กระดานสนทนาวัดบางพระ

หมวด ธรรมะ และ นอกเหตุ เหนือผล => สนทนาภาษาผู้ประพฤติ, กฎแห่งกรรม และ ประสบการณ์วิญญาณ => กฎแห่งกรรม => ข้อความที่เริ่มโดย: ทรงกลด ที่ 01 ส.ค. 2554, 08:42:12

หัวข้อ: กรรมฐานคือกิจวัตรประจำวัน
เริ่มหัวข้อโดย: ทรงกลด ที่ 01 ส.ค. 2554, 08:42:12
กรรมฐานคือกิจวัตรประจำวัน1/3
ธนรัตน์ เลปนานนท์

  ข้าพเจ้าอายุ ๓๑ ปี กำลังศึกษาต่อระดับปริญาโท ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักวัดอัมพวัน และ พระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญมาก่อน แต่เป็นคนที่สวดมนต์ไหว้พระอยู่แล้ว แม้จะไม่สม่ำเสมอเท่าใด อยากจะฝึกนั่งสมาธิมานานแล้วแต่ไม่มีโอกาศ จนกระทั่งถึงจุดเปลี่ยนแปลงในชีวิต

  ระหว่างอายุ ๒๕ – ๒๗ ปี ข้าพเจ้าปฏิบัติงานในตำแหน่งนักกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา กรุงเทพฯ มีผู้ป่วยมาขอบคุณที่ได้ช่วยทำกายภาพบำบัดเขาจนดีขึ้น และไดมอบหนังสือเล่มหนึ่งให้ข้าพเจ้า ที่หน้าปกมีรู)พระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ ข้าพเจ้ารับหนังสือนั้นมาแล้วไม่ได้สนใจจะหยิบอ่าน

  หลังจากนั้นไม่นาน ข้าพเจ้าได้รู้จักและคบหากับผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งภาพหลังทราบว่าเขาเป็นคนมีครอบครัวแล้ว ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจมาก จนมีผลต่ออารมณ์และจิตใจ รวมทั้งสมาธิในการปฏิบัติงานเป็นนักกายภาพบำบัดด้วย ไม่ทราบว่าจะจัดการกับจิตใจอย่างไรให้ดีขึ้น ก็ได้แต่อาศัยการสวดมนต์ไหว้พระเป็นที่พึ่งทางใจ มีผู้แนะนำให้สวดมนต์บทพาหุงฯด้วยจะได้พ้นจากเรื่องทุกข์ใจ พยายามสวดมนต์มาสักระยะหนึ่ง รู้สึกว่าจิตใจสงบขึ้น ปัญหาก็เริ่มคลี่คลายไป แต่จิตใจยังไม่ได้รับการแก้ไขเท่าใดนัก

  ปลายปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้าพเจ้าสอบเข้าศึกษาต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยมหิดลได้ จึงหันมาใส่ใจกับการศึษา ทำให้จิตใจดีขึ้นบ้าง แต่ถ้าหากอยู่คนเดียวก็มักจะคิดย้อนไปถึงเรื่องอดีตที่ผ่านมาอีก ทำให้ยังคงเสียใจอยู่ และคิดว่าทำไมต้องมาพบกับเหตุการณ์เช่นนี้ด้วย ข้าพเจ้ากลายเป็นคนหงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน วู่วาม คิดจะทำอะไรอยากจะทำสิ่งใด ต้องให้ได้เดี๋ยวนั้น บางครั้งทำไปเลยโดยไม่คิดไตร่ตรองให้รอบคอบ ทำให้เกิดความเสียหายต่อตัวเองมาก เวลามีเรื่องราวอะไรมากระทบจะวิตกกังวลเศร้าโศกอยู่นานหลาย ๆ วัน

