"บัณฑิตควรตั้งตนไว้ในคุณธรรมก่อน
แล้วจึงค่อยสอนผู้อื่นภายหลัง ตนจึงจะไม่มัวหมอง"
"อตฺตานเมว ปฐมํ ปฏิรูเป นิเวสเย
อถญฺญมนุสาเสยฺย น กิลิสฺเสยฺย ปณฺฑิโต"
......................................
วันนี้เป็นวันพระขึ้น ๘ ค่ำเดือน ๑๑
ตื่นเช้าตามปกติทำภาระกิจส่วนตัวเสร็จลงไปช่วยพระจัดศาลา
เพราะจะมีญาติโยมมาทำบุญตักบาตรที่วัดกันเหมือนทุกวันพระที่ผ่านมา
เสร็จพิธีจากศาลาหอฉันเวลาก็ประมาณ ๐๙.๐๐น.แล้วจึงไปเข้าโบสถ์ขอขึ้นมานัตต์
เพื่อที่จะปฏิบัติในขั้นต่อไปตามพระวินัยที่กำหนด เพื่อความบริสุทธิ์ของศีล
ซึ่งการเข้าอยู่ปริวาสกรรมนั้นเป็นหนึ่งในกิจวัตร ๑๐ อย่างที่พระต้องกระทำ
กิจวัตร ๑๐ อย่างที่พระภิกษุจะต้องศึกษาให้ทราบความชัดและจำไว้เพื่อปฏิบัติ
ให้สมกับสมณสารูปแห่งความเป็นสมณะก็คือ...
๑.ลงอุโบสถฟังพระปาฏิโมกข์
๒.บิณฑบาตรเลี้ยงชีพของตน
๓.สวดมนต์ทำวัตรไหว้พระเช้า-เย็น
๔.ชวยเหลือกิจการงานในวัด กวาดอาวาสวิหารลานพระเจดีย์
๕.รักษาผ้าครอง(ผ้าไตรที่อธิษฐานใช้นุ่งห่ม)
๖.อยู่ปริวาสกรรมชำระศีลของตนให้บริสุทธิ์จากครุอาบัติและเพื่อการลดมานะละทิฏฐิ การถือตัวถือตน
๗.โกนผมปลงหนวดตัดเล็บภายในเวลาที่พระวินัยบัญญัติ
๘.ศึกษาสิกขาบทและปฏิบัติพระอาจารย์
๙.เทศนาบัติ กล่าวธรรมสั่งสอนญาติโยม
๑๐.พิจารณาปัจจเวกขณะทั้ง ๔ มีสติในการนุ่งห่มจีวร ขณะฉันอาหาร ขณะใช้สอยเสนาสนะ ขณะที่ฉันยารักษาโรค
ทั้งสิบข้อนี้คือสิ่งที่พระภิกษุพึงต้องปฏิบัติเป็นกิจวัตรของสงฆ์
ออกจากพระอุโบสถแล้วแวะไปให้กำลังใจพวกเด็กๆที่จะไปแข่งเรือกัน เอาเสื้อและปัจจัยไปให้เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ
ให้โอวาทแก่เหล่าฝีพายถึงเรื่องความมีน้ำใจของนักกีฬา การเคารพกฏกติกาและผลของการตัดสิน เสร็จแล้วจึงกลับวัด
กลับมาซักสบงจีวรเครื่องนุ่งห่ม ทำความสะอาดศาลาที่อยู่อาศัย ซึ่งกว่จะเสร็จนั้นเวลาก็ผ่านไปถึงบ่านสองกว่าๆ
เดินตรวจดูรอบๆบริเวณวัดในระหว่างที่รอผ้าสบงจีวรแห้ง เพราะว่าช่วงนี้ยังมีฝนอยู่ จึงตากทิ้งไว้ไม่ได้ต้องคอยดู
ชีวิตแต่ละวันที่ผ่านไปเหมือนไม่ได้ปฏิบัติธรรมเพราะใช้ชีวิตและทำงานตามปกติ ไม่ได้นั่งสมาธิ ไม่ได้เดินจงกรม
จนมีพระและโยมมาถามว่า...ท่านเอาเวลาไหนไปปฏิบัติธรรม..?ซึ่งได้ตอบเขาเหล่านั้นไปว่า...เอาเวลาที่มีสติไปปฏิบัติธรรม
เมื่อเรามีสติและสัมปชัญญะอยู่กับกาย อยู่กับจิต อยู่กับความคิด อยู่กับการกระทำ นั้นแหละคือการปฏิบัติธรรม
เหมือนดั่งคำของหลวงพ่อพุทธทาสที่กล่าวไว้ว่า...การทำงานคือการปฏิบัติธรรม...เพราะมีสติและสัมปชัญญะคุ้มครองกายและจิตอยู่
การเขียนบทความหรือการบันทึกธรรมนั้น ไม่ได้หวังจะสอนผู้ใด แต่ที่ได้ทำลงไปนั้น เพื่อเป็นการย้ำเตือนและสอนตัวเราเอง
ส่วนที่มีผู้มาอ่าน มาทำความเข้าใจและนำไปปฏิบัติตามนั้น เป็นผลพลอยได้ เพราะจุดมุ่งหมายของการบันทึกไว้เพื่อเตือนตนสอนตน
เพราะก่อนที่เราจะไปสอนคนอื่นได้นั้น เราต้องรู้และเข้าใจ ทำได้และเคยทำมาแล้ว ไม่ใช่ท่องตำราให้จำได้แล้วไปกล่าวธรรม
เพราะการทำเช่นนั้นมันเหมือนนกแก้วนกขุนทอง จำได้พูดได้ แต่ไม่รู้ความหมายและเนื้อหา พระพุทธเจ้าตรัสว่า...ใบลานเปล่า..
ทุกครั้งที่เขียนหรือบรรยายธรรมก็เพื่อย้ำเตือนและสอนตัวเองทุกครั้ง...ไม่ได้หวังว่าคนฟังจะรู้จะเข้าใจและปฏิบัติตามหรือไม่
เพราะถ้าเราไปหวังและตั้งใจให้ผู้ฟังเข้าใจและปฏิบัติตามนั้น...มันเป็นตัณหาคือความอยากมี อยากเป็น อยากเห็น อยากได้
และเมื่อไม่เป็นไปตามที่ใจเราปรารถนา มันก็จะพาให้ใจเป็นทุกข์ เพราะตัณหาไม่ได้รับการสนองตอบ......
:059:ขอบคุณสติและสัมปชัญญะที่เตือนกายเตือนจิตในการคิดและการกระทำ
เชื่อมั่น-ศรัทธา-ปรารถนาดี-ด้วยไมตรีจิต
รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม
๒๘ กันยายน ๒๕๕๒ เวลา ๑๑.๔๙ น. ณ ศาลาน้อยริมน้ำโขง ชายแดนประเทศไทย