ผู้เขียน หัวข้อ: ศาลาผีหลอก!  (อ่าน 4605 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ศาลาผีหลอก!
« เมื่อ: 22 มิ.ย. 2554, 10:05:33 »
ศาลาผีหลอก!
ขนหัวลุก
ใบหนาด

"ทองแดง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากศาลาท่าน้ำ

สมัยหนุ่มๆ ผมเคยอยู่หลังวัดกระโจมทอง ธนบุรี บรรยากาศสงบเงียบตามแบบของบ้านสวนทั่วๆ ไป ตกกลางคืนยิ่งเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว เสียงลมพัดลู่ไปตามยอดไม้ชวนให้วังเวงใจสิ้นดี!

ข้อสำคัญก็คือ ทำให้นึกถึงเรื่องผีๆ สางๆ อย่างช่วยไม่ได้ คนกลัวผีอย่างผมปอดกระเส่าน่าดู...แหม! เรื่องผีนี่ไม่เข้าใครออกใครนะครับ ขอบอก

ชาวบ้านที่จะออกไปทำงานก็ได้อาศัยรถสองแถว ที่มาสุดทางบริเวณลานหน้าวัดใกล้ๆ กับศาลาการเปรียญและเมรุเผาผี...ไปออกถนนจรัญสนิทวงศ์ 35 ระยะทางค่อนข้างไกลโข ขาไปไม่เท่าไหร่แต่ขากลับนี่ต้องแวะส่งผู้โดยสารตามรายทาง กล่าจะถึงหน้าวัดก็ปาเข้าไปตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าแน่ะ

คนที่ต้องไปทำงานไกลๆ ถึงถนนราชวิถีอย่างผม ไหนจะต้องโหนรถเมล์สองต่อกว่าจะมาถึงปากซอยก็ตกค่ำแล้ว...สมัยนั้นยังไม่มีถนนสายใหม่บรมราชชนนีตัดผ่าน ให้รถราแล่นกันคึ่กๆ เหมือนทุกวันนี้นะครับ

ถึงแม้จะเจริญขึ้นก็จริง แต่มีพวกวัยรุ่นมาซิ่งรถกันสนั่น ชาวบ้านไม่เป็นอันหลับอันนอนกันล่ะ...ตำรวจมาดักจับได้ทีละ 20-30 คนเป็นประจำ

ข้างวัดมีคลองแคบๆ ค่อนข้างคดเคี้ยว ต้นไม้ร่มครึ้มแทบจะบดบังแสงแดดจนหมดสิ้น แต่ยังอุตส่าห์มีเรือหางยาวแล่นผ่าน ทะลุไปออกคลองบางกอกใหญ่ แต่ไม่ได้จอดที่ศาลาท่าน้ำของวัดหรอกครับ ผมเองก็ไม่เคยได้นั่งเรือสักที นอกจากตอนเช้าๆ เดินออกจากบ้านผ่านสวนกล้วยไม้ขนาดใหญ่ ข้ามสะพานเข้าเขตวัด มักจะเห็นเรือหางยางแล่นตะบึงจนน้ำกระจายผ่านไปบ่อยหน

บางวันกลับถึงบ้านเร็วหน่อย เจอะเจอกับการเผาศพที่เพิ่งจะเสร็จสิ้น แขกเหรื่อทยอยกันกลับ เอารถมาเองก็มี รอรถสองแถวก็มี ได้บรรยากาศน่ากลัวไปอีกแบบเหมือนกัน

เจ้าภาพยังตั้งวงเหล้ากันที่ศาลาท่าน้ำ อ้อยอิ่งอยู่จนมืดค่ำก็มี...บางทีมีคนรู้จักกันอยู่ก็ร้องเรียกให้ผมเข้าไปร่วมวงด้วย ขัดศรัทธาไม่ได้ก็แวะเข้าไปดื่ม 2-3 แก้วพอเป็นพิธี ก่อนจะเดินเลียบคลองไปขึ้นสะพานกลับบ้าน...โชคดีอย่างที่ผมไม่ได้เป็นนักเที่ยว ทำให้ไม่ต้องกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ แถมรถราหายากอีกต่างหาก!

ว่าแต่คนที่กลับดึกๆ น่ะไม่กลัวผีมั่งหรือไง?

น่าแปลกตรงที่ลือว่าผีดุ แต่ไม่เคยมีใครถูกผีหลอกอย่างจังๆ สักที นอกจากเห็นเงาอะไรวูบๆ วาบๆ ซึ่งคิดว่าตัวเองตาฝาดหรือไม่ก็เกิดอุปาทานไปเอง เล่าให้ใครฟังเขาก็หาว่าเมาจนตาลายทั้งนั้นแหละครับ

มีอยู่รายชื่อพี่เสริม แกเล่าว่าเห็นใครนั่งชันเข่าอยู่ที่ศาลา สูบยาแดงวาบๆ แกเดินไปหันมองไปพลาง ตอนนั้นราวสามทุ่มกว่า...เอ๊ะ! ใครมานั่งสูบยาคนเดียวในที่เปลี่ยวๆ แบบนี้นะ? พอหันไปอีกทีก็ไม่เห็นเสียแล้ว ทั้งๆ ที่ไม่มีทางหลบไปไหนโดยแกไม่เห็นได้แน่ๆ เลย

ผีน่ะซี! พี่เสริมบอกตัวเอง แล้วก็โจนพรวดขึ้นสะพาน ไม่ตกน้ำตกท่าตายก็บุญแล้วนะ ผมว่า!

ในที่สุด ผมเองก็เจอดีเข้ากับตัวเองจังๆ

ตอนนั้นจำได้ว่าเปลี่ยนสัปเหร่อเป็นผู้หญิงพอดี...ไม่ใช่ใครอื่นหรอกครับ เขาว่าเป็นลูกสาวของสัปเหร่อคนเก่าน่ะแหละ สวยเสียด้วย พ่อแก่ตัวลงก็ให้ลูกสาวสืบอาชีพของตัวเองต่อไป พวกเราไม่เคยพบเห็นว่ามีสัปเหร่อผู้หญิงมาก่อน ก็เลยเห็นว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดไปเอง

วันนั้นเงินเดือนออก ผมกับเพื่อนๆ ก็หาอะไรกินแถวซังฮี้ตั้งแต่เย็นจนราวสองทุ่มก็ขอตัว พวกเพื่อนๆ ก็เข้าใจว่าบ้านผมต้องเข้าสวนเปลี่ยวลึกล้ำ ดีไม่ดีจะไม่ทันรถสองแถวเที่ยวสุดท้ายซะด้วยซ้ำ

มอเตอร์ไซค์รับจ้างน่ะ ถ้าไม่คุ้นกันจริงๆ ก็ไม่อยากเข้าไป ไม่ต้องพูดถึงแท็กซี่ก็ได้...พอเข้าซอยพ้นตึกแถวกับบ้านเรือนคึกคัก มีแต่เรือกสวนเปล่าเปลี่ยวก็มักจะถอดใจ ...จอดรถดื้อๆ บอกว่าขอส่งแค่นี้ละกัน...คงกลัวทั้งคน กลัวทั้งผีน่ะสิครับ!

