แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - kill

หน้า: [1]
1
ข้อปฏิบัติในการลงนะหน้าทอง (ฝากสมาชิกใหม่ครับ)

ทำตามนี้ได้ของอยู่เต็ม100แน่นนอน :015





*ใช้ได้ทุกสำนัก จากระลึกถึง หลวงพ่อไสวก็นึกถึงหลวงพ่อเปิ่น หรือครูบาอาจารย์สำนักนั้น*

2



คนหน้าด้าน (ข่าวสด)

คอลัมน์ เอิ๊กอ๊ากอินเตอร์

         เวลาเหนื่อย ใครๆ ก็อยากเอาน้ำเย็นชื่นใจ ล้างหน้าล้างตาคลายร้อน

         แต่ "มาร์กอส อันโตนิโอ ดา ลุซ" นักแสดงข้างถนน วัย 34 ปี ชาวอาร์เจนตินา ไม่ต้องพึ่งพาน้ำซักกะติ๊ด เพราะมีความสามารถพิเศษ....ชอบเอา "ขวดแก้ว" ที่ผู้คนทิ้งขว้างมาทุบๆๆ แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

         จากนั้นโกยเศษแก้วขึ้นมาถู-ไถ-ขัด-ล้างใบหน้าโดยไม่มีอาการเจ็บแสบใดๆ และเปิดโชว์แบบนี้ให้ชาวบ้านดูมา 8 ปีแย้วววว์

         แฮ่...ถ้าบังเอิญมีคนตั้งฉายาพี่มาร์กอส ว่า "ไอ้หน้าด้าน" คงไม่โกรธเท่าไหร่ดอกนะ เพราะมันเรื่องจริงจั๊ดๆ!




3
แม่พิม จาก คำแนะนำ จากผู้ใหญ่ในเว็บ ขนาดบูชา ท่านแนะนำว่าสร้าง ถูกหลักบูชา ได้ :015:

ขอบคุณพี่ที่แนะนำได้บูชาของดีๆแบบนี้ :054:




4
รูปจัดตั้งสังขารหลวงสุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ชัยนาท หลังมรณะใหม่ๆ เพื่อลงโกศ :054: :054: :054:



*เซพนำรูปไปลงที่เว็บอื่นได้ แต่ขอเครดิตกันบ้าง 37;*

5
เพิ่งได้มา
ครับ






แท้หรือไม่ ทำไมรมดำยังเต็มอยู่เลย เสริมหรือป่าว เจ้าของเดิมห่อกระดาษทิชชู่ใส่ถุงซิบไว้ครับ:054:

6
พระกริ่งมั่ง มี ศรี สุข ปี2539  หลวงพ่อ รวย วัด วังตะโก เนื้อเงิน มีจาร









*แบ่งกันชม ใครมีวัตถุมงคลอะไรเด็ด มาชมบ้างนะครับชม คนเดียว เบื่อแย่  15;:017:*

7
เขี้ยวหมูตัน แท้หรือเรซิ่น หรืออะไร :054:

 :054:






.





8




เนื้อนวะหล่อโบราณ ช่างงามนัก :015:




ด้าน หลังมีโค๊ต หมายเลข กำกับ




ด้านล่าง โคตกรรมการ จารมืออีกตั้งหาก :015:


9


  ตะกรุดนาคกะสัน ชื่อก็น่าจะพอเดาว่าพุทธคุณ ด้านใด ขนาดนาคยังกะสัน ภาษาอะไรงู เล็ก งูใหญ่ๆๆ :005: :005:

เนื้อดีบุก  เคล็ด ทั้ง ดีทั้งบุก :095:

ตะกรุดมอญใส่เย็น เช่นไร ตะกรุดนาคกะสัน ดุจเอาน้ำแข็งมาวางตรงเอวซะ แถมใส่แล้วยัง ฝันดีนะจ้าอีก  :016::016: :025: :015: :015
:

10
มือคู่นี้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตา และฝีเข็ม ขั้นเทพ :015:




ท่านเมตตาสักเก้ายอด + พระพิฆเนศวร์ ในครั้งแรก พร้อมบอกให้ประสบความสำเร็จ



หลังจากนั้นได้ไปกุฏิ ท่านมหาสมชาย สัก2อย่าง แต่บอก แล้วแต่โยมทำบุญ แถมมีของที่ระลึกอีก :054:



หลังจากนั้นอีก2สัปดาห์ก็ได้เลื่อนขั้น :015:

11





ติชมได้เต็มที่เพิ่งได้มาครับ :054:

12





 จัดสร้าง โดย อ.หนุ่ม วัดบางแวก  ใครสักจูงนางมาได้ถ้าได้ ลอยองค์มาละก้อดุจ พยัคฆ์ติดปีกแน่นนอน


*คำเตือนมี ของดี ครูบาอาจาย์เก่ง ก็ใช้ควรพิจารณา สตรีมีสามี หญิงชรา ห้ามยุ่งเด็ดขาด*

13
เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่อสง่า วัดหนองม่วง ราชบุรี เนื้อทองแดงรมดำ สร้างปี 2511 มีรอยจาร ลายมือหลวงพ่อสง่าจารเอง ใช่หรือไม่   เหรียญนี้ดีหรือเปล่า:054: :054:






แล้วเท็จจริงประการใด ที่เหรียญไม่มีพ.ศ ได้ถูกขโมยจากวัดหนองม่วง ตั้งแต่หลวงพ่อยังอยุ่เลยทำให้ปัจจุบันมีเหรียญเลียนแบบจำนวนมาก

ขอบพระคุณล่วงหน้า :054:

14
 

5 วิธี ตั้งรับ “ตนขี้อิจฉา ”


1. ยอมรับว่ามันเกิดขึ้นแล้ว :
ขอให้ตั้งสติและยอมรับว่าเรื่องนี้มันได้เกิดขึ้นกับเราแล้ว เพื่อที่จะได้กลับมาทบทวนหาหนทางแก้ไขต่อไป
     2. ปล่อยมันไป เมื่อทำใจได้แล้ว :
 เพราะถ้าหากเราคือเพชรแท้…อยู่ที่ไหนก็ยังคงเปล่งประกายวันยังค่ำ… ปล่อยให้พวกกรวด หิน ดิน ทราย ขี้อิจฉาทั้งหลายแพ้ภัยตัวเองกันไป แล้วกัน

   

3. เอาชนะด้วยความดี : หากอยากจะเอาชนะศัตรู ก็จงเอาชนะด้วยความดี แล้วสักวันหนึ่ง เขาอาจจะเสียใจที่เคยคิดอิจฉาคนดีๆ อย่างเรา

      4. ทุ่มเทให้กับงาน : อย่ามัวแต่หมกมุ่นครุ่นคิดอยู่กับเรื่องจุกจิกพรรค์นี้ จนกลายเป็นอุปสรรคให้ต้องเสียงานเสียการ

 [
color=#ff75ff]     5. ปรับความเข้าใจ :[/color] ลองหาช่วงเวลาเหมาะๆ เข้าไปนั่งจับเข่าคุยกัน เปิดอกเคลียร์ปัญหาด้วยการเริ่มต้นเจรจา อย่างสุภาพและต้องใจกว้างพอเมื่อถูก วิจ ารณ์จากคู่กรณี อย่าเพิ่งจี๊ดจนไฟออกหู ถ้าอยากปรับความเข้าใจกัน
 



 
***ที่สำคัญลองส่องกระจกดูตนเอง ด้วยว่าตนเองเป็นตนขี้อิจฉาเป็นแม่มดที่คอยสร้างยุยงให้ใครเข้าใจผิดแตกแยกกันหรือไม่หรือไม่***
 
 

15























*การทำความดีโดยไม่หวังสิ่งตอบช่างหายากในปัจจุบัน*

16




เมื่อวันที่ 14 ต.ค. ผู้สื่อข่าว จ.ตรัง ได้รับแจ้งจากชาวบ้านในพื้นที่ หมู่ที่ 1 ต.หนองตรุด อ.เมือง จ.ตรัง ว่า มีงูประหลาดสองหัวขนาดจิ๋ว จึงเดินทางไปตรวจสอบ ที่บ้านเลขที่ 76/2 หมู่ที่ 1 ซึ่งพบชาวบ้านหลายสิบคนกำลังแห่มาดู งูประหลาดสองหัวขนาดจิ๋ว ที่ลักษณะของลำตัวมีสีดำ ตัดด้วยลายขวางสีเงิน มีความยาวทั้งตัวขนาด 6 นิ้ว โดยมีชาวบ้านที่ทราบข่าว ทยอยมาขอดูงูสองหัวประหลาดจำนวนมากตลอดทั้งวัน

         ทั้งนี้ จากการสอบถาม นางยุพิน คงประสม  อายุ 52 ปี ซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน และเป็นผู้พบเห็นงูสองหัวคนแรก กล่าวว่า ในขณะที่ตนเองกำลังจะเข้าห้องน้ำ เพื่ออาบน้ำก็พบเห็นงูตัวดังกล่าว นอนขดอยู่บริเวณพื้นกลางห้อง ซึ่งพื้นห้องน้ำ เป็นพื้นกระเบื้องที่มีความเย็น จึงได้ตระโกนเรียกให้ลูกสาวนำแก้วน้ำ เพื่อมาจับงูสองหัวตัวนี้เก็บไว้

         โดยชาวบ้านเรียกงูชนิดนี้ว่า งูปล้องเงิน แต่มีความประหลาดที่มีขนาดเล็กกว่างูปล้องเงินทั่วไปและมีสองหัว ซึ่ง นางยุพิน เชื่อว่างูตัวนี้จะนำโชคลาภมาให้ ตนเองและครอบครัว จึงจะเก็บรักษางูตัวนี้ไว้เพื่อบูชาอย่างดี และจะไม่ยอมยกให้ใครเพราะถือว่างูต้องการมาอยู่กับตนเอง ส่วนชาวบ้านที่แห่มาขอดูงูประหลาดนั้น นางยุพิน ยินดีและไม่ขัดข้องที่จะนำงูออกมาโชว์ให้ดู เพราะถือเป็นความเชื่อเฉพาะบุคคล และ ใครจะนำไปตีเป็นเลขเด็ดตัวใดนั้น ทางนางยุพินก็ไม่สอบถาม เพราะถือว่าเป็นโชคของใครก็ของคนนั้น



ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก ข่าวสด


17

          วันนี้ (16 ตุลาคม) พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ อดีตผู้บัญชาการประจำกรมตำรวจ, พ.ต.ท.พันศักดิ์ มงคลศิลป์ อดีตสว.สส. สภ.อ.เมือง ปราจีนบุรี(ขณะนั้น), จสต.ยงค์ กล่ำนาค อดีต ผบ.หมู่ สภ.อ.เมืองปราจีนบุรี (เสียชีวิต), ด.ต.สมนึก เวชศรี อดีตผบ.หมู่ สภ.อ.สระแก้ว, นายวีระชัย พลทิแสง, นายนิคม หรือป๊อด มนต์ศิริ, นายสำราญ แจ่มจำรัส หรือฉายา "พงษ์ ปากกว้าง", นายสมหมาย พุดเทศ (เสียชีวิต) และนายสุภาพ ช่างสาย (เสียชีวิต) จำเลยที่ 1-9 ในคดีอุ้มฆ่าแม่-ลูกตระกูลศรีธนะขัณฑ์ ได้เดินทางมารับฟังคำพิพากษาของศาลฎีกา หลังจากศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้ประหารชีวิต หลังจากที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 และนายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง  

          อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเมื่อเวลา 09.45 น. ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ให้ประหารชีวิต พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ อดีตผู้บัญชาการประจำกรมตำรวจ อดีตหัวหน้าชุดติดตามหาเครื่องเพชรของเจ้าชายไฟซาล เจ้าชายประเทศซาอุดิอาระเบีย ที่ถูกคนงานไทยขโมยเพชร และนำเข้ามาในประเทศไทย

          ทั้งนี้ คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ.2545 ให้จำคุกตลอดชีวิต พล.ต.ท.ชลอ จำเลยที่ 1 ฐานเป็นผู้สนับสนุนให้ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและให้จำคุกตลอดชีวิต จำเลยอีก 3 คน คือ พ.ต.ท.พันศักดิ์, นายนิคมและนายสำราญ ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา นอกจากนั้น ให้จำคุก จสต.ยงค์ เป็นเวลา 4 ปี ฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ส่วนจำเลยที่ 4 ด.ต.สมนึก พิพากษายกฟ้อง สำหรับ นายวีระชัย จำเลยที่ 5 และนายสมหมาย จำเลยที่ 8 ให้จำคุกคนละ 2 ปี 8 เดือน ฐานร่วมกันสนับสนุนให้เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ต่อมาโจทก์ร่วมอุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษ ขณะที่จำเลยที่ 1, 2, 6 และ7 อุทธรณ์ขอให้ศาลยกฟ้อง เนื่องจากไม่ได้กระทำผิด

          ต่อมาวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ.2549 ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแก้โดยเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1, 2, 6 และ7 ฟังไม่ขึ้น เชื่อว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกันกระทำความผิดจริงตามฟ้อง โดยจำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานเป็นตัวการสนับสนุนให้ฆ่าผู้อื่นโดยเจตน ซึ่งโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต และมีความผิดฐานเป็นตัวการสนับสนุนกักขังหน่วงเหนี่ยวผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพ ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิตจำเลยที่ 1 ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย จึงพิพากษาแก้ให้ประหารชีวิตจำเลยที่ 1 สถานเดียว ส่วนจำเลยที่ 2, 6 และ7 ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้จำคุกตลอดชีวิต



          ส่วน จสต.ยงค์ จำเลยที่ 3 ได้เสียชีวิตขณะอุทธรณ์ จึงให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ส่วน นายวีระชัย จำเลยที่ 5 และนายสมหมาย จำเลยที่ 8 ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกคนละ 2 ปี 8 เดือนนั้น ได้ประกันตัวระหว่างอุทธรณ์คดี ซึ่งอัยการโจทก์-จำเลย ไม่ได้ยื่นอุทธรณ์คดี ทำให้คดีของจำเลยที่ 5 และ 8 ถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และศาลมีคำสั่งให้ออกหมายจับจำเลยทั้งสองมาบังคับคดีตามคำพิพากษาแล้ว ต่อมา จำเลยยื่นฎีกาและศาลฎีกาได้ส่งคำพิพากษามาที่ศาลอาญา ซึ่งศาลนัดฟังคำพิพากษาของศาลฎีกาในวันนี้ (16 ตุลาคม) ที่ห้องพิจารณาคดี909 เวลา 09.30 น.




ปิดตำนาน คุ้มพระลอ ชลอเกิดเทศ


          ในที่สุดคดีอุ้มฆ่า 2 แม่ลูกตระกูล "ศรีธนะขัณฑ์" จากคดีเพชรซาอุฯ ก็มาถึงจุดจบหลังใช้เวลาดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมเกือบ 15 ปี เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ยืนตามคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ให้ประหารชีวิต พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ จำเลยที่ 1 ฐานเป็นผู้สนับสนุนให้ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน ส่วนจำเลยอื่นๆ คดีจบไปก่อนถึงชั้นศาลฎีกา

          คดีดังกล่าว สืบเนื่องจากพนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 และนายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.ท.ชลอ อดีตผู้บัญชาการประจำกรมตำรวจ พ.ต.ท.พันศักดิ์ มงคลศิลป์ อดีตสว.สส. สภ.อ.เมือง ปราจีนบุรี จ.ส.ต.ยงค์ กล่ำนาค อดีตผบ.หมู่ สภ.อ.เมืองปราจีนบุรี ด.ต.สมนึก เวชศรี อดีตผบ.หมู่ สภ.อ.สระแก้ว นายวีระชัย พลทิแสง นายนิคม หรือป๊อด มนต์ศิริ นายสำราญ แจ่มจำรัส หรือ พงษ์ ปากกว้าง นายสมหมาย พุดเทศ และนายสุภาพ ช่างสาย ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-9 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน และความผิดอื่นรวม 9 ข้อหา กรณีอุ้มฆ่า นางดาราวดี และ ด.ช.เสรี ภรรยาและบุตรของนายสันติ ไปรีดสอบสวนถึงเพชรของเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด อับดุลอาซิซ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ที่หายไป ก่อนฆ่าอำพรางคดีเป็นอุบัติเหตุ

          ก่อนหน้านี้ เกี่ยวกับคดีศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ.2545 ให้จำคุกตลอดชีวิต พล.ต.ท.ชลอ จำเลยที่ 1 พ.ต.ท.พันศักดิ์ จำเลยที่ 2 นายนิคม จำเลยที่ 6 และนายสำราญ จำเลยที่ 7 ส่วนจ .ส.ต.ยงค์ จำเลยที่ 3 จำคุกเป็นเวลา 4 ปี นายวีระชัย จำเลยที่ 5 และนายสมหมาย จำเลยที่ 8 ให้จำคุกคนละ 2 ปี 8 เดือน และให้ยกฟ้อง ด.ต.สมนึก จำเลยที่ 4 ต่อมาวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ.2549 ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแก้ให้ประหาร พล.ต.ท.ชลอ สถานเดียว ขณะที่จำเลยอื่นพิพากษายืน โดยที่ จ.ส.ต.ยงค์ นายสมหมาย และนายสุภาพ เสียชีวิตระหว่างพิจารณาคดี

          สำหรับคดีอุ้มฆ่านางดาราวดี และ ด.ช.เสรี 2 แม่ลูกตระกูลศรีธนะขัณฑ์ เป็นคดีเกรียวกราวไปทั่วประเทศ เมื่อปี 2537 เมื่อ "ป๋าลอ" พล.ต.ท.ชลอ ได้รับการแต่งตั้งจาก พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในขณะนั้นให้เป็น 1 ใน 4 ชุดเฉพาะกิจติดตามคดี นายเกรียงไกร เตชะโม่ง อดีตแรงงานไทยโจรกรรมเครื่องเพชรมาจากพระราชวังไฟซาล ของเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด อับดุล อาซิซ แห่งประเทศซาอุดีอาระเบีย แล้วหลบหนีเข้ามาในเมืองไทย

          จากนั้น ทีมสืบสวนของ พล.ต.ท.ชลอ เชื่อว่าเครื่องเพชรบางส่วนที่นายเกรียงไกร โจรกรรมมาอยู่ในความครอบครองของนายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ เจ้าของร้านเพชรสันติมณี สามีของนางดาราวดี และน่าจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การติดตามหาเพชร "บลูไดมอนด์" โคตรเพชรขนาด 12.5 กะรัต ที่ทางการซาอุดีอาระเบียต้องการจะนำกลับคืน จึงนำมาสู่วิธีการสืบสวนนอกระบบ โดยการอุ้มนางดาราวดี และ ด.ช.เสรี ภรรยาและบุตรชายของนายสันติ จากบ้านพักย่านตลิ่งชัน ไปกักขังไว้ที่บังกะโล กวีวิลล่า อ.สระแก้ว จ.ปราจีนบุรี (ในสมัยนั้น) นานกว่า 1 เดือน เพื่อต่อรองและเรียกค่าไถ่ 2.5 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีการข่มขืนกระทำชำเราเหยื่อ และฆ่าทิ้ง

          ในครั้งนั้น นางดาราวดี และด.ช.เสรี ถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม ทีมสังหารใช้ไม้ตี 2 แม่ลูกจนคอหักตาย ก่อนจะนำศพทั้งคู่ยัดใส่ในรถเบนซ์ รุ่น 230 อี สีขาว หมายเลขทะเบียน 8 ษ-2327 กรุงเทพมหานคร ของนางดาราวดี ในตำแหน่งเบาะคู่หน้าคนขับและปล่อยให้รถไหลจากเนินสูงข้างทางบนถนนมิตรภาพ ต.ตาลเดี่ยว อ.แก่งคอย จ.สระบุรี ในจังหวะเดียวกับที่รถบรรทุก 10 ล้อวิ่งสวนทางมา และชนเข้ากลางลำอย่างจัง โดยที่สถาบันนิติเวชสรุปผลการชันสูตรศพในครั้งนั้นว่าเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุ

          อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการรื้อคดี พล.ต.ท.ชลอ  และพวก ถูกจับกุมดำเนินคดี ศาลพิเคราะห์ประกอบคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของ พ.ต.ท.พันศักดิ์กับพวก ซัดทอดว่าได้รับคำสั่งจาก พล.ต.ท.ชลอ ให้ไปอุ้ม 2 แม่ลูกตระกูลศรีธนะขัณฑ์เพื่อกดดันสามีเกี่ยวกับการติดตามเพชรซาอุฯ แต่นายสันติกลับนำเรื่องหายตัวของลูกเมียไปร้อง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รมว.มหาดไทย ในขณะนั้น ทำให้ไม่สามารถปล่อยตัว 2 แม่ลูกกลับไปได้ จึงต้องวางแผนฆ่า แล้วอำพรางคดีเป็นอุบัติเหตุ รับฟังได้ว่า พล.ต.ท.ชลอ ร่วมกับพวกกระทำความผิด จึงลงโทษประหารชีวิต พล.ต.ท.ชลอ สถานเดียว





พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ



          ทั้งนี้ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ เจ้าของฉายาทั้ง "มือปราบพระกาฬ" และ "สิงห์เหนือ" เกิดเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ.2481 ปัจจุบันอายุ 71 ปี เป็นบุตรชายของ พ.ท.แช่ม และนางทองคำ เกิดเทศ เป็นชาวกรุงเทพฯ จบการศึกษาระดับมัธยมที่โรงเรียนอำนวยศิลป์ จากนั้นเข้าโรงเรียนเตรียมทหารรุ่น 17 ก่อนแยกเหล่าเรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 15 ติดยศ ร.ต.ต. ที่ สน.นางเลิ้ง

          จากนั้น ร.ต.ต.ชลอ ย้ายไปอยู่ จ.หนองคาย และพระนครศรีอยุธยา และตระเวนภูธรแทบทุกจังหวัดในภาคกลาง เช่น สระบุรี ย้ายไปลพบุรี แล้วกลับไปสระบุรี ก่อนก้าวหน้าในตำแหน่งตามลำดับสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง รองผู้บังคับการกองปราบปราม ผู้บังคับการตำรวจภูธร 8 พิษณุโลก ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจภูธร 3 ลำปาง ผู้ช่วยผู้บัญชาการศึกษา รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ก่อนรับตำแหน่งผู้บัญชาการประจำกรมตำรวจ

          นอกเหนือจากงานในหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราชแล้ว พ.ศ. 2525-2538 พล.ต.ท.ชลอ ยังมีส่วนในการพัฒนาวงการฟุตบอลไทย โดยรับตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยเป็นเวลากว่า 13 ปี ผลงานโดดเด่น คือ มีส่วนทำให้ฟุตบอลคิงส์คัฟกระหึ่มในระดับเอเชีย ส่วนเวลาว่างมักเก็บตัวอยู่กับทีมงานในคุ้มพระลอ ซึ่งกินพื้นที่กว้างขวางใน จ.ตาก

          ตลอดระยะเวลารับราชการ พล.ต.ท.ชลอมี ส่วนร่วมคลี่คลายคดีสำคัญมากมาย เช่น จับคนร้ายฆ่าอดีต ส.ส.กำธร ลาชโรจน์ คดีฆ่าเสี่ยปุ้ยที่เชียงใหม่ คดีฆ่าผู้จัดการของ ทูน หิรัญทรัพย์ จับมือปืนฆ่าอดีต บก.น.ส.พ.ตะวันสยาม วันดี ทองประภา คดี เสี่ยฮวด ที่ชลบุรี ฯลฯ ก่อนได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชาแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าชุดเฉพาะกิจคลี่คลายคดี เพชรซาอุฯ จนตกเป็นผู้ต้องหาพัวพันเกี่ยวกับการตายของ 2 แม่ลูกตระกูล ศรีธนะขัณฑ์ต้องออกจากราชการเมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ.2537 และมีคำพิพากษาศาลฎีกาตัดสินให้ประหารชีวิตในที่สุด


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจาก เดลินิวส์, แนวหน้า

18
การเข้าใจในกิจของพระภิกษุ

    เช่น การศึกษา การปฏิบัติธรรม และการเป็นนักบวชที่ดีพระภิกษุเป็นพุทธบริษัทระดับนำ จึงมีภาระหน้าที่ในการสืบทอดพระพุทธศาสนา โดยทำหน้าที่หลักใหญ่ ๆ 3 ประการคือ

                1. การศึกษา ได้แก่ การทำ “คันถธุระ” หมายถึง พระภิกษุจะต้องศึกษาหลักพระธรรมวินัยตามพระคัมภีร์พระไตรปิฎก
เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในพระธรรมวินัย อย่างถูกต้อง สามารถนำไปประพฤติปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับสมณเพศ

                  2. การปฏิบัติ ได้แก่การทำ “วิปัสสนาธุระ” หมายถึง การฝึกฝนอบรมจิตให้เป็นสมาธิ ให้มีพลัง เพื่อนำไปใช้ในการข่ม
หรือกำจัดกิเลสคือความเศร้าหมองแห่งจิต และให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริง จากการทำหน้าที่ที่เป็นประโยชน์ส่วนตนทั้ง 2 ประการนั้นก็เพื่อนำไปสั่งสอน ถ่ายทอด และเผยแพร่พระธรรม แก่พุทธศาสนิกชนและบุคคลทั่วไปการสั่งสอนและเผยแพร่พระธรรม ซึ่งเป็นหน้าที่โดยตรงของพระภิกษุในการเผยแพร่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อให้พุทธศาสนิกชน และบุคคลทั่วไป ได้เข้าใจในหลักธรรมและสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของตนเองและสังคมได้อย่างปกติสุข เป็นการทำประโยชน์แก่สังคมโดยรวม

             ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 11 พระพุทธเจ้าได้ตรัสหน้าที่ของพระสงฆ์ในการสั่งสอนเผยแพร่หลักธรรมแก่ประชาชนไว้ 6 ประการคือ

            1) สอนให้ละเว้นความชั่ว คือ การชักจูงใจให้บุคคลพึงละเว้นจากสิ่งที่กระทำลงไปแล้วเกิดโทษ ไม่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น
ทำให้เกิดเป็นความทุกข์

            2) สอนให้ทำความดี คือ การชักจูงใจให้บุคคลประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่เป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น สิ่งที่เป็นกุศล เป็นไปเพื่อประโยชน์สุข

            3) อนุเคราะห์ด้วยจิตใจอันงาม หมายถึง การให้ความช่วยเหลือ และแนะนำสั่งสอนด้วยความปรารถนาดี มุ่งประโยชน์ที่บุคคลถึงได้รับเป็นสำคัญ ไม่หวังสินจ้างรางวัล ลาภ ยศ หรือชื่อเสียงใด ๆ เป็นการตอบแทน

            4) สอนสิ่งที่เขาไม่เคยสดับตรับฟังมาก่อน ประชาชนส่วนมากมักวุ่นวายอยู่กับการทำมาหาเลี้ยงชีพ ไม่ค่อยมีเวลาศึกษาและสดับพระธรรม พระสงฆ์ผู้ได้มีโอกาสศึกษาและปฏิบัติมากกว่าชาวบ้าน จึงต้องนำเอาสิ่งที่ตนเรียนรู้มาถ่ายทอดให้เขาได้รู้ด้วย

             5) อธิบายสิ่งที่เขาได้ยินได้ฟังมาแล้วให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น บางเรื่องที่เขาฟังมาแล้วเกิดความสงสัยไม่แน่ใจ ก็ต้องชี้แจงให้เขาเข้าใจแจ่มแจ้งหายสงสัย โดยรู้จักการจับประเด็นที่สำคัญมาขยาย และชี้แจงแต่ละประเด็นให้ชัดเจน

             6) บอกทางสวรรค์ให้ หมายถึง การบอกทางสุข ทางเจริญ โดยการแนะนำทางดำเนินชีวิตที่ดีงาม และเป็นประโยชน์สุขแก่ประชาชน

          3. การเป็นนักบวชที่ดี พระภิกษุสงฆ์ ซึ่งเป็นบรรพชิตในพระพุทธศาสนา มีหน้าที่ศึกษา ปฏิบัติธรรม เผยแผ่คำสอน ดังที่กล่าวมาแล้ว พระภิกษุจะต้องเป็นผู้สืบต่อพระพุทธศาสนา มีคุณธรรมและหลักความประพฤติที่ต้องปฏิบัติมากมาย นอกจากอนุเคราะห์พุทธศาสนิกชนแล้ว พระภิกษุจะต้องหมั่นพิจารณาตนเอง คือ พิจารณาเตือนใจตนเองอยู่เสมอตามหลัก ปัพพชิตอภิณหปัจจเวกขณ์ (ธรรมที่บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ) 10 ประการดังนี้คือ

           3.1 เรามีเพศต่างจากคฤหัสถ์ สลัดแล้วซึ่งฐานะ ควรเป็นอยู่ง่าย จะถือเอาแต่ใจตนเองไม่ได้
           3.2 ความเป็นอยู่ของเราต้องอาศัยผู้อื่นในการเลี้ยงชีพ ควรทำตัวให้เลี้ยงง่าย และบริโภคปัจจัย 4 โดยพิจารณา ไม่บริโภคด้วยตัณหา
           3.3 เรามีอากัปกิริยาที่พึงทำต่างจากคฤหัสถ์ อาการกิริยาใด ๆ ของสมณะ พระภิกษุต้องทำอาการกิริยานั้น ๆ และยังจะต้องปรับปรุงตนให้ดียิ่งขึ้นไปกว่านี้
           3.4 ตัวเราเองยังติเตียนตัวเราเองโดยศีลไม่ได้อยู่หรือไม่
           3.5 เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ผู้เป็นวิญญูชน พิจารณาแล้ว ยังติเตียนเราโดยศีลไม่ได้อยู่หรือไม่
           3.6 เราจักต้องถึงความพรากจากของรักของชอบใจไปทั้งสิ้น
           3.7 เรามีกรรมเป็นของตน เราทำกรรมใด ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม จักต้องเป็นทายาทของกรรมนั้น
           3.8 วันคืนล่วงไป ๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่
           3.9 เรายินดีในที่สงัดอยู่หรือไม่
           3.10 คุณวิเศษยิ่งกว่ามนุษย์สามัญที่เราบรรลุแล้วมีอยู่หรือไม่ ที่จะให้เราเป็นผู้ไม่เก้อเขิน เมื่อถูกเพื่อนบรรชิตถามในกาลภายหลัง

http://mediacenter.mcu.ac.th/data/caipyo/m4/Unit4/unit4-1.php

19



วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2552
คม ชัด ลึก


ชั่วโมงเซียน-ให้ตัด คำว่า "เพชรตาแมว" ออกได้ครับ มหัศจรรย์แห่งอัญมณีลี้ลับธรรมชาติ
 
 

ภาพประกอบข่าวคมชัดลึก : "มหัศจรรย์แห่งวัตถุที่เกิดขึ้นเองจากธรรมชาติ" เป็นคติความเชื่ออย่างหนึ่งที่คนไทยยึดถือและเชื่อมาแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยมีคติความเชื่อว่า "ผู้ใดได้ครอบครอง จะนำมาด้วยความโชคดี ความเป็นสิริมงคล การเงิน ค้าขาย ทางด้าน เกื้อหนุน หนนนำ

 ให้มีแต่สิ่งดีๆเข้ามาแต่ผู้ครอบครอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การงาน เงินทอง หรือแม้แต่โชคลาภ" เช่น เหล็กไหลดำ เหล็กไหลตาน้ำ,ทองคำดำ,พญาสมิงเหล็ก เหล็กไหลบารมี โคตรเหล็กไหล เหล็กหลบ แร่บางใผ่ แร่เกาะล้าน เป็นต้น

