นานๆเข้ามาทีเลยขอนำเรื่องราวการ สร้างตระกรุดหนังเสือของหลวงปู่เเย้ม วัดตะเคียนมาให้พี่ๆน้องๆในที่นี้ได้ทราบกัน เเละเพื่อเป็นการเผยเเพร่เกียรติคุณของหลวงปู่เเย้ม วัดตะเคียนเเก่ทุกท่านที่รักเคารพ ศรัทธา ในองค์หลวงปู่ครับ การสร้างตะกรุดหนังเสือ หลวงปู่แย้ม วัดตะเคียน
ตะกรุดหนังเสือหลวงปู่แย้ม วัดตะเคียน จ.นนทบุรี
การจารตะกรุดของท่าน ท่านจะถือเรื่องของฤกษ์ยามเป็นสำคัญที่สุด
ส่วนในวันเสาร์ ๕ ปี ๕๐ เป็นเพียงแค่ฤกษ์งามยามดี ที่ฤกษ์พิเศษ
เท่านั้น แต่ปกติแล้วท่านจะมีเวลาฤกษ์งามยามดีประจำตัว(เพชรฆาตฤกษ์) ที่ยึดถือมาแต่โบราณ ยามในแต่ละวัน ท่านจะอาศัยยามอุบากอง หรือ ยามพม่าแหกทัพ ซึ่งท่านยึดถือมาก และใช้เป็นประจำจนถึงกับท่านสักเหมือนคล้ายสักยันต์เป็นรูปตารางเวลาของยันต์อุบากองไว้ ที่หน้าขาของท่าน ก็มักได้ยินท่านพูดว่า เวลานี้สองศูนย์ พูนสวัสดิ์ ท่านก็จะลงมือจารตะกรุดหนังเสือเลย แต่ถ้าช่วงเวลาไหน เป็นวันไม่ดีหรือยามไม่ดีด้วยแล้ว ท่านจะไม่เขียนเลย
________________________________________
ก่อนนี้การทำตะกรุดหนังเสือท่านจะใช้ให้ลูกศิษย์ตัดหนังออกเป็นชิ้นๆ ตามขนาดของตะกรุด ครั้งละไม่กี่ดอก พอมาระยะหลัง สุขภาพท่านไม่ค่อยดี โดยเฉพาะปอด จากการที่ท่านชราภาพ จึงไม่ตัดหนังเสือเป็นชิ้นๆ เพราะกลัวว่าเศษของขนเสือจะปลิว แล้วท่านจะสูดเข้าไป เป็นอันตรายต่อสุขภาพของท่าน ระยะหลังจึงใช้วิธี ตีเป็นตารางแบบตารางหมากรุก แล้วท่านก็จารยันต์ไปตามช่องแต่ช่องจนหมด การจารตะกรุดส่วนใหญ่ เพื่อความสะดวกเขียนง่ายจึงใช้ปากกา
เมจิก มีทั้งหมึกดำ หมึกแดง และหมึกน้ำเงิน ซึ่งเป็นปากกาเมจิกแบบลบไม่ได้
________________________________________
เมื่อเริ่มลงมือจารตะกรุด ก่อนจารท่านจะกราบไหว้บูชาพระพุทธรูป หลวงพ่อธรรมจักรที่ท่านนับถือ เป็นชีวิตจิตใจก่อน ( พระพุทธรูปยืน ปางห้ามญาติ ) จากนั้นท่านก็จะเอาปากกา มาเสกก่อน เพื่อให้ปากกานั้นเป็นเหล็กจารศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเขียนยันต์ซึ่งหลวงปู่ เรียกว่า เส้นสายพระโลหิตของพระพุทธเจ้า ก่อนจะทำอะไรจึงต้องขออนุญาต เพื่อให้เกิดความสัมฤทธิผลซะก่อน โดยท่านเสกปากกา ด้วยบทที่ว่า นามมะนัง สมาโส ยุตตะโถ ยุตตะถะแห่งนามมะ ชื่อว่า นะโมพุทธายะ ปัญจอักขระ กะโรโหติ สัมภะโว จงบังเกิดเป็นนะโมพุทธายะ จากนั้นท่านก็จะจารยันต์ ซึ่งเรียกว่ายันต์มหาเบา เป็นตัว อะ รูปคล้าย ร- เรือ ๒ ตัว และมีวงกลมล้อมรอบ ๓ วง ตอนท่านเขียนยันต์เป็นตัวอะ ท่านจะว่าด้วยคาถายันต์มหาเบา ว่าดังนี้ ปะถะมัง ปะฉะการัง พระอะระหัง ........ พระระโหถาปะการะยัง พระอะระหัง ........
