ง​ ​เพื่อฉลองอายุครบ​ ๕ ​รอบ​ ​เนื้อดินที่​ใช้​ยัง​ได้​นำ​ดินทวารวดีที่ชำ​รุดหัก​ ​และ​ผงว่านผสมลงไป​ด้วย​ ​สังเกตเนื้อองค์พระ​เมื่อเผา​แล้ว​เนื้อดิน​จะ​นุ่มเมื่อถูกเหงื่อถูกสัมผัส​ ​ปรากฏมวลสาร​และ​ว่าน​ ​แลดู​เก่ามาก​ ​พิมพ์ที่จัดสร้างมีดังนี้​

 ๑.​พระรูปเหมือนซุ้มเรือนแก้ว​

 ๒.​พระปรกโพธิ์​ใหญ่​

 ๓.​พระปรกโพธิ์​เล็ก​

 ๔.​พระตรีกาย​ (พระสาม)

 ๕.​พระทุ่งเศรษฐี​

 ​พระ​เครื่องเนื้อดิน​ ๔ ​พิมพ์​แรก​ ​ด้านหลัง​จะ​มียันต์อักขระนูน​ ​เรียก​กัน​ว่า​ ​ยันต์สามง่าม​ ​เนื่อง​จาก​ด้านหลังมีรูป​ ​ตรี​ ​เป็น​สัญลักษณ์ของวัดสามง่ามนั่นเอง​ ​ส่วน​พระทุ่งเศรษฐี​ ​ด้านหลังมียันต์​และ​ชื่อฉายา​ ​คงทอง​ ​กดประทับลึกลงไป​ใน​เนื้อ​

 ​อย่างไรก็ตาม​ ​หากประมวลคาถา​ ​หรือ​ยันต์หลังเหรียญรุ่นต่างๆ​ ​ของหลวงพ่อเต๋​ ​จะ​พบว่า​ ​ไม่​มียันต์ตัว​ใด​เป็น​ยันต์​เอกลักษณ์​ ​หรือ​ยันต์​เฉพาะประจำ​ตัวของท่านเลย​

 ​คาถา​ ​หรือ​ยันต์​ ​ที่พบ​ส่วน​ใหญ่​จะ​เป็น​ยันต์หลักๆ​ ​เช่น​ ​คาถาพระ​เจ้า​ ๕ ​พระองค์​ ​ที่ว่า​ "นะ​ ​โม​ ​พุท​ ​ธา​ ​ยะ​" ​คาถาหัวใจธาตุสี่​ ​ที่ว่า​ "นะ​ ​มะ​ ​พะ​ ​ทะ​"

 ​ส่วน​ยันต์ที่ปรากฏบนเหรียญรุ่นวางศิลาฤกษ์​โรงเรียน​ ​ปี​ ๒๕๑๒ ​คือ​ ​คาถาหัวใจพระ​เจ้า​ ๔ ​องค์​ "นะ​ ​กะ​ ​อะ​ ​ปิ​" ​สันนิษฐานว่า​ ​คาถาตัวนี้ท่านน่า​จะ​ได้​รับการถ่ายทอดมา​จาก​หลวงพ่อแช่ม​ ​วัดตาก้อง​ ​หรือ​หลวงพ่อทา​ ​วัดพะ​เนียงแตก​ ​ซึ่ง​เป็น​อาจารย์ของท่าน​

 ​สำ​หรับพุทธคุณของวัตถุมงคลของหลวงพ่อเต๋​  ​ถ้า​พิจารณา​จาก​คาถา​และ​ตัวยันต์​ ​รวม​ทั้ง​มวลสารที่นำ​มา​ใช้​สร้าง​แล้ว​ ​พุทธคุณน่า​จะ​เด่นทางด้านป้อง​กัน​ภัย​ ​และ​คงกระพันชาตรี​ ​ส่วน​พระที่​เป็น​เนื้อผง​ ​สร้าง​จาก​ดิน​ ๗ ​ป่าช้า​ ​ดินโป่ง​ ​ขุยปูอุด​ ​จะ​เน้นด้านเมตตามหาลาภ​ ​ซึ่ง​ปัจจุบันนี้หลวงปู่​แย้ม​ ​เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน​ ​ซึ่ง​เป็น​ศิษย์​เอกของท่าน​ ​ยัง​คงรักษาตำ​รับการสร้างวัตถุมงคลแนวของหลวงพ่อเต๋​อยู่​

 ​หลวงพ่อเต๋​ ​คงทอง​ ​มรณภาพ​โดย​อาการสงบ​ ​เมื่อวันที่​ ๒๕ ​ธันวาคม​ ๒๕๒๔ ​รวมสิริอายุ​ได้​ ๘๐ ​ปี​ ๖ ​เดือน​ ๑๐ ​วัน​ ​พรรษา​ ๕๙ ​ปัจจุบันทางวัด​ยัง​คงบรรจุสังขารของท่าน​ไว้​ให้​ลูกศิษย์ลูกหา​ ​รวม​ทั้ง​ผู้​ที่​เคารพศรัทธา​ ​ได้​ไปกราบไหว้บูชาจนทุกวันนี้​

 ​อย่างไรก็ตาม​ ​ต้อง​ขอขอบคุณ​ ​คุณสมศักดิ์​ ​ศกุนตนาฏ​ ​บรรณาธิการอำ​นวยการ​ ​สำ​นักพิมพ์คเณศ์พร​ ​ที่​เอื้อเฟื้อภาพ​และ​ข้อมูล​จาก​หนังสือ​ "หลวงพ่อเต๋​ ​คงทอง"

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1096
ธรรมะ / ตอบ: เห็นกงจักรเป็นดอกบัว
« เมื่อ: 31 มี.ค. 2550, 03:36:13 »
สาธุ สาธุ สาธุ

1097
ไปวัด ได้ทำบุญ ค่าดอกไม้ ธูป เทียน ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า มีบุญติดตัวกลับบ้าน

คิดเอานะโยม

1098
หลวงพ่อกาย วัดอำปืน ประเทศกัมพูชา หรือเปล่าครับ ตอนนี้ได้ข่าวว่าท่าน ย้ายจากวัดแจ้งสิริสัมพันธ์ นนทบุรี มาอยู่วัดรวก
บางสีทอง บางกรวย นนทบุรี แล้ว

1099
รายละเอียด เดี๋ยวน้อง กุ๊งกิ๊ง คงจะนำมาลงเสนอ นะครับ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1100
1. พระผงซุ้มรัศมี ปี 33
2. พระผงยาจินดามณี
3. พระผงขี่เสือพิมพ์ใหญ่ ปี 33

1101
ตะกรุด ที่พุทธานุภาพแนะนำ ล้วนแต่สุดยอดทั้งนั้น
ราคาก็หลักหมื่นขึ้น คนกระเป่าแฟบ หมดสิทธิเป็นเจ้าของ ได้แต่หารูปดู ของเก๊มีตั้งแต่รุ่นปู่แล้วครับ
หาเกจิ รุ่นกลางเก่ากลางใหม่ หรือ ใหม่ ที่เก่ง ราคาประหยัด ก็พอครับ :-*

1103
เข้าไปดู 2 เวป นี้อาจจะพอใจบ้าง

http://www.ounamilit.com/b23_iron.htm

http://xchange.teenee.com/index.php?showtopic=29214

1104
1. ตะกรุด หลวงพ่อเปิ่น  2. ตะกรุด หลวงพ่อพุฒ วัดกลางบางพระ 3. ตะกรุด อาจารย์จิ วัดหนองหว้า เพชรบุรี ใกล้กับหลวงพ่อตัด วัดชายนา
4. ตะกรุด หลวงพ่อประเทื่อง วัดด่านเจริญชัย เพชรบูรณ์ ศูนย์พรหมวิหาร เดอะมอลล์บางแค ชั้นจอดรถด้านล่าง เรื่องเหนียวไม่ต้องพูดถึง 5. ตะกรุด หลวงพ่อประสิทธิ์ วัดไทรน้อย
อันดับ 1 นนทบุรี ในเรื่องตะกรุดตั้งแต่ปี 2500-2550 ประสบการณ์มาก 6. ตะกรุดคอหมา หลวงพ่อแย้ม ปราณี วัดตะเคียน นนทบุรี  มีอีกมากมายหลวงพ่อดีๆ เก่งๆ

1105
หนังสือ หาซื้อได้ตามแผงทั่วไป แต่ต้องรีบหน่อย ตอนนี้ขายดี คนเอาไปดู จตุคามรามเทพ รุ่นใหม่ๆ สวยๆ เพื่อเอาไปจองครับ

1106
นิตยสารพระเครื่อง นะโม ลองซื้ออ่านดู เล่มละ 30 บาท อาจมีคำตอบให้คุณ

1107
การมาวัดบางพระ มารถไฟจากหลักสี่ มาลงที่ หัวลำโพง ต่อรถ สาย 7 หรือ ปอ.สาย 7 มาลงตลาดบางแค แล้วต่อ
รถ บขส. สาย 83 กรุงเทพฯ - นครปฐม หรือ สาย 76 กรุงเทพ - ราชบุรี มาลงที่ท่านา แยกเข้าอำเภอนครชัยศรี แล้วข้ามฝั่ง ต่อรถไป
วัดบางพระ ถึงแน่นถ้าไม่นั้งรถเลย

1109
ใช้สายตาอันดุดัน








1110
งานวันไหว้ครู

สงบนิ่ง ต้านความเคลื่อนไหว





ไปดีกว่า


1112
ขโมยภาพ มาจากเวป http://www.pixpros.net/forums/showthread.php?t=4390 ท่านเจ้าของคงให้อภัยนะครับ

สักอย่างนี้ เรียกว่าอะไร หมวกเหล็ก ?



แลกมาด้วยความเจ็บ



ดูกันชัดๆ หน่อย



1113
พิธีกรรมไหว้ครูนี้ จะเป็นศิษย์สายวัดบางพระ หรือ ลายสัก เหมื่อนวัดบางพระ หรือไม่ก็ตาม ขอให้คิดว่าในประเทศไทยเรา
มีครูบาอาจารย์ หลายศิษย์ หลายสำนัก พิธีกรรมย่อมจะมีความเข็มขลังแตกต่างกันไป และจะดำรงค์ความเข็มขลังต่อไป ตราบใดที่ยังมีผู้ศัทธาวิชาอาคม
ลายสักยันต์ และ เครื่องลางของขลัง อยู่ตลอดไป



1114
อยากได้แบบแขวนคอนะคับ ถ้าไปเป็นการรบกวนบอกทางไปวัดหรืออยู่จังหวัดไหนได้ใหมคับขอบคุณคับ


เห็นมีที่ วัดไผ่ล้อม นครปฐม (หลวงพ่อพูล) มีท้าวเวสสุวรรณ เนื้อโลหะ และ เนื้อผงตะเคียน คงไปถูกนะครับ ก่อนถึงองค์พระปฐม

1115
ถ้าไม่จำกัดว่าต้องบูชาจากวัดเองโดยตรง ก็ต้องตามศูนย์พระเครื่องที่มีมาตรฐาน ตามห้างใหญ่ๆ เช่นห้างพาต้า เดอะมอลล์ บางแค
ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต แต่ที่แนนะนำ นิยม เกร็ดมณี วัดกระจับพินิจ เจ้าเก่า เจ้าเดิม บริการมา 20 กว่าปีแล้ว ของเอามาจากวัดโดย
ตรง ไม่รับดูพระ ไม่รับซื้อพระ ไม่ขายของเก้ (อยู่สำเหร่ กทม.) ไม่ได้โฆษณาให้นะครับ

1116
บทความ บทกวี / ตอบ: พญาครุฑ
« เมื่อ: 22 มี.ค. 2550, 08:05:23 »





1117
ส่วนใหญ่แล้วจะทำพร้อมกันที่กุฎิใหญ่ หลวงพ่อสำอางค์ ค่าพานครู
20 บาท ที่เหลือแล้วแต่ทำบุญ ลงนะหน้าทอง ผู้หญิง ใช้ทองคำเปลว ลงหน้า 2 แผ่น อีก 1 แผ่น ลงสาริกาลิ้นทอง
[/si e]
ส่วนที่กุฎิ หลวงพี่ติ่ง ค่าดอกไม้ธูปเทียน บุหรี ชุดใหญ่ ทอง 9 แผ่น 90-100 บาท ชุดธรรมดา ทอง 3-5 แผ่น
 ชุดละ 60 บาท ค่าครู 25 บาท ที่เหลือแล้วแต่ทำบุญ จะส่วนร่วม หรือ ส่วนตัวก็ได้ มีแบบลงเข็มสัก กับแบบ ไม่ลงเข็มสัก
แล้วแต่จะเลือก แต่ต้องบอกท่านก่อน ไม่อย่างนั้นลงเข็ม
ท่านจะลงแป้งผัดหน้าให้ด้วย

1118
อาจารย์ ที่ลงเข็มผมรูปแรก


1120
สมัยหนุ่ม เป็นพระที่หน้าตาดีมาก(หล่อ)


1121
ภาพในอดีต ที่ต้องระลึกถึง
[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1122
โทษรูปเล็กไปหน่อย ไม่ค่อยชัด


1123
แดงกว่า



ชมพู



ดำ


1124
ยันต์เหลือง



ส้ม



น้ำเงิน



แดง




1125
ราชันบูรพา






วัดคอหงษ์







1126
จำไม่ได้ว่าเอามาจากไหน ถ้าซ้ำขออภัยด้วย


1127
ตามกระทู้เก่าไว้ อย่าให้ตกหาย

http://www.bp-th.org/webboard/index.php/topic,1025.0.html

1128
อ่านกระทู้เก่าๆ จะได้มีภูมิติดตัวเพื่อในการโพสในอนาคต จะได้ตั้งคำถามดีๆ ต่อไป

1129
ที่นี่ มีคำตอบพร้อมเสร็จ
http://www.bp-th.org/webboard/index.php/topic,1028.0.html

1131
ตนนี้ ครับ

1132


                ของวัดถ้ำแฝด  กาญจนบุรี

1133

ภุมมัฏฐเทวดา
          ได้แก่ เทวดาที่อาศัยอยู่ตามสถานที่ต่างๆ เช่น ภูเขา แม่น้ำ มหาสมุทร ใต้พื้นดิน ตามบ้านเรือน ซุ้มประตู เจดีย์ ศาลา เป็นต้น ท้าวมหาราชทั้ง ๔ จะอยู่ตอนกลางรอบเขาสิเนรุ มีปราสาท

เป็นวิมานของตนเอง สำหรับ เทวดาอื่นที่ไม่มีวิมาน ก็ต้องไปอาศัยอยู่ตามสถานที่ดังกล่าวข้างต้น โดยถือเอาสถานที่นั้นเป็นวิมานของตน
           รุกขเทวดา
          ได้แก่ เทวดาที่อาศัยอยู่ตามต้นไม้ มีอยู่ ๒ จำพวก คือ พวกที่มีวิมานอยู่บนต้นไม้ กับพวกที่ไม่มีวิมาน รุกขเทวดาที่มีวิมานนั้น จะเอา วิมานตั้งอยู่บนยอดไม้ ส่วนเทวดาที่ไม่มีวิมานของตน

เอง ก็จะอาศัยอยู่บนคบไม้ หรือ กิ่งก้านของต้นไม้
           อากาสัฏฐเทวดา
          ได้แก่ เทวดาที่มีวิมานของตนเองในอากาศ ตั้งอยู่ในอากาศ ภายใน และภายนอกของวิมาน จะประกอบด้วยรัตนะ ๗ อย่าง ซึ่งเกิดขึ้นด้วยอำนาจ ของกุศลกรรม คือ แก้วมรกต แก้วมุกดา

แก้วประพาฬ แก้วมณี แก้ว เชียร เงิน และทอง บางวิมานก็มี ๒ รัตนะ บางวิมานก็มี ๓, ๔, ๕, ๖ รัตนะ ขึ้นอยู่กับบุญกุศลที่ตนได้สร้างไว้ วิมานเหล่านี้ จะลอยหมุนเวียนไปในอากาศรอบ ๆ เขาสิเนรุ

 

เทวดาในชั้นจาตุมหาราชิกา บางพวกก็ขาดเมตตาธรรม จัดเป็นพวกเทวดาใจร้าย มี ๔ จำพวก คือ
            ๑. คันธัพพี คันธัพโพ
          ได้แก่ เทวดาคันธัพพะ ที่ถือกำเนิดภายในต้นไม้ที่มีกลิ่นหอม เรา เรียกกันว่านางไม้ หรือแม่ย่านาง ชอบรบกวนให้เกิดอุปสรรคต่าง ๆ เช่น ให้ เกิดเจ็บป่วย หรือทำอันตรายแก่ทรัพย์สมบัติ

ที่นำไม้นั้นมาใช้สอย หรือนำมาปลูกบ้านเรือน เทวดาจำพวกนี้อยู่ในความปกครองของ ท้าวธตรัฏฐะ คันธัพพเทวดานี้ สิงอยู่ในต้นไม้นั้นตลอดไป แม้ว่าใครจะตัดฟันไป ทำเรือ แพ บ้าน เรือน หรือ

เครื่องใช้สอยอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็คงสิงอยู่ในไม้นั้น ซึ่งผิดกับรุกขเทวดาที่อาศัยอยู่ตามต้นไม้ ถ้าต้นไม้นั้นตายหรือถูกตัดฟัน ก็ย้ายจากต้นไม้นั้นไปต้นไม้อื่น
           ๒. กุมภัณโฑ กุมภัณฑี
          ได้แก่ เทวดากุมภัณฑ์ ที่เราเรียกว่า รากษส เป็นเทวดาที่รักษา สมบัติต่าง ๆ มี แก้วมณี เป็นต้น และรักษาป่า ภูเขา แม่น้ำ ถ้ามีผู้ล่วงล้ำ ก้ำเกินก็ให้โทษต่าง ๆ เทวดาจำพวกนี้ อยู่ในความ

ปกครองของท้าววิรุฬหก
           ๓. นาโค นาคี
          ได้แก่ พวก เทวดานาค จะมีวิชาเกี่ยวกับเวทมนต์คาถาต่าง ๆ ขณะท่องเที่ยวไปในมนุษยโลก บางทีก็เนรมิตเป็นคน หรือเป็นสัตว์ เช่น เสือ ราชสีห์ เป็นต้น โดยเฉพาะชอบลงโทษพวกสัตว์

นรก เทวดาจำพวกนี้ อยู่ในความปกครองของท้าววิรูปักขะ 
          ๔. ยักโข ยักขี
          ได้แก่ พวก เทวดายักษ์ จะพอใจในการเบียดเบียนสัตว์นรก เทวดา จำพวกนี้ อยู่ในความปกครองของท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ เทวดาทั้ง ๔ จำพวกนี้ จะเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา

ภูมิ เพราะอยู่ใกล้ชิดกับมนุษยภูมิ


คาถาบูชาท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท้าวกุเวร

อิติปิโสภะคะวา  ยมมะราชาโน  ท้าวเวสสุวรรณโณ
มรณังสุขัง  อะหังสุคะโต  นะโมพุทธายะ
ท้าวเวสสุวรรณโณ จตุมหาราชิกา  ยักขะพันตา ภัทภูริโต
เวสสะ พุสะ พุทธัง อะระหัง พุทโธ ท้าวเวสสุวรรณโณ  นะโมพุทธายะ

1134
                            ท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท้าวกุเวร



ท้าวเวสสุวรรณ เป็นอธิบดีแห่งอสูรย์หรือยักษ์ หรือเป็นเจ้าแห่งผี เรียกง่าย ๆ ว่า " นายผี " เป็นหนึ่งในบรรดาท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ผู้คุ้มครองและดูแลโลกมนุษย์ สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุ

มหาราชิกา ซึ่งมีท้าวมหาราชทั้งสี่ปกครอง คือ ท้าวธตรัฏฐะ ท้าววิรุฬหกะ ท้าววิรูปักขะ และท้าวเวสสุวรรณ (ท้าวกุเวร) ประจำทิศต่างๆ ทั้งสี่ทิศโดยเฉพาะท้าวเวสสุวรรณ (ท้าวกุเวร) เป็นใหญ่

ปกครองบริวารทางทิศเหนือ ว่ากันว่าอาณาเขตที่ท้าวเธอดูแลปกครองรับผิดชอบมีอาณาเขตใหญ่โตมหาศาล กว้างขวาง และเป็นใหญ่ (หัวหน้าท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4) กว่าท้าวมหาราชองค์อื่น
           ท้าวเวสสุวรรณ เป็นเทพแห่งขุมทรัพย์ เป็นมหาเทพแห่งความร่ำรวย มั่งคั่ง รักษาสมบัติของเทวโลก ทั้งเป็นเจ้านายปกครองดูแลพวกยักษ์ ภูติผีปีศาจทั้งปวง ( ในคัมภีร์เทวภูมิ กล่าวไว้ว่า

ท้าวเวสสุวรรณได้บำเพ็ญบารมี มาหลายพันปี รับพรจาก พระอิศวร พระพรหม ให้เป็นเทพแห่งความร่ำรวย ) นอกจากนี้หน้าที่ของท้าวเธอมีมากมาย เช่น การดูแลปกป้องคุ้มครอง พระพุทธศาสนา ,

ปกป้องคุ้มครองแก่ผู้นั่งสมาธิปฏิบัติพระกรรมฐาน เป็นต้น
           ในคัมภีร์โบราณ ได้กล่าวไว้ว่าผู้ใดหวังความเจริญในลาภยศ ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจวาสนา ให้บูชารูปท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท้าวกุเวร
ภูมิที่อยู่ต่อจากมนุษยภูมิขึ้นไป มีเทวดาผู้เป็นใหญ่ เป็นมหาราชอยู่ ๔ องค์ คือ
๑. ท้าวธตรัฏฐะ  อยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครอง คันธัพพเทวดา
๒. ท้าววิรุฬหกะ  อยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครอง กุมภัณฑ์เทวดา
๓. ท้าววิรูปักขะ  อยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครอง นาคเทวดา
๔. ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ   อยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครอง ยักขเทวดา
            มหาราชทั้ง ๔ นี้ เป็นผู้รักษามนุษยโลก หรือเรียกว่า ท้าวจตุโลกบาล ซึ่งมีสถานที่ปกครองตั้งแต่ตอนกลางของเขาสิเนรุ ลงมาจนถึงมนุษยโลก มีอาณาเขตแผ่ออกไปจดขอบจักรวาล

เทวดาทั้งหลายที่อยู่ในชั้นจาตุมหาราชิกาภูมินี้ทั้งหมด เป็นบริวารภายใต้อำนาจของมหาราชทั้ง ๔
            เมื่อเทียบเวลาระหว่างมนุษย์กับสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิแล้ว ๕๐ ปี ในมนุษย์ เท่ากับ ๑ วัน ของเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ

๑. ปัพพตัฏฐเทวดา เทวดาที่อาศัยอยู่ที่ภูเขา
๒. อากาสัฏฐเทวดา เทวดาที่อาศัยอยู่ในอากาศ
๓. ขิฑฑาปโทสิกเทวดา เทวดาที่มีความเพลิดเพลินในการเล่นกีฬา จนลืมกินอาหารแล้วตาย
๔. มโนปโทสิกเทวดา  เทวดาที่ตายเพราะความโกรธ
๕. สีตวลาหกเทวดา เทวดาที่ทำให้อากาศเย็นเกิดขึ้น
๖. อุณหวลาหกเทวดา เทวดาที่ทำให้อากาศร้อนเกิดขึ้น
๗. จันทิมเทวปุตตเทวดา  เทวดาที่อยู่ในพระจันทร์
๘. สุริยเทวปุตตเทวดา เทวดาที่อยู่ในพระอาทิตย์
      เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกานี้ มีอยู่ตั้งแต่กลางเขาสิเนรุจนกระทั่งถึงพื้นดินที่มนุษย์อยู่ มีชื่อเรียกตามที่อยู่ที่อาศัย ดังนี้
 ** อยู่บนพื้นดิน  เรียกว่า  ภุมมัฏฐะเทวดา
 ** อยู่บนต้นไม้  เรียกว่า  รุกขะเทวดา
 ** อยู่ในอากาศ (มีวิมานอยู่)  เรียกว่า  อากาสัฏฐะเทวดา
           ภุมมัฏฐเทวดา

1135
ตามกระทู้เก่าให้นะครับ
http://www.bp-th.org/webboard/index.php/topic,1427.0.html

1137
บทความ บทกวี / อยากให้ดูเฉยๆ
« เมื่อ: 20 มี.ค. 2550, 01:43:53 »
พิธีครอบมงกุฎพระเจ้า

พระอาจารย์ วัชระ เอกวัณโณ

   ศิษย์เอกหลวงพ่อสัมฤทธิ์ คัมภีโร     

สาวน้ำตาเทียนสะเดาะเคราะห์ ปัดเป่าเคราะห์กรรม ล้างอาถรรพณ์


 



ถ้าเอ่ยชื่อ "วัดถ้ำแฝด" ตั้งอยู่ที่ ต.เขาน้อย อ. ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ใครๆ ก็รู้จัก เป็นวัดที่เรียกได้ว่าเป็น เจ้าตำแหน่งแห่งเหล็กไหล ที่มีผู้คนหลั่ง

ไหลไปมากมายในแต่ละวัน

  อิติปิโสวิเสเสอิ   
  อิเสเสพุทธนาเมอิ   
  อิเมตังพุทธตังโสอิ   
  อิโสตังพุทธปิติอิ   

นี่คือสุดยอดพระคาถาเอกของโลกที่มีชื่อว่า "มงกุฏพระเจ้า" และเป็นพระคาถาที่เกี่ยวพันธ์กับวัดถ้ำแฝดมาช้านาน บ้างก็ว่ามงกุฏพระเจ้าก็สุดแต่จะ

เรียกกันไป แต่บรมครูอาจารย์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซาบซึ้งแก่ใจกันดีว่า เป็นคาถาที่มีความศักดิ์สิทธิ์มีอภินิหารอัศจรรย์เป็นพระคาถาครอบ

จักรวาลสารพัดนึกทีเดียว

          วัดถ้ำแฝด เดิมมีเจ้าอาวาสชื่อ "หลวงพ่อสัมฤทธิ์ คัมฺภีโร" ท่านเป็นคนจังหวัดมหาสารคาม ท่านเป็นพระธุดงค์ เคยอยู่ป่าอยู่เขาบำเพ็ญจิต

บำเพ็ญสมาธิ อยู่กับความสงบวิเวกท่านจึงรักที่จะพำนักอยู่ในท่ามกลางธรรมชาติป่าเขาลำเนาไพร

          ชีวิตในป่าดงหลวงพ่อสัมฤทธิ์ได้พบสิ่งเร้นลับได้พบยอดพระเกจิอาจารย์ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในวิชาอาคมมากมายและหลวงพ่อได้มี

โอกาสศึกษาวิชาเวทย์มนต์ต่างๆ         

          หนึ่งในสุดยอดวิชาที่หลวงพ่อสัมฤทธิ์ได้ทุ่มเทศึกษาจนรู้จริงและทำได้นั่นเป็นวิชาที่หลวงพ่อร่ำเรียนมาเพื่อช่วยหมู่มนุษย์ให้อยู่เย็นเป็นสุข

นั่นคือ

          วิชาสาวน้ำตาเทียน           

           วิชา "สาวน้ำตาเทียน" เป็นวิชาที่ต้องใช้อำนาจคาถาอาคมอำนาจจิตที่แน่วแน่ด้วยสมาธิ เพ่งจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จนเรียกว่า  "เอกัค

คตาจิต"

                    ด้วยอำนาจแห่งอาคมขลังและอานุภาพดวงจิตที่เพ่งสู่ดวงเทียนที่กำลังลุกติดเป็นไฟหยาดหยดน้ำตาเทียนลงสู่บาตรน้ำมนต์ซึ่งตั้ง

อยู่เบื้องหน้า

            แล้วท่านเคยสังเกตไหมว่าตามปกติแล้วน้ำตาเทียนที่หยุดลงไปในน้ำแล้วมันจะแข็งและจับกลุ่มกันเป็นหย่อมๆ หยดๆ หรือเป็นเกล็ดทันที

            ที่หลวงพ่อสาวขึ้นมาจะยืดยาว ยิ่งดึงสาวขึ้นมายิ่งยาวเป็นการเสริมให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่นั่นเอง

            แต่ น้ำตาเทียนที่หลวงพ่อสัมฤทธิ์  ค้มฺภีโร เพ่งด้วยอานุภาพจิต ที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับคาถาอาคมอันศักดิ์สิทธิ์พอหยดลงไปโดนน้ำมนต์

ในบาตรแทนที่จะจับตัวแข็งเป็นเกล็ดกลับอ่อนนุ่มเป็นเนื้อเหลว และหลวงพ่อท่านก็หยิบสาวขึ้นมาเป็นมงคลได้อย่างน่ามหัศจรรย์

            และที่อัศจรรย์ยิ่งไปกว่านั้น หลวงพ่อสัมฤทธิ์ เมื่อนำยอดวิชาส่วนน้ำตาเทียนมาเป็นพิธีสะเดาะเคราะห์ เสริมดวงบารมี และแก้อาถรรพณ์

ให้แก่ญาติโยมและสาธุชนที่ศรัทธาทั่วไป

            คือการสาวน้ำตาเทียนจากในบาตรน้ำมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ เป็นสายขึ้นมาวนรอบศีรษะของผู้เข้ารับการสะเดาะเคราะห์เสริมบารมี คนที่ดวงดี

ไม่มีเคราะห์ชะตาไม่ขาดไม่หักเห น้ำตาเทียนส่วนใครชะตาขาดหรือมีเคราะห์และชีวิตที่หักเหด้วยฤทธิ์อาถรรพณ์ ต่างๆ มาครอบงำอย่างใดอย่าง

หนึ่งน้ำตาเทียนที่ท่านค่อยๆ สาวขึ้นมาจากบาตรน้ำมนต์จะขาดทันที และไม่ยาวอีกด้วย นั่นแสดงถึงเจ้าของดวงชะตานั้น ดวงไม่ดีมีเคราะห์           

           หลวงพ่อสัมฤทธิ์ ท่านจะทำพิธีสะเดาะเคราะห์ต่อดวงชะตา แก้อาถรรพณ์ ให้มีดวงชะตาเข้มแข็งหมดเคราะห์พ้นจากสิ่งเร้นลับ ครอบงำ

ต่างๆ ด้วยอำนาจจิตด้วยอานุภาพอาคมมหามนต์อันศักดิ์สิทธิ์

           นี่คือที่มาสุดยอดของวิชาสาวน้ำตาเทียนจากในบาตรน้ำมนต์ขึ้นมาวนรอบลงบนศีรษะนั้นเรียกว่าวิชา "ครอบมงกุฏพระเจ้า" อันเป็นสุด

ยอดวิชาอาคมสุดยอดพระคาถาเอกของโลกที่ได้กล่าวมาแต่ข้างต้น           

           มีคนจำนวนมากที่ได้รับความเมตตาจากวิชาครอบมงกุฏเจ้าสาวน้ำตาเทียน สะเดาะเคราะห์ เสริมดวงเสริมบารมีจนถึงต่อดวงชะตาอายุที่

ขาดด้วยแรงฤทธิ์อาถรรพณ์ของหลวงพ่อสัมฤทธิ์สงเคราะห์แก้ไขให้ จนหมดเคราะห์ หมดทุกข์มีชีวิตที่ดียืนยาว     


           พระอาจารย์วัชระ เอกวณฺโณ เป็นศิษย์ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาสาวน้ำตาเทียน ครอบมงกุฏพระเจ้าจากหลวงพ่อสัมฤทธิ์ คมฺภีโร ทุกอย่าง

จนหมดสิ้น

            จากปากต่อปาก ความสงบแน่นิ่งเยือกเย็น สายตาทอดต่ำตลอดเวลามีบุคลิกลักษณะที่มั่นคงในวิชาอาคมที่ร่ำเรียนมา พระอาจารย์วัชระ

เอกวณฺโณ เป็นที่ประทับใจทุกๆ ท่าน ทุกอิริยาบถอันนุ่มนวล ปราศจากการเสแสร้ง  ขณะทำพิธีสาวน้ำตาเทียน สะเดาะเคราะห์เสริมดวงบารมีให้ผู้มี

เคราะห์กรรมที่มาเข้าทำพิธีจำนวนมากคนแล้วคนเล่าท่านมีเมตตาช่วยเหลือไม่มีเบื่อหน่ายแต่อย่างใด           

            ท่านสมแล้วกับศิษย์เอกของยอดพระเกจิอาจารย์เจ้าตำรับสาวน้ำตาเทียนและเจ้าตำรับเหล็กไหลตาแรด อันเลื่องลือมีเมตตามีความเย็น

ที่สัมผัสได้ มีอานุภาพจิตเป็นหนึ่งอันแน่วแน่มั่นคงมั่นใจมีวิชาอาคมอันศักดิ์สิทธิ์ที่สืบทอดมาจากบูรพาจารย์อันเก่งกล้า         

            พระอาจารย์วัชระได้รับการแต่งตั้งจากทางการคณะสงฆ์ให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดถ้ำแฝด สืบแทนหลวงพ่อสัมฤทธิ์ ที่ได้ถึงแก่มรณะ

ลง ชื่อเสียงเกียรติคุณของท่านอาจารย์วัชระได้ขจรขจายเลื่องลือ ด้วยวิชาสาวน้ำตาเทียนที่ท่านได้ช่วย ผู้คนมานับไม่ถ้วน

            ค่าสะเดาะเคราะห์เพียงน้อยนิด ด้วยจำนวนเหรียญเท่าอายุ กับเสริมดวงขึ้นไปอีก 9 บาท เป็นการหนุนดวงชะตาบารมีให้สูงขึ้น ก้าวหน้า

อีกต่อไปอันจะเรียกว่าเป็นการบูชาครูก็ว่าได้นั่นคือ การทำบุญสะเดาะเคราะห์ล้างอาถรรพณ์นั่นเอง

            วัดถ้ำแฝด ยังคงเป็นที่พึ่งทางกาย ทางใจแก่สาธุชนทั้งหลายไม่ว่าจะยากมีดีจนไม่จำกัดไม่ปิดกั้น พร้อมที่จะปัดเป่าเคราะห์กรรมให้ทุก

ท่านมีชีวิตมีดวงชะตาที่สว่างไสวไม่ให้มืดมน           

            ณ ท้ายนี้จึงกล่าวได้ว่า พระอาจารย์วัชระ เอกวัณฺโณ ท่านเป็นที่พึ่งในการปัดเป่าอาถรรพณ์สะเดาะเคราะห์ เสริมดวงบารมี ให้มีสุข ความ

ร่มเย็นได้อย่างแน่นอนหรือจริงเท็จอย่างไรให้ท่านลองไปพิสูจน์ดู

            ท่านที่ปรารถนาจะขอความเมตตาอนุเคราะห์ขอบารมีท่านอาจารย์วัชระปัดเป่า เสริมดวงชะตา ล้างอาถรรพณ์ สอบถามทางวัดโดยตรงที่

หมายเลขโทร (034) 655-098, (01)4053160 หรือไปด้วยตัวเองที่วัดถ้ำแฝด ต.เขาน้อย อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี

จาก http://www.watthamfad.com/update.htm

 

1138
ปิดตาเมฆพัตร เสาร์ห้า ปี 36 จากเวป หลวงปู่สุภา



[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1139
หลวงพ่อฤษีลิงขาว (ศิษย์หลวงพ่อปาน)

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1140
แผ่นยันต์เกาะเพชร หลวงพ่อมหาโพธิ์ วัดคลองมอญ ศิษย์หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า
เอามาจากเวปไหน จำไม่ได้ ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้


1141
ยันต์เกาะเพชร แบบวัดบางพระ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1143
สุดยอดตะกรุดกันงู เอาเหรียญจิ๊กโก๋ ไปชมก่อน







1144
วัตถุมงคลของท่าน

1146
ไปลิงค์นี้ มีคาถา และ การสร้าง ผงยาวาสนาจินดามณี

http://www.bp-th.org/webboard/index.php/topic,1190.0.html

1147
ดูตรงนี้

http://www.bp-th.org/webboard/index.php/topic,1587.0.html

1148
บทความ บทกวี / พญาครุฑ
« เมื่อ: 17 มี.ค. 2550, 01:26:38 »
                                                                             

บารมี​แห่งพญาครุฑ

สู่​ความ​เจริญรุ่งเรืองแห่งชีวิต

ตำ​นานพญาครุฑ

            ใน​ตำ​นานเมืองฟ้าป่าหิมพานต์นั้น​มี​เรื่องราวของสัตว์ที่มีอิทธิฤทธิ์มากมายหลายชนิดเช่น​ ​ราชสีห์ คชสีห์​ ​อันมีลำ​ตัว​เป็น​สิงห์​แต่มีศีรษะ​

เป็น​ช้าง​ ​กินรี​ ​กินนร​และ​สัตว์​แปลก​ ​ๆ​ ​อีกมากมาย​ ​ใน​บรรดาสัตว์​ทั้ง​หลาย​นั้น​มีสองอย่างที่นับว่า​เป็น​เทพเดรัจฉานมีฤทธิ์มากคือ​ ​หนึ่ง​เป็น​พญา

นาคราชจ้าวแห่งบาดาล​ ​และ​อีกหนึ่งคือพญาครุฑจ้าวแห่งเวหา

            นาค​และ​ครุฑต่าง​เป็น​สัตว์ที่คู่​กัน​ตามตำ​นาน​ ​มี​เรื่องราวเล่า​กัน​ว่าสัตว์กายสิทธิ์​ทั้ง​สองนี้มีบิดา​เดี่ยว​กัน​คือมหาฤาษีกัสยปะ​เทพบิดรแต่

คนละ​แม่​โดย​พญาครุฑ​นั้น​มีมารดา​เป็น​ภรรยาหลวง​ ​ส่วน​นาค​นั้น​มี​แม่​เป็น​ภรรยาคนรอง​ ​นาง​ทั้ง​สองนี้​ไม่​ถูก​กัน​มี​เรื่อง​กัน​ตลอดจน​ใน​ที่สุด​ความ​

ผิดใจ​กัน​นี้ลามไป​ถึง​ลูกของตน​ด้วย​ ​จึง​เป็น​เหตุ​ให้​นาค​และครุฑม่ถูก​กัน​ใน​เวลาต่อมา

            พญานาค​นั้น​มีวิมานอัน​เป็น​ทิพย์​อยู่​ใน​บาดาล​ ​ส่วน​ครุฑก็มีวิมานทิพย์​อยู่​ที่​เชิง​เขา​ไกรลาส​ ​กล่าวว่าองค์พญาครุฑ​นั้น​มีนามว่าท้าว

เวนไตย​ ​เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า​ ​ท้าวสุบรรณ​ ​มีกาย​เป็น​รัศมีสีทองมี​เดชอำ​นาจมากที่สุด​ใน​หมู่ครุฑ​ทั้ง​หลายอาศัยเกาะ​อยู่​ตามต้นงิ้ว​ ​อาศัยผลงิ้ว​

และ​น้ำ​ดอกไม้​จาก​ต้นงิ้ว​เป็น​อาหารทิพย์​ ​ลูกพญาครุฑ​จะ​โตขึ้นนับเวลาอายุ​เป็น​ข้างขึ้นข้างแรมตามจันทรคติ​ ​เติบโต​ด้วย​บุญกุศลที่​เคยทำ​มา​ ​

หากลูกครุฑตน​ใด​ที่มีบุญญาธิการมามาก​ ​อำ​นาจบุญ​จะ​บันดาล​ให้​เกิดผลงิ้วทิพย์​และ​น้ำ​หวาน​จาก​ดอกไม้มาบำ​เรอลูกครุฑตน​นั้น​ ​ๆ​ ​และ​ลูก

ครุฑตนดังกล่าว​จะ​จำ​เริญวัย​ได้​อย่างรวด​เร็ว

            ครุฑ​เป็น​สัตว์กึ่งโอปปาติกะ​ ​หรือ​กึ่งพวกกายทิพย์คล้ายชาวลับแล​และ​พวกพญานาค​อยู่​อีกมิติหนึ่ง​จาก​โลกของเรา​ ​ผู้​ที่​จะ​สามารถ​พบ

เห็นครุฑ​ได้​ต้อง​เคยมีบุญร่วม​กับ​พวก​เขา​มา​จึง​สามารถ​รับรู้​ถึง​กัน​และ​กัน​ได้​ ​เหมือน​กับ​ผู้​ที่​สามารถ​ติดต่อ​กับ​พญานาค​ได้​ก็​เช่น​กัน​ล้วน​ต้อง​เป็น​ผู้​

ที่มีวาสนาต่อ​กัน​มาตั้งแต่อดีต​ทั้ง​นั้น​ไม่​ใช่​เรื่องสาธารณะที่​จะ​รู้​กัน​ได้​ทั่ว​ไปเช่นเรื่องสามัญ

            เรื่องของครุฑ​เป็น​เรื่องราวที่มี​ความ​อัศจรรย์​โลดโผนยิ่งกว่า​เรื่องราวของพญานาคเสีย​ด้วย​ซ้ำ​ไป​ ​แต่คน​ทั่ว​ไป​ไม่​ค่อยรู้​กัน​เพราะ​ไม่​ได้​

ศึกษา​และ​อาจ​ไม่​ค่อยสนใจ​เท่า​ใด​นัก​ ​ความ​เป็น​จริง​แล้ว​เรื่องครุฑ​เป็น​เรื่องที่น่าศึกษามาก​ ​เพราะ​ทางฮินดู​เขา​นับถือครุฑว่า​เป็น​เทพเจ้าสำ​

คัญพระองค์หนึ่ง​ ​แม้​ใน​ทางไทยเรา​เอง​ ​ทางไสยศาสตร์ก็​ให้​ความ​นับถือเกี่ยว​กับ​ครุฑนี้มาก​ ​ดูอย่างตรา​แผ่นดินเองก็มีรูปลักษณะ​เป็น​ครุฑ​ ​จึง​

น่าสนใจว่า​ “ครุฑ” นั้น​คงมีอานุภาพบางอย่าง​และ​น่า​จะ​เป็น​สิ่งที่มี​อยู่​จริง​ใน​อีกมิติหนึ่งเช่นเดียว​กัน​กับ​พญานาค​ ​ถ้า​ท่านเชื่อว่าพญานาคมีจริง​ ​

พญาครุฑก็ย่อมมีจริงเช่น​กัน

           

พลังอำ​นาจที่​เทียบ​เท่า​ ​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า

            อำ​นาจของพญาครุฑ​นั้น​ท่านว่าลึกลับมากนัก​ ​ใน​ตำ​นานของฮินดูกล่าวว่าตั้งแต่​แรกเกิดมา​นั้น​พญาครุฑก็มีรัศมีกายที่สว่างไสว​เป็น​ที่

อัศจรรย์​ ​ส่อ​ให้​รู้ว่า​เป็น​ผู้​ที่มีบุญญาธิการ​ ​มีอานุภาพ​เป็น​อเนกอนันต์​ ​มีฤทธิ์วิชาผาดโผนพิสดาร​ทั้ง​นี้มี​เรื่องกล่าว​ไว้​อีกว่าครั้งหนึ่งพญาครุฑเคย

ลองฤทธิ์​กับ​องค์พระนารายณ์มหา​เทพหนึ่ง​ใน​สามของทางศาสนาพราหมณ์​ ​การรบ​กัน​นั้น​เป็น​ที่​เลื่องลือไป​ทั้ง​สามโลกธาตุ​ ​พญาครุฑ​สามารถ​

ต่อสู้​ด้วย​ความ​สามารถ​ ​รบ​กัน​ไป​เท่า​ใด​ก็หา​แพ้ชนะ​กัน​ไม่​ ​จน​ใน​ที่สุดพระนารายณ์​และ​พญาครุฑ​จึง​ตกลง​กัน​ว่าขอ​ให้​เสมอ​กัน​ใน​การรบระหว่าง

เรา​และ​ท่าน​ ​พระนารายณ์อนุญาต​ให้​พญาครุฑ​สามารถ​อยู่​เหนือเศียรตน​ได้​ ​และ​พญาครุฑก็นอบน้อม​โดย​การยินยอม​ให้​พระนารายณ์​สามารถ​

นำ​ตน​เป็น​พาหนะ​ไป​ยัง​สถานที่ต่าง​ ​ๆ​ ​ได้​เช่น​กัน

            จึง​ถือ​กัน​ใน​หมู่ครูบาอาจารย์กัน​ต่โบราณว่า​ “พญาครุฑ”  เป็น​เทพเดรัจฉานที่มีอานุภาพอิทธิฤทธิ์​เทียบ​เท่า​พระ​ผู้​เป็น​เจ้าอย่างพระ

นารายณ์​ ​อานุภาพของครุฑ​จึง​เป็น​ที่อัศจรรย์ของ​ทั่ว​โลกธาตุ​ ​นอก​จาก​นี้​ยัง​มีประวัติอีกว่ารพระอินทร์​เองก็​เคยลองฤทธิ์​กับ​พญาครุฑ​ใช้​วัชระ