 ประเภทวัตถุอาถรรพ์แบบสัตว์ คตผึ้ง,คตหอย,เพชรตาแมว,งากระเด็น(งาสลัด), งูปากเป็ด,จิ้งจกสองหาง,ผึ้งทำรังตามบ้าน, รกแมว,ลูกกรอก, เขี้ยวหมูตัน,ปูหิน,เขี้ยวเสือกลวง,ตะขาบทองแดง,คตปลวก,กระโปกทองแดง,ตับทองแดง,คนลิ้นดำ เขากวางคุต,งาช้างกลวง,นอแรด,คตหอยพระธาตุ เป็นต้น
 อย่าไรก็ตามเมื่อเร็วๆ นี้ ดร.ไพโรจน์ สุขจั่น เป็นประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท บัวทอง พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด โชคดีได้แมวตาเพชรตัวหนึ่ง ไม่ว่าแมวตัวดังกล่าวจะเป็นแมวตาเพชรตามตำราหรือไม่ แต่หลังจากดร.ไพโรจน์ ได้แมวตัวดังกล่าวมาครอบครอง ธุรกิจขายบ้านจัดสรรดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มีสิ่งดีๆเข้ามาเสมอๆ แม้กระทั่งลาภลอยต่างๆ โดยเขาได้เลี้ยงดูเป็นอย่างและหวงเหมือนไในหิน เปรียบเสมือนเขาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเลยทีเดียว
 แม้ว่าดร.ไพโรจน์ จะไม่ปักใจเชื่อว่าแมวตัวดังกล่าวจะเป็นแมวตาเพชรจริงๆ แต่มันเป็นแมวที่มีตาแปลกกว่าแมวตัวอื่นๆ คือ เมื่อดวงตาสะท้อนแสง ดวงตาจะมีแสงสีเขียวมรกตส่องประกายงดงามยิ่งนัก ทุกคนที่ได้พบเห็นต่างต้องบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าดวงตาแมวตัวนี้งามจริงๆ  ยิ่งเมื่อถ่ายภาพโดยการใช้แฟลตด้วยแล้วยิ่งทำให้ดวงตาส่องแสงเหมือนสปอทไลท์    มันจึงแปลกกว่าแมวตัวอื่นอย่างชัดเจน
 คติความเชื่อเรื่อง เพชรตาแมวเกิดจากแมวซึ่งตาเป็นต้อหิน ข้างใดที่เป็นจะมีน้ำเลี้ยงไหลออกมาตลอดเวลา แต่แมวจะไม่มีความเจ็บปวด แต่ข้างที่เป็นต้อจะมองไม่เห็น เมื่อแมวเสียชีวิตตาข้างที่เป็นต้อจะแข็งเหมือนก้อนหิน เรียกว่า เพชรตาแมว
 แมวตาเพชรที่จัดว่าหายากมาก ตาเพชรทั้ง๒ ข้างของแมวชนิดนี้ จะเป็นแก้วหรือเพชรใส ตอนเป็นแมวตาเพชรยังมีชีวิตอยู่เมื่อมองเหยื่อนาน ๆ เหยื่อประเภทจิ้งจก, นก, หนู จะแพ้นัยตาแมวแล้วตกมาเป็นอาหารแมว โดยที่แมวไม่ต้องทำอะไรชีวิตอยู่ และหลังจากตายแล้วจึงกลายเป็นเพชรตาแมว ถึงแม้ร่างกายจะเน่าเปื่อยไปแล้ว แต่นัยตาเพชรจะคงสภาพใสวาว ยิ่งกว่าเพชรเสียอีก นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่แมวสีสวาทเป็นเพชรตาแมวมีราคามหาศาลยิ่งกว่าพระเครื่องหลายเท่าตัว ตามที่สนนราคากันเพื่อความอยากเป็นเจ้าของอยู่ในหลักล้านบาท
 เหตุผลที่ทำให้แมวตาเพชรมีราคาสูงถึงหลักล้าบาทนั้น นอกจากไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครจะได้เห็นหรือครอบครองแล้วยังไปผูกติดกับคติความเชื่อเรื่องบุญวาสนา ตั้งแต่ชาติ ปางก่อน ที่สัตว์ประเภทนี้ตามมารับใช้เจ้าของ  อานุภาพของเพชรตาแมวนั้นมีคุณวิเศษดังแก้วสารพัดนึก ดีเด่นทางด้านมหาสิทธิโชค โภคทรัพย์เรียกลาภ เมตตามหานิยม มหาอำนาจ เตือนภัย ป้องกันภัยอันตรายได้สารพัด  ผู้ใดได้ครอบครองเป็นเจ้าของอย่างถูกต้องตามครรลองคลองธรรม จะพบพานแต่ความเจริญรุ่งเรือง  ร่ำรวยทรัพย์สินเงินทองเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง  เพชรตาแมวประเภทใส ยังมีคุณสมบัติแคล้วคลาดจากอันตรายได้ และเพชรตาแมวยังมีคุณสมบัติคล้ายกับเหล็กไหล จะต่างกันเพียงแต่เพชรตาแมวเกิดจากสัตว์ ส่วนเหล็กไหลเกิดจากแร่ธาตุที่มีวิญญาณมนุษย์, อมนุษย์, ยักษ์, เทพ, เทวา, ฤษี คุ้มอยู่ หากผู้ที่ได้ครอบครองเพชรตาแมวแบบไม่ถูกต้องตามครรลองครองธรรม แล้วจะมีอันเป็นไปต่างๆนาๆ บางครั้งความอยากได้เพชรตาแมวไว้ครอบครองอาจจะต้องแลกมันมาด้วยชีวิต 
 กำเนิดของเพชรตาแมวนั้นเป็นเรื่องลี้ลับยิ่งนัก ตั้งแต่โบราณกาลมาบูรพาจารย์ผู้รู้ท่านได้กล่าวเอาไว้ว่าเป็นของกายสิทธิ์อิทธิฤทธิ์เกรียงไกร ใน ๑๐๐ ปี ถึง ๑,๐๐๐ ปี  จึงจะมาจุติยังดินแดนสุวรรณภูมิสัก ๑ ตน โดยเทพที่จะมาเกิดเป็นแมวได้นำแก้วมณีสารพัดนึก ซึ่งเป็นของวิเศษประจำตัวจากสรวงสวรรค์ลงมาจุติเพื่อชดใช้เศษกรรมที่ยังเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยก่อนที่จะกลับขึ้นไปบำเพ็ญตบะยังสรวงสวรรค์ดังเดิม
     

    ก่อนที่จะละสังขารเขาจะประทานแก้ววิเศษที่รู้กันในนามเพชรตาแมวให้แก่ผู้ที่มีพระคุณ  เลี้ยงดูเขามาจนถึงวาระที่เขาได้ชดใช้เศษกรรมบางอย่างจนหมดสิ้นแล้ว โดยก่อนจะจากไปเขาจะเข้ามาคลอเคลียกับผู้ที่เป็นเจ้าของเหมือนเป็นการบอกลาอยู่ในทีเป็นครั้งสุดท้าย  และทิ้งเพชรตาแมวของตนไว้ให้กับเจ้าของ  ก่อนที่จะจากไปอย่างไม่มีวันกลับมาอีกต่อไป โดยบางตัวจะละสังขารต่อหน้าเจ้าของ แต่บางตัวจะจากไปละสังขารที่อื่น และไม่มีใครพบหรือเห็นซากสังขารของเขาเป็นที่น่าประหลาดใจยิ่งนัก
 หินใส เพชรตาแมวชนิดนี้เกิดขึ้นกับแมวที่เจ้าของเลี้ยงดูแลเป็นอย่างดี ส่วนมากจะเป็นตาเพชรข้างเดียว เพชรตาแมวประเภทนี้จะมีความใสปนขุ่น มีขนาดลูกแก้ว ในความใสจะมีลักษณะเหมือนเสี้ยนไผ่อยู่ในตา ม่านตา เมื่อส่องด้วยกล้องขยายจะเห็นเป็นรังผึ้งขนาดเล็กและมีเส้นเลือดขนาดเล็ก คุณสมบัติจะเหมือนข้อแรก เพชรตาแมวประเภทนี้จะมีสีฟ้าน้ำทะเล, สีเหลือง,เขียวอมฟ้า ม่วงอมชมพู ฯลฯ ลักษณะพิเศษนี้จะเปลี่ยนไปหลังจากแมวเสียชีวิตแล้ว ขึ้นอยู่กับเจ้าของผู้ครอบครอง จะหมั่นสร้างบุญบารมี ทำคุณงามความดี เพชรตาแมวถึงจะสำแดงฤทธิ์เดชให้เจ้าของได้ประจัก
เรื่องแมวตาเพชรนั้นเป็นความเชื่อและควาามชอบส่วนบุคคล อย่างไรก็ตามในวันศุกร์ที่๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๒ ตรงกับวันปิยมหาราช ดร.ไพโรจน์ ได้จัดพิมพ์ภาพแมวสี่สีด้วยกระดาษอย่างแจกฟรี ให้กับผู้ที่จะไปเยี่ยมชมถ้ำแก้วเนรมิตร ซึ่งเป็นถ้ำแห่งเดียวใน จ.นนทบุรี ที่ทำจากหินธรรมชาติศักดิ์สิทธิ์นับหมื่นชิ้น นอกจากนี้แล้วเพื่อเป็นการเสริมสร้างบารมีดร.ไพโรจน์ ยังพิมพ์หนังสือมงคงคาถามหาเศรษฐี บุญหนุนนำกรรมลิขิต ความหน้า ๓๕๐ หน้า ๔ สี่ แจกฟรีเพื่อเป็นธรรมทานให้กับผู้ไปร่วมงานทุกท่านอีกด้วย


ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก คมชัดลึก

20
ว่านดอกทองหรือรากราคะ
 


"รากราคะ" หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า " ว่านดอกทอง"ซึ่งเป็นว่านโบราณที่หายากและใกล้จะสูญพันธุ์

นายณรงค์ ค้านอธรรม นักอนุรักษ์ว่านไทยโบราณ เจ้าของว่านรากราคะ เผยว่า ว่านนี้อยู่ในวงศ์ซิงจิเบอร์เรซี เป็นพืชตระกูลเดียวกับขิง ลักษณะลำต้นใต้ดินเป็นเหง้ากลม แตกแง่งเป็นไหลเล็กยาว 5-10 นิ้ว เนื้อในหัวถ้าเป็นตัวผู้จะมีสีเหลือง ส่วนตัวเมียเนื้อสีขาว มีกลิ่นคาวจัดคล้ายกับอสุจิของคนพบมากทางภาคตะวันตกและภาคเหนือ แถบจังหวัดกาญจนบุรี ตาก ลำปาง ใบเป็นรูปหอกสีเขียวมีขนาดเล็กเส้นกลางใบสีแดง ทั้งต้นสูงประมาณ 1 ฟุต ออกดอกในหน้าฝน คล้ายดอกกระเจียว แต่ไม่มีก้านดอกจะอยู่ติดกับพื้นดิน มีสีขาวอมเหลือง โดยแทงดอกขึ้นจากเหง้าหลักที่อยู่ใต้ดินก่อนการงอกขอ งใบว่านดังกล่าวนี้

ตามตำราโบราณระบุว่ามีอำนาจทางเพศรุนแรง โดยเฉพาะผู้หญิงเกิดรุนแรงมาก ถ้าเอาหัว หรือใบหรือต้นใส่โอ่งน้ำหรือบ่อน้ำ หากใครกินเข้าไปจะมีความรู้สึกทางเพศรุนแรงมาก โดยเฉพาะดอกเพียงได้กลิ่นผู้คนที่ได้กลิ่นทั้งหญิงแล ะชายจะพากันมัวเมาในโลกีย์รส ฉะนั้นจึงต้องเด็ดดอกออกเสีย :059:


นอกจากนี้ตามความเชื่อโบราณปลูกไว้ที่บ้าน ร้านค้า มีสรรพคุณทางเมตตามหานิยม ทำให้มีลูกค้าอุดหนุนอย่างไม่ขาดสาย อีกทั้งว่านดังกล่าวใกล้จะสูญพันธุ์แล้ว จึงนำออกมาแสดงให้ประชาชนได้ชมก่อนที่จะสูญพันธุ์ไป



ขอบคุณภาพและข้อมูล  คุณดอกปีป



ฮิสทีเรีย (Hysteria)

เป็นชื่อเรียก ของอาการทางประสาทชนิดหนึ่ง ซึ่งผู้ที่เป็นฮิสทีเรีย จะมีอาการ เกี่ยวกับ การควบคุมอารมณ์  การควบคุมจิตสำนึก ด้านการกระทำลดลง และความกลัวต่าง ๆ โดยอาการฮิสทีเรียนั้น ถือว่าเป็นชนิดหนึ่งในประเภทของ โรควิตกกังวล* ก็ว่าได้ หรือจะเป็น โรคขาดความอบอุ่น* ก็ได้เช่นกัน
  