ปรากฏว่าผมทันรถสองแถวเที่ยวสุดท้ายพอดี...มีคนลงเป็นระยะๆ จนสุดทางที่เหลือแต่ผมคนเดียว

รถตีวงกลับไปแล้ว ทิ้งให้ผมเดินดุ่มๆ ผ่านเมรุเผาผีที่โดดเด่นอยู่ทางขวามือเพียงเดียวดาย...หมาเจ้ากรรมก็โก่งคอหอนโหยหวนเยือกเย็น เขาว่ามันหอบเพราะเห็นผีไม่ใช่หรือคุณ?

แสงสว่างจากเสาไฟฟ้าดูแน่นิ่ง สรรถสิ่งเงียบเชียบ ลมไม่พัด ยอดไม้ไม่เกิดเสียงซู่ซ่า ยกเว้นแต่เสียงหมาหอนแล้วก็ไม่มีเสียงอะไรอีก...ผมรีบก้าวยาวๆ ไปตามทางเดินเลียบคลอง มุ่งหน้าไปที่สะพาน...แต่แล้วก็ต้องชะงักงัน

เสียงเรือหางยาวดังมาจากด้านซ้ายมือ!

เอ...กลางค่ำกลางคืนแบบนี้ไม่เคยมีเรือแล่นนี่นา? ผมสงสัยจนต้องหันไปดูก็เห็นศาลาท่าน้ำตั้งโดดเด่นอยู่ในม่านตา หลังคากระเบื้องเก่าแก่ผุกร่อน...แต่มีเสียงร้องขึ้นว่า ...มากินเหล้ากันก่อนสิเพื่อน! เล่นเอาสะดุ้งเฮือก จ้องมองให้แน่ใจก็เห็นภาพนั้นเข้าเต็มตา

คนกลุ่มหนึ่งกำลังล้อมวงกัน แต่หันมามองผมเป็นจุดเดียวพลางหัวเราะฮ่าๆๆ จนผมขนลุกซ่า...ใบหน้าดำเกรียม นัยน์ตาแดงจ้าเหมือนแสงไฟน่าสยดสยองสิ้นดี

ความมืดสาดพรึ่บเข้ามาเต็มหน้า ผมร้องเฮ้ย! เผ่นพรวดขึ้นสะพานแทบจะเหาะได้ วิ่งอ้าวไม่เหลียวหลังรวดเดียวจนถึงบ้าน หอบแฮ่กๆ ปิ่มว่าจะขาดใจ...ไม่ช้าผมก็มาเช่าห้องอยู่ใกล้ๆ ที่ทำงานเพราะไม่อยากโดนผีหลอกจนช็อกตายน่ะสิครับคุณ!

ที่มา
http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEV5TVRJMU1BPT0=&sectionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd055MHhNaTB4TWc9PQ==
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว....ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา...สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา...กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ศาลาผีหลอก!
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 22 มิ.ย. 2554, 10:08:04 »
สามกองสยองขวัญ
ขนหัวลุก
ใบหนาด


"โพแดง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวงไพ่สามกอง

เมื่อราว 5-6 ปีก่อน ผมกับเพื่อนๆ กลุ่มหนึ่งจะนัดพบกันทุกเย็นวันศุกร์ที่บ้านเพื่อนชื่ออำนวย อยู่ในซอยตรงข้ามศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ตั้งวงดื่มกินกันอย่างสนุกสนานที่โต๊ะอาหาร ถัดจากโต๊ะรับแขกและตู้หนังสือขนาดใหญ่

เฮียเลง, วิชิตและผม คือขาประจำที่ว่า อำนวยมีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง และเป็นพ่อม่ายเมียตายด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อปีกลาย โชคดีที่พ่อตาแม่ยายรับหลานทั้งสองคนไปเลี้ยง เพราะเป็นห่วงว่าลูกเขยจะมีเมียใหม่ หลานๆ จะโดนแม่เลี้ยงรังแกเอา

นงลักษณ์-ภรรยาของอำนวยที่อายุสั้นเป็นคนสวยมาก นิสัยดี สุภาพเรียบร้อย ญาติมิตรล้วนรักใคร่เธอทั้งนั้น...ภาพถ่ายของเธอโดดเด่นอยู่ในห้องรับแขก แววตาสดใสที่มองตอบมานั้น เห็นแล้วเหมือนเธอยังมีชีวิตอยู่ตามเดิม!

ปรากฏว่าอำนวยหันไปแก้เหงาด้วยการทำงานหนัก ตกเย็นก็พักผ่อนด้วยสุรากับเพื่อนฝูง หรือไม่ก็หมกอยู่กับหนังสือที่สะสมเอา ไว้ ใครถามว่าไม่หาคู่ชีวิตคนใหม่หรือ? อำนวยก็ตอบว่าอายุตั้ง 45 ปี ไม่คิดจะหาห่วงมาผูกคออีกแล้ว ทำงานหาเงินเอาไว้ส่งเสียลูกเต้าดีกว่า

เมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง ป้าลำยอง-คนรับใช้เก่าแก่ลาออกไปแล้ว พวกเราเห็นสาวสวยหุ่นสูงโปร่งแต่ดูอวบอัดไปทั้งเนื้อทั้งตัว แต่งตัวดีเหมือนเป็นญาติกับอำนวย แต่เขาแนะนำว่าเธอชื่อ "ลดา" มาทำงานบ้านให้แทนคนเก่า

ลดาทั้งสะสวยทั้งมีเสน่ห์แบบเซ็กซี่ จนพวกเราหันมาสบตากันอย่างไม่ได้ตั้งใจ ลดาคอยดูแลเครื่องดื่มและกับแกล้ม ขณะที่พวกเราเริ่มต้นเล่นไพ่สามกองกัน เหมือนที่เคยทำมาราว 2-3 ปี ตั้งแต่ภรรยาของอำนวยยังมีชีวิตอยู่

เคยเรียกการเล่นไพ่แบบนี้ว่า "แบล็กแจ๊กรัสเซียน" หรือไม่ก็ "โป๊ก เกอร์รัสเซียน" แต่คนส่วนมากนิยมเรียกง่ายๆ ว่า "ไพ่สามกอง" ขาไพ่ 4 คน แจกทีเดียวคนละ 13 ใบ จัดไพ่ 3 กอง กองหน้า 3 ใบ กองกลางและกองหลังอย่างละ 5 ใบ

กองหน้าต้องไพ่เล็กกว่ากองกลาง ส่วนกองกลางก็ต้องเล็กกว่ากองหลัง ...บางคนอยากจัดคู่เอในกองหน้าเพราะได้ 2 ต่อ แต่หากองกลางใหญ่กว่าไม่ได้ เรียกกันว่า "คู่เอตกรถ"

บางทีได้ไพ่มา 5 คู่ เรียกว่า "สิบล้อ" ไม่รู้จะจัดยังไงเหมือนกันครับ?

อ้าว? ลืมไปว่าจะเล่าเรื่องขนหัวลุก!

คืนวันศุกร์แรกๆ ที่เราพบสาวใช้คนใหม่ของอำนวยนั้น ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่อดนินทากันไม่ได้ว่า "น้ำตาลใกล้มด" ใครจะอดได้ล่ะ? พวกเราเองยอมรับกันทุกคนว่าลดาสวยเซ็กซี่เหลือหลาย ไม่รู้อำนวยอดใจได้ยังไง?

จนกระทั่งถึงคืนสยองขวัญ ที่ทำให้วงเหล้าวงไพ่ของพวกเราแตกกระเจิงไป...

