แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - ลูกผู้ชายตัวจริง

หน้า: [1]
6
บทความ บทกวี / ตอบ: สงครามเก้าทัพ
« เมื่อ: 26 มี.ค. 2552, 06:04:02 »
จะรักชาติจนชีวิตเป็นผุยผง

7
งาม บาด ใจ เลย ครับ

สงสัย ต้อง หา เช่า ไว้ บูชา มั้ง ครับ


9
สวยๆๆ ทั้ง นั้น เลย ครับ

10
     :095: สวยงามเลยครับ    :053:

12
 :054: น้อมคาราวะครับ  :054:

13
อันนี้ใช่ หรือ ป่าว ครับ :017:

14
 :052:เนี้ย..แหละฝีมือ  อ.หนวด :052: งามตาเลยครับ

17
ผมก็ไม่ค่อยเก่งเท่ารัย  เอาเป็นว่า  เก็ ครับ

18
-ขอบเหรียญยกตัวสูงมีรอยตลอดรอบเหรียญ
-หูซ้ายยาวกว่าหูขวา
-มีจุดไข่ปลาแก้มขวา
-รอยยับของผ้าจีวรเป็นรูป "S"
-หัวแม่มือซ้ายกับนิ้วชิ้ต่อกันเป็นเส้นตรง
-ผ้าจีวรคลุมขาไม่ตลอด(เห็นหัวเข่า )
-สังฆาฏิบนไหล่ซ้ายโค้งมนคลุมถึงหัวไหล่
-ศอกขวาหักมุมแหลม
-ติดกับนิ้วหัวแม่เท้าขวามีติ่งเล็กๆ
-หางหนังสือ"ษ "ติดขอบ
 


ทั้งนี้ทั้งนั้น  ต้องดูสภาพของเหรียญว่ามีกลากเกลื้อนหรือป่าว

  รอยเกลื้อนจะปรากฏบนพื้นผิวของเหรียญ

  บางเหรียญมีจุดตำหนิครบทุกอย่าง

  แต่ไม่มีรอยกลากเกลื้อน
  
  ความแท้ของเหรียญก็จะน้อยลง

  เพราะมีการทำพระปลอมโดยการใช้คอมพิวเตอร์


  ทำให้การดูพระยากมากขึ้น


  แต่ถึงยังไงความแท้ก้อย่อมเป็นความแท้อยู่ดี

  สิ่งที่บล็อกคอมผิวเตอร์ทำไม้ได้คือ

  ความเป็นธรรมชาติของเหรียญ

 โดยเฉพาะรอยกลากเกลื้อนของเหรียญ
 

  ประสบการณ์ของผู้ดู

    จะทำให้การดูพระง่ายมากขึ้น


  อย่าลืมข้อสำคัญ

   ต่อให้พระดีเท่าไร แต่คนใส่ประพฤติขาดศีลธรรม ขาดสัมมาอาชีวะ

    ก้อเหมือนเราใส่หินก้อนหนึ่งเท่านั้น

  
ปล.

 หากใช้ถ้อยคำไม่สุภาพหรือข้อมูลผิดพลาดประการใด

  ขออภัยนะที่นี้ด้วย
                                       

       ด้วยความเคราพอย่างสูงสุด

            ลูกผู้ชายตังจริง

19



คนที่ไม่เคยทำผิดคือคนที่ไม่เคยทำอะรัยเลยย


เป็นกำลังใจนะคร้าบ

21
บทความ บทกวี / ตอบ: กลอนวันแม่
« เมื่อ: 08 ส.ค. 2551, 10:16:10 »
รักแม่ คับ

26
เลือดซิบเลยคับท่าน

คม จิงจิงๆ

29
แจ่มเลยคับ  สุดยอดๆๆ

30
http://arai-gam-yaum-tar.hi5.com/


ผม กอล์ฟคับ ยินดีที่ได้รุ้จักทุกท่าน

31
ยังศรัทธามิเสื่อมคลาย

34
อนุโมทนาด้วยครับ

36
พรใดอันประเสริฐจงบังเกิดแก่ศิษย์สาธุชนหลวงพ่อเปิ่น

38
ข้อความ "มิยอมให้ธงชาติใด ปลิวไสวบนทัพฐาน แม้ร่างจะแหลกราญ แต่ไตรรงค์คงยั่งยืน" กับ กูจะกลับมากู้แผ่นดินให้พ้นภัยศัตรู
มีที่มาไหมคะ อยากทราบค่า เพราะชอบมักมัก เท่ดี รบกวนหน่อยนะคะ konthai2008@yahoo.co.th

ขอตอบในนี้แล้วกัน พอดีเมล์มันส่งไม่ได้อ่ะ

"มิยอมให้ธงชาติใด ปลิวไสวบนทัพฐาน แม้ร่างจะแหลกราญ แต่ไตรรงค์คงยั่งยืน"
อันนีเอามาจากกองทัพบกอ่ะ

ส่วน กูจะกลับมากูแผ่นดินให้พ้นภัยศัตรู เป็น พระราชปณิทานของ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
? เมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุทธยา ครั้ง ที่2 ครับ ตอนที่ ตีฝ่าวงล้อมจากพม่าแล้ว ทรงพูดว่า"กูจะกลับมากูแผ่นดินให้พ้นภัยศัตรู"

ก็มีด้วยประการฉะนี้
นักรบ คือนักรบ นักสู้แห่งกรุงศรี ตีทัพกองอู ตายหรืออยู่ไม่สำคัญ

39
ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ การทำงานที่นี่ว่า ที่ของข้าพเจ้าในโลกนี้ คือการได้อยู่ท่ามกลางประชาชนของข้าพเจ้านั้นคือ  "คนไทยทั้งปวง"
สำหรับคนไทยพระราชาที่ยิ่งใหญ่ ไม่ได้มีแต่แค่ในนิทาน


ทรงพระเจริญ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

40
แจ่มเลยครับ

บ้านผมอยู่ หนองแขมเหมือนกัน

41
ไม่ได้ครับ มีรูป หลวงพ่อเปิ่นอยู่ถือว่าเป็นของสูง ไม่ควรจะเอามาคาดที่เอว ครับ

ด้วยความจริงใจ

42
แจ่มเลยครับ

43
แจ่มเลย ครับ

44
หือ !!เจ้าพ่อตระกรุด อิอิ

45
ความกลัวเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเอง

แต่ สิ่งที่น่ากลัวกว่าผีอีก ตามหลัก พระพุทธศาสนา คือ อวิชาคือ ความไม่รู้ (จริง) 

46
น่า จะ ทันหลวงพ่อ ปลุกเศก ครับ ( เหรียญเขียนว่า ปี35 ครับ ) ทัน อยู่ แล้ว ฟัน ธง

47
ขึ้นชื่อว่า"ความสุข"แล้วเราทุกคนล้วนใฝ่หา เราทำทุกอย่างในชีวิต ไม่ว่าการงาน การเงิน ครอบครัว แสวงหาสิ่งปรนเปรอด้วย รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ในรูปแบบต่างๆ บ้าน รถยนต์หรูหรา ทรัพย์สิน เงินทอง บริวาร ลาภ ยศ สรรเสริญนานา ก็เพื่อสนองความต้องการความสุขในชีวิตกันทุกคน แต่ความสุขแบบโลกๆที่เราคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เล็กจนโตมักมาในรูปแบบที่ว่า ฉันได้ในสิ่งที่ฉันต้องการ ฉันเอาในสิ่งที่ฉันใฝ่หา ฉันเป็นเจ้าของในสิ่งที่ฉันและคนอื่นยื้อแย่งกัน เมื่อสมอยากแล้วก็รู้สึกว่า "สุข" เป็นสุขที่รอคอยการมาของความทุกข์ เป็นสุขที่ปลายอีกด้านนึงคือทุกข์เป็นไม้ท่อนเดียวกัน เหมือนรุ่งอรุณรอคอยการมาของราตรีอันมืดมน เป็นสุขที่เหมือนการปีนเขาสูงชัน ยิ่งสูงมากก็ยิ่งหนาว หากตกลงมาระยะทางยิ่งสูงมากฉันใด ก็ยิ่งตกลงมาเจ็บมากเป็นทวีคูณฉันนั้น เพราะเป็นสุขที่อยู่บนพื้นฐานของความ "อยากได้ อยากมี อยากเป็น" เมื่อสมอยากแล้วก็จะเกิดความเคยชินต่อมาเมื่อมันน้อยลงหรือหายไป ซึนามิแห่งความทุกข์ก็เริ่มถาโถมเข้ามาในชีวิต แม้จะอ้างเหตุผลในการอยากได้มาด้วยความดีบางอย่างเช่น ความรับผิดชอบหรือกตัญญู เช่น เพื่อครอบครัว พ่อ แม่ ลูก สามี ภรรยา แต่ก็เป็นความทุกข์สีขาวอยู่ดี เหตุเพราะวางใจไว้ไม่ถูกต้องก็อยู่บนพื้นฐานของ ตัวฉัน ครอบครัวฉัน สุดท้ายก็เพื่อฉัน
และรอวันพลัดพรากอยู่ดี ทำอย่างไรชีวิตถึงจะมีความสุขโดยแท้จริงได้?


พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสถึง"ความสุขอันแท้จริง"เอาไว้ว่า"สุขใดยิ่งกว่าความสงบเป็นไม่มี" อันหมายถึง "สงบสุข"หรือ "อยู่เย็นเป็นสุข" มีสันติในใจ สะอาด สว่าง สงบ มีศีล แปลว่า ศิลา คือ หนักแน่น มั่นค ง ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งเร้าภายนอกที่มากระทบ ไม่หวั่นไหวต่อความบีบคั้น กระหายในความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ความเหงาเศร้าซึม ความคิดฟุ้งซ่านในใจ จิตใจเป็นกลางไม่ "เลือกที่รัก ปัดที่ชัง" ซึ่งการจะได้มาซึ่งสุขแบบนี้เกิดขึ้นจากการ "ไม่ปล่อยปะละเลย" หมั่นย้อนทำความรู้สึกกลับมาที่กาย ด้วยอุบายต่างๆตามจริตนิสัยที่ชอบ( ดูลมหายใจ, ความรู้สึกเคลื่อนไหวของกาย, การบริกรรม ,สวดมนต์ ,การอุทิศบุญต่างๆ) หมั่นย้อนกลับมาดูใจ,สังเกตุ,สำรวจ,เรียนรู้ อารมณ์ ความคิด ความรู้สึก ของตนเองให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะนึกได้ โดยพยายามทำไปพร้อมๆกับการงานทางโลก หรือ ปลีกวิเวกหาสถานที่ เวลาสักช่วงใหญ่ๆอยู่ทำคนเดียวให้มากหน่อยในระยะแรกๆ เมื่อทำดังนี้ได้บ่อยๆมากๆจนเป็นนิสัย ในที่สุดจิตกับความคิดก็จะค่อยๆแยกออกจากกันให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นคนละสิ่งกัน เมื่อนั้นจึงเรียกได้ว่าเป็น "สัมมาทิฏฐิ" อันเป็นสิ่งแรกในอริยมรรคมีองค์ 8 อันแท้จริง คือ เห็นถูกต้องในธรรมชาติของใจเราอย่างแท้จริง เมื่อนั้นเราจะกลายเป็น "ผู้รู้" อันมักเอาแต่ "เห็นความคิด"ปรุงแต่งทะยานอยากของตนเอง ไม่ไปเพ่งโทษหรืออคติต่อผู้อื่น จนค่อยๆละวางความปรุงแต่งในใจตนไปได้เรื่อยๆจนเกิดความ"สงบสุข"ในใจอย่างแท้จริง มากกว่าจะเป็น "ผู้อวดรู้" ที่มีแต่"ความคิดเห็น" ของตัวกูของกูเป็นใหญ่ กูเก่งของกูถูกต้องที่สุด มี"ความสุข"แบบที่ได้เอาชนะผู้อื่น ได้ของที่ตนเองอยากได้ แต่รอวันแพ้พ่าย เพราะได้น้อยลงหรือเสียของที่เคยเป็นของกู คนที่เคยเป็นของกูไป และ พ่ายแพ้แก่ใจตนเองในที่สุดกับ "ความสุขจอมปลอม"ที่ได้มาชั่วครั้งชั่วคราวแต่กลับไม่เคยพบ "ความสงบสุขอันแท้จริง" ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเอาไว้เลย ฉนั้น ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะย้อนถามตนเองว่า


"ความสุขแบบไหนกันแน่ที่เราต้องการจริงๆ

48
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? เราสู้

? ?
? ? ?บรรพบรุษของไทยแต่โบราณ? ปกป้องบ้านเมืองคุ้มเหย้า
เสียเลือดเนื้อมิใช่เบา? ? ? ? ? ? ? ? ? หน้าที่เรารักษาสืบไป
? ? ?ลูกหลานเหลนโหลนภายหน้า? จะได้มีพสุธาอาศัย
อนาคตจะตองมีประเทศไทย? ? ? ? ?มิยอมให้ผู้ใดมาทำลาย
? ? ถึงขู่ฆ่าล้างโครตก็ไม่หวั่น? ? ? ? ? จะสู้กันไม่หลบหนีหาย
สู้ตรงนี้ สุ้ที่นี่สู้จนตาย? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ถึงคนสุดท้ายก็ลองดู?
? ? ?บ้านเมืองของเราต้องรักษา? ? ? ?อยากทำลายเชิญมาเราสู้
เกียรติศักดิ์ของเราเราเชิดชู? ? ?เราจะสู้ไม่ถอยสักก้าวเดียว
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?

50
ขอร่วมไว้อาลัย  ให้แก่หลวงพ่อ

51
เสียงหัวใจ มันบอกฉันว่าเธอคนนั้นคือคนที่ฉันตามหา

52
มิน่าหละ ฤๅษี ถึงไม่ยอมตัดผม กลัวของเสื่อมนี่เอง ว้า! :-\


ก็คงใช่ มิน่า ทำไมฤาษีเก่งเหลือเกิน เพราะไม่ยอมตัดผมนี่เอง

53
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: ศิลป
« เมื่อ: 07 ต.ค. 2550, 10:56:23 »
อย่างนั้นก็ ทำงานศิลป์ ทั้งปฏิมากรรม (งานปั้น) จิตรกรรม(งานวาด) แสดงความเสื่อม ของพระสงฆ์ที่ทำอัปรีย์ ออกมาเยอะแล้วกัน
แล้วก็เผยแพร่เยอะๆ เพื่อศาสนาพุทธจะได้เสื่อมลงในประเทศไทย แล้วให้ศาสนาอื่น ที่เขาไม่ได้แสดงความอัปรีย์เป็นศิลป์เข้ามาแทน ทั้งๆที่ของ
เขาก็มีความอัปรีย์เช่นเดียวกัน


เห็นด้วยอย่างยิ่งกับ คุณ โยคี

พระพุทธศาสนาเป็น ของสูงที่พุทธศาสนิกชนใด้ นับถือเป็นเวลานาน
ทั้งที่พระมหากษัตริย์ ทุกพระองค์ ได้อุปถมค้ำชูพระพุทธศาสนา ไว้ให้ลูกหลานสืบ ต่อมา

เหตุใดจึงต้องเอาส่วนที่ไม่ดี ที่มีน้อยนั้น เอามาประปน กะส่วนที่ดี ที่มีอยู่มาก

พระสงฆ์ มีหน้าที่รักษาพระพุทธศาสนา ให้คงอยู่ อะไรเมือเห็นว่ามีผลกระทบ ต่อพระพุทธสาสนา ก็ออกมาปกป้อง มิใช่ หรือ ครับ ก็เพราะมันเป็นกิจ ของสงฆ์




   

54
ไม่ เป็นไร ครับ

55
ชนชาติไทยจะยิ่งใหญ่ เมื่อคนไทยรู้รักสามัคคี

57
คนดีที่แท้จริง เสียสละแม้กระทั้งการที่จะให้ผู้อื่นรู้ว่า ตนได้ทำดี? สาธุๆ

58
โชคชะตา บอกถึงคนที่เข้ามาในชีวิตเรา
แต่หัวใจ บอกถึงคนที่จะอยู่กับเราตลอดไป

61
ด้วยความเคารพครับ
? ? พวกโฆษณา
มีทุกเวป
? ?ชอบหาแต่ประโยชน์
 อ่านกฏกติกาเค้าบ้างซิครับ
? ?หรือว่าอ่านแต่ไม่รับรู้
ขอแสดงความนับถือ
? ?Gearmour

ถูกต้องนะ ครับ 
ผมขอสนับสนุน
ด้วยความจริงใจ
  ลูกผู้ชายตัวจริง

62
 เจ้าพ่อลิง เลย นะเนี้ย

 :o :o :o :o

63
ผมเคยเห็นร้านหนังสือหน้า มหาลัยธรรมศาสตร์  มีทุกแบบเลย

64
ก็ตามร้านหนังสือ ชั้นนำ มีเยอะเยะ เลย

65
ขอยคุณสำหรับทุกความคิดเห็นครับ


ด้วยความจริงใจ

66
เยี่ยมไปเลย ครับ สุดยอด

68
พูดมาก  เสียมาก
พูดน้อน  เสียน้อย
ไม่พูด  ไม่เสีย
นิ่งเสีย  โพธิสัตย์

คติ ธรรม  จากหลวงปู่ทวด

69

หลวงพ่อสุด วัดกาหลง จ.สมุทรสาคร ยอดพระเกจิอาจารย์แห่ง จ.สมุทรสาคร ในสมัยก่อนจอมโจรที่มีชื่อเสียงอย่างเช่น ตี๋ใหญ่ ยังถวายตัวเป็นเป็นศิษย์และได้ใช้บูชาตะกรุดของหลวงพ่อสุดติดตัวอยู่ตลอดเวลา ในวันที่ตี๋ใหญ่ถูกยิงเสียชีวิตนั้นว่ากันว่า วันนั้นตี๋ใหญ่ได้ทำตะกรุดหาย และได้เดินทางไปขอตะกรุดใหม่ที่วัดกาหลง แต่หลวงพ่อไม่อยู่ ขณะที่เดินทางออกมาจากวัดก็ถูกตำรวจยิงเสียชีวิต วัตถุมงคลที่หลวงพ่อสุดอธิษฐานจิตปลุกเสกจะมีพุทธคุณสูงทางด้านมหาอุตม์ คงกระพันชาตรี เป็นสุดยอดของดีที่มีคนเสาะแสวงหาไว้บูชาเพื่อหวังพึ่งพุทธคุณ



ผมมีอยู่เหรียญหนึงเหมือนกัน

70
เหอะๆๆ ขนาดนี้คงไม่ต้องย้ายงานแล้วล่ะท่าน เป็นหน่วยกู้ภัย ไปตลอดชีวิต

 :053:เห็นด้วยอย่างยิ่ง  อิ  อิ :002: :002: :004: :004: :053:

 :095: :095: :095: :007: :007:

71
แบบนี้ครับ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

73
กว่า ๖๐ ปีแห่งการครองราชย์ จากวันนั้นถึงวันนี้ ภาระหน้าที่อันหนักหน่วงใหญ่หลวงที่สองพระอังสาของ ?พ่อเมือง? แบกรับไว้ ได้ปรากฏแก่ตาและประจักษ์แก่ใจชาวไทยทุกผู้แล้วว่า ทุกเวลานาทีของ ? พระองค์นี้มี ?เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม?



 
ท่ามกลางความเย็นเยือกแห่งสายลมหนาว
            ท่ามกลางความร้อนผ่าวแห่งเปลวแดดแผดกล้า
            ท่ามกลางฝนฟ้าพายุที่โหมกระหน่ำ
            ทรงตรากตรำกรำพระวรกายตั้งแต่เช้าจรดค่ำ
            จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ปีแล้วปีเล่า
            ไม่มีชีวิตใดที่ทรงทอดทิ้งละเลย
            ไม่มีที่ใดเลยที่ไม่เคยยื่นพระหัตถ์ไปลบทุกข์เลือนโศก



74
ธรรมะ / ตอบ: มีไปทำไม? (ว. วชิรเมธี)
« เมื่อ: 18 ก.ย. 2550, 03:47:01 »
 พ่อสอนไว้ให้  "พอเพียง"

80
URL=http://imageshack.us][/URL]

88



พระชัยวัฒน์  หลวงพ่อเปิ่น

89



จารอักขระโดย อ.ญา

97
ขอบคุณสำหรับ  ทุกความคิดเห็น

98
สวัสดี เป็นคำที่แสดงถึงความอ่อนน้อมถ่อมตน

ซึ่งเป็นนิสัยของชาวสยามแต่โบราณ

99
สวัสดี   ด้วยคน ครับ

100
ความรู้ใหม่เลยครับ

101
เป็นประโยชน์มากครับ

102
เก่งทุกท่านครับ

103
 :054:ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ :054:   

104
ยินดีต้อนรับ ครับผม

ด้วยความจริงใจ

106
ในยุคโลกาภิวัตน์ ที่ความเจริญทางด้านวัตถุ ก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง เป็นที่น่าฉงนว่า ทำไมคนในโลกกลับมีความสุขน้อยลง และดูเหมือนว่าปัญหาในการดำรงชีวิต กลับมีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะปัญหาทางด้านศีลธรรม จริยธรรมอันเป็นความเจริญทางด้านจิตใจ ดูจะเป็นสมการผกผัน กับความเจริญทางด้านวัตถุอย่างน่าเป็นห่วง ทุกวันนี้ หากเราฟังข่าวคราวไม่ว่าในประเทศไทย หรือประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ล้วนแล้วแต่มีเหตุการณ์ร้ายๆ เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ และภัยอันเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ด้วยกันเอง หลายๆ สิ่งเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ก็สามารถนำมาใช้คาดการณ์ล่วงหน้าและรับมือได้ทัน แต่ก็มีไม่น้อย ที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยียังไปไม่ถึง แต่หากจะบอกว่าสภาพการณ์หลายๆ อย่างที่อุบัติขึ้นในสมัยปัจจุบัน เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้า ได้ทำนายล่วงหน้ามาแล้วกว่า 2500 ปี หลายๆ คนอาจจะยังไม่เชื่อ หรือไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ดังนั้น กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอนำเรื่อง ?พุทธทำนาย? อันปรากฏอยู่ในอรรถกถาพระไตรปิฎก มหาสุบินนิมิตชาดก เอกนิบาตชาดก ขุททกนิกาย ซึ่งเป็นเรื่องเล่าถึงสมัยที่พระพุทธเจ้า ได้ทรงทำนายพระสุบิน(ความฝัน) ให้พระเจ้าปเสนทิโกศล จำนวน 16 ข้อ ว่ามีความหมายอย่างไร ดังนี้

วันหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศล ผู้ครองกรุงสาวัตถี ได้เสด็จเข้าสู่นิทรารมย์ในราตรีกาล ครั้นล่วงปัจฉิมยามใกล้รุ่ง ได้ทอดพระเนตรเห็น พระสุบินนิมิตอันใหญ่หลวง ถึง 16 ประการ อันเป็นพระสุบินที่แปลกประหลาด จึงทรงตกพระทัยตื่นบรรทม และครั้นรุ่งเช้า ก็ได้ให้พวกพราหมณ์ปุโรหิตประจำราชสำนักทำนาย พวกพราหมณ์ปุโรหิต ก็พากันทำนายว่าเป็นพระสุบินที่ร้าย และว่าพระองค์จะต้องประสบภัยอันตราย 3 ประการ ไม่เสียราชทรัพย์ ก็จะมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน หรือไม่ก็ต้องสวรรคต อย่างใดอย่างหนึ่ง และแนะให้พระองค์ทำพิธีบูชายัญสัตว์ เพื่อสะเดาะห์เคราะห์ เมื่อพระนางมัลลิกา พระมเหสีทราบเรื่องเข้า จึงทูลให้ไปขอคำแนะนำจากพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธองค์ก็ได้ทรงทำนายว่า เหตุร้ายนั้นจะมีแน่นอน เพียงแต่มิใช่เกิดแก่พระเจ้าปเสนทิโกศล หรือแว่นแคว้นของพระองค์ แต่เหตุร้ายเหล่านี้จะเกิดแก่สัตว์โลกทั่วๆ ไป และแก่พระศาสนาของพระพุทธองค์ในภายภาคหน้า เมื่อล่วงเลยพุทธกาลไปแล้ว 2500 ปี เมื่อศาสนาเสื่อมลง (กล่าวกันว่า อายุของพุทธศาสนาในกัลป์นี้ ยืนยาวเพียง 5,000 ปี หลังจากนั้น ต้องรอยุคของพระศรีอาริยเมตตไตรย์ พระพุทธเจ้าองค์ต่อไปเสด็จมาโปรดสัตว์)

ความฝันของพระเจ้าปเสนทิโกศล และคำทำนายของพระพุทธเจ้าทั้ง 16 ประการ ประกอบด้วย 1. ทรงฝันว่า มีโคตัวผู้สีเหมือนดอกอัญชัญ 4 ตัว ต่างคิดจะชนกัน ก็พากันวิ่งมาสู่ท้องพระลานหลวงจาก 4 ทิศ ฝูงชนต่างรอดู โคทั้งสี่ก็ส่งเสียงคำรามลั่น แต่แล้วต่างก็ถอยออกไป ไม่ชนกัน - พระพุทธเจ้าได้ทรงทำนายว่า ในอนาคตในชั่วศาสนาของพระองค์ เมื่อโลกหมุนไปถึงจุดที่เสื่อมลง มนุษย์ไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรม ฝนฟ้าจักแล้ง ทุพภิกขภัยจักเกิดขึ้น คล้ายเมฆตั้งเค้าจะมีฝน มีเสียงคำรามกระหึ่ม แต่แล้วก็ไม่ตก กลับเลยหายไป เหมือนโคตั้งท่าจะชนกัน แต่ไม่ชนกันฉะนั้น
2. ทรงฝันว่า ต้นไม้เล็กๆ และกอไผ่ที่โตเพียงคืบบ้าง ศอกบ้าง ก็ออกดอกออกผลแล้ว - พระพุทธองค์ทรงทำนายว่า ต่อไปเมื่อโลกเสื่อม มนุษย์แม้จะมีอายุเยาว์ มีวัยยังไม่สมบูรณ์ก็จะมีราคะกล้า และสมสู่กันตั้งแต่อายุยังน้อย และจะมีลูกแต่เด็กๆ เหมือนต้นไม้เล็กๆ แต่ก็มีผลแล้ว
3. ทรงฝันว่า ทรงเห็นแม่โคใหญ่ๆ พากันดื่มนมของฝูงลูกโคที่เพิ่งเกิด - ทรงทำนายว่า ต่อไปในอนาคตการเคารพนบนอบผู้ใหญ่ เช่น พ่อแม่ ครูบาอาจารย์จะเสื่อมถอย คนเฒ่าคนแก่พ่อแม่เมื่อหมดที่พึ่ง หาเลี้ยงตนไม่ได้ ก็ต้องง้อ ต้องประจบเด็กๆ ดังที่แม่โคที่ต้องกินนมลูกโคฉะนั้น
4. ทรงฝันว่าผู้คนไม่ใช้วัวตัวใหญ่ ที่สมบูรณ์แข็งแรงเทียมแอกลากเกวียน กลับไปใช้โครุ่นๆ ที่ยังปราศจากกำลังมาลาก เมื่อมันลากเกวียนให้แล่นไม่ได้ มันก็สลัดแอกนั้นเสีย - ทรงทำนายว่า ในภายหน้าเมื่อผู้มีอำนาจไม่ตั้งอยู่ในธรรม แทนที่จะยกย่องและมอบหมายหน้าที่ ให้กับผู้มีสติปัญญา ความรู้ กลับไปมอบยศศักดิ์ให้กับคนหนุ่มที่อ่อนหัด ด้อยประสบการณ์ ทำให้ปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดี กิจการต่างๆ ก็ไม่สำเร็จ ก็เหมือนใช้โครุ่นมาเทียมแอก เกวียนก็แล่นไม่ได้ฉันใด ก็ฉันนั้น
5. ทรงฝันว่าเห็นม้าตัวหนึ่ง มีปากสองข้าง ฝูงชนก็เอาหญ้าไปป้อนที่ปากทั้งสองข้าง มันก็กินทั้งสองข้าง - ทรงทำนายว่า ในอนาคตเมื่อผู้บริหาร หรือผู้มีอำนาจไม่ดำรงอยู่ในธรรม ตั้งคนพาล หรือคนไม่มีศีลธรรมไว้ในตำแหน่งอันมีผลต่อผู้อื่น คนเหล่านั้นก็จะไม่นึกถึงบาปบุญ คุณโทษ แต่จะตัดสินคดีต่างๆ ตามแต่ใจชอบ โดยเอาสินบนจากทั้งสองฝ่ายเป็นประมาณ ดังม้าที่กินหญ้าทั้งสองปาก
6. ทรงฝันว่าฝูงชนเอาถาดทองราคาแพง ไปให้หมาจิ้งจอกแก่ตัวหนึ่ง พร้อมเชื้อเชิญให้หมาจิ้งจอกตัวนั้น ถ่ายปัสสาวะใส่ถาดทองนั้น - ทรงทำนายว่า ต่อไปคนดีมีสกุลทั้งหลายจะสิ้นอำนาจวาสนา คนตระกูลต่ำ หรือคนพาลจะได้เป็นใหญ่เป็นโต และคนมีตระกูล ก็จะต้องยกลูกสาว ให้แก่ผู้ไร้ตระกูลเหล่านั้น เหมือนเอาถาดทองไปให้หมาปัสสาวะรด
7.ทรงฝันว่า มีชายคนหนึ่งนั่งฟั่นเชือก แล้วหย่อนไปในที่ใกล้เท้า แม่หมาจิ้งจอกโซตัวหนึ่ง นอนอยู่ใต้ตั่งที่บุรุษนั้นนั่งอยู่ แล้วก็กัดกินเชือกนั้น โดยที่เขาไม่รู้ตัว - ทรงทำนายว่า ในกาลข้างหน้า ผู้หญิงจะเหลาะแหละ โลเล ลุ่มหลงในสุรา เอาแต่แต่งตัว เที่ยวเตร่ ประพฤติทุศีล แล้วก็จะเอาทรัพย์ที่สามีหาได้ด้วยความลำบากไปใช้ หรือให้ชายชู้ เหมือนนางหมาโซที่นอนใต้ตั่ง คอยกัดกินเชือกที่เขาฟั่น และหย่อนลงไว้ใกล้เท้า
8. ทรงฝันว่ามีตุ่มน้ำเต็มเปี่ยมตุ่มหนึ่งวางอยู่ตรงประตูวัง แวดล้อมด้วยตุ่มว่างๆ เป็นอันมาก แต่คนก็ยังไปตักน้ำใส่ตุ่มที่เต็มอยู่ จนล้นแล้วล้นอีก โดยไม่เหลียวแลจะตักใส่ตุ่มที่ว่างๆ นั้นเลย - ทรงทำนายว่า ในอนาคต เมื่อศาสนาเสื่อม คนเป็นใหญ่หรือมีอำนาจ จะเบียดเบียนหรือเอาเปรียบผู้ด้อยกว่า คนที่รวยอยู่แล้ว ก็จะมีคนจนหารายได้ ไปส่งเสริมให้รวยยิ่งขึ้น ดังฝูงชนที่ต้องตักน้ำใส่ตุ่มใหญ่ที่เต็มอยู่แล้วจนล้น ส่วนตุ่มที่ว่างอยู่กลับไม่ไปใส่น้ำ
9. ทรงฝันเห็นสระแห่งหนึ่ง มีบัวนานาชนิดขึ้นอยู่เต็ม และมีท่าขึ้นลงโดยรอบ สัตว์ต่างๆ ก็พากันดื่มน้ำในสระ แต่แทนที่น้ำบริเวณที่สัตว์เหยียบย่ำจะขุ่น กลับใสสะอาด ส่วนน้ำที่อยู่ลึกกลางสระที่สัตว์ไม่ไปดื่มหรือ เหยียบย่ำแทนที่จะใส กลับขุ่นข้น - ทรงทำนายว่า ต่อไป เมื่อคนมีอำนาจไม่ตั้งอยู่ในธรรม ขาดเมตตา คอยใช้อำนาจ รีดนาทาเร้นหรือกินสินบน ชาวบ้านชาวเมือง ก็จะหนีไปอยู่ตามชายแดนหรือที่อื่นๆ ทำให้ที่นั้นๆ ที่คนพากันไปอยู่มีความมั่นคงเป็นปึกแผ่น เหมือนน้ำรอบๆ สระที่ใส ส่วนเมืองหลวงกลับว่างเปล่า เหมือนกลางสระที่ขุ่น
10. ทรงฝันว่า เห็นข้าวที่คนหุงในหม้อใบเดียวกัน สุกไม่เท่ากัน โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ ข้าวแฉะ ข้าวดิบ และข้าวสุกดี - ทรงทำนายว่า ในอนาคต เมื่อคนทั้งหลายไม่อยู่ในศีลในธรรมกันมากขึ้น ก็จะทำให้ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล หรือตกไม่ทั่วถึง ทำให้การเพาะปลูกบางแห่งได้ผล บางแห่งก็ไม่ได้ผล เช่นเดียวกับข้าวที่มีสุกบ้าง ดิบบ้าง และแฉะบ้าง
11. ทรงฝันว่าคนนำแก่นจันทน์ที่มีราคาแพง ไปแลกกับเปรียงเน่า (อ่านว่า เปฺรียง มี 3 ความหมาย คือ 1. นมส้มผสมน้ำแล้วเจียวให้แตกมัน 2.น้ำมันจากไขข้อวัว และ 3.เถาวัลย์เปรียง แต่ในที่นี้น่าจะหมายถึงเถาวัลย์เปรียง เทียบกับแก่นจันทน์ที่เป็นไม้เหมือนกันมากกว่า 2 ความหมายแรก) - ทรงทำนายว่า กาลภายหน้า พระภิกษุอลัชชีเห็นแก่ได้ทั้งหลาย แทนที่จะนำธรรมะ ที่พระพุทธองค์สอน ไปสอนสั่งให้คนหลุดพ้นจากความทุกข์ และละความโลภ กลับใช้เป็นเครื่องมือเพื่อหากิน หาปัจจัยบริจาคเข้าตัวเอง เหมือนเอาแก่นจันทน์ (ธรรมะคำสอนที่ดี) ไปแลกเอาเถาวัลย์เน่า (ลาภอามิสที่ได้รับมา ซึ่งไม่จีรังและไม่ช่วยให้พ้นทุกข์จริงๆ ได้)
12. ทรงฝันเห็นกระโหลกน้ำเต้าจมน้ำได้ - ทรงทำนายว่า ต่อไปคำพูดของคน ที่ไม่ควรจะได้รับความเชื่อถือ กลับจะได้รับความเชื่อถือ โดยเปรียบถ้อยคำของคนที่ไม่น่าเชื่อว่ามีน้ำหนักเบาเหมือนกับผลน้ำเต้า ซึ่งปกติจะลอยน้ำ แต่เมื่อคนเชื่อว่าคำพูดเหล่านั้นมีน้ำหนัก หรือหนักแน่น จึงเปรียบคำพูดนั้นว่ามีน้ำหนัก ราวกับน้ำเต้าที่จมน้ำได้
13. ทรงฝันว่าศิลาแท่งทึบขนาดเรือน ลอยน้ำได้เหมือนเรือ - ทรงทำนายว่า ถ้อยคำของคนที่ควรได้รับการเชื่อถือ ซึ่งหนักแน่น มีน้ำหนักเปรียบประดุจแท่งศิลา กลับไม่ได้รับความเชื่อถือ หรือกลายเป็นถ้อยคำที่ไม่มีน้ำหนักเหมือน เรือที่ลอยได้ ข้อนี้ตรงกันข้ามกับข้อที่แล้ว คือ คนหันไปเชื่อคำพูดคนที่ไม่ควรเชื่อ เหมือนสิ่งที่ควรลอยกลับจม สิ่งที่ควรจมกลับลอย
14. ทรงฝันว่า ทรงเห็นฝูงเขียดตัวเล็กๆ วิ่งไล่กวดงูเห่าตัวใหญ่ และกัดเนื้องูเห่าขาดเหมือนกัดก้านบัว แล้วกลืนกินเข้าไป - ทรงทำนายว่า เมื่อมนุษย์ปล่อยตัวปล่อยใจตามกิเลส ราคะ สามีจะตกอยู่ในอำนาจของเมียเด็ก และจะถูกดุด่าว่ากล่าวเช่นเดียวกับคนรับใช้ เหมือนเขียดตัวเล็กๆ แต่กลับกินงูได้
15. ทรงฝันว่า ฝูงพญาหงส์ทอง ที่มีขนเป็นทอง ถูกแวดล้อมด้วยกา - ทรงทำนายว่า ในอนาคตผู้มีตระกูลต้องไปเที่ยวประจบ และสวามิภักดิ์ต่อผู้ไม่มีตระกูล เหมือนหงส์ทองแวดล้อมด้วยกา
16. ทรงฝันว่า ฝูงแกะพากันไล่กวดฝูงเสือเหลือง และกัดกิน ทำให้เสืออื่นๆ สะดุ้งกลัว จนต้องหนีไปแอบซ่อนตัวจากฝูงแกะ - ทรงทำนายว่าต่อไปภายหน้า คนชั่ว หรือคนที่ไม่ดีจะเรืองอำนาจ และใช้อำนาจเป็นธรรม ทำให้คนดีถูกทำร้าย หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม ต้องหลบหนี ซ่อนตัวจากภัยร้ายเหล่านี้ เหมือนเสือซ่อนตัวจากแกะ

เมื่อพิจารณาความฝัน จะเห็นว่าหลายข้อในความฝัน เป็นสิ่งที่ผิดไปจากธรรมชาติ เช่น แม่โคกินนมลูกโค ม้าสองปาก เขียดกินงู และแกะกินเสือ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนมีนัยอันไปสู่พุทธทำนายทั้งสิ้น หลายคนอาจจะสงสัยว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล กษัตริย์ในสมัยพุทธกาล ทำไมฝันได้ไกลไปถึงอนาคต อันไม่เกี่ยวข้องกับพระองค์ได้ถึงเพียงนี้ ผู้เขียนเชื่อว่าคงเป็นเพราะเทวดาดลใจ ให้พระองค์ฝันแปลกประหลาด เพื่อพระบรมศาสดาจะได้ฝาก ?พุทธทำนาย? เป็นคำพยากรณ์อันอมตะไว้ เป็นเครื่องเตือนสติ ให้มนุษย์โลกได้ตระหนัก และระมัดระวังภัยพิบัตินานัปการ ที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า หลังจากที่พระพุทธองค์ดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว เพราะคงเล็งเห็นด้วยญาณวิเศษแล้วว่า นับวันคนเราก็จะห่างไกลจากหลักธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ จนเป็นเหตุให้มนุษย์มุ่งทำลาย เอารัดเอาเปรียบทั้งเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง และสิ่งแวดล้อมรอบตัว เพื่อกอบโกยไปบำรุงบำเรอกิเลสแห่งตน โดยขาดความรัก ความเมตตาต่อกัน จึงทำให้คนเห็นแก่ตัว และมีผลให้สภาพแวดล้อม ธรรมชาติแปรปรวนไปหมด
ในปัจจุบัน เหตุการณ์หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ เช่น ฝนแล้ง อันทำให้เพาะปลูกได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง ปัญหาเรื่องศีลธรรมและจริยธรรม เช่น เด็กและเยาวชนแก่แดดขึ้น มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยเพิ่มขึ้น ลูกขาดความกตัญญู และความเคารพยำเกรงต่อพ่อแม่ อลัชชีหรือพระทุศีลมีมากขึ้น ชายแก่ตกอยู่ในอำนาจเมียเด็ก หรือปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม เช่น คนขาดความรู้ประสบการณ์ ได้รับแต่งตั้งให้ปกครองบ้านเมืองเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ผู้มีอำนาจรับสินบน ก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป คนรวยยิ่งรวยเพราะมีช่องทาง และโอกาสเอาเปรียบคนจน เหมือนตุ่มใหญ่ที่คนตักน้ำไปใส่จนเต็มแล้วเต็มอีก แล้วปล่อยตุ่มเล็กให้ว่างเปล่า ตัวอย่างเหล่านี้ ล้วนไม่พ้นคำพยากรณ์ที่ทรงทำนาย บอกแก่พระเจ้าปเสนทิโกศลว่า จะเกิดขึ้นในอนาคตของสมัยโน้น ก็คือ สมัยนี้หรือปัจจุบันนั่นเอง
อย่างไรก็ดี ก็ยังมีพุทธทำนาย เพิ่มเติมที่มีผู้ถอดความจากศิลาจารึก เชตมหาวิหาร สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย ความว่า พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า ?....เมื่อศาสนาตถาคตล่วงเลยไปถึงกึ่งพุทธกาล สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดในยุคนั้น จะพบกับความลำบากทุกชาติทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลก ที่หมุนเวียนไปใกล้ความแตกทำลาย แผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟ มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทั่วทิศ คนในสมัยนั้น(ปัจจุบัน) จะมีวิสัยโหดดุจกำเนิดจากสัตว์ป่าอำมหิต จะรบราฆ่าฟันกันถึงเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ ส่วนเวไนยสัตว์ผู้ขวนขวายในกุศลตามวัจนะของตถาคต ก็จะระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านเมืองใดมีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัย และคุณบิดามารดา เหตุร้ายภัยพิบัติจักเบาบาง แต่ก็จะหนีกฎธรรมชาติไม่พ้น...ในระยะนั้นศาสนาของตถาคตเสื่อมลงมาก เพราะพุทธบริษัทไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม เชื่อคำของคนโกง กล่าวคำเท็จ ไม่เคารพหลักธรรมนิยม คนประจบสอพลอได้รับการเชื่อถือในสังคม ผู้มีศีลธรรมประพฤติชอบ กลับไม่มีคนเคารพยำเกรง พระธรรมจะเริ่มเปล่งแสงรัศ มีฉายส่องโลกอีกวาระหนึ่ง

เมื่อมีธรรมิกราชโพธิญาณบังเกิดขึ้น อยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์ (น่าจะหมายถึงพระศรีอาริยเมตตไตรย์)....จะเสด็จมาเสริมสร้างพระศาสนา ของตถาคตให้รุ่งเรืองสืบไปอีก 5,000 พระวรรษา?คำทำนายของตถาคตนี้ ย่อมยังเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อ นับเป็นกรรมของสัตว์โลกที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน ผู้ใดปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติ ให้รักษาศีลห้าประการ เจริญเมตตากรุณา ประกอบสัมมาอาชีพ มีใจสันโดษ รู้จักพอ ไม่หลงมัวเมาในอำนาจและลาภยศ ตั้งใจประพฤติตนตามคำสอนของตถาคตให้มั่นคง จึงจะพ้นอันตรายในยุคกึ่งพุทธกาล? นี่คือพุทธทำนายที่ทรงตรัสไว้ กว่า 2500 ปีล่วงมาแล้ว ส่วนใครจะเชื่อ จะปฏิบัติหรือไม่อย่างไร ก็คงเป็นไปตามกรรม ของแต่ละคนดังพระพุทธองค์ว่าไว้

ขอขอบคุณข้อมูลข่าว : อมรรัตน์ เทพกำปนาท สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม

อัพเดทโดย : ศศิวิมล
--------
ที่มา:
http://modernine.mcot.net/view.php?news_id=1148&tk=art
 



107
ของอย่างนี้มันอยู่ที่ใจ

108
คงไม่เสือมหรอกครับ? ส่วนใหญ่จะยึดถือเรื่องประจำเดือนเป้นหลัก ถือว่าเป้นของต่ำ

109
ถ้าจำไม่ผิด องค์ละ50 บ.  ครับ

111
ขอแสดงความยินดีครับ

113





เมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ประธานกรรมการมูลนิธิข้าวไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวในการแถลงข่าวความร่วมมือในการส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรมในอุตสาหกรรมข้าว และการจัดประกวดรางวัลนวัตกรรมข้าวไทยเฉลิมพระเกียรติว่าวิถีชีวิตของคนไทยมีความผูกพันกับข้าวมาก รวมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง

ขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับข้าวว่าคนไทยต้องมีจิตสำนึกเรื่องข้าว และนำข้าวไปใช้ให้เกิดประโยชน์ และทำอย่างไรจึงจะช่วยปกป้องข้าวไทยได้ เพราะสิ่งที่เป็นห่วงขณะนี้คือ เรื่องจิตสำนึกของผู้บริโภคข้าวที่ลดลง ไปเน้นการบริโภคเลียนแบบต่างชาติ ที่กินเร็ว กินด่วน หรือบริโภคข้าวก็เพียงเพื่อให้อิ่มเท่านั้น โดยไม่ได้คำถึงว่า ข้าว คือ จิตวิญญาณ ที่ผ่านกระบวนการผลิต มาจากการลงแรงของชาวนากลิ่นของข้าวถือว่าหอมที่สุดและหอมแบบธรรมะ ตนเคยทูลถามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า ทรงโปรดอะไรมากที่สุด พระองค์ตรัสว่า ข้าว เพราะมีกลิ่นหอม และตรัสด้วยว่า ถ้ารับประทานข้าวขอให้นึกถึงชาวนาด้วย เพราะถ้าไม่มีชาวนา เราก็ไม่มีข้าวกิน






ประธานมูลนิธิข้าวไทยกล่าวต่อว่า ปัจจุบันประเทศไทยส่งออกข้าวเป็นอันดับ 1 ของโลก แต่ตำแหน่งดังกล่าวกำลังถูกสั่นคลอนจากประเทศคู่แข่งทุกขณะ ดังนั้น จึงต้องหาทางแปรรูปข้าว ให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดประโยชน์และสร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น นำไปแปรรูปเป็นครีมทาหน้า หรืออาหารเสริม เพราะในเม็ดข้าวมีสารตัวหนึ่งชื่อว่า แกรมม่า ออริซานอล ที่ช่วยให้อารมณ์ดีเพราะฉะนั้นคนไทยทานข้าววันละ 3 มื้อ จึงหัวเราะได้ทั้งวัน แม้ว่าเศรษฐกิจการเมืองไม่ดีก็ตาม

ดร.สุเมธกล่าวต่ออีกว่า มูลนิธิข้าวไทยในพระ บรมราชูปถัมภ์ จึงได้ร่วมกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ วท.จัดประกวดรางวัลนวัตกรรมข้าวไทยเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ครบ 80 พรรษา โดยผู้ชนะเลิศจะได้รับโล่รางวัลพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี นอกจากนั้น จะมีการพัฒนานวัตกรรมข้าว อาทิ เครื่องสำอางจากข้าวไทย การผลิตข้าวเพื่ออุตสาหกรรมยาและอาหารเสริม ซึ่งจะช่วยต่อยอดข้าวไทยให้แข่งขันกับต่างชาติได้.


-----------
ที่มา:ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/news.php?s...&content=56733
ภาพประกอบเพิ่มจากทางอินเตอร์เน็ต

114
วันเวลาผ่านไปช่างเร็วหนัก

115
ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

116
โอ้พระเจ้า..ผมมีของดีของวัดบางพระ องค์แรกในชีวิตแล้วครับ ......ขอบคุณครับ


ยินดีด้วยครับ                                  :095: :095:

117
อันนี้ใช่หรือเปล่า

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

118
บทความ บทกวี / ตอบ: มุทิตา
« เมื่อ: 06 ส.ค. 2550, 07:46:49 »
หมอภาษา ;D ;D ;D

120
มีเหมือนกันเลยครับ  แต่ของผมเป็นสีม่วง

121
บทความ บทกวี / ตอบ: เก็บมาฝากค่ะ
« เมื่อ: 06 ส.ค. 2550, 07:28:28 »
สาธุ  ครับ

122
บทความ บทกวี / ตอบ: บารมี หลวงพ่อ
« เมื่อ: 03 ส.ค. 2550, 10:27:38 »
ขอบคุณครับ  เป็นประโยชน์มากๆเลย

123
อนุโมทนาครับ

124
ภาพด้านบนสุดน่าจะเป็นยันต์พุทธซ้อนครับ

125
ไม่บ้าหลอกครับ?

126
:004: :004: :004:? อ้าว? ท่านผู้ใหญ่บ้านบอร์ด บ้านคาถา-อาคม มีฉายาใหม่ ซะแล้ว
 :007:
? เจ้าแม่ (แอ๊บแบ๊ว) แต่ตอบปัญหาได้โดนใจจริงๆ ขอรับ? ?:054: :054: :054:

สมแล้วที่เป็นผู้ใหญ่บ้าน? :077:


 :007: :007: :007: :007: :007: :007: :007:

127
1.คงกระพันกับคงกระพันชาตรีต่างกันอย่างไร แล้วมหาอุตม์ดีกว่าไหม
ตอบ?
วิชาคงกระพัน
เป็นวิชาที่ทำให้ร่างกายมนุษย์อยู่คงต่ออาวุธทั้งปวง ฟันแทงไม่เข้า ถ้าจะฆ่าให้ตายต้องใช้ไม้แทงทะลุทวารหนัก เท่านั้น แบ่งเป็นวิชาย่อยต่างๆ เช่น
๐ การเสกของกิน วิธีนี้เรียกว่าอาพัด เช่น อาพัดเหล้า อาพัดว่าน
๐ เสกฝุ่นผงน้ำมันทาตัว หรือปูนแดงป้ายลูกกระเดือก
๐ การเรียกของเข้าตัว เช่นน้ำมันงา หรือประกายเหล็กเพื่อให้คงทนเยี่ยงเหล็ก เป็นต้น

วิชาชาตรี
เป็นวิชาที่ใช้ป้องกันอาวุธให้ฟันแทงไม่เข้าได้เช่นเดียวกับ วิชาคงกระพัน วิชานี้ทำให้ตัวเบากระโดดได้สูงและอาวุธที่มากระทบตัวนั้นนอกจากไม่ระคายผิวหนังแล้ว ยังไม่รู้สึกเจ็บอีกด้วย วิชานี้มีจุดอ่อน คือ หากถูกตีด้วยของเบา เช่น ไม้ระกำ ไม้โสนกลับเป็นอันตรายได้

วิชามหาอุด
เป็นวิชาที่เกิดขึ้นในชั้นหลัง ใช้กันปืนให้เกิดอาการขัดลำกล้อง ยิงไม่ออก ดังคำว่า อุด มีทั้งที่เป็นคาถาภาวนา และเครื่องรางเช่น ตะกรุดที่อุดหัวอุดท้ายแล้ว ตลอดจนกระทั่งลูกปืนที่ด้านแล้วก็นำมาใช้ลงคาถามหาอุดเช่นเดียวกัน ด้วยถือคติว่าแม่ย่อมไม่ฆ่าลูก ผู้ใช้จะปลอดภัยไปด้วย

เรือ่งอะไรดีกว่ากันนั้นไม่สามารถฟันธงตรงๆได้? ตามความเชื่อแบบโบราณ..? การมีสิ่งยึดเหนี่ยวปกปอ้งเรา ล้วนดีทั้งนั้นไม่มีอะไรเป็นที่สุด เป็นคำถามที่ไม่เหมาะจะถามด้วย เพราะแต่ละวิชาล้วนมีครู..? จะบอกว่าใครเก่งกว่าใคร ก็จะเป็นการดูหมิ่นอาจารย์ ไม่สมควรอย่างยิ่ง


2.เมตตามหานิยมกับเมตตามหาเสน่ห์ต่างกันตรงหนัย
- จะบอกตรงๆ ก็คงบอกว่าเขียนต่างกัน? ?แต่โดยวิจารณญาน ..มหานิยมตรงตัว ว่าเป็นที่รักใคร่แค่มหาชน? ไปทางไหนก้อได้รับความช่วยเหลือ? เอ็นดูรักใคร่เหมาะกับการงานการค้าการติดต่อ ผู้คนต่างๆ? ? มหาเสน่ห์ ..จะเน้นเรื่องเพศตรงข้ามมากกว่ากระมัง


3.ถ้าจะสักทั้งคงกระพันทั้งมหานิยมจะเข้ากันได้หรือไม่ มีบางคนบอกว่าไม่ได้เพราะกันคนละทางกัน(งงไหมครับผมเองยังงง)

- อ่านมาก็ไม่งงหรอก? ?การสักแล้วแต่ทัศนคติของแต่ละคน? เท่าทีเคยพบเห็น บางคนเล่นทางสายเหนียว คงกระพัน จะไม่อยากได้ ยันต์ทางเมตตา เท่าไหร่นัก
และจากประสบการณ์ที่เคยคุยกับท่านผุ้รุ้..? คนสักของเหนียว มันจะร้อนของ .. อารมณ์จะร้อนง่าย จะหาเรื่องลองของบ่อยๆ . ดังนั้นจึงควรสวดมนต์ให้หนักคุมจิตคุมใจให้ดีมั่นคงมีสติไว้
ส่วนมากปัจจุบัน นิยมสักทั้งสองทาง? ไม่แบ่งแยก .. คนเราเหนียวแล้วแต่มีคนเกลียดชัง ก็คงอยู่ไม่มีความสุข? ...? ก็ต้องมีผู้ใหญ่เอ็นดูเมตตตาด้วย? ถึงจะทำงานราบรื่น
.รักจะเก่ง ก้น่าจะเก่งทั้งทางบุ๋น และ บู๊..? ไปทางใดทางหนึ่ง ก็สุดโต่งเกินไป อยู่ลำบาก?


ความรุ้น้อย .. ตอบให้ได้เท่านี้? ?คงพอคลายความสงสัยได้บ้างนะ? ว่าแต่ว่า..เจ้าของกระทู้เคยสักอะไรบ้างหรือยัง? ?



เก่งจังเลยครับ

128
ผอ.สำนักพุทธฯ โวยแบงก์พันใส่รูปฤาษีโปรโมทจตุคามฯ ชี้ผิดหนักเข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูงแถมละเมิด พ.ร.บ.ธนบัตร ด้านเจ้าอาวาสรับรู้เท่าไม่ถึงการณ์สั่งให้ยุติการแจก พร้อมตามเก็บคืนแบงก์ฉาวแล้ว พร้อมเดินหน้ารวบรวมข้อมูลพระสงฆ์เจ้าพิธีปลุกเสกจตุคามฯ คล้ายอวดอ้างอิทธิฤทธิ์ ชี้ขัดต่อประกาศคณะสงฆ์และ มส.
ความคืบหน้ากรณีวัดแม่ตะไคร้ กิ่ง อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ โดยพระใบฎีกาเทียนชัย สุภทฺโท เจ้าอาวาสโปรโมทการจัดสร้างจตุคามรามเทพ รุ่น "พระมหาโพธิสัตว์ประทานพรอุดมทรัพย์" ด้วยการนำแบงก์ฤาษีที่พิมพ์เลียนแบบธนบัตรจริงใบละ 1,000 บาท โดยนำรูปฤาษีมาพิมพ์แทนพระบรมฉายาลักษณ์ เพื่อแจกให้ชาวบ้านที่มาร่วมงานปลุกเสกจตุคามฯ เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ที่ผ่านมา และถูกมองว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมควรเข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูงนั้น
ล่าสุด นายจำลอง กิตติศรี ผู้อำนวยการ สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้นสร้างความไม่สบายใจให้แก่สำนักงานพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นการกระทำที่ค่อนข้างหมิ่นเหม่ต่อเบื้องสูง และยังผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยธนบัตรที่ไปจัดทำสิ่งพิมพ์ที่มีลักษณะคล้ายธนบัตรจริง อย่างไรก็ตาม หลังตรวจสอบข้อเท็จจริงกับพระใบฎีกาเทียนชัย สุภทฺโท แล้ว
พระใบฎีกาเทียนชัย สุภทฺโท ได้กล่าวยอมรับว่ากระทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ คือมีผู้นำแบงก์ฤาษีมาให้ โดยที่ทางวัดไม่ได้เป็นผู้พิมพ์ขึ้นมาเอง ซึ่งตรงกับการตรวจสอบของสำนักพุทธฯ พบว่าพระท่านไม่ได้มีเจตนาที่จะนำธนบัตรแจกจ่ายเพื่อแลกเปลี่ยนแทนเงินทอง แต่เป็นการมอบให้ในฐานะที่เป็นวัตถุมงคล จึงได้ประสานเจ้าที่ตำรวจแล้วว่าอย่าดำเนินคดีกับทางวัด และได้ขอให้ทางวัดยุติการแจกแบงก์ฤาษีรวมทั้งให้มีการเรียกเก็บคืนจากญาติโยมที่ได้แจกจ่ายกลับคืนมา
นายจำลอง กล่าวอีกว่า นอกจากการเรียกเก็บคืนแล้ว สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่ จะได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการติดตามสืบสวนไปยังแหล่งที่มาของการผลิตแบงก์เลียนแบบดังกล่าว เนื่องจากหมิ่นเหม่ต่อเบื้องสูงหากพบว่ามีการนำออกมาแจกจ่ายที่ใดอีกจะแจ้งความให้เจ้าหน้าที่เข้าไปดำเนินคดีทันที
ส่วนรูปแบบของการโปรโมทจตุคามฯ ซึ่งปัจจุบันหลายวัดมีการแข่งขันหาจุดเด่นมาส่งเสริมการเช่าบูชาหลายรูปแบบเพื่อดึงความสนใจให้ประชาชนเข้ามาเช่าบูชานั้น มองว่าเป็นสิทธิที่วัดและผู้จัดสร้างต่างๆ สามารถดำเนินการได้ แต่ต้องไม่ทำให้เสื่อมเสียต่อสถาบันและพาดพิงผู้อื่นให้ได้รับความเสียหาย หากดำเนินการโดยไม่กระทบในสิ่งที่กล่าวมาดังกล่าว สำนักงานพระพุทธศาสนาก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว เนื่องจากเป็นสิทธิเสรีภาพที่สามารถจะทำได้
ส่วนกรณีมีพระสงฆ์ในหลายจังหวัดไปเป็นเจ้าพิธีปลุกเสกจตุคามรามเทพ บางรูปกระทำพิธีโดยรำดาบ บางรูปใช้อาวุธแทงร่างกายคล้ายกับอวดอ้างอิทธิฤทธิ์ ส่งผลให้มีกระแสเรียกร้องให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และคณะสงฆ์ออกมาดูแลในเรื่องนี้ เพราะมองว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม ไม่ใช่สิ่งที่พระสงฆ์ควรกระทำ
นายกนก แสนประเสริฐ ผู้อำนวยการส่วนคุ้มครองพระพุทธศาสนา รักษาการ ผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวว่า การที่พระสงฆ์ไปเป็นเจ้าพิธีปลุกเสกจาตุคามรามเทพโดยมีการแสดงคล้ายอวดอ้างอิทธิฤทธิ์นั้นเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม ขณะนี้ พศ.กำลังรวบรวมข้อมูลพระสงฆ์ที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ ซึ่งที่มีปรากฏข่าวคราวอยู่ตามสื่อต่างๆ ประมาณ 2-3 รูป เพื่อเสนอให้เจ้าคณะผู้ปกครองเป็นผู้พิจารณาว่าการกระทำดังกล่าวควรพิจารณาลงโทษในขั้นไหน อย่างไร
นายกนก กล่าวอีกว่า การกระทำของพระสงฆ์ที่ไปปลุกเสกจตุคามฯ แล้วมีพฤติกรรมคล้ายกับอวดอ้างอิทธิฤทธิ์นั้น ขัดต่อประกาศคณะสงฆ์และขัดต่อมติมหาเถรสมาคม (มส.) ซึ่งตามประกาศคณะสงฆ์ 2 ฉบับทั้งประกาศในปี 2469 และในปี 2496 ห้ามมิให้พระสงฆ์ทดลองของขลังถือว่าไม่เอื้อต่อพระธรรมวินัย เป็นเหตุให้บุคคลอื่นพิสูจน์ได้ยาก จะต้องแจ้งให้เจ้าคณะผู้ปกครองพิจารณาและรายงานต่อคณะสงฆ์ รวมถึงมีประกาศ มส.ห้ามไม่ให้พระสงฆ์อวดอ้างอิทธิฤทธิ์ อภินิหาร จะต้องประพฤติตนสำรวมอยู่ในหลักพระธรรมวินัย ซึ่งการพิจารณาลงโทษพระสงฆ์ที่ประพฤติตนขัดต่อหลักพระธรรมวินัยนั้น พศ.ไม่มีอำนาจดำเนินการ แต่เป็นอำนาจของเจ้าคณะผู้ปกครองจะพิจารณาลงโทษว่าอยู่ในขั้นไหน อย่างไร โดยการลงโทษนั้นมีตั้งแต่ว่ากล่าวตักเตือนไปจนถึงโทษสูงสุดให้สึกออกจากการเป็นพระสงฆ์
"ก่อนหน้านี้ พศ.เคยส่งหนังสือไปถึงเจ้าคณะผู้ปกครองให้ช่วยดูแลให้พระสงฆ์ประพฤติตนอยู่ในหลักพระธรรมวินัย เชื่อว่าเจ้าคณะผู้ปกครองท่านคงเห็นข่าวที่ออกมาและเรียกพระสงฆ์ที่กระทำไม่เหมาะสมไปพิจารณาลงโทษบ้างแล้ว เช่น ตักเตือน แต่ พศ.ก็จะรวบรวมข้อมูลและเสนอเรื่องไปยังเจ้าคณะผู้ปกครองให้พิจารณาลงโทษ เพราะการกระทำดังกล่าวนอกจากขัดต่อหลักพระธรรมวินัยแล้ว ยังสร้างความเสื่อมเสียแก่คณะสงฆ์ ทำให้ถูกสังคมตำหนิด้วย" นายกนก กล่าว
นางจุฬารัตน์ บุณยากร ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวว่า พระสงฆ์ที่ไปปลุกเสกจตุคามฯ แล้วกระทำคล้ายกับอวดอ้างอิทธิฤทธิ์นั้น เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมเพราะขัดต่อประกาศคณะสงฆ์และประกาศ มส.ที่ห้ามไม่ให้พระสงฆ์อวดอ้างอิทธิฤทธิ์ อภินิหาร ซึ่ง พศ.ไม่มีอำนาจไปพิจารณาลงโทษและไปก้าวล่วงไม่ได้ เพราะเรื่องนี้เป็นอำนาจของเจ้าคณะผู้ปกครองพิจารณาว่าลงโทษขั้นไหน อย่างไร ขณะนี้ พศ.กำลังรวบรวมข้อมูลและจะเสนอต่อเจ้าคณะผู้ปกครองต่อไป
"สิ่งที่พระสงฆ์บางรูปกระทำไม่เหมาะสมในการปลุกเสกจตุคามฯ สร้างความไม่สบายใจให้แก่ พศ.เช่นกัน เพราะไม่ให้เกิดเรื่องนี้เพิ่มขึ้นอีก แต่เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับเจ้าคณะผู้ปกครองว่าท่านจะพิจารณาและลงโทษอย่างไร เชื่อว่าเจ้าคณะผู้ปกครองท่านก็คงกำลังจับตาดูอยู่เช่นกัน ส่วนจะส่งหนังสือถึงเจ้าคณะผู้ปกครองให้ช่วยดูแลความประพฤติของพระสงฆ์ให้อยู่ในพระธรรมวินัยอีกรอบหรือไม่นั้น จะต้องหารือกับคณะสงฆ์ก่อน" นางจุฬารัตน์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังกระแสท้าวจุตุคามรามเทพเป็นที่นิยมในหมู่นักเล่นพระและประชาชนทั่วไป ได้มีการจัดสร้างเหรียญจตุคามฯ หลากหลายรุ่น และในพิธีปลุกเสกมักจะมีการแสดงอภินิหารต่างๆ นานา อย่างเช่นเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ที่บริเวณห้างสรรพสินค้าใน จ.สิงห์บุรี มีพิธีพุทธาเทวาภิเษก ท้าวจตุคามรามเทพ รุ่น "ชีวิตรุ่งโรจน์" โดยมีนายประภาศ บุญยินดี ผู้ว่าฯ สิงห์บุรี เป็นประธาน ทั้งนี้มีพระครูสังฆรักษ์ปรานพ หรือหลวงหนุ่ย แห่งวัดคอหงส์ อ. หาดใหญ่ จ.สงขลา เป็นเจ้าพิธี และเป็นประธานจุดเทียนชัย พร้อมพระเกจิอาจารย์ทั้งใน จ.สิงห์บุรี และ จ.พระนครศรีอยุธยา ร่วมในพิธีปลุกเสก โดยภายหลังเริ่มทำพิธี หลวงหนุ่ยเริ่มพิธีบวงสรวง หลังจากนั้นร่างกายเริ่มเกร็งคล้ายเข้าทรงก่อนที่จะหยิบกริชยาวประมาณ 5 นิ้วออกมา แล้วใช้กริชแทงที่ใบหน้าตัวเองและกรีดไปทั่วทั้งใบหน้าและหัว สร้างความหวาดเสียวให้แก่ญาติโยมผู้มาร่วมงานเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่การปลุกเสกจตุคามรามเทพ รุ่น "เจ้าราชันเหนือ" หน้าพระวิหารหลวงวัดมหาวัน ต.ในเมือง อ.เมือง ลำพูน ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาลำพูน เขต 1 ก็เช่นเดียวกัน ขณะทำพิธีปลุกเสกได้แสดงอภินิหารเอามีดเชือดคอผู้มาร่วมงานในพิธีเป็นการทดสอบด้วย
http://www.komchadluek.net/2007/07/3...news_id=129065


129
ใช่อันนี้หรือเปล่าเอ๋ย

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

130
ศรัทธาหลวงพ่ออุ้นครับ

132
ของผมครั้งครั้งแรก เล่นเอาตัวผมสั่นเลย รู้สึกมันหนาวๆร้อนๆยังไงก็ไมรู้ 

133
"หลวงหนุ่ย"กรีดหน้าโชว์ที่สิงห์บุรี คืนฟอร์ม ปลุกเสกจตุคามรามเทพรุ่นชีวิตรุ่งโรจน์รับเหมาขับรถตกร่องถนนรถพังยับ แต่แค่แตก ที่คอห้อยจตุคามฯ ของเจ้าคุณเพียงองค์เดียว "หลวงหนุ่ย"คืนฟอร์มปลุกเสกจตุคามรามเทพ รุ่นชีวิตรุ่งโรจน์ที่สิงห์บุรี โชว์กรีดใบหน้า-หัว คมมีดไม่ระคายผิวแม้แต่น้อย สร้างความหวาดเสียวให้แก่บรรดาญาติโยมที่มาร่วมงาน พร้อมกับใช้หัวแม่มือเกี่ยวน้ำตาเทียนโชว์อีก

เมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ห้างสรรพสินค้าฟายนาว หมู่ที่ 3 ต.น้ำตาล อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรีมีพิธีพุทธาเทวาภิเษก ท้าวจตุคาม รามเทพ รุ่นชีวิตรุ่งโรจน์ โดยมีนายประภาศ บุญยินดี ผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี เป็นประธาน เพื่อหาเงินสร้างองค์พระอินทร์ให้กับห้างสรรพสินค้าฟายนาวซึ่งเป็นห้างเอกชน โดยมีพระครูสังฆรักษ์ปรานพ หรือหลวงหนุ่ย แห่งวัดคอหงษ์ อ. หาดใหญ่ จ.สงขลา เป็นเจ้าพิธีและเป็นประธานจุดเทียนชัย โดยมีพระเกจิอาจารย์ทั้งในจ.สิงห์บุรี จ.พระนครศรีอยุธยา เช่น หลวงพ่อเพี้ยน วัดเกริ่นกฐิน จ.ลพบุรี หลวงปู่ทิม วัดพระขาว จ.พระนคร ศรีอยุธยา ร่วมนั่งปลุกเสก โดยมีประชาชนเข้าร่วมงานประมาณ 1,000 คน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าพิธีเริ่มขึ้นเมื่อเวลา 13.30 น. หลวงหนุ่ยเริ่มพิธีบวงสรวง ซึ่งขณะที่ทำพิธีอยู่นั้นหลวงหนุ่ยมีอาการเหมือนเป็นเข้าทรง มีอาการเกร็ง ยกมือขึ้นปิดหน้า จากนั้นตาขวาง แล้วชักกริชยาวประมาณ 5 นิ้วออกมา แล้วใช้กริชแทงที่ใบหน้าตัวเองและกรีดไปทั่วทั้งใบหน้าและหัว สร้างความหวาดเสียวให้กับญาติโยมผู้มาร่วมงานเป็นอย่างยิ่ง แต่หลวงหนุ่ยก็ไม่ได้รับอันตรายใดๆ หลังจากนั้นหลวงหนุ่ยทำพิธีเสกน้ำมนต์ ซึ่งหลังจากที่หลวงหนุ่ยเสกน้ำมนต์เสร็จแล้ว ก็ใช้นิ้วหัวแม่มือขวาเกี่ยวน้ำตาเทียนขึ้นมาโชว์เหมือนที่เคยทำมา ท่ามกลางสายตาของเจ้าหน้าที่สำนักพระพุทธศาสนาจังหวัดสิงห์บุรี ที่นั่งมองอยู่แต่ก็ไม่มีใครกล้าออกให้ความเห็นแต่อย่างใด

สำหรับท้าวจตุคามรามเทพรุ่นชีวิตรุ่งโรจน์ ทางจังหวัดสิงห์บุรีได้จัดสร้างเอง มีนายประภาศ บุญยินดี ผู้ว่าฯสิงห์บุรี เป็นประธานจัดสร้าง เพื่อหาเงินสร้างองค์พระอินทร์ ให้กับอำเภออินทร์บุรี เพื่อที่จะให้ผู้ที่ผ่านถนนสายเอเชียได้กราบไหว้ โดยองค์พระอินทร์นี้จะสร้างในห้างสรรพสินค้าฟายนาว ซึ่งเป็นห้างเอกชน

หลังเสร็จพิธีพุทธาเทวาภิเษกทางจังหวัดสิงห์บุรีแจกองค์จตุคามให้กับผู้ที่มาร่วมงานประมาณ 1,000 คน สร้างความชุลมุนพอสมควร




[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

134

Shot at 2007-07-27

136
ขอบคุณมากครับ

ด้วยความจริงใจ

137
พระพุทธชินราช? รุ่มหาสิทธิโชค







138
หนุมาน ในรามเกียรติ์ วานรขาว ทหารเอกพระราม มีตัวเดียว never dies
ที่เขาสักกัน มันเป็นกระบวนท่า ในตำราพิชัยสงคราม(ตำราวิทยายุทธ)
เช่น เชิญธง คลุกฝุ่น เป็นต้น (โดยเฉพาะ วัดบางพระ เรียกอย่างนั้น)
ถ้าของ หลวงพ่อแล วัดพระทรง เพชรบุรี เรียก เป็นตัว ตัวที่ 1 - 9
ตัวที่ 1 ชื่อ สุวรรณะ
ตัวที่ 2 ชื่อ มนิโย
ตัวที่ 3 ชื่อ สังคะเวมะจะ
ตัวที่ 4 ชื่อ สุริยะ
ตัวที่ 5 ชื่อ มุขคะเวมะจะ
ตัวที่ 6 ชื่อ อาธิกะมูรัง
ตัวที่ 7 ชื่อ มันตรา
ตัวที่ 8 ชื่อ อุอุอะอะ? สวามหามันตัง
ตัวที่ 9 ชื่อ สวาหะ แม่หนุมาน ขี่ราชสีห์เชิญ
เครดิต http://www.konrakmeed.com/webboard/upload/index.php?s=e45a71d1c1f91482593131de3f76249e&showtopic=929&st=0&p=16218&#entry16218

ได้ความรู้ใหม่เลยครับ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

139
สวยมากเลยครับ

140
พระคาถานะหน้าทองนี้ คัดลอกจากคู่มือชายชาตรีฉบับเดิมในงานฉลองอายุ
พระครูเนกขัมมาภิมนต์ หลวงพ่อดิษฐ์ ติสสโร วัดปากสระ พัทลุง
ผมเห็นว่ามีประโยชน์จึงนำมาลงไว้ให้ผู้ที่มีศรัทธาได้นำไปใช้กันครับฯ


สวด นะโมฯ 3 จบ

นะกาโรกุกกุสันโธ สิโรมัชเฌ
ขออัญเชิญพระกุกกุสันโธ สัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอยู่เบื้องศรีษะของข้าพเจ้า ขอพระบารมีเป็นที่พึ่ง
นะกาโรสุวัณโณเจวะ นะงามคือดังแสงทอง รัสมีสีส่องไปทั่วสกลกายา
เป็นที่เสน่หาแก่คนทั้งหลาย
เดชะพระกุกกุสันโธสัมมาสัพุทธเจ้าประสิทธิวิชายะเตฯ

โมกาโรโกนาคะมโนนะลาทิเต
ขออัญเชิญพระโคนาคมสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอยู่ที่หน้าผากของข้าพเจ้า
ขอพระบารมีเป็นที่พึ่ง
โมกาโรมะณีโชตะกัง โมงามคือแสงแก้วมณีโชติ ส่องแสงโปรดอยู่เบื้องหน้าผาก หญิงเห็นให้หลงไหลชายเห็นให้หลงรัก เห็นหน้าให้ทายทักเป็นมหานิยม
เดชะพระโกนาคมสัมมาสัมพุทธเจ้าประสิทธิวิชายะเตฯ

พุทธกาโรกัสสะโปทเวกัณเณ
ขออัญเชิญพระกัสสโปสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาอยู่ในโสตร์ทั้งสองของข้าพเจ้า ขอพระบารมีเป็นที่พึ่ง
พุทธกาโรสังขะเมวะจะ พุทธงามคือแสงสังข์อยู่ในโสตร์ทั้งสองของข้าพเจ้า
ป้องกันบำบัดโรคโรคาพยาธิทั้งหลาย
เดชะพระกัสสโปสัมมาสัมพุทธเจ้าประสิทธิวิชายะเตฯ

ธากาโรโคตะโมทเวเนตเต
ขออัญเชิญพระสิริสากะยะมุนีโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาอยู่ในเนตรทั้งสองของข้าพเจ้า ขอพระบารมีเป็นที่พึ่ง
ธากาโรสุริยังเอวะ ธางามคือดังแสงพระอาทิตย์ สมณชีพราหมณ์มนุษย์
บุรุษหญิงชายทั้งหลาย เห็นเนตรทั้งสองของข้าพเจ้า ให้มีจิตคิดเมตตายินดี
เดชะพระศรีสากยะมุนีโคดมบรมครูประสิทธิวิชายะเตฯ

ยะกาโรอะริยะเมตตัยโยชิวหาทิเต
ขออัญเชิญพระศรีอริยะไมตรีสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอยู๋ในลิ้นของข้าพเจ้า ขอพระบารมีเป็นที่พึ่ง
ยะกาโรมุกขะเมวะจะ ยะงามคือดังแสงมุกข์ส่องแสงสุกอยู่ในลิ้นของข้าพเจ้า
จะเจรจาพาทีด้วยสมณพราหมณาจาริย์ มนุษย์บุรุษหญิงชายด้วยถ้อยคำให้มี
จิตเมตตากรุณาแก่ข้าพเจ้าเถิด
เดชะพระศรีอะริยะไมตรีสัมมาสัมพุทธเจ้าประสิทธิวิชายะเตฯ

สัพเพชะนานัง พะหูชะนานัง คือคนทั้งหลายเอ๋ย มึงเห็นหน้ากูให้มึงรักกู
ทั้งหลับทั้งตื่น ทั้งกลางวันกลางคืน ชะยังสุขังลาภัง พุทโธโสภะคะวา
ปัญจะพุทธานะมามิหัง ปิโยเทวะมนุสสานัง ปิโยพรหมานะมุตตะโม
ปิโยนาคะสุปันนานัง ปินินทรียังนะมามิหังฯ

พระคาถานะหน้าทองนี้ ให้ใช้ภาวนาทางเมตตาดีนักแล เมื่อจะภาวนานั้น
เมื่อถึงบทว่าตัว นะ ก็ให้เอานิ้วมือเขียนที่กลางศรีษะเป็นอักขระตัวนะ
ถึงบท โม ก็เขียนอักขระตัวโมลงบนหน้าผาก
ถึงบท พุทธ ก็ให้เขียนพุทธลงที่หูทั้งสองข้างๆละตัว
ถึงบท ธา ก็ให้เขียนธาลงที่ตาทั้งสองข้างๆละตัว
ถึงบท ยะ ก็ให้เขียนยะลงที่ลิ้น
น้อมจิตอฐิษฐานให้หน้าของเราเป็นหน้าทอง เข้าหาเจ้านายเป็นเมตตาอย่างประเสริฐสุดสารพัดจะใช้เอาเถิด วิเศษยิ่งนักแล ใช้เสกหน้าทองก็ได้

พระคาถานี้ดีมากๆครับ ส่วนตัวอักษรก็ลอกมาเดิมๆเลยไม่ปรับแต่งครับ ไม่แน่หากผู้สนใจท่านใดอยากลองลงนะหน้าทองก็สามารถจำเอาไปใช้ได้เลครับ
ผมใช้อยู่ครับฯแต่...ไม่รับลงให้คนอื่นครับ
 

141
ศาลหลักเมือง สิงห์บุรีปลุกเสกจตุคามฯ "เสือดำ"เจ้าพิธีประชัน"หลวงหนุ่ย" ต่างฝ่าย ต่างโชว์อภินิหาร เผยพิธีปลุกเสกจตุคามฯรุ่น"อภิมหาเศรษฐีตลอดกาล" "เสือดำ"เสกน้ำมนต์กระจายออกมาจากขัน ส่วน"หลวงหนุ่ย"ใช้นิ้วหัวแม่มือขวาเกี่ยวน้ำตาเทียนขึ้นมาจากขันน้ำมนต์เป็นสายยาว สร้างความฮือฮาให้กับญาติโยมที่มาร่วมงาน


เมื่อวันที่ 24 ก.ค. ที่บริเวณศาลหลักเมืองสิงห์บุรี มีการพุทธาและเทวาภิเษกจตุคาม รามเทพ รุ่นอภิมหาเศรษฐีตลอดกาล โดยคณะกรรมการศาลหลักเมืองจ. สิงห์บุรี ร่วมกับคณะกรรมการติดตามกิจการตำรวจ (กตตร.) ร่วมกันจัดสร้างขึ้นโดยมีประชาชนมาร่วมงานประมาณ 2,000 คน ในช่วงเช้าเริ่มขึ้นเมื่อเวลา 10.00 น. โดยนิมนต์หลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินธโร หรือเสือดำ อดีตเสือกลับใจ จากวัดศรีนวลธรรมวิมล กรุงเทพฯ มาทำพิธี โดยในช่วงปลุกเสกหลวงพ่อทวีศักดิ์ แสดงอภินิหารด้วยการเสกน้ำมนต์ ซึ่งในขณะที่เสือดำเสกน้ำมนต์อยู่นั้น น้ำมนต์ในขันได้กระจายออกมาจากขัน สร้างความฮือฮาให้กับผู้ที่มาร่วมงานเป็นอย่างยิ่ง


จากนั้นเสือดำได้ประพรมน้ำมนต์ให้กับผู้ที่มาร่วมงาน แล้วถอดจีวรโยนให้ผู้ที่มาร่วมงานแย่งกันไปบูชา ชาวบ้านที่มารอรับน้ำมนต์ได้แย่งจีวรของเสือดำฉีกขาดได้ไปคนละนิดหน่อย จนเกือบเกิดการจลาจล เจ้าหน้าที่สารวัตรทหารต้องขอร้องให้แยกกันไปได้แค่ไหนก็แค่นั้น


ส่วนในช่วงบ่ายเริ่มขึ้นเมื่อเวลา 14.00 น.พระครูสังฆรักษ์ปรานพ ฐิตคนฺโธ หรือหลวงหนุ่ย วัดคอหงษ์ จ.สงขลา ได้บวงสรวงท้าวจตุคามรามเทพ จัดเครื่องบูชาชุดใหญ่ หลวงหนุ่ยแสดงอภินิหารโดยการหยดน้ำตาเทียน จากนั้นใช้นิ้วหัวแม่มือขวาเกี่ยวน้ำตาเทียนขึ้นมาจากขันน้ำมนต์เป็นสายยาว ซึ่งสร้างความฮือฮาให้กับผู้ที่ร่วมงานนับพันคนเช่นกัน


ทั้ง 2 พิธี สร้างความฮือฮา ให้กับผู้ร่วมพิธีเป็นอย่างมา

142
อนุโมทนาสาธุ ครับ

143
 ใครจะมองอย่างไรการสักยันต์ก็ยังจะคู่ผืนแผ่นดินไทยไปตราบนานเท่านาน มิใช่ความขลังในพุทธคุณอย่างเดียวที่ทำให้อยู่สืบต่อ เพียงแต่หลักการทำความดี ของผู้สักยันต์ที่ทำให้การสักยันต์คงอยู่คู่ผืนแผ่นดินไทย ตราบชั่วนิจนิรันทร์


ผมชอบประโยคนี้มากๆเลย ครับ ท่านโจรสลัด



[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

144
:054: :054: :054:.แนะนำไปไหว้ครู ดุคราบ คุณจะได้อะไรดีๆเยอะใน พิธี ไหว้ครู วันนั้น :054: :054: :054:
ของมันอยู่ที่ใจ.มีความเชื่อ และสมาธิ พลังมันก้จะเกิดตามมา :016: :015:

เห็นด้วยครับ

147
 :093: :093:

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

148
ฤาษีหน้าวัว

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

149
ยันต์ลงตะกรุด

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

150
พญาเต่าเรือน

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

151
ท้าวเวสสุวรรณ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

152
พระปิดตา


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

153
ยันใบพัด

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

154
 :002: :002: :002: :002:

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

155
 :092: :092:

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

156
ฤาษี

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

157
องค์พระ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

158
แดงเกเร

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

159
ควายธนู

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

160
ยันพระพุทธเจ้าซ่อนหา

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

161
ยันต์ท้าความ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

162
ยันน้ำเต้า

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

163
ดำดื้อ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

164
พญาครุฑ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

165
ปลาไหล

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

166
ขุนกระบี่

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

167
ยันพระลักษณ์หน้าทอง

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

168
สวยมากครับ

 ผมไม่ค่อยถนัดเรื่องตะกรุด  แต่ถนัดเรื่องพระชะมากกว่า

169
ดีทุกยันละครับ? ขึ้นชื่อเป้นยันของพระพุทธเจ้า

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

170
อนุโมทนา สาธุครับ

171
ขอบคุณสำหรับความรู้ใหม่ๆ  ครับ

172
แจ่มเลย ครับ

174
อนุโมทนาสาธุ

175
สาธุ  ...   ครับ

176
ดีมากๆเลยครับ 

177
ท่องก่อนใส่ครับ ก็เหมือน รถนั่นแหละ ต้องสตาร์ทก่อนแล้วค่อยไป หรือว่าคุณไปก่อนแล้วค่อยสตาร์ท ;D ;D ;D
ขอบคุณครับ
จิงของพี่คนนี้ พี่เขาพูดถูกใจผมเลย? :054: :054:


เข้าใจเปรียบเทียบนะ 

179
ขอบคุณมากๆครับ  เป็นความรู้ใหม่เลย

180
ขึ้นอยู่เจตตานาครับ

181
มันไม่ไช่ตระกรุดนะครับ เดิมมันเป้นแผ่นปั้มครับ แต่ผมเอามาม้วนเพื่อไห้กระทัดรัดเวลาสวมใส่ครับ  พุทธคุณยังเหมือนเดิมครับ

182
สักได้ครับ    แล้วแต่อาจายย์เป้นผู้พิจารณาว่าวางตรงไหน ผมยังสักทับกันที่เดียวเลย

183
ของผมตอกโคตเลข2233

พอคลี่ออกมาจะเป้นรูปหลวงพ่อเปิ่นขี่เสืออยู่? ล้วมด้วยพระคาถาชินบัญชร

พุทธคุณ108 ครับ
? อยากเห็นจังเลยครับ พี่ ลูกผู้ชายตัวจริง พอเป็นขวัญตา? :075: :075: :075:


ขออภัยครับ


ผมไปเหลี่ยมพลาติกแล้วครับ  ไม่สามารถคลี่ออกมาได้ ภายนอกก็เหมื่อนของคุณnnn123  ครับ

184
ของผมตอกโคตเลข2233

พอคลี่ออกมาจะเป้นรูปหลวงพ่อเปิ่นขี่เสืออยู่  ล้วมด้วยพระคาถาชินบัญชร

พุทธคุณ108 ครับ

185
อันนี้ไช้หรือเปล่า

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

187
ไม่ต้องเป็นห่วง

188
ขอบคุณ  คุณอชิตะ มากครับ ได้ความรู้กระจ่างใจ

 :053: :053: :053: :053: :053: :053: :053: :053: :016: :015:


190
ผมไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับคนที่สักที่วัดบางพระ(แต่ที่อื่นผมไม่ทราบ)   แล้วติดเชื่อเอดส์ ด้วยเข็มสัก

191
อนุโมทนา สาธุ  ____/l\_____

192
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: 12 August 2007
« เมื่อ: 05 ก.ค. 2550, 10:55:13 »
งงเหมือนกันเลย :o :o