ผู้ที่เป็นฮิสทีเรีย

จะมีอาการ ยึดติดกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตของตน ด้วยการกระทำดีด้วยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อีกทั้ง ยังจะมีอาการคิดมากวิตกกังกวล อยู่ตลอดเวลา โดยส่วนมากจะเป็นความคิดประเภทที่ว่า ตนเองเป็นคนไร้ความสามารถ มีปมด้อย มีความสามารถด้อยกว่าคนอื่น ฯลฯ แต่อย่างไรก็ตาม อาการอีกอย่างนึงคือ "ความกลัว" กลัวตนเองทำผิดพลาด กลัวว่าตนเองจะถูกทิ้ง กลัวที่จะถูกหวัง กลัวที่จะเริ่มอะไรใหม่ ๆ อาการกลัวที่ได้กล่าวไป เป็นอาการกลัวอันดับต้น ๆ ของผู้ที่เป็นฮิสทีเรีย สิ่งหนึ่งที่ผู้ที่เป็นฮิสทีเรีย มักจะเป็นกันคือ การไม่รู้ตัวตนเองของตัว จึงทำให้ถ้ายึดติดกับสิ่งใด หรือใครแล้ว จะยึดติดมาก แทบจะไม่ปล่อย และไม่ฟังเหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้น นั่นอาจรวมไปถึง พฤติกรรมการเลียนแบบ อีกด้วย
  
เหตุใด จึงกล่าวว่า ฮิสทีเรีย คือ โรคขาดผู้ชายไม่ได้

นั่นเป็นความเข้าใจผิด ความผิดพลาดทางภาษา ความมักง่ายในการใช้ภาษา การคิดไปเองของคนทั่ว ๆ ไป แล้วแต่ใครจะเรียก จึงทำให้ ฮิสทีเรีย กลายเป็น โรคขาดผู้ชายไม่ได้ ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น ผู้ที่เป็นฮิสทีเรียนั้น จะมีอาการที่เรียกว่าขาดความอบอุ่นอยู่ด้วยในตัว และธรรมชาติของมนุษย์ คือต้องการที่ยึดเหนี่ยว ต้องการที่พึ่งพิง โดยความต้องการเหล่านี้ จะเพิ่มพูนสูงขึ้นมาก กับผู้ที่เป็นฮิสทีเรีย จึงทำให้ผู้ที่มีอาการนี้ ถ้ามองอีกแง่หนึ่งอาจจะเป็นคนประเภทพึ่งตัวเองไม่ได้เลย ก็ว่าได้ และจากเหตุนี้เอง ทำให้เมื่อมีใครสักคนหนึ่งมาทำดีด้วยกับตน ก็จะเกิดความรู้สึกผูกพันธ์ขึ้นอย่างรวดเร็ว และในบางรายอาจจะเกิดอาการแสดงความเป็นเจ้าของในระดับหนึ่ง หรือถ้าผู้ที่เป็นฮิสทีเรีย โดยพื้นเป็นคนมีอารมณ์รุนแรงแล้ว การแสดงความเป็นเจ้าของก็จะรุนแรงตามไปด้วย ในบางรายอาจจะรุนแรงถึงขั้นฆ่ากันตายได้ ก็มีมาแล้ว (ของของฉัน ถ้าฉันไม่ได้คนอื่นก็อย่าหวังว่าจะได้) ในประเทศไทยส่วนใหญ่แล้ว คนทั่วไป จะคิดว่าเขาเห็นอะไร ไม่ใช่ เขาเห็นอะไร ประกอบกับความเข้าใจผิด และการได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง


จึงทำให้เหมารวมว่า ฮิสทีเรีย คือโรคขาดผู้ชายไม่ได้

แล้วที่จริงแล้ว โรคขาดผู้ชายไม่ได้คืออะไรละ โรคขาดผู้ชายไม่ได้ หรือ Cassandra Complex** จะหมายถึง อาการของสตรีผู้ซึ่ง มีความต้องการทางเพศไม่สิ้นสุด หรือความต้องการความรัก ความอบอุ่น อย่างไม่สิ้นสุด จากใครสักคน โดยไม่สนว่าชายหรือหญิง และเช่นเดียวกัน อาการดังกล่าวนี้ เกิดได้เช่นเดียวกันในผู้ชาย แต่จากค่านิยมสังคม ที่เดิมผู้ชายเป็นใหญ่กว่า จึงได้ทำให้เรียกว่า "โรคขาดผู้ชายไม่ได้" ไป และภายหลัง ก็เหมารวมไปทั้งหมดในชื่อ Hysteria เนื่องจาก ความแตกต่างอันน้อยนิด ของอาการทั้งสอง
มีผู้ชายเป็นฮิสทีเรียไหม?

คำตอบคือ มี แต่ในจำนวนน้อยกว่ามาก เมื่อเทียบกับผู้หญิง ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เพราะในโลกปัจจุบันผู้หญิงมีมากกว่าผู้ชายอยู่แล้ว และโดยธรรมชาติของเพศชาย สภาพจิตใจจะไม่หวั่นไหวง่ายเท่าเพศหญิง อีกองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญคือ สภาพสังคมการเลี้ยงดูตั้งแต่เด็ก ของเพศชาย และหญิงแตกต่างกัน อย่างเห็นได้ชัด โดยส่วนมาก การเลี้ยงดูของเพศหญิงจะเต็มไปด้วยการดูแลทะนุถนอมเป็นอย่างดี แต่กลับกันเพศชายการเลี้ยงดูเกือบแทบจะเป็นแบบปล่อยเลยก็ว่าได้ (โดยส่วนมาก) นั่นจึงเป็นคำตอบที่ว่า ทำไมถึงไม่ค่อยพบอาการฮิสทีเรียในผู้ชาย

การรักษา?

อย่างที่ได้บอกไปเป็นนัย ๆ แล้ว ฮิสทีเรีย ไม่ใช่โรค จึงไม่อาจมีการรักษาใด ๆ ได้ (ยกเว้น การใช้ยาบางชนิด เพื่อกระตุ้นการหลั่งสาร ที่เกี่ยวกับการควบคุมอารมณ์ แต่นั่นก็ไม่ถือว่าเป็นการรักษาอยู่ดี ถือเป็นการฝืนมากกว่า) สิ่งที่จะทำให้ได้สำหรับผู้ที่เป็นฮิสทีเรียคือ การให้คำปรึกษาที่ดี จากคนใกล้ตัวเอง หรือแม้แต่จิตแพทย์ และที่สำคัญที่สุด ความตั้งใจจริง ที่จะค้นหาตัวตนของตัวเอง

ฮิสทีเรีย ไม่ใช่สิ่งที่เป็นได้ตั้งแต่กำเนิด เพราะฉะนั้น หากมีผู้ที่เป็นฮิสทีเรีย ให้สันนิฐานเบื้องต้นไว้ได้เลยว่า ในอดีตบุคคลผู้นั้น ได้เคยมีการกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง หรือแม้แต่การขาดความอบอุ่นจากพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก ก็เป็นสาเหตุได้เช่นกัน

ถ้าท่านมีคนที่รู้จักเป็นฮิสทีเรีย โปรดนึกไว้เถอะว่า ถึงแม้การกระทำของเขาจะน่ารำคาญ แต่สิ่งที่เขาทำมันมาจากจิตใจที่อ่อนแอของเขาเอง และได้โปรดพึงระลึกไว้เสมอว่า ฮิสทีเรีย ไม่ใช่อาการขาดผู้ชายไม่ได้ เสมอไป สำหรับผู้ที่เป็นฮิสทีเรีย คุณไม่ได้น่ารังเกียจ และไม่ได้ด้อยกว่าใครในสังคมนี้ คุณมีทุกสิ่งสมบูรณ์พร้อมเหมือนคนอื่นทุกประการ เพียงแต่สิ่งสำคัญคือ คุณจะเป็นจะต้องหาตัวตนของคุณให้เจอเท่านั้นเอง

*เป็นชื่อเรียกภาษาปาก เพราะจริง ๆ แล้วมันเป็นอาการทางด้านจิตใจ มิใช่โรค

**ชื่อตาม Cassandra ธิดาของ Priam กษัตริย์แห่ง Troy


แหล่งข้อมูล: http://en.wikipedia.org/wiki/Hysteria
     http://en.wikipedia.org/wiki/Cassandra_Complex



ความเหมือนคือทำให้มีความต้องการทางเพศเหมือนกัน ความแตกต่างฤทธิ์ของรากราคะอยู่ได้พักเดียวแต่ฮิสทีเรียอยู่ในสันดานนานแสนนาน 38; 38; 17; 17; 36; 37; 37; 37;

22






จิ้งจกชุดนี้อ.ญาท่านเสกอย่างเต็มที่ในพรรษาที่ผ่านมา และเสกครั้งสุดท้ายวันจันทร์ ที่ 5 ตค 2552

23



ศีลข้อ 3 กาเมสุมิจฉาจาร


หมายถึง การล่วงเกินผู้อื่น จะตัดสินว่าได้กระทำผิดในข้อนี้
โดยมีองค์ประกอบการตัดสิน คือ

- บุคคลนั้นไม่ควรล่วงเกิน คือ นอกเหนือจากตัวเราเอง ไม่ควรล่วงเกินทั้งสิ้น
- มีจิตคิดจะล่วงเกิน
- มีความพยายามและดำเนินการ
- ได้ล่วงเกินสมปรารถนา นับตั้งแต่อวัยวะถึงอวัยวะ เช่น การผิดประเวณี
หรือ การทำร้ายร่างกาย เป็นต้น


โดยส่วนใหญ่การกระทำผิดในข้อนี้ คนส่วนมากมักจะนึกถึงการประพฤติผิดในกาม
หรือการล่วงประเวณี อันเป็นการกระทำลามก ซึ่งบัณฑิตทั้งหลายพึงติเตียน นั้นคือ
การทำผิดลูกเมียเขา ซึ่งเป็นความประพฤติที่สังคมทั่วไปไม่ยอมรับ ผู้ที่กระทำจึง
ต้องมีพฤติกรรมที่ปิดบังและซ่อนเร้น การกระทำอกุศลเช่นนี้ ผลที่จะได้รับใน
ปวัตติกาล (ภายหลังการเกิด) คือ

1. มีผู้เกลียดชังมาก
เพราะการกระทำที่ผิดลูกเมียเขา ย่อมสร้างความโกรธแค้นให้กับบุคคลที่เกี่ยวข้อง
กับผู้เสียหาย ผลที่ได้รับคือ มีศัตรูและมีคนเกลียดชังมาก ในข้อนี้ทุกคนก็ต้องเคย
ประสบมา แต่อาจเป็นเพียงเศษกรรม เช่น เวลาที่มีเรื่องขัดใจกับใคร และมีการ
โต้เถียง ทำให้มองหน้ากันไม่ได้ หรือบางคนอาจมีตำแหน่งหน้าที่การงานสูง มียศถา
บรรดาศักดิ์ แต่ไม่เป็นที่สบอารมณ์ของลูกน้อง เป็นต้น.

2.มีผู้คิดปองร้าย
เพราะได้เคยสร้างศัตรูสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับผู้อื่น ตัวอย่าง เช่น นักเรียน
บางคนเรียบร้อย ไม่เคยมีเรื่องราวอะไรกับใคร แต่ถูกนักเรียนโรงเรียนอื่นรุม
ทำร้ายจนบาดเจ็บ อันนี้ผลที่เขาถูกทำร้าย ก็เพราะอดีตชาติเคยทำปาบข้อ
กาเมสุมิจฉาจาร และที่ต้องบาดเจ็บก็เพราะได้เคยทำปาณาติบาต มานั่นเอง
แม้กระทั้งสามีภรรยามีเรื่องระหองแหง การใช้สายตาและคำพูดทำร้ายจิตใจกัน
ก็ถือว่าเป็นผลของการกระทำอกุศลในข้อนี้เช่นเดียวกัน.