ฟาดพญาครุฑ​ ​แต่องค์พญาครุฑ​เป็น​กายสิทธิ์หา​ได้​เป็น​อันตรายแต่อย่าง​ใด​ไม่​ ​พระอินทร์พยายาม​อยู่​หลายทางก็​ไม่​สามารถ​ทำ​อันตรายแก่

องค์ครุฑ​ได้​ ​จนพระอินทร์มี​ความ​เคารพ​ใน​อานุภาพของพญาครุฑว่ามีฤทธิ์​เดชเทียบ​เท่า​พระ​ผู้​เป็น​เจ้าจริง​ใน​ที่สุดพญาครุฑ​จึง​ได้​สลัดขนตน

เองออกมาหนึ่งเส้น​ให้​แก่พระอินทร์​เพื่อ​เป็น​เกียรติ​แก่พระอินทร์​ด้วย​เช่น​กัน

            จะ​เห็น​ได้​ว่าตามตำ​นานที่กล่าวมา​ “พญาครุฑ”  เป็น​เทพเดรัจฉานที่มีฤทธิ์ที่​ไม่​ธรรมดา​ ​ๆ​ ​เลยมีอานภาพมาก​ ​ด้วย​เหตุนี้ครูบาอาจารย์ที่

รู้จักศาสตร์ของครุฑ​เป็น​อย่างดี​จึง​นำ​เอาสัญลักษณ์​เกี่ยว​กับ​ครุฑ​ ​รูปครุฑต่าง​ ​ๆ​ ​มาทำ​สมาธิบูชา​เพื่อ​ให้​เกิดอิทธิพลังงานอันลี้ลับ​ ​ทั้ง​นี้​เพื่อการ

ปกป้องคุ้มครองบ้าง​ ​เพื่อ​ความ​เจริญรุ่งเรืองบ้าง​ ​ดังที่​เรา​จะ​ได้​เล่า​ให้​ท่านทราบต่อไป

 

สัญลักษณ์ครุฑ​ ​สัญลักษณ์​แห่งแผ่นดิน

            โดย​สรุป​จาก​ตำ​นาน​แล้ว​ครุฑคือสัตว์หิมพานต์อย่างหนึ่ง​ ​แต่​ไม่​ใช่​สัตว์สามัญธรรมดา​ เพราะ​พยาครุฑ​เป็น​สัตว์กึ่งเทพ​ ​เรียกว่า​ “เทพ

เดรัจฉาน”  ซึ่ง​มีอำ​นาจเทียบ​เท่า​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​เป็น​พาหนะของพระนารายณ์อย่างหนึ่ง​ใน​เมืองไทยเรานับถือว่าพระมหากษัตริย์​เป็น​สมมติ​เทพ​ ​

เป็น​องค์นารายณ์อวตาร​จึง​มีการ​ใช้​ธงรูปครุฑ​ ​และ​มีครุฑ​เป็น​สัญลักษณ์ประจำ​แผ่นดิน​ ​สามารถ​พบเห็นรูปครุฑ​ได้​จาก​เอกสารต่าง​ ​ๆ​ ​ของทาง

ราชการ​ ​และ​นับว่า​เอกสารเหล่า​นั้น​เป็น​เอกสารศักดิ์สิทธิ์​ ​หากราชการ​ผู้​ที่ทำ​หน้าที่​ผู้​ใด​มี​ความ​สุจริตจงรักภักดีต่อแผ่นดิน​ ​องค์พระมหากษัตริย์​ ​

และ​หน้าที่ของตน​ ​องค์พญาครุฑก็​จะ​ส่งพลังปกป้อง​ให้​มี​ความ​สุข​ ​ความ​เจริญ​ใน​หน้าที่

            นอก​จาก​นี้​ยัง​มี​เกร็ด​ความ​เชื่อว่าหากที่​ใด​มีอาถรรพ์​แรงท่าน​ให้​นำ​เอาตราครุฑไปติด​จะ​ทำ​ให้​อาถรรพ์​นั้น​เสื่อมสลายไป​ใน​ที่สุด​ ​ตรา

ครุฑล้างอาถรรพ์​ได้​จึง​เป็น​ที่​เชื่อถือ​กัน​มาตลอด​และ​ได้​รับ​ความ​เคารพบูชาว่า​เป็น​ของสูง​ ​เสมือนหนึ่งตัวแทนแห่งองค์พระประมุข​ ​ผู้​ใด​มี

สัญลักษณ์ครุฑ​ ​รูปครุฑบูชา​ไว้​ย่อม​ได้​อานิสงส์มาก​ ​อาทิ​ ​มี​ความ​เจริญแก่ตัวเอง​และ​ครอบครัว​เป็น​ต้น​ ​ดังนี้​แล้ว​ครุฑ​จึง​เป็น​ของสูงที่​เราควรรู้

ควรบูชาอย่างหนึ่ง

            คนโบราณมี​ความ​เชื่อสืบ​กัน​มาว่า​ “ครุฑ”  นั้น​เป็น​สัญลักษณ์​แห่ง​ความ​เจริญรุ่งเรือง​ ​มหาอำ​นาจ​ ​อย่างเด็ก​ผู้​ใด​ที่​เกิดมา​แล้ว​มีลักษณะ

ปากคล้ายพญาครุฑท่านว่าคน​ผู้​นั้น​จะ​เป็น​ผู้​มีบุญญาธิการมา​เกิด​ ​ภายภาคหน้า​จะ​ได้​เป็น​ใหญ่​เป็น​โต​ ​สมเด็จเจ้า​แตงโม​ ​พระสังฆราชพระองค์

หนึ่งท่านก็มีลักษณะปากดังครุฑปรากฏว่า​เป็น​ผู้​มีปัญญาดี​ ​และ​ได้​เป็น​สมเด็จพระสังฆราช​ใน​ที่สุด​ ​เรื่องครุฑนี้คนโบราณ​จึง​เชื่อถือ​กัน​มาก​ ​แม้​

เครื่องรางที่​เกี่ยว​กับ​ครุฑก็​เป็น​เครื่องรางที่มี​ความ​หมายมีอานุภาพโดดเด่นหลายประการดง​จะ​ได้​กล่าวต่อไป

 

พญาครุฑเครื่องหมายแห่งสิทธิอำ​นาจ​และ​ความ​เป็น​มงคล

            ครุฑ​นั้น​เป็น​เครื่องหมายของทางราชการ​อยู่​แล้ว​ ​เอกสารทางราชการ​ฉบับ​ใด​ ​ๆ​ ​ก็ล้วน​ต้อง​มี​เครื่องหมายพญาครุฑประทับ​อยู่​ด้วย​กัน​

ทั้ง​สิ้น​ ​แสดง​ให้​เห็นว่า​เป็น​เครื่องสำ​คัญ​เป็น​ตรา​แผ่นดิน​ ​เป็น​ตราของเจ้าฟ้ามหากษัตริย์​ ​เชื่อว่าหากข้าราชการ​ผู้​ใด​ให้​ความ​เคารพนับถือ​ใน​องค์

พญาครุฑ​ ​และ​ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ของตนเอง​ ​ข้าราชการ​ผู้​นั้น​จะ​มี​ความ​สุข​ความ​เจริญ​ทั้ง​ชีวิต​และ​หน้าที่การงานสืบไป​ ​คุณไสย์อันตราย​ใด​ ​ๆ​ ​ก็​

ไม่​สามารถ​ทำ​อันตราย​ได้​เพราะ​เครื่องหมายของพญาครุฑนี่สำ​คัญมาก​ผู้​ที่รู้​เขา​จะ​ไม่​ข้าม​ไม่​เหยียบย่ำ​ ​ไม่​นำ​ไว้​ที่ปลายเท้า​เลย​เพราะ​เป็น​ของสูง​

​ของศักดิ์สิทธิ์​ ​หากเคารพนับถือ​ให้​ดีอำ​นาจพญาครุฑที่มี​อยู่​ใน​เอกสารราชการ​จะ​คุ้มครอง​ผู้​นั้น​ไม่​ให้​มีวันอับจน​ ​แต่คนสมัยนี้​ไม่​ใคร่​เชื่อถือ​กัน​

เท่า​ใด​นัก​ ​เรื่องพญาครุฑ​จึง​ดูล้าสมัยไปเสีย​ ​ไม่​เหมือน​ใน​สมัยก่อนที่​ไหนว่า​กัน​ว่าผี​แรง​ ​ผี​เฮี้ยน​ ​เอาตราพญาครุฑไปติด​ไว้​ความ​อาถรรพ์ของ

สถานที่​นั้น​ ​ๆ​ ​ก็​จะ​หายไป​ใน​ทันที

 

อำ​นาจพญาครุฑ

            สิทธิอำ​นาจพญาครุฑสัตว์กายสิทธิ์ที่​ไม่​มี​ผู้​ใด​สามารถ​ฆ่า​ให้​ตาย​ได้​มีอายุยืนเสมือนว่า​เป็น​อมตะ​นั้น​ ​นับ​เป็น​เรื่องลี้ลับที่​ผู้​รู้พยายาม​ค้น​

คว้า​ ​และ​เสาะหาที่มา​แห่งพลังอำ​นาจดังกล่าว​ ​จนเกิดการสร้างเครื่องรางต่าง​ ​ๆ​ ​ขึ้น​ ​อำ​นาจพญาครุฑ​สามารถ​จำ​แนก​ได้​ถึง​ ๘ ​ประการ​ ​โดย​นับ

เอาอำ​นาจหลัก​ ​ๆ​ ​ได้​ดังนี้คือ

๑.     เป็น​มหาอำ​นาจอันยิ่ง​ใหญ่​ ​เป็น​สิทธิอำ​นาจอันเฉียบขาด

๒.    สามารถ​ลบล้างอาถรรพ์​และ​คุณไสย์ทั้ง​ปวง​ ภูติผีปิศาจกลัว​ไม่​กล้า​เข้า​ใกล้

๓.    เป็น​สื่อนำ​ความ​เจริญรุ่งเรือง​ ​ยศถาบรรดาศักดิ์มาสู่ชีวิตหน้าที่การงาน

๔.    ปกป้องคุ้มครอง​ ​ป้อง​กัน​ภัย​เป็น​คงกระพัน

๕.    เป็น​เมตตามหานิยม

๖.     นำ​ความ​ร่มเย็น​เป็น​สุขมา​ให้

๗.    ทำ​มาค้าขายดี​เป็น​สื่อนำ​โชคลาภนานาประการ

๘.    สัตว์ร้าย​ ​เขี้ยวงาสารพัด​ ​งู​เงี้ยวเขี้ยวขอ​ ​อสรพิษ​ไม่​กล้ากล้ำ​กราย​เข้า​ใกล้​ ​เพราะ​เกรงตบะบารมีขององค์พญาครุฑ​เป็น​ที่สุด

 

อำ​นาจพญาครุฑ​ยัง​มีมากกว่านี้อีกมาก​ ​แล้ว​แต่ท่าน​ใด​จะ​รู้จัก​ใช้​ ​ใน​ตำ​ราทางไสยเวทพุทธาคมมี​ทั้ง​การ​ใช้​ยันต์ครุฑ​ให้​ผลดี​ใน​ทางคงกระพัน

ชาตรี​ ​มีนะพญาครุฑ​ใช้​ลงตบ​เข้า​หน้าผาก​เป็น​คงกระพันชาตรี​กัน​เขี้ยวงาอสรพิษ​ได้​ ​ทั้ง​นะพญาครุฑนี้​เมื่อประสิทธิ์ลงไป​ยัง​ตัวคน​ผู้​ใด​แล้ว​ยัง​

สามารถ​ทรหดอดทน​ ​เดิน​ไกล​ไม่​เหนื่อย​ ​เป็น​วิชาตัวเบาชั้นยอด​ ​และ​เป็น​เมตตามหานิยมชั้นสูงอีก​ด้วย​ ​ยัง​มีคาถาพญาครุฑ​ซึ่ง​เมื่อกล่าวพระ

คาถานี้งูพิษรวมไปจน​ถึง​ตะขาบแมงป่อง​และ​สัตว์ร้ายต่าง​ ​ๆ​ ​ทั้ง​หลาย​จะ​หลบหนี​ไปสิ้น​โดย​พระคาถาพญาครุฑท่านว่าดังนี้

“โอมพญาครุฑ​จะ​เห็นผล​ ​หลีกไป​ให้​พ้น​ ​พญาหน​จะ​เดินทาง​ ​เคาะงอ​ ​เคาะงอ”

ก่อนว่าพระคาถานี้​ให้​นมัสการพระรัตนตรัยเสียก่อน​ด้วย​นะ​โม​ ๓ ​จบ​และ​ท่องพระคาถานี้ก่อนออกเดินทางตั้งสติส่งจิตไป​ถึง​พญาครุฑ​จะ​

ปลอดภัยทุกประการ

 

สักการะ​ให้​ถูกวิธี

            การบูชาพญาครุฑประกอบกับ​พยาปักษาชาติอันมีฤทธิ์​ทั้ง​หลาย​นั้น​ ​ท่าน​ให้​สักการะคุณพระพุทธ​ ​พระธรรม​ ​พระสงฆ์​ ​จาก​นั้น​ให้​ตั้ง

จิตระลึก​ถึง​พญาครุฑท่าน​ ​ด้วย​การทำ​สมาธิภาวนา​เป็น​สื่อ​ถึง​องค์พญาครุฑว่า “ครุฑโธ” ​จนจิตสงบ​หรือ​ระลึกชื่อ​ ​พญาวายุภักษ์​ ​หรือ​ ​ท่องคำ​ว่า​

“การะวิ​โก” ​อัน​เป็น​คาถาหัวใจพญาการเวกก็ว่า​ได้​ ​จาก​นั้น​เมื่อเห็นว่าจิตสงบลงบังเกิดเสียงนกร้องระงม​ ​จาก​บริ​เวณที่มีนก​อยู่​ใกล้​ ​ๆ​ ​จนบางครั้ง

อาจมีนกมาบินเวียนวน​อยู่​เป็น​ทักษิณาวัตรอย่างน่าอัศจรรย์​ ​หรือ​มีฝูงนกมาทานอาหารที่​เรา​เซ่นไหว้​ ​อาการเหล่านี้​แสดง​ให้​เห็นว่า​เป็นศุภมงคล

อย่างประ​เสริฐ​แล้ว​ ​สื่อ​ให้​เห็นว่าจิตเราพิธีกรรมเราที่ตั้ง​ถึง​องค์พญาครุฑ​และ​เหล่าพญาปักษาชาติ​ทั้ง​หลายอันมีฤทธิ์​นั้น​ท่านรับรู้​แล้ว​ ​และ​ท่าน​

ทั้ง​หลาย​จะ​ช่วย​เหลือเราอย่างสุดวาม​สามารถ​โดย​ตลอด

 

พญานก​กับ​สมถกรรมฐาน

พญานกอย่างพญาครุฑ​ ​พญาวายุภักษ์​ ​พญาครุฑ​ ​หรือ​เอกสารที่มีสัญลักษณ์ของพญาครุฑ​อยู่​เพียง​เท่า​นี้ก็​เท่า​กับ​ว่าท่านมี​ความ​เคารพ​เป็น​การ

บูชาพญาครุฑอย่างหนึ่งไป​ใน​ตัว​และ​ที่สำ​คัญคือการเคารพต่อชาติ​ ​ศาสนา​ ​พระมหากษัตริย์​ ​อัน​เป็น​การปฏิบัติบูชาต่อพญาครุฑ​โดย​ตรงเชื่อแน่

ว่าองค์พญาครุฑที่​อยู่​ใน​เครื่องหมายราชการ​ ​ย่อมปกปักรักษาท่านอย่างแน่นอน​ ​และ​หากท่านหวังผลอย่างยิ่ง​ใน​การบูชาก็ลองทำ​กรรมฐาน​ใน​

ข้ออาณาปานสติดู​เถิดเชื่อแน่ว่าท่านย่อม​สามารถ​ส่งจิต​ถึง​องค์พญาครุฑ​และ​เหล่าบรรดา​เหล่าปักษาชาติ​ทั้ง​ปวง​ได้​แน่นอนครับ


จากเวป http://www.devalai.com/story3.htm

1149
มักกะลีผล

พระราชสุทธิญาณมงคล

H9007

 

          เมื่อสมัย​เป็น​เด็ก​ ​อาตมา​อยู่​กับ​คุณยาย​ ​ตอน​นั้น​อาตมา​ไม่​ได้​สนใจเรื่องบุญกุศล​ ​และ​เรื่องพระ​เวสสันดรแต่ประการ​ใด​ ​แต่คุณยายสนใจมาก​ใน​เรื่องเทศน์คาถาพัน​ ​และ​เทศน์มหาชาติ​ ​ฟังจบถือว่า​ได้​บุญมาก

          คุณยายนิมนต์พระมา​ ๓ ​องค์​ ​องค์หนึ่งเดินพระคาถาพันจบหนึ่งพัน​ ​อีกสององค์ปุจฉาวิสัชนา​ ​แล้ว​ว่า​แหล่ว่าทำ​นอง​ด้วย​ ​ตั้งแต่บ่ายโมง​ถึง​ห้า​โมงเย็น​ ​ทุกรายการจบลง​ใน​วัน​นั้น​ ​ปีหนึ่งคุณยาน​จะ​ต้อง​มีคาถาพัน​ ๒ ​ครั้ง

          อาตมา​เป็น​เด็กก็​ไม่​เข้า​ใจ​ ​ยาย​ให้​ฟังก็คอยรีบวิ่งไปเล่น​ ​ยาย​จึง​เอา​เชือกผูกขา​ไว้​กับ​เสา​ให้​จบหนึ่งพัน​ ​เลยฟังแย่​แลย​ ​ฟังส่งเดช​ไม่​รู้​เรื่อง​ ​ตอนมาบวช​จึง​ได้​ทราบข้อเท็จจริง​ ​ได้​ฟังเรื่องพระ​เวสสันดรจอมปราชญ์​ ​มีป่าหิมพานต์

          พอดีคุณยายมาซักไซ้อาตมา​ ​จึง​ได้​บอก​กับ​คุณยายว่า​ ​เรื่องพระ​เวสสันดรโกหก​ ​ไม่​จริง​ ​ไม่​ยอมรับ​และ​ไม่​ยอมเชื่อ​ ​คุณยาย​จึง​ได้​เล่า​ให้​ฟังว่า

          หลานเอ๋ย​ ​ตอนยาย​เป็น​สาว​ ​ๆ​ ​เคยทำ​ปิ่นโตไปส่งหลวงพ่อช้าง​ ​หลวงพ่อช้างเคยไปป่าหิมพานต์​ ​ท่าน​ได้​สำ​เร็จญานสมาบัติ​ ​เป็น​เจ้าอาวาส​อยู่​วัดตึกราชา​ ​อำ​เภอเมือง​ ​จังหวัดสิงห์บุรี​ ​ยายไปส่งปิ่นโตทุกวัน​ ​ท่านฉันข้าวเวลา​เดียว​อยู่​ใน​ป่าช้า

          วันหนึ่งไปพบแขกคนหนึ่งมา​จาก​ไหน​ไม่​ทราบ​ ​ยายถามหลวงพ่อ​ ​ท่านบอกว่า​ ​แขกมันเหาะมา​จาก​ป่าหิมพานต์มาตกขา​แข้งหักไป​ไม่​ได้​ ​ท่าน​จึง​รักษา​ให้​ ​ยัง​อยู่​ด้วย​กัน​ที่นี่​ ​ยายก็รับฟัง​ ​เพราะ​ยาย​ยัง​เป็น​รุ่น​ ​ๆ​ ​สาว​ ​ไปส่งปิ่นโตแทนยายชวด

          ใน​ที่สุดแขกหาย​แล้ว​ก็​เล่า​ให้​หลวงพ่อฟังว่า​ ​ตัว​เขา​เป็น​โยคี​ ​เหาะมา​จาก​ป่าหิมพานต์​ ​เหาะมา​ ๒ ​คน​ ​คนหนึ่งสำ​เร็จฌาน​ ​แต่​แขกคนนี้สำ​เร็จปรอท​จาก​พระ​โยคีที่สำ​เร็จฌาน​ ​ทำ​ปรอท​ให้​อม​ ​แล้ว​ก็​เหาะมา​ได้​ ​พอดี​เกิดมา​เถียง​กัน​ ​เลยปรอทหล่น​ ​แขกก็​เลยตากขาหัก​ ​เชื่อ​ไม่​เชื่อ​ไม่​เป็น​ไรนะ

          ผลสุดท้ายแขกก็อ้อนวอนหลวงพ่อช้าง​ให้​ไปส่งที่ป่าหิมพานต์​ ​และ​บอกว่าที่ป่าหิมพานต์สนุกสนาน​ ​มี​ผู้​หญิง​ ​มี​ทั้ง​ต้นมักกะลีผล​อยู่​ปากทางที่​จะ​เข้า​ไปเฝ้าองค์พระ​เวสสันดรจอมปราชญ์​ ​ผู้​มีปัญญา​ ​อยู่​ที่ป่าหิมพานต์​โน้น​ ​เลย​เขา​หิมาลัย​ ๑๖ ​โยชน์​ ​แขกเล่า​ไว้​ชัด

          หลวงพ่อช้างก็บอกว่า​ไม่​อยากไปรู้​ ​แต่​แขกก็อ้อนวอนมาตามลำ​ดับ​ ​ก็​เสียอ้อนวอนแขก​ไม่​ได้​ ​แขกบอกว่า​ถ้า​หลวงพ่อไปนะ​ ​ไปรับประ​เคนของใคร​ ​อย่าฉัน​ ​ถ้า​ฉัน​จะ​กลับ​ไม่​ได้​แน่นอน​ ​ถ้า​หลวงพ่อสำ​เร็จแค่ฌานสมาบัติ​ไม่​ให้​ฉัน

          ใน​เมื่อ​เป็น​เช่นนี้​ ​หลวงพ่อช้างบอก​ไม่​ไป​ ​แขกบอกมีมักกะลีผล​ ​แขกก็คิด​ถึง​บ้าน​ใน​ป่าหิมพานต์ของ​เขา​ ​ก็​ให้​ตำ​ราปรอท​ ​ขอ​ให้​หลวงพ่อช้างทำ​ปรอท​ให้​ ​ใส่​ปากอมก็​เหินไป​ได้​ ​หลวงพ่อช้างก็บอกว่า​ยัง​งั้น​ได้​ ​ท่านสำ​เร็จฌานไป​ได้​องค์​เดียว​ ​แต่​เอา​แขก​ใส่​ย่ามไปคง​ไม่​ได้

          ใน​ที่สุดก็​ให้​ยายของอาตมา​ไปซื้อปรอท​ ​ซื้อยาซัด​ ​อาตมา​ยัง​ได้​ตำ​รา​ไว้​ ​ณ​ ​บัดนี้​ ​ซัดปรอท​แล้ว​ก็​ไปส่งแขกที่ป่าหิมพานต์​ ​ไปพบมักกะลีผลก็มา​เล่า​ให้​ยายฟัง​ ​ตอน​นั้น​อาตมา​ยัง​เป็น​เด็ก​ ​เวลาต่อมายายอายุ​ ๙๙ ​ก็​ถึง​แก่​ความ​ตาย​ ​อาตมาก็ฝังใจเรื่องนี้ตลอดมา

          เคยเห็นรูปที่​ เหม​ ​เวชกร ​เขียน​ไว้​ที่ฝาผนังวัดพระปรางค์มุนี​ ​เขียนต้นมักกะลีผลเหมือนของจริง​ด้วย​ ​ใบเหมือนใบมะม่วง​ ​มีลูกพวงหนึ่ง​ ๕ ​ผล​ ​แต่อาตมาก็​เชื่อแน่​ไม่​ได้​ว่าต้นไม้ออกลูก​เป็น​คน​ ​เสพสังวาส​ได้​เหมือนคนเรา​ ​ก็​ไม่​ยอมเชื่อ​ด้วย​ประการ​ใด

          ใน​เวลาต่อมา​ ​อาตมามาบวช​ ​จิตสำ​นึกเดิมมัน​ยัง​นึก​ถึง​เรื่องนี้​อยู่​ ​เพราะ​ยายเล่าทุกวัน​ ​เล่าละ​เอียด​ด้วย​ ​เพราะ​มีคาถาพันปีละ​ ๒ ​ครั้ง​ ​มีพระ​เทศน์ปุจฉาวิสัชนา​ ​ว่าทำ​นอง​ด้วย​ ​ยายว่า​ได้​ครบ​ทั้ง​ ๑๓ ​กัณฑ์​ ​ตั้งแต่ทศพร​ถึง​นครกัณฑ์​ ​ยาย​ไม่​ค่อยรู้หนังสือแต่ว่า​ได้​ ​เพราะ​จำ​พระ​เทศน์​ได้

นารีผล หรือ มักกะรีผล  ของหลวงพ่อเปิ่น สร้าง




แถมเรียงเบอร์


1150
มาแล้วเรื่องตะกรุด

http://www.thairealtv.com/video/week/07mar08/player.php?vid=6&wid=20307

1151
ยันต์เกาะเพชร ตามตำรับ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ยังไม่ได้ขออนุญาตเจ้าของรูป ขออภัยด้วย

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1152
ต้องแบบนี้ วัดกลางบางแก้ว

1153
สนันสนุน คุณเปียกปูนลายสักของวัดบางพระมีเอกลักษณ์
์ ต้องเป็น จุดใข่ปลา เพราะอาจารย์ ทีสัก ใช้เข็ม หัวเข้มเดี่ยว
ต่างกับสำนักอื่น
ที่ อาจจะใช้ หัวเข็ม2-3-3-5 ซึ่งลายออกมาจะดู ทึบ ลายเส้นติดกัน ดูสีเข้มกว่า

1154
ค่าครู สัก 25 บาท ทุกกุฎิ เช่น หลวงพี่ญา หลวงพี่นันท์ หลวงพี่ต้อย หลวงพี่ติ่ง หลวงพี่แป้ว
ยกเว้น กุฎิ หลวงพี่สมชาย มีศิยษ์ ฆารวาส สัก ราคาตามลาย
คุณไปสักกุฎิไหนมา

1155
ยินดี ด้วยครับ คุณHEA_WOY! ที่ลง BBC  โค๊ดได้ หวังว่าคงจะได้ ชมรูป ที่มีขนาดเกิน 65 KB ได้ มากๆ

1156
ขอโทษครับ สะพานลอยที่ไหนมีเสาเดียวเห็นแต่มีสะพานลอย 2 เสา
 ถ้าถนนใหญ่หน่อย ก็มี 3 เสา คือ เสา ฝั่งตรงข้าม กับฝั่งที่เรายืนอยู่ แล้วก็มีตรงกลาง (เกาะลาง

ถ้ามีสะพาน เสา เดียวผมขอโทษครับ

1157
ที่กุฎิใหญ่ มีครับ ราคาประมาณ 2-3 พันบาท แต่ที่แน่นๆ ที่กุฎิหลวงพี่สมช าย(หลานหลวงพ่อเปิ่น) มีแน่นนอน มีทั้ง
เขี้ยวเล็ก เขี้ยวใหญ่ ราคาแล้วแต่ขนาด ตั้งแต่ 300 บาทขึ้นไป

1158
โฆษณา หรือ ประกาศ ให้ร่วมทำบุญ ให้วัดอื่นๆ โดยมีวัตถุมงคล ให้บูชา ได้หรือเปล่า
ครับ คุณ ao

1159
ขอร่วมด้วยเอามาจากเวปขายพระแห่งหนึ่ง

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1160
ผิดพลาดทางเทคฯ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1163
กะลาตาเดียว มีครับที่วัดบางพระ ที่กุฏิใหญ่เห็นมี 1 ลูก (เป็นลูกนะครับ) เขียนไว้ราคา 1,500 บาท
ถ้าเป็นเสมาเล็ก สำหรับห้อยคอ มีที่กุฏิหลวงพี่สมชาย กุฏิข้างเจ้าแม่กวนอิม ด้านใน
ติดกุฏิหลวงพี่ต้อย ราคาประมาณ 500 บาท
ไปรับชมได้ที่กุฏิของท่าน

1164
ลายสัก เรื่องแสง แบบว่าต้องเจอไฟผับ

1165
วัดกลางบางพระ อยู่ก่อนถึง วัดบางพระ ประมาณ 2 กม. ที่วัดยังมี ราหูอมจันทร์กะลา
ตาเดียวแกะ สร้างประมาณ ปี 2538 อยู่ ราคาทำบุญวัด  200 บาท
  และก็มีวัตถุมงคลเด่นๆอีกคือ ควายธนู เบี้ยแก้ ตะกรุดโทน
ตะกรุดหนังเสือ และอีกหลายอย่าง ราคาทำบุญไม่แพง หลวงพ่อท่านเก่งมาก แต่หลวงพ่อเปิ่น ดังกว่าเพราะมีสักยันต์เป็นเอกลักษณ์


1166
พ่อหนุมลายมังกร

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1167
ยันต์ลายมือ ควรจะเป็น นะ เมตตา ของหลวงพ่อ
เพราะตัว นะ ล้อมด้วย หัวใจพระสีวลี นะ ชา ลิ ติ ด้านล่าง ลง จะ ภะ กะ สะ

1168
ลองเข้าไปดูที่เวปนี้http://www.thairealtv.com/

1169
ตะกรุดหนังเสือ ชุดนี้ถ้าแกะดูยันต์ข้างใน ถ้าไม่มียันต์ เป็นของ หลวงพ่อพุฒ วัดกลางบางพระ
 ท่านได้ปลุกเสกไว้ แต่ไม่ได้ลง อักขระใด

1170
ยันต์จิ้งจกสองหางปี้มหารัญจวน



ยันต์จิ้งจกเกี้ยวมหาเสน่ห์



ยันต์จิ้งจกมหาละลวย



ยันต์สาริกา



คำเตือน ผู้มีอายุไม่ถึง 18 ไม่ควรชม

ยันต์ม้าเสพนาง



ยันต์หนุมานโลมนางมัจฉา



ยันต์หนุมานปราบศึกตัวครู



ยันต์พญาเสือสั่งถ้ำ(เสือหานาง)



ยันต์พญาเสือโผน
 


หนุมานปราบศึกตัวครู




1.ยันต์ปู่เจ้าสมิงพรายมหาพิทักษ์
2.ยันต์ราชสีห์เชิญธง
3.ยันต์พญามังกรไสยเวทย์



[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1171
เข้าท่านา นครชัยศรี  รถเลี้ยวซ้ายไป ห้วยพลู วัดบางพระ ถ้าเลี้ยวขวา ไปวัดกลางบางแก้ว ไปประมาณ 1.5 - 2 กม.

1172
บทความ บทกวี / หลักการสักยันต์
« เมื่อ: 09 มี.ค. 2550, 04:45:07 »
สักยันต์

 

                          การสักยันต์ ​คือการที่​ใช้​เข็มสักสมัยเก่า​นั้น​ใช้​เข็มเดี่ยว​ ​การสักยันต์​ ​มีสองแบบคือ

               ๑.  ​สักยันต์​ ​แบบน้ำ​มัน

               ๒.  ​สักยันต์​  ​แบบหมึก

                   การ​ ​สักยันต์​ ​แบบน้ำ​มัน ​ใน​สมัยก่อนมีการ​ใช้​ ​ว่าน​เป็น​หลักว่านที่​จะ​ใช้​ก็มีการแบ่งออก​เป็น​สองประ​เภท​

                                        ก​. สักยันต์​ ​ว่านประ​เภทคงกระพัน ​ใช้​ว่านทางด้านคงกระพัน​เป็น​หลัก​ ​ซึ่ง​ใน​สมัยโบราณ์​ ​ได้​มีการ​ใช้​ว่าทางด้าน​

อยู่​ยงคงกระพันมา​เป็น​เวลานาน​แล้ว​ ​เห็น​ได้​ชัด​ใน​สมัยกรุงศรีอยุธยา​ ​ศึกบางระจัน​ ​หรือ​ใน​ยุกของ​ ​หลวงปู่ศุข​  ​วัดปากคลองมะขามเฒ่า​ ​ท่านก็​

ได้​ใช้​ว่านทางด้านคงกระพัน​เป็น​หลัก​เป็น​ยุคสมัย​นั้น​ ​มีการรบทับจับศึก​อยู่​ตลอดเวลา​ ​เป็น​เรื่องของชายชาตรี​ ​สมัย​นั้น​ที่​ต้อง​มีของดี​ไว้​ป้อง​กัน​ตัว​

​ป้อง​กัน​บ้านเมือง​  ​ว่านที่​ใช่​ทางด้านคงกระพันคือ​ ​ว่านหนุมาน​ ​ว่านสบู่​เลือดตัว​ผู้​  ​ตัวเมีย​ ​ว่านนิลพัด​ ​ว่านพระ​เจ้าห้าพระองค์​  ​ฯลฯ​

                              ​ว่านทางด้านคงกระพัน​ ​ที่​ใช้​แล้ว​แต่ละอาจารย์นำ​ผสมผสาน​ให้​เกิดพุทธานุภาพตามใจปราดถนา​ ​แล้ว​นำ​มาผลม​กับ​ ​น้ำ​

มันงา​ ​เขี้ยว​ ​เท่า​นั้น​เองตามคุณสมบัติของว่านทางด้านคงกระพัน​

                              ​ข้อห้ามทางด้านคงกระพันมีมากมาย​ ​ใน​ปัจจุบันนี้​เป็น​ที่ถือ​กัน​ได้​ยากเลย​ไม่​มีผล​กับ​ผู้​ที่​ ​สักยันต์​ ​ประ​เภทว่านคงกระพัน​

เท่า​ใด​นัก

                                       ข​. สักยันต์​ ​ว่านทางด้านเมตตา  ​ใช้​ว่านทางด้านเมตตา​เป็น​หลัก​ ​เช่น​ ​ว่านางกวัก​ ​นางโลม​ ​ว่างจังงัง​ ​ว่าน

เสนห์จันท์ขาว​  ​ว่างช้างผสมโขลง​ ​ซึ่ง​นำ​มาบดละ​เอียด​แล้ว​เคี่ยว​กับ​น้ำ​มันงา​ ​เพื่อ​ให้​เข้า​ที่​กัน​แล้ว​จึง​นำ​มาปลุกเสกตามพิธีกรรมทางด้านเมตตา​ ​

โดย​หลัก​จะ​ไม่​ใส่​ ​ว่านประ​เภทคงกระพัน​ ​หรือ​หนังเหนียว​เข้า​ไป​ด้วย​ ​เพราะ​ทำ​ให้​คุณภาพเสียหายเกิดขึ้น​ ( ​แต่มีบางอาจารย​ใส่​อยู่​ )

                            การสักยันต์​ ​แบบหมึก ​โดย​มาก​จะ​ใช้​แบบพิมพ์​ ​หรือ​บางครั้ง​ผู้​มี​ความ​ชำ​นาน​จะ​สักขึ้นมา​เอง​โดย​ไม่​ใช้​แบบพิมพ์​เลยก็มี​ ​

ส่วน​ผสมก็มีหมึกจีน​ ​เป็น​หลัก​ ​แต่​เดียวนี้มีการแปลงออกไป​โดย​ใช้​หมึกสี​ ​เช่น​ ​แดง​ ​เขียว​ ​น้ำ​เงิน​ ​ซึ่ง​เป็น​หมึกทางด้านพวกสักเล่นมากกว่า​ ​ที่​จะ​

ลงอาคม

                             ​การลงหมึก​นั้น​ส่วน​ใหญ่​เป็น​ภาพหนุมาน​ ​เสือ​ ​หมู​ ​และ​ยันต์ต่างๆ​ๆ​ ​เพื่อ​ไว้​ให้​เกิดอำ​นาจ​ ​บางราย​ไว้​ป้อง​กัน​ตัว​ ​แต่​ใน​การ

ลงภาพหมึกหนึ่งน้ำ​มัน​ต้อง​เรียกสูตร​ ​หรือ​เรียกคาถาตลอดระยะ​เวลาการสัก​ไม่​ใช่​ ​สักยันต์​ ​ไปคุยไป​ ​ผลที่​ได้​ไม่​มีอะ​ไรเกิดขึ้น​ ​นอก​จาก​ภาพที่

สวย​เท่า​นั้น

                              ​แต่ขอบอก​ไว้​ก่อนว่าการสักยันต์​ ​การลงยันต์​ ​ผู้​ที่​เข้า​รับการสักยันต์​ต้อง​รู้ว่าตนเอง​ ​อยากสักเพื่ออะ​ไร​ ​มิ​ใช่​สักตามคำ​

ลำ​ลือ​ ​หรือ​สัก​เพราะ​เชื่อคำ​โฆษณา​ ​เพราะ​ว่าดวงบางดวงสักยันต์บางประ​เภท​ไม่​ได้​  ​เช่น

                             ​อยากสักยันต์​เมตตา​ ​แต่มียันตหนุมาร​ ​อยู่​ ​ยันต์หนุมาร​ ​เป็น​ยันต์ทางด้านคงกระพัน​ ​ออกทางด้านสายรบ​  ​สายต่อสู้​ ​แล้ว​

จะ​เมตตา​ได้​ไง​ ​ดังคำ​โบราณ์​เข้า​เรียกว่า

                                ​บารมี​ไม่​ถึง​ ​แต่อยาก​ได้​  ​เอามา​แล้ว​ไม่​เจริญ​  ​เอา​ไม่​ทำ​อะ​ไรละ


หลักการสักยันต์

             หลักการสักยันต์

                               การสักยันต์​ ​ปัจจุบันนี้มีการสำ​นักสักยันต์​เกิดขึ้น​เป็น​จำ​นวนมาก​ ​แถมบางสำ​นัก​ยัง​มีการ​ใช้​สื่อโฆษณา​เพื่อ​ให้​ประชน​

หรือ​คนที่อยากศึกษาวิชาอาคมตามบรรมครู​ทั้ง​หลาย​ได้​มีการบรรหยัดเอา​ไว้​ ​ไม่​ได้​ผล​เท่า​ที่ควร​ ​แถม​ยัง​เสียเงินเสียทอง​เป็น​จำ​นวนมากอีก​ด้วย​

​กลับกลาย​เป็น​การทำ​ให้​วิชาการที่มีมา​แต่​โบราณกาลเสื่อมเสียไป​เป็น​อย่างมาก​ ​และ​ไม่​เห็นแก่บาปกรรมที่​ได้​กระทำ​ ​ทั้ง​ยัง​อวจอ้างสรรพคุณต้าง​

​ๆ​ที่ตนเองสักยันต์อีก​ด้วย

                    ​อาจารย์​เขียว​ ​ยัง​มีการยึดถือรูปแบบเดิม​ ​แต่ก่อนที่​จะ​มีการสักยันต์​ ​อาจารยเขียว​ ​ได้​คนพบตำ​รา​โบราณ์​ ​ของครู​ผู้​เฒ่า​ ​ได้​บรร

ทึกเอา​ไว้​ว่า​ ​ก่อนมีการดำ​เนินการสักยันต์​ ​ให้​ดำ​เนินการทำ​น้ำ​มนต์ก่อนทำ​การสักยันต์​ ​เสียก่อนเพื่อ​ให้​ได้​ผล

                    ​การทำ​น้ำ​มนต์ของ​ ​อาจารย์​เขียว​  ​ได้​พิจารณาตามหลักแห่ง​ความ​เป็น​จริงว่า​ ​ถ้า​คนเรา​ไม่​ทำ​ความ​สะอาดร่างกายก่อนการที่​จะ​

ลงของ​หรือ​การสักยันต์​ ​ผลที่​ได้​รับ​จะ​ไม่​ได้​เลย​ ​เปรียบเสมือน​กับ​ ​แจ​กัน​ ​ถ้า​เก็บ​ไว้​นานแรมปี​ ​ไม่​มีการขัด​ ​เรา​จะ​เอาทองลงไป​ได้​ไงละ​ ​หรือ​ถ้า​

เรามีรถยนต์​ ​ไม่​เคยล้างรถ​ ​แต่​จะ​ขัดเงารถยนต์ของตนเอง​ ​รถ​นั้น​จะ​เงา​หรือ​ไม่​ละ​ ​ด้วย​เหตุผลที่กล่าว​ ​อาจารย์​เขียว​ ​ได้​ทำ​น้ำ​มนต์​ด้วย​บทมนต์

พิธีการแก้อาถรรพ​ ​ถอดถอนอวมงคล​ ​แก้อุบาท์​ทั้ง​ปวง​ ​แก้​ต้อง​ธรณีศาล​ ​หรือ​ชาย​ใด​หรือ​หญิง​ใด​ที่มี​ใฝ่ปาน​ใน​ที่ลับก็ตาม

                     ​โดย​ผู้​ที่​จะ​มาดำ​เนิการสักยันต์​ต้อง​นำ​สิ่งของเหล่านี้มา​เอง

                        1.  ​ใบศรีปากชาม​ 1 ​คู่

                        2.   ​มะพร้าว​   1  ​กล้วยน้ำ​ไท​   1

                        3.   ​ผลไม้​  9 ​อย่าง

                        4.   ​เทียนทำ​น้ำ​มนต์​ 9 ​เล่ม

                        5.   ​ดอกไม้ธูปเทียน

                        6.  ​ค่าครู​  99 ​บาท

                   ​ได้​รับน้ำ​มนต์​ไป​แล้ว​ให้​อาบ​เป็น​เวลา​  3  ​วัน​ ​ให้​อาบกลางแจ้ง​ ​ตอนเที่ยงวัน

                     ​เมื่อ​ได้​อาบน้ำ​มนต์​เสร็จเรียบร้อย​แล้ว​ ​อาจารย์​เขียว​จึง​จะ​ดำ​เนินการสักยันต์​ ​หรือ​ลงของมงคล​ให้​กับ​ผู้​ที่​ต้อง​การสักยันต์​ได้

                   ข้อห้ามของ​ผู้​ที่สักยันต์

                         ​ข้อห้ามของ​ผู้​สักยันต์​นั้น​ ​โดย​หลัก​นั้น​ก็​เหมือน​กับ​ทั่ว​ไป​ ​แต่อาจารยื​เขียว​ได้​แยกออก​เป็น​สองสายคือ​ ​ข้อห้ามทางสายคง

กระพัน​ ​หนึ่ง​ ​ข้อห้ามสายทางเมตตา​ ​อีกหนึ่ง

                          ​ข้อห้ามทางสายคงกระพัน

                            1. ​ห้ามกินฟัก​                           

                            2. ​ห้ามกินแฟง​               

                            3. ​ห้ามกินปลา​ไหล​                     

                            4. ​ห้ามลอดสะพานหัวเดียว​     

                            5. ​ห้ามลอกปลีกล้วย​                   

                            6. ​ห้ามผิดลูกผิดเมีย​เขา

                            7. ​ห้ามด่าพ่อแม่

                          ข้อห้ามทางสายเมตตา

                           1. ​ห้ามด่าบิดามารดา​                   

                           2. ​ห้ามผิดลูกเมีย​เขา

                     ​แต่​ใน​ยุคสมัยนี้​ ​การที่​ผู้​ที่สนใจการสักยันต์​ ​และ​ ​เป็น​ผู้​ที่​เล่นวิชาทางด้านคงกระพันจริง​ ​ๆ​ ​แล้ว​จะ​ถือตามข้างต้น​ ​คง​เป็น​ไป​ไม่​ได้​

​เพราะ​ขนาด​ใน​กรุงเทพ​ยัง​มีสะพานลอยมากมายเลย​ ​หรือ​ ​แฟลต​ ​อาพาทเม้นต์​  ​คอนโด​ ​ก็​เดิน​เข้า​ไม่​ได้​แล้ว​ ​และ​อีกอย่าง​ ​ใน​ปัจจุบันนี้​ ​ไม่​มี

การรบทัพ​  ​จับศึก​ ​อีก​แล้ว​มี​แต่ทางด้านเมตตา​   ​ค้าขาย​ ​ให้​เจ้านายชอบ​  ​ค้าขายเจริญรุ่งเรื่อง​ ​จึง​ได้​มี​

                       ​การสักยันต์​ ​ทางด้านเมตตา​ ​สักยันต์ค้าขาย​ ​สักยันต์​เสริมดวง​  ​สักยันต์หนุนดวงว่า​กัน​ไปตามแต่ละสำ​นัก​ ​ที่​เขา​โฆษณา​กัน​

                                       ​แต่ก่อนที่ทำ​อะ​ไร​ ​ถ้า​ไม่​เอาดวงตนเองมาประกอบ​ ​หรือ​ตามหลักวิชาที่ถูก​ต้อง​  ​ลงไป​แล้ว​หรือ​สักยันต์​ไป​แล้ว​ ​

แทนที่​จะ​ดวงดี​ ​กลับดวงตกไป​ได้​นะ​ ​เรียกว่า​ไม่​รู้ถาม​ผู้​รู้ดีกว่า​ ​แต่บางอาจารย์ดูดวง​ไม่​เป็น​ก็​ต้อง​ระวัง​ไว้​เอา​ด้วย​นะ



หลักพิจารณาการสักยันต์ว่าควรลงอะ​ไรดี

หลักการพิจารณาการสักยันต์

          ๑. ​สักยันต์​เพื่ออะ​ไร​

          ๒. ​อาจารย์​ผู้​สักยันต์

                 ๑. ​สักยันต์ ​เพื่ออะ​ไร​  ​การสักยันต์​ ​ใน​ปัจจุบันนี้​ ​เริ่ม​เป็น​ที่นิยมของบุคคล​ใน​ชั้นวงการต่างๆ​ ​มากมาย​ ​โดย​เฉพาะดารา​ ​หรือ​การโป