  ต่อมาประมาณปี ๒๕๔๕ – ๒๕๔๖ ข้าพเจ้าประสบปัญหาการคบกับเพื่อนชายอีกคนหนึ่ง ความที่จิตใจของตนเองยังไม่ได้รับการแก้ไข ยังเป็นคนหงุดหงิดง่าย เอาแต่ใจตัวเอง มีอะไรเกิดขึ้นนิดหน่อยก็โวยวายเป็นเรื่องใหญ่โต ทำให้มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกันบ่อยมาก คุณแม่เตือนก็ไม่ค่อยเชื่อฟัง จะเดื้อเงียบ ช่วงนั้นข้าพเจ้าไม่สบายใจมากร้อนรนกระวนกระวาย ไม่มีสมาธิในการเรียน ร้องไห้เสียใจบ่อย ๆ และนึกถึงคุณพ่อที่เสียชีวิตไปหลายปีแล้วเป็นอันมาก จึงต้องการที่จะบวชปฏิบัติธรรมอุทิศบุญกุศลให้ท่าน และเพื่อจิตใจของตัวเองสงบด้วย

   เพื่อนพาข้าพเจ้าไปบวชเนกขัมมะปฏิบัติ ถือศิล ๘ นุ่งขาวห่มขาว ที่วัดแห่หนึ่งเป็นเวลา ๓ วัน ตอนนั้นข้าพเจ้ารู้สึกว่าตนเองเพียงแต่เปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดปกติมาใส่ชุดขาวเท่านั้น ไม่ได้ความสงบของจิตใจเท่าใด พอกลับบ้านไปอารมณ์และจิตใจก็ยังไม่ได้รับการเยียวยาแก้ไข จนกระทั่งประมาณเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๖ คุณศุภรัตน์ ปรศุพัฒนา เพื่อนรุ่นพี่ืที่ศึกษาต่อระดับปริญญาเอกอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหิดล คณะเดียวกันกับข้าพเจ้า ได้ชักชวนให้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันเป็นเวลา ๓ วัน (ศุกร์ – เสาร์ - อาทิตย์) ข้าพเจ้าได้วิธีการปฏิบัติกรรมฐาน การเดินจงกรม และการนั่งสมาธิที่ถูกต้อง ทำให้ข้าพเจ้าสามารถกำราบจิตใจของตนเองที่สับสนวุ่นวายไม่สงบสุขและเศร้าหมองลงได้มาก

  แม้ได้อยู่ปฏิบัติเพียงแค่ ๓ วัน แต่ข้าพเจ้าถือว่าได้พบสิ่งมีค่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ในขณะปฏิบัติกรรมฐานนั้น ต้องประสบกับทุกขเวทนาตลอดทั้ง ๓ วัน เช่น เวลาเดินจงกรมก็มีอาการปวดหัวไหล่ เวลานั่งสมาธิก็ปวดขามาก มิหนำซ้ำยังมีความฟุ้งซ่านด้วย แต่ข้าพเจ้ากับรู้สึกว่าทุกขเวทนาและความฟุ้งซ่านที่เกิดขึ้นนั้น เป็นอาจารย์ที่มาสอนข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจสภาวะจิตใจของตนเองมากขึ้นว่า จิตที่มีความทุกข์และความร้อนกระวนกระวายนั้นเพราะเราคิดเราปรุงแต่และยึดมั่นถือมั่น ต่อเมื่อเราหยุดคิดหยุดปรุงแต่ปล่อยวาง จิตนั่นจะสงบนิ่ง และไม่หวั่นไหวต่อสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบจิตใจ ทั้งนี้จะต้องมีสมาธิมาคอยควบคุมจิตของเราด้วย

ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html
หัวข้อ: ตอบ: กรรมฐานคือกิจวัตรประจำวัน
เริ่มหัวข้อโดย: ทรงกลด ที่ 01 ส.ค. 2554, 08:46:49
กรรมฐานคือกิจวัตรประจำวัน2/3