ถ้าเป็นภาษาอังษฤษรู้เรื่องหน่อย  แต่นี้เป้นภาษาจีน  งงเลย

195
ขอบสำหรับทุกความคิดเห้น


196
ดีครับ

199
ธรรมะ / ชีวิต หนอ ชีวิต
« เมื่อ: 03 ก.ค. 2550, 07:42:31 »
เ รื่องนี้ ท่านดร.พระราชวรมุนี รองเจ้าคณะภาค 17และรองเจ้าอาวาสวัดดุสิดาราม กทม. ได้นำมา
เล่าให้ฟังอีกต่อหนึ่ง ท่านเจ้าคุณเล่าว่า วันหนึ่งท่าน ได้รับนิมนต์ให้ไปสวดศพแม่ครัวที่วัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ
แม่ครัวคนนี้ถึงแก่กรรมด้วยอุบัติเหตุที่ ไม่น่าเชื่อคือตกหม้อข้าวต้มตาย แล้วท่านเจ้าคุณก็ขยายความต่อไปว่า แม่ครัวผู้นี้เป็นมารดาของข้าราชการระดับสูงท่านหนึ่งเธอเป็นแม่ครัวรับจ้างทำอาหารเลี้ยงแขกที่มาในงานศพที่วัดแห่งนี้แบบผูกขาดมานานจนร่ำรวย สามารถส่งเสียลูกๆเรียนจบมหาวิทยาลัยได้ดีไปหลายคนกรรมที่ทำให้เธอต้องมาพบอุบัติเหตุจนถึงแก่ความตายนั้น เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่ง แม่ครัวเพิ่งสับเสร็จไม่นาน แค่หันไปหยิบเครื่องปรุง ผู้นี้เห็นว่า เนื้อหมูจำนวนมากที่นำมาสับ เพื่อเตรียมทำข้าวต้มหมูเลี้ยงแขกที่มาในงานศพนั้นหายไปอย่างผิดปกติ ทั้งๆที่หรือไปทำอย่างอื่นแค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว พอหันกลับมาอีกครั้ง
เพื่อจะนำเนื้อหมูที่สับวางทิ้งไว้บนเขียงใส่ลงหม้อข้าวต้มปรากฏว่าเนื้อหมูอันตรธานหายไปหมด โดยไม่มีร่องรอย พอถามคนโน้นคนนี้ก็ไม่มีใครรู้เรื่องเพราะต่างก็วุ่นกับงานของตัวเอง แรกๆเธอก็คิดว่าไม่เป็นไร แต่ครั้นเป็นอย่างนี้ติดต่อกันบ่อยครั้งเข้าใน ทุกครั้งที่เผลอเธอจึงอดรนทนไม่ได้ ดังนั้นจึงได้วางแผนที่จะจับเจ้าขโมยตัวดีเธอทำทีเป็นสับเนื้อหมูวางไว้บนเขียงไม้เหมือนเดิมแล้วก็แสร้งหันไปทำอย่างอื่นเหมือนเคย แต่ทว่าตาคอยแอบจับจ้องอยู่ที่เขียงไม้ตลอดเวลา ทันใดนั้นก็มีลูกสุนัขผอมโซตัวหนึ่งซึ่งแอบซ่อนอยู่ใต้โต๊ะทำกับข้าวนั่นเอง ปีนขึ้นมากินเนื้อหมูสับจนหมดอย่างรวดเร็ว แล้วก็กระโดดวิ่งหนีไป
เมื่อเห็นว่าเจ้าหัวขโมยเป็นลูกสุนัข เธอจึงรู้สึกโกรธแค้นมาก จึงได้วางแผนที่จะจัดการเจ้าลูกสุนัขตัวนี้ ดังนั้น ในวันรุ่งขึ้นเธอก็ทำทีสับเนื้อหมูทิ้งไว้บนเขียงไม้เหมือนเช่นเคยแต่คราวนี้เธอไม่ได้วางเขียงไม้ไว้ที่เดิม แต่กลับนำเขียงไม้ไปพาดกับปากหม้อข้าวต้มใบใหญ่ที่กำลังเดือดพลั่กๆอยู่แล้วเอาปลายไม้ข้างหนึ่งพาดหมิ่นๆไว้ที่ปากหม้อข้าว จากนั้นเธอจึงเดินออกไปแอบดูอยู่ใกล้ๆฝ่ายเจ้าลูกสุนัขเมื่อเห็นไม่มีคนอยู่ตรงนั้น มันจึงกระโดดเต็มแรงเพื่อขึ้นมากินเนื้อหมูสับอย่างเคย แต่ทว่าปลายไม้ที่วางหมิ่นๆพาดกับปากหม้อข้าวไว้นั้นได้กระดกขึ้นมา ทำให้เจ้าลูกสุนัขตกลงไปในหม้อข้าวต้มที่กำลังเดือดพลั่กๆทันที
ผลคือตายคาที่ โดยไม่มีโอกาสได้ร้องเลยสักแอะเดียว อนิจจา..เจ้าหมาน้อย
เมื่อจัดการกับเจ้าลูกสุนัขได้แล้ว เธอก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจเป็นอันมากเพราะไม่ต้องมาคอยกังวลว่าเนื้อหมูสับจะหายไปอีก เพียงไม่กี่วันเธอก็ลืมเรื่องนี้เสียสนิท
ประกอบกับหลังจากนั้นไม่มีงานศพที่วัด เธอจึงไม่มีงานที่ต้องมาทำอาหารเลี้ยงแขกเวลาผ่านไป 7 วัน ครบวันที่ลูกสุนัขตายพอดี วันนั้นเผอิญมีงานศพที่วัด แม่ครัวคนนี้ก็เข้าไปรับงานจัดเลี้ยงเหมือนเดิม วันนั้นเป็นวันแรกของงานศพ เธอจึงได้ต้มข้าวต้มหมูเหมือนทุกครั้งที่ผ่านๆมา ขณะที่ข้าวต้มกำลังเดือดพลั่กๆอยู่นั้น เธอก็บอกคนงานให้มาช่วยยกหม้อข้าวลงจากเตาไฟ
แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น หูหิ้วหม้อข้าวต้มข้างที่เธอถือนั้นเกิดหักหลุดจากมือตัวเธอจึงถลำลื่น หัวทิ่มลงไปในหม้อข้าวต้มใบใหญ่ที่กำลังเดือดพลั่กๆ นั้น ตายทันที โดยไม่ทันได้ร้องสักแอะเดียวเป็นชะตากรรมเดียวกับที่เธอทำกับเจ้าลูกสุนัขตัวนั้นอย่างไม่ผิดเพี้ยน!! ชะรอยลูกสุนัขกับแม่ครัวคนนี้คงจะเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันมาหลายภพหลายชาติ ผูกพยาบาทอาฆาต
กันไม่จบสิ้น ในชาตินี้จึงมาสร้างกรรม ทำเวรซึ่งกันและกันเพิ่มเข้าไปอีกผู้เขียนขอย้ำว่ากฏแห่งกรรมนั้นมีจริง เป็นจริงได้ตลอดเวลาโดยไม่คาดฝัน สุดแท้แต่ว่าจะให้อโหสิกรรมต่อกัน เลิกอาฆาตพยาบาทจองเวรกันและกันหรือไม่หากไม่ได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เจริญสติปัฏฐาน4 ก็จะไม่รู้ซึ้งถึงกฏแห่งกรรม จะไม่รู้ถึงการให้อภัยทาน การเลิกอาฆาตพยาบาทกันและกัน กฏแห่งกรรมนั้นนอกจากจะมีจริง เป็นจริงแล้ว ยังเกิดขึ้นได้โดยไม่เลือกกาลเวลาและสถานที่อีกด้วยดังนั้นคงไม่มีอะไรประเสริฐเท่ากับความมีเมตตา ให้อภัยต่อกัน ไม่ว่ากับคนด้วยกัน หรือกับสรรพสัตว์เพราะต่างก็มีชีวิต มีความรู้สึกเจ็บปวด ทุกข์ทรมานเหมือนๆ กันหมดอ่านแล้ว ปลงกะชีวิตจริงๆๆ


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

200
ต้องตัวนี้


ยันต์จิ้งจกมหาเสน่ย

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

201
 :001: :001: :001: :001: :001: :001:

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

203
ปัจุบันกระแสขององค์จตุคามรามเทพมาแรงมาก แต่คนส่วนใหญ่ที่บูชาองค์ท่านกลับหวังแต่ความร่ำรวย ทำมาค้าขึ้น ประสบความสำเร็จในอาชีพ หรืออาจจะเพื่อให้ผู้อื่นบูชาต่อในราคาที่สูงกว่าเดิม สรุปก็คือเพื่อสนองกิเลสของตนเองนั่นแหละ แทนที่จะบูชาที่คุณงามความดีของท่าน หรือเพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ให้เราทำความดี เพราะความจริงแล้วจะรวยหรือจนมันก็อยู่ที่กรรมที่เราเคยสร้างสมมานั่นเอง ถ้าคนไทยครึ่งค่อนประเทศเต็มไปด้วยความอยากได้อยากมีหวังพึ่งแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วประเทศชาติจะเป็นอย่างไร และช่วงนี้ได้ยินข่าวมาจากนักปฏิบัติธรรมกลุ่มหนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าจะจริงหรือเปล่าแต่คิดว่าน่าสนใจก็เลยอยากเอามาบอกให้เพื่อน ๆ ได้รู้กัน ส่วนจะเชื่อหรือไม่ก็อยู่ที่วิจารณญาณของแต่ละคน

มีนักไสยศาสตร์ชื่อดังทางภาคเหนือ ที่นักการเมืองหลายคนให้ความเชื่อถือ ซึ่งนักไสยศาสตร์ท่านนี้ได้รับการถ่ายทอดศาสตร์และเวทย์มนต์มาจากเกจิอาจารย์จากประเทศเขมร โดยที่เกจิอาจารย์ชาวเขมรท่านนี้ผูกใจเจ็บที่ประเทศไทยทำให้ประเทศเขมรล่มสลาย จึงใช้มนต์ดำสาปนักไสยศาสตร์ชื่อดังให้อยู่ในคำสั่งของตน ในการใช้คาถาปลุกเสกว่านโง่ซึ่งแอบผสมอยู่ในมวลสารขององค์จตุคามหลายรุ่น และจะมีพิธีปลุกเสกใหญ่อีกครั้ง เพื่อให้คนไทยเกิดความโกรธแค้นและรบกันเอง โดยอ้างว่ารบเพื่อศาสนาหรือการเมือง จึงอยากจะเตือนผู้ที่ห้อยองค์จตุคาม ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ถอดออกก่อนซักพักหนึ่ง อาจจะซักเดือนหรือสองเดือน แล้วเคารพบูชาท่านด้วยการระลึกถึงท่าน ระลึกถึงคุณความดีของท่าน แล้วช่วยกันแผ่เมตตาให้ประเทศไทย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองดูแลประเทศไทย ในหลวง เชื้อพระวงศ์ และคนไทยทุกคน ขอให้ประเทศสงบร่มเย็น ให้คนไทยรักกัน ส่วนคนที่ไม่คิดจะถอดองค์จตุคามก็ขอให้มีศีล มีธรรม มีสติ ถ้าเรื่องข้างต้นเป็นเรื่องจริงจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของคนอื่น

204
จตุคามํ สรณํ คจฺฉามิ ...?
จตุคามํ สรณํ คจฺฉามิ "ข้าพเจ้าขอถึงจตุคามรามเทพว่าเป็นที่พึ่ง"
 
"กำแพงแก้วแววไวไสวสว่าง ยังมาสร้างจตุคามงามหน้าเหลือ
มาทิ้งธรรมสยบเทพเสพเป็นเบือ โอ้ว่าเรือประเทศไทยบรรลัยแล้ว"


205
ถ้าคิดจะไปหวังความปกป้องคุ้มครองจาก"วัตถุมงคล" หรือ"เครื่องรางของขลัง"ทั้งหลาย มี"จตุคามรามเทพ" ที่สร้างออกมาอย่าง"สะบั้นหั่นแหลก"อยู่ในปัจจุบันนี้ ก็ยังต้อง"สุ่มเสี่ยง"กับ"ของปลอม"หรือ"ของเสริม"ที่"นอกพิธี"(ไม่ได้เสก) อีกมากมายมหาศาล ที่เอาไปแขวนคอไป ก็คงมีแต่จะ"เจ็บ"หรือ"ตาย"เปล่าๆ เพราะหาพลังพุทธคุณเทวคุณอิทธิคุณอันใดมิได้.....
เรียกว่า งานนี้ หนีเสือปะจระเข้จริงๆ......
กรรมของสัตว์โลกจริงๆ...!!!!!!!
fficeffice" />>>
จากการสืบทราบทั้งจาก"โรงงาน"ที่รู้จักกันเป็นสิบๆปีและ"แหล่งข่าววงใน"หลายๆที่ทั้งที่"กรุงเทพ"และ"นครศรีธรรมราช"นั้น ทำให้ได้ทราบ"ข้อมูลเบื้องลึก"ด้วยความน่าตกใจไม่น้อยว่า อัน"จตุคามรามเทพ"ที่ออกมาสู่วงการและสนามพระในตอนนี้ "ร้อยละ 80 ไม่ได้ปลุกเสก" เลย >>
>>
เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ
1. เนื่องจากมีการทำจตุคามรามเทพกันมาก โรงงานมีงานล้นมือ จึงทำให้ไม่ครบไม่ทันตามกำหนดพิธี จึงได้พระเพียง"ส่วนเดียว" ไปเข้าพิธี ส่วนที่เหลือ จึงไม่ได้ปลุกเสกใดๆ(ยกเว้นบางเจ้าอาจจะเอาผงเข้าพิธี แล้วไปปั๊มทีหลัง แล้วออกจำหน่ายจ่ายแจกเลย)
ด้วยเหตุนี้ หลายๆพิธีเทวาภิเษก จึงเป็นเพียงเสก"ผง"หรือ"กล่องเปล่าๆ" โดยมีพระมีจตุคามฯเพียงเล็กน้อยเท่านั้น..!!!???
2. สำหรับรุ่นที่"ดังๆ" และมีราคาสูงๆ คนสร้างเกิด"ความโลภ" เลยสร้าง"เสริม"มาหลอกขายอีกต่อเสียเลย
3. "ปลอมสนิท เซียนส่ายหน้า" (ไปดูแถวท่าพระจันทร์ได้ มีเป็นตันๆ!!!!!)
>>
ลำพัง ต่อให้เป็น"ของแท้ๆ" ปลุกเสกจริงๆ ก็ใช่ว่า จะ"คุ้มหัว"ได้ทุกกรณีเสียเมื่อไร สมกับที่หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่ เคยกล่าวไว้ว่า
"อันเครื่องรางของขลังทั้งหลายนั้น หากกรรมมาตัดรอนแล้ว ก็ไม่อาจคุ้มครองได้" เพราะ"อำนาจใดอื่นยิ่งกว่าอำนาจกรรมมิได้มี" (แต่หากยังไม่"ถึงที่" ก็อาจช่วยบรรเทาให้จาก"หนัก"กลายเป็น"เบา"ได้)
แต่หากเป็นกรณี"ของปลอมของเสริม" ที่ของที่"เจตนาการสร้างไม่บริสุทธิ์" (พระ/เทวดาเล็งเห็นก็ได้แต่เบือนหน้าหนี) หรือไม่ผ่านพิธีใดๆด้วยแล้ว จะเอาพลังเอาบารมีความศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนมาต้านทานคุ้มครองป้องกันให้พ้นภยันตรายซึ่งนับวันมีแต่จะร้ายแรงยิ่งๆขึ้นไปได้เล่า..???????
ด้วยเหตุนี้ จึงขอเตือนทุกๆท่าน ให้พิจารณาการทั้งปวงให้"ดีๆ"และ"รอบคอบ"ที่สุดเถิด ถ้าไม่อยาก"ตายเปล่า"นาครับ..!!!!!!!!!!!

206
?... พระเครื่องที่ผม (พลตำรวจเอกวสิษฐ เดชกุญชร) ได้รับพระราชทานจากพระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่หัว ใน พ.ศ. ๒๕๑๐ หลังจากที่รับพระราชทานเลี้ยงอาหารค่ำในวังไกลกังวลพระ ?สมเด็จจิตรลดา? หรือพระ ?กำลังแผ่นดิน? ที่พระเจ้าอยู่หัวทรงสร้างเอง

คืนนั้น บนพระตำหนักเปี่ยมสุขในวังไกลกังวล จำได้ว่า พระเจ้าอยู่หัวเสด็จลงมาพร้อมด้วยกล่องใส่พระเครื่องในพระหัตถ์ ขณะที่ทรงวางพระลงบนฝ่ามือที่ผมแบรับอยู่นั้น ผมมีความรู้สึกว่าองค์พระร้อนเหมือนเพิ่งออกจากเตา


ทราบว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระเครื่องด้วยการนำเอาวัตถุมงคลหลายชนิดผสมกัน เช่น ดินจากปูชนียสถานต่าง ๆ ทั่วประเทศ ดอกไม้ที่ประชาชนทูลเกล้าฯ ถวายในโอกาสต่าง ๆ และเส้นพระเจ้า (คือเส้นผม) ของพระองค์เอง เมื่อผสมกันโดยใช้กาวลาเท็กซ์เป็นเครื่องยึดแล้ว จึงทรงกดพระแต่ละองค์ลงในพิมพ์ โดยไม่ได้เอาเข้าเตาหรือใช้ความร้อนชนิดใด ๆ


หลังจากที่เรา (นายตำรวจรวมแปดนายและนายทหารเรือหนึ่งนาย) รับพระราชทานพระแล้ว ทรงพระกรุณาพระราชทานพระบรมราโชวาทมีความว่า พระที่พระราชทานนั้น ก่อนจะเอาไปบูชา ให้ปิดทองเสียก่อน แต่ให้ปิดเฉพาะข้างหลังพระเท่านั้น


พระราชทานพระบรมราชาธิบายด้วยว่า ที่ให้ปิดทองหลังพระก็เพื่อจะได้เตือนตัวเองว่า การทำความดีไม่จำเป็นต้องอวดใคร หรือประกาศให้ใครรู้ ให้ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ และถือว่าความสำเร็จในการทำหน้าที่เป็นบำเหน็จรางวัลที่สมบูรณ์แล้ว


... หลังจากที่ไปเร่ร่อนปฏิบัติหน้าที่อยู่ไกลห่างพระยุคลบาทเป็นเวลาประมาณหนึ่งปี ผมได้มีโอกาสกลับไปเฝ้าฯ ที่วังไกลกังวลอีก ความรู้สึกเมื่อได้เฝ้าฯ นอกจากจะเป็นความปีติยินดีที่ได้ใกล้พระยุคลบาทอีกครั้งหนึ่งแล้ว ก็มีความน้อยใจที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตั้งใจ ลำบาก และเผชิญอันตรายนานาชนิด บางครั้งแทบเป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ปรากฏว่ากรมตำรวจมิได้ตอบแทนด้วยบำเหน็จใด ๆ ทั้งสิ้น


ก่อนเสด็จขึ้นคืนนั้น ผมจึงก้มลงกราบบนโต๊ะเสวย แล้วกราบบังคมทูลว่า ใคร่ขอพระราชทานอะไรสักอย่างหนึ่ง


พระเจ้าอยู่หัวตรัสถามว่า ?จะเอาอะไร?? และผมก็กราบบังคมทูลอย่างกล้าหาญชาญชัยว่า จะขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตปิดทองบนหน้าพระที่ได้รับพระราชทานไป พระเจ้าอยู่หัวตรัสถามเหตุผลที่ผมขอปิดทองหน้าพระ


ผมกราบบังคมทูลอย่างตรงไปตรงมาว่า พระสมเด็จจิตรลดาหรือพระกำลังแผ่นดินนั้น นับตั้งแต่ได้รับพระราชทานไปห้อยคอแล้ว ต้องทำงานหนักและเหนื่อยเป็นที่สุด เกือบได้รับอันตรายร้ายแรงก็หลายครั้ง มิหนำซ้ำกรมตำรวจยังไม่ให้เงินเดือนขึ้นแม้แต่บาทเดียวอีกด้วย


พระเจ้าอยู่หัวทรงแย้มพระสรวล (ยิ้ม) ก่อนที่จะมีพระราชดำรัสตอบด้วยพระสุรเสียงที่ส่อพระเมตตาและพระกรุณาว่า ปิดทองข้างหลังพระไปเรื่อย ๆ แล้วทองจะล้นออกมาที่หน้าพระเอง...?

จากหนังสือ ?รอยพระยุคลบาท?
บันทึกความทรงจำของ พลตำรวจเอกวสิษฐ เดชกุญชร


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

208
ผมศรัทธาในบารมีขององค์หลวงพ่อเปิ่น   อย่างหาที่สุดมิได้

210
ถ้ารุ่นนี้ เรียก ห้าเสาร์



ถ้าเป้นอย่างที่คุณโยคี ได้นำรูปมานั้น 
เป้นพระผงนั้งเสือรุ่น แรก ปี2534 หรือเรียกว่า รุ่นห้าเสาร์ทรงกรอบใหณ่

ด้านหลังเป้นยันมหาทมึม(แม่ทัพ)

ผมมีอยู่องหนึ่ง  ด้านหลังเป้นยันต์กลับ

213
สวยมากครับ  สมกับเป็นเอกลักษณ์วัดบางพระ เลยครับ


214
จัดไป

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

215
จัดไป

แต่ไม่ไช่รูปรอยสักของผม

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

216
สาธุครับ

217
พิธีบวงสรวงองค์จตุคามรามเทพ ทั้งที่ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช และที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ยังคงมีประจำทุกวัน ท่ามกลางกระแสความนิยมอย่างต่อเนื่อง แต่ละพิธีจะมีการเชิญพราหมณ์ ผู้ที่ได้รับความเชื่อถือหรือพระภิกษุที่เป็นเกจิอาจารย์เข้าประกอบพิธี ทว่า ที่น่าสนใจกลับพบว่า เจ้าพิธีที่บวงสรวงอัญเชิญเทวดาเพื่อปลุกเสกมวลสารหรือบวงสรวงองค์จตุคามรามเทพ กลับเป็นเด็กชายอายุเพียง 3 ขวบ 6 เดือน

เด็กชายคนดังกล่าวร่วมทำพิธีปลุกเสกมวลสารจัดสร้างจตุคามรามเทพ รุ่น ?แก้วสารพัดนึกพระโพธิสัตว์กึ่งพุทธกาล? เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน จัดสร้างโดยวัดควนกะไหล ต.กะไหล อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา โดยมีการจัดแท่นมณฑลพิธีบวงสรวงเทวดา มีเครื่องบวงสรวงครบครัน หลังจากพิธีในช่วงเช้าแล้วเสร็จ ในช่วงบ่ายมีเจ้าพิธีที่สร้างความตื่นตะลึงให้แก่ผู้ที่พบเห็น เนื่องจากเจ้าพิธีดังกล่าวเป็นเด็กชายตัวเล็ก

โดยเด็กชายคนดังกล่าวชื่อ ด.ช.ธีระเทพ นุ่นขาว อายุ 3 ขวบ 6 เดือน หรือน้อง ?ธี? อยู่บ้านเลขที่ 11/56 แขวงสายไหม เขตสายไหม กทม. ซึ่งพิการท่อนล่างตั้งแต่กำเนิด และมีอาการเหนื่อยล้าและออกอาการง่วงนอนจนเห็นได้ชัด

นางนงลักษณ์ นุ่นขาว อายุ 40 ปี มารดาของน้องธี กล่าวว่า เมื่อแรกคลอดมีแผลที่บริเวณไขสันหลัง แพทย์บอกว่าจะมมีชีวิตได้ไม่เกิน 8 ชั่วโมง ให้ทำใจ แต่ตนและนายจารึก นุ่นขาว อายุ 40 ปี สามี ได้ภาวนาอุทิศว่า หากลูกมีชีวิตรอดจะกินเจ งดบริโภคเนื้อสัตว์ทุกชนิด จนน้องธีเข้าผ่าตัด หลังผ่าตัดแพทย์ยังบอกว่าจะมีอายุได้ไม่เกิน 6 เดือนเท่านั้น และอยู่ในห้องไอซียูมาตลอด






?ดิฉันและสามีได้ร่วมกันสวดมนต์บทพุทธบารมี บทสรรเสริญพระพุทธคุณ และบท 12 พลังแสง แผ่เมตตาภาวนาให้ลูกหายมาโดยตลอด และเมื่ออายุได้ 4 เดือน ได้แบกเดินพาขึ้นไปบนเขาสามร้อยยอดที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ยกให้เป็นลูกของพญางูที่นั่นตามความเชื่อ ไปนั่งสมาธิโดยมีน้องธีอยู่ในกลดร่วมด้วย และนำปฏิบัติธรรมตั้งแต่ยังเป็นทารกจนถึงปัจจุบันรอดมาได้อย่างอัศจรรย์? นางนงลักษณ์ กล่าว

นางนงลักษณ์ เล่าว่า ตลอดเวลาที่ปฏิบัติธรรมที่ไหนจะพาไปด้วยทุกครั้ง จนซึมซับบทสวดทุกบทได้อย่างแม่นยำ รวมทั้งบทอัญเชิญชุมนุมเทวดาในการบวงสรวงต่างๆ เช่นการบวงสรวงปลุกเสกมวลสารสร้างองค์จตุคามรามเทพหลายครั้งแล้ว เนื่องจากเชื่อว่าการเป็นเจ้าพิธีจะเพิ่มพลังบารมีเพราะเด็กยังบริสุทธิ์สะอาด ถือว่าเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ที่สุด การสวดพระคาถาต่างๆ เป็นสมาธิที่ตั้งใจ สามารถสวดได้เป็นชั่วโมง

?ครอบครัวของเราอยู่กับการปฏิบัติธรรมมาตลอดหลายครั้ง เกิดในสิ่งที่อธิบายไม่ได้กับครอบครัว เดิมนั้นเมื่อเห็นน้องธีคลอดมาเสียใจที่ลูกออกมาเช่นนี้ แต่เมื่อโตขึ้นมีความเป็นเลิศในเรื่องของความจำ ตอนนี้เขายังอ่านไม่ได้ แต่สามารถท่องจำตัวอักษรภาษาไทย ภาษาอังกฤษได้ทั้งหมด ส่วนบทสวดมนต์ต่างๆ นั้นสามารถจำได้อย่างเหลือเชื่อ อีกไม่กี่วันน้องธีจะต้องเข้าห้องผ่าตัดอีกครั้ง เพื่อผ่าตัดสะโพกเนื่องจากสะโพกเขาหลุด หมอบอกว่าโอกาสหายมี 50 : 50 และถ้าเดินได้จะเดินไม่เหมือนคนปกติ? นางนงลักษณ์ กล่าว



ที่มา : http://dek-d.com/board/view.php?id=885982



[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

218
เอาแต่สิ่งที่ดีๆ ด้านบนของลิงค์ สิ่งที่เลวๆ ด้านล่าง ห้ามนะ? ?http://tnews.teenee.com/weird/12197.html

อะไรคือสิ่งดี  อะไรคือสิ่งเลว  ครับ

221
พ่อเคยบอกว่าหลวงพ่อเปิ่นเคยมาที่วัอศรีนวลมาปลุกเสกพระร่วมกับหลวงพ่อทวีศักดิเพื่อนำปัจจัยไปสร้างรพ.หลวงพ่อทวีศักดิ์

222
มีพระเจ้าตากกับพระนเรวศ ด้วยครับ ชื่อว่ารุ่น กู้ชาต กู้แผ่นดิน

พอดีบ้านผมอญู่ใกล้ วัดศรีนวล

223
เนื่องในมหามงคลสมัยวันฉัตรมงคลที่จะเวียนมาบรรจบครบรอบอีกครั้งหนึ่งในวันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม ศกนี้ นับเป็นมหามงคลสมัยที่ปวงชนชาวไทยจะได้ถวายความจงรักภักดีและได้ถวายพระพรต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระผู้เป็นทั้งพระมหากษัตริย์อันประเสริฐ และประดุจดังพระเทพบิดรของปวงชนชาวไทย
ในวาระเช่นนี้คอลัมน์นี้จะแสดงเนื้อความอันเป็นการเฉลิมพระเกียรติในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในบางมุมบางแง่ซึ่งอาจไม่เป็นที่รู้กันโดยทั่วไป แต่เป็นความจริงซึ่งบังเกิดขึ้นแล้ว เพื่อพสกนิกรทั้งหลายจะได้รู้จะได้ทราบว่าพระประมุขของเรานั้นใช่ว่าจะเรืองพระบรมเดชานุภาพเฉพาะแต่ทางโลกก็หาไม่ แต่ในทางธรรมก็ทรงบรรลุภูมิธรรมอันสูงยิ่ง
สมแล้วที่ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก เป็นหลักชัยที่ค้ำชูทำนุบำรุงพระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าในพระราชอาณาจักรตลอดระยะเวลาอันช้านาน
เมื่อแรกเริ่มครองราชย์ก็ทรงประกาศเป็นพระปฐมบรมราชโองการอันยังก้องกังวานทั่วผืนฟ้าแผ่นดินสิ้นถึงทุกวันนี้ว่า ?เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม?
นับเป็นพระปฐมบรมราชโองการที่ครบถ้วนบริสุทธิ์บริบูรณ์ หมดจดงดงามทั้งเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด พระราชกรณียกิจมากหลายกว่าครึ่งศตวรรษล้วนเป็นบทพิสูจน์อันปราศจากความสงสัยใดๆ ว่าทรงตั้งอยู่ในธรรม ทรงเคารพธรรม ทรงถือธรรมเป็นใหญ่ ทรงประพฤติปฏิบัติธรรม และธรรมทั้งหลายเหล่านั้นล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม
ทรงละ ทรงวาง ความสุขสบายส่วนพระองค์เป็นระยะเวลาอันยาวนานกว่าครึ่งศตวรรษเพื่อประโยชน์และความสุขของพสกนิกร สมัยหนึ่งเมื่อครั้งที่พลตรี หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช ยังมีชีวิตอยู่ได้กล่าวว่าพระเจ้าอยู่หัวของเรานั้นทรงตรากตรำพระราชกรณียกิจเพื่อพสกนิกรของพระองค์อย่างหนักหนาสาหัส ถึงขนาดอาบพระเสโทต่างน้ำ
เพราะเหตุที่ทรงประพฤติปฏิบัติธรรมเป็นแบบอย่างเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยามตลอดระยะเวลาอันยาวนานเช่นนี้ ได้เปิดหนทางอันกว้างใหญ่ให้ทรงค้นและพบพระเถรานุเถระที่ทรงภูมิธรรมขั้นสูง ได้ศึกษาและรับแนวทางปฏิบัติอันถูกต้องในการถึงซึ่งวิชชาในพระพุทธศาสนา กระแสพระราชดำรัสหลายครั้งหลายหนที่ทรงรับสั่งกับพระมหาเถระที่ทรงธรรม ทรงวินัย ได้บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าภูมิธรรมในพระองค์นั้นได้บรรลุมรรคผลที่สูงมาก ทรงแจ่มแจ้งทั้งในทางปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ อย่างยากที่พุทธศาสนิกชนคนใดจะก้าวไปถึง
มีผู้กล่าวว่าภูมิธรรมในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรานั้นมิได้ย่อหย่อนไปกว่าพระเจ้าพิมพิสารในครั้งพุทธกาล และมิได้น้อยไปกว่าพระเจ้าอโศกมหาราชในยุคหลังพุทธกาล 300 ปี นั้นเลย
แต่คอลัมน์นี้กล่าวได้ว่าพระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์นั้นก็ไม่เคยแสดงทิพยอำนาจในพระองค์ให้ปรากฏเหมือนกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของปวงชนชาวไทยเรานี้เลยแม้แต่สักครั้งเดียว
เพื่อเฉลิมพระเกียรติและเพื่อความรับรู้ในหมู่พสกนิกรซึ่งมีความจงรักภักดี เห็นสมควรนำกรณีอันมีผู้รู้เห็นยืนยันและแสดงถึงภูมิธรรมอันสูงยิ่งในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาแสดงดังนี้
เรื่องที่หนึ่ง พลตรีอมรรัตน์ จินตกานนท์ อดีตนายทหารประสานงานของราชสำนักซึ่งได้ถึงแก่กรรมแล้วเคยเล่าว่า สมัยหนึ่งเมื่อครั้งยังปฏิบัติหน้าที่ราชการอยู่ ได้รับพระราชกระแสให้ไปนิมนต์พระมหาเถระฝ่ายอรัญวาสีองค์สำคัญของภาคอีสานเพื่อมาร่วมงานราชพิธีส่วนพระองค์ที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
พลตรีอมรรัตน์ จินตกานนท์ ได้ติดต่อไปทางจังหวัดประสานงานไปทางอำเภอ ตำบล และต้องให้คนขี่มอเตอร์ไซค์ไปที่วัด แต่ปรากฏว่าพระมหาเถระรูปนั้นได้ออกธุดงค์ไปแล้ว ไม่สามารถติดต่อได้ จึงนำความมากราบบังคมทูลให้ทรงทราบ
ทรงรับสั่งว่าให้ไปเรียนพระศาสนโสภณให้ช่วยนิมนต์ให้ พระศาสนโสภณที่ว่านี้ก็คือสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช องค์ปัจจุบัน ดังนั้นพลตรีอมรรัตน์ จินตกานนท์ จึงนำความไปเรียนให้พระศาสนโสภณทราบ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณบ่ายโมงเศษ พระศาสนโสภณได้แจ้งว่าให้มาฟังผลในเวลา 16 นาฬิกา แล้วเดินขึ้นไปบนกุฏิชั้นบน พลตรีอมรรัตน์ จินตกานนท์ ได้รอคอยจนถึงเวลา 16 นาฬิกา ก็ได้รับคำบอกกล่าวจากพระศาสนโสภณว่าได้นิมนต์ตามพระราชประสงค์แล้ว ให้เอารถไปรับที่จุดนัดพบในเวลาที่นัดหมาย
พลตรีอมรรัตน์ จินตกานนท์ เดิมสำคัญว่าพระศาสนโสภณมีข่ายงานติดต่อพิเศษของคณะสงฆ์ แต่ก็รู้สึกแปลกใจ จึงสอบถามพระเลขานุการว่าการติดต่อได้ใช้วิธีใด ก็ได้รับคำบอกว่าเป็นการติดต่อทางโทรจิต
ผู้ที่รู้ว่าผู้อื่นมีภูมิธรรมในระดับที่สามารถใช้ทิพยอำนาจได้เช่นนี้ ก็ย่อมมีภูมิธรรมที่ห่างกันไม่มากนัก เพราะคนธรรมดาไหนเลยจะล่วงรู้ได้
เรื่องที่สอง ช่วง 3-4 ปีก่อนที่ท่านเจ้าคุณพุทธทาสจะมรณภาพ หนังสือพิมพ์ต่างประเทศได้ลงข่าวว่าท่านเจ้าคุณป่วยหนัก รัฐบาลไทยไม่เหลียวแลเอาใจใส่ หนังสือพิมพ์ไทยได้นำความมาลงตีพิมพ์ เป็นเหตุให้คนไทยได้รับรู้ และความทราบถึงเบื้องพระยุคลบาท
ครั้งนั้นท่านเจ้าคุณพุทธทาสป่วยหนักด้วยโรคน้ำท่วมปอด เส้นเลือดหัวใจตีบ มีอาการหัวใจวาย และความดันโลหิตสูงร่วม 300 หากเป็นคนทั่วไปก็เห็นได้ว่าเข้าขั้นโคม่า มีความตายเป็นเบื้องหน้าเป็นแน่แท้
ในครั้งนั้นหนังสือพิมพ์ไทยหลายฉบับลงข่าวตรงกันว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้แพทย์หลวงคณะหนึ่งเดินทางไปรักษาท่านเจ้าคุณพุทธทาสที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และให้นำความไปถวายท่านเจ้าคุณด้วยว่า ?พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขออาราธนาว่าท่านเจ้าคุณอย่าเพิ่งดับขันธ์ ขอให้อยู่ช่วยจรรโลงพระศาสนาต่อไป?
แล้วหนังสือพิมพ์ก็เสนอข่าวต่อไปว่า เมื่อคณะแพทย์ไปถึงและท่านเจ้าคุณได้รับทราบว่ามีกระแสรับสั่งมาถวาย ก็ได้พยายามลุกนั่งสมาธิบนเตียงพยาบาล เมื่อได้ทราบคำอาราธนาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ท่านเจ้าคุณนิ่งอึ้งอยู่พักใหญ่ แล้วกล่าวว่า ?อาตมารับอาราธนา แต่จะอยู่ไปเท่าที่สังขารจะทนไหวเท่านั้น?
ในชั่วคืนวันนั้นเหตุการณ์มหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น เพราะอาการหัวใจวายและเส้นเลือดหัวใจตีบได้ทุเลาลง น้ำท่วมปอดได้ลดลง ความดันได้ลดลงเกือบปกติ พระซึ่งใกล้ชิดท่านเจ้าคุณได้เล่าให้ฟังว่า หลังจากรับอาราธนาแล้วท่านเจ้าคุณได้ปฏิบัติสมาธิและอยู่ในอาณาปานสติวิหารตลอดทั้งคืน
ความนี้เป็นเรื่องมหัศจรรย์เพราะมีข่าวต่อมาว่าหนังสือพิมพ์ต่างประเทศฉบับหนึ่งได้ลงข่าวในเชิงตั้งข้อสงสัยนี้ว่า พระสงฆ์ไทยนี้แปลก ที่สามารถผัดผ่อนความตายได้
แต่คนไทยจำนวนหนึ่งมิได้สงสัย เพราะมีความในมหาปรินิพพานสูตรแสดงไว้อย่างชัดเจนว่า ผู้ใดได้เจริญอิทธิบาทสี่ให้มากแล้ว ทำให้เป็นประหนึ่งยานแล้ว ทำให้เหมือนกับเป็นพื้นแผ่นแล้ว มีใจตั้งมั่นบริสุทธิ์ หากปรารถนาจะมีอายุชั่วกัลป์หนึ่งหรือกว่านั้นก็ได้
ท่านเจ้าคุณพุทธทาส คนทั่วไปรู้แต่เพียงว่าท่านทรงปริยัติเสมอด้วยพระพุฒโฆษาจารย์ของลังกาในอดีต แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้ดีว่าท่านบรรลุภูมิธรรมถึงวิชชาแปดประการในพระพุทธศาสนา มีทิพยอำนาจอยู่ในตัว และเจริญอิทธิบาทอยู่เนืองๆ อาการป่วยขั้นวิกฤตที่ทุเลาเบาบางลงก็ด้วยทิพยอำนาจนั้น ดังที่ปรากฏความในมหาปรินิพพานสูตรนั่นเอง
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบว่า ท่านเจ้าคุณมีภูมิธรรมเช่นนี้ อยู่ในวิหารธรรมเช่นนี้ มิใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะรู้ได้ หากต้องมีภูมิธรรมและอยู่ในวิหารธรรมที่ใกล้เคียงกัน ท่านเจ้าคุณพุทธทาสบรรลุภูมิธรรมขั้นไหน ก็เห็นได้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีภูมิธรรมที่ใกล้เคียงกันนั้นเอง ดังนั้นจะกราบพระบรมฉายาลักษณ์ครั้งใด ความรู้สึกหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือกำลังกราบพระอริยบุคคลนั่นเอง
เรื่องที่สาม เป็นเรื่องราวของพลตรี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เขียนลงไว้ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐด้วยตัวท่านเองว่า สมัยหนึ่งจะเดินทางไปผ่าตัดหัวใจที่ต่างประเทศ ทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ท้ายที่สุดได้ทรงรับสั่งว่าไปผ่าตัดครั้งนี้จะไม่ตาย ให้รีบกลับ
พลตรีหม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เขียนไว้ว่ามีความเชื่อมั่นในขณะนั้นบังเกิดเป็นปิติอันเปี่ยมล้นว่าครั้งนี้เห็นจะไม่ตายแน่ มีอาการขนลุกซู่ซ่า
คำรับสั่งที่เสมอด้วยสามารถตกลงกับพญามัจจุราชได้ดังนี้ ใช่ว่าผู้ที่มีภูมิธรรมธรรมดาจะกระทำได้ นี่เป็นวิชชาหนึ่งในพระพุทธศาสนาที่มีแต่ผู้มีภูมิธรรมอันสูงส่งเท่านั้นที่จะกระทำได้
เรื่องที่สี่ เป็นเรื่องของครูเอื้อ สุนทรสนาน หรือสุนทราภรณ์ ผู้มีสมญาว่านักร้องชั้นบรมครูผู้อมตะ และได้รับพระมหากรุณาธิคุณเป็นพิเศษคนหนึ่งในวงการศิลปินไทย โปรดให้เข้าร่วมวง อส. ซึ่งเป็นวงดนตรีส่วนพระองค์ ครั้งที่ทรงพระราชนิพนธ์บทเพลงพระราชนิพนธ์ก็ทรงพระราชทานให้กับวงสุนทราภรณ์นำไปแสดง ครั้งที่เสด็จนิวัติกลับพระนครหลังจากเสร็จการศึกษาจากต่างประเทศ ครูเอื้อ สุนทรสนาน และครูแก้ว อัจฉริยะกุล ก็ได้ร่วมกันรังสรรค์บทเพลงเพื่อถวายการต้อนรับคือเพลงราชาเป็นสง่าแห่งแคว้นอันเป็นอมตะ
ทรงมีพระเมตตาต่อครูเอื้อ สุนทรสนาน มาก ถึงกับพระราชนิพนธ์เพลงไตเติ้ลให้กับวงดนตรีสุนทราภรณ์ ชื่อว่าเพลงพระมหามงคล และพระราชทานธง ภปร. สำหรับวงด้วย
ในเดือนธันวาคมปีก่อนที่ครูเอื้อ สุนทรสนาน จะถึงแก่กรรม ได้โปรดเกล้าฯ ให้ครูเอื้อ สุนทรสนาน ขึ้นไปร้องเพลงถวายที่พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ในบทเพลงพรานทะเล ซึ่งขณะนั้นครูเอื้อ สุนทรสนาน ป่วยหนักด้วยโรคมะเร็ง ได้เดินทางออกจากโรงพยาบาลไปร้องเพลงถวาย แต่ร้องได้เพียงครึ่งเพลงก็ต้องทรุดลง ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพฯ เข้าไปประคองครูเอื้อ สุนทรสนาน เข้ามานั่งใกล้พระเก้าอี้ แล้วรับสั่งถามอาการ ครู่หนึ่งเหมือนกับจะทรงรู้ว่าครูเอื้อ สุนทรสนาน ป่วยคราวนี้คงตายแน่จึงมิได้ตรัสประการใดเหมือนกับที่เคยตรัสกับพลตรี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช
เป็นแต่ทรงถอดสร้อยซึ่งห้อยพระสมเด็จจิตรลดาออกจากพระศอคล้องคอครูเอื้อ สุนทรสนาน พร้อมกับตบศีรษะด้วยพระเมตตาแล้วทรงตรัสว่า ให้เร่งรักษานะ
ครูเอื้อ สุนทรสนาน กลับจากงานครั้งนั้นก็รู้ตัวว่าถึงเวลาใกล้จะตายแล้ว จึงได้ทำเพลงสุดท้ายสั่งลาแฟนเพลง ชื่อว่าเพลงพระเจ้าทั้งห้า ซึ่งสรรเสริญและรำลึกพระคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไว้ พร้อมกับฝากบทเพลงสุนทราภรณ์ไว้อยู่คู่ฟ้าเมืองไทย
นี่ก็เป็นวิชชาอย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนาเพราะแสดงให้เห็นถึงอนาคตังสญาณที่มีอยู่ในพระองค์ ทั้งนี้ยังไม่ต้องพูดถึงการที่เสด็จไปแห่งหนตำบลใด ถ้าหากฝนแล้งก็จะบังเกิดฝนตก หรือถ้าฝนตกหนักก็บังเกิดฝนหยุด อันเป็นพระบารมีที่มีแต่ภูมิธรรมอันสูง และถือเป็นทิพยอำนาจในพระองค์ที่คนไทยทั้งประเทศได้รู้ได้เห็นกันตลอดมาแล้ว
และด้วยภูมิธรรมระดับนี้ย่อมเชื่อและหวังได้ว่าองค์พระประมุขของเรานั้นทรงสามารถเจริญอิทธิบาทสี่ บรรลุถึงมรรคและผลแห่งวิหารธรรมข้อนี้ในระดับที่สูง ก่อเป็นทิพยอำนาจในพระองค์สมแก่ฐานะขององค์เอกอัครศาสนูปถัมภกซึ่งพสกนิกรทั้งประเทศสามารถกราบไหว้และได้อานิสงส์อย่างเดียวกันกับการกราบไหว้พระอริยบุคคลนั้นแล
ขออำนาจสัตยาธิษฐาน ความมีอยู่จริง ความมีผลจริง ในวิชชาและวิมุติในพระพุทธศาสนาและคุณพระศรีรัตนตรัย ตลอดจนอำนาจแห่งพระปริตรได้คุ้มครองกำจัดและป้องกันสรรพภัย สรรพทุกข์ สรรพโรค อย่าได้กล้ำกรายพระองค์ ขอทรงเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณในกาลทุกเมื่อเทอญ


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

224
ผมขอขอบคุณครับ ได้ประโยชน์มากเลย :-* :-*

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

228
นึกว่า พี่ กุ๊งกิ้ง ซะอีก

230
สวยงามมาก

231
ผมชอบ ยันต์มหาทมึน ครับ

232
สาธุ

233
บทความ บทกวี / คำสาบานของฤาษี
« เมื่อ: 02 มิ.ย. 2550, 05:36:37 »
คัดลอกจาก http://mahamakuta.inet.co.th/T-BOOK/...tml#february48


หนึ่งในคอลัมน์ของธรรมจักษุ
เรื่อง
คำสาบานของฤาษี
โดย...นาวาเอก (พิเศษ) วุฒิ อ่อนสมกิจ

พิมพ์ลงในนิตยสาร ?ธรรมจักษุ?
ปีที่ 89 ฉบับที่ 5 กุมภาพันธ์ 2548
คำสาบานของฤาษี
เมื่อ พระโพธิสัตว์เกิดเป็นบุตรพราหมณ์มหาศาล มีสมบัติเป็นมรดกถึง 80 โกฏิประชาชนจึงตั้งชื่อให้ว่า มหากาญจนกุมาร มีพี่น้องร่วมตระกูลถึง 7 คน คนสุดท้องเป็นหญิงชื่อว่า กาญจนาเทวี มารดาบิดาหวังจะให้ มหากาญจน์ พี่ใหญ่รับมรดกสืบตระกูล หลังกลับจากการศึกษาสำนักตักกสิลาแล้ว เตรียมขอบุตรสาวตระกูลที่เหมาะสมให้ แต่มหากาญจน์ปฏิเสธโดยส่วนเดียว โดยชี้แจงว่า ภพ คือการเกิดเป็นสิ่งที่น่าสพรึงกลัว ไม่ผิดอะไรกับกองเพลิงเครื่องจองจำ หรือสิ่งโสโครก อยากออกบวชขอให้มอบสมบัติทั้งหมดแก่น้องๆ ต่อไป
เมื่อปรึกษากับบุตรทุกคนโดยลำดับจนถึงคนสุดท้องคือกาญจนาเทวี ก็ปฏิเสธเช่นเดียวกัน น้องทั้ง 6 คนจะขอออกบวชตามพี่คนโตเหมือนกันหมด
ภายหลังจากมารดาบิดาเสียชีวิตแล้ว เมื่อไม่มีใครรับมรดกปกครองทรัพย์กองใหญ่เพียงนั้นมหากาญจน์จึงนำทรัพย์ทั้งหมดออกบริจาค เป็นมหาทานอุทิศส่วนกุศลแก่มารดาบิดา แล้วพี่น้องทั้ง 7 พากันเข้าป่าบวชเป็นฤาษี อยู่ในอาศรมคนละหลังในบริเวณใกล้สระบัวใหญ่ เวลาหาอาหารก็ต่างคนต่างหามารวมกัน แล้วแบ่งกันตามประสาพี่น้อง
ฤาษีน้องๆ มหากาญจน์ได้ความคิดใหม่ว่า ในฐานะพี่มหากาญจน์เป็นพี่ใหญ่ เป็นทั้งพี่และอาจารย์สอน ไม่สมควรลำบากด้วยอาหาร จึงพร้อมใจกันผลัดเวรหาคนละวัน เมื่อได้ก็มาแบ่งเป็นกองเรียงไว้บนหินดาด เป็น 8 กอง แล้วตีระฆังเป็นสัญญาณ เมื่อถึงเวลาต่างก็ออกจากอาศรม หยิบเอากองของตนๆ ไปคนละกอง นำกลับไปอาศรมของตนๆ แล้วบำเพ็ญสมณธรรมทั้งวัน ภายหลังฤาษีเหล่านั้นได้ฉันเหง้าบัวในสระ ปรากฏว่ามีร่างกานสมบูรณ์บำเพ็ญตบะได้แรงกล้ายิ่งขึ้น จึงเปลี่ยนจากหาผลไม้จากป่ามาเป็นเปลี่ยนเวรกันขุดเหง้าบัวมากองเป็นอาหารแทนผลไม้เป็นประจำ
ต่อมาภายหลังปรากฏว่า กองเหง้าบัวที่เป็นส่วนของมหากาญจน์ผู้พี่หายไป วันแรกก็คิดว่าน้องๆ คงลืมส่วนของตัวเอง จึงเดินกลับอาศรม แล้วบำเพ็ญตบะโดยมิได้ทานอาหาร วันที่ 2 ส่วนของมหากาญจน์ก็หายไปอีก คิดว่าเราคงทำผิดอะไรซักอย่าง น้องๆ จึงไม่แบ่งเหง้าบัวให้ จึงเข้าอาศรมบำเพ็ญตบะส่วนตัว เมื่อถึงวันที่ 3 กองเหง้าบัวหายอีก จึงคิดว่า เราคงมีความผิดซักอย่าง น้องๆ ประสงค์จะลงโทษจึงไม่แบ่งเหง้าบัวให้ จึงให้สัญญาณด้วยระฆังเพื่อประชุมฤาษีทั้งหลายโดยหวังว่า ถ้ามีความผิดก็จะขอขมาโทษ ฤาษีน้องๆ เมื่อสอบถามกันทั่วแล้ว ก็ได้รับยืนยันว่า ได้แบ่งส่วนของพี่กองไว้ทุกวัน แต่ส่วนของพี่หายไปได้อย่างไร ต่างสงสัยว่าจะมีใครสักคนหนึ่งเกิดความโลภลักเอาเหง้าบัวส่วนของพี่ไป จึงมีมติให้แต่ละคนสาบานเพื่อความบริสุทธิ์ของตนๆ แล้วพี่คนที่ 2 ชื่อ อุปกาญจน์ ได้ยืนขึ้นท่ามกลางที่ประชุมของฤาษี กล่าวคำสาบานว่า
"ท่านผู้นิรทุกข์! ถ้าข้าพเจ้าลักเหง้าบัวไปขอให้ข้าพเจ้าผู้นั้นจงได้ม้า วัว เงินทองและภรรยาที่น่ารักน่าปรารถนา จงพรั่งพร้อมด้วยบุตรธิดา และภรรยาที่น่ารักจงมากเถิด..."
อุปกาญจน์กล่าวคำสาบานยังมิทันจบฤาษีต่างพากันเปิดหู แสดงว่าคำสาบานของอุปกาญจน์ น่าหวาดเสียว จนฟังไม่ได้ต่อไปต่างก็กล่าวว่า
"พอทีๆ ท่านผู้นิรทุกข์ คำสาบานของท่านหวาดเสียวนัก พวกเราก็เชื่อแล้วว่า ท่านมิได้เอาไป นั่งลงเถิด"
เมื่ออุปกาญจน์นั่งลงแล้ว น้องคนต่อไปก็ลุกขึ้นทำความเคารพ แล้วกล่าวคำสาบานต่อ
"ข้าแต่ท่านพราหมณ์! ถ้าข้าพเจ้าลักเหง้าบัวของท่านไป ขอให้ข้าพเจ้าเป็นคนรูปร่างงดงาม มีเครื่องประดับคือ มาลัย ดอกไม้ เครื่องลูบไล้ กระแจะจันทน์ชั้นดีจากแคว้นกาสี จงเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยบุตร ภรรยามาก คลุกเคล้าด้วยกามารมณ์มากมายเถิด"
เมื่อทั้ง 2 นั่งลงแล้ว น้องคนต่อไปสาบานต่อ และเลือกกล่าวคำสาบานให้น่าหวาดเสียวขึ้นอีก
"ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ถ้าข้าพเจ้าลักเหง้าบัวของท่านไป ขอให้ข้าพเจ้าผู้นั้นได้รับปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์บรมราชาธิราช มีกำลัง มียศศักดิ์ ได้ครอบครองแผ่นดิน มีมหาสมุทรทั้ง 4 เป็นขอบเขตเถิด"
บรรดาฤาษีน้องๆ ของมหามกาญจน์ต่างทะยอยกันลุกขึ้นสาบานตนโดยลำดับ แต่ละองค์กล่าวคำสาบานโดยเลือกหาเหตุการณ์ที่น่าเสียวสยองที่สุดสำหรับพวกฤาษี โดยขอให้เกิดมามีทรัพย์สมบัติและข้าทาสบริวารอุ่นหนาฝาคั่งด้วยทรัพย์สิน และกามคุณให้มากที่สุด จนกระทั่งถึงน้องหญิงสุดท้อง คือนางกาญจนาเทวี เธอกล่าวคำสาบานว่า
"หญิงใดลักเหง้าบัวของท่านไป ขอให้พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงเป็นเอกราช ผู้สามารถปราบปรามศัตรูได้ทั่วพื้นปฐพี ทรงสถาปนาหญิงนั้นให้เป็นยอดสตรี และขอหญิงนั้นจงเป็นมเหสีเอกผู้ประเสริฐกว่านางสนมทั้งหลายแต่ผู้เดียวเถิด"
ตามตำนานเล่าต่อว่า นอกจากพวกฤาษีจะสาบานเพื่อความบริสุทธิ์ของตนๆ แล้วยังมีเหล่าบริวารแวดล้อมในป่าตลอดจนสัตว์เช่น ลิง ช้าง ฯลฯ ต่างสาบานตนในทำนองเดียว (ขอ งดไม่กล่าวถึง)
เมื่อฤาษีทั้งหลายสาบานตนครบถ้วนแล้วก็ปรากฏชายแปลกหน้าผู้หนึ่ง ชายผู้นั้นมาจากทิศใดไม่ปรากฏ สังเกตดูท่าทาง มีสง่า เป็นบัณฑิต น่าเสื่อมใส คลานเข้าไปหาฤาษีมหากาญจน์ กราบแล้ว นั่ง ณ ที่ควร เอ่ยถามมหากาญจน์
"พระคุณเจ้าผู้เจริญ ข้าพเจ้าได้ยินคำสาบานของท่านทั้งหลายแล้วประหลาดใจนักธรรมดามนุษย์และสัตว์ทั้งโลกตลอดไปถึงเทพยดาในสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น ย่อมปรารถนาและพอใจในกามคุณ อันต่างโดยลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ต่างเสาะหากามทั้งด้านวัตถุและกิเลสด้วยการประกอบกรรมทั้งที่สมควรและไม่สมควร พากันท่องเที่ยวไปในโลก สิ้นชาติแล้วๆ เล่า ๆ แต่พระคุณเจ้าทั้งหลายเห็นกามเป็นของน่าสะดุ้งกลัวน่าหวาดเสียว ถึงกับนำมาเป็นคำสาบาน แสดงความบริสุทธิ์ พระคุณเจ้าเห็นโทษอย่างไรหรือ? จึงหวาดเสียว ไม่สรรเสริญความมีกามและไม่แสวงหาซึ่งกามเหล่านั้น"
พราหมณ์มหากาญจน์โพธิสัตว์ตอบว่า
"ก็เพราะกามนั่นแหละ สัตว์ทั้งหลายจึงถูกประหาร (โดยมัจจุราช) และถูกจองจำ (โดยตัณหา อุปทาน)
เพราะกามนั่นแหละทุกข์และภัยจึงเกิด
เพราะกามทั้งหลาย สัตว์จึงตั้งอยู่ในความประมาทลุ่มหลง ทำกรรมอันเป็นบาปมากมาย ผลแห่งบาปจึงตามติดให้ผลแผดเผาอยู่ตลอดกาล เมื่อตายแล้วจึงไปเกิดในนรก
เพราะเห็นโทษแห่งกามคุณทั้งหลายเหล่านี้ ฤาษีทั้งหลายจึงกล่าวโทษของกามและไม่สรรเสริญการแสวงหากาม"
พราหมณ์เฒ่าผู้อาคันตุกะ แสดงความชื่นชมต่อคำกล่าวของท่านฤาษี ลุกขึ้นกราบด้วยความคารวะ แล้วสารภาพว่า
"ข้าแต่ท่านผู้ประพฤติพรหมจรรย์! ข้าพเจ้ามิใช่ผู้เกิดในโลกมนุษย์ แต่เป็นท้าวสักกะจอมเทพ ปลอมตัวมาในเพศของพราหมณ์นี้ก็เพื่อทดสอบดูว่า ท่านและฤาษีทั้งหลายยังจะมีใจน้อมไปในสุขแบบชาวโลกอยู่หรือไม่ จึงแกล้งขโมยเหง้าบัวไปซ่อนไว้บนบก บัดนี้ข้าพเจ้าทราบชัดแล้วว่า ฤาษีทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ติดใจในกามทั้งหลายจริง ไม่มีบาป นี่คือเหง้าบัวของท่าน ข้าพเจ้าต้องขออภัยด้วยที่ล่วงเกิน"
"ท่านเทวราชผู้เป็นจอมภูต!" พระฤาษีโพธิสัตว์กล่าว "ฤาษีทั้งหลายมิใช่สหาย มิใช่ญาติ มิใช่เพื่อนเล่น ทำไมท่านจึงล้อเล่นฤาษีทั้งหลายเล่า"
"ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์! ข้าพเจ้าล่วงเกินท่านทั้งหลายด้วยความเขลา ขอท่านผู้มีปัญญาดุจแผ่นดิน จงอาศัยความเมตตายกโทษด้วยเถิด"
มหากาญจน์โพธิสัตว์กล่าวคำยกโทษให้ท้าวสักกะและพูดเชิงปลอบใจท้าวสักกะว่า
"การที่อาตมาภาพพร้อมพวกฤาษีทั้งหลาย ได้เห็นท้าวสักกะ ผู้จอมเทพด้วยตาก็นับว่าเป็นโอกาสอันดีเลิศของเหล่าฤาษีแล้วไม่มีใครถือโทษท่านดอก"
หลังจากได้สนทนาด้วยสัมโมทนียกถาตามสมควรแล้ว ท้าวสักกะผู้จอมเทพก็หายไป ณ ที่นั้น
สิ่งที่พระฤาษีท่านกลัวนักหนาก็คือ ความมี เช่นมีทรัพย์ มีลาภ มียศ ตลอดจนสรรเสริญสุข จนถึงนำมาเป็นคำสาบานที่น่าหวาดเสียว เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ แต่ในแนวคิดของชาวเรา สิ่งเหล่านั้นสิ่งยอดปรารถนา ทำบุญครั้งใด ก็ขอให้บุญบันดาลให้สิ่งเหล่านั้นเกิดแต่เราท่านโดยไม่มีปริมาณจำกัด จึงทำให้เกิดปัญหาว่า ระหว่างความคิดของฤาษีเมื่อหลายพันปีมาแล้ว กับความคิดของชาวเราในยุคนี้ อันไหนจะเป็นความคิดที่ทันสมัย เข้าถึงสัจจธรรมแท้จริงมากกว่ากัน? ซึ่งก็มีคำตอบชัดเจนอยู่ในเรื่องสมบูรณ์แล้ว

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

236
ไม่ว่าหนุมานจะยิงกี่ดอก ยิง 1 ล้านดอกก็ยังเป็นหนุมาน ไม่ใช่ อื่นใด หนุมานแม้จะสัก 10 ตัว 10 ล้านตัว ก็คือ 1 หนุมานเท่านั้น ต่างแค่กิริยาท่าทางที่แสดงออก แต่ไม่ได้ต่างเรื่องพุทธคุณ หนุมาน ต่อให้ สัก กี่ตัว ก็คือหนุมาน ครับ ถ้าสักหนุมานสัก 5 ตัว จะกลายเปน ทศกัณ ซะที่ไหนล่ะครับ ไม่มีหรอก ครับ ยังไงได้อย่างนั้น ผมก็ไม่เคยอ่านเรื่อง รามเกียรติ์ แล้วเจอหนุมานมี 10 ตัวเลยครับ หนุมานมีเพียง 1 แต่แปลงกายให้มี 4 กร 8 กร ถือศาตราวุธ ต่างๆ? :058:


สาธุ อีกแล้ว

238
ไม่มียันต์ไหน เจ๋งกว่ายันต์ไหนหรอกครับ แค่พุทธคุณต่างกัน เด้นคนละด้าน เหรียญ มี 2 ด้านเสมอ และไม่มีผู้ใดฉลาด ที่สุด ต้องมีสิ่งที่เขาไม่รู้มั้งแหละ? ???

สาธุ

239

มีอยู่ใน หัวข้อ"เกจิาจารย์

http://www.bp-th.org/webboard/index.php/topic,1780.0.html

240
ไม่ เคยเห้นที่วัด

242
ตามหลัก ศาสนาพุทธ ถือหลักไตรสิขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ?โดยมีสติ เป็นตัวเดิน ฉนั้น ทำอะไรทีขาดสติ ย่อมเป็นการประมาท ไม่ก่อให้เกิดปัญญา
ดังนั้นพระสงฆ์ ส่วนใหญ่ แม้จะสัก จะขลังแค่ไหน จะมีสติควบคุม ทำให้เกิดปัญญา ของจะไม่ขึ้น ?ก็อยากจะบอกว่า ของขึ้นทำให้ขาดสติ เท่านั้นแหละ


สาธุ

243
ดูลำบากนะครับ

244
]ใครมีพระหลวงปู่ทวดแขวนติดตัว จะไม่ตายโหงนั้น

245
แต่จากในใบพระคาถาที่ อ.ญา วัดนางเหลียว ให้ผม ก็มีตามนี้น่ะครับขอนุญาตคัดลอกมา
พระคาถานะโมพุทธายะ เป็นประธานพระคาถาทั้งปวง

นะ คือ พระพุทธเจ้ากกุสันโธ
โม คือ พระพุทธเจ้าโกนาคม
พุธ คือ พระพุทธเจ้ากัสสะโป
ธา คือ พระพุทธเจ้าสมณโคดม (ผ่านมาแล้ว 2550 ปี)
ยะ คือ พระศรีอาริยเมตไตรโย (รออีก 3 ล้านล้านล้านปีอุบัติมาโลกมนุษย์ตามคำพยากรณ์)

แล้วก็ธาตุไฟ ช่วยปกป้องภูตผีปีศาจ ป้องกันภัย
ธาตุดิน ช่วยให้อยู่ยงคงกระพัน ครับ

ถ้าผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยน่ะครับ


ถูกต้องนะคร้าบ

246
คืคือเพื่อนมันฝากถามว่ามีวิธีทำไห้ของขึ้นป่าวถ้ามีบอกด้วยว่าทำไงแล้วที่เค้าว่ากันว่าฟังบทสวดชินบัญชรทำไห้ของขึ้นจิงป่าว(เพื่อนมันสักหนุมาน8กรครับ)

จะขึ้นไปเพื่ออะไรครับ? ???? ขึ้นแล้วทำไม ขึ้นแล้ว ชีวิต จะก้าวหน้ารุ่งเรือง หรอครับ





อย่าคิดเรื่องนี้เลย เอาแค่ มีของไว้ยึดเหนี่ยวจิตใจ ก็พอแล้วมั้ง ครับ? :-*

เห็นด้วยคร้าบ

247
ยันต์ที่วัดบางพระ  สวยๆทั้งนั้น

251
อยากได้บูชาไวมั้ง

252
ยันต์ทุกยันต์  จะมีสูตรลงต่างกันนะครับ  ขึ้นครูบาอาจารย์ค เพราะว่าแต่ละท่านอาจเรียนมาไม่เหมือนกัน

254
ตะกรุด ส่วนใหญ่จะเด่นไปทางคงกระพันชาตรี

256
:D โห!!!!!ได้ความรู้ใหม่อีกแล้ว....ขอบคุณมากคะ... :o อยากได้มาบูชาจัง :-*

257
ยินดีที้ได้รู้จัก

259
 อันธาตุทั้งสี่ ประการ ท่านได้วางหลักวิชาไว้เป้นหัวข้อใหญ่ทั้งสี่ ประการ คือ

ธาตุน้ำ ใช้ทางเสน่ห์ เมตตา
ธาตุไฟ ใช้ทางคงกระพันชาตรี อิทธิปาฏิหารย์
ธาตุดิน ใช้ทางขับไล่ภตูผี สะเดาะ
ธาตุลม  ใช้ทาง ห่องหน กำบัง  สะกด จังงัง

260
ต่อ
 สิทธิการิยะ
ธาตุตุทุกธาตุเป้นหลักใหญ่ เทวดาพรหมแลมนุษย์สรรพสิ่งในโลกนี้จะมีชีวิตยืนยาวอยู่ได้ก็เพราะธาตุมิได้แล้ง
ทั้งสามโลกนี้ก็จะศูญสิ้นไป เพระเหตุนี้  ใครหรือบุคคลใดได้รู้จักธาตุก็เป้นผู้ประเสริฐนักแล


261
บรรทัดแรก อ่านว่า นะโมพุทธายะ หมายถึง พระพุทธเจ้า5 พระองค์? ?หรือแปลเป้นภาษาบาลี ว่า ขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า
หรือ
เป้นแม่ธาตุ
นะคือธาตุน้ำ? อาโปธาตุ 12
โมคือธาตุ ดิน ปถวีธาตุ 21
พุทคือธาตุ ไฟ เตโชธาตุ 6
ธาคือธาตุลม? วาโยธาตุ 7
ยะคือ อาการทั้ง10
บรรทัดที่สอง อ่านว่า คื จะภะกะสะ หมายถึง? หัวใจธาตุพระกรณีย์ จะธาตุน้ำ ภะธาตุดิน? กะคือธาตุไฟ สะคือธาตุลม
บรรทัดที่สาม? อ่านว่า หัวใจธาตุทั้ง ๔ คือ นะมะพะทะ? นะคือธาตุน้ำ มะคือธาตุดิน พะคือธาตุไฟ ทะคือธาตุลม
บรรทัดที่สี่ อ่านว่า อุรุกุสุ มะอะอุ?
อุรุกุสุ   อันนี้ผมไม่แนใจ
มะอะอุ? แปลเป้นภาษาบาลี? ว่า? พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

พระคาถายอดหัวใจ ๑๐๘ คือ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ


263
พระมหาสมชายเป็นลูกศิษย์วัดบางพระหรอค่ะ

ไม่เห็นท่านสักที่ตามตัวเลย? หรือว่าสักน้ำมันค่ะ

แล้วท่านเป็นศิษย์สายอื่นหรึอเปล่าค่ะ

ขอบคุณค่ะ

ผมเคยเห็นพระมหาสมชาย สักเก้ายอดคับ เป้นหมึก

264
อาลัยด้วยความ เคารพ อย่างสูง ครับ

อันดีชั่วตัวตายเมื่อภายหลัง ชื่อก็ยังยืนอยู่มิรู้หาย

265
  เป้น พระผงหลวงพ่อเปิ่นรุ่นแรก ของวัดบางพระ  ปี27

270
ขอบคุณครับ

  ลูกผู้ชาย ตัวจริง ต้องสักยันต์

271
ยินดีที่ได้รู้จักครับ
 ;D ;D ;D ;D ;D

273
สวยมากครับ   ผมสนใจพระรามแผงศร อะ :o :o :o

278
สนใจตระกรุด อะ

281
ยินดีที่ได้รู้จักครับผม

284
เป้นของปลอม ครับ? พระแบบนี้ดูไม่อยากครับ อย่างที่ คุณ โยคีได้กล่าวมาแล้ว? ?
 

พระองค์นี้ดูไม่เป้น ธรรมชาติเลย เหมือนกับเป้นการจงใจไห้พระดูเก่า หรือไห้รู้สึกว่าพระองค์นี้ผ่านการไช้งานมาแล้ว อย่างรุ่นแรง
 พิมก็ผิด เนื้อก็ไม่ใช่

ผมเคยแวะ ไปที่ท่าพระจันทร์ เห้นพระแบบนี้เกลื่อนเลย องค์ละไม่กี่ สิบ บาท

285
หัวเสือ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

286
หนุมาน4กร

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

287



ด้านหลังมีหมายเลข ๔๑? ไม่ทราบว่าไปปี ๔๑ ป่าอ่ะครับ? :-*

ไม่ไช่เลข41 แต่เป้นเลข40 ครับ ลองสังเกตไห้ดีดี
ผมก็มีหนึ่งองค์เป้นเนื้อเกล็ดระฆังทองอย่างเกร็ดใหญ่


288
ปี 40 ?

เห็นเขาบอกว่าจะนำรายได้ไป ตั้งกองทุนสร้างอาคานเรียน โรงเรียนมฤคทายวัน ที่อยุทยา ?รุ่นนี้เป้นพิมโปรานย้อนยุคปี2527 และหลวงพ่อเปิ่นตั้งชื่อว่ารุน ยันต์มหาลือชา ?เพือจะเป้นที่ระลึกแด่ศิษย์ยานุศิษย์ และสาธานชน ที่ร่วมบริจาคทรัพย์ในครั้งนั้น

289
อนุโมทนา สาธุคับ

290
ผมรู้แต่ด้านหลังเขียนเป้งภาษาขอม ว่า อะระหัง

291
ผมอยู่ หนองแขม กทม

292
บทความ บทกวี / ปรัชญา
« เมื่อ: 03 พ.ค. 2550, 12:28:41 »
.....ปรัชญาแห่งความสำเร็จ

ถ้าคุณคิดว่าคุณจะพ่ายแพ้ละก็ คุณก็จะพ่ายแพ้
ถ้าคุณไม่คิดว่าคุณอยากจะทำแล้วละก็
คุณก็จะไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว
แม้ว่าคุณคิดว่าอยากจะชนะแต่คุณคิดว่าไม่สามารถจะชนะได้
ชัยชนะก็จะไม่เป็นของคุณ
ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่พยายามตั้งใจทำแล้วละก็ คุณก็จะพบกับความล้มเหลว
สิ่งที่พวกเราค้นหาในโลกนี้ก็คือความสำเร็จที่เริ่มจากกำลังใจของมนุษย์
ทุกสิ่งทุกอย่างคือการตัดสินใจจากสภาพจิตใจของมนุษย์
ถ้าคุณคิดว่าคุณเป็นคนสะเพร่าแล้วละก็ คุณก็จะเป็นไปตามนั้น
ถ้าคุณคิดว่าคุณจะก้าวไปในตำแหน่งที่สูงแล้วละก็
ก่อนที่คุณจะก้าวไปถึงตำแหน่งนั้น คุณควรมีความเชื่อมั่นว่า
คุณสามารถก้าวไปถึงอย่างแน่นอน
การต่อสู้ของชีวิตไม่ใช่ว่าคนที่แข็งแรง และคนที่ทำงานเร็ว จะได้เปรียบเสมอไป
ไม่ช้าก็เร็ว คนที่จะประสบความสำเร็จก็จะคือคนที่เชื่อว่า ฉันสามารถทำได้
นัปโปเลียน ฮิล

 

การศึกษาเอ๋ย
ถ้าไม่ศึกษาเลย
ก็ยิ่งเป็นประหนึ่งควาย
แต่ถึงแม้ศึกษามาก - สูง
ทว่าไม่ศึกษาศีล - ศึกษาจริยธรรมด้วย
ไม่ปฏิบัติตนให้เป็นคนเข้าถึงธรรมจนได้จริง
ก็ยิ่งจะเป็นควายตัวดุร้าย
ที่ยิ่งศึกษาสูง - มาก
ก็ยิ่งดุร้ายมาก
กินเลือด - เล่ห์แหลม - ลึก - ล้ำ !!!!!
โดยที่ผู้ศึกษานั้น ๆ ส่วนใหญ่
ก็ไม่รู้ตัวดอกว่า
ตนได้เป็นเช่นนั้นไปแล้ว
และแม้จะมีผู้ชี้บอกให้
ก็จะไม่เชื่อกันง่าย ๆ ด้วยซ้ำ
ในสังคมเมืองปัจจุบันนี้ มีเกลื่อนกลาด

จาก..สัมมาสิกขา (มูลนิธิธรรมสันติ 2531)

 

ฉลาดอย่างไม่ซื่อ ก็ คือฉลาดไปเข้าคุก เข้าตะราง สุดปลายทางก็คือ?..นรก
ถ้าซื่ออย่างไม่ฉลาด ก็คือ เซ่อ เหมือนคนละเมอเดินไปตกบันได?ตาย
ผู้กินอยู่เกินพอดี จงเตรียมตัวไว้ให้เต็มที่ เพื่อพบกับความไม่มีอะไรจะกิน?
พุทธทาสภิกขุ
สำนักสวนโมกขพลาราม
อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี

 

" ถ้าใครหลงครูหลงตำรา จิตใจไม่มีทางสงบ ไม่มีทางพ้นทุกข์
แต่เราจะทำให้จิตสงบ หรือพ้นทุกข์ได้ ต้องอาศัยครู อาศัยตำรา "
หลวงปู่ดุลย์ อตุโล
วัดบูรพาราม สุรินทร์

 

" พูดน้อย กลุ้มน้อย ตัณหาน้อย นอนน้อย???
??ถ้าสี่อย่างนี้น้อย ก็ใกล้จะเป็นเซียนแล้ว "
ซุนซือเหมี่ยว

 

" คนที่เชื่อมั่นในตนเองมากเกินไป?เป็นคนที่โดดเดี่ยวอ้างว้างที่สุด?"
ลู่ซู

 

" ชีวิตที่ราบรื่นเกินไป เป็นชีวิตที่สามัญ ไร้ความหมาย??
ของที่ได้มาง่ายเกินไป มักไม่ล่ำค่า?"
เหมาตุ่น

 

" ผู้ใฝ่ศึกษา จะศึกษาข้อดีของคนอื่น มาเสริมข้อด้อยของตนเอง "
หลี่ปุ๊เหว่ย

 

" สูงส่งแต่ไม่เย่อหยิ่ง ชนะแต่ไม่ลำพอง
ปราดเปรื่องแต่รู้จักลงเวที เข้มแข็งแต่มีความอดกลั้น?"
ขงเบ้ง

 

" การตกระกำลำบากเป็นมหาวิทยาลัยชั้นสูงในการฝึกฝนยอดคน?."
เหลียงฉี่เชา

 

" คนอื่นช่วยเรา??เราจะจำไว้ชั่วชีวิต
เราช่วยคนอื่น??จงอย่าจำใส่ใจ "
ฮั่วหลัวเกิง

 

" แมวสีอะไรก็จับหนูได้ "
เติ้งเสี่ยวผิง

 

" เชื่อหนังสือจนหมด สู้อย่ารู้หนังสือเลยยังจะดีกว่า.."
เม่งจื้อ

 

" สิ่งที่ตัวเราไม่ชอบ จงอย่าทำกับคนอื่น "
ขงจื้อ

 

" อย่าทำความชั่ว เพราะคิดว่าผิดนิดเดียว??..
อย่าละเว้นการทำความดี เพราะคิดว่าได้บุญกุศลแค่นิดเดียว?."
เผยสงจือ

 

" น้ำใสสะอาดเกินไป?..ย่อมไร้ซึ่งมัจฉา
คนที่เข้มงวดเกินไป?..ย่อมไร้ซึ่งบริวาร.."
ปันกู้

 

" รู้เหตุผลไม่อับจน รู้กาละไม่ถูกด่า รู้ประหยัดไม่ขัดสน "
ซูลิน

 

" ใช้ชีวิตที่ชอบตำหนิผู้อื่น มาตำหนิตัวเอง??..
ใช้จิตใจที่ชอบอภัยตัวเอง ให้อภัยผู้อื่น??"
เจิงจิ้นเสียนเหวิน

 

" คนที่ทำได้อาจพูดไม่ได้??..คนที่พูดได้อาจทำไม่ได้??."
ซือหม่าเซียน

 

??.คุณธรรมของผู้ยิ่งใหญ่?..
ผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้
ให้กำเนิด โดยมิอ้างเป็นเจ้าของ
บำรุงเลี้ยง โดยมิถือเป็นบุญคุณ
เกื้อกูล โดยมิก้าวก่าย
ไม่นำความยิ่งใหญ่ ไปแทรกแซงขู่เข็ญบังคับใคร

เมื่อได้รับการเทิดทูน ท่านไม่ทะนงตน
เมื่อได้รับการทักท้วง ท่านไม่ท้อแท้
เมื่อกิจการงานอันยิ่งใหญ่สำเร็จลง
ท่านถอนตัวจากไป??.!!!!!
 

 

" คุณสมบัติ 3 ประการนี้เป็นสิ่งทรงคุณค่าต่อผู้นำ
??.เมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย
??.ความเรียบง่ายและมัธยัสถ์ทางวัตถุ
??.มีสำนึกแห่งความเสมอภาคหรือความลดน้อมถ่อมตน "
เล่าจื๊อ

 

ลูกหมาไม่มีโอกาสตอบแทนคุณพ่อแม่
แต่ลูกหมาไม่เคยทำให้พ่อแม่น้ำตาตก
พุทธทาสภิกขุ..

 

พูดมาก เสียมาก
พูดน้อย เสียน้อย
ไม่พูด ไม่เสีย
นิ่งเสีย โพธิสัตว์
หลวงปู่ทวด(เหยียบน้ำทะเลจืด)

 

" อดีตคือความฝัน
ปัจจุบันคือความจริง
อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน
อย่าจับให้มั่น อย่าคั่นให้ตาย
จะเสียใจตลอดชีวิต "
พระราชสุทธิญาณมงคล(หลวงพ่อจรัญ)
วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี

 

" พึงระลึกไว้ว่าบางอย่างที่ถูกต้องตามกฎหมายไม่ได้แปลว่า ถูกต้องตามศีลธรรม "
อับราฮัม ลินคอล์น
รัฐบุรุษแห่งสหรัฐอเมริกา
(1809-1865)

 

คนหล๊วกอยู่ตี้เก่า บ่าเต้าคนง่าวตี้เตียวตาง
(คนฉลาดอยู่แต่ที่เก่า ไม่เท่าคนโง่ที่เดินทาง)
หลวงปู่หล้า ตาทิพย์
วัดป่าตึง

 

ปราชญ์สอนว่า.....
โดย: ขงจื้อ
-------------------------------------------------------- หน้า 1
 

เมื่อยากจนก็ยังชื่นชมในคุณธรรม เมื่อมั่งมี ก็ยังชื่นชมในมารยาทจริยธรรม

ไม่ต้องเป็นหว่งคนอื่นที่ไม่เข้าใจเรา แต่ต้องเป็นหว่างว่าเรา ไม่เข้าใจคนอื่น

การศึกษา ค้นคว้า ถ้าเอนเอียงไปสุดสายไม่ว่าข้างใดข้างหนึ่ง ก็มีแต่ผลเสียเท่านั้น

การที่ยอมรับว่าไม่รู้นั้น ก็คือความที่รู้แล้ว

บัณฑิตคิดถึงว่า ทำอย่างไรจะเพิ่มพูนคุณธรรมของตนได้ คนพาลคิดถึงว่า ทำอย่างไรจึงจะเห็นความเป็นอยู่ของตนสะดวกสบายขึ้น โดยไม่คำนึงถึงคุณธรรม

บัณฑิตรู้เฉพาะเรื่อง ที่ชอบด้วยคุณธรรม คนพาลรู้เฉพาะเรื่องที่ได้ผลกำไร โดยไม่คำนึงถึงคุณธรรม

ความผิดอันเนื่องมาจากการประหยัดนั้น มีน้อยเหลือเกิน

ผู้ที่คุณธรรมย่อมไม่ถูกทอดทิ้งโดยโดดเดี่ยว และจะต้องมีเพื่อนบ้านมาคบหา

บัณฑิตมีความอ่อนน้อมถ่อมตน รับใช้ราษฎรด้วยสติปัญญา มีความเอื้ออาทร ใช้ราษฎรโดยชอบด้วยเหตุผล

ไม่คิดถึงความชั่วของคนอื่นในอดีตกาล จึงมีคนโกรธท่านน้อย

จงเป็นนักศึกษาในแบบบัณฑิต อย่าเป็นนักศึกษาในแบบคนพาล

ตั้งใจมุ่งมั่นอยู่กับคุณธรรม ยึดมั่นในคุณธรรมไม่ละทิ้งความเมตตาธรรม ท่องเที่ยวไปในศิลปะวิชาการ

สุรุ่ยสุร่ายเกินไปก็จะอวดหยิ่ง ประหยัดเกินไปก็จะเป็นคนคับแคบ แต่เป็นคนอวดหยิ่งสู้เป็นคนคับแคบดีกว่า

บัณฑิตย่อมมีจิตใจกว้างขวางราบรื่น คนพาลย่อมมีความกลัดกลุ้มอึดอัดตลอดเวลา

อ่อนน้อมแต่ไม่มีจริยธรรม จะกลายเป็นเรื่องเหนื่อยเปล่า ระมัดระวังแต่ไม่มีจริยธรรม จะเป็นความขลาดกลัว

กล้าหาญแต่ไม่มีจริยธรรม จะกลายเป็นก่อการร้าย ซื่อตรงแต่ไม่มีจริยธรรม จะเป็นภัยแก่คนอื่น

ยังปรนนิบัตติคนที่มีชีวิตไม่เป็น จะปรนนิบัติเซ่นไหว้เทพเจ้ากับผีได้อย่างไรเล่า

บัณฑิตมีความสามัคคีต่อกัน แต่ความคิดกับการกระทำไม่เหมือนกัน คนพาลมีความคิดกับการกระทำเหมือนกัน แต่ไม่มีความสามัคคี

ปรนนิบัติบัณฑิตเป็นเรื่องง่าย แต่ทำให้บัณฑิตรักเป็นเรื่องยากลำบาก เพราะว่าถ้าไม่ชอบด้วยลักษณะธรรมบัณฑิตก็ไม่รัก

ต่างตักเตือนให้กำลังใจกันและกัน อยู่กันด้วยความสามัคคี เรียกว่าเป็นนักศึกษาได้

ในระหว่างเป็นเพื่อนกันต้อง ตักเตือนให้กำลังใจกันและกัน ในระหว่างพี่น้องต้องสามัคคีกัน

เมื่อรักเขาจะไม่ให้กำลังใจเขาได้หรือ เมื่อซื่อสัตย์ต่อเขาจะไม่ตักเตือนสั่งสอนเขาได้หรือ

บัณฑิตย่อมมีความอับอายที่พูดไปแล้วนั้น เกินกว่าที่ทำไป

ปราชญ์ย่อมหลีกเลี่ยงสังคมที่เลวร้าย สถานที่เลวร้าย มารยาทที่เลวร้าย และวาจาที่เลวร้าย

ผู้ที่ไม่มีการไตร่ตรองให้ยาว ในอนาคตไกลจะต้องมีภัยที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน
--------------------------------------------------------------------
 

ปราชญ์สอนว่า.....
โดย: ขงจื้อ
-------------------------------------------------------- หน้า 2
 

ตำหนิตนเองให้มาก ตำหนิผู้อื่นให้น้อย ก็จะไม่มีใครโกรธแค้น

รวมอยู่กันเป็นหมู่ ตลอดวันไม่เคยพูดถึงธรรมที่ชอบ ทำตนเป็นคนฉลาดในเรื่องเล็กๆน้อย ต่อไปเห็นจะลำบาก

บัณฑิตขอร้องกับตนเอง ส่วนคนพาลนั้นจะขอร้องกับคนผู้อื่น

บัณฑิตทีความภาคภูมิใจในตนเอง โดยไม่แย่งชิงความภาคภูมิใจของคนอื่น บัณฑิตมีความสามัคคี แต่ไม่เล่นพวกกัน

พูดไพเระาตลบแตลงทำให้สูญเสียคุณธรรม เรื่องเล็กไม่อดกลั้นไว้จะทำให้แผนเรื่องใหญ่เสีย

ทุกคนเกลียดก็ต้องพิจารณา ทุกคนรักก็ต้องพิจารณา

เพื่อนที่ซื่อตรง เพื่อนที่มีความชอบธรรม เพื่อนที่มีความรู้ ทั้ง 3 ประเภทนี้มีประโยชน์แก่เรา

เพื่อนที่ประจบสอพลอ เพื่อนที่ทำอ่อนน้อมเอาใจ เพื่อนที่ชอบเถียงโดยไม่มีความรู้ ทั้ง 3 ประการนี้เป็ยภัยแก่เรา

บัณฑิตมีความกลัวอยู่ 3 ประการ กลัวประกาศิตของสวรรค์ กลัวผู้มีอำนาจ กลัวคำพูดของอริยบุคคล

นิสัยคนมีความเหมือนกัน แต่การศึกษาทำให้แตกต่างกัน

เฉพาะคนที่มีปัญญาสูง กับคนที่โง่มากเท่านั้น ที่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเขาได้

รักความเมตตาแต่ไม่มีการศึกษา เสียอยู่ที่ถูกหลอกลวงง่าย รักความรู้แต่ไม่มีการศึกษา เสียอยู่ที่ความรู้นั้นกระจัดกระจายไม่มีฐานที่ตั้ง

รักความซื่อสัตย์ แต่ไม่มีการศึกษา เสียอยู่ที่เป็นภัยแก่ตนโดยง่าย รักพูดตรงความจริง แต่ไม่มีการศึกษา เสียอยู่ที่การพูดจะเป็นการทำร้ายผู้อื่นได้โดยง่าย

รักความกล้าหาญ แต่ไม่มีการศึกษา เสียอยู่ที่ก่อความไม่สงบได้ง่าย รักความเข้มแข็ง แต่ไม่มีการศึกษา เสียอยู่ที่เป็นคนมุทะลุได้ง่าย

อ่านหนังสือโดยไม่ค้นคิด การอ่านจะไม่ได้อะไร ค้นคิดโดยไม่ได้อ่านหนังสือ การค้นคิดจะเปล่าประโยชน์

ทบทวนเรื่องเก่าและรู้เรื่องใหม่ขึ้นมาอีก ก็จะเป็นครูได้

นักศึกษาสมัยก่อน ศึกษาเพื่อให้ตนมีความสำเร็จในการศึกษา นักศึกษาในปัจจุบัน ศึกษาเพื่อให้คนอื่นรู้ว่าตนเองมีการศึกษา

ชอบเอาสองคนมาเทียบว่าใครดีกว่าใคร เธอเองเก่งพอแล้วหรือ สำหรับเราไม่มีเวลาว่างมาทำเช่นนั้น

แสร้งพูดไพเราะ แสดงความน่ารัก เพื่อให้ถูกใจคน คนประเภทนี้น้อยนักที่จะเป็นคนมีเมตตาธรรม

ผู้ที่มีเมตตาธรรมเท่านั้น จึงจะสามารถรักคนด้วยความจริงใจ และจึงสามารถเกลียดคนด้วยความจริงใจ

ผู้มีปัญญาชื่นชมน้ำ เป็นผู้ขยัน ผู้มีความสุข ผู้มีเมตตา ชื่นชมภูเขา เป็นผู้รักสงบ เป็นผู้มีอายุยืน

ผู้ที่มีเมตตาธรรมเท่านั้น เวลาพูด เขาพูดอย่างเชื่องช้า ไม่พูดเชื่องช้าได้หรือ เพราะเมื่อพูดไปแล้ว ต้องทำตามที่พูดด้วยความลำบาก

ผู้ที่มีความเข้มแข็ง กล้าหาญ ซื่อสัตย์ พูดช้าก็ใกล้กับความมีเมตตาธรรมแล้ว

ผู้มีคุณธรรมต้องมีคำพูดที่ดี แต่ผู้มีคำพูดที่ดี ไม่ต้องใช่เป็นคนที่มีคุณธรรมเสมอไป

ผู้มีเมตตาธรรมต้องเป็นผู้ที่กล้าหาญ แต่ผู้กล้าหาญ ไม่ใช่ต้องเป็นคนที่มีเมตตาธรรมเสมอไป

เลี้ยงดูพ่อแม่ให้มีชีวิตอยู่ได้เท่านั้นนะหรือ ถ้าเช่นนั้น หมากับม้าก็ได้รับการเลี้ยงดูให้มีชีวิตอยู่เช่นกัน

บัณฑิตให้ความเมตตากรุณาแก่ผู้อื่น ใช้คนทำงานแต่คนไม่โกรธแค้น ความต้องการของเขาไม่เป็นความโลภ มีความสงบแต่ไม่มีความเย่อหยิ่ง มีความสง่าแต่ไม่มีความโหดเหี้ยม..
 