รโมททางสื่อต่าง​ ​ๆ​ ​ทำ​ให้​ประชาชนนิยม​ ​การสักยันต์​ ​เป็น​จำ​นวนมากขึ้น​ ​ไม่​ว่าวัยรุ่น​ ​หรือ​ ​วัยทำ​งาน​ ​บางคนไปสักกราฟิกไปเลยก็มี​ ​แต่​ใน​ที่นี้​ ​

อาจารย์​เขียว​ ​จะ​กล่าว​ใน​เรื่องของการสักยันต์ที่น่า​จะ​ลง​หรือ​ที่​ผู้​สนใจการสักยันต์​ ​เพื่อเสริมบารมี​ให้​ตนเองมีชีวิต​ ​ใน​หน้าที่การงาน​  ​หรือ​ครอบ

ครัว​ ​เจริญรุ่งเรื่อง​ ​เป็น​ที่​เมตตาต่อบุคคล​ทั้ง​หลาย​ ​โดย​ขอ​ให้​ยึดหลักดังนี้

                     ​ก​.  ​วัตถุประสงค์ของตนเอง​ใน​การสักยันต์​ ถ้า​ต้อง​การภาพสวยก็​ต้อง​ดูที่อาจารย์​ไหน​ ​สักยันต์​ได้​สวยมิ​ใช่​แบบไข่ปลา​ ​และ​

ราคา​ต้อง​ไม่​เกี่ยง​  ถ้า​ต้อง​การสักภาพทางด้านอาคม​   ​ให้​แยกออกไปอีกว่า​จะ​ลงทางด้าน​ใด​ ​ทางคงกระพัน​ ​ควรพิจารณาว่า​ใน​ยุคนี้​เหมาะ​กับ​

เรา​แล้ว​หรือ​ยัง​ ​มีการรบทัพจับศึก​หรือ​ไม่​ ​แต่​ถ้า​อยากลงก็​ไม่​เป็น​ไรนะ​ ​ส่วน​ทางด้านเมตตาก็พิจารณาว่า​เรา​จะ​ลงเพื่อ​ใช้​ทางด้าน​ใด​ใน​หน้าที่การ

งาน

                   2. อาจารย์​ผู้​สักยันต์  ​ใน​ยุคนี้นับตั้งแต่หลวงพ่อเปิ่น​ ​มรณะภาพไป​แล้ว​ ​หลวงพ่อแล​ ​ท่านก็มิ​ได้​สักยันต์อีก​ ​นับแต่มีอาจารย์คา

รวาอ​ ​แถวปทุมท่านหนึ่งที่​ได้​มีชื่อเสียง​เพราะ​การาต่างประ​เทศมาสักยันต์​ ​พร้อม​ทั้ง​ดารา​ไทยมาสักยันต์​

                        ​ดาราต่างประ​เทศมาสักยันต์​กับ​อาจารย์ท่านนี้​เพราะ​อะ​ไร​ ​ถ้า​พิจารณา​ ​เพราะ​ชาวต่างชาติ​ ​ชอบศิลปไทย​ ​การสักของท่าน

อาจารย์นี้​ ​สักลายเส้นสวยเหมือนการเขียน​ ​จึง​มาสัก​ ​ทางด้านพุทธคุณ​เข้า​รู้​หรือ​ไม่​ไม่​มี​ใครทราบ

                         ​ส่วน​ดารา​ไทยสัก​กัน​นั้น​เพราะ​แห่ตาม​กัน​มามีผลทางด้านไหน​ ​ให้​ถามแต่ละคนเอา​เอง​ ​อาจารย์​ไม่​ขอตอบ

                        ​อาจารย์ที่สักยันต์​นั้น​ได้​สักยันต์ตรงตามตำ​ราของอาจารย์สมัยโบราณ์​ ​จริง​หรือ​ไม่​ ​มีที่มาที่​ไป​หรือ​ไม่​ ​บางท่านอ้างว่า​เรียน​

จาก​หลวงพ่อต่างๆ​ๆ​ ​ก็มี​เช่นอ้างเรียน​จาก​หลวงปู่ทิม​  ​วัดระหารไร่​   ​หลวงพ่อก่วย​ ​ก็มี​ ​แต่​แท้ที่จริงเรียน​หรือ​ไม่​ต้อง​ดูอายุ​ ​ของอาจารย์​ ​และ​การ

เดินทางของท่าน​เป็น​หลัก​ด้วย

                     ​บางอาจารย์ชอบโจมตีสำ​นัก​อื่น​ว่าสัก​ไม่​ถูก​ ​สักผิด​ ​แล้ว​ไปแก้​ไขยันต์ที่อาจารย์​เขา​สัก​ ​โบราณ์กาล​เขา​ว่าผิดนัก​ ​เพราะการแก้​

ไขยันต์ หรือ​มีการสักทับยันต์เข้า​เรียกว่าวิบัติ ​ทำ​ให้​ผู้​ที่ถูกแก้​ไขวิบัติ​เกิดขึ้น​ใน​ครอบครัว

        ​ฉะ​นั้น​ผู้​ที่สนใจการสักยันต์​ต้อง​พิจารณา​ให้​ดีๆ​ๆ​นะครับ​


นำมาจาก เวป  http://www.checkduang.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=151986

1173
ขอโทษ ที่ลงหลายครั้ง เอาลิงค์นี่ไปชม

http://luangpoosupa.invisionzone.com/index.php?showtopic=740

1174
ถ้าไม่มีของหลวงพ่อเจือ วัดกลางบางแก้ว ก็ใช้ของ วัดกลางคูเวียง ได้ เป็นเบี้ยแก้ สายวัดกลางบางแก้ว
ราคาเบี้ยก็ใกล้เคียงกัน ประมาณ 600 บาท

1175
ไปเช่าบูชา เบี้ยแก้ ของหลวงพ่อเจือ ระวังของเรียนแบบนะครับ
ได้ข่าวว่า มีบุคคลหลายกลุ่มที่ เคยตีตะกั่วทำเบี้ยแก้ และถักเบี้ยแก้ ได้ทำกันเอง โดยที่
หลวงพ่อไม่ได้ ลงจารยันต์ และปลุกเสก
ถ้าอยากได้
จริงๆ ต้องไปรอรับเอาที่ กุฎิหลวงพ่อ โดยตรง ครับ

1176
ขุนแผน ปี 42

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1177
บทความ บทกวี / ตำนานหลวงพ่อโสธร
« เมื่อ: 09 มี.ค. 2550, 12:57:14 »
นำมาจาก คุณเอก มารวิชัย แห่งเวป หลวงปู่สุภา

ตำ​นาน​
​จังหวัดฉะ​เชิงเทรา​ ​มีตำ​นานที่​เป็น​เรื่องเล่าสืบต่อ​กัน​มา​เป็น​เวลาช้านาน​ ​คือ​ ​ตำ​นานหลวงพ่อพระพุทธโสธร​ ​หรือ​หลวงพ่อโสธรตำ​นานของหลวงพ่อพระพุทธโสธร​ ​มีการเล่าขาน​กัน​สืบต่อมาว่า​ ​ใน​สมัยลานช้างลานนา​เศรษฐีพี่น้อง​3​คน​ซึ่ง​อาศัย​อยู่​ทางเหนือ​
มีจิตเลื่อมใสศรัทธา​จะ​สร้างพระพุทธรูปเพื่อเสริมสร้างบารมี​และ​เพิ่มพูนผลานิสงส์​ ​จึง​ได้​เชิญพราหมณ์มาทำ​พิธีหล่อพระพุทธรูปต่าง​ ​ๆ​ ​ตามวันเกิด​ ​อันมีปางสมาธิ​ ​ปางดุ้งมาร​และ​
ปางอุ้มบาตร​ ​แล้ว​ทำ​พิธีบวงสรวงชุมนุมเทวดาตามโหราศาสตร์​ ​เพื่อทำ​พิธีปลุกเสก​ ​แล้ว​อัญเชิญ​
เข้า​สู่วัด​ใน​กาลต่อมา​ ​ได้​เกิดยุคเข็ญขึ้น​ ​พม่า​ได้​ยกทัพมาตี​ไทยหลายครั้งหลายหน​
จนครั้งสุดท้าย​ ​คือ​ ​ประมาณครั้งที่​ 7 ​ก็ตี​เมืองแตก​ ​และ​ได้​เผาบ้านเผา​เมืองตลอดจน​
วัดวาอารามต่างๆ​ ​หลวงพ่อ​ 3 ​พี่น้อง​จึง​ได้​ปรึกษา​กัน​ ​เห็นว่า​เป็น​สถานการณ์คับขัน​
จึง​ได้​แสดงอภินิหารลงแม่น้ำ​ปิง​ ​แล้ว​ล่องมาทาง​ใต้​ตลอด​ 7 ​วัน​ ​จนกระทั่งมา​ถึง​แม่น้ำ​เจ้าพระยา​ ​ตรงบริ​เวณที่ปัจจุบันเรียกว่า​“​สามแสน​” ​จึง​ได้​แสดงอภินิหารลอย​ให้​ชาวบ้าน​
ชาวเมืองเห็น​ ​ชาวบ้านนับแสน​ ​ๆ​ ​คน​ ​ได้​ทำ​การฉุดหลวงพ่อ​ทั้ง​
3 ​องค์​ ​ถึง​ 3 ​วัน​ 3 ​คืน​ ​ก็ฉุด​ไม่​ขึ้น​ ​ตำ​บล​นั้น​จึง​ได้​ชื่อว่า​ “​สามแสน​” ​ซึ่ง​ได้​เพี้ยน​เป็น​ “​สามเสน​” ​ใน​ภายหลังหลวงพ่อ​ทั้ง​ 3 ​องค์ลอย​เข้า​สู่พระ​โขนงลัดเลาะจนไป​ถึง​แม่น้ำ​บางปะกง​
ผ่านคลอง​ซึ่ง​ปัจจุบันเรียกว่าคลองชักพระ​ ​ก็​ได้​แสดงอภินิหาร​
ลอยขึ้นมา​ให้​ชาวบ้าน​ได้​เห็นอีกครั้ง​ ​ชาวบ้านประมาณ​3 ​พันคนพยายามชักพระขึ้น​จาก​น้ำ​ ​ก็​ไม่​สำ​เร็จ​ ​คลองนี้​จึง​ได้​นามว่า​ “​คลองชักพระ​” ​ต่อมา​ทั้ง​ 3 ​องค์​ ​ได้​ลอยทวนน้ำ​ต่อขึ้นไปทางหัววัดอีก​ ​สถานที่​นั้น​จึง​เรียกว่า​“​วัดสามพระทวน​” ​ซึ่ง​ต่อมา​เรียกเพี้ยน​เป็น​ “​วัดสัมปทวน​”
​หลวงพ่อ​ได้​ลอยต่อไปตามลำ​น้ำ​บางปะกง​ ​เลยผ่านหน้าวัดโสธรไปจน​ถึง​คุ้งน้ำ​ใต้​ ​วัดโสธร​แล้ว​แสดงอภินิหาร​ให้​ชาวบ้านเห็นอีกชาวบ้าน​ได้​ช่วย​กัน​ฉุดก็​ยัง​ไม่​สำ​เร็จ​
จึง​ได้​เรียกหมู่บ้าน​และ​คลอง​นั้น​ว่า​ “​บางพระ​” ​ต่อ​จาก​นั้น​ก็ลอยทวนน้ำ​วน​อยู่​หัวเลี้ยวตรงกองพันทหารช่างที่​ 2
​สถานที่ลอยวน​อยู่​นั้น​จึง​เรียกว่า​ “​แหลมหัววน​” ​และ​คลองก็​ได้​ชื่อว่า​ “​คลองสองพี่น้อง​” ​มาจนทุกวันนี้​
​ต่อ​จาก​นั้น​ ​พระพุทธรูปองค์ที่​ใหญ่​ได้​แสดงอภินิหารลอยไป​ถึง​แม่น้ำ​แม่กลอง​ ​จังหวัดสมุทรสงคราม​ ​ชาวประมง​ได้​ช่วย​กัน​อาราธนาท่านขึ้นประดิษฐาน​ไว้​ ​ณ​ ​วัดบ้านแหลม​ ​มีชื่อเรียกว่า​ “​หลวงพ่อบ้านแหลม​” ​อีกองค์หนึ่ง​ได้​แสดงปฏิหาริย์ล่อง​เข้า​ไป​ใน​คลองบางพลี​ ​ชาวบ้าน​
ได้​อาราธนาขึ้นประดิษฐานที่วัดบางพลี​ ​จังหวัดสมุทรปราการ​ ​มีชื่อเรียกว่า​ “​หลวงพ่อโตบางพลี​”
​ส่วน​พระพุทธรูปองค์สุดท้าย​ ​หรือ​หลวงพ่อพระพุทธโสธร​นั้น​ได้​แสดงอภินิหาร​
ลอยมาขึ้นที่หน้าวัดหงส์​ (จังหวัดฉะ​เชิงเทรา​, 2539 : 34-37) ​ซึ่ง​เป็น​ชื่อเดิม​
ของวัดโสธรวรารามวรวิหาร​ ​วัดนี้​แต่​เดิม​เป็น​วัดราษฎร์​ ​สร้างขึ้นตอนปลายกรุงศรีอยุธยา​ ​ตามประวัติ​นั้น​ ​แต่​แรกมีชื่อว่า​ “​วัดหงส์​” ​เพราะ​มี​ “​เสาหงส์​” ​อยู่​ใน​วัด​ ​เป็น​เสาสูงมียอด​เป็น​ตัวหงส์​อยู่​บนปลายเสา​ (จังหวัดฉะ​เชิงเทรา​, 2540 : 27)
​วัดนี้มีลักษณะดี​ ​ตั้ง​อยู่​บนแหลม​เป็น​สถานที่ศักดิ์สิทธิ์​ ​และ​เป็น​ที่ธรณีสงฆ์​ ​รักษา​ ​พระศาสนาสืบต่อไป​ได้​ ​ตามธรรมเนียมจีน​ ​สถานที่นี้​เรียกว่า​ “​ที่มังกร​” ​ถ้า​ได้​ประทับ​ ​ณ​ ​สถานที่นี้​ ​จะ​เกิดรัศมีบารมี​และ​มี​ความ​ศักดิ์สิทธิ์​ ​ที่​จะ​รักษาบ้านเมือง​และ​พุทธศาสนาสืบต่อไป​ ​หลวงพ่อพระพุทธโสธร​
จึง​ได้​ตัดสินใจขึ้นประทับ​ ​ณ​ ​วัดหงส์​แห่งนี้​ ​ใน​เดือนยี่ติดต่อเดือนสาม​
​ตามประวัติกล่าวว่า​ ​เมื่อองค์หลวงพ่อ​ได้​แสดงอภินิหารลอยมาขึ้นที่หน้าวัดหงส์​ได้​มีชาวบ้าน​
ยก​และ​ฉุด​เป็น​จำ​นวนมาก​ ​แต่​ไม่​สามารถ​เชิญหลวงพ่อฯ​ ​ขึ้น​จาก​น้ำ​ ​จนกระทั่ง​ได้​มีอาจารย์​ผู้​หนึ่ง​ ​รู้วิธีการอัญเชิญหลวงพ่อ​โดย​ตั้งพิธีบวงสรวง​ใช้​ด้ายสายสิญจน์คล้อง​กับ​พระหัตถ์หลวงพ่
อพุทธโสธร​ ​แล้ว​อัญเชิญขึ้นมาบนฝั่ง​ ​โดย​ใช้​คน​ไม่​กี่คนก็​สามารถ​อัญเชิญขึ้นประดิษฐาน​ใน​วิหารสำ​เร็จ​ ​ตาม​ความ​ประสงค์​ ​จึง​ได้​จัด​ให้​มีการสมโภชน์ฉลององค์หลวงพ่อ​ ​หลัง​จาก​ที่​ได้​ประทับที่วัดหงส์​เรียบร้อย​แล้ว​ ​ชื่อเสียงหลวงพ่อ​ยัง​ไม่​ปรากฏ​ ​ซึ่ง​หลวงพ่อ​ต้อง​การชื่อเดิมของท่าน​ ​จำ​เดิมองค์หลวงพ่อประทับ​
ที่วัดศรี​เมืองทางภาคเหนือ​ ​ซึ่ง​มีชาวบ้านขนานนามหลวงพ่อว่า​ “​พระศรี​” ​องค์หลวงพ่อมี​ความ​ประสงค์​
จะ​ใช้​นามว่า​ “​หลวงพ่อพุทธศรี​โสธร​” ​จึง​มี​เหตุการณ์ดลบันดาล​ให้​เกิดพายุพัดเอาหงส์ที่ตั้ง​อยู่​บนยอดเสาหงส์ลงมา​ ​ชาวบ้าน​ ​จึง​แก้​ไข​เป็น​เสาธง​ ​จึง​เปลี่ยน​จาก​วัดหงส์​เป็น​ “​วัดเสาธง​” ​อยู่​ต่อมา​ไม่​นานก็​เกิดพายุอีก​ ​พัดเสาธงหัก​ ​จึง​เปลี่ยน​จาก​วัดเสาธง​ ​เป็น​ “​วัดเสาธงทอน​” ​ต่อมาชาวบ้านเห็นว่า​ไม่​เพราะ​ ​จึง​ได้​ขนานนามว่า​ “​วัดศรี​โสทร​” ​ใน​ที่สุดหลวงพ่อก็ดลบันดาล​ให้​เปลี่ยนชื่อ​เป็น​วัดโสธร​ ​และ​ต่อมา​ได้​มีข้าราชการ​ได้​ไปนมัสการหลวงพ่อที่วัด​ ​เล็งเห็น​ความ​สำ​คัญของวัด​ ​จึง​ได้​เสนอแต่งตั้ง​ให้​เป็น​วัดหลวง​และ​ขนานนามหลวงพ่อว่า​ “​หลวงพ่อโสธร​ ​หรือ​หลวงพ่อพระพุทธโสธร​” ​ตั้งแต่บัด​นั้น​เป็น​ต้นมา​ (บรรณาธิการ​ฉบับ​พิ​เศษ​, ​ม​.​ป​.​ป​. : 29)
​สำ​หรับประวัติ​ความ​เป็น​มาของหลวงพ่อพระพุทธโสธร​นั้น​ ​มีนักโบราณคดี​และ​ผู้​ทรงคุณวุฒิหลายท่าน​ ​ที่มี​ความ​เห็นแตกต่าง​กัน​ออกไปดังนี้​ (พิพิธวิหารกิจ​และ​คณะ​,2542:50 – 52)
​ก​. ​ความ​เห็นของนักโบราณคดี​ ​พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า​เจ้า​อยู่​หัว​ ​รัชกาลที่​ 5 ​ได้​รับการยกย่องว่า​ ​ทรงพระปรีชา​ ​สามารถ​ ​ใน​ทางปกครอง​เป็น​ยอดเยี่ยม​ ​ทรง​เป็น​นักโบราณคดี​
นักประวัติศาสตร์​ ​และ​อื่น​ ​ๆ​ ​ได้​ทรงบันทึก​ไว้​ใน​จดหมาย​ถึง​มกุฏราชกุมาร​ ​เมื่อเสด็จประพาสมลฑลปราจีนบุรี​ ​ร​.​ศ​.127 ​ความ​ตอนหนึ่งว่า​”…​พระพุทธรูป​ ​ว่า​ด้วย​ศิลา​แลง​ทั้ง​นั้น​ ​องค์ที่สำ​คัญว่า​เป็น​หมอดี​นั้น​ ​คือ​ ​องค์ที่​อยู่​กลางดูรูปตัก​และ​เอวงาม​ ​ทำ​เป็น​ทำ​นองเดียว​กัน​กับ​พระพุทธเทวปฏิมากร​ ​แต่ตอนบนกลายไป​เป็น​ด้วย​ฝีมือ​ผู้​ที่​ไปปั้นว่า​ ​ลอยน้ำ​ก็​เป็น​ความ​จริง​เพราะ​เป็น​พระศิลาคง​จะ​ไม่​ได้​ทำ​ใน​ที่นี้​”
​พระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า​เจ้า​อยู่​หัว​ ​พอ​จะ​สรุป​ได้​ว่า​ ​พระพุทธโสธรนี้​เป็น​พระศิลา​ (แลง) ​ไม่​ได้​ทำ​ใน​จังหวัดฉะ​เชิงเทรา​ ​และ​คง​จะ​มา​จาก​ที่​อื่น​
​นอก​จาก​พระบรมราชวินิจฉัยดังกล่าว​แล้ว​ ​ยัง​มีนักโบราณคดีอีก​ 2 ​ท่าน​ ​ได้​ให้​ทรรศนะ​เกี่ยว​กับ​พระพุทธโสธร​ ​ดังต่อไปนี้คือ​
(1) ​หลวงรณสิทธิพิชัย​ ​เมื่อครั้งดำ​รงตำ​แหน่งอธิบดีกรมศิลปากร​ ​ได้​บันทึก​ไว้​ใน​เรื่องการสำ​รวจของโบราณ​ใน​เมืองไทย​ ​เกี่ยว​กับ​ ​พระพุทธโสธรนี้​
“…​หลวงพ่อโสธร​เป็น​พระพุทธรูปปางสมาธิหน้าตักกว้าง​ 1.65 ​เมตร​ ​สูง​ 1.98 ​เมตร​ ​เป็น​พระพุทธรูปที่บูรณะขึ้น​ใน​ปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา​ ​หรือ​ต้นสมัยรัตนโกสินทร์​ ​และ​ช่าง​ผู้​บูรณะ​นั้น​เข้า​ใจว่า​จะ​เป็น​ฝีมือช่าง​ผู้​มีภูมิลำ​เนา​อยู่​ทางภาคอีสาน​ ​ประวัติที่ข้าพเจ้าพึงกล่าว​ได้​นั้น​มี​เพียง​เท่า​นี้​ ​และ​ที่กล่าวนี้​โดย​อาศัยวัตถุที่​เห็น​เท่า​นั้น​”
​เหตุผลที่สันนิษฐานว่าพระพุทธโสธร​ได้​บูรณะ​หรือ​สร้างขึ้น​ ​ใน​ปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา​หรือ​ต้นสมัยรัตนโกสินทร์​นั้น​ ​ใน​ฐานะที่​ ​นายมานิต​ ​วัลลิ​โภดม​ ​ภัณฑารักษ์​เอกของกรมศิลปากร​ใน​สมัย​นั้น​ได้​ร่วมเดินทางไปสำ​รวจโบราณวัตถุ​กับ​หลวงรณสิทธ
ิพิชัย​
ใน​ครั้ง​นั้น​ด้วย​ ​ได้​ชี้​แจงว่าที่สันนิษฐานเช่น​นั้น​ก็สังเกต​จาก​วงพระพักตร์​ ​ชายสังฆาฏิ​ ​ทรวงทรง​ ​และ​ลีลา​ใน​การสร้าง​โดย​เฉพาะช่างฝีมือ​ใน​ภาคอีสาน​ ​การสร้างพระพุทธรูป​ไม่​สู้​จะ​เปลี่ยนแปลง​
ไป​จาก​เดิมมากนัก​
(2) ​นายมนตรี​ ​อมาตยกุล​ ​อดีตหัวหน้ากองประวัติศาสตร์​ ​กรมศิลปากร​ ​ได้​ให้​ทรรศนะ​ไว้​ใน​เรื่องนำ​เที่ยวฉะ​เชิงเทรา​ ​กล่าว​
ความ​ไว้​ตอนหนึ่งว่า​”…​พระพุทธโสธร​เป็น​พระพุทธรูปปางสมาธิ​ ​ลงรักปิดทอง​ ​มีขนาดสูง​ 10 ​เมตร​ 98 ​เซนต์​ ​หน้าตักกว้าง​ 1 ​เมตร​ 65 ​เซนต์​ ​เท่า​ที่ตรวจดูรูปภายนอก​ซึ่ง​ลงรักปิดทอง​ไว้​ ​ปรากฎว่า​เป็น​พระพุทธรูปฝีมือช่างแบบลานช้าง​ ​หรือ​ซึ่ง​เรียก​กัน​เป็น​สามัญว่า​ “​พระลาว​” ​พระพุทธรูปแบบนี้นิยมทำ​กัน​มากที่​เมืองหลวงพระบาง​ใน​ประ​เทศอินโดจีน​ ​ฝรั่งเศส​ ​และ​ทางภาคอีสานของประ​เทศไทย​”
​พระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า​เจ้า​อยู่​หัว​ ​และ​ความ​เห็นของนักโบราณคดีอีกสองท่าน​ ​ที่​ได้​กล่าวนามมา​แล้ว​ ​พอ​จะ​สรุป​ได้​ว่า​ ​หลวงพ่อโสธร​ไม่​ได้​ทำ​ขึ้น​ใน​จังหวัดฉะ​เชิงเทรา​ ​แต่​ได้​นำ​มา​จาก​ที่​อื่น​ ​เพราะ​พระพุทธโสธรทำ​ด้วย​ศิลา​แลง​ ​พระพุทธรูป​เป็น​ฝีมือแบบชาวลานช้าง​หรือ​ที่​เรียกว่า​ ”​พระลาว​” ​ได้​บูรณะ​หรือ​สร้างขึ้น​ใน​ปลายกรุงศรีอยุธยา​ ​หรือ​ต้นสมัยรัตนโกสินทร์​
​ข​. ​ข้อสันนิษฐานของ​ผู้​ทรงคุณวุฒิ​ ​ตามพระพุทธประวัติของพระพุทธโสธร​
จัดพิมพ์​โดย​นายทองใบ​ ​ภู่พันธ์​ ​ณ​ ​สำ​นักวัดพิกุลเงิน​ ​อำ​เภอบาง​ใหญ่​ ​จังหวัดนนทบุรี​ ​เมื่อวันที่​
13 ​กุมภาพันธ์​ 2492 ​ได้​บรรยายข้อสันนิษฐาน​ไว้​ดังต่อไปนี้​ ​โดย​ได้​จาก​การสัมภาษณ์​กับ​ท่านเจ้าคุณเทพกวี​ ​อดีตเจ้าคณะมณฑลปราจีนบุรี​ ​วัดเทพศิรินทราวาสว่า​ ​ขณะที่ท่านเจ้าคุณเทพกวี​ ​ดำ​รงตำ​แหน่ง​เป็น​เจ้า​
คณะมณฑลปราจีนบุรี​ ​เมื่อปี​ ​พ​.​ศ​. 2472 ​ถึง​ ​พ​.​ศ​. 2482 ​ได้​ความ​ต้อง​กัน​เป็น​ส่วน​มากว่า​ ​พระพุทธโสธรที่ประดิษฐาน​อยู่​ใน​พระอุ​โบสถวัดโสธรปัจจุบันนี้​ ​เดิมที่​เสด็จปาฏิหารย์ลอยมา​
ตามกระ​แสน้ำ​จาก​ทางเหนือลำ​แม่น้ำ​บางปะกง​ ​เป็น​พระพุทธรูปปางสมาธิ​แกะ​ด้วย​ฝีมือหยาบ​ ​ๆ​ ​ขนาดหน้าตักกว้างประมาณ​ 2 ​คืบเศษ​ ​ไม่​มีพุทธลักษณะงดงามอะ​ไร​ ​ข้อที่ว่า​จะ​ลอยมา​จาก​แห่งหนตำ​บลไหน​ ​ตั้งแต่​เมื่อ​ใด​นั้น​ยัง​ไม่​มี​ใครสอบสวน​ได้​ความ​ ​ส่วน​ที่ว่าพระพุทธโสธรเสด็จลอยตามน้ำ​มาจริง​หรือ​ไม่​นั้น​ ​ท่านเชื่อว่าพระพุทธโสธรเสด็จลอยน้ำ​มาจริง​ ​เพราะ​เชื่อว่าลอยน้ำ​ได้​และ​ท่าน​ยัง​มี​เหตุผล​
พอ​จะ​สันนิษฐาน​ได้​ว่าพระพุทธโสธรองค์นี้​เป็น​พระที่​แกะสลัก​ด้วย​ไม้​โพธิ์​เข้า​ใจว่า​
สร้างขึ้น​โดย​ฝีมือชาวเวียงจันทร์​หรือ​ลาวนครเชียงรุ้ง​ ​หรือ​ลาวโซ่งอย่าง​ใด​อย่างหนึ่ง​ ​เพราะ​
เคยทราบมาว่า​ ​พวกลาวชาวพื้นเมืองที่กล่าวนี้นิยมสร้างพระพุทธรูป​ด้วย​ไม้​โพธิ์​
และ​น่าคิดว่าพระพุทธรูปเสด็จลอยน้ำ​มา​จาก​ทางเหนือลำ​แม่น้ำ​บางปะกง​ ​และ​ได้​สันนิษฐาน​
ต่อไปว่าน่า​จะ​ลอยมา​จาก​ตำ​บล​ใด​ตำ​บลหนึ่ง​ใน​ท้องที่อำ​เภอพนมสารคาม​ ​อยู่​ตอนเหนือ​
ของจังหวัดฉะ​เชิงเทราขึ้นไป​ ​โดย​ท้องที่สองฟากฝั่งแม่น้ำ​บางปะกง​ ​ตอนนี้​ ​ใน​ระหว่างสมัยรัชกาลที่​ 3 ​ใน​แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า​เจ้า​อยู่​หัว​ ​ตั้งแต่​ ​ปี​ ​พ​.​ศ​.2367 ​ถึง​ ​พ​.​ศ​.2394 ​ต่อ​เนื่อง​
กัน​มาจน​ถึง​ต้นสมัยรัชกาลที่​ 4 ​ใน​แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า​เจ้า​อยู่​หัว​ ​ประ​เทศไทยมีสงคราม​
ติดพัน​กับ​แคว้นต่าง​ ​ๆ​ ​ใน​ความ​อารักขาของอินโดจีน​ ​ฝรั่งเศส​ ​เช่น​ ​เมืองเวียงจันทร์​ ​เมืองเชียงตุง​ ​เมืองเชียงรุ้ง​ ​และ​ลาวโซ่ง​ ​เหล่านี้​เรื้อรัง​อยู่​ช้านาน​ ​เมื่อกองทัพฝ่าย​ใด​ตีดินแดนของข้าศึก​ได้​ ​ก็กวาดต้อน​ผู้​คนพลเมือง​
ตลอดจนเสบียงอาหาร​ ​ช้าง​ ​ม้า​ ​โค​ ​กระบือ​ ​และ​อาวุธยุทโธปกรณ์​ ​ใน​ดินแดนของข้าศึกที่ยึด​ได้​ ​ส่ง​เข้า​มาควบคุม​
รักษา​ไว้​ใน​ดินแดนของตน​ ​และ​ให้​ครอบครัวเชลยเหล่า​นั้น​ตั้งรกราก​ ​ทำ​มาหากิน​อยู่​เป็น​หมู่​เป็น​พวก​ ​อยู่​ภาย​ใน​
เขตที่อันมีกำ​หนดจนกว่าสงคราม​จะ​สงบ​ ​และ​มีการเจรจา​แลกเปลี่ยนเชลย​กัน​ใน​ภายหลัง​ ​โดย​เฉพาะ​
อย่างยิ่งท้องที่ตำ​บลต่าง​ ​ๆ​ ​ใน​อำ​เภอพนมสารคามนี้​ ​แต่ก่อนพื้นที่ราบ​เป็น​ป่า​ไม้กระยา​เลยนานาชนิด​ ​อุดมสมบูรณ์​ไป​ด้วย​แร่ธาตุต่าง​ ​ๆ​ ​เช่น​ ​แร่ตะกั่ว​ ​แร่​เหล็ก​ ​และ​อื่น​ ​ๆ​ ​อยู่​เป็น​อันมาก​ ​ใน​ท้องที่ที่กล่าวนี้​
​ีครอบครัวลาวเวียงจันทร์ตั้งรกรากทำ​มาหากิน​อยู่​หลายร้อยครัวเรือนตลอดมาจน​ถึง​ยุคปัจจ
ุบันก็​ยัง​ปรากฏว่า​
ครอบครัว​ ​ลูกหลานเหลน​ ​ตั้งถิ่นฐานบ้านช่องกลาย​เป็น​คนพื้นเมืองไปเลย​เข้า​ใจว่าครอบครัวที่ถูกกวาดต้อน​
มา​เป็น​เชลยนี้​เอง​ ​ได้​สร้างพระพุทธโสธรขึ้น​ด้วย​ไม้​โพธิ์​ ​หรือ​มิฉะ​นั้น​ก็อาจสร้างมา​จาก​เมืองเวียงจันทน์​
หรือ​แคว้นลาวแคว้น​ใด​แคว้นหนึ่งที่กล่าวข้างต้น​ ​เมื่อเจ้าของถูกกองทัพไทยกวาดต้อนเอาตัวมา​
ก็​เลยอาราธนาพระพุทธรูปองค์นี้มา​ด้วย​ ​เพื่อ​ช่วย​ป้อง​กัน​อันตรายภัยพิบัติอัน​จะ​พึงบังเกิดขึ้น​
เมื่อตน​ต้อง​พลัดพราก​จาก​บ้านเกิดเมืองมารดร​ ​ต่อมา​จะ​เป็น​โดย​บังเอิญ​หรือ​โดย​เจตนาอย่างไร​
ก็ยากที่​จะ​สันนิษฐาน​ ​พระพุทธโสธร​จึง​เสด็จลอยตามน้ำ​มาจน​ถึง​วัดแหลมหัววน​ ​ซึ่ง​เป็น​ที่ตั้ง​
กองพันทหารช่างที่​ 2 ​อยู่​ใน​ปัจจุบันนี้​ ​และ​ใน​ที่สุดพระสงฆ์​และ​ชาวบ้านไปพบพระพุทธโสธรลอยน้ำ​อยู่​ ​จึง​อาราธนาขึ้นมาประดิษฐาน​ไว้​ ​ณ​ ​พระอุ​โบสถวัดโสธร​ ​แล้ว​เลยถวายพระนามไปตามชื่อ​
ของวัดโสธรแต่​นั้น​เป็น​ต้นมา​
​ค​. ​คำ​บอกเล่าสืบต่อ​กัน​มา​ ​นอก​จาก​ที่ปรากฏ​ใน​ตำ​นานเรื่องหลวงพ่อพุทธโสธร​ ​คำ​กลอนประพันธ์​โดย​นายเพิ่ม​ ​อยู่​อินทร์​ ​ดัง​ได้​กล่าวมา​แล้ว​ใน​ตอนต้นว่า​ ​ได้​ปลอมแปลง​
เป็น​พระพุทธรูปเสด็จลอยมาตามลำ​น้ำ​บางปะกง​ ​เพื่อ​จะ​ลองดีคนทาง​ใต้​ ​นอก​จาก​นั้น​แล้ว​นายทองใบ​ ​ภู่พันธ์​ ​สำ​นักวัดพิกุลเงิน​ ​ยัง​ได้​กล่าว​ไว้​ใน​หนังสือพุทธประวัติของพระพุทธโสธร​ ​ซึ่ง​ได้​จาก​การสัมภาษณ์​ ​เจ้าคุณเทพกวี​ ​วัดเทพศิรินทร์​ ​ความ​อีกตอนหนึ่งว่า​ “….​ใน​ระหว่างที่ฉันดำ​รงตำ​แหน่งเจ้าคณะมณฑล​อยู่​ ​ทราบ​จาก​คนพื้นเมืองจังหวัดฉะ​เชิงเทราที่มีอายุสูง​ ​ๆ​ ​ว่าพระพุทธโสธร​นั้น​ ​เมื่อมีกิติศัพท์​
แพร่หลายเลื่องลือไปตามท้องถิ่นต่าง​ ​ๆ​ ​แล้ว​ ​พระภิกษุสงฆ์​ใน​วัดโสธร​ ​ตลอดจนทายกทายิกา​
​ผู้​มีศรัทธา​เลื่อมใส​ใน​อภินิหารอันศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธโสธรต่างพา​กัน​ปริวิตกเกรงกล
ัวไปว่า​ ​สักวันหนึ่งอาจมี​ผู้​ลักลอบเอาพระพุทธโสธรไปเสียที่​อื่น​ ​ฉะ​นั้น​ ​จึง​พร้อมใจ​กัน​จัดสร้าง​
พระพุทธรูปจำ​ลองแบบไม้ธรรมดาขึ้น​ ​แล้ว​นำ​เอา​ไปสวมครอบปิดบังพระองค์จริง​
ของพระพุทธโสธร​ไว้​เสียภาย​ใน​ ​เพื่อ​เป็น​การพรางตา​ ​และ​ต่อมา​จะ​เป็น​ด้วย​เห็นว่า​
พระพุทธรูปจำ​ลอง​ด้วย​ไม้ที่ทำ​มา​แล้ว​ครั้งก่อน​ ​ยัง​ไม่​เป็น​การปลอดภัยเพียงพอ​
ที่​จะ​ป้อง​กัน​ไม่​ให้​โจร​ผู้​ร้ายมาลัก​หรือ​จะ​อย่างไร​ไม่​ปรากฏชัด​ ​จึง​ได้​มีการทำ​พระพุทธรูป​
แบบไม้ชนิดเดียว​กับ​ครั้งก่อน​ ​แต่มีขนาด​ใหญ่​กว่าขึ้นอีก​เป็น​ครั้งที่สอง​ ​และ​แล้ว​ก็ปฏิบัต​
ิ​เช่นเดียว​กับ​ที่ทำ​มา​เมื่อคราวแรก​ ​คือ​ ​เอาสวมครอบซ้อนพระพุทธรูปจำ​ลองครั้งแรก​
ลงไปอีกชั้นหนึ่ง​ ​ใน​กาลต่อมา​จะ​เกิด​ความ​คิดพิ​เศษอะ​ไรขึ้นมากกว่าครั้งก่อน​ ​ๆ
​จึง​ปรากฏว่าคราวนี้​ได้​ใช้​ปูนพอกทับพระพุทธรูปจำ​ลองเมื่อครั้งที่สองเสียแน่นหนา​ใหญ่​โ

จะ​ประจักษ์​แก่​ผู้​ที่​ไปนมัสการปัจจุบันนี้ว่า​ ​พระพุทธโสธรมีขนาดหน้าตักกว้าง​ถึง​ 3 ​ศอกเศษ​
ซึ่ง​ความ​จริงพุทธศาสนิกชนรุ่นเรา​ ​ๆ​ ​หา​ได้​เคยเห็น​ ​พระพุทธโสธรพระองค์จริง​ไม่​”
​ความ​ศักดิ์สิทธิ์​และ​อภินิหารของหลวงพ่อพระพุทธโสธร​ ​ขจรขจายไป​ทั่ว​ ​เมื่อ​ใด​ที่​เกิด​
ความ​สิ้นหวัง​หรือ​ทุกข์ร้อน​ใน​ชีวิต​ ​ชาวบ้านมัก​ใช้​วิธีบนบานศาลกล่าว​กับ​ “​หลวงพ่อ​” ​ที่ตนเคารพนับถือ​ ​เพื่อ​ให้​ได้​สิ่งอัน​ต้อง​ประสงค์​หรือ​เพื่อขจัด​ความ​ทุกข์​นั้น​ ​ครั้นเมื่อตน​ได้​สิ่งอันประสงค์​ ​ความ​เลื่อมใส​
ศรัทธาก็ยิ่งเพิ่มทวี​ ​จนองค์หลวงพ่อกลาย​เป็น​ศูนย์รวมจิตใจ​และ​ที่พักพิงของคนไทย​ทั่ว​ทั้ง​ประ​เทศ​
……​ตามหนังสือประวัติหลวงพ่อโสธร​ ​ที่ท่านพระราชเขมากร​ (ก่อ​ ​เขมทสสี​ ​ป​.​ธ​. 7) ​ตเจ้าอาวาสวัดโสธร​ได้​เขียน​ไว้​ (พิพิธวิหารกิจ​และ​คณะ​, 2542 : 62) ​มี​ความ​ตอนหนึ่งว่า​เมื่อหลวงพ่อ​ได้​มา​
ประดิษฐาน​อยู่​ใน​วัดโสธร​แล้ว​ ​ประชาชนชาวเมืองนับถือมาก​ ​กล่าว​กัน​ว่า​ถ้า​ได้​บอกหลวงพ่อ​แล้ว​สินค้าก็ซื้อง่าย​
ขายคล่อง​เป็น​เทน้ำ​เทท่า​ ​ครั้นต่อมา​เมื่อการคมนาคมทางบกสะดวกขึ้น​จึง​มี​ผู้​คนไปนมัสการมากขึ้น​ ​ผู้​ใด​เจ็บไข้​ได้​ป่วยก็มาขอ​ความ​คุ้มครองรักษา​จาก​หลวงพ่อโสธร​ ​มัก​จะ​ได้​ผลสม​ความ​ปรารถนา​เป็น​ส่วน​มาก​ ​มูลเหตุอีกอันหนึ่งที่กิตติศัพท์​ความ​ศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโสธร​ได้​แผ่​ไพศาลไป​ใน​ท้อง
ที่ต่างเล่า​กัน​ว่า​ ​ใน​สมัยหนึ่งบ้านโสธรเกิดทุพภิกขภัยข้าวยากหมากแพ​ ​ฝนแล้ง​ ​ข้าวกล้า​ใน​นา​ ​ผลไม้​ใน​สวนเหี่ยวแห้ง​ ​สัตว์พาหนะ​เกิดโรคระบาดล้มตาย​ ​ผู้​คน​ทั้ง​เด็ก​และ​ผู้​ใหญ่​เป็น​โรคฝีดาษต่างพา​กัน​อพยพหนี​ ​ทิ้งบ้านช่องเอาตัวรอด​ ​ใน​กาลครั้ง​นั้น​ยัง​มีบุรุษหัวหน้าครอบครัวหนึ่ง​ ​เมื่อเกิดโรคระบาดนี้ขึ้น​ ​ตนหาที่พึ่ง​ไม่​ได้​ก็หัน​เข้า​หาพระ​เป็น​สรณะที่พี่งที่ยึดถือ​จึง​ไปนมัสการอธิษฐานบนบานข
อ​ความ​
คุ้มครองรักษา​จาก​หลวงพ่อโสธร​ ​ใน​พระอุ​โบสถ​ ​เอาขี้ธูปบ้าง​ ​ดอกไม้​เหี่ยวแห้งที่บูชา​แล้ว​บ้าง​
​กับ​ทั้ง​อธิษฐานหยดเทียนขอน้ำ​มนต์​จาก​ ​หลวงพ่อบ้าง​แล้ว​มากิน​ ​มาทา​และ​อาบ​ ​ปรากฏว่า​
ได้​ผลสม​ความ​ปรารถนา​โรคหาย​เป็น​ปกติ​ ​ด้วย​ความ​ดี​ใจที่​โรคหายสม​ความ​ประสงค์​ ​จึง​จัด​ให้​มีการสมโภชแก้บนถวาย​ ​แต่​นั้น​มากิตติศัพท์​ความ​ศักดิ์สิทธิ์ของ​ ​หลวงพ่อโสธร​
ก็​แพร่สะพัดไป​ใน​ที่ต่าง​ ​ๆ​ ​กว้างขวางมากขึ้น​ ​จน​เป็น​ที่​เลื่องลือนับถือ​กัน​ว่า​ “​หลวงพ่อโสธรศักดิ์สิทธิ์​” ​ผู้​ใด​ปรารถนาสิ่ง​ใด​ ​ที่ชอบ​ ​ที่ควร​ ​ท่านก็ประสิทธิ์ประสาท​ให้​สม​ความ​ประสงค์​ ​ความ​ศักดิ์สิทธิ์​
ของหลวงพ่อมีมากมายเหลือ​จะ​พรรณนา​ให้​หมดสิ้น​ได้​ ​จน​ใน​กาลต่อมา​ถึง​รัชกาลที่​ 5 ​พระบาทสมเด็จ​
พระจุลจอมเกล้า​เจ้า​อยู่​หัว​ ​มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ​ ​ให้​ข้าราชการ​ใน​จังหวัดฉะ​เชิงเทรา​เข้า​ถือ​
น้ำ​พิพัฒน์สัตยา​ใน​พระอุ​โบสถอัน​เป็น​ที่ประดิษฐานองค์หลวงพ่อโสธร​ ​ซึ่ง​แต่​เดิมมากระทำ​
ที่วัดปิตุลาธิราชรังสฤษดิ์​ (วัดเมือง) ​กระทำ​ต่อ​ ​ๆ​ ​มาจนสิ้นสมัยการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์​
​ความ​ศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโสธร​ ​แม้สมเด็จพระมหาสมณเจ้า​ ​กรมพระยาวชิรญาณวโรรส​ ​ก็​ได้​ทราบกล่าว​ไว้​ใน​ขณะ​เสด็จตรวจคณะสงฆ์​ใน​มณฑลปราจีนบุรี​ ​พ​.​ศ​. 2459 ​ว่า​
“………​พระประธาน​ใน​พระอุ​โบสถวัดนี้​ ​เป็น​พระศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวจังหวัดนี้นับถือมาก​ ​มีคนมานมัสการ​ไม่​ขาด​ ​และ​มีการไหว้ประจำ​ปี​ ​กำ​หนด​ใน​วันเพ็ญเดือน​ 12 ​ถึง​วันนี้​ ​มี​เรือมา​เป็น​อันมาก​ ​นอก​จาก​ไหว้พระ​ ​มีการออกร้าน​และ​แข่งเรือ​……” (พิพิธวิหารกิจ​และ​คณะ​, 2542 : 63)
​จาก​ความ​เชื่อของชาวพุทธ​ ​หลวงพ่อพุทธโสธรเปรียบเสมือนร่มโพธิ์ร่มไทรอันยิ่ง​ใหญ่​
ให้​สรรพสัตว์​ได้​พำ​นักอาศัย​ ​กางกั้นสรรพภัยอันตราย​และ​ความ​เดือดร้อนลำ​เค็ญ​ ​ดล​ให้​เกิด​ความ​
อยู่​เย็น​เป็น​สุข​ ​เป็น​แพทย์​ผู้​วิ​เศษพยาบาล​ผู้​อาพาธ​ให้​หายขาด​ ​เป็น​สรณะที่พึ่งพาของหมู่พระบริษัท​
ผู้​ถูกภัยคุกคาม​ ​เป็น​ผู้​พยากรณ์ทำ​นายโชคชะตาวาสนา​ ​เป็น​ผู้​บันดาล​ให้​ทุกท่าน​ผู้​กราบหลวงพ่อ​
เป็น​สัพพัญญู​ผู้​สำ​เร็จวิชา​ทั้ง​ทางโลก​และ​ทางธรรม​ ​และ​เป็น​บรมครูของเทวดา​และ​มนุษย์​