3.ขัดสนทรัพย์

ไม่ว่าจะทำอะไรก็มีแต่ความฝืดเคือง เงินเดือนชักหน้าไม่ถึงหลัง ดังที่เราได้เห็น
บางคนต้องเข้าโรงรับจำนำประจำ เพราะอดีตได้สร้างความ ไม่รู้จักพอ นั่นเอง.

4.อดอยาก ยากจน
เพราะการประพฤติผิดในกามหรือการล่วงประเวณีนั้น เป็นการกระทำที่ตนเอง
เป็นผู้ไม่รู้จักพอ ไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ (สามี ภรรยา ของตนเอง) แล้วยัง
ไปเบียดเบียนผู้อื่น จึงเป็นการสร้างทางให้ตนเองต้องอดอยาก ยากจน.

5.เกิดเป็นหญิง
เพราะการกระทำอกุศลกรรมบถในข้อนี้จะเป็นไปแบบปิดบังซ่อนเร้น ไม่กล้า
เปิดเผย การกระทำที่ต้องหลบเลี่ยงเช่นนี้ จัดเป็นอำนาจอ่อนแบบที่เรียกว่า
สสังขาริก อันจะนำไปเกิดเป็นผู้หญิง ซึ่งเป็นเพศที่มีความลำบากมากว่าผู้ชาย
มีความอับอายในบางสิ่งบางอย่างมากกว่า มีเรื่องที่ต้องปกปิดมากกว่า นั่นเอง.

6.เกิดเป็นกระเทย
ซึ่งเป็นเพศที่สังคมส่วนใหญ่ยังไม่ยอมรับ เพราะเหตุที่ได้เคยกระทำ
กาเมสุมิฉาจาร ที่สังคมไม่ยอมรับ นั่นเอง

7.ถ้าเกิดเป็นชายก็จะเกิดในตระกูลต่ำเพราะในขณะที่ตาย จิตจับอารมณ์ที่ดีและเป็นอำนาจของ อสังขาริก คืออำนาจ
ที่เด็ดเดี่ยว ทำให้เกิดเป็นผู้ชาย แต่เหตุที่เคยประพฤติผิดในกามที่ยังให้ผลอยู่
จึงต้องเกิดในตระกูลต่ำและมีผลทำให้ขัดสนทรัพย์ และความอดอยากยากจน
ก็ตามมา.

8.ได้รับความอับอายอยู่เสมอ

คือเป็นคนเปิ่น ไม่ว่าจะทำอะไรก็จะเป็นที่ขบขันของคนอื่น พฤติกรรมที่แสดงออก
ไปจึงทำให้ตนเองต้องอับอาย เพราะเหตุที่เคยสร้างความอับอายไว้ให้ผู้อื่นนั่นเอง.

9.ร่างกายไม่สมประกอบ

คือ ร่างกายพิการ หรือเป็นผู้มีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายผิดแผกแตกต่างไปจาก
คนอื่น เช่น มีความผิดปกติของอวัยวะบางส่วน อาจโตหรือเล็กผิดไปจากธรรมดา
เคยมีข่าวว่าหญิงคนหนึ่งมีอวัยวะเพศใหญ่โตผิดปกติ มีคนแห่กันไปดูมากมาย
เพราะมีร่างกายไม่สมประกอบ ซึ่งอาจทำให้ต้องได้รับความอับอายตามมา ทั้งนี้
เพราะอดีตชาติได้เคยล่วงเกินร่างกายของผู้อื่นนั่นเอง.


10.มากด้วยความวิตกกังวล


เพราะเหตุที่ได้เคยกระทำกรรมที่ต้องปกปิด กลัวว่าใครจะรู้เรื่องราวที่ตนเอง
กระทำมา จึงทำให้เกิดมาต้องเป็นคนที่มีแต่ความวิตกกังวล บางคนเมื่อมีหน้าที่
ที่จะต้องรับผิดชอบงานชิ้นหนึ่ง ก็มีแต่ความวิตกอยู่ตลอดเวลาจนงานนั้นสำเร็จ
นักเรียนบางคน พอใกล้สอบก็เกิดอาการท้องเสียบ้าง ปวดท้องบ้าง แต่เมื่อสอบเสร็จ
อาการปวดท้องนั้นก็หายไป สิ่งเหล่านี้ก็เป็นผลของความเครียด หรือความวิตก
กังวลนั่นเอง.

11.พลัดพรากจากผู้ที่ตนรัก


เพราะได้เคยทำพฤติกรรมที่เหมือนกับการไปพรากผู้เป็นที่รักของบุคคลอื่นหรือ
ผู้ที่มีเจ้าของ จึงทำให้ได้รับผลต้องสูญเสียหรือพลัดพรากจากผู้ที่ตนรัก เช่น
สามีภรรยาที่เคยรักกัน แต่ต้องมีเรื่องไม่เข้าใจกัน จนต้องเลิกร้างไปในที่สุด
หรือหนุ่มสาวที่ต้องอกหัก และแม้กระทั้งเด็กที่ต้องกำพร้า ขาดพ่อ ขาดแม่ ล้วน
เป็นผลจากการทำผิด กาเมสุมิฉาจาร ทั้งสิ้น.
*ต่อให้ไปสักไปลงเมตตามหานิยม หรือห้อยวัตถุมงคลใดๆๆก็ไม่ ได้ผลซักพักก็เสื่อม การผิดศีลข้อ3ทุกสำนักถือเหมือนกันหมด*


----------------------------------------------
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ลานธรรมจักร

24



กฐิน (บาลี: กฐิน, เขมร: បុណ្យកឋិន, อังกฤษ: Kathina) เป็นศัพท์ในพระวินัยปิฎกเถรวาท เป็นชื่อเรียกผ้าไตรจีวรที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาครบ 3 เดือนแล้ว สามารถรับมานุ่งห่มได้ [1] โดยคำว่ากฐิน หรือการกรานกฐิน จัดเป็นสังฆกรรมประเภทหนึ่งตามพระวินัยบัญญัติเถรวาทที่มีกำหนดเวลา คือพระสงฆ์สามารถกระทำสังฆกรรมนี้ได้นับแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ไปจนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 เท่านั้น โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญคือสร้างความสามัคคีในหมู่คณะสงฆ์ และอนุเคราะห์ภิกษุผู้ทรงคุณที่มีจีวรชำรุด1 ดังนั้นกฐินจึงจัดเป็นเรื่องเกี่ยวกับสังฆกรรมของพระสงฆ์โดยจำเพาะ ซึ่งนอกจากในพระวินัยฝ่ายเถรวาทแล้ว กฐินยังมีในฝ่ายมหายานบางนิกายอีกด้วย แต่จะมีข้อกำหนดแตกต่างจากพระวินัยเถรวาท[2]

การได้มาของผ้าไตรจีวรอันจะนำมากรานกฐินตามพระวินัยบัญญัติของเถรวาทนี้ พระพุทธองค์ไม่ทรงห้ามการรับผ้าจากผู้ศรัทธาเพื่อนำมากรานกฐิน[1] ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงทำให้เกิดทานพิธีการถวายผ้ากฐิน หรือการทอดกฐินของพุทธศาสนิกชนขึ้น และด้วยการที่การถวายผ้ากฐินนั้น จัดเป็นสังฆทาน คือถวายแก่คณะสงฆ์โดยไม่เจาะจงภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง เพื่อให้คณะสงฆ์นำผ้าไปอปโลกน์ ยกให้ แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งตามที่คณะสงฆ์ลงมติ (ญัตติทุติยกรรมวาจา) และกาลทาน ที่มีกำหนดเขตเวลาถวายแน่นอน คณะสงฆ์วัดหนึ่ง ๆ สามารถรับได้ครั้งเดียวในรอบปี จึงทำให้ประเพณีการทอดกฐินเป็นบุญประเพณีนิยมที่สำคัญของพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย

ประเพณีการทอดกฐินของพุทธศาสนิกชนไทยมีมาช้านาน โดยมีทั้งพิธีหลวงและพิธีราษฎร์ โดยการถวายผ้าพระกฐินของพระมหากษัตริย์จัดเป็นพระราชพิธีที่สำคัญประจำปี ในปัจจุบันถวายผ้ากฐินในแง่การสนับสนุนผ้าไตรจีวรเพื่อใช้ในสังฆกรรมสำคัญของคณะสงฆ์ได้ถูกลดความสำคัญลงไป แต่กลับให้ความสำคัญกับบริวารของกฐินทานแทน เช่น เงิน หรือวัตถุสิ่งของ เพื่อนำสิ่งเหล่านี้มาพัฒนาถาวรวัตถุและทำนุบำรุงพระพทธศาสนา ซึ่งจัดเป็นสังฆทานอย่างหนึ่งเช่นเดียวกัน

กฐินมีกำหนดระยะเวลาถวาย จะถวายตลอดไปเหมือนผ้าชนิดอื่นมิได้ ระยะเวลานั้นมีเพียง 1 เดือน คือตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ไปจนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 (วันเพ็ญเดือน 12) ระยะเวลานี้เรียกว่า กฐินกาล คือระยะเวลา ทอดกฐิน หรือ เทศกาลทอดกฐิน













 ความหมายและความสำคัญของการถวายกฐิน
 ความหมายของกฐิน
กฐิน เป็นศัพท์บาลี แปลตามศัพท์ว่าไม้สะดึง คือ "กรอบไม้" หรือ "ไม้แบบ" สำหรับขึงผ้าที่จะเย็บเป็นจีวรในสมัยโบราณ ซึ่งผ้าที่เย็บสำเร็จจากกฐินหรือไม้สะดึงแบบนี้เรียกว่า ผ้ากฐิน (ผ้าเย็บจากไม้แบบ)

กฐิน อาจจำแนกตามความหมายเพื่อความเข้าใจง่ายได้ดังนี้

กฐิน เป็นชื่อของกรอบไม้แม่แบบ (สะดึง) สำหรับทำจีวร ดังกล่าวข้างต้น
กฐิน เป็นชื่อของผ้าที่ถวายแก่พระสงฆ์เพื่อกรานกฐิน (โดยได้มาจากการใช้ไม้แม่แบบขึงเย็บ)
กฐิน เป็นชื่อของงานบุญประเพณีถวายผ้าไตรจีวรแก่พระสงฆืเพื่อกรานกฐิน
กฐิน เป็นชื่อของสังฆกรรมการกรานกฐินของพระสงฆ์[3]
[แก้] ความสำคัญพิเศษแตกต่างจากทานอย่างอื่น
การถวายกฐินนั้นมีข้อจำกัดหลายอย่าง ซึ่งทำให้การถวายกฐินมีความความพิเศษแตกต่างจากทานอย่างอื่นดังนี้