________________________________________
เมื่อจบเขียนตัว อะ ท่านก็จดปากกาเพื่อวงกลมต่อ ๓ วง โดยท่านเขียนจะกลึงด้วยบทที่ว่า พุทธัง ปิดตุอุดทวารัง พระอะระหัง ปิดตุอุดทวารัง อุด ธัมมัง ปิดตุอุดทวารัง พระอะระหัง ปิดตุอุดทวารัง อุด สังฆัง ปิดตุอุดทวารัง พระอะระหัง ปิดตุอุดทวารัง อุด ทุกดอกท่านจะจารด้วยบทนี้หมด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นยันต์มหาเบาเป็นหลัก แต่ถ้าจะมียันต์พิเศษขึ้นมา ท่านอาจจะจารเพิ่มว่า มะโมพุทธายะ และ นะมะพะทะ ธาตุทั้ง ๔ ก็แค่นั้นเอง
________________________________________
เมื่อท่านจารเสร็จ ท่านก็จะปลุกด้วยบทเสือสังมังสะ จนบังเกิดเป็น
เหตุที่ท่านต้องปลุกหนังเสือก็เพราะว่า เสือมันเป็นสัตว์เดรัจฉานที่มีตบะ มีเดช มีบารมี ซึ่งส่วนใหญ่จะตายโหง ถูกยิง ไม่มีหรอกที่แก่ตาย วิญญานพวกนี้จึงแรงมาก ถึงสังขารจะแตกดับไปแล้ว แต่ธาตุรู้ วิญญานเขายังมีอยู่ ท่านก็จะสะกดนำเอาธาตุรู้หรือภูติพวกนี้ให้คลายฐิทิ ให้มาร่วมบุญ ร่วมกุศลกับท่านเพราะสังขารของเขาสามารถเกื้อ *** ลสร้างถาวรวัตถุให้เกิดในพุทธศาสนานี้ได้ เป็นมหากุศลกับเขาขึ้นไปอีก
________________________________________
การปลุกของท่าน ก็คือการปลุกธาตุรู้ของเขา หมายถึงเสือขึ้นมา เพื่อให้สำแดงพลัง เกิดอาการเหมือนกับวิญญานเทพ ดลบรรดาลให้บังเกิดฤทธิ์นานาประการ โดยมีตัวยันต์มหาเบา เป็นตัวกำกับว่าให้เกิดฤทธิ์ไปทางใด ซึ่งยันต์ของหลวงปู่ส่วนใหญ่จะมีฤทธิ์ไปทางอยู่ยงคงกระพัน เพราะหลังจากท่านปลุกเสือขึ้นมา ท่านจะอัดพุทธคุณด้วยบทที่ว่า นะอุดโลก โมอุดดิน พุทดับไป ธามิให้ออก ยะปิดปากกระบอก อะระหัง ปิดสะ ด้วยนะโมพุทธายะฯ และอีกบทหนึ่ง ซึ่งท่านเรียกว่านะระเบิด ว่าดังนี้ นะอุด โมอัด พุทยัดธายัน ยะดันอิติแตก แยก อิกะวิติ ยิงไปกระบอกแตก
ขอขอบคุณบทความจากคุณพี่คนนนท์ จากpantownกลุ่มคนนนท์ค้นหาพระเกจิครับ