  กลับไปบ้านข้าพเจ้าสบายใจขึ้นมาก มีสมาธิและมีสติในการเผชิญปัญหาและแก้ไขปัญหาได้ดีขึ้น สามารถให้อภัยคนที่ตนเองเสียใจได้ ทั้ง ๆ ที่แต่ก่อนมีความโกรธและเกลียดเขามาก ต่อมาในช่วงเดือนกันยายน ๒๕๔๖ ข้าพเจ้าก็ชักชวนเพื่อนอีก ๒ คนไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันอีกเป็นครั้งที่ ๒ ระยะเวลา ๓ วันเช่นกัน ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเวลาที่เดินจงกรมมีสติมากขึ้น เดินไม่ค่อยเซ เวลาที่นั่งสมาธิเมื่อใดที่มีสติอยู่กับกาอารพองหนอ – ยุบหนอได้ดี ะสามารถทนกับอาการปวดขาได้ โดยอาการปวดขาไม่ได้หายไปไหน ยังเท่าเดินเหมือนเดิม แต่ข้าพเจ้ากลับเบาใจและอยู่กับอาการปวดขานั้นได้ ทำให้ได้รู้ว่า เมื่อจิตของเราว่างเฉย ไม่ไปรับอารมณ์ความปวดนั้นเข้ามาปรุงแต่ง จิตของเราก็ไม่ได้กระวนกระวายและปวดตามไปกับกายของเราด้วย

  อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้ปฏิบัติกรรมฐานอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้จิตตก ตัวอย่างเช่น มีวันหนึ่งน้องสาวได้พูดในทำนองล้อเล่นกับข้าพเจ้า แต่ตอนนั้นข้าพเจ้ากลับรู้สึกเป็นจริงเป็นจังและหงุดหงิดขึ้นมา คิดว่าน้องสาวกำลังว่าข้าพเจ้าอยู่ จึงได้ตอบสวนกลับไปอย่างมีอารมณ์โกรธ น้องสาวก็พูดย้อยมาว่า ”อ้าว...พูดแค่นี้เอง ทำไมถึงโกรธล่ะ ไปปฏิบัติธรรมมาแล้วนี่” อีกคราวหนึ่งข้าพเจ้าพูดคุยกับเพื่อนคนหนึ่ง แล้วเพื่อนได้พูดขัดขึ้นมา ข้าพเจ้าไม่พอใจถึงกับตวาดเพื่อนเสียงดัง เพื่อนคนนั้นพูดว่า “เธอไปปฏิบัติธรรมยังไงกัน ทำไมถึงยังเป็นแบบนี้อยู่ล่ะ” ช้าพเจ้าได้สติก็ขอโทษเพื่อนเป็นการใหญ่ พร้อมทั้งเริ่มต้นตั้งคำถามกับตัวเองว่า เราเป็นอะไรนี่ ทำไมตัวเรายังเป็นแบบนี้อยู่ ไม่เห็นดีขึ้นเลย เวลามีเรื่องราวที่ไม่สบายใจเข้ามายังตามรู้ไม่ทันสภาวะอารมณ์ของตนเอง ทำให้ยิ่งหดหู่ใจเพิ่มขึ้น

  จนกระทั่งข้าพเจ้าได้ไปรับการอบรมปฏิบัติธรรมที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน จังหวัดขอนแก่น ทำให้ได้ข้อคิด และวิธีปฏิบัติฑรรมที่ถูฏต้องมากขึ้น ในงานทอดกระฐินที่ศูนย์ฯพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้เมตตาเทศนาอบรมผู้เข้าปฏิบัติธรรม มีอยู่ประโยคหนึ่งที่ข้าพเจ้าจำได้จนถึงทุกวันนี้ และนึกถึงเสมอเวลาปฏิบัติกรรมฐานคือ “อย่าไปมองคนอื่น ให้มองตัวเราเองเท่านั้น” หลังจากปฏิบัติธรรมครั้งนี้ข้าพเจ้าได้สติสำนึกย้อนไปรู้ว่า การกระทำและเรื่องที่ผ่านมาในชีวิตนั้น เป็นเพราะตัวข้าพเจ้าประมาท ขาดสติในการพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ให้รอบครอบ แก้ปัญหาไม่ถูกจุด ทำให้ตังเองเป็นทุกข์ ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ว่าการปฏิบัติกรรมฐานนั้น เราต้องมีสติรู้ตัวตลอดเวลา เมื่อใดที่เราขาดสติกิเลสต่าง ๆ จะเข้ามาในจิตใจทันที  บางครั้งเพียงชั่งพริบเดียว กิเลสทั้ง ๓ ตัวคือ โลภะ โทสะ โมหะ ก็เข้ามาในจิตใจเราเรียบร้อย โดยไม่รู้ตัว



ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html
หัวข้อ: ตอบ: กรรมฐานคือกิจวัตรประจำวัน
เริ่มหัวข้อโดย: ทรงกลด ที่ 01 ส.ค. 2554, 08:48:57
กรรมฐานคือกิจวัตรประจำวัน3/3

ในระหว่างปฏิบัติธรรมที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวันนั้น ข้าพเ้จ้าได้พบคุณอนงค์ โททำ เป็นชาวนา มาจากจังหวัดมหาสารคาม นำลูกชายอายุประมาณ ๑๐ ปีไปปฏิบัติธรรมด้วย เธอเคยไปปฏิบัติธรรมที่ศูนย์เวฬุวันแล้ว ๒ ครั้ง และเมื่อกลับไปบ้านก็นำเอากรรมฐานไปปฏิบัติต่อ เธอจะตื่นแต่เช้ามืดสวดมนต์ไหว้พระ เดินจงกรม และนั่งสมาธิเสมอ ขณะที่เดินไปยังที่นาก็กำหนดเดินจงกรมไป หรือเวลาปลูกข้าวก็กำหนด ปลูกข้าวหนอ...ปลูกข้าวหนอ...ไปด้วย เธอบอกว่าได้ผลดีมาก ทำให้มีสติอยู่ตลอดเวลา

ข้าพเจ้าประทับใจในตัวคุณอนงค์มาก และคิดว่าตัวข้าพเจ้าเองได้รับวิธีการปฏิบัติกรรมฐานอย่างถูกต้องมาจากวัดอัมพวันแล้ว แต่พอกลับไปบ้านก็ไม่ปฏิบัติให้ต่อเนื่องทำให้จิตตกอีก พี่อนงค์มีภาระต้องทำนา ทำขนมขาย ทำงานบ้าน ดูแลครอบครัว แต่ก็ยังมีความพากเพียรในการปฏิบัติกรรมฐานอย่างสม่ำเสมอ ข้าพเจ้านึกถึงประโยคที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อกล่าวว่า “เวลาเป็นสิ่งเดียวในโลกที่ทุกคนได้รับเสมอหน้ากัน ไม่มีใครได้เปรียบเทียบหรือเสียเปรียบกัน” ทำให้ข้าพเจ้าตั้งใจว่า ต่อไปนี้จะพยายามปฏิบัติกรรมฐานให้สม่ำเสมอเป็นประจำ

หลังจากที่ปฏิบัติกรรมฐานสม่ำเสมอ และพยายามกำหนดสติตามรู้ให้ทันปัจจุบัน แม้เวลานั่งรถเมล์ กินข้าว ทำงาน ทำให้มีสติและสมาธิในการทำงานดีขึ้น มีความสบายใจ เห็นถึงคุณค่ามหาศาลของการปฏิบัติกรรมฐาน

ข้าพเจ้าขอน้อมกราบขอบพระคุณหลวงพ่อ ที่เมตตาผู้เข้าปฏิบัติกรรมฐานใหม่เช่นข้าพเจ้า กราบขอบพระคุณท่านพระครูวินัยธรรวัฒน์ ฐานุตฺตโร พระอาจารย์ทุกท่านที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน และญาติธรรมทุกท่านรวมทั้งมารดาบิดาของข้าพเจ้า

ขอบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญเพียรมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โปรดส่งผลให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ และผู้มีพระคุณทุก ๆ ท่าน ประสบแต่ความสุขความเจริญเทอญ

ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html
หัวข้อ: ตอบ: กรรมฐานคือกิจวัตรประจำวัน
เริ่มหัวข้อโดย: ทรงกลด ที่ 01 ส.ค. 2554, 06:57:54
กรรมฐานคือแก่นของชีวิต
นัฐฐา    ศิริเจริญไชย