ตอนนั้นราว 5 ทุ่มเศษ...ไม่มีใครสนใจเรื่องอื่นแล้วครับ ยกเว้นไพ่ในมือ คนไหนจัดเก่ง จัดเร็ว วางไพ่ลงไปแล้วก็ได้โอกาสยั่วเย้าคนที่ยังจัดไม่เสร็จ ประเภท...เก่งไม่กลัว กลัวช้า! ให้เพื่อนหงุดหงิด รีบจัดไพ่ลวกๆ ลงมาวาง โดยที่เราเล่นกันจนรู้นิสัยว่าใครชอบจัดไพ่ให้แข็งกองหน้า หรือกองกลาง

ลดา...เธออยู่ไหนก็ไม่รู้ คงวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เพราะโซดาใกล้หมดก็จะเปิดขวดใหม่มาให้ กับแกล้มง่ายๆ อย่างถั่วคั่ว เม็ดมะม่วง มันทอดหรือหมูแผ่นก็คอยมาเติมให้ ไม่ต้องร้องเรียกสักคำ...จะไม่ให้พวกเพื่อนๆ อิจฉาอำนวยได้ยังไง?

คืนนั้นไพ่ไม่ขึ้นมือผมเสียเลย!

ตะละตาล้วนแต่ได้ไพ่แหลกเหลว น่าปวดหัวสิ้นดี บทจะได้จัดเห่า ในกองหลังก็เป็นประเภทเห่า 2 หรือเห่า 3 คือเห่าเล็กๆ ที่มีศัพท์เรียก กันว่า "หัดเห่า" หมายถึงเห่าแบบเด็กๆ ถ้าเกิดไปชนกับเห่าใครเข้าก็แพ้วันยังค่ำ

ขณะนั้นเอง เฮียเล้งแจกไพ่เรียบร้อย เราลุ้นกันใจระทึก วิชิตขยับแว่นจุ๊ย์ปากจึ๊กจั๊ก...แสดงว่าไพ่ไม่สวย จัดยาก ตรงข้ามกับเฮียเล้งที่กางไพ่แล้วยิ้มละไม ส่วนอำนวยก็ยิ้มแตกซ่านเต็มหน้า...เป็นที่รู้กันว่าพ่อม่ายเมีย ตายนี่กำลังรอ "เบิ้ล" หรือไม่ก็ "รีดับเบิ้ล" เพราะได้ไพ่งามๆ อย่างแน่นอน!

อ้าว? ผมเกิดได้ไพ่ดีเหลือเชื่อ กองหน้าตอง กองกลางเสตต กองหลัง 4 ตัว...มีหวัง "ทะลุ" หมด ให้มันได้ยังงี้ซิน่า! หันไปมองเฮียเล้งที่หันหลังให้ตู้หนังสือ...เอ๊ะ! นั่นอะไร?

ในแสงสลัวท่ามกลางความเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศ ผมเห็นเงาใครผ่านไปมาวอบแวบ...คงจะเป็นลดาคนสวยล่ะมั้ง? แต่กลิ่นน้ำหอมที่อวลซ่านมากระทบจมูกก็ทำให้พร่ามึนอย่างบอกไม่ถูก ...นงลักษณ์!? ภรรยาของอำนวยที่ล้มตายกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว ภาพใบหน้าในรูปถ่ายของเธอลอยเด่นขึ้นมาในความทรงจำ เล่นเอาขนลุกเกรียวไปทั้งตัว ในบัดดล

ทันใดนั้น ลดาก็ก้าวเข้ามาช้าๆ ในชุดเสื้อกระโปรงสีม่วงลายขาว..เธอคงจะเอาน้ำแข็งหรือโซดามาเติมให้ที่พวกเรา แต่แขนทั้งสองทิ้งอยู่ข้างตัว ทรวงอกไหวกระเพื่อมนิดๆ ขณะเดินเข้ามาหาอำนวย ผู้หันขวับไปมองพอดี

"พี่ขา..." เสียงเยือกเย็นดังขึ้นจนทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียวกัน "พรุ่งนี้ไล่ลดามันไป...ไม่งั้นลักษณ์จะฆ่ามัน!"

"เฮ้ย!!" ไม่รู้ใครร้องลั่น ทุกคนผงะหน้า ตาเหลือกลาน...ไม่ต้องบอกก็จำได้ว่าเป็นเสียงนงลักษณ์แน่นอน...ขณะที่ร่างของลดาทรุดฮวบลงไปนอนคว่ำหน้าอยู่กับพื้นห้อง พวกเราเผ่นผลุงขึ้นยืน เสียงร้องอุทานดังขึ้นอีกครั้งเมื่อไฟในห้องรับแขกสว่างพรึ่บขึ้นมา

ลดาคนสวยได้สติอีกครั้ง เฮียเล้งมองหน้าวิชิต ทั้งสองหันมามองผม...พวกเราหันไปจ้องหน้าอำนวย เขาหลบตา กลืนน้ำลายอย่างยากเย็น

ได้ข่าวว่าลดาขนของออกไปแล้ว แต่พวกเราก็ไม่กล้าย่างเหยียบไปที่บ้านอำนวยจนถึงทุกวันนี้ เพราะไม่อยากช็อกตาย...วงไพ่คืนวันศุกร์กลายเป็นอดีตโดยสิ้นเชิง!

ที่มา
http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEV4TURJMU1RPT0=&sectionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdNaTB4TVE9PQ==

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ศาลาผีหลอก!
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 22 มิ.ย. 2554, 10:15:16 »
ศาลาหกเหลี่ยม
ขนหัวลุก
ใบหนาด


"กลิ่นพิกุล" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากศาลาริมสนาม

ซุ้มศาลาไม้ทรงหกเหลี่ยมนั้นสวยสะดุดตาสะดุดใจดิฉันจริงๆ ตั้งแต่แรกเห็นที่ร้านต้นไม้แถวบางแค มันถูกใจจนต้องจอดรถลงไปเจรจากับเจ้าของร้าน...ในที่สุดมันก็ถูกยกมาไว้ที่บ้านแถวบางพลัด

"เหตุผลหนึ่งดิฉันอยากได้มันเหลือเกิน ก็เพราะปีนี้คุณแม่อายุครบ 60 ปี ท่านเคยพูดมานานแล้วว่าอยากมีศาลาเล็กๆ ตั้งริมสนาม เวลาแขกไปใครมาจะได้มานั่งคุยกันในที่โปร่งโล่ง...แทนที่จะอุดอู้อยู่ในห้องรับแขก

สนามหญ้าบ้านเรากว้างขวาง มีดอกไม้ปลูกไว้สะพรั่งเชียวค่ะ...

