ผู้เขียน หัวข้อ: กรรมฐานคือกิจวัตรประจำวัน  (อ่าน 5192 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
กรรมฐานคือกิจวัตรประจำวัน
« เมื่อ: 01 ส.ค. 2554, 08:42:12 »
กรรมฐานคือกิจวัตรประจำวัน1/3
ธนรัตน์ เลปนานนท์

  ข้าพเจ้าอายุ ๓๑ ปี กำลังศึกษาต่อระดับปริญาโท ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักวัดอัมพวัน และ พระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญมาก่อน แต่เป็นคนที่สวดมนต์ไหว้พระอยู่แล้ว แม้จะไม่สม่ำเสมอเท่าใด อยากจะฝึกนั่งสมาธิมานานแล้วแต่ไม่มีโอกาศ จนกระทั่งถึงจุดเปลี่ยนแปลงในชีวิต

  ระหว่างอายุ ๒๕ – ๒๗ ปี ข้าพเจ้าปฏิบัติงานในตำแหน่งนักกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา กรุงเทพฯ มีผู้ป่วยมาขอบคุณที่ได้ช่วยทำกายภาพบำบัดเขาจนดีขึ้น และไดมอบหนังสือเล่มหนึ่งให้ข้าพเจ้า ที่หน้าปกมีรู)พระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ ข้าพเจ้ารับหนังสือนั้นมาแล้วไม่ได้สนใจจะหยิบอ่าน

  หลังจากนั้นไม่นาน ข้าพเจ้าได้รู้จักและคบหากับผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งภาพหลังทราบว่าเขาเป็นคนมีครอบครัวแล้ว ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจมาก จนมีผลต่ออารมณ์และจิตใจ รวมทั้งสมาธิในการปฏิบัติงานเป็นนักกายภาพบำบัดด้วย ไม่ทราบว่าจะจัดการกับจิตใจอย่างไรให้ดีขึ้น ก็ได้แต่อาศัยการสวดมนต์ไหว้พระเป็นที่พึ่งทางใจ มีผู้แนะนำให้สวดมนต์บทพาหุงฯด้วยจะได้พ้นจากเรื่องทุกข์ใจ พยายามสวดมนต์มาสักระยะหนึ่ง รู้สึกว่าจิตใจสงบขึ้น ปัญหาก็เริ่มคลี่คลายไป แต่จิตใจยังไม่ได้รับการแก้ไขเท่าใดนัก

  ปลายปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้าพเจ้าสอบเข้าศึกษาต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยมหิดลได้ จึงหันมาใส่ใจกับการศึษา ทำให้จิตใจดีขึ้นบ้าง แต่ถ้าหากอยู่คนเดียวก็มักจะคิดย้อนไปถึงเรื่องอดีตที่ผ่านมาอีก ทำให้ยังคงเสียใจอยู่ และคิดว่าทำไมต้องมาพบกับเหตุการณ์เช่นนี้ด้วย ข้าพเจ้ากลายเป็นคนหงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน วู่วาม คิดจะทำอะไรอยากจะทำสิ่งใด ต้องให้ได้เดี๋ยวนั้น บางครั้งทำไปเลยโดยไม่คิดไตร่ตรองให้รอบคอบ ทำให้เกิดความเสียหายต่อตัวเองมาก เวลามีเรื่องราวอะไรมากระทบจะวิตกกังวลเศร้าโศกอยู่นานหลาย ๆ วัน

  ต่อมาประมาณปี ๒๕๔๕ – ๒๕๔๖ ข้าพเจ้าประสบปัญหาการคบกับเพื่อนชายอีกคนหนึ่ง ความที่จิตใจของตนเองยังไม่ได้รับการแก้ไข ยังเป็นคนหงุดหงิดง่าย เอาแต่ใจตัวเอง มีอะไรเกิดขึ้นนิดหน่อยก็โวยวายเป็นเรื่องใหญ่โต ทำให้มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกันบ่อยมาก คุณแม่เตือนก็ไม่ค่อยเชื่อฟัง จะเดื้อเงียบ ช่วงนั้นข้าพเจ้าไม่สบายใจมากร้อนรนกระวนกระวาย ไม่มีสมาธิในการเรียน ร้องไห้เสียใจบ่อย ๆ และนึกถึงคุณพ่อที่เสียชีวิตไปหลายปีแล้วเป็นอันมาก จึงต้องการที่จะบวชปฏิบัติธรรมอุทิศบุญกุศลให้ท่าน และเพื่อจิตใจของตัวเองสงบด้วย

