ผู้เขียน หัวข้อ: เรียนท่านผู้รู้  (อ่าน 1888 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ narupong

  • ตติยะ
  • ***
  • กระทู้: 29
    • ดูรายละเอียด
เรียนท่านผู้รู้
« เมื่อ: 21 ต.ค. 2553, 03:10:25 »
ผมจะเรียนถามว่า คนที่สักยันต์จะเข้าพิธีสวดพานยักษ์ได้ป่าวคับ
 :062:

ออฟไลน์ ploynapat

  • รักๆเจ็บๆ เดี๋ยวก็ชินไปเอง
  • จตุตถะ
  • ****
  • กระทู้: 34
  • เพศ: หญิง
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เรียนท่านผู้รู้
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 21 ต.ค. 2553, 03:48:13 »
คิดว่าได้น่ะ รอผู้รู้มาตอบอีกทีค่ะ

ออฟไลน์ อภิรัตน์

  • เห็นรอยเท้าพ่อก้มลงดู เห็นรอยเท้าครูก้มลงกราบ
  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 692
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: เรียนท่านผู้รู้
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 21 ต.ค. 2553, 04:13:41 »
ได้นะครับ ไม่น่ามีปัญหา เพราะไม่ผิดอะไรนี่ครับ ลองอ่านข้อมูลข้างล่างเพิ่มเติมครับ (โดยส่วนตัวเข้าพิธีทุกปี เต็มที่ก็เหงือออกเป็นเม็ดๆ  :075:)  
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 ต.ค. 2553, 04:26:59 โดย อภิรัตน์ »

ออฟไลน์ อภิรัตน์

  • เห็นรอยเท้าพ่อก้มลงดู เห็นรอยเท้าครูก้มลงกราบ
  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 692
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: เรียนท่านผู้รู้
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 21 ต.ค. 2553, 04:24:33 »
                                                                         พิธีสวดภาณยักษ์
                                                           เรื่องราวของความศักดิ์สิทธิ์ หรือ คนจิตอ่อน
ปล.เป็นเพียงข้อมูลที่มาจากงานเขียน แบ่งไปทางวิทยาศาสตร์และความเชื่อ ควรพิจารณาด้วยตนเอง
 ท่ามกลางเสียงสวดอันดุดัน กระแทกกระทั้น สูง ๆ ต่ำ ๆ ราวกับเสียงของยักษ์มารผู้ดุร้าย น่าขนลุกขนพอง ของพระสงฆ์ผู้ประกอบพิธี บวกกับเสียงประทัดเปรี้ยงปร้าง! ดังไม่ขาดสาย ทำให้ผู้คนที่นั่งพนมมืออยู่ในเขตวงสายสิญจน์มีอาการผิดแปลกออกไป บ้างเกิดอาการสั่น บ้างชักกระตุก ส่งเสียงกรีดร้อง ลุกขึ้นร่ายรำ หรือแม้แต่ ลงไปชักดิ้นชักงออยู่กับพื้นก็มี ภาพเหล่านี้ปรากฏขึ้นให้เห็นกันบ่อยครั้งในพิธีความเชื่ออย่างหนึ่งของไทยที่เรียกว่า “พิธีสวดภาณยักษ์”
 
            การสวดภาณยักษ์ได้เริ่มมีขึ้นในประเทศไทย เข้าใจว่ามีมาตั้งแต่สมัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช รับมาจากพระสงฆ์ทางลังกาสายเถรวาท โดยเริ่มเข้ามาทางด้านจังหวัดนครศรีธรรมราช จนถึงสมัยของรัชกาลที่ ๕  เสด็จนครศรีธรรมราชจึงได้นำมาจัดเป็นพิธีประจำปี สำหรับพระนครเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่พระนครและพระเจ้าแผ่นดิน เพราะมีความเชื่อกันมาว่า ในบ้านเมือง จะมีผีที่ดี และผีที่ไม่ดีอาศัยอยู่ ผีที่ไม่ดีเรียกว่า ภูตผีปิศาจ ส่วนผีที่ดีเรียกว่า เทพยาดา และที่บ้านเมืองมีเหตุเภทภัยต่าง ๆ เกิดขึ้น ก็เป็นเพราะภูตผีปิศาจ กลั่นแกล้งหรือบันดาลให้เป็นไป ดังนั้นเมื่อสิ้นปีหนึ่งไป จึงได้ทำพิธีสวดภาณยักษ์ เพื่อเป็นการขับไล่ภูตผีกันสักครั้ง เพื่อความเป็นสิริมงคล และความร่มเย็นเป็นสุขของบ้านเมือง และแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทั้งปวง จึงเป็นสาเหตุ ที่มีการทำพิธีสวดภาณยักษ์กันขึ้นมานั่นเอง
 