ต้นจำปีที่อยู่มาตั้งแต่สมัยคุณยาย ซึ่งก็เกือบ 50 ปีแล้ว...ก่อนดิฉันเกิดตั้ง 10 ปีแน่ะ ต้นสูงใหญ่ ออกดอกสะพรั่ง หอมกรุ่นขจรขจาย และให้ร่มเงาอย่างวิเศษ

มุมสนามด้านหนึ่งมีซุ้มนมแมว ส่งกลิ่นชื่นใจทุกค่ำคืน บางคนบอกว่ามันหอมแรงจนฉุนน่าเวียนหัว แต่ดิฉันชอบมาก มันได้บรรยากาศไทยๆ ดีออก

คุณแม่เป็นแบบฉบับผู้หญิงไทยเต็มตัว คือทำกับข้าวเก่งเช่นเดียวกับน้องสาวซึ่งยังเป็นโสด เธอใกล้ 30 แล้วค่ะ คิดว่าอยู่ตัวคนเดียวสบายกว่า เธอจะหาแต่หนุ่มๆ ที่สมบูรณ์แบบ...ชาตินี้ไม่ได้แต่งงานแน่ๆ

เมื่อทางร้านขนซุ้มศาลามาตั้งข้างซุ้มราชาวดี คุณแม่ก็ชอบอกชอบใจมาก...

ศาลาไม้หลังนี้สวยแปลกตาดีจริงๆ มีขอบเป็นไม้ที่ฉลุลวดลายเถาวัลย์ งดงามมาก ถ้าดูดีๆ จะเห็นว่าเขาแต่งเป็นฝูงนก ฝูงกระต่าย แฝงอยู่ในเครือเถาวัลย์นั้นด้วย

ศาลากลางสนามทั่วๆ ไปมักจะเป็นทรงกลม แต่หลังนี้เป็นหกเหลี่ยมขนาดกำลังดี นั่งได้สบายๆ สิบคน ตรงกลางอาจจะมีโต๊ะไม้เล็กๆ ไว้วางขนม วางอาหารได้ น้องสาวจัดแจงยกเตาบาร์บีคิวมาไว้ใกล้ๆ ให้เราฉลองศาลาในค่ำคืนแรก ด้วยการย่างเนื้อ ย่างกุ้ง นั่งกินกันเพลิดเพลิน...

ไม่กี่วันต่อมา มีเพื่อนคุณแม่มาหาที่บ้าน

ดิฉันเรียกท่านว่าคุณป้ารจิต อายุ 70 กว่าแล้วนะคะ แต่เก่งมาก คล่องแคล่ว คุยสนุก ยังขึ้นรถเมล์หรือซ้อนมอเตอร์ไซค์ได้ราวกับสาวๆชอบทำอาหารเหมือนคุณแม่...ด้วยความที่เป็นเชื้อสายตระกูลผู้ดีชาวรั้วชาววัง ท่านจึงมีความรู้เรื่องไทยๆ มาสอนพวกดิฉันเสมอ

พอคุณป้ารจิตเห็นศาลาหกเหลี่ยมริมสนามของเรา ท่านถึงกับชะงักและมองมันอย่างพิจารณา พลางถามเสียงเรียบๆ เย็นๆ ว่า "นั่นหนูได้มาจากไหน?"

ดิฉันเล่าให้ฟัง คุณป้ารจิตครุ่นคิดอยู่นาน พอคุณแม่ขอตัวเข้าครัว ท่านก็บอกว่า เดี๋ยวจะตามไป แต่ดึงมือดิฉันไปคุยด้วย

...เล่าว่าศาลานี้ท่านจำได้ไม่ผิดแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีกระต่ายตัวหนึ่ง ตรงหูมันหักไป! ท่านชี้ให้ดู และดิฉันก็ออกจะตกใจไม่น้อยเลย เพราะแสดงว่าคุณป้าจำไม่ผิด!

เดิมที ศาลานี้อยู่ที่บ้านผู้ดีเก่าท่านหนึ่ง มันเคยวางริมสนามแบบนี้ เคยเป็นที่สำราญใจของผู้คนมายาวนาน

แล้วทำไมเจ้าของถึงได้ขายมันล่ะ?

"ทำบุญนะหนู" คุณป้ากระซิบ "นิมนต์พระมาทำสังฆทานก็ได้...ทำซะนะ!"

ท่านย้ำแล้วย้ำอีก จนดิฉันสังหรณ์ใจว่าต้องมีอะไรแน่ๆ แต่ท่านไม่ยอมเล่า

ไม่ทราบว่าเพราะคิดฟุ้งซ่านหรือเปล่า? ดิฉันฝันว่าตัวเองไปอยู่ในบ้านใหญ่หลังหนึ่ง มีศาลาหกเหลี่ยมนี่ตั้งริมสนาม และมีงานเลี้ยงที่ติดไฟระยิบระยับไปหมด

ฉับพลัน มีแขกคนหนึ่งในงานล้มพับ และถูกหามมานอนบนม้านั่งในศาลา...ซึ่งนาทีนั้นเอง ชายสูงวัยที่ล้มนั่นก็กลายเป็นศพ และศพนั้นก็ลุกขึ้นหลอกหลอนอย่างน่ากลัว...แขกเหรื่อคนอื่นวิ่งหนีกันวุ่นวาย

เมื่อดิฉันโทรศัพท์ไปเล่าให้คุณป้ารจิตฟัง ท่านบอกว่า...นั่นแหละคือสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต!

สุภาพบุรุษชราผู้หนึ่งหัวใจวาย และตายในศาลาหลังนี้ จากนั้นก็มีคนเห็นเขามานั่งอยู่ในศาลาแทบทุกคืน จนเจ้าของให้คนสวนกำจัดมันไป จะเอาไปขายหรือไว้ที่ไหนก็ตามใจ

สุดท้ายมันก็มาอยู่ที่บ้านดิฉัน!

น้องสาวกลัวมากค่ะ ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยกลัวผีสางนางไม้อะไรเลย คุณแม่เองก็ไม่สบายใจ ผลก็คือ ดิฉันไปติดต่อกับร้านที่ดิฉันซื้อมาและเล่าให้เขาฟังตามตรง...เขาขอโทษขอโพยและยอมรับซื้อคืน แถมยังเอารถมาขนกลับไปด้วย...

เขาเล่าว่ามีคนซื้อไป 2-3 ราย แล้วเอามาคืนแบบนี้ทุกคน ยังดีนะที่ดิฉันไม่โดนผีหลอกอย่างรายอื่น ซึ่งบางคนเห็นอย่างเต็มตา เป็นผู้ชายร่างผอม ผมขาว มานั่งสูบไปป์อยู่ในนั้นค่ะ!

ดิฉันถามเขาว่าเจ้าของร้านเคยเห็นไหม? เขาบอกว่าไม่เคย แต่มีอยู่วันหนึ่งที่เขาได้กลิ่นเน่าคละคลุ้ง และหาที่มาไม่ได้

น่าเสียดายจริงๆ แต่คิดๆ ก็ใจหายนะคะ

ศาลานี้มาอยู่ที่บ้านดิฉัน 2 คืน ไม่รู้สิ...ถ้าอยู่ต่อเราจะเจออะไรบ้าง?

อย่างไรก็ตาม ดิฉันหาศาลาริมสนามมาให้คุณแม่จนได้ เป็นซุ้มศาลาที่ทำใหม่ๆ เลยล่ะค่ะ ยังมีกลิ่นเล็กเกอร์อยู่เลยนะ...แต่นึกถึงศาลาหกเหลี่ยมหลังเก่าทีไร เสียวสันหลังทุกที!