 


ถ้าก้าวพลาดไปหนึ่งก้าวจะเป็นไร เพราะยังมีก้าวใหม่ที่มั่นคง
              1
 

ในกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว ปลาย่อมว่ายทวนน้ำเสมอ
ปลาที่ลอยตามน้ำ ก็มีแต่ปลาตาย
มนุษย์ต้องต่อสู้กับอุปสรรค เหมือปลาว่ายทวนน้ำ
ผู้ที่ปล่อยชะตาไปตามเหตุการณ์
ก็เหมือนคนที่ตายแล้ว
   
ว่าวจะลอยขึ้นสูงได้ เพราะเหตุที่ต้านลม
ถ้าหมดลมว่าวก็ตก มนุษย์เราจะขึ้นสูงอยู่ได้
ก็เพราะต้องต่อสู้อุปสรรค
ชีวิตที่ไม่เคยพบอุปสรรค จะหาทางก้าวหน้าไม่ได้เลย
   
ชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูคือยากำลัง
อุปสรรค คือหนทางแห่งความสำเร็จ
ขอให้เราทั้งหลายพึงใจในการต่อสู้
ยินดีเผชิญหน้ากับศัตรู และกล้าฝ่าฟันอุปสรรค
   
ดอกไม้งามได้เพราะ รูปลักษณ์ และสีสัน
คนจะงามได้เพราะ พระธรรม
   
การยินดีในธรรมย่อมชนะความยินดีทั้งปวง
รสแห่งธรรม ย่อมชนะรสทั้งปวง
การให้ทานธรรม ย่อมชนะการให้ทานทั้งปวง
   
ยิ้มแย้มอย่างแจ่มใส เห็นใครทักก่อน
นี่คือ.. วิธีแสดงเสน่ห์แบบง่ายๆ แต่ให้ผลมาก
   
ทุกชีวิตย่อมมีปัญหา ปัญหามีมาให้แก้
ไม่ใช่มีมาให้กลัดกลุ้ม การแก้ปัญหา เป็นหน้าที่ของชีวิต
   
บางคน มีวัตถุอำนวยความสะดวกมาก
แต่ยังหาสุขไม่ได้
บางคนมีวัตถุอำนวยความสะดวกไม่มาก
แต่หาสุขได้
สุขหรือไม่สุข....
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวัตถุ แต่ขึ้นอยู่ที่ใจ
ที่มองเห็นความเป็นจริงของโลกและชีวิต
จนสามารถปล่อยวางคลายความยึดมั่นได้
   
การให้อภัยไม่ต้องลงทุนอะไรเลย
แต่การแก้แค้นลงทุนมาก
   
เวลาเป็นยารักษาความทุกข์ ถ้าเราปล่อยให้ผ่านไป
ยิ่งนานเท่าไร ความทุกข์ก็ยิ่งลดลง
และอาจจะหายไปในที่สุด
 
การสะกิดคุ้ยเขี่ย ความผิดพลาดของผู้อื่น
ปมด้วยของผู้อื่น มีแต่จะทำให้เขาเสียใจ และอาจทำให้เสียมิตร
ส่วนรา.... ไม่ได้อะไรเลย
   
เรายังเคยเข้าใจผิดผู้อื่น
ถ้าคนอื่นเข้าใจเราผิดบ้าง
ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องแปลกอะไร
ทำไมต้องเศร้าหมอง
ในเมื่อเราไม่ได้เป็นอย่างที่ใครเข้าใจ
   
อย่าโกรธฟุ่มเฟือย อย่าโกรธจุกจิก
อย่าโกรธไม่เป็นเวลา อย่าโกรธมาก
จะเสียสุขภาพกาย และสุขภาพจิต
   
คนที่ถูกนินทาด่าว่ามีอยู่ทั่วไป ถ้าจะเพิ่มเราเป็นผู้ถูกนินทา
เข้าไปอีกสักคน จะเป็นไรไป
   
การนินทาว่าร้ายเป็นเรื่องของเขา
การให้อภัยเป็นเรื่องของเรา
   
การชอบพูดถึงความดีของเขา คือความดีของเรา
การชอบพูดถึงความไม่ดีของเขา คือความไม่ดีของเรา
 
เราเข้าใจเขาผิด เรายังรู้สึกเสียใจ
เขาเข้าใจเราผิด ถึงเขาไม่พูด เขาก็คงรู้สึกเสียใจบ้างเหมือนกัน
 


 

 

 


293
 คนที่เชื่อมั่นในตนเองมากเกินไป?เป็นคนที่โดดเดี่ยวอ้างว้างที่สุด?"
ลู่ซู

295
เปงประโยชน์มากครับ

297
เสือตัวนี้ เท่ จริงๆเลย

299
เสือเผ่น คับ

300
ยินดีที่ได้รู้จักคับ

301
อยากได้ของดีต้องใจเย็นๆ

302
เพื่อก่อให้เกิด ความเป็นสิริมงคล ซึ่งจะนำไป สู่ความสำเร็จ" คือจุดประสงค์ และจุดมุ่งหมายของการเจิม เมื่อแต่งงานเราก็ให้_าติผู้ให_่ เจิมหน้าผาก ครั้นไปซื้อรถคันใหม่ เราก็ให้พระเกจิอาจารย์เจิมรถให้ เมื่อทำบุ_ ขึ้นบ้านใหม่พระ ก็จะเจิมประตูหน้าบ้านให้ ในขณะที่การเปิด บริษัทห้างร้าน เราก็ยังนิมนต์พระไปเจิม

คนส่วนให_่จะรู้ว่าพระเกจิแต่ละท่าน เมื่อเจิม แล้วมีพุทธคุณ เด่นด้านใด ซึ่งจะเห็นได้ว่าพระบางรูป อาจจะได้รับนิมนต์ให้ไปเจิมป้ายเปิดร้านค้ามากเป็นพิเศษ ในขณะที่บางท่านคนจะนิยมนำรถไปเจิมถึงวัด

แต่คนส่วนให_่กลับไม่รู้เลยว่า จุดแต่ละจุด ซึ่งเกิดจากการเจิมนั้น มีความหมายอย่างไร ?

ก่อนจะเข้าเรื่องความหมายของจุดในการเจิม ขออธิบายกรรมวิธี การทำดินสอพองเพื่อการเจิมของโบราณจารย์เป็นอันดับแรก คือ ให้เตรียม ดินสอพอง มาพอสมควรตามความต้องการ ละลายน้ำ แล้วเอาผ้าขาวบาง ที่สะอาดกรองทิ้งไว้จนแป้งนั้นนอนดีแล้ว รินน้ำออกให้หมด จึงเอาผ้าขาวที่สะอาดหนากว่า ผ้ากรองสักหน่อยห่อแล้วบิด และเอาของหนักทับไว้จนหมดน้ำ แล้วเอา น้ำข้าวเช็ด มาเคล้าให้พอดี ที่จะปั้นเป็นก้อนได้

อีกวิธีหนึ่งเอา แป้งนวล ผสมกับ น้ำ ให้พอปั้นได้ แล้วปั้นให้กลม ขนาดเท่าหัวแม่มือ ยาวประมาณ ๓-๔ นิ้วฟุต เสร็จแล้วเอาผึ่งแดดให้แห้ง จากนั้นเอา ใบตำลึง มาคั้นเอาน้ำ (ไม่ต้องเติมน้ำ) เอาดินสอพองที่ตากแดดแล้ว ย้อมให้ทั่ว แล้วเอาผึ่งแดดอีกครั้ง การย้อมด้วยน้ำใบตำลึง นี้ก็เพื่อทำไม่ให้ดินสอพองนั้นติดมือเท่านั้น

การทำดินสอพองเจิม โบราณเขาต้องเลือก วัน ฤกษ์ ยาม ที่จะลงมือทำ เพื่อความศักดิ์สิทธิ์จริงๆ (กำลังใจ, ความศรัทธา เชื่อมั่น ที่เราทำแบบนี้ ขั้นตอน และ มีครู ซึ่งได้มอบให้ (ถ้า ครอบครู หรือเลือกวันครูวันพฤหัสบดีเรียนวิชา การเจิม ด้วยยิ่งดีมาก) ฤกษ์ วัน สำคั_ ควรทำให้ถูกต้อง เพื่อความมั่นใจ (ปัจจุบันเอาฤกษ์ความ สะดวก เป็นสำคั_)

ส่วนพระคาถาสำหรับเสกดินสอ สำหรับเจิมคือ "พุทธัง ยาวะชีวัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง ยาวะชีวัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง ยาวะชีวัง สะระณัง คัจฉามิ"

กรรมวิธีการทำดินสอเจิม และการภาวนา คาถา ระหว่างเจิมนั้น อาจารย์แต่ละท่านเรียนมาไม่เหมือนกัน ความละเอียด และขั้นตอนจึงมีความแตกต่างกัน (ดูความสะดวก เหมาะสม) ซึ่งปัจจุบันนี้นิยมใช้แป้งดินสอพอง ผสมกับน้ำให้พอดี ข้นพอที่จะเจิมได้โดยไม่ต้องทำ ดินสอสำหรับเจิมอย่างเช่นในอดีต

นอกจากนี้แล้วในอดีตทั้งพระ และฆราวาสหากประสงค์ จะเป็นเจ้าพิธีในการเจิม ต้องมีการครอบครู โดยอาจารย์ท่าน ให้ชำระกายให้บริสุทธิ์ รักษาพระไตรรัตน์สรณาคม นั่นอยู่ในศีลวัตร (ศีลห้า) พึงตั้งเครื่องบูชา มีบายศรีปากชาม สำรับหนึ่ง เงิน ๖ บาท ผ้าขาวผืนหนึ่ง ขันล้างหน้าใบหนึ่ง เมี่ยงหมาก ดอกบัว สิ่งละ ๕ กรวย ธูปเงิน ธูปทอง เทียนเงิน เทียนทอง สิ่งละ ๕ เล่ม แป้งหอม น้ำมันหอม สำหรับเจิม

จากการรวบรวมข้อมูลการเจิมของพระเกจิต่างๆ ที่มีลูกศิษย์ลูกหามักจะให้เจิมบ้าน รถ รวมทั้งป้ายร้านค้า ในยุคปัจจุบัน แต่ละรูปจะมีวิธีการเจิม จำนวนจุด รวมทั้ง อักขระเลขยันต์ในการเจิมที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย เช่น

หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ จ.นครราชสีมา ท่านจะเจิมด้วยจุดทั้งหมด ๖ จุด คือฐานด้านล่าง ๓ จุด ตรงกลาง ๒ จุด ส่วนยอดอีก ๑ จุด แล้วเขียนอุณาโลมไว้ด้านบน นอกจากนี้แล้วด้านล่างยังเขียนคาถาว่า ยา นะ ยา ซึ่งเป็นคาถาป้องกันคุ้มภัย

ส่วน หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ จ.นครปฐม ท่าน มีความชำนา_เรื่องการเขียนอักขระเลขยันต์ เวลาเจิมท่านจะเขียนยันต์ลงไปเลย โดยจะเขียนยันต์พุฒซ้อน ซึ่งมีพุทธคุณครอบคลุมทุกด้าน ทั้งคุ้มภัย เมตตา และค้าขาย ยกเว้นบางโอกาสเท่านั้นที่ท่านจะเจิมเป็นจุด

ในขณะที่ หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม ท่านเป็นศิษย์ หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม การเจิมของท่านมีทั้งเขียนเป็นอักขระเลขยันต์ และเจิมเป็นจุด

สำหรับอำนาจพุทธคุณของแต่ละจุดนั้นส่วนให_่จะครบทุกด้าน ทั้งแคล้วคลาด ปลอดภัย ค้าขาย และเมตตามหานิยม ส่วนความหมายของจุดแต่ละจุดในการเจิมนั้น มีความหมายดังนี้
อุณาโลม หมายถึง องค์พระ ระหว่างเขียนจะมีการภาวนาว่า มา ปะ นะ ชา ยะ เต

๑ จุด ใช้เขียนอักขระที่ว่า เอกะอะมิ หมายถึง คุณแห่ง พระนิพพานอันยิ่งให_่

๒ จุด ใช้เขียนอักขระที่ว่า พุท โธ หมายถึง นามพระพุทธเจ้า

๓ จุด ใช้เขียนอักขระที่ว่า มะ อะ อุ หมายถึง คุณแห่งแก้ว ๓ ประการ (พระรัตนตรัย) และอีกความหมายคือ พระไตรปิฎก

๔ จุด ใช้เขียนอักขระที่ว่า ทุ สะ นิ มะ (หัวใจอริยสัจสี่) , นะ ชา ลิ ติ (พระสิวลี), อุ อา กา สะ (หัวใจเศรษฐี), นะ มะ อะ อุ (พระไตรปิฎก), นะ มะ พะ ทะ (ธาตทั้งสี่)

๕ จุด ใช้เขียนอักขระที่ว่า นะ โม พุท ธา ยะ หมายถึง พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ หรือคุณแห่งศีล ๕ มีพุทธคุณ

๖ จุด ใช้เขียนอักขระที่ว่า อิ สฺวา สุ สุ สฺวา อิ หมายถึง คุณแห่งไฟ หรือพระเพลิง รวมทั้งหมายถึงคุณแห่งพระอาทิตย์

๗ จุด ใช้เขียนอักขระที่ว่า สะ ธะ วิ ปิ ปะ สะ อุ หมายถึง คุณแห่งลม หรือพระพาย

๘ จุด ใช้เขียนอักขระที่ว่า พา มา นา อุ กะ สะ นะ ทุ หมายถึงคุณแห่งพระกรรมฐาน คุณแห่งศีล ๘ คุณแห่งพระอังคาร

๙ จุด ใช้เขียนอักขระที่ว่า อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ หมายถึง คุณแห่งมรรค ๔ ผล ๔ และพระนิพพาน ๑

๑๐ จุด ใช้เขียนอักขระที่ว่า เต ชะ สุ เน มะ ภู จะ นา วิ เว หมายถึง คุณแห่งครูบาอาจารย์ คุณแห่งอากาศ หมายถึงคุณแห่งศีล ๑๐ หมายถึงคุณแห่งพระเสาร์ ๓๐ ทัศ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจำนวนจุดในการเจิม ของพระเกจิอาจารย์ จะไม่เท่ากัน แต่การลงจุดนั้นจะเขียนเป็น รูปสามเหลี่ยมเหมือนกัน โดยส่วนยอดของสามเหลี่ยมนั้นจะเป็นอุณาโลม ในขณะที่บางท่าน อาจจะเพิ่มอักขระบางตัวไว้เข้าไป ส่วนการบริกรรมพระคาถา ระหว่างการเจิมนั้น สุดแล้วแต่จะได้รับการถ่ายทอดมาจากอาจารย์อย่างไร เช่น ถ้า เจิม ๓ จุด อาจจะบริกรรมคาถา มะ อะ อุ หรือ แยกเป็น ๒ จุด ก่อน คือ พุท โธ ส่วนอีกจุดนั้นบริกรรมพระคาถา เอกะอะมิ

เจิม ๑๐ จุด อาจจะ บริกรรมคาถา เต ชะ สุ เน มะ ภู จะ นา วิ เว ครั้งเดียวเลยก็ได้ หรืออาจจะแยกเขียนเป็น ๔ แถว คือ ๔ จุด ล่างบริกรรมคาถาว่า ทุ สะ นิ มะ แถวถัดมา ๓ จุด บริกรรมว่า มะ อะ อุ แถวที่มี ๒ จุดบริกรรมว่า พุท โธ ส่วนแถวบนสุด ๑ จุด บริกรรมว่า เอกะอะมิ


____________________________________________________________

303
ทางไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน - กำเนิดเป็นแมลงวัน

ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ ซอบคลุกคลี หมกมุ่นอยู่กับแหล่งบันเทิง บาร์ ไนท์คลับ สถานเริงรมย์ คาราโอเกะมั่วสุมอยู่กับแหล่งอบายมุข แหล่งยาเสพติด แหล่งการพนัน ซึ่งเป็นแหล่งไม่สะอาด ไม่บริสุทธิ์ ไม่ชอบธรรมและมักเป็นแหล่งประกอบอกุศลธรรมต่างๆ จึงเป็นปัจจัยให้ต้องเกิดเป็นแมลงวัน ที่ชอบอยู่กินกับแหล่งสกปรกตามจริตสันดานเดิมของตน

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

304
ทางไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน - กำเนิดเป็นปลวก

ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ มีจีตใจไม่เห็นคุณค่า คุณประโยชน์ของต้นไม้ ป่าไม้ คิดแต่จะตัดไม้ทำลายป่าเพื่อนำไม้มาขาย และบุกรุกที่ดินโดยไม่เห็นโทษภัยอันตรายอันเกิดจากการทำลายต้นไม้ ป่าไม้ จึงเป็นเหตุปัจจัยให้ต้องเกิดเป็นปลวก ตามจริงนิสัยที่ชอบทำลายต้นไม้ ป่าไม้ ต้องกินไม้เป็นอาหารจนกว่าจะใช้หนี้กรรมให้หมดสิ้น



[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

305
ทางไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน - กำเนิดเป็นตัว*** ตะกวด

ด้วยสมัยเป็นมนุษย์เคยทำตัวเป็นภัย ให้ทุกข์ ให้โทษ ก่อเรื่องราวที่เสียหาย ทำให้ผู้อ่านได้รับความรำคาญความเดือดร้อน ความฉิบหาย จนใครๆ ก็รังเกียจในพฤติกรรมที่แสนเลว จึงได้รับฉายาจากผู้คนว่า ?ไอ้ตัว***? ?ตัว***? จึงได้เกิดเป็นตัว*** หรือตัวเงินตัวทองสมใจนึก เหมาะสมกับจริตสันดานเดิมของตน


306
ทางไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน - กำเนิดเป็นเสือ

ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ มีโมหะกิเลส มัวเมาในนิสัยนักเลงอันธพาล เป็นผู้ร้ายต่างๆ ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนจึงถูกผู้คนตั้งฉายาว่า ?ไอ้เสือดำ? ?ไอ้เสือลาย? ?ไอ้เสือเหลือง? ?ไอ้เสือโคร่ง? เมื่อประกอบอกุศลกรรมต่างๆ มากมาย หลังจากตายไปแล้วก็ต้องไปชดใช้หนี้กรรมในนรก เปรต อสุรกาย แต่เศษกรรมก็ยังไม่หมดสิ้นยังติดกายติดใจอยู่อีก ก็บันดาลให้มาเกิดในตระกูลเสือร้ายต่างๆ ตามสันดานเดิม



[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

307
ทางไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน - กำเนิดเป็นราชสีห์

ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ มีโมหะกิเลสมาก หลงมัวเมาในอำนาจความเป็นใหญ่ ปรารถนาเป็นมหาราช เป็นจักรพรรดิ์ แล้วประกอบอกุศลธรรมอันเป็นบาปเป็นโทษเพียงเพื่อให้ได้เป็นใหญ่ โดยไม่ละอายเกรงกลัวบาปกรรมโดๆ หลังจากตายแล้วจึงไปชดใช้กรรมในนรก เปรต อสุรกาย ก็ยังไม่หมดสิ้นบาปกรรม ก็ต้องมาชดใช้เศษอกุศลกรรมโดยถือกำเนิดเป็นราชสีห์ ซึ่งสัตว์ป่านานาชนิดเกรงกลัว
ตามจริงนิสัยที่เคยเป็นผู้บ้าอำนาจมาแล้วจากอดีตชาติ



[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

308
คชสิงค์

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

309
ยันต์พระเจ้า๕พระองค์

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

310
เสือแปดทิศ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

312
จัดไป

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

313
ชาญยุทธ หาญคำภา ศรัทธา"พ่อแพ-พ่อเปิ่น"

คอลัมน์ พระเครื่องคนดัง

เชิด ขันตี ณ พล



 "ผมเชื่อมั่นในการทำความดีว่า หากทำดีไม่เบียดเบียนใคร ความดีนั้นจะส่งผลให้สิ่งดีๆ ย้อนกลับมาหาเรา ส่วนการแขวนพระเครื่องเพราะมีความเลื่อมใสศรัทธา และไว้คอยเตือนสติตนเองให้ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท"

นี่คือความเชื่อที่นำมาเป็นหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิตของ "ชาญยุทธ หาญคำภา" ผู้อำนวยการศูนย์การท่องเที่ยว กีฬาและนันทนาการ จังหวัดมหาสารคาม

"ผอ.ชาญยุทธ" เป็นคนขยันมีความรับผิดชอบงานในหน้าที่สูง เห็นได้จากเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงหน่วยงานจากศูนย์พลศึกษา มาเป็นศูนย์การท่องเที่ยวกีฬาและนันทนาการ ระยะเวลาแค่ 2 ปี ปรากฏว่าศูนย์ฯจังหวัดมหาสารคาม ภายใต้การบริหารงานได้รับการคัดเลือกจากกระทรวงต้นสังกัดให้เป็นศูนย์ต้นแบบระดับภาคอีสาน

ในฐานะที่เป็นผู้บริหารสูงสุดของศูนย์การท่องเที่ยว กีฬาและนันทนาการจังหวัดมหาสารคาม การบริหารองค์กรต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์เพราะมีผู้ใต้บังคับบัญชาหลายคน จึงต้องสร้างบรรยากาศการทำงานให้มีแต่ความรักใคร่กลมเกลียวส่งผลให้งานในหน้าที่สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
 



ถึงแม้จะเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง ความรู้ระดับปริญญาเอก แต่ "ผอ.ชาญยุทธ" ก็มีใจฝักใฝ่ธรรมะศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อพระธรรมคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา ยึดหลักธรรมคำสอนมาปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำวันคือ ทำดีต้องได้ดีและทำชั่วต้องได้ชั่ว ทำอะไรต้องทำแต่พอดีไม่สุดโต่ง และยึดหลักศีล 5 นำมาเป็นเครื่องดำเนินชีวิตทำให้ครอบครัวพานพบแต่ความสงบสุขรวมทั้งหน้าที่การงานก็เจริญรุ่งเรืองตามลำดับ การประพฤติดีเห็นผลในชาตินี้ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า

"ยามว่างจากงานประจำหรือวันสำคัญทางศาสนา ผมมักจะพาครอบครัวไปทำบุญตักบาตรฟังเทศน์ฟังธรรมที่วัดใกล้บ้านและบางครั้งก็ไปทำบุญบริจาคสร้างเสนาสนะให้กับวัดที่อยู่ในชนบทถิ่นกันดาร เมื่อได้ทำบุญทำทานบำรุงพุทธศาสนาแล้วก็เกิดความสบายใจ สำหรับวัตถุมงคลพระเครื่องที่แขวนคอเป็นประจำมาตั้งแต่สมัยเป็นหนุ่มรับราชการใหม่ๆ โดยคุณพ่อมอบให้เพราะต้องห่างบ้านเกิดไปทำงานไกลบ้านคือ หลวงพ่อแพและหลวงพ่อเปิ่น ให้ความศรัทธาพระเกจิทั้ง 2 มากเพราะจากการศึกษาอัตโนประวัติของหลวงพ่อทั้งสองแล้วท่าน เป็นพระที่มีวัตรปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเสมอต้นเสมอปลาย พุทธศาสนิกชนให้ความเคารพทั่วประเทศ จึงมีความเลื่อมใสศรัทธามาก"

ต่อมาภายหลังย้ายมารับราชการที่มหาสารคาม ก็ได้รับพระสมเด็จพิมพ์ใหญ่วัดสะตือ พระนครศรีอยุธยา ขณะไปทำบุญบริจาคปัจจัยสร้างกุฏิจากวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดกาฬสินธุ์ นับแต่นั้นมาจึง ได้นำพระเครื่องทั้ง 3 องค์ขึ้นห้อยคอติดตัวไว้ตลอดเวลาทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่าอานุภาพของวัตถุมงคลจะช่วยคุ้มภัย อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างขวัญและกำลังใจต่อการงานในหน้าที่ได้เป็นอย่างดี ส่วนการนำพระขึ้นคอก่อนขับรถออกไปทำงานจะท่องนะโม 3 จบ พร้อมกับรำลึกถึงคำสั่งสอนของคุณพ่อ แม่ ครู อาจารย์ ก็จะช่วยให้เกิดสติยั้งคิดเตือนใจทำแต่สิ่งที่ดีงาม และดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท

"ส่วนเรื่องประสบการณ์ด้านแคล้วคลาด รอดชีวิตมาได้หวุดหวิดหลายครั้ง ครั้งที่หนึ่งได้ขับรถยนต์ไปทำธุรกิจส่วนตัวในเขตตำบลกำพี้ อำเภอบรบือ เส้นทางเป็นถนนลูกรังด้วยความไม่ชำนาญทางไม่รู้ว่าข้างหน้าเป็นทางโค้งหักศอกจึงขับรถมาด้วยความเร็วพอสมควร เมื่อเห็นทางโค้งกระชั้นชิดจึงหักพวงลัยทำให้รถเกิดเสียหลักพลิกคว่ำไปตามคันนาหลายตลบรถยนต์ซึ่งซื้อมาได้เพียง 6 เดือนพังเสียหายยับเยินแต่ตนเองไม่เป็นอะไรเลย"

เหตุการณ์ครั้งที่สอง ขณะกลับจากไปราชการจังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นช่วงกลางคืนรถยนต์วิ่งเข้าเขตรอยต่อจังหวัดมหสารคาม ปรากฏว่าจู่ๆ มีรถยนต์บรรทุกวิ่งตามหลังส่ายไปมา และแซงขึ้นมาแล้วปาดหน้ารถที่ขับอย่างกระชั้นชิด จึงหักรถหลบรถเกิดเสียหลักพุ่งชนต้นไม้ข้างทางส่วนหน้ารถพังยับเยินจ่ายค่าซ่อมถึง 4 แสนบาท แต่ก็ปลอดภัยไม่เป็นไรเจ็บขัดยอกเล็กน้อยเท่านั้น

"ส่วนตัวผมเชื่อว่าเหตุที่รอดมาได้หลายครั้งคงเป็นเพราะดวงยังไม่ถึงฆาต และเพราะความไม่ประมาทเมื่อขับรถยนต์ทุกครั้งจะรัดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้ง รวมทั้งพุทธคุณของพระเครื่องที่ห้อยคอช่วยปกป้องคุ้มครอง"

แคล้วคลาดปลอดภัยผ่อนหนักให้เป็นเบา


ref.http://www.matichon.co.th/khaosod/kh...sectionid=0307






314
คุณ Namapata ขี่สิงห์ นี่ เป็นหนุมาร ตัว 9 ช่ายไหมครับ พิมพ์นี้ผมไม่รู้เลย มีแต่ อาจารย์หนู ที่ผมเคยเห็นนะครับ? :075: :075: :075:



เรียกว่าหนุมานตัว 5

315
เก๊ครับ แต่ไม่เป็นไรครับ ขอแค่เรามีความเคราพ และ ศรัททาต่อองค์หลวงพ่อเปิ่น แค่นี้ก็พอเพียงแล้ว

316
ชัยชนะที่แท้จริง 

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

317
ที่มา/หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

โจรเมืองกรุงอาละวาดหนัก ดักจี้-ปล้นชาวบ้านเป็นว่าเล่น ล่าสุดหนุ่ม จยย.รับจ้าง หลงกลคนร้ายที่ทำทีถามทางจอดรถคุยด้วย โจรเเสบสบโอกาสชักทูตมรณะออกมาจ่อเอว ขู่ขัดขืนมีสิทธิ์ตาย เหยื่อไม่กล้าหือได้ใจล้วงเงินในกระเป๋าไปเกลี้ยง โลภมากอยากได้รถมอเตอร์ไซด์อีก เเต่ผู้เสียหายไม่ยอมฮึดสู้ โจรอ่อนหัดเลยกระหน่ำยิงระยะเผาขนเข้าที่หน้าอก เหยื่อล้มคว่ำทั้งยืน ##วายร้ายถึงกับช็อกหน้าซีดเผือด เมื่อเห็นเป้าหมายลุกขึ้นยืนไม่เป็นอะไร โกยหน้าตั้งวิ่งหนีเข้าป่า เจ้าตัวเชื่อปาฏิหาริย์รอดตายมาได้เพราะห้อยเหรียญหลวงพ่อพูล

จยย.รับจ้างดวงเเข็งถูกโจรเมืองกรุงดักจี้ชิงทรัพย์ ขัดขืนถูกจ่อยิงเต็ม ๆ เเต่เหยื่อกลับไม่เป็นอะไร เกิดขึ้นเมื่อเวลา 01.00 น. วันที่ 3 ส.ค. พ.ต.ท.ทวีศักดิ์ จินดาศักดิ์ รอง ผกก.ป.สน. ทุ่งสองห้อง รับแจ้งเหตุคนร้ายชิงทรัพย์แล้วยิงเหยื่อได้รับบาดเจ็บ บริเวณหน้าโรงงานทีเอสทรังกิ้ง จำกัด ภายในซอยแจ้งวัฒนะ 12 แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ ไปตรวจสอบพร้อม พ.ต.ต. ชโลธร วัฒนะโชติ สวป. เเละเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่ง ที่เกิดเหตุพบร่างของนายวัชระ ดวงสุริยะเนตร อายุ 22 ปี จยย.รับจ้างวินหน้าห้างบิ๊กซี สาขาแจ้งวัฒนะ นอนร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดอยู่กลางถนนมีบาดเเผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนลูกซองเข้าที่ใต้ราวนมขวา 1 นัด บาดแผลไม่ลึกมาก หน้าอกยังมีรอยเขียวช้ำเจ้าหน้าที่รีบนำส่งรพ.ชลประทาน

นอกจากนี้ในที่เกิดเหตุพบรถ จยย. ฮอนด้า สีน้ำเงิน ทะเบียน กนบ 724 มหาสารคาม ของคนเจ็บล้มคว่ำอยู่ ห่างไปเล็กน้อยยังมีรถ จยย. ยามาฮ่า สีแดงดำ ทะเบียน มจธ 408 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นรถของคนร้ายล้มคว่ำขวางถนนอยู่หนึ่งคัน และมีอาวุธปืนลูกซองไทย ประดิษฐ์ตกอยู่ที่พื้นอีก 1 กระบอก พร้อมปลอกกระสุน 1 ปลอก เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน สำหรับอาการคนเจ็บเบื้องต้นแพทย์ได้ล้างเเผลเเละเย็บให้ 4 เข็ม จากนั้นก็อนุญาตให้กลับบ้านได้

จากการสอบสวนนายวัชระให้การด้วยน้ำเสียงที่ยังไม่หายตื่นเต้นว่า ก่อนเกิดเหตุขณะกำลังขี่รถ จยย.กลับบ้าน มาถึงจุดเกิดเหตุ จู่ ๆ มีคนร้ายเป็นวัยรุ่นชาย 2 คน ขี่รถ จยย. ซ้อนท้ายวิ่งตามประกบมา จากนั้นหนึ่งในคนร้ายได้บอกให้ตนจอดรถอ้างว่าหลงจะถามทาง ทันทีที่ตนหลงกลจอดรถ คนร้ายที่นั่งซ้อนท้ายก็เดินตรงเข้ามาพร้อมกับชักอาวุธปืนออกมาจี้ที่เอวตะคอกว่า "อย่าขัดขืนถ้าไม่อยากตาย" ก่อนจะล้วงเงินในกระเป๋าจำนวน 5,000 บาทไป หลังจากได้เงินไปเเล้วคนร้ายยังไม่พอใจบอกให้ลงจากรถจะเอารถ จยย. ตนไปด้วย

เหยื่อโจรเมืองกรุง กล่าวต่ออีกว่า ตอนนั้นคิดอยู่อย่างเดียวว่าคนร้ายอยากได้เงินก็เอาไปเลย เเต่รถ จยย.ตนต้องใช้ทำมาหากิน ตนจึงไม่ยอมพร้อมกับขัดขืนต่อสู้กับคนร้าย ทันทีนั้นเองคนร้ายได้ยิงตนชนิดจ่อเผาขน 1 นัด กระสุนพุ่งเข้าที่ราวนมขวาจนตนล้มทั้งยืน รู้สึกเจ็บเเละชาตรงจุดที่ถูกยิง เเต่เมื่อก้มดูกลับไม่เป็นอะไรมาก ใจตอนนั้นคิดว่าหลวงพ่อพูลที่ตนห้อยคออยู่ 3 องค์ คงจะช่วยให้เเคล้วคลาด จึงฮึกเหิมรีบลุกขึ้นมาพร้อมจะลุยกับคนร้ายอีกครั้ง เเต่ก็ไม่ลืมร้องตะโกนเรียกชาวบ้านให้ออกมาช่วย ทำเอาคนร้ายกลัวจนหน้าถอดสีก่อนจะทิ้งรถเเละปืนวิ่งหนีเข้าไปในป่ากก คาดว่าคนร้ายคงเเปลกใจว่าจ่อยิงระยะเผาขนเต็ม ๆ เเต่ตนกลับไม่เป็นอะไรมาก

อย่างไรก็ตามหลังรับเเจ้งเจ้าหน้าที่ได้นำกำลังปิดล้อมพื้นที่นานกว่า 2 ชั่วโมง แต่ยังไม่มีวี่เเววพบตัวคนร้ายเเต่อย่างใด เจอเพียงเสื้อแจ๊กเกตสีดำกับรองเท้า 1 คู่ โดยภายในเสื้อพบบัตรประชาชนระบุชื่อนายโบล (นามสมมุติ) อายุ 17 ปี จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งจะได้เร่งติดตามเจ้าของบัตรมาสอบปากคำว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีหรือไม่ หากมีส่วนเกี่ยวข้องจะได้เเจ้งข้อหาดำเนินคดีทางกฎหมายต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ระหว่างที่นายวัชระเล่าวินาทีเฉียดตาย ได้โชว์สร้อยคอที่เเขวนพระเหรียญหลวงพ่อพูลให้ผู้สื่อข่าวดูตลอดเวลา พร้อมกับพนมมือไหว้ ทั้งนี้นายวัชระเชื่อว่าที่รอดตายมาได้เพราะห้อยเหรียญหลวงพ่อพูล ที่เจ้าตัวนับถือเคารพบูชา ได้แก่ พระขุนแผน-กุมารทอง, เหรียญรูปสิงห์ และหนุมาน อีกทั้งที่บริเวณหน้าอกของนายวัชระยังสักอักขระเป็นสร้อยสังวาลย์ของหลวงพ่อเปิ่น จ.นครปฐม ด้วยเช่นกัน.
 [/glow]

318
สังขารนี้ไม่เที่ยง

แม้อายุขัยเพิ่มมากขึ้น แต่หลวงพ่อพูลไม่เคยว่างเว้นการปฏิบัติศาสนกิจ กลางวันจะฝึกสมาธิ ภาวนาจิต แผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์ทั้งปวง อันเป็นหนทางแห่งการไม่ยึดติดวัตถุจนเกิดกิเลส

เวลาเช้าจรดบ่าย จะแบ่งเวลาให้ญาติโยมที่มาหาได้พูดคุยปรับทุกข์ สนทนาข้อธรรมะ รวมทั้งการรักษาผู้เจ็บป่วยด้วยวิชาแพทย์แผนโบราณ เป็นการสงเคราะห์ผู้หนีร้อนมาพึ่งเย็น โดยไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นวรรณะแต่อย่างใด

การที่หลวงพ่อต้องตรากตรำทำงานหนัก ทั้งงานราษฎร์ งานหลวง ไม่เคยขาดตกบกพร่อง ไม่ได้มีเวลาพักผ่อน จนสังขารล่วงโรยมีสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง เจ็บไข้ได้ป่วยบ่อยครั้ง ต้องวนเวียนเข้าออกแต่โรงพยาบาลเพื่อตรวจเช็คร่างกายอยู่เป็นนิจ แต่ไม่มีใครได้ยินท่านบ่นว่าเหนื่อยล้าสักคำ นี่คงเป็นพราะผลแห่งการฝึกฝนเจริญสมาธิวิปัสสนากรรมฐานมาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ

กระทั่งวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ.2547 หลวงพ่อได้ล้มป่วยลงอีกครั้ง คราวนี้คณะศิษยานุศิษย์ใกล้ชิดนำท่านเข้าตรวจเช็คร่างกาย ณ โรงพยาบาลนครปฐม คณะแพทย์ได้ลงความเห็นว่าท่านควรพักรักษาตัวที่ตึกสงฆ์

จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม ในปีเดียวกัน คณะสงฆ์และคณะศิษยานุศิษย์ได้จัดพิธีฉลองสมณศักดิ์พัดยศที่ ?พระมงคลสิทธิการ? ถวายหลวงพ่อ ณ วัดไผ่ล้อม ซึ่งขณะนั้นอาการของหลวงพ่อยังไม่ดีขึ้น ศิษยานุศิษย์จึงได้พาไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาล โดยได้อยู่ในการดูแลของนายแพทย์วิวัฒน์ สุรางค์ศรีรัฐ และนายแพทย์มิตร รุ่งเรืองวานิช ซึ่งแพทย์ลงความเห็นว่าหลวงพ่อมีอาการลิ้นหัวใจรั่ว และน้ำท่วมปอด

ต่อมาเมื่อวันที่ 13 มกราคม พ.ศ.2548 นายไชยา สะสมทรัพย์ ส.ส. จังหวัดนครปฐม และพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ได้ย้ายหลวงพ่อไปรักษาตัวยังโรงบาลสมิติเวช กรุงเทพมหานคร โดยอยู่ในการดูแลของนายแพทย์รังสรรค์ รัตนปราการ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ ซึ่งขณะนั้นหลวงพ่อก็ยังมีอาการระบบลิ้นหัวใจรั่ว และน้ำท่วมปอด ต้องเข้ารักษาตัวในห้องไอซียู และทำการฟอกไต เพื่อให้ระบบต่างๆ กลับมาดังเดิม


๏ สัญญาก็คือสัญญา

ตลอดเวลาแห่งการเจ็บไข้ได้ป่วย หลวงพ่อพูลยังมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เจริญพระพุทธมนต์กำเนิดจิตเป็นสมาธิเพื่อระงับความเจ็บปวด ดังนั้นจึงไม่มีใครเคยได้ยินท่านเอ่ยปากบ่นว่าเจ็บปวดใดๆ เลย แต่เนื่องจากสภาพสังขารที่เกิดชราภาพมากแล้ว อาการจึงไม่ดีขึ้นมีแต่ทรงกับทรุด ตลอดเวลาที่พักรักษาตัวอยู่ในโรงบาลสมิติเวช หลายต่อหลายครั้งที่อาการของท่านทรุดลงหนัก ขนาดแพทย์ยังกล่าวว่าหมดปัญญารักษาแล้ว แต่เมื่อศิษย์ใกล้ชิดเข้าไปกระซิบที่ข้างหูท่านว่า ?หลวงพ่ออย่าลืมสัญญาน่ะ? ท่านจะพยักหน้าเข้าใจ และนิ่งสงบเข้าสู่สมาธิ กำหนดจิตภาวนาจนอาการพ้นขีดอันตรายทุกครั้ง

สัญญาใจที่หลวงพ่อพูลได้ให้ไว้แก่ลูกศิษย์มีอยู่ 2 ข้อ คือ ข้อแรกคือ ท่านรับปากว่าจะอยู่เป็นประธานพิธีอธิษฐานปลุกเสกพระเครื่อง รุ่นพระขุนแผน-กุมารทอง ที่ทางวัดสร้างขึ้นเพื่อหาปัจจัยมาสร้างเมรุปลอดมลพิษ ที่ต้องใช้งบประมาณในการก่อสร้างกว่า 35 ล้านบาท ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อพูลต้องการมอบให้กับชาวเมืองนครปฐมที่ท่านรัก เนื่องจากท่านตระหนักเล็งเห็นว่า เวลาวัดไผ่ล้อมมีการจัดงานเผาศพ ฝุ่นและควันได้ฟุ้งกระจายไป สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้กับชาวบ้านใกล้เคียง ท่านจึงมีดำริให้ก่อสร้างเมรุปลอดมลพิษขึ้น แม้ต้องใช้ทุนทรัพย์มหาศาล แต่เพื่อสาธารณประโยชน์หลวง พ่อไม่เคยเสียดาย

สัญญาอีกข้อหนึ่งคือ ท่านรับปากไว้ตั้งแต่ปีก่อนว่าจะอยู่เป็นประธานพิธีไหว้ครูบูรพาจารย์ ที่ทาง วัดไผ่ล้อมจัดขึ้นทุกวันวิสาขบูชาเป็นประจำต่อเนื่องนานนับสิบปี ซึ่งพิธีนี้ได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากบรรดาศิลปิน นักร้องนักแสดงชั้นนำของเมืองไทย เข้าร่วมพิธีอย่างคับคั่ง และในปี พ.ศ.2548 นี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม ซึ่งศิษย์ทุกคนก็ต่างหวังว่าจะได้รับความเมตตาจากหลวงพ่ออีกครั้ง แม้ในใจลึกๆ จะหวั่นวิตกว่าอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายก็ตาม


๏ ปาฏิหาริย์มีจริง

กว่า 4 เดือนที่หลวงพ่อต้องนอนอยู่บนเตียงคนป่วย โดยไม่มีวี่แววว่าอาการจะดีขึ้น คณะศิษยานุศิษย์ได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งจะเกิดปาฏิหาริย์ให้หลวงพ่อหายจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วย แต่รอแล้วรอเล่าทุกคนแทบหมดกำลังใจ

และเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ.2548 ที่ผ่านมา ก็เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นจริงๆ เมื่อจู่ๆ อาการหลวงพ่อพูลก็กลับกระเตื้องดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา จนแพทย์ผู้ให้การรักษาเองยังแปลกใจและอนุญาตให้หลวงพ่อพูลออกจากโรงพยาบาลกลับสู่วัดไผ่ล้อม

ต่อมาวันที่ 17 พฤษภาคม หลวงพ่อก็ได้ร่วมประกอบพิธีพุทธาภิเษกพระขุนแผน-กุมารทอง ตามที่ได้รับปากไว้ แม้ท่านจะนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ซึ่งทางวัดได้จัดสร้างห้องผู้ป่วยไอซียู พร้อมอุปกรณ์ทางการแพทย์ทันสมัยไว้ในกุฏิของท่านเป็นการเฉพาะ โดยทางคณะศิษยานุศิษย์ได้โยงสายสิญจน์จากปะรำพิธีที่อยู่กลางแจ้งหน้าอุโบสถ ไปยังกุฎิของหลวงพ่อ และให้ท่านถือไว้จนเสร็จพิธี

ต่อมาเมื่อวันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม เวลา 6 โมงเช้า ก่อนหน้าพิธีไว้ครูบูรพาจารย์ 1 วัน ปรากฏว่าหลวงพ่อพูลเกิดอาการหน้ามืดและขับถ่ายเป็นมูกเลือด อาการได้ทรุดลงอีกครั้ง จนต้องรีบนำท่านส่งโรงพยาบาลสมิติเวช อย่างกะทันหัน แพทย์ตรวจพบว่าท่านเกิดอาการติดเชื้อในกระเพาะอาหาร มีเลือดออกในกระเพาะอาหารอย่างมาก และไม่สามารถทำการผ่าตัดได้เพราะร่างกายอ่อนแอ อาจละสังขารในวันเดียวกันนี้

แต่แล้วปาฏิหาริย์ครั้งที่ 2 ก็เกิดขึ้นโดยเมื่อช่วงเย็นวันเดียวกัน อาการของหลวงพ่อก็กระเตื้องขึ้นมาอีกครั้ง แม้แต่แพทย์เองก็รู้สึกประหลาดใจว่า ทำไมชายชราอายุร่วมร้อยปีสามารถต่อสู้กับโรคร้ายและความเจ็บปวดทรมานได้ถึงเพียงนี้ ด้านคณะศิษยานุศิษย์ที่ทราบข่าวก็ปลาบปลื้มดีใจเป็นอย่างมาก ที่ยังมีหลวงพ่ออยู่เป็นมิ่งขวัญ และมีกำลังใจที่จะจัดงานใหญ่ให้สำเร็จลุล่วงในวันรุ่งขึ้นตามที่ตั้งใจไว้


จิตสงบสู่สมาธิ

อากาศยามเช้าวันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2548 สดใสไร้เมฆฝน พุทธศาสนิกชนต่างหลั่งไหลมาสู่วัดไผ่ล้อม เพื่อร่วมทำบุญตักบาตรเนื่องในวันวิสาขบูชา นอกจากนี้ยังถือโอกาสร่วมพิธีไหว้ครูบูรพาจารย์ประจำปี เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต

กระทั่งตกสายแดดกล้า เหล่าศิลปินดารานักร้องนักแสดงชื่อก้องฟ้าเมืองไทยกว่า 50 ชีวิต ได้เดินทางมาร่วมพิธีอย่างพร้อมเพียง โดยมีพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ศิษย์เอกของหลวงพ่อพูล เป็นผู้ประกอบพิธีให้ ซึ่งพิธีดำเนินไปอย่างราบรื่นไร้อุปสรรค แม้ฟ้าฝนก็ยังเป็นใจส่งเมฆครึ้มมาปกคลุมบริเวณวัดให้เกิดความร่มเย็น แต่ไร้ซึ่งเมฆฝนสักหยด ขณะเดียวกันที่โรงบาลสมิติเวช หลวงพ่อพูลได้กำหนดจิตเจริญสมาธิภาวนา สวดมนต์อยู่บนเตียงผู้ป่วยอย่างเงียบๆ โดยไม่แสดงอาการเจ็บปวดใดๆ ให้เห็น


๏ วาระสุดท้ายแห่งชีวิต

หลังเสร็จพิธีช่วงบ่าย คณะศิษยานุศิษย์ได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลว่า หลวงพ่อทรุดหนักมากเกินกว่าที่แพทย์จะเยียวยารักษาได้แล้ว ทุกคนจึงรีบเดินทางไปให้เร็วที่สุดเพื่อให้ทันดูใจเป็นครั้งสุดท้าย

และเมื่อไปถึงโรงพยาบาล ภาพที่ศิษย์ทุกคนได้เห็นคือ ร่างของชายชราวัยเฉียดร้อยที่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง แม้ร่างกายภายนอกดูผ่ายผอม แต่ใบหน้ากับเอิบอิ่มด้วยบุญญาบารมีฉายแววแจ่มชัด และไม่ปรากฏอาการทุรนทุรายจากความเจ็บป่วยภายในให้เห็นแม้แต่น้อย จิตใจท่านเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว แกร่งเกินกว่าคนวัยนี้จะทำได้

หลวงพ่อได้กำหนดจิตเข้าญาณสมาธิตามลำดับชั้น ภายในห้องไอซียูเงียบสงัด ไม่มีใครพูคุยกันเพราะทุกคนต่างตกอูย่ในภวังค์ มีเพียงเสียงดัง ต๊อด...ต๊อด...จากเครื่องวัดสัญญาณชีพ ที่ยังแสดงให้รู้ว่าหลวงพ่อพูลท่านยังมีลมหายใจอยู่ แต่ก็เริ่มเสียงแผ่วเบาลงเรื่อยๆ คล้ายๆ จะบอกว่า ร่างนี้กำลังจะแตกดับไปตามธรรมชาติในเวลาอันใกล้


๏ ถึงเวลาละสังขาร

จนกระทั่งเวลา 14.55 น. เสียงเครื่องวัดสัญญาณชีพสงบลง ปลุกศิษย์ทุกคนให้ตื่นจาภวังค์กลับสู่โลกความเป็นจริง เพื่อให้รับรู้ว่าหลวงพ่อพูลได้ละสังขารมรณภาพจากพวกเขาไปอย่างสงบแล้ว ในวันวิสาขบูชา ด้วยโรคกระเพาะอาหารติดเชื้อและเสียเลือดในกระเพาะอาหารอย่างเฉียบพลัน ทิ้งไว้เพียงธรรมคำสั่งสอนและคุณงามความดีที่สั่งสมมาตลอด 93 ปีแห่งอายุขัย พรรษา 68

แม้ตระหนักดีว่าทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นดำรงอยู่และดับไป แต่ ณ ห้วงเวลานี้ศิษย์ทุกคนก็ยังไม่หลุดพ้นกิเลสทั้งมวล ต่างก้มลงกราบร่ำไห้แทบเท้าหลวงพ่ออันเป็นที่เคารพรักอย่างไม่อาย ไม่เว้นแม้ แต่แพทย์และพยาบาลก็ร่วมประสานเสียงสะอื้นไห้ดังระงมไปทั่ว เนื่องจากอาลัยรักในตัวหลวงพ่ออย่างสุดซึ้ง เพราะตลอดเวลาที่ท่านรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ท่านได้มีความเมตตากรุณาแก่ทุกคน จนเป็นที่ประจักษ์แก่ใจแล้วว่า นาม พูล อตฺตรกฺโข ศิษย์แห่งตถาคตผู้นี้ ได้เจริญรอยตามแนวทางพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างหมดจดงดงาม

ตลอดเวลาที่ผ่านมาจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต หลวงพ่อได้อุทิศตนแล้วแด่บวรพระพุทธศาสนา ทุ่มเทด้วยแรงกาย แรงใจ แรงสติปัญญา ช่วยเหลือผู้ยากไร้มิเคยขาด ที่สำคัญท่านพ้นวังวนของกิเลสและตัณหาทั้งปวง มุ่งแผ่เมตตาธรรมโดยถ้วนหน้าแก่ทุกชีวิตที่เข้ามาพึ่งใบบุญ โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ สายตาของท่านมองทุกคนด้วยความเท่าเทียม ทุกคนจึงได้รับการปฏิบัติจากหลวงพ่ออย่างดีมาโดยตลอด หลวงพ่อพูลเป็นพระสงฆ์ที่เคร่งครัดพระธรรมวินัย ด้วยความสมถะท่านจะนิ่ง พูดน้อย จนได้รับสมญา ?พระจริงต้องนิ่งใบ้?


๏ พลังศรัทธาหลั่งไหล

คณะสงฆ์และคณะศิษยานุศิษย์ได้อัญเชิญศพหลวงพ่อพูล กลับมาตั้งบำเพ็ญกุศล ณ ศาลาปุริมานุสรณ์ (พูล อตฺตรกฺโข) วัดไผ่ล้อม ในวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ.2548 ในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานน้ำหลวงสรงศพ และหีบทองทึบตั้งหน้าศพพระมงคลสิทธิการหรือหลวงพ่อพูล ก่อนนำร่างของท่านบรรจุใส่โลงทำด้วยไม้สักทองคำ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้กราบไหว้บูชา

ขณะที่ศิษยานุศิษย์ทั่วประเทศทราบข่าวการมรณภาพของท่านจากสื่อมวลชนทุกแขนง ที่ได้นำเสนอข่าวอย่างพร้อมเพียง มหาชนนับหมื่นหลั่งไหลกันมาที่วัดไผ่ล้อมด้วยอาการเศร้าสลด มองไปมุมไหนก็มีแต่คนร้องไห้ตาแดงก่ำ บางคนถึงกับสะอึกสะอื้นปิ่มว่าจะขาดใจ...สิ่งนี้คงเป็นภาพที่สื่อให้เห็นถึงความรักที่คนมีต่อหลวงพ่อพูลได้อย่างแจ่มชัด



.............................................................

คัดลอกมาจาก ::
1. หนังสือพิมพ์ข่าวสด หน้า 1 คอลัมน์ มงคลข่าวสด
วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ.2548 ปีที่ 15 ฉบับที่ 5295
2. http://www.watpailom.org/

319
ประวัติและปฏิปทา
หลวงพ่อพูล อตฺตรกฺโข
วัดไผ่ล้อม
ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม


๏ ภูมิหลังชาติกำเนิด

เกจิยอดนิยม
นครปฐมอาคมขลัง
ที่สุดแห่งความดัง
เปี่ยมพลังบารมี
งานเสกไม่เคยพลาด
งานราษฎร์ไปทุกที่
แจกจ่ายให้ ?ของดี?
ล้วนมีประสบการณ์
ดังไกลข้ามขอบฟ้า
ฮือฮาเรื่องเล่าขาน
โดดเด่นเห็นผลงาน
ลูกหลานได้ยลยิน
พระแท้ที่โดนใจ
ผู้ให้จนกายสิ้น
แสงทองส่องแผ่นดิน
วิตามินเสริมใจ
ชาตินี้หรือชาติหน้า
ยากหาพระองค์ไหน
ศักดิ์สิทธิ์ติดตรึงใจ
กราบไหว้ไม่รู้ลืม

?พระมงคลสิทธิการ? หรือ ?หลวงพ่อพูล อตฺตรกฺโข? มีนามเดิมว่า พูล ปิ่นทอง เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2455 ตรงกับปีชวด ร.ศ.131 เป็นปีที่ 3 ในแผ่นดินรัชกาลที่ 6 ณ บ้านเลขที่ 75 หมู่ 3 ต.ดอนยายหอม อ.เมือง จ.นครปฐม เป็นบุตรคนที่ 6 ในจำนวนพี่น้องทั้งหมดรวม 10 คน บิดาชื่อ นายจู ปิ่นทอง มารดาชื่อ นางสำเนียง ปิ่นทอง

โยมบิดา-โยมมารดาได้ช่วยกันเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนให้ ด.ช.พูล ปิ่นทอง เป็นคนดี อยู่ในโอวาท และอยู่ในศีลในธรรม ซึ่งอุปนิสัยของเด็กคนนี้คือ เป็นผู้มีจิตใจเมตตาโอบอ้อมอารี จริงใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ต่อทั้งเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ ชอบช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่ต้องรอให้ร้องขอ และอุปนิสัยที่เด่นชัดที่สุด คือ เป็นคนเงียบๆ พูดน้อย ด้วยเหตุนี้ทำให้ไม่มีใครคาดคิดเลยว่า ?ต่อไปในภายภาคหน้า หนูน้อยผู้นี้จะเติบใหญ่ภายใต้ร่มกาสาวพัตร์ เป็นสุดยอดอริยสงฆ์ที่ผู้คนกราบไหว้ทั้งแผ่นดิน?


๏ การศึกษาหาความรู้

เมื่ออายุถึงเกณฑ์ ด.ช.พูล ได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนวัดห้วยจระเข้ อ.เมือง จ.นครปฐม ซึ่งเป็นโรงเรียนใกล้บ้าน ด้วยความอุตสาหะขยันหมั่นเพียร จึงสามารถอ่านออกเขียนได้แตกฉานกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน กระทั่งเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ในปี พ.ศ.2471

แต่ด้วยชาติตระกูลที่ถือกำเนิดในครอบครัวชาวสวนผลไม้ ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไรมากมาย กอปรกับมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันถึง 10 คนทำให้ ด.ช.พูล ไม่ได้ศึกษาต่อเพราะต้องออกมาช่วยงานทางบ้าน แต่เพราะเป็นคนสนใจใฝ่รู้ จึงได้ฝึกการอ่านและเขียนอักขระขอม และวิชาแพทย์แผนโบราณจนมีความเชี่ยวชาญ จากปู่แย้ม ปิ่นทอง (ผู้เป็นปู่แท้ๆ) ฆราวาสผู้มีภูมิรู้ในเรื่องไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ และการแพทย์แผนโบราณ

จวบจนถึงวัยหนุ่มฉกรรจ์ นายพูลผู้มีอุปนิสัยนิ่งเงียบ ไม่ค่อยพูดค่อยจาและรักสันโดษ มีความชอบวิชาการต่อสู้ตามแบบฉบับลูกผู้ชาย จึงฝึกฝนและศึกษาศิลปะแม่ไม้มวยไทย จนมีความชำนาญและเป็นนักมวยฝีมือดีคนหนึ่ง ว่างจากซ้อมเชิงมวยแล้ว ว่างจากทำไร่ไถนา ก็จะไปหัดเล่นลิเกกับครูจันทร์ คณะแสงทอง แต่ใจไม่รักลิเก ฝึกได้ระยะหนึ่งก็เบื่อ

กระทั่งอายุครบเกณฑ์ทหาร ท่านได้ทำหน้าที่พลเมืองดีของชาติ ด้วยการเข้ารับราชการเป็นทหาร สังกัดทหารม้ารักษาพระองค์ เมื่อปี พ.ศ.2477 (กองบัญชาการเดิมอยู่ที่สะพานมัฆวาน กรุงเทพมหานคร ตรงกับช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7) หลังครบกำหนด 1 ปี 6 เดือนจึงปลดประจำการ โดยได้รับยศเป็นนายสิบตรี มีเงินเดือนขณะนั้นเดือนละ 2 บาท สร้างความภูมิใจให้ท่านเป็นอย่างมาก

หลวงพ่อพูลมักเล่าประสบการณ์สมัยเป็นทหารให้บรรดาลูกศิษย์ลูกหาฟังอย่างสนุกสนาน ท่านภูมิใจในชีวิตทหาร ให้ช่างวาดภาพแต่งเครื่องแบบเต็มยศไว้เป็นอนุสรณ์ วันนี้ภาพนี้ยังติดอยู่ในกุฏิหลวงพ่อที่วัดไผ่ล้อม ?ชีวิตทหารมีแต่เรื่องสนุก หลวงพ่อ...ชอบเล่าให้ศิษย์ฟัง อายุกว่า 90 ปี ท่านก็มีความจำดี เล่ากี่ครั้ง...กี่รอบ...ก็ไม่มีพลาด?


๏ สู่ร่มกาสาวพัตร์

หลังปลดจากทหารประจำการแล้ว จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุเพื่อทดแทนคุณบิดามารดา เมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ.2480 ตรงกับขึ้น 12 ค่ำ ปีฉลู ณ พัทธสีมาวัดพระงาม อ.เมือง จ.นครปฐม โดยมีพระครูอุตรการบดี (หลวงปู่สุข ปทุมสุวณฺโณ) เจ้าคณะอำเภอเมืองนครปฐม เจ้าอาวาสวัดห้วยจระเข้ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระปลัดมณี เจ้าอาวาสวัดพระงาม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระสมุห์ปุ่น เจ้าอาวาสวัดลาดปลาเค้า เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า ?อตฺตรกฺโข?

หลังบวชแล้วพระพูลได้พำนักอยู่ที่วัดพระงาม ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยด้วยความพากเพียร จนสามารถสอบไล่ได้นักธรรมตรี เมื่อ พ.ศ.2482 ที่วัดพระงามแห่งนี้ ท่านได้มีโอกาสฝากตัวเป็นศิษย์พระเถระชื่อดังหลายรูปด้วยกัน อาทิ หลวงพ่อพร้อม, หลวงปู่สุข วัดห้วยจระเข้, หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม เป็นต้น

ในระหว่างนี้เอง พระพูลได้ให้ความสนใจการศึกษาด้านการเจริญสมาธิจิต ฝึกฝนวิปัสสนากรรมฐาน ควบคู่กับการศึกษาวิชาจากคัมภีร์ต่างๆ อย่างคร่ำเคร่ง โดยฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อพร้อม พระเถระชื่อดังแห่งวัดพระงาม พระเกจิอาจารย์รุ่นสงครามอินโดจีน ผู้ทรงคุณในด้านการสร้างพระปิดตาเนื้อทอง ด้วยพื้นฐานวิชาคาถาอาคมซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจากปู่แย้ม ตั้งแต่สมัยเยาว์วัย จึงทำให้ท่านสามารถเจริญพุทธาคมได้รุดหน้าอย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกัน พระพูลได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม สุดยอดแห่งบูรพาจารย์แห่งแผ่นดินนครปฐม โดยเฉพาะหลวงพ่อเงินได้ให้ความเมตตาแก่ท่านเป็นพิเศษ ให้คำแนะนำสั่งสอนเรื่องการการเจริญสมาธิภาวนา การเขียนอักขระเลขยันต์ ปลุกเสกวัตถุมงคล และวิชาอาคมต่างๆ อย่างไม่ปิดบังและไม่หวงวิชา

เมื่อได้รับคำแนะนำสั่งสอนจนเกิดความมั่นใจแล้ว หลวงพ่อพูลจึงออกธุดงควัตรไปตามป่าเขาลำเนาไพร มุ่งหน้าไปทางลพบุรี นครสวรรค์ พิษณุโลก แสวงหาความวิเวกอยู่พื้นที่ภาคเหนือ เพื่อลดละกิเลส อานิสงส์การธุดงควัตรทำให้ท่านมีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ สมาธิจิตสูง

ด้วยเนื้อนาบุญ

ในปี พ.ศ.2486 วัดไผ่ล้อมเกิดขาดเจ้าอาวาสปกครองวัด เนื่องจากเจ้าอาวาสแต่ละรูปไม่อยู่ในศีลในธรรมแห่งเพศบรรพชิต อยู่ปกครองวัดได้ไม่นานก็ต้องลาสิขาไป สร้างความเอือมระอาจนชาวบ้านหมดศรัทธาไม่ใส่บาตรทำบุญ ทำให้วัดไผ่ล้อมกลายเป็นวัดร้าง

สมัยนั้นวัดไผ่ล้อมมีสภาพเป็นเพียงวัดเก่ารกร้าง เดิมทีเป็นป่าไผ่ชาวมอญ ที่รัชกาลที่ 4 เกณฑ์เป็นแรงงานบูรณะองค์พระปฐมเจดีย์ ใช้เป็นที่พัก บรรยากาศของวัดร่มรื่นเหมาะแก่สมณปฏิบัติธรรม

กระทั่งผู้นำและชาวบ้านกลุ่มหนึ่งฉุกคิดว่ายังมีพระสงฆ์รูปหนึ่ง มีวัตรปฏิบัติที่หมดจดงดงาม จำพรรษาอยู่ที่วัดพระงาม นามว่า พระพูล อตฺตรกฺโข จึงพากันไปกราบนมัสการพระพูล ให้ย้ายมาประจำพรรษาอยู่ที่วัดไผ่ล้อม เพื่อกอบกู้วัดพลิกฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง โดยเข้ารับตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาส จนกระทั่งได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2492

สมัยท่านรักษาการเจ้าอาวาส เห็นว่าวัดไผ่ล้อมยังไม่มีอุโบสถ จึงปรึกษากับพระเถระผู้ใหญ่และญาติโยมผู้มีจิตศรัทธา ดำเนินการสร้างอุโบสถ โดยได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ.2490 กระทั่งเสร็จสมบูรณ์เป็นพระอุโบสถหลังแรก ในปี พ.ศ.2492 หลังจากนั้นท่านก็พัฒนาวัดต่อไป บุกเบิกถางป่าไผ่ จนได้สร้างศาลาการเปรียญในปี พ.ศ.2535

จากนั้นวัดไผ่ล้อมมีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าตามลำดับ ด้วยบุญบารมีของหลวงพ่อพูล ทั้งนี้ หลวงพ่อพูลเป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังในเมตตามหานิยม และด้านการปลุกเสกพระขุนแผน-กุมารทอง จนเป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสของศิษยานุศิษย์ทั่วประเทศ

วัดมีโบสถ์มีศาลาการเปรียญ ไม่ช้าวัดไผ่ล้อมก็ได้โรงเรียนพระปริยัติธรรม ญาติโยมยิ่งหลั่งไหลเข้ามาทำบุญ บำเพ็ญศีลสมาธิ และศึกษาปฏิบัติธรรม ก็ได้ช่วยสร้างเสนาสนะต่างๆ จากกุฏิสองสามหลัง ก็เพิ่มขึ้นมาจนเต็มพื้นที่ จำนวนพระภิกษุสามเณรเข้ามาจำพรรษาก็มากขึ้น

ต้นปี พ.ศ.2539 อุโบสถหลังเก่าเริ่มทรุดโทรมมาก ประกอบกับน้ำก็ท่วมบ่อยๆ จึงได้สร้างอุโบสถเฉลิมพระเกียรติหลังใหม่ ปลายปีก็สร้างศาลากลางน้ำ ศาลากลางน้ำเป็นบ่อน้ำ ญาติโยมใช้กันมาตั้งแต่โบราณ ท่านเลยปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น ต่อมาดำเนินการสร้างฌาปนสถานไร้มลพิษ พร้อมศาลาอเนกประสงค์ไว้ใช้ในพิธีต่างๆ ในวัด ซึ่งดำเนินการรุดหน้าไปมาก

นอกจากนี้ ท่านยังเป็นผู้อุปถัมภ์สร้างโรงเรียนวัดไผ่ล้อม (พูลประชาอุปถัมภ์) เพื่อเป็นสถานศึกษาสำหรับเยาวชนด้วย

ต่อมาสวนอายุวัฒนมงคล 90 ปี ถูกสร้างขึ้นใช้เป็นที่สำหรับญาติโยมได้พักผ่อนจิตใจ เดินดูต้นไม้ พูดคุยกับต้นไม้ ?ต้นไม้ทุกต้น มีธรรมะของพระพุทธเจ้า? หลวงพ่อพูลสอนเป็นปริศนา

นับเป็นบุญของชาวบ้านโดยแท้ เพราะหลังจากหลวงพ่อพูลได้เข้ามาปกครองวัดไผ่ล้อม ท่านก็ให้ความสงเคราะห์ชาวบ้าน ไม่ว่าจะยากดีมีจนก็เข้าหาท่านได้ทุกคน สร้างความศรัทธาให้ญาติโยมทั้งใกล้และไกล หากใครมีความเดือดเนื้อร้อนใจ พวกเขาจะพากันมากราบขอบารมีหลวงพ่ออยู่เนืองๆ จนท่านกลายเป็นศูนย์รวมแห่งความรักความศรัทธา มีลูกศิษย์ลูกหาทั่วประเทศ และต่างกล่าวขวัญถึงหลวงพ่อของเขาว่าเป็นพระอริยสงฆ์ผู้เปี่ยมด้วยเมตตา


๏ หลวงพ่อคือผู้ให้

วัตรปฏิบัติอย่างหนึ่งที่ศิษยานุศิษย์ได้สัมผัสหลวงพ่อพูล มากว่าครึ่งศตวรรษ คือท่านเป็นพระสงฆ์ที่ไม่สะสมกิเลส ไม่สนใจชื่อเสียงเงินทอง และลาภยศสรรเสริญ จตุปัจจัยไทย ทานที่สาธุชนได้บริจาคมา ท่านไม่เคยสะสม มีเท่าไหร่ท่านก็นำไปบริจาคสร้างวัตถุสร้างความเจริญไว้แก่วัดไผ่ล้อม จนเกิดความเจริญรุ่งเรือง แลดูสวยงามสบายตา เหมาะสมที่จะเป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา นอกจากนี้ยังขจรขจายไปถึงชุมชนรอบๆ วัด ทั้งสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล สถานที่ราชการ เรียกว่าใครที่มาขอให้ท่านช่วย หลวงพ่อไม่เคยขัด รวมทั้งกิจนิมนต์ต่างๆ ไม่ว่าใกล้-ไกลท่านก็เมตตาไปให้ แม้สุขภาพร่างกายจะไม่ค่อยเอื้ออำนวยนักก็ตาม

คนเขามาให้เราช่วยก็ต้องช่วยเขาไปมันได้บุญ หลวงพ่อมักพร่ำสอนลูกศิษย์อยู่เนืองๆ แม้วัยและสังขารจะร่วงโรยไปตามกาลเวลา จวบจนอายุ 93 ปี แต่ในฐานะเจ้าอาวาส หลวงพ่อพูลได้ใช้ความรู้ความสามารถสร้างสรรค์ผลงานให้กับคณะสงฆ์เป็นอย่างดี ไม่มีขาดตกบกพร่อง ท่านปกครอง ลูกวัดให้อยู่ในพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ใครมาอยู่กับหลวงพ่อ ห้ามขี้เกียจ ต้องหมั่นสวดมนต์เจริญสมาธิวิปัสสนา ปัดกวาดอาสนะ กุฏิ และพัทธสีมา ให้สะอาดสวยงาม เหตุนี้เองจึงทำให้พุทธศาสนิกชนจากทั่วสารทิศหลั่งไหลมาที่วัดไผ่ล้อม

หลวงพ่อพูลถือเป็นสัญลักษณ์แห่งเมตตามหานิยม ที่ชาวนครปฐมและจังหวัดใกล้เคียงนับถือเลื่อมใส เป็นหนึ่งในพระครูสี่ทิศผู้พิทักษ์องค์พระปฐมเจดีย์ ในสมณศักดิ์ ?พระครูปุริมานุรักษ์? (ประจำทิศตะวันออก) ร่วมกับ พระครูทักษิณานุกิจ (ประจำทิศใต้) คือ หลวงพ่อเสงี่ยม วัดห้วยจระเข้, พระครูปัจฉิมทิศบริหาร (ประจำทิศตะวันตก) คือ หลวงพ่อชิด วัดม่วงตารส และพระครูอุตรการบดี (ประจำทิศเหนือ) คือ หลวงพ่อศรีสุข วัดปฐมเจดีย์ฯ

จากวัดรกร้าง วัดไผ่ล้อมกลายเป็นวัดพัฒนา เป็นศูนย์กลางของชุมชนมีผู้คนหนาแน่น แต่ปัญหาของชุมชนที่เจริญก็มักมีปัญหายาเสพติดตามมา หมดปัญหาเรื่องเสนาสนะที่เป็นวัตถุ หลวงพ่อพูลก็ต้องรับภาระแก้ปัญหาคน

?ระยะหลังเงินบริจาคที่หลวงพ่อได้ ส่วนใหญ่ใช้ในเรื่องยาเสพติด บางส่วนท่านช่วยจังหวัดจัดซื้อเครื่องตรวจสอบยาเสพติด เมื่อท่านรู้ว่าเด็กนักเรียนในโรงเรียนมีปัญหาติดยาเสพติด ท่านก็ให้เงินใช้ในการรณรงค์ต้านยาเสพติด ท่านบอกว่ารู้ว่าลูกหลานติดยาแล้ว ท่านก็กลุ้มใจนอนไม่ค่อยหลับ? นี่คือภารกิจล่าสุดของหลวงพ่อพูล...ซึ่งเริ่มมีคนเรียกท่านว่า เทพเจ้าแห่งวัดไผ่ล้อม

ด้วยความเป็นศิษย์กตัญญูกตเวทีต่อบูรพาจารย์ ในวันวิสาขะ วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ของทุกปี หลวงพ่อจะจัดพิธีไหว้ครู เพื่อรำลึกพระคุณอาจารย์ทั้งหลาย ในทุกวันพระจะนิมนต์พระสงฆ์ภายในวัดมารับสังฆทาน เพื่ออุทิศกุศลผลบุญให้บรรพชนและครูบาอาจารย์ ตลอดทั้งเจ้ากรรมนายเวร โดยปฏิบัติต่อเนื่องมาเป็นประจำ


๏ สมณศักดิ์ที่ได้รับ

เนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ 72 พรรษา ในวันที่ 12 ส.ค. พ.ศ.2547 พระครูปุริมานุรักษ์ (หลวงพ่อพูล อตฺตรกฺโข) วัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ ?พระมงคลสิทธิการ? ในฐานะพระสงฆ์ผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระศาสนาและประเทศชาติเป็นกรณีพิเศษ สร้างความปลาบปลื้มแก่คณะศิษยานุศิษย์อย่างหาที่สุดมิได้



320
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: test
« เมื่อ: 21 เม.ย. 2550, 12:32:20 »
ยินดีต้อนรับ? ?คุณอ้อม**

323
หลวงลุงติ่งแน่ๆเลยครับ

ไม่ไช่ครับ เป็นของสายพ่อแก่

324
สุขสันต์วันสงกรานต์นะครับทุกคน? ? ? ? ขอให้มีความสุขกันมากๆนะครับ :053: :053:

325
บทความ บทกวี / ตอบ: ห้อยพระอย่างไร...
« เมื่อ: 13 เม.ย. 2550, 01:53:29 »
คนเกิดปีวอก

วันอาทิตย์ มีวาสนาดีมาแต่เกิด มีทรัยพ์สินบริวารพร้อม รับราชการจะก้าวหน้า เป็นนักบวชจะได้เป็นถึงพระราชาคณะ ให้แขวนพระที่มีพัดยศด้วย จะถูกโฉลกมากขึ้น

วันจันทร์ เหมือนถูกลอยแพในมหาสมุทร ต้องร่อนเร่พเนจรไปต่างถิ่น ถูกโฉลกกับการค้าขายขึ้นล่องตามแม่น้ำลำคลอง หรือค้าขายเครื่องสูบน้ำ วิดน้ำ ควรแขวนพระห้ามสมุทรยกพระหัตถ์ จะทำให้โฉลกดีขึ้น

วันอังคาร เป็นคนมีศัตรูมาก ต้องต่อสู้จึงจะได้มาซึ่งสิ่งที่พอใจ ชนิดที่ได้มาแบบง่ายๆ ไม่มี ควรแขวนพระปางซ่อนหา ที่มีพระพุทธรูปซ้อนบนพระเกศของพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่ง เป็นพระที่ซ้อนกับสององค์ เช่น พระหล่อพิมพ์ซ้อนของ วัดหนองโว้ง จ.สุโขทัย

วันพุธ มีสติปัญญา มีความรู้ เป็นนักปราชญ์ พระโหราบธดี ราชครู และสมณะผู้เชี่ยวชาญด้านพระบาลี มักเกิดวันนี้ ควรแขวนพระสังกัจจายน์ พระสีวลี จะถูกโฉลกที่สุด

วันพฤหัสบดี เป็นคนทำงานราชการก้าวหน้า หรือค้าขายส่วนตัวก็จะดี ควรแขวนพระปางลีลา หรือพระซุ้มเรือนแก้ว จะถูกโฉลกโชคลาภ

วันศุกร์ มีเชาวน์ปัญญาไว เรียนรู้อะไรได้ง่าย มีวาสนา มีเสน่ห์ รับราชการเกี่ยวกับต่างประเทศ เจรจาความเมืองจะก้าวหน้าที่สุด หรือทำการค้าขายสั่งนำเข้าจากนอกประเทศดีที่สุด ควรแขวนพระที่มีนางกวักอยู่ด้านหลัง จะดีที่สุด

วันเสาร์ โฉลกมักถูกคดีความเป็นจำ จึงไม่ควรคิดทำสิ่งผิดกฎหมาย เป็นดวงที่ต้องระวังแง่กฎหมายมากที่สุด ถ้าเป็นทนายความจะมีลูกความมาก ควรแขวนพระที่มีสัญลักษณ์กฎหมาย คือตราชั่ง หรือโล่ตำรวจ จึงจะถูกโฉลก หรือพระที่สร้างโดยองค์กรของกฎหมาย ตุลาการ หรือตำรวจ

คนเกิดปีระกา

วันอาทิตย์ บริวารดีมาก จะได้ใช้สอยพึ่งพาอาศัยได้ แต่ให้ระวังความใจกว้าง ทำคุณกับผู้อื่นอาจต้องเสียใจบ่อยๆ ให้แขวนพระมหาอุด หรือพระที่มีรัศมีอยู่รอบองค์พระ หรือมีซุ้ม เพื่อแก้โฉลกให้ดีขึ้น จะทำให้มีลาภอุดม

วันจันทร์ มีกินล้นเหลือ ไม่มีก็ต้องขอข้าวเขากิน จึงต้องสำรองเงินเก็บไว้ยามมีมาก จะได้ไม่เพลี่ยงพล้ำ จะประมาทไม่ได้เลย ควรแขวนพระสังกัจจายน์ ยิ่งเป็นแบบจีน หรือแป๊ะยิ้ม ยิ่งดี หรือไม่ก็แขวนพระสีวลี เพื่อเสริมโฉลกให้ดีขึ้น

วันอังคาร เป็นคนชอบเที่ยวเตร่ มากผัวหลายเมียควรระมัดระวังเรื่องเที่ยวเตร่คบเพื่อนฝูง จะเสียเพราะเพื่อนและคนใกล้ชิดติดคุกติดตะรางมามากแล้ว ควรแขวนพระมหาอุดหรือเต่าเรือนเพื่อทำให้โฉลกดีขึ้น

วันพุธ รับราชการดีที่สุด อาชีพอิสระไม่ดี ต้องร่วมหุ้นหรือทำงานผู้บริหารจะดีมาก สติปัญญาดี เอาตัวรอดได้เพราะปัญญาของตัวเอง ให้แขวนพระปางปฐมเทศนาเป็นดีที่สุด หรือพระที่มีเครื่องหมายธรรมจักรอยู่ด้วยในองค์พระ

วันพฤหัสบดี เป็นคนมีบุญ มีคนรักใคร่ชอบพอ พูดจาเป็นเสน่ห์แก่ตัวเอง รู้หลักนักปราชญ์ ได้พึ่งคนใกล้ชิดและบริวารเป็นส่วนใหญ่ ให้แขวนพระองค์ใหญ่หรือชื่อใหญ่ เช่น พระหลวงพ่อโต ปางสมาธิ จะถูกโฉลกยิ่งขึ้น

วันศุกร์ ทำมาหากินไม่พอกิน ลำบากมาก แต่มีลาภลอยให้ได้แก้ขัดเสมอ อย่าคิดเล่นการพนันเป็นอาชีพเด็ดขาด จะซ้ำร้ายลงไปอีก จึงควรหมั่นเก็บหอมรอมริบให้มากที่สุด ให้แขวนพระปิดตามหาลาภ หรือพระฤาษี จะถูกกับโฉลกทำให้มีลาภลอยมากขึ้น

วันเสาร์ มีคนอุปถัมภ์ไม่ตกต่ำ เป็นที่เมตตาของคนทั่วไป ทำราชการจะดีมาก หรือค้าขายเสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องเสริมสวยจะดีมาก ให้แขวนพระพิมพ์ทรงเครื่องที่งดงาม หรือพระที่มีลวดลายแพรวพราว หรือพระแกะพิมพ์วิจิตรพิสดารเพื่อเสริมโฉลกโชค

คนเกิดปีจอ
วันอาทิตย์ เป็นดวงฝ่าฟัน มักต้องแก้ปัญหาในหน้าที่การงานเสมอ ทำงานมีอุปสรรคมาก บางครั้งต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ เป็นนักบริหารประเภทแก้สิ่งที่ผิดพลาดมาแล้วให้ดีขึ้นจะถูกโฉลกมาก ให้แขวนพระปางมารวิชัย ยิ่งมีพระอัครสาวกซ้ายขวาด้วยยิ่งดีใหญ่

วันจันทร์ สติปัญญาเป็นทรัพย์ ไม่ชอบงานหนัก ชอบงานได้ผลตอบแทนสูง เช่น ซื้อขายหุ้น ซื้อผลิตผลที่ต้องเก็งกำไรระยะสั้น ให้แขวนพระที่มีซุ้มครอบแก้ว จะช่วยให้ดีขึ้น

วันอังคาร ทำงานไม่ค่อยก้าวหน้า สติปัญญาไม่ดี แต่มีความขยันอดทน เหมือนหมูป่า แม้มีแต่เขี้ยวก็สามารถขุดหาหัวเผือกหัวมันรากไม้กินได้อย่างไม่อัตคัด ให้แขวนพระปางลีลา เสริมโฉลกต่อสู้อุปสรรคทั้งปวงให้หมดไป

วันพุธ มีบริวารมาก ได้ดีเพราะบริวาร มักเป็นผู้นำ เป็นนักบริหารที่เพียบพร้อมด้วยปัญญาและบริวาร ควรแขวนพระเป็นพวง พวงละหลายๆ องค์ จะช่วยหนุนโฉลกให้ดีขึ้น

วันพฤหัสบดี เป็นคนเจ้าโทสะ มักชอบสิ่งเย้ายวนต่างๆ เจ้าชู้มีเมียไม่เลือก ตกที่นั่งนารีอุปถัมภ์ ควรแขวนพระทรงอิทธิฤทธิ์ เช่น พระตรีกาย พระปางมหาปาฏิหาริย์ หรือพระที่มีความร้อนแรงจากธาตุไฟ เพื่อเสริมบารมีให้โฉลกดีขึ้น

วันศุกร์ เป็นคนมีลาภอยู่เป็นนิจ ทำอะไรก็ก้าวหน้าได้ง่าย แต่มือเติบ ทำให้เสียทรัพย์โดยใช่เหตุ ให้แขวนพระมหาอุด เสริมโฉลกให้ทุกอย่างดีขึ้น

วันเสาร์ เป็นคนอาภัพ คู่ครองเป็นอริ จะอยู่กันยืดเฉพาะแม่ม่าย เป็นนักเลงการพนันและสุราชนิดหัวราน้ำ จึงควรแก้ไขแต่ต้นมือ ให้แขวนพระที่มีคำสาปเกี่ยวกับการห้ามดื่มสุราและเล่นการพนันเพื่อปรามตัวเอง เป็นการเสริมโฉลก หาไม่แล้วจะเอาตัวไม่รอดจะบอกให้

คนเกิดปีกุน


วันอาทิตย์ มีวาสนาบารมีสูง ตั้วตัวได้ไว มีบริวารมาก เป็นผู้นำของคนหมู่มาก แต่ทำคุณใครไม่ขึ้น ควรแขวนพระทางโชคลาภ เช่น พระสังกัจจายน์ พระสีวลี

วันจันทร์ ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ หากินไม่ฝืดเคือง แต่ต้องทำงานหนัก ทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล การเปิดอู่ซ่อมรถถูกโฉลกดี ควรแขวนพระที่มีพระพุทธรูปคู่กับพระพิฆเนศ หรือแขวนพระพิฆเนศองค์เดียวก็ได้

วันอังคาร เป็นคนมีผู้อุปถัมภ์ค้ำชู รับราชการจะได้ดีเพราะเจ้านายเป็นคนชอบ ขันอาสาเจ้านาย ทำอะไรทำจริง ให้แขวนพระที่มีพระอัครสาวกซ้ายขวาจะถูกโฉลกดี

วันพุธ ทำงานอะไรก็ต้องพบอุปสรรค ไม่มากก็น้อย พองานตั้งหลักได้แล้วก็ถูกเขี่ยเหมือนรื้อนั่งร้าน จึงควรระมัดระวังเรื่องการถูกหักหลังไว้ ให้แขวนพระสะดุ้งกลับ เพื่อเสริมโฉลกของตัวเองให้ดีขึ้น

วันพฤหัสบดี เกิดที่นี่ไปได้ดีถิ่นอื่น จะต้องเดินทางไกลเพื่อหาเลี้ยงชีพ ยิ่งข้ามจังหวัดยิ่งดี ทำมาค้าขายนายหน้าแลกเปลี่ยนที่ดินดี เป็นครูก็ดี แต่ไม่ถูกโฉลกกับงานขายประกันชีวิตให้แขวนพระปางลีลาเป็นหลัก

วันศุกร์ มีชีวิตที่ต้องวนเวียนอยู่กับคดีความ แต่ก็เอาตัวรอดได้ทุกครั้ง จะทำกิจการใด ควรดระวังเรื่องกฎหมายให้มาก ให้แขวนพระไพรีพินาศ เป็นดีที่สุด

วันเสาร์ เป็นคนกล้าได้กล้าเสีย เป็นเซียนพนันมือเติบ เป็นลูกพี่ที่มีลูกน้องบริวารมาก จะเดือดร้อนเพราะลูกน้องผู้ใกล้ชิดเสมอ ให้แขวนพระที่เกี่ยวกับการปกครองหมู่มาก ซึ่งควรจะเป็นพระที่ทางกระทรวงมหาดไทยหรือกรมตำรวจจัดสร้างจะถูกโฉลกดีนัก

อย่างไรก็ตาม หากผู้อ่านท่านใดต้องการเก็บความรู้เรื่องห้อยพระอย่างไรให้ถูกโฉลกที่สมบูรณ์ หาอ่านได้จากหนังสือพ็อคเก็ตบุ๊ค "ป๋อง สุพรรณ" จากร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป

326
บทความ บทกวี / ตอบ: ห้อยพระอย่างไร...
« เมื่อ: 13 เม.ย. 2550, 01:50:29 »
คนเกิดปีมะโรง

วันอาทิตย์ มีบริวารอยู่มาก มักได้เป็นผู้บังคับบัญชาคน มีทรัพย์ดีมาก เก็บไม่อยู่ แต่เงินไม่ขาดมือ เหมาะที่จะแขวนพระชัยวัฒน์ เพราะเป็นผู้นำคนหรือเป็นที่พึ่งของคนหมู่มาก

วันจันทร์ มีใจอาฆาตพยาบาทรุนแรง มักมีเรื่องชกต่อยเสมอ ยิ่งเสพสุรายิ่งอาละวาด ควรแขวนพระที่มีข้อห้ามเรื่องสุรา จะได้คอยเตือนใจ เช่น พระหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค จ.พระนครศรีอยุธยา หลวงพ่อผาง วัดอุดมคงคาคีรีเขต จ.ขอนแก่น หลวงปู่จันทร์ วัดศรีเทพ จ.นครพนม

วันอังคาร ทำมาหากินฝืดเคือง แต่รอดตัว วาสนาปานกลาง อารมณ์ร้อน โกรธง่ายหายเร็ว ห้ามแขวนพระที่ผ่านธาตุไฟ หรือความร้อนเด็ดขาด ให้แขวนพระผง หรือพระที่แกะจากอัญมณี หรือหินที่มีความเย็น หากแขวนพระที่ทำจากหยก จะยิ่งดีใหญ่

วันพุธ เหมาะเป็นนักร้อง นักแสดง กวี นักเขียนมากกว่าอาชีพอื่น ทำมาหากินคล่อง รับราชการไม่ดี จะมีภัยจากเจ้านาย วาสนาปานกลาง ควรแขวนพระกริ่งที่เขย่าแล้วมีเสียงดัง เพราะดวงเหมาะเป็นนักร้องหรือกวี แม้ทำอาชีพอื่น หากมีพระกริ่งเสียงกังวานจะช่วยเสริมโฉลกโชคลาภ

วันพฤหัสบดี ต้องดิ้นรนไม่หยุดหย่อน จะได้ห้าต้องลงทุนเกินห้า เหมาะกับงานที่ต้องใช้ความอดทน ความอุตสาหะ ควรแขวนพระที่มีพลังเร้นลับ เช่น พระหูยาน พระนาคปรกลพบุรี พระยอดขุนพล หรือพระพิมพ์ที่แสดงถึงปาฏิหาริย์

วันศุกร์ เป็นคนขี้โรค ทำมาหากินคล่อง แต่มีโรคมาเบียดเบียนเสมอ ทำให้ไม่มีความสุขในชีวิต ควรแขวนพระเนื้อว่านที่เป็นยา พระที่ทำจากยาผสมว่าน พระเนื้อว่านต่างๆ เพื่อแก้โฉลกที่สุขภาพไม่ดี

วันเสาร์ ถ้าเป็นนักบวชจะมีชื่อเสียงโด่งดังมาก ถ้าเป็นข้าราชการปานกลาง เป็นพ่อค้าปานกลาง ทำงานอิสระดีที่สุด ควรแขวนพระที่เป็นพระเกจิอาจารย์จะถูกโฉลกมากกว่าเป็นพระพุทธรูป พระเกจิอาจารย์ที่มีเครื่องหมายของอาชีพอิสระ เช่น พระที่ทางคณะแพทย์สร้าง หรือคณะผู้พิพากษาสร้าง

คนเกิดปีมะเส็ง

วันอาทิตย์ มักเดือดร้อนจากการหาความของผู้อื่นเสมอ การงานอาภัพ กว่าจะได้มาต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ เก็บเงินเก่ง ควรแขวนพระที่เป็นยันต์เกราะเพชร หรือเต่าเรือน หมั่นบริจาคเงินให้กับสถาบันที่เกี่ยวข้องกับ ตำรวจ ราชทัณฑ์ หรือตุลาการ จะช่วยบรรเทาเรื่องคดีความลงได้

วันจันทร์ เป็นผู้ที่มีคนคอยช่วยเหลืออยู่เสมอ ไปถิ่นฐานใดไม่ขาดแคลนคนคอยคุ้มครองรักษา ทำการงานพึ่งผู้ใหญ่หรือทำอะไรกับผู้สูงอายุดีกว่า อายุเท่ากันหรือน้อยกว่าไม่ดี ให้แขวนพระปางนาคปรก สัญลักษณ์แห่งการคุ้มครองป้องกันภัยช่วยเหลือ หรือพระที่มีสององค์ในพิมพ์เดียวกัน จะถูกโฉลกดีนัก

