แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - พุงโต

หน้า: [1]
1
ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับคนแถวบ้าน  ครับท่านเองก็สักยันต์ทั้งหน้าและหลังครับ จากที่ได้สอบถามพบว่าท่านมีครูสักถึง 9 คน น้ำมัน+หมึก  ประสบการณ์จากที่ได้ฟังมานั้นก็เยอะเหมือนกันครับ เพราะสมัยที่ท่านหนุ่ม ๆ นั้น เป็นยุคเถื่อนเสือเยอะพอสมควร  ผู้ชายสมัยนั้นส่วนมากจะสักยันต์กันแทบทุกคนครับ ท่านเล่าให้ฟังว่า แค่คนถือมีดเดินเข้ามาของก็ขึ้นแล้วครับ

ผมก็ได้ถามถึงเรื่องการปฏิบัติว่าทำยังไงถึงได้รักษาของได้  ท่านเล่าว่า เวลาเข้าห้องน้ำ ถ่ายหนัก จะต้องการมีปักทูป ก่อนถ่ายหนักครับ  ผมก็ปากหนักครับที่ไม่ได้ถามต่อว่า ทำไมถึงต้องปักทูป ส่วนบทคาถาที่ท่านสวดก็คือ  อิทธิ ฤทธิ พุทธนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง จงเป็นที่พึ่งแก่มะอะอุ นี่เถิด (บทสวดผมไม่แน่ใจครับว่า ขาดตกหรือเปล่า)

ส่วนตัวผมเองที่รู้จัก ท่านจะไม่ค่อยกินเหล้าครับ และที่สำคัญท่านจะรักพ่อแม่มาก ๆ รักมากขนาดไหน ก็ขนาดที่ว่าพ่อแม่ดุด่า ท่านบอกว่าเหมือนเทวดาให้พร .........ไม่มีคำว่าโกรธ หรือมีความเคืองในใจเลยครับ  ท่านบอกว่าพ่อแม่ ครูอาจารย์สำคัญมาก ๆ  ผมเคยเห็นเวลาพ่อแม่บ่นด่า ท่านจะนั่งยิ้มแบบมีความสุข  ท่านบอกว่าดีแค่ไหนแล้วที่พ่อแม่ยังพูดคุยกับเราได้

และท่านยังแนะนำอีกครับว่า ลูกไม่มีสิทธิที่จะเถียงพ่อเถียงแม่  ถึงแม้พ่อแม่จะพูดผิดก็ตาม นี่เป็นข้อปฏิบัติหลัก ๆ ที่ท่านปฏิบัติครับ  ส่วนเรื่องอาหารท่านก็กินทุกอย่างครับไม่เห็นจะไม่กินอะไร

ส่วนเรื่องความขลังนั้น  ไม่กี่ปีมานี่ก็เกิดครับมีพยานอยู่ในเหตุการณ์หลายคนที่เห็นครับ ท่านถูกคนร้าย 3 คนใช้ปืนอาก้า รั่วใส่จนหมดแม็กในระยะที่ไม่มีโอกาสรอดได้  ปรากฏว่าท่านไม่เป็นอะไรครับ

จนคนร้าย 3 คนนั้นตกใจวิ่งหนีไปเลยครับ  นี่เป็นเรื่องเล่าของคนรุ่นเก่าที่ท่านสักยันต์ ผมก็อยากให้คนรุ่นใหม่ที่สักยันต์อ่านแล้ว  คงจะได้สาระสำคัญในการใช้ชีวิตนะครับ ว่าการที่จะรักษาความขลังนั้นต้องปฏิบัติตัวอย่างไร หรืออย่างที่เราเห็นตามสุสาน เวลาล้างป่าช้าแล้วปรากฏว่าคนที่สักยันต์นั้น เนื้อไม่เน่า ทำไมเขาถึงรักษาของได้ ...............

