ขุนแผนเคลือบ องค์นี้ สุดยอดมากเลย ผมได้มาโดยบังเอิญเพราะตัวเองชอบขุนแผนอยู่แล้ว ไม่นึกเลยว่าจะเป็นพระกรุ วัดบ้านกลิ้ง แต่จะใช่หรือไม่นั้นก็ต้อง ถามเซียนพระกันแล้วล่ะ
ช่วยดูให้ทีแล้วกันนะครับว่าเป็นยังงัยบ้างพระองค์นี้ครับ จะใช่อย่างที่ฮือหากันหรือไม่ครับ ก็นำมาให้ชื่นชมกัน
ใครรู้บ้างว่า วงการเซียนพระ ตอนนี้เช่ากันกี่บาทแล้วครับ มูลเหตุและความเป็นมาของ"พระขุนแผนเคลือบ" กรุวัดใหญ่ชัยมงคล แตกกรุครั้งใหม่ที่วัดบ้านกลิ้ง หมู่ ๒ ต.บางประแดง อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา
มีหลักฐานจากโบราณสถานภายในวัดระบุว่า วัดบ้านกลิ้ง สร้างในปี ๒๑๔๓ ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เดิมทีเป็นวัดที่มีสภาพกึ่งร้าง เนื่องจากมีประชากรในหมู่บ้านประมาณ ๑๐๐ คนเท่านั้น (ปี ๒๕๐๒)
แต่เดิมมีเรือนไม้โบราณแห่งหนึ่งซึ่งเดิมอยู่ใน จ.พระนครศรีอยุธยา สันนิษฐานว่า เป็นตำหนักของเจ้านายท่านใดท่านหนึ่ง สร้างขึ้นในราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๒ (สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช)
ต่อมาได้มีการรื้อเรือนไม้หลังนี้ไปปลูกไว้ที่วัดบ้านกลิ้ง อยู่ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ระหว่าง จ.พระนครศรีอยุธยา อ.บางปะอิน เรือนไม้นี้มีอยู่ ๒ หลัง คือ หอไตร เป็นห้องมีระเบียงรอบ และหอเขียน เป็นศาลาไม้ มีฝา ๓ ด้าน ทุกฝามีภาพลายรดน้ำประกอบเต็มทุกฝา
หลายปีต่อมาอาคารทรุดโทรมลงมาก ชาวบ้านจึงได้รื้อ แล้วรวมเอาไม้ปลูกขึ้นใหม่ เป็นหลังเดียว แต่เนื่องจากภาพลายรดน้ำจางไปมากแล้ว การประกอบจึงไม่ได้เรียงตามลำดับเนื้อเรื่อง
เมื่อต้นปี๒๕๐๒ พลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต (เสด็จในกรมฯ) ซึ่งเป็นพระนัดดา (หลาน) ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่๕ และ สมเด็จพระนางเจ้าสุขมาลมารศรีพระอัครราชเทวีทรงทราบว่า
ที่วัดเล็กๆซึ่งเกือบจะร้างอยู่แล้วแห่งนี้ มีเรือนโบราณเก่าแก่อยู่หลังหนึ่ง ที่ชำรุดทรุดโทรมมาก ไม่มีผู้ใดบูรณะรักษาเลย แต่มีสิ่งสวยงามมาก พระองค์จึงทรงทำผาติกรรม ไถ่ถอนย้ายมาไว้ที่ วังสวนผักกาดและทรงให้มีการบูรณะพระประธานที่วัด ซึ่งชาวบ้านเรียกขานกันว่า หลวงพ่อขาว ระบุปีไว้ที่ฐานขององค์หลวงพ่อขาวว่าสร้างขึ้นในปี พ.ศ.