   ปัจจุบันข้าพเจ้าอายุ ๓๒ ปี  มีอาชีพรับราชการสนใจพระพุทธศาสนาตั้งแต่เด็ก  รู้สึกมีความสุขและสนุกที่ได้อ่านหนังสือธรรมะ  เมื่ออยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ข้าพเจ้าโชคดีที่ได้อาจารย์ประจำชั้นสนใจปฏิบัติธรรม  ท่านได้สอนการทำสมาธิอย่างง่ายๆและสอนแผ่เมตตา  ตอนนั้นข้าพเจ้ายังไม่มีอาจารย์สอนกรรมฐานอย่างจริงจัง  ได้แต่ฝึกนั่งสมาธิจากการแนะนำของครู   และจากการอ่านแล้วมาหัดเอง  ต่อมาเมื่อเรียนต่อในระดับมัธยมปลาย  มีอาจารย์ที่สอนวิชาพุทธศาสนาให้หัดทำสมาธิ (สมถกรรมฐาน)ในชั่วโมงวิชาพระพุทธศาสนา จนเมื่อข้าพเจ้าข้าพเจ้าอายุ ๒๒ ปีมีโอกาสเข้ารับการอบรมอานาปานสติหลักปัฏฐาน ๔ซึ่งจัดโดยชมรมพุทธของจุฬางลงกรณมหาวิทยาลัย    ที่เสถียรธรรมสถาน    แม่ชีศันสนีย์   เสถียรสุต   เป็นผู้จัดกิจกรรม  มีการบรรยายธรรมโดย อุบาสิการัญจวน  อิทรกำแหง (ตอนนั้นทานยังไม่บวชชี) ท่านสามารถบรรยายธรรมที่ลุ่มลึกให้เป็นที่เข้าใจง่าย ซึ่งนับเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ข้าพเจ้าเห็นว่า  ความรู้ในพระพุทธศาสนาสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้นมีคุณค่ามหาศาล

   ข้าพเจ้าได้ยินชื่อหลวงพ่อจรัญครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๔   จากอาจารย์ที่สอนวิชาปรัชญา  ต่อมาแม่ของข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือที่ลงคำสอนของหลวงพ่อและรู้สึกศรัทธาท่านเพราะท่านกล่าวถึงเรื่องกฎแห่งกรรม และอยากไปกราบท่าน ภายหลังข้าพเจ้าก็ได้ปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวันรู้สึกซาบซึ้งในเมตตาบารมีของหลวงพ่อที่ท่านมีต่อทุกคน โดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย   ทุกคนเข้าพบท่านได้  ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอีกหลายครั้ง   เมื่อข้าพเจ้าจบปริญญาตรีและรับราชการอยู่ระยะหนึ่ง  จนต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๔๕  ข้าพเจ้าเข้าศึกษาต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยมหิดล  ทำให้ได้มีโอกาสไปปฏิบัติกรรมฐานที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์  ในระหว่างวันที่ ๒๒ – ๓๐ มกราคม ๒๕๔๗

   ข้าพเจ้าเห็นว่าการอ่าน ฟัง และสนทนาธรรมะมากๆ ช่วยเพิ่มปัญญาก็จริง  แต่ก็ต้องปฏิบัติกรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน๔  ด้วย  เพื่อให้เราได้รู้แจ้งเห็นจริง  ให้เกิดปัญญาผุดขึ้นในตัวเอง  ดังที่หลวงพ่อจรัญท่านได้กล่าวไว้  และจะสามารถใช้แก้ปัญหาชีวิตได้   ข้าพเจ้าเป็นคนโชคดีที่ได้เกิดในเมืองไทย  ได้นับถือพระพุทธศาสนา  มีแม่ที่สวดมนต์อวยพรให้ทุกวัน  สอนให้เป็นคนดี ปูพื้นฐานความเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม  มีพ่อที่สอนให้หยิ่งในศักดิ์ศรี  มีอาจารย์ทางธรรมหลายท่านที่เป็นบัณฑิตมีความรอบรู้และชี้แนวทาง  และที่สำคัญที่สุดคือมีอาจารย์ทางกรรมฐานเป็นพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ ผู้มีเมตตาจิตที่ยิ่งใหญ่ เป็นอาจารย์ทางจิตวิญญาณที่ชี้แนวทางปฏิบัติอย่างละเอียด     จึงกราบอาราธนาพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ    ได้เมตตาสอนวิปัสสนากรรมฐานให้ข้าพเจ้าและบุคคลผู้ใคร่ได้ประสบธรรมะของจริง  ให้ได้บรรลุกันถ้วนหน้าเทอญ