ปล. http://luangpoosupa.invisionzone.com/index.php?showtopic=3411/color]

1178
เป็นเสือเรซิน ของจริงก็มี ของปลอมก็เยอะ

1179
พระเครื่อง ตะกรุด เครื่องราง ผ้ายันต์ รุ่นเก่าๆ ที่กุฎิหลวงพี่สมชาย

1180
ลายสักของสำนักอื่น ไม่รู้ที่ไหน เอามาจาก ที่นี่ดอทคอม

อาจารย์กำลังสัก



สักให้เด็กต้องระวังคุก หน่อย













แถมนิดชมเอา

http://webboard.mthai.com/viewtopic.php?cate_id=37&post_id=257115


1181
ครับ น้องๆ มันรอจะกลับบ้านนะครับ คุณ BALL จริงๆแล้วผมยังไม่อยากกลับหรอก

1182
คลิ้ก ------------> ตอบกระทู้---------------คลิ้ก----------------> ตัวเลือกเพิ่มเติม-----------ใส่รูปได้ 3 ภาพ

1184
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: รัก-ยม
« เมื่อ: 04 มี.ค. 2550, 07:44:04 »
การเลี้ยงรักยม ก็คงจะคล้ายเลี้ยงกุมารทอง เอาดูที่นี่ซะ

http://www.bp-th.org/webboard/index.php/topic,1296.0.html

1185
วันไหว้ครู ไม่ทราบหลวงพี่ญา ได้ครอบครูให้ลูกศิษย์หรืเปล่า เห็นลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดท่านนำเอา
เศียรครูฤๅษี มาประมาณ 3 เศียร เพื่อทำพิธี ส่วนผมได้รับองค์จตุคามรามเทพ จากท่านก็กลับเลย
ถ้าใครได้ครอบครู ช่วยเล่าให้เพื่อนดูบ้าง

1186
อยากให้ได้ ของดีก็บไว้ใช้ทางไวัดกลางบางแก้ว
 เข้าท่านา นครชัยศรี เลี้ยวขวา ไปประมาณ 1.5 กม. ถึงวัด กุฎิหลวงพ่อเจือ ริมน้ำ
ถ้าไปวัดบางพระ
เลี้ยวซ้าย ไปห้วยพลู
เม็ดยา เม็ดละ 25 บาท ถ้าไปซื้อศูนย์พระ 5 เม็ด 250 บาท

1187
ที่นี่มีคำตอบ http://www.bp-th.org/webboard/index.php/topic,1319.0.html

1188
ชีวะประวัติ หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ไม่อยากก็อปเขามา ไปดูลิงค์นี้เลยดีกว่า
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-ngern-wat-don-yai-hom-hist.htm

1189
บทความมีสาระดีครับ ขอให้นำเสนอเรื่องดีๆ ต่อไป :-*

1190
ผงยาวาสนาจินดามณี​ ​ตำ​รับหลวงปู่บุญ​ ​วัดกลางบางแก้ว

มื่อวันอาทิตย์ที่​ 26 ​พฤศจิกายน​ 2549 ​เวลา​ 13.30 ​น​. ​พระ​เจ้าหลานเธอพระองค์​เจ้าพัชรกิตติยาภา​ ​ได้​เสด็จไป​เป็น​ประธาน​ ​ใน​การปรุง​และ​ปั้น

ยาวาสนาจินดามณี​ ​ณ​ ​อุ​โบสถวัดกลางบางแก้ว​ ​โดย​มีหลวงปู่​เจือ​ ​ปิยะสี​โล​ ​เป็น​ผู้​ปรุง​และ​บดยาวาสนาจินดามณีถวาย​ ​พระ​เจ้าหลานเธอพระองค์​

เจ้าพัชรกิตติยาภา​ ​ทรงปั้นเม็ดยาวาสนาจินดามณี​ ​ใน​การดำ​เนินการพิธีครั้งนี้​ ​ยาวาสนาจินดามณี​  ​ส่วน​หนึ่งหลวงปู่​เจือ​ ​ปิยะสี​โล​ ​ได้​ทูลเกล้า

ถวายพระ​เจ้าหลานเธอพระองค์​เจ้าพัชรกิตติยาภา​ ​และ​อีก​ส่วน​หนึ่ง​ได้​นำ​ไปสร้างพระยาวาสนาจินดามณี​ ​ซึ่ง​จะ​ประกอบพิธี​ให้​ทำ​บุญ​ใน​งานทำ​

บุญฉลองอายุครบ​ 81 ​ปี​ ​ใน​วันที่​ 14 ​พฤษภาคม​ 2550


ยาวาสนาจินดามณี​ซึ่ง​หลวงปู่​เจือ​ ​ปิยะสี​โล​ ​ปรุงครั้งนี้ครบถ้วนตามตำ​รับหลวงปู่บุญ​ ​ถูก​ต้อง​ตามตำ​รา​เครื่องสมุนไพรตัวยาครบถ้วนสมบูรณ์​แบบ​

​และ​เป็น​รุ่นแรกของหลวงปู่​เจือ​ ​ปิยะสี​โล​ ​วัดกลางบางแก้ว​ ​พระ​เครื่องก็​จะ​สร้าง​จาก​ยาชุดนี้​ ​สำ​หรับงานฉลองอายุ​ 81 ​ปี​ ​เท่า​นั้น​  ​นับ​เป็น​ครั้งแรก

ที่หลวงปู่​เจือ​ ​ปิยะสี​โล​ ​สร้างยาวาสนาจินดามณี​  ​ที่ถูก​ต้อง​ตรงตามตำ​รับครบเครื่อง​ทั้ง​สมุนไพรใบยา​ ​ฤกษ์ยามถูกตาม​ ​กำ​หนดภาย​ใน​ราชวัตร

ฉัตรธง​ ​และ​ลูกหิน​-​แม่หินลงยันต์ครบถ้วน


ก่อนๆ​ ​นั้น​ใคร​จะ​เอายาอะ​ไรมา​ให้​ท่านเสก​ ​ท่านใจดีก็​เสก​ให้​ ​แล้ว​ก็อ้างว่า​เป็น​ยาวาสนาจินดามณีของวัดกลางบางแก้ว​ (วัดกลางบางแก้ว​ไม่​เคย

มอบยาวาสนาจินดามณี​ให้​ที่​อื่น​ใด​ไปสร้าง​ทั้ง​สิ้น) ​ถ้า​เป็น​ยาวาสนาจินดามณีของวัดกลางบางแก้ว​ ​เครื่องยามิ​ใช่​หา​ได้​ง่ายๆ​ ​ใช้​เงินมหาศาล​ ​

ฤกษ์ยาม​ต้อง​ตามกำ​หนดมิ​ได้​ทำ​กัน​มั่วๆ​ ​และ​ต้อง​ทำ​ใน​อุ​โบสถ​ ​มีการบวงสรวง​ ​มีการเจริญพระพุทธมนต์มหาจินดามณีมนตราคม​ ​ตามกำ​หนดก

ฎเกณฑ์​ ​มียันต์​แม่หินลูกหิน​  ​ยันต์​แวดวงสายสิญจน์​ ​และ​รายละ​เอียด​อื่นๆ​ ​อีกมากมาย

ใน​ชีวิตของหลวงปู่​เพิ่มทำ​ได้​เพียงครั้งเดียว​ ​สมัยอาจารย์​ใบทำ​ได้​สองครั้ง​ ​และ​ ​หลวงปู่​เจือ​ ​ปิยะสี​โล​ ​ครั้งนี้​เป็น​ครั้งแรกที่ทำ​ถูก​ต้อง​ใน​นามวัด

กลางบางแก้ว​ ​โดย​มี​ ​พระ​เจ้าหลานเธอ​ ​พระองค์​เจ้าพัชรกิตติยาภา​ ​ทรงเสด็จมา​เป็น​ประธานปรุง​และ​ปั้นยา​เป็น​สิริมงคลแก่หลวงปู่​เจือ​ ​ปิยะสี​โล​ ​

และ​วัดกลางบางแก้วยิ่งนัก


ถามว่าหากอยาก​ได้​จะ​ทำ​อย่างไร​ ​ตอบว่า​ให้​คอย​ ​วันที่​ 14 ​พฤษภาคม​ 2550 ​วันเกิดหลวงปู่​เจือนั่นแล​...


(คัดลอกมาจากนิตยสาร​ ​ลานโพธิ์​ 966 ​เดือนมกราคม​ 2550 ​โดย​... ​แฉ่ง​ ​บางกระ​เบา)

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1191
เพิ่มเติมความรู้ ตามลิงค์นี้ http://www.soonphra.com/songphra/maktui/

1192
วันที่ 3 มีนาคม 2550 ตรงกับวันมาฆะบูชา ปีนี้ เดือน 8 สองหน เป็นขึ้น 15 เดือน 4
ขอให้ลูกศิษย์หลวงพ่อ รักษาศีล 5 ให้ได้มากที่สุด
                                       
                                                       วันมาฆะบูชา​

    "มาฆะ​" ​เป็น​ชื่อของเดือน​ ๓ ​มาฆบูชา​นั้น​ ​ย่อมา​จาก​คำ​ว่า​ "มาฆบุรณมี​" ​แปลว่าการบูชา​ ​พระ​ใน​วันเพ็ญ​ ​เดือน​ ๓ ​วันมาฆบูชา
จึง​ตรง​กับ​วันขึ้น​ ๑๔ ​ค่ำ​ ​เดือน​ ๓ ​แต่​ถ้า​ปี​ใด​มี​เดือน​ ​อธิกมาส​ ​คือ​ ​มี​เดือน​ ๘ ​สองครั้ง​ ​วันมาฆบูชาก็​จะ​เลื่อนไป​เป็น​วันขึ้น​ ๑๕ ​ค่ำ​
เดือน​ ๔ ​เป็น​วันสำ​คัญวันหนึ่ง​ใน​วันพุทธศาสนา​ ​คือวันที่มีการประชุมสังฆสันนิบาตครั้ง​ใหญ่​ใน​พุทธศาสนา​   ​ที่​เรียกว่า​ "จาตุรง
คสันนิบาต" ​และ​เป็น​วันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า​ได้​ทรงแสดงโอวาทปฎิ​โมกข์​   ​แก่พระสงฆ์สาวก​เป็น​ครั้งแรก​    ​ณ​   ​เวฬุวันวิหาร​
กรุงราชคฤห์​ ​เพื่อ​ให้​พระสงฆ์นำ​ไปประพฤติปฏิบัติ​เพื่อ​จะ​ยัง​พระพุทธศาสนา​ ​ให้​เจริญรุ่งเรืองต่อไป​     ​คำ​ว่า​ "จาตุรงคสันนิบาต"
แยกศัพท์​ได้​ดังนี้​ ​คือ​ "จาตุร" ​แปลว่า​ ๔ "องค์​" ​แปลว่า​ ​ส่วน"​ ​สันนิบาต"​แปลว่า​ ​ประชุม​ ​ฉะ​นั้น​ ​จาตุรงคสันนิบาต​  ​จึง​หมาย​ความ
ว่า​"การประชุม​ด้วย​องค์​ ๔ "กล่าวคือ​ ​มี​เหตุการณ์พิ​เศษที่​เกิดขึ้นพร้อม​กัน​ใน​วันนี้​ ​คือ
          ๑. ​เป็น​วันที่​ ​พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า​ ​จำ​นวน​ ๑,๒๕๐ ​รูป​ ​มาประชุมพร้อม​กัน​ที่​เวฬุวันวิหาร​ใน​กรุงราชคฤห์​  ​โดย​มิ
ได้​นัดหมาย
          ๒. ​พระภิกษุสงฆ์​เหล่านี้ล้วน​เป็น​ "​เอหิภิกขุอุปสัมปทา​"    ​คือ​เป็น​ผู้​ที่​ได้​รับการอุปสมบท​โดย​ตรง​จาก​พระพุทธเจ้า​  ​ทั้ง​สิ้น
          ๓. ​พระภิกษุสงฆ์ทุกองค์ที่​ได้​มาประชุม​ใน​ครั้งนี้​ ​ล้วนแต่​เป็น​ผุ้​ได้​บรรลุพระอรหันต์​แล้ว​ทุก​ ​ๆ​องค
          ๔. ​เป็น​วันที่พระจันทร์​เต็มดวงกำ​ลังเสวยมาฆฤกษ์​

        ​การปฎิบัติตนสำ​หรับพุทธศาสนา​ใน​วันนี้ก็คือ​   ​การทำ​บุญ​ ​ตักบาตร​ใน​  ​ตอน​เช้า​   ​หรือ​ไม่​ก็จัดหาอาหารคาวหวานไป
    ทำ​บุญฟังเทศน์ที่วัด​ ​ตอนบ่ายฟังพระ​ ​แสดงพระธรรมเทศนา​ ​ใน​ตอนกลางคืน​  ​จะ​พา​กัน​นำ​ดอกไม้​ ​ธูปเทียน​ ​ไปที่วัดเพื่อ
    ชุมนุม​กัน
    ทำ​พิธี​เวียนเทียน​ ​รอบพระอุ​โบสถ​   ​พร้อม​กับ​พระภิกษุสงฆ์​โดย​เจ้าอาวาส​จะ​นำ​ว่า​  ​นะ​โม​ ๓ ​จบ​   ​จาก​นั้น​กล่าวคำ​ ​ถวาย
    ดอกไม้ธูปเทียน​ ​ทุกคนว่าตาม​ ​จบ​แล้ว​เดิน​ ​เวียนขวา​   ​ตลอดเวลา​ให้​ระลึก​ถึง​  ​พระพุทธคุณ​ ​พระธรรมคุณ​ ​พระสังฆคุณ​
    จนครบ​ ๓ ​รอบ​ ​แล้ว​นำ​ดอกไม้​ ​ธูปเทียนไปปักบูชาตามที่ทางวัด​ ​เตรียม​ไว้​ ​เป็น​อันเสร็จพิธี​
     
    กิจกรรมต่างๆ​ ​ที่ควรปฏิบัติ​ใน​วันมาฆบูชา​
          ๑. ​ทำ​บุญ​ใส่​บาตร​
          ๒. ​ไปวัดเพื่อปฏิบัติธรรม​ ​และ​ฟังพระธรรมเทศนา​
          ๓. ​ไปเวียนเทียนที่วัด

1193
หลายเดือนก่อน ผมเห็นมีเครื่องราง ของขลัง ที่ กุฎิหลวงพี่สมชาย มีอีเป๋อ(ใช่นางพิม หรือเปล่าไม่รู้) เป็นงาแกะ
แช่ในน้ำมันจันหอม  ถามศิษย์ฆารวาสเขาบอกว่า เป็นต้นแบบ แล้วยังว่า คาถา อุ กะ ปะ สะ หะ นะ พุท (9 จบ)
ให้ฟังอีกต่างหาก

1194
เบี้ยแก้​ ​หลวงพ่อเผือด​ ​วัดมะกอก​  ตลิ่งชัน กทม. ​ตำ​หรับวัดนายโรง
    
​เบี้ยแก้​ ​หลวงพ่อ​ ​เผือด​ ​วัดมะกอก​ ​หลวงพ่อ​ ​เผือด​ ​เรียน​ ​วิชา​ ​เบี้ยแก้​จาก​ ​ท่านอาจารย์​ ​เที่ยง​ ​ซึ่ง​เป็น​ฆราวาส​ซึ่ง​มีวิชาอาคมสูงมาก​ใน​อดีต​ ​โดย​

วิชา​เบี้ยแก้นี้​ ​สืบทอด​โดย​ตรง​ ​มา​จาก​ ​หลวงปู่รอดวัดนายโรง​ ​ที่​เป็น​ที่รู้จัก​ ​เบี้ยของหลวงพ่อเผือดนี้​ ​จัดว่า​เป็น​เบี้ยที่ประสพการณ์สูงมาก​ ​เจอ​กัน​

มามาก​ใน​เรื่องปกป้อง​และ​ ​แก้คุณไสย์​ ​นอก​จาก​นี้​ ​หลวงพ่อ​ ​ยัง​ได้​ ​เพิ่มตะกรุด​ ​และ​ ​วิชาที่ท่านถนัดคือเรื่อง​กัน​งู​ ​ใน​เบี้ย​ด้วย​ ​เคยมี​ผู้​ลองเอา​ไป

แหย่งูปรกฎว่าว่า​ ​งู​แน่นิ่งไปเลย​ ​เบี้ยของหลวงพ่อท่าน​จะ​เป็น​คนทำ​เองทุกขั้นตอน​ ​จนไป​ถึง​การถัก​ ​ซึ่ง​ขณะทำ​ไปก็บริกรรมไปทุกขั้นตอน​ ​ตอน

นี้ท่านมรณะภาพ​แล้ว​


1195
มีดหมอ หลวงพ่อเปิ่น รุ่นไหว้ครู ปี 2544





1196
เอารูป มีดหมอ มาให้ชมกัน

มีดหมอ หลวงพ่อเปิ่น ไม่ทราบรุ่น



มีดหมอ วัดโพธิ์ ท่าเตียน ปี 37



มีดหมอ วัดเสมียนนารี



มีดหมอ หลวงพ่อจ้อย วัดศรีอุทุมพร





มีดหมอ หลวงพ่อกวย วัดโฆษิตาราม ชัยนาท



มีดหมอ หลวงพ่อพิมพา วัดหนองตางู + มีดหมอ หลวงพ่อโอน วัดโคกเดื่อ




[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1198
นี่ก็ช้าง



1199
ไม่อยากให้กระทู้เดิมตกไป แบบไร้ความหมาย

http://www.bp-th.org/webboard/index.php/topic,1074.0.html

1200
ที่นี่มีคำตอบ

http://www.bp-th.org/webboard/index.php/topic,1460.0.html

http://www.bp-th.org/webboard/index.php/topic,1345.0.html

1201
ไม่ทราบว่า งานไหว้ครูปีนี้ 2550 ได้มีผู้รับผิดชอบจัดการห้องน้ำแล้วหรือยัง เพื่อความสะอาด และ เรียบร้อย

1202
เบี้ยแก้สูตร วัดกลางบางแก้ว (ของหลวงพ่อเจือ) ถ้าอยากได้ ต้องไปขอบูชาที่ กุฎิหลวงพ่อโดยตรง รับกับมือหลวงพ่อ
 เพราะได้ข่าวว่า มีบุคคลภายนอก ทำการตีเบี้ยเอง ถักเชือกเอง ลงรักเอง  ตอกโค๊ดเอง เหมือนของหลวงพ่อไม่ผิด โปรดระวัง

1203
ช้างมงคล ล.พ.เปิ่น



ด้านล่าง จากเวปหมูหิน

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1204
ตะกรุดหนังเสือ



เหรียญนั่พาน



1205
เกิดเรื่อง อีกแล้ว งานขุนพันธรักษ์ราชเดช

http://www.thairath.co.th/offline.php?section=hotnews&content=37916

1206
พระผงนั่งเสือ



พระผงรูปเหมือนรุ่นแรก




เหรียญรุ่นแรก




เหรียญรุ่น 2




รูปหล่อ 5 เสือใหญ่ ปี 35






1207
ต้องขออภัย เวปคนรักมีด ที่เอารูปวัตถุมงคล บ้างส่วนของ  ล.พ. เปิ่น มาลงเผยแพร่เกียตรติคุณโดย ไม่ได้ขออนุญาติ ท่านก่อน
โลกไร้พรหมแดน ขอเผยแพร ่ เกิยรติคุณหลวงพ่อต่อ


1208
ลงนะเมตตา (นะหน้าทอง) ไม่ต้องเตรียมอะไรมา นอกจาก ค่ารถ ค่าครู ค่าอาหาร ลงนะหน้าทองไม่เจ็บ
เพราะ ไม่ได้สัก จะทำการปิดทองที่หน้า และ ลิ้น สำหรับผู้หญิง  (ที่กุฎิใหญ่ หลวงพ่อสำอางค์)  แต่ที่ กุฎิ
หลวงพี่ติ่ง มีแบบสัก และแบบไม่สัก ถ้ากลัวเข็ม บอกกับท่านว่าไม่ลงเข็ม ท่านจะลงทอง และแป้ง ผัดหน้า
ให้

1209
สมาชิกเข้าไปดู ลิงค์ นี้หน่อย มีอะไรดีๆ ให้ชมอีกแล้ว

http://www.palungjit.com/board/showthread.php?t=72299

1211
ไหนๆ ก็ต้องผ่าน วัดกลางบางพระ อยู่แล้ว ขอเพื่อนสมาชิก แวะเวียนเข้าไปชมบารมี ของหลวงพ่อพุฒ วัดกลางบางพระ
ซะหน่อย ท่านเป็น ศิษย์ ร่วมอาจารย์ กับ หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ ของเรา แต่ท่านมีอายุมากกว่า และเป็น ศิษย์รุ่นพี่
ของหลวงพ่อ ของเรา และมีวัตถุมงคลมากมาย หลายอย่าง ลองเข้าไปชมดู

ประวัติ หลวงพ่อพุฒ สุนทโร วัดกลางบางพระ

พระครูสุนทรวุฒิคุณ (หลวงพ่อพุฒ สุนทโร) อดีตเจ้าอาวาสวัดกลางบางพระ ตำบลบางพระ อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม

นามเดิมนั้นท่านมีชื่อว่า พุฒ นามสกุล หาญสมัย เกิดเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2453 ตรงกับวันศุกร์ขึ้น 13 ค่ำ เดือน 12 ปี จอ ณ บ้านเลขที่ 8 หมู่ที่ 4 ตำบลบางพระ อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม บิดาของท่านชื่อ นายขำ หาญสมัย มารดาของท่านชื่อนางปาน หาญสมัย ซึ่งท่านมีพี่น้องด้วยกัน 5 คน คือ 1. นางสาวบุญรอด หาญสมัย (ถึงแก่กรรมแล้ว) 2. พระครูสุนทรวุฒิคุณ (หลวงพ่อพุฒ สุนทโร) 3. นางปุ่น นาคละมัย 4. นายปั่น หาญสมัย 5. นางบุญนาค กลั่นสนิท (ถึงแก่กรรมแล้ว)

การศึกษาเล่าเรียนนั้น หลวงพ่อพุฒ ท่านได้ความรู้ติดตัวและได้เรียนมาจากวัด ซึ่งต่อมาหลวงพ่อพุฒได้จบการศึกษาสายสามัญ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียนวัดบางพระ อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ครอบครัวของท่านแต่เดิมมีอาชีพทำนา

เมื่อท่านอายุได้ 20 ปี เข้ารับการคัดเลือกของราชการทหารให้เข้ารับราชการ หรือที่เราเรียกกันว่า ?เกณฑ์ทหาร? ในที่สุดท่านก็ต้องเข้ารับใช้ชาติเป็นทหารรักษาพระองค์อยู่ถึง 2 ปี ได้กลับมาช่วยครอบครัว บิดา มารดา ของท่านทำงานอย่างขยันขันแข็งจนผู้คนในหมู่บ้าน และละแวกใกล้เคียง ชื่นชมยินดีส่งเสริมให้การทำงานอย่างจริงจังของท่าน ชีวิตความเป็นอยู่ก็อยู่ในกรอบศีลธรรมอันดีงามจนชาวบ้านในท้องถิ่นต่างเสนอให้ทางราชการแต่งตั้งท่านเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 4 ตำบลวัดละมุด อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม

ในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2489 ผู้ใหญ่พุฒก็ตัดชีวิตทางโลกเข้าสู่ร่มกาสาวพัตรในรูปพระสงฆ์ ณ พัทธสีมา วัดบางพระ ตำบลบางแก้วฟ้า อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของท่าน โดยมีเจ้าอธิการหิ่ม อินทโชโต เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ทองอยู่ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์เปลี่ยน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ โดยได้รับฉายาว่า สุนทโร

เมื่อหลวงพ่อพุฒ หรือพระภิกษุพุฒในสมัยนั้น อุปสมบทใหม่ ๆ ท่านก็มีความมุ่งมั่นในการศึกษาพระธรรมวินัย และเมื่อท่านมีโอกาส ท่านก็ศึกษาตำรับตำราต่าง ๆ ซึ่งค่อนข้างจะแปลกกว่าพระรูปอื่น เพราะท่านไม่ชอบปล่อยเวลาให้ล่วงไปอย่างไร้ค่า ซึ่งตำรับตำราในสมัยนั้นก็หายากไม่มีมากมายเหมือนในสมัยปัจจุบัน หนังสือที่ท่านให้ความสนใจเป็นพิเศษส่วนมากก็จะเป็นหนังสือประเภทธรรมะ และตำรายาแผนโบราณ และในปีแรกนั้น พ.ศ. 2489 ท่านก็สามารถสอบนักธรรมชั้นตรีได้ ต่อมาอีก 2 ปี คือในปี พ.ศ. 2491 ท่านก็สามารถสอบนักธรรมชั้นโทและชั้นเอกได้มาโดยลำดับ

หลังจากที่หลวงพ่อพุฒได้อุปสมบทและศึกษาพระธรรมวินัย ตลอดจนวิชาคาถาอาคมต่าง ๆ รวมทั้งได้ออกธุดงค์ได้เพียง 6 พรรษา ในปี พ.ศ. 2495 เจ้าอาวาสองค์ที่ 6 แห่ง วัดกลางบางพระได้มรณภาพลงตามสังขาร ทางคณะสงฆ์ ชาวบ้าน ตลอดจนกรรมการได้นิมนต์หลวงพ่อพุฒ ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสของวัดกลางบางพระเป็นองค์ที่ 7 สืบต่อมา ได้รับนามว่า ?พระอธิการพุฒ? ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2495 หลังจากที่พระอธิการพุฒ ในสมัยนั้นได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสของวัดกลางบางพระ ก็ได้ทำการพัฒนาวัด บูรณะปฏิสังขรณ์ เรื่อยมา โดยได้เริ่มมีการวางผังวัดใหม่เพื่อสร้างถาวรวัตถุต่าง ๆ ซึ่งในสมัยนั้นวัดเป็นที่ลุ่มพอสมควร ต้องทำการถมดินเป็นจำนวนมาก โดยได้รับแรงศรัทธาจากชาวบ้านในสมัยนั้น ซึ่งต้องใช้แรงงานคน ชาวบ้านก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ต่อมาได้ทำการซ่อมแซมบูรณะพระอุโบสถขึ้นใหม่อีกครั้ง เพราะชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ซึ่งในอดีตพระอธิการดาได้ทำการบูรณะซ่อมแซมมาแล้ว 1 ครั้ง เมื่อบูรณะพระอุโบสถเป็นที่เรียบร้อยแล้วในปี พ.ศ. 2497 ก็ได้ดำเนินการก่อสร้างศาลาการเปรียญของวัดกลางบางพระ ซึ่งใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างประมาณ 3 ปีเศษ

ในด้านการศึกษานั้น หลวงพ่อได้รับการแต่งตั้งให้ดูงานด้านการศึกษามาโดยลำดับ คือ พ.ศ. 2496 เป็นครูสอนพระปริยัติธรรม เป็นเจ้าสำนักเรียนวัดกลางบางพระ เป็นกรรมการสอบธรรมสนาม หลวง พ.ศ. 2500 เป็นกรรมการอุปถัมภ์โรงเรียนวัดกลางบางพระ พ.ศ. 2515 เป็นกรรมการอุปถัมภ์โรงเรียนสหศึกษาบาลี องค์พระปฐมเจดีย์ พ.ศ. 2529 เป็นประธานหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล พ.ศ. 2530 เป็นหน่วยรับพิเศษของเจ้าคณะใหญ่หนกลาง
วันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2542 หลวงพ่อมีอาการเหนื่อยและอ่อนเพลีย จึงไปนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลห้วยพลู ต่อมาในวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2542 อาการของหลวงพ่อยัง ไม่ดีขึ้นระบบการทำงานต่าง ๆ ของร่างกาย เริ่มไม่มีประสิทธิภาพ รุ่งเช้าวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2542 เวลาประมาณ 08.45 น. หลวงพ่อได้จากพวกเราไปด้วยอาการอันสงบ คณะศิษยานุศิษย์ได้นำศพของหลวงพ่อกลับมายังวัดกลางบางพระและได้รับพระราชทานน้ำสรงศพ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2542 เวลา 17.00 น. อย่างสมเกียรติท่ามกลางความอาลัยของคณะศิษยานุศิษย์ สิริรวมอายุของหลวงพ่อได้ 88 ปี 2 เดือน 8 วัน

จากคุณงามความดีที่ท่านได้สร้างสมปฏิบัติมา จึงได้รับพระราชทานสมศักดิ์ตามลำดับ คือ
1. ได้รับพระราชทานเป็นพระครูชั้นประทวน ในนามพระครูพุฒ สุน?ทโร เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2509 อายุ 54 ปี พรรษา 20
2. ได้รับพระราชทานเป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี ในนามพระครูสุนทรวุฒิคุณ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2513 อายุ 58 ปี พรรษา 24
3. ได้รับพระราชทานเป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2518 อายุ 63 ปี พรรษา 29
4. ได้รับพระราชทานเป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอก เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2534 อายุ 80 ปี พรรษา 45
5. ได้รับตราตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์จากสมเด็จพระพุทธโฆษจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2536 อายุ 82 ปี พรรษา 47

วัตถุมงคลที่ท่านสร้างไว้มีมากแต่ที่จะพอนำมากล่าวได้ก็คือ
- เหรียญรุ่นแรก สร้างเมื่อ พ.ศ. 2505 แจกเปิดโรงเรียนวัดกลางบางพระ เมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2509 เป็นเหรียญรูปทรงเสมาหลวงพ่อหน้าตรงครึ่งองค์ เห็นสังฆาฏิทำด้วยสตางค์แดงผสมทองแดง และอีกชนิดหนึ่งทำด้วยทองเหลืองฝาบาตร ซึ่งเป็นพิมพ์เดียวกัน หน้าเหรียญเขียนว่า ?พระอธิการพุฒ สุน?ทโร? ซึ่งในปัจจุบันหายากพอสมควร
- เหรียญรุ่นที่สองสร้างเมื่อ พ.ศ. 2513 เมื่อครั้งรับพระราชทานเป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี เป็นเหรียญเต็มองค์นั่งขัดสมาธิ เขียนใต้ฐานว่า ?พระครูสุนทรวุฒิคุณ? บนเขียนว่าวัดกลางบางพระ
- เหรียญรุ่นที่สามเป็นเหรียญเสมา สร้างเมื่อ พ.ศ. 2522 เป็นเหรียญรูปหล่อหลวงพ่อครึ่งองค์ สร้างเป็นที่ระลึกในงานฉลองพระครูสัญญาบัตรชั้นโท
- เหรียญรุ่นที่สี่เป็นเหรียญกลมหลวงพ่อครึ่งองค์ด้านหลังเป็นหนังสือ สร้างเมื่อ พ.ศ. 2528
- เหรียญรุ่นที่ห้าเป็นเหรียญเสมารูปหลวงพ่อเต็มองค์ นั่งถือไม้เท้า ด้านหลังเขียน ?ที่ระลึกในงานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นชั้นเอก? สร้างเมื่อ พ.ศ. 2533
- เหรียญรุ่นที่หกเป็นเหรียญเสมาหลวงพ่อเต็มองค์นั่งทับปืนและลูกระเบิด ซึ่งเป็นเหรียญยอดนิยมที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ?เหรียญปืนไขว้? หรือ ?เหรียญนั่งทับปืน? สร้างเมื่อ พ.ศ. 2533
- เหรียญรุ่นที่เจ็ดเป็นเหรียญเสมารูปหลวงพ่อครึ่งองค์ด้านหน้าเขียนว่า ?หลวงพ่อพุฒ อายุ 80 ปี? สร้างเมื่อ พ.ศ. 2533
- เหรียญรุ่นที่แปดเป็นเหรียญรูปไข่หลวงพ่อนั่งเต็มองค์ถือไม้เท้า ด้านหลังเขียนว่า ?ที่ระลึกในงานฉลองพระเกตุจุฬามณี? สร้างเมื่อ พ.ศ. 2534
- เหรียญรุ่นที่เก้าเป็นเหรียญเสมาหล่อปืนไขว้ ?นั่งทับปืน? มีทั้งเนื้อเงิน เนื้อนวะ และเนื้อทองแดง สร้างเมื่อ พ.ศ. 2533
- เหรียญรุ่นที่สิบเป็นเหรียญกงจักรหลวงพ่อนั่งทับปืน สร้างเมื่อ พ.ศ. 2533
- นอกจากนี้ยังมีวัวธนูบูชาและห้อยคอ ราหูอมจันทร์ แกะจากกะลาตาเดียวทั้งที่เป็นลูกและห้อยคอ พระผงรุ่นต่าง ๆ ตะกรุด สี และอื่น ๆ อีกมากที่หลวงพ่อท่านได้สร้างไว้ให้ลูกศิษย์ได้บูชา

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1212
พบกันอีกแล้ว เมื่อชาติต้องการ



เอาประวัติ จากเนชั่นสุดมาฝากครับ

........
พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช ผู้อัญเชิญองค์จตุคามรามเทพ มาสถิต ณ ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช พร้อมกับสร้างเป็นวัตถุมงคลขึ้น จนเป็นที่นิยมบูชาไปกว้างไกลไพศาลเวลานี้

จากข้อมูล ขุนพันธรักษ์ราชเดช นอกจากจะเป็นนายตำรวจชาวเมืองนครศรีธรรมราช ที่ได้สร้างเกียรติประวัติปราบปรามโจรผู้ร้ายมามากมาย จนเป็นที่รู้จัก และยอมรับกันทั่วไปในภาคใต้และในจังหวัดอื่นๆ แล้ว เขายังมีปูมหลังความเป็นมาชนิดไม่สามัญธรรมดา

ขุนพันธรักษ์ราชเดช เดิมชื่อ บุตร์ พันธรักษ์ เกิดเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2442 ที่บ้านอ้ายเขียว หมู่ที่ 5 ต.ดอนตะโก อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช เป็นบุตรนายอ้วน นางทองจันทร์ พันธรักษ์ เข้าเรียนในวัยต้นที่วัดอ้ายเขียว กับอาจารย์ปาน ซึ่งเป็นสมภาร และอาจารย์นาม สมภารรูปต่อมา และที่นี่เองที่ทำเด็กชายบุตร์ เป็นผู้มีความรู้อยู่ในเกณฑ์ดี จนสามารถเลื่อนชั้นจาก ป.1 ไปอยู่ชั้น ป.3 ที่โรงเรียนวัดสวนป่าน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ภายในเวลาเพียง 3 วัน

ต่อมาเด็กชายบุตร์ เข้าเรียนที่โรงเรียนวัดพระนคร ต.พระเสื้อเมือง (ปัจจุบัน ต.ในเมือง) อ.เมือง นครศรีธรรมราช จบ ป.3 ก็เข้าเรียนต่อชั้น ม.1 ที่โรงเรียนวัดท่าโพธิ์ (โรงเรียนเบญจมราชูทิศในปัจจุบัน) กระทั่งเดินทางเข้าไปศึกษาที่กรุงเทพฯ ในปี 2459 โดยไปอยู่ที่วัดส้มเกลี้ยง (วัดราชผาติการาม) กับพระปลัดพลับ บุณยเกียรติ ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้า

บุตร์เข้าเรียนที่โรงเรียนวัดเบญจมบพิตร ที่นี่เขาได้เรียนวิชามวย ยูโด และยิมนาสติก จนมีความชำนาญพอสมควร และสอบไล่ได้ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 8 ในปี 2467 ต่อมาในปี 2468 ได้เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจห้วยจระเข้ จ.นครปฐม ซึ่งหลังจบจากที่นี่ เมื่อปี 2472 ก็ได้ไปประจำตามพื้นที่ต่างๆ ของประเทศ

โดยในปี 2474 เขาได้ย้ายไป จ.พัทลุง และที่นี่เองที่นายตำรวจหนุ่มผู้นี้ได้เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป เมื่อเขาสามารถปราบปรามเสือสังกับเสือพุ่ม นักโทษแหกคุก และยังวิสามัญคนร้ายคดีสำคัญอีก 16 รายได้ และด้วยความดีความชอบในครั้งนี้ เขาจึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น 'ขุนพันธรักษ์ราชเดช' กระทั่งในปี พ.ศ.2478 ได้รับเลื่อนยศเป็นนายร้อยตำรวจโท และได้อุปสมบทที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.นครศรีธรรมราช อยู่ได้ 1 พรรษา จึงลาสิกขา

ปี 2479 ย้ายไปเป็นหัวหน้ากองตรวจ ประจำกองบังคับการตำรวจภูธรมณฑล นครศรีธรรมราช ประจำ จ.สงขลา ได้ปราบโจรครั้งสำคัญ ที่ทำให้มีชื่อเสียงมาก คือ การปราบผู้ร้ายทางการเมืองที่นราธิวาส ในปี 2481 ชื่อ 'อะเวสะดอตาเละ' นัยว่าเป็นผู้ที่อยู่ยงคงกระพัน เที่ยวปล้นฆ่าเฉพาะคนไทยเท่านั้น ครั้งนี้ขุนพันธฯ จึงได้รับฉายาจากชาวไทยมุสลิมว่า 'รายอกะจิ' และได้เลื่อนยศเป็นร้อยตำรวจเอกในปีนั้นเอง

ปี 2482 ย้ายกลับมาอยู่ จ.พัทลุงอีกครั้ง ปราบปรามคนร้ายสำคัญ คือเสือสาย และเสือเอิบ ก่อนจะย้ายไปเป็นผู้กำกับการตำรวจภูธร จ.พิจิตร ปี 2486 กวาดล้างโจรแก๊งเสือโน้ม ต่อมาปี 2489 ย้ายไปเป็นผู้กำกับการตำรวจภูธร จ.ชัยนาท พร้อมทั้งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองผู้อำนวยการกองปราบพิเศษของกรมตำรวจขณะนั้น ลุยปราบชุมโจรสุพรรณบุรี อาทิ เสือฝ้าย เสือผ่อน เสือครึ้ม เสือปลั่ง เสือใบ เสืออ้วน เสือไหว เสือมเหศวร เสือไกร และเสือวัน แห่งชุมโจร อ.พรานกระต่าย จนได้รับฉายาจากชุมเสือว่า ขุนพันดาบแดง และจอมขมังเวท

ต่อมาได้รับแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับการตำรวจภูธรเขต 8 ที่ จ.นครศรีธรรมราช จนกระทั่งปี พ.ศ.2503 จึงดำรงตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจเขต 8 และได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็นพันตำรวจเอก และในปี 2505 ก็ได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็นพลตำรวจตรี จนกระทั่งเกษียณอายุในปี 2507 แต่ก็ยังสร้างคุณประโยชน์ โดยปี 2512 ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.นครศรีธรรมราช สังกัดพรรคประชาธิปัตย์

นอกจากนี้ ขุนพันธฯ ยังสนใจวิชาการทั่วไป เช่น ประวัติศาสตร์ คติชนวิทยา โดยเฉพาะไสยศาสตร์ ที่สนใจเป็นพิเศษ จนมีงานเขียนมากมาย เช่น ความเชื่อทางไสยศาสตร์ในภาคใต้ สองเกลอ กรุช้างเผือกงาดำ หัวล้านนอกครู ศิษย์เจ้าคุณ มวยไทย เชื่อเครื่อง กรุงชิง เป็นต้น

หลายคนที่ศึกษาเกี่ยวกับจตุคามรามเทพ จะพบว่าในประวัติต้นกำเนิด มักปรากฏเรื่องราวของขุนพันธฯ ร่วมอยู่ด้วย นั่นเพราะตามคำเล่าขาน ขุนพันธฯ เป็นผู้ที่รู้ว่าภาพวาดจาก 'คนทรง' ที่พูดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะมาปกป้องบ้านเมือง คือ จตุคามรามเทพ จนนำมาสู่พิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ ในการลงเสาหลักเมืองนครศรีธรรมราช ที่ได้อัญเชิญองค์พ่อจตุคามรามเทพ มาประดิษฐานภายในศาลหลักเมือง เมื่อปี 2530 ซึ่งขุนพันธฯ เป็นเจ้าพิธี อ่านโองการอัญเชิญเทวดา

และหากจะกล่าวถึงบุคคลผู้มีส่วนในการก่อกำเนิดวัตถุมงคลองค์จตุคามรามเทพตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว ก็มี พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช นี่เอง ที่มีชื่อปรากฏเป็นลำดับแรก ถัดไปคือ พล.ต.ท.สรรเพชร ธรรมาธิกุล อดีต ผบ.ช.ประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้เป็นลูกศิษย์ และคุณอะผ่อง สกุลอมร

ปัจจุบัน พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช ได้ลาโลกไปด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2549 ด้วยอายุถึง 108 ปี!

อนึ่ง ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ศกนี้ จะมีงานพระราชทานเพลิงศพ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช ณ วัดพระมหาธาตุฯ ซึ่งในวันดังกล่าวจะมีการแจกเหรียญรูปเหมือนขุนพันธฯ เป็นของที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ เพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่บิดาบังเกิดเกล้า ประกอบด้วย 1.เนื้อเงินบริสุทธิ์ (สร้าง 500 เหรียญ) 2.รูปเหมือนเนื้อผงมหาว่าน 3 สี (ขาว ดำ แดง) สร้าง 80,000 เหรียญ 3.เหรียญทองแดงรมมันปู สร้าง 20,000 เหรียญ

ณ สรรค์ พันธรักษ์ราชเดช บุตรชายคนโต กล่าวว่า ได้จัดสร้างเตรียมไว้ตั้งแต่ปี 2548 ชนวนมวลสารศักดิ์สิทธิ์มากมายพร้อมเส้นเกศาของขุนพันธ์-ด้านหลังประทับลายนิ้วหัวแม่มือ นำเข้าประจุพุทธาคมร่วมวัตถุมงคล 5 รุ่น คือ ไตรภาคีศรีนคร, พุทธามหาเวท, พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง, 9 รอบ 9 พิธี 108 ปี ขุนพันธฯ และหลักเมืองพุทธาคมเขาอ้อ

เนื่องจากสร้างจำนวนจำกัด จึงกลายเป็นวัตถุมงคลหายาก และผู้ศรัทธาใน พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช ต่างต้องการเป็นเจ้าของ รวมทั้งนักสะสมทั่วไป ขณะนี้เหลือเนื้อผงมหาว่านเพียง 3 ชุด (ขาว ดำ แดง) เหรียญทองแดงรมดำมันปู 3 เหรียญ

พระราชธรรมสุธี เจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช (ธ) ที่ปรึกษาเจ้าภาพงานพระราชทานเพลิงศพ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช กล่าวยกย่อง 'ท่านขุน' ว่า

"โบราณศาสตร์มี..เรื่องเวทมนตร์ เรื่องคาถาอาคมมีมาแต่ดึกดำบรรพ์ แต่ใครจะทำได้ตามกฎเกณฑ์ของคาถาอาคมนั้น ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ขลังไม่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่สำเร็จพระโยชน์ คนที่จะทำได้ต้องถือเคร่งครัด ถ้ารู้ว่าเขาห้ามอะไร ก็ไม่ล่วงละเมิด ไม่ว่ารูปแบบไหน แม้ทางใจยังสามารถบังคับได้..