2
หลาย  ๆ คนคงเคยถกเรื่องการติดวัตถุมงคล ที่มีบางกลุ่มมองคนที่นิยมชมชอบพระเครื่องว่าหลงวัตถุแทนที่จะมุ่งพระธรรม เพื่อสู่นิพพาน อย่างเดียว พอดีผมไปเจอคำสอนของหลวงปู่ดู่ครับ ท่านพูดไว้น่าสนใจทีเดียว อยากให้อ่านกัน

สร้างพระอย่างพุทธะ

หลวงปู่ดู่ท่านมิได้ตั้งตัวเป็นเกจิอาจารย์ การที่ท่านสร้างหรืออนุญาตให้สร้างพระเครื่อง หรือพระบูชาก็เพราะเห็นประโยชน์ เพราะบุคคลจำนวนมากยังขาดที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ท่านเองมิได้จำกัดศิษย์อยู่เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ดังนั้น คณะศิษย์ของท่านจึงมีกว้างขวางออกไป ทั้งที่ใจในธรรมล้วนๆ หรือที่ยังต้องอิงกับวัตถุมงคล ท่านเคยพูดว่า "ติดวัตถุมงคล ก็ยังดีกว่าที่จะให้ไปติดวัตถุอัปมงคล" ทั้งนี้ท่านย่อมใช้ดุลยพินิจพิจารณาตามความเหมาะสม ตามความเหมาะควรแก่ผู้ที่ไปหาท่าน

พระเครื่องและพระบูชาต่างๆ ที่ท่านอธิษฐานจิตปลุกเสกให้แล้วนั้น ปรากฎผลแก่ผู้บูชาในด้านต่างๆ เช่น แคล้วคลาด เป็นต้น นั่นก็เป็นเพียงผลพลอยได้ ซึ่งเป็นประโยชน์ในทางโลก แต่ประโยชน์ที่ท่านผู้สร้างมุ่งหวังอย่างแท้จริงนั้นก็คือ ใช้เป็นเครื่องมือในการปฏิบัติภาวนา มีพุทธานุสติกรรมฐาน เป็นต้น นอกจากนี้แล้ว ผู้ปฏิบัติยังได้อาศัยพลังจิต ที่ท่านตั้งใจบรรจุไว้ในพระเครื่อง ช่วยน้อมนำและประคับประคองให้จิตรวมสงบได้เร็วขึ้น ตลอดถึงการใช้เป็นเครื่องสร้างเสริมกำลังใจ และระงับความหวาดวิตกขณะปฏิบัติอีกด้วย สิ่งนี้ถือเป็นประโยชน์ทางธรรม ซึ่งจะก่อให้เกิดพัฒนาการทางจิตของผู้ใช้ไปสู่การพึ่งพาตนเองได้ เพราะการที่เราได้อาศัย พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ และสังฆัง สรณัง คัจฉามิ คือได้ยึด ได้อาศัยเอาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นสรณะในเบื้องต้นก่อน

เมื่อจิตของเราเกิดศรัทธา โดยเฉพาะอย่างที่เรียกว่า ตถาคตโพธิศรัทธา คือ เชื่อปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าขึ้นแล้ว เราก็ย่อมเกิดกำลังใจขึ้นว่า พระพุทธองค์ เดิมก็เป็นคนธรรมดาเช่นเดียวกับเรา ความผิดพลาดพระองค์ก็ทรงเคยทำมาก่อน แต่ก็ด้วยความเพียร ประกอบกับพระสติปัญญาที่ทรงอบรมมาดีแล้ว จึงสามารถก้าวข้ามสามโลกสู่ความหลุดพ้น เป็นการบุกเบิกทางที่เคยรกชัฏให้พวกเราได้เดินกัน ดังนั้น เราซึ่งเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับพระองค์ ก็ย่อมที่จะฝึกฝนอบรมกาย วาจา ใจ ด้วยตัวของเราเองได้เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงกระทำมา พูดอีกอย่างหน่งก็คือ กาย วาจา ใจ เป็นสิ่งที่ฝึกฝนอบรมกันได้ ใช่ว่าจะต้องปล่อยให้ไหลไปตามยถากรรม

เมื่อจิตของเราเกิดศรัทธาดังที่กล่าวมานี้แล้ว ก็มีการน้อมนำเอาข้อธรรมคำสอนต่างๆ มาประพฤติ ปฏิบัติขัดเกลากิเลสออกจากใจตน จิตใจของเราก็จะเลื่อนชั้นจากปุถุชนที่หนาแน่นด้วยกิเลส ขึ้นสู่กัลยาณชนและอริยชนเป็นลำดับ เมื่อเป็นดังนี้แล้ว ในที่สุด เราก็ย่อมเข้าถึงที่พึ่งคือ ตัวเราเอง อันเป็นที่พึ่งที่แท้จริง เพราะกาย วาจา ใจ ที่ผ่านขั้นตอนการฝึกฝนอบรมโดยการเจริญศีล สมาธิ และปัญญาแล้ว ย่อมกลายเป็น กายสุจริต วาจาสุจริต และมโนสุจริต กระทำสิ่งใด พูดสิ่งใด คิดสิ่งใด ก็ย่อมหาโทษมิได้ ถึงเวลานั้น แม้พระเครื่องไม่มี ก็ไม่อาจทำให้เขาเกิดความหวั่นไหว หวาดกลัวขึ้นเลย....