   เพื่อนพาข้าพเจ้าไปบวชเนกขัมมะปฏิบัติ ถือศิล ๘ นุ่งขาวห่มขาว ที่วัดแห่หนึ่งเป็นเวลา ๓ วัน ตอนนั้นข้าพเจ้ารู้สึกว่าตนเองเพียงแต่เปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดปกติมาใส่ชุดขาวเท่านั้น ไม่ได้ความสงบของจิตใจเท่าใด พอกลับบ้านไปอารมณ์และจิตใจก็ยังไม่ได้รับการเยียวยาแก้ไข จนกระทั่งประมาณเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๖ คุณศุภรัตน์ ปรศุพัฒนา เพื่อนรุ่นพี่ืที่ศึกษาต่อระดับปริญญาเอกอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหิดล คณะเดียวกันกับข้าพเจ้า ได้ชักชวนให้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันเป็นเวลา ๓ วัน (ศุกร์ – เสาร์ - อาทิตย์) ข้าพเจ้าได้วิธีการปฏิบัติกรรมฐาน การเดินจงกรม และการนั่งสมาธิที่ถูกต้อง ทำให้ข้าพเจ้าสามารถกำราบจิตใจของตนเองที่สับสนวุ่นวายไม่สงบสุขและเศร้าหมองลงได้มาก

  แม้ได้อยู่ปฏิบัติเพียงแค่ ๓ วัน แต่ข้าพเจ้าถือว่าได้พบสิ่งมีค่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ในขณะปฏิบัติกรรมฐานนั้น ต้องประสบกับทุกขเวทนาตลอดทั้ง ๓ วัน เช่น เวลาเดินจงกรมก็มีอาการปวดหัวไหล่ เวลานั่งสมาธิก็ปวดขามาก มิหนำซ้ำยังมีความฟุ้งซ่านด้วย แต่ข้าพเจ้ากับรู้สึกว่าทุกขเวทนาและความฟุ้งซ่านที่เกิดขึ้นนั้น เป็นอาจารย์ที่มาสอนข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจสภาวะจิตใจของตนเองมากขึ้นว่า จิตที่มีความทุกข์และความร้อนกระวนกระวายนั้นเพราะเราคิดเราปรุงแต่และยึดมั่นถือมั่น ต่อเมื่อเราหยุดคิดหยุดปรุงแต่ปล่อยวาง จิตนั่นจะสงบนิ่ง และไม่หวั่นไหวต่อสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบจิตใจ ทั้งนี้จะต้องมีสมาธิมาคอยควบคุมจิตของเราด้วย

ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว....ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา...สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา...กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: กรรมฐานคือกิจวัตรประจำวัน
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 01 ส.ค. 2554, 08:46:49 »
กรรมฐานคือกิจวัตรประจำวัน2/3

  กลับไปบ้านข้าพเจ้าสบายใจขึ้นมาก มีสมาธิและมีสติในการเผชิญปัญหาและแก้ไขปัญหาได้ดีขึ้น สามารถให้อภัยคนที่ตนเองเสียใจได้ ทั้ง ๆ ที่แต่ก่อนมีความโกรธและเกลียดเขามาก ต่อมาในช่วงเดือนกันยายน ๒๕๔๖ ข้าพเจ้าก็ชักชวนเพื่อนอีก ๒ คนไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันอีกเป็นครั้งที่ ๒ ระยะเวลา ๓ วันเช่นกัน ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเวลาที่เดินจงกรมมีสติมากขึ้น เดินไม่ค่อยเซ เวลาที่นั่งสมาธิเมื่อใดที่มีสติอยู่กับกาอารพองหนอ – ยุบหนอได้ดี ะสามารถทนกับอาการปวดขาได้ โดยอาการปวดขาไม่ได้หายไปไหน ยังเท่าเดินเหมือนเดิม แต่ข้าพเจ้ากลับเบาใจและอยู่กับอาการปวดขานั้นได้ ทำให้ได้รู้ว่า เมื่อจิตของเราว่างเฉย ไม่ไปรับอารมณ์ความปวดนั้นเข้ามาปรุงแต่ง จิตของเราก็ไม่ได้กระวนกระวายและปวดตามไปกับกายของเราด้วย

  อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้ปฏิบัติกรรมฐานอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้จิตตก ตัวอย่างเช่น มีวันหนึ่งน้องสาวได้พูดในทำนองล้อเล่นกับข้าพเจ้า แต่ตอนนั้นข้าพเจ้ากลับรู้สึกเป็นจริงเป็นจังและหงุดหงิดขึ้นมา คิดว่าน้องสาวกำลังว่าข้าพเจ้าอยู่ จึงได้ตอบสวนกลับไปอย่างมีอารมณ์โกรธ น้องสาวก็พูดย้อยมาว่า ”อ้าว...พูดแค่นี้เอง ทำไมถึงโกรธล่ะ ไปปฏิบัติธรรมมาแล้วนี่” อีกคราวหนึ่งข้าพเจ้าพูดคุยกับเพื่อนคนหนึ่ง แล้วเพื่อนได้พูดขัดขึ้นมา ข้าพเจ้าไม่พอใจถึงกับตวาดเพื่อนเสียงดัง เพื่อนคนนั้นพูดว่า “เธอไปปฏิบัติธรรมยังไงกัน ทำไมถึงยังเป็นแบบนี้อยู่ล่ะ” ช้าพเจ้าได้สติก็ขอโทษเพื่อนเป็นการใหญ่ พร้อมทั้งเริ่มต้นตั้งคำถามกับตัวเองว่า เราเป็นอะไรนี่ ทำไมตัวเรายังเป็นแบบนี้อยู่ ไม่เห็นดีขึ้นเลย เวลามีเรื่องราวที่ไม่สบายใจเข้ามายังตามรู้ไม่ทันสภาวะอารมณ์ของตนเอง ทำให้ยิ่งหดหู่ใจเพิ่มขึ้น

  จนกระทั่งข้าพเจ้าได้ไปรับการอบรมปฏิบัติธรรมที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน จังหวัดขอนแก่น ทำให้ได้ข้อคิด และวิธีปฏิบัติฑรรมที่ถูฏต้องมากขึ้น ในงานทอดกระฐินที่ศูนย์ฯพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้เมตตาเทศนาอบรมผู้เข้าปฏิบัติธรรม มีอยู่ประโยคหนึ่งที่ข้าพเจ้าจำได้จนถึงทุกวันนี้ และนึกถึงเสมอเวลาปฏิบัติกรรมฐานคือ “อย่าไปมองคนอื่น ให้มองตัวเราเองเท่านั้น” หลังจากปฏิบัติธรรมครั้งนี้ข้าพเจ้าได้สติสำนึกย้อนไปรู้ว่า การกระทำและเรื่องที่ผ่านมาในชีวิตนั้น เป็นเพราะตัวข้าพเจ้าประมาท ขาดสติในการพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ให้รอบครอบ แก้ปัญหาไม่ถูกจุด ทำให้ตังเองเป็นทุกข์ ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ว่าการปฏิบัติกรรมฐานนั้น เราต้องมีสติรู้ตัวตลอดเวลา เมื่อใดที่เราขาดสติกิเลสต่าง ๆ จะเข้ามาในจิตใจทันที  บางครั้งเพียงชั่งพริบเดียว กิเลสทั้ง ๓ ตัวคือ โลภะ โทสะ โมหะ ก็เข้ามาในจิตใจเราเรียบร้อย โดยไม่รู้ตัว



ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: กรรมฐานคือกิจวัตรประจำวัน
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 01 ส.ค. 2554, 08:48:57 »
กรรมฐานคือกิจวัตรประจำวัน3/3