"ท่านขุนพันธฯ จึงถือเป็นบุคคลที่หาได้ยาก เป็นคนดีของแผ่นดินคนหนึ่ง ท่านไม่ด่างพร้อย ไม่เสียหายตลอดชีวิตราชการ มีคุณธรรม จริยธรรม มีศีลาจริยวัตรเรียบร้อย ท่านได้รับการฝึกฝนมาโดยลำดับ ได้อยู่กับวัด อยู่กับอาจารย์ดีๆ มามาก ท่านเก็บเนื้อเก็บตัวรักษาศีลเคร่งครัด จึงสามารถรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของท่านเอาไว้ได้ตลอดชีวิต"

จึงเป็นที่คาดหมายว่า ระหว่างวันที่ 20-22 กุมภาพันธ์ ที่มีงานพระราชทานเพลิงศพ 'ท่านขุน' จะมีผู้เคารพศรัทธาจากทั่วประเทศ ไปร่วมงานอย่างล้นหลาม

เพื่อร่วมไว้อาลัยเป็นครั้งสุดท้าย แด่ดวงวิญญาณ 'นายตำรวจมือปราบ' และ 'ท่านขุนขมังเวท' ผู้ปลุกกระแสวัตถุมงคล องค์จตุคามรามเทพ ให้เป็นปรากฏพิเศษไปทั้งแผ่นดินสยามยาม

1213
ขอเสริมอีกรูป
[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1214
ดูดเขามาให้ชมกัน วัดเจดีย์แดง


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1218
ไม่ได้จัดจำหน่าย อยากได้ต้องหาเอาเอง








1219
                          เอาไว้ดู เล่นๆ


1220
องค์พ่อจตุคามรามเทพ ของวัดบางพระ ผมได้คุยกับหลวงพี่ญาแล้ว ท่านว่า ได้จัดสร้าง
และได้เข้าพิธีร่วม กับ วัดนก ซอยพาณิชย์ธนบุรี  จำนวน 2 ครั้ง จึงมั่นใจได้ว่า ได้จัด
สร้าง ถูกต้องตามแบบพิธี ทางใต้อย่างแน่นนอน ครั้งแรก เข้าพิธีที่ วัดมหาธาตุวรมหาวิหาร
จ.นครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2549 เกจิอาจารย์ สายเขาอ้อ นั่งปรกปลุกเสก
 19 รูป  ครั้งที่ 2 พิธีที่วัดนก 5 มกราคม 2550 หลวงหนุ่ย วัดคอหงษ์ เจ้าพิธี บวงสรวงบูชา
ฤกษ์ อันเชิญท้าวจุตุคาม รามเทพ หลวงปู่ทิม วัดพระขาว จุดเทียนชัย เกจิอาจารย์ 39 รูป
นั่งปรกปลุกเสก




1221
                                             คาถาพ่อแก่ (หลวงพ่อประเทื่อง วัดด่านเจริญชัย)

นะโม 3 จบ  โอม ฦ ฦๅ ฤ ฤๅ นะมะพะทะ จะภะกะสะ นะโมพุทธายะ (3 จบ)
                 

1222
ประสพการณ์นี้เรื่องจริง คือ ผมสักกับหลวงพี่ติ่ง ท่านสักได้อย่างไมค์ ไทสัน อย่างหนัก แบบสะท้านเลย
แถมมีลูก สักแฉลบอีก(ไม่ได้ลงปลายเข็มตรงๆ) ใครเคยมีประสพการณ์ โดนสักเจ็บๆ บ้าง สุดยอด

1223
ข่าว มาเล่าให้ฟังกัน

เชื่อปาฏิหาริย์พระพุทธสิหิงค์(พิธีเดี่ยวกับองค์จตุคามรามเทพ) เมืองคอนหนุ่มกู้ภัยถูกยิงถล่มรถพรุนรอด


ปาฏิหาริย์!!!หนุ่มอาสาสมัครกู้ภัยเมืองคอน ถูกยิงถล่มด้วยปืนลูกซองรถพรุนทั้งคัน แต่เจ้าตัวรอดตายหวุดหวิด เผยหน้าอกแค่เป็นรอยจ้ำเลือด เชื่อความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธสิหิงค์รุ่นปี 30

เรื่องราวเหลือเชื่อหนุ่มกู้ภัยถูกคู่อริยิงถล่มด้วยอาวุธปืนลูกซองแต่กลับมีบาดแผลแค่รอยช้ำ รายนี้คือ นายศิริศักดิ์ พจนะโชติ อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 108 หมู่ 1 ต.ช้างซ้าย อ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งมีบ้านพักอยู่ภายในซอยศรีปราชญ์พัฒนา ต.ท่าวัง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช

ทั้งนี้นายศิริศักดิ์ เปิดเผยว่า มีอาชีพขับรถสองแถวรับส่งผู้โดยสารสายหัวถนน-สนามกีฬา ซึ่งเป็นเส้นทางกลางเมือง ในเขตเทศบาลนครศรีธรรมราช และมีงานอดิเรกเป็นอาสาสมัครของมูลนิธิใต้เต็กเซี่ยงตึ๊งนครศรีธรรมราช หนึ่งในจำนวนหน่วยกู้ภัยของ จ.ชื่อปาฏิหาริย์พระพุทธสิหิงค์เมืองคอนหนุ่มกู้ภัยถูกยิงถล่มรถพรุนรอด
ปาฏิหาริย์!!!หนุ่มอาสาสมัครกู้ภัยเมืองคอน ถูกยิงถล่มด้วยปืนลูกซองรถพรุนทั้งคัน แต่เจ้าตัวรอดตายหวุดหวิด เผยหน้าอกแค่เป็นรอยจ้ำเลือด เชื่อความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธสิหิงค์รุ่นปี 30
เรื่องราวเหลือเชื่อหนุ่มกู้ภัยถูกคู่อริยิงถล่มด้วยอาวุธปืนลูกซองแต่กลับมีบาดแผลแค่รอยช้ำ รายนี้คือ นายศิริศักดิ์ พจนะโชติ อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 108 หมู่ 1 ต.ช้างซ้าย อ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งมีบ้านพักอยู่ภายในซอยศรีปราชญ์พัฒนา ต.ท่าวัง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช
ทั้งนี้นายศิริศักดิ์ เปิดเผยว่า มีอาชีพขับรถสองแถวรับส่งผู้โดยสารสายหัวถนน-สนามกีฬา ซึ่งเป็นเส้นทางกลางเมือง ในเขตเทศบาลนครศรีธรรมราช และมีงานอดิเรกเป็นอาสาสมัครของมูลนิธิใต้เต็กเซี่ยงตึ๊งนครศรีธรรมราช หนึ่งในจำนวนหน่วยกู้ภัยของ จ.นครศรีธรรมราช
"ทั้งนี้เมื่อเวลาประมาณ 02.00 น.ของวันที่ 28 มกราคม ที่ผ่านมา ผมพร้อมกับเพื่อนอาสาสมัครได้ไปรวมตัวกันที่บริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อ ข้างปั้มน้ำมัน ปตท. ถ.พัฒนาการคูขวาง ต.คลัง อ.เมือง เพื่อเตรียมพร้อมในออกไปทำหน้าที่หน่วยกู้ภัยตามปกติ" นายศิริศักดิ์ กล่าวและว่า
ระหว่างที่กำลังนั่งอยู่ภายในรถได้มีกลุ่มคนร้ายประมาณ 10 คนและทราบชื่อเล่นเพียง 1 คนคือนายเอ็ม ซึ่งเป็นลูกข่ายมูลนิธิแห่งหนึ่งได้ใช้รถยนต์กระบะยี่ห้อมิตซูบิชิ โฟร์วิน สีบรอนซ์-ดำ จำหมายเลขป้ายทะเบียนไม่ได้ขับมาวนเวียนแล้วด่าทอ 2-3 ครั้ง และครั้งหลังสุดนายเอ็ม ซึ่งนั่งอยู่ท้ายกระบะรถยนต์คันดังกล่าวใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นยิงใส่รถสองแถวที่ตนนั่งอยู่ 1 นัด กระสุนทะลุกระจกหน้ารถแตกและหัวกระสุนพุ่งมาตามร่างกายทำให้รู้สึกจุกไปครู่ใหญ่

ส่วนกลุ่มนายเอ็มหลังก่อเหตุเสร็จก็ได้ขับรถหลบหนีไปทันที
นายศิริศักดิ์ กล่าวด้วยว่า หลังเกิดเหตุ พ.ต.ท.อภิชาติ คชเวช สารวัตรเวร สภ.อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ได้นำกำลังตำรวจมาตรวจสอบที่เกิดเหตุ และตนได้ถูกเพื่อนอาสาสมัครนำส่งโรงพยาบาลนครินทร์ เพื่อรักษาบาดแผลแต่ปรากฏว่า ที่บริเวณหน้าอกนั้นถูกกระสุนถึง 7 จุดแต่ไม่ทะลุผ่านผิวหนัง ซึ่งแพทย์ได้เอกซเรย์อย่างละเอียดก็ไม่พบหัวกระสุนจึงอนุญาตให้กลับบ้านได้ ส่วนสาเหตุนั้นคิดว่าเป็นเพราะความบาดหมางกันระหว่างอาสาสมัครที่มีเป็นจำนวนมากของมูลนิธิ 2 แห่งใน จ.นครศรีธรรมราช จนมีเรื่องกระทบกระทั่งกันเสมอ

นายศิริศักดิ์ กล่าวอีกว่า คนร้ายที่ยิงมานั้นเชื่อว่าไม่ได้เจาะจงว่ากระสุนจะถูกใคร แต่ตั้งใจยิงสุ่มใส่รถที่ตนนั่งอยู่ อย่างไรก็ตามเรื่องคดีก็ว่าไปตามกระบวนการของกฏหมายซึ่งทางตำรวจได้สอบปากคำตนไว้แล้ว และก็ให้การไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกอย่าง
“ผมเชื่อว่าเหตุที่กระสุนไม่ระคายผิวของผมก็เพราะความปาฏิหาริย์ขององค์พระพุทธสิหิงค์ รุ่นปี 30 หลักเมืองนครศรีธรรมราช ที่ห้อยคอติดตัวอยู่ตลอดเวลา ขณะเดียวกันผมสวมเสื้อยืดสีเหลืองที่มีตราสัญลักษณ์ฉลองสิริราชสมบัติครบรอบ 60 ปีด้วย

จนหัวกระสุนปืนลูกซองซึ่งเป็นหัวตะกั่วแบนก็ไม่สามารถเจาะเข้าร่างกายได้ ผมเชื่อว่าทั้งสองสิ่งนี้ทำให้ผมโชคดีที่ไม่ต้องสังเวยชีวิตไปกับเหตุการณ์ดังกล่าวและถือเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ที่สุดในชีวิตแล้ว”นายศิริศักดิ์ กล่าว พ.ต.ท.อภิชาติ เจ้าของคดี กล่าวว่า ได้สอบปากคำพยานที่เห็นเหตุการณ์ไว้แล้วจำนวนมาก และพยานยืนยันว่าเห็นมือปืนชัดเจน ซึ่งขณะเกิดเหตุกลุ่มคนร้ายนั้นอยู่ในสภาพมึนเมาสุรา

มีความโกรธแค้นเป็นการส่วนตัวอยู่แล้วระหว่างอาสาสมัครอารมย์ร้อนบางกลุ่มของมูลนิธิทั้ง 2 แห่งซึ่งเป็นหน่วยกู้ภัยด้วยกัน และกลุ่มอาสาสมัครเหล่านี้มักจะมีเรื่องกระทบกระทั่งกันอยู่เป็นประจำ กระทั่งมาเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขณะนี้อยู่ในระหว่างขอหมายจับเพื่อติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีต่อไป อย่างไรก็ตามมีรายงานเพิ่มเติมว่า

จากการตรวจสอบข้อมูลนั้นพบว่านายเอ็มนั้นได้ถูกจำหน่ายชื่อออกจากรายชื่ออาสาสมัครไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เนื่องจากมีพฤติกรรมในทางเสื่อมเสีย แต่ยังคงวนเวียนอยู่ในตัวเมืองแม้ว่าจะไม่ได้เป็นอาสาสมัครของมูลนิธิใดๆ แล้วก็ตาม



นครศรีธรรมราช

"ทั้งนี้เมื่อเวลาประมาณ 02.00 น.ของวันที่ 28 มกราคม ที่ผ่านมา ผมพร้อมกับเพื่อนอาสาสมัครได้ไปรวมตัวกันที่บริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อ ข้างปั้มน้ำมัน ปตท. ถ.พัฒนาการคูขวาง ต.คลัง อ.เมือง เพื่อเตรียมพร้อมในออกไปทำหน้าที่หน่วยกู้ภัยตามปกติ" นายศิริศักดิ์ กล่าวและว่า

ระหว่างที่กำลังนั่งอยู่ภายในรถได้มีกลุ่มคนร้ายประมาณ 10 คนและทราบชื่อเล่นเพียง 1 คนคือนายเอ็ม ซึ่งเป็นลูกข่ายมูลนิธิแห่งหนึ่งได้ใช้รถยนต์กระบะยี่ห้อมิตซูบิชิ โฟร์วิน สีบรอนซ์-ดำ จำหมายเลขป้ายทะเบียนไม่ได้ขับมาวนเวียนแล้วด่าทอ 2-3 ครั้ง และครั้งหลังสุดนายเอ็ม ซึ่งนั่งอยู่ท้ายกระบะรถยนต์คันดังกล่าวใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นยิงใส่รถสองแถวที่ตนนั่งอยู่ 1 นัด กระสุนทะลุกระจกหน้ารถแตกและหัวกระสุนพุ่งมาตามร่างกายทำให้รู้สึกจุกไปครู่ใหญ่

ส่วนกลุ่มนายเอ็มหลังก่อเหตุเสร็จก็ได้ขับรถหลบหนีไปทันที
นายศิริศักดิ์ กล่าวด้วยว่า หลังเกิดเหตุ พ.ต.ท.อภิชาติ คชเวช สารวัตรเวร สภ.อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ได้นำกำลังตำรวจมาตรวจสอบที่เกิดเหตุ และตนได้ถูกเพื่อนอาสาสมัครนำส่งโรงพยาบาลนครินทร์ เพื่อรักษาบาดแผลแต่ปรากฏว่า ที่บริเวณหน้าอกนั้นถูกกระสุนถึง 7 จุดแต่ไม่ทะลุผ่านผิวหนัง ซึ่งแพทย์ได้เอกซเรย์อย่างละเอียดก็ไม่พบหัวกระสุนจึงอนุญาตให้กลับบ้านได้ ส่วนสาเหตุนั้นคิดว่าเป็นเพราะความบาดหมางกันระหว่างอาสาสมัครที่มีเป็นจำนวนมากของมูลนิธิ 2 แห่งใน จ.นครศรีธรรมราช จนมี


เรื่องกระทบกระทั่งกันเสมอ

นายศิริศักดิ์ กล่าวอีกว่า คนร้ายที่ยิงมานั้นเชื่อว่าไม่ได้เจาะจงว่ากระสุนจะถูกใคร แต่ตั้งใจยิงสุ่มใส่รถที่ตนนั่งอยู่ อย่างไรก็ตามเรื่องคดีก็ว่าไปตามกระบวนการของกฏหมายซึ่งทางตำรวจได้สอบปากคำตนไว้แล้ว และก็ให้การไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกอย่าง
“ผมเชื่อว่าเหตุที่กระสุนไม่ระคายผิวของผมก็เพราะความปาฏิหาริย์ขององค์พระพุทธสิหิงค์ รุ่นปี 30 หลักเมืองนครศรีธรรมราช ที่ห้อยคอติดตัวอยู่ตลอดเวลา ขณะเดียวกันผมสวมเสื้อยืดสีเหลืองที่มีตราสัญลักษณ์ฉลองสิริราชสมบัติครบรอบ 60 ปีด้วย

จนหัวกระสุนปืนลูกซองซึ่งเป็นหัวตะกั่วแบนก็ไม่สามารถเจาะเข้าร่างกายได้ ผมเชื่อว่าทั้งสองสิ่งนี้ทำให้ผมโชคดีที่ไม่ต้องสังเวยชีวิตไปกับเหตุการณ์ดังกล่าวและถือเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ที่สุดในชีวิตแล้ว”นายศิริศักดิ์ กล่าว พ.ต.ท.อภิชาติ เจ้าของคดี กล่าวว่า ได้สอบปากคำพยานที่เห็นเหตุการณ์ไว้แล้วจำนวนมาก และพยานยืนยันว่าเห็นมือปืนชัดเจน ซึ่งขณะเกิดเหตุกลุ่มคนร้ายนั้นอยู่ในสภาพมึนเมาสุรา

มีความโกรธแค้นเป็นการส่วนตัวอยู่แล้วระหว่างอาสาสมัครอารมย์ร้อนบางกลุ่มของมูลนิธิทั้ง 2 แห่งซึ่งเป็นหน่วยกู้ภัยด้วยกัน และกลุ่มอาสาสมัครเหล่านี้มักจะมีเรื่องกระทบกระทั่งกันอยู่เป็นประจำ กระทั่งมาเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขณะนี้อยู่ในระหว่างขอหมายจับเพื่อติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีต่อไป อย่างไรก็ตามมีรายงานเพิ่มเติมว่า

จากการตรวจสอบข้อมูลนั้นพบว่านายเอ็มนั้นได้ถูกจำหน่ายชื่อออกจากรายชื่ออาสาสมัครไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เนื่องจากมีพฤติกรรมในทางเสื่อมเสีย แต่ยังคงวนเวียนอยู่ในตัวเมืองแม้ว่าจะไม่ได้เป็นอาสาสมัครของมูลนิธิใดๆ แล้วก็ตาม

1224
การบูชาฤๅษี ทั้งหลายต้องให้ถึง ต้องมีหมากพลู บุหรี แล้วก็น้ำเปล่า 1 แก้ว เป็นประจำ บูชาไม่ดี
แทนที่จะเป็นคุณ กลับเป็นโทษได้ ไม่เหมือนบูชาพระ ไม่มีโทษ มีแต่คุณ

1225
ร่วมด้วย

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1226
บทความ บทกวี / คางคก-รู้ใจตนเอง
« เมื่อ: 08 ก.พ. 2550, 07:01:45 »
                                                                                   คางคก-รู้ใจตนเอง

คางคกตัวหนึ่งเกิดมาก็นานแล้วนะ ใก้ลเวลาจะตายแล้วมั้งท่า มันอาศัยอยู่ใค้ถุนของศาลาวัดหนี่ง ขณะที่มันนอนฝันหวานถึงหน้าแฟนสาวที่นัด

ว่าจะไปหาในวันนั้นอยู่ "กินข้าวโว้ยกินข้าว" คิดว่าเสียงแฟนสาวชวนกินอาหารที่ไหนได้กลับเป็นเสียงของสามเณรรูปหนี่งกำลังเอาข้าวให้ไก่กิน

มันเห็นไก่กำลังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยอยู่นั้นก็พลันนีกขี้นมาว่า "หากกูได้เป็นไก่คงดี เพราะไก่ไม่ต้องทำอะไรเลยสามเณรก็เอาอาหารมา

ให้กิน ยังกะเราเป็นนายของเณร "ว้าว!...หนีเร็วพวกเรา.." เสียวไก่ร้องบอกเพื่อนที่กำลังกินอาหารอยู่ในขณะที่ไอ้ด่าง...หมานักเลงประจำวัด

กำลังวิ่งมาเพื่อแย่งข้าวกิน ไก่ทุกตัวต้องวิ่งหนีอย่างฉุกละหุกเกือบเอาชีวิตไม่รอด เพราะไก่ทุกตัวต่าวรู้ว่าไอ้ด่างมันเอาจริง ไม่ได้ขู่เล่น คางคก

เห็นดังนั้นก็พลันนึกขึ้นว่า ว้าว..
เป็นหมาดีกว่าหวะ เก่งกว่าไก่อีกตั้งเยอะ เณรเอาข้าวให้ไก่หมาก็แย้งกินได้ เณรเอาข้าวให้หมา ไก่แย่งกินไม่ได้ เป็นหมาดีกว่า ในขณะที่ที่มัน

กำลังนึกอยู่นั่น ก็ได้ยิงเสียงไอ้ด่างร้องขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า "โอ้ย..เจ็บโว้บ...เจ็บ" ก็เจ็บหนะสิ ไอ้ด่างมันโดนเด็กวัดเตะ โทษมาแย่ง

อาหารไก่ เลยโดนเด็กวัดอัดไปหลายที ซี่โครงแทบหัก ไอ้ด่างไปนอนครางอยู่ตั้งนาน ไม่ไหวเว้ย...นึกว่าเป็นหมาจะแน่
ยังโดนเด็กวัดอัดจนได้ แย่กว่าเด็กวัดนี่หว่า เป็นเด็กวัดดีกว่า ตอนนั้นมันอยากเป็นเด็กวัดมาก เด็กวัดไปไหนมันก็พยายามตามแอบดูเพราะ

ความชื่นชม ช่วงบ่ายของวันนั้น เด็กวัดไปนอนที่ศาลาท่าน้ำ มะนก็แอบไปดูด้วย แต่เผอิญที่ตนงนั้นแมลงวันเยอะมากแมลงวันหลายตัวได้บิน

ไปกวนเด็กวัดที่นอนอยู่ เด็กวัดบอกว่า ไม่ไหวแล้วโว้ย คนจะนอนกวนอยู่ได้ แล้วก้เก็บเสื่อเดินไปหาที่นอนใหม่ คางคกเห็นดังนั้นก็คิดว่า

อะไร...เด็กเอ้ย..นึกว่าแน่ที่แท้แพ้แมลงวัน ว้าสู้แมลงวันก็ไม่ได้
เป็นแมลงวะนดีกว่าบินเก่งชอบอะไรไม่ชอบชอบขี้งี้...แหมเท่ดีไม่เหมือนใครเป็นแมลงวันดีกว่า"อ้าว!...นึกว่าแน่ โดนกินจนได้" คำอุทานอย่าง

ตกใจของเจ้าคางคกที่เผอิญแมลงวันตัวหนึ่งบินเข้ามาใก้ลๆ แล้วมันแค่ตวัดลิ้นเท่านั้น แมลงวันก็กลายเป็นอาหารอันโอชะของมัน เฮ้อ...เรา

หลงผิดไปตั้งนาน นึกว่านั้นก็เก่งนี่ก็เก่ง...ที่ไหนได้ สู้เราไม่ได้ซักอย่าง เป็นตัวเรคางคกจอมตะปุบนี่แหละดีที่สุดในโลกแล้ว คระบเชื่อคางคก

เถอะเป็นอะไรไม่สู้เป็นตัวเราหรอกของมำตัวของเราให้ดีที่สุดเป็นพอ


โดย ฐิติพงศ์

คัดลอกโดย  โยคี

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1227
ธรรมะ / ตอบ: แจ้งข่าว ผู้มีศัทธา
« เมื่อ: 08 ก.พ. 2550, 04:05:33 »
รูปท่าน

1228
ธรรมะ / แจ้งข่าว ผู้มีศัทธา
« เมื่อ: 08 ก.พ. 2550, 04:00:59 »
แจ้งข่าวประชาสัมพันธ์ ผู้ที่มีศัทธา จังหวัดเชียงใหม่ และใกล้เคียง

++ งานอธิษฐานจิต เข้านิโรธกรรมปีที่ 14 ครูบาน้อย วัดศรีดอนมูล

?ครูบาน้อย เตชปญฺโญ? วัดศรีดอนมูล ต.ชมภู อ.สารภี จ.เชียงใหม่ พระสุปฏิปันโน แห่งล้านนาไทย ผู้เจริญรอยตามแนวทางปฏิบัติธรรมของครูบาเจ้าศรีวิชัยนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ของล้านนาไทย กำหนดอธิษฐานจิต เข้านิโรธกรรมปีที่ 14 ตรงกับวันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา 07.09 น. และกำหนดอธิษฐานจิตออก จากนิโรธกรรมวันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา 07.09 น.

ขอเชิญสาธุชนและคณะศิษยานุศิษย์ร่วมงานบุญวันออกนิโรธกรรม โดยภาคเช้า เมื่อออกจากนิโรธกรรมแล้วครูบาน้อยจะถวายพานพุ่มสักการบูชารูปเหมือนครูบาเจ้าศรีวิชัยและรูปเหมือนครูพรหมจักรสังวร ณ ศาลาบูรพาจารย์วัดศรีดอนมูล หรือศาลา 120 ปี ครูบาเจ้าศรีวิชัยจากนั้นพระสงฆ์ 9 รูป ให้ศีลให้พรแก่บรรดาพุทธศาสนิกชนที่มาร่วมทำบุญตักบาตรครูบาน้อยแสดงธรรม เชิญชวนสาธุชนเจริญภาวนา

หลังจากนั้นครูบาน้อย ครูบาผัดจะออกบิณฑบาตอาหารแห้งพร้อมพระสงฆ์ทั้ง 9 รูป เวลา 10.00 น. พระเถรานุเถระ จำนวน 108 รูป เจริญพระพุทธมนต์ประกอบพิธีสืบชะตาหลวงแบบล้านนาไทยเต็มรูปแบบ พระคณาจารย์เรืองเวทวิทยาคมนั่งอธิษฐานจิตตลอดพิธี เสร็จพิธีสืบชะตาหลวงก็จะเป็นพิธีเปิด อาคารบารมี 9 คณาจารย์ ถนน 9 คณาจารย์ ห้องน้ำ ห้องสุขา สร้าง เพื่อเป็นที่ระลึกในโอกาสที่ครูบาผัด วัดศรีดอนมูลมีอายุครบ 82 ปี และร่วมเฉลิมพระเกียรติในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีและในกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสร็จพิธีแล้วขอเชิญรับประทานอาหารเจจากโรงทานที่เตรียม ไว้รอบบริเวณวัด ภาคบ่ายจะเป็น การบำเพ็ญกุศลทอดผ้าป่าสามัคคีเพื่อสมทบทุนสร้างเจดีย์ 9 คณาจารย์ มอบทุนการศึกษาให้เยาวชน มอบข้าวสารอาหารแห้งให้สถานสงเคราะห์ต่างๆ เพื่อเป็นการสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้ยากไร้ โดยครูบาน้อยได้บริจาคเป็นทานติดต่อ กันมาทุกปี

ครูบาน้อย วัดศรีดอนมูล อธิษฐานจิตเข้านิโรธกรรม ติดต่อกันมา ปีนี้นับเป็นปีที่ 14 การอธิษฐานจิตเข้านิโรธกรรม บำเพ็ญภาวนาตามแบบบูรพาจารย์ พระอริยสงฆ์ของชาวล้านนาไทย ได้แก่ ครูบา เจ้าศรีวิชัย ท่านได้กำหนดแนวทางไว้ ครูบาน้อยยึดถือเป็นแบบอย่างปฏิบัติธรรมตามแนวทางของท่านได้อย่างเคร่งครัด สม่ำเสมอ ไม่มีขาดตกบกพร่อง การเข้านิโรธกรรมเป็นแนวทางการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง ของพระสุปฏิปันโนผู้ประกอบไปด้วยความมักน้อย สันโดษ วิเวก ปรารถนาในการฝึกหัดขัดเกลากิเลส ปฏิบัติเพื่อให้ถึงพร้อมในหลักธรรมคำ สอนอย่างแท้จริง ครูบาเจ้าอาวุโสของภาคเหนือหลายรูปได้อธิษฐานจิตเข้านิโรธกรรมอยู่เสมอ นับตั้งแต่ ครูบาเจ้าศรีวิชัย ครูบาพรหมมา พรหมจกฺโก ครูบาคำปัน ครูบาหล้าตาทิพย์ ครูบาเกษม เขมโก ครูบาบุญชุ่ม เป็นต้น การอธิษฐานจิตเข้านิโรธกรรมต้องปลีก ตัวไปจากหมู่คณะ ไม่ติดต่อสื่อสารกับใคร บำเพ็ญภาวนาอยู่ในสถานปฏิบัติธรรมตาม ที่กำหนด งดฉันภัตตาหาร ดื่มเฉพาะน้ำที่บรรจุอยู่ในบาตรขนาดใหญ่เพื่อรักษาสภาพร่างกายและระบบต่างๆ ให้เป็นปกติ โดยมีพลังจิตตานุภาพเป็นหลักสำคัญในการเข้าออกนิโรธกรรม ในวันเข้านิโรธกรรม จะมีการนิมนต์พระสงฆ์ 14 รูป มาเป็นสักขีพยานตรวจสอบสถานปฏิบัติธรรมเจริญชัยมงคลคาถา และทำพิธีปิดประตูสถานปฏิบัติธรรม สถานปฏิบัติธรรม ดังกล่าวมีขนาดกว้าง 5 วา ยาว 5 วา มุงด้วยฟาง อยู่ในเขตราชวัตรฉัตรธง 7 ชั้นห้ามผู้คนเข้าออกระหว่างเข้านิโรธกรรม

ทุกปีที่ครูบาน้อยอธิษฐานจิตเข้านิโรธกรรม จะมีประชาชนทั่วไปมาร่วมอนุโมทนาบุญ กุศลโดยเฉพาะวันออกนิโรธกรรม มีผู้คนมาเฝ้ารับการออกนิโรธกรรมจำนวนหลายพันคน หรือจะกล่าวว่านับหมื่นคนก็ได้ มีทั้งชาวไทย ชาวต่างประเทศทุกอาชีพ ทุกเพศ ทุกวัย แม้กระทั่งชาวเขาที่เลื่อมใสศรัทธาการเข้านิโรธกรรมของครูบาน้อย โดยผู้คนเหล่านี้จะพากันมาร่วมงานนิโรธกรรมติดต่อกันทุกปี ทั้งนี้เพราะเชื่อตามคตินิยมตั้งแต่ครั้งโบราณกาลที่กล่าวไว้ว่า ผู้ใดมีโอกาสได้ทำบุญกับพระที่ออกนิโรธสมาธิจะมีอานิสงส์มหาศาล ทำให้พ้นจากความยากจนเข็ญใจ มีโชคลาภ ได้ทรัพย์สินเงินทอง ถึงพร้อมด้วยมนุษย์สมบัติสวรรค์สมบัติ และนิพพานสมบัติ แคล้วคลาดปลอดภัยจากพิบัติภัยทั้ง หลายทั้งปวง ได้รับแต่ความเป็นสิริมงคลถึงพร้อมด้วยความเจริญรุ่งเรืองตลอดกาล พิธีอธิษฐานจิตเข้านิโรธกรรมนับเป็นพิธีสำคัญมีความ น่าเลื่อมใสศรัทธา มีความ ศักดิ์สิทธิ์ด้วยบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์ยากที่ผู้ใดจะประพฤติปฏิบัติได้เสมอเหมือนครูบาน้อย เตชปญฺโญ เพราะวัตรปฏิบัติของท่านเคร่งครัดมาก ท่านฉันภัตตาหารวันละ 1 มื้อ เป็นอาหารเจ ตื่นจากจำวัดประมาณตี 4-5 นั่งสมาธิ เดินจงกรม เจริญภาวนา ออกบิณฑบาตโปรดญาติโยมบริเวณวัด หลังจากฉันภัตตาหารเพลก็เจริญภาวนา นั่งสมาธิ เดินจงกรม เป็นกิจวัตรประจำวัน มีผู้เพียร พยายามจะประพฤติปฏิบัติธรรมในลักษณะที่อ้างว่าได้รูปแบบแนวทางไปจากครูบาน้อย วัดศรีดอนมูล บ้างก็แอบอ้างว่าเป็นศิษย์ครูบาน้อย ประกอบพิธีเข้านิโรธกรรมเพื่อหวังประโยชน์อื่นๆ อันไม่ใช่แนวทางที่ครูบาเจ้าศรีวิชัยท่านกำหนดไว้ เรื่องนี้ครูบาน้อยท่านฝากให้ช่วยกันสอดส่องดูแลเพื่อความมั่นคงในการปฏิบัติธรรมตามรูปแบบ ของบูรพาจารย์

ครูบาน้อยจึงเป็นภิกษุที่มุ่งมั่นแน่ว แน่ในการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานอยู่เสมอ ทั้งศึกษาจากหลวงพ่อครูบาผัดเองและ ศึกษาจากหนังสือที่ผู้รู้ต่างๆ ได้เขียนไว้สำนักปฏิบัติที่โด่งดังในภาคเหนือ มากที่สุด คือ พระครูบาเจ้าศรีวิชัยวัดบ้านปาง อ.ลี้ เป็น และ ครูบาพรหมมา พรหมจักโก วัดพระพุทธบาทตากผ้า อ.ป่าซาง ซึ่งเป็นศิษย์เอกของครูบา เจ้าศริชัย ครูบาน้อยได้ฝากตัว เป็นศิษย์ศึกษาในเรื่องของกัมมัฏฐานจากหลวงพ่อครูบาพรหมมา พรหมจักโก ซึ่ง ปัจจุบันนี้ท่านจะเรียกว่า อาจารย์ ใหญ่ ครูบาอาจารย์อีกรูปหนึ่งที่ประสิทธิ์ ประสาทวิชาความรู้ให้ครูบาน้อยก็คือหลวงปู่หล้าตาทิพย์ ( พระครูจันทสมานคุณ ) ได้เมตตาสอนครูบาน้อยเรื่องการสืบ ชะตาแบบล้านนาไทย การทำน้ำพระพุทธมนต์ โองการธรณีสารตำรับล้านนาไทยซึ่งครูบา น้อยได้ใช้สงเคราะห์ประชาชนอยู่เป็นประจำ นอกจากนี้ครูอาจารย์ที่ สอนครูบาน้อยในเรื่องอักขระภาษาล้านนาเรื่องของคาถาเมตตามหานิยม ตำรับตำรายาสมุนไพร ที่ท่านนับถือและเคารพสักการะมาจนถึงปัจจุบันนี้ก็คือ หลวงพ่อพระครู มงคลคุณาธร ( หลวงปู่ครูบาคำปัน ) วัดหม้อคำตวง รวมทั้งครูบาชัยวงศา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ก็เมตตาอบรมสั่งสอนการ เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานให้จนมีความรู้ความเชี่ยวชาญ

ครูบาน้อยท่านได้ ธุดงควัตรไปตามป่าเขาลำเนาไพรแถบภาคเหนือ อานิสงส์ของการธุดงควัตรทำให้มีพลัง จิตตานุภาพเข้มแข็งแกร่งกล้าไปตามลำดับ ครูบาน้อย เตชปญฺโญ จึงเป็นพระอริยสงฆ์ที่ถึง พร้อมในหลักการปฏิบัติธรรมได้แก่ปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ อย่างแท้จริง

1229
ฝั่ง วาล  3 เคี้ยว คืออะไร ภาษาภาคไหน งง

1230


คาถาพ่อ จตุคามรามเทพ

นะ​โม​ (3 ​จบ)
    มอ​ ​ออ​ ​อออา​ ​ออฤา​ ​ถึง​ ​ออ​ ​ลือนาม​ ​จน​ถึง​ 12 ​นักษัตร​ ​อืออา​ ​ลือมา​ ​ถึง​ตัวข้า​

    ด้วย​ ​ออฤา​ ​องค์สุริยัน​ ​จันทรา​ ​มหาจักรพรรดิ​

    ​องค์ราชันดำ​ ​จตุคาม​ ​รามเทพ​ ​จัตตุ​โชค​ ​ศรีมหาราชโพธิสัตว์​ ​พังพกาฬ​

    ​องค์จันทรภาณ​ ​ุ​ ​พญาชิงชัย​ ​พญาสุขุม​ ​พญา​โหรา​ ​พญาขุนรักษ์​ ​พญารองเมือง​

    ​เทวดาน้อย​ ​และ​สิ่งศักดิ์สิทธิ์​ ​ที่สถิตย์​ ​ปกป้อง​ ​คุ้มครอง​ ​หลักเมือง​ ​นครศรีธรรมราช
    ข้ามเจ้า​ ​นาย​ (นาง​, ​นางสาว) ________________ ​ขอกราบสักการะ​

    ขอ​ให้​องค์พ่อ​ ​จงทรง​ ​ญาณบารมี​ ​ยิ่งยิ่ง​ ​ขึ้นไป​ ​บารมีของพ่อ​ ​แผ่​ไพศาลไป​ทั่ว​ไตรภพ​

    ​และ​โปรด​ช่วย​คุ้มครอง​ ​ข้ามเจ้า​ ________________ ​และ​ครอบครัว​ให้​พ้น​จาก

    ​สรรพทุกข์​ ​สรรพโศก​ ​สรรพโรค​ ​สรรพภัย​ ​สรรพเคราะห์​ ​เสนียดจัญไร​

    จงพ้นไป​จาก​ตัวของ​ ​ข้าพเจ้า​ ​และ​ครอบครัว​ ​และ​ ​ข้ามเจ้า​ ________________ (ขอสิ่งต่างๆ​ ​ที่​ต้อง​การ)

    ข้าพเจ้า​ ​ขอขอบคุณ​ ​องค์พ่อที่ประทาน​ ​ความ​สุข​ ​ความ​เจริญ​ ​ให้​แก่ข้าพเจ้า​ ________________

    และ​กรรมดีที่​ ​ข้าพเจ้า​ ​กระทำ​ ​ขออุทิศ​ให้​ ​ท่านพ่อ​ ​และ​ตัวข้าพเจ้า
(ขอขอบคุณ​ ​น้อย​ AIA) 


การอธิษฐานจิตขอบารมีองค์พ่อจตุคามรามเทพ​
    1. ​อธิษฐานขอ​ใน​สิ่งที่​ไม่​เกินกรรม​
    2.​เมื่อท่าน​ได้​รับ​ใน​สิ่งที่หวัง​แล้ว​ ​ต้อง​รักษาสัจ​จะ​ที่​ได้​ให้​ไว้​กับ​องค์พ่อจตุคามรามเทพ​
    3. ​ควร​จะ​สร้างกุศลกรรมถวายแก่องค์พ่อจตุคามรามเทพ​

    ​ที่สำ​คัญอีกประการหนึ่ง​ ​คือ​ ​แม้ว่าองค์พ่อจตุคามรามเทพ​จะ​เป็น​พระ​โพธิสัตว์ที่มีจิตแห่ง​ความ​เมตตาสูง​ ​ขอ​ให้​ท่านอย่า​เพียงพึ่งแต่บารมีของ

องค์พ่อฯ​ ​เท่า​นั้น​ ​ควรสร้างกุศล​ให้​แก่ตนเอง​ให้​ครบทุกด้าน​ ​คือ​ ​ให้​ทาน​ (เช่น​ ​สังฆทาน​ ​บริจาคมูลนิธิต่างๆ​) ​รักษาศีล​ (ศีล​ 5) ​และ​บำ​เพ็ญภาวนา​

(สวดมนต์​ ​และ​ปฏิบัติกรรมฐาน) ​และ​ขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรของท่านเอง​ ​และ​แผ่กุศลกรรมที่ท่านทำ​นั้น​ให้​แก่​ ​มารดา​ ​บิดา​ ​ญาติกา​

ทั้ง​หลาย​ ​ครูอุปัชฌาอาจารย์​ ​เพื่อนมนุษย์​ ​เทวดา​ทั้ง​ปวง​ ​เจ้ากรรมนายเวร​ทั้ง​หลาย​ทั้ง​ปวง​ ​และ​เปรต​ทั้ง​หลาย​ทั้ง​ปวง​ด้วย​ ​แล้ว​ชีวิตท่านจัก

บังเกิด​ความ​เจริญ

คำ​บูชาดวงตราพญาราหู​ ​องค์ราชันดำ​ท่านพ่อจตุคามรามเทพ​
ตั้งนะ​โม​ 3 ​จบ​

ระลึก​ถึง​พระคุณแม่ธรณี​

ข้าพเจ้าชื่อ​ ............... ​ขอน้อมถวายสิ่งสักการะ​แก่​

​สุริยัน​ ​จันทรา​ ​จันทรภาณุ​ ​พญาศรีธรรมโศกราช​ 12 ​นักษัตริย์​

ดวงตราพญาราหู​ ​ศรีมหาราชพังพกาฬ​ ​องค์ราชันดำ​

ท่านพ่อจตุคามรามเทพ​

ขอบารมีท่านพ่อจตุคามรามเทพ​

โปรด​..........​(​แล้ว​แต่​จะ​อธิษฐาน)

เครื่องบวงสรวงถวาย​ ​ตั้งโต๊ะกลางแจ้ง​ ​เวลากลางคืน​ ​วัน​ใด​ก็​ได้​
    - ​ธูปดำ​ 9 ​ดอก​
    - ​น้ำ​โอเลี้ยง​ / ​โค๊ก​ 1-3 ​แก้ว​
    - ​น้ำ​เย็น​ 1-3 ​แก้ว​, ​น้ำ​ชา​ 1-3 ​แก้ว​
    - ​กา​แฟดำ​
    - ​ขนมหวาน​ / ​ขนมเค็ก​
    - ​หมากพลู​ 5 ​คำ​
    - ​ยา​เส้น​ / ​ใบกระท่อม​
    - ​ดอกไม้​หรือ​พวงมาลัย

1231
วัดบางพระ ก็ทันสมัยเหมื่อนกัน มี องค์พ่อจตุคามรามเทพ ด้วย

1232
คัดลอกเขามานะครับ

หลวงพ่อจำ​ลอง​ ​วัดเจดีย์​แดง​ ​(​อยู่​แถวตลาดหัวรอ) ​จ​.​อยุธยา​ ครับ
ท่านโด่งดัง​ใน​เรื่อง​ ​ตะกรุดดำ​(คงกระพัน​-​คาดเอว​ / ​มหาอำ​นาจ​-​ห้อยคอ)
​และ​ตะกรุดแดง​ (เมตตา)
ไม่​เชื่อก้อ​ต้อง​เชื่อ​ ​ขนาดเชื้อพระวงศ์บางท่าน​ ​ยัง​เคยไปรับของท่านหมดตะกร้าครับ
เพื่อเอา​ไปแจกจ่าย​ให้​กะทหารราชองครักษ์​ ​แต่ปัจจุบันที่วัด​ยัง​มี​อยู่​นะครับ
แต่ขอบอกว่า​....​รีบเก็บ​ไว้​หน่อยก้อดี​ ​พรรษาท่านมาก​แล้ว​ครับ
อย่างเมื่อก่อน​ ​คนไปเอา​ต้อง​ขึ้นครู​(ลงมีด)​ครับ​ ​รับ​ได้​แค่ดอกเดียว
พอมาสักระยะ​ ​ถ้า​ไปเอา​เวลา​เดียว​กัน​ ​ขึ้นครู​แค่คนเดียวครับ
เดี๋ยวนี้​...​เอา​ได้​เลยครับ​ ​แต่​ถ้า​อยากขึ้นครู​ ​ท่านก้อ​ ​จัด​ให้​ได้​ครับ
เวลาที่ท่าน​ให้​เข้า​พบ​ 8-11.00​น​. ​และ​13-15.00​น​.​ครับ​ ​คลาดเคลื่อน​ได้​บ้าง
แต่​ไป​ใน​เวลาที่ท่านกำ​หนดแหล่ะครับ​ ​ดี​แล้ว
ราคาบูชา​ ​ถูกแสนถูกครับ​ ดอกละ​ 200​บาทเอง
ได้​ของดี​ ​แถม​ยัง​ได้​บุญอีกครับ

หรือ เข้าไปดูที่ ลิงค์นี้ (ทางไปวัด)

http://thaiblades.com/forums/archive/index.php/t-8642.html

1233
ขอขอบคุณ ท่าน Gearmour ที่เอื่อเฟื้อภาพ

เรื่องนี้ เคยมีการนำเสนอ ออกรายการทีวี รายการชั่วโมงพิศวง
จัดโดยนายป๋อง  ได้นำไปชมพิธีล้างป่าช้า แห่งหนึ่ง ที่จังหวัดชลบุรี
ระหว่างทำการล้าวป่าช้านั้น ก็ได้ขุดพบ ซากศพ ที่มีแต่แผ่นหนังมนุษย์
 ไม่เน่าไม่เปื่อย  และที่ด้านหลังแผ่นหนังนั้น ก็มีลายสักยันต์ ไว้เต็มหลัง
แล้ว ด้านล่าง จะมีรอยสัก เขียนไว้ว่า ที่ระลึก แห่งความคงกระพัน
เจ้าหน้าที่ล้างป่าช้า พร้อมทีมงาน ได้เข้ามาดู พร้อมวิพากษ์ วิจารกันไป
ต่างๆ นานา จนมีคนหนึ่ง ไม่เชื่อเรื่องความคงกระพัน ได้รับอาสาทดลอง
โดยการ เอามีดปลายแหลมแทงแล้วกรีด แผ่นหลังนั้น ปรากฎว่า อำนาจ
ความแหลมคมของมีดนั้น ไม่สามารถระคายผิวได้ แม้แต่น้อย ลองหลายครั้ง
ก็ไม่เข้า จึงเกิดความกลัวที่ได้ลบหลู จึงไปนิมนต์พระเกจิอาจารย์ เจ้าพิธีมา
ทำพิธีล้างอาถรรณ์ โดยการทำพิธีแผ่เมตตา และน้ำมนต์ พรมที่แผ่นหลังนั้น
เป็นเสร็จพิธี หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่คนเดิม ได้ลองเอามีด กรีดและแทง อีก
ปรากฎว่า เข้าครับ จึงได้ตัดชิ้นส่วนไปทำพิธีทางศาสนา ต่อไป