ที่มา : กายสิทธิ์

4
สำหรับคนที่ไปวัดบางพระแนะนำให้ตรงไปที่กุฏิใหญ่เลยครับ ไปแล้วจะได้ดีหลายอย่าง  อย่างแรกก็ได้กราปไหว้หลวงพ่อเปิ่นครับ  ดอกไม้ตามแต่จะทำบุญครับ แล้วถ้าใครอยากให้อาหารปลาก็ตรงศาลาริมน้ำข้าง ๆ กันครับ ถุงละ 10 บาท ถูกครับ ถ้าซื้อแถวอื่น 20 บาท

และก็สำหรับคนที่จะสักยันต์ ชุดละ 50 เท่านั้น ครับ และที่สำคัญ ทุกอย่างเข้าวัดบางพระหมดครับ  เป็นการทำบุญไปในตัว

ส่วนที่แพงสุดก็หน้ากุฏิมหาสมชายครับ ชุดละ 80 บาทครับและก็หน้ากุฏิหลวงพี่แป๊ว 50 บาทครับ

5
ผมได้ไปอ่านในกระทู้ของ ผู้การเสือ ที่สักยันต์เกาะเพชรกับหลวงพี่ญา  ในส่วนตัวผมเองก็นับถือในหลวงปู่ปานและหลวงพ่อฤาษีลิงดำมาก ๆ  จนทำให้ผมได้เลิกเหล้าได้เด็ดขาด

ก็เลยสนใจอยากสักยันต์เกาะเพชรครับเพราะเดินทางต่างจังหวัดบ่อยเหมือนกัน ก็เลยอยากสอบถามว่านอกจากหลวงพี่ญาแล้ว มีกุฏิไหนบ้างครับที่สัก  ที่ถามเพราะกลัวเข็มหลวงพี่ญา มือหนัก  อิอิอิ


6
เสาร์นี้ได้โอกาสไปวัดบางพระครับ   ตรงดิ่งที่กุฏิหลวงพี่แป๊ววันนี้มาแต่เช้าครับ เห็นมีชาวต่างชาติชาวเอเชียนั่งคุยกับหลวงพี่แป๊ว  พลวงพี่คุยติดตลก นั่งเงียบกันตั้งนานเพราะคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องครับ  :095: :095:

วันนี้คิดว่าเราคงได้สักเร็วแน่ ๆ เพราะมีอยู่แค่ 3 คนเองเมื่อเข็มแรกลงหลังจนถึงเวลาเพลน เราก็ยังคงจับหลังคนอื่นต่อไป  หลวงพี่แป๊วก็เรียกพี่คนหนึ่งมายกพาน  แล้วหลวงพี่แป๊วก็พูดว่า "ไม่ร้องนะ  โตแล้ว" ทำเอาผม งง เลยครับ พอพี่คนนี้กำลังยกพานของก็ขึ้นครับ แต่ไม่มีเสียง แล้วคำพูดที่หลวงพี่แป๊วพูดกับพี่คนนั้น หรือ ของในตัวพี่คนนั้น กันแน่  :064: :064:  ก็ยังคงเป็นคำถามคาใจต่อไป

สักพักเสียงระฆังดังขึ้น วันนี้เพลนค่อนข้างเร็วเพราะมีเจ้าภาพเลี้ยงเพลน  ผมเองก็ไม่เป็นไรใจร่ม ๆ  :093: สักพักก็มีลูกศิษถืออาหารให้คนที่มารอสักครับ  ความเมตตาของหลวงพี่แป๊ว ครั้งแล้วครั้งเล้าที่ได้เห็นทำให้ปลื้มใจครับ  หลวงพี่แป๊วจะเป็นห่วงศิษย์ที่มารอสักทุกครั้งครับ  บางครั้งหลวงพี่แป๊วก็จะให้ปัจจัยส่วนตัว  ให้ลูกศิษย์ไปซื้อข้าวกล่องมาแจกกันกิน 

