กรรมฐานสร้างชีวิตใหม่ 1/2
สวลักษณ์ ฉายาบรรณ
ดิฉันเป็นครู อายุ 49 ปี มีบุตรชาย 2 คน ดิฉันแต่งงานเมื่ออายุ 26 ปี ชีวิตคู่มีปัญหา ดิฉันจึงต้องพึ่งหมอดู ไม่ว่าหมอดูที่ไหนแม่น ฉันก็จะกระเสือกกระสนดั้นด้นไปดูให้ได้ ไม่ว่าจะใกล้หรือไกลถูกหรือแพงจะดูหมด เรียกว่าบ้าหมอดูเลยที่เดียว แต่ก็ไม่ได้ทำให้ดิฉันดีขึ้นเลยมีแต่เสียเงินเสียเวลา ความทุกข์ที่เกิดจากสามีเจ้าชู้ก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย กลับยิ่งมีมากขึ้น
ดิฉันมีลูกชายคนแรกปี พ.ศ. 2542 และลูกชายคนที่ 2 ปี 2529 ชีวิตของดิฉันก็ดำเนินมาเรื่อย ๆ มีสุขบ้างแต่มีความทุกข์มากกว่า บางครั้งเคยถามตัวเองเหมือนกันว่า คนเราเกิดมาเพื่ออะไร แต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้
เมื่อลูกชายคนแรกมีอายุ 15 ปี ซึ่งเป็นวัยที่อยากรู้อยากลอง เขาก็เริ่มมีพฤติกรรมก้าวร้าวเป็นนักเลง ชกต่อยกับคนอื่นจนเลยเถิดไปติดยา ในช่วงนี้ดิฉันได้ประสบกับมรสุมชีวิตหนักที่สุด มากกว่าปัญหาเรื่องความเจ้าชู้ของสามี เราหย่าร้างกัน ดิฉันได้เลี้ยงลูกทั้งสอง ดิฉันต้องรับภาระแก้ปัญาแต่เพียงผู้เดียวด้วยความสมัครใจของดิฉันเอง ลูกชายเริ่มนำของในบ้านไปขาย อะไรแลกเป็นเงินได้เป็นเอาหมด เพื่อจะได้เสพยา ดิฉันก็พยายามซื้อของคืน ลูกไปเป็นหนี้สินที่ตรงไหนก็ตามใช้หนี้ให้ ปัญหาก็ไม่ได้จบสิ้นกลับทวีความรุนแรงมากขึ้น ดิฉันไม่ทราบจะพึ่งใครได้ เคยคิดจะยิงตัวตายเพื่อประชดลูก จนดิฉันไปได้หนังสือสวดมนต์ของหลวงพ่อมาจากเพื่อนครูคนหนึ่ง เขาไม่ได้อธิบายอะไร บอกเพียงว่าลองสวดมนต์ดูซิ
ดิฉันก็เริ่มสวดมนต์ด้วยความศรัทธาเพราะหวังว่าช่วยลูกของดิฉันได้ ดิฉันเป็นคาธอลิก การสวดมนต์จึงยากสำหรับดิฉัน แต่ในยามที่ดิฉันมีทุกข์อย่างนี้ อะไรก็ได้ที่คิดว่าเป็นหนทางช่วยลูกดิฉันจะทำหมด ดิฉันสวดมนต์ของหลวงพ่อโดยไม่ทราบว่าต้องมีการแผ่เมตตาอย่างไรเวลาผ่านไปได้ 3 เดือนเต็ม ๆ ผลก็ยังไม่เห็น ดิฉันไปตักบาตรทุกวัน เหตุการณ์ก็ไม่ดีขึ้นมาเลย
เมื่อดิฉันเริ่มไม่มีเงินที่จะให้ลูกชาย เขาก็หันจากเป็นผู้เสพมาเป็นผู้ส่งของเสียเอง จนในที่สุดก็ถูกตำรวจจับ ต้องไปเสียค่าปรับในชั้นศาล เป็นครั้งแรกที่ต้องเห็นลูกชายถูกใส่กุญแจมือ และนั่งท้ายรถกระบะตำรวจเพื่อไปศาล หัวใจของแม่แทบแตกสลาย น้ำตาไหล ในสมองคิดว่าจะช่วยลูกอย่างไร มันเป็นภาพที่ตรึงอยู่ในใจของดิฉัน เมื่อได้ไปเสียค่าปรับที่ศาลก็กลับมาบ้าน ดิฉันคิดว่าลุกคงจะเข็ดขยาด แต่ลูกกลับไปมั่วสุมหนักกว่าเก่า ดิฉันได้พยายามบอกเขาว่า ไม่มีเงินจะไปเสียค่าปรับอีกนะ เขาเข้าออกจากทัณฑสถาน 5 ครั้ง บางครั้งอยู่ 1 เดือนก็ไปเสียค่าปรับออกมา ในที่สุดเมื่อหมดเงินก็ต้องปล่อยให้อยู่เช่นนั้น แต่ในใจมีแต่ความเศร้าหมอง คิดหาทางช่วยเหลือลูก
วันเวลาผ่านไป ชีวิตของดิฉันมีแต่ความทุกข์ ดิฉันเหมือนตกอยู่ในนรก ใจหดหู่ ตั้งแต่แต่งงานจนถึงระยะลูกติดยามานี้ เป็นระยะเวลาหาความสุขในชีวิตไม่ได้
จนกระทั่งในเดือนธันวาคม 2545 ได้คำชักชวนจากเพื่อนรักคือ คุณดวงกมล ยิ่งวรากุล ว่าไปวัดเถอะชีวิตจะได้ดีขึ้น จึงตัดสินใจไปวัดอัมพวัน ตอนนั้นดิฉันคิดว่าพระที่วัดนี้คงดูหมดแม่น และมีญาณพิเศษช่วยปัดเป่าทุกข์สุขของชาวบ้านที่ไปหาได้ ดิฉันเคยบ้าหมอดู จึงยิ่งมีความมุ่งมั่นที่จะไปพบหลวงพ่อ
เมื่อดิฉันไปกราบหลวงพ่อที่กฏิ หลวงพ่อพูดกับเพื่อนที่กราบเรียนหลวงพ่อเรื่องสามีไปติดผู้หญิงว่า สามีที่ดีต้องอยู่กับเรา สามีไม่ดีก็ไม่อยู่กับเรา ก็ปล่อยเขาไป คนไม่ดีจะเอามาทำไม ทำกรรมฐานซิ สามีคนดีก็จะกลับมา และหลวงพ่อก็หันมามองดิฉันและพูดว่า ลูกที่ติดยาก็จะดี ดิฉันแปลกใจมากว่าหลวงพ่อทราบได้อย่างไรว่าดิฉันมีปัญหาเรื่องลูก
ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html