วันอังคาร ดวงชีพจรลงเท้า เกิดที่หนึ่งไปดังที่หนึ่ง ถ้าจะให้ก้าวหน้าต้องไปทำงานต่างถิ่น ควรแขวนพระปางลีลา หรือพระที่แสดงความเคลื่อนไหว เพราะดวงต้องเดินทางตลอดเวลา หากใช้พระที่หยุดนิ่งจะไม่ถูกโฉลกกัน

วันพุธ ทำงานหากินไม่พอรายจ่าย ดวงพลิกผันง่าย คาดหมายอะไรล่วงหน้าไม่ได้ ต้องทำงานตามน้ำตลอดเวลา ทวนน้ำเมื่อไรพัง จึงต้องระวัง ให้แขวนพระสังกัจจายน์ หรือพระสิวลี หรือพระที่ด้านหลังมียันต์ ดวงจะถูกโฉลก

วันพฤหัสบดี เป็นคนมีดวงทางบริวารดี วางใจได้ เป็นผู้มีคนอุปถัมภ์ค้ำชู เป็นที่เกรงขามของคนทั่วไป นักบริหารที่ยิ่งใหญ่มักเกิดปีมะเส็งวันพฤหัสบดี ควรแขวนพระที่มีอัครสาวกอยู่ด้วย หรือแขวนพระเจ้าห้าองค์ จึงจะถูกโฉลกกับตัวเอง

วันศุกร์ มีสติปัญญาดี มีปัญญาเป็นทรัพย์ เป็นคนใฝ่การศึกษาหาความรู้ หากเป็นนักบวชจะเป็นพระเกจิ อาจารย์ที่มีความขลัง อมตะ เล่าลือไม่สิ้นสุด ควรแขวนพระที่มีจีวรของพระคุณเจ้า ผู้เป็นเจ้าของพระอยู่ด้วยเพราะโฉลก ของท่านกับจีวรพระสงฆ์ที่เป็นพระสุปฏิปันโนนั้น ถูกกัน

วันเสาร์ เป็นคนทำงานได้ทุกอย่าง แต่อาภัพคู่ครอง มักหย่าร้างหรืออยู่กันไม่ยืด อยู่ยืดก็เป็นคู่ร้างคู่เละ ตัวเองขยันแต่คู่ครองบั่นทอน ความสุขเสมอ ให้แขวนพระเป็นคู่หรือ สององค์ในพิมพ์เดียวกัน จะแก้เคล็ดและช่วยให้ถูกโฉลก

คนเกิดปีมะเมีย

วันอาทิตย์ เป็นผู้ตั้งหลักฐานได้ง่าย มีความกล้าแกร่ง เป็นที่พึ่งของคนทั่วไป มักเป็นผู้นำ ทำราชการดีนัก เป็นนักพูดหรือนักเขียนจะโด่งดังไม่มีใครเกิน ควรแขวนพระที่มีคำว่าโต เช่น หลวงพ่อโต หรือพระที่มีลักษณะใหญ่กว่าพระเครื่องทั่วไป

วันจันทร์ เหมาะแก่การเป็นพ่อค้าวาณิช เป็นนายหน้า แต่เป็นนักการทูต นักการเมือง นักวิชาการ รับราชการไม่ดี แขวนพระอะไรก็ได้ แต่มีเคล็ดว่าให้หาปลาตะเพียนขนาดเล็กๆ ที่ปลุกเสกแล้วคู่หนึ่งติดตัวไว้เสมอ จะทำให้ทำมาค้าคล่อง และติดต่อการงานดีมาก ช่วยเสริมโฉลกโชคลาภ

วันอังคาร มีวาสนาดี แต่มักถูกเบียดเบียนชื่อเสียงผลประโยชน์อยู่เป็นนิจ การทำอะไรที่ใหญ่ๆ ควรมีหลักฐานกำกับยืนยันให้แน่นแฟ้น จึงจะไม่ถูกเบียดเบียน เป็นคนที่มีของกำนัลมาสู่มิได้ขาด ควรแขวนพระปางมารวิชัย หรือไม่ก็แขวนพระไพรีพินาศ ก็ดีเหมือนกัน

วันพุธ อาภัพไร้คนอุ้มชู หัวเดียวโด่เด่ แต่อดทนแกร่งกล้า ไม่ยอมแพ้ชะตา ชีวิตจะต้องทำงานหนัก ก้าวหน้าช้า แต่ถ้าถึงจุดแล้วจะมั่นคงและยืนนาน ไม่ควรท้อแท้กับชีวิต ให้แขวนพระนาคปรก จะเกิดมีการคุ้มครองหรือช่วยเหลือ ห้ามแขวนพระปางป่าเลไลยก์เด็ดขาด แม้จะเกิดวันพุธกลางคืนก็ตาม

วันพฤหัสบดี ชาตินี้ต้องเป็นผู้ทำประโยชน์ให้คนอื่นตลอด แล้วจึงได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์นั้นมา คือ ทำงานกับหุ้นส่วนและคนหมู่มาก จะทำงานอิสระไม่ได้เลย ต้องมีคนคอยเป็นคู่คิดเสมอ ควรแขวนพระปิดตายันต์ยุ่ง เพราะเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่นคง กลมเกลียว สัมพันธ์ซึ่งกันและกัน

วันศุกร์ ไร้ชายคาที่อาศัย ต้องพึ่งตัวเอง แม้จะสิ้นใจก็มิอาจร้องขอความเมตตาจากผู้ใด ดวงอาภัพผู้อุปถัมภ์ จึงควรทำอะไรที่ตัวเองถนัดและทำแต่ลำพัง ไม่ต้อหาใครมาช่วย เพราะเมื่อใดทำงานเป็นทีมเป็นหุ้นส่วนกันจะพัง ให้แขวนพระเดี่ยวๆ องค์เดียวแก้เคล็ด อย่าแขวนพระเป็นพวง ให้แขวนเดี่ยว จะได้ผลดีอย่างยิ่ง เสริมโฉลก

วันเสาร์ วังเวง วิเวก ว้าเหว่ นอกจากอาภัพคู่แล้ว ชั่วชีวิตยังปราศจากคนจริงใจอีกด้วย จึงต้องระมัดระวังรอบคอบแไตร่ตรองคำพูดคนรอบข้างไว้เสมอ ให้แขวนพระปิดทวารทั้งเก้า ยิ่งอุดมมากเท่าใดยิ่งดี เพราะจะทำให้โฉลกดีขึ้นกว่าแขวนพระอย่างอื่น

คนเกิดปีมะแม

วันอาทิตย์ เป็นคนมือเติบ เลี้ยงคนถูกใจเท่าไรเท่ากัน ทำให้เป็นนักเลงสุรา นักเลงผู้หญิง เก็บเงินไม่อยู่ ควรแก้เคล็ดเปลี่ยนเงินเป็นทองคำ บ้าน ที่ดิน ใบหุ้นที่มีระยะเวลา ถ้าเก็บเงินสดไว้กับตัวก็ละลายหมด ควรแขวนพระนาคปรก หรือพระปางซ่อนหา เพื่อแก้โฉลกให้เบา จากความเสียหายเรื่องการพนันและผู้หญิง ไม่ใช่ใส่แล้วไปเล่นการพนัน หรือไปเที่ยว ห้ามเด็ดขาด

วันจันทร์ ดวงบริวารดีมีผู้คอยช่วยเหลือ แต่มักต้องลำบาก เพราะญาติพี่น้อง จึงควรรู้จักแยกแยะ ว่าควรจะสงเคราะห์ใครอย่างไร ไม่งั้น จะก่อศัตรูไม่สิ้นสุด ควรแขวนพระปิดตาที่ไม่ปิดทวาร เพื่อส่งผลแก้โฉลกตรงปากที่พูดทำร้ายตัวเองและผู้อื่นให้เกิดศัตรู

วันอังคาร ทำงานหนัก แต่รายได้ไม่คงที่ แม้จะมีความรู้ ก็ไม่อาจหา งานที่เหมาะสมทำได้ โฉลกเป็นอย่างนั้น จึงควรหาทักษะความรู้เกี่ยวกับงานด้านต่างๆ ไว้ให้พร้อมมากที่สุด ควรแขวนพระปางประทานพร หรือปางอุ้มบาตร เพื่อแก้โฉลกและทำให้การงานดีขึ้น

วันพุธ เป็นคนน้ำนิ่งไหลลึก พูดจาน้อย แต่มีน้ำหนักเป็นที่เกรงกลัวของคนทั่วไป นักบวชมีชื่อเสียง ผู้พิพากษาคนสำคัญ นักการเมืองที่เป็นรัฐบุรุษมักเกิดวันนี้ ควรแขวนพระที่มีเมตตาสูง เช่น พระสมเด็จ พระปิดตา และพระที่มีอานุภาพทางเมตตาที่ไม่ผ่านความร้อน เพื่อทำให้โฉลกทางด้านอำนาจเบาบางลง เกิดเมตตามากขึ้น

วันพฤหัสบดี เป็นผู้นำคนหมู่มาก มีมนุษยสัมพันธ์ดีมาก เป็นเจ้านายที่ลูกน้องเกรงใจ นักบริหารผู้มีฝีมือ นักการธนาคารผู้มีชื่อเสียง นักการเมืองผู้มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ควรแขวนพระปางปฐมเทศนา หรือมีรูปธรรมจักรอยู่ในองค์พระด้วย เพื่อทำให้คำพูดของท่านมีความหนักแน่นมั่นคงมากขึ้น และทำให้ลดความน่ากลัว หรืออำนาจลงไปได้บ้าง

วันศุกร์ เป็นคนอาภัพ ทำคุณไม่ขึ้น ช่วยเขาแล้วเราพังเป็นส่วนใหญ่ สมควรที่จะอยู่เฉยๆ อย่าได้ออกหน้า โดยเฉพาะการเป็นนายประกัน ไม่ถูกกับคนเกิดวันศุกร์อย่างยิ่ง ควรแขวนพระปิดตามหาอุด หรือพระบัวเข็ม จึงจะเหมาะสมกับโฉลกของตน ทำให้เยือกเย็นมากขึ้น

วันเสาร์ เป็นคนมีโทษ ถูกใส่ร้ายป้ายสี ใส่ความมาโดยตลอด ไม่เคยอยู่เป็นสุข มีศัตรูมาก ควรสงบเสงี่ยมเจียม ปากเจียมคำ อย่าได้ทำเด่นเกินไป ภัยจะมาถึงตัว ควรแขวนพระที่เป็นยันต์เกราะเพชร หรือที่เป็รูปโล่ เพื่อให้ทำโฉลกเป็นดีขึ้นมาได้


327
บทความ บทกวี / ห้อยพระอย่างไร...
« เมื่อ: 13 เม.ย. 2550, 01:46:55 »
"แขวนพระอะไรดี" เป็นคำถามที่มักได้ยินบ่อยๆ และผม ก็จะตอบกลับไปว่า "แขวนพระอะไร ก็ดีเหมือนกัน ขอให้เป็นพระแท้ก็แล้วกัน"

แต่คนถามไม่ได้หยุดเพียงคำถามเดียว ยังถามต่อไปอีกว่า เกิดปีนั้น เดือนนั้น ทำงานอะไร และควรจะแขวนพระอะไรดี

ในหนังสือพ็อคเก็ตบุ๊ค "ป๋อง สุพรรณ" ซึ่งมีเนื้อหาหลักๆ อยู่หลายเรื่อง แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านทั่วๆ ไป คือ "ห้อยพระอย่างไรให้ถูกโฉลก" ซึ่งผมได้รวบรวมความรู้จากประสบการณ์ส่องดูพระ ทั้งจากคนดังและคนไม่ดังนับแสนคน แต่ด้วยข้อจำกัดของพื้นที่ ผมจึงขอแยกเป็น ๓ ตอน โดยเริ่มตอนแรกในวันนี้ ส่วนที่เหลืออีก ๒ ตอน จะลงตีพิมพ์วันจันทร์ที่ ๒๔ และ ๓๑ มกราคม ใครเกิดปีไหน วันอะไร ขอได้โปรดติดตามต่อไป ไม่ควรพลาด ส่วนจะเชื่อหรือไม่นั้นสุดแล้วแต่ท่าน เพราะผมได้เขียน มาจากประสบการณ์ ไม่ได้เขียนโดยอ้างหลักวิชาการ

คนเกิดปีชวด

วันอาทิตย์ เหมาะที่จะแขวนพระที่มีเมตตาเป็นหลัก ได้แก่ พระปิดตา พระสิวลี พระสังกัจจายน์ ส่วนพระเครื่องเพื่อป้องกันตัวและเสริมการงาน เนื่องจากเป็นผู้ที่มีรูปงามมีเสน่ห์ พระที่เหมาะควรเป็นพระที่มีอำนาจในตัว ควรแขวนพระ ที่เป็นโลหะหรือผ่านธาตุไฟ เช่น พระกรุเนื้อชิน พระเครื่องเนื้อโลหะหรือเหรียญ ไม่ควร จะเป็นพระที่เป็นเนื้อผง ถ้าเป็นเนื้อผง ควรจะเลือกที่ผสมด้วยธาตุเหล็ก หรือผงตะไบเหล็กหรือโลหะเท่านั้น หรือเป็นพระผงฝังตะกรุด

วันจันทร์ รูปสมบัติเป็นโภคทรัพย์ติดตัวมา จึงไม่ค่อยเดือดร้อนเรื่องการทำมาหากิน ควรจะทำงานที่ต้องใช้ความชำนาญเฉพาะตัวจึงจะถูกโฉลก ควรแขวนพระที่คล้ายกับโฉลกงาน เช่น พระทรงเครื่อง พระที่มีลวดลายประกอบอย่างงดงาม หรือพระพรหม พระพิฆเนศ

วันอังคาร ชีวิตมีแต่ความลำบาก ต้องฝ่าฟันอุปสรรคกว่าจะได้เงิน ต้องระวังปากตัวเองให้มากที่สุด ควรแขวนพระไสยาสน์ หรือพระปางสมาธิ เป็นเนื้อที่ผ่านไฟหรือไม่ก็ไม่เป็นไร เพราะพระทั้งสองปางหมายถึงความสงบระงับ เมื่อเกิดความพลุ่งพล่านทุกครั้งให้เอามือกุมพระ จะเยือกเย็นลง

วันพุธ ชีวิตมีแต่ความเจ็บไข้จุกจิก แม้ไม่อันตรายถึงชีวิตก็บั่นทอนร่างกายไปมาก เหมาะที่จะแขวนพระที่ทำจากต้นไม้ใบยา เช่น พระว่าน พระขมิ้นเสก พระไพลเสก หรือพระที่มีส่วนผสมของตัวยาต่างๆ พระเนื้อผงผสมว่านก็ใช้ได้ บางคนแขวนหมอชีวกโกมารภัจจ์ก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด

วันพฤหัสบดี เป็นผู้อุดมด้วยโภคทรัพย์ มีบุญเก่าอยู่มาก ทำให้ชีวิตไม่ล้มลุกคลุกคลานมากนัก ไม่ค่อย รอบคอบในการตัดสินใจ ประมาทเป็นนิจ ทำให้พลาดเงินหรือ เสียประโยชน์อันควรได้ไปอย่างน่าเสียดาย ควรแขวนพระที่จะมารับหน้าพระอังคารที่เป็นใจคือ พระปางป่าเลไลยก์ พระราหูเนื้อผง หรือเนื้อโลหะ เพราะพระราหูกับพระอังคารเป็นมหามิตรกัน จะรับหน้า ทำให้พระอังคารไม่อาจมาเบียดเบียนดวงชะตาได้

วันศุกร์ มีดีทางด้านผู้รับใช้ใกล้ชิดจะเป็นคนดีมีศีลธรรม แต่อยู่ด้วยไม่ได้นาน เพราะบางครั้งไม่ได้ตั้งใจแต่พูดไปโดยไม่คิด ทำให้บริวารต้องจากไป ควรแขวนพระพิมพ์ที่มีพระอัครสาวกอยู่ซ้ายและขวา เพราะพระพุทธองค์และพระสาวกนั้นหมายถึงการปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาตามสายงาน จะแก้โฉลกให้ดีได้

วันเสาร์ เป็นผู้มีอำนาจในตัว มีดีที่คนเกรงขาม แต่มีข้อเสียชอบออกหน้าแทนลูกน้องหรือคนอื่น จึงมักต้องเดือดร้อนแทนคนอื่นในแทบทุกเรื่อง ให้แขวนพระปางห้ามสมุทร ยกพระหัตถ์ (มือ) สองข้าง ซึ่งจะแก้เคล็ดและทำให้ยับยั้งชั่งใจได้

คนเกิดปีฉลู

วันอาทิตย์ วาสนาไม่ค่อยจะดีนัก ให้เก็บหอมรอมริบทุกครั้งที่มีโชค โฉลกของท่านคือการเก็บงำ ควรแขวนพระเสริมวาสนา เช่น พระผงยาวาสนา พระปิดตามหาลาภ (ไม่ปิดทวาร) พระสิวลี พระปางลีลา พระสังกัจจายน์

วันจันทร์ มีดาวบริวารดีมาก จะได้ทรัพย์เพราะบริวารเป็นหลัก เพราะบริวารของท่านดีอยู่แล้ว ควรแขวนพระที่มีพระหลาย องค์รวมอยู่ในองค์เดียวกัน เช่น พระเจ้าห้าองค์ หรือพระ ที่มีจำนวน สององค์ขึ้นไป ถ้าหาไม่ได้ให้แขวนพระที่เป็นพิมพ์มีพระอัครสาวกอยู่ด้วย เพื่อเสริมบารมีในด้านบริวาร ควรเป็นเนื้อผสมส่วนผสมหลายอย่างจะดีที่สุด

วันอังคาร มีวาสนาน้อย ควรเจียมตน ไม่ทำการใหญ่เกินกำลัง อย่าจับงานใหญ่ทีเดียวจะแพ้ภัย ควรแขวนพระมหาอุด ปิดทวาร หรือเต่าเรือน เพื่อเป็นเคล็ดสำรวมระวังเรื่องการลงทุน พระปิดทวารจะทำให้นึกถึงการไม่ทำอะไรเกินตัว เต่าคือให้หดหัวยามมีภัยมา คืออย่าลงทุนมากนั่นเอง

วันพุธ หัวเดียวกระเทียมลีบ มีเพื่อนมีญาติเหมือนไม่มี พึ่งใครไม่ได้ นอกจากพึ่งตัวเอง ควรแขวนพระที่มีคำว่าเดี่ยวอยู่ด้วย เช่น เดี่ยวดำ เดี่ยวแดง พลายเดี่ยว หรือพลายคู่ตัดเดี่ยว เสริมโฉลกที่ต้องทำอะไรด้วยตัวเองเดี่ยวๆ

วันพฤหัสบดี มีวาสนาตกที่นั่งมีทรัพย์มาก ไม่ต้องขวนขวายก็จะได้มาแบบไม่ยาก มีข้อเสียเป็นคนมือเติบ มักมีรายได้ไม่พอกับรายจ่าย หรือขาดดุล แก้โฉลกด้วยการแขวนพระที่มีชื่อว่า "คง" เช่น หลวงพ่อคง พระอาจารย์มั่น จะทำให้รู้จักเก็บทรัพย์ให้มั่นคงและคงที่

วันศุกร์ เป็นคนตกที่นั่งอับโชคลาภ เงินที่จะได้มาอย่างง่ายๆ เช่น เล่นหวย อย่าไปหวัง ควรแขวนพระที่มีคำว่าเศรษฐี เงินแสน เงินล้าน พระทุ่งเศรษฐี พระที่ลงท้ายว่ารุ่นมหาเศรษฐี หรือขวัญถุงเงินล้าน เงินแสน จะเสริมพลังแห่งโชคลาภ

วันเสาร์ เป็นคนตกที่นั่งนักโทษ ทั้งชีวิตมีแต่คนเบียดเบียนใส่ไคล้ ทำให้เดือดร้อน มีโรคประจำตัวบั่นทอนชีวิตอยู่มาก ควรแขวนพระที่มียันต์เกราะเพชร หรือพระที่เป็นรูปโล่ จึงจะถูกโฉลกกับตัวเอง

คนเกิดปีขาล
วันอาทิตย์ หากินอย่างอาบเหงื่อต่างน้ำ แม้จะมีตำแหน่งสูง แต่งานในความรับผิดชอบหนักหนา หรือไม่ก็ไปใหญ่โตในถิ่นกันดาร ควรแขวนพระที่มีความเคลื่อนไหว เช่น พระลีลา พระเปิดโลก พระสิวลี

วันจันทร์ ดวงชีพจรลงเท้า ถูกโฉลกกับงานที่ต้องเดินทางขึ้นล่อง ควรแขวนพระที่สงบและอยู่นิ่ง พระปางสมาธิ ไม่ควรแขวนพระเคลื่อนไหว เพราะจะทำให้โฉลกร้อนขึ้นไปอีก

วันอังคาร เป็นนักบู๊ มักมีเรื่องราวชกต่อยเสมอ ส่วนใหญ่เป็นนักเลง นักพนัน หรือนักมวยเดินหน้าชน มีนิสัยก้าวร้าว มีโทสะจริตเป็นที่ตั้ง ควรแขวนพระเมตตา เช่น พระปิดตา พระสังกัจจายน์ พระสิวลี ที่ทำด้วยอะไรก็ได้ที่ไม่ได้ผ่านความร้อน ทำให้เย็นขึ้นได้

วันพุธ มีจิตใจเยือกเย็น สุขุม ไม่บุ่มบ่าม ใจเหมือนแม่น้ำ ใฝ่การบุญ เป็นที่รักของคนทั่วไป ควรแขวนพระปิดตามหาอุด หรือพระที่มีลักษณะอยู่กับที่เช่น พระยืนปางถวายเนตร

วันพฤหัสบดี แต่น้อยลำบาก เมื่ออายุมากขึ้นจะมีวาสนามากตามไป ควรอดทนรอให้งอมจึงหลุดจากขั้ว ควรแขวนพระที่ผ่านการหล่อหลอมจากธาตุไฟเพื่อเสริมพลังชีวิต จะเป็นพระกริ่งหรือรูปหล่อที่ผ่านไฟแรงเท่าใดก็ยิ่งดี

วันศุกร์ พึ่งใครไม่ได้ ต้องพึ่งตัวเอง เป็นเสือจับเนื้อกินเองจนแก่ ควรแขวนพระที่มีรูปเสือมาเกี่ยวข้อง หรือแขวนเสือก็ได้ จะเป็นเสืองาแกะ หรือเขี้ยวเสือก็ได้ หรือเสือที่เป็นโลหะก็ได้

วันเสาร์ เป็นผู้มีโภคทรัพย์ ทำมาหากินแล้วตั้งหลักฐานได้ง่าย มีข้อเสียคือ เชื่อคนง่าย มักถูกหลอกหรือฉ้อโกงเอาทรัพย์อยู่บ่อยๆ ควรแก้เรื่องความใจง่ายเชื่อคนง่ายไว้ ควรแขวนพระที่ตรงข้ามกับพระทั่วไป เพื่อแก้โฉลกด้านการถูกคดโกง จึงควรแขวนพระที่เป็นพิมพ์แบบสะดุ้งกลับจะเหมาะที่สุด

คนเกิดปีเถาะ

วันอาทิตย์ เป็นคนอาภัพอับวาสนา ทำมาหากินไม่พอเลี้ยงตัวเอง ต้องอาศัยบารมีคู่ครองเป็นหลัก หากอยู่ตัวคนเดียวจะลำบากมาก ควรแขวนพระเสริมวาสนา เช่น พระผงยาวาสนา พระที่มีนามเกี่ยวกับโชคลาภ

วันจันทร์ คนเกิดวันนี้ แต่น้อยจะลำบาก เมื่อเลยวัยกลาง คนไปจะดีขึ้นและตั้งตัวได้ ควรแขวนพระปางลีลา เพื่อความก้าวหน้า

วันอังคาร เป็นคนที่ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ ชีพจรลงเท้า ต้องเดินทางถึงจะได้เงิน เหมาะแก่การเป็นพนักงานขายของขึ้นๆ ลงๆ หรือค้าขาย ระหว่างประเทศ ควรแขวนพระเกี่ยวกับการค้าขาย เช่น พระสังกัจจายน์ พระสิวลี

วันพุธ เป็นที่ไม่พอใจกับเจ้านายหรือผู้ใหญ่ มักจะให้ร้ายเสมอ เป็นโฉลกของวันเกิด จึงไม่ควรรับราชการเพราะจะไม่ก้าวหน้า เหมาะที่จะทำมาหากินในความถนัดของตน ไม่ขึ้นกับใคร ควรแขวนพระมหาอุด ที่ทำจากโลหะที่ผ่านความร้อนแล้วจะทำให้เกิดตบะและเดชะป้องกันตัวเองได้

วันพฤหัสบดี เป็นคนใจร้อนใจน้อย ใครตักเตือนก็ไม่พอใจ ดื้อรั้น ควรอ่อนน้อมรับฟังผู้อื่นแล้วเอามาคิด ให้แขวนพระที่มีหนุมานอยู่ด้วย เพราะดวงอาสาเจ้านายเหมาะ หรือไม่ก็แขวนพระที่มีลักษณะการกวัก เช่น พระพุทธกวัก

วันศุกร์ มีวาสนาดี เป็นนักบวชก็ก้าวหน้า เหมาะกับการควบคุมคนหมู่มาก มีลักษณะเป็นผู้นำ ควรแขวนพระที่ในหนึ่งพิมพ์มีจำนวนมากกว่าหนึ่งขึ้นไป เช่น พระเจ้าห้าองค์ พระเจ้าสิบทัศน์ พระตรีกาย

วันเสาร์ โฉลกเป็นคนที่คนทำร้ายไม่ได้ มีผู้คอยออกรับและคุ้มครองป้องกันอยู่เสมอ ทำให้ไม่ต้องลำบาก แต่เป็นคนที่อาภัพคู่ครอง แม้มีสมบัติมากแต่ก็มักจะผิดหวังเรื่องคู่ครองเสมอ ควรแขวนพระที่มีนามทางความอ่อนนุ่ม เช่น พระนางพญา http://www.komchadluek.net/column/pra/2005/01/17/02.php

328
เมื่อเวลา 22.30 น. วันที่ 22 ก.พ. ร.ต.ต.ประยูร ประกอบจันทร์ ร้อยเวร สภ.อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี รับแจ้งมีเหตุยิงกันภายในชุมชนหมู่บ้านนวนครหน้าเมือง โครงการ 1 หมู่ 13 ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง ภายในนิคมอุตสาหกรรมนวนคร ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุบริเวณหน้าบริษัทพลสุข คอมเมอร์เชียล จำกัด เลขที่ 189 หมู่ 13 ต.คลองหนึ่ง ประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้าง
พบนายสถาพร งามฉวี อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 26/138 หมู่ 16 ต.คลองหนึ่ง มีตำแหน่งเป็นสมาชิกเทศบาลเมืองคลองหลวง ยืนอยู่ข้างรถกระบะมิตซูบิชิ สตราดา โฟร์วีล 4 ประตู สีเทาดำ ทะเบียนป้ายแดง ค-6709 กรุงเทพมหานคร ในสภาพยังไม่หายตื่นตกใจ พร้อมชี้ให้ ตำรวจดูรอยกระสุนบนตัวถังรถบริเวณขอบประตูฝั่งคนขับ ซึ่งถูกยิงจนกระจกแตก ก่อนให้การว่า ช่วงหัวค่ำ ตนพร้อมด้วยนางจิรชญา สาขามุละ อายุ 37 ปี ภรรยา ไปร่วมงานเลี้ยงฉลองตำแหน่งของเจ้าหน้าที่เทศบาลเมืองคลองหลวงคนหนึ่ง ที่หมู่ 3 ต.คลองสี่ อ.คลองหลวง กระทั่งเวลา 4 ทุ่มเศษ จึงขอตัวออกจากงานเลี้ยงขับรถมุ่งหน้ากลับบริษัท ขณะจะเลี้ยวรถเข้าบริษัท ปรากฏว่ามีชาย 2 คน อายุราว 30 ปี ขี่รถ จยย.ฮอนด้า ซีบีอาร์ จำสีและทะเบียนไม่ได้ คนขับขี่สวมชุดปฏิบัติงานสีเขียว ลักษณะคล้ายชุดที่เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯหรือหน่วยกู้ภัยสวมใส่ ส่วนคนซ้อนท้ายสวมชุดสีดำลักษณะเดียวกัน และสวมหมวกแก็ป ขี่รถ จยย.มามองหน้าแล้วขี่เลยไป
จากนั้นเลี้ยวรถย้อนกลับมาอีกครั้ง เมื่อได้จังหวะคนนั่งซ้อนท้ายชักปืนพกสั้นออกมาจ่อยิงใส่รถตนในระยะเผาขน 2 นัดซ้อน กระสุนนัดแรกถูกขอบประตูฝั่งคนขับ ส่วนนัดที่ 2 ถูกเสากลางประตูแล้วแฉลบทะลุกระจกมาถูกไหล่ขวาของตนจนเลือดไหลซิบๆ ผิวหนังบวมเป่ง แต่กระสุนไม่เข้า คนร้ายเห็นท่าไม่ดีรีบเร่งเครื่องรถ จยย.หลบหนีออกไปทางถนนพหลโยธิน ขาออก มุ่งหน้าไปทาง จ.พระนครศรีอยุธยา สำหรับสาเหตุยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะต้องการให้เป็นความลับเพื่อตำรวจจะทำงานอย่างสะดวก เบื้องต้นบอกได้เพียงว่าผู้ก่อเหตุเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ แต่คงไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมืองท้องถิ่น และปัญหาชู้สาว ส่วนจะเป็นเรื่องใดนั้น ขอให้เป็นหน้าที่ของตำรวจสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริงต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า แขวนพระอะไรจึงแคล้วคลาดจากกระสุนปืนของคนร้ายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ส.ท.หนังเหนียวยกพระในคอขึ้นมาให้ดูพร้อมกล่าวว่า แขวนพระสมเด็จเกศไชโย ซึ่งบิดาให้มานานแล้ว ส่วนจะเกี่ยวกับเรื่องปาฏิหาริย์หรือไม่ โดยส่วนตัวเชื่อว่าอยู่ที่การปฏิบัติตัวมากกว่า หากเราเป็นคนดี ทำความดี พระก็จะคุ้มครอง แต่ถ้าทำไม่ดีพระท่านก็คงไม่คุ้มครองคนชั่วเช่นกัน

329
วันเสาร์ที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๐ คนทั่วๆ อาจจะไม่คิดว่า เป็นวันสำคัญอะไร แต่สำหรับการสร้างวัตถุมงคลแล้วถือว่า เป็นวันสำคัญแห่งการสร้างวัตถุมงคล และพุทธาภิเษกวัตถุมงคล ด้วยเหตุผลที่ว่า เป็นวันเสาร์ แรมห้าค่ำ เดือนห้า
อย่างไรก็ตาม หากย้อนไปในอดีตพบว่า วันเสาร์ที่ตรงกับแรมหรือขึ้นห้าค่ำนั้น จะเกิดขึ้นประมาณ ๒-๓ ปีครั้ง คือ วันเสาร์ที่ ๒ เมษายน ๒๕๒๖ ตรงกับแรม ๕ ค่ำเดือน ๕ วันเสาร์ที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๓๓ ตรงกับแรม ๕ ค่ำเดือน ๕ วันเสาร์ที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๓๖ ตรงกับขึ้น ๕ ค่ำเดือน ๕ วันเสาร์ที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๓๗ ตรงกับแรม ๕ ค่ำเดือน ๕ วันเสาร์ที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๓๙ ตรงกับขึ้น ๕ ค่ำเดือน ๕ วันเสาร์ที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๔๐ ตรงกับแรม ๕ ค่ำเดือน ๕ วันเสาร์ที่ ๘ เมษายน ๒๕๔๓ ขึ้น ๕ ค่ำเดือน ๕ และวันเสาร์ที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๐ แรม ๕ ค่ำเดือน ๕ ที่ผ่านมา
สำหรับวัด หรือหน่วยงานใด ที่พลาดการประกอบพุทธาภิเษกวัตถุมงคลในวันเสาร์ห้าที่ผ่านมา หากต้องการจะพุทธาภิเษกวัตถุมงคลในวันเสาร์ห้าในปีต่อๆ ไป ก็ต้องรอไปอีก ๓ ปี โดยวันเสาร์ห้าจะมีอีกครั้งในวันเสาร์ที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๓ ตรงกับขึ้น ๕ ค่ำเดือน ๕ 
ส่วนปีถัดไปก็จะมีเสาร์ห้าอีก คือ วันเสาร์ที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๔ ตรงกับแรม ๕ ค่ำเดือน ๕ จากนั้นก็เว้นไปอีก ๓ ปี คือวันเสาร์ห้าจะตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๗ ตรงกับแรม ๕ ค่ำเดือน ๕
พระครูสุนทรสิทธิการ (สุคนธ์ สุคนฺธธโร) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม (วัดพลับ) หรือ พระมหาสุคนธ์ บอกว่า ที่เรียกว่า เสาร์ห้า นั้น คือ วันเสาร์ ขึ้นหรือแรม ๕ ค่ำ เดือน ๕ ซึ่งโอกาสที่จะเกิดวันเสาร์ห้านั้น ประมาณ ๒-๓ ปีครั้ง
ตามคติความเชื่อของโบราณาจารย์เชื่อว่า ดาวเสาร์เป็นดาวแห่งความเข้มแข็ง และมีพลังมาก หากมีการประกอบพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลในวันเสาร์ห้า จะมีพุทธคุณด้านคงกระพัน และแคล้วคลาด โดยจะเห็นได้ว่า ในอดีตที่ผ่านมา เมื่อมีการประกอบพิธีในวันดังกล่าว วัตถุมงคลส่วนใหญ่มักได้รับความนิยม
อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบระหว่างการประกอบพิธีในวันข้างขึ้นกับข้างแรม การประกอบพิธีในวันข้างขึ้นจะดี ๑๐๐% ส่วนข้างแรมจะดีประมาณ ๘๐% โดยเสาร์ห้าที่ผ่านมานั้น มี ๓ ฤกษ์สำคัญๆ ราชาฤกษ์ โสภณ และ ลาภะ ซึ่งเป็นฤกษ์ที่เป็นมงคล และดีเลิศทุกอย่าง
ในขณะที่ นายกิจจา ทวีกุลกิจ หรือ "หมอนิด" โหรการเมืองชื่อดัง กล่าวเสริมว่า วันเสาร์ ๕ ถือเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ถือกันว่าเป็น วันแรง เป็นวันที่จะมีพิธีพุทธาภิเษก แต่วันเสาร์ ๕ ในวันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๕๐ ยังไม่ใช่วันเสาร์ ๕ อย่างแท้จริง ยังเป็นวันเสาร์ ๕ ที่ยังไม่เต็มร้อยโดยยังไม่เต็มสูตร มีการจัดพิธีพุทธาภิเษกก็ยังไม่สมบูรณ์ ซึ่งถ้าเป็นวันเสาร์ ๕ ที่แท้จริงและเต็มสูตรจะต้อง ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ วันเสาร์ หรือ แรม ๕ ค่ำ เดือน ๕ วันเสาร์
เหตุที่วัดส่วนใหญ่นิยมจัดให้มีพิธีพุทธาภิเษก เพราะเชื่อกันว่าจะทำให้พิธีพุทธาภิเษกที่เข้มขลังจะมีความศักดิ์สิทธิ์ที่ดีมาก แต่ถ้าวันเสาร์ ๕ สมบูรณ์เต็มสูตรได้นั้น จะต้องเป็นวันเสาร์ ๕ ขึ้น หรือ แรม ๕ ค่ำ เดือน ๕ วันเสาร์เท่านั้น แต่จะเป็นวันเสาร์ ๕ ที่หายากมากๆ เพราะจะตรงแบบนี้ได้ต้องรอประมาณ ๕ หรือ ๗ ปี สังเกตให้ดี ถ้าเป็นวันเสาร์ ๕ ที่เต็มสูตรแบบนี้ จะมีวัดจัดพิธีพุทธาภิเษกกันเป็นจำนวนมาก เพราะถือว่าเป็นวันแรง และได้ความศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก
---------///ล้อมกรอบ///----------
เหตุที่เลือก "เสาร์ห้า"
"คม ชัด ลึก" ได้รวบรวมข้อมูลพุทธาภิเษกวัตถุมงคลของวัดต่างๆ ในวันเสาร์ที่ ๗ เมษายน ซึ่งเป็นวันเสาร์ห้า พบว่า วัดที่มีตำนานเกี่ยวกับการสร้างวัตถุมงคลรุ่นเสาร์ห้า ต่างประกอบพิธีพุทธาภิเษกทั้งสิ้น
เช่น วัดสุทัศนเทพวราม มีการพุทธาภิเษกพระกริ่งรุ่น สมโภช ๒๐๐ ปี ส่วนที่พุทธมณฑล จ.นครปฐม บริเวณด้านหน้าพระศรีศากยะทศพลญาณประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์ มีการพุทธาภิเษกเหรียญทรงยินดี ของวัดศรีสุดาราม
ส่วนในต่างจังหวัดนั้น วัดแรกต้องยกให้ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นวัดที่มีคิวจองพุทธาภิเษกจตุคามรามเทพยาวเหยียด
นอกจากนี้แล้ว วัดเล็กวัดน้อยในต่างจังหวัด ก็ประกอบพิธีพุทธาภิเษก ทั้งภายในอุโบสถของวัด หรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ อย่างเช่น ที่วัดช่องแสมสาร จ.ชลบุรี ประกอบพิธีมหาพิธีพุทธาภิเษก จตุคามรามเทพ รุ่น "มรดกแผ่นดิน" บริเวณด้านหน้าอนุสรณ์สถานดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี ทั้งนี้ พระครูวิสารทสุตาการ หรือ พระมหารัตนะ เจ้าอาวาสวัดช่องแสมสาร ให้เหตุผลว่า วัดใช้ฤกษ์เสาร์ห้าในการประกอบมหาพิธีพุทธาภิเษก ซึ่งเป็นไปตามคติความเชื่อของการสร้างวัตถุมงคลที่ว่า หากประกอบพิธีในวันดังกล่าว จะมีพุทธคุณด้านคงกระพันชาตรี
โดยพิธีเริ่มตั้งแต่เวลา ๐๔.๐๐ น. วันเสาร์ที่ ๗ เมษายน โดยพราหมณ์หลวง ทำพิธีบวงสรวงดวงพระวิญญาณสมเด็จพระนเรศวรมหาราช หน้าอนุสรณ์สถานดอนเจดีย์ จากนั้นเวลา ๐๔.๔๕ น. พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ๑๖ รูป เจริญพระพุทธมนต์ สวดธัมมจักกัปปวัตนสูตร เพื่อความเป็นสิริมงคล หลังจากเสร็จพิธีแล้ว เวลา ๐๘.๑๙ น. มีการนำไก่ชน ๑๐๐ คู่ มาตีถวายแก้บนสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ด้านพระครูปลัดสมศักดิ์ เจ้าอาวาสวัดแค จ.สุพรรณบุรี บอกว่า เหตุผลที่เลือกประกอบมหาพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคล องค์จตุคามรามเทพ รุ่น "รวยแบบไม่มีเหตุผล" จากการศึกษาข้อมูลการสร้างวัตถุมงคลของพระเกจิอาจายร์ยุคก่อน พบว่าวัตถุมงคลที่ประกอบพิธีในวันเสาร์ห้า มักจะได้รับการกล่าวขานเรื่องพุทธคุณด้านคงกระพันชาตรี และแคล้วคลาด เมื่อมีโอกาสในการจัดสร้างวัตถุมงคล จึงเลือกวันเสาร์ห้าเป็นวันประกอบพิธี 0 ไตรเทพ ไกรงู 0
 

http://www.komchadluek.net/2007/04/1...news_id=106945


330
เสด็จเตี่ย ? พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงสักยันต์ทั้งพระองค์ตั้งแต่สมัยวัยหนุ่ม รูปสักมีดังนี้ หนุมาน, ลิงลม(บริเวณพระชงฆ์ เพื่อเดินเร็ว), มังกร (เลื่อยพันบริเวณแขน), อักขระ(บริเวณข้อนิ้ว เพื่อชกต่อยหนัก)

บริเวณอุระสัก ?ร.ศ. 112 ตราด? เพื่อจำไม่ลืมกับการบุกรุกของกองเรือรบฝรั่งเศสที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา หลังเหตุการณ์นี้ไทยต้องยอมเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงเพื่อแลกกับอธิปไตยของไทยโดยรวม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเริ่มตระหนักว่า การว่าจ้างชาวต่างประเทศเป็นเรื่องไม่น่าวางใจ และทรงริเริ่มฝึกนายทหารเรือเพื่อปฏิบัติหน้าที่แทนชาวต่างประเทศ เหตุการณ์นี้เกิดเมื่อพระองค์เจ้าอาภากรยังทรงพระเยาว์เพียง 13 ชันษาเท่านั้น เหตุนี้จึงทำให้พระองค์ท่านทรงมุ่งมั่นในการศึกษาวิชาทหารเรือเพื่อกลับมารับใช้บ้านเมือง

หม่อมเจ้าหญิงเริงจิตรแจรง อาภากร พระธิดาของเสด็จในกรมฯมีบันทึกยืนยันว่า ทรงสักทั้งองค์ตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ เล่ากันต่อมาว่า เมื่อหลวงปู่ขัน วัดนกกระจาบจะสักอาคมเพิ่มเติมให้ปรากฏว่าพระวรกายไม่มีที่ว่าง จึงได้อักขระ ?นะ? คำเดียวที่บริเวณกัณฐมณี (ลูกกระเดือก) เท่านั้น

การที่เสด็จเตี่ยกราบเกจิอาจารย์ขอเป็นศิษย์กับทุกอาจารย์ที่ได้พบนั้น ทำให้พระองค์ทรงเป็นศิษย์หลายครู ครูบาอาจารย์ของพระองค์นั้นมีดังนี้ หลวงปู่ดำ ภูเก็ต, หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ, หลวงปู่ศุข วัดอู่ทอง ปากคลองมะขามเฒ่า (ปัจจุบันเรียก วัดมะขามเฒ่า), หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน, หลวงพ่อจร วัดดอนรวบ, หลวงพ่อเจียม ชลบุรี, หลวงพ่อพุ่ม วัดบางโคล่นอก,หลวงพ่อเขียว วัดเครือวัลย์, หลวงปู่ขัน วัดนกกระจาบ ฯลฯ

แต่ที่พระองค์ท่านผูกพันจริงๆ ใกล้ชิดเป็นพิเศษมีเพียง 3 รูปคือ หลวงปู่ศุข,หลวงพ่อเงินและหลวงพ่อพริ้งเท่านั้น


331
บทความ บทกวี / ประวัติเครื่องราง
« เมื่อ: 12 เม.ย. 2550, 10:39:40 »
ประวัติเครื่องราง
หากจะพูดถึงเรื่องเครื่องรางของขลังแล้วเป็นเรื่องที่ลึกลับและกว้างขวาง ซึ่งในตำรา
พิชัยสงครามกล่าวว่าเครื่องรางที่นักรบสมัยโบราณจะมีติดตัวเป็นมงคลซึ่งมีหลายชนิด แบ่ง
ออกเป็นประเภทย่อ ๆ ดังนี้
ความเป็นมาจากธรรมชาติ ได้แก่สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติไม่มีการสรรค์สร้างซึ่ง
ถือว่ามีดีในตัว และเทวดารักษา สิ่งนั้นได้แก่ เหล็กไหล คดต่าง ๆ เขากวางคุด เขี้ยวหมูตัน
เขี้ยวเสือกลวง เถาวัลย์ ฯลฯ
เครื่องรางของขลังที่สร้างเอง ได้แก่ แร่ธาตุต่าง ๆ ที่หล่หลอมตามสูตรการเล่นแร่แปร
ธาตุ ได้แก่ เมฆสิทธิ์ เมฆพัด เหล็กละลายตัว สัมฤทธิ์ นวโลหะ สัตตะโลหะ ปัญจโลหะ ฯ
ทั้งนี้คลุมไปถึงเครื่องรางลักษณะต่าง ๆ ที่ได้รับการสร้างขึ้นมาเพื่อกันภัยอันตราย
แบ่งตามการใช้
1. เครื่องคาด เครื่องรางที่ใช้คาดศีรษะ คาดเอว คาดแขน ฯลฯ
2. เครื่องสวม เครื่องสวมที่ใช้คาดศีรษะ คาดเอว คาดแขน ฯลฯ
3. เครื่องฝัง เครื่องรางที่ใช้ฝังลงในเนื้อหนังคน เช่น เข็มทอง ตะกรุดทอง ฯ
4. ลูกอม เครื่องรางที่ใช้อมไว้ในปาก เช่น ลูกอม ตะกรุดลูกอม ฯ
แบ่งตามวัสดุ
1. โลหะ 2. ผง 3. ดิน 4. วัสดุอย่างอื่น เช่น กระดาษสา ชันโรง ดินขุยปู 5. เขี้ยวสัตว์
เขา งา เล็บ หนังสัตว์ 6. ผมผีพราย ผ้าตราสัง ผ้าห่อศพ ผ้าผูกคอตาย 7. ผ้าทอทั่ว ๆ ไป
แบ่งตามรูปแบบลักษณะ
1. ผู้ชาย ได้แก่ รักยม กุมารทอง ฤาษี ชูชก และสิ่งที่เป็นรูปของเพศชายต่าง ๆ
2. ผู้หญิง ได้แก่ แม่นางกวัก แม่โพสพ และสิ่งที่เป็นรูปของเพศหญิงต่าง ๆ
3. สัตว์ ในที่นี้หมายถึง พระโพธิสัตว์ อาทิ เสือ ช้าง วัว เต่า จระเข้ งู ฯ
แบ่งตามระดับชั้น
1. เครื่องรางระดับสูง ได้แก่ เครื่องรางที่ใช้บนส่วนสูงของร่างกาย นับตั้งแต่ศีรษะ
ลงมาถึงบั้นเอว สำเร็จด้วยพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ
2. เครื่องรางระดับต่ำ ได้แก่ เครื่องรางที่เป็นของต่ำ เช่น ปลัดขิก อีเป๋อ ไอ้งั่ง อิ้น
พวกนี้ไม่ได้สำเร็จด้วยของสูง
3. เครื่องรางที่ใช้แขวน ได้แก่ ตั๊กแตน ปลา ธงรูปต่าง ๆ ผ้ายันต์ ฯ

332
บังเอิญหาข้อมูลไปเรื่อย ๆ เจอเข้าพอดี ดีใจมากครับ เพราะทำให้โครงการสร้างพระเครื่องของผมก้าวไปอีกก้าวหนึ่งแล้ว เลยเก็บมาฝากครับ เผื่อมีใครที่อยากสร้างพระเครื่องบ้าง จะได้ช่วย ๆกันครับ

บริหารการจัดสร้างพระเครื่องเชิงพุทธ
สมหวัง วิทยาปัญญานนท์
5 ธันวาคม 2543
Font : CordiaUPC
ประเด็นเรื่อง
ผู้ที่สนใจพระเครื่อง เคยเล่นแต่สะสมเป็นงานอดิเรก บางครั้งก็อาราธนาขึ้นแขวนคอ หลายคนไม่ทราบว่าพระเครื่องสร้างมาเพื่อวัตถุประสงค์อะไร มีไว้ทำไม วิธีการสร้างเขาทำกันอย่างไร และการสร้างพระเครื่องเชิงพุทธนั้นเป็นอย่างไร แต่ที่รู้ทราบถึงการสร้างพระเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว ซึ่งจะหาอ่านการวิธีการสร้างพระเครื่องได้ยาก แม้นในวารสารพระเครื่อง แต่สามารถหาคำตอบได้ในบทความนี้
บทคัดย่อ
การจัดสร้างพระเครื่องเนื้อว่านดินผง นั้นเป็นการทำบุญชนิดหนึ่ง เพื่อสืบทอดสัญลักษณ์พุทธศาสนาต่อไป แต่ปัจจุบันมักจะเบี่ยงเบนไปทางพุทธพาณิชย์ และในทางงมงายไม่ใช่สร้างปัญญา การนำพระเครื่องมาบูชา อาจเป็นงานอดิเรก หรือเชื่อมั่นในอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ หรืออนุสติเตือนใจ
ขั้นตอนการบริหารจัดสร้างพระเครื่องเชิงพุทธเนื้อว่านดินผง มีตั้งคณะทำงาน กำหนดวัตถุประสงค์การสร้าง จัดเตรียมงบประมาณ การเลือกแบบ การทำพิธีขอจัดสร้าง การออกแบบพระ การจัดเตรียมแม่พิมพ์ การเลือกประเภทแม่พิมพ์ การเลือกเนื้อพระ การจัดเตรียมเนื้อพระ การจัดเตรียมมวลสารวัตถุมงคล การจัดเตรียมวัตถุประสาน การผสมเนื้อพระ การพิมพ์พระ การทำให้พระแข็งตัว การตรวจสอบคุณภาพ การจัดเตรียมภาชนะหีบห่อ การเตรียมพระเครื่องเข้าพิธีพุทธาภิเษก การจัดพิมพ์คู่มือพระ การแจกจ่ายพระเครื่อง
ในเชิงพุทธนั้นการสร้างพระขึ้นมาเพื่อเป็นอนุสติถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้เป็นที่พึ่งทางใจ ให้จิตสงบ นึกถึงกับธรรมะ เพื่อใช้ในการปฏิบัติตนให้ใจสงบ ไม่ให้เชื่ออย่างงมงาย ไม่ให้สร้างศรัทธาอันนำไปสู่ลาภสักการะ หรือเอาไปสร้างวัตถุจนเกินจำเป็น จนมองเป็นการค้าบุญไป หรือหนักไปทางพุทธพาณิชย์
1. บทนำ

วิธีการจัดสร้างพระเครื่องเนื้อว่านดินผง มักจะเป็นความลับ เนื่องจากเกรงว่าจะมีคู่แข่งในการทำมาหากิน
ในวงการนักเลงพระ หรือนักสะสมพระเครื่อง มักจะสนใจแต่พุทธลักษณะ เนื้อมวลสาร อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ แต่มักไม่ค่อยจะทราบถึงวิธีการสร้าง และวัสดุประสานที่ใช้
เนื้อพระที่พบเห็นก็มีเนื้อว่าน เนื้อดินดิบ เนื้อดินเผา และเนื้อผง เนื้อว่าน เนื้อดินดิบ เนื้อผง ต้องหาวัสดุเชื่อมประสาน สำหรับเนื้อดินเผาจะให้เนื้อดินประสานกันเองด้วยความร้อน สุดท้ายเนื้อพระต้องเชื่อมกันติดแน่น และต้องไม่ยุ่ย ละลายน้ำเมื่อแช่น้ำต่อเนื่องกันหลายๆ วัน
การสร้างพระเครื่องสมัยนี้ มักจะกลายเป็นพุทธพาณิชย์ เป็นวัตถุที่ใช้ในการระดมทุนเข้าวัด หรือเป็นสินค้าในท้องตลาด จนเป็นล่ำเป็นสัน ร่ำรวยไปหลายคน ซึ่งแตกต่างจากสมัยโบราณที่สร้างพระเครื่องเพื่อชาติและศาสนาเป็นส่วนใหญ่ ใช้ในการออกรบปกป้องบ้านเมือง และมักจะมีคนโบราณบอกว่า ?จนอย่างไรก็จะไม่ขอขายพระกิน? สมัยนี้ขายพระกิน จนคนทั้งบ้านทั้งเมืองเห็นเป็นของธรรมดาไปเสียแล้ว มีการตั้งราคาพระเครื่องเป็นสิบ เป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสน และเป็นล้าน โดยเฉพาะพระสมเด็จ ที่สมเด็จพุฒาจารย์โตสร้างไว้แต่โบราณ มีราคาในท้องตลาดเป็นหลักล้าน
พระเครื่องที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ เป็นพระแขวนคอ เนื้อว่านดินผง สำหรับเนื้อโลหะยังไม่กล่าวถึง

2. วัตถุประสงค์การจัดสร้างพระเครื่อง

วัตถุประสงค์การจัดสร้างพระเครื่อง อาจเรียงตามลำดับจากได้บุญมาก ไปบุญน้อย จนถึงบาป ดังนี้
1. สร้างพระเครื่องเป็นสื่อคำสั่งสอน โดยแจกแก่บุคคลทั่วไป โดยไม่คิดมูลค่า เพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนา
2. สร้างพระเพื่อนำไปทำบุญแก่วัด หรือบุคคลทั่วไป โดยไม่คิดมูลค่า และไม่หวังสิ่งตอบแทน
3. สร้างพระเพื่อบรรจุลงกรุ เจดีย์ สถูป เจดีย์พระธาตุ เพื่อเป็นหลักฐานทางโบราณคดี และใช้เป็นสิ่งจูงใจ ระดมทุนมาซ่อมแซมบูรณะเมื่อชำรุดทรุดโทรมในอนาคต
4. สร้างพระเพื่อวิจัยสูตรเนื้อดินหรือโลหะธาตุ
5. สร้างพระเพื่อเป็นเครื่องรางของขลัง สำหรับการออกสงคราม สู้รบปกป้องบ้านเมือง
6. สร้างพระเพื่อแจกเป็นของชำร่วย เพื่อเป็นของที่ระลึกในงานทอดกฐิน ทอดผ้าป่า งานวันเกิด งานศพ งานแต่งงาน
7. สร้างพระโดยเน้นพุทธศิลป์ ศิลปวัฒนธรรม ในยุคนั้น
8. สร้างเป็นพระของขวัญ แก่ผู้มาทำบุญที่วัด
9. สร้างเพื่อหารายได้จากการเช่าพระ (ขายพระ) มาสร้างสาธารณประโยชน์ เช่น วัด โบสถ์ โรงเรียน โรงพยาบาล มีการตั้งราคาพระ เพื่อให้สามารถควบคุมรายได้และค่าใช้จ่ายได้
10. สร้างพระโดยเน้นวัตถุประสงค์พิเศษ เช่น เมตตามหานิยม มหาอุต โชคลาภ แคล้วคลาด คงกระพัน มหาเสน่ห์
11. สร้างพระแบบทั่วๆ ไป ไม่ระบุสังกัด ทำเป็นโหล เพื่อให้ทางวัดหรือบุคคลทั่วไปมาซื้อ แล้วเอาไปเข้าพิธีพุทธาภิเษกเอง
12. สร้างเสริมเพิ่มจำนวนที่หมดไปแล้ว เพิ่มยอดรายได้ แล้วทำให้เข้าใจผิดว่ารุ่นเดิมยังไม่หมด บางครั้งทางวัดสร้างเสริมเอง และบางครั้งคณะศิษย์ก็แอบสร้าง ทางที่ถูกต้องการสร้างเสริมควรแจ้งให้ทราบว่าเป็นรุ่นสร้างเสริมแล้วมีโค๊ดบอกให้ทราบด้วย เพื่อไม่ให้ผิดศีลข้อมุสา โกหกหลอกลวง
13. ทำปลอมพระเครื่องที่ดังๆ โดยมีเจตนาว่าให้ผู้ต้องการหลงผิด คิดว่าเป็นพระของแท้ดั่งเดิม แล้วจะขายในราคาพระแท้ เป็นการต้มตุ๋นอย่างหนึ่ง ผิดศีลข้อมุสา โกหกหลองลวง

3. วัตถุประสงค์ของการบูชาพระเครื่อง

?บูชา? นี้ก็คือ การเอาไปสักการะ เป็นการเล่นคำเพื่อหลีกเลี่ยงคำว่า ?ซื้อพระ? เช่นเดียวกับการที่ผู้ขายหรือผู้ให้บูชา ใช้คำว่า ?ให้เช่าพระ? แทนคำว่า ?ขายพระ? เพราะเป็นการแลกเปลี่ยนกันด้วยเงินกับพระตลอดไป เช่าพระ แปลว่า ขายพระ ถ้าซื้อพระขายพระเป็นสิ่งดี ทำไมต้องเลี่ยงคำด้วย
แหล่งสถานที่ที่จะบูชาเช่าซื้อหามีหลายแห่ง เช่น วัด ธนาคาร (เป็นครั้งคราว) ศูนย์พระเครื่องแลกเปลี่ยนกันเองระหว่างบุคคล มรดกตกทอดมา นำมาจากกรุที่ค้นพบ ร้านค้าของชำร่วย (บางครั้ง) แถมมากับหนังสือพระเครื่อง ร้านขายหนังสือ พบตกหล่นในบริเวณโบราณสถาน คนตกรถนำมาขาย โรงรับจำนำ (ติดมากับสร้อยคอทองคำ) พระสงฆ์เดินธุดงค์ ถ้ำโบราณ เป็นต้น
การหาพระเครื่องมาเป็นเจ้าของนั้น บางครั้งก็ได้มาฟรี บางครั้งก็ใช้เงินพอประมาณ แต่บางครั้งก็ต้องใช้เงินจำนวนมากเป็นหมื่นเป็นแสนก็มี ซึ่งการใช้เงินมากๆ อย่างนี้ ขอให้ใช้ปัญญาไตร่ตรองด้วย
วัตถุประสงค์ของการนำพระเครื่องมาบูชาหรือใช้งาน
q สะสมพระเครื่อง แบบงานอดิเรก หรือนักสะสมของเก่า
q ใช้เป็นเครื่องเตือนใจ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า หรือพระสงฆ์ที่ตนเองนับถือ (พุทธานุสติ ธัมมานุสติ และ สังฆานุสติ)
q ชมชอบพุทธศิลป์ และมวลสารที่นำมาสร้างพระเครื่อง
q ใช้เป็นที่ระลึกในการทำบุญ ทำความดี ในโอกาสต่างๆ
q เชื่อในอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ ของพระเครื่องที่จะคุ้มครองให้ปลอดภัย หรือนำโชคลาภมาให้


4. อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของพระเครื่อง

อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ถึงแม้นมีจริง แต่เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง สิ่งจริงแท้แน่นอนก็คือ ต้องปฏิบัติธรรม
คนหนังเหนียวยิงฟันไม่เข้า แล้วสร้างศัตรูไปทุกแห่งหน ย่อมมีคนที่คอยหมายปองจ้องเอาชีวิต วันใดคาถาอาคมเสื่อมหรือพระหนีไปแล้ว ก็ย่อมถึงวันตาย สู้ปฏิบัติธรรมไม่ได้ โดยการสร้างมิตรไปทั่ว ดังนั้นก็ไม่มีใครคิดที่จะฆ่าฟัน อายุยาวนานกว่า
วัตถุประสงค์การสร้างพระเครื่อง อย่าเน้นเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ให้คิดเป็นเรื่องของผลพลอยได้ ควรเน้นเรื่องการใช้พระเครื่องเป็นสื่อชักชวนให้พุทธศาสนิกชนปฏิบัติธรรมบำเพ็ญความดี จะถูกต้องที่สุด

5. กระบวนการจัดสร้างพระเครื่องเนื้อว่านดินผง

การจัดสร้างพระเครื่อง ถือว่าเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง หากทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ เนื่องจากเป็นการเผยแพร่พุทธศาสนาอีกทางหนึ่ง การสร้างพระเครื่องนี้ เป็นการสร้างสัญลักษณ์ที่แสดงถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ได้แก่ พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระธรรมจักร พระพุทธบาท พระสงฆ์ พระอรหันต์ เป็นต้น แต่เดี๋ยวนี้มักมีการสร้างที่อิงกับศาสนาพรามณ์ เช่น ยักษ์ ฤาษี เจ้าพ่อ เจ้าแม่ พระพิฆเนศ หนุมาน ราหูอมจันทร์ พระนารายณ์ พระพรหม เป็นต้น ความเชื่ออื่นๆ ก็มี เช่น ตะกรุด นางกวัก ขุนช้าง จิ้งจกสองหาง แม่พระธรณี เงาะป่า เป็นต้น
ในเชิงพุทธ จะเน้นสร้างเฉพาะสัญลักษณ์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เท่านั้น เช่นเดียวกันกับการสร้างพระพุทธรูป พระบูชา เพื่อสักการะกราบไหว้ตามที่เห็นตามวัดวาอารามทั่วไป
กระบวนการจัดสร้างพระเครื่องเนื้อว่านดินผง มีดังนี้
1. จัดตั้งคณะทำงานจัดสร้าง
2. กำหนดวัตถุประสงค์การจัดสร้าง
3. การจัดเตรียมงบประมาณ
4. การเลือกแบบพระเครื่องที่จะจัดสร้าง
5. จัดทำพิธีขอจัดสร้าง
6. ออกแบบพระเครื่อง
7. การลองพิมพ์พระ
8. การจัดเตรียมแม่พิมพ์ที่ใช้พิมพ์ขึ้นรูป
9. การเลือกประเภทแม่พิมพ์
10. การเลือกเนื้อพระที่จะจัดสร้าง
11. การจัดเตรียมเนื้อพระ
12. การจัดเตรียมมวลสารวัตถุมงคล
13. การจัดเตรียมวัสดุประสาน
14. การผสมเนื้อพระ
15. การพิมพ์พระ
16. การทำให้พระเครื่องแข็งตัว
17. การตรวจสอบคุณภาพพระพิมพ์
18. การจัดเตรียมภาชนะหีบห่อ
19. การนำพระเครื่องเข้าพิธีพุทธาภิเษก
20. การจัดพิมพ์คู่มือพระเครื่อง
21. การแจกจ่ายพระเครื่อง


5.1 จัดตั้งคณะทำงานจัดสร้าง
จัดตั้งคณะทำงานขึ้นมาชุดหนึ่ง กำหนดภารกิจตั้งแต่ประธาน การเงิน การตลาด ประชาสัมพันธ์ เหรัญญิก และเลขานุการ คณะผู้จัดสร้างอาจเป็นบริษัทเอกชน องค์กร บุคคลธรรมดา คณะกรรมการวัดก็ได้ ถ้าไม่เน้นพิธีการอะไรมากมาย คนหนึ่งหรือสองคน ก็ทำงานได้แล้ว หากการตั้งคณะทำงานแล้วต้องมีค่าใช้จ่าย ก็ต้องดูความเหมาะสม ให้เน้นหลักความประหยัด ไม่ต้องหรูหราปรุงแต่ง
5.2 กำหนดวัตถุประสงค์การจัดสร้าง
การสร้างพระเครื่องขึ้นมาเพื่ออะไร ใช้ในงานอะไร เช่น งานทอดกฐิน ฝังกรุ หารายได้เข้าวัด จำนวนที่สร้างจะสร้างเท่ากับวัตถุประสงค์ เช่น จำนวนผู้สั่งจอง จำนวนสมาชิก ยอดรายได้ที่ต้องการ บางครั้งสร้างเท่ากับพระธรรมขันธ์ในพระไตรปิฎก คือ 84,000 องค์ หากจำนวนนี้มากไป ก็เอาแค่ 4,000 องค์ เท่ากับส่วนหลังของ 84,000 องค์ หรือเท่ากับจำนวนพระอรหันต์ในวันมาฆะบูชา คือ 1,250 องค์ บางคนก็เอาเลขสวยๆ เช่น 9,999 องค์ หรือ 999 องค์ จำนวนสร้างที่น้อยๆ มักเป็นพระที่ต้นทุนแพง เช่น พระเนื้อทองคำ พระบูชาขนาดใหญ่ หรือเปลืองที่จัดเก็บหากสร้างจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม การถือเลขก็ขอให้เป็นเพียงการระลึกถึงเท่านั้น ไม่ใช่โชคลาภ ในเชิงพุทธนั้นจำนวนที่สร้างนั้นก็ให้มีปริมาณที่พอเพียงและพอประมาณ และตอบสนองวัตถุประสงค์การจัดสร้างพระ
5.3 การจัดเตรียมงบประมาณ
งบประมาณเป็นเรื่องสำคัญ อยากสบายในการจัดสร้างก็จ้างเขาทำ แต่ลงทุนมากหน่อย หากทำเองราคาก็ถูกลง เพราะใช้แรงงานตัวเอง แม่พิมพ์ไม่มีก็ไปยืมวัดอื่นมา หรือใช้วิชาเรซิ่นพลาสติกและซิลิโคน ทำแม่พิมพ์เองก็ได้
จ้างเขาทำนั้นค่าบล๊อกแม่พิมพ์ 5,000 ? 20,000 บาท ขึ้นอยู่กับช่างแกะพิมพ์ รูปเหมือนเกจิอาจารย์แกะยากหน่อย ก็มีราคาแพง พระสมเด็จแกะง่ายหน่อย ราคาก็ถูก ค่ากดพิมพ์ประมาณองค์ละ 1 - 3 บาท/องค์ ค่ากล่องพลาสติก 3 ? 5 บาท/กล่อง หากใช้ถุงซิปขนาดเล็กก็ประมาณ 5 ? 8 บาท/ร้อยถุง หรือ 500 บาท/กิโลกรัม หากสร้าง 10,000 องค์ ต้นทุนก็ตกประมาณ 7 ? 10 บาท/องค์
การระดมทุน ก็โดยการชักชวนผู้มีจิตศรัทธามาลงเงินก้อนแรก หากไปกู้เงินเขามาทำพระเครื่อง อย่างนี้มีความเสี่ยงหากขาดทุน การสร้างพระแบบสมัยใหม่ ต้นทุนแพง หากมองกลับไปดูในอดีตโบราณ ต้นทุนน้อยมากแทบไม่มีเลย เช่น ช่างแกะพระทำแม่พิมพ์มาถวายวัด บางแห่งพระสงฆ์ก็แกะพิมพ์พระเองบนหินลับมีดก็ได้ มวลสารก็เป็นของที่อยู่ในวัด การพิมพ์พระก็ระดมกำลังจากพระสงฆ์ หรือชาวบ้านที่ศรัทธาลงแรงช่วยกัน หากเป็นพระดินเผาก็เอาไปฝากเตาเผาอิฐที่มีอยู่แล้ว คิดดูให้ดี อาจไม่มีค่าใช้จ่ายเลย มีแต่แรงงานช่วยกัน และเลี้ยงข้าวปลาอาหารกัน สมัยก่อนพระเครื่องไม่ได้ใส่กล่องพลาสติก ให้หยิบเอาไปเลย หรือเอาผ้าห่อไป ดังนั้นต้นทุนกล่องพลาสติกก็ไม่มี
5.4 การเลือกแบบพระเครื่องที่จะจัดสร้าง
โดยทั่วไปนิยมสร้างรูปพระพุทธเจ้า พระประธานในโบสถ์ รูปเกจิอาจารย์แทนพระสงฆ์ และพระธรรมจักร ต่อไปก็เป็นการเลือกซุ้มพระ การเลือกปางของพระพุทธเจ้า มีปางนั่งสมาธิ ปางมารวิชัย ปางนาคปรก ปางป่าลิไลย์ ปางลีล่า ปางห้ามพระญาติ ปางตามวันเกิด จะเลือกโค๊ตตำหนิหรือไม่ จะเลือกยันต์อะไร เช่น นโมพุทธายะ (ยันต์พระเจ้า 5 องค์) หัวใจคาถา ภาษาขอม สัญลักษณ์ผู้สร้าง รุ่น ปี พ.ศ.ที่สร้าง เป็นที่ระลึกงานอะไร
ในเชิงพุทธขอให้สร้างเฉพาะพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระธรรมจักร พระสงฆ์ และพระอรหันต์เท่านั้น เพื่อให้เป็นพุทธาสุสติ ธัมมานุสติ และสังฆานุสติ ในทางพุทธให้เรากราบไหว้ 5 อย่าง คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พ่อแม่ และครูบาอาจารย์ หากหลุดไปจากนี้แล้ว จะมีโอกาสที่จะไปหลงงมงายกับสิ่งอื่น ทำให้เกิดความเชื่อแบบงมงาย ขาดปัญญา เกิดมิจฉาทิฎฐิได้ง่าย

5.5 จัดทำพิธีของจัดสร้าง
โดยเฉพาะเกจิอาจารย์ที่มีวัดสังกัด จะสร้างรูปเหมือนก็ต้องบอกกันหน่อย ตามหลักมารยาทสากล รูปแบบพระเครื่องยังไม่มีใครไปจดสิทธิบัตร ผลทางกฎหมายไม่มี แต่หลักมารยาท ต้องบอกเจ้าของ หากเป็นของเก่าโบราณ ไม่รู้จะขอสร้างจากใคร ก็ทำพิธีขอสร้างจากดวงวิญญาณหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะทำให้ผู้สร้างสบายใจ เพราะขออนุญาตทำแล้ว

5.6 ออกแบบพระเครื่อง
ประกอบด้วยพุทธลักษณะด้านหน้าและด้านหลังพระเครื่อง ความหนาของพระ หนากี่มิลลิเมตร จะใช้ศิลปะสมัยไหน เมื่อออกแบบเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงขั้นตอนทำแม่พิมพ์ จะจ้างทำก็ได้ โดยแกะพิมพ์บนโลหะเหล็กหรือทองแดง หรือบนแผ่นพลาสติก สมัยโบราณนิยมแกะบนโลหะเหล็ก หรือทองแดง หรือบนแผ่นพลาสติก สมัยโบราณนิยมแกะบนหินลับมีด (หินอ่อนหรือหินชนวน)
แม่พิมพ์สมัยใหม่นิยมแบบ 3 ชิ้น ประกอบด้วยแม่พิมพ์หน้าพระ แม่พิมพ์ข้างพระ และแม่พิมพ์หลังพระ สมัยโบราณนิยมชิ้นเดียวเฉพาะแม่พิมพ์หน้าพระ
ด้านหลังพระ ควรชี้บ่งถึงผู้สร้าง จะเป็นอักษรหรือสัญลักษณ์อะไรก็ได้ เพื่อลดความสับสน ในการสืบที่มาของพระ หรือโอกาสของการสร้าง เช่น หลวงปู่ทวดเนื้อว่าน มีผู้สร้างมากมาย ควรมีลักษณะพิเศษของผู้สร้างด้วย เช่น หน้าตา บัวฐานพระ ลูกแก้วที่ถืออุ้มไว้ งูใต้ฐาน เป็นต้น
5.7 การลองพิมพ์พระ
ร้านรับแกะบล๊อกพิมพ์พระที่ดี ควรจะทำพระลองพิมพ์มาให้ผู้จัดสร้างตรวจสอบพุทธลักษณะ และเนื้อมวลสาร หากยังไม่พอใจก็สั่งแก้ไขจนพอใจ จึงค่อยส่งมอบบล๊อกพิมพ์ แล้วพร้อมที่จะลงมือพิมพ์พระจริง เป็นจำนวนมากๆ การแก้ไขแม่พิมพ์ ช่างแกะพระอาจเรียกเงินค่าจ้างเพิ่ม ต้องตกลงกันให้ดี
5.8 การจัดเตรียมแม่พิมพ์ที่ใช้พิมพ์ขึ้นรูป
ถ้าใช้แม่พิมพ์จริงหรือต้นแบบ หากสร้างพระจำนวนมากๆ เช่น 84,000 องค์ เชื่อแน่เลยว่า ความคมชัดขององค์พระเครื่อง จะลดลงช่วงพระองค์ท้ายๆ ทำให้สับสนคิดว่าเป็นพระปลอม หรือต่างรุ่นกันก็ได้ โดยเฉพาะพระเนื้อดินจะกัดแม่พิมพ์มากกว่าเนื้อว่าน ทางแก้ไข คือ การทำแม่พิมพ์พลาสติกหรืออีพอกซี่ขึ้นมา อายุการใช้งานประมาณ 2,000 ? 4,000 องค์ ซึ่งสามารถถ่ายแบบแม่พิมพ์ที่จ้างแกะมาได้ โดยใช้ซิลิโคนรวมกับสารช่วยแข็ง ถอดถ่ายแบบออกมา เทคนิคการถ่ายแบบที่สวยงาม ต้องฝึกฝนพอสมควร จากนั้นก็ทำแม่พิมพ์เรซิ่นพลาสติกหล่อ โดยการผสมเรซิ่นเหลวกับสารช่วยแข็ง แล้วเทลงพิมพ์ซิลิโคน แล้วรอจนเรซิ่นแข็งตัวเต็มที่ จึงค่อยถอดออกจากแบบพิมพ์
ถ้าต้องการให้แม่พิมพ์เรซิ่นแข็งแรง ทนต่อการขีดข่วนสึกหรอ ให้ผสมผงหินปูนบด หินซิลิก้าบด ผสมลงในเรซิ่นเหลวด้วย อย่าใส่ตัวช่วยแข็งมากเกินไป เพราะจะทำให้ชิ้นงานหล่อจะหดตัว เล็กกว่าขนาดเดิมและเกิดความร้อน หากต้องการให้แม่พิมพ์พลาสติกแข็งแรงกว่านั้น ก็ให้ใช้เรซิ่นอีพอกซี่เหลวแทน เรซิ่นหล่อไฟเบอร์กลาส
การใช้วัสดุอื่นแทนเรซิ่นก็มี ใช้พุตตี้อีพอกซี่ ยี่ห้อ Devcon ที่ใช้ในการพอกเพลาโลหะ แต่ต้องมีเทคนิคพิเศษในการป้ายครีมพุตตี มิเช่นนั้นจะเกิดฟองอากาศที่ชิ้นงานมาก นอกจากนี้อาจใช้สีโป๊รถยนต์รองพื้น ก็ใช้งานได้เช่นกัน
ข้อควรระวังก็คือ เรซิ่นหล่อ สีโป๊วรถยนต์ นั้นมีกลิ่นเหม็นมาก ให้ปฏิบัติการต่างๆ ในที่โล่งหรือสถานที่มีการระบายอากาศดี หรือมีการดูดควันไอไปทิ้งที่อื่น
5.9 การเลือกประเภทแม่พิมพ์
มีแบบแม่พิมพ์ 3 ชิ้น ทำด้วยพลาสติก เหล็ก ทองเหลือง คือ พิมพ์หน้าพระ พิมพ์ขอบข้าง และพิมพ์หลังพระ โดยติดตั้งกับเครื่องกดพระ (ราคาประมาณ 2,500 ? 3,000 บาท/เครื่อง) การพิมพ์มี 2 วิธี คือ การพิมพ์ตวงปริมาตรดินที่เครื่องกดหนึ่ง จากนั้นนำดินตวงไปใส่ในเครื่องกดพระอีกเครื่องหนึ่ง รวมเป็น 2 ขั้นตอน อีกวิธีหนึ่ง คือ ใช้เครื่องกดเดี่ยวเป็นทั้งตวงและพิมพ์ในคราวเดียวกัน
แม่พิมพ์ชั้นเดียวแบบพระพิมพ์โบราณ คือ มีเฉพาะพิมพ์หน้าพระ แม่พิมพ์ทำด้วยหินแกะ พลาสติก หรือดินเผา
แบบแม่พิมพ์ 3 ชั้น ทำด้วยพลาสติกหล่อ ผู้เขียนเป็นผู้ออกแบบเอง มีขนาดเล็ก กะทัดรัด ทำขั้นตอนเดียว พกใส่กระเป๋าเสื้อ หรือย่ามพระได้โดยง่าย ราคาถูก เวลากดพระไม่มีเสียงดังรบกวนคนโดยรอบ
5.10 การเลือกพระที่จะจัดสร้าง
การเลือกเนื้อพระชนิดว่าน ? ดิน ? ผง (ไม่ขอกล่าวเนื้ออื่นที่ใช้กับเหรียญปั๊ม รูปหล่อ และแกะสลัก)
ไม่ว่าจะเป็นเนื้อว่าน เนื้อดินดิบ เนื้อดินเผา และเนื้อผง ก็ต้องอาศัยดิน เพื่อให้เกิดการประสาน และก่อให้เกิดน้ำหนัก เนื้อว่าน ? ดิน ? ผง นี้หากไม่มีดินผสมก็จะเบามากๆ และจะฟ่ามๆ เวลาเป็นพระเครื่องแล้วจะไม่น่าใช้
ตัวอย่างพระเครื่องหลวงปู่ทวด มักใส่ดินกากยายักษ์ (ดินชนิดหนึ่งสีดำ) พระผงสมเด็จมักใส่ดินขาวหรือผงปูนลงไปด้วย
สำหรับเนื้อดินก็ต้องจัดหาเนื้อดินเหนียวที่มาจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หรือสถานที่ที่มีชื่อเป็นมงคลนาม ดินเหนียวที่ดีควรมีลักษณะนุ่มมือ เมื่อมีความชื้นหมาด เนื้อเนียนไม่ติดมือมันราวคล้ายดินน้ำมัน อย่างไรก็ตามดินเหนียวชนิดต่างๆ ก็สามารถนำมาใช้งานได้ โดยใช้ความรู้เรื่องเครื่องปั้นดินเผา
ดินร่วนยุ่ยก็ต้องใช้ดินเหนียวจัดผสม ดินหดตัวมาก ก็ใช้ดินปนทรายหรือแร่ภูไมต์ หรือหินเขียวหนุมาน หรือดินเผาบดมาผสม ตามสัดส่วนที่เหมาะสม
สีสรรของดินและประกายมันวาวของดินจะช่วยทำให้พระเครื่องดูเด่น และแปลกตาออกไป ในการเลือกเนื้อดินที่สีสรรและสีหลังการเผา หรือเลือกจากดินที่มีไมก้าขาวแวววาว เพื่อความสวยงาม
สิ่งที่นิยมทำ คือ การหาแร่พิเศษที่เป็นผงเป็นเม็ดมีความเป็นมันวาว สำหรับโปรยหลังพระเครื่อง หรือผสมลงไปในเนื้อพระเลย เช่น เพทาย ดีบุก นิล พลอยแดง เป็นต้น
5.11 การจัดเตรียมเนื้อพระ
อาจต้องไปขุดดินจากแหล่งหรือไปขอจากวัด หรือจากผู้ที่ชอบสะสม บางอย่างก็ไปหาซื้อมาได้ ดินที่ขุดมาแล้วควรวางในที่สูงด้วย ป้องกันคนเดินข้ามหรือมาถ่ายปัสสาวะใกล้ๆ
การจัดเตรียมดินเนื้อพระ บางครั้งจะพบว่าดินอยู่ปนกับกรวด หรือหินแข็ง ตัวอย่างดินลูกรัง จะมีทั้งดินและกรวดอยู่รวมกัน และดินบางอย่างเนื้อเนียนนุ่ม แต่มีเม็ดกรวดประปรายไปทั่วเนื้อดิน วิธีการแก้ไขให้ทำดังนี้
วิธีที่ 1 นำดินไปหมักน้ำหรือแช่น้ำ 1 ? 3 คืน นำดินมาใส่ถัง เติมน้ำพอสมควร ขย่ำดินให้เกิดน้ำขุ่นหรือน้ำดินจนขุ่นได้ที่ จากนั้นค่อยๆ เทน้ำดินลงในถังน้ำดิน ระวังให้ป้องกันกรวดที่จมก้นถัง ไม่ให้ไหลออกมา ทำเช่นนี้จนดินหมด จนเหลือปริมาณดินปนกรวดทราย ให้ทิ้งไป น้ำดินที่ได้ ปล่อยรอให้ดินตกตะกอนก้นถัง เทน้ำใสส่วนบนทิ้ง ทำเช่นนี้จนดินมีความเข้มข้นมาก แล้วนำไปเทบนถุงปุ๋ย หรือผ้าขาวม้า ปล่อยทิ้งไว้ให้น้ำซ้ำออก จะทิ้งไว้กลางแจ้งก็ได้ เพื่อให้ดินระเหยน้ำเร็วขึ้น จนหมาดพอก็ให้ปั้นเป็นก้อนๆ ผึ่งดินก้อนไว้จนเป็นก้อนดินที่เหมาะกับการขึ้นรูป ก็ให้เก็บใส่ถังพลาสติกที่มีฝาปิด จะทำให้รักษาดินได้เป็นปี วิธีอื่นในการทำให้น้ำดินแห้ง เช่น วิธีใส่ถุงผ้าแขวนให้น้ำใสไหลออก วิธีเทน้ำขุ่นลงในกระถางดินเผาที่ไม่เคลือบให้ดูดน้ำออก วิธีนำน้ำดินไปเข้าเครื่องเตาอบ วิธีนำน้ำดินไปใส่ในถังโลหะ แล้วเคี่ยวไฟให้แห้ง และวิธีการกรองด้วยระบบสูญญากาศ เป็นต้น
วิธีที่ 2 ทำดินที่เตรียมมาทำให้แห้ง จากนั้นบดดินด้วยโม่บดหรือตำด้วยครกหินหรือครกเหล็ก แล้วร่อนด้วยตะแกรงร่อนแป้ง นำผงร่อนแห้งมาผสมน้ำ ก็เป็นดินเหนียวที่พร้อมขึ้นรูป การเก็บรักษาอาจเก็บในลักษณะเป็นผงแห้งก็ได้ เวลาจะใช้งานค่อยนำมาผสมน้ำ
บางท่านก็ใช้วิธีลัดในการจัดเตรียมดินเนื้อพระ โดยใช้แร่ที่ซื้อขายกันในวงการเหมืองแร่ และเครื่องปั้นดินเผา ซึ่งบดละเอียดมาแล้ว เช่น เฟลด์สปาร์ (หินฟันม้า) หินเขี้ยวหนุมาน แร่โคโลไมต์ แร่แบไรต์ แร่ภูไมต์ (หินภูเขาไฟ ที่มีซิลิก้าสูง มีความพรุนตัว ใช้ในงานเกษตร) ดินขาวลำปาง ดินบอล์เดลย์ สำหรับทำเครื่องปั้นดินเผาหรือเซอรามิกส์
5.12 การจัดเตรียมมวลสารวัตถุมงคล
มวลสารวัตถุมงคลส่วนใหญ่จะป็นอิฐปูนโบราณสถาน ตะไคร่น้ำเจดีย์ หลังคา กระเบื้องโบสถ์ พระเก่า พระหัก ผงเถ้าธูปบูชา ที่บูชาพระประธาน ศาลหลักเมือง หน้ารูปเหมือนเกจิอาจารย์ ดอกไม้บูชาพระ ขี้เถ้าใบลาน แร่ธาตุที่เป็นมงคล พระธาตุ อัฎฐิ เถ้ากระดูกของเกจิอาจารย์ ว่าน 108 พืชสัตว์ที่เป็นมงคล (งาช้าง) ผลชอล์กที่เขียนยันต์แล้วลบออก
มวลสารวัตถุมงคลนี้จะใช้ปริมาณ 5 ? 90 % ของเนื้อพระทั้งหมด วัตถุมงคลนี้มักเป็นวัตถุเรียกศรัทธา ทำให้น่านับถือกราบไหว้ได้มากขึ้น สิ่งที่ควรระวังคือ อย่าตั้งใจทำลายใบลานโบราณที่จดคัมภีร์มาเผาเพื่อเอาขี้เถ้าสีดำ ทั้งที่ควรเก็บรักษาไว้เป็นของโบราณไว้ ในเชิงพุทธ จะไม่เน้นวัตถุมงคล แต่ให้ไปปฏิบัติตนตามมงคล 38 มากกว่า อย่างไรก็ตาม วัตถุมงคลที่ใส่ในพระเครื่อง ก็ให้เป็นเพียงสิ่งยึดเหนี่ยวให้มาสนใจพระเครื่อง ซึ่งดีกว่าจะไปสนใจกิเลสอื่นรอบๆ ตัว เช่น เล่นการพนันเพราะโลภ สนใจพระเครื่องเป็นงานอดิเรก ก็ยังดีกว่าไปเล่นไพ่เป็นงานอดิเรก บางคนก็เน้นในเรื่องวัตถุมงคล ในเชิงอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์ แต่ในเชิงพุทธให้ปฏิบัติธรรมแทน และอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์จะมีหรือไม่ ไม่ต้องไปสนใจ
สูตรส่วนผสมเนื้อพระ
สูตร 1 พระเครื่องเนื้อว่าน (เช่น พระหลวงปู่ทวด)
เนื้อพระ : ดินกากยายักษ์ ฝุ่นสีดำ กระดาษไม้ไผ่ กระดาษฟาง ปูนขาว ดินเหนียว สิ่ง
สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ ดิน
วัตถุมงคล : ว่านแร่ผงต่างๆ ผงว่านเก่า ชิ้นส่วนพระเครื่องแตกหัก แร่เขาเขียว โป่ง
ขาม สะเก็ดดาว ขี้เหล็กไหล อัญมณี ดอกไม้แห้ง น้ำพระพุทธมนต์ ผง
กะลามะพร้าวไม่มีตา (มหาอุต) หินเขี้ยวหนุมาน ชานหมาก ยาฉุน ของ
เกจิอาจารย์ ว่านเพชรหลง ? เพชรเหล็ก ว่านกลิ้งกลางดง เพชรหน้าทั่ง
(ไพไรต์) ดินรูปูปิด ดินกำบัง (เกลือจืด) ผงขมิ้นกับปูน ผงพระ ผงกระ
เบื้องหลังคาโบสถ์ ผงพุทธคุณ วัตถุมงคลนี้ไม่จำเป็นต้องหามาให้ครบ
เลือกตามใจชอบ
วัสดุประสาน : ปูนขาวจากหิน ปูนขาวเปลือกหอย กล้วย น้ำตาลทราย น้ำมันตังอิ้ว น้ำ
ผึ้งเดือนห้า ข้าวเหนียวดำ น้ำมนต์ ข้าวสุก สิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ ปูนขาว
และกล้วย
สีเนื้อพระ : สีดำ ใส่ฝุ่นสีดำ และดินดำมาก ปูนขาวน้อย
สีเทา ใส่ฝุ่นสีดำน้อย ใส่ว่านมาก
สีชมพู ใส่ว่านสบู่เลือด และปูนกินหมาก
สีขาว ใส่ปูนขาว และผงวิเศษสีขาวมาก
สีขาวอมเหลือง เหมือนทำสีขาว แล้วใส่น้ำมันตังอิ้วมาก
สีเหลือง ใส่ขมิ้น หรือเนื้อขนุน หรือเปลือกขนุน
สูตร 2พระเครื่องเนื้อผง (เช่นพระสมเด็จ)
เนื้อพระ : ปูนขาวหิน ปูนขาวเปลือกหอย
วัตถุมงคล : ปูนจากองค์พระประธาน ผงว่าน น้ำมนต์ 108 วัด ผงธูปและดอกไม้ที่
บูชาพระประธาน ผงวิเศษ 5 อย่าง คือ ผงปถมัง ผงอิทธิเจ ผงมหาราช
ผงพุทธคุณ และผงตรีนิสิงเห
วัสดุประสาน : ปูนขาว กล้วยสุก น้ำผึ้ง น้ำมันตังอิ้ว
สีเนื้อพระ : สีขาวอมเหลือง จากปูนขาว และน้ำมันตังอิ้ว
สูตร 3พระเครื่องเนื้อผงยา (เช่น พระผงยาวาสนา ?จินดามณี?)
เนื้อพระ : ผงหินบด ผงยาจินดามณีซึ่งประกอบด้วย หญ้าฟรั่น อบเชย โกฎทั้งหมด
กลัมพัก ผักตาดหัวแหวน กระแจะตัวปู กระต่ายจาม บดผสมกับกฤษณา
พิมเสน ชะมดเชียง
วัตถุมงคล : ไม่เน้น
วัสดุประสาน : ปูนขาว น้ำผึ้งรวง น้ำมะนาวคั้น น้ำมะเขือขื่นคั้น น้ำมันตังอิ้ว น้ำยางรัก
และน้ำมันยาง
สีเนื้อพระ : สีน้ำตามเข้ม
สูตร 4 พระเครื่องเนื้อดินดิบ (เช่น พระเม็ดกระดุมศรีวิชัย ? พุนพิน)