๒๑๔๓ สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ทั้งทรงให้สร้างศาลาสวดมนต์และศาลาท่าน้ำ ถวาย วัดบ้านกลิ้งเป็นการทดแทนพร้อมกับบริจาคเงินสำหรับการซ่อมแซมตัวอาคารและภาพลายรดน้ำเป็นจำนวนมาก เสด็จในกรมฯ ประทานหอเขียนเป็นของขวัญแก่ "คุณท่านฦ" เมื่ออายุครบ๕๐ ปี ในวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๐๒ และเชิญชาวบ้านกลิ้งมาทั้งหมด ซึ่งขณะนั้นมีอยู่ประมาณ ๑๐๐ คน เพื่อให้มาชมหอเขียนที่ย้ายมาจากวัดบ้านกลิ้ง และได้ปลูกสร้างใหม่นี้ (ปัจจุบันสามารถชมได้ที่พิพิธภัณฑ์วังสวนผักกาด)
นอกจากการบูรณะซ่อมแซมครั้งใหญ่ในปี ๒๕๐๒ แล้ว เสด็จในกรมฯ ได้ทรงสร้างขุมทรัพย์ไว้ในฐานชุกชี ซึ่งมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่คือ หลวงพ่อขาว ประดิษฐานอยู่กลางแจ้ง มีพระพุทธรูปองค์เล็กๆ อีก ๗ องค์ เรียงรายอยู่โดยรอบ
โดยไม่มีใครในสมัยนั้นคาดคิดถึงมาก่อนว่า การบูรณะซ่อมแซมในสมัยนั้น พระสงฆ์และชาวบ้านได้นำ พระเครื่องที่มีอยู่ส่วนนำมาเก็บรักษาไว้ในวัด ซึ่งมีพระพุทธรูปสมัยอยุธยาจำนวนมาก พระโคนสมอ พระขุนไกร แม้แต่พระแผงใบขนุนก็มี
นอกจากนี้ยังมี พระขุนแผนเคลือบที่สมัยนั้นค่านิยมในการแลกเปลี่ยนเป็นเงินทองยังไม่มีค่ามากมายอะไรนัก ชาวบ้านได้นำ พระขุนแผนเคลือบมาบรรจุไว้ในฐานชุกชี รวมไปถึงใต้ฐานพระองค์เล็กๆ ที่ประดิษฐานอยู่รายรอบพระประธานองค์ใหญ่ กลายเป็น ขุมทรัพย์ที่มีค่ามหาศาล ทิ้งไว้ให้ลูกหลานในทุกวันนี้
การบูรณะในเวลานั้นรวมถึงครั้งต่อๆ มา เป็นการบูรณะโดยชาวบ้านวัดบ้านกลิ้งเอง มีการโบกปูนทับ ทาสีใหม่ จากการสังเกตพระพุทธรูปปูนปั้นคราวแตกกรุ พบว่ามีการเคลือบปูนปิดอยู่หลายชั้น
เมื่อวันที่๒ กันยายน ๒๕๕๐ มีการขุดพบ พระขุนแผนเคลือบ ได้ที่บริเวณฐานชุกชีของพระองค์เล็ก ที่เป็นองค์บริวารองค์หนึ่ง (จากรูปองค์ขวามือสุดของเรา) พร้อมกับ พระขุนไกรอีก๒ องค์
เวลานั้นยังไม่มีใครรู้ว่าเป็นพระอะไร จึงมีการนำพระที่ขุดได้มาแจกจ่ายกันในหมู่พระสงฆ์ และกรรมการวัด
ต่อมามีพระสงฆ์วัดโปรดสัตว์รูปหนึ่ง (อยู่ฝั่งตรงข้ามกับวัดบ้านกลิ้ง) ได้นำพระที่ขุดได้ไปให้เซียนพระพิจารณาดู โดยบอกว่าเป็นพระมรดกตกทอด มีอยู่ด้วยกันหลายองค์ แต่ยังไม่ได้แบ่งปันกันระหว่างพี่น้อง
เซียนพระบอกว่าเป็น พระขุนแผนเคลือบกรุวัดใหญ่ชัยมงคล เช่าหากันแพงมากเป็นเงินแสนเงินนล้านขึ้นไป