นี่แหละ แผ่นหนังมนุษย์ ดังกล่าว

1234
ถ้าสังเกตุดีๆ จะเห็นว่า คนที่ได้ขึ้นครูลองของ ที่หน้าอก จะสัก เสือเผ่น
 ของ วัดบางพระ นะจะบอกให้ ด้านหลังสัก หนุมาน หลวงพ่อแล วัดพระทรง

1235


หลวงพ่อจำลอง วัดเจดีย์แดง ในงานพุทธาภิเษก องค์พ่อจตุคามรามเทพ วัดหนองตาแต้ม

ไฟล์ 1 http://s39.photobucket.com/albums/e177/pbundit/?action=view&current=AVSEQ02_toVCD.flv

ไฟล์ 2 มอบพระและตะกรุต http://s39.photobucket.com/albums/e177/pbundit/?action=view&current=AVSEQ02_toVCD_1.flv

ไฟล์ 3 พรมน้ำมนต์ http://s39.photobucket.com/albums/e177/pbundit/?action=view&current=AVSEQ02_toVCD_2.flv

ไฟล์ 4 http://s39.photobucket.com/albums/e177/pbundit/?action=view&current=AVSEQ02_toVCD_3.flv

ไฟล์ 5  ตอนลงมีด http://s39.photobucket.com/albums/e177/pbundit/?action=view&current=AVSEQ02_toVCD_4.flv

ไฟล์ 6 เป็นยางบอน http://s39.photobucket.com/albums/e177/pbundit/?action=view&current=AVSEQ02_toVCD_5.flv

ไฟล์ 7 http://s39.photobucket.com/albums/e177/pbundit/?action=view&current=AVSEQ02_toVCD_6.flv

ขอขอบคุณท่าน Gearmour และ ทายาทพรรคมาร แห่ง เวป คนรักมีด มานะโอกาสนี้

1236
การสักยันต์ สาย หลวงพ่อประเทือง

http://kaewsukko.tripod.com/amulet_2.htm

ลายสัก













1237
ประวัติ และ อิทธิปาฏิหาริย์  ของ หลวงพ่อประเทือง วัดด่านเจริญชัย

http://www.palungjit.com/board//showthread.php?t=47671

1238
อีกรูป

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1239
สำหรับศิษย์ บางท่าน ที่ยังไม่ได้เห็น

? ? ? ? ? ? ? ? ? ? อุโบสถ(หลังเก่าจริงๆ)


? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?เขื่อนแม่น้ำ หน้าวัด



? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?หลวงปู่หิ่ม (อาจารย์ของหลวงพ่อ)



? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?หน้าบรรณ (ไม่รู้เขียนถูกหรือเปล่า) ต้นแบบ พระผงขี่เสือ


? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?นี่ซิ สุดยอด


1240
   แจ้งข่าวต่อกัน ให้บรรดาลูกศิษย์ได้รับทราบ   ขอขอบคุณท่าน Gearmour มา ณ. โอกาสนี้

เรียน​ ​เหล่าศิษยานุศิษย์​และ​เพื่อพี่น้องกัลยาณมิตร​ทั้ง​หลาย​ ​พระปฏิบัตดีปฏิบัติชอบอีกรูปหนึ่ง​ได้​จาก​เรา​ไป​แล้ว​วันนี้​ ​คือ​ ​หลวงพ่อประ​เทือง​ ​อติกฺกนฺ​โต​ (พระครูวิทิตพัชราจาร) ​วัดด่านเจริญชัย​ ​อ​.​ศรี​เทพ​ ​จังหวัด​ ​เพชรบูรณ์​ ​ได้​ละสังขาร​ (มรณะภาพ) ​แล้ว​อย่างสงบ​ ​ด้วย​โรคชรา​ ​เวลา​ 16.19 ​น​. ​ณ​.​โรงพยาบาลเมือง​ใหม่​ลพบุรี​ ​จ​.​ลพบุรี​ ​จึง​เรียนมา​ยัง​เหล่าลูกศิษย์ลกหาของหลวงพ่อ​ได้​ทราบ​ทั่ว​กัน​ครับ​.. ​ตอนนี้ร่างของหลวงพ่อ​ได้​นำ​กลับ​ถึง​วัด​แล้ว​ถ้า​ลูกศิษย์ท่าน​ใด​จะ​ไปเคารพศพหลวงพ่อเรียนเ
ชิญ​ได้​ที่วัดเลยครับ​.. / thaiput007@hotmail.com ​โทร​.084-6245007
- ​วันนี้ช่วงบ่ายวันนี้​ ​ทางกระผม​ได้​รับแจ้งข่าว​จาก​ทางลูกศิษย์​ไกล้​ชิดหลวงพ่อ​ ​คือ​ ​จ​.​ส​.​อ​.​สุรชัย​ ​ใจซื่อ​ ​ลูกศิษย์ที่รับใฃ้หลวงพ่อมานาน​ ​ได้​โทรมา​แจ้งข่าวว่าหลวงพ่อประ​เทืองของพวกเรามรณะภาพ​แล้ว​อย่างสงบ​ ​ณ​.​โรงพยาบาลเมือง​ใหม่​ลพบุรี​ ​จ​.​ลพบุรี​ ​จึง​เรียนมา​ยัง​ลูกศิษย์ที่​เคารพนับถือของหลวงพ่อทราบ​โดย​ทั่ว​กัน​ ​โดย​ส่วน​ตัวกระผมเอง​แล้ว​รู้สึกเสียใจมากต่อการ​จาก​ไปของหลวงพ่อครั้งนี้​ ​สังขารร่างกายของหลวงพ่อช่วงหลังมานี้​ไม่​ค่อยดี​ ​แต่ก็​ยัง​รับแขก​อยู่​ตลอดเวลา​ ​ท่าน​เป็น​พระที่มี​เมตตามาก​ ​ท่านที่​เคยไปพบท่าน​จะ​เห็นรอยยิ้ม​อยู่​บนหน้าท่านตลอดเวลา​ ​กระผม​ใน​นามศิษย์ของหลวงพ่ออีกคนหนึ่งขอแสดง​ความ​เสียใจต่อการ​จาก​ไปของหลวงพ่อ​ด้วย​ครับ
​หลวงพ่อ​จาก​ไปแต่สังขารแต่​ความ​ดีของหลวงพ่อ​ยัง​อยู่​ตลอดเวลาครับ​ / thaiput007@hotmail.com ​โทร​.084-6245007

​ด้วย​ความ​เคารพครับ
ข้อ​ความ​โดย​คุณ​thaiput ​แห่งเวปพลังจิตครับ
​ขอแสดง​ความ​นับถือ
Gearmour

1241


ประวัติ จตุคามรามเทพ

จตุคามรามเทพ ​คือ​ ​เทพรักษาพระบรมธาตุจังหวัดนครศรีธรรมราช ​สถิต​อยู่​บนที่บานประตูทางขึ้นพระบรมธาตุ​ ​ใน​ปี​ ​พ​.​ศ​. 2530 ​เมื่อมีการตั้ง

ดวงเมืองนครศรีธรรมราชขึ้น​ใหม่​ ​จึง​มีการอัญเชิญจตุคามรามเทพไปสถิต​ ​ณ​ ​ที่​นั้น​เป็น​ต้นมา

เชื่อว่า​กัน​เดิม​ ​องค์จตุคามรามเทพ​ ​เป็น​กษัตริย์​ใน​สมัยอาณาจักรศรีวิชัย ​มีพระนามอย่าง​เป็น​ทางการว่า​ พระ​เจ้าจันทรภาณุ ​เป็น​กษัตริย์ที่

สถาปนาอาณาจักรศรีวิชัย​ ​เป็น​ปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์ศรีธรรมา​โศกราช ​เชื่อว่ามีพระวรกาย​เป็น​สี​เข้ม​ ​เป็น​กษัตริย์นักรบที่​แกร่งกล้า​ ​เมื่อ

สถาปนาอาณาจักรศรีวิชัย​ได้​อย่างมั่นคง​แล้ว​ ​จึง​ได้​สมัญญานามว่า​ " ​ราชันดำ​แห่งทะ​เล​ใต้​ " ​หรือ​มีอีกราชสมัญญานามนึงว่า​ " ​พญาพังพกาฬ​ "

​และ​ต่อมาทรงบำ​เพ็ญบุญเพื่อสร้างบารมีอธิษฐานจิต​เป็นพระ​โพธิสัตว์ ​เพื่อบรรเทาทุกข์​แก่มนุษย์​ทั้ง​ปวง


จตุคามรามเทพ​ ​มีบริวาร​เป็น​ทหารกล้า​ 4 ​นาย​ ​คือ​ ​พญาชิงชัย​, ​พญาหลวงเมือง​, ​พญาสุขุม​ ​และ​พญา​โหรา​ ​เป็น​กำ​ลังหลัก​ใน​การปราบพราหมณ์

ที่​เคยปกครองเมือง​อยู่​ก่อน​ ​เมื่อ​ได้​บ้านเมือง​แล้ว​ ​ก็​ได้​สร้างพระบรมธาตุ​ ​สถาปนา​เมือง​ 12 ​นักษัตร​ ​หรือ​กรุงศรีธรรมา​โศกราช​ ​ฝังรากฐานพระ

พุทธศาสนาอย่างถาวร​ ​จน​ได้​รับเทิดพระ​เกียรติว่า​ ​พญาศรีธรรมา​โศกราช​ ​หรือ​ ​พระ​เจ้าศรีธรรมา​โศกราช

ปัจจุบัน​ ​จตุคามรามเทพ​ ​ได้​รับ​ความ​นับถืออย่างกว้างขวาง​ ​โดย​เชื่อว่าทรงฤทธานุภาพ​ใน​ทุก​ ​ๆ​ ​ด้าน​ ​ตามจารึกของชาวศรีวิชัย​ได้​บอกว่า​ " ​มี

อานุภาพดุจดังพระอาทิตย์​และ​พระจันทร์​ ​ที่ขจัด​ความ​มืดมัว​ใน​โลก​ " ​การขออธิฐาน​จาก​พระองค์​นั้น​ทำ​ได้​โดย​มี​เงื่อนไข​ 3 ​ประการ

1. ​อธิฐานขอ​ใน​สิ่งที่​เป็น​ไป​ได้​ ​โดย​ไม่​ขัดต่อศีลธรรม

2. ​เมื่อ​ได้​รับสิ่งที่หวัง​แล้ว​ ​ต้อง​รักษาสัจ​จะ​ที่​ได้​ให้​ไว้​กับ​พระองค์

3. ​ควร​จะ​สร้างกุศลกรรมถวายแด่องค์จตุคามรามเทพ

แต่ที่สำ​คัญ​ ​อย่าลำ​พังเพียงอธิษฐาน​ ​ต้อง​สร้างกุศลกรรม​ให้​แก่ตนเอง​ให้​ครบทุกด้าน​ด้วย​ ​คือ​ ​ให้​ทาน​ ​รักษาศีล​ ​และ​บำ​เพ็ญภาวนา

ภาพลักษณ์ของจตุคามรามเทพ​ ​โดย​มาก​จะ​ปรากฏ​เป็น​องค์​เทพบุตร​ใน​ท่านั่ง​ ​มี​ 4 ​กร​ ​ถืออาวุธต่าง​ ​ๆ​ ​และ​นายทหาร​ 4 ​นาย​ ​นั้น​ ​จะ​ปรากฎ​ใน​รูป

ของหนุมาน​ 4 ​กร​ ​ถืออาวุธ​ใน​ท่วงท่าต่าง​ ​ๆ​ ​ทั้ง​นี้ก็​เป็น​ไปตามศิลปะศรีวิชัยที่มักสร้างสัญลักษณ์ขึ้นมา​แทน​ความ​หมายต่าง​ ๆ

1242
เชิญร่วมสร้าง เสื้อยันต์ หลวงปู่ทวด พิทักษ์ชาติ ไปแจกทหารภาคใต้         
 

 http://www.palungjit.com/board/showthread.php?t=60229 
         
 







1243
ทุกปี ที่วัดบางพระจะมีพิธีไหว้ครูบูชา   เป็นประจำทุกปี  แต่ต้องถามบรรดาลูกศิษย์ลูกหาในสายสัก
วัดบางพระ เราไปไหว้ครูเพื่ออะไร ทำไมถึงต้องไปไหว้ครู เห็นที่มีการโพสกัน ก็กล่าวถึง แต่เรื่อง
ของขึ้นบ้าง ของไม่ขึ้นบ้าง สักอย่างนี้แล้ว จะของขึ้นไหม แต่ก็ต้องขอเรียนว่า ในพิธี มีของขึ้น ขึ้น
จริงๆ เป็นไปโดยธรรมชาติ ไม่มีปรุงแต่ง ซึ่งออกมาดูดีมาก แต่ก็มี หลายคน ที่ของไม่ขึ้นจริง แต่
ด้วยว่า เคยสักมามาก หรือมาเยอะก็แล้วแต่ หรือเคยอวดโชว์เพื่อนไว้ ว่าข้าฯ มีของ ยังไรก็ต้องขึ้น
 ก็ได้แสดง อาการเหมื่อนของขึ้น ด้วยการแสดงปฎิกิริยาต่าง ให้เหมื่อนของขึ้น ทำเสียงบ้าง ทำท่าทางบ้าง
เพื่อให้เพื่อน สนใจ เห็นว่า โกเก๋  โดย เฉพาะ ของขึ้นปลอม หรือ เก๊ นั้น ครูบาอาจารย์ได้บอกไว้ว่า
เสียงที่ออกมา จะออกจากปาก ไม่ได้ออกจากลำคอ เป็นของขึ้นปลอม (แล้วก็ขึ้นปลอมทุกปี)
บางที่ขึ้นปลอม แบบว่า จะเข้าไปทำร้ายคนอื่น ด้วยวิธีชกต่อย (เห็นบ่อย) ดังนั้น จึงเรียนถาม
บรรดา ศิษย์ ร่วมสำนักว่า ไปไห้วครูเพื่ออะไร จำเป็นไหม ว่าจะต้องของขึ้น   

1244
คาถาขุนแผน
เอหิมะมะ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ
(ใช้ท่องกับของใช้ส่วนตัวอะไรก็ได้แล้วจะทำให้มีเสน่ห์เป็นที่หลงไหล)

คาถาขุนแผน

เอหิมะมะ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ
(ใช้ท่องกับของใช้ส่วนตัวอะไรก็ได้แล้วจะทำให้มีเสน่ห์เป็นที่หลงไหล)

คาถาขุนแผน         

โอมสิทธิศรีศรี ราศีกูงามคือท้องฟ้า

นะมะพะทะ หน้ากูงามคือพระแมน

นะมะพะทะ แขนกูงามคือพระนารายณ์

นะมะพะทะ ฉายกูงามคือพระอาทิตย์

นะมะพะทะ ฤทธิ์กูงามคือพระจันทร์

นะมะพะทะ สาวในเมืองสวรรค์เห็นหน้ากูอยู่มิได้

นะมะพะทะ กูจะรำลึกถึงต้นไม้ก็มางวยงง

นะมะพะทะ กูจะรำลึกถึงพญาหงส์ ก็มาลืมถ้ำพระคูหา

นะมะพะทะ กูจะรำลึกถึงพญาปลาอยู่ในน้ำก็มาลืมแม่พระคงคา

นะมะพะทะ กูจะรำลึกถึงมหาเสนา ก็มาลืมที่นอน

นะมะพะทะ กูจะรำลึกถึงไก่อ่อน ก็ลืมแม่แล่นตาม

นะมะพะทะ กูจะรำลึกถึงช้างพลายก็ลืมไพร

นะมะพะทะ กูจะรำลึกถึงสาวใช้ก็ลืมแม่

นะมะพะทะ กูจะรำลึกถึงสาวแก่ ก็มาหลงไหล

นะมะพะทะ กูจะรำลึกถึงเจ้าไท ก็มาลืมสวดมนต์

นะมะพะทะ กูจะรำลึกถึงฝูงชนก็มารักกูทุกถ้วนหน้า

นะมะพะทะ กูจะรำลึกทุกชั้นฟ้าและเทวดาทุกวิมาน

นะมะพะทะ โอมสิทธิสวาหะฯ

1245
ธรรมะ / ตอบ: อานิสงส์
« เมื่อ: 20 ม.ค. 2550, 03:16:19 »
ดีครับ ผมก็สวดบทนี้อยู่ประจำ แต่ก็ผลังเผละ ลืมชาดก ความเป็นมาแห่งคาถา ขอบคุณครับ

1246
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: jaturakam
« เมื่อ: 17 ม.ค. 2550, 07:14:54 »
                                    โบว์ชัวส์



                                    ชุดกรรมการ




                                    มีหลายอย่างให้เลือก




1247
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: jaturakam
« เมื่อ: 17 ม.ค. 2550, 06:52:32 »
มหาเจดีย์วัดนก ที่จัดสร้าง


                             อาจารย์หนุ่ย วัดคอหงส์ ทำพิธี





                             พระอาทิตย์ทรงกรด



1248
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: jaturakam
« เมื่อ: 17 ม.ค. 2550, 06:32:13 »
ช่วยประชาสัมพันธ์

                                                       มหาเจดีย์วัดนก ที่จัดสร้าง

1249
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: วัดนก?
« เมื่อ: 14 ม.ค. 2550, 03:14:21 »
ไปบูชา มาแล้วครับ ท้าวจตุคาม รามเทพ เนื้อว่านดำปัดทอง  เจ้าหน้าที่หน้าตู้ บอกว่า เนื้อตะเคียน
ปัดทอง และ เนื้อก้นครก ราคา 350 บาท หมดแล้ว (เฉพาะ เนื้อก้นครก สนามท่าพระจันทร์ เล่นหา
กัน 2,000 บาท แล้ว  จริงเท็จไม่รู้)

1250
บทความ บทกวี / บารมี หลวงพ่อ
« เมื่อ: 12 ม.ค. 2550, 07:59:43 »
ข้อมูลจาก เวป คนรักมีด ของท่าน Gearmour

http://www.konrakmeed.com/webboard/upload/index.php?showforum=5

ขอขอบพระคุณ ท่าน Gearmour ที่อนุญาต ให้เอามาลง เพื่อเผยแพร่ กิตติคุณของหลวงพ่อ


หลวงพ่อเปิ่น​ ​วัดบางพระ​
ด้วย​ความ​เคารพครับ
ยันต์ของ​ ​พ่อเปิ่นท่านเยอะ​เหลือเกิน​ ​ท่าน​เป็น​พระที่​เก่ง​และ​เรียนมา​เยอะ
จิตท่านดี​และ​ถึง​ด้วย​ ​ที่วัด​ ​ที่ตำ​บล​ ​นั้น​บารมีท่าน​ ​ทั้ง​นั้น​ ​ทั้ง​วัด​ ​โรงเรียน​ ​โรงพยาบาล​ ​สะพาน​ ​ศูนย์คนชรา​ ​อื่นๆ​อีกมากมาย​ ​สมัยก่อนเค้า​จะ​สัก​กัน​ที่กุฎิท่าน้ำ​
ก่อนที่​จะ​สร้างกุฎิสัก​ ​ค่าครู​ ​สมัยก่อน​ ​สิบสองบาท​ ​ดอกไม้​ ​ธูปเทียน​ ​บุหรี่หนึ่งซอง​ ​มาขึ้นเอาตอนหลวงพ่อ​จะ​สร้างสะพาน​ ​เป็น​ ​ยี่สิบห้าบาท
ยันต์ครู​แรกที่​ให้​คือ​ ​เก้ายอด​ ​แต่จริงๆ​ ​แล้ว​ ​คนแทบ​นั้น​ที่​ได้​ไปคือเสือครู​ ​ซึ่ง​ท่าน​จะ​สัก​ไว้​ที่หน้าอก​ ​นกสาริกา​ ​ที่​แขน​ใต้​ข้อพับ​ ​ผมเห็น​จะ​เป็น​พวก​ ​ผู้​ใหญ่​บ้าน​ ​ผู้​ช่วย​ ​หมอ​ ​อบต​. ​แทบ​ ​ต​. ​คลองโยง​ ​ต​.​ศาลายา​ ​มีติดตัว​ทั้ง​นั้น​
ยันต์ของท่าน​ ​เอาที่​เคยเห็น​
เก้ายอด​ ​แปดทิศ​ ​งบน้ำ​อ้อย​ ​แม่ทัพ​ (มหาปัดทมึน) ​ซึ่ง​ยันต์นี้​ถ้า​วาง​ไว้​กลางหลังดีๆ​ ​อาจารย์สัก​เป็น​ท่านเดียว​กัน​ ​มอง​ไกลๆ​ ​จะ​เห็น​เป็น​รูปหน้า​เสือ​อยู่​กลางหลัง​(เต็มหลัง)
ยันต์ครู​ ​ยัง​มีอีก​ ​หลายยันต์​ ​แต่อธิบาย​เป็น​คำ​พูด​ไม่​ได้​หมด​ ​ยันต์ที่​เป็น​รูป​ ​ที่นิยมมากคือเสือ​ ​เป็น​เรื่องจริงๆ​(เห็นมา​กับ​ตัวเอง) ​ถ้า​ไปสักเสือรูปตัวมา​ ​ถ้า​ตัว​เล็กๆ​ ​ท่าน​จะ​ไม่​เป่า​ให้​ ​ท่าน​จะ​ให้​ไปเอามา​ใหม่​ ​ตัว​ใหญ่ๆ​ ​ผมเคยเห็นลุงคนหนึ่ง​ ​ท่าน​เป็น​ศิษย์ที่หลวงพ่อสักเสือ​ให้​เอง​กับ​มือ​ ​แต่​แก่​อยู่​ไกล​ ​นานแกมาที่​ ​แก​จะ​ให้​ลูกศิษย์หลวงพ่อสักเสือเพิ่มอีก​ ​จนครั้งสุดท้ายที่พบ​กับ​ ​ท่านสักเสือ​ใน​ตัวครบ​ ​สิบเอ็ดตัว​ ​ผม​ยัง​แซวท่านเลยว่า​ ​ลุง​จะ​เอา​ไปดองเหล้าหรอ​ ​ท่านชอบเสือตัว​ใหญ่ๆ​ ​ขอย้ำ​ว่า​ใหญ่ๆ​ ​ที่ประสบมา​เวลาท่านเป่า​ให้​ ​ยันต์​ ​เสือ​ ​จะ​เย็นวาบ​จาก​หัวไป​ถึง​ข้อเท้า​เลย
นอก​จาก​เสือ​แล้ว​ ​ยัง​มีหนุมาน​ ​องคต​ ​พาลี​ ​สุพรีล​ ​ลิงลม​ ​แหวกฟองน้ำ​ ​พ่อแก่​ ​สิงห์​ ​กระทิง​ ​แรด​ ​ช้าง​ ​คางคก​ ​แล้ว​ที่ผมว่า​ไม่​เหมือนใคร​ ​คือดำ​ดื้อ​ ​กับ​แดงเก​ ​เป็น​รุป​ ​คนเอามือชี้ขึ้นฟ้า​ทั้ง​สองมือ​ ​แดงเก​ ​อาจ​จะ​ถือดอกบัว​ ​หรือ​มีด​ ​ด้วย​แล้ว​แต่อาจารย์​ ​ว่า​กัน​ว่า​ถ้า​สัก​ไว้​ด้วย​กัน​ ​จะ​เกเร​ ​แบบสุดๆ​ ​ถ้า​อาจารย์สัก​ ​มอง​ไกล​ ​จะ​ไม่​สัก​ไว้​คู่​กัน​ ​หัวใจ​จะ​ลง​ด้วย​ ​หัวใจคนพาล​ ​ต่าง​จาก​ ​คิงคองของหลวงตา​อยู่​วัดสามกระบือเผือก​ (พิมพ์​ไปขนลุกไป)
จริงๆ​แล้ว​มียันต์อยุ่รูปท่าน​ไม่​สัก​ให้​ใคร​ ​คือรูปองคุลีมารตอน​เป็น​โจร​ ​เล่าว่าท่านสัก​ให้​ไปคนเดียว​ (ทุกวันนี้​ยัง​มีชีวิต​อยู่)​
ข้อห้ามของท่าน​ ​ห้ามด่า​แม่​ ​ห้ามผิดลูกผิดเมียเค้า​ ​ห้ามกินน้ำ​เต้า​ ​มะ​เฟือง​
(ห้ามน้อยกว่าหลวงพ่อแล​ ​วัดพระทรงอีก) ​แต่​เรื่องของกิน​ ​ตัวท่านเอง​เป็น​พระ​ ​ถ้า​ใคร​ไม่​รู้ถวายเลี้ยงท่าน​ ​ท่านก็ฉัน​ ​ท่านบอก​กับ​ลูกศิษย์ว่า​ ​ของกินของฉัน​ ​อย่าคิดอะ​ไร​
ลูกศิษย์ท่านเหนียว​ไม่​เหนียว​ไม่​รู้​ ​แต่ตัวท่านเอง​ ​สามารถ​ลูบคมหยักของมีดแมงมุมรุ่นตำ​รวจ​ ​ได้​ (มีดผมเอง) ​ผม​ยัง​เตือนท่านเลยว่าพ่อมีดคมนะ​ ​ท่าน​กับ​ลูกศิษย์​ใกล้​ชิด​ ​ยัง​หัวเราะ​ ​เป็น​เรื่องสนุกเลย​ (มีพระอีกองค์ทำ​ได้​เหมือน​กัน)
นอก​จาก​สักท่านทำ​ได้​อีกหลายอย่าง​ ​สมัยก่อนลงนะหน้าทอง​ ​ท่าน​ไม่​ต้อง​ใช้​น้ำ​มันจัน​ช่วย​ ​ตบหาย​ ​แบบของหลวงพ่อไสว​ ​วัดปรีดาราม​ ​สามพราน​
ท่านทำ​อะ​ไรดีหมด​ ​ถ้า​คนที่มาขอ​ความ​ช่วย​เหลือท่าน​เป็น​คนดี​

พูด​ถึง​หมูทองแดง​ ​ผมจำ​ไม่​ได้​ว่าท่านมีกี่พิมพ์​ ​แต่​ ​จะ​สัก​ไว้​รอบเอว​ ​เป็น​เรื่องน่า​แปลกอย่าง​ ​หมูของท่านผม​ถึง​อักขระตัวสุดท้าย​ ​จะ​ไม่​ค่อยอยาก​เข้า​ (หมึก​ไม่​ติด​ ​อันพูด​ได้​เลยว่าจริง)

ท่านลงมีด​ ​ลงปืน​ ​ให้​ผม​ ​ท่านเตือน​และ​ให้​สติ​อยู่​เสมอ​ ​ให้​ทำ​ดี​ ​ผมจำ​คำ​ท่าน​ได้​แม่น​ ​ฆ่าคน​ไม่​มี​ความ​ผิด​ ​บวช​ไม่​ได้​อนาคามี​ ​คนตายเค้า​ไม่​รับ​ ​นะ​

ท่านรดน้ำ​มนต์​ได้​ขลังเหมือน​กัน​ ​ถ้า​แต่ก่อน​ ​ลูกศิษย์ท่านถูกยิง​ ​ถูกแทงมา​แล้ว​ไม่​เข้า​ ​ท่าน​จะ​รดน้ำ​มนต์​ให้​

ผมเคย​ได้​นวดแข้งนวดขา​ให้​ท่านหลายครั้ง​ ​น่า​เสียดายที่ตอนรับราชการเต็มตัว​แล้ว​ ​ไม่​ค่อย​ได้​ไปกราบท่าน​ ​แม้นตอนที่ท่านเสีย​ ​ไม่​ได้​ไปแม้นกระ​ทั้ง​ฟังสวด​

จริงๆ​ ​ยัง​มี​เรื่องราว​ ​ของหลวงพ่อเปิ่นอีกเยอะ​ ​แต่​ ​ที่นึก​ได้​แค่นี้​

ทุกวันนนี้​ ​อาจาย์อางค์​ ​ที่​เป็น​เจ้าอาวาส​ ​ผมยืนยันว่าท่านเก่ง​ ​เป่ายันต์​ได้​ขลัง​
วัดบางพระ​ยัง​ที่พึ่ง​ได้​ ​สำ​หรับคนชอบการสักยันต์​

เรื่องพระ​เครื่อง​และ​เครื่องรางของท่านผมสะสม​ไว้​เยอะมาก​ ​ไว้​จะ​ค่อยๆ​เอามา​ให้​ชม​กัน​ครับ

จาก​ประสบการณ์ของผม
ขอแสดง​ความ​นับถือ
Gearmour

ปล​.​คาถาอาราธนา​ ​วัตถุมงคลหลวงพ่อเปิ่น​

นะ​โม​ 3 ​จบ​
พระพุทธธังรักษา​ ​พระธัมมังรักษา​ ​พระสังฆังรักษา​ ​พระบิดารักษา​ ​พระมารดารักษา
อิระชาคะตะระสา​ ​นะมะนะอะ​ ​นอกอนะกะ​ ​กอออนออะ​ ​นะอะกะอัง​
อะสังวิสุ​โลปุสะพุภะ​
สังวิทาปุกะยะปะ​ ​อาปามะจุปะ​ ​ทีมะสังอังขุ​ ​ปาสุอุชา​ ​สะทะวิปิปะสะอุ​ ​ตะมัตถังปะกา​เสนโต​ ​สัตถา​ ​อาหะ​ ​กัน​หะ​ ​เนหะ​ ​นะ​โมพุทธายะ​ ​นะมะพะทะ​ ​จะ​พะกะสะ​ ​มะอะอุฯ


เหนือ​อื่น​ใด​ตอนหลวงพ่อมีชีวิต​อยู่​ ​ท่านเน้น​ให้​ดู​แล​ ​และ​เคารพพระ​ใน​บ้าน​ ​ให้​ดีที่สุด​ด้วย​ครับ
ขอแสดง​ความ​นับถือ
Gearmour :048:


ด้วยความเคารพ
   
      โยคี

1251
เป็นไปได้ระหว่าง เขี้ยวเสือ กับเขี้ยวหมี เห็นคนเขาเล่ากันว่า เขี้ยวเสือข้างในจะกลวง

1252
                ขอใหม่ลิงค์เสีย

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1253
                                                                       มัจฉานุ



1254
เป็นลายภาพยันต์ต่างๆ เอาไว้ชมกันเล่นๆ

                                                                              หนุมานตัวที่ 9


                               เสือคู่


                               เสือเผ่น อาจารย์หนู กันภัย


                               พญาน่าคราช





[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1255
ขอความจาก เวป http://thaiblades.com/forums/archive/index.php/t-7967.html

007
24-01-2006, 01:35 PM
ท่านเจ้าอาวาสวัดบางพระในปัจจุบัน
ท่านเป็นพระที่น่าเคารพนับถือท่านนึงเลย
ตอนที่ผมจะบวช ผมตั้งใจว่าจะไปบวชอยู่วัดบางพระ
ก็ได้ไปติดต่อกับหลวงพ่อท่าน (ขณะนั้นหลวงพ่อเปิ่นสุขภาพไม่แข็งแรง)

ท่านก็ได้เป็นธุระจัดการให้หลายต่อหลายอย่าง
ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับท่านอยู่พอสมควร
คำถามหนึ่งก็คือ "ท่านได้วิชาอะไรมาจากหลวงพ่อเปิ่นบ้าง"
ท่านตอบแบบไม่ต้องคิดนานเลยว่า "โอ้ย..หลวงพ่อท่านเก่ง อาตมาไม่ได้เท่าท่านหรอก"
และหลวงพ่อรองเจ้าอาวาส (ในขณะนั้น) ก็ได้บอกว่า
วิชานะปัดตลอดของหลวงพ่อเปิ่น อาตมาได้เห็นมากับตา
มีนายพลคนนึงเอาแผ่นทองแดงมาให้หลวงพ่อท่านทำเป็นแผ่นยันต์
ซึ่งเอามาให้เยอะมาก คงต้องใช้เวลานานในการเขียนยันต์
พระลูกวัดก็เป็นห่วงว่าจะทำให้ได้ทันหรือไม่ เพราะนายพลท่านต้องรีบใช้
หลวงพ่อท่านก็รับปากไว้เรียบร้อย รองเจ้าอาวาส (ในขณะนั้น)
บอกว่าตอนที่ท่านทำนั้น ท่านได้เขียนยันต์ไว้แผ่นนึง จากนั้นท่านก็ได้
ตบผั๊วะเดียว แล้วยื่นให้รองเจ้าอาวาส (ในขณะนั้น) แล้วบอกว่าเอาไปให้ท่านนายพลได้เลย

รองเจ้าอาวาส ก็งงเพราะเห็นกับตาว่าท่านเขียนไปแผ่นเดียว
จึงได้เปิดดูเกือบทุกแผ่น ปรากฏว่าแผ่นทองแดงทุกแผ่น
มียันต์ติดไปทั้งหมด

เวปมีด ของคุณ Gearmour

1256
เริ่ม สักเก้ายอด


อาจารย์แป๋ว กำลังแทง




ไม่ใช่ตัวผมนะครับ


รวมๆ แล้วได้แค่เนี้ย


1258
ถ้ามีใครเคย โพสไว้แล้ว ก็ขออภัยด้วย เป็นลายมือของ หลวงพ่อ
สมัยท่านยังไม่ได้ละสังขาร บันทึกเป็นตำราไว้

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1260
ครอบครู วันที่ 1 มีนาคม ถ้าไม่สะดวก ไปวันไหว้ครู 3 มีนาคม ได้ ที่กุฏิ หลวงพี่ติ่ง
มีการครอบครู ดอกไม้ ธูปเทียน ราคาปกติ ค่าครู 200 บาท และก็มี กุฏิหลวงพี่ต้อย/
กุฏิ หลวงพี่ญา ไม่ทราบค่าครู

1261
จิตอ่อน + ศัทธาอันแก่กล้าทำให้ของขึ้น
 ถ้าไม่ขึ้นก็หนาวๆ ร้อนๆ

1262
เหมือนกันจ๊ะ

1263
ได้เตรียมท่า ไว้สำหรับงานนี้ หรือยัง[/size

รอจังหวะอยู่


นี่ก็รอ


ได้จังหวะแล้ว


พญาอินทรี


ปลาไหลก็มา


พุงไปข้างหน้า


อยู่ทำไม ไปบ้างดีกว่า


มารับน้ำมนต์ ของหลวงพ่อ

1265
ดอกไม้ ธูป เทียน ปกติ ค่าครู 200 บาท นะจะบอกให้?

ถ้าเป็นค่าครูเพื่อทำการสักสันต์ 25 บาท ครับ ค่าครูดังกล่าวไม่รวม ค่าพาน ดอกไม้ ธูป เทียน บุหรี่ และหมากพูล ครับ (หมากพูลส่วนมากจะไม่ใช้ครับ)
? ?ส่วนค่าครูเพื่อบูชาครูในวันไหว้ครู จะถูกกำหนดไว้ 100 บาท ที่ประรำพิธีใหญ่ จะเป็นค่าบูชาพานครู และในพานนั้นจะมีวัตถุมคลมอบให้ด้วยครับและเราก็นำพานดังกล่าวไปอธิฐาน หน้าโต๊ะประรำพิธีครับ?
   ส่วนค่าครอบครู ต้องสอบถามจากแต่ละกุฎิครับเพราะแต่ละที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลง   

1266
ฝากให้จอมขมังเวทย์

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1267
กุฏิ หลวงพี่สมชาย มีหลายขนาด หลายราคา เขี้ยวเล็ก (เขี้ยวเสือไฟ) แกะสวย
ราหูอมจันทร์ แกะจากกะลาตาเดี่ยวก็มี ราคา ประมาณ 500 บาท ทุกอย่างแช่ในน้ำมันจันทร์                       

1268
ทัน หลวงพ่อเสก เป็นเหรียญย้อนยุค สร้างหลายรุ่น ถ้าไม่เกินปี 45

1269
นำมาจาก ชมรมรักกุมาทอง http://gumaro.is.in.th/?md=content&ma=show&id=8

ก่อน​อื่น​นั้น​
1. ​เรา​จะ​ต้อง​คิดก่อนว่า​เรา​จะ​เลี้ยงเค้า​เพื่ออะ​ไร​ ​ถ้า​คุณตอบว่าอยากเห็นเค้ามากระ​โดดโลดเต้นเหมือน​ใน​ละครก็​ ​อย่า​เลี้ยงเลยครับ​
2. ​คุณพร้อมที่​จะ​ดู​แล​และ​เลี้ยงเค้ามั้ย​ ​ถ้า​ไม่​พร้อมก็​ ​อย่า​เลี้ยงครับ​
3. ​การเลี้ยงกุมาร​นั้น​เรื่องสัจ​จะ​เป็น​สำ​คัญนะ​ ​บอกว่า​ให้​ตอนไหนก็​ต้อง​ให้​ตอน​นั้น​
4. ​ถ้า​ทำ​ตามทุกๆ​ข้อที่ผมกล่าวมา​ได้​นั้น​ ​เริ่มเลี้ยง​ได้​เลย​

​เมื่อคุณสมบัติผ่าน​แล้ว​ต่อไปคือ​
1. ​คิดดูว่า​จะ​เลี้ยงกุมารเทพ​ ​หรือ​พราย​
2. ​เมื่อคิดออก​แล้ว​ให้​คุณศึกษาหาวัด​หรือ​สำ​นักที่มีการสร้างเสกกุมารทองขึ้นมา​ ​และ​ที่สำ​คัญเรา​ต้อง​ศรัทธา​ใน​อาจารย์​ผู้​สร้าง​และ​องค์กุมารทองที่บูชา​นั้น​ด้วย​ ​เพราะ​ศรัทธา​เป็น​แรงที่ทำ​ให้​เกิดปาฏิหารย์​ 3. ​ศึกษาวิธีการบูชาของแต่ละสำ​นักที่​เรา​จะ​ไปนำ​กุมารทองมา​
​ปล​. ​บางท่านอาจ​จะ​ใช้​วิธีซื้อหุ่นกุมารทองมา​แล้ว​นำ​ไป​ให้​สำ​นัก​ ​หรือ​วัดท่านผูกกุมารทอง​ให้​ ​อัน​นั้น​ก็​แล้ว​แต่​ความ​ชอบครับ​
กุมารเทพ​
​ข้อดี​
1. ​เรา​ไม่​ต้อง​เซ่นเลี้ยง​ด้วย​อาหารหยาบ​
2. ​ไม่​ให้​โทษแก่​ผู้​เลี้ยงเมื่อเรา​ไม่​ได้​เซ่นดู​แล​
3. ​หน้าตาจิ้มลิ้ม​ (อันนี้​ไม่​เกี่ยว​ ​แต่ลูกของผมบอกมา)
​ข้อเสีย​
1. ​เมื่อบนบาลอะ​ไร​แล้ว​ได้​ผลช้าหน่อย​
2. ​ไม่​ค่อยแสดงฤทธิ์​เดช​ให้​เห็น​


​กุมารพราย​
​ข้อดี​
1. ​แสดงฤทธิ์บ่อยๆ​
2. ​ได้​ผล​เร็ว​เมื่อบนบาล​แล้ว​
​ข้อเสีย​
1. ​ต้อง​เซ่นเลี้ยง​ด้วย​อาหารหยาบอย่างขาดมิ​ได้​ (ยกเว้นบางตำ​หรับ)
2. ​หากขาดการเซ่นเลี้ยง​แล้ว​อาจ​ให้​โทษแก่​ผู้​เลี้ยง​ได้​(ยกเว้นแต่อาจารย์​ผู้​สร้าง​นั้น​กำ​กับ​มาดี)

​ขั้นตอนเมื่อเรา​ได้​กุมารมา​แล้ว​
1. ​เมื่อเรา​ได้​กุมารมา​แล้ว​ให้​เราจัดการตั้งชื่อ​ให้​กับ​เขา​ ​โดย​แบ่ง​ได้​ดังนี้​
1.1 ​ชื่อที่​เน้นโชคลาภ​ ​เช่น​ ​ทองมา​ ​เรียกทรัพย์​ ​พูลเงิน​ ​พูลทอง​ ​ทองไหลมา​ ​เป็น​ต้น​
1.2 ​ชื่อที่​เน้นทางดุดัน​ ​เฝ้าบ้าน​ ​แคล้วคลาด​ ​เช่น​ ​ชัย​ ​เพชรมั่น​ ​คง​ ​กล้า​ ​แกร่ง​ ​เป็น​ต้น​
2. ​ก่อนนำ​เข้า​บ้าน​ให้​ทำ​ตามนี้​
2.1 ​หาที่ตั้ง​ให้​เหมาะสม​โดย​ ​ไม่​อยู่​สูงกว่าพระ​ ​หรือ​ ​ต่ำ​ติดพื้น​ ​และ​ไม่​ควรหันหน้า​ไปทาง​ ​ทิศตะวันตก​
2.2 ​จุดธูปกลางแจ้ง​ 12 ​ดอก​ ​บอกกล่าวเจ้าที่​เจ้าทางดังนี้​
​ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิฐานบอกกล่าวแด่​ ​พระภูมิ​ ​เจ้าที่​ ​ผีปู่​ ​ผีย่า​ ​ผีตา​ ​ผียาย​ ​ผี​เหย้า​ ​ผี​เรือน​ ​และ​สิ่งศักดิ์สิทธิ์​ทั้ง​หลายที่​
​อยู่​ภาย​ใน​สถานที่​ ​แห่งนี้​ ​วันนี้ข้าพเจ้า​ได้​นำ​ ​เจ้า​...... ​เข้า​มา​เลี้ยงภาย​ใน​บ้าน​ ​เพื่อ​ให้​เจ้า​..... ​เฝ้าทรัพย์สิน​ ​ให้​โชค​ให้​ลาภ​
​ขอ​ให้​ ​พระภูมิ​เจ้าที่​ ​ผีปู่​ ​ผีย่า​ ​ผีตา​ ​ผียาย​ ​และ​สิ่งศักดิ์สิทธิ์​ทั้ง​หลายเปิดทาง​ให้​เจ้า​.... ​เข้า​มา​อยู่​อาศัย​ใน​บ้าน​ได้​สะดวก​ด้วย​ถิด​
2.3 ​เมื่อทำ​การเปิดทาง​ให้​กับ​เจ้ากุมารลูกของคุณ​แล้ว​ ​ให้​นำ​กุมารมาตั้ง​ ​ณ​ ​ที่ที่​เตรียม​ไว้​แล้ว​จุดธูปบอกกุมาร​ ​โดย​ ​พราย​ 1 ​ดอก​ ​เทพ​ 5 ​ดอก​ ​ว่า​
​เจ้ากุมารทองของพ่อเอ๋ย​ ​ต่อไปนี้​เจ้าชื่อ​ ..... ​และ​ต่อไปนี้คนนี้คือพ่อของเจ้า​ ​พ่อ​จะ​เรียกเจ้าว่า​ ..... ​มา​อยู่​ที่บ้าน​
​ให้​ช่วย​กัน​ดู​แลบ้านเฝ้าบ้าน​ให้​ดี​ ​ช่วย​กัน​ทำ​มาหากินนะ​ ​แล้ว​พ่อ​จะ​ซื้อของเล่น​ให้​ ​เวลาพ่อไปไหนก็​ไป​กัน​ ​เวลาพ่อกินอะ​ไรก็กิน​กัน​นะ​ ​ไม่​ต้อง​รอ​ให้​พ่ออนุญาติ​ ​อยาก​ได้​อะ​ไรอยากกินอะ​ไรมาบอกพ่อนะ​(หากมีกุมาร​อยู่​แล้ว​ให้​กล่าวเพิ่มว่า​ ​เจ้า​...(ชื่อกุมารองค์​เดิม).... ​วันนี้พ่อนำ​ ​น้องเค้ามา​อยู่​ด้วย​นะ​ ​อยู่​ด้วย​กัน​ก็รัก​กัน​นะ​ช่วย​กัน​ดู​แลบ้าน​ ​หา​เงินหาทองอย่าทะ​เลาะ​กัน​นะ)

​ทุกๆ​วันพระ​ให้​เรานำ​ข้าวปลาอาหาร​ ​หรือ​ขนม​ ​หรือ​ผล​ ​ไม้​ ​ดอกไม้​ ​มาบูชา​ ​เค้า​แล้ว​บอกกล่าวเค้าว่า​ให้​ช่วย​กัน​หา​เงินหาทอง​ ​เฝ้าบ้านดู​แลคน​ใน​บ้าน​ ​ขาดเหลืออะ​ไรบอกพ่อนะ​


​สำ​นึกของ​ผู้​ที่​เลี้ยงกุมารทอง​
1. ​คุณ​ต้อง​ระลึก​ไว้​เสมอว่ากุมาร​นั้น​คือลูกของคุณ​ ​เสมือนคนจริงๆ​
2. ​หมั่นหาของเล่นขนมมา​ให้​เค้า​
3. ​หมั่นคุย​กับ​เค้า​
4. ​หากเบื่อ​แล้ว​คิด​จะ​เลิกเลี้ยง​ ​นั้น​ควรนำ​เค้า​ไปปล่อย​โดย​ให้​ผู้​ที่มีพลังจิต​ ​หรือ​พระปลดปล่อยเค้า​ไป​
​หมายเหตุ​ ​คุณลองคิดว่าคุณเบื่อลูกคุณ​แล้ว​คุณขายลูกคุณสิ​ ​มันคืออะ​ไร​
​สุดท้ายนี้ขอ​ให้​คนที่รักกุมารทองทุกๆ​คน​นั้น​ ​มีกุมารทองน่ารักๆ​ ​เก่งๆ​กัน​ทุกคนเน้อ​