ตามลัทธิมหายาน จะมีการนำเถ้าอัฎฐิของพระสงฆ์เถระ ที่มรณภาพแล้ว มาป่นคลุกเคล้ากับดิน แล้วพิมพ์เป็นพระพุทธรูปหรือพระโพธิสัตว์ไว้ เป็นปรมัตถประโยชน์ ของผู้มรณภาพ และจะไม่มีการเผาพระพิมพ์อีก เนื่องจากได้เผาอัฎฐิมาแล้วครั้งหนึ่ง หากเผาอีก จะเป็นการตายครั้งที่สองนั่นเอง
สูตร 5พระเครื่องเนื้อดินเผา (เช่น พระรอด พระกำแพง)
โดยนำดินเหนียวมาผสมมวลสารที่มีอินทรีย์สารน้อย พิมพ์ขึ้นรูป แล้วนำไปที่เตาเผาอิฐ หรือหมกแกลบเผาหรือใส่ในเตาเผาถ่าน หรือเตาเผากระถาง หรือเตาเผาเซอรามิกส์ หรือใส่กระถางดินไปเผาในเตาอังโล่
การใช้ดินเหนียวนั้นจะต้องรู้คุณสมบัติของดินด้วย เพราะดินบางชนิดเผาที่อุณหภูมิต่ำจะไม่สุก เช่น ดินขาวลำปาง

5.13 การจัดเตรียมวัสดุประสาน
วัสดุประสานสำหรับเนื้อพระที่ไม่ต้องการเผา ซึ่งจะนำวัสดุประสานไปผสมกับวัสดุเนื้อพระอีกครั้งหนึ่ง
สูตรโบราณ
1. ปูนขาวหรือปูนเปลือกหอยเผา กล้วยสุก น้ำตาลทราย หรือน้ำผึ้ง และน้ำมันตังอิ้ว
2. ปูนขาว กล้วยสุก น้ำอ้อย น้ำผึ้ง น้ำมันตังอิ้ว
3. ผงชันยาเรือ และน้ำมันยาง
4. น้ำมันยางและรัก (ที่ใช้สำหรับลงรักปิดทอง)
สูตรสมัยใหม่
1. ซีเมนต์ขาวหรือปูนยาแนวหรือปูนซิเมนต์เทา
2. ปูนพลาสเตอร์ผสมกาวลาเท๊กซ์
3. กาวพลาสติกต่างๆ ที่ทนน้ำหลังแห้งแล้ว เช่น ยูเรียฟอร์มาลดีไฮต์ ฟีลนอลฟอร์มาดีไฮต์
4. เรซิ่นพลาสติหล่อหรือเรซิ่นอีพ๊อกซี่หรือกาวลาเท๊กซ์
การทดสอบสูตรปูนขาวเผา
1. ผสมปูนขาวกับน้ำ ปั้นขึ้นรูป ปล่อยให้แข็งตัว 7 วัน แล้วนำไปแช่น้ำ พบว่ายุ่ย
2. ปูนขาวผสมกับกล้วย สัดส่วนโดยปริมาตร 3 : 1 ตำด้วยครก ปั้นขึ้นรูป ปล่อยให้แข็งตัว 7 วัน แล้วนำไปแช่น้ำ จะทนน้ำได้
3. ทดลองใช้ปูนขาวหอยเผาแทนปูนขาว ก็ให้ผลเหมือนกันกับข้อ 2
4. ทดลองใช้สูตรปูนขาวกับน้ำผึ้ง ปูนขาวกับน้ำมะขามเปียก ปูนขาวกับน้ำอ้อย ปูนขาวกับน้ำตาลทราย ก็ให้ผลเช่นเดียวกับข้อ 2
5. สังเกตการใช้สูตรปูนขาวกับวัสดุประเภทน้ำตาล จะต้องใช้วิธีการตำในครก หากผสมคลุกกันเฉยๆ จะไม่แข็งตัว
6. หากต้องการผสมดินหรือดินสอพองก็ผสมเข้าไปได้ ในสัดส่วนที่น้อยกว่าปูนขาว

5.14 การผสมเนื้อพระ
โดยใช้วัสดุเนื้อพระผสมกับมวลสารวัตถุมงคล ตามสัดส่วน มวลสารวัตถุมงคลควรมีอย่างน้อย 5% ผสมหรือนวดให้คลุกเคล้ากัน บางครั้งอาจใช้น้ำพุทธมนต์ประพรมเพื่อเพิ่มความชื้นให้ของผสมเข้ากันดี
สำหรับวัสดุประสานควรผสมก่อนใช้งานเล็กน้อย แล้วใช้ให้หมดก่อนที่วัสดุประสานแข็งตัว
5.15 การพิมพ์พระเครื่อง
ต้องพิจารณาว่าจะพิมพ์เองหรือจ้างพิมพ์ หากต้องการประหยัดควรทำเอง เหมือนเมื่อสมัยโบราณ โดยเกณฑ์กำลังพลชาวบ้าน พระ เณร มาช่วยกันพิมพ์ อาจใช้น้ำมันหรือน้ำมันมนต์ทาแม่พิมพ์ ให้พระถอดออกจากพิมพ์ได้ง่าย น้ำมันที่ใช้ควรเป็นน้ำมันพืช หรือน้ำมันปิโตรเลียมหรือวาสลิน ไม่ควรใช้น้ำมันที่สกัดจากสัตว์ที่ไม่เป็นมงคล ข้อควรระวังมดจะมากินน้ำมันพืชที่พระพิมพ์ หลังจากพิมพ์เสร็จใหม่ๆ การคัดเลือกคนพิมพ์พระ ควรเป็นคนที่ได้รับการยกย่องจากสังคมท้องถิ่นว่าเป็นคนดีมีศีลธรรม
การพิมพ์พระที่ต้องการลักษณะแตกต่าง อาจใช้วัตถุมงคลที่เป็นเม็ด เม็ดผงแร่ธาตุโปรยหลังพระก่อนกดพิมพ์หลังพระ หรือฝังตะกรุด ลูกกลิ้ง เม็ดพระธาตุที่หลังพระ
ขณะพิมพ์เสร็จใหม่ๆ อาจมีการเขียนโค๊ตหรือหมายเลขลงบนหลังพระหรือขอบข้างพระ โดยใช้ไม้จิ้มหรือปากกาปลายแหลม ซึ่งต้องใช้สมาธิมากขณะเขียน เพราะมีพื้นที่จำกัด และมือต้องไม่สั่น
ปล่อยให้พระพิมพ์แห้งตัวในร่มประมาณ 3 ? 5 วัน ขึ้นอยู่กับแสงแดด โดยสังเกตว่าสีองค์พระจะเปลี่ยนจากสีเปียกเป็นสีแห้ง การผึ่งพระนี้ต้องจัดให้เป็นระเบียบ มิเช่นนั้นพระจะชนกัน พระจะสึกจากการเสียดสี และการขนย้าย

5.16 การทำให้พระเครื่องแข็งตัว
หากเป็นพระเครื่องเนื้อว่าน เนื้อผง เนื้อดินดิบ จะใช้วัสดุประสานแล้ว เพียงแต่รอให้เนื้อประสานแข็งตัว สำหรับเนื้อดินเผานั้น จำเป็นจะต้องนำพระที่ผึ่งแห้งในร่มแล้วไปเผา
การเผาพระ สามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
1. เผาเองในเตาคอก โดยเอาพระพิมพ์ใส่ในกระถางดิน ใช้ถ่านเป็นเชื้อเพลิง อุ่นกระถาง 1 ชม.เร่งไฟใส่ถ่านจนกระถางแดงเรืองแสง 2 ชม.และปล่อยให้เย็นตัวลงโดยเลิกเติมถ่านอีก 8 ? 12 ชั่วโมง
2. เอาพระพิมพ์ใส่กระถางดิน หรือถังเหล็กไปใส่ในเตาเผาอิฐ หรือเตาเผาถ่าน หรือเตาเผาจอก ซึ่งวิธีการต่างๆ อาจให้สีแตกต่างกันตามอุณหภูมิ ชนิดเตา และบรรยากาศการเผาเป็นแบบออกซิเคชั่นหรือรีดักชั่น
5.17 การตรวจสอบคุณภาพพระพิมพ์
คุณภาพพระพิมพ์หลังเสร็จแล้ว ควรสุ่มตัวอย่างมาตรวจสอบคุณภาพ เช่น
1) สีหลังเผา สีหลังพระพิมพ์ แข็งตัวแล้ว หรือแห้งแล้ว
2) ความคมชัดของพิมพ์พระ
3) การหดตัวด้านกว้าง ด้านยาว และด้านหนา
4) การทนต่อแรงขีดข่วน โดยการขีดบนแผ่นกระจก
5) การตกลงมาจากที่สูง 1 เมตร
6) การทดสอบการแช่น้ำ อย่างน้อย 3 วัน (72 ชั่วโมง)
7) เปอร์เซ็นต์การดูดซึมน้ำ
8) การทดสอบการขึ้นรา โดยเฉพาะพระเครื่องที่ทำจากกล้วย ข้าวสาร ว่าน โดยการใส่ถุงพลาสติกปิดปากแน่น
9) การทดสอบการติดแม่เหล็ก (หากต้องการคุณสมบัติพิเศษ)
หากคุณภาพองค์พระมีคุณสมบัติไม่ผ่าน ก็ต้องกลับไปทบทวนวัตถุดิบทำเนื้อพระ วัสดุประสาน วิธีการทำให้พระพิมพ์แข็งตัวใหม่
อีกประการหนึ่งคือ พระพิมพ์ทุกองค์ในรุ่นเดียวกัน ควรมีคุณสมบัติ คุณภาพใกล้เคียงกัน เช่น สีสัน ขนาด ตำหนิ เป็นต้น
5.18 การจัดเตรียมภาชนะหีบห่อ
การรักษาความคมชัดของพระพิมพ์ ควรที่จะมีภาชนะหีบห่อ เช่น ถุงซิบพลาสติก กล่องพลาสติก กล่องโฟม ลังกระดาษ
ก่อนบรรจุพระเครื่องลงหีบห่อ อาจทำน้ำมนต์ น้ำว่าน น้ำอบไทย น้ำยาหอม ประพรมพระก่อนบรรจุหีบห่อก็ได้ จะทำให้พระมีกลิ่นหอมสดชื่น แต่ให้ระวัง เพราะอาจทำให้พระเครื่องขึ้นราได้ง่าย จึงไม่เหมาะสมกับท้องถิ่นที่มีฝนตกชุก อากาศมีความชื้นสูง
5.19 การนำพระเครื่องเข้าพิธีพุทธาภิเษก
การนำพระเครื่องเข้าพิธีพุทธาภิเษก มี 2 วิธี คือ ฝากเข้าพิธี และจัดพิธีเอง
ฝากเข้าพิธี คือ เอาพระเครื่องไปฝากกับพิธีที่มีการพุทธาภิเษกอยู่แล้ว โดยติดต่อวัดที่จัดพิธี พร้อมออกเงินช่วยทำบุญในการจัดการพิธีด้วย
การจัดพิธีเอง จะเริ่มจากการเลือกเกจิอาจารย์ที่มีวัตรปฎิบัติดีหรือดูจากรายชื่อเกจิอาจารย์ที่เคยผ่านพิธีมาแล้ว โดยดูจากหน้าโฆษณาหนังสือพระเครื่อง จากนั้นกำหนดวันพุทธาภิเษก จัดพิธี ประกาศเชิญชวนบุคคลสำคัญมาเข้าร่วมพิธีด้วย
ในวันจัดทำพิธีพุทธาภิเษก ควรจัดแบ่งกลุ่มพระเครื่องเป็นกลุ่มๆ เพื่อความสะดวกในการแจกจ่ายต่อไป บางแห่งจะจัดพระแจกฟรีเป็นของขวัญในการเข้าร่วมพิธีด้วย อาจจะมีพิธีทำลายแม่พิมพ์หรือแกะแม่พิมพ์ให้เป็นลายอื่น หรือผ่าเลื่อยแม่พิมพ์ เพื่อแสดงเจตนาว่าจะไม่มีการพิมพ์พระเพิ่มเติม นอกจากนี้ควรทำลายสูตรผสมดิน หรือมวลสารให้เป็นอย่างอื่น โดยการผสมธาตุดินหรือเติมสารอื่นๆ เข้าไป เพื่อป้องกันการนำเนื้อดินไปสร้างเสริมภายหลัง

5.20 การจัดพิมพ์คู่มือพระเครื่อง
ปกติแล้วมักจะพิมพ์วัตถุประสงค์การจัดสร้าง มวลสารเนื้อพระ เกจิอาจารย์ที่เข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษก ชื่อรุ่น ผู้สร้าง ปี พ.ศ.ที่สร้าง พุทธลักษณะหรือพุทธศิลป์ ความหมายของยันต์หลังพระ หรือธรรมะที่สลักบนหลังพระ คำอาราธนาพระ
5.21 การแจกจ่ายพระเครื่อง
หากนำไปบรรจุเข้ากรุควรเป็นความลับ บริเวณที่ควรจะเป็นกรุ มีฐานเจดีย์ หลังคาโบสถ์หรืออาคาร ใต้ฐานพระบูชา ใต้โบสถ์ ในซอกโพรงถ้ำ
หากแจกจ่ายพระเครื่องพร้อมกับคู่มือพระเครื่องก็จะเป็นการดี นอกจากนี้ควรแจกจ่ายพระเครื่องตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ในการจัดสร้างพระเครื่องเช่น
1. พระของขวัญ แบบตั้งราคาหรือไม่ตั้งราคา แก่ผู้มาทำบุญที่วัด
2. พระแจกฟรี สร้างไมตรีต่อกัน โดยแจกให้กับลูกค้า แจกในงานแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหม่
3. พระที่ระลึกงานทำบุญ เช่น ในงานทอดกฐิน ทอดผ้าป่า
4. พระจำหน่ายหรือให้เช่า กระจายไปตามศูนย์พระเครื่องต่างๆ หรือร้านค้า หรือวัด ค่อนข้างเป็นพุทธพาณิชย์เต็มตัว คือมีการตั้งราคาพระแล้วจำหน่าย แม้นว่าบางครั้งจะเอาเงินไปสร้างสาธารณะสถาน เช่น โรงเรียน วัด โรงพยาบาล ก็ตาม
5. พระออกศึก เพื่อไปจับโจร ออกสงคราม โดยแจกให้กับทหารกล้า ตำรวจ อาสาสมัครป้องกันชาติ

6. บทส่งท้าย
การจัดสร้างพระเครื่องเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง คือ สร้างวัตถุที่เตือนจิต ในเรื่อง พุทธานุสติ ธัมมานุสติ และ สังฆานุสติ ให้ยึดมั่นกับพระพุทธศาสนา ผู้ที่ได้รับพระย่อมมีปิติ อุ่นใจ ในสมัยโบราณ การจัดสร้างพระเครื่องมักสร้างใส่กรุและไว้ป้องกันภัยยามศึกสมครามปกป้องประเทศชาติ
ผู้ที่บูชาพระเครื่องนี้ นอกจากไว้เป็นอนุสติแล้ว บางคนนั้นยังเชื่อมั่นในอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์ ด้านเมตตา คลาดแคล้ว คงกระพัน มหาลาภ มหาเสน่ห์
ในสมัยปัจจุบันนี้ การจัดสร้างพระเครื่องมักจะเป็นเครื่องมือในการระดมทุนเพื่อสร้างวัตถุอาคาร สิ่งก่อสร้างเป็นส่วนใหญ่ และออกไปทางพุทธพาณิชย์ มีการตั้งราคาซื้อขายพระกันอย่างมากมายตามแผงพระ และศูนย์พระเครื่องต่างๆ เมื่อพิจารณาตามหลักพุทธแล้ว จะไม่ค่อยจะถูกต้องนัก เพราะไปเน้นวัตถุ ควรจะเน้นการพัฒนาคนทางจิตใจจะถูกต้องมากกว่า
การสร้างวัดให้สวยงาม ควรเป็นหน้าที่ของชาวบ้าน ไม่ควรเป็นกิจของสงฆ์ ให้เทียบเคียงกับในพุทธประวัติ ที่พระพุทธองค์ทรงสละวังกษัตริย์ ทรัพย์สินในท้องพระคลัง ครอบครัว มาเพื่อหา สัจธรรมแห่งชีวิต วัดที่สร้างในสมัยพระพุทธองค์ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ ก็เป็นเรื่องของอุบาสกอุบาสิกาสร้างถวาย การที่พระสร้างวัดเองจะทำให้พระมีจิตไม่สงบ ปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นได้ยากลำบาก เพราะต้องไปพัวพันกับเรื่องเงินทอง บางวัดไปกู้เงินมาสร้างพระเครื่อง หวังรายได้จากการให้เช่าพระเครื่อง แล้วจะเอากำไรไปสร้างวัดให้สวยงาม อย่างนี้จะเป็นทุกข์จากการเป็นหนี้ และเป็นการพอกพูนกิเลสให้กับพระด้วย ในเรื่องของความหลงในสิ่งสวยงามของรูปวัตถุ

หวังว่าความรู้เรื่องบริหารการจัดสร้างพระเครื่องเนื้อว่านดินผงคงเป็นประโยชน์ต่อผู้สนใจ และขอให้จัดสร้างพระเครื่องแบบเชิงพุทธ ไม่ใช่เชิงพาณิชย์


ที่มา : http://www.budmgt.com/budman/bm01/budimage.html


333
อันนี้ยากหน่อยแต่ได้คุณภาพมาก คือให้ใช้สีเฟล็ก สีเหลืองซึ่งเป็นสีเฉพาะสำหรับงานปิดทองพระโดยตรง นำมาทารองพืนที่องค์พระที่จะปิด แต่ถ้าต้องการให้สีทองเหลืองอร่ามมมม มาก ๆ ให้ทาสีเฟล็กสีแดงรองพื้นก่อน พอแห้งแล้ว( 5 ชม.)ทาสีเฟล็กสีเหลืองทับอีกที ทิ้งไว้ให้แห้ง แล้วจึงนำทองมาปิด แล้วใช้ภู่กันเบอร์ 11 จิ้ม ๆ ลงไปที่องค์พระตรงไหนที่ทองยังไม่ปิดก็นำทองมาวางแล้วก็จิ้ม ๆๆ ไม่ต้องกลัวว่าพระจะเสียหาย เพราะปลายภู่กันไม่ได้แหลมคมอะไร งานพุทธศิลป์ ก็ต้องมีอารมณ์ศิลป กันหน่อยนะ พระถึงจะงาม ทีเหลือก็สุดแล้วแต่จะจินตนาการว่าจะให้ท่านงามอลังการอย่างไร ใครจะประดับเพชรพลอยก็ไม่ว่ากัน บางท่าน ลงแบบสามกษัตริย์ คือ เงิน ทอง นาก ..

334
ขั้นตอนแรก เตรียมอุปกรณ์ครับ

1. สีน้ำมัน แล้วแต่เราจะเอาสีไหน มีสองสีครับ คือ สีแดง และสีเหลือง

2. ภู่กัน ขนาด เล็ก คือ พอที่จะป้ายสีน้ำมันโดยไม่เลอะเทอะอ่ะครับ กะดู เอา แล้วแต่ความสามารถ และก้อ ภู่กัน ขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อย แล้วเอาไปละเลงน้ำให้หัวปลายภู่กัน อ่อนนุ่น อันนี้เอาไว้ ไล้ทองครับ

3. ทองคำเปลว อย่างแท้ แผ่นละ 5-6 บาท ประมาณนี้

เริ่มกันเลยครับ

นำพระมาทำความสะอาดตรงจุด บริเวณที่เราจะปิดทอง ผมขอยกตัวอย่าง พระคำข้าวล่ะกันนะครับ เราก้อทำความสะอาด ตรง

บริเวณองค์พระ กับ ตรงบริเวณ ยันต์ อุ คือ เอาภู่กันอย่างที่เราทำหัวบานๆอ่ะ ปัดๆให้สะอาด

ต่อมาเอาภู่กันขนาดเล็ก จุ่มสีน้ำมัน ลงจุดบริเวณที่เราต้องการลงทองทาให้ทั่ว ระวังกันหน่อยนะครับ ช้าๆ

เมื่อทาทั่วแล้วปล่อยทิ้งไว้สักพัก โดยตรวจสอบว่าใช้ได้หรือยังโดยการเอามือ แตะเบาๆ จุดบริเวณที่เราลง สีน้ำมันไว้ โดยส่วนตัว

ผมเคยกะเวลาไว้ราว ครึ่งชม. แตะแล้ว สีไม่ติดมือ ถือว่าใช้ได้ แต่ไม่ควรปล่อยไว้นานเกินไปนะ

เมื่อได้ที่แล้วเราก้อเอา แผ่นทองลง แล้วใช้ ภู่กัน อย่างหัวอ่อนนุ่มไล้ไปตามทองไล้ไปเรื่อยๆครับ แค่นี้แหละ สวยสมใจทุกท่าน

ส่วนท่านใดมีเทคนิคแบบไหน ก้อเชิญแนะนำกันได้ครับ....


335
บทความดีๆ น่าอ่านมาให้อ่านกันเล่นๆ อีกแล้วครับท่าน...ถามกันมาหลายๆ คน จะห้อยพระอะไรเสริมบารมีให้กับตัวเองดี? เนื่องจากพระปางมาตราฐานสำหรับแต่ละวันนั้น หายากเป็นพิเศษ ปกติไม่ค่อยทำเป็นพิมพ์พระออกมาเท่าไหร่ ดังนั้นการห้อยพระพิมพ์ที่มีอยู่ในปัจจุบันจึงมาความสำคัญไม่น้อยเช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นพระพิมพ์ที่หาง่ายทั่วไป(แต่ต้องแท้นะครับ)...ที่นี้มาลองอ่านดูท่านเกิดวันไหน ควรห้อยพระอะไรดี? เพราะอะไร?
อนึ่ง...ตามหลักโหราศาสตร์จริงๆ นั้นท่านถือลัคนาวัน(ดาวเจ้าเรือนราศีเกิด) ตามภพและดาวเจ้าเรือนที่ลัคนาเกิดไปอยู่ด้วย(ตนุลัค)...ดังนั้นจะวันเกิดหรือลัคนาวันเกิดหรือตนุลัค ก็สามารถที่จะใช้ได้ทั้งนั้นครับผม....
วันอาทิตย์
ผู้ที่เกิดในตำแหน่งดาวอาทิตย์เป็นคนมีความมาดมั่น ว่องไว แต่มักฉุนเฉียวง่าย ตัดสินใจขาดความยั้งคิด ประกอบดับดวงอาทิตย์เป็นตำแหน่งลักขณาที่มีอำนาจอยู่ในตัว พระเครื่องสำหรับคนเกิดวันอาทิตย์ควรอาราธนาเพื่อความเป็นสิริมงคลนั้น ควรจะเป็นพระพิมพ์ที่ผ่านความร้อนจากไฟ เนื่องจากจะช่วยหนุนธาตุประจำตัว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งควรเป็นพระปางมารวิชัย เนื่องจากเป็นพระพิมพ์ที่พระพุทธเจ้าทรงเอาชนะพญามารเนื่องจากเจ้าชะตาผู้เกิดวันอาทิตย์ เป็นผู้ที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจประกอบอาชีพจึงมีศัตรูหรืออริ พระเครื่องที่เหมาะสำหรับผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ได้แก่เนื้อดินที่ผ่านความร้อนโดยการเผาพิมพ์ปางมารวิชัย
วันจันทร์
คนที่เกิดวันจันทร์ เป็นคนมีเสน่ห์เป็นที่รักแก่คนทั้งหลาย โกรธง่ายหายเร็ว ทำการสิ่งใดมักละเอียด เป็นคนใจน้อยอ่อนไหว ทำให้ขาดอำนาจวาสนา ผู้ที่เกิดในตำแหน่งลักขณาดวงจันทร์นี้ดุจพระพุทธองค์ห้ามญาติทั้งสองฝ่ายที่แย่งน้ำซึ่งกันและกัน เมื่อวันจันทร์เป็นวันที่มีเสน่ห์ แต่ขาดซึ่งอำนาจและวาสนา พระเครื่องที่เหมาะสำหรับผู้ที่เกิดวันจันทร์ควรจะเป็นตระกูล พระยอดขุนพล เนื้อพระทำด้วยตะกั่วแก่ ดีบุก ปรอท(ชินเงิน) ตะกั่วเดือน(ตะกั่วสนิมแดง) พระในชุดนี้โบราณท่านถือว่า เสริมบารมีในอำนาจยิ่งนัก พระเครื่องที่เหมาะสำหรับผู้ที่เกิดวันจันทร์ ได้แก่พระในตระกูลเนื้อชินต่างๆ
วันอังคาร
คนที่เกิดวันอังคาร ท่านว่าเป็นคนมุทะลุดุดัน มักเจ้าอารมณ์โมโหง่าย โกรธเคืองขุ่นอันตราย แต่เป็นคนรักจริง เอาจริงเอาจังกับสิ่งที่ทำ พระเครื่องประจำตัวผู้ที่เกิดวันอังคารนั้นควรเป็นพระผงพุทธคุณ เนื่องจากเป็นพระที่มิได้ผ่านความร้อน อีกทั้งพุทธนุภาพขององค์พระจะช่วยให้จิตใจเยือกเย็นเป็นสมาธิ สามารถบรรเทาธาตุโทสะจริตแห่งฤกษ์ชะตาวันเกิดได้ ดังนั้นพระเครื่องที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่เกิดวันอังคารนั้น จึงได้แก่พระเนื้อผงในตระกูลสมเด็จ
วันพุธ
ผู้ที่เกิดวันพุทธ เป็นคนฝีปากกล้า ค้าขายคล่อง เดินทางเก่งและมักได้ลาภเสมอ แต่มักทำคุณคนไม่ขึ้นทำดีสิ่งใดมักไม่มีใครเห็น สำหรับผู้ที่เกิดวันพุธนั้นแยกได้เป็นสองนัยคือ
วันพุธกลางวัน เนื่องจากวันพุธเป็นฤกษ์แห่งการทำกินพระเครื่องที่เหมาะสมนั้น ควรเป็นพระประเภทลีลา หรือปางลีลาเสด็จกลับจากดาวดึงส์ มีความหมายแห่งความก้าวหน้า
วันพุธกลางคืน คนที่เกิดวันพุธกลางคืนมักมีสัมผัสพิเศษ และมีลางสังหรณ์มากกว่าวันอื่นดังนั้น นอกจาดพระเครื่องพระพิมพ์ที่อาราธนาแล้วควรจะมีเครื่องรางของขลังเสริมดวงได้ป้องกันอาถรรพ์ต่างๆ ซึ่งคนที่เกิดวันพุธกลางคืนนั้นจะสัมผัสได้ง่าย
วันพฤหัส
ผู้ที่เกิดวันพฤหัสนั้นเป็นผู้ที่มีปัญญา มีความรู้กว้างขวาง มีความยุตธรรมเที่ยงตรง ใจเอื้อเฟื้อแต่ไม่ยอมคน พระพิมพ์ที่จะช่วยเสริมดวงวาสนา โบราณท่านว่า พระปางเปิดโลก ท่านถือว่าเป็นพระแห่งปัญญา เหมาะสำหรับผู้ที่เกิดวันนี้เป็นที่สุด
วันศุกร์
ผู้ที่เกิดวันศุกร์เป็นคนราคะจริตสูง เป็นคนหลงในสิ่งสวยงาม พระเครื่องที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่เกิดวันศุกร์จึงควรเป็นพระปิดตาภควัมปติ เพื่อเป็นลักษณะอณุสติเตือนใจมิให้หลงในสิ่งต่างๆ และเสริมดวงโชคลาภวาสนา จะไหลมาอย่างที่คาดไม่ถึง
วันเสาร์
วันเสาร์ท่านว่าเป็นคนจริงจังกับชีวิต พูดจริงทำจริง ดุดันแต่ภายนอก พระเครื่องที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่เกิดวันเสาร์เนื่องจากคนที่เกิดวันเสาร์เป็นคนจริงจังเคร่งเครียด พระพิมพ์ที่เสริมดวงสำหรับผู้ที่เกิดวันเสาร์นั้นควรจะเป็นพระที่ทำจากว่าน อันเป็นคุณลักษณะที่เย็นและบริสุทธิ์จากธรรมชาติ
จะห้อยอะไรให้เหมาะสมกับวันเกิด ก็ตามแต่กำลังทรัพย์ของแต่ละท่านก็แล้วกันนะครับ หรือจะไม่ยึดตามวัดเกิดก็ไม่ได้ผิดแต่ประการใด...พุทธคุณไม่ว่าจะพิมพ์อะไร จะพระปางไหนก็คุ้มครองตัวท่านเสมอ เพียงแต่ขอให้ท่านเป็นคนดี มีคุณธรรม ที่สำคัญ....ต้องห้อยพระแท้ด้วยนะครับ อย่าลืมล่ะ.

336
พระโมคคัลลา เป้นอัครสาวกเองซ้ายของพระพุทธเจ้า เอตทัคคะในทางผู้มีฤทธิ์

337
1 . สมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ใหญ่
2.? หลวงปู่ทวด ปี97 เนื้อว่าน พิมพ์ กลางไหล่จุด หรือ C
3.? รูปหล่อ หลวงพ่อเงิน พุทธโชติ บางคลาน พิจิตร พิมพ์ขี้ตา ....

เอ๋ คุณ pu เหรียญ หลวงพ่อเปิ่น ปี 19 เนื้อทองแดง ต้องระวังนะครับ เก๋เยอะครับ เห็นที่วัด ราคา 5 หลัก อยู่ที่ห้าง 4 หลัก กลาง

พระดัง ดังทั้งนั้นเลย 

338
!!! ( อ่านจากข้อ1ถึงข้อ25นะรับรอง ฮา )ความจริง 25 ข้อ ที่รู้แล้วอึ้ง !!!

1. กล้ามเนื้อที่แข็งแรงที่สุดในร่างกายคนเราคือ ลิ้น

2.ผู้หญิงกระพริบตาบ่อยกว่าผู้ชายถึงสองเท่า และ มากกว่าถึงสามสิบครั้ง เมื่อพวกเธออยู่สระว่ายน้ำ

3.ชื่อโหลที่สุดหาใช่ ?จอห์น? หรือ ?ฃาร่าห์? ไม่ แต่เป็น ?โมฮัมเหม็ด? ต่างหาก

4.คนเราไม่สามารถที่จะเลียข้อศอกของตัวเองได้

5.แมลงสาบหัวขาด สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได่ถึง 9 วัน ก่อนที่มันจะอดอาหาร จนตาย

6.เวลาปลาหมึกยักษ์ หิวจัดเอามาก ๆ มันจะกินหนวดของมันเอง และ รู้มั้ยว่า มันยังเป็นสัตว์ที่มีลูกตา ใหญ่ที่สุดในโลก

7.แมงมุมแม่หม้ายดำฃึ่งกลืนกินคู่ขาหลังจากการสมสู่ ยังสามารถหม่ำแมงมุม ตัวผู้ได้ถึงวันละ 25 ตัวอีกด้วยร้ายกาจมากกกกก!

7.เตียงนอนในบ้านโดยทั่วไปแล้ว จะมีตัวเล็นและตัวไรฃ่อนอยู่ถึง 6 พันล้านตัว

9.ผึ้งจะทำกายบริหารก่อนจะบิน

10.การ์ตูนโดนัลด์ดั้กเคยถูกประกาศห้ามเผยแพร่ในฟินแลนด์ เพียงเพราะว่ามัน ไม่สวมกางเกง ฮ่า ฮ่า

11.โดยถัวเฉลี่ย มนุษย์จะกินแมงมุมเข้าไป 8 ตัวตลอดชั่วชีวิตหนึ่ง ก็เวลา ที่มันคลานเข้าไป ในปากตอนเราหลับปุ๋ยไง อึ๊ยยย! และรู้มั๊ยว่า คนส่วนใหญ่ นะกลัวแมงมุม มากกว่ากลัวตายฃักอีก

12.ถ้าคุณลากเส้นชอล์กผ่านฃวางทางเดินของมด มันจะไม่ยอมเดินผ่านข้ามไป

13.ในแต่ละวันผู้หญิงจะฉอเลาะมากถึง 7.000 คำต่อวัน ขณะที่ผู้ขายปริปากแค่ 2.000 คำต่อวันเอง

14.คุณรู้หรือเปล่าว่า ไม่ว่าแผ่นกระดาษจะมีขนาดใหญ่แค่ไหน คุณไม่สามารถ พับครึ่งได้ถึง 6 ทบ ไม่เชื่อลองดูฃิ

15.ครั้งหนึ่งชาวเบลเยี่ยมเคยพยายามใช้แมวเหมียวเป็นตัวส่งจดหมาย ไม่จำเป็น ต้องบอกเลย ว่า ไม่มีทางสำเร็จผล

16.คุณรู้ไหมว่าโดยทั่วไปแล้วผู้หญิงจะกลืนกินลิพสติกลงท้องไปถึง 4 ปอนด์ ในตลอดชีวิตของเจ้าหล่อน

17.ตลอดทั้งชีวิตแล้ว คนทั่วไปจะใช้เวลาจูจุ๊บกันรวมแล้วเกือบสองอาทิตย์ เชียวนะ

18.เป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะ จามทั้งๆ ดวงตายังเปิด

19.เห็นชัดได้ว่า ลูกตาของคนเราคงขนาดเดิมมาตั้งแต่เกิด แต่จมูกกับหูนั้น ไม่เคยหยุด การเจริญเติบโตเลย!

20.วอลท์ดิสนี่ย์ผู้สร้างสรรค์ตำนานการ์ตูนมิคกี่ย์เม้าส์นะ อันที่จริงแล้วเค้า เป็นคนกลัวหนูจะตายไป

21.เอาหัวโขกกับกำแพงซักหนึ่งชั่วโมง ช่วยเผาผลาญหลังงานได้ถึง150 แคลอรี่ย์

22. อัลมอลล์เป็นพืชตระกูลหนึ่งของพีช

23. โฆษณานาฬิกาทุกชิ้น .มักให้เข็มนาฬิกาหยุดอยู่ที่ 10:10 เพราะจะได้ดู เป็นรูปใบ หน้ายิ้ม

24.ลายเสือเกิดขึ้นจากหนังของมัน ไม่ใช่จากขน

25. ร้อยละ 80 ของคนที่อ่านบทความนี้พยายามจะเลียข้อศอกตัวเอง!

339
แต่ละคนนี่แน่นอนจริงๆเลยนะ :o

340
ชนิดไหนอย่างไร ล้วนมีเวรมีกรรม
แต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่มีกรรมอย่างหนึ่งที่เหมือนกันคือ การถึงแก่กรรม (การตาย)
มีประจำอยู่ในตัวทุกคน ทุกเวลานาที ทุกวันทุกเดือนทุกปี จะต้องถึงตัวเราคือ แก่ เจ็บ
และตาย เราเรียกว่ากรรมเหล่านี้มีเท่ากันหมด แต่การประกอบกรรมของบุคคล
เรานั้นไม่เหมือนกัน การประกอบกรรมมีสองประการกล่าวคือ

1. การประกอบกรรมดี และ
2. การประกอบกรรมชั่ว (กรรม=การกระทำ)
การประกอบสัมมาอาชีพที่สุจริต และการประกอบสัมมาอาชีพที่สุจริต
ก็คือกรรมอย่างหนึ่งของบุคคลนั้นๆ จะเลือกประกอบ คนที่ชอบประพฤติปฏิบัติดี ประกอบสัมมาอาชีวะเลี้ยงชีพด้วยความซื่อสัตย์สุจริต กรรมนั้นจะสนองตอบด้วย
ความดี ส่วนคนชอบพระพฤติปฏิบัติแปลกแหวกแนวประกอบสัมมาอาชีพด้วยการ
ทุจริต กรรมนั้นก็จะสนองตอบตามความประพฤตินั้นทั้งความชั่วและความดี กรรมเสมือนประกาศนียบัตร เกียรตินิยมอันดับหนึ่งของชีวิตคนเราเท่าเทียมกันหมด


 
ทุกคนที่เกิดมาต่างก็อยากจะกระทำความดี ความงามด้วยกันทุกคน แต่กรรมที่ประจำตัวของแต่ละคนนั้นก็มีไม่เหมือนกัน
อีกนั่นแหละ เราเรียกควาไม่เหมือนกันนั้นว่า "ดวง" ดวงของคนเราต่างคนต่างไม่เหมือนกันอีก คือ บางคนร่ำรวยล้นฟ้า บางคน
ยากจนถึงกับขอทาน ถ้าเราเอาทั้งดวงและกรรม มารวมกันเข้าก็จะได้คำจำกัดความเพียงสั้นๆ ว่า "ดวงกรรม" คือดวงของคน
ที่มีกรรมแต่ละอย่างแต่ละชนิดประจำชีวิตของตนไม่เหมือนกัน มีเหมือนกันอยู่อย่างเดียวคือ "ถึงแก่กรรม" คือการตายของ
แต่ละคนซึ่งไม่เหมือนกันอีก บางคนคนถูกรถชนตาย, บางคนถูกยิงตาย, บางคนตกเครื่องบินตาย, บางคนออกไปทอดแห
หาปลาจมน้ำตาย ,บางคนหัวใจวายตาย, บางคนเป็นโรคเอดส์ตาย, บางคนตายด้วยพิษต่างๆ ล้วนแล้วแต่มีการตายไม่ค่อย
ตรงกันหรือเหมือนกันก็เพราะเวรกรรมหรือดวงกรรมของคนเราที่มีอยู่ในตัวไม่เหมือนกัน ทุกคนที่ประกอบกรรมดีและกรรมชั่ว
นั้น มีความตายเป็นที่พึ่งครั้งสุดท้ายของชีวิตทุกคนไป ไม่ว่าจะเป็นไพร่ผู้ดี หรือยากจนเข็ญใจมีความตายของแต่ละคนเท่าเทียม
กันหมด เว้นไว้แต่ว่าจะตายช้าหรือตายเร็วเท่านั้น สรุปแล้วทุกคนต้องตาย
การตายมีหลายชนิด อาทิเช่น ตายวาย, ตายวอด, ตายจอด,ตายจม,ตายงมกระดูก,ตายผูก,ตายพันธ์,
ตายงก,ตายตก,และตายตาม
คนเราเกิดมาพอรู้ความพ่อแม่ พี่น้อง ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา หรือญาติสนิทมิตรสหายก็จะนำเอาพุทธโอวาทปาฏิโมกข์
ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า (เจ้าของพระพุทธศาสนา) นำมาบอกกล่าวสั่งสอนให้ผู้คนทั้งหลายทั้ปวงประพฤติดีประพฤติชอบ
ประพฤติควร ทั้งกาย วาจา ใจ ให้อยู่ในศีลในธรรม อย่าสร้างเวรสร้างกรรมหรือกระทำในสิ่งตรงกันข้าม หลักธรรมอย่างแรกนั้น
องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าอบรมสั่งสอนมนุษย์ที่เกิดมาในโลกทั้งปวงพึงปฏิบัติ ซึ่งมีความเกี่ยวโยงมาจากคำว่า พระพุทธศาสนา คือพระพุทธเจ้านั่นเอง
ชนชาติทั้งหลายที่เกิดมาในโลกนี้มีศาสนาประจำชาติของตนเอง เช่น ศาสนาพุทธ,ศาสนาพราหมณ์,ศาสนาคริสต์,
ศาสนาฮินดู,ฯลฯ คนเหล่านี้มีความเคารพสัการะบูชาและเชื่อมั่นในคำสอนของแต่ละศาสนานั้นๆ คล้ายคลึงกัน เพราะแต่ละ
ศาสนา สั่งสอนให้คนเรากระทำความดีทั้งนั้น และเกิดนับถือสิ่งแทนศาสนา เช่นรูปเคารพต่างๆ อาทิ รูปไม้กางเขน,
รูปพระบูชา,พระเทวรูป พระพุทธรูปหรือสิ่งซึ่งแทนการเคารพสักการะในแต่ละศาสนานั้น
รูปเคารพสักการะแทนศาสนาของชาวพุทธเรานั้น ได้แก่ "พระพุทธรูป" มีทั้งขนาดใหญ่ที่สุดถึงขนาดเล็กที่สุด การสร้าง
พระบูชาหรือพระเครื่องทั้งในอดีตและปัจจุบัน ตลอดไปจนถึงอนาคตนั้นเราสร้างขึ้นเพื่อทดแทนองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ตาม
เรื่องราวพระพุทธประวัติ อิทธิพลทางศาสนา และได้มีการสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกในสมัยเมื่อครั้งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ยังมีพระชนม์ชีพอยู่
ปฐมเหตุหรือสาเหตุแห่งการสร้างมีขึ้นนั้น"มีตำนานกล่าวไว้ว่า เมื่อครั้งสมเด็จพระพุทธองค์ได้เสด็จขึ้นไปโปรด
พุทธมารดาเบื้องบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้น สมเด็จพระพุทธเจ้าประเสนทิราชา แห่งกรุงโกศลรัฐมิได้ทรงเห็นพระพุทธเจ้า
มาเป็นเวลาช้านาน และทรงมีพระทัยระลึกถึง จึงมีพระราชบัญญชารับสั่งให้ช่วงเอาไม้แก่นจันทร์แดงมาแกะสลักทำเป็น
พุทธรูปแล้ว ทรงให้ประดิษฐานไว้เหนืออาสนะที่สมเด็จพระพุทธองค์เคยประทับ
ครั้นเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จพุทธดำเนินกลับลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มาถึงที่ประทับนั้น
ด้วยอำนาจพระพุทธานุภาพบันดาลให้พระพุทธรูปที่จำลองขึ้นด้วยไม้แก่นจันทร์แดง ขยับเขยื้อนเลื่อนหนีออกไป
จากพระพุทธอาสนะประจักษ์แก่ตาคนทั้งหลาย สมเด็จพระชินศรีจึงทรงรับสั่งให้เก็บพระพุทธรูปนั้นไว้เพื่อเอาไว้เป็น
แบบอย่างแก่พุทธศาสนิกชนที่ต้องการ จะสร้างพระพุทธรูปขึ้นไว้ สำหรับสักการะบูชาภายหลังเมื่อสมเด็จพระพุทธองค์
ได้เสด็จพระปรินิพพานแล้วนั่นเอง นี่คือปฐมเหตุหรือต้นเหตุแห่งที่มาที่ทำให้เกิดมีการสร้างพระพุทธรูปขึ้นดังกล่าว
ภายหลังเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว การสร้างพระพุทธรูปเพื่อไว้สักการะ
บูชาแทนพระพุทธองค์ยังไม่เป็นที่นิยมแพร่หลายนัก ส่วนมากนิยมสร้างวัตถุต่างๆ แทน เช่น สร้างพระสถูปเจดีย์
พระเสมาธรรมจักร หรือรอยพระพุทธบาท ไว้เป็นเครื่องระลึกถึงพระพุทธองค์แทน จวบจนกระทั่งพระพุทธศักราชล่วงไป
แล้วเกือบ 400 ปี การนิยมสร้างพระพุทธรูปขึ้นไว้ ทำการสักการะบูชาแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้แพร่หลาย
ออกไปอย่างกว้างขวาง เจริญรอยตามกันมาตลอดจนตราบเท่าทุกวันนี้
เนื่องจากศาสนาพราหมณ์ได้ถือดำเนิดมาก่อนพระพุทธศาสนา และคติตามไสยาศาสตร์ของพราหมณ์ซึ่งถือเอาเทพเจ้า
เป็นสรณะคือที่พึ่ง บรรดาเทพเจ้าผู้เป็นผู้ใหญ่ทั้งหลายสามารถบันดาลความสุขสวัสดีหรือความพิบัติได้ จึงได้เกิดมีพิธี
การบวงสรวงกระทำยัญขึ้น ผู้ใดทำการบวงสรวงบูชายัญแก่เทพเจ้า เทพเจ้าก็จะบันดาลให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขสวัสดิ์
พิพัฒนมงคล "ผู้ใดละเว้น" เทพเจ้าก็จะพิโรธ บันดาลให้ได้รับความทุกข์ จะมีภัยพิบัตินานัปการ ดังนั้นเมื่อพระพุทธศาสนา
ได้กำเนิดขึ้นและเจริญรุ่งเรืองมาโดยลำดับ บรรดาผู้นับถือศาสนาพราหมณ์ในสมัยนั้น ได้หันเห มาให้ความเคารพนับถือ
ในพระพุทธศาสนา จึงได้นำเอาคติประเพณีทางศาสนาพราหมณ์มาดัดแปลงแทรกคติทางพระพุทธศาสนาลงไป เป็นการ
ผสมผสานความศรัทธาเชื่อถือของตน โดยนับเหตุว่าคติศาสนาของพราหมณ์นั้นยังมีอานุภาพเป็นที่เชื่อถือกันอยู่แล้ว
ถ้าหากรวมคติทางพุทธศาสนาซึ่งเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปแล้วว่าเป็นของจริงแน่แท้ อันอาจพิสูจน์ได้ทุกกาลสมัย
เข้าไปในคติลัทธินั้นย่อมจะเรืองอานุภาพกว่าเป็นแน่แท้
โดยคติทางศาสนาพราหมณ์ถือว่า บรรดามนุษย์ที่ได้อุบัติขึ้นมาในโลกนี้ ย่อมมีเทพเจ้าเข้าคุ้มครองรักษาตั้งแต่เกิด
มาทีเดียว เมื่อคตินี้ได้เข้ามาปะปนในพระพุทธศาสนา ซึ่งไม่มีพิธีการบวงสรวบูชายัญ ดังนั้นที่พึ่งของพุทธศาสนิกชนของเรา
นั้น ก็ไม่มีอะไรจะดีไปกว่า พระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้า (รูปแทนองค์พระพุทธเจ้า), พระธรรม (คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า),
พระสงฆ์ (คือสาวกของพระพุทธเจ้า) เป็นสรณะที่พึ่ง ของพุทธศาสนิกชนเรามาทั้งในอดีตและปัจจุบันนี้
จึงเกิดการสร้างพระพุทธรูปประจำวันปางต่างๆ และพระเครื่องตามนัยคตินี้ ท่านโบราณจารย์จึงได้นำเอาพระพุทธคุณ
พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เข้ามาเป็นเครื่องนำบำบัดทุกข์ภัยและส่งเสริมความสุขสวัสดิพิพัฒมงคล อันเกี่ยวกับผลที่เทพยดา
แต่ละองค์เข้ามาเสวยอายุหรือเข้ามาแทรก โดยกำหนดตกแต่งพระปริตรแต่ละบท มาเป็นเครื่องสวดมนต์คุ้มครองป้องกันภัย
ให้เข้ากับเรื่องของเทพยดาแต่ละองค์ไป ทั้งยังกำหนดเอาพระพุทธรูป เพราะเครื่องปางต่างๆ ให้เป็นพระพุทธรูปประจำวัน
ให้ตรงกับเทพยดาที่เข้ามาเสวยและเข้ามาแทรกเป็นรายองค์ไป เพื่อที่พุทธศาสนิกชนจะได้สร้างพระพุทธรูปประจำวันเกิด
ของตนเองไว้สักการะบูชา เพื่อขจัดปัดเป่าทุกข์ภัยพิบัติ ให้เกิดความสุขสวัสดิ์พิพัฒมงคลแก่ตน ซึ่งถ้าได้ทำการสักการะบูชา
เป็นกิจวัตรแล้วจะเกิดโชคลาภผลศุภมงคลสวัสดิมีชัยทุกค่ำคืน
พระพุทธรูปที่มีขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะสร้างด้วยวัสดุอะไรก็ตามที เราไม่สามารถจะนำพกติดตัวไปไหนมาไหนได้ทุกกาลเวลา
เราเรียกว่า "พระพุทธรูปบูชา" ส่วนพระที่มีขนาดเล็ก เราสามารถนำติดตัวไปไหนมาไหนได้ทุกกาลเวลา เราเรียกพระชนิดนี้ว่า
"พระเครื่อง" ไม่จำกัดว่าจะสร้างด้วยวัสดุอะไรเราจำลองแบบมาจากพระพุทธประวัติ หรือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เป็นการแทนรูปลักษณะของพระพุทธองค์ มีปางต่างๆ มากมายหลายขนาด มีพระอริยบถหลายรูปลักษณะ แล้วแต่ผู้สร้าง
เป็นผู้ออกแบบสร้าง แต่ต้องมีหลักเกณฑ์อยู่ว่า ต้องเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธประวัติทั้งหมดทั้งสิ้น
ถ้านอกเหนือไปจากนี้เห็นทีจะเป็นเรื่องแปลก เราท่านทั้งหลายคงจะได้ยินได้ฟังหรืออ่านหนังสือพิมพ์หลายฉบับลงข่าว
ว่า มีพระปางพิสดาร "เหยียบโลก" ขึ้นในประเทศไทย ผู้คนต่างก็ฮือฮาแสดงการคิดเห็นกันมาหลายอย่าง ผมไม่เห็นจะเป็น
เรื่องพิลึกกึกกืออะไรหนักหนา คนไทยเราชอบตื่นข่าวเดี๋ยวเดียวก็ลืมเป็นปลิดทิ้งและไม่เฉพาะพระเหยียบโลก ในปัจจุบัน
อาจจะเกิดศาสนาเจ้าแม่กวนอิมขึ้นในประเทศไทยก็ได้นา (เป็นความคิดของผมเอง) เพราะตามวัดตามวาต่างๆ มีเจ้าแม่ที่ว่านี้
หลายแห่งก็เป็นเรื่องของการเลื่อมใส ไม่สามารถจะบังคับใครได้ ความศรัทธาของคนแล้วแต่ละคนไปว่าจะศรัทธามาก
หรือไม่ศรัทธาเลยก็ได้ ไม่มีใครหวงไม่มีใครห้าม สำหรับเรื่องศาสนานั้นทุกคนมีสิทธิในตัวเองอยู่แล้วว่าใครจะนับถือศาสนา
อะไรก็ได้ ไม่มีการบังคับหรือขู่เข็ญแต่ประการใดทั้งปวง
แขวนพระ, คล้องพระ, ห้อยพระ, เพื่ออะไร เป็นข้อใหญ่ใจความของเรื่องนี้ถ้าถามแต่ละคนที่แขวนพระ, คล้องพระ,
ห้อยพระ ก็จะได้รับคำตอบที่แตกต่างกันไปคนละอย่าง การนำพระที่เรานับถือศรัทธาและเลื่อมใส มาภาวนาหรืออาราธนา
โดยตั้งจิตอธิษฐานถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราควรจะตั้งนะโม 3 จบ และกล่าวคำอาราธนาพระว่า พุทธฺ อาราธนานํ
ธมฺมํอาราธนา สงฺฆํ อาราธนานํ กล่าวคำรำลึกถึงพระคุณบิดามารดา ครูอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายอันได้แก่ พระแก้ว
มรกด พระหลวงพ่อโตวัดไชโย พระพุทธชินราช หลวงพ่อพุทธโสธร เจ้าพ่อพระกาฬ เจ้าพ่อหลักเมือง พระเสื้อเมือง
พระทรงเมือง ที่เรืองฤทธิ์ ลูกขออำนาจบุญบารมีอันศักดิ์สิทธิ์และอิทธิฤทธิ์ทั้งหลายทั้งปวงจงดลบันดาลให้ข้าพเจ้า ....
ให้ปลอดภัยต่อภยันตรายทั้งหลายด้วยเถิด สาธุ
คนแขวนพระ,คล้องพระ, ห้อยพระแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนชอบแขวนพระเนื้อผงปางคนชอบแขวนพระเนื้อดิน
บางคนชอบแขวนพระเนื้อชิน แต่ละอย่างแต่ละคน คล้องพระแต่ละอย่างไม่ค่อยเหมือนกัน บางคนชอบแขวนเหรียญ
รูปเหมือนหลวงพ่อต่างๆ ....บางคนชอบประเภทเครื่องรางของขลัง(ที่รู้อาจารย์ปลุกเศก) พระเครื่องแต่ละอย่างแต่ละชนิด
มีอิทธิปาติหาริย์และประสบการณ์จากผู้ใช้ไม่เหมือนกันอีก บางชนิดสามารถให้ความคุ้มครองในเรื่องกันปืนได้ บางชนิด
มีเมตตามหานิยมบางชนิดแขวนแล้วมีโชคมีลาภ บางชนิดคล้องคอแล้วอยู่ยงคงกระพันชาตรี ทั้งหมดนี้เราเรียกว่าแขวนพระ,
คล้องพระ, ห้อยพระ, คำทั้ง 3 คำมีความหมายเดียวกัน แต่ก่อนพระเครื่องขอกันได้ให้กันฟรีๆ แต่ปัจจุบันไม่ได้แล้วต้องเป็น
เงินเป็นทองทั้งนั้นโดยให้เช่าบูชา พูดภาษาตลาดก็คือซื้อขายนั่นเอง
ถ้าถามคนทั้งหลายว่าคล้องพระ, แขวนพระ,หรือห้อยพระ, เพื่ออะไร? คนที่ถูกถามจะต้องตอบว่า คล้องเพื่อเป็น
เครื่องยึดเหนี่ยวทางใจ ถ้าถามคนต่อไปว่าแขวนพระเพื่ออะไร? คนที่ถูกถามจะตอบว่าเพื่อความปลอดภัยต่อภยันตราย
ทั้งหลายทั้งปวง ถ้าถามคนต่อไปอีกว่า ห้อยพระเพื่ออะไร เพื่อให้เกิดความมีเสน่ห์ เมตตามหานิยม ถ้าถามคนทั้งหมดที่
ชอบพระต่างก็จะได้รับคำตอบที่ไม่เหมือนกับแค่คล้ายคลึงกัน ถ้าถามผมว่าแขวนพระเพื่ออะไร คำตอบของผมก็คือ
แขวนพระเพื่อความเคารพสักการะบูชาในองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า อันเป็นมงคลชีวิต

341
เครื่องรางของขลัง เปี่ยมด้วยกฤติยามนต์ ชนิด ตะกรุด
ตะกรุด เป็นเครื่องรางของขลังที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้นิยมวัตุถุมงคลทั้งหลาย ด้วยว่า ตะกรุดถือเป็นวัตถุมงคลที่มีความศักดิ์สิทธิ์ สำแดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์เป็นที่เลื่องลือมานานนับแต่สมัยอยุธยาขึ้นไป จวบจนกระทั่งปัจจุบันนี้

การสร้างตะกรุด นับเป็นเจตจำนงค์เฉพาะชิ้นงานขององคณาจารย์ผู้เข้มขลังด้ววยพระเวทย์วิทยาคมเป็นเอกอุแล้วประจุไปในประจุเลขยันต์ด้วยสมาธิจิตที่มุ่งมั่น ลงยังแผ่นตะกรุด ทุกตัวอักษร ทุกเส้นสายลายยันต์ ทุกอักขระพระเวทย์มนต์ตรา แล้วจึงม้วนทำการปลุกเสกให้เข้มขลัง ประสิทธิ์ประสาทย้ำความขมังเวทย์ด้วยเจตนาอันแก่กล้า

ตะกรุด จึงนับเป็นเครื่องรางของขลังที่น่าใช้ ให้ประสบการณ์มามากต่อมากจนสุดจะพรรณนา อีกทั้งมีพุทธาคมหลากหลายด้าน ทั้งอยู่ยงคงกระพัน แคล้วคลาดนิรันตราย โภคทรัพย์ เมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ กันเสนียดจัญไร คุณไสย เรียกได้ว่า ครอบจักวาล เพียงแต่จะเน้นหนักไปทางใด หรือให้คุณทุกทางภายใต้ตะกรุดดอกเดียว

การสร้างตะกรุดนี้ มีการนำทัพสัมพาระหลายประเภทมาสร้างไม่ว่าจะเป็นแผ่นทองคำ เงิน นาก ตะกั่ว ดีบุก กระดูก ไม้โพธิ์ ไม้ไผ่ เป็นต้น ซึ่งส่วนมากจะเป็นอาถรรพณ์วัตถุศักดิ์สิทธิ์ใยนตัวแล้ว มาเพิ่มประสิทธิ์ผลด้วยการกระทำอีกชั้นหนึ่ง

และนอกจากนี้การสร้างตะกรุด ยังเป็นวัฒนธรรมในหมู่ประเทศเขตสุวรรณภูมิ ทั้งเขมร มอญ พม่า ลาว และประเทศไทย เชื่อมโยงสายใยแห่งอารยะธรรมภูมิปัญญาที่ ลึกล้ำ เข้มขลัง จากบรรพชนสู่ลูกหลาน สมควรแก่การศึกษา สืบสานตำนานที่ยิ่งใหญ่ต่อไปมิให้สูญสลาย แม้ตะกรุดจะเป็นเพียงวัตถุมงคลพื้นๆ ที่ดูเหมือนของธรรมดาแต่ในรูปลักษณ์อันขาดความวิจิตนี้ แฝงไว้ด้วยพระเวทย์ที่ไม่ธรรมดาโดยแท้

ตะกรุดมิใช่เครื่องรางที่มีแต่เพียงความศัทธาความเชื่อแต่ตะกรุดเป็นเรื่องที่ผ่านการพิสูจน์จนประจักษ์และนอบน้อมยอมรับโดยดุษฏีแล้วว่า มีอาถรรพณ์พระเวทย์จริงแท้แน่ชัดดังนั้นตะกรุดขลังของคณาจารย์ผู้ขมังเวทย์จึงเป็นที่ใฝ่หาอย่างจริงจังของผู้รักและเข้าใจในศาสตร์แห่งวิทยาคมจนทำให้สนนราคาค่านิยมของตะกรุดดีที่หายากทะยานสูงขึ้นตลอดเวลาและยังคงความล้ำค่าไปนิรันดร.

342
นานาจิตตัง

343
เหมือนกับการสัก เฉพาะอักขระ ธรรมดา ถ้าเป้นยันต์เกราะเพชร ก็จะมีเส้นโยงไปโยงมา
ผิดถูกขออภัยนะครับ

344
เห็นด้วยอย่างยิ่งเราจะต้องกลมเกลียวเป็นนำหนึ่งใจเดียวกันนะครับ

345
องค์จตุคามรามเทพ รุ่นโคตรมหาเศรษฐี

ด้านหน้า

346
เมื่อเวลา 23.30 น.วันที่ 23 มี.ค.พ.ต.ท.เดชชาติ วัฒนพนม พนักงานสอบสวน สบ.3 สภ.อ.เมืองระยอง รับแจ้งเกิดเหตุทะเลาะวิวาทบริเวณตลาดนัดสตาร์ กลางเมืองระยอง และมีผู้บาดเจ็บในที่เกิดเหตุ จึงพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยระยองรุดตรวจสอบ

จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุพบประชาชนมุงดูเป็นจํานวนมาก ส่วนผู้บาดเจ็บถูกนําส่งโรงพยาบาลระยอง ทราบชื่อคือ นายทวีป วิธา อายุ 28 ปี บ.88/1 ม.2 ต.ท่าประจะ อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช ถูกยิงบริเวณขาซ้าย แต่จากการตรวจสอบของแพทย์ไม่พบรูกระสุนตามร่างกาย มีเพียงผื่นแดงที่ขาเป็นทางยาวเท่านั้น แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้ นอกจากนี้ในที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่พบปลอกกระสุนปืน 11 ม.ม.ตกอยู่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน

สอบสวนนายทวีป ให้การว่า ตนมีอาชีพขายนาฬิกามือสองและรองเท้าเก่าตามตลาดนัด ก่อนเกิดเหตุตนกำลังนั่งขายของอยู่ได้มีวัยรุ่น 4-5 คน เข้ามาซื้อของที่ร้านของน้าเขยซึ่งตั้งอยู่ติดกัน โดยวัยรุ่นที่ก่อเหตุได้ต่อราคากับน้าเขยจนเกิดมีปากเสียง และชกต่อยกัน แต่คนร้ายสู้ไม่ได้จึงไปยกพวกมา ตนจึงเข้าไปห้ามและช่วยเจรจาแต่ไม่สําเร็จ ขณะนั้นได้มีวัยรุ่นคนหนึ่งชักปืนออกมาจ่อที่หน้าอกตน ตนกลัวจึงยกมือมากุมที่องค์จตุคามรามเทพ รุ่นโคตรมหาเศรษฐี ที่ห้อยคออยู่ จากนั้นวัยรุ่นก็ยิงใส่ตน 3 นัด ก่อนหลบหนีไป และที่ตนรอดตายน่าจะเกิดจากองค์จตุคามช่วยชีวิตไว้แน่นอน

ด้าน พ.ต.ท.เดชชาติ กล่าวว่า ขณะนี้ได้ให้ฝ่ายสืบสวนเร่งติดตามกลุ่มวัยรุ่นดังกล่าวมาดําเนินคดี คาดว่าจะเป็นวัยรุ่นย่านนั้น ส่วนรอยกระสุนปืนที่พบที่ขาผู้บาดเจ็บก็ถือเป็นเรื่องแปลกทั้งๆที่คนร้ายก็จ่อยิงตรงๆ แต่กระสุนไม่เข้า
-------------
Ref.
http://www.matichon.co.th/khaosod/kh...sectionid=0301

348
รายละเอียด
องค์ที่๑ เหรียนหัวเสือ บูชาครู ๔๙ ด้านหลังเป้น หลวงพ่อเปิ่นนั้งสมาธิ ด้านหลังเขียนว่า หลวงพ่อเปิ่นวัดบางพระ ลงยา
องค์ที่๒ ?เหรีนญไข่ รุ่น3 พศ2521เนื้อทองแดง
องค์ที่3 ?เหรียนรุ่น แรก เนื้อทองแดง
องค์ที่4 ? เหรียนเสมาเนื้อทองแดง ?ด้านหลังเป้งยัน9ยอด 8ทิศ งบน้ำอ้อย ปี35
องค์ที่5 ? ?เหรีนนไข่ เสาร์5 ? ปี36
องค์ที่6 ?พัศยศ หลวงพ่อเปิ่น37
องค์ที่ 7 ?ล็อกเก็ตหลวงพ่อเปิ่น ด้านหลังฟังกระตรุดฟังพลอยทับทิม แล้วก็มีเกสาหลวงพ่อเปิ่น
องค์ที่8 ?พระผงเสาร์๕ วงกลม ด้านหลังบรรจุพลอย
องค์ที่9 พระผงหลวงพ่อเปิ่นขี่หลังเสือ ปี37
องค์ที่10 ?พระผงบูชาครูปี48 ด้านหน้าเป้งเศียนพ่อแก่
องคที่11 ?พระผงปี34 หลวงพ่อเปิ่นขี่หลังเสือ ด้นหลังเป้ยยันแม่ทัพ
องค์ที่12 ?พระผงสมเด็จหลวงพ่อเปิ่น ปี42
องค์ที่13 ?พระผงหลวงพ่อเปิ่น ด้านหลังเป้นพระสิวลี ปี42
องค์ที่14 ?รุ่นเมตตามหาลาภบุญญาฤทธิ์
องค์ที่15 ? สมเด็จปี44 ดันหลังเป้งยัน หอมเชียง
องที่16 ? ? พระผงฉลองอายุครบ70ปี ด้านฟังพลอยแดง ปี34
องที่17   ตะกรุดเสาร์๕ปี40ตอกโค้คเลข2233
องค์ที่18รูปหลวงพ่อเปิ่นฉลองพัศยศพระครู พร้อมผ้ายันหลวงพ่อเปิ่นแลแผ่นปั้มยันหอมเชียง ปี44
องค์ที่19 รูปหลวงพ่อเปิ่นถือเม้าเท้า แลยันพระราหู

เพราะว่าผมเชื่อบารมีของหลวงพ่อเปิ่น อย่างหาที่สุดมิได้     ในคอของท่านห้อยพระอะไรกันบ้างครับ


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

352
ของผม มี19องค์ เป้งหลวงพ่อเปิ่น ท้งหมด

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

353
แค่อยากศึกษาไว้น่ะครับ มีประสบการณ์กันบ้างไม๊ครับ
เพราะอะไรจึงมั่นใจองค์ที่นำมาขึ้นคอ

354
อิอิ 108 ยันต์ หรอ เราว่าต้องมียันต์มากกว่า 108 ยันต์อ่ะครับ? ;D

แค่นี้ยั้งไม่พออีกหรือ   เอาไว้โอกาดหน้าแล้วกัน อิ อิ :058:[glow=red,2,300][/glow]

356
สิง

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

357
พญาเสือ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

358
ช้างเอราวัณ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

359
ยันต์ตะกรุดมหาระงับ
อิทธิฤทธิ์/อานุภาพของยันต์
           ยันต์นี้วิเศษยิ่งนัก เป็นมหาจังงัง มหาระงับแก่คนทั้งหลาย
           ป้องกันอันตรายทุกอย่าง ยิง ฟัน แทง ไม่เข้า หากมีสมาธิจิตที่แน่วแน่จริงๆ
           ท่านว่าสามารถทำให้หายตัวได้

คาถาสำหรับปลุกเสกยันต์ตะกรุดมหาระงับ (สวด ๑๐๘ จบ)
นะ ปิดตา โม ปิดใจ พุท ปิดปาก ธา ปิดหู ยะ หลับนิ่งอยู่ฯ
อิติปาระมิตาติงสา ระงับอินทา อะติสัพพัญญูมาคะตา ระงับพรัหมา อิติโพธิมะนุปปัตโต ระงับมะนุสสา อิติปิโสจะเตนะโม ระงับทิสาฯ
อิระชาคะตะระสา ติหังจะโตโรถินัง ปิสัมระโล ปุสัตพุท โสมาณะกะริถาโธ ภะสัมสัมวิสะเทภะ คะพุทปันทู ทัมวะคะวาโธโนอะมะมะวา อะวิสุนุสานุติฯ
นะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะ ปะระมัง ภะคะวา มะอะอุ ภะคะวา นะมะพะทะ จะภะกะสะฯ 

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

360
กระหม่อม

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

361
มัจฉานุ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

362
เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

363
9ยอด 5ชั้น

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

364
แคว้วคราด

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

365
ยันนกการะเวก

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

366
เกราะเพชร

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

367
พอแค่นี้ก่อนยังมีอีกเยอะ

368
หนุมาน

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

370
ยัน 5แถว หนุนดวง


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

371
หนุมาน

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

372
จิ้งจก

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

373
หนุมานครองเมือง

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

374
ยันต์นาคพันเกี้ยว

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

375
กิเลน

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

376
มงกุฏพระพุทธเจ้า

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

377
ราหู

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

378
มหานิยม

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

379
ตะขาบ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

380
ยันต์ลงตะกรุดมหารูด.

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

381
หลวงปู่


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

382
นกคุ้ม

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

383
หง คู่

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

384
ยันต์แม่นางกวัก

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

385
นะหัวใจสตีร

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

386
ยันต์องพระ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

387
หัวใจ นะ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

388
เสือเผ่น

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

389
ผมได้แล้วครับ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

390
ยันต์พระเจ้า๕พระองค์

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

391
ยันต์บัวแก้ว

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

392
กระทู้๗แบก

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

393
สาริกา

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

394
ยันต์แปดทิศ.

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

395
ยันต์จิ้งจกมหาเสน่ย.

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

396
มหาอุจ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

397
๙ ยอด

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

398
ล้อมกรอบ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

399
สิงห์

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

400
พญาวานร๔กร

401
งบน้ำอ้อย

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

402
แม่ทัพ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

403
ยันต์มงกุฎพระพุทธเจ้า

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

404
หมูทองแดง

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

405
ข้างบนด้านขวาเหมือนกับยัน พุทซ้อน

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

406
ฤาษี

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

407
ยัน เสือมหาอำนาจ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

408
ยันพระพุทธเจ้าเปล่งรัศมี

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

409
หงษ์

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

410
หนุมาน๔กร.

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

411
 :004: :004:

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

412
ยัน

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

413
หมูทองแดง

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

414
พระสิวลีปาง จกบาตร

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

415
พญาวานร ๔กร

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

416
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / พญาวานร ๔กร
« เมื่อ: 09 เม.ย. 2550, 08:57:51 »
พญาวานร ๔กร

Shot at 2007-07-28

417
พี่สักที่ไหนมา

418
ยันนี้เขาสักกันตรงไหนของร่ายกายคับ

ส่วนใหญ่จะสักที่กลางหลัง

419
ขอให้มองว่าเรามีครูบาอาจารย์เดียวกัน

421

1. อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา
บทนี้ชื่อกระทู้ 7 แบก ประจำอยู่ทิศ บูรพา (ทิศ ตะวันออก )
 
2. ติ หัง จะ โต โร ถิ นัง
บทนี้ชื่อว่าแสนฝนห่า ประจำอยู่ทิศอาคเณย์ (ทิศตะวันออกเฉียงใต้ )
 
3. ปิ สัม ระ โล ปุ สัต พุท บทนี้ชื่อนารายณ์เกลื่อนสมุทรประจำอยู่ทิศทักษิณ (ทิศใต้)
 
4. โส มา ณะ กะ ริ ถา โธ
บทนี้ชื่อนารายณ์ถอดจักร ประจำอยู่ทิศหรดี (ทิศตะวันตกเฉียงใต้)
 
5. ภะ สัม สัม วิ สะ เท ภะ
บทนี้ชื่อนารายณ์ขว้างจักร ตรึงไตรภพ ประจำอยู่ทิศประจิม (ทิศตะวันตก)
 
6. คะ พุท ปัน ทู ทัม วะ คะ
บทนี้ชื่อนารายณ์ พลิกแผ่นดินประจำอยู่ทิศพายัพ (ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ)
 
7. วา โธ โน อะ มะ มะ วา
บทนี้ชื่อ ตวาดฟ้าป่าหิมพานต์ประจำอยู่ทิศอุดร (ทิศเหนือ)
 
8. อะ วิช สุ นุต สา นุ ติ
บทนี้ชื่อ นารายณ์แปลงรูปประจำอยู่ทิศ อีสาน (ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ)
 

สิทธิการิยะ อุปเท่ห์พระอิติปิโส 8 ทิศนี้ มีอาณุภาพมากหลาย
ป้องกันได้สารพัดตามใจปรารถนา พระอาจารณ์เจ้ากล่าวไว้ว่า
ฝอยท่วมหลังช้างแล มีอุปเทห์มากมายเหลือจะพรรณนา จะกล่าวไว้ย่อๆดังนี้

แม้นจะยาตราไปทางสารทิศใด ให้ภาวนาพระคาถาประจำทิศ ตามทิศที่จะไปนั้น
หรือทำน้ำมนต์ลูบหน้า หรือ ประพรมพาหนะ ที่จะไปนั้น
จะปราศจากอุปสรรคอันตรายทั้งปวงไม่มีมารบกวนเลย
ป้องกันได้สารพัดแม้ว่าทิศที่จะไปนั้นจะต้องผีหลวง หรือ หลาวเหล็ก ก็ดี
( ทิศที่ร้ายตามตำราโหราศาสตร์ )
คุ้มกันได้สิ้น ไปสงครามก็จะมีชัยชนะ
ไปทำมาค้าขายก็จะกำไร เจริญรุ่งเรือง บังเกิดลาถผลพูนทวี
จะลงเป็นประเจียดป้องกันศาสตราอาวุธก็ได้
ทั้งเป็นเสน่ห์แก่ฝูงชนทั่วไป เขียนบูชาไว้กับบ้านเรือน
ป้องกันภัยอันตรายได้ทุกอย่าง
ถ้าจะไปนอนกลางป่าให้เสกก้อนดินไปวางไว้ตามทิศ
เมื่อจะวางทิศไหนให้เสกด้วยคาถาประจำทิศนั้นอีก ทิศล่ะ 8 จบ
กันสารพัด สัตว์ร้าย เปรีบประดุจมีกำแพงแก้วไว้คุ้มกันตนไว้ถึง 7 ชั้น
ถึงแม้จะถูกข้าศึกโจรผู้ร้ายล้อมไว้ก็ดี จะหักออกทางทิศไหน
ให้ภาวนา คาถาประจำทิศนั้นเถิด แล้วค่อยหักออกมา


422
รูปยันต์กระทู้7

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

424
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: คาถา108
« เมื่อ: 09 เม.ย. 2550, 12:09:36 »
เพียบเลย

425
น่าจะไปไช้กับโจรใต้   ครับ

426
มีกำลังขึ้นมากเลย ;D ;D ;D

428
ขอพระองค์  ทรงพระเจริญ 
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ

ข้าพระพุทธเจ้า  นาย ฤทธิรงค์ มุกดา และ  ครอบครัว

429
พระภิกษุต้องถือศีล ๒๒๗ ข้ออันได้แก่

ศีล ๒๒๗ ข้อที่เป็นวินัยของสงฆ์ ทำผิดถือว่าเป็นอาบัติ สามารถแบ่งออกได้เป็นลำดับขั้น ตั้งแต่ขั้นรุนแรงจนกระทั่งเบาที่สุดได้ดังนี้ ได้แก่
ปาราชิก มี ๔ ข้อ
สังฆาทิเสส มี ๑๓ ข้อ
อนิยต มี ๒ ข้อ (อาบัติที่ไม่แน่ว่าจะปรับข้อไหน)
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ ข้อ (อาบัติที่ต้องสละสิ่งของว่าด้วยเรื่องจีวร ไหม บาตร อย่างละ ๑๐ข้อ)
ปาจิตตีย์ มี ๙๒ ข้อ (ว่าด้วยอาบัติที่ไม่ต้องสละสิ่งของ)
ปาฏิเทสนียะ มี ๔ ข้อ (ว่าด้วยอาบัติที่พึงแสดงคืน)

เสขิยะ (ข้อที่ภิกษุพึงศึกษาเรื่องมารยาท) แบ่งเป็น
สารูปมี ๒๖ ข้อ (ความเหมาะสมในการเป็นสมณะ)
โภชนปฏิสังยุตต์ มี ๓๐ ข้อ (ว่าด้วยการฉันอาหาร)
ธัมมเทสนาปฏิสังยุตต์ มี ๑๖ ข้อ (ว่าด้วยการแสดงธรรม)
ปกิณสถะ มี ๓ ข้อ (เบ็ดเตล็ด)

อธิกรณสมถะ มี ๗ ข้อ (ธรรมสำหรับระงับอธิกรณ์)

รวมทั้งหมดแล้ว ๒๒๗ ข้อ ผิดข้อใดข้อหนึ่งถือว่าต้องอาบัติ การแสดงอาบัติสามารถกล่าวกับพระภิฏษุรูปอื่นเพื่อเป็นการแสดงตนต่อความผิดได้ แต่ถ้าถึงขั้นปาราชิกก็ต้องสึกอย่างเดียว

ปาราชิก มี ๔ ข้อได้แก่
๑. เสพเมถุน แม้กับสัตว์เดรัจฉานตัวเมีย (ร่วมสังวาสกับคนหรือสัตว์)
๒. ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี (ขโมย)
๓. พรากกายมนุษย์จากชีวิต (ฆ่าคน)หรือแสวงหาศาสตราอันจะนำไปสู่ความตายแก่ร่างกายมนุษย์
๔. กล่าวอวดอุตตริมนุสสธัมม์ อันเป็นความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้าในตัวว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ (ไม่รู้จริง แต่โอ้อวดความสามารถของตัวเอง)

สังฆาทิเสส มี ๑๓ ข้อ ถือเป็นความผิดหากทำสิ่งใดต่อไปนี้ ๑.ปล่อยน้ำอสุจิด้วยความจงใจ เว้นไว้แต่ฝัน
๒.เคล้าคลึง จับมือ จับช้องผม ลูบคลำ จับต้องอวัยวะอันใดก็ตามของสตรีเพศ
๓.พูดจาหยาบคาย เกาะแกะสตรีเพศ เกี้ยวพาราสี   
๔.การกล่าวถึงคุณในการบำเรอตนด้วยกาม หรือถอยคำพาดพิงเมถุน   
๕.ทำตัวเป็นสื่อรัก บอกความต้องการของอีกฝ่ายให้กับหญิงหรือชาย แม้สามีกับภรรยา หรือแม้แต่หญิงขายบริการ 
๖.สร้างกุฏิด้วยการขอ
๗.สร้างวิหารใหญ่ โดยพระสงฆ์มิได้กำหนดที่ รุกรานคนอื่น
๘.แกล้งใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล
๙.แกล้งสมมุติแล้วใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล
๑๐.ยุยงสงฆ์ให้แตกกัน
๑๑.เป็นพวกของผู้ที่ทำสงฆ์ให้แตกกัน
๑๒.เป็นผู้ว่ายากสอนยาก และต้องโดนเตือนถึง 3 ครั้ง
๑๓. ทำตัวเป็นเหมือนคนรับใช้ ประจบคฤหัสถ์

อนิยตกัณฑ์ มี ๒ ข้อได้แก่
๑. การนั่งในที่ลับตา มีอาสนะกำบังอยู่กับสตรีเพศ และมีผู้มาเห็นเป็นผู้ที่เชื่อถือได้พูดขึ้นด้วยธรรม
๒. ในสถานที่ที่ไม่เป็นที่ลับตาเสียทีเดียว แต่เป็นที่ที่จะพูดจาค่อนแคะสตรีเพศได้สองต่อสองกับภิกษุผู้เดียว และมีผู้มาเห็นเป็นผู้ที่เชื่อถือได้พูดขึ้นด้วยธรรม 2 ประการอันใดอันหนึ่งกล่าวแก่ภิกษุนั้นได้แก่ สังฆาทิเสสก็ดี หรือปาจิตตีย์ก็ดี ภิกษุนั้นถือว่ามีความผิดตามที่อุบาสกผู้นั้นกล่าว
๓ ประการอันใดอันหนึ่งกล่าวแก่ภิกษุนั้นได้แก่ ปาราชิกก็ดี สังฆาทิเสสก็ดี หรือปาจิตตีย์ก็ดี ภิกษุนั้นถือว่ามีความผิดตามที่อุบาสกผู้นั้นกล่าว

นิสสัคคิยปาจิตตีย์ มี ๓๐ ข้อ ถือเป็นความผิดได้แก่
๑.เก็บจีวรที่เกินความจำเป็นไว้เกิน ๑๐ วัน
๒.อยู่โดยปราศจากจีวรแม้แต่คืนเดียว
๓.เก็บผ้าที่จะทำจีวรไว้เกินกำหนด ๑ เดือน 
๔.ใช้ให้ภิกษุณีซักผ้า     
๕.รับจีวรจากมือของภิกษุณี
๖.ขอจีวรจากคฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติ เว้นแต่จีวรหายหรือถูกขโมย   
๗.รับจีวรเกินกว่าที่ใช้นุ่ง เมื่อจีวรถูกชิงหรือหายไป
๘.พูดทำนองขอจีวรดีๆ กว่าที่เขากำหนดจะถวายไว้แต่เดิม       
๙.พูดให้เขารวมกันซื้อจีวรดีๆ มาถวาย   
๑๐.ทวงจีวรจากคนที่รับอาสาเพื่อซื้อจีวรถวายเกินกว่า ๓ ครั้ง   
๑๑.หล่อเครื่องปูนั่งที่เจือด้วยไหม       
๑๒.หล่อเครื่องปูนั่งด้วยขนเจียม (ขนแพะ แกะ) ดำล้วน
๑๓.ใช้ขนเจียมดำเกิน ๒ ส่วนใน ๔ ส่วน หล่อเครื่องปูนั่ง     
๑๔.หล่อเครื่องปูนั่งใหม่ เมื่อของเดิมยังใช้ไม่ถึง ๖ ปี   
๑๕.เมื่อหล่อเครื่องปูนั่งใหม่ ให้เอาของเก่าเจือปนลงไปด้วย     
๑๖.นำขนเจียมไปด้วยตนเองเกิน ๓ โยชน์ เว้นแต่มีผู้นำไปให้
๑๗.ใช้ภิกษุณีที่ไม่ใช้ญาติทำความสะอาดขนเจียม
๑๘.รับเงินทอง
๑๙.ซื้อขายด้วยเงินทอง
๒๐.ซื้อขายโดยใช้ของแลก
๒๑.เก็บบาตรที่มีใช้เกินความจำเป็นไว้เกิน ๑๐ วัน
๒๒.ขอบาตร เมื่อบาตรเป็นแผลไม่เกิน ๕ แห่ง
๒๓.เก็บเภสัช ๕ (เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย)ไว้เกิน ๗ วัน
๒๔.แสวงและทำผ้าอาบน้ำฝนไว้เกินกำหนด ๑ เดือนก่อนหน้าฝน
๒๕.ให้จีวรภิกษุอื่นแล้วชิงคืนในภายหลัง
๒๖.ขอด้ายเอามาทอเป็นจีวร
๒๗.กำหนดให้ช่างทอทำให้ดีขึ้น
๒๘.เก็บผ้าจำนำพรรษา (ผ้าที่ถวายภิกษุเพื่ออยู่พรรษา) เกินกำหนด
๒๙.อยู่ป่าแล้วเก็บจีวรไว้ในบ้านเกิน ๖ คืน
๓๐.น้อมลาภสงฆ์มาเพื่อให้เขาถวายตน

ปาจิตตีย์ มี ๙๒ ข้อได้แก่
๑.ห้ามพูดปด         
๒.ห้ามด่า         
๓.ห้ามพูดส่อเสียด     
๔.ห้ามกล่าวธรรมพร้อมกับผู้ไม่ได้บวชในขณะสอน   
๕.ห้ามนอนร่วมกับอนุปสัมบัน(ผู้ไม่ใช้ภิกษุ)เกิน ๓ คืน     
๖.ห้ามนอนร่วมกับผู้หญิง         
๗.ห้ามแสดงธรรมสองต่อสองกับผู้หญิง     
๘.ห้ามบอกคุณวิเศษที่มีจริงแก่ผู้มิได้บวช   
๙.ห้ามบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่ผู้มิได้บวช     
๑๐.ห้ามขุดดินหรือใช้ให้ขุด     
๑๑.ห้ามทำลายต้นไม้ 
๑๒.ห้ามพูดเฉไฉเมื่อถูกสอบสวน     
๑๓.ห้ามติเตียนภิกษุผู้ทำการสงฆ์โดยชอบ
๑๔.ห้ามทิ้งเตียงตั่งของสงฆ์ไว้กลางแจ้ง       
๑๕.ห้ามปล่อยที่นอนไว้ ไม่เก็บงำ
๑๖.ห้ามนอนแทรกภิกษุผู้เข้าไปอยู่ก่อน     
๑๗.ห้ามฉุดคร่าภิกษุออกจากวิหารของสงฆ์     
๑๘.ห้ามนั่งนอนทับเตียงหรือตั่งที่อยู่ชั้นบน     
๑๙.ห้ามพอกหลังคาวิหารเกิน ๓ ชั้น   
๒๐.ห้ามเอาน้ำมีสัตว์รดหญ้าหรือดิน         
๒๑.ห้ามสอนนางภิกษุณีเมื่อมิได้รับมอบหมาย 
๒๒.ห้ามสอนนางภิกษุณีตั้งแต่อาทิ ตย์ตกแล้ว   
๒๓.ห้ามไปสอนนางภิกษุณีถึงที่อยู่   
๒๔.ห้ามติเตียนภิกษุอื่นว่าสอนนางภิกษุณีเพราะเห็นแก่ลาภ   
๒๕.ห้ามให้จีวรแก่นางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ     
๒๖.ห้ามเย็บจีวรให้นางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ   
๒๗.ห้ามเดินทางไกลร่วมกับนางภิกษุณี 
๒๘.ห้ามชวนนางภิกษุณีเดินทางเรือร่วมกัน     
๒๙.ห้ามฉันอาหารที่นางภิกษุณีไปแนะให้เขาถวาย     
๓๐.ห้ามนั่งในที่ลับสองต่อสองกับภิกษุณี   
๓๑.ห้ามฉันอาหารในโรงพักเดินทางเกิน ๓ มื้อ   
๓๒.ห้ามฉันอาหารรวมกลุ่ม   
๓๓.ห้ามรับนิมนต์แล้วไปฉันอาหารที่อื่น 
๓๔.ห้ามรับบิณฑบาตเกิน ๓ บาตร   
๓๕.ห้ามฉันอีกเมื่อฉันในที่นิมนต์เสร็จแล้ว   
๓๖.ห้ามพูดให้ภิกษุที่ฉันแล้วฉันอีกเพื่อจับผิด
๓๗.ห้ามฉันอาหารในเวลาวิกาล
๓๘.ห้ามฉันอาหารที่เก็บไว้ค้างคืน   
๓๙.ห้ามขออาหารประณีตมาเพื่อฉันเอง   
๔๐.ห้ามฉันอาหารที่มิได้รับประเคน   
๔๑.ห้ามยื่นอาหารด้วยมือให้ชีเปลือยและนักบวชอื่นๆ 
๔๒.ห้ามชวนภิกษุไปบิณฑบาตด้วยแล้วไล่กลับ     
๔๓.ห้ามเข้าไปแทรกแซงในสกุลที่มีคน ๒ คน     
๔๔.ห้ามนั่งในที่ลับมีที่กำบังกับมาตุคาม (ผู้หญิง)
๔๕.ห้ามนั่งในที่ลับ (หู) สองต่อสองกับมาตุคาม
๔๖.ห้ามรับนิมนต์แล้วไปที่อื่นไม่บอกลา 
๔๗.ห้ามขอของเกินกำหนดเวลาที่เขาอนุญาตไว้
๔๘.ห้ามไปดูกองทัพที่ยกไป
๔๙.ห้ามพักอยู่ในกองทัพเกิน ๓ คืน
๕๐.ห้ามดูเขารบกันเป็นต้น เมื่อไปในกองทัพ
๕๑.ห้ามดื่มสุราเมรัย
๕๒.ห้ามจี้ภิกษุ
๕๓.ห้ามว่ายน้ำเล่น
๕๔.ห้ามแสดงความไม่เอื้อเฟื้อในวินัย
๕๕.ห้ามหลอกภิกษุให้กลัว
๕๖.ห้ามติดไฟเพื่อผิง
๕๗.ห้ามอาบน้ำบ่อยๆเว้นแต่มีเหตุ
๕๘.ให้ทำเครื่องหมายเครื่องนุ่งห่ม
๕๙.วิกัปจีวรไว้แล้ว (ทำให้เป็นสองเจ้าของ-ให้ยืมใช้) จะใช้ต้องถอนก่อน
๖๐.ห้ามเล่นซ่อนบริขารของภิกษุอื่น
๖๑.ห้ามฆ่าสัตว์
๖๒.ห้ามใช้น้ำมีตัวสัตว์
๖๓.ห้ามรื้อฟื้นอธิกรณ์(คดีความ-ข้อโต้เถียง)ที่ชำระเป็นธรรมแล้ว
๖๔.ห้ามปกปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่น
๖๕.ห้ามบวชบุคคลอายุไม่ถึง ๒๐ ปี
๖๖.ห้ามชวนพ่อค้าผู้หนีภาษีเดินทางร่วมกัน
๖๗.ห้ามชวนผู้หญิงเดินทางร่วมกัน
๖๘.ห้ามกล่าวตู่พระธรรมวินัย (ภิกษุอื่นห้ามและสวดประกาศเกิน ๓ ครั้ง)
๖๙.ห้ามคบภิกษุผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย
๗๐.ห้ามคบสามเณรผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย
๗๑.ห้ามพูดไถลเมื่อทำผิดแล้ว
๗๒.ห้ามกล่าวติเตียนสิกขาบท
๗๓.ห้ามพูดแก้ตัวว่า เพิ่งรู้ว่ามีในปาฏิโมกข์
๗๔.ห้ามทำร้ายร่างกายภิกษุ
๗๕.ห้ามเงื้อมือจะทำร้ายภิกษุ
๗๖.ห้ามโจทภิกษุด้วยอาบัติสังฆาทิเสสที่ไม่มีมูล
๗๗.ห้ามก่อความรำคาญแก่ภิกษุอื่น
๗๘.ห้ามแอบฟังความของภิกษุผู้ทะเลาะกัน
๗๙.ให้ฉันทะแล้วห้ามพูดติเตียน
๘๐.ขณะกำลังประชุมสงฆ์ ห้ามลุกไปโดยไม่ให้ฉันทะ
๘๑.ร่วมกับสงฆ์ให้จีวรแก่ภิกษุแล้ว ห้ามติเตียนภายหลัง
๘๒.ห้ามน้อมลาภสงฆ์มาเพื่อบุคคล
๘๓.ห้ามเข้าไปในตำหนักของพระราชา
๘๔.ห้ามเก็บของมีค่าที่ตกอยู่
๘๕.เมื่อจะเข้าบ้านในเวลาวิกาล ต้องบอกลาภิกษุก่อน
๘๖.ห้ามทำกล่องเข็มด้วยกระดูก งา หรือเขาสัตว์
๘๗.ห้ามทำเตียง ตั่งมีเท้าสูงกว่าประมาณ
๘๘.ห้ามทำเตียง ตั่งที่หุ้มด้วยนุ่น
๘๙.ห้ามทำผ้าปูนั่งมีขนาดเกินประมาณ
๙๐.ห้ามทำผ้าปิดฝีมีขนาดเกินประมาณ
๙๑.ห้ามทำผ้าอาบน้ำฝนมีขนาดเกินประมาณ
๙๒.ห้ามทำจีวรมีขนาดเกินประมาณ

ปาฏิเทสนียะ มี ๔ ข้อได้แก่
๑. ห้ามรับของคบเคี้ยว ของฉันจากมือภิกษุณีมาฉัน
๒. ให้ไล่นางภิกษุณีที่มายุ่งให้เขาถวายอาหาร
๓. ห้ามรับอาหารในสกุลที่สงฆ์สมมุติว่าเป็นเสขะ (อริยบุคคล แต่ยังไม่ได้บรรลุเป็นอรหันต์)
๔. ห้ามรับอาหารที่เขาไม่ได้จัดเตรียมไว้ก่อนมาฉันเมื่ออยู่ป่า

เสขิยะ
สารูป มี ๒๖ ข้อได้แก่
๑.นุ่งให้เป็นปริมณฑล (ล่างปิดเข่า บนปิดสะดือไม่ห้อยหน้าห้อยหลัง)
๒.ห่มให้เป็นนปริมณฑล (ให้ชายผ้าเสมอกัน)
๓.ปกปิดกายด้วยดีไปในบ้าน       
๔.ปกปิดกายด้วยดีนั่งในบ้าน   
๕.สำรวมด้วยดีไปในบ้าน
๖.สำรวมด้วยดีนั่งในบ้าน     
๗.มีสายตาทอดลงไปในบ้าน (ตาไม่มองโน่นมองนี่)
๘.มีสายตาทอดลงนั่งในบ้าน     
๙.ไม่เวิกผ้าไปในบ้าน
๑๐.ไม่เวิกผ้านั่งในบ้าน     
๑๑.ไม่หัวเราะดังไปในบ้าน     
๑๒.ไม่หัวเราะดังนั่งในบ้าน     
๑๓.ไม่พูดเสียงดังไปในบ้าน       
๑๔.ไม่พูดเสียงดังนั่งในบ้าน
๑๕.ไม่โคลงกายไปในบ้าน
๑๖.ไม่โคลงกายนั่งในบ้าน
๑๗.ไม่ไกวแขนไปในบ้าน
๑๘.ไม่ไกวแขนนั่งในบ้าน
๑๙.ไม่สั่นศีรษะไปในบ้าน
๒๐.ไม่สั่นศีรษะนั่งในบ้าน
๒๑.ไม่เอามือค้ำกายไปในบ้าน
๒๒.ไม่เอามือค้ำกายนั่งในบ้าน
๒๓.ไม่เอาผ้าคลุมศีรษะไปในบ้าน
๒๔.ไม่เอาผ้าคลุมศีรษะนั่งในบ้าน
๒๕.ไม่เดินกระโหย่งเท้า ไปในบ้าน
๒๖.ไม่นั่งรัดเข่าในบ้าน

โภชนปฏิสังยุตต์มี ๓๐ ข้อคือหลักในการฉันอาหารได้แก่ 
๑.รับบิณฑบาตด้วยความเคารพ
๒.ในขณะบิณฑบาต จะแลดูแต่ในบาตร   
๓.รับบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง (ไม่รับแกงมากเกินไป)   
๔.รับบิณฑบาตแค่พอเสมอขอบปากบาตร 
๕.ฉันบิณฑบาตโดยความเคารพ
๖.ในขณะฉันบิณฑบาต และดูแต่ในบาตร   
๗.ฉันบิณฑบาตไปตามลำดับ (ไม่ขุดให้แหว่ง)   
๘.ฉันบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง ไม่ฉันแกงมากเกินไป   
๙.ฉันบิณฑบาตไม่ขยุ้มแต่ยอดลงไป     
๑๐.ไม่เอาข้าวสุกปิดแกงและกับด้วยหวังจะได้มาก
๑๑.ไม่ขอเอาแกงหรือข้าวสุกเพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน หากไม่เจ็บไข้ 
๑๒.ไม่มองดูบาตรของผู้อื่นด้วยคิดจะยกโทษ   
๑๓.ไม่ทำคำข้าวให้ใหญ่เกินไป     
๑๔.ทำคำข้าวให้กลมกล่อม     
๑๕.ไม่อ้าปากเมื่อคำข้าวยังมาไม่ถึง   
๑๖.ไม่เอามือทั้งมือใส่ปากในขณะฉัน
๑๗.ไม่พูดในขณะที่มีคำข้าวอยู่ในปาก
๑๘.ไม่ฉันโดยการโยนคำข้าวเข้าปาก
๑๙.ไม่ฉันกัดคำข้าว
๒๐.ไม่ฉันทำกระพุ้งแก้มให้ตุ่ย
๒๑.ไม่ฉันพลางสะบัดมือพลาง
๒๒.ไม่ฉันโปรยเมล็ดข้าว
๒๓.ไม่ฉันแลบลิ้น
๒๔.ไม่ฉันดังจับๆ
๒๕.ไม่ฉันดังซูดๆ
๒๖.ไม่ฉันเลียมือ
๒๗.ไม่ฉันเลียบาตร
๒๘.ไม่ฉันเลียริมฝีปาก
๒๙.ไม่เอามือเปื้อนจับภาชนะน้ำ
๓๐.ไม่เอาน้ำล้างบาตรมีเมล็ดข้าวเทลงในบ้าน

ธัมมเทสนาปฏิสังยุตต์ มี ๑๖ ข้อคือ
๑.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีร่มในมือ   
๒.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีไม้พลองในมือ
๓.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีของมีคมในมือ   
๔.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีอาวุธในมือ
๕.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมเขียงเท่า (รองเท้าไม้) ๑   
๖.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมรองเท้า 
๗.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในยาน   
๘.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่อยู่บนที่นอน   
๙.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งรัดเข่า
๑๐.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่โพกศีรษะ
๑๑.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่คลุมศีรษะ
๑๒.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่อยู่บนอาสนะ (หรือเครื่องปูนั่ง) โดยภิกษุอยู่บนแผ่นดิน
๑๓.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งบนอาสนะสูงกว่าภิกษุ
๑๔.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งอยู่ แต่ภิกษุยืน
๑๕.ภิกษุเดินไปข้างหลังไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่เดินไปข้างหน้า
๑๖.ภิกษุเดินไปนอกทางไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในทาง

ปกิณสถะ มี ๓ ข้อ
๑. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ยืนถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ
๒. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้ำลายลงในของเขียว (พันธุ์ไม้ใบหญ้าต่างๆ)
๓. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้ำลายลงในน้ำ อธิกรณสมถะ มี ๗ ข้อได้แก่
๑. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ในที่พร้อมหน้า (บุคคล วัตถุ ธรรม)
๒. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยการยกให้ว่าพระอรหันต์เป็นผู้มีสติ
๓. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยยกประโยชน์ให้ในขณะเป็นบ้า
๔. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยถือตามคำรับของจำเลย
๕. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยถือเสียงข้างมากเป็นประมาณ
๖. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยการลงโทษแก่ผู้ผิด
๗. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยให้ประนีประนอมหรือเลิกแล้วกันไป


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

430
บทความ บทกวี / เคล็ดลับ หน้าตาดี
« เมื่อ: 09 เม.ย. 2550, 09:24:08 »
พุทธดำรัสตอบ "มนุษย์ผู้มีสติอยู่ทุกเมื่อ รู้จักประมาณในโภชนะที่ได้มา ย่อมมีเวทนาเบา บาง เขาย่อมแก่ช้า ครองอายุได้ยืนนาน"

 

กินน้อยตายยาก
ปัญหา พระภิกษุในพระพุทธศาสนาได้รับอนุญาตให้บริโภคอาหารเพียงวันละ ๑ หรือ ๒ ครั้งเท่านั้น พระผู้มีพระภาคทรงเป็นประโยชน์อย่างไร จึงทรงบัญญัติให้ภิกษุบริโภคอาหารน้อย ? พุทธดำรัสตอบ "..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราฉันอาหารในเวลาก่อนภัตครั้งเดียว เมื่อเราฉันอาหารในเวลาก่อนภัตครั้งเดียว ย่อมรู้สึกคุณคือ ความเป็นผู้มีอาพาธน้อย มีโรคเบาบาง กายเบา มีกำลัง และอยู่สำราญ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้เธอทั้งหลายจงมาจงฉันอาหารในเวลาก่อนภัตครั้งเดียวเถิด ด้วยว่าเมื่อเธอทั้งหลายฉันอาหาร ในเวลาก่อนภัตครั้งเดียว จักรู้สึกคุณคือ ความเป็นผู้มีอาพาธน้อย มีโรคเบาบาง กายเบามีกำลังและอยู่สำราญ...."

