กรรมฐานคือกิจวัตรประจำวัน1/3
ธนรัตน์ เลปนานนท์
ข้าพเจ้าอายุ ๓๑ ปี กำลังศึกษาต่อระดับปริญาโท ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักวัดอัมพวัน และ พระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญมาก่อน แต่เป็นคนที่สวดมนต์ไหว้พระอยู่แล้ว แม้จะไม่สม่ำเสมอเท่าใด อยากจะฝึกนั่งสมาธิมานานแล้วแต่ไม่มีโอกาศ จนกระทั่งถึงจุดเปลี่ยนแปลงในชีวิต
ระหว่างอายุ ๒๕ ๒๗ ปี ข้าพเจ้าปฏิบัติงานในตำแหน่งนักกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา กรุงเทพฯ มีผู้ป่วยมาขอบคุณที่ได้ช่วยทำกายภาพบำบัดเขาจนดีขึ้น และไดมอบหนังสือเล่มหนึ่งให้ข้าพเจ้า ที่หน้าปกมีรู)พระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ ข้าพเจ้ารับหนังสือนั้นมาแล้วไม่ได้สนใจจะหยิบอ่าน
หลังจากนั้นไม่นาน ข้าพเจ้าได้รู้จักและคบหากับผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งภาพหลังทราบว่าเขาเป็นคนมีครอบครัวแล้ว ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจมาก จนมีผลต่ออารมณ์และจิตใจ รวมทั้งสมาธิในการปฏิบัติงานเป็นนักกายภาพบำบัดด้วย ไม่ทราบว่าจะจัดการกับจิตใจอย่างไรให้ดีขึ้น ก็ได้แต่อาศัยการสวดมนต์ไหว้พระเป็นที่พึ่งทางใจ มีผู้แนะนำให้สวดมนต์บทพาหุงฯด้วยจะได้พ้นจากเรื่องทุกข์ใจ พยายามสวดมนต์มาสักระยะหนึ่ง รู้สึกว่าจิตใจสงบขึ้น ปัญหาก็เริ่มคลี่คลายไป แต่จิตใจยังไม่ได้รับการแก้ไขเท่าใดนัก
ปลายปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้าพเจ้าสอบเข้าศึกษาต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยมหิดลได้ จึงหันมาใส่ใจกับการศึษา ทำให้จิตใจดีขึ้นบ้าง แต่ถ้าหากอยู่คนเดียวก็มักจะคิดย้อนไปถึงเรื่องอดีตที่ผ่านมาอีก ทำให้ยังคงเสียใจอยู่ และคิดว่าทำไมต้องมาพบกับเหตุการณ์เช่นนี้ด้วย ข้าพเจ้ากลายเป็นคนหงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน วู่วาม คิดจะทำอะไรอยากจะทำสิ่งใด ต้องให้ได้เดี๋ยวนั้น บางครั้งทำไปเลยโดยไม่คิดไตร่ตรองให้รอบคอบ ทำให้เกิดความเสียหายต่อตัวเองมาก เวลามีเรื่องราวอะไรมากระทบจะวิตกกังวลเศร้าโศกอยู่นานหลาย ๆ วัน
ต่อมาประมาณปี ๒๕๔๕ ๒๕๔๖ ข้าพเจ้าประสบปัญหาการคบกับเพื่อนชายอีกคนหนึ่ง ความที่จิตใจของตนเองยังไม่ได้รับการแก้ไข ยังเป็นคนหงุดหงิดง่าย เอาแต่ใจตัวเอง มีอะไรเกิดขึ้นนิดหน่อยก็โวยวายเป็นเรื่องใหญ่โต ทำให้มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกันบ่อยมาก คุณแม่เตือนก็ไม่ค่อยเชื่อฟัง จะเดื้อเงียบ ช่วงนั้นข้าพเจ้าไม่สบายใจมากร้อนรนกระวนกระวาย ไม่มีสมาธิในการเรียน ร้องไห้เสียใจบ่อย ๆ และนึกถึงคุณพ่อที่เสียชีวิตไปหลายปีแล้วเป็นอันมาก จึงต้องการที่จะบวชปฏิบัติธรรมอุทิศบุญกุศลให้ท่าน และเพื่อจิตใจของตัวเองสงบด้วย
เพื่อนพาข้าพเจ้าไปบวชเนกขัมมะปฏิบัติ ถือศิล ๘ นุ่งขาวห่มขาว ที่วัดแห่หนึ่งเป็นเวลา ๓ วัน ตอนนั้นข้าพเจ้ารู้สึกว่าตนเองเพียงแต่เปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดปกติมาใส่ชุดขาวเท่านั้น ไม่ได้ความสงบของจิตใจเท่าใด พอกลับบ้านไปอารมณ์และจิตใจก็ยังไม่ได้รับการเยียวยาแก้ไข จนกระทั่งประมาณเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๖ คุณศุภรัตน์ ปรศุพัฒนา เพื่อนรุ่นพี่ืที่ศึกษาต่อระดับปริญญาเอกอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหิดล คณะเดียวกันกับข้าพเจ้า ได้ชักชวนให้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันเป็นเวลา ๓ วัน (ศุกร์ เสาร์ - อาทิตย์) ข้าพเจ้าได้วิธีการปฏิบัติกรรมฐาน การเดินจงกรม และการนั่งสมาธิที่ถูกต้อง ทำให้ข้าพเจ้าสามารถกำราบจิตใจของตนเองที่สับสนวุ่นวายไม่สงบสุขและเศร้าหมองลงได้มาก
แม้ได้อยู่ปฏิบัติเพียงแค่ ๓ วัน แต่ข้าพเจ้าถือว่าได้พบสิ่งมีค่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ในขณะปฏิบัติกรรมฐานนั้น ต้องประสบกับทุกขเวทนาตลอดทั้ง ๓ วัน เช่น เวลาเดินจงกรมก็มีอาการปวดหัวไหล่ เวลานั่งสมาธิก็ปวดขามาก มิหนำซ้ำยังมีความฟุ้งซ่านด้วย แต่ข้าพเจ้ากับรู้สึกว่าทุกขเวทนาและความฟุ้งซ่านที่เกิดขึ้นนั้น เป็นอาจารย์ที่มาสอนข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจสภาวะจิตใจของตนเองมากขึ้นว่า จิตที่มีความทุกข์และความร้อนกระวนกระวายนั้นเพราะเราคิดเราปรุงแต่และยึดมั่นถือมั่น ต่อเมื่อเราหยุดคิดหยุดปรุงแต่ปล่อยวาง จิตนั่นจะสงบนิ่ง และไม่หวั่นไหวต่อสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบจิตใจ ทั้งนี้จะต้องมีสมาธิมาคอยควบคุมจิตของเราด้วย
ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html