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1270
หลวงพ่อโอภาสี เกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ที่เล่าขานกันมา
ซึ่ง หลวงพ่อโอภาสี เป็นอาจารย์ อีกท่านหนึ่ง ที่ได้สอน กรรมฐาน ว่าดว้วย เตโชกสิน
ให้แก่ หลวงพ่อเปิ่น ของเรา สมัยท่านยังหนุ่มๆ


เนื้อ​ความ :

    คัด​จาก​หนังสือคุณทองทิว​ ​สุวรรณทัต

    บรรดา​เกจิอาจารย์​ทั้ง​หลาย​ซึ่ง​มีอภินิหาร​หรือ​คุณธรรมอันวิ​เศษที่มรณภาพไป​แล้ว​นั้น​  ​ถ้า​ใครเอ่ย​ถึง​ ​หลวงพ่อโอภาสี​ ​ก็คง​จะ​อดอัศจรรย์​ใน​คุณวิ​เศษอันสืบ​เนื่อง​จาก​ผลการปฏิบัติของท่าน​ไม่​ได้​  ​และ​ด้วย​เหตุนี้​จึง​มี​ผู้​อ่านหลายท่านขอ​ให้​ผู้​เขียนนำ​ประวัติของท่านมา​เล่าสู่​ให้​ฟัง​กัน​บ้าง

    ระหว่างปี​ 2484-2485  ​ผู้​เขียน​ยัง​เรียนหนังสือ​อยู่​จำ​ได้​ว่า​ผู้​คน​ทั้ง​ใน​กรุงเทพฯ​และ​จังหวัด​ใกล้​เคียงพา​กัน​ไปชุมนุมที่หน้าวัดบวรนิ​เวศวรวิหาร​  ​นับแต่ถนนหน้าวัดบวรฯ​ไปจนจรดตลาดบางลำ​ภูมีคน​เข้า​แถวเต็มไปหมด​  ​ได้​ความ​ภายหลังว่ามารอหลวงพ่อโอภาสี​  ​แจกพระ​เครื่องที่ท่านทำ​พิธีปลุกเสก
    ใน​ครั้ง​นั้น​  ​ชื่อเสียงของ​ ​หลวงพ่อโอภาสี​  ​โด่งดังไปทั่งสารทิศ​  ​เพราะ​พิธีกรรมของท่านแปลกพิสดารเกินกว่าคนธรรมดา​จะ​กระทำ​ได้​  ​กล่าวคือ​  ​ท่านขนเอาสมบัติพัสถาน​ใน​กุฏิของท่าน​ ​ไม่​ว่า​จะ​เป็น​ตู้​โต๊ะ​ ​หนังสือตำ​รา​  ​ถ้วยโถโอชามอัน​เป็น​ของเก่า​แก่มีราคา​  ​ตลอดจนกองธนบัตรที่มีคนมาถวาย​  ​มากองสุม​ ​ณ​ ​บริ​เวณสนามหญ้า​  ​แล้ว​จุดไฟเผาท่ามกลาง​ความ​ตกตะลึงของพระภิกษุสามเณร​  ​และ​ผู้​คนที่พบเห็น​เป็น​อย่างยิ่ง​  ​พอไฟมอดลง​แล้ว​ท่านก็​เดินหายไป​ใน​กุฏิ​เพื่อสวดมนต์ภาวนาของท่านต่อไป
    การประกอบพิธีกรรมอันประหลาดของท่าน​ซึ่ง​มีติดต่อ​กัน​หลายครั้ง​ใน​สมัย​นั้น​  ​ทำ​ให้​วัดบวรนิ​เวศวรวิหารพลุกพล่านไป​ด้วย​ผู้​คน​เป็น​ประวัติการณ์​  ​จึง​เป็น​เหตุ​ให้​หลวงพ่อโอภาสี​ต้อง​ออกจาวัดบวรฯ​ใน​เวลาต่อมา​  ​และ​ใน​ที่สุดท่านก็​ไป​อยู่​ที่อาศรม​ ​ณ​ ​ตำ​บลบางมด
    เรื่องราวอันน่ามหัศจรรย์ของพระภิกษุ​ผู้​ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมี​ความ​รู้​ใน​พระธรรม​ ​พระวินัย​ ​จนสอบ​ได้​เปรียบแปดประ​โยคท่านนี้​  ​ผู้​เขียน​ได้​พยายามรวบรวมเรื่องราวของท่าน​จาก​หนังสือบางเล่ม​  ​และ​จาก​ท่าน​ผู้​รู้บางท่าน​  ​พอ​ได้​ใจ​ความ​มา​เสนอดังต่อไปนี้
    หลวงพ่อโอภาสี​ ​หรือ​ ​พระมหาชวน​ ​โอภาสี​ (ป​.8)​เกิดที่จังหวัดนครศรีธรรมราช​ ​เมื่อ​ ​พ​.​ศ​.2441 ​เรียนหนังสือจบขั้นมัธยมปีที่​ 6 ​แล้ว​บรรพชา​เป็น​สามเณรที่วัดโพธิ์​ ​จังหวัดนครศรีธรรมราช​  ​สอบ​ได้​นักธรรมโท​จึง​เดินทางมาศึกษาบาลีควบคู่​ไป​กับ​นักธรรมเอก​ ​ณ​ ​วัดบวรนิ​เวศวรวิหาร​  ​กรุงเทพฯ​  ​จนสอบ​ได้​เปรียญ​ 8 ​ประ​โยค​ ​จาก​นั้น​ได้​หันมาปฏิบัติตามลำ​พัง​  ​เป็น​สำ​คัญกระทั่ง​ใน​วันหนึ่งท่าน​ได้​ประกาศว่า
    "มหาชวน​นั้น​ตายไป​แล้ว​  ​บัดนี้​เหลือแต่​โอภาสี​ผู้​ปรารถนา​ใน​ความ​หมดสิ้น​จาก​อาสวะ​ทั้ง​หลาย"
    ท่านเจ้าคุณราชธรรมนิ​เทศ​  ​เคยเล่า​ให้​ผู้​เขียนฟังว่า
    "มีสิ่งที่น่าประหลาด​อยู่​เรื่องหนึ่ง​ ​ที่​เกี่ยว​กับ​หลวงพ่อโอภาสี​เห็น​เขา​พูด​กัน​ว่า​  ​เมื่อครั้งท่าน​ยัง​เป็น​พระมหาชวน​นั้น​ที่​แก้มซีกขวาของท่าน​ยัง​ไม่​มี​ไฝฝ้า​  ​แต่ครั้นมา​เป็น​หลวงพ่อโอภาสีกลับมีปานดำ​ขึ้นที่​แก้มจนเห็น​ได้​ชัด​  ​ไม่​ทราบว่าปาน​นั้น​เกิดขึ้นมา​ได้​อย่างไร​  ​เพราะ​คนเรามัก​จะ​มีปาน​หรือ​ไฝก็มี​กัน​แต่​เล็ก​แต่น้อย​  ​นี่ท่าน​เป็น​ผู้​ใหญ่​แล้ว​  ​อายุตอน​นั้น​ประมาณ​ 40 ​ทำ​ไมปานเกิดขึ้นมา​ได้​ก็​ไม่​ทราบ"
    เกี่ยว​กับ​เรื่องอภินิหารของหลวงพ่อโอภาสี​นั้น​ดู​จะ​มีหลายประการ​  ​โดย​เฉพาะ​ได้​แก่การมีหูทิพย์​ ​ตาทิพย์​ ​และ​วาจาสิทธิ์​ ​ท่านกล่าวคำ​ใด​ออกมา​ไม่​ใคร่​จะ​พลาด​จาก​คำ​นั้น​  ​ซึ่ง​อาจ​จะ​สืบ​จาก​ผลการปฏิบัติอย่างแรงกล้าของท่านก็​เป็น​ได้
    มี​เรื่องเล่าว่า​  ​เคยมีสุภาพสตรีสูงอายุท่านหนึ่ง​  ​มี​ความ​ศรัทธาหลวงพ่อโอภาสี​เหลือเกิน​  ​ถึง​แก่ปรารถ​กับ​ญาติพี่น้องที่บ้านว่า​ ​อยาก​ได้​เส้นผมของหลวงพ่อ​ไว้​บูชา​  ​ครั้นต่อมาสุภาพสตรีท่าน​นั้น​ไปนมัสการหลวงพ่อ​  ​พอก้มลงกราบ​  ​ยัง​ไม่​ทัน​จะ​กล่าวอะ​ไรหลวงพ่อก็ยกมือจับเส้นผมของท่าน​  ​พร้อม​กับ​บอกว่า
    "ผมของอาตมาสั้นออกอย่างนี้​  ​จะ​ตัดไป​ให้​โยม​ได้​อย่างไร"
    สุภาพสตรีท่าน​นั้น​ถึง​แก่นั่งตกตะลึงพูด​ไม่​ออก
    ครั้งหนึ่ง​ได้​มีสุภาพสตรี​ผู้​สูง​ด้วย​อำ​นาจวาสนาท่านหนึ่งพาบริวารไปนมัสการหลวงพ่อที่สวนส้มบางมด​  ​ได้​สนทนาปราศรัย​กับ​ท่าน​เป็น​อันดี​  ​ชั่วครู่หลวงพ่อเหลือบไปเห็นแหวนเพชร​ใน​นิ้วมือของสุภาพสตรีท่าน​นั้น​  ​เปล่งประกายสุกสกาว​จึง​ถามว่า
    "​ถ้า​อาตมา​จะ​ขอแหวนวงนี้​จาก​คุณโยม​  ​จะ​เสียดายไหม"
    สุภาพสตรีท่าน​นั้น​ถอดแหวนออก​จาก​นิ้วนางประ​เคนท่านแทนคำ​ตอบทันที​  ​ท่ามกลาง​ความ​ชื่มชมของบริวาร​  ​หลวงพ่อรับ​ไว้​  ​หยิบพลิกดู​ไปมา​แล้ว​หันไปหยิบค้อนที่​อยู่​ข้างหลัง​  ​วางแหวนเพชรที่​ไม่​รู้ว่ากี่กะรัตลงบนพื้น​แล้ว​ตอก​ด้วย​ค้อนบัดนี้​!
    สุภาพสตรีท่าน​นั้น​เกือบ​เป็น​ลม
    หลวงพ่อโอภาสีมองหน้าพลางเปรยออกมาว่า
    "ของดีๆ​อย่างนี้​  ​จะ​สูญ​ได้​อย่างไร"
    สุภาพสตรี​ผู้​นั้น​หมดกำ​ลังใจ​จะ​สนทนาต่อ​  ​อ้อมแอ้มๆ​ออกมาสอง​-​สามประ​โยค​  ​ก็นมัสการลากลับ​ไม่​เหลียวหลัง
    ปรากฏว่า​เย็นวัน​นั้น​  ​หลัง​จาก​อาบน้ำ​ชำ​ระกายเรียบร้อย​แล้ว​ ​เปิดโถแป้งออกมา​  ​ตั้งใจ​จะ​หยิบแป้งขึ้นมาผัด​  ​กลับเห็นแหวนเพชรวงที่หลวงพ่อโอภาสีทุบจนแตกกระจาย​เป็น​เสื่ยงๆ​วาง​อยู่​ใน​นั้น​ชัดแจ้ง​...​เป็น​วงแหวนสมบูรณ์​เหมือนเดิม​ไม่​ผิดเพี้ยน​!
    อีกคราวหนึ่ง​  ​คุณหลวงประ​เสริฐรัฐวิจารณ์​ ​เจ้าหน้าที่ชั้น​ผู้​ใหญ่​ขององค์การท่า​เรือฯ​  ​ผู้​รู้จักคุ้นเคย​กับ​หลวงพ่อมาช้านาน​  ​ได้​เข้า​ไปนมัสการ​และ​สนทนา​ด้วย​  ​จน​ได้​เวลาพอสมควร​จะ​ลากลับหลวงพ่อกลับบอกว่าประ​เดี๋ยวก่อน​  ​แล้ว​ท่านก็ลุก​เข้า​ไป​ใน​อาศรมถือธนบัตรใบละ​ 100 ​จำ​นวนสองใบมายื่น​ให้​คุณหลวงพลางบอกว่า​ "​เก็บ​ไว้​ให้​ดี​ ​เป็น​เงินก้นถุง"
    คุณหลวงก้มลงกราบรับ​ไว้​ด้วย​ความ​ปิติยินดี​  ​แต่​เมื่อกลับมาบ้าน​แล้ว​  ​ท่านนึกไป​ถึง​เพื่อนคนหนึ่ง​ซึ่ง​ไปรับราชการ​อยู่​ที่กรุงวอชิงตัน​  ​อเมริกา​ใน​ขณะ​นั้น​  ​เพราะ​เพื่อน​ผู้​นี้​เคยปรารถ​กับ​ท่านว่าอยาก​ได้​เงินก้นถุงของหลวงพ่อโอภาสีมานาน​แล้ว​แต่​ไม่​มี​โอกาส​จะ​ได้​กับ​เขา​  ​คุณหลวงประ​เสริฐคิด​ถึง​เพื่อนผุ้​นั้น​ก็อยาก​จะ​สละ​เงินก้นถุงที่ตน​ได้​มา​ให้​แก่​เพื่อนไปก่อน​  ​ด้วย​คิดว่าท่าน​อยู่​ใกล้​กับ​หลวงพ่อ​  ​วันหน้าคง​จะ​มี​โอกาสขอ​ได้​ใหม่​  ​ท่าน​จึง​จัดแจงจดหมายเลขธนบัตรเอา​ไว้​  ​แล้ว​ส่งเงิน​นั้น​ไป​ให้​เพื่อนที่วอชิงตันทันที
    ต่อมาอีกสามสี่วัน​  ​คุณหลวงไปนมัสการหลวงพ่ออีกครั้ง​  ​พอหลวงพ่อเห็นหน้าท่านก็หยิบธนบัตรใบละ​ 100 ​สองใบส่ง​ให้​คุณหลวง​  ​พลางหัวเราะบอกว่า
    "​ไม่​ต้อง​ตกใจดอกคุณหลวง​  ​เขา​ไปเที่ยววอชิงตันมา​!"
    ก่อนที่หลวงพ่อ​จะ​มรณภาพเพียง​ไม่​กี่วัน​  ​พุทธสมาคมแห่งประ​เทศอินเดีย​ได้​นิมนต์​ให้​หลวงพ่อเดินทางไปร่วมประชุมสงฆ์​ทั่ว​โลก​  ​หลวงพ่อรับนิมนต์​  ​ทั้ง​ได้​ส่งสานุศิษย์​ผู้​ติดตามอัน​ได้​แก่​ ​นายสนิท​ ​วชิรสาร​ ​กับ​ ​นายยี​.​อี​.​เอิร์ด​  ​เดินทางล่วงหน้า​ไปก่อนหนึ่งสัปดาห์​  ​ส่วน​หลวงพ่อ​จะ​เดินทางไป​โดย​ลำ​พัง​ใน​วันที่​ 31 ​ตุลาคม​ 2498
    หลวงพ่อบ๋าวเอิง​  ​ทราบข่าวว่า​ ​หลวงพ่อโอภาสี​จะ​ไปอินเดียก็​จะ​ขอติดตามไป​ด้วย​  ​แต่หลวงพ่อบอกว่า
    "ขณะนี้ท่านมีธุระมาก​  ​อย่า​เพิ่งไปดีกว่า​  ​และ​อาตมา​ไปครั้งนี้ก็​ไม่​ต้อง​ใช้​พาสปอร์ตเหมือนคน​อื่น​เขา​  ​จึง​ให้​ร่วมไป​ไม่​ได้​"
    ภายหลัง​จาก​ ​นายสนิท​ ​วชิรสาร​ ​กับ​ ​นาย​ ​ยี​.​อี​.​เอิร์ดเดินทางไป​ถึง​อินเดีย​  ​ได้​พำ​นัก​อยู่​ใน​พุทธวิหารแห่งหนึ่ง​  ​ซึ่ง​ทางพุทธสมาคมอินเดียจัด​ไว้​รับรอง​   ​ครั้นเวลา​เช้า​ตรู่ของวันที่​ 31 ​ตุลาคม​ 2498 ​นายยี​.​อี​.​เอิร์ด​  ​ได้​เห็นภาพของหลวงพ่อโอภาสีลอยเด่น​อยู่​เหนือศีรษะ​  ​ใบหน้าของท่านอิ่มเอิบสดใส​  ​ภาพ​นั้น​ปรากฏเพียงชั่วครู่ก็​เลือนหายไป
    ครั้นตกบ่าย​ได้​มีคน​เข้า​มาบอกแก่คน​ทั้ง​สองว่า​  ​มีพระ​แก่รูปหนึ่งรอพบ​อยู่​ข้างนอก​  ​จึง​รีบชวน​กัน​ออกไป​  ​กลับพบหลวงพ่อโอภาสียืนรอ​อยู่​! ​ท่านบอกว่า
    "ฉันมาตามคำ​พูด​  ​ไม่​มีอะ​ไรมาห้ามฉัน​ได้​  ​อย่า​แปลกใจเลย"
    ศิษย์​ทั้ง​สองดีอกดี​ใจ​  ​รีบพาหลวงพ่อ​เข้า​ไป​ยัง​พุทธวิหารพลางขอตัวเพื่อไปเอาของ​ใน​ห้องพักของตน​  ​เตรียม​จะ​นำ​หลวงพ่อออกชมบ้านเมืองอินเดีย​  ​แต่​ใน​ขณะ​นั้น​เอง​  ​มีบุรุษไปรษณีย์นำ​โทรเลขมาส่ง​  ​คน​ทั้ง​สองเปิดโทรเลขอ่านดู​แล้ว​ต้อง​ยืนตัวแข็ง​เพราะ​ข้อ​ความ​มีว่า​ "หลวงพ่อโอภาสีมรณภาพ​เช้า​วันที่​ 31 ​ตุลาคม​ 2498 ​กลับด่วน"
    ปัจจุบันศพของหลวงพ่อโอภาสี​ยัง​คง​อยู่​ใน​อาศรมบางมดเชิญ​ผู้​มีจิตศรัทธา​ไปนมัสการ​ได้

1271
มาที่ วัดบางพระ ซิครับ  มีเขียวเสือแน่น แถมหลวงพ่อเปิ่น ปลุกเสกให้ต่างหาก
 ไม่ต้องไปให้เกจิที่ไหน ลงให้อีก ราคาไม่แพง ราคา ตั้งแต่ 300 - ขึ้นไป อุดหนุนวัดหน่อยครับ (ทำบุญ)

1273
มีแต่สิ่งดีๆ

1274
จิต ศัทธา อาคม

1275
เส้นที่ ผมบอกว่าไม่ดี คือเส้น ระหว่าง รพ.ห้วยพลู --- คลองโยง ที่เลยวัดมะเกลือ มาหน่อย
ส่วนเส้น นราภิรมณ์ - วัดบางพระ ทางดี ทางทำเสร็จปีกว่าแล้ว

1276
[/sizeขอเสริมอีกหน่อย

1278
ถนนห้วยพลู - คลองโยง อย่างเลวเลย ขรุขระ รถบรรทุกวิ่ง ถนนพัง

1279
เหมื่อนพ่อแก่

นี่ก็อีก

เสือมาแล้ว

อันนี้ไม่รู้

1281
ฝากไว้หน่อย สำหรับผู้ที่ใช้  Kaspersky Antivirus v.6 แล้วโดน
Black list พวกนี้อาจช่วยท่านได้

 ผมแจก code ให้ละกัน
ใช้ได้ไม่มีปัญหาผมลองใช้อันล่างสุดครับบ
DZ3A3-7XGVU-DH1YX-NXJYP
SPWWX-499K3-M117B-1P155
DZ3A3-7XGVU-DH1YX-NXJYP
CT1Y6-CM97M-TNYTF-49S77
9JZJH-9DJY2-ZYPAY-C68GM
R2EDV-CYTTY-AWS83-2C62U
5X7BT-THTWR-GEGTU-9EP1B
WDVWG-6ZRTJ-M9TYJ-5G7JJ
K5XJH-FCH26-4A3EA-RPTAY
99X71-BZMJ8-NWPRE-YECHC
UW47W-PVD34-SJYR4-VF4VT
DEN6R-CDK83-FK7K5-RV4YG
GFFBP-BPTSZ-83HFE-EDAKQ
11VV5-T83NQ-91RAX-WA79Z
P9KGC-8M2TQ-3GK7N-HESAM
P2UDX-5MAEH-DTN5E-YC55U
CT1Y6-CM97M-TNYTF-49S77
WWXTS-PGCZK-T64FJ-NR164
WNM8B-1RV8R-3X6VX-U7QUC
3FZS9-JSQHY-G2ATZ-2TUNY
YCHK1-1ZHD7-A6PNK-MZ7G4
MQG1X-RBMTS-2RV77-2Y7DM
16HU5-U67CZ-1MF7D-1VXXM
1Q5VG-3DGMJ-R2251-GWK5H
MCSC1-18P8Q-1AQK9-SRFTQ
MJV9W-S8K1W-QMDD4-T4KH8
Z8JJP-Y6NF5-A5M3C-24GZK
Q9KG4-42MEZ-BD7B2-TFP9C
WJK28-9CJX8-VJ3XY-HSFG3
U1XZ2-ZR9SW-Q3APD-CW127
QC9C6-H2S2E-HR5HX-B6DEC
8NWPP-P5F4U-NDMB8-4VJ7J
T1SAP-SGK8Z-XKMH7-8RSZN
VBV4F-K43MA-5PADE-UJ4B9
Z3H7H-TUZRA-MS863-ZQV4U
3NQ5K-5QA7Z-SFXBZ-CSHHW
U7YSF-Y8Q7K-31MCC-5ASSH
QCXW2-E4TRF-SGAGQ-D9GMP
PRHHP-X5ZDC-46GCR-DX1UE
9NNJM-Q173U-1WUW4-FXPXE
ลอกเขามา บอกกัน

1282
 :001:นั้งพาน ปี 37 ทั้งคู่

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1283
:008:สำหรับ คนใจกล้าแต่กลัวเข็ม และคนไม่กลัวเข็ม แต่ไม่กล้าสัก :005:
ไปหาพระของ หลวงพ่อมาแขวน

1284
อีกชุด

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1285
หาซื้อได้ ตามตลาดนัดใหญ่ๆ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1286
หลวงพี่ญา วัดนางเหลียว

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1288
ภาพของเด็กลำปาง

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1289
ฟันธง เก๊ 100% เป็นพิมพ์พระผงนั้งเสือ รุ่นแรก ปี 33

1290
รูปภาพ ผมไม่มีครับ มีแต่ผ้ายันต์ 1 ผืน เองครับ

1291
หวังว่า คงจะชอบกัน

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1292
ภาพยันต์ และเสื้อยันต์ ไปพบมาเห็นว่าสวยดี ก็นำมาฝากคงไม่ถูกตำหนิอีกนะ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1293
ของสำนักอื่น อย่าว่ากันนะ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1294
ขอลองด้วยหนุมาน ลพ.แล วัดพระทรง

1295
อีก

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1296
อีกรูป

1297
อีก

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1298
วันพ่อ ก็ต้องรูปหลวงพ่อ

1299
การที่จะทำการปลุกเสกพระวิษณุกรรม  ต้องทำพิธีเทวาภิเษก ต้องมีราชวัชฉัตรธง มีเครื่องเซ่นสังเวย
หัวหมู ไก่ (ของคาว) บายศรีชุดใหญ่  ผลไม้ชุดใหญ่ ขนมต้มแดง ขนมต้มขาว และอะไรอีกมากมาย
คิดเอาว่าจะเสียค่าดำเนินการเท่าไร ไม่เหมือนทำการปลุกเสกพระรูปเหมื่อน อย่างนั้น ใช้วิธีอธิฐาน
จิต โดยไม่ต้องมีพิธีรีตองมาก เหมื่อนเกจิอาจารย์ต่างๆที่ทำการอธิฐานจิต ทั่วไป

1300
สูตร วัดกลางบางแก้ว

1301
นี่ครับ สูตรวัดบางพระ

1302
ภาพที่แจก ในงานไหว้ครู ประมาณปี 42-43 เป็นผ้ายันต์สีจีวร
ลักษณะแบบภาพประกอบ รับมือหลวงพ่อบนกุฏิ


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1303
ผงยาวาสนาจิดามณี ของวัดบางพระ ก็มี 1.ชุดพระผงสมเด็จ / รูปเหมือน ประมาณปี 32-33 
2. รุ่น หลวงพ่อเปิ่น ขี่เสือรุ่นแรก 3. ขี่เสือ ห้าเสาร์ 4. ชุดฤๅษีรุ่นไหว้ครู ปี 44  เป็นต้น

1304
คัดลอกเขามานะ

 สูตรการสร้างยาจินดามณี

เมื่อกล่าวถึงผงยาจินดามณี ต่างก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่า เป็นสูตรการสร้างวัตถุมงคล ที่ส่งให้ชื่อเสียง
ของวัดกลางบางแก้ว โดยเฉพาะหลวงปู่บุญโด่งดังขจรขจาย อุปเท่ห์การใช้ยาจินดามณีนั้นมีคุณครอบ
จักรวาล แม้แตาสามารถฉุดกระชากจิตวิญญาณที่ใกล้จะดับสูญ ให้กลับฟื้นคืนสติขึ้นมาสั่งเสียข้อความต่างๆ
แก่ญาติโยมได้ สูตรการสร้างยาจินดามณีนี้ เป็นของเก่าแก่ดั่งเดิมสืบทอดมาหลายชั่วอายุคนแล้ว สำหรับ
หลวงปู่บุญนั้นท่านก็ได้รับสืบต่อมาจากพระปลัดทอง ซึ่งเป็นอุปัชฌาย์อาจารย์ของท่าน

กรรมวิธีการสร้างนั้น ประกอบด้วยพิธีกรรมและเครื่องยาแยกเป็นสองส่วน ส่วนที่เป็นเครื่องยานั้น
ตำรับโบราณได้พรรณาเอาไว้อย่างกว้างๆ ตามตำราว่า

"จินดามณีโอสถอันพิลาส" ประกอบดอกคลาด ดอกจันทร์เกสรบุษบัน เปราะหอม กำยานโกฐสอ
โกฐเขมา ทองน้ำประสาน เปลือกกุมชลธาร กรุงเขมาเท่ากัน ผสมแล้วตำบดพิมเสน ชะมดน้ำผึ้ง รวงรัน
กฤษณา น้ำมะนาว น้ำมะเขือขื่นคั้นผสมยาเข้าด้วยกัน บดปั้นตากกินเป็นยาวาสนาเลิศล้ำตำราในโลกแผ่นดิน
อุปเท่ห์กล่าวไว้ ผู้ใดได้กินจะสวัสดิโสภิณกว่าคนทั้งหลาย พัสดุเงินทองจักพูนกูลนองกว่าโลกหญิงชาย
นำมาบูชาอหิวาต์ก็มิวาย ระงับอันตรายทั้งสี่กิริยาโทษหนักเท่าหนัก มาตรแม้นประจักษ์ถึงกาลมรณา
ถ้าแม้นใครกินซึ่งยาวาสนากลับน้อยถอยคลาเคลื่อนคลายหายเอย

นอกจากนี้ยังได้แยกเครื่องยาไว้อย่างละเอียดว่า สมุนไพชนิดใดจะเอาส่วนไหนประกอบกับอะไร
บดเป็นผงละเอียด เคล้ากับตัวประสานสมุนไพรนั้นมีมากมายหลายชนิด แยกออกเป็นสันส่วนว่า ส่วนไหน
ใช้เท่าใด และให้ลงหรือเสกด้วยคาถาอย่างไรบ้าง เมื่อปลุกเสกเครื่องยาแต่ละส่วนตามคาถาที่กำกับแล้ว
ก็เอาเครื่องยามาผสมกับมีคาถาฤาษีประสมยาประกอบไว้อีกโสดหนึ่ง ในเรื่องสัดส่วนของสมุนไพรตลอดจน
สมุนไพรนอกจากที่ได้กล่าวไว้ในเบื้องต้นนั้น และพระคาถากำกับการเสกสมุนไพรมากมายหลายบท

จากนั้นท่านได้แจกแจงรายละเอียดเอาไว้ในส่วนการลงลูกหินและแม่หิน ซึ่งจะใช้บดยาว่า
"แม่หินต้องลงอักขระเลขยันต์อีกแบบหนึ่งและมีคาถาประกอบขณะบดยา"

การจัดพิธีท่านให้เลือกเอาวันเพ็ญขึ้น ๒๕ ค่ำกลางเดือน ๑๒ ซึ่งหากปีใดได้ราชาฤกษ์หรือเพชรฤกษ์
จัดว่าดีเยี่ยมให้จัดเครื่องสังเวยเทวดาบัตรพลีต่างๆ รวมทั้งราชวัตร ฉัตรธงภายในพระอุโบสถ และมีสายสิญจน์
รอบพระอุโบสถแต่ละทิศให้ลงยันต์ประจำทิศด้วยผ้าแดง ด้านหน้าพระอุโบสถแต่ละทิศ ให้ลงยันต์ตรีนิสิงเห
และยันต์จินดามณีประกอบไว้เป็นพิเศษด้วย เมื่อได้ฤกษ์ให้ชุมนุมเทวดา แล้วให้พระภิกษุและฆราวาส
ที่ร่วมพิธีพร้อมกัน โดยเฉพาะฆราวาสนั้น หากเป็นหญิงให้ใช้สาวพรหมจารีย์ ซึ่งรักษาศีลอุโบสถ (ศีล ๘)
มาแล้ว ๓ วัน ส่วนชายก็ให้รักษาศีลอุโปสถเช่นกัน

ผู้ร่วมพิธีปั้นเม็ดยา หรือกดพิมพ์พระจะต้องภาวนาพระคาถาไปด้วย ไม่ว่าเม็ดยา หรือพระพิมพ์ที่ปั้น
และกดเสร็จแล้วจะต้องนำไปปลุกเสกด้วยมนต์ขลังอีกอย่างน้อย ๗ เสาร์ ๗ อังคาร

การสร้างยาจินดามณีนี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ยาวาสนา" ซึ่งมิใช่มีเฉพาะตำหรับของวัดกลางบางแก้ว
เท่านั้น วัดอื่นก็มีสร้างกัน เช่น วัดปากครองบางครก อ.บ้านแหลม จ. เพชรบุรี ก็มีการสร้างในสมัยของ
หลวงพ่อโศก (พระครูอโศกธรรมสาร) เกจิอาจารย์ผู้พระเดื่องนาม ในการสร้างปลัดขิก พระขรรค์และ
ผ้ายันต์ราชสีห์เส้นคู่ ตำหรับการสร้างผงยาจินดามณีของวัดปากคลองบางครกนี้ ก็มีกรรมวิธีการสร้างและ
อุปเท่ห์การใช้อย่างเดียวกันกับของวัดกลางบางแก้ว ผู้เขียนเข้าใจว่าคงเป็นตำราที่สืบทอดแตกแยกกัน
ออกไป เมื่อได้พูดถึสูตรผงยาจินดาตรีของทั้ง ๒ สำนักแล้ว ก็อยากจะนำอุปเท่ห์การใช้มาเขียนลงไว้
อย่างชัดเจน โดยขอกล่าวถึงอุปเท่ห์การใช้ยาจินดามณีตำหรับวัดกลางบางแก้วก่อน

ใครได้รับประทานยาจินดามณีแล้วจะบันดาลให้เกิดศิริสวัสดีและลาภผล หากบูชาเอาไว้จะป้องกัน
และรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ แม้แต่อหิวาตกโรคผู้ใดมีไว้จะปราศจากอันตรายใดๆ ในทุกอิริยาบถผู้ใดต้อง
โทษทัณฑ์ก็จะบรรเทาเบาบางลงได้ ผู้ใดป่วยหนักแม้แทบจะสิ้นชีวิต หากได้รับประทานอาจินดามณีแล้ว
ก็จักรอดตายฟื้นหายจากโรคนั้นสำหรับวิธีการใช้ยาขอยกเอามาเพียงบางส่วนดังนี้

ถ้าใช้รักษาอหิวาตกโรคให้เอายอดทับทิมต้มผสมกับกานพลูและน้ำปูนใส แล้วฝนเม็ดยาใส่ลงไป
ดื่มรับประทานหายจากโรคแล

แก้โรคเสมหะดีขึ้น(คนป่วยถ้าเสมหะตีขึ้นแล้ว มักจะไม่รอด) ให้ใช้ดีหมีผสมน้ำร้อน แล้วใส่ยาจินดามณี
ผสมลงไปรับประทาน

ถ้าเกิดคดีความขึ้นโรงขึ้นศาล ให้เอายาใส่น้ำเสกด้วย "เอกัง จินดามณีมันตัง" เป็นเมตตามหานิยม
แล้วเอาน้ำประพรมศรีษะ เอาเม็ดยาอมไว้ตลอดเวลา จะชนะความทั้งสิ้นแล

หากจะให้ปัญญาดี ให้เสกด้วยพระคาถาต่อไปนี้ ๓ คาบ
"ตะโตโส ปัณฑิโต ปิหิโส อัตถะ ทัสสีมะโหสะ โถ" แล้วอมยาจะท่องมนต์คาถาสารพัดวิชา จำได้สิ้น
ที่หลงลืมก็จะระลึกได้อุปเท่ห์การใช้ผงยาจินดามณี ของวัดกลางบางแก้วนี้ยังมีอีกมาก เอาไว้กล่าวถึงใน
บทเฉพาะเกี่ยวกับพระคาถาอาคมของหลวงปู่บุญ

สิทธิการิยะ จะกล่าวถึงสรรพคุณวิเศษของยาจินดามณี ตำหรับวัดปากคลองบางครก (อันที่จริง
ก็ตำรับเดียวกันนั่นแหละครับ เพียงแต่แตกแยกออกไปเท่านั้น)

แก้โรคในจักษุ ๖ แก้ในจมูก ๓ ประการในลิ้น ๖ ประการ ในฟันในท้อง ๔ ประการ แก้ไขบั้นปลาย
ก็ได้แก้ลมมหาสดมภ์ แก้ลมราชยักษ์กุมภัณฑ์ยักษ์ แก้อ่อนเปลี้ยเพลียใจ คลื่นไส้เอาเจียรเป็นยาครรภ์
รักษา แก้หัวพิษ หัวกาฬ ละลอกน้ำ ละลอกไฟ

ผิวเป็นอัมพฤก อัมพาต ตายไปทั้งตัวก็ดีฝ่ายซ้ายขวาก็ดี ตีนมือ คาง ขากรรไกร ก็ดีหาสมประดี
ไม่ได้ไซร้ ให้เอาหญ้าฝรั่ง พิมเสนทองคำ บดด้วยยาละลายกรองลงไปได้สติลืมตามีน้ำตาไหล น้ำลายยืด
แล้วหายแล ถ้าคนไข้บีบมือเหมือนจะออกคำ แต่ออกมิได้ให้เอาดีหมีก็ได้ถ้าไม่มีดีงูก็ได้ ต้มน้ำให้ละลาย
ประมาณครึ่งถ้วยพริก ใส่เหล้าครึ่งให้กินเถิดถึงเสลดหางวัวตีขึ้นก็จับกลับหาย หายมากแล้ว

ถ้าผู้บ่าวสาว ชักดิ้นงักงอ หมดสติตีนมือเกร็ง มีมายาต่างๆ เหมือนผีสิงก็ดีกัดฟันหน้าเบี้ยว ให้เอาพิมเสน
มาบดด้วยยาใส่ฝิ่นรำหัส ให้ต้มน้ำขิงทุบ เอาน้ำอุ่นเยี่ยวหนูให้กิน ถ้ามิฟังให้เอาหัวหอม ๓-๔ หัวตำ คั้นน้ำ
บดยาให้กิน แก้กำหนัดกามราคะขึ้น เป็นลมเบื้อนสูงสงบและเลือดระดูทำพิษให้เอาเสนียด คำฝอยต้ม

แก้สวิงสวาย หน้ามืดตาลาย กระวนกระวายเป็นทุกข์ระส่ำทรวง หัวใจเต้นดังตีปลาเหงื่อกาฬแตก
บดยาใส่น้ำดอกไม้สด น้ำมะลิ บังหลวง กระดังงาก็ได้ ทั้งกินทั้งดมหายใจแลแก้ร้อนใน น้ำดอกไม้เทศ
แก้ทราง ละลายน้ำพ่น ชะโลมตัวหายแล

แก้เลือดตก น้ำมะขามเปียกครึ่งชามแกงแซกเหลือตัวผู้ แก้ลมบ้าหมู น้ำมะนาว แก้ไอมะนาวแทรกเกลือ

ตกลงป่วง ลงราก โรคห่า ละลายน้ำยา ด้วยน้ำฝนกินให้อิ่มหายพลัน ถ้ามิฟังเอาเปลือกมะม่วง ๓
เปลือก ต้มใส่ปูนน้อยหนึ่ง ต้ม ๓ เอา ๑ ละลายกินเถิดหาย

แก้บิดมูกเลือด ขมิ้นข้น ๓ แว่น ทายาฝิ่นหรือขี้ยากรอบงโรยลงปิ้งไฟเกรียม บดด้วยน้ำปูนใสใส่ยา
๑ เม็ดกิน ๓ ที หายดีนัก แก้จุกเสียดแน่นเฟ้อใช้น้ำขิงต้ม

แก้โรค อุปทม ทุเลาวสา มุตกิต มุตฆาต ยักน้ำกระสายธาตุ ๔ ต้ม ให้ถ่ายใช้เกลือหนัก ๑ ชั่ง
ธาตุหนักก็เพิ่มขึ้น ใบมะขามต้มเป็นกระสาย

องคชาติปวดแสบในลำปัสสาวะ เมื่อปัสสาวะเป็นกำลังบานไม่รู้โรยขาว ทั้งห้าต้นแทรกสารส้ม
รำหัสละลายยากินเถิดหาย มักหนักถ่วงท้องน้อย บางครั้งมีแน่นให้เอาใบมะดัน ๙ ใบลงด้วยนวหรคุณต้ม
แทรกสารส้มกินหาย เมื่อทุเลาแล้วแต่งยาชื่อกษัยองคสุตรกินเสียหายแล

แก้หัวพิษ หัวกาฬ หัวละลอก ใช้น้ำครำฝนยาทาใช้น้ำขี้เถ้าดินเผาไฟก็ได้ใบมหากาฬตำก็ได้

แก้บาดทะยัก เอาผักปราบตำใส่ปูน น้ำมะนาวบีบลงในยานี้ทาหาย ถ้าชักกระตุกแล้วให้รีบทาเถิด
ยักยาอื่นตายแล

อนึ่งทารกแรกเกิด ให้เอายาฝนกับน้ำผึ้งรวงแล้วหยอดให้ทารกนั้นกิน ๓ วันแรกเสียงจะดีนักแล
เลี้ยงง่ายปัญญาดีแล

ถ้าให้มีปัญญาพาที ให้เสกด้วยพระคาถานี้ ๓ จบ แล้วอมยาไว้จะเล่าบ่นมนต์คาถาสารพัดวิชาจำได้สิ้น
ที่เลือกลืมหลงก็นจะรำลึกได้แล

ให้เสกด้วยมนต์มหาจินดาติดตัวไปเป็นเสน่ห์บังเกิดลาภผลที่ตนปรารถนาแล

ให้เสกด้วย พัสสมิงกิเนนโตฯ สู้ความชนะ

ให้เสกด้วย เอกจินดา มณีมนตํ ติดตนไปเป็นมหานิยมภาวนา อุอากะสะ ทำการไร่นามิเหนื่อยแล

ให้ภาวนาด้วยบท ยันทุนนิมิตตัง จบหนึ่งเอายาติดตัวไว้กลัวลางนิมิตร้ายแล

อมยาแล้วนั่งเหนือลมภาวนา อิตถีจิตตํ ปิยํ มะมะ รักและหลงเรา จากไปมิได้แล

เมื่อจะเดินทางไปสารทิศ เข้าหายเจ้านายผู้ใหญ่ ใช้ยานี้แช่น้ำใช้น้ำนั้นสระหัวอมยา แล้วภาวนา
สัตถาเทวมนุสสานัง พุทโธ ภควาติ ๗ คาบผู้ใหญ่ เจ้านายหายโกรธ ช่วยเหลือเราทุกทางเลย

ถ้าเผชิญด้วยหมู่ศัตรูหมู่ร้าย ให้อมยาแล้วภาวนาพามานา อุกะสะนะทุ ๘ คาบ ชนะศัตรู ศัตรูทำร้าย
มิได้ แคล้วคลาดสารพัดแล

เอายาติดตัวไปป้องกันสรรพโรคภ้ย ป้องกันเสนียดจัญไร กันย่ำยีด้วยคุณไสย คุณผี คุณคน สารพัด
พิษ ผิดสำแดง เมื่อต้องยาเบื่อมา เอารากมะปรางหนึ่ง หัวนุมานกระทบแท่งหนึ่ง ฝนทำน้ำกระสาย หรือ
เอาแต่อย่างหนึ่งก็ได้กินเถิดมิเป็นไรอย่าประมาทเลย เคยแก้ยาสั่งมาแล้ว ถ้าติดตัวไปมิต้องเราแล

ให้มีติดตัวถึงราวอับจนจะได้ใช้ ตามืด หูมืด ใช้ได้ทุกเมื่อ มีอำนาจวิเศษคุณมากตีค่าไว้ถึง ๘ ชั่งทองแล

ที่ต้องเอาเกล็ดและฝอยของยาจินดามณีหรือยาวาสนาตำรับวัดปากคลองบางครก อ.บ้านแหลม
จ.เพชรบุรี มาลงไว้เสียยืดยาว ก็เพราะว่าต้องการให้ผู้อ่านเทียบเคียงกันดูว่าทั้งตัวยาและอุปเท่ห์การใช้นั้น
มีส่วนเหมือนและคล้ายคลึงกันมากซึ่งก็ไม่ใช้เรื่องแปลก เพราะสูตรดั่งเดิมของการสร้างยาจินดามณีนั้น
เป็นศัตรูเก่าแก่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เพียงแต่แตกสาขาออกไปหลายสาย โดยเฉพาะสายวัดกลางบางแก้วนั้น
ได้สืบทอดมาแต่ท่านเจ้าคุณวัดราชนัดดาที่มามีชื่อเสียงแพร่หลายกว่าสายอื่นนั้น ก็คงเนื่องจากตบะบารมี
ของหลวงปู่บุญท่านสูงส่งและแก่กล้ากว่าเท่านั้นเอง แต่ก็ใช้ว่าสูตรยาจินดามณีของสำนักอื่นไม่มีหรือมี
แต่จะด้อยสรรพคุณกว่าก็หาไม่ เพราะอันพระเถราจารย์เจ้าในยุคเก่าๆ นั้น ท่านเชี่ยวชาญเข้มขลังไม่แพ้กัน
หรอกครับ แต่ละท่านต่างก็ยกย่องซึ่งกันและกัน แต่มาชั้นหลังรุ่นพวกเราเหล่าลูกศิษย์ชักจะมีคติถือครูบา
อาจารย์ถือสำนัก แบ่งพรรคแบ่งพวกกันเสียแล้ว ผู้เขียนไม่เห็นด้วยเลยครับ อย่างไรเสียก็ควรจะช่วยกัน
รักและอนุรักษ์ของเก่าแก่ดั่งเดิมเอาไว้เถอะครับ แม้จะต่างวัด ต่างสำนักกันก็อย่าได้มองข้ามหรือดูแคลน
กันนักเลย
 พระคาถาเสกยาจินดามณี

"จินดามณี ปิยังมันตัง ยะสังธาสังโกนัง อุปะสันติ สิเนหัง มาตาปิตาวะ โอระหัง ปะโพตันจะ
มหาราชา ตะวังมังโปสัตถุ โนทีปัง กาเรเทโว สุโป เสทิ กิญจิ เทโว เย สักโก ปัชชัง ทัสมิง กินเนวา
ทัตตาปิยัง กันตัง สาริปุตโต ภวันตุ เม สิทธิลาภัง ชนานะเย มณีจินดา ปิยัง จะ ธะนังสัพเพชะนา
พหูชะนา ปิยังมะมะ"

มนต์จินดาบทนี้มีคุณเป็นเอนกประการ ขอให้ผู้มีเม็ดยาหรือพระยาจินดามณี หมั่นท่องบนภาวนาเป็นประจำ
จะช่วยเสริมอิทธิฤทธิ์และบุญฤทธิ์ของยาให้บังเกิดสรรพคุณเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ แต่หากท่านยังไม่มีเม็ดยา
หรือพระยาจินดามณี ถ้าจะจดจำเอาไว้สวดภาวนาอยู่เป็นนิจก็ไม่ถือว่าเป็นความผิด พุทธคุณนั้นมากหลาย
โดยจะขอจำแนกแจกแจงตามวิธีใช้ดังต่อไปนี้