ภาณ หมายถึงการสวด สมัยก่อนการสวดภาณยักษ์มีอยู่สองแบบคือ สวดภาณวาร และสวดภาณยักษ์ ซึ่งการสวดทั้งสองอย่างนี้มีความแตกต่างกันคือ ภาณวาร เป็นการสวดแบบมีทำนองครุ ลหุ คือมีการเน้นเสียงหนักเบา ใช้น้ำเสียงสวดที่ไพเราะไม่ กระแทกกระทั้นดุดัน เหมือนการสวดภาณยักษ์ ส่วน ภาณยักษ์ เป็นการสวดที่มีน้ำเสียงกระแทกกระทั้นดุดันเกรี้ยวกราด และน่ากลัว ใช้สวดเพื่อขับไล่ยักษ์หรือภูตผีต่าง ๆ การสวดทั้งสองแบบนี้ได้นำมาจาก อาฎานาฏิยสูตร ซึ่งเป็นพระสูตรที่อยู่ในพระไตรปิฎก ว่าด้วยเรื่อง ของยักษ์ต่าง ๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงปราบ มาดัดแปลงทำนองให้ดุดัน และโหยหวน เพื่อเป็นการขับไล่สิ่งที่ไม่ดี ให้ออกไป มีการจุดปืนใหญ่สมทบ เพื่อให้ภูตผีปิศาจเกิดความกลัวจะได้หนีไป แต่ในปัจจุบันใช้การจุดประทัดแทน การทำพิธีสวดภาณยักษ์ในแต่ละวัดหรือแต่ละแห่งนั้น ใช้สิ่งของเครื่องใช้ในการเข้าพิธีอาจแตกต่างกัน ไปบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ มีผ้ายันต์เป็นรูปท้าวเวสสุวัณ และมีสายสิญจน์ สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือเงินค่าเข้าพิธี ซึ่งก็สุดแท้แต่ละแห่ง มากน้อยแตกต่างกันไปตามสถานที่จัดพิธี หากเป็นแหล่งชนบทก็อาจจะเสียน้อย แต่หากเป็นแหล่งที่เจริญ ก็จะเสียค่าพิธีตั้งแต่ XXXX บาทหรืออาจจะมากกว่านี้
แต่สิ่งใดก็ไม่เร้นลับเท่า อาการของผู้เข้าร่วมพิธีการสวดภาณยักษ์บางคน ที่มีอาการชักดิ้นชักงอ ตัวสั่น กระตุก ลุกขึ้นกระโดดโลดเต้น บ้างก็ร่ายรำ  หรือที่เราเรียกกันว่าอาการ “ของขึ้น” ในขณะเดียวการ ทางด้านวิทยาศาสตร์ก็ได้ให้คำอธิบายกับอาการเหล่านี้ไว้ว่า เสียงที่สวดมีความโหยหวนกระแทกกระทั้น มีเสียงสูงต่ำ และยิ่งมีการจุดประทัด สิ่งเหล่านี้จะกระตุ้นระบบ ประสาท ทำให้เกิดมีอาการชักได้ง่าย การสวดนี้เป็นการ กระตุ้นทางกายและใจ คนที่ใจอ่อนอยู่แล้ว จะชักได้ง่ายยิ่ง คนที่ชักคิดว่ามีผีอยู่ในตัว ก็จะยิ่งมีแนวโน้มจะชักมากขึ้น ความรุนแรงของการดิ้นหรือชัก แตกต่าง กันตั้งแต่พนมมือ และสั่น ( ไม่ได้รวมไว้กับอาการดิ้นหรือชัก ) ซึ่งมีอยู่เป็น จำนวนมาก อาการรุนแรงได้แก่ ลุกขึ้นชัก กระตุกไม่รู้สึกตัว จนกระทั่งแรงมาก โดยมีการชกต่อยเกิดขึ้น หรือทำร้าย ตัวเอง และหกคะเมนตีลังกา ในทรรศนะ ของจิตเวช แผน ปัจจุบันคือ ได้เกิดมีอาการแตกแยกของจิตใจไปชั่วขณะหนึ่ง ลักษณะต่าง ๆ และพฤติกรรมที่มองเห็น เช่น การกระตุก การสั่น การชักดิ้น ในลักษณะอาการเช่นนี้จะเกิดขึ้นชั่วคราว พร้อมกับส่งเสียงร้องกรี๊ดอย่างน่ากลัว ทำให้บุคคลที่ใจอ่อน อยู่แล้ว เกิดมีอาการเอาอย่าง ขึ้นกับกลุ่มชนที่อยู่ร่วมกันใน ระหว่างพิธี ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้ใน การเข้าพิธีสวดภาณยักษ์ ถือว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ ซึ่งสิงอยู่ในร่างกายเช่น ถูกของ ผีเข้า ผีสิง ฯลฯ กำลังจะออกจาก ตัวการชักมีสาเหตุสองอย่าง คือ ชักเพราะจิตประสาท ถ้าชักเพราะกรณีนี้จะทำให้สุขภาพ จิตดีขึ้น ไม่มีผลเสียต่อ ร่างกายแต่อย่างใด แต่ถ้าเป็นการชัก อย่างที่สองคือ การชักเพราะมีพยาธิภายในสมอง อันนี้จะเป็น อันตรายต่อผู้ชัก จนอาจทำให้ความจำเลอะเลือน
 
