กายคตานุสติ 1/8
สำหรับวันนี้ ในเบื้องต้นขอกล่าวถึง ความมีสติสัมปชัญญะของเรา สติ คือความระลึกนึกได้ สัมปชัญญะ คือ ความรู้ตัว
เราบวชเข้ามา เป็นพระภิกษุ ในพระพุทธศาสนา เรามีความรู้ตัวบ้างหรือไม่ ว่า ตอนนี้ เราเป็นปูชนียบุคคลแล้ว เป็นบุคคลที่ชาวบ้านเขากราบไหว้ เขาให้การเคารพบูชา เขาให้การเลี้ยงดูเป็นปกติ
ถ้าหากว่าเรามีสติระลึกได้ ก็นับว่าเข้าถึง แต่ถ้าเราไม่มีสติ ระลึกได้ตรงนี้ เราจะขาดทุนมาก เพราะว่า ถ้าเราระลึกได้เฉยๆ ว่าเป็นปูชนียบุคคล มันจะประกอบไปด้วยตัวมานะ ถือตัวถือตนอีกต่างหาก
เราต้องนึกไปถึง ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บัญญัติศัพท์ขึ้นมาเรียกพวกเรา ท่านใช้คำว่าภิกขุ คือ ผู้ขอ หรือ ผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร การเป็นผู้ขอ เพราะว่า เรามีปกติบิณฑบาตเลี้ยงชีพ ท่านใช้คำว่าสัมมาอาชีวะ อาชีพที่ถูกต้อง
พระของเรามีงานประจำ เกี่ยวกับการเลี้ยงชีพ เพียงอย่างเดียว คือ ขอเขากิน เราเป็นขอทาน งานอื่นไม่ใช่งานของพระ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการหาเงินหาทอง แบบไหนก็ตาม ไม่ใช่งานของพระทั้งหมด
งานประจำมีอย่างเดียวคือ เช้าขึ้นมาออกบิณฑบาต ถ้าเราไม่มีความระลึกได้ตรงนี้ เราก็อาจจะไปในลักษณะ ทำตัวเป็นเจ้านายเขา ไปให้โยมเขาสงเคราะห์ เหมือนกับว่าเป็นหน้าที่โยมที่จะต้องเลี้ยงเรา
ถ้าเป็นดังนี้ เราจะขาดทุนมาก เพราะว่าโบราณท่านใช้คำว่า โปรดสัตว์ คือ เราต้องรักษากาย วาจา ใจของเราให้ดีที่สุด ให้สะอาดบริสุทธิ์ที่สุด เท่าที่จะทำได้ เมื่อถึงวาระ ถึงเวลาแล้ว การที่ญาติโยมเขาสงเคราะห์เรา เขาจะได้อานิสงส์สูงสุดเท่าที่เขาจะพึงได้
การทำบุญของญาติโยมส่วนใหญ่ คือ หวังผลเพื่อความสุขสบายในเบื้องหน้า ถ้าหากว่าศีล สมาธิ ปัญญาของเราดี มีความแจ่มใส มีความผ่องใส บริสุทธิ์เป็นปกติ ญาติโยมที่ทำบุญ ท่านก็จะได้บุญใหญ่ สมกับความตั้งใจของเขา
สมกับที่โบราณท่านบัญญัติ ใช้คำว่าโปรดสัตว์ แต่ถ้ากำลังใจของเราไม่ดี ศีล สมาธิ ปัญญาของเราบกพร่อง เราออกไปในแต่ละวัน มันจะไม่ใช่การโปรดสัตว์ มันเป็นการไปให้สัตว์เขาโปรด โทษใหญ่ก็จะเกิดขึ้นกับเรา
ทุกวันตัวเราขวนขวายหาความดีใส่ตัว แล้วในตอนเช้าๆ ญาติโยมก็จะมาเอาความดีไปจากเรา ถ้าเราไม่สามารถรักษาความดีให้ทรงตัวได้ มีความดีเพียงเล็กน้อย ญาติโยมจำนวนมากด้วยกัน ต่างคนต่างเอาไป ต่างคนต่างคว้าไป เราก็จะไม่มีอะไรเหลือ
ไม่เหลือยังไม่ว่า อาจจะขาดทุน ติดลบอีกต่างหาก ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของเรา ที่จะต้องทรงสติสัมปชัญญะ ให้สมบูรณ์อยู่เสมอ เหลือบเห็นผ้าเหลืองเมื่อไร ให้รู้ตัวว่า ตอนนี้ เราเป็นพระแล้ว คลำศีรษะไม่มีผมหรือผมสั้น เราต้องรู้ตัวว่า เราเป็นพระแล้ว
ท่านว่า บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีเพศต่างจากคฤหัสถ์แล้ว กริยาอาการใดๆ ที่เป็นของสมณะ เราต้องทำกริยาอาการนั้นๆ คือ ต้องมีความสำรวมในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นปกติ
ที่มา
http://www.grathonbook.net/book/grammathan40/05.html