ในระหว่างปฏิบัติธรรมที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวันนั้น ข้าพเ้จ้าได้พบคุณอนงค์ โททำ เป็นชาวนา มาจากจังหวัดมหาสารคาม นำลูกชายอายุประมาณ ๑๐ ปีไปปฏิบัติธรรมด้วย เธอเคยไปปฏิบัติธรรมที่ศูนย์เวฬุวันแล้ว ๒ ครั้ง และเมื่อกลับไปบ้านก็นำเอากรรมฐานไปปฏิบัติต่อ เธอจะตื่นแต่เช้ามืดสวดมนต์ไหว้พระ เดินจงกรม และนั่งสมาธิเสมอ ขณะที่เดินไปยังที่นาก็กำหนดเดินจงกรมไป หรือเวลาปลูกข้าวก็กำหนด ปลูกข้าวหนอ...ปลูกข้าวหนอ...ไปด้วย เธอบอกว่าได้ผลดีมาก ทำให้มีสติอยู่ตลอดเวลา

ข้าพเจ้าประทับใจในตัวคุณอนงค์มาก และคิดว่าตัวข้าพเจ้าเองได้รับวิธีการปฏิบัติกรรมฐานอย่างถูกต้องมาจากวัดอัมพวันแล้ว แต่พอกลับไปบ้านก็ไม่ปฏิบัติให้ต่อเนื่องทำให้จิตตกอีก พี่อนงค์มีภาระต้องทำนา ทำขนมขาย ทำงานบ้าน ดูแลครอบครัว แต่ก็ยังมีความพากเพียรในการปฏิบัติกรรมฐานอย่างสม่ำเสมอ ข้าพเจ้านึกถึงประโยคที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อกล่าวว่า “เวลาเป็นสิ่งเดียวในโลกที่ทุกคนได้รับเสมอหน้ากัน ไม่มีใครได้เปรียบเทียบหรือเสียเปรียบกัน” ทำให้ข้าพเจ้าตั้งใจว่า ต่อไปนี้จะพยายามปฏิบัติกรรมฐานให้สม่ำเสมอเป็นประจำ

หลังจากที่ปฏิบัติกรรมฐานสม่ำเสมอ และพยายามกำหนดสติตามรู้ให้ทันปัจจุบัน แม้เวลานั่งรถเมล์ กินข้าว ทำงาน ทำให้มีสติและสมาธิในการทำงานดีขึ้น มีความสบายใจ เห็นถึงคุณค่ามหาศาลของการปฏิบัติกรรมฐาน

ข้าพเจ้าขอน้อมกราบขอบพระคุณหลวงพ่อ ที่เมตตาผู้เข้าปฏิบัติกรรมฐานใหม่เช่นข้าพเจ้า กราบขอบพระคุณท่านพระครูวินัยธรรวัฒน์ ฐานุตฺตโร พระอาจารย์ทุกท่านที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน และญาติธรรมทุกท่านรวมทั้งมารดาบิดาของข้าพเจ้า

ขอบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญเพียรมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โปรดส่งผลให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ และผู้มีพระคุณทุก ๆ ท่าน ประสบแต่ความสุขความเจริญเทอญ

ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 ส.ค. 2554, 08:50:12 โดย ทรงกลด »

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: กรรมฐานคือกิจวัตรประจำวัน
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 01 ส.ค. 2554, 06:57:54 »
กรรมฐานคือแก่นของชีวิต
นัฐฐา    ศิริเจริญไชย