               
 
ส่วนผู้ที่ไม่ได้มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ แต่ติดตามศึกษาเรื่องพิธีสวดภาณยักษ์มาพอสมควรอย่างอาจารย์ท่านหนึ่งในมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ ได้แสดง ทรรศนะในเรื่องนี้ว่า กรณีที่เกิดการชักขึ้นนั้นเกิดได้สองกรณีคือ ผีเข้าจริง ๆ ภูตผีปิศาจตกใจกลัว ต้อง การเอา ตัวรอด เลยมาสะกดจิตคนนั้นให้คล้อยตามตัวเอง หรือบางคนอาจโดนของ (ซึ่งเชื่อว่ามีอยู่จริง) มีการปล่อยของกันด้วยอำนาจเวทย์มนตร์ เป็นวิธีทางไสยศาสตร์ คนที่มีอำนาจจิตทำได้ แต่พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญ เพราะ เป็นทางที่ผิด และสามารถฆ่าคนได้ พระพุทธเจ้าท่านมีทางป้องกันสิ่งเหล่านี้อย่างเป็น วิทยาศาสตร์ว่า จิตที่สงบ จะสร้างระบบสุญญากาศก็ไม่มีแรงดึงดูดอะไร ๆ ก็เข้ามาไม่ได้ และการแผ่เมตตา จะทำให้คนที่คิดร้ายกับเรา เปลี่ยน เป็นดี
 
ส่วนอีกกรณีหนึ่งก็คือ คน ๆ นั้นเป็นคนใจอ่อน ทางการแพทย์เขาเรียกว่า "จิตวิทยากลุ่ม" เช่น คนหนึ่งเห็น คนอื่นชัก ตัวเองก็จินตนาการว่าจะต้องมีใครมาทำให้ชัก ผลที่สุดเลยชักหน้ามืดกันไปเลย เชื่อว่าเป็นไปได้ ทั้งสอง อย่าง ทางพุทธศาสนาเชื่อในเรื่องชีวิตหลังความตาย หรือชีวิตในอีกมิติหนึ่งมีจริง คนเราตายแล้วไปไหน โลกมนุษย์เรามีทั้งสุขและทุกข์ ชีวิตหลังความตายก็เหมือนกัน บางครั้งเขาไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าเขาตาย ไปแล้ว เพราะเขาก็ปกติอย่างนี้ไม่ได้ทรมาน เว้นไว้แต่ว่าสภาพจิตไม่ดี ตกไปอยู่ในที่ ๆ ไม่ดีเขาจะทรมานเหมือน เรา ถ้าวันไหนคิดสิ่งไม่ดีจะเร่าร้อน ทุกข์ทรมาน
     