ที่มา
http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEV4TVRJMU1BPT0=&sectionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd055MHhNaTB4TVE9PQ==

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ศาลาผีหลอก!
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 22 มิ.ย. 2554, 10:17:11 »
บ้านผีสิง
ขนหัวลุก
ใบหนาด


"นายตั้ม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบ้านเช่า

ตอนที่ผมขนของเข้ามาอยู่ในบ้านเช่าราคาถูก (แต่ดี) หลังนี้ ดูเหมือนผู้คนทั้งซอยจะลอบมองผมด้วยสายตาพิกลๆ ยังไงชอบกลอยู่

ผมหล่อเหรอครับ? เอ่อ...ก็ใช่นะ มีส่วนมากเชียวละ ผมมีส่วนละม้ายคล้ายป๋าเทพแต่ผมหนุ่มกว่า อายุเพิ่ง 32 ยังไม่มีลูกเมีย ทำงานเป็นพนักงานดูแลซ่อมแซมเครื่องคอมพิวเตอร์ที่บริษัทแห่งหนึ่ง งานล้นมือจริงๆ แต่ถ้าคอมพ์ของคุณเสีย จะเรียกผมไปดูให้ก็ได้นะครับ

คนในซอยนี้พอรู้เข้าก็มาพูดจาแทะโลม...เอ๊ย! จับจองตัวผมกันเป็นแถว!

ก็เพราะงานล้นมือนี่ละ ทำให้ผมต้องกราบลาคุณพ่อคุณแม่เป็นการชั่วคราว ระเห็จออกจากคฤหาสน์ที่อยู่มาแต่อ้อนแต่ออก มาเช่าบ้านกับเพื่อนให้มันใกล้ที่ทำงานเข้าไว้ก่อน

ป๊อก-คือเจ้าเพื่อนที่ว่า มีเมียแล้ว สวยด้วยและมีลูกเล็กๆ อายุขวบกว่าคนหนึ่งกำลังหัดพูดหัดคุย เป็นเด็กผู้ชายครับ โตขึ้นสงสัยจะหล่อเชียวเพราะเหมือนแม่

ป๊อกกับลูกเมียน่ะอยู่ชั้นบน ส่วนผมนอนที่ห้องข้างล่าง ติดกับห้องรับแขกและห้องครัว

บ้านที่เรามาเช่ากันนี้ไม่กระจอกนะครับ จะบอกให้ เป็นบ้านผู้ดีมีระดับเชียวละ ข้างล่างเป็นไม้ ข้างบนก่ออิฐถือปูน อายุอานามของบ้านหลังนี้คงราวๆ ซัก 40-50 ปี แต่ยังแข็งแรง ฝีมือช่างสมัยนั้นดีมาก วัสดุก่อสร้างก็ยอดเยี่ยมคงทน

ที่นี่เป็นบ้านขนาดกลาง อยู่สบายในเนื้อที่ 200 ตารางวา มีต้นไม้ใหญ่ๆ อย่างมะม่วงและต้นจำปี มะม่วงงี้ออกลูกดกเชียว

เจ้าของบ้านเป็นข้าราชการเกษียณแล้ว แหม! อายุท่านตั้งเกือบ 80 แล้วนะครับ...ท่านให้เช่าถูกๆ เพราะบ้านนี้ผีดุ!

ตกใจมั้ยครับ ผมพูดตรงๆ แบบนี้แหละ! เจ้าของบ้านท่านก็ไม่ได้ปิดบัง จะว่าไปเรามีอารมณ์ขันเข้ากันได้ พูดคุยกันไม่กี่ประโยคก็ถูกชะตากันแล้ว แต่เรื่องผีดุนี่ไม่ใช่ล้อเล่นให้เห็นตลก...บ้านนี้มีคนตายครับ

ฟังแล้วสยองจังเลย ท่านเล่าว่าเมื่อ 20 ปีก่อน บ้านนี้มีคนอยู่กันคึกคัก ทั้งท่านเอง ภรรยาและลูกๆ อีก 4 คน รวมทั้งคนใช้อีก 3 คน เป็นบ้านที่มีความสุขและอบอุ่น ท่านรักที่นี่มากเพราะเก็บหอมรอมริบสร้างขึ้นมา หวังจะให้อยู่กันอย่างสุขสบายชั่วนิรันดร์

แต่วันหนึ่งก็เกิดเรื่องร้าย มีขโมยปีนเข้าบ้าน เป็นจังหวะพอดีกับสาวใช้คนสวยกำลังเดินไปเข้าห้องน้ำ

เรือนคนใช้นี่อยู่ทางด้านขวาของบ้าน ปลูกต่างหากแยกออกไป แต่ปัจจุบันรื้อทิ้งไปแล้ว เพราะอย่างที่บอกน่ะครับ...ผีดุ!!

เล่าต่อนะครับ...เมื่อโจรเห็นสาวใช้งัวเงียออกมา มันก็จับตัวไว้ มัดเป็นหมูและข่มขืน ที่หฤโหดกว่านั้นคือ...มันบีบคอเธอจนตายคามือ! น่าสงสารที่สุดเลย

ตั้งแต่นั้นก็อยู่กันไม่เป็นสุขแล้วละครับ

โอ้โฮ! มีคนถูกฆ่าตายในบ้านใครจะไปอยู่ได้ แต่เจ้าของบ้านไม่อยากขาย แม้จะอพยพโยกย้ายไปอยู่คอนโดฯ กันแล้วก็ตาม บ้านหลังนี้ยังเป็นสมบัติของท่าน ตอนแรกมันถูกทิ้งร้างว่างเปล่าและรกเรื้อ แต่เมื่อมีคนมาขอเช่าอยู่ ท่านก็จ้างคนงานมาถากถางทำความสะอาด ปลูกหญ้าใหม่ ปลูกดอกไม้ให้สดใส...

แต่ถึงกระนั้น คนที่มาเช่ารายแล้วรายเล่าก็มักจะเจอดี แม้แต่คนในซอยนี้ก็เคยมองเข้ามา แล้วเห็นเธอนั่งห้อยขาอยู่บนกิ่งมะม่วง ...บริเวณนี้แหละที่เธอถูกฆ่าตายอย่างทารุณ

ผมกลืนน้ำลายเอื๊อก ก่อนถามเจ้าของบ้านว่าน้องหนูที่โดนฆาตกรรมนั้น ยามมีชีวิตอยู่น่ะ นิสัยใจคอเป็นยังไง? ท่านตอบว่า เป็นเด็กเรียบร้อย ว่านอนสอนง่าย อารมณ์ดี รักเด็ก รักสัตว์ รักต้นไม้...

เฮ้อ! ฟังแล้วหวังว่าเธอคงยังไม่เปลี่ยนนิสัยนะ

อันที่จริงพวกเรา 3 คนคือตัวผม เจ้าป๊อกและน้องอี๊ดเมียมันนั้น กลัวผีกันทุกคน แต่ความงกมีมากกว่าครับ เราจะเช่าบ้านราคาถูกๆ ยังงี้ได้ที่ไหน? เราเลยตกลงใจอยู่ที่นี่...ขอลองดูสักพักเถอะน่า!