   ปัจจุบันข้าพเจ้าอายุ ๓๒ ปี  มีอาชีพรับราชการสนใจพระพุทธศาสนาตั้งแต่เด็ก  รู้สึกมีความสุขและสนุกที่ได้อ่านหนังสือธรรมะ  เมื่ออยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ข้าพเจ้าโชคดีที่ได้อาจารย์ประจำชั้นสนใจปฏิบัติธรรม  ท่านได้สอนการทำสมาธิอย่างง่ายๆและสอนแผ่เมตตา  ตอนนั้นข้าพเจ้ายังไม่มีอาจารย์สอนกรรมฐานอย่างจริงจัง  ได้แต่ฝึกนั่งสมาธิจากการแนะนำของครู   และจากการอ่านแล้วมาหัดเอง  ต่อมาเมื่อเรียนต่อในระดับมัธยมปลาย  มีอาจารย์ที่สอนวิชาพุทธศาสนาให้หัดทำสมาธิ (สมถกรรมฐาน)ในชั่วโมงวิชาพระพุทธศาสนา จนเมื่อข้าพเจ้าข้าพเจ้าอายุ ๒๒ ปีมีโอกาสเข้ารับการอบรมอานาปานสติหลักปัฏฐาน ๔ซึ่งจัดโดยชมรมพุทธของจุฬางลงกรณมหาวิทยาลัย    ที่เสถียรธรรมสถาน    แม่ชีศันสนีย์   เสถียรสุต   เป็นผู้จัดกิจกรรม  มีการบรรยายธรรมโดย อุบาสิการัญจวน  อิทรกำแหง (ตอนนั้นทานยังไม่บวชชี) ท่านสามารถบรรยายธรรมที่ลุ่มลึกให้เป็นที่เข้าใจง่าย ซึ่งนับเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ข้าพเจ้าเห็นว่า  ความรู้ในพระพุทธศาสนาสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้นมีคุณค่ามหาศาล

   ข้าพเจ้าได้ยินชื่อหลวงพ่อจรัญครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๔   จากอาจารย์ที่สอนวิชาปรัชญา  ต่อมาแม่ของข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือที่ลงคำสอนของหลวงพ่อและรู้สึกศรัทธาท่านเพราะท่านกล่าวถึงเรื่องกฎแห่งกรรม และอยากไปกราบท่าน ภายหลังข้าพเจ้าก็ได้ปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวันรู้สึกซาบซึ้งในเมตตาบารมีของหลวงพ่อที่ท่านมีต่อทุกคน โดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย   ทุกคนเข้าพบท่านได้  ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอีกหลายครั้ง   เมื่อข้าพเจ้าจบปริญญาตรีและรับราชการอยู่ระยะหนึ่ง  จนต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๔๕  ข้าพเจ้าเข้าศึกษาต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยมหิดล  ทำให้ได้มีโอกาสไปปฏิบัติกรรมฐานที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์  ในระหว่างวันที่ ๒๒ – ๓๐ มกราคม ๒๕๔๗

   ข้าพเจ้าเห็นว่าการอ่าน ฟัง และสนทนาธรรมะมากๆ ช่วยเพิ่มปัญญาก็จริง  แต่ก็ต้องปฏิบัติกรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน๔  ด้วย  เพื่อให้เราได้รู้แจ้งเห็นจริง  ให้เกิดปัญญาผุดขึ้นในตัวเอง  ดังที่หลวงพ่อจรัญท่านได้กล่าวไว้  และจะสามารถใช้แก้ปัญหาชีวิตได้   ข้าพเจ้าเป็นคนโชคดีที่ได้เกิดในเมืองไทย  ได้นับถือพระพุทธศาสนา  มีแม่ที่สวดมนต์อวยพรให้ทุกวัน  สอนให้เป็นคนดี ปูพื้นฐานความเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม  มีพ่อที่สอนให้หยิ่งในศักดิ์ศรี  มีอาจารย์ทางธรรมหลายท่านที่เป็นบัณฑิตมีความรอบรู้และชี้แนวทาง  และที่สำคัญที่สุดคือมีอาจารย์ทางกรรมฐานเป็นพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ ผู้มีเมตตาจิตที่ยิ่งใหญ่ เป็นอาจารย์ทางจิตวิญญาณที่ชี้แนวทางปฏิบัติอย่างละเอียด     จึงกราบอาราธนาพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ    ได้เมตตาสอนวิปัสสนากรรมฐานให้ข้าพเจ้าและบุคคลผู้ใคร่ได้ประสบธรรมะของจริง  ให้ได้บรรลุกันถ้วนหน้าเทอญ

.........................
ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html

ออฟไลน์ โบตั๋นสีขาว

  • ไม้คดใช้ทำขอ เหล็กงอใช้ทำเคียว แต่คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย
  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 146
  • เพศ: หญิง
  • จะสูงจะต่ำอยู่ที่เราทำตัวจะดีจะชั่วอยู่ที่ตัวเราทำ
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: กรรมฐานคือกิจวัตรประจำวัน
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 03 ส.ค. 2554, 10:04:38 »
ขอบคุณมากคะ สำหรับบทความธรรมะดีๆ อ่านแล้วได้ความรู้มากคะ :090: :050: :090:
เคารพ กตัญญู บูชา หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ ทั้งครอบครัวคะ

