"ขี้เกียจก็ทำ ขยันก็ต้องทำ"หลวงพ่อชาแห่งวัดหนองป่าพงท่านได้กล่าวสอนไว้ เมื่อวานที่ผ่านมา จิตเกิดปลิโพธ(กังวล)เกี่ยวกับหน้าที่และการเดินทาง ทำให้เกิดความรู้สึกเมื่อยล้า ขี้เกียจทำความเพียรขึ้นมา จิตไปปรุงแต่งเรื่องหน้าที่การงานและการเดินทางในอนาคต
นั่งก็ปรุง ยืนก็ปรุงเดินก็ปรุง นอนแล้วก็ยังปรุงแต่ง จิตฟุ้งซ่านอยู่กับการปรุงแต่ง จนมีสติระลึกได้ว่าเราใกล้จะบ้าแล้ว ที่หลงไปปรุงแต่งเรื่องราวในอนาคต จึงต้องมาพิจารณาหาสาเหตุที่มาของการปรุงแต่งนั้น ด้วยการพิจารณาใช้จิตถามจิตค้นหาไปสู่เหตุจนได้เห็นที่เกิดของอารมณ์นั้น
สาเหตุของมันคือ"ธรรมารมณ์"อารมณ์ของคนรอบข้างที่มากระทบ แล้วเราเผลอไปส้องเสพในอารมณ์นั้น เพราะขาดสติและสัมปชัญญะในขณะที่อารมณ์นั้นมากระทบ จิตของเรา เผลอไปปรุงแต่งต่อเติมเพิ่มกำลังให้อารมณ์นั้น จนมันมีพลังที่จะครอบงำจิตเราได้ ซึ่งกว่าจะรู้ กว่าจะเข้าใจ
ก้ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง กว่าจะดับอารมณ์ลงได้
:059:ธรรมมารมณ์ เป็นของละเอียดอ่อน ไร้รูป ไร้รส ไร้กลิ่น ไร้เสียง ไร้การสัมผัส เป็นนามธรรมที่จับต้องมิได้ เป็นสิ่งที่เกิดภายใน มีใจเป็นตัวรับรู้ และแผ่ออกมากระทบกับจิต ทำให้จิตแปรเปลี่ยนไป จิตของเราเหมือนภาชนะที่ว่างเปล่า เอาอะไรมาใส่มันก็จะรองรับบรรจุสิ่งนั้นไว้
เป็นห้องว่างที่ใครผ่านมาก็เข้าไปพักได้ เราผู้เป็นเจ้าของห้องจึงต้องมีหน้าที่ ที่จะต้องคอยดูแลรักษาและป้องกัน มิให้สิ่งไม่ดีทั้งหลายเข้ามาอยู่อาศัย โดยการพิจารณาแยกแยะกุศลและอกุศลที่จรมา รับไว้แต่สิ่งที่ดีมีสาระ ต่อการดำเนินชีวิตทางจิตของเรา ปฏิเสธสิ่งที่ไม่เป็นสาระไม่เกิดประโชนย์เป็นทุกข์เป็นภัยเป็นโทษ มิให้เข้ามาอยู่อาศัยในจิตเรา
"จิตแท้จิตเดิมนั้นปภัสสร(งามงาม บริสุทธิ์)แต่จิตนี้เศร้าหมองแล้ว เพราะกิเลสที่เป็นอาคันตุกะได้จรมาอยู่อาศัย" เคยท่องจำนำไปพูดจนขึ้นใจแต่ไม่เคยใช้พิจารณามาก่อนกับตัวเอง พึ่งจะได้เห็นและได้ทำก็ในวันนี้ วันที่เราได้มาพบประสพด้วยตนเอง..."ขอบคุณธรรมารมณ์"
ที่จรมา"ทุกข์ไม่มา ปัญญาไม่มี บารมีไม่เกิด"
:016:ขอบคุณความทุกข์ที่สอนให้เห็นธรรม
เชื่อมั่น-ศรัทธา-ปรารถนาดี
รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม
๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๒ เวลา ๐๖.๓๕ น. ณ ชายป่าห้วยขาแข้ง อุทัยธานี