:059:พุทธโอวาทว่าด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา
"ดูกร ภิกษุทั้งหลาย! ศีลเป็นพื้นฐาน เป็นที่รองรับคุณอันยิ่งใหญ่ ประหนึ่งแผ่นดินเป็นที่รองรับและตั้งลงของสิ่งทั้งหลาย
ทั้งมีชีพและหาชีพมิได้ เป็นต้นว่าพฤกษาลดาวัลย์ มหาสิงขร และสัตว์จตุบททวิบาทนานาชนิด บุคคลผู้มีศีลเป็นพื้นใจย่อมอยู่สบาย
มีความปลอดโปร่งเหมือนเรือนที่บุคคลปัดกวาด เช็ดถูเรียบร้อย ปราศจากเรือดและฝุ่นเป็นที่รบกวน"
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
"ดูกร ภิกษุทั้งหลาย! ศีลนี้เองเป็นพื้นฐานให้เกิดสมาธิ คือความสงบใจ สมาธิที่มีศีลเป็นเบื้องต้น เป็นสมาธิที่มีผลมากมีอานิสงส์มาก
บุคคลผู้มีศีลย่อมอยู่อย่างสงบ เหมือนเรือนที่มีฝาผนัง มีประตูหน้าต่าง ปิดเปิดได้เรียบร้อย มีหลังคาป้องกันลมแดดและฝน
ผู้อยู่ในเรือนเช่นนี้ฝนตกก็ไม่เปียก แดดออกก็ไม่ร้อนฉันใด บุคคลผู้มีจิตเป็นสมาธิดีก็ฉันนั้น ย่อมสงบอยู่ได้ไม่กระวนกระวาย
เมื่อแดดและลม กล่าวคือโลกธรรมแผดเผา กระพือสัดสาด เข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า สมาธิอย่างนี้ย่อมก่อให้เกิดปัญญา
ในการฟาดฟันย่ำยีและเชือดเฉือนกิเลสอาสาวะต่างๆให้เบาบางและหมดสิ้นไป เหมือนบุคคลผู้มีกำลัง จับศาสตราอันคมกริบ
แล้วถางป่าให้โล่งเตียนก็ปานกัน"
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
"ดูกร ภิกษุทั้งหลาย! ปัญญาซึ่งมีสมาธิเป็นรากฐานนั้น ย่อมปรากฎดุจไฟดวงใหญ่ กำจัดความมืดให้ปลาสนาการ มีแสงสว่าง
รุ่งเรืองอำไพ ขับฝุ่นละอองคือกิเลสให้ปลิวหาย ปัญญาจึงเป็นประดุจประทีปแห่งดวงใจ"
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ฉะนั้น การปฏิบัติธรรมจึงต้องเป็นไปตามขั้นตอน ในไตรสิกขา ๓ อันได้แก่ ศีล มาธิ และปัญญา เพื่อความมั่งคงทางจิต
เริ่มจากศีล คือมีสติและสัมปชัญญะ หิริโอตัปปะ องค์แห่งคุณธรรมเป็นพื้นฐานเพื่อก้าวเข้าสู่สมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิ
และยกจิตขึ้นพิจารณาให้เกิดปัญญา ความรอบรู้ในกองสังขารอีกต่อไป...ถ้าเราข้ามการปฏิบัติเรื่องศีล ไปจับที่ภาวนาให้เกิดสมาธิเลย
มันจะก่อให้เกิดอัตตามานะ และอาจจะนำไปสู่ความเป็นมิจฉาสมาธิ เพราะขาดองค์แห่งคุณธรรม "ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป"
จึงต้องควรระวัง ! อย่าได้มักง่ายขี้เกียจ ลัดขั้นตอนในการปฏิบัติ เพราะอาจจะทำให้เราหลงทาง และนำจิตไปสู่อบายได้.....