แต่ถ้ามีเจ้าภาพหลวงพี่ก็จะให้ไปยกสำรับมากินครับ  สรุปวันนี้กว่าจะได้สักก็ เกือบบาย 2 ครับได้ จิ้งจก 2 หาง กำลังน่ารักน่าชังทีเดียว  :002: :002:

ไปคราวนี้ถึงแม้ได้ยันต์เดียวก็สุขใจที่ได้ ไปกราบหลวงพ่อเปิ่น ได้เดินชมวัด แค่นี้ก็สุขใจแล้วครับ ส่วนยันต์ที่ได้มานั้นถือว่าเป็น ของแถมเป็นกำไร

7
ช่วงนี้รู้สึกอยากจะเข้าวัด  ไปหาหลวงพี่แป้วครับ รู้สึกจะฝันถึงหลวงพี่แป้ว หลายคืนแล้วและฝันถึงหลวงพ่อเปิ่น ไม่รู้ว่าหลวงพี่แป้วกับหลวงพ่อท่านจะมาเตือนอะไรหรือเปล่า

ก็เลยอยากรู้ว่าต้องติดต่อ ยังไงหรือว่าแจ้งที่หลวงพี่แป้วเลยว่าขอนอนวัด 1 คืน แล้วกิจวัตรตอนเช้ามีอะไรบ้างครับ จะได้เตรียมตัวได้ถูก


8
สวัสดีครับทุกคน  ตามจริงวันนี้ก็กะว่าจะตั้งกระทู้เกี่ยวกับเรื่องราว ที่เกิดขึ้นของหมู่บ้านแห่งหนึ่งครับ กับการสักยันต์ในสมัยผมยังเด็ก   แต่ก็ชั่งใจไว้ก่อนครับ ขอตรึกตรองดูก่อนเพราะว่าจะเป็นเหตุต้อง ปรามาสครูบาอาจารย์ครับ   ถ้าพี่น้องเห็นว่าสมควรก็จะเล่าครับ

วันนี้ก็เลยมาพูดเรื่องหนึ่ง เพราะกลัวคนที่ไม่รู้จะพลาดเอา ก็เลยอยากรู้ว่ามีใครกราบไหว้ บูชาชูชก บ้างไหมครับ ........เพราะผมเห็นบางที่มีให้บูชา..

9
มูลมรดกอันเป็นต้นทุนทำการฝึกฝนตน
         
            เหตุใดหนอ ปราชญ์ทั้งหลาย จะสวดก็ดี จะรับศีลก็ดี หรือจะทำการกุศลใดๆ ก็ดี จึงต้องตั้ง นโม ก่อน จะทิ้ง นโม ไม่ได้เลย เมื่อเป็นเช่นนี้ นโม ก็ต้องเป็นสิ่งสำคัญ จึงยกขึ้นพิจารณา ได้ความว่า น คือธาตุน้ำ โม คือ ธาตุดิน พร้อมกับบาทพระคาถา ปรากฏขึ้นมาว่า มาตาเปติกสมุภโว โอทนกุมฺมาสปจฺจโย สัมภวธาตุของมารดาบิดาผสมกัน จึงเป็นตัวตนขึ้นมาได้ น เป็นธาตุของ มารดา โม เป็นธาตุของ บิดา ฉะนั้นเมื่อธาตุทั้ง ๒ ผสมกันเข้าไป

           ไฟธาตุของมารดาเคี่ยวเข้าจนได้นามว่า กลละ คือ น้ำมันหยดเดียว ณ ที่นี้เอง ปฏิสนธิวิญญาณเข้าถือปฏิสนธิได้ จิตจึงได้ถือปฏิสนธิในธาตุ นโม นั้น เมื่อจิตเข้าไปอาศัยแล้ว กลละ ก็ค่อยเจริญขึ้นเป็น อัมพุชะ คือเป็นก้อนเลือด เจริญจากก้อนเลือดมาเป็น ฆนะ คือเป็นแท่ง และ เปสี คือชิ้นเนื้อ แล้วขยายตัวออกคล้ายรูปจิ้งเหลน จึงเป็นปัญจสาขา คือ แขน ๒ ขา ๒ หัว ๑ ส่วนธาตุ พ คือลม ธ คือไฟ นั้นเป็นธาตุเข้ามาอาศัยภายหลังเพราะจิตไม่ถือ เมื่อละจากกลละนั้นแล้ว กลละก็ต้องทิ้งเปล่าหรือสูญเปล่า ลมและไฟก็ไม่มี คนตาย ลมและไฟก็ดับหายสาปสูญไป