ออฟไลน์ babybirth

  • เบื้องหลังมหาบุรุษ คือ อิสตรี
  • ปัญจมะ
  • *****
  • กระทู้: 75
  • เพศ: หญิง
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: กรรมฐานคือกิจวัตรประจำวัน
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 04 ส.ค. 2555, 10:43:34 »
ขอบคุณมากค่ะ หนูก็กำลังเริ่มปฎิบัติเหมือนกัน

ออฟไลน์ puttiphong

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 56
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: กรรมฐานคือกิจวัตรประจำวัน
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 06 ส.ค. 2555, 10:02:48 »
เรียน ท่าน จขกท
            เนื่องจากเป็นหัวข้อที่ดีและมีประโยชน์มากสำหรับคนทั่วไป ผมขออนุญาติร่วมแบ่งปันประสบการณ์การปฎิบัติธรรมด้วยนะครับ ปัจจุบัน อายุ 41 ปี ในอดีตมีประสบการณ์ที่ไม่ดีมากมาย ตามประสาเด็กช่างกลที่เกเร เช่นการมีเรื่องกับต่างสถาบัน การใช้ยาเสพติดทุกชนิด  พออายุมากขึ้นก็รู้สึกเสียดายเวลา เพราะก้าวไปไม่ทันเพื่อนๆ หรือคนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียว เหตุผลที่ปฎิบัติธรรมก็เนื่องจากชีวิตไม่รู้จักความสุขที่แท้จริง เรียนจบปริญญาอายุก็ 30 กว่าแล้ว อยากได้รถ อยากไปเมืองนอก สารพัดอยาก เมื่อได้สิ่งที่ต้องการ ทุกข์ใหม่ๆก็เกิดขึ้นมาอีก
 
            ได้เริ่มปฎิบัติธรรมตั้งแต่ปี 2538 โดยเริ่มที่หลวงพ่อจรัญ และต่อมาที่ยุวพุทธิกสมาคม แต่ที่ผ่านมาก็ไม่ได้ปฎิบัติจริงจัง ทำให้รู้สึกว่าธรรมะไม่เห็นจะทำให้เราดีขึ้นเลย แต่ก็ยังปฎิบัติบ้างเล็กน้อยตามแต่โอกาส จนกระทั่งเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาได้ไปของ อาจารย์โกเอ็นก้า ปฎิบัติอย่างจริงจังและหนักมาก กลับมารู้สึกว่าดีกับตนเอง จึงไปอีกในครั้งที่ 2 ในปีต่อมา ซึ่งทุกครั้งจะเป็น คอร์ส 10 วัน หลังจากนั้นรู้สึกว่าชีวิตดีขึ้นในทุกด้าน กิเลสที่มีอยู่ในตัวมากมาย คือ รัก โลภ โกรธ หลง ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ปัจจุบันผมปฎิบัติที่บ้านก่อนนอนเกือบทุกวันวันละ  1 ชั่วโมง คำว่าดีขึ้นของผมหมายถึง มีสติมากขึ้น สงบมากขึ้น เพราะเราจะไม่มองคนอื่น มองแต่ตัวเราเอง ไม่ว่าจะมีสิ่งใดมากระทบในแต่ละวัน เพราะทุกวันจะต้องมีสิ่งที่ทำให้เราเกิดความไม่พอใจ เราแค่ดูใจว่าขณะนั้นใจเราเป็นอย่างไร คิดอย่างไร

             อยากให้พี่น้องทุกท่านได้มีโอกาสปฎิบัติธรรม ชีวิตจะมีแต่สิ่งที่ดี เมื่อปฎิบัติมาก ศีลก็จะเคร่งครัดไปด้วย ชีวิตก็จะมีความสุขสงบ
เริ่มตั้งแต่วันนี้ วัดไหนก็ได้ อาจารย์ไหนก็ได้ ดีหมดครับ ถ้าเราปฎิบัติได้อย่างถูกต้อง