จากประสบการณ์ใกล้ตัวของผู้เขียน มีเพื่อนคนหนึ่งเล่าให้ฟังถึงการไปเข้าร่วมพิธีสวดภาณยักษ์ว่า แรกเริ่มเดิมทีเขาก็ไม่ได้มีความเชื่ออะไรกับเรื่องแบบนี้มากนัก แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เพื่อนคนนี้กับครอบครัว ไปเที่ยวต่างจังหวัดกัน และแถบนั้นเป็นภูเขาติดกับประเทศเขมร หลังจากกลับมา เพื่อนคนนี้มีอาการแปลกไป ทั้งล้มป่วย อ่อนเพลีย กระสับกระส่าย ฝันอะไรแปลก ๆ ที่หนักก็คือ เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะว่าเป็นมาก พ่อแม่ก็เป็นห่วง พาไปรักษาทั้งด้านการแพทย์ปัจจุบัน และทางด้านไสยศาสตร์ ทั้งพาไปทำพิธีรดน้ำมนต์กับพระ และเข้าร่วมพิธีสวดภาณยักษ์  แต่หลังจากได้ไปร่วมพิธีสวดภาณยักษ์แล้ว เพื่อนคนนี้ก็ยิ่งมีอาการที่ทรุดหนักลงกว่าเดิม  จนได้พากันไปหาร่างทรงคนหนึ่ง หลังจากเอาวัน เดือน ปี เกิด ให้ดูร่างทรงเขาก็ทักกลับมาว่า ก่อนหน้านี้ ได้ไปเที่ยวที่ไหนหรือเปล่า เพื่อนก็บอกไป ร่างทรงคนนั้นบอกว่า รู้ไหมว่ามีบางสิ่งบางอย่างติดตามเขามา แต่เขามาดี ไม่ได้มาร้าย เขาอยากจะมาสร้างบุญกุศลกับเรา แต่เราดันไปขับไล่เขาด้วยการรดน้ำมนต์ และเข้าร่วมพิธีสวดภาณยักษ์  จึงทำให้เขายิ่งโกรธและลงโทษเรา ที่เขามาเข้าฝัน มาทำให้เราเกิดอาการแปลก ๆ ในร่างกายนั้น บางทีก็ไม่ใช่ผลร้ายเสมอไป เขาอาจจะมาบอกให้เรารู้ว่าเขาอยากจะมาอยู่ด้วย มาสร้างกุศลบุญบารมีร่วมกับเรา หรือที่เรียกกันว่า “มีองค์”
 
จากคำบอกเล่าของเรื่องนี้ ไม่ได้อยากจะชี้นำให้เห็นว่า เรื่องผีเข้า หรือเรื่องมีองค์ เป็นคนทรงเจ้าเป็นเรื่องจริง แต่หากว่ามันมีอยู่จริง วิญญาณ หรือบางสิ่งบางอย่างที่เรามองไม่เห็นเหล่านั้น เขาก็เหมือนมนุษย์ ที่มีทั้งดีและเลว หากเราไปขับไล่สิ่งดี ๆ ออกไป ด้วยการทำร้ายเขา นั่นคงไม่ใช่เรื่องดีนัก หรือกระทั่งเขาเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายจริง เราก็ไม่ควรที่จะใช้วิธีตาต่อตาฟันต่อฟัน เพราะมันจะเป็นการสร้างบาปสร้างกรรมติดตัวไปเปล่า ๆ  ทางทีดี เราไม่ยุ่ง ไม่เกี่ยวไม่ข้อง กับของที่มองไม่เห็นเสียเลยคงง่ายกว่า หากเขามาเพื่อทำร้าย ก็จงใช้ความดีที่มี หลักธรรมที่พุทธองค์สั่งสอนมา และบุญกุศลที่เคยสร้าง แผ่เมตตาให้จะดีกว่า
 
ทุกวันนี้ ต่อให้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองมนุษย์อยู่จริง ก็คงไม่อาจจะรักษาเงินในกระเป๋าเอาไว้ได้ หากผู้คนยังหลงมัวเมา และปล่อยให้ความกลัวมาครอบครองจิตใจ รังแต่จะตกเป็นเหยื่อของพวกชอบหากินกับความเชื่อ ความกลัวของคน  อย่าเอาเงินทองไปเสียเปล่าจะดีกว่า  เพราะคนร้ายกว่าผีเป็นไหน ๆ
ขอบคุณที่มาจากเว็บพลังจิต.คอม