           จึงว่าเป็นธาตุอาศัย ข้อสำคัญจึงอยู่ที่ธาตุทั้ง ๒ คือ นโม เป็นเดิม ในกาลต่อมาเมื่อคลอดออกมาแล้วก็ต้องอาศัย น มารดา โม บิดา เป็นผู้ทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมาด้วยการให้ข้าวสุกและขนมกุมมาส เป็นต้น ตลอดจนการแนะนำสั่งสอนความดีทุกอย่าง ท่านจึงเรียกมารดาบิดาว่า บุพพาจารย์ เป็นผู้สอนก่อนใครๆ ทั้งสิ้น มารดาบิดาเป็นผู้มีเมตตาจิตต่อบุตรธิดาจะนับจะประมาณมิได้ มรดกที่ทำให้กล่าวคือรูปกายนี้แล เป็นมรดกดั้งเดิมทรัพย์สินเงินทองอันเป็นของภายนอกก็เป็นไปจากรูปกายนี้เอง

            ถ้ารูปกายนี้ไม่มีแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ ชื่อว่าไม่มีอะไรเลยเพราะเหตุนั้นตัวของเราทั้งตัวนี้เป็น "มูลมรดก" ของมารดาบิดาทั้งสิ้น จึงว่าคุณท่านจะนับจะประมาณมิได้เลย ปราชญ์ทั้งหลายจึงหาได้ละทิ้งไม่ เราต้องเอาตัวเราคือ นโม ตั้งขึ้นก่อนแล้วจึงทำกิริยาน้อมไหว้ลงภายหลัง นโม ท่านแปลว่านอบน้อมนั้นเป็นการแปลเพียงกิริยา หาได้แปลต้นกิริยาไม่ มูลมรดกนี้แลเป็นต้นทุน ทำการฝึกหัดปฏิบัติตนไม่ต้องเป็นคนจนทรัพย์สำหรับทำทุนปฏิบัติ

มูลฐานสำหรับทำการปฏิบัติ
         นโม นี้ เมื่อกล่าวเพียง ๒ ธาตุเท่านั้น ยังไม่สมประกอบหรือยังไม่เต็มส่วน ต้องพลิกสระพยัญชนะดังนี้ คือ เอาสระอะจากตัว น มาใส่ตัว ม เอาสระ โอ จากตัว ม มาใส่ตัว น แล้วกลับตัว มะ มาไว้หน้าตัว โน เป็น มโน แปลว่าใจ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงได้ทั้งกายทั้งใจเต็มตามส่วน สมควรแก่การใช้เป็นมูลฐานแห่งการปฏิบัติได้ มโน คือใจนี้เป็นดั้งเดิม เป็นมหาฐานใหญ่ จะทำจะพูดอะไรก็ย่อมเป็นไปจากใจนี้ทั้งหมด ได้ในพระพุทธพจน์ว่า มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจถึงก่อน มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ พระบรมศาสดาจะทรงบัญญัติพระธรรมวินัย ก็ทรงบัญญัติออกไปจาก ใจ คือมหาฐาน นี้ทั้งสิ้น เหตุนี้เมื่อพระสาวกผู้ได้มาพิจารณาตามจนถึงรู้จัก มโน แจ่มแจ้งแล้ว มโน ก็สุดบัญญัติ คือพ้นจากบัญญัติทั้งสิ้น สมมติทั้งหลายในโลกนี้ต้องออกไปจากมโนทั้งสิ้น ของใครก็ก้อนของใคร ต่างคนต่างถือเอาก้อนอันนี้ ถือเอาเป็นสมมติบัญญัติตามกระแสแห่งน้ำโอฆะจนเป็นอวิชชาตัวก่อภพก่อชาติด้วยการไม่รู้เท่า ด้วยการหลง หลงถือว่าเป็นตัวเรา เป็นของเราไปหมด