ทำอย่างไรจึงจะมีรูปงาม
ปัญหา เพราะเหตุไรบางคนจึงมีรูปร่างขี้ริ้วขี้เหร่ ทั้ง ๆ ที่มารดาบิดามีรูปงาม เพราะ เหตุไรคนบางคนจึงมีรูปร่างสวย มีผิวพรรณงาม ทั้ง ๆ ที่มารดาบิดามีรูปร่างไม่สวย ?
พุทธดำรัสตอบ "..... บุคคลบางคนย่อมเป็นผู้มักโกรธแค้นมาก ถูกว่าแม้น้อยย่อมขัดใจ โกรธ พยาบาทคิดแก้แค้น ทำความโกรธ ความดุร้ายแลความขึ้งเคียดให้ปรากฏ ครั้น
ตายไปย่อมเกิดในอบายทุคตินรกด้วยกรรมนั้น.... ถ้าตายไปไม่เกิดในอบายทุคตินรก มาเกิดเป็นมนุษย์ในที่ใด ๆ จะเป็นผู้มีผิวพรรณน่าชัง ".... บุคคลบางคนย่อมเป็นผู้ไม่มักโกรธแค้นมาก ถูกว่าแม้มากย่อมทำความโกรธ ความดุร้ายและความขึ้งเคียดให้ปรากฏ ครั้นตายไปย่อมเกิดในสุคติโลกสวรรค์ด้วยกรรม นั้น.... ถ้าภายไปไม่เกิดในสุคติโลกสวรรค์ มาเกิดเป็นมนุษย์ ในที่ใด ๆ จะเป็นผู้มีผิวพรรณน่าชม"

ทำอย่างไรจึงจะรวย
ปัญหา เพราะเหตุไรบางคนจึงยากจนเข็ญใจไร้ทรัพย์ ทั้ง ๆ ที่ทำงานหนัก เพราะเหตุไรคนบางคนจึงร่ำรวยด้วยทรัพย์สมบัติ ทั้ง ๆ ที่ไม่ต้องทำงานหนักเกินไป ?
พุทธดำรัสตอบ "..... บุคคลบางคนย่อมไม่ให้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องทา ที่นอน ที่อยู่ เครื่องตามประทีป แก่สมณพราหมณ์ ครั้นตายไปย่อมเกิดในอบายทุคตินรกด้วยกรรมนั้น.... ถ้าตายไปไม่เกิดในอบายทุคตินรก มาเกิดในมนุษย์ในที่ใด ๆจะเป็นผู้มีสมบัติน้อย ... บุคคลบางคนย่อมเป็นผู้ให้ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องทา ที่นอนที่อยู่ เครื่องตามประทีป แก่สมณพราหมณ์ ครั้นตายไปย่อมเกิดในอบายสุคติโลกสวรรค์ด้วยกรรมนั้น... ถ้าตายไปไม่เกิดในสุคติโลกสวรรค์ มาเกิดในมนุษย์ในที่ใด ๆ จะเป็นผู้มีสมบัติมาก"

ทำอย่างไรจึงจะมีอำนาจมาก
ปัญหา เพราะเหตุไรบางคนจึงมียศ มีอำนาจ มีศักดามาก เพราะเหตุไรคนบางคนจึงมี ยศ มีอำนาจมีศักดาน้อย ?
พุทธดำรัสตอบ "..... บุคคลบางคนย่อมเป็นผู้มีใจประกอบด้วยความอิจฉาริษยา ย่อม ริษยา คิดร้าย ผูกริษยาในลาภสักการะ ในการทำความเคารพในความนับถือกราบไหว้
และการบูชาของผู้อื่นทั้งหลาย ครั้นตายไปย่อมเกิดในอบายทุคตินรกด้วยกรรมนั้น.... ถ้า ตายไปไม่เกิดในอบายทุคตินรก มาเกิดเป็นมนุษย์ในที่ใด ๆ จะเป็นผู้มีศักดาน้อย
"... บุคคลบางคนย่อมเป็นผู้มีน้ำใจไม่ริษยา.... ในลาภสักการะ ในการทำความ เคารพ ในความนับถือ กราบไหว้ และการบูชาของผู้อื่นทั้งหลาย ครั้นตายไปย่อมเกิดใน
สุคติโลกสวรรค์ ด้วยกรรมนั้น.... ถ้าตายไปไม่เกิดในสุขคติโลกสวรรค์ มาเกิดเป็น มนุษย์ในที่ใด ๆ จะเป็นผู้มีศักดาใหญ่"


ทำไมจึงเป็นคนขี้โรค
ปัญหา เพราะเหตุไรบางคนเกิดมาแล้ว จึงมักจะถูกโรคภัยเบียดเบียน แม้จะมีทรัพย์มากและรักษาความสะอาดเท่าไร ก็ไม่พ้นเป็นคนขี้โรค เพราะเหตุไรบางคนจึงมีสุขภาพอนามัยสมบูรณ์ ทั้ง ๆ ที่ยากจนแลไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับสุขภาพอนามัย ?
พุทธดำรัสตอบ "..... คนบางคนย่อมเป็นผู้เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลายด้วยมือ หรือก้อนดินท่อนไม้ ศัสตรา ครั้นตายไปย่อมเกิดในอบายทุคตินรกด้วยกรรมนั้น.... ถ้าตายไปไม่เกิดในอบายทุคตินรก มาเกิดเป็นมนุษย์ในที่ใด ๆ จะเป็นผู้มีโรคมาก .... คนบางคนย่อมเป็นผู้ไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย ด้วยมือหรือก้อนดิน ท่อนไม้ ศัสตรา ครั้นตายไป ย่อมเกิดในสุคติโลกสวรรค์ด้วยกรรมนั้น.... ถ้าตายไปไม่เกิดในสุคติโลกสวรรค์ มาเกิดเป็นมนุษย์ในที่ใด ๆ จะเป็นผู้มีโรคน้อย

ทำไมคนจึงตายช้า-เร็วต่างกัน
ปัญหา เพราะเหตุไร คนบางคนเกิดมาในโลกนี้จึงมีอายุสั้น ตายตั้งแต่เยาว์วัยเพราะ เหตุไร บางคนจึงอายุยืน ตายต่อเมื่อแก่หง่อมเต็มที่แล้ว ?
พุทธดำรัสตอบ "..... บุคคลบางคนเป็นสตรี หรือบุรุษในโลกนี้ ย่อมเป็นผู้ฆ่าสัตว์มีชีวิต ใจดุร้าย ชอบใจในการฆ่าฟัน ไม่มีความเอ็นดูในสัตว์มีชีวิตทั้งหลาย ครั้นตายไปย่อมเกิดในอบายทุคตินรก ด้วยกรรมนั้น..... ถ้าตายไปไม่เกิดในอบายทุคตินรก มาเกิดเป็นมนุษย์ในที่ใด ๆ จะเป็นผู้มีอายุสั้น
"..... บางคนย่อมเป็นผู้ละเว้นจากปาณาติบาต มีท่อนไม้ ศัสตรา อันวางแล้วมีความ ละอาย มีความเอ็นดู อนุเคราะห์เพื่อความเกื้อกูลในสัตว์ทั้งปวง ครั้นตายไป ย่อมเกิดใน
สุขคติโลกสวรรค์ ด้วยกรรมนั้น..... ถ้าตายไปไม่เกิดในสุคติโลกสวรรค์ มาเกิดเป็น มนุษย์ในที่ใด ๆ จะเป็นผู้มีอายุยืน...." 
       
 

431
ธรรมะ / คติธรรมในพระพุทธศาสนา
« เมื่อ: 09 เม.ย. 2550, 09:08:03 »
1 บุคคลผู้ซึ่งจะประสบผลสำเร็จในกิจการงานทั้งหลายทั้งปวงนั้น จะต้องประกอบด้วยสิ่งสำคัญ 3 ประการคือ

กรรม - ต้องเป็นผู้ประกอบกุศลกรรม คือกรรมที่ดีทั้งในอดีตและปัจจุบัน
ปัญญา - ต้องเป็นผู้รู้จักใช้ปัญญาไตร่ตรอง พิจารณาหาเหตุผลทั้งในด้านดี ด้านเสีย ในการประกอบกิจการงานทั้งหลาย

วิริยะ - ต้องเป็นผู้ที่มีความขยันหมั่นเพียร บากบั่นพากเพียร พยายามกระทำกิจการงานทั้งหลาย ที่ใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองแล้ว โดยไม่เหนื่อยหน่ายหรือย่อท้อ

2 เมตตาธรรม เท่านั้นที่จะเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างได้

3 เข้าไปอยู่ที่เมืองใด ต้องกระทำให้เหมือนคนในเมืองนั้น

4 การกระทำอันใด จะเป็นบุญหรือบาป ขึ้นอยู่กับเจตนาเป็นใหญ่

5 บุคคลผู้ยึดมั่นอยู่ในศีลและหมั่นสวดมนต์ไหว้พระอยู่เสมอ ย่อมสำเร็จประโยชน์

6 บุคคลกระทำกรรมอันใดไว้ ย่อมได้รับผลแห่งกรรมนั้น

7 เหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านไปแล้ว เราย่อมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ จงพยายามกระทำปัจจุบันและอนาคตของเราให้ดีที่สุดก็แล้วกัน

8 ในการปฏิบัติธรรมทั้งหลายนั้น เราต้องระวังในเรื่อง "อุปาทาน" ให้มากที่สุด

9 สิ่งใดก็ตาม เมื่อเราได้พิจารณาใคร่ครวญโดยรอบคอบแล้วว่า ไม่ขัดต่อหลักคำสั่งสอนในบวรพุทธศาสนา ก็จงกระทำไปเถิด พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงห้ามไว้

 

ที่มา : หนังสือ อุตตมะ 84 ปี

432
น่ากลัวจัง ***แต่บางอย่างก็น่ามาใช้กะมนุษย์สมัยนี้จัง*

433
สู่ความเจริญรุ่งเรืองแห่งชีวิต

ตำนานพญาครุฑ

ในตำนานเมืองฟ้าป่าหิมพานต์นั้นมีเรื่องราวของสัตว์ที่มีอิทธิฤทธิ์มากมายหลายชนิดเช่น ราชสีห์ คชสีห์ อันมีลำตัวเป็นสิงห์แต่มีศีรษะเป็นช้าง กินรี กินนรและสัตว์แปลก ๆ อีกมากมาย ในบรรดาสัตว์ทั้งหลายนั้นมีสองอย่างที่นับว่าเป็นเทพเดรัจฉานมีฤทธิ์มากคือ หนึ่งเป็นพญานาคราชจ้าวแห่งบาดาล และอีกหนึ่งคือพญาครุฑจ้าวแห่งเวหา

นาคและครุฑต่างเป็นสัตว์ที่คู่กันตามตำนาน มีเรื่องราวเล่ากันว่าสัตว์กายสิทธิ์ทั้งสองนี้มีบิดาเดี่ยวกันคือมหาฤาษีกัสยปะเทพบิดรแต่คนละแม่โดยพญาครุฑนั้นมีมารดาเป็นภรรยาหลวง ส่วนนาคนั้นมีแม่เป็นภรรยาคนรอง นางทั้งสองนี้ไม่ถูกกันมีเรื่องกันตลอดจนในที่สุดความผิดใจกันนี้ลามไปถึงลูกของตนด้วย จึงเป็นเหตุให้นาคและครุฑม่ถูกกันในเวลาต่อมา

พญานาคนั้นมีวิมานอันเป็นทิพย์อยู่ในบาดาล ส่วนครุฑก็มีวิมานทิพย์อยู่ที่เชิงเขาไกรลาส กล่าวว่าองค์พญาครุฑนั้นมีนามว่าท้าวเวนไตย เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ท้าวสุบรรณ มีกายเป็นรัศมีสีทองมีเดชอำนาจมากที่สุดในหมู่ครุฑทั้งหลายอาศัยเกาะอยู่ตามต้นงิ้ว อาศัยผลงิ้วและน้ำดอกไม้จากต้นงิ้วเป็นอาหารทิพย์ ลูกพญาครุฑจะโตขึ้นนับเวลาอายุเป็นข้างขึ้นข้างแรมตามจันทรคติ เติบโตด้วยบุญกุศลที่เคยทำมา หากลูกครุฑตนใดที่มีบุญญาธิการมามาก อำนาจบุญจะบันดาลให้เกิดผลงิ้วทิพย์และน้ำหวานจากดอกไม้มาบำเรอลูกครุฑตนนั้น ๆ และลูกครุฑตนดังกล่าวจะจำเริญวัยได้อย่างรวดเร็ว

ครุฑเป็นสัตว์กึ่งโอปปาติกะ หรือกึ่งพวกกายทิพย์คล้ายชาวลับแลและพวกพญานาคอยู่อีกมิติหนึ่งจากโลกของเรา ผู้ที่จะสามารถพบเห็นครุฑได้ต้องเคยมีบุญร่วมกับพวกเขามาจึงสามารถรับรู้ถึงกันและกันได้ เหมือนกับผู้ที่สามารถติดต่อกับพญานาคได้ก็เช่นกันล้วนต้องเป็นผู้ที่มีวาสนาต่อกันมาตั้งแต่อดีตทั้งนั้นไม่ใช่เรื่องสาธารณะที่จะรู้กันได้ทั่วไปเช่นเรืองสามัญ

เรื่องของครุฑเป็นเรื่องราวที่มีความอัศจรรย์โลดโผนยิ่งกว่าเรื่องราวของพญานาคเสียด้วยซ้ำไป แต่คนทั่วไปไม่ค่อยรู้กันเพราะไม่ได้ศึกษาและอาจไม่ค่อยสนใจเท่าใดนัก ความเป็นจริงแล้วเรื่องครุฑเป็นเรื่องที่น่าศึกษามาก เพราะทางฮินดูเขานับถือครุฑว่าเป็นเทพเจ้าสำคัญพระองค์หนึ่ง แม้ในทางไทยเราเอง ทางไสยศาสตร์ก็ให้ความนับถือเกี่ยวกับครุฑนี้มาก ดูอย่างตราแผ่นดินเองก็มีรูปลักษณะเป็นครุฑ จึงน่าสนใจว่า ?ครุฑ? นั้นคงมีอานุภาพบางอย่างและน่าจะเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงในอีกมิติหนึ่งเช่นเดียวกันกับพญานาค ถ้าท่านเชื่อว่าพญานาคมีจริง พญาครุฑก็ย่อมมีจริงเช่นกัน

พลังอำนาจที่เทียบเท่า พระผู้เป็นเจ้า

อำนาจของพญาครุฑนั้นท่านว่าลึกลับมากนัก ในตำนานของฮินดูกล่าวว่าตั้งแต่แรกเกิดมานั้นพญาครุฑก็มีรัศมีกายที่สว่างไสวเป็นที่อัศจรรย์ ส่อให้รู้ว่าเป็นผู้ที่มีบุญญาธิการ มีอานุภาพเป็นอเนกอนันต์ มีฤทธิ์วิชาผาดโผนพิสดารทั้งนี้มีเรื่องกล่าวไว้อีกว่าครั้งหนึ่งพญาครุฑเคยลองฤทธิ์กับองค์พระนารายณ์มหาเทพหนึ่งในสามของทางศาสนาพราหมณ์ การรบกันนั้นเป็นที่เลื่องลือไปทั้งสามโลกธาตุ พญาครุฑสามารถต่อสู้ด้วยความสามารถ รบกันไปเท่าใดก็หาแพ้ชนะกันไม่ จนในที่สุดพระนารายณ์และพญาครุฑจึงตกลงกันว่าขอให้เสมอกันในการรบระหว่างเราและท่าน พระนารายณ์อนุญาตให้พญาครุฑสามารถอยู่เหนือเศียรตนได้ และพญาครุฑก็นอบน้อมโดยการยินยอมให้พระนารายณ์สามารถนำตนเป็นพาหนะไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้เช่นกัน

จึงถือกันในหมู่ครูบาอาจารย์กันต่โบราณว่า ?พญาครุฑ? เป็นเทพเดรัจฉานที่มีอานุภาพอิทธิฤทธิ์เทียบเท่าพระผู้เป็นเจ้าอย่างพระนารายณ์ อานุภาพของครุฑจึงเป็นที่อัศจรรย์ของทั่วโลกธาตุ นอกจากนี้ยังมีประวัติอีกว่ารพระอินทร์เองก็เคยลองฤทธิ์กับพญาครุฑใช้วัชระฟาดพญาครุฑ แต่องค์พญาครุฑเป็นกายสิทธิ์หาได้เป็นอันตรายแต่อย่างใดไม่ พระอินทร์พยายามอยู่หลายทางก็ไม่สามารถทำอันตรายแก่องค์ครุฑได้ จนพระอินทร์มีความเคารพในอานุภาพของพญาครุฑว่ามีฤทธิ์เดชเทียบเท่าพระผู้เป็นเจ้าจริงในที่สุดพญาครุฑจึงได้สลัดขนตนเองออกามาหนึ่งเส้นให้แก่พระอินทร์เพื่อเป็นเกียรติแก่พระอินทร์ด้วยเช่นกัน

จะเห็นได้ว่าตามตำนานที่กล่าวมา ?พญาครุฑ? เป็นเทพเดรัจฉานที่มีฤทธิ์ที่ไม่ธรรมดา ๆ เลยมีอานภาพมาก ด้วยเหตุนี้ครูบาอาจารย์ที่รู้จักศาสตร์ของครุฑเป็นอย่างดีจึงนำเอาสัญลักษณ์เกี่ยวกับครุฑ รูปครุฑต่าง ๆ มาทำสมาธิบูชาเพื่อให้เกิดอิทธิพลังงานอันลี้ลับ ทั้งนี้เพื่อการปกป้องคุ้มครองบ้าง เพื่อความเจริญรุ่งเรืองบ้าง ดังที่เราจะได้เล่าให้ท่านทราบต่อไป

สัญลักษณ์ครุฑ สัญลักษณ์แห่งแผ่นดิน

โดยสรุปจากตำนานแล้วครุฑคือสัตว์หิมพานต์อย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่สัตว์สามัญธรรมดา เพราะพยาครุฑเป็นสัตว์กึ่งเทพ เรียกว่า ?เทพเดรัจฉาน? ซึ่งมีอำนาจเทียบเท่าพระผู้เป็นเจ้าเป็นพาหนะของพระนารายณ์อย่างหนึ่งในเมืองไทยเรานับถือว่าพระมหากษัตริย์เป็นสมมติเทพ เป็นองค์นารายณ์อวตารจึงมีการใช้ธงรูปครุฑ และมีครุฑเป็นสัญลักษณ์ประจำแผ่นดิน สามารถพบเห็นรูปครุฑได้จากเอกสารต่าง ๆ ของทางราชการ และนับว่าเอกสารเหล่านั้นเป็นเอกสารศักดิ์สิทธิ์ หากราชการผู้ที่ทำหน้าที่ผู้ใดมีความสุจริตจงรักภักดีต่อแผ่นดิน องค์พระมหากษัตริย์ และหน้าที่ของตน องค์พญาครุฑก็จะส่งพลังปกป้องให้มีความสุข ความเจริญในหน้าที่

นอกจากนี้ยังมีเกร็ดความเชื่อว่าหากที่ใดมีอาถรรพ์แรงท่านให้นำเอาตราครุฑไปติดจะทำให้อาถรรพ์นั้นเสื่อมสลายไปในที่สุด ตราครุฑล้างอาถรรพ์ได้จึงเป็นที่เชื่อถือกันมาตลอดและได้รับความเคารพบูชาว่าเป็นของสูง เสมือนหนึ่งตัวแทนแห่งองค์พระประมุข ผู้ใดมีสัญลักษณ์ครุฑ รูปครุฑบูชาไว้ย่อมได้อานิสงส์มาก อาทิ มีความเจริญแก่ตัวเองและครอบครัวเป็นต้น ดังนี้แล้วครุฑจึงเป็นของสูงที่เราควรรู้ควรบูชาอย่างหนึ่ง

คนโบราณมีความเชื่อสืบกันมาว่า ?ครุฑ? นั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งความเจริญรุ่งเรือง มหาอำนาจ อย่างเด็กผู้ใดที่เกิดมาแล้วมีลักษณะปากคล้ายพญาครุฑท่านว่าคนผู้นั้นจะเป็นผู้มีบุญญาธิการมาเกิด ภายภาคหน้าจะได้เป็นใหญ่เป็นโต สมเด็จเจ้าแตงโม พระสังฆราชพระองค์หนึ่งท่านก็มีลักษณะปากดังครุฑปรากฏว่าเป็นผู้มีปัญญาดี และได้เป็นสมเด็จพระสังฆราชในที่สุด เรื่องครุฑนี้คนโบราณจึงเชื่อถือกันมาก แม้เครื่องรางที่เกี่ยวกับครุฑก็เป็นเครื่องรางที่มีความหมายมีอานุภาพโดดเด่นหลายประการดงจะได้กล่าวต่อไป

พญาครุฑเครื่องหมายแห่งสิทธิอำนาจและความเป็นมงคล

ครุฑนั้นเป็นเครื่องหมายของทางราชการอยู่แล้ว เอกสารทางราชการฉบับใด ๆ ก็ล้วนต้องมีเครื่องหมายพญาครุฑประทับอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น แสดงให้เห็นว่าเป็นเครื่องสำคัญเป็นตราแผ่นดิน เป็นตราของเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ เชื่อว่าหากข้าราชการผู้ใดให้ความเคารพนับถือในองค์พญาครุฑ และซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ของตนเอง ข้าราชการผู้นั้นจะมีความสุขความเจริญทั้งชีวิตและหน้าที่การงานสืบไป คุณไสย์อันตรายใด ๆ ก็ไม่สามารถทำอันตรายได้เพราะเครื่องหมายของพญาครุฑนี่สำคัญมากผู้ที่รู้เขาจะไม่ข้ามไม่เหยียบย่ำ ไม่นำไว้ที่ปลายเท้าเลยเพราะเป็นของสูง ของศักดิ์สิทธิ์ หากเคารพนับถือให้ดีอำนาจพญาครุฑที่มีอยู่ในเอกสารราชการจะคุ้มครองผู้นั้นไม่ให้มีวันอับจน แต่คนสมัยนี้ไม่ใคร่เชื่อถือกันเท่าใดนัก เรื่องพญาครุฑจึงดูล้าสมัยไปเสีย ไม่เหมือนในสมัยก่อนที่ไหนว่ากันว่าผีแรง ผีเฮี้ยน เอาตราพญาครุฑไปติดไว้ความอาถรรพ์ของสถานที่นั้น ๆ ก็จะหายไปในทันที

อำนาจพญาครุฑ

สิทธิอำนาจพญาครุฑสัตว์กายสิทธิ์ที่ไม่มีผู้ใดสามารถฆ่าให้ตายได้มีอายุยืนเสมือนว่าเป็นอมตะนั้น นับเป็นเรื่องลี้ลับที่ผู้รู้พยายามค้นคว้า และเสาะหาที่มาแห่งพลังอำนาจดังกล่าว จนเกิดการสร้างเครื่องรางต่าง ๆ ขึ้น อำนาจพญาครุฑสามารถจำแนกได้ถึง ๘ ประการ โดยนับเอาอำนาจหลัก ๆ ได้ดังนี้คือ

๑. เป็นมหาอำนาจอันยิ่งใหญ่ เป็นสิทธิอำนาจอันเฉียบขาด

๒. สามารถลบล้างอาถรรพ์และคุณไสย์ทั้งปวง ภูติผีปิศาจกลัวไม่กล้าเข้าใกล้

๓. เป็นสื่อนำความเจริญรุ่งเรือง ยศถาบรรดาศักดิ์มาสู่ชีวิตหน้าที่การงาน

๔. ปกป้องคุ้มครอง ป้องกันภัยเป็นคงกระพัน

๕. เป็นเมตตามหานิยม

๖. นำความร่มเย็นเป็นสุขมาให้

๗. ทำมาค้าขายดีเป็นสื่อนำโชคลาภนานาประการ

๘. สัตว์ร้าย เขี้ยวงาสารพัด งูเงี้ยวเขี้ยวขอ อสรพิษไม่กล้ากล้ำกรายเข้าใกล้ เพราะเกรงตบะบารมีขององค์พญาครุฑเป็นที่สุด

อำนาจพญาครุฑยังมีมากกว่านี้อีกมาก แล้วแต่ท่านใดจะรู้จักใช้ ในตำราทางไสยเวทพุทธาคมมีทั้งการใช้ยันต์ครุฑให้ผลดีในทางคงกระพันชาตรี มีนะพญาครุฑใช้ลงตบเข้าหน้าผากเป็นคงกระพันชาตรีกันเขี้ยวงาอสรพิษได้ ทั้งนะพญาครุฑนี้เมื่อประสิทธิ์ลงไปยังตัวคนผู้ใดแล้วยังสามารถทรหดอดทน เดินไกลไม่เหนื่อย เป็นวิชาตัวเบาชั้นยอด และเป็นเมตตามหานิยมชั้นสูงอีกด้วย ยังมีคาถาพญาครุฑซึ่งเมื่อกล่าวพระคาถานี้งูพิษรวมไปจนถึงตะขาบแมงป่องและสัตว์ร้ายต่าง ๆ ทั้งหลายจะหลบหนีไปสิ้นโดยพระคาถาพญาครุฑท่านว่าดังนี้

?โอมพญาครุฑจะเห็นผล หลีกไปให้พ้น พญาหนจะเดินทาง เคาะงอ เคาะงอ?

ก่อนว่าพระคาถานี้ให้นมัสการพระรัตนตรัยเสียก่อนด้วยนะโม ๓ จบและท่องพระคาถานี้ก่อนออกเดินทางตั้งสติส่งจิตไปถึงพญาครุฑจะปลอดภัยทุกประการ

สักการะให้ถูกวิธี

การบูชาพญาครุฑประกอบกับพยาปักษาชาติอันมีฤทธิ์ทั้งหลายนั้น ท่านให้สักการะคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จากนั้นให้ตั้งจิตระลึกถึงพญาครุฑท่าน ด้วยการทำสมาธิภาวนาเป็นสื่อถึงองค์พญาครุฑว่า ?ครุฑโธ? จนจิตสงบหรือระลึกชื่อ พญาวายุภักษ์ หรือ ท่องคำว่า ?การะวิโก? อันเป็นคาถาหัวใจพญาการเวกก็ว่าได้ จากนั้นเมื่อเห็นว่าจิตสงบลงบังเกิดเสียงนกร้องระงม จากบริเวณที่มีนกอยู่ใกล้ ๆ จนบางครั้งอาจมีนกมาบินเวียนวนอยู่เป็นทักษิณาวัตรอย่างน่าอัศจรรย์ หรือมีฝูงนกมาทานอาหารที่เราเซ่นไหว้ อาการเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าเป็นศุภมงคลอย่างประเสริฐแล้ว สื่อให้เห็นว่าจิตเราพิธีกรรมเราที่ตั้งถึงองค์พญาครุฑและเหล่าพญาปักษาชาติทั้งหลายอันมีฤทธิ์นั้นท่านรับรู้แล้ว และท่านทั้งหลายจะช่วยเหลือเราอย่างสุดวามสามารถโดยตลอด

พญานกกับสมถกรรมฐาน

พญานกอย่างพญาครุฑ พญาวายุภักษ์ พญาครุฑ หรือเอกสารที่มีสัญลักษณ์ของพญาครุฑอยู่เพียงเท่านี้ก็เท่ากับว่าท่านมีความเคารพเป็นการบูชาพญาครุฑอย่างหนึ่งไปในตัวและที่สำคัญคือการเคารพต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อันเป็นการปฏิบัติบูชาต่อพญาครุฑโดยตรงเชื่อแน่ว่าองค์พญาครุฑที่อยู่ในเครื่องหมายราชการ ย่อมปกปักรักษาท่านอย่างแน่นอน และหากท่านหวังผลอย่างยิ่งในการบูชาก็ลองทำกรรมฐานในข้ออาณาปานสติดูเถิดเชื่อแน่ว่าท่านย่อมสามารถส่งจิตถึงองค์พญาครุฑและเหล่าบรรดาเหล่าปักษาชาติทั้งปวงได้แน่นอนครับ



[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

434
เสือ อำนาจสุดๆๆ? หงษ์ เสน่ห์ สุดๆ ;D


435
? ?ตัวผมเอง สวด คาถา? นี้... ฝันว่า---ตัวเองตาย? บ่อย มาก ๆ จิงนะเพิ่งจาเปนเมื่อนี่เอง เพราะผมเพิ่งจะเริ่มสวด


          ถ้าฝันว่า---ตัวเองตาย  จะหมดเคาระห์ และจะได้ลาภติดกันมา

436
ผมเดาว่า ชินบัญชร อ่ะครับ? ???


ถูกครับ

พระคาถาชินบัญชร







ชะยาสะนากะตา พุทธา
 เชตะวา มารัง สะวาหะนัง
 
จะตุสัจจาสะภัง ระสัง
 เย ปิวิงสุ นะราสะภา
 
ตัณหังกะราทะโย พุทธา
 อัฎฐะวีสะติ นายะกา
 
สัพเพ ปะติฎฐิตา มัยหัง
 มัตถะเก เต มุนิสสะรา
 
สีเส ปะติฎฐิโต มัยหัง
 พุทโธ ธัมโม ทะวิโรจะเน
 
สังโฆ ปะติฎฐิโต มัยหัง
 อุเร สัพพะคุณากะโร
 
หะทะเย เม อะนุรุทโธ
 สารีปุตโต จะ ทักขิเณ
 
โกณฑัญโญ ปิฎฐิภาคัสมิง
 โมคคัลลาโน จะ วามะเก
 
ทักขิเณ สะวะเน มัยหัง
 อาสุง อานันทะราหุโล
 
กัสสะโป จะ มะหานาโม
 อุภาสุง วามะโสตะเก
 
เกสะโต ปิฎฐิภาคัสมิง
 สุริโย วะปะภังกะโร
 
นิสินโน สิรสัมปันโน
 โสภิโต มุนิปุงคะโว
 
กุมาระกัสสะโป เถโร
 มะเหสี จิตตะวาทะโก
 
โส มัยหัง วะทะเน นิจจัง
 ปะติฎฐาสิ คุณากะโร
 
ปุณโณ อังคุลิมาโล จะ
 อุปาลี นันทะสีวะลี
 
เถรา ปัญจะ อิเม ชาตา
 นะลาเต ตีละกา มะมะ
 
เสสาสีติ มะหาเถรา
 วิชิตา ชินะสาวะกา
 
เอเตสีติ มะหาเถรา
 ชิตะวันโต ชิโนระสา
 
ชะลันตา สีละเตเชนะ
 อังคะมังเคสุ สัณฐิตา
 
ระตะนัง ปุระโต อาสิ
 ทักขิเณ เมตตะสุตตะกัง
 
ธะชัคคัง ปัจฉะโต อาสิ
 วาเม อังคุลิมาละกัง
 
ขันธะโมระ ปะริตตัญจะ
 อาฎานาฎิยะสุตตะกัง
 
อากาเส ฉะทะนัง อาสิ
 เสสา ปาการะสัณฐิตา
 
ชินา นานาวะระสังยุตตา
 สัตตัปปาการะลังกะตา
 
วาตะปิตตาทิสัญชาตา
 พาหิรัชฌัตตุปัททะวา
 
อะเสสา วินะยัง ยันตุ
 อะนัตตะชินะเตชะสา
 
วะสะโต เม สิกิจเจนะ
 สะทา สัมพุทธะปัญชะเร
 
ชินะปัญชะระมัชฌัมหิ
 วิหะรันตัง มะหีตะเล
 
สัทธา ปาเลนตุ มัง สัพเพ
 เต มะหาปุริสาสะภา
 
อิจเจวะมันโต สุคุตโต สุรักโข
 ชินานุภาเวนะ ชิตุปัททะโว
 
ธัมมานุภาเวนะ ชิตาริสังโค
 สังฆานุภาเวนะ ชิตันตะราโย
 
สัทธัมมานุภาวะปาลิโต
 จะรามิ ชินะปัญชะเรติฯ



 


 


437
บทความ บทกวี / อย่าปลงใจเชื่อ
« เมื่อ: 08 เม.ย. 2550, 01:51:18 »
กาลามสูตร

อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา

(มา อนุสฺสเวน)


อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆ กันมา

(มา ปรมฺปราย)

อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ

(มา อิติกิราย)

อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์

(มา ปิฏกสมฺปทาเนน)

อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก

(มา ตกฺกเหตุ)

อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน

(มา นยเหตุ)

อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล

(มา อาการปริวิตกฺเกน)

อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว

(มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา)

อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้

(มา ภพฺพรูปตาย)

อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา

(มา สมโณ โน ครูติ)

แต่หากประจักษ์ด้วยตนเองอย่างชัดแจ้งแท้จริงแล้ว จึงค่อยปลงใจเถิด ว่าจะเชื่อหรือไม่
http://www.palungjit.com/board/showthread.php?t=46740

438
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา อาณาจักรที่รุ่งเรืองที่สุดอีกยุคสมัยหนึ่งของไทยเรา พบว่า มีการตราบทลงโทษขั้นรุนแรงที่สุดคือ โทษประหารชีวิตเอาไว้ในพระไอยการกระบถศึก ซึ่งเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 และมีการแก้ไขเพิ่มเติมในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ก่อนจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมอีกครั้งในสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ แต่กฎหมายฉบับนี้มิได้มีการแก้ไขในบทลงโทษความผิดขั้นประหารชีวิตและวิธีการประหารชีวิตเลยแม้แต่น้อย
คือยังคงลักษณะเดิมไว้แต่ครั้งการตราขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 ทุกประการ

วิธีการประหารชีวิตตามพระไอยการกระบถศึก บันทึกและอธิบายเอาไว้อย่างละเอียดถึงวิธีการลงโทษประหาร 21 วิธีหรือ 21 สถาน ดังนี้

- สถาน 1 คือ ให้ต่อยกระบานศีศะ (กบาลศีรษะ) เลิกออก (เปิดออก) เสียแล้ว เอาคีมคีบก้อนเหล็กแดงใหญ่ใส่ลงไปในมันสะหมอง (มันสมอง) ศีศะพลุ่งฟู่ขึ้นดั่งม่อ (หม้อ) เคี่ยวน้ำส้มพะอูม

- สถาน 2 คือ ให้ตัดแต่หนังจำระ (จาก) เบื้องหน้าถึงไพรปากเบื้องบนทั้งสองข้างเป็นกำหนด ถึงหมวกหู (ใบหู) ทั้งสองข้างเป็นกำหนด ถึงเกลียวคอชายผมเบื้องหลังเป็นกำหนด (หนังบริเวณคอถึงท้ายทอย) แล้วให้มุ่นกระหมวดผมเข้าทั้งสิ้น (ม้วนเข้าหากัน) เอาท่อนไม้สอดเข้าข้างละคน โยกคลอนสั่นเพิกหนังทั้งผมนั้นออกเสียแล้วเอากรวดทรายหยาบขัดกระบานศีศะชำระให้ขาวเหมือนพรรณศรีสังข์

- สถาน 3 คือ ให้เอาขอเกี่ยวปากให้อ้าไว้ แล้ให้ตามประทีบ (ดวงไฟ) ไว้ในปาก ไนยหนึ่ง (นัยหนึ่ง) เอาปากสิวอันคมนั้นแสะแหวะผ่าปากจนหมวกหู (ใบหู) ทั้งสองข้าง แล้วเอาขอเกี่ยวให้อ้าปากไว้ให้โลหิตไหลออกเต็มปาก

- สถาน 4 คือ เอาผ้าชุบน้ำมันพันให้ทั่วร่างกายแล้วเอาเพลิงจุด

- สถาน 5 คือ เอาผ้าชุบน้ำมันพันนิ้วทั้งสิบนิ้วแล้วเอาเพลิงจุด

- สถาน 6 คือ เชือดเนื้อให้เป็นแรงเป็นริ้วอย่าให้ขาดจากกัน ตั้งแต่ใต้คอลงไปถึงข้อเท้าแล้วเอาเชือกผูกจำ ให้เดินเหยียบริ้วเนื้อริ้วหนังแห่งตน ให้ฉุดคร่าตีจำให้เดินไปกว่าจะตาย

- สถาน 7 คือ เชือดเนื้อให้เนื่องด้วยหนังเป็นแร่งเป็นริ้ว ตั้งแต่ใต้คอลงมาถึงเอวและให้เชือดตั้งแต่เอวให้เนื่องด้วยหนังเป็นแร้งเป็นริ้วลงมาถึงข้อเท้ากระทำหนังเบื้องบนให้คลุมลงมาเหมือนนุ่งผ้า

- สถาน 8 คือ ให้เอาห่วงเหล็กสวมข้อศอกทั้งสองข้าง ข้อเข่าทั้งสองข้างให้มั่นแล้วเอาหลักสอดในวงเหล็กแย่งขึงตรึงลงไว้กับแผ่นดินอย่าให้ไหวตัวได้ แล้วเอาเพลิงรน (ลน) ให้รอบตัวจนกว่าจะตาย

- สถาน 9 คือ ให้เอาเบ็ดใหญ่ที่มีคมสองข้างเกี่ยวทั่วร่างเพิก (เปิด) หนังเนื้อและเอ็นน้อยใหญ่ให้หลุดขาดออกมาจนกว่าจะตาย

- สถาน10 คือ ให้เอามีดที่คมเชือดเนื้อให้ตกออกจากกายแต่ทีละตำลึง(นำเนื้อมาชั่งให้ได้น้ำหนักหนึ่งตำลึง:มาตราวัดสมัยโบราณ) จนกว่าจะสิ้นมังสา (เนื้อ)

- สถาน 11 คือ ให้แล่สับทั่วร่างแล้ว เอาแปรงหวีชุบน้ำแสบกรีดครูดขูดเสาะหนังและเนื้อแลเอ็นน้อยใหญ่ให้ลอกออกให้สิ้นให้อยู่แต่ร่างกระดูก

- สถาน 12 คือ ให้นอนลงโดยข้างๆ หนึ่งแล้วให้เอาหลาวเหล็กตอกลงไปโดยช่องหูให้แน่นกับแผ่นดินแล้วจับขาทั้งสองข้างหมุนเวียนไปดังบุคคลทำบังเวียน (เวียนเทียน)

- สถาน 13 คือ ทำมิให้หนังพังหนังขาด แล้วเอาลูกสีลา (ลูกหิน) บดทุกกระดูกให้แหลกย่อย แล้วรวบผมเข้าทั้งสิ้น ยกขึ้นหย่อนลงกระทำให้เนื้อเป็นกองเป็นลอม
แล้วพับห่อเนื้อหนังกับทั้งกระดูกนั้นทอดวางไว้ดั่งตั่งอันทำด้วยฟางซึ่งเอาไว้เช็ดเท้า

- สถาน 14 คือ ให้เคี่ยวน้ำมันให้เดือดพลุ่งพล่าน แล้วลาดสาดลงมาแต่ศีศะ (ศีรษะ) จนกว่าจะตาย

- สถาน 15 คือ ให้กักขังสุนัขร้ายทั้งหลายไว้ อดอาหารหลายวันให้เต็มอยากแล้วปล่อยให้กัดทึ้งเนื้อหนังกินให้เหลือแต่ร่างกระดูกเปล่า

- สถาน 16 คือ ให้เอาขวานผ่าอกทั้งเป็นแหกออกดั่งโครงเนื้อ

- สถาน 17 คือ ให้แทงด้วยหอกทีละน้อยๆ จนกว่าจะตาย

- สถาน 18 คือ ให้ขุดหลุมฝังเพียงเอว แล้วเอาฟางปกลงคลุมร่างก่อนคลอกด้วยเพลิงพอหนังไหม้แล้วไถด้วยไถเหล็ก ให้เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่เป็นริ้วน้อยริ้วใหญ่

- สถาน 19 คือ ให้เชือดเนื้อล่ำออกทอดด้วยน้ำมัน เหมือนทอดขนมให้กินเนื้อตัวเองจนกว่าจะตาย

- สถาน 20 คือ ให้ตีด้วยตะบองสั้นตะบองยาวจนกว่าจะตาย

- สถาน 21 คือ ตีด้วยหวายที่มีหนามจนกว่าจะตาย

*****น่ากลัวจัง ***แต่บางอย่างก็น่ามาใช้กะมนุษย์สมัยนี้จัง**** 


439
ในวันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๕ เวลา ๑๐.๕๕ น. ณ โรงพยาบาลศิริราช หลวงพ่อได้ละสังขารด้วยอายุ ๗๙ ปี ๕๔ พรรษา ยังความอาลัย เศร้าโศก เสียใจแก่ปุถุชนจิต แต่ได้แสดงให้เห็นถึงมรณัสสติแก่ศิษยานุศิษย์ คุณงามความดีที่ท่านได้กระทำไว้ในพระพุทธศาสนามากมาย จะเป็นตำนานแห่งแผ่นดินไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม เป็นเครื่องเตือนสติให้พุทธศาสนิกชนได้รู้จักและปฏิบัติสืบสานกันต่อไป.


           

อนุโมทนาสาธุ ครับ คุณโยคี     

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

440
อนุโมทนาสาธุ

441
ครูบากองแก้ว วัดต้นยางหลวง จ. เชียงใหม่ fficeffice" />>>
ครูบาขาวปี วัดพระพุทธบาทผาหนาม จ.ลำพูน>>
ครูบาธรรมชัย วัดท่งหลวง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่>>
ครูบาอินสม วัดทุ่งน้อย ต.บ้านโป่ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่>>
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม จ.ชัยนาท>>
หลวงพ่อกัน วัดเขาแก้ว จ.นครสวรรค์>>
หลวงพ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนาราม จ.ระยอง>>
หล่วงพ่อเกลื่อม ฐานิสสโดร วัดคคาวดี ต.ปากแพรก อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช>>
หล่วงพ่อเกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์ จ.ลำปาง>>
หลวงพ่อเกษม วัดม่วงครับ จ.อ่างทอง>>
หลวงพ่อแก้ว วัดโคกโดน อ.ควนขนุน จ.พัทลุง>>
หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว จ.สุพรรณบุรี >>
หล่วงพ่อเขียว วัดหรงบน อ.ปากพนัง จ.นครศรธรรมราช>>
หลวงพ่อคง วัดเขาสมโภชน์ จ.ลพบุรี>>
หลวงพ่อครื้น วัดสังโฆ จ.สุพรรณบุรี >>
หล่วงพ่อคล้อย วัดถ้ำเขาเงิน อ.หลังสวน จ.ชุมพร>>
หล่วงพ่อคล้าย วาจาศิษย์ วัดสวนขัน จ.นครศรีธรรมราช>>
หล่วงพ่อคลิ้ง วัดถลุงทอง จ.นครศรีธรรมราช>>
หล่วงพ่อคำคะนิง จุลมณี แห่งวัดถ้ำคูหาสวรรค์ ภาคอิสาน จังหวัด จ.อุบลราชธานี>>
หล่วงพ่อคำมี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ อ.เมือง จ.ลพบุรี >>
หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม นครปฐม แต่สงสัยว่าจะเผาไปแล้ว>>
หลวงพ่อจ่าง วัดเขื่อนเพชร จ.เพชรบุรี>>
หล่วงพ่อเจริญ วัดตาลานใต้ อ.ผักไห่ จ.อยุธยา>>
หลวงพ่อเจริญ ติสสวัณโณ วัดเขาวงกต ต.สนามแจง อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี>>
หล่วงพ่อแจ้ง วัดใหม่สุนทร จ. นครราชสีมา>>
หล่วงพ่อใจ ฐิตธัมโม วัดหนองหญ้าปล้องใต้ ต.ไก่เส่า อ.หนองแซง จ.สระบุรี>>
หลวงพ่อชื่น วัดถำ้เสือ จ.กาญจนบุรี>>
หลวงพ่อซวง วัดชีปะขาว ต.พระงาม อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี>>
หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ จ.เพชรบุรี>>
หลวงพ่อแดง วัดคุณาราม(เขาโปะ) เกาะสมุย จ.สุราษฏร์ธานี>>
หล่วงพ่อแดง วัดเชิงเขา จ. นราธิวาส>>
หลวงพ่อแดง วัดทองดีประชาราม สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส>>
หลวงพ่อตาบ วัดมะขามเรียง ดอนพุด จ.สระบุรี>>
หล่วงพ่อตี๋ วัดหลวงราชาวาส จ.อุทัยธานี>>
หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม>>
หลวงพ่อทบ วัดช้างเผือก เพชบูรณ์>>
หล่วงพ่อทรัพย์ วัดบ้านงิ้ว จ.ชลบุรี อ.พานทอง จ.ชลบุรี>>
หลวงพ่อท้วม วัดเขาโบสถ์ อยู่ในโลงแก้ว>>
หล่วงพ่อทอง วัดถ้ำทอง ต.ชอนเดื่อ อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ >>
หล่วงพ่อทอง วัดทุ่งสามัคคีธรรม อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี>>
หล่วงพ่อทอง วัดป่ากอ จ.สงขลา>>
หล่วงพ่อทอง วัดราชโยธา แต่เผาท่านครับ กรุงเทพฯ>>
หล่วงพ่อทองทิพย์ วัดป่าสีดาพระรามลักษณ์ จ.หนองคาย >>
หลวงพ่อทองใบ วัดคลองมะดัน(วัดเดียวกับหลวงพ่อโหน่ง) อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี>>
หลวงพ่อทองใบ วัดอบทม อำเภอวิเศษไชยชาญ จ.อ่างทอง>>
หล่วงพ่อนพ ภูวริ วัดมหาพฤฒาราม กรุงเทพฯ>>
หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา นครปฐม>>
หล่วงพ่อน้อย วัดบ้านปง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่>>
หลวงพ่อนารถ วัดศรีโลหะฯ จ.กาญจนบุรี>>
หล่วงพ่อนำ วัดดอนศาลา จ.พัทลุง>>
หลวงพ่อนิพนธ์ อัตถกาโม วัดจั่นเจริญศรี อ.สรรค์บุรี จ.ชัยนาท>>
หล่วงพ่อนิล อิสสโร วัดครบุรี จ.นครราชสีมา>>
หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี สมุทรสงคราม>>
หลวงพ่อบุญมี วัดเขาสมอคอน จ.ลพบุรี>>
หลวงพ่อบุญเหลือ วัดเขาตะกร้าทอง จ.ลพบุรี>>
หล่วงพ่อบุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุข อ.บางระจัน จ.สิงหบุรี>>
หล่วงพ่อแบน วัดมโนธรรมการาม(วัดนางโน) จ.กาญจนบุรี>>
หลวงพ่อใบ วัดอัมพวัน อ.สองพี่น้อง จ. สุพรรณบุรี >>
หล่วงพ่อปัญญา คันธิโย วัดนาคตหลวง อ.แม่ทะ จ.ลำปาง>>
>>หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ นครปฐม
หลวงพ่อเปียกวัดนาสร้าง อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร>>
หล่วงพ่อพรหม วัดช่องแค จ.นครสวรรค์>>
หลวงพ่อพรหม วัดนาราเจริญสุข อ.เกาะสมุย จ.สุราษฏร์ธานี>>
หล่วงพ่อพรหมมา สำนักสวนหินผานางคอย จ.อุบลราชธานี>>
หลวงพ่อพัฒน์ นารโท วัดพัฒนาราม(ใหม่บ้านดอน) อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี >>
หลวงพ่อพันธ์ วัดบางสะพาน อ.วังทอง จ.พิษณุโลก>>
หลวงพ่อพุฒ วัดกลางบางพระ >>
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสารวัล จ.นครราชสีมา>>
หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม>>
หล่วงพ่อเพิ่ม วัดกลางบางแก้ว นครปฐม>>
หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี>>
หล่วงพ่อโพธิ์แจ้ง วัดโพธิ์แมน กรุงเทพฯ>>
หลวงพ่อเภา วัดเขาวงกต อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี>>
หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ อ.สามชุก จ. สุพรรณบุรี>>
หลวงพ่อมุ่ย วัดป่าระกำเหนือ จ.นครศรีธรรมราช>>
หล่วงพ่อเมฆ วัดป่าขวางปางพระเลไลย์ อ.สิงหนคร จ.สงขลา>>
หล่วงพ่อเมฆ วัดลำกระดาน นนทบุรี>>
หลวงพ่อเม้ย วัดราชเมธีงกร ราชบุรี ไม่เน่า แต่เผ่า>>
หลวงพ่อยวง วัดทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ >>
หลวงพ่อยี วัดดงตาก้อนทอง จ.พิษณุโลก ไม่รู้เผาไปหรือยัง>>
หล่วงพ่อเย็น วัดสระเปรียญ จ.ชัยนาท>>
หลวงพ่อเริ่ม ปรโม วัดจุกกะเฌอ ศรีราชา จ.ชลบุรี>>
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี>>
หลวงพ่อลี วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ>>
หลวงพ่อวงศ์ วัดปริวาส กรุงเทพฯ>>
หล่วงพ่อวงศ์ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน>>
หลวงพ่อวัด ประชาโฆษิตาราม จ.สมุทรสาคร>>
หล่วงพ่อสงฆ์ วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย จ.ชุมพร>>
หลวงพ่อสง่า วัดหนองม่วง/วัดบ้านหม้อ>>
หลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ กรุงเทพฯ>>
หล่วงพ่อสด วัดโพธิ์แดงใต้ อยุธยา>>
หลวงพ่อสมควร วัดถือน้ำ จ.นครสวรรค์>>
หลวงพ่อสัมฤทธิ์ วัดถ้ำแฝด จ.กาญจนบุรี>>
หลวงพ่อสาย วัดจันทร์เจริญสุข สมุทรสงคราม>>
หลวงพ่อสาย วัดท่าขนุน จ.กาญจนบุรี>>
หล่วงพ่อสาย วัดบางรักใหญ่ บางบัวทอง นนทบุรี>>
หล่วงพ่อสาย วัดหนองสองห้อง จ.สมุทรสาคร >>
หล่วงพ่อสิงห์ วัดแก้วโกรวาราม จังหวัดกระบี่>>
หล่วงพ่อสี วัดถ้ำเขาบุนนาค อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ >>
หล่วงพ่อสืบ อนุจาโร วัดกุฎีทอง ต.พิตเพียน อ.มหาราช จ.พระนครศรีอยุธยา >>
หล่วงพ่อสุวัฒ วัดศรีทวีป จ.สุราษฏร์ธานี >>
หล่วงพ่อเสน อาจารย์ของหลวงปู่ชื้น วัดญาณเสน อยุธยา นั่งมรณะที่ถ้ำสระบุรี ศพไม่เน่า พอนำศพท่านเผา เส้นผมกลายเป็นทองคำ >>
หล่วงพ่อไสย์ วัดเทพเจริญ จ.ชุมพร>>
หลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม นครปฐม>>
หล่วงพ่อหมุน ฐิตสีโล วัดบ้านจาน จ.ศรีสะเกษ>>
หลวงพ่อหยอด วัดแก้วเจริญ>>
หล่วงพ่อหล้า ตาทิพย์ วัดป่าตึง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่>>
หล่วงพ่อหิน อาโสโก วัดหนองนา อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี>>
หล่วงพ่อเหมือน วัดคลองทรายใต้ จ.สระแก้ว>>
หลวงพ่อแหวง วัดคึกคัก จังหวัดพังงา>>
หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน อยุธยา แต่ลูกศิษย์ดันเผาครับ>>
หล่วงพ่อโหพัฒน์ โรงเจชุ่นเทียนติ้ว หลังตลาดท่าเรือ อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี>>
หล่วงพ่ออิง อายุ118ปี สำนักปฏิบัติธรรมคงคำโคกทม จ.บุรีรัมย์>>
หล่วงพ่ออิน อินโท วัดฟ้าหลั่ง - วัดทุ่งปุย อายุ 101 ปี จ.เชียงใหม่>>
หลวงพ่ออินทร์ วัดเกาะหงส์ จ.นครสวรรค์>>
หลวงพ่อแอ๋ว วัดหัวเมือง จังหวัดอุทัยธานี>>
หลวงพ่อโอ๊ด วัดโกสินาราย อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี>>
หลวงพ่ออุตตมะ (พระราชอุดมมงคล) อ.สังขละ จ.กาญจนบุรี>>

เฉพาะในยุคปัจจุบันนะครับ แล้วยังมีอีกนะครับที่ผมไม่ทราบ

442
พระเจ้าองค์เดียวกัน

คืออะไรครับ ศาสนาพุทธก็ไม่ได้สอนเรื่องพระเจ้าสร้างโลกเช่นกัน

ความจริงในธรรมชาตินั้นมีอยู่แล้วคือไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน ถ้าพระเจ้าสร้างโลก ทำไมไม่สร้างให้คงทนถาวร สงบสุขไปเลย ทำไมไม่สร้างมนุษย์ที่ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

ถ้ามีพระเจ้าแล้วใครสร้างพระเจ้า?

ทุกศาสนาล้วนสอนให้คนเป็นคนดี ก็ไม่น่าแปลกที่คำสอนบางอย่างจะเหมือนกัน แต่ละศาสนามีที่มามีประวัติศาสตร์แตกต่างกันไป ก็ไม่แปลกอีกที่คำสอนบางอย่างจะต่างกัน

แต่ที่แน่ ๆ ความสงบสุขจะบังเกิดเมื่อทุกคนปฏิบัติตามหลักคำสอนที่แท้จริงของศาสนาที่ตนนับถือ

443
อวสานแห่งศาสนาทั้งปวง

--------------------------------------------------------------------------------

http://thai.mindcyber.com/modules.ph...iewtopic&t=142

::: อวสานแห่งศาสนาทั้งปวง :::
พี่น้องที่รักทุกท่าน เชื่อว่าท่านทั้งหลายเป็นผู้ที่นับถือศาสนา ไม่ว่า จะนับถือศาสนาเดียว หรือ หลายศาสนา
น้อยคนนัก ที่มิได้นับถือศาสนาใดๆ

แต่ท่านเชื่อหรือไม่ว่าในวันนี้ ในยุคนนี้ ศาสนาทั้งหลาย ที่ ผู้คน ต่าง นับถือ ปฏิบัติตาม กันนั้น ได้หมด วาระหรือ หมดยุคแล้ว
นั้น หมายถึง การนับถือ ศาสนาใดๆก็ตามไม่สามารถ นำพามนุษย์ ไปสู่ความรอดพ้น หรือการหลุดพ้น
หรือความสำเร็จตามจุดมุ่งหมาย ของแต่ละศาสนาได้เลย

จุดมุ่งหมาย หรือ เป้าหมาย ของแต่ละศาสนา หากจะมองอย่างผิวเผิน อาจเห็นว่า แตกต่างกันแต่หาก พิจารณา ให้ละเอียด ลึกซึ้ง จะพบว่า ศาสดาทั้งหลายที่สอนผู้คนในแต่ละยุค มีจุดมุ่งหมายที่จะนำพามนุษย์ ไปสู่จุดหมายเดียวกัน
แต่อาจจะเรียกแตกต่างกันเท่านั้น เช่น

- พุทธศาสนา สอนให้ผู้คนบรรลุวิมุติ หรือ นิพพาน

- ศาสนาพราหมณ์ สอนให้ผู้คน บรรลุ โมกษะ หรือ เป็น หนึ่งเดียว กับ พรหม

- ศาสนาคริสต์สอนให้ ผู้คน ได้รับชีวิต นิรันด์ อยู่กับ พระเจ้า

- ศาสนาอิสลาม สอนให้ผู้คน ศรัทธา และ ปฏิบัติ เพื่อจะได้รับสวรรค์ ณ พระผู้เป็นเจ้า

- ศาสนาเต๋า สอนให้ผู้คน เป็นหนึ่งเดียวกับ เต๋า

เหล่านี้เป็นต้น

แม้ว่าการบรรลุ ชั้นสูงสุด ของแต่ละศาสนา จะเรียกแตกต่างกันไป แต่โดยความจริง แล้ว คือ จุดอันเดียวกันคือ สิ่งสูงสุด
ซึ่ง

พุทธ เรียกว่า "ธรรม" แปลว่า "ความจริงแท้"
พราหมณ์ เรียกว่า "พรหม" แปลว่า "สิ่งที่ยิ่งใหญ่ ที่สุด"
คริสต์ เรียกว่า "ยะโฮวา" และ "เอลลา" หมายถึง "พระเจ้า"
อิสลามเรียกว่า "อัลลอฮ" แปลว่า "พระผู้เป็นเจ้า"

ในความจริง สิ่งสูงสุด ดังกล่าวนี้ เป็น อันเดียวกัน กล่าวคือ คำว่า "พุทธ" แปลว่า "ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน"
หมายถึงผู้รู้ใน "ธรรม" คำว่า "ธรรม" แปลว่า "ความจริง" ตรงกับ ภาษา อาหรับ คือ คำว่า "อัลฮัก" คำว่า "อัลฮัก" เป็นนามหนึ่ง ของ "อัลลอฮ" คำว่า "อัลลอฮ" แปลว่า "พระผู้เป็นเจ้า" ตรงกับ ภาษา ฮิบรู ที่เรียกว่า "เอลลา" และ "ยะโฮวา"

คำว่า "ยะโฮวา" หมายถึง "พระเจ้า"
คำว่า "พระเจ้า" เป็นคำที่มีความหมายเดียวกับ คำว่า "พรหม"
คำว่า "พรหม" มาจากคำว่า "ปรมาตมัน" แปลว่า "ตัวตนที่ยิ่งใหญ่"
เป็นคำ ผสม ระหว่าง คำว่า ปรมะ + อาตมัน
คำว่า ปรมะ(ปรม) หรือ บรมะ(บรม) หรือ พรมะ แปลว่า "ใหญ่" หรือ "ยิ่งใหญ่ เกรียงไกร"
ภาษาไทย เรียก ว่า "พระ" แปลว่า "ยิ่งใหญ่"
คำว่า "อาตมัน" หรือ "อัตตา" แปลว่า "ตัวตน"
ดังนั้น คำว่า "พระเจ้า" มาจาก คำว่า พระ + เจ้า
คำว่า พรหม มาจาก พรมะ + อัตตา
คำว่า พระเจ้า หมายถึง ผู้ที่เป็นเจ้าที่ยิ่งใหญ่
คำว่า พรหม หมายถึง ผู้ที่ยิ่งใหญ่
คำว่า พระเจ้า ตรง กับ ภาษาอาหรับ คือ คำว่า อิลาฮ
คำว่า พระเจ้าองค์เดียวนั้น ตรงกับ ภาษาอาหรับ คือ คำว่า อัลลอฮ


อัลลอฮ นั้นมีนามอยู่ มากมาย ตามคำสอน ของท่านศาสดามุฮัมหมัด และนามหนึ่งของ อัลลอฮ คือ คำว่า "อัลอาลีม" แปลว่า ผู้ทรงรู้อย่างมากมายตรงภาษาบาลีสันสกฤต คือ คำว่า "บุดดา" หรือ "พุทธ" นั่นเองและอัลลอฮ มีนามอีกว่า "อัลอะซีม" แปลว่า "ผู้ทรงยิ่งใหญ่"ตรงกับภาษา บาลีสันสกฤต คือ คำว่า "พรหม"คำว่า บุดดา หรือ พุทธ ณ ที่นี้ มิได้หมายถึง ตัวบุคคลแต่หมายถึง ภาวะ ของบุคคลที่บรรลุ ถึง ธรรม หรือ บรรลุ อรหันต์ พระพุทธเจ้า ที่นิกาย เถรวาท ที่คนไทย ส่วนใหญ่นับถือนั้น มีนามว่า "สิทธัตถะ"ไม่ได้มีนามว่า "พุทธเจ้า" แต่เมื่อท่านสิทธัตถะ บรรลุ ถึง ธรรม จึงเรียกว่า บุดดา หรือ พุทธะ

คำว่า " พรหม " ก็ไม่ได้ หมายถึงตัวบุคคล แต่หมายถึงความจริง อันเป็นสิ่งสูงสุด อยู่ในสภาวะ วิญญาณ หมายถึง สิ่งที่ตรงข้ามกับ วัตถุ อันเป็น วิญญาณ สากล คือเป็นวิญญาณ ที่ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง (ตามคำภีร์ เวทันตะ หรือ อุปนิษัท อันเป็น รากฐาน ของพุทธศาสนา) ซึ่งตรงกับคำสอน ของพระเยซู ที่กล่าวว่า "พระเจ้า ทรงเป็๋น วิญญาณ"

คำว่า พระเจ้า , พรหม คือ ภาวะแห่งวิญญาณ สากล ซึ่งการบรรลุ ถึงนั้น คือ การบรรลุ ทางจิตวิญญาณ ผู้ที่บรรลุ ถึง พระเจ้า ถึงพรหม ถึงพุทธ จะเป็นผู้ที่รู้ ถึงแก่นธรรม เป็นผู้ที่ตื่น เป็นผู้ที่เบิกบานไร้ทุกข์ คือ นิพพาน เป็นผู้ที่ไม่ตายในทางจิตวิญญาณ จึงเป็นที่ได้รับชีวิตนิรันด์เป็นสภาพของผู้ที่อยู่ในสวรรค์ หรือ อาณาจักรแห่งพระเจ้า



แต่ พี่น้องที่รักทั้งหลาย เชื่อว่า ท่านทั้งหลาย คือ ผู้ที่นับถือศาสนา ใดศาสนาหนึ่ง หรือมากกว่าหนึ่ง และ ณ วันนี้ หากท่านนับถือ พุทธศาสนา อยากทราบว่า ศาสนาพุทธ นำท่านสู่ นิพพาน หรือยัง? หากท่านนับถือ คริสตศาสนา ศาสนาคริสต์ นำท่านสู่ อาณาจักรแห่งพระเจ้าอันเป็นชีวิตนิรันด์แล้ว หรือยัง? หากท่านนับถือ ศาสนาอิสลาม ศาสนาอิสลาม นำท่านสู่ สวรรค์ แล้ว หรือยัง? หากท่านนับถือ ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาพราหมณ์ นำท่านสู่ โมกษะแห่งพรหม แล้ว หรือยัง?

คำตอบ คือ ยัง ! และไม่มีทางที่ศาสนาของท่าน จะนำท่านสู่เป้าหมาย ของศาสนาท่านได้อีกแล้ว

หากท่านว่าไม่จริง แล้วความจริง คือ ภิกษุสงฆ์ท่านใด ที่ บรรลุนิพพานแล้ว หากท่านเป็นฆราวาทท่านย่อมอยู่ ห่าง จากนิพพานอีกไกลโข แม้แต่ภิกษุสงฆ์ ยังไปไม่ถึง ผู้ที่กำลังเดินทาง แสวงหา(สงฆ์)ยังไปไม่ถึงแล้วผู้ที่อยู่กับที่ (ฆราวาท)จะไปถึง ได้อย่างไร

แต่ภาพที่ปรากฏในปัจจุบัน คือ ทั้งสงฆ์ และฆราวาท ยังเป็นผู้ที่ ครอบครอง ทรัพย์ เกียรติ อันมากมาย และยังอยู่ในกิเลส ซึ่งเป็นสิ่งที่กีดขวางการบรรลุนิพพานและสุดท้าย คือ การยึดอยู่กับ กลุ่ม , พวก, ลัทธิ , และชื่อของ ศาสนา ทั้งๆที่ พระพุทธองค์ ไม่ได้มาตั้งลัทธิ แต่มาบอกสัจธรรม ความจริง เท่านั้น

การบรรลุ ถึงแก่นธรรม คือ ต้องหลุดพ้นจาก ชื่อของ ศาสนา ลักษณะของพิธีกรรม, รูปแบบหรือ เครื่องหมายใด ๆ
ให้คงเหลือ ใว้แต่ ธรรม หรือ สัจจะ ความจริงเท่านั้น

คริสตศาสนา สอนให้ บรรลุ ถึง พระเจ้า ได้รับชีวิตนิรันด์ และอยู่ในอาณาจักรแห่งพระเจ้าในวันนี้ พี่น้อง ชาวคริสต์ท่านใดที่ได้รับชีวิตนิรันด์แล้ว และ อยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าแล้ว ที่ปรากฏคือ คริสตศาสนาได้แตกแยก และเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว ดังจะเห็นได้จาก ชาวยุโรป หรือตะวันตก ทั้งที่เป็น แกนของคริสตศาสนามาเป็นเวลาอันยาวนาน

-ศาสนาอิสลาม-

สอนให้เชื่อและปฏิบัติ เพื่อสะสมผลบุญ เก็บเอาไว้รับผลในโลกหน้า โลกแห่งการตัดสินพิพากษา การกระทำ และหวังว่า จะได้เข้าสวรรค์ ตามที่พระเจ้าอัลลอฮ ทรงสัญญา เอาไว้ แต่ในคำภีร์ อัลกุรอาน ของศาสนาอิสลาม กลับไม่มีคำว่า "โลกหน้า" เลย แม้แต่ที่เดียว รวมทั้งวจนะ (ฮะดีษ) ของท่าน ศาสดามุฮัมหมัด ก็ไม่ได้กล่าวถึง คำว่า โลกหน้า แม้แต่ ครั้งเดียว

คำที่ ศาสนาอิสลามนำมาสอน ว่า โลกหน้า คือ คำว่า "เยามุลอาคิร" "เยามุลกิยามะห์" "ยามุล บะอษฺ" "อัลอาคิเราะห์" "เยามุลอาซีม" แต่ทั้งหมดนี้ไม่มีคำใด ที่มีความหมายว่า "โลกหน้า" แม้แต่ที่เดียว คำว่า โลกหน้า ในภาษาอาหรับ คือ คำว่า "อะลามุลกอดิม" คำ คำนี้ไม่มีอยู่ ทั้งใน กุรอาน และ วจนะ(ฮะดีษ) ของท่านศาสดามุฮัมหมัดเลย

แล้ว เหตุการณ์ ของ เยามุลอาคิร , กิยามะห์เกิดขึ้นที่ไหน ?
คำตอบ คือ อยู่ที่นี่ และตอนนี้แล้ว แต่ศาสนาอิสลาม ยังสอนให้รอคอย โลกหน้าทีไม่มีวันจะมาถึง และไม่มีอยู่ (เพราะไม่มีกล่าวไว้ ทั้งในกุรอาน และ ฮะดีษ)

คำว่า เยามุลอาคิร แปลว่า วัน , วาระ , หรือ ยุค สุดท้าย
คำว่า เยามุลกิยามะห์ แปลว่า วัน , วาระ ,ยุคแห่งการลุกขึ้น
คำว่า เยามุลบะษฺ แปลว่า วัน , วาระ , ยุค แห่งการฟื้น
คำว่า อัลอาคิเราะห์ แปลว่า สุดท้าย , ในที่สุด

และศาสนาอื่นๆทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ไม่สามารถนำพามนุษย์ ไปสู่เป้าหมายได้อีกแล้ว แม้ว่าจะพาไปได้บ้าง แต่เป็นเพียงรายบุคคล ที่มีเปอร์เซ็นต่ำจนไม่สามารถเห็นได้เลย เพราะเหตุใด คำตอบ คือ เพราะหมดวาระของ ศาสนาทั้งหลายแล้วนั่นเอง

หากมองผิวเผิน ถือว่า นี่คือการ ทำลาย ศาสนา แต่หากมองให้ละเอียดลึกซึ้ง จะพบว่า นี่คือ การ เชื่อ การศรัทธา ประจักษ์ และยืนยัน ใน สัจจา ของบรรดา ศาสดาทั้งหลาย

เพราะท่านศาสดาทั้งหลาย ได้บอกกล่าวไว้ ถึง วาระของ การสิ้นสุด รูปแบบคำสอน ของแต่ละท่าน
เนื่องจากเวลาที่เปลี่ยนไป ทั้งนี้ มิได้ หมาย ถึง สัจธรรม ที่นำมา จะหมดวาระ แต่หมายถึง คำสอนของแต่ละท่านนั้นเสื่อมลง จนไม่อาจ พบแก่นแท้ ดั้งเดิม ของแต่ละท่านได้อีกแล้ว เช่น

พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ว่า อายุของพุทธกาลนั้น มี 5000 ปี และเมื่อ มาถึง กึ่งพุทธกาล คำสอนของพระพุทธองค์ จะเสื่อมลง จนผู้คนไม่สามารถจะพบ ความจริง หรือ สัจจะในคำสอน ของพระองค์ ได้อีกแล้ว

ข้อพิสูจน์ ก็คือ วิธีการ ที่ยังคงเหลืออยู่ไม่สามารถ นำพาผู้คนสู่เป้าหมาย คือ นิพพาน ได้อีกแล้ว (ตรงกันข้าม จะเห็นได้ว่าพี่น้องชาวพุทธ กลับกลายเป็นผู้งมงาย ไร้เหตุผลมากมายดาษดื่น) และจะมี พุทธ องค์ใหม่ มาสอนแทน เมื่อถึงตอนนั้น คือ กึ่งพุทธกาล ของ5000 ปี คือ 2500 ปีหลังจากพระพุทธองค์ ได้จากไป

-คริสตศาสนา-

สอนว่า เมื่อ พระเยซูจากไปแล้ว ในอนาคต ข้างหน้าพระองค์ จะกลับมาอีกครั้ง จะนำพาผู้คนไปสู่อาณาจักรแห่งพระเจ้าอีกครี้ง
ทำไม ที่พระคริสต์ จะกลับมาอีก คำตอบคือ เพราะคำสอนของท่านได้เสื่อมลงหมดแล้ว พระองค์ จึงต้องกลับมาสอนอีก ต้องกลับมานำผู้คนไปสู่อาณาจักรแห่งพระเจ้าอีกครั้ง หากคำสอนของพระองค์ยังไม่เสื่อมหากผู้คนสามารถเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า ได้โดยไม่ต้องพึ่งพระองค์แล้ว ก็ไม่มีเหตุผลใดที่พระองค์ จะต้องกลับมาอีกครั้ง

-ศาสนาอิสลาม-

ท่านศาสดามุฮัมหมัด ได้กล่าวใว้อย่างชัดเจน ว่า คำสอนของท่านนั้น มีความถูกต้องและชัดเจน ในระยะเวลาอันสั้น เท่านั้น แล้วหลังจากนั้น คำสอนของท่านก็จะเสื่อมลง จนผู้คนไม่สามารถพบความจริง หรือบรรลุเป้าหมายได้อีกเลย

ท่านกล่าวไว้ว่า "ศตวรรษที่ดีที่สุด คือ ศตวรรษ ของฉัน และถัดไป และที่ถัดไป แล้วหลังจากนั้น ก็จะพบกับการฉ้อฉล และอธรรม ในกลุ่มที่นับถือ ตามแนวทางของฉัน"

นั่นหมายถึง ท่านศาสดามุฮัมหมัด ได้ยืนยันไว้อย่างชัดเจน แล้วว่า แนวคำสอนของท่านนั้น จะเสื่อมลง ในเวลาไม่เกิน 3 ศตวรรษเท่านั้น แล้วหลังจากนั้น ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่า คำสอนที่นำมานั้นจะนำพาผู้คนไปสู่เป้าหมายได้อีกแล้ว

เช่น ผู้คน จะไม่รู้ ว่า "พระเจ้า หรือ อัลลอฮ นั้นอยู่ ณ วิญญาณ ของมนุษย์ (บุรุษ) เอง "(กุรอาน) ผู้คนจะไม่รู้ว่า นรกและสวรรค์ นั้น แท้จริงเป็น ปริศนา(มุตะชาบิฮาต) ผู้คนจะไม่รู้ว่า การฟื้นคืนชีพ ในยุคแห่งการ ฟื้น(วันกิยามะห์ ) นั้น แท้จริง คือการกลับมาเกิดใหม่ ในโลก ใบเดิม(กุรอาน) แต่ผู้คนจะแต่งเติมคำสอน และพิธีกรรม ทั้งหลาย(บิดอะห์)จนในที่สุด จะนำพามนุษย์ ไปสู่ความเดือดร้อน(อันนาร = นรก) (กุลลู บิดอะห์ ฎอลาละห์ กุลลู ฎอลาละห์ ฟินนารฺ =ทุกๆ คำสอนที่อุตริ นั้น จะทำให้หลง และทุกๆการหลง นั้นจะทำให้เดือดร้อน) และอุตริกรรม หรือ บิดอะห์ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และไม่มีผู้ใดคาดคิด ว่า จะมี หรือ จะเกิด คือ
การตั้งชื่อ ศาสนา ให้กับคำสอนของ ท่านศาสดามุฮัมหมัด ว่า มีชื่อว่า "ศาสนาอิสลาม" คำคำนี้ ไม่มีอยู่ในคำภีร์ อัลกุรอาน เลยแม้แต่ที่เดียว คำว่า "ศาสนาอิสลาม" ภาษาอาหรับ เรียกว่า "ดีนุลอิสลาม" หรือ "ดีนุลอิสลามียะห์" คำนี้ไม่อยู่ในคำภีร์ อัลกุรอานเลยแม้แต่ที่เดียว ที่มีคือ คำว่า "อัลอิสลาม" แปลว่า "การยอมจำนน" มิได้เป็นชื่อของ ศาสนาเลย หากจะมีชื่อ ศาสนาในอัลกุรอานแล้ว ก็มีแต่คำว่า "ศาสนาแห่งพระเจ้า"(ดีนุลลอฮ) ,ศาสนาแห่งธรรม(ดีนุลฮัก), ศาสนาแห่งความเที่ยงตรง(ดีนุลก็อยยิมะห์) ส่วนคำว่า "ศาสนาอิสลาม" ไม่มีอยู่เลย



แล้วที่มีอยู่ นั้นมาจากไหน?

คำตอบ คือ มาจากปวงปราชญ์ (อุลามาอฺ)ที่มีขึ้น หลังจาก 3 ศตวรรษ ที่ท่านศาสดาได้จากไป นั่นหมายถึง ท่านได้บอกไว้ก่อนแล้วว่าคำสอนของท่านนั้นจะเสื่อมลง และเชื่อ ถือไม่ค่อยได้อีกต่อไป เพราะจะมีแต่การฉ้อฉลเกิดขึ้นมากมาย อาศัยคำสอนที่มีมาจากสมัย ของท่านเป็นที่อ้างอิง

เห็นได้ว่า ประวัติศาสตร์ ในช่วงนั้นเต็มไปด้วยการแก่งแย่งอำนาจ , ขยายอาณาเขต ล่า อาณานิคม แล้วใช้อำนาจ ในการควบคุม เรื่องราวของศาสนาโดยผู้ครองนคร(สุลต่าน/กาหลิบ)เป็นผู้ควบคุม บรรดาปราชญ์ ของศาสนา(อุลามาอฺ)ให้สอนและเผยแพร่ตามนโยบายของผู้ครองนครเท่านั้น หากผู้รู้ท่านใดไม่สนองตามนโยบายของผู้ปกครองแล้ว ผู้รู้ท่านนั้น จะต้องถูกลงโทษ อาจถึงขั้น ประหารชีวิต

นี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในประวัติ ศาสตร์ ของ "อิสลาม" นับตั้งแต่การจากไป ของท่านศาสดามุฮัมหมัด จนถึงปัจจุบัน

จึงเห็นได้ว่า คำสอน ของศาสดาทั้งหลายทั้งปวง ในปัจจุบันนั้น ไม่สามารถ นำพาผู้คนสู่ อุดมคติ หรือ เป้าหมายที่แท้จริง ของศาสนาทั้งหลายได้อีกแล้ว

ทั้งนี้ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น ว่า หมดเวลา หมดวาระ หรือ หมดยุค ของคำสอน ตามวิธีการ ของแต่ละศาสนาแล้ว

และได้เสื่อมลงถึงขีดสุดในปัจจุบัน ดังจะเห็นได้ว่า ทั้งๆที่สอนว่า ศาสนาทั้งหลายนำพามนุษย์ ไปสู่ ความสุข ความดีงามความจำเริญ ทางจิตวิญญาณ

แต่จะเห็นได้ว่า สถานที่ใด ที่ผู้คนเคร่งครัด ศาสนาแล้วสถานที่นั้นจะเต็มไปด้วย ความยุ่งยาก ความกดดัน ความขัดแย้ง การทะเลาะวิวาท อย่างไม่มีที่สิ้นสุด และไม่สามารถเอาศาสนาหนึ่งศาสนาใด มาแก้ไข ปัญหาดังกล่าวได้เลย หากแต่ ถ้าเอาศาสนาใดมาแก้ไขแล้วก็เป็นการเพิ่มพูนปัญหาให้มากขึ้น ดังจะเห็นได้จากทั้งโลก แม้แต่บ้านเมือง ของเรา(ประเทศไทย) ณ วันนี้เป็นตัวอย่างได้เป็นอย่างดี

แล้วทางรอดที่แท้จริง คือ อะไร ?

ตอบ.......