เมื่อได้รับทราบความจริงว่าเป็นพระที่มีค่ามหาศาล เช่าหากันหลักล้าน ทำให้เกิดการเจรจาซื้อขายกันในหมู่พระสงฆ์ และกรรมการวัดด้วยกัน รวมถึงมีเซียนพระท้องถิ่นเข้ามามีส่วนในการขุดพระออกมาจำหน่าย หลายต่อหลายองค์ ทำให้มีพระหลุดไปจากวัดในช่วงแรกนั้นจำนวนหนึ่ง
จนข่าวแพร่กันไปปากต่อปากถึงมูลค่าที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ปิดข่าวกันไม่อยู่ จึงมีการขุดค้นอย่างไม่เป็นทางการ ในวันที่ ๔ กันยายน โดยความยินยอมของเจ้าอาวาส และกรรมการวัด
ต่อเมื่อวันที่๖ กันยายน คณะกรรมการวัด ได้ลงมติให้มีการนำพระที่เหลือทั้งหมด ออกจำหน่ายรวม ๑๐ องค์ โดยมีการตั้งมูลค่าไว้สูงถึง ๑๐ ล้านบาท ถึงกระนั้นก็มีเซียนพระทั้งในท้องถิ่น และจากรุงเทพฯ ไปซื้อพระทั้งหมดทันที
หากจะนับรวมพระขุนแผนเคลือบที่มีการจำหน่ายอย่างลับๆจนถึงการซื้อขายอย่างเปิดเผย คาดว่ามีพระทั้งหมดจำนวน ๒๘ องค์ ในจำนวนนี้เป็นพระแตกหักเกินกว่า ๑๐ องค์ เป็นความเสียหายเนื่องจากการขุดค้นโดยเร่งรีบ และผิดวิธีการขุดพระทั้งสิ้น
จากหลักฐานทั้งหมด ที่ได้จากทางวัด พอจะประมาณที่มาของ พระขุนแผนเคลือบกรุใหม่นี้ได้ว่าเป็นพระที่ชาวบ้านวัดบ้านกลิ้ง ซึ่งมีประมาณ ๑๐๐ คน ซึ่งเป็นหมู่บ้านของช่างฝีมือ (พิจารณาจากคำบอกเล่า และเรื่องของการบูรณะเรือนไม้ประวัติศาสตร์) ได้เดินทางไปช่วยบูรณะ วัดใหญ่ชัยมงคล ในตัวเมืองพระนครศรีอยุธยา และเป็นต้นกำเนิดของ พระขุนแผนเคลือบ เมื่อเสร็จงานก็ได้นำ พระขุนแผนเคลือบติดไม้ติดมือมากลับมาบ้าน บางคนก็ได้นำองค์พระมาลงรักปิดทอง ต่อมาเมื่อปี๒๕๐๒ มีการบูรณะพระประธานที่วัดบ้านกลิ้ง ชาวบ้านก็ได้นำพระขุนแผนเคลือบที่ได้มานั้น บรรจุไว้ที่ฐานพระหลวงพ่อขาวเอาไว้ด้วย
พระขุนแผนเคลือบ ที่ขุดพบในฐานชุกชีพระหลวงพ่อขาว เมื่อค้นคว้าโดยละเอียดแล้ว ปรากฏว่าได้มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับสมเด็จพระนเรศวรมหาราช รวมทั้งเชื้อพระวงศ์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระนัดดา (หลาน) ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราช อีกทั้งเรือนไทย ที่มีความสวยงามติดอันดับต้นๆ ของโลก ก็ยังสร้างในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ มหาราช อีกด้วย
การขุดพบพระขุนแผนเคลือบวัดใหญ่ชัยมงคล กรุใหม่จากวัดบ้านกลิ้ง ในครั้งนี้ ได้สร้างสีสัน ให้กับวงการพระเครื่องเป็นอย่างยิ่ง จนมีการพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง
ขอขอบพระคุณ
จ.ส.ต.ทวี วงษ์สิทธิ์
คม-ชัด-ลึก
สาธุ...อนุโมทนา