.........................
ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html
หัวข้อ: ตอบ: กรรมฐานคือกิจวัตรประจำวัน
เริ่มหัวข้อโดย: โบตั๋นสีขาว ที่ 03 ส.ค. 2554, 10:04:38
ขอบคุณมากคะ สำหรับบทความธรรมะดีๆ อ่านแล้วได้ความรู้มากคะ :090: :050: :090:
หัวข้อ: ตอบ: กรรมฐานคือกิจวัตรประจำวัน
เริ่มหัวข้อโดย: babybirth ที่ 04 ส.ค. 2555, 10:43:34
ขอบคุณมากค่ะ หนูก็กำลังเริ่มปฎิบัติเหมือนกัน
หัวข้อ: ตอบ: กรรมฐานคือกิจวัตรประจำวัน
เริ่มหัวข้อโดย: puttiphong ที่ 06 ส.ค. 2555, 10:02:48
เรียน ท่าน จขกท
            เนื่องจากเป็นหัวข้อที่ดีและมีประโยชน์มากสำหรับคนทั่วไป ผมขออนุญาติร่วมแบ่งปันประสบการณ์การปฎิบัติธรรมด้วยนะครับ ปัจจุบัน อายุ 41 ปี ในอดีตมีประสบการณ์ที่ไม่ดีมากมาย ตามประสาเด็กช่างกลที่เกเร เช่นการมีเรื่องกับต่างสถาบัน การใช้ยาเสพติดทุกชนิด  พออายุมากขึ้นก็รู้สึกเสียดายเวลา เพราะก้าวไปไม่ทันเพื่อนๆ หรือคนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียว เหตุผลที่ปฎิบัติธรรมก็เนื่องจากชีวิตไม่รู้จักความสุขที่แท้จริง เรียนจบปริญญาอายุก็ 30 กว่าแล้ว อยากได้รถ อยากไปเมืองนอก สารพัดอยาก เมื่อได้สิ่งที่ต้องการ ทุกข์ใหม่ๆก็เกิดขึ้นมาอีก
 
            ได้เริ่มปฎิบัติธรรมตั้งแต่ปี 2538 โดยเริ่มที่หลวงพ่อจรัญ และต่อมาที่ยุวพุทธิกสมาคม แต่ที่ผ่านมาก็ไม่ได้ปฎิบัติจริงจัง ทำให้รู้สึกว่าธรรมะไม่เห็นจะทำให้เราดีขึ้นเลย แต่ก็ยังปฎิบัติบ้างเล็กน้อยตามแต่โอกาส จนกระทั่งเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาได้ไปของ อาจารย์โกเอ็นก้า ปฎิบัติอย่างจริงจังและหนักมาก กลับมารู้สึกว่าดีกับตนเอง จึงไปอีกในครั้งที่ 2 ในปีต่อมา ซึ่งทุกครั้งจะเป็น คอร์ส 10 วัน หลังจากนั้นรู้สึกว่าชีวิตดีขึ้นในทุกด้าน กิเลสที่มีอยู่ในตัวมากมาย คือ รัก โลภ โกรธ หลง ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ปัจจุบันผมปฎิบัติที่บ้านก่อนนอนเกือบทุกวันวันละ  1 ชั่วโมง คำว่าดีขึ้นของผมหมายถึง มีสติมากขึ้น สงบมากขึ้น เพราะเราจะไม่มองคนอื่น มองแต่ตัวเราเอง ไม่ว่าจะมีสิ่งใดมากระทบในแต่ละวัน เพราะทุกวันจะต้องมีสิ่งที่ทำให้เราเกิดความไม่พอใจ เราแค่ดูใจว่าขณะนั้นใจเราเป็นอย่างไร คิดอย่างไร

             อยากให้พี่น้องทุกท่านได้มีโอกาสปฎิบัติธรรม ชีวิตจะมีแต่สิ่งที่ดี เมื่อปฎิบัติมาก ศีลก็จะเคร่งครัดไปด้วย ชีวิตก็จะมีความสุขสงบ
เริ่มตั้งแต่วันนี้ วัดไหนก็ได้ อาจารย์ไหนก็ได้ ดีหมดครับ ถ้าเราปฎิบัติได้อย่างถูกต้อง