ที่กล่าวต่อไปนี้ เป็นการชี้แนะให้ท่านทั้งหลายได้คิด ได้พิจารณา ไตร่ตรองให้เห็นประจักษ์ด้วยปัญญา ของท่านเพื่อจะเป็นทางรอดแห่งชีวิตของท่าน รวมไปถึงชุมชน สังคม บ้านเมือง ประเทศชาติ และทั้งโลกโดยรวม

นั่นคือ ท่านต้องเลิกการยึดติดอยู่กับลัทธิ , นิกาย , ชื่อของศาสนา , กลุ่มของคำว่าศาสนาหนึ่ง ศาสนาใด โดยถือว่า ไม่นับถือ ศาสนาใดๆ ทั้งสิ้น

แต่ .......
หันกลับคืนสู่ ความจริง , สู่ ธรรม ,สู่สัจจะ ,สู่พระผู้เป็นเจ้า อันเป็นแก่นแท้แต่เพียงหนึ่งเดียว

คือการถือ ว่า

- สิ่งสูงสุด คือ ธรรม หรือ พระผู้เป็นเจ้า (พรหม ,ยะโฮวา , อัลลอฮ ,เต๋า ,ก็อด (GOD), ตูฮัน ) เป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น
- มนุษย์ทั้งผองในโลก เป็น พี่น้องกัน แม้ว่า จะแตกต่างกันในรูปลักษณ์ภายนอกเพียงใดก็ตาม
- แก่นแท้ของศาสดาทั้งหลาย สอนเรื่องเดียวกันต่างกันที่ ภาษา และพิธีกรรม ส่วนย่อยเท่านั้น
- เครื่องหมาย หรือ สัญลักษณ์ ของศาสนาเป็นอุตริกรรม ทั้งสิ้น ซึ่งได้แก่
- ธรรมจักร , พระพุทธรูป มิได้เป็น คำสอนของพระพุทธองค์
- ไม้กางเขน มิได้เป็นคำสอนของ พระเยซูคริสต์
- ดาวเดือน , จันทร์เสี้ยว มิได้เป็นคำสอน ของท่านศาสดามุฮัมหมัด
- คำว่า "พุทธศาสนา" ไม่มีใน พระไตรปิฎก
- คำว่า "ศาสนาคริสต์" ไม่มีในคำภีร์ ไบเบิล
- คำว่า "ศาสนาอิสลาม"ไม่มีในคำภีร์ อัลกุรอาน
- ศาสดาทั้งหลาย สอนว่า "ศาสนาของท่านเหล่านั้น เรียกว่า "ศาสนาแห่งธรรม หรือ ศาสนาแห่งความจริง"
- ศาสดาทั้งหลาย ยอมรับ ศาสดาท่านอื่นว่า เป็น ศาสดาเช่นเดียวกับตน และอยู่ใน ศาสนาเดียวกับ ตน
คือ "ศาสนาแห่งความจริง"

รายละเอียด ในเรื่องดังกล่าว ยังมีอีกมาก

สิ่งที่พอ จะสรุปให้เห็นได้ก็ คือ

ศาสนาทั้งหลายได้ถึงจุดเสื่อม หรือ จุดอวสานแล้ว ผู้ที่ยังนับ ถือ ศาสนา โดยหลับหูหลับตา ไม่ยอมมองโลกแห่ง ความจริง และไม่พิจารณา ด้วย ปัญญา ให้ประจักษ์ แน่นอนที่สุด เขาย่อมอยู่ในความยุ่งยากลำบาก และไม่สามารถ หาทางออกให้กับ ชีวิตได้ อย่างเบ็ดเสร็ด และจะเป็นการก่อเกิด กระบวนการทางสังคม ที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งในอนาคต หรือ แม้แต่ปัจจุบัน

แต่หากทุกคน ถอยห่างออกจากจุดยืน ของตนที่ถูกครอบครองโดย ระบบ ของลัทธิ หรือ ศาสนา มาอยู่ข้างนอก แล้วมองกลับไปอีกที จากมุมมองที่อยู่นอก ศาสนา นอกลัทธิ ทุกลัทธิ ศาสนา แล้วแสวงหาความจริง อันเป็นสัจจะ ของทุกศาสนา มาพิจารณาโดยปราศจาก ความลำเอียง หรือ อคติใดๆแล้ว

ก็จะพบทางออกที่ดีขึ้น กว่าที่เป็นอยู่ใน ปัจจุบัน ซึ่งกำลังมืดมน ไม่สามารถ นำพาตน สังคมของตนไปสู่เป้าหมายแห่งชีวิตได้ อย่างแท้จริง ตามที่ตนคาดหวังไว้ ว่าจะได้รับจากลัทธิหรือ ศาสนาของตน

กลับมาสู่ร่มธงอันเดียวกัน คือ

พระเจ้าองค์เดียวกัน
ความเป็นพี่น้องกัน ของมนุษยชาติ
เลิกการอคติ และการดูแคลนผู้อื่น
เลิกการแบ่งแยกลัทธิ ศาสนา
มาแสวงหาความจริง ด้วยความบริสุทธิ์ใจ มอบความรัก ต่อ พี่น้องของตน คือ มนุษย์ทั้งมวล
ด้วยความเมตตา(เราะห์มาน) คือ มอบความสุข หรือสิ่งที่ดี แก่ผู้อื่น
ด้วยความกรุณา(รอฮีม) คือปลดเปลื้องความทุกข์ให้กับผู้อื่น
ด้วยมุทิตา(ริฎอ)คือ ความยินดีปรีดา ต่อผู้อื่น
และด้วยอุเบกขา(ตะวักกกัล) คือการปล่อยวาง ไม่ลำเอียง ไม่อคติ
แล้วท่านจะพบว่า โลกแห่งอุดมคติ อยู่ใกล้ แค่เอื้อม
ศาสนาและลัทธิ ทั้งหลาย ได้ หมดสภาพไปแล้ว
คงเหลือ ไว้แต่สัจจะ ความจริง หรือ ธรรม
อันเป็นแก่นแท้ แห่งพระผู้เป็นเจ้า ที่จะนำพาเหล่ามวลมนุษย์ สู่จุดหมายแห่งชีวิต
สู่อุดมคติ ที่ทุกคน คาดหวัง และใฝ่ฝัน ไปได้ชั่วนิจนิรันด์

444
อยากรู้ละซิ

คำตอบ ท้าวพันตา นั่นนะสิ

อิอิ
เเล้วคุณคิดว่าเทพคนไหน เป็นคนกำหนดเลขลอตเตอรี่

445
ผลการศึกษาของนักโบราณคดีออสเตรเลีย ทำให้เชื่อว่า อารยธรรมอาณาจักรเมืองพระนคร หรือ นครวัด (Angkor Wat) ได้ล่มสลายไปอย่างไร้ร่องรอย เนื่องมาจากดินฟ้าอากาศวิปริต และภัยแล้ง ไม่ได้ล่มเพราะการรุกรานของ ?พวกสยาม? อย่างที่เคยเชื่อกัน

เชื่อกันว่า อาณาจักรนครวัด ที่เคยเป็นศูนย์กลางของดินแดนโบราณที่เป็นประเทศกัมพูชา ในปัจจุบัน จะเคยมีประชากรราว 700,000 คน เคยเป็นราชธานี ตั้งแต่กลางพุทธศตวรรษที่ 15 (ประมาณปี พ.ศ.1443) และล่มสลายไปอย่างน่าฉงนเมื่อประมาณ 500 ปีก่อน

นักโบราณคดีเชื่อกันมาเป็นเวลานาน ว่า อาณาจักรเขมรโบราณนั้น ถูกกองทัพสยามจากดินแดนประเทศไทย ในปัจจุบันเข้ารุกราน ปล้นสะดม ทำลายลงจนราบคาบ แต่ทีมนักโบราณคดีมหาวิทยาลัยซิดนีย์ ได้ศึกษา และเชื่อว่า ปัญหาน้ำดื่มน้ำใช้ต่างหากที่ทำให้คนอยู่ไม่ได้ จนทำให้ทั้งอาณาจักรพังทลายในที่สุด

?บัดนี้ได้ปรากฏว่า เมืองพระนคร ถูกทิ้งให้รกร้างในช่วงที่กำลังเปลี่ยนจากยุคที่อากาศอบอุ่นไปเป็นยุคน้ำแข็งช่วงสั้นๆ? ผู้ช่วยศาสตราจารย์โรแลนด์ เฟล็ทเชอร์ (Roland Fletcher) แห่งคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยซิดนีย์ กล่าวในรายงานฉบับหนึ่งที่มหาวิทยาลัยตีพิมพ์เผยแพร่ในสัปดาห์นี้

ผศ.เฟล็ทเชอร์ กล่าวว่า กลุ่มผู้ปกครองในยุคโน้นได้พยายามอย่างยิ่งในการหาน้ำให้ประชากร 700,000 คน ได้ดื่มได้กิน การค้นพบแนวกั้นน้ำขนาดใหญ่ 2 แห่ง ที่ใช้ในการควบคุมปริมาณน้ำภายในอาณาบริเวณราชอาณาจักร อาจจะช่วยยืนยันได้ว่า ระบบการจัดหาน้ำได้กลายเป็นสิ่งจำเป็น ในขณะที่น้ำตามธรรมชาติเริ่มเริ่มเหือดหาย
นักโบราณคดีผู้นี้ไม่ได้อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับ ?แนวกั้นน้ำขนาดใหญ่? ว่าหมายถึงอะไร แต่ในเขตนครวัดกับอาณาบริเวณใกล้เคียง มีบึงน้ำขนาดใหญ่ที่ปรากฏเด่นชัดมาจนถึงทุกวันนี้ก็คือ บาราย (Baray) กับ สระสาง (Srah Sang)

ศาสตราจารย์เฟล็ทเชอร์ กล่าวอีกว่า ข้อสรุปนี้เป็นการสนับสนุนผลการศึกษาของทีมงานที่เข้าไปศึกษาก่อนหน้านี้ และ พบว่านครวัดถูกทิ้งเมื่อภาวะของมรสุมได้เปลี่ยนไปทำให้ชุมชนขนาดใหญ่ไม่สามารถดำรงอยู่ได้อีก

เมื่อปี 2547 เคยมีการตีพิมพ์เผยแพร่แนวคิดเรื่อง ?ภัยแล้ง? นี้ จากการศึกษาผ่านภาพถ่ายดาวเทียม ที่แสดงให้เห็นความเปลี่ยนแปลงทางธรณีศาสตร์ของดินแดนที่เคยเป็นอาณาจักรนครวัดอันรุ่งโรจน์ แต่ก็ไม่ค่อยได้รับความเชื่อถือ

สาเหตุที่ทำให้นักประวัติศาสตร์กับนักโบราณคดี เชื่อกันว่า อาณาจักรนครวัดล่มสลายไปเพราะถูกกองทัพจากดินแดนสยามรุกรานนั้นก็เนื่องมาจากข้อเท็จจริงที่ว่า ร่วมยุคสมัยเดียวกันหรือใกล้เคียงกันนั้น ไม่มีอาณาจักรอื่นใดอีกที่จะมีพลังอำนาจพอที่จะต่อกรกับอาณาจักรนครวัด


447
อ.หนวด ยังเก็บ25   

448
สวยครับ

449
เพชรในพระไตรปิฏก 
ทีนี้ ก็ชวนให้นึกถึงสิ่งที่เรียกว่า "เพชร" เพชรในพระไตรปิฏกนั้นมีอยู่ คือสิ่งที่จะดับทุกข์ได้ ในฐานะเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา มีอยู่อย่างสมควรที่จะเรียกว่าเพชร แล้วแถมยังมีเครื่องมือสำหรับขุดเพชรในพระไตรปิฏก นั่นเอง, มีหีบ มีลัง มีกล่อง มีผอบที่จะใส่เพชร ล้วนมีอยู่ในพระไตรปิฏก แม้กระทั่ง กระสอบ หรือ กระดาษ หรือเชือกถัก ที่จะห่อหุ้มหีบหรือกล่องเหล่านั้น. ขอให้รู้จักพระไตรปิฏกในลักษณะอย่างนี้ว่า มีเพชรอยู่ในพระไตรปิฏก, มีเครื่องมือขุดอย่างครบถ้วน, มีภาชนะสำหรับจะใส่และหุ้มห่อ อยู่อย่างครบถ้วน. เห็นไหม ว่าในพระไตรปิฏกนี้ ส่วนไหนเป็นอะไร อย่างไร เท่าไร เพียงไร; จะได้ถือเอาอย่างถูกต้อง ตรงตามที่ควรจะถือเอา. มิฉะนั้นกลัวว่า จะไปถือเอาผืนกระสอบห่อชั้นนอกไม่เข้าถึงแม้แต่หีบที่ใส่เพชรไว้ แถมยังไม่มีเครื่องมือขุดหาเพชร แล้วจะหาเพชรได้ที่ไหน, ฉะนั้น จึงขอร้องว่าให้สนใจเรื่องนี้ให้มาก อย่าพึ่งเข้าใจไปว่า เป็นเรื่องหยาบคาย รุนแรง จ้วงจาบพระไตรปิฏก แม้แต่ประการใดเลย.

หัวใจของพุทธศาสนา

ทีนี้ เราจะพูดกันถึงข้อที่ว่า พระไตรปิฏกนั้นมีค่าอย่างไร ส่วนไหนมีค่าเท่าไร?

คนงมงายบางคนมักจะพูดว่า เหมือนกันทั้งหมดเลย รวมทั้งหีบทั้งลังทั้งกล่อง กระทั่งกระสอบห่อชั้นนอก เป็นหัวใจพุทธศาสนาไปหมด อย่างนี้มันไม่ถูก: มันต้องเอาเฉพาะที่เป็นเพชร ที่ดับทุกข์ได้ ว่าเป็นหัวใจของพุทธศาสนา. แต่สิ่งที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนานั้น อาจจะหยิบออกมาได้หลายชนิด หลายอย่าง หรือหลายรูปแบบ: เรื่องอริยสัจก็ดี คาถาพระอัสสชิก็ดี ปฏิจจสมุปบาทก็ดี ตถตาหรือสุญญตาก็ดี ล้วนแต่เรียกได้ว่า หัวใจของพุทธศาสนา ทั้งนั้น, แต่ว่า มันเป็นหัวใจในแง่ของปริยัติบ้าง หัวใจในแง่ของการปฏิบัติบ้าง หัวใจในแง่ของปฏิเวธบ้าง. ทีนี้อะไรเล่า ที่จะเป็นหัวใจทีเดียวได้หมดทั้งของปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ? นั่นคือพระพุทธภาษิตที่ได้ตรัสไว้ว่า สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย แปลว่า "สิ่งทั้งหลายทั้งปวง อันใครๆ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น (ว่าเป็นตนหรือของตน)". สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย นั่นแหละ เป็นตัวเพชรเม็ดเดียวในพระไตรปิฏก หรือในพุทธศาสนา, แต่ขยายออกไปเป็นรูปจำลองรูปอื่นๆ หลายอย่าง.

มีคำตรัสไว้ที่ถือเป็นหลักได้ว่า ผู้ใดได้ยินได้ฟังคำว่า "สิ่งทั้งหลายทั้งปวง อันใครๆ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น" ผู้นั้นชื่อว่า ได้ยินได้ฟังทั้งหมด ในพุทธศาสนา, ผู้ใดได้ปฏิบัติเพื่อความไม่ยึดมั่นถือมั่น ผู้นั้นชื่อว่า ได้ปฏิบัติทั้งหมดในพุทธศาสนา, ผู้ใดได้รับผลของการปฏิบัติ ในความไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว ผู้นั้น ชื่อว่า ได้รับผลทั้งหมดที่พึงได้รับจากพุทธศาสนา, ดังนั้น ธรรมะข้อนี้ จึงเป็นหัวใจของพุทธศาสนา ทั้งในแง่ของปริยัติ ทั้งในแง่ของปฏิบัติ และทั้งในแง่ของปฏิเวธ.

ขอให้ท่านทั้งหลายได้รับเอาเพชรในพุทธศาสนา ที่เป็นชั้นหัวใจคือพระธรรมที่เป็นคำสรุปหลักในพุทธศาสนาทั้งหมด การที่พูดว่า มี ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้น เป็นการสมมติกันเองทีหลัง. ถ้าจะว่ากันให้ถึงที่สุดแล้ว เพชรนั้นมีเม็ดเดียวเท่านั้นแหละ แต่มันกระจายเรื่องราวออกไปได้มาก เป็นเรื่องลักษณะ อาการ คุณค่าและอะไรๆ ของเพชรเม็ดนั้น จนกระทั่งถึงวิธีขุดเพชรอย่างไร กี่สิบกี่ร้อยวิธีก็นำมากล่าวไว้หมด.

ความเป็นมาของพระไตรปิฏก

ทีนี้ จะพูดกันถึงพระอาจารย์ชั้นหลัง : พระอาจารย์ชั้นหลังต่อๆ มา จะเป็นชั้นไหนค่อยว่ากันทีหลัง, ท่านได้ยัดเอาหีบสำหรับใส่เพชร เข้าไปในพระไตรปิฏกด้วย, ชั้นหลังต่อมาอีก ได้เอากระดาษห่อหีบชั้นนอก ยัดเข้าไปด้วย ได้แก่ข้อความที่เป็นโฆษณาชวนเชื่อ ที่เป็นเรื่องปาฏิหาริย์ เรื่องเทวดา สวรรค์วิมาน ภูตผีปีศาจ เป็นอันมาก. มีผู้กล่าวให้เชื่อกันว่า พระไตรปิฎกมีมาตั้งแต่สมัยครั้งแรกที่ยังไม่ได้เป็นปิฎก: ในการทำสังคายนาครั้งแรกที่สุดนั้นน ยังไม่มีพระไตรปิฎก เพราะยังไม่ได้จารึกเป็นอักษรลงในสิ่งใด ยังเรียกปิฎกไม่ได้, จึงยังไม่มี. ยิ่งกว่านั้น เกิดมีคำกล่าวในอรรถกถาธรรมบท ที่กล่าวไว้ให้คนชั้นหลังเข้าใจว่ามี ในลักษณะที่เรียกว่า มุสาด้วยความหวังดี ก็ได้, แต่จะไม่เรียกอย่างนั้น เพราะท่านทำไปด้วยเจตนาดี อย่างบริสุทธิ์ใจ ข้อความนั้นกล่าวว่า มีคนบวชใหม่ทูลถามพระพุทธเจ้า ว่าบวชแล้วจะให้ทำอะไร? พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธุระมีอยู่ ๒ อย่าง คือ คันถธุระและวิปัสสนาธุระ. ถามว่าคันถธุระเป็นอย่างไร? เขาเขียนให้พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า คันถธุระคือการเรียนปิฎกทั้งสาม หรือปิฎกใดปิฎกหนึ่ง; ซึ่งเป็นทำนองว่า มีพระไตรปิฎกมาแล้ว ตั้งแต่สมัยที่พระพุทธองค์ยังทรงพระชนมายุอยู่ ถ้ายอมให้พูดตรงๆ ก็จะพูดว่า : เป็นการหลับตามุสาโดยบริสุทธิ์ใจ อย่างเป็นเรื่องเป็นราว.

ก็พระไตรปิฎกนั้นจะมีไม่ได้ในครั้งที่พระพุทธองค์ยังทรงมีชีวิตอยู่ และยังไม่จำเป็นที่จะต้องทำเป็นปิฎกดอก มีแต่เรื่องธรรมวินัยที่สอนไว้อย่างไร ก็จำสืบต่อกันมาด้วยปาก พอปรินิพพานลงไป สิ่งแรกที่กระทำคือ สิ่งที่เรียกกันว่า สังคายนาเป็นการประชุมกันด้วยเรื่องที่ตรัสไว้ทั้งหมด สอบถามจากผู้ที่ยืนยันว่าได้ฟังมาเช่นนั้นๆ ครั้นสอบถามได้ความแน่นอนหรือถูกต้องแล้ว เป็นที่ยอมรับในที่ประชุมแล้ว ก็สวดข้อความนั้นพร้อมๆ กันเป็นการสังคายนา เสร็จแล้วจัดเรื่องที่ถือว่าถูกต้องแล้ว เข้าเป็นพวกๆ เรื่องยาวๆ พวกหนึ่ง เรื่องขนาดกลางพวกหนึ่ง เรื่องขนาดสั้นพวกหนึ่ง และพวกที่จัดไว้เป็นหมวดตามจำนวนเลขมากน้อย นั้นอีกพวกหนึ่ง เป็น ๔ จำพวก แล้วก็ยังมีอีกพวกหนึ่งในลักษณะเป็นพวกสำรอง คือจัดไว้สำหรับเรื่องเบ็ดเตล็ด เพื่อการเติมเข้าหรือชักออกได้ตามพอใจนี้เรียกว่า พวกเบ็ดเตล็ด. พวกเบ็ดเตล็ดหรือพวกที่ ๕ นี้ ปรากฏว่าไม่ค่อยตรงกันในบรรดาประเทศที่มีพระไตรปิฎก มีมากน้อยกว่ากัน จนในครั้งหลังสุดนี้ มีการหยิบยืมมาเพิ่มเติมแก่กัน ในระหว่างประเทศที่มีพระไตรปิฎก, จีงมีครบเหมือนกันหมด.

ครั้งแรกทีเดียว มีพระธรรมคำสั่งสอน แบ่งเป็น ๔ พวก คือ ๔ นิกาย หรือ ๔ อาคม ข้อนี้มีเค้าเงื่อนที่เห็นได้ ทั้งฝ่ายเถรวาทและฝ่ายมหายานที่กล่าวถึงเถรวาท, ต่อมาจึงได้มีนิกายหรืออาคมที่ ๕ เข้ามาดังที่กล่าวแล้ว. มหายานก็ยังคงยึดถือว่า เถรวาทมีหลัก ๔ อาคมอยู่.

สำหรับพระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาทเรานั้น การทำสังคายนาครั้งหลังๆ เป็นโอกาสให้เพิ่มเติมเรื่องต่างๆ เข้าไปได้ จนเป็น ๓ ปิฎกใหญ่ หรือ ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์ ตามที่ยอมรับกันในยุคหลังๆ สำหรับในครั้งพุทธกาลนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะมีเป็นปิฎก ๓ ปิฎก. ที่เป็นไปได้ ก็จะเป็นเพียงพวกเดียว อย่างที่ทรงใช้คำตรัสอยู่บ่อยๆ ว่า "สุตตันตะทั้งหลาย" ตัวอย่างเช่น คำว่า สุญฺญตปฺปฏิสํยุตฺตา สุตฺตนฺตา เป็นต้น, หมายถึงหมวดหมู่แห่งสูตรต่างๆ ที่มุ่งแสดงเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพวกๆ ไป. พวกฝรั่งนักศึกษาที่คงแก่เรียน ทั้งในทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี ภาษาศาสตร์ ทางธรรมะ ได้ใช้คำที่คิดขึ้นมาคำหนึ่ง ว่า OLD SUTTA ซึ่งหมายถึงข้อความ ที่เป็นสูตรเก่า หรือ สูตรครั้งแรกๆ คือเป็นตัวบันทึกในครั้งแรก ของพุทธศาสนา. คำคำนี้ เขาไม่ใช้เรียกกับวินัยหรืออภิธรรมนั้น เขาถือว่าเป็นของใหม่มาก. ในลักษณะเช่นนี้หมายความว่า วินัยก็ดี อภิธรรมก็ดี มีอยู่ในพวกเบ็ดเตล็ด รวมอยู่ในขุททกนิกาย ดังที่กล่าวปรากฏอยู่ในคัมภีร์สมันตปาสาทิกา. คำว่า "อภิธรรมปิฎก" ไม่มีในปกรณ์ชั้นบาลีที่เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้า เพิ่งมีมาในชั้นหลังรุ่นอรรถกถา เพราะร้อยกรองขึ้นเมื่อหลายร้อยปีล่วงมา จากพุทธปรินิพพาน, แต่เชื่อมเนื้อความให้กลายเป็นว่า พระพุทธเจ้าได้เสด็จขึ้นไปตรัสในเทวโลก เมื่อยังทรงพระชนมายุอยู่ จนทำให้คนชั้นหลังเข้าใจไปว่า มีมาแล้วตั้งแต่ครั้งพุทธกาล. ถ้าเอาหลักกาลามสูตร ที่กล่าวแล้วข้างต้นมาจับดู ก็จะหงายหลังกระจัดกระจายกระเด็นไปหมด เหลืออยู่แต่ คำว่า "ธรรมวินัย" ดังที่ตรัสไว้ในมหาปเทสสี่ แห่งมหาปรินิพพานสูตร เพื่อใช้เป็นหลักตัดสินในเมื่อเกิดปัญหาขึ้นมา ว่ากรณีนั้นมีความถูกต้องอย่างไร คือ บาลีที่ว่า "สุตฺเต โอสาเรตพฺพํ" และ "วินเยสนฺทสฺเสตพฺพํ". สรุปความว่า ในครั้งแรก มีแต

450
พระบาลีกาลามสูตร

เสรีภาพในการรับถือพระพุทธศาสนานั้น คือ หลักพระบาลีกาลามสูตร ที่ตรัสไว้อย่างเป็นการประทานเสรีภาพสูงสุด เป็นประชาธิปไตยสูงสุด, และก็เคยพูดเรื่องนี้มาหลายครั้งหลายหนแล้ว โดยใจความก็มีว่า พวกชาวกาลามะได้ทูลถามพระองค์ว่า มีเจ้าลัทธิมาสอนลัทธิหลายๆ อย่างต่างกัน จนไม่รู้ว่าจะรับถืออย่างไรแล้ว จะทำอย่างไรดี. พระพุทธองค์ได้ตรัสเรื่องที่เรียกว่า กาลามสูตร มี ๑๐ หัวข้อด้วยกัน.

ใน ๑๐ หัวข้อนั้น, ๓ หัวข้อแรก เกี่ยวกับการได้ยินได้ฟัง หรือการศึกษา :

ข้อที่ ๑ ว่า มา อนุสฺสเวน แปลว่า อย่ารับถือเอาด้วยเหตุว่า ฟังบอกตามๆ กันมา. ข้อที่ ๒ ว่า มา ปรมฺปราย แปลว่า อย่ารับถือเอาด้วยเหตุว่าทำตามสืบๆ กันมาอย่างปรัมปรา. ข้อที่ ๓ ว่า มา อิติกิราย แปลว่า อย่ารับถือเอา เพราะเหตุว่าเป็นสิ่งที่กำลังเล่าลืออยู่อย่างกระฉ่อน.

ข้อที่ ๔ เกี่ยวกับตำราหรือปิฏก ตรัสว่า มา ปิฏกสมฺปทาเนน แปลว่า อย่ารับถือเอา ด้วยเหตุว่ามีที่อ้างในปิฏก. คำว่าปิฏกในที่นี้ ก็คือสิ่งที่เราเรียกกันว่าตำรา. สำหรับพระพุทธศาสนา ก็คือบันทึกคำสอนที่เขียนไว้ในใบลาน เอามารวมกันไว้เป็นชุดๆ เรียกว่า ไตรปิฏก.

ทีนี้อีก ๔ ข้อ เกี่ยวกับการคำนวณ หรือการใช้เหตุผลในการคำนวณ.

ข้อที่ ๕ ตรัสว่า มา ตกฺกเหตุ แปลว่า อย่ารับถือเอา ด้วยการใคร่ครวญตามวิธีที่เรียกว่า ตรรกะ. ซึ่งปัจจุบันนี้ เรียกว่า Logic. แม้ว่าคำสอนของผู้ใดถูกต้องตามวิธีใคร่ครวญของ Logic ก็อย่าเพิ่งถือเอา เพราะว่า ตรรกะก็ยังผิดได้ ในเมื่อเหตุผลหรือวิธีใช้เหตุผลมันผิด.

ข้อที่ ๖ ตรัสว่า มา นยเหตุ แปลว่า อย่ารับถือเอาโดยเหตุว่า มันสมเหตุผลทางนยะ. สิ่งที่เรียกว่า นยะในครั้งพุทธกาล ก็คือสิ่งที่เรียกกันในบัดนี้ว่า Philosophy อย่างของฝรั่ง ซึ่งเรามาเรียกกันในภาษาไทยว่า ปรัชญา อันเป็นการเรียกผิดชื่อ เพราะปรัชญามิใช่ Philosophy เป็นเพียงทรรศนะหนึ่งๆ ไม่ถึงขีดปรัชญา; แต่เมื่อเรียกกันแล้วก็เรียกกันไป ขอแต่อย่าเอาวิธีคิดนึกอย่าง Philosophy มาใช้เป็นเครื่องมือสำหรับถือเอาหลักธรรมะมาปฏิบัติก็แล้วกัน.

ข้อที่ ๗ ตรัสว่า มา อาการปริวิตกฺเกน แปลว่า อย่ารับถือเอาด้วยการตรึกตามอาการ คือตามความคุ้นเคยด้วยการคิดตามสบายใจ ที่เรียกกันในสมัยนี้ว่า Common sense. มีคนหลายพวกสมัยนี้ นิยมใช้  Common sense, แต่ในพุทธศาสนาใช้ไม่ได้ พระพุทธเจ้าตรัสห้ามไว้โดยข้อนี้

ข้อที่ ๘ ตรัสว่า มา ทิฏฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา แปลว่า อย่ารับถือเอา เพราะว่ามันทนได้ต่อการเพ่งด้วยทิฏฐิของตนเอง. ตัวเองมีทิฏฐิอย่างไร ถ้าเขามาสอนด้วยคำสอน ชนิดที่เข้ากันได้กับทิฏฐิของตัวเอง ก็อย่าเพิ่งถือเอา เพราะว่าทิฏฐิของตัวเอง มันก็ผิดได้.

ทีนี้ อีก ๒ ข้อ เกี่ยวกับบุคคลผู้พูดหรือผู้แสดงลัทธินั้นๆ.

ข้อที่ ๙ ตรัสว่า มา ภพฺพรูปตาย แปลว่า อย่ารับถือเอาเพราะเหตุว่า ผู้พูดมีลักษณะน่าเชื่อถือ คือ ผู้พูดมีคำพูด มีลักษณะท่าทางที่น่าเชื่อ.

ข้อที่ ๑๐ หรือข้อสุดท้ายตรัสว่า มา สมโณโน ครูติ แปลว่า อย่ารับถือเอา เพราะสมณะผู้พูดนั้นเป็นครูของเรา. ข้อนี้เป็นเสรีภาพเหลือประมาณ ไม่มีในศาสนาใดๆ.

ขอให้จำไว้ว่า คำสอนทั้ง ๑๐ ข้อนี้แหละ เรียกว่า เสรีภาพในการรับถือธรรมะมาเป็นที่พึ่งของตน, ดังนั้น อาตมาจะขอกล่าวเน้นและขยายความทบทวนอีกทีหนึ่ง เพราะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ขอให้ตั้งใจฟังให้ดี.

ข้อที่ ๑ อย่ารับถือเอามาเป็นหลักปฏิบัติเพราะเหตุว่าฟังบอกตามๆ กันมา. ข้อที่ ๒ อย่ารับถือเอามาเป็นหลักปฏิบัติ เพราะเหตุว่าเป็นการปฏิบัติที่ได้ทำตามๆ กันมาอย่างปรัมปรา แบบเถรส่องบาตร. ข้อที่ ๓ ว่า อย่ารับถือเอามาปฏิบัติ เพราะเหตุว่าเป็นเรื่องที่เล่าลือกันอยู่กระฉ่อนไป เหมือนครั้งหนึ่งเล่าลือกันเรื่องคนเกิดปีมะ มะเมียมะแมอะไรก็ตาม จะต้องปฏิบัติอย่างนั้นอย่างนี้ มิฉะนั้น มัจจุราชจะเอาตัวไป นี่แหละคือข้อที่ สิ่งเล่าเลือนั้น ไม่จำเป็นจะต้องถือเอา. รวม ๓ ข้อนี้ เกี่ยวกับการฟังจากภายนอก เป็นหลักที่จะต้องสังวรไว้.

ข้อที่ ๔ ว่า อย่ารับถือเอาด้วยเหตุผลเพียงว่า มีที่อ้างอยู่ในปิฎก. ข้อนี้จะได้กล่าวให้มากที่สุดในการบรรยายต่อไปข้างหน้า เพราะว่าเป็นเรื่องสำคัญ คือเราในบัจจุบัน งมงายต่อสิ่งที่เรียกว่า ปิฎก หรือ พระไตรปิฎกกันมากเกินไป ทำให้เป็นที่เยาะเย้ยได้ว่า เป็นทาสของพระไตรปิฎกกันเสียทุกตัวอักษร อย่างขัดต่อคำสั่งสอนข้อนี้ของพระพุทธองค์.

ข้อที่ ๕ อย่าถือเอาโดยอาศัยหลัก Logic เพราะเหตุเพียงมันเข้ากันได้กับเหตุผลทาง Logic. ข้อที่ ๖ อย่าถือเอาโดยอาศัยหลัก Philosophy เพราะมันเพียงแต่เข้ากันได้กับหลักเหตุผลทาง Philosophy. ข้อที่ ๗ อย่าถือเอาโดยใช้ Common sense คือตริตรึกไปตามอาการของความรู้สึกที่แวดล้อมอยู่. ข้อที่ ๘ อย่าถือเอาเพราะมันทนได้ต่อความคิดเห็นของตนเอง ซึ่งที่แท้อาจจะผิดทั้งหมดก็ได้.

ทีนี้ ก็มาถึงข้อที่ ๙ อย่ารับถือเอาเพราะเหตุว่า ผู้พูด มีคำพูด มีลักษณะท่าทาง หรือมีเครดิตใดๆ ซึ่งน่าเชื่อหรือควรเชื่อ. ข้อสุดท้ายคือข้อที่ ๑๐ อย่ารับถือเอาเพราะเหตุว่า พระสมณะผู้พูดนั้น เป็น "ครูของข้าพเจ้า" สำหรับข้อนี้ ขอให้คิดดูอย่างยิ่งว่า ไม่เชื่อแม้แต่สมณะผู้เป็นครูของตนเอง, ต้องหยั่งดูด้วย ยถาภูตสัมมัปปัญญา ว่าข้อที่พูดนั้นปฏิบัติตามแล้วอาจจะดับทุกข์ได้ แล้วก็ลองปฏิบัติดูก่อน. พระพุทธเจ้าทรงประทานเสรีภาพสูงสุดเกี่ยวกับพระองค์เองก็เป็นสมณะ และคนทั้งหลายก็นับถือว่าเป็นบรมครู, แม้กระนั้น ก็อย่าเชื่อทันที ด้วยเหตุผลเพียงว่า สมณะนี้เป็นครูของเรา. อาตมาขอท้าทายให้ค้นหาคำสั่งสอนชนิดนี้ ว่ามีในศาสนาไหนบ้าง. มันไม่มีในศาสนาไหนเลย มันมีแต่การผูกขาดให้เชื่อโดยส่วนเดียว ไปเสียทั้งหมด.

ทรงเปิดโอกาสให้ใคร่ครวญดู

ทั้งหมดนี้ ขอให้ทำความเข้าใจให้ดีๆ อย่าได้ตกเป็นทาสของความงมงาย ๑๐ ประการนั้น, แต่ขอบอกว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ห้ามไม่ให้เกี่ยวข้องกับสิ่งทั้ง ๑๐ ประการนั้น แต่จะเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้น สำหรับนำมาใคร่ครวญได้ตามสมควร : จะฟังเขาพูดก็ได้ จะฟังเสียงเล่าลือก็ได้ แต่ยังไม่เชื่อ เอามาใคร่ครวญดูว่า มันจะดับทุกข์ได้หรือไม่, ถ้ามีวี่แววว่า จะดับทุกข์ได้ ก็ลองปฏิบัติดูได้ แล้วจึงค่อยเชื่อ.

ข้อที่ ๔ ซึ่งเป็นข้อร้ายแรงที่สุด สำหรับการศึกษาสมัยนี้ คือ ไม่ให้เชื่อเพราะเพียงแต่มีที่อ้างในปิฎก. ท่านใช้คำว่า ปิฎก. คำนี้ในภาษาไทยแปลกันว่าตำรา คือข้อความที่ได้เขียนลงเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว, ถ้ายังไม่ได้เขียน ก็ยังไม่เรียกว่า ปิฎก แต่อย่าลืมว่า คำว่า ปิฎกๆ นี้ ใช้กับตำราของชาวบ้านก็ได้ และใช้กับตำราของทางศาสนาก็ได้ รวมทั้งพระไตรปิฎก ที่ได้เกิดขึ้นในยุคหลัง เมื่อได้เขียนหรือจารึกลงเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว, ทั้งหมดนี้รวมอยู่ในคำว่า ปิฎก. เหตุผลที่ห้ามไม่ให้เชื่อเพราะมีที่อ้างในปิฎกนั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกันมากอย่างยืดยาว จะไว้พูดกันทีหลัง.

ข้อที่ ๕ ที่ไม่ให้เชื่อโดยเหตุผลทางตรรกะนั้น เพราะว่าเรื่องตรรกะนี้ เด็กๆ ก็ทำได้. เหตุผลที่เด็กๆ เขาใช้กันนั้น ก็เป็นตรรกะได้เหมือนกัน ใช้กันจนกระทั่งเป็นผู้ใหญ่ ถึงกับมีหลักวางไว้เป็นศาสตร์ศาสตร์หนึ่งไปแล้วก็ตาม ก็อย่าได้ถือเป็นหลักตายตัว ว่าถ้ามันถูกต้องตามหลักแห่งตรรกะนั้นแล้ว มันจะดับทุกข์ได้ไปเสียทั้งหมด มันยังดับทุกข์ไม่ได้ก็มี, ดังนั้น การที่จะอ้างหลักทางตรรกะ หรือ ทางนยะซึ่งเป็นข้อที่ ๖ แล้วเอามาเชื่อถือนั้น มันก็ไม่ถูก มันจะกลายเป็นทาสของตรรกะ เป็นทาสของนยะ เหมือนที่กำลังเป็นกันอยู่มากสมัยนี้ ซึ่งอะไรๆ ก็อ้าง Logic บ้าง อะไรๆ ก็อ้าง Philosophy บ้าง มันก็จะเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้นมากเกินไป ไม่เป็นอิสระ.

แต่ว่า จะเอาวิธีตรรกะมาใช้กันบ้างก็ได้ ถ้ามีความรู้ เรากล้าท้าทายว่า ถ้าใครมีความรู้เรื่องตรรกวีธี คือการคิดอย่างตรรกะนั้น จะเอามาจับกับหลักธรรมะในพระพุทธศาสนานี้ดูก็ได้ : เราท้าทาย เราจะพิสูจน์ให้เห็นได้ว่า มันไม่ได้ถูกต้องอยู่ที่บทสรุป ของตรรกะหรือ Logic ถ้าเรามีเวลาจะทำ และอยากจะทำ เราก็ลองทำดูได้; ถ้าเชื่อตามพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ไม่ต้องลองให้เสียเวลา.

ทีนี้ ข้อ ๗ การตรึกตามอาการ  หรือ Common sense นั้น ใครมีก็ใช้ได้ แต่อย่าเพิ่งทึกทักเอาว่ามันเป็นอย่างนั้น มันต้องมาทำให้เป็นเรื่องดับทุกข์ได้ โดยวิธีของสติปัญญาสูงสุด ที่เรียกว่า ยถาภูตสัมมัปปัญญา คือปัญญาเห็นตามที่เป็นจริงโดยชอบ ของตน.

สำหรับข้อ ๘ ที่ว่า ตัวมีทิฏฐิอย่างไร มีความเชื่ออย่างไร พออะไรมีมาเข้ากันได้ หรือพิสูจน์ได้ด้วยทิฏฐิหรือความเชื่อของตัว แล้วก็ถือเอา, อย่างนี้มันไม่ถูก; แต่ว่าจะลองเอาทิฏฐิหรือความเชื่อของตนไปวัดดูจับดูก็ทำได้.

สำหรับข้อ ๙ ข้อ ๑๐ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับบุคคลนั้น จะลองทดสอบดูก็ได้ ว่ามันมีอะไรน่าเชื่อน่าฟัง ก็ฟังได้ ไม่ห้าม เพียงแต่ว่า อย่าเพิ่งเชื่อหรือรับเอาทันที แม้ข้อที่ว่า สมณะผู้พูดเป็นครูของตน ท่านพูดท่านสอนอะไรก็ฟังได้ แต่ยังไม่รับเอาทันที. พระสารีบุตรมีคุณธรรมข้อนี้ และยืนยันต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า, ก็ทรงอนุโมทนา. ข้อนี้เป็นสิ่งสูงสุดที่พระพุทธเจ้าทรงประทานเสรีภาพแก่สาวกของพระองค์.

ความมีเสรีภาพตามหลัก ๑๐ ประการนี้ อาตมานำมากล่าวในวันนี้ ในฐานะเป็นของขวัญล้ออายุปีนี้ เรียกว่า เสรีภาพในการที่จะรับ หรือจะถือ หรือจะมี หรือจะปฏิบัติธรรม เป็นเครื่องประจำชีวิต. ถ้าเวลาที่แล้วมาท่านทั้งหลายยังไม่มี หรือยังไม่ได้ถือ, ต่อไปนี้ก็ขอร้องให้ถือในฐานะเป็นของขวัญ ที่อาตมารับมอบมาจากพระพุทธเจ้า เราอาศัยสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เอง แล้วก็ใช้วิพากษ์วิจารณ์ต่อธรรมะ ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนไว้ ทั้งหมดทั้งสิ้น ก็จะได้พบของจริงตามพระพุทธประสงค์ ที่จะให้เราได้รับสิ่งเหล่านี้. แม้สิ่งที่เรียกกันว่า พระไตรปิฎก ก็ขอให้ใช้หลัก ๑๐ ประการนี้กับพระไตรปิฎก แล้วเราก็ได้เนื้อแท้ของพระไตรปิฎก.

 


451
ขอข้อสรุปหน่อยครับ

452
คำปราศรัยผู้มา

เพื่อนสหธรรมิกและท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย.

อาตมา ขอแสดงความยินดี และขอขอบคุณพร้อมกันไปในตัว ในการมาของท่านทั้งหลาย สู่สถานที่นี้ในลักษณะนี้ ด้วยความหวังดี. สำหรับอาตมาปีนี้ ประจวบเหมาะไม่ค่อยสบาย; คุณหมอทั้งหลาย ขอร้องว่าอย่างทำอะไร ให้นอนนิ่งๆ ตลอดวันตลอดคืน ติดต่อกันไปสัก ๒ เดือน ก็อาจจะหายจากโรคที่เป็นอยู่นี้ได้ แต่แล้วอาตมาก็ต้องขออภัย ดื้อหมอมาพบกับท่านทั้งหลาย ก็เห็นอยู่แล้วว่าเป็นอย่างไร, ที่ดื้อมานี่หมอก็เกรงใจ อาตมาก็เลยดื้อได้ เดี๋ยวนี้ ความดันโลหิต ๒๐๐ กับ ๑๐๐ เรียกว่า เกือบไม่มีแรงจะพูด, แต่ด้วยความขอบคุณในท่านทั้งหลาย ก็อุตส่าห์มาพูดจนได้.

ในฐานะที่เป็นพุทธทาส

ยิ่งกว่านั้นก็คือว่า อาตมาเป็นพุทธทาส ดังนั้น จึงต้องทำสนองพระพุทธประสงค์ทุกอย่าง, ก็เลยขอบอกให้ทราบว่า พระพุทธองค์นั้น ทรงทำหน้าที่ของพระองค์ อย่างที่เรียกว่า จนวินาทีสุดท้าย คือ นิพพาน. บางคนก็ทราบเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว ว่ากำลังจะปรินิพพานอยู่หยกๆ แล้ว ก็ยังมีปริพาชกในลัทธิอื่นเข้ามาขอเฝ้าเพื่อศึกษาธรรมะ. พระสงฆ์ทั้งหลายก็ไล่ออกไปว่า อย่ามากวนๆ พระพุทธองค์ทรงป่วยหนักแล้ว. พระพุทธเจ้าทรงได้ยินเสียงไล่คนนั้นให้ออกไป ท่านตรัสว่า อย่าไล่ๆ แล้วก็เรียกให้เข้ามา. เขาได้ทูลถามปัญหาได้ศึกษาธรรมะในโอกาสอันสั้นนั้น จนบรรลุธรรมวิเศษ, อีกไม่กี่นาทีต่อมา ก็มีการปรินิพพาน. ขอให้นึกถึงข้อนี้กันบ้าง ว่าพระพุทธองค์ทรงทำหน้าที่ของท่านจนวินาทีสุดท้ายเช่นนี้, อาตมาเป็นทาสของพระพุทธองค์ ก็ต้องถือเป็นหลักปฏิบัติตาม, ถ้ามันจะเป็นอะไรก็ขอให้มันเป็นไป เพื่อจะได้ทำหน้าที่จนวินาทีสุดท้ายด้วยเหมือนกัน. นี่ขอให้ทราบข้อเท็จจริงว่าเดี๋ยวนี้อยู่ในสภาพที่หมอห้ามพูด ก็ยังไม่ฟัง จะมาพูดให้จนได้.

เพชรในพระพุทธศาสนา

อาตมา ขอเรียกธรรมะที่กล่าวในวันนี้ว่า "ของขวัญในวันล้ออายุปี ๒๕๒๘". ของขวัญที่กล่าวนี้คือเสรีภาพอันสูงสุด ในการที่จะรับและนับถือธรรมะประจำชีวิตของตน. ขอให้ทุกคนได้รับของขวัญอันนี้คือมีเสรีภาพในการที่จะรับถือธรรมะ มาเป็นที่พึ่งของตน. เสรีภาพเช่นนี้ของเรียกว่า "เพชรในพระพุทธศาสนา", และขอมอบให้ทั้งสิ่งที่เป็นเครื่องมือสำหรับขุดเพชร กล่าวคือ เสรีภาพในการพิจารณา เลือกเฟ้นข้อผิดถูก ในการที่จะรับถือพระพุทธศาสนา นั่นเอง ดังที่จะได้กล่าวต่อไปตามลำดับ.

 


453
บทความ บทกวี / อานาปานสติ
« เมื่อ: 06 เม.ย. 2550, 03:50:43 »
(สำหรับคนทั่วไป อย่างง่าย ขั้นต้นๆ เพื่อรู้จักไว้ทีก่อน)
ในกรณีปรกติ ให้นั่งตัวตรง (ข้อกระดูกสันหลัง จดกันสนิท  เต็มหน้าตัด ของมันทุกๆ ข้อ) ศีรษะตั้งตรง ตามองไปที่ปลายจมูกให้อย่างยิ่ง จนไม่เห็นสิ่งอื่น จะเห็นอะไรหรือไม่เห็น ก็ตามใจ ขอให้จ้องมองเท่านั้น พอชินเข้า ก็จะได้ผลดีกว่าหลับตา และไม่ชวนให้ง่วงนอน ได้ง่ายด้วย โดยเฉพาะ คนขึ้ง่วง ให้ทำอย่าง ลืมตานี้ แทนหลับตา ทำไปเรื่อยๆ ตามันจะหลับ ของมันเอง ในเมื่อถึงขั้นที่ มันจะต้องหลับตา หรือจะหัดทำ อย่างหลับตาเสีย ตั้งแต่ต้น ก็ตามใจ แต่วิธีที่ลืมตานั้น จะมีผลดีกว่า หลายอย่าง แต่ว่า สำหรับบางคน รู้สึกว่าทำยาก โดยเฉพาะ พวกที่ยึดถือ ในการหลับตา ย่อมไม่สามารถ ทำอย่างลืมตา ได้เลย มือปล่อยวาง ไว้บนตัก ซ้อนกัน ตามสบาย ขาขัด หรือ ซ้อนกัน โดยวิธีที่จะ ช่วยยัน น้ำหนักตัว ให้นั่งได้ถนัด และล้มยาก ขาขัด อย่างซ้อนกัน ธรรมดา หรือ จะขัดไขว้กัน นั่นแล้วแต่ จะชอบ หรือ ทำได้ คนอ้วนจะขัดขา ไขว้กันอย่างที่ เรียกขัดสมาธิเพชร นั้น ทำได้ยาก และ ไม่จำเป็น แต่ขอให้นั่งคู้ขามา เพื่อรับน้ำหนักตัว ให้สมดุลย์ ล้มยากก็พอแล้ว ขัดสมาธิ อย่างเอาจริง เอาจัง ยากๆ แบบต่างๆ นั้น ไว้สำหรับ เมื่อจะเอาจริง อย่างโยคี เถิด

ในกรณีพิเศษ สำหรับคนป่วย คนไม่ค่อยสบาย หรือ แม้แต่ คนเหนื่อย จะนั่งอิง หรือ นั่งเก้าอี้ หรือ เก้าอี้ผ้าใบ สำหรับเอนทอด เล็กน้อย หรือ นอนเลย สำหรับคนเจ็บไข้ ก็ทำได้ ทำในที่ ไม่อับอากาศ หายใจได้สบาย ไม่มีอะไรกวน จนเกินไป เสียงอึกทึก ที่ดังสม่ำเสมอ และ ไม่มีความหมาย อะไร เช่น เสียงคลื่น เสียงโรงงาน เหล่านี้ ไม่เป็นอุปสรรค (เว้นแต่ จะไป ยึดถือเอาว่า เป็นอุปสรรค เสียเอง) เสียงที่มี ความหมายต่างๆ (เช่น เสียงคนพูดกัน) นั้นเป็นอุปสรรค แก่ผู้หัดทำ ถ้าหาที่เงียบเสียง ไม่ได้ ก็ให้ถือว่า ไม่มีเสียงอะไร ตั้งใจทำไป ก็แล้วกัน มันจะค่อยได้เอง

ทั้งที่ตามองเหม่อ ดูปลายจมูกอยู่ ก็สามารถ รวมความนึก หรือ ความรู้สึก หรือ เรียกภาษาวัดว่า สติ ไปกำหนด จับอยู่ที่ ลมหายใจ เข้าออก ของตัวเองได้ (คนที่ชอบหลับตา ก็หลับตาแล้ว ตั้งแต่ตอนนี้) คนชอบลืมตา ลืมไปได้เรื่อย จนมันค่อยๆ หลับของมันเอง เมื่อเป็นสมาธิ มากขึ้นๆ เพื่อจะให้กำหนดได้ง่ายๆ ในชั้นแรกหัด ให้พยายาม หายใจ ให้ยาวที่สุด ที่จะยาวได้ ด้วยการฝืน ทั้งเข้า และ ออก หลายๆ ครั้งเสียก่อน เพื่อจะได้รู้ของตัวเอง ให้ชัดเจนว่า ลมหายใจ ที่มันลาก เข้าออก เป็นทาง อยู่ภายในนั้น มันลาก ถูก หรือ กระทบ อะไรบ้าง ในลักษณะอย่างไร และกำหนดได้ง่ายๆ ว่า มันไปรู้สึกว่า สุดลง ที่ตรงไหน ที่ในท้อง (โดยเอาความรู้สึก ที่กระเทือน นั้น เป็นเกณฑ์ ไม่ต้อง เอาความจริง เป็นเกณฑ์) พอเป็นเครื่องกำหนด ส่วนสุดข้างใน และส่วนสุดข้างนอก ก็กำหนดง่ายๆ เท่าที่จะกำหนดได้ คนธรรมดา จะรู้สึกลมหายใจ กระทบปลาย จะงอยจมูก ให้ถือเอา ตรงนั้น เป็นที่สุดข้างนอก (ถ้าคนจมูกแฟบ หน้าหัก ริมฝีปากเชิด ลมจะกระทบ ปลายริมฝีปากบน อย่างนี้ ก็ให้กำหนด เอาที่ตรงนั้น ว่าเป็นที่สุดข้างนอก) แล้วก็จะได้ จุดทั้งข้างนอก และข้างใน โดยกำหนดเอาว่า ที่ปลายจมูก จุดหนึ่ง ที่สะดือจุดหนึ่ง แล้วลมหายใจ ได้ลากตัวมันเอง ไปมา อยู่ระหว่าง จุดสองจุด นี้ ขึ้นลงอยู่เสมอ ทีนี้ ทำใจของเรา ให้เป็นเหมือน อะไรที่คอย วิ่งตามลมนั้น ไม่ยอมพราก ทุกครั้ง ที่หายใจทั้งขึ้น และลง ตลอดเวลา ที่ทำสมาธินี้ นี้จัดเป็นขั้นหนึ่ง ของการกระทำ เรียกกันง่ายๆ ในที่นี้ก่อนว่า ขั้น "วิ่งตามตลอดเวลา"

กล่าวมาแล้ว่า เริ่มต้นทีเดียว ให้พยายามฝืนหายใจให้ยาวที่สุด และให้แรงๆ และหยาบที่สุด หลายๆ ครั้ง เพื่อให้พบจุดหัวท้าย แล้วพบเส้นที่ลาก อยู่ตรงกลางๆ ได้ชัดเจน เมื่อจิต(หรือสติ) จับหรือ กำหนดตัวลมหายใจ ทึ่เข้าๆ ออกๆ ได้ โดยทำความรู้สึก ที่ๆ ลมมันกระทบ ลากไป แล้วไปสุดลง ที่ตรงไหน แล้วจึงกลับเข้า หรือ กลับออก ก็ตาม ดังนี้แล้ว ก็ค่อยๆ ผ่อน ให้การหายใจนั้น ค่อยๆ เปลี่ยน เป็นหายใจอย่างธรรมดา โดยไม่ต้องฝืน แต่สตินั้น คงที่กำหนดที่ ลมได้ตลอดเวลา ตลอดสาย เช่นเดียวกับเมื่อ แกล้งหายใจหยาบๆ แรงนั้นเหมือนกัน คือกำหนด ได้ตลอดสาย ที่ลมผ่าน จากจุดข้างใน คือ สะดือ (หรือท้องส่วนล่างก็ตาม) ถึงจุดข้างนอก คือ ปลายจมูก (หรือ ปลายริมฝีปากบน แล้วแต่กรณี) ลมหายใจ จะละเอียด หรือ แผ่วลงอย่างไร สติก็คงกำหนด ได้ชัดเจน อยู่เสมอไป โดยให้การกำหนด นั้น ประณีต ละเอียด เข้าตามส่วน ถ้าเผอิญเป็นว่า เกิดกำหนดไม่ได้ เพราะลมละเอียดเกินไป ก็ให้ตั้งต้นหายใจ ให้หยาบ หรือ แรงกันใหม่ (แม้จะไม่เท่าทีแรก ก็เอาพอให้กำหนด ได้ชัดเจน ก็แล้วกัน) กำหนดกันไปใหม่ จนให้มีสติ รู้สึก อยู่ที่ ลมหายใจ ไม่มีขาดตอน ให้จนได้ คือ จนกระทั่ง หายใจอยู่ตามธรรมดา ไม่มีฝืนอะไร ก็กำหนดได้ตลอด มันยาว หรือสั้นแค่ไหน ก็รู้ มันหนัก หรือเบาเพียงไหน มันก็รู้พร้อม อยู่ในนั้น เพราะสติ เพียงแต่คอยเกาะแจอยู่ ติดตามไปมา อยู่กับลม ตลอดเวลา ทำได้อย่างนี้ เรียกว่า ทำการบริกรรม ในขั้น "วิ่งตามไปกับลม" ได้สำเร็จ การทำไม่สำเร็จนั้น คือ สติ (หรือความนึก) ไม่อยู่กับลม ตลอดเวลา เผลอเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มันหนีไปอยู่ บ้านช่อง เรือกสวนไร่นา เสียเมื่อไหร่ ก็ไม่รู้ มารู้เมื่อ มันไปแล้ว และก็ไม่รู้ว่า มันไปเมื่อไหร่ โดยอาการอย่างไร เป็นต้น พอรู้ ก็จับตัวมันมาใหม่ และฝึกกันไป กว่าจะได้ ในขั้นนี้ ครั้งหนึ่ง ๑๐ นาที เป็นอย่างน้อย แล้วจึงค่อยฝึกขั้นต่อไป

ขั้นต่อไป ซึ่งเรียกว่า บริกรรมขั้นที่สอง หรือ ขั้น "ดักดู อยู่แต่ ตรงที่แห่งใด แห่งหนึ่ง" นั้น จะทำต่อเมื่อ ทำขั้นแรก ข้างต้นได้แล้ว เป็นดีที่สุด (หรือใคร จะสามารถ ข้ามมาทำขั้นที่สอง นี้ได้เลย ก็ไม่ว่า) ในขั้นนี้ จะให้สติ (หรือความนึก) คอยดักกำหนด อยู่ตรงที่ใด แห่งหนึ่ง โดยเลิก การวิ่งตามลมเสีย ให้กำหนดความรู้สึก เมื่อลมหายใจ เข้าไปถึง ที่สุดข้างใน (คือสะดือ) ครั้งหนึ่ง แล้วปล่อยว่าง หรือวางเฉย แล้วมากำหนด รู้สึกกัน เมื่อลมออก มากระทบ ที่สุดข้างนอก (คือปลายจมูก) อีกครั้งหนึ่ง แล้วก็ปล่อยว่าง หรือ วางเฉย จนมีการกระทบ ส่วนสุดข้างใน (คือสะดือ) อีก ทำนองนี้ เรื่อยไป ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เมื่อเป็นขณะที่ปล่อยว่าง หรือ วางเฉย นั้น จิตก็ไม่ได้หนี ไปอยู่บ้านช่อง ไร่นา หรือที่ไหน เลยเหมือนกัน แปลว่า สติคอยกำหนด ที่ส่วนสุด ข้างในแห่งหนึ่ง ข้างนอกแห่งหนึ่ง ระหว่างนั้น ปล่อยเงียบ หรือ ว่าง เมื่อทำได้อย่างนี้เป็นที่แน่นอนแล้ว ก็เลิกกำหนด ข้างในเสีย คงกำหนด แต่ข้างนอก คือที่ปลายจมูก แห่งเดียวก็ได้ สติคอยเฝ้ากำหนด อยู่แต่ที่ จะงอยจมูก ไม่ว่าลมจะกระทบ เมื่อหายใจเข้า หรือเมื่อหายใจออก ก็ตาม ให้กำหนดรู้ ทุกครั้ง สมมติเรียกว่า เฝ้าแต่ตรงที่ ปากประตู ให้มีความรู้สึก ครั้งหนึ่งๆ เมื่อลมผ่าน นอกนั้น ว่าง หรือ เงียบ ระยะกลาง ที่ว่าง หรือ เงียบ นั้น จิตไม่ได้หนี ไปอยู่ที่บ้านช่อง หรือที่ไหน อีกเหมือนกัน ทำได้อย่างนี้ เรียกว่า ทำบริกรรมในขั้น "ดักอยู่แต่ ในที่แห่งหนึ่ง" นั้น ได้สำเร็จ จะไม่สำเร็จ ก็ตรงที่จิตหนีไป เสียเมื่อไหร่ ก็ไม่รู้ มันกลับเข้าไป ในประตู หรือ เข้าประตูแล้ว ลอดหนีไปทางไหนเสียก็ได้ ทั้งนี้เพราะระยะที่ว่าง หรือ เงียบนั้น เป็นไปไม่ถูกต้อง และทำไม่ดีมาตั้งแต่ข้างต้น ของขั้นนี้ เพราะฉะนั้น ควรทำให้ดี หนักแน่น และแม่นยำ มาตั้งแต่ขั้นแรก คือ ขั้น "วิ่งตามตลอดเวลา" นั้นทีเดียว

แม้ขั้นต้นที่สุด หรือที่เรียกว่า ขั้น "วิ่งตามตลอดเวลา" ก็ไม่ใช่ทำได้โดยง่าย สำหรับทุกคน และเมื่อทำได้ ก็มีผลเกินคาดมาแล้ว ทั้งทางกายและทางใจ จึงควรทำให้ได้ และทำให้เสมอๆ จนเป็นของเล่น อย่างการบริหารกาย มีเวลา สองนาทีก็ทำ เริ่มหายใจ ให้แรงจนกระดูกลั่น ก็ยิ่งดี จนมีเสียงหวีด หรือ ซูดซาด ก็ได้ แล้วค่อยผ่อน ให้เบาไปๆ จนเข้า ระดับปรกติ ของมัน ตามธรรมดาที่คนเราหายใจ อยู่นั้น ไม่ใช่ระดับปรกติ แต่ว่า ต่ำกว่า หรือ น้อยกว่าปรกติ โดยไม่รู้สึกตัว โดยเฉพาะ เมื่อทำกิจการงานต่างๆ หรือ อยู่ในอิริยาบถ ที่ไม่เป็นอิสระ นั้น ลมหายใจของตัวเอง อยู่ในลักษณะ ที่ต่ำกว่าปรกติ ที่ควรจะเป็น ทั้งที่ตนเอง ไม่ทราบได้ เพราะฉะนั้น จึงให้เริ่มด้วย หายใจอย่างรุนแรง เสียก่อน แล้วจึงค่อยปล่อย ให้เป็นไป ตามปรกติ อย่างนี้ จะได้ลมหายใจ ที่เป็นสายกลาง หรือ พอดี และทำร่างกาย ให้อยู่ในสภาพ ปรกติด้วย เหมาะสำหรับ จะกำหนด เป็นนิมิต ของอานาปานสติ ในขั้นต้น นี้ด้วย ขอย้ำ อีกครั้งหนึ่งว่า การบริกรรมขั้นต้น ที่สุดนี้ ขอให้ทำ จนเป็นของเล่นปรกติ สำหรับทุกคน และทุกโอกาสเถิด จะมีประโยชน์ ในส่วนสุขภาพ ทั้งทางกาย และทางใจ อย่างยิ่ง แล้วจะเป็น บันได สำหรับขั้นที่สอง ต่อไปอีกด้วย

แท้จริง ความแตกต่างกัน ในระหว่างขั้น "วิ่งตามตลอดเวลา" กับขั้น "ดักดูอยู่เป็นแห่งๆ" นั้น มีไม่มากมายอะไรนัก เป็นแต่เป็นการ ผ่อนให้ประณีตเข้า คือ มีระยะ การกำหนดด้วยสติ น้อยเข้า แต่คงมีผล คือ จิตหนีไปไม่ได้ เท่ากัน เพื่อให้เข้าใจง่าย จะเปรียบกับ พี่เลี้ยง ไกวเปลเด็ก อยู่ข้างเสาเปล ขั้นแรก จับเด็กใส่ลงในเปล แล้วเด็กมันยัง ไม่ง่วง ยังคอยจะดิ้น หรือ ลุกออกจากเปล ในขั้นนี้ พี่เลี้ยง จะต้องคอย จับตาดู แหงนหน้าไปมา ดูเปล ไม่ให้วางตาได้ ซ้ายที ขวาที อยู่ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้เด็ก มีโอกาสตกลงมา จากเปลได้ ครั้นเด็กชักจะยอมนอน คือ ไม่ค่อยดิ้นรนแล้ว พี่เลี้ยง ก็หมดความจำเป็น ที่จะต้อง แหงนหน้าไปมา ซ้ายทีขวาที ตามระยะ ที่เปลไกวไป ไกวมา พี่เลี้ยง คงเพียงแต่ มองเด็ก เมื่อเปลไกว มาตรงหน้าตน เท่านั้น ก็พอแล้ว มองแต่เพียง ครั้งหนึ่งๆ เป็นระยะๆ ขณะที่เปลไกว ไปมา ตรงหน้าตน พอดี เด็กก็ไม่มีโอกาส ลงจากเปล เหมือนกัน เพราะ เด็กชักจะยอมนอน ขึ้นมา ดังกล่าวมาแล้ว ระยะแรก ของการบริกรรม กำหนดลมหายใจ ในขั้น "วิ่งตามตลอดเวลา" นี้ ก็เปรียบกันได้กับ ระยะที่พี่เลี้ยง ต้องคอยส่ายหน้า ไปมา ตามเปลที่ไกว ไม่ให้วางตาได้ ส่วนระยะที่สอง ที่กำหนดลมหายใจเฉพาะที่ปลายจมูก หรือที่เรียกว่า ขั้น "ดักอยู่ แห่งใดแห่งหนึ่ง" นั้น ก็คือ ขั้นที่ เด็กชักจะง่วง และยอมนอน จนพี่เลี้ยง จับตาดูเฉพาะ เมื่อเปลไกว มาตรงหน้าตน นั่นเอง

เมื่อฝึกหัด มาได้ถึง ขั้นที่สอง นี้อย่างเต็มที่ ก็อาจฝึกต่อไป ถึงขั้นที่ ผ่อนระยะการกำหนดของสติ ให้ประณีตเข้าๆ จนเกิดสมาธิ ชนิดที่แน่วแน่ เป็นลำดับไป จนถึงเป็นฌาณ ขั้นใด ขั้นหนึ่ง ได้ ซึ่งพ้นไปจาก สมาธิอย่างง่ายๆ ในขั้นต้นๆ สำหรับ คนธรรมดาทั่วไป และไม่สามารถ นำมากล่าว รวมกัน ไว้ในที่นี้ เพราะเป็นเรื่อง ที่ละเอียด รัดกุม มีหลักเกณฑ์ ซับซ้อน ต้องศึกษากัน เฉพาะผู้สนใจ ถึงขั้นนั้น

ในชั้นนี้ เพียงแต่ขอให้สนใจ ในขั้นมูลฐาน กันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเป็น ของเคยชิน เป็นธรรมดา อันอาจจะ ตะล่อมเข้าเป็น ชั้นสูงขึ้นไป ตามลำดับ ในภายหลัง ขอให้ ฆราวาสทั่วไป ได้มีโอกาส ทำสมาธิ ชนิดที่อาจทำ ประโยชน์ทั้ง ทางกาย และทางใจ สมความต้องการ ในขั้นต้น เสียชั้นหนึ่งก่อน เพื่อจะได้เป็นผู้ชื่อว่า มีศีล สมาธิ ปัญญา ครบสามประการ หรือ มีความเป็น ผู้ประกอบตนอยู่ใน มรรคมีองค์แปดประการ ได้ครบถ้วน แม้ในขั้นต้น ก็ยังดีกว่า ไม่มีเป็นไหนๆ กายจะระงับ ลงไปกว่า ที่เป็นอยู่ ตามปรกติ ก็ด้วยการฝึกสมาธิ สูงขึ้นไป ตามลำดับๆ เท่านั้น และจะได้พบ "สิ่งที่มนุษย์ ควรจะได้พบ" อีกสิ่งหนึ่ง ซึ่งทำให้ไม่เสียที ที่เกิดมา. 

 

หอสมุดธรรมทาน

๒๘ สิงหาคม ๒๔๙๑


454
คณะหนังสือพิมพ์ศานติสาสน์ มาขอให้ข้าพเจ้าช่วยเขียนเรื่องเป็นปฐมฤกษ์ให้แก่หนังสือพิมพ์ของตน. ในฐานะที่เราเป็นพวกใฝ่ศานติภาพด้วยกัน ข้าพเจ้าจึงยินดีรับและเขียนเรื่องนี้ ดังที่ปรากฏแก่ตาท่านทั้งหลายอยู่บัดนี้.

ความสุขหรือความทุกข์ ศานติภาพหรือความโกลาหลนั้น มันสำเร็จอยู่ที่ใจ ซึ่งจะเป็นตัวผู้รู้สึกเท่านั้น เช่นเดียวกับ สวมรองเท้าหนังบุยางอยู่เสมอ เราก็รู้สึกหรือได้รับผลเป็นว่า พื้นแผ่นดินในโลกนี้ทั้งหมดเทวดาท่านปูลาดไว้ด้วยแผ่นหนังซับยางไม่มีที่ว่างเว้นเลย. และโดยทำนองตรงกันข้าม ถ้าหากว่ารองเท้าที่เราสวมนั้น มีตะปู ๔-๕ ตัว แลบออกมาจากพื้นรองเท้า และเจาะพื้นหนังเท้าของเรา ทุกๆ ก้าวที่เราก้าวไปแล้ว โลกนี้ก็กลายเป็นโลกที่เทวดาลาดไว้ด้วยหนามเท่านั้นเอง. เพราะเหตุนี้เป็นอันกล่าวได้ว่า เราสามารถที่จะสร้างโลกของเราเอง ให้เป็นโลกที่ตรงกับความต้องการของเรา ได้ทุกเมื่อ ถ้าเราสามารถจัดการกับตัวเราเอง คือใจของเราเอง โดยไม่ต้องเกี่ยวข้องกับผู้อื่นหรือสิ่งอื่นเลย.

ศานติภาพจริงๆ นั้น มีในโลกนี้ไม่ได้ดอก เพราะเหตุว่าชีวิตได้เป็นตัวสงครามเสียเองแล้ว. โลกคือชีวิต ชีวิตเป็นเพียงสีเขียว สีแดง หรือสีอะไรก็ได้ ที่ป้ายกันไปป้ายกันมาบนสิ่งๆ หนึ่ง ที่ไม่มีสีอะไรเลย ตัณหาเป็นผู้ป้าย อุปาทานเป็นแปรงสำหรับชุบสีป้าย. มีกายหรือวัตถุเป็นแผ่นกระดาษที่รองรับสี, "สิ่ง" ที่ไม่มีอะไรเลยนั้น. ไม่ใช่สิ่งเดียวกับกระดาษ ไม่ใช่สิ่งเดียวกับสีที่ป้าย เพราะว่า กระดาษก็มีสีอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่แล้ว อย่างน้อยที่สุดก็สีขาว ถ้าหากว่าท่านหาตัวสิ่งที่ไม่มีสีพบ ก็แปลว่า ท่านอาจหาศานติภาพพบ. แต่ว่า แม้ท่านจะคว่ำกระป๋องสีทั้งสิ้น หรือเผากระดาษแผ่นนั้นเสียด้วย ท่านก็ไม่อาจพบ "สิ่ง" ที่ไม่มีสีนั้นเลย เพราะเหตุว่า "สิ่ง" ที่ไม่มีสีนั้น ที่สีก็มี ที่แปรงก็มี ที่กระดาษก็มี และมีอยู่ในที่ทั่วไปด้วย. สีอาจจะป้ายให้กระดาษเลอะเทอะได้ แต่ไม่สามารถป้าย "สิ่ง" ที่ไม่มีสีให้เลอะเทอะได้ แม้ว่าจะได้ป้ายเข้าที่สิ่งนั้น. เพราะฉะนั้น ศานติภาพที่แท้จริงนั้น เราไม่จำเป็นจะต้องไปหาจากที่อื่น ให้นอกไปจากโลก ทั้งที่ในโลกนั้นไม่มีศานติภาพเลย เช่นเดียวกับที่เราอาจจะ "หยั่งเห็น" สิ่งที่ไม่มีสีเลย ได้ตรงที่ที่มีสีดำ สีแดง สีขาว สีเขียว ฯลฯ นั่นเอง, ท่านจงปัดสีไปเสียทางหนึ่ง แล้วปัดกระดาษไปเสียอีกทางหนึ่ง แล้วท่านจะพบสิ่งที่ไม่มีสี แต่อย่าเพ่อนึกเอาล่วงหน้าว่าเป็นความสูญเปล่า, ถ้าปรากฏเป็นความสูญเปล่า ก็ต้องถือว่า ท่านยังไม่มี "ตา".

ศานติภาพหรือสิ่งที่ยังไม่มีสีนั้น ต้องเป็นสิ่งที่ไม่ถูกอะไรทำขึ้น ไม่มีอะไรปรุง ไม่มีอะไรกวน ทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน. โลกนี้ หรือชีวิตนี้ เป็นสิ่งที่มีสิ่งอื่นทำขึ้น ปรุงขึ้น และกวนให้ปั่นป่วนอยู่เสมอ ทั้งอดีต อนาคต ปัจจุบัน. ความเกิดขึ้นมา ก็ไม่ใช่ของมัน เพราะมันเกิดเองไม่ได้ สิ่งอื่นหลายสิ่งปรุงหรือทำมันขึ้นมาด้วยเหตุผลอย่างอื่นต่างหาก มันจึงไม่มีอิสระเป็นตัวมันเอง จึงสงบไม่ได้ ตลอดเวลาที่ยังเป็นอิสระไม่ได้. การทำสงคราม การจัดเรื่องเศรษฐกิจ ศิลปะ วัฒนธรรม อารยธรรม หรือการศึกษาสาขาใด แม้จะจัดให้ดีอย่างไรก็ตาม ชีวิตนั้นก็ไม่มีโอกาสที่จะพบกันเข้ากับศานติภาพ หรือสิ่งที่ไม่มีสีนั้นเลย เพราะว่า สงคราม เศรษฐกิจ ศิลปะ วัฒนธรรม อารยธรรม และการศึกษาต่างๆ ของโลก ก็คือสีที่เลอะเทอะเราดีๆ นี่เอง และเป็นสงครามอยู่ในตัว, เป็นขบถอยู่ในตัว.

จงให้ชีวิต ที่มีปรกติธรรมดาร่อแร่ จวนจะจมน้ำตายอยู่เสมอนั้น มองให้ทะลุตัวมันเองหรือโลกทั้งสิ้น ข้ามไปยังฟากฝั่งข้างโน้นเถิด จะพบศานติภาพ หรือ "สิ่ง" ที่ไม่มีสี จงระคนสีเขียว เหลือง แดง ฯลฯ ที่เลอะเทอะเหล่านั้นเข้าด้วยกันให้เหมาะส่วนจนกลายเป็นสีขาว แล้วเพิกถอนสีขาวให้สิ้นสูญไปอีกครั้งหนึ่งเถิด จะได้ความสงบซึ่งไม่มีสี อันเป็นจุดมุ่งของชีวิตทั้งมวล. นั่นแล คือ ศานติภาพ.

 

พุทธทาสภิกขุ

ปทุมคงคา  ๖ มีนาคม ๒๔๘๙


455
จะมีชีวิตเป็นคนอยู่อย่างไร จึงจะไม่ขาดทุน
ฉันอยากให้เพื่อนมนุษย์ของฉันทุกคน คิดปัญหาข้อที่ว่า ถ้าเราจะไม่เป็นคนชนิดที่เหมือนกับเขา แต่จะเป็นอย่างของเรา เราจะต้องเป็นอย่างไรจึงจะไม่ขาดทุน.

 บางคนคงจะย้อนถามฉันว่า การเป็นคนอยู่ทุกวันๆ นี้ ต้องลงทุนด้วยหรือ? เห็นมีแต่ลงทุนเรียน ลงทุนค้า หรืออะไรทำนองนี้ทั้งนั้น ไม่เห็นมีใครลงทุนในการเป็นคนเลย.

ฉันจะต้องขอโทษ ในการที่ฉันมีความเห็นว่า การเคลื่อนไหวของเราทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายการทำ หรือเป็นการรับผลของการทำ ล้วนแต่เป็นการลงทุนในการเป็นคนไปหมด เราลงทุนลงแรงวิ่งแล่นไปในวัฏสงสาร ลงทุนมาเกิดเป็นคน ลงทุนในการดำรงชีพเป็นอยู่, ต้องหัวเราะ ต้องร้องไห้ อิ่ม หิว รัก โศก เพลิน หงอย ไปห้องน้ำ ไปห้องส้วม ฯลฯ ป่วยไข้ หาย สบาย กระทั่งตาย เพื่อเกิดใหม่ในที่สุด ทั้งหมดนี้เป็นการลงทุน เรียนเพื่อรู้ แล้วเข็ดหลาบในการที่จะไม่ต้องวิ่งมาวนเวียน เป็นเช่นเดียวกันต่อไปอีก ฉันเห็นว่า ทั้งการกระทำ และการรับผลของการกระทำทั้งดีและชั่วทั้งหมดนั้น ล้วนแต่เป็นการถูกธรรมชาติบังคับให้เราทำและเป็นไป. เป็นการ ลงทุนเรียน เพื่อให้เรากลายเป็นผู้สามารถขึ้นอยู่เหนือกฏเหล่านั้นคือ นิพพาน! ถ้าเราไม่ลงทุนด้วยการลองมาเป็นคนดูเสียก่อน เราก็จะไม่มีความรู้อะไรเลย ในการที่จะถอนตัวขึ้นให้พ้นจากการที่จะต้องเป็นคน (หรือเป็นสัตว์) ไป อย่างไม่มีที่สิ้นสุด, เราลงทุนด้วย การทนเป็นคน เพื่อเรียนรู้และ สอบไล่ ให้ได้ถึง ขั้นที่จะไม่ต้องเป็นคน อีกต่อไป. การตายช่วยอะไรเราไม่ได้ในข้อนี้ เพราะมันกลับมาเกิดอีก, เว้นไว้แต่เราจะเป็นคนให้ครบถ้วนตามหลักสูตรเสียก่อน คือเป็นคนชนิดที่มีกำไร ไม่ขาดทุน. หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ ศึกษาให้รู้จักการเป็นคนด้วยการเคยเป็นคนเสียอย่างเต็มที่ จนตนสามารถเอาชนะอยู่เหนือการเป็นคนของตนเอง ได้นั่นเอง. เราจะเป็นผู้มีกำไรประจำวัน ทุกๆ วันได้ ด้วยการที่เรามีทุกข์กะใครไม่เป็น ไม่ว่าเหตุการณ์อย่างใดจะเกิดขึ้น และเราจะงบยอดมีกำไรเด็ดขาดในขั้นสุด ในการที่เราเข้าถึงขีดที่ความทุกข์ไม่อาจเกิดขึ้นอีกต่อไป.

บางคนคงจะถามว่า ถ้าเกิดมาทำงานได้รับผลสำเร็จร่ำรวยสมบูรณ์พูนสุขด้วยเกียรติและทรัพย์แล้ว ยังจะว่าขาดทุน ในการเป็นคนอีกหรือ ?

ฉันตอบว่า การสมบูรณ์พูนสุขนั้น ก็เป็นเพียงการลงทุนอย่างหนึ่ง หรือตอนหนึ่งของการลงทุนในการเป็นคนเท่านั้น คือ เป็นการลงทุนเพื่อให้เราได้เรียนรู้ว่า มันก็เป็นของหลอกๆ เช่นเดียวกับการตกระกำลำบากเหมือนกัน. ครั้นเรารู้จักมันอย่างถูกต้องแล้ว เราก็จะเป็นคนมากขึ้นอีก จนกระทั่งเป็นคนที่เต็ม (Perfected) โดยทุกๆ ทาง ในการที่จะบริสุทธิ์ สว่างไสว และสุขเย็น. ความสมบูรณ์พูนสุขจึงเป็นเพียงการลงทุนเท่านั้น ยังหาใช่ผลกำไรแห่งการเป็นคนไม่ ก็ถ้าใครหลงเอาต้นทุนมาใช้จ่ายเสีย อย่างกะว่ามันเป็นผลกำไรแล้ว คนนั้นก็จะหมดกระเป๋าเลย! แล้วเขาก็จะต้องฟุบหน้าร้องไห้กับพื้นดิน ตรงที่เขายืนนั่นเอง, ไม่เชื่อใครลองใช้ความสมบูรณ์พูนสุข ในฐานเป็นผลกำไรของชีวิตดูเถิด!

เชิญท่านลอง ค้าการเป็นคน ของท่านดูเรื่อยๆ ไปเถิด ท่านจะเห็นเอง.

 

พุทธทาส อินทปัญโญ

หอสมุดธรรมทาน ไชยา
๑๙ มีนาคม ๒๔๘๖

 

456
บทความ บทกวี / ใครทุกข์ ? ใครสุข?
« เมื่อ: 06 เม.ย. 2550, 03:46:06 »
 
พระพุทธองค์ตรัสว่า "เมื่อกล่าวสรุปให้สั้นที่สุดแล้ว เบญจขันธ์ที่ยังมีอุปาทาน เป็นตัวทุกข์." (สงฺขิตฺเตน ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขา) เมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมทำให้เกิดความสงสัยว่า ถ้าขันธ์เป็นทุกข์ ก็ช่างมันเป็นไร เราอย่าทุกข์ก็แล้วกัน มิใช่หรือ?

บาลีแห่งอื่นก็มีอีกว่า "ตัวทุกข์นั้นมีอยู่แท้ แต่บุคคลผู้เป็นทุกข์หามีไม่" (ทุกฺขเมว หิ น โกจิ ทุกฺขิโต การโก น, กิริยา วิชฺชติ) นี่ก็เช่นเดียวกันอีก แสดงว่าตัวตนของเราไม่มี. ทุกข์อยู่ที่รูปและนาม. นี้ก็ก่อให้เกิดคำถามว่า เราจะพยายามทำที่สุดทุกข์ไปทำไม เมื่อเราผู้เป็นเจ้าทุกข์ก็ไม่มีเสียแล้ว, พยายามให้ใคร. ใครจะเป็นผู้รับสุข ทำบุญกุศลเพื่ออะไรกัน?

เพื่อขบปัญหานี้ให้แตกหัก โดยตนเองทุกๆ คน (เพราะธรรมะเป็นของเฉพาะตน). ข้าพเจ้าขอเสนอแนวคิดสั้นๆ แต่กว้างขวางออกไป แด่ท่านทั้งหลายสำหรับจะได้นำไปคิดไปตรอง จนแจ่มแจ้งในใจด้วยปัญญาของตนเองแล้ว และบำบัดความหนักใจ หม่นหมองใจ อันเกิดแต่ความสงสัย และลังเลในการประพฤติธรรมของตน ให้เบาบางไปได้บ้าง ดังต่อไปนี้ :-

ร่างกายและจิตใจสองอย่างนี้ รวมกันเข้าเรียกว่า นามรูป, หรือเรียกว่า เบญจขันธ์ เมื่อแยกให้เป็น ๕ ส่วน. ในร่างกายและจิตใจนี้ ถ้ายังมีอุปาทาน กล่าวคือความยึดถือว่า "ของฉัน" ว่า "ฉัน" อยู่เพียงใดแล้ว ความทุกข์นานัปการ ตั้งต้นแต่ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย จนถึงความหม่นหมองร้ายแรงอย่างอื่น เช่น อยากแล้วไม่ได้สมอยาก เป็นต้น ก็ยังมีอยู่ และออกฤทธิ์แผดเผาทรมานร่างกายและจิตใจอันนั้นเอง. แต่เมื่อใดอุปาทานอันนี้หมดไปจากจิต ผู้นั้นไม่มีความสำคัญตนหรือรู้สึกตนว่า "ฉันมี", "นี่เป็นของฉัน" เป็นต้นแล้ว ทุกข์ทั้งมวลดังกล่าวก็ตกไปจากจิตอย่างไม่มีเหลือ เพราะเราอาจที่จะไม่รับเอาว่าร่างกายและจิตใจนี้เป็นของเรา และสิ่งที่เกิดขึ้นแก่มันว่าเป็นของเราได้จริงๆ.

แต่พึงทราบว่า เมื่ออวิชชา (ความโง่หลง) ยังมีอยู่ในสันดานเพียงใดแล้ว ความสำคัญว่าเรา หรือของเรา มันก็สิงอยู่ในสันดานเรา โดยเราไม่ต้องรู้สึก เพราะฉะนั้น เราจึงรับเอาความทุกข์ทั้งมวลเข้ามาเป็นของเรา โดยเราไม่รู้สึกตัว; จึงกล่าวได้ว่า ตัวตนของเรา มีอยู่ในขณะที่เรายังมีอวิชชาหรืออุปาทาน เพราะสิ่งที่เป็นตัวตน (ตามที่เรารู้สึกและยึดถือไว้ในสันดานนั้น) เป็นสิ่งที่ถูกสร้างให้เกิดขึ้นโดยอวิชชานั่นเอง. ตัวตนไม่มีในเมื่อหมดอวิชชา.

เมื่อใดหมดอวิชชา หรือความโง่หลง เมื่อนั้น "ตัวตน" ก็ทำลายไปตาม; ความรู้สึกว่า "เรา" ก็ไม่มีในสันดานเรา; ไม่มีใครเป็นผู้ทำ หรือรับผลของอะไร จึงไม่มีทุกข์, ความจริงนั้นมีแต่นามรูปซึ่งเกิดขึ้น, แปรปรวน, ดับไปตามธรรมดาของมัน เรียกว่า มันเป็นทุกข์. เมื่ออวิชชาในสันดานเรา (หรือในนามรูปนั้นเอง) ก่อให้เกิดความรู้สึกว่า "นามรูปคือตัวเรา" แล้ว "เรา" ก็เกิดขึ้นสำหรับเป็นทุกข์, หรือรับทุกข์ทั้งมวลของนามรูปอันเป็นอยู่ตามธรรมชาตินั้น. เห็นได้ว่า "เราที่แท้จริง" นั้นไม่มี มีแต่เราที่สร้างขึ้นโดยอวิชชา. ท่านจึงกล่าวว่า ความทุกข์นั้นมีจริง แต่ผู้ทุกข์หามีไม่, หรือเบญจขันธ์ที่ยังมีอุปาทาน เป็นตัวทุกข์. ที่เรารู้สึกว่า มีผู้ทุกข์ และได้แก่ตัวเรานี่เองนั้น เป็นเพราะความโง่ของเรา สร้างตัวเราขึ้นมาด้วยความโง่นั้นเอง, ตัวเราจึงมีอยู่ได้แต่ในที่ๆ ความโง่มีอยู่. ยอดปรัชญาของพุทธศาสนา จึงได้แสดงถึงความจริงในเรื่องนี้ ด้วยการคิดให้เห็นอย่างแจ่มแจ้งประจักษ์ชัดว่า "ตัวเราไม่มี" จริงๆ.

อาจมีผู้ถามว่า ก็เมื่อความจริงนั้น ตัวเราไม่มีแล้วเราจะขวนขวายประพฤติธรรมเพื่อพ้นทุกข์ทำไมเล่า? นี่ก็ตอบได้ด้วยคำที่กล่าวมาแล้วข้างต้นอีกนั่นเอง, คือว่าในขณะนี้ เราหาอาจมีความรู้ได้ไม่ว่า "ตัวเราไม่มี". เรายังโง่เหมือนคนบ้าที่ยังไม่หายบ้า ก็ไม่รู้สึกเลยว่าตนบ้า. เหตุนี้เอง "ตัวเรา" ซึ่งสร้างขึ้นด้วยความโง่ นั่นแหละมันมีอยู่, มันเป็นเจ้าทุกข์, และเป็นตัวที่เราเข้ายึดเอามาเป็นตัวเรา หรือของเราไว้โดยไม่รู้สึก. เราจึงต้องทำตามคำสอนของพระพุทธศาสนา เพื่อหายโง่ หายยึดถือ หมดทุกข์ แล้วเราก็จะรู้ได้เองทีเดียวว่า อ้อ! ตัวเรานั้น ที่แท้ไม่มีจริงๆ!! นามรูปมันพยายามดิ้นรนเพื่อตัวมันเองตลอดเวลา มันสร้าง "เรา" ขึ้นใส่ตัวมันเองด้วยความโง่ของมัน; เราที่มันสร้างขึ้น ก็คือเราที่กำลังอ่านหนังสือเล่มนี้อยู่นี่แหล่ะ !

ความทุกข์ ความสุขมีจริง. แต่ตัวผู้ทุกข์ หรือผู้สุขที่เป็น "เราจริงๆ" หามีไม่, มีแต่ "เรา" ที่สร้างขึ้นจากความไม่รู้ โดยความไม่รู้. ดับเราเสียได้ ก็พ้นทุกข์และสุข, สภาพเช่นนี้เรียกว่า นิพพาน. ที่กล่าวว่า พระนิพพานเป็นยอดสุขนั้น ไม่ถึงเข้าใจว่า เป็นสุขทำนองที่เราเข้าใจกัน, ต้องเป็นสุขเกิดจากการที่ "เรา" ดับไป และการที่พ้นจากสุขและทุกข์ ชนิดที่เราเคยรู้จักมันดีมาแต่ก่อน. แต่พระนิพพานจะมีรสชาติเป็นอย่างไรนั้น ท่านจะทราบได้เองเมื่อท่านลุถึง. มันอยู่นอกวิสัยที่จะบอกกันเข้าใจ ดังท่านเรียกกันว่า เป็นปัจจัตตัง หรือสันทิฏฐิโก.