ตอนเข้าบ้าน ผมจุดธูปปักไว้ใต้ต้นมะม่วง ขอฝากตัวกับน้องพิม...อ้อ! สาวใช้ที่ตายชื่อพิมครับ บอกเธอว่าเห็นใจคนยากเถอะ

จริงๆ แล้วผมได้ยินเสียงประหลาด คล้ายแมวหรือลูกหมาร้องครวญคราง ถ้าฟังดีๆ จะได้ยินเป็นเสียงผู้หญิงสาวๆ ร้องยามใกล้สิ้นใจด้วยความทรมาน! เวลาได้ยินผมจะคลุมโปง ท่องนะโม แล้วแผ่ส่วนกุศลให้ ผมจะหลับหูหลับตาไม่มองไปที่หน้าต่าง ที่เปิดไปทางมะม่วงต้นนั้น

ป๊อกกับอี๊ดก็เคยเห็นเงาผู้หญิงผ่านหางตา แวบไปแวบมา แต่เราถือว่าเราอยู่คนละมิติ ผีทำอะไรเราไม่ได้ คนต่างหากที่น่ากลัวกว่าเป็นไหนๆ

มันอาจเป็นเพราะเรา 3 คนมีความสงสาร และอยากให้วิญญาณสาวพิมพ้นทุกข์ เราส่งแรงใจที่ปรารถนาดีไปยังเธอผู้นั้นให้หายเจ็บหายกลัว

"มันผ่านไปแล้วนะ นาทีมรณะนั่น...ให้มันผ่านไปเถอะ! วิญญาณเธอหายเจ็บแล้ว และไม่มีใครทำร้ายเธอได้อีก อย่าจมอยู่กับความทุกข์ที่โหดร้ายนั่นเลย...จงเป็นอิสระเถิด"

ผมพึมพำแบบนี้เสมอ ผลก็คือใจคอผมสบายขึ้นเยอะเลย...

แปลกนะครับ ผมรับรู้ว่าวิญญาณที่น่าสงสารก็ตอบรับเหมือนกัน ด้วยสายลมแผ่วๆ และความสงบสันติ สุข...ทุกวันนี้ผมจึงอยู่ที่นี่ได้สบายดี กลัวผีบ้างแต่ก็พอทนครับ!

ที่มา
http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEExTURJMU1RPT0=&sectionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdNaTB3TlE9PQ==

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ศาลาผีหลอก!
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 22 มิ.ย. 2554, 10:32:10 »
ผีวัดร้าง
ขนหัวลุก
ใบหนาด


"นายอ๊อด" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากริมฝั่งสะแกกรัง

ผมเป็นคนจังหวัดอุทัยธานี เมืองโบราณที่มีประวัติศาสตร์หลายร้อยปี หลายๆ คนเชื่อว่าเคยเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ด้วยซ้ำ ชาวบ้านขุดได้อาวุธสมัยหิน เช่น ดาบ ขวาน อยู่บ่อยๆ ไหนจะเครื่องประดับอย่างสร้อยและกำไล อายุกือบพันปีได้ละมั้ง?

ไม่ต้องสงสัยหรอกครับว่าจะมีผีดุขนาดไหน!

สมัยเด็กๆ ผมยังเคยเห็นวัดร้างและเจดีย์หักอยู่ริมแม่น้ำสะแกกรัง ซากวัดผุพังที่ซุกตัวอยู่ได้ซุ้มไม้ดกหนา พวกผมเข้าไปวิ่งเล่นกันมั่ง เล่นซ่อนแอบมั่ง มองเห็นซากโบสถ์กับศาลาวัดที่มีอิฐหักๆ กองเกลื่อนกลาด บางครั้งก็เห็นเงาใครเดินผ่านวับๆ แวมๆ ในบรรยากาศเยือกเย็นวังเวงใจบอกไม่ถูก

ไอ้จุก-เพื่อนผมคนหนึ่งมันเล่าว่าเคยเห็นพระแก่ๆ ยืนมองมาจากซุ้มไผ่ตายซากที่ข้างคูแห้งๆ ด้วย! เอ๊ะ...ที่นั่นเป็นวัดร้างแท้ๆ แล้วจะมีพระอยู่ได้ยังไงล่ะ? นอกจาก...

พอดีหลวงตากวักมือเรียกยิ้มๆ ยอดไม้สะบัดกราวตามสายลม ไอ้จุกขยี้ตามองแต่ไม่เห็นพระรูปนั้นเสียแล้ว คล้ายกับท่านหายตัวได้ยังงั้นแหละ เอ้า!

วิ่งซีครับ...ไอ้จุกเล่าว่ามันวิ่งหนีชนิดปอดอ้าไปตามตลิ่งสูงๆ ตอนหน้าแล้ง ขนาดอยากจะร้องโหวกโหวยยังร้องไม่ออก พอดีเจอลุงที่แบกคันเบ็ด หิ้วข้องปลาผ่านมาพอดี ไอ้จุกเลยวิ่งเข้าไปหา...เพิ่งจะร้องไห้ออกมาตอนนั้นเอง

พอรู้เรื่องลุงก็ดุใหญ่ บอกว่าทีหน้าทีหลังอย่าอุตริไปเล่นที่วัดร้างนั่นอีกเป็นอันขาด ผีดุ! มีคนโดนหลอกกระเจิงมาหลายคนแล้ว

ไม่ช้าพวกเราเด็กๆ ก็ลืมเรื่องนี้ ชวนกันไปวิ่งเล่นซุกซนตามเคย!

ที่วัดร้างนั่นมีดงตะขบดกหนา ถ้าใครเคยเป็นเด็กบ้านนอกอย่างผมจะรู้ดีว่าลูกตะขบสุกๆ มันหวานอร่อยแค่ไหน ใกล้ๆ กันก็มีดงมะขามเทศดกสะพรั่ง ตามกิ่งก้านออกฝักระย้าเชียวครับ ถ้าไม่มีใครไปสอยมากิน ฝักมันก็ปริออกเห็นเนื้อแดงๆ ตอนนี้แหละออกรสชาติหวานๆ มันๆ อร่อยอย่าบอกใครเชียว

พวกเราไม่ค่อยกลัวผีกันเท่าไหร่ ไม่งั้นไม่กล้าเข้าไปเล่นในวัดร้างหรอกครับ ภูตผีก็เห็นจะมาหลอกหลอนเด็กๆ ผมมาคิดตอนหลังว่า พวกผีที่สิงสู่อยู่ในวัดร้างมาหลายสิบปี หรือเป็นร้อยๆ น่ะคงจะเหงาเอาการเหมือนกัน

เด็กๆ เข้าไปยิ่งเล่นครืนๆ ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว หัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างสนุกสนานตามประสาเด็กๆ อาจจะทำให้ผีหายเหงาก็เป็นได้

เผลอๆ ก็อยากออกมาเล่นกับเด็กๆ มั่งน่ะซี!

วันนั้นตรงกับวันเสาร์ พวกเราหยุดเรียนจึงออกจากบ้านไปเล่นเฮๆ กันริมแม่น้ำสะแกกรัง ที่โล่งทำให้ลมหนาวพัดตึง หนาวสะท้านไปตามๆ กัน เพื่อนผม 3 คนเชื่อไอ้ชา ไอ้เข กับไอ้หวิง บอกกล่าวกันว่าหลบลมหนาวเข้าไปเล่นแถววัดร้างดีกว่า มะขามเทศเต็มต้นกำลังสุกอร่ามพอดี

ว่าอะไรว่าตามกันซีน่า...ไม้ช้าพวกเราก็ไปเล่นกันที่นั่น...อ้อ! ไม่ได้เข้าไปในเขตวัดที่มีโบสถ์พังๆ กับศาลาการเปรียญโย้เย้ เสาไม้ 2 ต้น ตรงโคนก่ออิฐแตกหัก ทรุดลงมาข้างหนึ่งจนเอียงกระเท่เร่...แต่เราพากันไปที่ดงตะขบกับดงมะขามเทศต่างหากล่ะ

จู่ๆ ไอ้เขก็ตั้งปัญหาขึ้นว่า...ป่าช้าวัดนี้อยู่ที่ไหน?