จากหนังสือ มุตโตทัย หลวงปู่มั่นครับ

10
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ขันธ์ 5
« เมื่อ: 13 พ.ค. 2552, 03:41:46 »
สวัสดีครับทุก ๆ คนวันนี้ได้นำเรื่อง ขันธ์ 5 มาให้ได้อ่านกันครับ ผมเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์กับพวกเรา

ประมาณปี ๒๕๓๑-๒๕๓๒ ญาติโยมที่ไปกราบนมัสการหลวงปู่ดู่ที่วัดสะแก จะพบว่ามีขันและพานที่ใช้ในพิธีรับขันธ์ ๕ วางเรียงต่อกันหลายแถวหลายชั้นจนท่วมศีรษะ

คนจำนวนไม่น้อยที่เข้าพิธีรับขันธ์ ๕ นัยว่าเป็นการเปิดรับกายทิพย์ของหลวงพ่อหลวงปู่ครูบาอาจารย์ บ้างก็อ้างว่าเป็นดวงวิญญาณบุรพกษตริย์ไทยในอดีต หรือเทพเจ้าชั้นผู้ใหญ่ เพื่อเข้ามาคุ้มครองป้องกันภัย หรือเสริมชีวิตให้เกิดความเป็นสิริมงคล

แต่แท้จริงแล้ว หลวงปู่กล่าวว่าส่วนใหญ่นั้นหลอกลวงกันแทบทั้งสิ้น หากจะมีก็มักเป็นวิญญาณชั้นต่ำที่มาอาศัยกินเครื่องบวงสรวง

หลวงปู่สอนมาโดยตลอดที่จะให้เราฝึกฝนอบรมจิตใจให้บริบูรณ์ด้วยสติสัมปชัญญะ แล้วด้วยเหตุใดคนเราจึงพากันยินดีปฏิบัติในทางตรงกันข้าม โดยให้สิ่งอื่นเข้ามาครอบงำกายใจของเราได้!

หลวงปู่ต้องเสียเวลาไปไม่น้อยในแต่ละวัน ๆ กับการสงเคราะห์พวกที่เคยไปรับขันธ์แล้วเปลี่ยนใจ เพราะต้องการความเป็นไทแก่ตัว ต้องการควบคุมตนเองให้ได้เหมือนแต่ก่อน ไม่ใช่อยากจะร่ายรำ หรือพูดภาษาแปลก ๆ หรือตัวสั่นงันงกในที่สาธารณชน ก็ทำขึ้นมาโดยไม่อาจควบคุมตนเองได้

นอกจากการแผ่เมตตาให้แก่ดวงวิญญาณที่มาสิงสู่ร่างเหล่านั้นออกไปแล้ว หลวงปู่ก็เน้นย้ำว่าตัวผู้ (ป่วย) นั้นก็ต้องช่วยตัวเองด้วยเช่นกันด้วยการทำภาวนาเพิ่มสติสัมปชัญญะให้กับตัวเอง มิเช่นนั้นก็เหมือนประตูบ้านยังปิดไม่มิดชิด สิ่งแปลกปลอมก็อาจกลับเข้ามาใหม่ได้อีก

หลวงปู่สอนว่าแค่ขันธ์ ๕ ของเราก็หนักมากอยู่แล้ว ยังจะหาเรื่องไปเอาขันธ์อื่น ๆ เข้ามาแบกอีก เห็นกองขันที่เขาเอามาทิ้งไว้ที่วัดก็ให้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยแทนหลวงปู่ แล้วไหนยังจะต้องไปรับมือกับบรรดาเจ้าสำนักที่สูญเสียผลประโยชน์อีก บางครั้งหลวงปู่ก็เอ่ยขึ้นมาว่าเขาส่งของมา กะจะเอาเราให้ตาย

บัดนี้ สิ้นหลวงปู่แล้ว และถึงแม้ว่าเราจะเชื่อมั่นว่าหลวงปู่ยังคงให้การคุ้มครองดูแลศิษย์ทั้งหลายอยู่ แต่เราเองก็ต้องไม่ประมาท ต้องรีบเร่งสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นด้วยตนเอง และก็มิใช่โดยพระเครื่องของท่าน เพราะนั่นก็ยังไม่ใช่ที่พึ่งที่สูงสุด หากแต่ต้องอาศัยการปฏิบัติกาย วาจา ใจ ของเราเองให้ดีงาม เพื่อให้เกิดเป็นธรรมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม บนฐานที่มั่นคงของการปฏิบัติสมาธิภาวนาให้ได้ตลอดทุก ๆ อิริยาบถ