จำกัดประเภททาน คือ ต้องถวายเป็นสังฆทานเท่านั้น จะถวายเฉพาะเจาะจงภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเหมือนทานอย่างอื่นไม่ได้
จำกัดเวลา คือกฐินเป็นกาลทานอย่างหนึ่ง (ตามพระบรมพุทธานุญาต) ดังนั้นจึงจำกัดเวลาว่าต้องถวายภายในระยะเวลา 1 เดือน นับแต่วันออกพรรษา เป็นต้นไป[1]
จำกัดงาน คือ พระภิกษุที่กรานกฐินต้องตัด เย็บ ย้อม และครองให้เสร็จภายในวันที่กรานกฐิน[1]
จำกัดไทยธรรม คือ ผ้าที่ถวายต้องถูกต้องตามลักษณะที่พระวินัยกำหนดไว้[1]
จำกัดผู้รับ คือ พระภิกษุผู้รับกฐิน ต้องเป็นผู้ที่จำพรรษาในวัดนั้นโดยไม่ขาดพรรษา และจำนวนไม่น้อยกว่า 5 รูป
จำกัดคราว คือ วัด ๆ หนึ่งรับกฐินได้เพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น
เป็นพระบรมพุทธานุญาต ทานอย่างอื่นทายกทูลขอให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาต เช่น มหาอุบาสิกาวิสาขาทูลขออนุญาตผ้าอาบน้ำฝน แต่ผ้ากฐินนี้พระองค์ทรงอนุญาตเอง[1] นับเป็นพระประสงค์โดยตรง
[แก้] ความเป็นมาของกฐิน
ภิกษุชาวเมืองปาไฐยรัฐ 30 รูป ได้เดินทางเพื่อมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ วัดเชตวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี แต่ยังไม่ทันถึงเมืองสาวัตถี ก็ถึงวันเข้าพรรษาเสียก่อน พระสงฆ์ทั้ง 30 รูป จึงต้องจำพรรษา ณ เมืองสาเกตุในระหว่างทาง พอออกพรรษาแล้ว ภิกษุเหล่านั้นจึงได้ออกเดินทางมาเข้าเฝ้าพระศาสดาด้วยความยากลำบากเพราะฝนยังตกชุกอยู่ เมื่อเดินทางถึงวัดพระเชตวัน พระพทธเจ้าได้ตรัสถามถึงความเป็นอยู่และการเดินทาง เมื่อทราบความลำบากนั้นจึงทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้จำพรรษาครบถ้วนไตรมาสสามารถรับผ้ากฐินได้ และภิกษุผู้ได้กรานกฐินได้อานิสงส์ 5 ประการ ภายในเวลาอานิสงส์กฐิน (นับจากวันที่รับกฐินจนถึงวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 4) คือ

ไปไหนไม่ต้องบอกลา
ไม่ต้องถือไตรจีวรไปครบสำรับสามผืน2
ฉันคณะโภชน์ได้ (ล้อมวงกันฉันภัตตาหารได้) 3
เก็บอดิเรกจีวรไว้ได้โดยที่ยังมิได้วิกัปป์ และอธิษฐาน โดยไม่ต้องอาบัติ
จีวรลาภอันเกิดขึ้น จักได้แก่ภิกษุผู้ได้กรานกฐินแล้ว









การถือปฏิบัติประเพณีการบำเพ็ญกุศลเนื่องในเทศกาลกฐินในประเทศไทย
 
สำเนาศิลาจารึกหลักที่ ๑ (ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช)การถือปฏิบัติประเพณีการบำเพ็ญกุศลเนื่องในเทศกาลกฐินในประเทศไทย สันนิษฐานว่าเริ่มมีมาแต่แรกที่รับพระพุทธศาสนาเถรวาทเข้ามาในดินแดนประเทศไทย ซึ่งอาจมีปฏิบัติประเพณีนี้มาตั้งแต่สมัยทวาราวดี แต่มาปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าชาวไทยได้ถือปฏิบัติในการบำเพ็ญกุศลในเทศกาลเข้าพรรษาในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ดังปรากฏความในศิลาจารึกหลักที่ 1 (ด้านที่ 2) ดังนี้

 ... คนในเมืองสุโขทัยนี้ มักทาน มักทรงศีล มันโอยทาน พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองสุโขทัยนี้ ทังชาวแม่ชาวเจ้า ท่วยปั่วท่วยนาง ลูกเจ้าลูกขุน ทังสิ้นทังหลายทังผู้ชายผู้ญีง ฝูงท่วยมีศรัทธาในพระพุทธศาสน ทรงศีลเมื่อพรรษาทุกคน เมื่อโอกพรรษากรานกฐินเดือนณื่งจี่งแล้ว เมื่อกรานกฐิน มีพนมเบี้ย มีพนมหมาก มีพนมดอกไม้ มีหมอนนั่งหมอนโนน บริพารกฐิน โอยทานแล่ปีแล้ญิบล้าน ไปสูดญัตกฐินเถิงอไรญิกพู้น เมื่อจักเข้ามาเวียง เรียงกันแต่อไรญิกพู้นเท้าหัวลาน ดมบังคมกลองด้วยเสียงพาทย์เสียงพีณ เสียงเลื้อนเสียงขับ ใครจักมักเล่น เล่น ใครจักมักหัว หัว ใครจักมักเลื้อน เลื้อน เมืองสุโขทัยนี้มีสี่ปากปตูหลวง เที้ยรย่อมคนเสียดกัน เข้ามาดูท่านเผาเทียนท่านเล่นไฟ เมืองสุโขทัยนี้มีดั่งจักแตก ... 
— คำอ่านศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ด้านที่ ๒[4][5]

ในศิลาจารึกดังกล่าว ปรากฏทั้งคำว่า กรานกฐิน, บริวารกฐิน (บริพานกฐิน), สวดญัตติกฐิน (สูดญัตกฐิน) ซึ่งคำดังกล่าวก็ยังคงใช้สืบมาจนถึงปัจจุบัน แสดงให้เห็นว่า เทศกาลทอดกฐินมีคู่กับสังคมไทยทั้งสถาบันพระมหากษัตริย์และประชาชนมาช้านาน ดังปรากฏว่าชาวพุทธในประเทศไทยให้ความสำคัญกับงานทอดกฐินที่จัดในวัดต่าง ๆ มาก โดยถือว่าเป็นงานบุญสำคัญที่สุดงานหนึ่งในรอบปี บางวัดที่มีผู้ศรัทธามาก อาจมีผู้จองเป็นเจ้าภาพทอดกฐินล่วงหน้ายาวเป็นสิบ ๆ ปี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความศรัทธาของชาวพุทธในประเทศไทยที่ได้ร่วมใจกันสืบทอดประเพณีนี้มาจนปัจจุบัน



ชนิดของกฐินในประเทศไทย
ตามพระวินัยแล้ว ไม่ได้จำแนกการทอดกฐิน (การถวายผ้ากฐินแก่พระสงฆ์) ออกเป็นชนิด ๆ ไว้แต่อย่างใด คงกล่าวแต่เพียงในส่วนการทำหรือรับผ้ามากรานกฐินของพระสงฆ์เท่านั้น แต่หากพิจารณาจากประเพณีที่นิยมปฏิบัติในปัจจุบัน คงพอจำแนกชนิดของการทอดกฐินได้เป็นสองคือ

 จุลกฐิน
จุลกฐิน คือ คำเรียกการทอดกฐินที่ต้องทำด้วยความรีบด่วน โดยต้องอาศัยความสามัคคีของผู้ศรัทธาจำนวนมาก เพื่อผลิตผ้าไตรจีวรให้สำเร็จด้วยมือภายในวันเดียว กล่าวคือ ต้องเริ่มตั้งแต่เก็บฝ้าย ตัดเย็บ ย้อม และถวายให้พระสงฆ์กรานกฐินให้เสร็จภายในเวลาเช้าวันหนึ่งจนถึงย่ำรุ่งของอีกวันหนึ่ง ดังนั้นโบราณจึงนับถือกันว่าการทำจุลกฐินมีอานิสงส์มาก เพราะต้องใช้ความอุตสาหะพยายามมากกว่ากฐินแบบธรรมดา (มหากฐิน) ภายในระยะเวลาอันจำกัด โดยจุลกฐินนี้ปัจจุบันมักจัดเป็นงานใหญ่ มีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

ประเพณีการทอดจุลกฐินนี้เป็นประเพณีที่พบเฉพาะในประเทศไทยและลาว ไม่ปรากฏประเพณีการทอดกฐินชนิดนี้ในประเทศพุทธเถรวาทประเทศอื่น สำหรับประเทศไทย มีหลักฐานว่ามีการทอดจุลกฐินมาแล้วตั้งแต่สมัยอยุธยา ดังปรากฏในหนังสือคำให้การชาวกรุงเก่า หน้า 268 ว่า "ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒) โปรดให้ทำจุลกฐิน" ปัจจุบันประเพณีการทำจุลกฐินนิยมทำกันเฉพาะชุมชนทางภาคเหนือและอีสานเท่านั้น โดยอีสานจะเรียกกฐินชนิดนี้ว่า "กฐินแล่น" (จุลกฐินไม่ใช่ศัพท์ที่ปรากฏในพระวินัยปิฎก)

เค้ามูลของการทำจีวรให้เสร็จในวันเดียว ปรากฏหลักฐานในคัมภีร์อรรถกถา กล่าวถึงเรื่องที่พระพุทธเจ้ารับสั่งในคณะสงฆ์ในวัดพระเชตวันร่วมมือกันทำผ้าไตรจีวรเพื่อถวายแก่พระอนุรุทธะผู้มีจีวรเก่าใช้การเกือบไม่ได้แล้ว โดยในครั้งนั้นเป็นงานใหญ่ ซึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จมาทรงช่วยการทำไตรจีวรด้วย โดยทรงรับหน้าที่สนเข็มในการทำจีวรครั้งนี้ด้วยสาเหตุประการหนึ่งที่มีการทำจุลกฐิน เนื่องมาจากกำหนดการกรานกฐินนั้นมีระยะเวลาจำกัด และพระสงฆ์ไม่สามารถขวนขวายดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งผ้ากฐินเองได้ (เพราะจะทำให้กฐินเดาะ (สังฆกรรมเสีย) จึงอาจมีบางวัดที่ใกล้กำหนดหมดฤดูกฐินแต่ยังไม่มีผู้นำผ้ากฐินมาถวาย) ทำให้ในสมัยก่อนเมื่อใกล้เดือน ๑๒ (หมดฤดูกฐิน) มักจะมีผู้ศรัทธาตระเวนไปตามวัดต่าง ๆ เมื่อเจอวัดที่ยังไม่ได้รับถวายผ้ากฐิน จึงต้องเร่งรีบขวนขวายจัดการทำผ้ากฐินให้เสร็จทันฤดูกฐินหมด ซึ่งบางครั้งอาจเหลือเวลาแค่วันเดียว จึงต้องอาศัยความร่วมมือของคนทั้งชุมชน ในการร่วมกันจัดทำผ้าไตรจีวรให้สำเร็จก่อนหมดฤดูกฐิน (เพราะสมัยก่อนไม่มีผ้าไตรจีวรสำเร็จรูปสำหรับขาย) การร่วมมือกันจัดทำจุลกฐินดังกล่าวจึงถือได้ว่าเป็นเครื่องมือสร้างความสามัคคีของคนในชุมชนได้เป็นอย่างดี

