:054:ไม่เกร็ง ไม่เคร่ง ไม่เครียด ปล่อยจิตสบายๆ โดยมีสติและสัมปชัญญะควบคุมอยู่ ตามดูกาย ตามดูจิต ตามดูความคิด ตามดูการกระทำ
อยู่แบบปกติธรรมดาๆ ทำหน้าที่ของเราไปตามที่ต้องกระทำตามปกติ "ไร้กระบวนท่า แต่ไม่ไร้สาระ" เมื่อก่อนนั้นเรายึดติดในรูปแบบมากเกินไป
ในการปฏิบัติธรรม เราคิดนึกยึดถือว่าการปฏิบัติธรมนั้น ต้องเดินจงกรม ต้องนั่งสมาธิ ต้องยืนกำหนด ถ้าไม่ใช่อริยาบทเหล่านั้นแล้วไม่ใช่การปฏิบัติ เราจะปล่อยจิตไปตามกิเลส จะกำหนดใหม่ก็ตอนเดินจงกรม นั่งสมาธิหรือยืนกำหนดเท่านั้น การปฏิบัติจึงไม่ค่อยจะก้าวหน้า เพราะว่าเรา
ทอดทิ้งธุระนานเกินไปในวันหนึ่งๆ แต่เมื่อเรารู้ เราเข้าใจมากขึ้น เราเห็นข้อบกพร่องที่แล้วมาของเราในการปฏิบัติ จึงได้ปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องเสียใหม่ คือหันมาเจริญสติในทุกอริยาบทของร่างกาย ไม่ว่าจะทำก็ตาม ทำโดยมีสติและสัมปชัญญะอยู่ตลอดเวลา ตามหลักของ
"มหาสติปัฏฐานสูตร"ในหมวด"อริยาบทบรรพ" มันจึงเป็นการปฏิบัติแบบไร้กระบวนท่า ไร้รูปแบบ"แต่ไม่ไร้สติและสัมปชัญญะ"
:059:นึกถึงคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ ที่ท่านกล่าวเปรียบเทียบว่า "การปฏิบัติเหมือนกับการหัดเขียนหนังสือ" เริ่มแรกต้องหัดเขียนไปตามแบบไปก่อน จนมีความชำนาญแล้ว จึงเขียนตามความถนัดของเราเอง ซึ่งเรียกว่าลายมือของเรา ก่อนที่จะไร้กระบวนท่านั้น มันต้องผ่านการศึกษาและปฏิบัติมาทุกรูปแบบกระบวนท่า จนมีความช่ำชองเชี่ยวชาญเสียก่อน ก่อนที่จะละทิ้งกระบวนท่าและรูปแบบ"กระบี่อยู่ที่ใจ"
:016:จงเตือนตนเสมอในหลักธรรมเรื่องอัตตา"ตัวกู ของกู"อัตตาจะบดบังสัจจธรรมที่แท้จริง เปิดโลกทัศน์และชีวทัศน์คือการทำลายอัตตา
ภาพมายาจะหายไป สิ่งที่ได้เห็นคือ"สัจจธรรม"
:016:เชื่อมั่น-ศรัทธาในทางธรรม
รวี สัจจะ
วจีพเนจร-คนรอนแรม
๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๒ เวลา ๐๓.๐๙ น. ณ ชายป่าห้วยขาแข้ง อุทัยธานี