อ่านเต็ม ๆ ได้ที่นี่ครับ
http://www.watthummuangna.com/board/showthread.php?t=6319

11
ผมก็เห็นหลาย ๆ คนตั้งกระทู้ถามเรื่องทำแบบนี้เสื่อมไม่เสื่อม 

ไม่ว่าจะเป็นของขลังอะไรก็แล้วแต่  ที่เน้นด้านพุทธคุณ  ไม่ว่าจะเป็นพระปลอม (พระจริงเดินได้ ขอเล่นมุข ครับ อิอิ)  ซึ่งก็มีเยอะแยะมากมาย หรือจะเป็น ตะกรุด หรือสักยันต์ 

สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ปลุกเสกโดยอาศัยการอาราธนาบารมี  ครูบาอาจารย์ เทพเทวดา บิดามารดา หรือแม้แต่ บารมีของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ 

แล้วบารมีของเทพเทวดา ครูบาอาจารย์ ท่านเอามาจากไหน ง่าย ๆ เลยนะครับ

1.การถือศีล อย่างเทวดาการที่จะได้เป็นนั้น อย่างน้อย ๆ ก็ต้องถือศีล 5 เป็นประจำครับ
2.การให้ทาน ซึ่งก็มีมากมายหรือเกิน
3.ภาวนา

สิ่งเหล่านี้คือบารมีที่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสะสมมา  หรือแม้แต่เทพเทวดา ทั้งหลายก็สะสมมาเหมือนกัน  ฉะนั้น การที่จะให้บารมีของครูบาอาจารย์ทั้งหลาย เสื่อม หรือเทพเทวดา เสื่อม ก็คือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับ 3 สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นครับ

1. คือผิดศีล ทุกข้อ หรือแม้แต่ข้อใดข้อหนึ่ง
2. ไม่เคยให้ทาน มีแต่จะเอาทานอย่างเดียว
3. ไม่เคยภาวนา สวดมนต์ทั้งสิ้น

ของขลังในโลกนี้ไม่มีอะไรเหนือไปกว่าพุทธคุณของ   พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ 

ทีนี้มาดูเรื่องของสักยันต์  หลาย ๆ คนกลัวของเสื่อมจากการหลอดร้าวผ้าบ้างละ  รอดระหว่างขาผู้หญิงบ้างละ หรือแม้แต่ประจำเดือนผู้หญิงบ้างละ   ทำไมครูบาอาจารย์บางที่ห้าม บางที่ไม่ห้าม

ลายสักย์ก็คือคาถา  หรือพูดง่าย ท่านทั้งหลายก็เปรียบเสมือน หนังสือสวดมนต์เคลื่อนที่  เป็นการอันเชิญบารมี คุณของพระธรรม  ฉะนั้นการที่ว่าท่านให้เด็กหรือใครมานั่งทับท่าน  มันก็เปรียบเสมือน นั่งทับหนังสือสวดมนต์  ถามว่าดีหรือไม่ดี   

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ   ข้าพเจ้าขอยึดพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ    ข้าพเจ้าขอยึดพระธรรมเป็นที่พึ่ง
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ    ข้าพเจ้าขอยึดพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง

ผมอยากให้ทุกคนลองคิดดูดี ๆ ครับว่าเราได้นับถือยึดถือใน พระพุธ พระธรรม พระสงฆ์ แค่ไหน ผมรู้สึกเสียวแทนท่านหลายคนที่คิดว่า ผิดครูนิดหน่อย  ไม่เป็นไหรหรอก เดียวไปครอบครู ไปขอขมาก็ได้  การที่เราทำผิดโดยทีรุ้ว่าผิด มันร้ายแรงมากเลยนะครับ  แต่ถ้าเราทำผิดไปโดยที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ยังถือว่าไม่เสียหายมากนัก    อยากให้พวกเราลองพิจารณาดูนะครับ พยายามแยกให้ออก ระหว่าความเชื่อ กับ งมงาย
คุณจะเลือกเชื่อแบบศรัทธา หรือ งมงาย อย่างไร้เหตุผล

หน้า: [1]