เถรวาท กับ อาจาริยวาท และต้นกำเนิดพระไตรปิฎก
ก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระอานนท์ได้ทูลถามว่า หากสิ้นพระพุทธองค์ไปแล้วจักตั้งใครเป็นศาสดาแทน พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า ธรรมวินัยนั่นแหละ จักเป็นศาสดาแทนเรา สิกขาบทเล็กน้อยก็อนุญาตให้ถอนได้
ครั้นเมื่อพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว พระมหากัสสปะและหมู่ภิกษุจำนวนหนึ่ง ยังไม่ทราบข่าวการปรินิพพานของพระพุทธองค์ ก็เที่ยวเดินจาริกไปพบชายผู้หนึ่ง ทัดดอกไม้สวรรค์ไว้ที่หู พระมหากัสสปะเมื่อเห็นดังนั้นก็คิดใคร่ครวญว่า ธรรมดาดอกไม้สวรรค์จะไม่ตกลงมาสู่โลกมนุษย์ แต่นี่คงเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นเป็นแน่ เมื่อสอบถามก็เลยได้ความว่าเก็บดอกไม้นี้มาจากสถานที่ที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน
เมื่อทราบว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ภิกษุที่เป็นพระอริยบุคคลก็เกิดธรรมสังเวช หมู่ภิกษุที่ยังไม่ได้บรรลุคุณวิเศษใดๆ ก็ต่างร่ำไห้คร่ำครวญ แต่มีภิกษุอยู่รูปหนึ่ง ชื่อว่า สุภัททะ ได้กล่าวว่า ในเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว เราก็จงทำตัวให้สบายเถิด เมื่อครั้งที่พระพระองค์ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ พวกเราก็ต่างได้รับความทุกข์ยากจากธรรมวินัยนี้เหลือเกิน เช่นนี้แล้วพวกท่าจงทำตามความชอบใจเถิด
พระมหากัสสปะเถระ ได้ฟังดังนั้นแล้ว ก็เกิดธรรมสังเวช เห็นว่าพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานได้เพียงไม่กี่วัน ยังมีคนกล่าวจาบจ้วงพระวินัยถึงเพียงนี้ จึงดำริจะทำสังคายนา รวบรวมพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ไว้ให้เป็นหมวดหมู่ เพื่อเป็นแบบแผนเดียวกัน
จึงได้นิมนต์พระภิกษุผู้เป็นพระอรหันต์หมดกิเลสโดยสิ้นเชิงแล้วจำนวน ๔๙๙ รูป และพระอานนท์ผู้เป็นพระเสขะ(พระโสดาบัน)ที่ได้ใกล้ชิด และทรงจำธรรมวินัยจากพระพุทธองค์มากที่สุดรูปหนึ่ง ให้มาร่วมทำสังคายนาธรรมวินัยนี้ด้วย และเมื่อวันเริ่มทำปฐมสังคายนาธรรมวินัยพอดี พระอานนท์ก็ได้เจริญภาวนาจนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ สรุปว่า การทำสังคายนาธรรมวินัยครั้งแรกนี้ มีพระอรหันต์ร่วมทำทั้งหมด ๕๐๐ รูป โดยมีพระมหากัสสปะเถระเป็นประธาน
รายละเอียดวิธีการ ก็จะให้พระอรหันต์ทั้ง ๕๐๐ รูปนั้นกล่าวในที่ประชุมว่า ตนเองฟังธรรม-วินัย จากพระพุทธองค์ว่าอย่างไรมาบ้าง และเบื้องต้นนั้น พระอานนท์ได้กล่าวในที่ประชุมว่า พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้ แจ่พระมหากัสสปะเถระผู้เป็นประธาน ได้ให้มติว่าให้คงรักษาสิกขาบทในพระวินัยไว้ให้คงเดิม ไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลง
เมื่อพระอรหันต์ทั้ง ๕๐๐ รูป ได้แสดงธรรมวินัยตามที่ตนได้รับฟังจากพระพุืทธองค์ รวบรวมออกมาทั้งหมดได้ถึง ๘๔,๐๐๐ หัวข้อ วิธีการต่อไปก็คือ ให้พระอรหันต์ทั้ง ๕๐๐ รูปทั้งหมดนี้ สวดพร้อมกัน ตั้งแต่ข้อที่ ๑ จนถึงข้อที่ ๘๔,๐๐๐ พร้อมกันไม่ให้ขาดตก หากสวดผิดตกหล่นตรงไหนขึ้นมา ก็จะต้องกลับไปเริ่มสวดตั้งแต่ข้อที่ ๑ ใหม่ ทำอย่างนี้จนกว่าจะครบทั้ง ๘๔,๐๐๐ ข้อ จึงจะสำเร็จเป็นพระไตรปิฎกขึ้นมา ลองคิดดูเถิดว่า ความผิดพลาดจะเกิดขึ้นได้ไหม? หากเกิดความผิดพลาดขึ้นมาจริง ก็ต้องน้อยมากๆ ถึงมากที่สุด
เมื่อทำปฐมสังคายนาสำเร็จแล้ว เหล่าภิกษุที่ปฏิบัติตามพระไตรปิฎกที่พระอรหันต์ทั้ง ๕๐๐ รูปได้ทำสังคายนาขึ้นนั้น จะเรียกว่า "นิกายเถรวาท" หมายถึง วาทะหรือคำพูดของพระเถระ เป็นการรักษาคำสอนดั้งเดิมของพระพุทธองค์ไว้ ประเทศไทยเราส่วนใหญ่ก็นิกายเถรวาทเช่นกัน
ส่วนภิกษุอีกพวกที่เห็นว่า พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้ ก็ไม่ปฏิบัติตามมติของพระเถระที่ทำสังคายนาพระไตรปิฎก จึงได้ถอนสิกขาบทออกไปบ้าง และก็ได้บัญญัติสิกขาบทเพิ่มเติมอีกมากมาย ให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ ภิกษุที่ปฏิบัติตามแนวทางนี้จะเรียกว่า "นิกายอาจาริยวาท" หมายถึง วาทะหรือคำพูดของอาจารย์
แต่ไม่ว่าจะนิกายใด เป้าหมายคือที่เดียวกัน คือพระนิพพานอันเป็นบรมสุข.