มหากฐิน
มหากฐิน เป็นศัพท์ที่เรียกเพื่อหมายความถึงการทอดกฐินที่มีบริวารกฐินมาก ไม่ต้องทำโดยเร่งรีบเหมือนจุลกฐิน มหากฐินคือกฐินที่ทอดถวายตามวัดต่าง ๆ ในประเทศไทยในปัจจุบัน ที่จะมีการรวบรวมจตุปัจจัยไทยธรรมและสิ่งของต่าง ๆ เพื่อนำไปเป็นเครื่องประกอบในงานกฐินถวายแก่พระสงฆ์ เพื่อนำไปทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาต่อไป (มหากฐินไม่ใช่ศัพท์ที่ปรากฏในพระวินัยปิฎก





กฐินหลวงกฐินหลวง เป็นผ้าพระกฐินพระราชทานที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานด้วยพระองค์เอง หรือทรงโปรดเกล้าให้พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่เสด็จไปพระราชทานแทน กฐินหลวงนี้จัดเครื่องพระราชทานด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ และบางครั้งมีการจัดพิธีแห่เครื่องกฐินพระราชทานอย่างใหญ่ โดยกระบวนพยุหยาตราชลมารค หรือกระบวนพยุหยาตราสถลมารถ แล้วแต่พระราชประสงค์ (ในปัจจุบันคงการเสด็จพระราชดำเนินทรงถวายผ้าพระกฐินอย่างพิธีใหญ่นั้น คงเหลือเพียงโดยกระบวนพยุหยาตราชลมารคเท่านั้น) [7]

กฐินหลวงในปัจจุบันมีเพียง 16 วัดเท่านั้น เช่น วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร วัดบวรนิเวศวิหาร วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร เป็นต้น

กฐินต้น
กฐินต้น เป็นผ้าพระกฐินพระราชทานที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานยังวัดราษฎร์เป็นการส่วนพระองค์

 กฐินพระราชทาน
กฐินพระราชทาน เป็นผ้าพระกฐินพระราชทานที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพระกฐิน และเครื่องกบินแก่พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพาร ส่วนราชการ หน่วยงาน สมาคม หรือเอกชน ให้ไปทอดยังพระอารามหลวงต่าง ๆ ทั่วราชอาณาจักร (ในปัจจุบันกรมการศาสนารับผิดชอบจัดผ้าพระกฐินและเครื่องกฐินถวาย)







กฐินราษฎร์ คือกฐินที่ราษฏรหรือประชาชนทั่วไปที่มีจิตศรัทธาจัดถวายผ้ากฐิน และเครื่องกฐินไปถวายยังวัดราษฎร์ต่าง ๆ โดยอาจแบ่งออกเป็นจุลกฐิน และมหากฐิน (กฐินสามัคคี) ในปัจจุบันกฐินราษฎร์ หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า กฐินสามัคคี ผู้เป็นประธานหรือเจ้าภาพในการทอดกฐินจะให้ความสำคัญกับการรวบรวม (เรี่ยไร) เงินและสิ่งของเพื่อเข้าประกอบเป็นบริวารกฐินมากกว่า เพราะวัดสามารถนำสิ่งเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาได้ และเนื่องจากการถวายผ้ากฐินเป็นกาลทาน จึงทำให้ประเพณีการทอดกฐินเป็นงานสำคัญประจำปีของวัดต่าง ๆ โดยทั่วไปในประเทศไทย

 คำถวายผ้ากฐิน
 คำถวายผ้ากฐินภาษาบาลี แบบเก่า
ตั้งนะโมสามจบ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธธัสสะ” (๓ จบ)
กล่าวคำถวายผ้ากฐิน
อิมํ ภนฺเต สปริวารํ กฐินวีวรทุสฺสํ สงฺฆสฺส โอโณชยาม
ทุติยมฺปิ อิมํ ภนฺเต สปริวารํ กฐินจีวรทุสฺสํ สงฺฆสฺส โอโณชยาม
ตติยมฺปิ อิมํ ภนฺเต สปริวารํ กฐินจีวรทุสฺสํ สงฺฆสฺส โอโณชยาม
สาธุ โน ภนฺเต สงฺโฆ อิมํ สปริวารํ กฐินทุสฺสํ ปฏิคฺคณฺหาตุ อมฺหากํ หิตาย สุขาย
กล่าวคำแปล
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายผ้าจีวรกฐิน กับทั้งบริวารนี้ แด่พระสงฆ์
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายผ้าจีวรกฐิน กับทั้งบริวารนี้ แด่พระสงฆ์ แม้ในวาระที่สอง
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายผ้าจีวรกฐิน กับทั้งบริวารนี้ แด่พระสงฆ์ แม้ในวาระที่สาม
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ขอพระสงฆ์จงรับ ซึ่งผ้ากฐิน กับทั้งบริวารทั้งหลายเหล่านี้ เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย สิ้นกาลนานเทอญฯ[8]
[แก้] คำถวายผ้ากฐินภาษาบาลี แบบใหม่
ตั้งนะโมสามจบ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธธัสสะ” (๓ จบ)
กล่าวคำถวายผ้ากฐิน
อิมํ ภนฺเต สปริวารํ กฐินทุสฺสํ สงฺฆสฺส โอโณชยาม,
สาธุ โน ภนฺเต สงฺโฆ, อิมํ สปริวารํ กฐินทุสฺสํ, ปฏิคฺคณฺหาตุ,
ปฏิคฺคเหตฺวา จ, อิมินา ทุสฺเสน กฐินํ อตฺถรตุ, อมฺหากํ
ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย
กล่าวคำแปล
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายผ้ากฐินกับทั้งผ้าบริวารนี้ แด่พระสงฆ์ ขอพระสงฆ์จงรับผ้ากฐิน กับทั้งบริวารนี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย ครั้นรับแล้ว จงกรานกฐิน ด้วยผ้านี้ เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ตลอดกาลนาน เทอญ.[9]











ชนิดของกฐินในประเทศไทย
ตามพระวินัยแล้ว ไม่ได้จำแนกการทอดกฐิน (การถวายผ้ากฐินแก่พระสงฆ์) ออกเป็นชนิด ๆ ไว้แต่อย่างใด คงกล่าวแต่เพียงในส่วนการทำหรือรับผ้ามากรานกฐินของพระสงฆ์เท่านั้น แต่หากพิจารณาจากประเพณีที่นิยมปฏิบัติในปัจจุบัน คงพอจำแนกชนิดของการทอดกฐินได้เป็นสองคือ

 จุลกฐิน
จุลกฐิน คือ คำเรียกการทอดกฐินที่ต้องทำด้วยความรีบด่วน โดยต้องอาศัยความสามัคคีของผู้ศรัทธาจำนวนมาก เพื่อผลิตผ้าไตรจีวรให้สำเร็จด้วยมือภายในวันเดียว กล่าวคือ ต้องเริ่มตั้งแต่เก็บฝ้าย ตัดเย็บ ย้อม และถวายให้พระสงฆ์กรานกฐินให้เสร็จภายในเวลาเช้าวันหนึ่งจนถึงย่ำรุ่งของอีกวันหนึ่ง ดังนั้นโบราณจึงนับถือกันว่าการทำจุลกฐินมีอานิสงส์มาก เพราะต้องใช้ความอุตสาหะพยายามมากกว่ากฐินแบบธรรมดา (มหากฐิน) ภายในระยะเวลาอันจำกัด โดยจุลกฐินนี้ปัจจุบันมักจัดเป็นงานใหญ่ มีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

ประเพณีการทอดจุลกฐินนี้เป็นประเพณีที่พบเฉพาะในประเทศไทยและลาว ไม่ปรากฏประเพณีการทอดกฐินชนิดนี้ในประเทศพุทธเถรวาทประเทศอื่น สำหรับประเทศไทย มีหลักฐานว่ามีการทอดจุลกฐินมาแล้วตั้งแต่สมัยอยุธยา ดังปรากฏในหนังสือคำให้การชาวกรุงเก่า หน้า 268 ว่า "ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒) โปรดให้ทำจุลกฐิน" ปัจจุบันประเพณีการทำจุลกฐินนิยมทำกันเฉพาะชุมชนทางภาคเหนือและอีสานเท่านั้น โดยอีสานจะเรียกกฐินชนิดนี้ว่า "กฐินแล่น" (จุลกฐินไม่ใช่ศัพท์ที่ปรากฏในพระวินัยปิฎก)

เค้ามูลของการทำจีวรให้เสร็จในวันเดียว ปรากฏหลักฐานในคัมภีร์อรรถกถา กล่าวถึงเรื่องที่พระพุทธเจ้ารับสั่งในคณะสงฆ์ในวัดพระเชตวันร่วมมือกันทำผ้าไตรจีวรเพื่อถวายแก่พระอนุรุทธะผู้มีจีวรเก่าใช้การเกือบไม่ได้แล้ว โดยในครั้งนั้นเป็นงานใหญ่ ซึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จมาทรงช่วยการทำไตรจีวรด้วย โดยทรงรับหน้าที่สนเข็มในการทำจีวรครั้งนี้ด้วย[6]

สาเหตุประการหนึ่งที่มีการทำจุลกฐิน เนื่องมาจากกำหนดการกรานกฐินนั้นมีระยะเวลาจำกัด และพระสงฆ์ไม่สามารถขวนขวายดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งผ้ากฐินเองได้ (เพราะจะทำให้กฐินเดาะ (สังฆกรรมเสีย) จึงอาจมีบางวัดที่ใกล้กำหนดหมดฤดูกฐินแต่ยังไม่มีผู้นำผ้ากฐินมาถวาย) ทำให้ในสมัยก่อนเมื่อใกล้เดือน ๑๒ (หมดฤดูกฐิน) มักจะมีผู้ศรัทธาตระเวนไปตามวัดต่าง ๆ เมื่อเจอวัดที่ยังไม่ได้รับถวายผ้ากฐิน จึงต้องเร่งรีบขวนขวายจัดการทำผ้ากฐินให้เสร็จทันฤดูกฐินหมด ซึ่งบางครั้งอาจเหลือเวลาแค่วันเดียว จึงต้องอาศัยความร่วมมือของคนทั้งชุมชน ในการร่วมกันจัดทำผ้าไตรจีวรให้สำเร็จก่อนหมดฤดูกฐิน (เพราะสมัยก่อนไม่มีผ้าไตรจีวรสำเร็จรูปสำหรับขาย) การร่วมมือกันจัดทำจุลกฐินดังกล่าวจึงถือได้ว่าเป็นเครื่องมือสร้างความสามัคคีของคนในชุมชนได้เป็นอย่างดี

มหากฐิน
มหากฐิน เป็นศัพท์ที่เรียกเพื่อหมายความถึงการทอดกฐินที่มีบริวารกฐินมาก ไม่ต้องทำโดยเร่งรีบเหมือนจุลกฐิน มหากฐินคือกฐินที่ทอดถวายตามวัดต่าง ๆ ในประเทศไทยในปัจจุบัน ที่จะมีการรวบรวมจตุปัจจัยไทยธรรมและสิ่งของต่าง ๆ เพื่อนำไปเป็นเครื่องประกอบในงานกฐินถวายแก่พระสงฆ์ เพื่อนำไปทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาต่อไป (มหากฐินไม่ใช่ศัพท์ที่ปรากฏในพระวินัยปิฎก)

อ้างอิงจาก www วิกิพีเดีย


*ยาวหน่อยแต่เนื้อหาละเอียดครบถ้วน*



หน้า: [1]