ขอทบทวนบทที่เขียนไปแล้ว ๒ บทด้วยคือ

ถ้าเกิดคดีความขึ้นโรงขึ้นศาล ให้เอายาใส่น้ำเสกด้วย "เอกัง จินตามณีมันตัง" เป็นเมตตามหานิยม แล้ว
เอาน้ำปะพรมศรีษะ แล้วอมเม็ดยาไว้ตลอดเวลาจะชนะความสิ้นแล และเป็นเมตตามหานิยมแก่คนทั้งปวง

ถ้าให้ปัญญาดีเสกด้วยคาถาบทนี้ ๓ จบ "ตะโต โส ปัณฑิโต ปีหิโส อัตถะทัสสิ มะโหสะโถ" แล้วอมยา
จะท่องบ่นมนต์คาถาสารพัดวิชาจำได้สิ้นที่หลงลืมก็จะรำลึกได้

ถ้าป้องกันงูและสัตว์พิษ ให้ท่องมนต์บทนี้ "เอกัง จินตามณี นาคา มันตัง" งูทุกชนิเจะไม่อาจทำอันตรายได้

ถ้าอยากจะให้ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในการงานท่านให้ภาวนามนต์ต่อไปนี้ "อุ อา กะ สะ"

ถ้าต้องการให้เหตุร้ายกลายเป็นดี ท่านให้ภาวนามนต์ต่อไปนี้ ให้ภาวนาด้วยบท
"ยันทุนนิมิตตัง อวมังคะลัญจะ"

ถ้าอยากให้คนรัก รักเราเป็นนิรันดร์ท่านให้อมเม็ดยาเอาไว้ แล้วนั่งเหนือลมภาวนามนต์
"อิตถี จิตตัง ปิยัง มะมะ"

เมื่อจะเดินทางไปสารทิศใด เข้าหาเจ้านาย ผู้ใหญ่ ให้เอายาแช่น้ำ ใช้น้ำนั้นสระผม อมเม็ดยา ไว้แล้ว
ภาวนา "สัตถา เทวะมนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ" ๗ คาบ ผู้ใหญ่เจ้านายหายโกรธ ช่วยเหลือเราทุกเมื่อ

ถ้าเผชิญศัตรูหมู่ปัจจามิตร ท่านให้อมเม็ดยาแล้วภาวนาว่า "พามานา อุ กะ สะ นะ ทุ" ๘ คาบ ชนะศัตรู
ศัตรูทำร้ายเรามิได้ แคล้วคลาดสารพัดแล

1305
เพื่อ เป็นการเผยแพร่เกียรติคุณ ของหลวงพ่อ ขอขอบคุณ คุณเขี้ยวเพชร

http://img120.imageshack.us/img120/826/pic69862as1.jpg
http://img157.imageshack.us/img157/6417/anspic466272ag3.jpg
http://img134.imageshack.us/img134/2574/anspic466312yb0.jpg
http://img244.imageshack.us/img244/3716/anspic466341bp8.jpg
http://img291.imageshack.us/img291/3010/anspic466342ml6.jpg

1306
หลวงพี่ญา ท่านสนิทกับ หลวงพี่หนุ่ม วัดบางแวก ผู้สืบทอดวิชาฝังเข็ม ทองคะนองเดช จากอาจารย์ประคอง
ผู้เป็นศิษย หลวงพ่อพิมพ์มาลัย วัดหุบมะกร่ำ หนองโพ ราชบุรี ท่านคงจะได้รับการถ่ายทอดวิชามา ถา้สังเกตุดีๆ บนกุฎีหลวงพี่ญา
ด้านอาจารย์นัน จะมีรูปหลวงพ่อพิมพ์มาลัย (วัดบางแวกใกล้กับวัดนก หลวงพี่ญาบ้านอยู่ข้างวัดนกครับ)                                               ์

1307
ลองถาม หลวงพี่ญา ดูว่ามีหรือไม่

1308
กุมารทอง รุ่นนี้ จะเป็นรุ่นเดียวกับที่ หลวงพี่ญา บอกว่าเหี้ยน หรือเปล่าไม่ทราบ นะหลาน เปียกปูน
แต่รุ่นนี้ สร้างเป็นทางการ เข้าใจว่าเป็นรุ่นเดียว หลวงพ่อปลุกเสก พร้อม สมเด็จพระแก้วมรกต
หลังยันต์หอมเชียง รูปหล่อ เสือโลหะขนาดบูชา หลวงพ่ออธิฐานจิตปลุกเสก 9 วัน ตั้งแต่วันที่ 25
กรกฎาคม ถึง 2 สิงหาคม 2544

1309
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: ขอถาม
« เมื่อ: 24 พ.ย. 2549, 05:16:20 »
ที่วัดกลางบางพระ มีศาลเจ้าพ่อเสือ ตั้งอยู่ ตรงข้าม กุฏิที่เก็บสังขาร หลวงพ่อพุฒ ถ้าอย่างไร ลองไปสอบถามดู(วัดกลางบางพระถึงก่อนวัดบางพระ นิดเดียว)

1310
ด้านบน

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1311
ด้านล่าง

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1312
น่ารักไหม

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1313
กุมารทอง อุ้มทรัพย์ รุ่น มหามงคล 79 สร้างเมื่อ 12สิงหาคม 2544
คาถาบูชา นะโม 3 จบ กุมาโรมา มะมะ เอหิจิตตัง ปิยังมะมะ โสกุมาโร นะโมพุทธายะ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1314
ขอย้อนรอย หน่อย เดี่ยวจะลืมกัน    ตะกรุดยันต์ยันต์หอมเชียง (พระพุทธ ๑๐๘)      เนื้อดีบุก อุดเทียนชัย สร้างปี44 ปลุกเสกในพีธีไหว้ครู ปีมะเส็ง
  ตะกรุดยันต์หอมเชียงที่จัดสร้างในครั้งนั้น มีเนื้อทองคำเลี่ยมทอง ถ้าจำไม่ผิดสร้าง99ดอก เนื้อดีบุกถักเชือกไนล่อนสีเขียวหัวท้ายตะกรุด และแบบไม่ถักเชือก อุดเทียนชัย
มีดอกใหญ่ขนาดประมาณ2นิ้วครึ่ง และดอกเล็กขนาดประมาณ1นิ้ว ครั้งแรกและครั้งเดียวที่หลวงพ่อเปิ่นอนูญาติให้ใช้ยันต์หอมเชียง จัดสร้างเป็นวัตถุมงคล
ยันต์หอมเชียงนี้เป็นยันต์เก่าแก่และเป็นยันต์ชั้นสูงและเป็นยันต์ที่ดีมากยันต์หนึ่ง ของ วัดบางพระ ยันต์นี้ถ้านำมาสัก จะใช้เวลานานมาก ประมาณ 1ชั่วโมง


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1315
สอบถามรายละเอียด วัดถุมงคลของหลวงพ่อ ที่วัดนก ติดต่อ คุณสมุทร วัดนก โทร 02-410-7849

1316
สักลายนายขนมต้ม ของวัดบางพระไม่เคยเห็นแต่เคยเห็นข่าวทีวี เมื่อประมาณปีที่แล้ว รู้สึกว่าจะเป็น ไอทีวี มีอาจารย์สักแถว จังหวัดประจวบคีรีขันต์ สักยันต์นายขนมต้ม สักไปลูกศิษย์ก็ของขึ้นกันไป ขึ้นนายขนมต้ม ประมาณ 5-6 คน ชกต่อยกันนัวเลย พวกคุณชอบกันอย่างนั้นหรือ

1317
ตกไปนิดหนึ่ง การพัฒนานี้ ใช้เวลาประมาณ 1 ปี กว่านิดเดียวเอง

1318
ผมว่า หลวงพ่อสำอางค์ เจ้าอาวาส องค์ปัจจุบัน ได้พัฒนาวัดบางพระ ของพวกเราให้เจริญก้าวหน้า โดยการสร้างถาวรวัตถุหลายอย่าง เช่น
       1) ซ่อมแซม ปฏิสังขร อุโบสถ์ หลังเก่าสมัยกรุงศรีฯ ให้คงทนถาวร ไม่ให้เสือมสลายตามกาลเวลา
       2) ปรับปรุงภูมิทัศน์ บริเวณเขื่อนริมน้ำ และปลูกต้นไม้สวยงาม
       3) ปรับปรุงพระสิวลี
       4) สร้างที่สักการะ พระโพธิสัตว์กวนอิม ให้สวยงาม
       5) สร้างมุขหรือมณฑป สำหรับ รูปหล่อหลวงพ่อเปิ่นขี่เสือ ให้สวยงาม
       6) บูรณะระฆังยักษ์ สมัยหลวงพ่อเปิ่นเททอง ให้แล้วเสร็จ
       7) สร้างฆ้องยักษ์ และได้นำขึ้นแขวนในซุ้ม รูปราหู
       8) สร้างรูปเหมื่อน องค์ใหญ่ หน้าลานวัด เป็นต้น
ผมว่าวัดของเราพัฒนาไปจริงๆ
          ขอขอบคุณ คุณFOX ที่ได้โพสท์รูปไว้ :054:

1319
สักลักษณะนี้ ต้องอาจารย์หนู กันภัย ปทุมธานี

1320
วัวธนู ควายธนู ต้องวัดข้างบ้านอีกแล้ว หลวงพ่อพุฒ วัดกลางบางพระ เขาเก่งเรื่องนี้ ( มีหลวงปู่หิ่ม อินทโชโต เป็นอาจารย์ และเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์กับหลวงพ่อเปิ่น ของเรา)

1321
ไปขอหลวงพี่ติ่ง ลง พญาเต่าเลือน ท่านบอกว่าไม่มีพิมพ์ อดครับ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1322
เหรียญรุ่นนี้ มีเก็บไว้ในกรุจำนวนมาก อยากรู้กรุอยู่ไหนลองคุยกับหลวงพี่ญา ท่านอาจจะบอก เพราะท่านเก็บกับมือ

1323
วันครอบครูไม่ว่าง ก็ไม่เป็นไร ไปวันไหว้ครูที่ 3 มีนาคม ก็ได้ หลังทำพิธีไหว้ครู ที่กุฎีที่มีการสัก จะทำพิธีครอบครูให้ลูกศิษย์ เช่น หลวงพี่ติ่ง หลวงพี่ต้อย หลวงพี่สมชาย แต่ต้องรอนานหน่อย เพราะคนเยอะ

1324
เบี้ยแก้สูตรนี้ ต้อง วัดข้างบ้าน หลวงพ่อเจือ วัดกลางบางแก้ว ทำบุญประมาณ 450 บาท อีกวัด วัดกลางคูเวียง หลวงพ่อเชิญ ทำบุญประมาณ 600 บาท สูตร หลวงปู่บุญ แนน่นอน และอย่าลืม เบี้ยแก้ สูตรวัดบางพระ ของหลวงพ่อของเรา ได้ข่าวว่า ผสมผงพุทธคุณ+แร่เหล็กไหล ทำบุญ 200 บาท เท่านั้นเอง

1325
ทดสอบ ตาม ลิงค์  http://img240.imageshack.us/img240/7449/3268ro7.jpg

1326
ใช้มีดพร้ากรีดหลัง ผู้มารับตะกรุด

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1328
วัดเจดีย์แดง

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1329
วิชาอาคม ไสยศาสตร์ นั้นมีจริง วิชาคงกระพันชาตรี แม้ในปัจจุบันฏ้ยังหลงเหลือให้เห็นอยู่บาง ดังภาพ ต่อไปนี้ แม้ว่าจะไม่ใช่ ของวัดบางพระ แต่ว่าเป็นการยืนยันว่ามีอยู่จริง

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1330
หนุมาน ตัวที่ 9 แรงสุด เป็นจ้าวแห่งหนุมาน แต่ต้องไปสักกับ หลวงพ่อแล วัดพระทรง เพชรบุรี นะครับ วัดบางพระเราไม่มี ตัวที่ 9

1331
หลานเปียกปูน หายไปไหนมาหลายวัน ไม่มีข้อมูลอ่านเลย

1332
สิ่งที่รู้ก็รู้เฉพาะตน ทำดีแล้วย่อมได้ดี ครูบาอาจารย์ย่อมสูงเหนือสิ่งใด ต่างคนต่างกิจกรรมขอให้ดำเนินการไปในทางที่ดี สิ่งให้ดีแล้วขอให้ดียิ่งๆขึ้น สิ่งไหนที่ยังไม่ดีขอให้ดียิ่งขึ้น ทุกอย่างเป็นไปตามวิถีของมัน

1333
ขอให้ดวงวิญญาณของหลวงพ่อ ไปอยู่ชั้นพรหมเถิด

1334
23 ต.ค. มีงานกฐินวัดบางพระ หลานเอ๋ย

1335
ไม่รู้เหรอ หลวงพี่ติ่ง มือหนักยิ่งกว่าเขาทรายอีก แต่ผมชอบ

1336
มวยแทนมาแล้ว

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1337
อาจารย์ อีกรูปหนึ่งที่ หลวงพี่ญา เคารพนับถือ

1338
ไม่ทราบใครอยู่ใกล้วัด ช่วยตอบหน่อย  วันแข่งขันเรือยาวประเพณี ชิงถ้วยพระราชทาน วัดบางพระมีแข่งวันไหน :010:

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

1339
ไหว้ครูหลวงพ่อ วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม 2550

1340
ปัจจุบันนี้อะไรๆก็เปลี่ยนไป สังคมก็เปลี่ยนไป จิตใจมนุษย์ก็เปลี่ยนตาม
แต่สิ่งหนึ่งที่มิเคยเปลี่ยนคือคำว่าศิษย์กับอาจารย์
วันนี้ตัวผู้เขียนเองได้นั่งนึกย้อนไปถึงเรื่องราวต่างๆนานาที่ผ่านเข้ามาในชีวิตในการเป็นนักข่าวผ่านสงครามทั้งในและนอกประเทศมามากมายหลายสนามรบ
ก็มีเพียงรอยสักยันต์และพระเครื่องของหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อยุธยา
เป็นเครื่องเตือนใจเสมอมา
สมัยก่อนเมื่อ50ปีที่แล้วพระเกจิที่ขึ้นชื่อลือชาก็มีไม่กี่ท่าน
แบ่งเป็นตามภูมิภาค ภาคเหนือก็หลวงปู่แหวน ครูบาศรีวิชัย
ภาคกลางก็อาจเป็นสายลุ่มแม่น้ำนครชัยศรี หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม หลวงพ่อเพิ่ม
วัดกลางบางแก้ว หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ
ภาคใต้ก็มีหลายท่านไม่จะเป็นสายเข้าอ้อ สายหลวงปู่ทวด(อาจารย์ทิม อาจารย์นอง)
สายอีสานก็มีมากมายนับไม่ถ้วนเรียกได้ว่าทุกภาคมีเพชรเม็ดงามกันทุกที่แตกต่างกันไป
หลังจากสิ้นบุญหลวพ่อจง ผมก็ไปพึ่งหลวงพ่อสุด วัดกาหลง
ที่ตี๋ใหญ่เคยไปพึ่งบารมีแต่ผมไม่เคยเห็นตี๋ใหญ่เลย
เคยไปเฝ้าทำข่าวก็ล้มเหลวทุกครั้ง เคยถามหลวงพ่อท่านว่าตี๋ใหญ่มีอะไรดี
ท่านตอบผมว่า มันไม่มีอะไรดีหรอก ของที่มันได้ก็เหมือนที่ข้าให้เองนั้นแหละ
แต่ที่มันอาจจะมีมากกว่าใครๆก็คือความเชื่อ มัรเชื่อในครูบาอาจารย์มาก
วิชาที่มันร่ำเรียนก็หัดท่องจำเอาจนขึ้นใจหมั่นฝึกบ่อยๆก็เก่งเองก็เหมือนมีดที่ได้รับการลับอยู่บ่อยๆเพียงแต่มันใช้มีดไปในทางที่ผิดไปปล้นจี้เขา
กรรมมันเลยตามทัน ก็คงเป็นที่ประจักษ์กันอยู่แล้วว่าตี๋ใหญ่เสียชีวิตอย่างไร
ก็เพราะตี๋ใหญ่เองกลับมาหาหลวงพ่อสุด
เพื่อมาขอของดีที่ทำหลุดหายไปเมื่อหนีตำรวจครั้งสุดท้าย
แต่หลวงพ่อท่านรู้ล่วงหน้าว่าต้องมาขอของอีกท่านกลัวว่ามันจไม่จบไม่สิ้น
เพราะความเป็นพระเจ้าคนมาขอความช่วยเหลือยังไงก็ต้องช่วย
ก็คงเหมือนหลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระเพชรเม็ดง
มอีกเม็ดหนึ่งที่ใครมาขอให้ท่านสักยันต์ในสมัยก่อน ก็สักให้ทุกรายไป
จนเกิดเรื่องการลองของกันจนตาย (จะเล่ารายละเอียดในช่วงหน้า)
กลับมาเรื่องตี๋ใหญ่อีกครั้งหนึ่ง
เมือมาหาหลวงพ่อไม่พบตี๋ใหญ่จึงออกจากวัดไปโดยไม่เหลียวใจว่าจะเกิดเรื่องแต่ตัวหลวงพ่อท่านรู้อยู่แล้วว่ากรรมของมันตามมาเอาคืนแล้ว
ตำรวจได้ซุ่มดักรออยู่แล้วจากการให้เบาะแสของลูกน้องตี๋ใหญ่คนหนึ่ง
การยิงตอบโต้กันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับจอมโจรชื่อดังได้เกิดขึ้นตัวผู้เขียนเองเสียดายที่ไม่ได้เก็บภาพไว้ทันเพราะกว่าจะรู้ข่าวก็จบเรื่องเสีย
เพราะสมัยนั้นไม่มีมือถือเทคโนโลยีที่ทันสมัย
พอไปถึงที่เกิดเหตุก็ได้ไปสอบถามจากชาวบ้านได้ความว่าตัวตี๋ใหญ่เอวมิได้เกรงกลัวตำรวจเลยกลับยิงตอบโต้เหมือนจะรู้ว่าวันนี้เป็นวันตัดสินชะตาตัวเอง
กระสุนปลิวไปปลิวมายังกับสงครามย่อยๆแต่ไม่มีลูกใดเลยที่ถูกตัวตี๋ใหญ่
จนเวลาผ่านไปพอสมควรเหตุการณ์ทุกอย่างก็ปิดฉากลง สิ้นสุดตำนานอันลือลั่น
จอมโจรจอมขมังเวทย์ ยุคนั่นเลยเป็นยุคที่นักเลงหัวไม้ทั้งน้อยใหญ่
มือปืนทั่วสารทิศ วิ่งเข้าหาหลวงพ่อสุด วัดกาหลง เป็นแถว
ท่านจึงตัดสิ้นใจเลิกสักยันต์ คงเหลือไว้เพียงวัดถุมงคล เพียงน้อยชิ้น
เพราะแม้แต่วัตถุมงคลของท่าน
ตัวท่านเองก็มิอยากสร้างเพราะกลัวคนจะนำไปใช่ในทางที่ผิด
ส่วนใหญ่ที่เราเห็นๆกันศิษย์สร้างให้ทั้งนั้น
ตัวผู้เขียนอยู่รับใช้ท่านจนวาระสุดท้าย
หลังจากนั้นตัวผู้เขียนเองก็ได้ไปพบกับหลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ
ไม่ใช่จากใครที่ไหนหรอก แต่เป็นข่าวดังบนหน้าหนังสือพิมพ์ในสมัยนั้น
พาดหัวข่าว "กลุ่มวัยรุ่นคึกคนองลองของกันกลางทุ่ง เสียบดับสวนทวารคาที่ "
เหตูเกิดเพราะได้มีวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งย่านบางพระ นั่งดื่มสุรากัน
เกิดคุยโวโอ้อวดถึงอาจารย์ที่ตัวเองไปสักยันต์ว่าเหนียวแค่ไหน
วัยรุ่นอีกคนก็ไปสักกับอีกอาจารย์หนึ่งมาย่านนั้นก็เกิดความหมั่นไส้
เมื่อโดนท้าเข้ามากๆก็เกิดการลองของขึ้นมา
หยิบขวดเหล้าทำปากฉลามแทงไปที่หน้าอกเต็มแรงเสือขาดกระจุยเห็นลายเสือเผ่นอันโด่งดัง
เมื่อเจ้าตัวก่อเหตุได้ใจว่าตัวเองหนังเหนียวเลยท้าขึ้นอีก
ความโกรธทวีความรุนแรงขึ้น
ชักมีกฟันหญ้ายาวศอกว่าฟันไปที่หลังล้มลงตามแรงมืองานนี้คาดว่าไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต
เจ้าตัวดียังลุกขึ้นมามองหน้ากวนประสาทล้อเลียน ถึงครูบาอาจารย์ฝั่งตรงข้าม
เอาละสิเล่นถึงครูใครจะยอม พวกล่อไม้ไผ่ด้ามแหลม ดึงแขนขาเสียบสวนทวาร
***ตัวร้ายร้องลั่นทุ่งด้วยความเจ็บปวด เลือดพุ่งกระจายไปทั่ว
จบตำนานสยอง***หนุ่มหน้ามนคนชอบลองของ จะสมน้ำหน้าก็กระไรอยู่คนตายไปแล้ว
คนสักยันต์หรือคนมีครูอย่างเราๆเขาไม่ทำกันอย่างนี้หรอกมันเป็นการดูถูกครูบาอาจารย์
เรื่องยังไม่จบแค่นั่นเดือดร้อนถึงหลวงพ่อเปิ่น
ซึ่ง***ตัวการหนังเหนียวเรื่องนี้เป็นบุคคลที่มาสักยันต์กับท่าน
ผู้เขียนเองไม่อยากใช้คำว่าศิษย์กับบุคคลประเภทนี้
ทางตำรวจได้มาขอร้องว่าให้หลวงพ่อเลิกทำการสักยันต์เพราะคนที่รับการสักยันต์บางบุคคลได้ไปทำการผิดกฎหมาย
เกเร หลวงพ่อท่านตอนแรกก็ยังมิได้ตัดสินใจเลิก เพียงแต่ตอบไปว่า
ศิษย์ของท่านมีมามายนับไม่ถ้วนมิสามารถควบคุมได้ทุกคน
และคนที่มาสักยันต์เขามาขอความช่วยเหลือ
ความเป็นพระจะปฎิเสธยังไงละ...เพียงไม่นานก็มีพระผู้ใหญ่มาบีบท่านให้เลิก
ก็เลยปิดตำนานเข็มสักอันลือลั่นของลุ่มแม่น้ำนครชัยศรีคลเหลือเพียงแต่พระลูกวัดที่คอยเป็นลูกมือท่านช่วยสักยันต์ให้และให้ท่านคอยเป่ากำกับอีกครั้งหนึ่ง

ตัวผู้เขียนได้เข้าไปหาท่านก็ตอนท่านเลิกสักยันต์แล้วตอนนั้นก็มีท่านเจ้าสัวชื่อดังของภูเก็ตทราบข่าวความดังของหลวงพ่อท่าน
เข้าไปหาพร้อมๆกับตัวผู้เขียนเองท่านคือดร.ไมตรี บุญสูง
คนวงการพระเครื่องและคนภาคใต้รู้จักท่านดี
ดร.ไมตรีท่านผู้นี้แหละศิษย์ฆราวาสแถวหน้าอีกท่านในสายเขาอ้อ
เป็นลูกศิษย์อาจารย์ชุม ไชยคีรีผู้โด่งดังจากผู้ร่วมสร้างพระเสด็จกลับ
ท่านดร.ไมตรีได้มาขอสักยันต์กับหลวงพ่อเปิ่น
แต่น่าเสียดายท่านได้ออกวาจาไปแล้วว่าวางเข็มไม่สักให้ผู้ใดแล้ว
ท่านดร.ได้แต่เก็บความต้องการไว้ในใจตลอดมาจนวัหนึ่งหลวงพ่อท่านเห็นความตั้งใจอันแน่วแน่
จึงรับดร.ไมตรีเป็นลูกบุญธรรม และทำการสักยันต์สร้อยสังวาลย์ให้
นับว่าเป็นรอยสักสุดท้ายของตำนานเสือเผ่นอันโด่งดัง
ซึ่งการรับดร.ไมตรท่านเป็นลูกบุญธรรมนั่นเป็นการไม่ผิดสัจจะแต่อย่างใดเพราะท่านเอยวาจาว่าจะไม่สักยันต์ให้ศิษยืคนใดแต่ดร.ไมตรีเป็นลูกก็ไม่ได้ผิดข้อตกลงอันใด
เป็นความอันชาญฉลาดของหลวงพ่อท่านที่สามารถแก้ปัญหาไปได้
ตัวผู้เขียนเองก็พยายามขอร่วมแจมด้วยแต่บารมีไม่ถึงเลยได้แค่ลายสักยันต์ของอาจารย์ญาไป
แต่ท่านก็เมตตาเป่ากำกับให้ทุกครั้ง
ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าถึงจะไม่ได้รับการสักยันต์จากท่านแต่ถ้าเราระลึกถึงและมีจิตศรัทธา
ก็เหมือนกัน ตัวผู้เขียนได้ทำการสักเสือเผ่นไว้ที่หน้าอก มีเก้ายอดแปคทิศ
ตบท้ายด้วยหมูทองแดง
ประสบการณ์ที่เกี่ยวกับการสักยันต์ของท่านนั้นก็มากมายเหลือเกินแต่ครั้งที่จำได้เสมอไม่เคยลืม
พึงเข้าใจว่าของแรงเป็นอย่างนี้เอง
ก็ตอนที่ตัวผู้เขียนถูกลูกหลงจากการทำข่าวพฤษภาทมิฬ
คนที่อยู่ในเหตุการณืวันนั้นคงทราบโดยเฉพาะนักข่าวอย่างเราๆ เป็นตายเท่ากัน
กระสุนโดนเข้าเต็มอก ไม่ใช่ดอกเล็กๆนะ เอ็ม16เม็ดเท่าดินสอแท่งใหญ่
ตัวกระเด็นไปไกลมากคิดว่าไม่รอดแน่แล้ว วันนั้นพระติดตัวก็มีแค่หลวงพ่อจง
หลวงพ่อสุด หลวงพ่อเปิ่น และลายสักยันต์หลวงพ่อเปิ่น
เพื่อนร่วมชะตากรรมเล่าให้ฟังว่า ตัวผู้เขียนไม่ได้แค่โดนนัดเดียว
เพราะดูจากกระเป๋ากล้ง และเสื้อกั๊กที่ใส่รูไม่ต่ำกว่าห้านัด
เห็นกระเด็นไปไกลมากไม่นึกว่าจะรอดทุกคนนอนก้มลงกับพื้นเสียงร้องดังลั่น
คนตกใจกันทั่วตัวเพื่อนผู้เขียนเองกว่าจะลุกขึ้นตามหาเจอก็เกือบครึ่งชั่วโมง
โดนหิวไปอยู่ข้างริมถนน ข้าวของแตกหักเสียหายไปหมด รอดมาได้
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
คุณครูบาอาจารย์โดยแท้ที่รอดมาได้สิ่งศักสิทธิ์เวลาท่านช่วยก็มาช่วยตอนที่เราเดือดร้อนจริงๆและ***จำพวกชอบลองของ
ของขึ้นแบบคิดไปเองเลิกเถอะหลานๆเอ๋ย!!
เป็นการดูถูกครูบาอาจารยืชีวิตมันจะไม่เจริญเอานะ ตัวเราเองนั่นแหละรู้ดี
อย่าสร้างกระแสความนิยมของขึ้นหรือการลองของเลย
ตัวหลวงพ่อท่านเองก็เคยพูดต่อหน้าศิษย์นับพันเลย ว่า
พวกของขึ้นมันจิตอ่อนคิดไปเอง ความศักสิทธิ์เกิดจากความศรัทธา
และความเชื่อมั่น ครูบาอาจารย์ก็จะคุ้มครองเอง
เด็กๆสมัยนี้คงไม่เคยได้ยินคำนี้เพราะคงไม่ทันหลวงพ่อ
ลองเอาคำถามนี้ไปถามหลวงพ่อแล วัดพระทรง หรือหลวงพ่อ
ที่สักยันต์ชั้นแนวหน้าคนไหนดูก็ได้ ว่าของขึ้นเป็นอย่างไร
แต่ตัวผู้เขียนเองไม่ปฎิเสธว่าไม่มีเลยทีเดียว
แม้แต่ตัวผู้เขียนเองก็เคยของขึ้นเมื่อได้ไปสักยันต์กับอาจารย์เสือ
ก่อนหน้านี้ผู้เขียนเคยเล่าเรื่องท่านไปบางส่วน
ตัวผู้เขียนได้ไปทำการสักยันต์พาลีกับท่าน
ตัวลูกศิษย์อาจารย์เสือท่านเตือนว่าสักของพวกลิงพวกหนุมาณจากอาจารย์เสือไประวังหน่อยนะเดี๋ยวจะมีเรื่องมีราวรับน้องกันเสียก่อน
ตัวผู้เขียนเองก็แก่คราวลุงแล้วจะให้ไปรับน้องสถาบันไหน
เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงนั่งทานข้าวต้มกับลูกน้อง
โดนมือดีข้างโต๊ะทะเลาะกันมีของแถมโยนขวดมาโดนศรีษะดังเปรี้ยง ของขึ้นเลย
พึ่งเคยเป็นครั้งแรกในชีวิต
ตอนฟุบตัวลงไปเหมือนคนกึ่งหลับกึ่งตื่นแต่เห็นตัวเราเองไปลุยกับวัยรุ่นกลุ่มใหญ่อย่างลืมอายุ
ลูกน้องเล่าให้ฟังว่าตัวผู้เขียนเมื่อโดนขวดล้มลงไปแล้วก็ลุกขึ้นหน้าตาดุดันร้องเสียงกระโฉกโหกหาก
พ่มตัวกระโดดปล้ำตะลุ่มบอนอย่างไม่เกรงกลัวเรียกได้ว่า5ต่อ1
พวกวัยรุ่นทั้งรุ่มทั้งต่อย
แต่ก็สู้แบบไม่รู้สึกเหนื่อยจนพวกวัยรุ่นวิ่งหนีเตลิดไปรู้สึกอีกทีก็หน้าบวมแต่ไม่ยักมีเลือดแต่บวมมากๆดูหน้าตากันไม่ออกเลย
ลูกน้องรีบวิ่งมาดูบอกคำเดียวว่าต้องเย็บแต่
ตัวผู้เขียนเองแค่นำผ้าเย็นมาลูบหน้าสักพักก็ยุบเองสร้าความประหลาดใจให้ลูกน้องมาก
ว่าอายุอานามก็ขนาดนี้แล้วเอาแรงมาจากไหน ตัวผู้เขียนก็ได้แต่ยิ้มและบอกว่า
ของดีเขาไม่ให้อวดกัน พวกขี้อวดไปไม่รอดหลอก
นั้นถือประสบการณ์ของชายวัยใกล้ปลดเกษียณ ที่ทำให้เด็กรุ่นลูกเห็น
กลับไปคราวนี้ได้พูดคุยกับเรื่องนี้กับท่านอาจารย์เสือ
ท่านบอกว่าครูของสายท่านแรงมากนะอย่าได้ล้อเล่น
การที่โดนคราวนี้ท่านเตือนให้มีสติ ทำอะไรให้ครองสติเอาไว้
พวกกินเหล้าเมายาไม่มีสติครูบาอาจารย์ท่านไม่ชอบหลอก
ท่านขึ้นให้เห็นว่ามีอยู่จริงให้รักษาเอาไว้ให้ศรัทธาและเชื่อ
อย่าเอาไปใช้อย่างไม่มีความคิด พอถึงเวลาเข้าจริงๆแล้วใครจะมาช่วยเรา
ถ้าตัวเราเอาไปลองของจนไม่เหลืออะไรแล้ว
แล้วทำไมตอนสักยันต์ถึงไม่ขึ้นเหมือนท่านอาจารย์อื่นๆละ..เป็นคำถามที่ผู้เขียนถามเพราะความอยากรู้

ท่านตอบว่าก็อย่างที่พูดนั่นแหละขึ้นซะตอนนี้แล้วเอาเข้าจริงอย่างที่เอ็งไปเจอแล้วใครจะช่วย
เออจริง !! ซุปเปอร์แมนไม่ได้บินมาช่วยเราทุกวัน
ถ้าวันหนึ่งเรามัวแต่ลองของเพราะความอยากรู้เอาอขาจริงคงลำบาก
แต่โดยส่วนตัวของผู้เขียนคิดว่าท่านอาจารย์เสือไม่อยากทำให้ของขึ้นทั้งๆบางทีมีศิษย์มาให้ปลุกก็ขึ้นบ่อยๆ
อาจเป็นเพราะท่านไม่อยากให้เกิดความคึกคะนองได้ใจ
ตัวผู้เขียนเคยเขียนประวัติท่านลงในคอลัมน์พระเครื่องเล่มหนึ่งนานมาแล้วเมื่อ5-6ปีก่อนตอนท่านอยู่คลองถม

ท่านอาจารย์เสือถึงจะมีอายุน้อยกว่าตัวผู้เขียนแต่ความนับถือของผู้เขียนเองมิได้น้อยตามอายุเลย
เพราะชื่อเสียงของท่าน และความที่ท่านเป็นคนตรง พูดจริงทำจริง
มิเคยมีประวัติที่เสียหายอันใด เรียนมาจากพระอาจารย์จริง
เรียนจากท่านไหนมามีหลักฐานเป็นภาพถ่าย ตำราทุกท่าน มิได้โคมลอยขึ้นมา
การที่เป็นอาจารย์ทางสายนี้ได้ต้องรู้ทุกด้าน รู่เรื่องราวที่สืบทอดกันมา
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีที่มาและที่ไป มีครูถึงมีศิษย์
ไม่ใช่เอายันต์ใครมาและบอกว่าเป็นของตัวเอง
ตัวท่านอาจารย์เสือไม่เคยพูดว่าท่านเป็นผู้วิเศษเลยท่านจะเรียกตัวเองว่าศิษย์มีครู
เราเป้นแค่ผู้มีวิชา วิชาเกิดจากการเรียนรู้ ต้องมีครู
ถึงเรียนมาจากหนังสือก็เป็นครูเหมือนกัน ตัวเราเอง
ที่ทำของเสกของได้ดีก็เพราะครูบาอาจารย์ท่านมาช่วยเราเกิดมาตัวเปล่ามิได้มีอะไรติดตัวมา
ท่านเป็นคนถ่อมตัวมาก คมในฝัก เป็นคนเก็บตัวไม่ค่อยชอบพบปะผู้คน
มีความเป็นส่วนตัวสูง พระเกจิอาจารย์ที่เก่งๆก็เป็นแบบนี้หลายท่าน
ท่านเคยพูดกับผู้เขียนหลายครั้งว่าอยากจะหยุดสักยันต์
เพราะธุรกิจทางบ้านเยอะมากไม่มีเวลาดูแลทั่วถึง
ไหนจะกิจของสงฆ์ที่มาให้ช่วยสร้างพระ ปลุกเสกวัตถุมงคล
แค่นี้วันๆก็ไม่พักผ่อนแล้ว
เดี๋ยวนี้ใครจะพบท่านต้องนัดล่วงหน้าไม่อย่างงั้นส่วนใหญ่อด
ท่านอาจารย์เสือมักพูดกับศิษย์ทุกคนเสมอๆว่าเอาของดีเราเก็บไว้บูชาเมื่อเราไม่อยู่หรือไม่มีเวลาช่วยแล้ว
ยังมีของๆเราไว้ช่วยเหลือ จะไม่โดนใครหลอกลวง
มีลูกศิษย์ท่านหนึ่งทำกิจการโดนคู่แข่งกลั่นแกล้ง ทั้งคดีฟ้องร้อง
ส่งคนมาข่มขู่แถมร้ายสุดโดนทำของใส่ มาหาอาจารย์เสือตามคำแนะนำของเพื่อน
ท่านไม่พูดอะไรมากมอบวัวธนูตัวเล็กไปตัวหนึ่งและแนะนำวิธีใช่ให้แล้วบอกไม่ต้องห่วงอะไรพ่อวัวบูชาเขาดีๆยึดติดเข้าไว้ให้มากๆ
ทุกอย่างจะสมหวัง ปรากฎว่า
ผ่านไปอาทิตย์หนึ่งศิษย์คนนี้กลับมาพร้อมบายศรีชุดใหญ่มาถวายให่อาจารยืเสือบอกทุกอย่างสำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อคดีความชนะ
คนที่ส่งมาทำร้ายก็เกิดอุบัติเหตุปางตาย
ของที่ถูกส่งมาได้ข่าวว่าอาจารย์ผู้กระทำเป็นบ้าเป็นบอไป
เป็นเรื่องที่หน้าประหลาดมากสำหรับวัวธนูของท่านถ้าใครได้ไปหาท่านจะเห็นวัวธนูที่ท่านบูชาอยู่เรียงรายคอยเป็นกำแพงกั้นผู้ที่ไม่หวังดีมาทำร้ายอาจารย์และยังสามารถให้โชคให้ลาภแก่ศิษย์ได้
มีศิษย์ท่านหนึ่งเปิดร้านค้าTattoo บริเวรใกล้เคียง รถที่ซื้อมาป้ายแดงหาย
มาขอความช่วยเหลือท่านอาจารย์เสือ
ท่านให้บอกลองบนพ่อวัวดูสิท่านเก่งนักเรื่องนี้ เพียงแค่เดือนเดียว
รถกลับมาจอดในสภาพเดิมป้ายยังแดงอยู่ทั้งๆในใจเจ้าของคิดว่าปานนี้คงข้ามฝากไปชายแดนหรือไม่ก็เป็นอะไหล่ไปแล้ว
ต้องกลับมาแก้บนพ่อวัวยกใหญ่
หลายๆท่านไปหาอาจารย์เสือมักถูกพ่อกุมารทั้งหลายที่ท่านเลี้ยงอยูแกล้งประจำบางคนโดนจี้เอว
โดนสะกิตหลังจนตกใจกันเป็นแถว
ท่านอาจารย์เสือบอกว่ากุมารของฉันเลี้ยงมาเป็น30ปีเลี้ยง
ทุกองค์ก็แรงๆทั้งนั่นละนะซนจนห้ามไม่อยู่บางคนโดนเข้าฝันให้ซื้อขนม
น้ำแดงมาฝาก บางคนบนอะไรก็ได้อย่างรวดเร็ว
ของดีๆท่านมีเยอะมากเรียกได้ว่าอยากได้อะไรบนได้ทุกอย่าง
...ท่านที่เดือดร้อนร้องมาขอความช่วยเหลือดู
ส่วนตัวผู้เขียนเองเมื่อปลายปีบนขอรถประจำตำแหน่งสักคัน
ก็สมหวังอย่างหน้าประหลาดใจแก้บนกันยกใหญ่
ช่วงเร็วๆนี้ท่านอาจารย์เสืออาจต้องไปที่เขมรบ่อยครั้งเพื่อไปทำธุระ
ยังไงท่านใดต้องการไปพบท่านกรุณาโทรล่วงหน้านัดท่านด้วย ส่วนศิษย์พี่
ๆน้องๆทั้งหลายอย่าลืมนะครับทุกวันพฤหัสเราครอบครูกันทุกอาทิตย์เพื่อความเป็นศิริมงคล
ขออโหสิกรรมในสิ่งที่เราทำผิดไปกับครูบาอาจารย์ บุหรี้ พวงมาลัย เงินพานครู19
บาทเท่าเดิม

1342
รูปเหมื่อนปั๊ม วัดโคกเขมา ปี 2506


1343
เหรียญรุ่นแรก วัดโคกเขมา ปี 2506


1344
ฤๅษีตาไฟครับ เป็นเอกลักษณ์ของท่าน ดวงตาที่ 3 อยู่ตรงหน้าผาก เช่น ฤๅษีตาไฟของหลวงปู่พรหมมา เขมจาโร สำนักสวนหินนางคอย โขงเจียม ฤๅษีตาไฟของหลวงพ่อวัชระ วัดถ้ำแฝด กาญจนบุรี เป็นต้น

1345
สัก ของจริง แต่ของขึ้นมีจริง มีปลอม อย่างกับวันไหว้ครู ลูกศิษย์ที่ของขื้นจริงก็มีเยอะ ของปลอมของแฝงก็มีเยอะเหมื่อนกัน หลวงพี่ติ่งเคยบอกไว้ ของขื้นจริง เสียงร้องเสียงคำรามจะออกมาจากคอ ส่วนของปลอมของแฝง เสียงออกมาจากปาก ทำขื้นไว้หลอกเพื่อน หลอกคนอื่นให้คนอื่นเข้าใจว่าเก่ง

1346
ไม่มียันต์ แต่มีคาถา คาถา กะระณียะเมตตะสูตร
       เมตตัญจะ สัพพะโลกัสมิง มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง  อุทธัง อะโธ จะ ติริยัญจะ อะสัมพาธัง อะเวรัง อะสะปัตตัง ติฏฐัญจะรัง นิสินโนวา สะยาโนวา ยาวะตัสสะ วิคะตะมิทโธ
เอตัง สะติง อะธิฏเฐยยะ พรัหมะเมตัง วิหารัง อิธะมาหุ ทิฏฐิญจะ อะนุปะคัมมะ สีละวา ทัสสะเนนะ สัมปันโน กาเมสุ วิเนยยะ เคธัง นะหิ ชาตุ คัพภะเสยยัง ปุนะเรตีติ

  ใช้สวดภาวนา เป็นเมตตา แก่สัพสัตว์ทั้งปวง ตลอดจน อินพรหม ยม ยักษ์ เจ้าที่เจ้าทาง ภูตผีปีสาจ ทุกชาติ ทุกภาษา ทุกศาสนา

1347
เหรียญ นี้เรียกเหรียญนั่ราหู สร้างปี 2525 เป็นเหรียญทองแดงรมดำ ราคาหลักพัน มีของเก๋ด้วย มีทั้งทองแดงและทองเหลื่องรมดำ เส้นสายและความคมชัด สู้ของแท้ไม่ได้

1348
นั่งรถลงท่านา แยกเข้าอำเภอนครชัยศรี วันงานไหว้ครู มีรถโดยสารจอดอยู่ใต้สะพานลอย ลูกศิษย์หลวงพ่อเยอะ ถามไถ่ทางกันได้  อีกอย่างรถโดยสารสายใต้(วิ่งช่วงสั้น) นครปฐม ราชบุรี รู้จักทางเข้าวัดดี ครับ

1349
วัตถุมงคล ส่วนใหญ่ทันหลวงพ่อปลุกเสกครับ หลวงพี่ญาเคยบอกไว้ว่า หลวงพ่อปลุกเสกไว้ ให้ลูกศิษย์ อีก 10 ปี ก็ไม่หมด ทั้งหมดเก็บไว้อยู่ชั้นบน กุฎิใหญ ยกเว้น วัตถุมงคลรุ่นไหว้ครู ปี 2548 และ ปี 2549 ฉนั้น ลูกศิษย์หลวงพ่อทั้งหลายไม่ต้องกลัวไม่ทันหลวงพ่อครับ

1350
ผมได้เคยคุยกับ หลวงพี่ญา หลวงพี่บอกว่า วัตถุมงคลของหลวงพ่อได้ปลุกเสกไว้จำนวนมาก ก่อนมรณะภาพ ประมาณว่า อีก 10 ปี ก็ไม่หมด ฉนั้น ลูกศิษย์ของหลวงพ่อไม่ต้องห่วง ว่าไม่ทันหลวงพ่อปลุกเสก

1351
สอบถามรายละเอียด วัดถุมงคลของหลวงพ่อ ที่วัดนก ติดต่อ คุณสมุทร วัดนก โทร 02-410-7849

1352
บูชาได้ที่กุฎิใหญ่ ได้เลย มีหลายแบบ มีทั้งองค์เล็ก และองค์ใหญ่ และ น่าจะเป็นสายเทพด้วย เลี้ยงแล้ว สบายใจไม่ต้องกลัวก่วน

1354
ถ้าเเป็นจริงอย่างว่า ประเทศก็จะพัฒนาถอยลง มีปฎิวัติก็ถอยลงไปอีกก้าวแล้ว อีกหน่อยต้องเขียนจดหมายถึงกัน คงแย่

1355
ถ้าเราสักน้ำมันกับหลวงพี่ติ่งแล้ว(เก้ายอด/แปดทิศ) จะขอสักหมึกยันต์ชนิดเดียวกัน กับ หลวงพี่ญา /หลวงพี่ต้อย/หลวงพี่แป้ว จะน่าเกลียดหรือเปล่า

1356
ขอแสดงความเสียใจ กับหลวงพี่แป้วด้วย

1357
คาถาบูชาพ่อปู่ฤๅษีนารอด ที่กุฏิหลวงพี่ติ่ง  นะโม 3 จบ มะอะอุ สิวัง พรหมมา จิตตัง มานิมา ฤๅฦๅ ฤๅฦๅ พ่อปู่นารอด มานิมา ประสิทธิเม (3 จบ) แบบเดี่ยวกับ หลวงพ่อประสิทธิ์ วัดไทรน้อย

1358
เคยถามหลวงปู่สินธ์ วัดสะพานสูง นนทบุรี ห้ามสัก ห้ามลองวันดับ ไม่ทราบวัดบางพระมีข้อห้ามหรือเปล่า ขอบคุณ

หน้า: 1 [2]