สาบานได้ว่าไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน แถมไม่รู้อีกต่างหาก ไอ้หวิงร้องด่า ...อยากรู้ไปหาหอกอะไรวะ? สงสัยจะอยู่แถวดงตะขบนี่ละมั้ง? ไอ้ชาเสริมขึ้นว่า...คงจริงแฮะ เพราะตะขบมันอยู่เหนือหลุมศพจึงดกชะมัดเตี่ย!

เราหัวเราะกันเป็นเรื่องสนุก จัดการหยิบไม้ไผ่ที่พาดกิ่งตะขบไปสอยมะขามเทศกัน...ไม่มีใครรู้หรอกครับว่าไม้ไผ่นั่นมาจากไหน แถมไม่สนใจอีกต่างหาก

อากาศตอนบ่ายแก่ๆ มืดครึ้มเหมือนใกล้ค่ำ เพราะมีเมฆหนาทึบบดบังแสงแดดจนหมดสิ้น ความเยือกเย็นก็เพิ่มขึ้นทุกที ลมพัดฮือมาตามยอดไม้เกิดเสียงซู่ซ่า...กอไผ่ตายซากก็เสียดสีกันจนเกิดเสียงออดแอด ชวนให้วังเวงใจสิ้นดี

พวกเรากำลังแหงนหน้ามองมะขามเทศฝักโตๆ แตกปริจนเห็นเนื้อชมพูอมแดง...นึกถึงรสชาติหวานมันในปากเราแล้วก็ต้องกลืนน้ำลาย

ไอ้เขกับไอ้ชาช่วยกันสอย ไอ้หวิงกับผมช่วยกันเก็บฝักที่ร่วงปุๆ หยิบมาปอกเปลือกยัดใส่ปากทันที...ไม่มีใครห้ามหวงหรอกครับ เพราะมันดกชนิดกินเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด

"กิ่งนี้โว้ย..." เสียงไอ้เขร้อง แหงนหน้าส่งไม้สอยเหยงๆ ไอ้ชาก็ร้อง "กิ่งนี้ๆ" เหมือนกัน...ตามด้วยเสียงไอ้เขดังลั่น "ส่งมาซีวะ! เออ...ส่งมาหลายๆ พวงเลย!"

ไอ้หวิงกับผมเอะใจ แหงนหน้าขึ้นมองมั่ง เห็นเด็กชายคนหนึ่งนั่งยองๆ อยู่บนกิ่งไม้ พลางยื่นฝักมะขามเทศเสียบไม้สอย...ไม่ได้ทำตะกร้อไว้แบบไม้สอยมะม่วงนี่ครับ...เสียงไอ้เขร้องเร่งฟังแล้วน่าขนลุกขนพอง

"เสียบหลายๆ พวงซีวะไอ้หวิง...ไอ้อ๊อด!"

"กูอยู่นี่!" ไอ้หวิงกับผมร้องขึ้นพร้อมๆ กัน ไอ้เขกับไอ้ชาหันขวับมามอง ทำตาเหลือกก่อนจะหันไปเงยหน้า...เราเห็นเด็กชายไว้จุกก้มลงมอง ยิ้มแป้นเห็นฟันขาวเต็มปาก แต่นัยน์ตาแดงก่ำเหมือนนกกะปูด...ไอ้เขกับไอ้ชาผงะหน้า ร้องจ๊าก ไม้ไผ่หลุดจากมือบัดดล

"ผีหลอก...ผีหลอกโว้ย!!"

ไม่รู้ใครตะโกนแสบแก้วหู วิ่งชนกันจนล้มลุกคลุกคลาน...เสียงหัวเราะแหบโหยดังไล่หลังเล่นเอาเร่งสปีดกันไม่คิดชีวิต...นอกจากจะไม่ย่างกรายไปที่วัดร้าง ผมยังเลิกกินตะขบกับมะขามเทศมาถึงทุกวันนี้เลยครับ!

ที่มา
http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEEwTURJMU1RPT0=&sectionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdNaTB3TkE9PQ==

ออฟไลน์ saken6009

  • อย่ากลัวคนจะมาตำหนิ แต่จงกลัวว่าตัวเองจะทำผิด อย่ากลัวที่จะรับรู้ความบกพร่องของตน แต่จงกลัวว่าตนจะเป็นคนที่ดีได้ไม่จริง
  • ก้นบาตร
  • *****
  • กระทู้: 893
  • เพศ: ชาย
  • ชีวิตของข้า เชื่อมั่นศรัทธา หลวงพ่อเปิ่น องค์เดียว
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ศาลาผีหลอก!
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 23 มิ.ย. 2554, 05:13:07 »
วิญญาณตามสถานที่ต่างๆ 11; 11;
                                                       
ขอบคุณท่าน ทรงกลด ที่นำบทความเรื่องผี-วิญญาณมาให้พี่น้องศิษย์วัดบางพระได้อ่านครับ :053: :053:
 
ติดตามอยู่ครับ อ่านแล้วเพลินดีมากๆครับ และ ได้สาระความรู้ และ วังเวงมากๆครับผม :016: :015:
   
(ขออนุญาตเข้ามาอ่าน ขอบคุณครับผม) :033: :033:
   
 

กราบขอบารมีหลวงพ่อเปิ่น คุ้มครองศิษย์ทุกๆท่าน ให้แคล้วคลาด ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง สาธุ สาธุ

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ศาลาผีหลอก!
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 23 มิ.ย. 2554, 05:35:30 »
โค้งมรณะ!
ขนหัวลุก
ใบหนาด


"อินทรจักร" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากโค้งมรณะ 100 ศพ

อุบัติเหตุ ทางรถยนต์เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนบาดเจ็บและล้มตายมากที่สุด ปีละนับหมื่นนับแสนคน แม้ว่าจะมีการรณรงค์ "เมาไม่ขับ" จนถึง "ดื่มไม่ขับ" รวมทั้งการป่าวประกาศเตือนใจต่างๆ ทั่วประเทศ แต่อุบัติเหตุสยองที่ทำลายชีวิตและทรัพย์สินนับไม่ถ้วน ก็เกิดขึ้นแทบไม่เว้นแต่ละวัน

ไม่ว่าถนนหนทางที่ไหนก็ล้วนแต่เป็นอันตราย เป็นกับดักมฤตยูน่าพรั่นสยองทั้งสิ้น!

ใน กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ในเมืองใหญ่และในชุมชนที่รถราคับคั่ง ผู้ขับขี่มึนเมา ง่วงเหงาหาวนอน โดยเฉพาะเกิดความประมาท เป็นบ่อเกิดของอุบัติเหตุตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง...บาดเจ็บสาหัส พิกลพิการ กระทั่งสูญเสียชีวิตก่อนเวลาอันสมควร

ข่าวรถคว่ำเทกระจาด ตายหมู่อย่างน่าอเนจอนาถ ไม่ว่าจะเป็นหน้าเทศกาลท่องเที่ยว หรือแม้แต่ในการเดินทางตามปกติก็ตามที

โค้งมรณะ หรือ โค้ง 100 ศพ ปรากฏอยู่ทุกหัวระแหงก็ว่าได้!

แต่อุบัติเหตุสยองเหล่านั้นเกิดจากความประมาทและความมึนเมาของผู้ขับขี่เสมอไปละหรือ?

นอกจากสาเหตุดังกล่าว ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่เป็นความเร้นลับ มีพลังอำนาจแรงกล้า บันดาลให้อุบัติเหตุสยองพลันอุบัติขึ้นมา

นั่น คือ เชื่อกันว่าย่านนั้นมีผีสิง วิญญาณผีตายโหงเจ็บปวด ทนทุกข์ทรมาน รอคอยอย่างกระสับกระส่ายที่จะกระชากวิญญาณดวงใหม่ๆ ไปเป็นเพื่อน หรือไม่ก็มาทดแทนวิญญาณของตัวเอง...จะได้ไปผุดไปเกิดเสียที

ที่ต.ป่าเมี่ยง อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ก็เช่นกัน!

บริเวณ ก.ม..42-43 ถนนสายเชียงใหม่-เชียงราย ได้ชื่อว่าเป็นโค้งมรณะมานับสิบปีแล้ว เนื่องจากเกิดอุบัติรถชนกันบ่อยครั้ง รถทัวร์ที่ผ่านไปมาด้วยความเร็วปกติ แต่ก็เกิดพลิกคว่ำโดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ทำให้มีผู้เคราะห์ร้ายต้องบาดเจ็บเล็กน้อยจนถึงสาหัส...คนชะตาขาดก็ถึงกับ ล้มตายทับถมกันมานับไม่ถ้วน

ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงมีทั้งแขนขา หัก ซี่โครงหัก กะโหลกร้าว ตาบอด ร้องโอดโอยโหยหวนตั้งแต่จุดเกิดเหตุจนถึงโรงพยาบาล บ้างรักษาตัวอยู่หลายวันแล้วก็ยังเพ้อพกถึงภาพสยองจนผู้ฟังขนลุกขนพองไปตามๆ กัน

"มันดาหน้ากันมาเต็มถนนเลย...โอย! เลือดท่วมตัวก็มี แขนขาขาดก็มี! ไอ้นั่นหัวขาด...มันเดินหิ้วหัวเข้ามาหาเรา! โอ๊ย..."

"คนขับร้องด่าเสียงหลง แล้วต้นไม้ข้างทางก็วิ่งเข้าใส่! เสียงหัวเราะครืนๆ ดังมาจากทุกทิศทุกทาง..."

คน เจ็บยังไม่ได้สติ แต่ก็กระสับกระส่ายพร่ำเพ้อเสียงขาดเป็นห้วงๆ เหงื่อเม็ดโตๆ ผุดเต็มหน้าผาก สะบัดหน้าไปมาพลางขยับแขนขาที่ถูกมัดไว้เพื่อป้องกันการดิ้นตกเตียง

"ผี! ผีทั้งนั้น...มันจะเอาเราไปอยู่ด้วย! ไปให้พ้น...ไม่ไป๊! ข้ายังไม่อยากตาย..."

แม้แต่คนเจ็บบางคนที่ได้สติขึ้นมา ก็ยังเล่าภาพสยดสยองสุดขีดที่มองเห็นเต็มตาก่อนจะเกิดอุบัติเหตุร้ายกาจ...

จู่ๆ ก็มีผู้หญิงที่วิ่งตัดหน้ารถในระยะกระชั้นชิด!

คน ขับร้องเฮ้ย! ผู้โดยสารหลายคนก็มองเห็นร่างนั้นผ่านหน้ารถไปช้าๆ ราวกับภาพสโลว์โมชั่น รถหักหลบกะทันหัน...ใบหน้าอุบาทว์นั้นหันมามองพลางแสยะยิ้มอย่างสาสมใจ ขณะที่รถพุ่งเข้าใส่ต้นไม้อย่างไม่มีทางหลบเลี่ยงได้สำเร็จ

โครม!! เสียงสนั่นหวั่นไหวเหมือนฟ้าผ่า...เคล้ากับเสียงหัวเราะเย้ยหยันดังสะท้อนไป มา บาดลึกลงไปถึงหัวใจ...ก่อนที่ภาพและเสียงต่างๆ จะวูบวับดับหายไปในพริบตา!

จนกระทั่งถึงกลางเดือนมกราคม 2550 เทศกาลพืชสวนโลกอันยิ่งใหญ่ตระการตาใกล้จะถึงวันสิ้นสุดลง นักท่องเที่ยวยิ่งแห่แหนกันจากทุกสารทิศ เพื่อมาชมความงามของพืชพันธุ์สวยงามจากทั่วโลกที่นำมาแสดงเป็นครั้งแรกใน ประเทศไทย

วันศุกร์ที่ 19 มกราคม คณะครูและนักเรียนจากอำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี เกือบ 50 ชีวิต ได้เหมารถบัสมาท่องเที่ยวทัศนศึกษาที่เชียงใหม่และเชียงราย แต่ต้องประสบกับอุบัติเหตุร้ายกาจที่โค้งมรณะในอำเภอดอยสะเก็ด...ตายหมู่ อย่างน่าอเนจอนาถถึง 21 คน สร้างความสะเทือนใจให้ผู้พบเห็นอย่างเหลือประมาณ

ร่าง กายโชกเลือดเหวอะหวะน่าสยดสยอง กระเด็นกระดอนลงไปกองเกลื่อนกลาดเต็มถนน ส่วนใหญ่เสียชีวิตคาที่ บ้างก็คร่ำครวญโอดโอยด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะไปสิ้นลมที่โรงพยาบาล

บรรยากาศของความสลดหดหู่แผ่ซ่านไปทั่วทุกหนทุกแห่ง

หลัง จากนั้นไม่นานนัก ก็มีการตั้งศาลขึ้นมา 3 ศาล เพื่อให้วิญญาณที่เจ็บปวดและทนทุกข์ทรมานได้มีที่สิงสถิตเป็นหลักแหล่ง เจ้าอาวาสวัดพระบาทปางแฟนและพระสงฆ์สามเณรได้รับนิมนต์มาสวดบังสุกุล อุทิศส่วนกุศลไปให้ดวงวิญญาณของครูและนักเรียนผู้เคราะห์ร้ายโดยทั่วถึงกัน

อนึ่ง เป็นเครื่องเตือนใจให้ผู้ใช้รถพึงตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท นับแต่นั้นมา ก็ไม่ปรากฏว่ามีอุบัติเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นที่โค้งมรณะแห่งนั้นอีกเลยจนตราบ ทุกวันนี้!

ที่มา
http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEEzTURNMU1RPT0=&sectionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdNeTB3Tnc9PQ==

ออฟไลน์ yoyoholiday

  • ปฐมะ
  • *
  • กระทู้: 3
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: ศาลาผีหลอก!
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: 26 ต.ค. 2554, 03:21:15 »
หลอนมากๆเลย :016: :016: :016:

ออฟไลน์ lovelypooh

  • ปฐมะ
  • *
  • กระทู้: 2
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: ศาลาผีหลอก!
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: 28 ต.ค. 2554, 10:23:57 »
น่ากัวอ่ะ