ในพระนิพพาน ไม่มีผู้รู้, ไม่มีผู้เสวยรสชาติแห่งความสุข; เพราะอยู่เลยนั้น หรือนอกนั้นออกไป; ถ้ายังมีผู้รู้ หรือผู้เสวย ยังยินดีในรสนั้นอยู่ นั่นยังหาใช่พระนิพพานอันเป็นที่สุดทุกข์จริงๆ ไม่ แม้จะเป็นความสุขอย่างมากและน่าปรารถนาเพียงไรก็ตาม มันเป็นเพียง "ประตูของพระนิพพาน" เท่านั้น. แต่เมื่อเราถึงสถานะนั่นแล้ว เราก็แน่แท้ต่อพระนิพพานอยู่เอง.

เมื่อนามรูปยังมีอยู่  และทำหน้าที่เสวยรสเยือกเย็นอันหลั่งไหลออกมาจากการลุถึงพระนิพพานได้ ในเมื่อมันไม่เป็นที่ตั้งอาศัยแห่งอุปาทาน หรืออวิชชาอีกต่อไป. เราเรียกกันว่า นั่นเป็นภาวะแห่งนิพพาน.

เมื่อรูปนามนั้น ดับไปอย่างไม่มีเชื้อเหลืออยู่อีก นั่นก็คือ ปรินิพพาน

ดังนี้ ท่านตัดสินเอาตามความพอใจของท่านเองเถิดว่า ใครเล่าเป็นผู้ทุกข์? ใครเล่าเป็นผู้สุข? แต่พึงรู้ตัวได้ว่า ตัวเราที่กำลังจับกระดาษแผ่นนี้อ่านอยู่นั้น ก็ยังเป็นตัวเราของอวิชชาอยู่ !

๑ สิงห์ ๗๙

พุทธทาสภิกขุ


457
บทความ บทกวี / ปัญหายุ่งยาก
« เมื่อ: 06 เม.ย. 2550, 03:44:37 »
เกี่ยวกับการถือพระรัตนตรัย
คำว่า พระไตรรัตน์ หรือพระรัตนตรัย ซึ่งแปลว่า แก้วทั้งสามนั้น ในวงพุทธศาสนาเรา ใช้หมายเอาวัตถุที่สำคัญที่สุดสามอย่าง คือ พระพุทธเจ้า, พระธรรม, พระสงฆ์, ที่ได้เรียกว่า แก้ว ก็เพราะว่า ใครมีไว้ด้วยความรู้จักหรือเข้าใจ ย่อมจะนำความอิ่มเอิบมาสู่ผู้นั้น เช่นเดียวกับผู้ที่รู้จักค่าของเพชรพลอย มีเพชรพลอยก็อิ่มเอิบว่าตนเป็นผู้ร่ำรวย และมีความสุขดุจกัน. แต่มิได้หมายความว่ามีไว้อย่างกะไก่ได้พลอย แห่งนิยายอิสป.

เมื่อสังเกตตามที่เรารับถือกันอยู่ในทุกวันนี้ ดูเหมือนว่า สิ่งที่เรียกว่า พระรัตนตรัยนั้น ถูกแบ่งออกเป็นสองประเภทเสียแล้ว ทั้งที่ผู้แบ่งเองก็ไม่รู้สึก, จึงเกิดมีพระรัตนตรัยชนิดที่เป็นส่วนเปลือกผิว และพระรัตนตรัยที่เป็นเนื้อแท้ขึ้น. แต่ถึงอย่างไรก็ตาม นับว่าเป็นคุณประโยชน์ด้วยกันทั้งสองอย่าง, ทั้งนี้ก็เพราะว่าคนเรามีทั้งโง่ และฉลาด ทั้งที่ชอบลวงตัวเองและไม่ชอบ จึงเป็นอันว่า เปลือกของพระรัตนตรัยนั้น มีไว้สำหรับเด็กๆ หรือผู้ใหญ่ที่มีมันสมองอย่างเด็ก, แต่ต้องยอมให้เขาเรียกว่าองค์พระรัตนตรัยเหมือนกัน จะเรียกว่า เปลือกพระรัตนตรัยไม่ได้เป็นอันขาด. ส่วนเนื้อแท้ของพระรัตนตรัยนั้น เรามีไว้สำหรับผู้ใหญ่ที่ลืมตาแล้วโดยทั่วไป และโดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ เหมือนกันกับพวกแรก เพราะว่า ผู้ที่เป็นพระอรหันต์เสียแล้ว ย่อมหาต้องการพระรัตนตรัยไม่.

ที่จัดเป็นส่วนเปลือกนั้น หมายถึงวัตถุ ที่ผู้มีปัญญาตื้นๆ เข้ายึดถือเอาว่าเป็นองค์พระรัตนตรัย สำหรับพระพุทธเจ้า เปลือกก็คือรูปกาย ที่เป็นเนื้อหนังของพระองค์นั่นเอง ตลอดลงมาถึงพระพุทธรูป พระบรมธาตุ แม้ที่สุดแต่ต้นโพธิ์ เป็นต้น, สำหรับพระธรรม ได้แก่ เสียงที่คนเราสวดพระธรรม ตู้พระธรรม ตำราพระไตรปิฎก และวัตถุอื่นๆ ที่พากันกราบไหว้แทนพระธรรม สำหรับพระสงฆ์ ก็ทำนองเดียวกัน ได้แก่ รูปกายของผู้ที่บวชเป็นนักบวช ตลอดถึงสิ่งอื่น ซึ่งเป็นเครื่องหมายของนักบวช.

ที่เป็นส่วนเนื้อแท้นั้น หมายถึงตัวสิ่งนั้นจริงๆ อันนักศึกษาจะมองเห็นได้ด้วยปัญญาจักษุ; สำหรับพระพุทธเจ้า คือตัวปัญญา หรือความรู้ที่ทำให้เราหมดทุกข์ หมดเศร้าหมอง หมดสงสัย ร่าเริง เป็นสุขอันแท้จริงได้ ไม่ว่าจะเป็นตัวปัญญาที่มีอยู่ในพระพุทธเจ้าองค์นี้ หรือองค์ไหน ย่อมเหมือนกันหมด สำหรับพระธรรม หรือตัวความจริง หรือกฏอันยุติธรรมแท้ ของวิธีดับทุกข์บรรลุสุขนั้นๆ, อันพระพุทธเจ้าได้ค้นพบ. สำหรับพระสงฆ์ คือดวงปัญญาของผู้ที่ได้ฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว รู้แจ้งความพ้นทุกข์เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า แปลกกันเพียงที่ไม่ได้ค้นพบด้วยตนเอง เหมือนพระพุทธเจ้า หรือจะกล่าวอีกอย่างหนึ่งอย่างสั้นๆว่า ดวงจิตที่กำลังประกอบด้วยปัญญา เครื่องค้นพบความจริงอันประเสริฐโดยตนเอง นั่นเป็นพระพุทธเจ้า ตัวความจริงนั้น คือพระธรรม และดวงจิตของผู้ที่รู้ตามพระพุทธเจ้า กำลังประกอบด้วยปัญญาเป็นส่วนเครื่องพ้นทุกข์อย่างเดียวกัน นั่นเป็นพระสงฆ์ และพึงเข้าใจว่า นามว่า พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เหล่านี้ เป็นคำซึ่งสมมติขึ้น เพื่อใช้เรียกสิ่งสำคัญทั้งสามนั้น และสมมติขึ้นโดยผู้ที่รู้จัก หรือเข้าใจในสิ่งทั้งสามนั้นเป็นอย่างดี.

ที่เป็นส่วนซึ่งยังรวมกันอยู่ คือที่ยังไม่ได้แยกเปลือกและเนื้อออกจากกัน ก็คือความที่สิ่งนั้นๆ ถูกเพ่งมองอย่างรวมๆ กันไปทั้งตัวจริงของสิ่งนั้น และวัตถุที่สิ่งนั้นเข้าตั้งอาศัย, เป็นการมองของผู้ที่อยู่ในระดับปานกลาง ไม่เพ่งไปแต่ฝ่ายรูปหรือฝ่ายนามเพียงด้านใดด้านหนึ่ง, เหมาะทั้งคนธรรมดาและคนฉลาดจะมองตามเห็นตามได้ง่ายๆ สำหรับการมองทำนองนี้ พระพุทธเจ้า ก็คือ องค์พระพุทธเจ้ารวมทั้งจิตใจ หรือปัญญาซึ่งแนบเนื่องอยู่ในกายนั้น, พระธรรม ก็คือตัววัตถุเหล่าใดเหล่าหนึ่ง อันเป็นเครื่องสะดุดตาสะดุดใจคนผู้พบเห็น ช่วยให้เขาเข้าใจต่อกฏความจริงของความพ้นทุกข์ รวมทั้งตัวความจริงอันเขาจะพบได้โดยอาศัยสิ่งเหล่านั้น, แม้ที่สุดแต่ความจริงส่วนใดส่วนหนึ่ง ซึ่งเขาจะค้นพบได้ในการงานที่เขาเคยกระทำมาแล้ว หรือในการศึกษาปริยัติของเขาก็ตาม, และพระสงฆ์ ก็คือรูปกายพร้อมทั้งจิตอันบริสุทธิ์และปัญญาอันมีอยู่ในกายนั้น ของผู้ที่รู้ธรรม ตามอย่างพระพุทธเจ้า ตามที่รับปฏิบัติมาจากพระพุทธเจ้า โดยไม่ต้องค้นเอง.

ทั้งที่ความจริงนั้นมีอยู่ว่า เปลือกนั้นเป็นอย่างหนึ่ง เนื้อแท้เป็นอีกอย่างหนึ่งก็ตาม เรามักเรียกสิ่งนั้นทั้งสองสิ่งรวมเป็นสิ่งเดียวกัน คือเรียกรวมทั้งเปลือกและเนื้อของมันว่า เป็นสิ่งนั้นๆ เช่น เราเรียกทั้งเปลือกและเนื้อของมันว่า ทุเรียน เป็นต้น หากให้ชี้ถึงคุณสมบัติ ที่ควรจะได้รับเกียรติเป็นเจ้าของชื่อนั้นแล้ว ใครก็ตามจะต้องชี้ที่เนื้อทุเรียน ซึ่งรับประทานได้นั่นเอง แต่เพื่อเข้าใจง่ายๆ เรารวมเรียกทั้งหมดนั้นว่า ทุเรียน ซึ่งแปลกว้างไปถึงต้นทุเรียนก็ได้ ปล่อยให้ผู้มีดวงตาค้นหาหัวใจของคำว่า ทุเรียนเอาเอง และทุกคนแม้จะมีปัญญาต่ำเพียงไร เขาก็ย่อมอยากที่จะให้ส่วนที่กินได้นั่นแหละ เป็นหัวใจของคำว่า ทุเรียนแท้ ความเข้าใจของคนทุกคนย่อมลงรอยร่วมกันดังนี้ แม้ที่สุดแต่กระรอกกระแต ก็คงเหมือนกันหมด.

สำหรับพระรัตนตรัยนั้น หัวใจที่แท้มีเพียงอันเดียว หมายความว่า ทั้งสามนั้นเป็นอันเดียวกัน ตรงกันกับลักษณะเอกานุภาพของ Trinity ของคริสตศาสนา, ของที่ว่ามีสิ่งเดียวนั้น คือพระธรรม คนเป็นพระพุทธเจ้าได้ ก็เพราะพระธรรมซึ่งมีอยู่ในตน และตนค้นพบด้วยตน พระธรรมคือสภาพที่มีอยู่เองทั่วไป ไม่มีเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด ไม่เป็นอดีต อนาคต หรือเป็นปัจจุบันกะใครได้, เพราะเป็นเพียงตัวกฏความจริงที่ครอบงำโลกอยู่ โดยทั่วไปเท่านั้น เข้าไปสิงอยู่ในบุคคลผู้ใด ผู้นั้นก็แปรรูปจากเดิมทันที, พระสงฆ์เล่า เป็นพระสงฆ์ขึ้นมาได้ ก็เพราะพระธรรมที่ตนน้อมนำมาใส่ตนตามวิธีที่พระพุทธเจ้าสอนให้ เช่นกับที่พระองค์ทำแก่พระองค์เอง, จึงไม่มีอะไรแตกแยกออกไปจากกันได้ ทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยหัวใจ.

แต่เพื่อให้เห็นชัดเจน เข้าใจง่าย ยึดถือเอาได้ง่ายๆ สำหรับผู้ที่จะเข้ามาถือพระรัตนตรัย ซึ่งยังใหม่อยู่, จึงมีการแยกชี้ให้เห็นชัดๆ เป็นสามอย่าง, ให้แตกต่างกันออกไป โดยวัตถุที่ตั้ง อันเป็นฝ่ายรูปธรรม (Material) ทั้งสามสิ่งนี้เป็นอันเดียวกันโดยความจริงอันสูงสุด (Ultimate Truth) และแม้จะได้แยกออกเป็นสามอย่าง เพื่อให้เป็นการง่ายแก่ผู้ที่ยังใหม่ ในการที่เข้ามารับถือชั้นหนึ่งแล้วก็ตาม นั่นยังไม่เพียงพอ, ยังต้องมีการแสดงด้วยเปลือกเป็นครั้งแรก แสดงด้วยเนื้อแท้ เป็นขั้นหลัง อีกขั้นหนึ่งด้วย, เพราะฉะนั้น กว่าเราจะมีการเข้าใจในพระรัตนตรัย โดยผ่านเปลือกเข้าไปถึงเนื้อ แล้วรู้จักทำเนื้อทั้งสามนั้นให้รวมเป็นอันเดียวกันได้ เป็นตัวพระธรรมตัวเดียว, ตัวซึ่งมีรัศมีแผ่ซ่านครอบงำทั่วโลก อยู่คู่กับโลก มีอานุภาพบันดาลให้สิ่งทั้งหลายเป็นไป ตรงตามกฏแห่งความจริงอย่างเดียวนั้น มันไม่ใช่สิ่งที่เราคนเราโดยทั่วไป จะทำได้ง่ายๆ เลย.


458


คำนำ
เรื่องพระนิพพาน มิใช่เป็นเรื่องที่พูดให้จบหรือให้เข้าใจกันได้ด้วยคำพูดเพียงสองสามคำ, เพราะฉะนั้นผู้ศึกษาจะต้องอ่านทบทวนไปมา และทำการศึกษาคิดค้น ตีความและเทียบเคียง หยั่งให้ถึงความหมายของศัพท์ และประโยคไปโดยลำดับจริงๆ ไม่อ่านอย่างสะเพร่าลวกๆ หรือข้ามไปทั้งที่ไม่เข้าใจ, จึงจะมีความรู้จักตัวพระนิพพานชัดเจนเพิ่มขึ้นเป็นลำดับๆ จนกว่าจะลุถึงได้จริงๆ ด้วยการ ปฏิบัติธรรม ทางใจ, ต่อไปนี้เป็นแนวการคิดค้นหาความเข้าใจ หรือคุณค่าของพระนิพพาน เพื่อก่อให้เกิดฉันทะในการบรรลุพระนิพพานแรงกล้ายิ่งขึ้นบ้าง ไม่มากก็น้อย.

พระนิพพานไม่ใช่เป็นจิต, ไม่ใช่เป็นเจตสิกหรือสิ่งที่เกิดขึ้นกับจิต โดยอาศัยจิตนั้น, ไม่ใช่มีรูปร่าง, เป็นก้อน เป็นตัว อันเป็นประเภทรูปธรรม, ไม่ใช่บ้านเมือง ไม่ใช่ดวงดาว หรือดวงโลกในโลกใดโลกหนึ่ง, และยิ่งกว่านั้น พระนิพพานไม่ใช่สิ่งที่มีความเกิดขึ้นมา, ไม่ใช่สิ่งที่มีความดับลงไป, หรือทั้งเกิดและดับสลับกันไปในตัว, ไม่ใช่สิ่งที่มีความดับลงไป, หรือทั้งเกิดและดับสลับกันไปในตัว, แต่พระนิพพานเป็นสภาวะแห่งธรรมชาติชนิดหนึ่ง และเป็นสิ่งเดียวเท่านั้น ที่ไม่ต้องตั้งต้นการมีของตนขึ้นเหมือนสิ่งอื่นๆ แต่ก็มีอยู่ได้ตลอดไป และไม่รู้จักดับสูญ เพราะไม่มีเวลาดับหรือแม้แต่แปรปรวน.

สิ่งทั้งหลายอื่นซึ่งมีอยู่ นอกจากพระนิพพานแล้ว; แรกที่สุด มันต้องมีการเกิดขึ้น มันจึงจะมีอยู่ได้ และต้องดับไปในที่สุด แม้จะช้านานสักเพียงไรก็ตาม และยังต้องแปรไปๆ ในท่ามกลางด้วย, เพราะสิ่งนั้นมันมีการเกิดขึ้น. แม้ที่สุดแต่ดวงอาทิตย์ ซึ่งวิทยาศาสตร์ บอกว่ามีอยู่นานก่อนสิ่งใดในสากลจักรวาล มันจะต้องกลายเป็นไม่มีสักวันหนึ่ง และเราจะไม่ได้เห็นมันในเวลาเช้า และลับหายจากสายตาไปในเวลาเย็น เช่น เดี๋ยวนี้, แม้ ดิน น้ำ ไฟ หรือความร้อน ลม หรืออากาศ ก็เช่นกัน จักต้องถึงสมัยหนึ่ง ซึ่งมันจะไม่มีอยู่, เพราะสิ่งเหล่านี้ มีการเกิดขึ้นมา และเกิดขึ้นได้เป็นขึ้นได้โดยต้องอาศัยสิ่งอื่น.

ส่วนสิ่งที่เรียกว่า พระนิพพาน ไม่เป็นเช่นนั้น; ไม่มีการเกิดขึ้น ทำไมจะต้องมีการอาศัยสิ่งอื่น, เมื่อตัวเองมีของตัวเองได้ มันจึงไม่รู้จักดับ, และจะมีอยู่ตลอดไปโดยไม่มีที่สุดหรือเบื้องต้น และเหตุนี้เอง พระนิพพานจึงไม่ใช่สิ่งที่ใครจะกล่าวได้อย่างมีเหตุผลเลยว่า พระนิพพานนั้นเป็นอดีต, อนาคต หรือเป็นปัจจุบัน ได้เลย, ทั้งนี้เพราะความมีอยู่แห่งพระนิพพานนั้น แปลกกับความมีอยู่ของสิ่งอื่น อย่างสุดที่จะกำหนดมากล่าวได้. พระนิพพานมีอยู่ตลอดกาล อันไม่มีที่สุด, มีเป็นของคู่เคียงกับกาลเวลาอันไม่มีที่สิ้นสุด, แต่หากว่ากาลหรือเวลาจะเป็นสิ่งที่สิ้นสุดลงในวันหนึ่งได้ พระนิพพานก็ยังหาเป็นเช่นนั้นไม่.

พระนิพพาน เป็นสิ่งที่เปิดโอกาสเตรียมพร้อมอยู่เสมอ สำหรับที่จะพบกันเข้ากับดวงจิตของคนเราทุกๆ คน. หากแต่ว่า ดวงจิตของเราตามธรรมดา มีอะไรบางอย่างเข้าเคลือบหุ้มเสียก่อน ไม่เปิดโอกาสให้พบกันได้กับพระนิพพานเท่านั้น, พระนิพพานจึงไม่ปรากฏแก่เราว่ามีอยู่ที่ไหน ทั้งที่พระนิพพานอาจเข้าไปมีได้ในที่ทั่วไป ยิ่งเสียกว่าอากาศ ซึ่งเรากล่าวกันว่ามีทั่วไปเสียอีก. เมื่อเราไม่อาจกำหนด หรือเคยพบกับพระนิพพาน ก็เลยคิดไปว่า พระนิพพานไม่ได้มีอยู่ดังที่ท่านกล่าว เข้าใจว่าเป็นการกล่าวอย่างเล่นสำนวนสนุกๆ ไป. คนตาบอดมาแต่กำเนิดย่อมไม่รู้เรื่องแสงสว่าง หรือสีขาว แดง ทั้งที่มันมีอยู่รอบตัว หรือถึงตัวฉันใด, ผู้บอดด้วยอวิชชาซึ่งห่อหุ้มดวงจิต ก็ไม่รู้เรื่องพระนิพพาน ไม่อาจคาดคะเน พระนิพพานฉันนั้น, จนกว่าเขาจะหายบอด.

เราเกิดโผล่ออกมาจากท้องแม่สู่โลกนี้ บอดเหมือนกันหมดทุกคน จึงไม่อาจรู้เรื่องพระนิพพานได้ตั้งแต่แรกเกิด. ยิ่งผู้ที่มีตาเนื้อ ตาเนื้อก็บอดเสียอีกด้วยแล้ว ไม่อาจรู้จักแสง หรือสี ก็ยิ่งร้ายไปกว่านั้น. บอดตาไม่อาจรักษาได้ แต่บอดใจหรือบอดต่อพระนิพพานนั้นรักษาได้. ผู้ที่ตาบอด แต่ถ้าเขาหายบอดใจ เขาก็ประเสริฐกว่าผู้ที่แม้ไม่บอดตา แต่บอดใจ. นี่เราจะเห็นได้ชัดๆ ว่าแสงแห่งพระนิพพานส่องเข้าไปถึงได้ในที่ที่แสงสว่างในโลกส่องเข้าไปไม่ถึง. ดวงจิตของคนตาบอดอาจพบกับพระนิพพานได้ไม่ยากไปกว่าของคนตาดีๆ. แต่ว่าทุกๆ คนที่ตาของเขายังเห็นแสงและสีได้ ก็ไม่ยอมเชื่อหรือสำนึกว่า ตาของตนบอด, ตาข้างนอกของเขาแย่งเวลาทำงานเสียหมด ตาข้างในจึงไม่มีโอกาสทำงาน แม้ที่สุดแต่จะรู้สึกว่าตาข้างในของฉันยังบอดอยู่ก็ทั้งยาก, และยิ่งขึ้นไปกว่านั้น อาจไม่รู้สึกด้วยซ้ำไปว่ามีตาข้างในอยู่อีกดวงหนึ่ง ซึ่งเป็นดวงสำคัญที่สุดด้วย.

เมื่อเขาแก้ปัญหาชีวิตอันยุ่งเหยิง ซึ่งเป็นวิสัยส่วนของตานอกได้หมดจนสิ้นเชิง เขาก็ยังต้องพบกับความยุ่งยากอยู่อีก และเขาไม่ทราบว่า นั่นมันเป็นวิสัยส่วนของตาใน, ก็แก้ไขมันไม่ได้, ทำให้ว้าวุ่นไป โทษนั่น โทษนี่ เดาอย่างนั้น เดาอย่างนี้ ก็ไม่อาจพบกับความสุขอันแท้จริงเข้าได้เลย. นี่ ! จะเห็นได้แล้วว่า เพราะแก้มันไม่ถูก คือไม่ได้ใช้ตาในแก้, ที่ไม่ใช้เพราะตาในยังบอด, ที่ยังบอดเพราะยังไม่ได้รักษา. ที่ยังไม่ได้รักษา ก็เพราะตนยังไม่รู้เลยว่า ตาในมีอีกดวงหนึ่ง, เป็นตาสำหรับพระนิพพาน คือความสุขอันเยือกเย็นแท้จริงของชีวิต.

ใจของเราบอดเพราะอวิชชา คือความโง่หลงยิ่งกว่าโง่หลงของเราเอง นั่นเอง. เปรียบเหมือนเปลือกฟองไข่ที่หุ้มตัวลูกไก่ในไข่ไว้, เหมือนกะลามะพร้าวที่ครอบสัตว์ตัวน้อยๆ ซึ่งเกิดภายใต้กะลานั้นไว้, ฯลฯ, เหมือนเปลือกแข็งของเมล็ดพืช ซึ่งหุ้มเยื่อสารในสำหรับงอกของเมล็ดไว้, แม้แสงสว่างมีอยู่ทั่วไป มันก็ไม่อาจส่องเข้าไปถึงสิ่งนั้น, จิตที่ถูกอวิชชาเป็นฝ้าห่อหุ้ม ก็ไม่อาจสัมผัสกับพระนิพพานอันมีแทรกอยู่อย่างละเอียดยิ่งกว่าละเอียดในที่ทั่วไป  ตลอดถึงที่ที่แสงอาทิตย์ส่องลงไปไม่ถึง ฉันใดก็ฉันนั้น.

เมื่อใดเปลือกฟองไข่ กะลามะพร้าว เปลือกแข็งนั้นๆ ได้ถูกเพิกออก หรือทำลายลง. แสงสว่างก็เข้าถึงทั้งที่ไม่ต้องมีใครขอร้อง อ้อนวอน หรือขู่เข็ญบังคับมันเลย, นี่ฉันใด. เมื่อฝ้าของใจกล่าวคือ อวิชชา อุปาทาน ตัณหา อันเป็นฝ้าทั้งหนาและบาง ทั้งชั้นนอก ชั้นกลาง ชั้นใน ถูกลอกออกแล้วด้วย "การปฏิบัติธรรม" แสงและรสแห่งพระนิพพานก็เข้าสัมผัสกันได้กับจิตนั่น เมื่อนั้น ฉะนั้น. เราจึงเห็นได้ชัดเจน, เห็นได้อย่างแจ่มแจ้งทันทีว่า พระนิพพานไม่ใช่จิต, ไม่ใช่เจตสิกอันเกิดอยู่กับจิต, ไม่ใช่รูปธรรม, ไม่ใช่โลกบ้านเมือง, ไม่ใช่ดวงดาว. ไม่ใช่อยู่ในเรา, ไม่ใช่เกิดจากเรา, ไม่ใช่อะไรปรุงขึ้น ทำขึ้น. มันเป็นเพียงสิ่งที่เข้าสัมผัสดวงใจเรา ในเมื่อเราได้ดำเนินการปฏิบัติธรรม ถึงที่สุด เป็นการเปิดโอกาสให้แก่พระนิพพานได้เท่านั้น.


459
บทความ บทกวี / อาหารของดวงใจ
« เมื่อ: 06 เม.ย. 2550, 03:41:25 »
ความอิ่มเอิบ ด้วยอารมณ์ ทางรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส นั้น เป็นอาหารของฝ่ายโลก ความอิ่มเอิบด้วยปีติและปราโมช อันเกิดจาก ความที่ใจสงบจากอารมณ์ เป็นอาหารของฝ่ายธรรม. อุดมคติของชีวิต คือ ความถึงที่สุด แห่งอารยธรรม ทั้งฝ่ายโลก และฝ่ายธรรม เพราะฉะนั้น ชีวิตย่อมต้องการอาหาร ทั้งฝ่ายโลกและฝ่ายธรรม ถ้ามีเพียงอย่างเดียว ชีวิตนั้น ก็มีความเป็นมนุษย์ เพียงครึ่งเดียว หรือ ซีกเดียว.

เราหาความสำราญ ให้แก่กายของเรา ได้ไม่สู้ยากนัก แต่ การหาความสำราญ ให้แก่ใจ นั้นยากเหลือเกิน ความสำราญกาย เห็นได้ง่าย รู้จักง่าย ตรงกันข้ามกับ ความสำราญทางใจ แต่ไม่มีใครเชื่อ เช่นนี้ กี่คนนัก เพราะเขาเชื่อว่า ไม่มีความสำราญ อย่างอื่น ที่ไหนอีก นอกจาก ความสำราญทางกาย และเมื่อ กายสำราญแล้ว ใจก็สำราญเอง คนพวกนี้ ไม่ฟังธรรม หรือ ศึกษาธรรม และ ไม่ไหว้พระสงฆ์ ซึ่งเป็น นิมิต อันหนึ่งของธรรม.

ความสำราญทางกาย หรือฝ่ายโลกนั้น ต้อง"ดื่ม" หรือ ต้อง"กิน" อยู่เสมอ จึงจะสำราญ แต่ที่แท้ มันเป็นเพียง การระงับ หรือ กลบเกลื่อน ความหิว ไว้ทุกชั่วคราวที่หิว เท่านั้น ส่วนความสำราญ ฝ่ายใจ หรือ ฝ่ายธรรมนั้น ไม่ต้องดื่ม ไม่ต้องกิน ก็สำราญอยู่เอง เพราะมันไม่มีความหิว ไม่ต้องดื่มกิน เพื่อแก้หิว ที่กล่าวนี้ ผู้ที่นิยม ความสำราญทางกาย อย่างเดียว อาจฟังไม่เข้าใจก็ได้ แต่อย่าเพ่อ เบื่อหน่าย ขอให้ทนอ่าน สืบไปอีกหน่อย

พวกที่นิยม ความสำราญกาย ในทางโลก กล่าวว่า "ใจอยู่ในกาย" แต่พวกนิยม ความสำราญใจ ในทางธรรม กล่าวว่า "กายอยู่ในใจ" พวกแรก รู้จักโลก เพียงซีกเดียว พวกหลัง อยู่ในโลกนานพอ จนรู้จักโลกดี ทั้งสองซีกแล้ว ขณะเมื่อ พวกที่ชอบสำราญกาย กำลังปรนเปรอ ให้เหยื่อแก่ความหิว ของเขา อย่างเต็มที่นั้น พวกที่ชอบสำราญใจ กำลังเอาชนะ ความหิว ของเขาได้ ด้วยการบังคับ อินทรีย์ จนมันดับสนิท สงบอยู่ภายใต้อำนาจ ของเขาเอง พวกแรก เข้าใจเอา คุณภาพ ของการให้ "สิ่งสนองความอยาก" แก่ความหิว ของเขาว่า เป็นความสำราญ พวกหลัง เอาคุณภาพของ การที่ยิ่งไม่ต้องให้ สิ่งสนอง ความอยาก เท่าใดยิ่งดี ว่าเป็นความสำราญ พวกหนึ่ง ยิ่งแพ้ตัณหา มากเท่าใดยิ่งดี อีกพวกหนึ่ง ยิ่งชนะมาก เท่าใด ยิ่งดี !

พวกที่ชอบสำราญกาย ย่อมจะ แพ้ตัณหา อยู่เองแล้ว โดยไม่รู้สึกตัว ทำเอง และ ชักชวน ลูกหลาน ให้หา ความสำราญกาย อย่างเดียว เพราะไม่รู้จักสิ่งอื่น นอกจากนั้น ครั้นได้ เครื่องสำราญกายมา ใจก็ไม่สงบสุข เพราะ มันยังอยาก ของแปลก ของใหม่ อยู่เสมอไป (ได้เพียงความสำราญ ชั่วแล่น เหมือนกินข้าว มื้อหนึ่ง ก็สงบหิว ไปได้ชั่วมื้อหนึ่ง) เมื่อความหม่นหมองใจ เกิดขึ้น ก็ฅิดเอาว่า ตนเป็นคนมีกรรม หรือ โชคร้าย ไม่เหมือนคนอื่นเขา เมื่อต้องเจ็บป่วย ตามธรรมดา ของสังขาร ก็น้อยใจ โชคของตัว อย่างหาที่เปรียบมิได้ ยิ่งเมื่อแสวงหาโชค โดยทางใด ก็ไม่ได้เสียเลยแล้ว ก็เลยเห็นไปว่า ในโลกนี้ ไม่มี ความยุติธรรม มีแต่ความดุร้าย คนชนิดนี้ ในที่สุด ก็มอบตัว ให้แก่ ธรรมชาติฝ่ายต่ำ ประกอบกรรม ชนิดที่โลก ไม่พึงปรารถนา ต่อสู้ สิ่งที่เรียกว่า โชคชะตา ไป แม้อย่างดีที่สุด คนพวกนี้ จะทำได้ ก็เพียง แต่ เป็นผู้ทน ระทมทุกข์ อยู่ด้วย การแช่งด่า โชคชะตา ของตัวเอง เท่านั้น ในสโมสร หรือสมาคม ของพวกที่แสวง ความสำราญทางกาย ซึ่งกำลังร่าเริง กันอยู่นั้น พวกเทพยดา ย่อมรู้ดีว่า เป็นการเล่นละคร ย้อมสีหน้า ก็มี หลงทำไป ทั้งที่ตัวเอง หลอกตัวเอง ให้เห็นว่า เก๋ ว่าสุข ก็มาก บางคนต้องร้องไห้ และหัวเราะ สลับกันทุกๆ วัน วันละ หลายครั้ง จิตใจฟูขึ้น แล้วเหี่ยวห่อลง, ขึ้นๆ ลงๆ ตามที่กระเป๋าพองขึ้น หรือยุบลง หรือ ตามแต่ จะได้เหยื่อ ที่ถูกปาก และไม่ถูกปาก ใจของพวกนี้ ยังเหลือ อยู่นิดเดียวเสมอ เท่าที่เขารู้สึก จึงทำให้ เขาเข้าใจว่า ใจอยู่ในกาย คือ แล้วแต่กาย หรือ สำคัญอยู่ที่กาย เพราะต้องต่อเมื่อ เขาได้รับ ความสำราญกาย เต็มที่แล้ว ต่างหาก ใจของพวกเขา จึงเป็น อย่างที่เขา เรียกว่า "สุข" แม้คนพวกนี้ จะพูดว่า ความสำราญใจ ! ความสำราญใจ !!" อยู่บ้าง ก็เป็นเพียง การหลงเอา ความสำราญฝ่ายกาย ขึ้นมาแทน เท่านั้น จะสำราญใจ ได้อย่างไร ในเมื่อใจ ถูกทำให้พองขึ้น ยุบลง เสมอ ความพองขึ้น หรือยุบลง ก็ตาม ย่อมเป็นสิ่งทรมานใจ ให้เหน็ดเหนื่อย เท่ากัน เพียงแต่เป็น รุปร่างที่ต่างกัน เท่านั้น ลาภ ยศ สรรเสริญ และความเพลิดเพลิน ทำให้พองเบ่ง เสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกสบประมาท และหาความ เพลิดเพลิน มิได้ ทำให้ยุบเหี่ยว แต่ทั้งสองอย่าง ทำความหวั่นไหว โยกโคลง ให้เท่ากัน อย่างเด็ดขาด เมื่อเขาได้ สมใจอยาก เขาก็ได้ ความหวั่นไหว เมื่อไม่ได้ ก็ได้ความหวั่นไหว เมื่อมืดมน หนักเข้า ก็แน่ใจลงเสียว่า ความอร่อย หรือ ขณะที่อร่อย นั่นแหละเป็น "พระนิพพาน" ของชีวิต แต่เมื่อคิดดู เราพอจะเห็นได้ว่า นั่นยังไม่ได้ ถอยห่าง ออกมาจาก กองทุกข์ แม้แต่นิดเดียว, มันเป็นเพียง ความสำคัญผิด เท่านั้น และ เป็นความสำคัญผิด ที่จะมัดตรึง ตัวเอง ให้ติดจม อยู่กับ บ่อโคลน นั่นตลอดเวลา

เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จะเห็นได้สืบไปว่า การสำราญทางฝ่ายโลก หรือจะเรียก อีกอย่างหนึ่งว่า ฝ่ายกาย หรือวัตถุ นั้น คืออะไร และเมื่อได้ หมกมุ่นมัว แต่แสวงอาหาร ให้กาย ท่าเดียว แล้วจะเป็นอย่างไร หรือ อีกอย่างหนึ่งว่า ถ้ารู้จักความสุข เฉพาะในด้านนี้ ด้านเดียว แล้ว ก็จะรู้จักโลกเพียงซีกเดียว อย่างไร และยิ่งกว่านั้น คนที่รู้จักโลก เพียงซีกหนึ่งเช่นนี้ หาอาจทำ อารมณ์เหล่านี้ ให้เป็น เครื่องอำนวยความสะดวก หรือ ความเพลิน แก่เขาได้ เช่นเดียวกับ ผู้ที่เข้าใจโลกดี ทั้งสองซีกไม่; เพราะ ต้องตกเป็นทาส ของความมัวเมา รื้อไม่สร่าง บูชามันให้เป็น สิ่งสูงสุด กว่าสิ่งใดอยู่เสมอ

ส่วนผู้ที่รู้จักโลก ดีแล้วนั้น ย่อมบูชา ความสำราญทางธรรม หรือ ฝ่ายใจอันแท้จริง เป็นส่วนสำคัญ และถือเอาส่วนกาย หรือวัตถุ เป็นเพียง เครื่องอำนวยความสะดวก ในฐานเป็นคนใช้ สำหรับรับใช้ ในการแสวงหา ความสำราญ ทางฝ่ายจิต เท่านั้น พวกนี้จึงมีอุดมคติว่า "กายอยู่ในใจ" คือแล้วแต่ใจ กายเป็นของนิดเดียว, และอาศัยใจ ซึ่งมีอำนาจเด็ดขาด และ คุณภาพสูงสุด อยู่ทุกๆประการ และทุกๆเวลา "แสวงหาอาหาร ให้ดวงใจดีกว่า ! "

ความเจริญ งอกงาม ของดวงใจ นั้น ยังไปได้ไกล อีกมากมายนัก คือกว่าจะถึง พระนิพพาน เมื่อไร นั่นแหละ จึงจะหมด ขีดของทางไป แล้วมีอุดมสันติสุข อยู่ตลอด อนันตกาล ส่วนความเจริญทางกายนั้น ไม่มีทางไปอีกต่อไป สูงสุดอยู่ได้เพียงแค่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และ อารมณ์ทางใจ บางอย่าง เช่น ยศศักดิ์ เท่านั้น แต่ไม่มีใคร เคยทำให้เกิด ความอิ่ม ความพอใจ ในเรื่องนี้เลย แม้ในอดีต, ในปัจจุบัน และ อนาคต. เพราะว่า การแสวงหาทางฝ่ายนี้ ต้องการ "ความไม่รู้จักพอ" นั่นเอง เป็นเชื้อเพลิงอันสำคัญแห่งความสำราญ ถ้าพอเสียเมื่อใด ก็หมดสนุก ! ใครจะขวนขวายอย่างไร ก็ไม่อาจได้ผลสูงไปกว่า "การสยบซบซึมอยู่ ท่ามกลางกองเพลิง แห่งความถูกปลุกเร้าของตัณหา" ซึ่งเมื่อใดม่อยหรี่ลง ก็จะต้องหาเชื้อเพลิงเพิ่มให้ใหม่อีก และไม่มีเวลาพอ เช่นเดียวกับ ไฟธรรมดา กับ เชื้อเพลิงธรรมดา เหมือนกัน เพราะฉะนั้น การแสวงหา อาหารทางฝ่ายใจ เพื่อดวงใจ จึงเป็นสิ่งที่มีค่า น่าทำกว่า, เป็นศิลปะกว่า เป็นอุดมคติที่สูงกว่า, ทำยาก หรือ น่าสรรเสริญกว่า, หอมหวนกว่า เยือกเย็นกว่า ฯลฯ กว่า โดยทุกๆ ปริยาย.

การแสวงความสำราญ ทางฝ่ายกาย เป็นต้นเหตุแห่งสงคราม, การแสดงความสำราญ ฝ่ายจิต เป็นต้นเหตุ แห่งสันติภาพ. ถ้าชาวโลก ยังบูชาลัทธิวัตถุนิยม มัวแสวงแต่ ความสำราญทางกาย อย่างเดียว อยู่เพียงใด ก็ไม่มีหวังในสันติภาพ แม้จะเปิด สภาสันนิบาตชาติ ขึ้นอีกสัก ๑๐ สันนิบาต ก็ตาม นักวัตถุนิยม เห็นกายเป็นใหญ่ ย่อมเสียสละ ได้ทุกอย่าง เพื่อให้กาย หรือโลกของตน อิ่มหมีพีมัน ส่วนนักจิตนิยม เห็นแก่จิตเป็นใหญ่ ย่อมเสียสละได้ ทุกอย่างเหมือนกัน เพื่อแลกเอา ความสงบ เยือกเย็น ของจิต. ผู้แสวงความสำราญ ทางกาย นั้น การแสวง ของเขา จำเป็นอยู่เอง ที่จะต้องกระทบ กับผู้อื่น เพราะความสำราญกาย นี้ เป็นของเนื่องด้วยผู้อื่น หรือ สิ่งอื่น ที่แวดล้อม อยู่โดยรอบ เมื่อความเห็นแก่ตัว มีอยู่ ก็ต้องมีการ กระทบกัน เป็นธรรมดา การสงครามก็คือ การปะทะ ของคนหลายคน ที่ต่างฝ่ายต่าง มีความเห็นแก่ตัว เพื่อความสำราญทางกาย นั่นเอง สงครามโลก ซึ่งเป็นเพียง ความเห็นแก่ตัว ของคนหลายชาติ รวมกัน ก็ไม่ต่างอะไรกันอีก ส่วนการแสวงหา ความสุขทางฝ่ายจิต นั้น จะไม่กระทบกระทั่ง ใครเลย แม้แต่น้อย, เพราะเหตุว่า มีอะไรๆ ให้แสวง อยู่ในตน ผู้เดียว เสร็จ ไม่ต้องเนื่องด้วยผู้อื่น การสงคราม ไม่สามารถ เกิดจาก ผู้แสวงสุขทางจิต! เช่นเดียวกับ ที่ไฟ ไม่สามารถ เกิดจาก ความเย็น.

การแสวงหาอาหาร ทางฝ่ายกาย ง่ายหรือตื้น และ เป็น ต้นเหตุ แห่งสงคราม การแสวงหาอาหาร ของดวงใจ ยาก และ ลึก และ เป็นต้นเหตุ ของสันติภาพ ดังกล่าวมาแล้ว. แต่มนุษย์ในโลกนี้ ส่วนมาก ปล่อยตน ไปตามสัญชาตญาณ หรือ ธรรมดาฝ่ายต่ำ มากเกินไป จึงเท่าที่เราเห็นกัน จึงมีแต่ ผู้ถือลัทธิวัตถุนิยม ยิ่งนานเข้าเท่าใด วิธีการแสวงหา อาหารของดวงใจ ก็ยิ่งลบเลือน หายไปจาก ความทรงจำ และ ความเอาใจใส่ ของมนุษย์ มากขึ้น เพียงนั้น ในที่สุด ก็ไม่มีอะไรเหลือ อยู่ใน มันสมอง ของมนุษย์ นอกจาก ความเห็นแก่ตัว และนั่นคือ สมัยที่ ไฟประลัยกัลป์ จะล้างโลก

ข้าพเจ้าอยากจะกล่าวว่า ผู้แสวงหาสุขทางใจ มีอยู่เพียงกี่คน ก็ตาม ก็เป็นเหมือน ลูกตุ้ม ที่ถ่วงโลกไว้ มิให้หมุนไป ถึงยุค ไฟประลัยกัลป์ เร็วเกินไปเพียงนั้น

"เรายอมรับว่า เป็นลูกตุ้มจริง แต่ว่า เป็นลูกตุ้ม ที่ถ่วง ไม่ให้ พวกท่าน วิ่งเข้าไปสู่กองไฟ เร็วเกินไป ถ้าพวกข้าพเจ้า จะพลอยเป็น อย่างท่าน ไปด้วย เชื่อแน่ว่า โลกคงจะแตกดับ เร็วกว่า ที่พวกข้าพเจ้า จะแยกเป็นอยู่ เช่นนี้" นี่เป็นคำ ซึ่ง พวกแสวงสุข ทางฝ่ายจิต ควรจะพูดได้ โดยชอบธรรม !

พระพุทธองค์ ทรงเป็น นายกแห่ง สมาคม ผู้แสวงสุขทางใจ เพียงพระองค์เดียว และ สมัยเดียว ก็ชื่อว่าเป็น โลกนาถ ที่พึ่งของโลก หลายสมัย เพราะว่า อิทธพล แห่งธรรม ที่พระองค์ ทรงเปิดเผยขึ้นนั้น ได้ถ่วงให้โลก ที่กำลังหมุนไปหา ความแตกดับ หมุนไปช้าเข้า มากกว่ามากนัก เมื่อหมุนไปช้า เช่นนี้ คนทั้งโลก แม้ที่สุด แต่ คนที่ไม่เคย ได้ยินชื่อ ของพระองค์ ก็พลอยมีส่วน ได้รับความสุข ด้วย แต่เมื่อโลก ละทิ้ง การแสวงหา อาหารทางใจ มารับเอา อาหารทางกาย มากขึ้น เช่นนี้ พระพุทธองค์ ก็ช่วยไม่ได้ เพราะ โลกเป็นฝ่าย ที่ทิ้ง พระพุทธองค์

พุทธบริษัททุกคน ยังภักดีต่อ การแสวงหาความสุขทางใจ กันอยู่ นับว่า ตระกูลของพระองค์ ยังไม่ขาดทายาท เสียทีเดียว และจะยังเป็น เหมือน ลูกตุ้มน้อยๆ ที่เหลืออยู่ เพื่อตัวเอง และ โลก ด้วย, ทั้งขณะที่ พวกอื่น เขาอาจกำลัง เกลียด พวกนี้อยู่.

พุทธบริษัท คงต้องถือว่า กายอยู่ในใจ, อาหารทางใจ สำคัญกว่า อาหารทางกาย และยังคงต้องภักดี ต่อลัทธิ แสวงสุขทางใจ อยู่เสมอ. การเป็นพุทธบริษัท แต่ปากนั้น ไม่ทำให้เป็น พุทธบริษัท ได้เลย พุทธบริษัทที่แท้ เป็นนักนิยมวัตถุ หรือ ถือลัทธิหลงชาติ ไปไม่ได้ พุทธบริษัทที่ขวางๆ รีๆ นั่นยิ่งจะร้ายไปกว่า ผู้ที่มิได้เป็นพุทธบริษัท เมื่อเกิด "มิคสัญญี" พุทธบริษัท ที่แท้จริง เท่านั้น ที่จะเป็นผู้เหลืออยู่ แม้นี้ก็เป็น อานิสงฆ์ แห่งการนิยม อาหารของดวงใจ

เมื่อได้พร่ำ กล่าวถึง ความดี ของ อาหารทางดวงใจ มามากแล้ว กระทั่ง ในแง่การเมือง เป็นที่สุด จึงต่อไปนี้ จะได้กล่าวถึง ลักษณะของ อาหารทางใจ โดยตรงบ้าง, ให้ควรกัน.

คำสองคำซึ่งใครๆ ก็เคยได้ยินมีอยู่ว่า โลก กะ ธรรม โลก กับธรรม จะเป็น อันเดียวกัน ไม่ได้. โดยที่โลกเป็นฝ่ายนิยมวัตถุ, ธรรมเป็นฝ่ายนิยม "ความเป็นอิสระ เหนือวัตถุ" และ "ความเป็นอิสระ เหนือวัตถุ นี่เอง คือ อาหารของดวงใจ" กายต้องการอาหาร ทางฝ่ายโลก, ใจต้องการอาหาร ฝ่ายธรรม, ผู้ที่เห็นว่า ใจเป็นใหญ่ จนถึงกับเป็น ที่อิงอาศัยของกาย ย่อมแสวงหาอาหาร ให้กายเพียงเพื่อสักว่า ให้มันเป็นอยู่ได้ (ยาปนมัตต์) เท่านั้น นอกนั้นใช้แสวง เพื่อใจอย่างเดียว

อันความเป็น อิสระเหนือวัตถุ นั้นเห็นได้ยาก ตรงที่ตามธรรมดา ก็ไม่มีใครนึกว่า ตนได้ตกเป็นทาสของวัตถุ แต่อย่างใด ใครๆ ก็กำลังหาวัตถุ มากินมาใช้ มาประดับ เกียรติยศ ของตน และบำเรอ คนที่ตนรัก ทำให้เห็นไปว่า นั่นเป็น นาย มีอิสระเหนือวัตถุ พอแล้ว เช่น มีเงินจะใช้มัน เมื่อไรก็ได้ ส่วน ความหม่นหมองใจ ที่เกิดขึ้น มากมาย หลายประการ หามีใครคิดไม่ว่า นั่นเป็น อิทธพลของวัตถุ ที่มันครอบงำ ย่ำยีเล่น ตามพอใจ ของมัน ดวงใจ ได้เสีย ความสงบเย็น ที่ควรจะได้ ไปจนหมด ก็เพราะ ความโง่เง่า ของตัวเอง, ที่ไปหลง บูชาวัตถุ จนกลายเป็น ของมีพิษสง ขึ้นมา ดวงใจที่แท้จริง ก็ไม่อาจฟักตัว เจริญงอกงาม ขึ้นมา เพราะ ขาดการบำรุง ด้วยอาหาร โดยที่เจ้าของ ไม่เคยคิดว่า มันต้องการอาหาร เป็นพิเศษ ยิ่งกว่ากาย สัญชาตญาณ ทั้งหลาย ชวนกันขึ้น นั่งบัลลังก์ บัญชาการเต็มที่ ออกคำสั่ง ทับถมดวงใจ ที่แท้จริง หรือธรรมชาติฝ่ายสูง ที่เป็นชั้นปรมัตถธรรม จนไม่ปรากฏ สาละวนแต่ แสวงหาอาหาร ตามอำนาจฝ่ายต่ำ หรือที่เรียก ในที่นี้ว่า กาย (โวหารธรรม) เมื่อใจขาดอาหาร แม้แต่ที่เป็นเบื้องต้น เช่นนี้แล้ว ก็ไม่งอกงาม พอที่จะแจ่มใส ส่องแสง ให้ผู้นั้นมองเห็น และถืออุดมคติ แห่งความสุขทางใจได้ ชีวิตก็เป็นของมืดมน ต้องร้องไห้ ทั้งที่ ไม่รู้เห็นว่า มีอะไรมาทำเอา

เมื่อเด็กๆ ที่เกิดมาในโลก ไม่อาจสำนึก ในปริยายนี้ ได้ด้วยตนเอง เช่นนี้แล้ว การศึกษาธรรมเท่านั้น ที่จะช่วยได้ในเบื้องต้น การศึกษาธรรม ทางฝ่ายหลักวิชา จึงเป็น อาหารของดวงใจ ในขั้นแรก และขั้นกลาง ก็คือ การย่อยหลักวิชาๆ นั้น ออกด้วย มันสมอง ของตนเอง ได้ความรู้ ความแจ่มแจ้ง ความโปร่งใส เยือกเย็น อะไรมา นั่นเป็น อาหารชั้นปลาย ส่งเสริมกัน สืบไปให้เจริญ จนสามารถ ทำพระนิพพาน ให้ปรากฏ จึงจะนับว่าถึงที่สุด

ปริยัติธรรม หรือ ธรรมในส่วนหลักวิชานั้น ช่วยได้โดยเป็น เครื่องสะกิดใจ ให้รู้สึก ในเบื้องต้นว่า เรามีกายสองซีก คือ ซีกรูปกาย และธรรมกาย รูปกาย เจริญได้เอง ด้วยการมี บิดามารดา เป็นแดนเกิด เติบโตขึ้น ด้วยข้าวปลา อาหาร ส่วนธรรมกายนั้น มี กาย วาจา ใจ ที่สุจริตผ่องใส เป็นที่ตั้ง ที่ปรากฏ, มีผลของ ความสุจริต เป็นอาหาร ที่จะบำรุง ให้เติบโต สืบไป และทำให้เรา รู้สึกสืบไป เป็นลำดับว่า ถ้าบำรุงแต่รูปกาย อย่างเดียว มันก็จะอ้วนดี แต่ซีกเดียว อีกซีกหนึ่ง ซึ่งเป็นซีกใน จะเหี่ยวแห้งอยู่ ผลที่ได้ ก็คือ ร่างกายที่สมบูรณ์ แต่ใจเต็มไปด้วย ความหม่นหมอง เมื่อยังเด็ก ความหม่นหมอง มิปรากฏนัก ก็เพราะยังเป็น ผู้ที่ผู้อื่นเลี้ยงดูให้ และ กายก็ยัง มิได้ขยายตัวเต็มที่ จนสามารถ ทำความรู้สึกได้สุดขีด ทุกๆ อินทรีย์ (คือเต็มที่ ทั้งทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ครั้นเมื่อ กายเจริญเต็มที่เข้า ความหม่นหมอง ก็เกิดมากขึ้น เพราะยิ่งขาดดุลยภาพ (ของความที่ รูปกาย และ ธรรมกาย จะต้องมี ความเจริญคู่เคียง สม่ำเสมอกันไป จึงความหม่นหมอง จะไม่อาจเกิด) นั่นเอง สรุปความว่า ปริยัติธรรม ช่วยให้เราทราบว่า เราจะต้องประพฤติธรรม เช่นนั้นเช่นนี้ เพื่อธรรมกายของเรา มิฉะนั้น เราตายด้านไปซีกหนึ่ง, เมื่อเรารู้ ปริยัติธรรม พอสมควรแล้ว เราก็ได้ อาหารของดวงใจ ในส่วนหลักวิชา และ ภาคพื้น ของการปฏิบัติ สัมมาทิฎฐิ หรือ รุ่งอรุณ ได้ปรากฏแก่เราแล้ว เป็นแรกเริ่ม

ปฏิบัติธรรม หรือ ธรรมคือตัวการปฏิบัตินั้น เป็นการทรมานอินทรีย์ (sense) เพื่อเอาชนะอินทรีย์, ชนะได้เท่าใด ความเยือกเย็น พร้อมทั้ง ความรู้แจ้ง ก็เกิดขึ้น เท่านั้น ความเยือกเย็น เกิดจาก ความที่ อินทรีย์ สงบรำงับลง ความเห็นแจ้ง ความจริงในตัวเอง ปรากฏเพราะ ไม่ถูกม่าน แห่งความ กลัดกลุ้ม ของอินทรีย์ ปิดบังไว้ เช่นแต่ก่อน วิธีเอาชนะ อินทรีย์ ตามหลัก แห่งพุทธศาสนา ได้แก่ การบังคับตัวเอง ให้งดเว้นจากสิ่งชั่ว, บังคับตัวเอง ให้ทำ แต่สิ่งที่ดี เข้าแทน และต่อจากนั้น พยายามหาวิธี ชำระจิต ให้เป็นอิสระ จากความหม่นหมอง ทั้งที่เปิดเผย เห็นได้ง่ายๆ และที่นอนนิ่ง เงียบๆ อยู่ในสันดาน อันเป็นเหมือน เชื้อ ที่ก่อเกิด ของอย่างแรก หรือ กล่าวอีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ การบังคับกาย และ วาจา ให้อยู่ในอำนาจ เรียกว่า ศีล, บังคับจิต ให้อยู่ในอำนาจ เรียกว่า สมาธิ, และใช้จิตที่อยู่ในอำนาจแล้ว คือ ค้นหาความจริง ที่ยาก ที่ลึก จนปรากฏ แจ่มแจ้ง เรียกว่า ปัญญา, การบังคับหรือ ควบคุมอินทรีย์ เช่นนี้ ทำให้ดวงใจ ได้รับ ความสะบักสะบอม น้อยลง วัตถุ หรือ อารมณ์ ทั้งหลาย มีพิษสง น้อยเข้า หรือ หมดไป เพราะ ค่าที่เรา สามารถบังคับ ตัวเอง ไว้ในภาวะ ที่จะ ไม่หลงใหลไป ตามทั้งใน ทางชอบ และ ทางชัง เมื่อใจเรา ได้รับความ พักผ่อน อย่างผาสุก เนื่องจาก การบังคับอินทรีย์ ของเรา เช่นนี้แล้ว เราก็ได้ อาหารของดวงใจ ในส่วนของการปฏิบัติ, อันจะเป็น อุปกรณ์ ให้ได้รับ อาหารชั้นสูงสุด สืบไป

ปฏิเวธธรรม หรือ ธรรมในส่วน การรู้แจ้ง แทงตลอดในสิ่งที่เคยหลงใหล ไม่รู้เท่าทันมาก่อน เป็นความรู้ ชนิดที่จะ ตัดราก ความหม่นหมอง ของดวงใจเสีย โดยประการทั้งปวง, เช่น ความสงสัย ความเข้าใจผิด หลงรัก หลงชัง ฟุ้งซ่าน ฯลฯ เสียแล้ว ทำความแจ่มแจ้งใจ โปร่งใจ เยือกเย็นใจ ให้เกิดขึ้นแทน นี้เป็นผล ที่ปรากฏแก่ใจ สมจริง ตามที่เรียนรู้ ทางหลักวิชา โดยปริยัติ ซึ่งเป็นเพียง "การรู้อย่างคาดคะเน ด้วยเหตุผล ล่วงหน้าไปก่อน" การแทงตลอดนี้ หมายถึง การแทงตลอด ม่านอวิชชา คือ ความโง่หลง ซึ่งเป็นของเฉพาะตัว อย่างยิ่ง. น่าอัศจรรย์มาก ที่คนบ้าคลั่ง อาจรักษาโรค ของตนเอง ด้วยการฟัง วิธีรักษา มาจากผู้อื่น แล้วรักษาตัวเอง พิจารณาตัวเอง ไปเรื่อยๆ อย่างค่อยเป็น ค่อยไป จนหายได้ ในที่สุด! ช่างไม้ หรือ นักยันตรกรรม ที่ติดขัด ในปัญหาขัดข้อง บางอย่าง ในหน้าที่การงานของตน อาจผ่านปัญหานั้นๆ ไปได้ โดยการ พยายาม คิดค้น หาเอาเอง หรือ ถามท่านผู้รู้ แล้วมา แก้ไขไปเอง เมื่อพบเงื่อนถูก ผ่านไปได้ ก็ได้รับความสุขใจ ผู้ที่รู้ว่า ตนกำลังติดขัด ในปัญหาชีวิต (คือ ความที่ชีวิต ถูกกดถ่วง ด้วยความ หม่นหมอง อยู่เสมอ ตั้งแต่ ชนิดที่ หยาบที่สุด จนถึง ที่ละเอียดที่สุด) ก็ฉันนั้น, คือเมื่อได้คิดค้น ไปเองบ้าง ไต่ถามท่าน ผู้รู้ มาคิดค้น ไปบ้าง จนได้รับความแจ่มแจ้ง เบาโปร่ง ปรากฏกับใจเอง ก็เป็นสุข นักศิลปินที่แท้จริง เขาหาความสุข จากความพอใจ ตัวเอง ในการที่ ทำสิ่งที่ยากๆ ได้สำเร็จ มิใช่เพราะ พอใจในเงิน หรือ รางวัลที่จะได้รับ ซึ่งเป็นวิสัย ของ นักการค้า ในที่นี้จะ เห็นได้ว่า ความสุขที่เกิดจากความพอใจ หรือ ความรู้แจ้งนั้น เป็นอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งนักการค้า หรือ ผู้นิยมวัตถุ จะเห็นเป็นความสุข ไปไม่ได้เลย ผลอันนี้คือ อาหารของดวงใจ ในส่วนปฏิเวธ, ซึ่งเมื่อ แทงตลอด ถึงที่สุด ไม่มีอะไรเหลือจริงๆ ก็คือ การพบกันเข้ากับ พระนิพพาน และ การแทงตลอด ที่ถึงขีด ระยะหนึ่งๆ ข้างต้นๆ นั้น คือ มรรคผล ขั้นหนึ่งๆ ตามหลัก ที่ท่านกำหนดไว้

เมื่อได้ อาหารทางใจ เป็นลำดับมา จนลุถึง พระนิพพาน เช่นนี้แล้ว ต่อจากนั้น ก็เป็น ใจที่มีรสของ พระนิพพาน เป็นอาหาร ศานติเป็น รสของพระนิพพาน ! และ ใจมีศานตินั้น เป็นอาหาร !! ศานติ ในที่นี้ หมายถึง ความเยือกเย็น ของพระนิพพาน หรือ สภาพอันหนึ่ง ซึ่งเป็นสภาพแห่ง ความว่างโปร่ง เป็นอิสระเหนือสิ่งทั้งหลาย เหนือรูปธรรม นามธรรม เหนือกฏแห่งรูปธรรม และ นามธรรม ทั้งหมด และเป็นสิ่งที่ ใครจะกฏเกณฑ์อะไร ให้ไม่ได้เลย

เมื่อเราอาบน้ำ เราได้รับความเย็นของน้ำ หรือ เพราะน้ำ, เมื่อใจลุถึง พระนิพพาน มันย่อมเยือกเย็น เพราะ ความเย็นของ พระนิพพานนั่นเอง ความเยือกเย็นอันนี้ เป็น ยอดอาหาร ชั้นพิเศษ ของดวงใจ ก็ความหม่นหมอง ต่างๆ ของดวงใจนั้น ถูกสลัดทิ้ง เสียหมดแล้ว ตั้งแต่ได้รับ อาหาร ขั้นปฏิเวธขั้นสูง มาบัดนี้ ได้รับความเยือกเย็น ของพระนิพพาน เข้าอีก จึงเป็นการยาก ที่จะกล่าว ให้เป็นที่เข้าใจ กันอย่างทั่วไปว่า รสชาติอันนี้ ในขณะนี้ จะเป็นอย่างไร ท่านจึงกล่าวว่า เป็นสิ่งที่ แม้แต่ อยากพูด ให้ฟัง ก็ไม่รู้ว่า จะพูดอย่างไร (Subjective) อย่าว่าแต่ รสชาติ ของพระนิพพานเลย แม้เพียงแต่ รสของวิเวก หรือ สมาธิขั้นต้นๆ ก็เป็นของยากที่จะอธิบายว่า มีรสชาติเป็นอย่างไรเสียแล้ว เพราะเป็นรสที่ต้องจัดเป็นรสแปลกใหม่อีกรสหนึ่ง จากบรรดารส ที่คนธรรมดา เราเคยรู้รสกันมาในวงแห่ง โลกิยารมณ์ ความจริง ตามธรรมดา สิ่งที่เรียกกันว่า รส นั้น เป็นของอธิบายยากมาก บางอย่าง ไม่มีทาง จะเทียบเคียง เสียเลย เช่น นาย ก. ไม่เคยกิน ของหวาน เลย นาย ข. ก็ไม่อาจที่จะ อธิบายให้ นาย ก. ทราบได้ว่า รสหวานนั้น เป็นอย่างไร จะว่า ตรงกันข้ามกับ ขม กับ เค็ม กับเปรี้ยว หรือ อะไรทุกอย่าง นาย ก. ก็ไม่อาจทายได้ว่า รสหวาน นั้นเป็นอย่างไร แม้ นาย ข. จะคิดค้นหา คำใดมาพูด ก็ไม่ได้  คงได้แต่ว่า หวานๆ อยู่อย่างเดิม นั่นเอง นี่คือ ความเป็น ปัจจัตตัง และ ความเป็น ของอธิบายให้ชัด ไม่ได้ ของรส ส่วนรสของ พระนิพพาน ก็ทำนองเดียวกัน เป็นแต่ ยิ่งยากขึ้นไป กว่านั้น อีกหลายเท่านัก แม้ในทาง ที่จะให้เปรียบเทียบ หรือ คาดคะเน ก็เมื่อ นาย ก. ไม่ควรจะดื้อเถียง นาย ข. ว่า รสหวานไม่มีในโลก, และ ทางที่ดีที่สุด นาย ก. ควรใช้ความพยายาม จนหาน้ำตาล มาชิมดูได้ ด้วยตน ก็จะรู้ว่า หวานเป็นอย่างไร ฉันใด ผู้ที่ยังไม่ถึงนิพพาน ก็ไม่ควรปฏิเสธ รสของนิพพาน. แต่ควร ตะเกียกตะกาย จนได้ชิมรสของพระนิพพาน ด้วยตนเองฉันนั้น

ก่อนแต่จะจบเรื่องนี้ อยากจะเล่านิทาน ฟังกันเล่น สักหน่อยหนึ่ง เต่าตัวหนึ่ง เป็นสหาย กับ ปลาตัวหนึ่ง วันหนึ่งได้พบกัน ปลาถามว่า

"สหายเอ๋ย, ท่านไปที่ไหนเสียเป็นนาน?"
"ไปเที่ยวบนบกมา" เต่าตอบ
"บกเป็นอย่างไร?" ปลาถาม
"อ๋อ บกงดงามมาก มีอะไรสวยๆ แปลกๆ ลมพัดเย็นสบาย มีอาหารดีเยอะ มีเสียงแปลกๆ ซึ่งเราไม่เคยได้ยิน ในที่นี้เลย"
"ฉันไม่เข้าใจเลย สหายเอ๋ย บกนั้น อ่อนละมุน ให้ศรีษะของเราแหวกว่าย ไปได้สะดวกเช่นนี้หรือ?"
"ไม่ใช่"
"บกไหลเอ่อไปได้ตามร่อง เช่นนี้หรือ?"
"ไม่ใช่"
"บกเย็นชุ่ม ซึมซาบ เอิบอาบ เช่นนี้หรือ ?"
"ไม่ใช่"
"บกเป็นละลอก ริ้วๆ เมื่อถูกลมพัดหรือ ?"
"ไม่ใช่"

แม้ปลาจะตั้งคำถามมาอย่างไร คำตอบก็มีแต่ "ไม่ใช่" ทั้งนั้น ในที่สุด ปลาก็หมดศรัทธา ประณามเต่าว่า "สหายเอ๋ย ท่านโกหกเสียแล้ว เอาสิ่งที่ ไม่มีจริง เป็นจริง มากล่าว" แต่เต่าก็ ไม่รู้ที่จะตอบ สหายของตน อย่างไรดี ในที่สุด ก็ได้แต่ ค่อยคลาน กลับขึ้นบกอีก เต่าได้เที่ยว ไปบนบก อีกใหม่, บนบก ซึ่งสหายของเขา ไม่เคยนึก และ ไม่ยอมเชื่อว่ามี ! เต่าได้เที่ยวไปวันแล้ว วันเล่าๆ บนบก ซึ่ง สหายของเขา หาว่า เขาโกหก !!

นิทานเรื่องนี้ จะอาจเป็น เครื่องรองรับ ความเป็นปัจจัตตัง และ การพูดบรรยาย ไม่ได้ ของศานติ- อาหารของดวงใจ ชั้นพิเศษ ชั้นยอดสุด, ได้บ้างกระมัง, น้ำ กับ บก ต่อติดกันอยู่ ห่างกัน เพียงชั่วเส้นริมน้ำ เส้นเล็กๆ ที่ริมสระเท่านั้น แต่ปลาก็ไม่อาจรู้ หรือ แม้แต่ คาดคะเนว่า บกเป็นอย่างไร ได้เลย พระพุทธองค์ตรัสว่า โลก คือ โอกะ หรือ โอฆะ (แปลว่า น้ำ ทั้งสองศัพท์) สัตว์โลก ก็คือ ผู้ที่จม อยู่ในโลก หรือ น้ำ นั่นเอง พระนิพพาน เป็นฝั่งเกาะ ที่รอดพ้น แต่น้อยคนนัก ที่จะว่าย ออกไปถึงเกาะ ดุจพวกนก ที่ติดบ่วงแล้ว น้อยตัวนักที่จะหลุดไปได้ ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อ ของนายพราน ฉันใด ก็ฉันนั้น

ผู้ที่ตกโลก หรือ จมโลก ก็คือ ผู้ที่รู้จักแต่โลก หรือ กามคุณ ซึ่งเรียก ในที่นี้ว่า อาหารของฝ่ายกาย หรือ โลกิยะนั่นเอง เมื่อรู้จัก แต่อย่างเดียว ก็ไม่ (หรือ มักจะไม่) เชื่อว่า บก หรือ โลกุตตระ มีอยู่ ณ ที่ใดอีก เช่นเดียวกับปลา ก็บัดนี้ การที่จะเดินทางไปสู่บกนั้น ผู้เดินต้องกิน "อาหารของดวงใจ" ดังที่กล่าวมาแล้ว การที่ ไม่ค่อย มีใครสนใจ ในเรื่องอาหารของดวงใจ ก็เพราะ ไม่เคยคิด ที่จะเดินทางไปสู่ "บก"นั่นเอง !

อาหารของดวงใจ มีหลายชั้นนัก เพราะฉะนั้น ย่อมจะมีผู้แสวง และ เสพได้ในชั้นต่างๆ บางชั้น เป็นธรรมดา เรารู้ในข้อนี้ได้ ก็โดยที่ จะเห็นได้ว่า คนบางคน หาได้ตกโลก เต็มที่ เหมือนกับ บางคนไม่ เช่นเดียวกับ ถ้าเราจะมองดู ภาพสมมติ สักภาพหนึ่ง เป็น ภาพแห่ง ริมฝั่งทะเล เราเห็นคนบางพวก ตกน้ำ จมมิดอยู่ บางพวก ชูศรีษะ ร่อนขึ้นเหนือน้ำ ได้มองดูรอบๆ สังเกตหา ฝั่งบกอยู่ บางพวก มองเห็นฝั่งแล้ว บางพวก กำลังว่ายมุ่งเข้าฝั่ง บางพวก ใกล้ฝั่ง เข้ามามากแล้ว บางพวก ถึงที่ตื้น ยืนถึง เดินตะคุ่มๆ เข้ามาแล้ว บางพวก เดินท่อง เพียงแค่เข่า เข้ามาแล้ว บางพวก นั่งพักอย่างสบาย หรือ เที่ยวไป อย่างอิสระบนบก ! เราจะเป็นพวกไหน ย่อมไม่มีใครรู้ได้ เท่าตัวเราเอง !! เป็นของน่าคิด

ที่สุดนี้ หวังว่า ตลอดเวลา ที่มนุษย์ยังคงได้รับรส ของพระพุทธวจนะ อยู่เพียงใด คงจะมีสักพวกหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ พวกบริโภค อาหารของฝ่ายกาย อย่างสมบูรณ์อยู่แล้ว ซึ่งจะเกิดความรู้สึกอึดอัด ในความซ้ำซาก และหมด "ทางไปในฝ่ายสูง" ของโลกิยาหาร หรือ ลัทธิวัตถุนิยม (Materialism) แล้วเกิดความสนใจ ในคุณภาพอันสูงสุด ของ โลกุตตราหาร หยิบเอา ลัทธิมโนนิยม (Spiritualism) ขึ้นมาพิจารณาดูบ้าง ด้วยกิริยา อันเคารพ และแยบคาย เพราะ ยังมีทางไปอีกสูงมาก

ในนามแห่งพุทธทาส ข้าพเจ้าขอแสดงความยินดี ที่จะรู้จักท่าน และขอแสดงความนับถืออย่างสูง ต่อท่านล่วงหน้า

 

พุทธทาสภิกขุ

๑๙ กันย์ ๒๔๘๐

460
บทความ บทกวี / พุทธศาสนา เป็น
« เมื่อ: 06 เม.ย. 2550, 03:38:15 »
พุทธศาสนา ไม่ใช่ทั้ง Pessimism (ลัทธิเห็นสิ่งทั้งปวงเป็นไปในแง่ร้าย) และ Optimism (เห็นเป็นไปในแง่ดี) เพราะ Pessimism และ Optimism เป็นลัทธิ ที่ดิ่งลงไป จนถึงที่สุด ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทั้งสองอย่าง ส่วนพุทธศาสนา สั่งสอนสัจธรรม อันเดิน ไปตาม สายกลาง, Pessimism นั้น จัดได้ว่าเป็นมูลแห่ง อัตตกิลมถานุโยค, Optimism ก็เป็นทางมาแห่ง กามสุขัลลิกานุโยค ทั้งสองลัทธินั้น ไม่กล่าวถึง การแก้ไข ให้ความ เป็นเช่นนั้นๆ กลายเป็นตรงกันข้าม กับที่เป็นอยู่หรือที่เป็นมาแล้วได้ ส่วนพุทธศาสนา สอนให้ดูโลกในแง่ของ Pessimism ก่อนแล้ว และสอน หนทางแก้ไข ให้มันกลายเป็นดีไป ซึ่งเป็นอันว่า ไม่ปัด Optimism เสียทีเดียว พุทธศาสนาสอนว่า ชีวิตนี้ เต็มไปด้วย อาการที่ทนยาก เป็น มายา เหลวไหล ถูกกักขัง และทรมาน อยู่โดยอวิชชา ไม่ได้อย่างใจหวัง สักอย่างเดียว ทั้งส่วนร่างกาย หรือ ส่วนจิตใจ ก็ตาม นี่แสดงว่า คล้ายกับ จะเอียงไปฝ่าย Pessimism แต่ พุทธศาสนา ไม่ได้สอน เพียงเท่านั้น ได้สอนวิธี ที่จะทำชีวิตให้ ตรงกันข้าม กับ อาการเช่นนั้นได้ด้วย คือ อัฏฐังคิกมัคค์ หรือ มัชฌิมาปฏิปทา อันมีหลักสั้นๆ ว่า ชีวิตอาจบริสุทธิ์ และ หลุดพ้น จากการทรมานได้ ด้วยการ ประพฤติ อย่างถูกต้อง ของเราเอง จนเรา อาจเป็น ผู้ที่มีความ เยือกเย็นใจ ของเราเอง ได้เสมอทุกๆ ฉาก ที่โลกมันจะ ปรวนแปรไป ความคิดนึกในใจ ของพุทธบริษัท ไม่ได้ถูกบังคับให้เชื่อ หรือ เห็นอยู่ในวงจำกัด ดุจพวก Pessimist หรือ Optimist เมื่อเขายังพอใจ ที่จะหมุนกลิ้ง ไปกับโลก อันเอิบอาบ ไปด้วยความดีใจ และเสียใจ เขาก็มีอิสระ ที่จะทำเช่นนั้น เมื่อเขาเห็นว่า มันน่าเบื่อหน่าย เขาก็มีอิสระ และหนทาง ที่จะเอาชนะ มันเสียได้ อย่างเด็ดขาด เพราะเหตุนี้เอง พุทธศาสนาจึงมิใช่ Pessimism หรือ Optimism เลย เป็นแต่มี แง่บางแง่ ที่อาจลวงตา คนบางคน ให้เห็นเป็น Pessimism หรือ Optimism อย่างใดอย่างหนึ่ง ตามที่ เขาจะเห็น ไปใน บางคราวเท่านั้น
"จะมัวหัวเราะอะไรกัน บันเทิงอะไรกัน ก็เมื่อโลก อันเป็นที่อยู่อาศัย ของหมู่สัตว์นี้ มันลุกโพรงอยู่เป็นนิจ" นี่เป็นพระพุทธภาษิต (ชราวัคค์, ธ. ขุ.) ซึ่งแสดงว่าพระองค์ ก็ทรงเห็นโลก เช่นเดียวกันกับ พวก Pessimist เห็น แต่ติดต่อไปจาก คำข้างต้นนั่นเอง พระองค์ ได้ตรัสสืบไปว่า "พวกท่านทั้งหลาย ถูกความมืดบอด ครอบงำ หุ้มห่อ ไว้เต็มที่แล้ว ก็ยังไม่แสวงหา ประทีปเครื่องนำของตนเอง" ซึ่งแสดงว่า แสงสว่าง แห่งความรอดพ้น นั้นมีอยู่ นี่เราจะเห็นได้ว่า ไม่ทรงปฏิเสธ พวก Optimist และพระองค์ เป็นพวกกลาง คือ มัชฌิมาปฏิปทา โดยแท้

ในที่อื่นตรัสว่า "สิ่งที่มีเหตุมีปัจจัยปรุงแต่ง ตัวมันเอง ทุกๆ สิ่ง ไม่เที่ยงแท้ถาวร, เป็นทุกข์ และทั้งสิ่งที่มี เหตุปัจจัย และไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย ปรุงแต่ง ตัวมัน ทั้งสองอย่าง ไม่ใช่เป็นสิ่ง ซึ่งเป็นตัว เป็นตน  หรือมีตัว มีตน อยู่ในมัน" นี่แสดงว่า ทุกๆ สิ่งในโลกนี้ เป็นพิษ แก่ผู้ที่เข้าไปยึดถือ โดยประการทั้งปวง แต่มิได้แสดงว่า เราไม่มี หนทาง ที่จะวาง สิ่งนั้นๆ หรือเอาชนะ อยู่เหนืออิทธิพลของสิ่งนั้นได้ เพราะเหตุว่า พร้อมกันนั่นเอง พระองค์ได้ทรงสอน วิธีแห่ง โลกุตตรปฏิปทา- ทางที่จะเป็น อิสระอยู่เหนือโลก ไว้อย่าง แจ่มแจ้งชัดเจนยิ่งด้วย เมื่อเรามีใจหลุดพ้นแล้ว โลกก็ ไม่เป็น พิษต่อเรา เช่นนี้ เราจะมาบัญญัติว่า โลกนี้เป็นยาพิษ หรือ เป็นอาหารที่ดี ของมนุษย์ เด็ดขาด ลงไปอย่างไรได้ สุรา หรือ แอลกอฮอล์, เมื่อเราแพ้มัน ดื่มด้วย ความโง่เขลา มันก็เป็นของให้โทษ เมื่อใช้เป็นยา ด้วยความมี สติสัมปชัญญะ ก็ปรากฏว่า มันเคยช่วยชีวิตมนุษย์ไว้แล้ว มีจำนวนไม่น้อย เราจะกล่าวว่า สุราเป็นโทษ หรือ เป็นคุณ โดยส่วนเดียว อย่างใดอย่างหนึ่ง ยังมิชอบฉันใด การที่จะกล่าวว่า โลกนี้เป็น Pessimism หรือ Optimism โดยเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ไม่ได้ฉันนั้น เรา หลงใหล ต่อโลก โลกก็เป็นพิษต่อเรา เมื่อเราเอาชนะโลกได้ มันก็เป็น เครื่องอุปกรณ์ แก่เราได้ อย่างดี เช่นเดียวกับ ช้างที่เรายังฝึกมันไม่ได้ กับเมื่อเรา ฝึก มันจนเชื่องดีแล้ว ฉันใดก็ฉันนั้น

พุทธทาสภิกขุ

๑ กันยายน ๒๔๗๕


461

นับตั้งแต่กาลที่โลกว่างเปล่า เริ่มกลายเป็น มนุษย์โลกขึ้น เมื่อหลายแสนปี มาแล้ว มนุษย์ ได้ใช้ มันสมอง แสวงหา ความสุข ใส่ตน เป็นลำดับๆ มาทุกๆ ยุค, จนในที่สุด เกิดมีผู้สั่งสอน ลัทธิแห่งความสุข นั้น ต่างๆ กัน, ตัวผู้สอนเรียกว่า ศาสดา, คำสอนที่สอนเรียกว่า ศาสนา, ผู้ที่ทำตาม คำสอน เรียกว่า ศาสนิก, ทุกอย่าง ค่อยแปรมาสู่ ความดี ยิ่งขึ้นทุกที, สำหรับคำสอน ขั้นโลกิยะ หรือ จรรยา ย่อมสอน มีหลักตรงกันหมด ทุกศาสนา, หลักอันนั้นว่า จงอย่าทำชั่ว จงทำดี ทั้งต่อ ตนเอง และผู้อื่น, ดังที่ทราบกันได้อยู่ทั่วไปแล้ว: แต่ส่วนคำสอนขั้นสูงสุด ที่เกี่ยวกับ ความสุข ทางใจ อันยิ่งขึ้นไปนั้น สอนไว้ต่างกัน. ศาสนาทั้งหลาย มีจุดหมาย อย่างเดียวกัน เป็นแต่ สูงต่ำ กว่ากัน เท่านั้น

ทุกองค์ศาสดา เว้นจากพระพุทธเจ้า สอนให้ยึดเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งสาวก ไม่มี ความรู้ พิสูจน์ ว่าเป็น สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด เป็นผู้สร้างโลก และ อำนวยสุข แก่ สัตว์โลก เป็นที่พึ่งของตน, ให้นับถือบูชาสิ่งนั้น โดยแน่นแฟ้น ปราศจาก การพิสูจน์ ทดลอง แต่อย่างใด. เริ่มต้นแต่ยุคที่ถือผี ถือไฟ ถือดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และ ดวงดาว ต่างๆ มาจนถึง ยุคถือพระเป็นเจ้า เช่น พระนารายณ์ และ พระพรหม ของ ศาสนาฮินดู พระยโฮวา ของ ศาสนาคริสเตียนและยิว และ พระอหล่า ของอิสลาม ต่างสอน ให้มอบความเชื่อ ในพระเจ้าเหล่านั้น แต่ผู้เดียว ว่าเป็น ผู้มีอำนาจ เหนือสิ่งใด ทั้งหมด ทั้งๆ ที่ไม่ต้องรู้ว่า ตัวพระเจ้า นั้นเป็น อะไรกันแน่ และ ผิดจาก หลักธรรมดา โดยประการต่างๆ

ต่อมา เมื่อสองพันปีเศษมาแล้ว ภายหลังแต่พระเจ้าของศาสนาพราหม์ ก่อนแต่ พระคริสต์ และพระโมหมัด ของชาวยุโรปและอาหรับ1 พระพุทธเจ้า ได้อุบัติ บังเกิด ขึ้น ทรงสอนการพึ่งตนเอง และ ทรงสอนหลักธรรมทางใจในขั้นสูง ผิดกับ ศาสนาอื่นทั้งหมด คือ :-

หลักกรรม

ทรงสอนเป็นใจความว่า สุขทุกข์ เป็นผลเกิดมาจาก เหตุของมันเอง ได้แก่ การกระทำ ของผู้นั้น ผลเกิดจาก การกระทำ ของผู้ใด ผู้นั้นต้องได้รับ อย่างแน่นอน และยุติธรรม ไม่มีใครอาจ สับเปลี่ยน ตัวผู้ทำ กับตัวผู้รับ หรือ มีอำนาจ เหนือ กฏอันนี้ได้ นี่เรียกว่า ลัทธิกรรม มีเป็นหลักสั้นๆ ว่า สัตว์ทั้งหลาย มีกรรม เป็นของตน หมุน ไปตามอำนาจเก่า ซึ่งในระหว่างนั้น ก็ทำกรรมใหม่ เพิ่มเข้า อันจะกลายเป็น กรรมเก่า ต่อไปตามลำดับ เป็นเหตุและผล ของกันและกัน ไม่รู้จักสิ้นสุด คาบเกี่ยวเนื่องกัน เหมือนลูกโซ่ ไม่ขาดสาย เราเรียกความเกี่ยวพัน อันนี้กันว่า สังสารวัฏ หรือสายกรรม มันคาบเกี่ยว ระหว่าง นาทีนี้ กับนาทีหน้า หรือ ชั่วโมงนี้กับชั่วโมงหน้า วันนี้กับวันหน้า เดือนนี้กับเดือนหน้า ปีนี้กับปีหน้า จนถึง ชาตินี้กับชาติหน้า สับสน แทรกแซงกัน จนรู้ได้ยาก ว่าอันไหน เป็นเหตุของ อันไหนแน่ ดูเผินๆ จึงคล้ายกับว่า มีใคร คอยบันดาล สายกรรม ประจำบุคคลหนึ่งๆ ย่อมผิดจาก ของอีกคนหนึ่ง เพราะฉะนั้น ต่างคน จึงต่างเป็นไปตาม แนวกรรม ของตน ไม่เหมือนกัน กรรมเป็นเหตุ สุขและทุกข์ เป็นผลเกิดมาแต่กรรมนั้นๆ

 หลักอนัตตา

ทรงสอนอีกว่า ไม่มีพระเจ้าผู้สร้าง ไม่มีสิ่งอันควรเรียกได้ว่า ตัวตน สรรพสิ่งไม่มีผู้ใดสร้าง เกิดขึ้นแปลกๆ ก็เพราะปัจจัยตามธรรมชาติที่จะต้องค่อยๆ แปรไปตามลำดับ ตามกฏเกณฑ์ ของธรรมชาติ โดยไม่อยู่ในอำนาจของใคร เรียกว่า มันเป็นอนัตตา หลักอนัตตา นี้จึงมีแต่ใน พุทธศาสนา ไม่มีในศาสนาอื่น อันสอนว่า ทุกสิ่งพระเจ้าสร้างขึ้นเป็นตัวตน และอยู่ใต้อำนาจพระเจ้า ผู้เป็นเจ้า แห่งตัวตน ทั้งหลาย

ทรงสอนว่า ไม่มีตัวตน ซึ่งเที่ยง และ ยั่งยืน สิ่งหนึ่ง ย่อมเกี่ยวเนื่อง มาแต่อีกสิ่งหนึ่ง และสิ่งนั้นก็เกิด ทยอยมาแต่สิ่งอื่น แม้สิ่งอื่นนั้น ก็เกิดทยอยมา แต่สิ่งอื่นอีก ตั้งต้นมานาน ซึ่งไม่มีใครกำหนดได้ และจะเกิด สืบต่อกันไปข้างหน้า อีกเท่าไรแน่ ก็กำหนดมิได้ เหมือนกัน กฏข้อนี้เป็นไป ทำนองเดียวกัน ทั้งสิ่งที่มีวิญญาณ และที่หาวิญญาณมิได้ สำหรับสิ่งที่หาวิญญาณมิได้ จักยกไว้ เพราะไม่เกี่ยวกับ สุขทุกข์ ส่วนสิ่งที่มีวิญญาณ เช่น มนุษย์ และ สัตว์เดรัจฉาน ทั่วไป เป็นสิ่งควรเรียนรู้ เพราะเกี่ยวกับ สุข ทุกข์ ในชีวิต มนุษย์เรา เกิดจาก การรวมพร้อมแห่ง รูปธาตุ (Physical Element) และนามธาตุ (Mental Element) อันมีประจำอยู่ ตามธรรมดา ในโลกนี้ เมื่อสองอย่างนี้ ยังประชุมกัน เข้าไม่ได้ อย่างเหมาะส่วน ก็เป็นมนุษย์ขึ้น เช่นเดียวกับ พืชพรรณไม้ ที่อาศัย ดินฟ้าอากาศ และเชื้อ ในเมล็ดของมันเอง งอกงาม กลายเป็น ต้นไม้ ใหญ่โต ขึ้นได้ รูปธาตุ และ นามธาตุ นั้น แต่ละอย่าง ก็ล้วนเกิดมาจาก การรวมพร้อม ของพืชอื่น อีกต่อหนึ่ง เกิดสืบต่อกันมาเป็นลำดับ จนกว่า จะเหมาะ สำหรับผสมกันเข้า ในรูปใหม่เมื่อใด รูปธาตุในกายนี้ เช่น พืชและเนื้อสัตว์ ซึ่งอาศัย สิ่งอื่น เกิดมาแล้ว หลายต่อ หลายทอด จนมาเป็น เชื้อบำรุง ร่างกายนี้ โดยเป็นเชื้อให้เกิดและบำรุง ส่วนเล็กที่สุด ของร่างกาย (Cell) ที่สำหรับจะเป็นเนื้อ หนัง กระดูก ผม ขน เล็บ ฟัน โลหิต และอื่นๆ ในร่างกายเรา ธาตุลม อันเกิดขึ้น จากธรรมชาติส่วนอื่นๆ ก็ได้ใช้เป็นลมหายใจ เข้าไป บำรุงโลหิต และ สิ่งต่างๆ โลหิตเป็นเหตุ ให้เกิดความอบอุ่น และความร้อนขึ้นได้ เท่านี้ก็พอจะมองเห็นได้ว่า มันอาศัยกัน เกิดขึ้น เป็นลำดับๆ มามากมาย นี้เป็นการเกิด การผสม การแปร ของธรรมชาติ ฝ่ายรูปธาตุ

ส่วนนามธาตุนั้น ยิ่งละเอียดมาก นามธาตุ อาศัยอยู่ได้เฉพาะใน รูปธาตุ ที่ได้ปรับปรุง กันไว้ เหมาะเจาะแล้ว และมีหน้าที่บังคับรูปธาตุ พร้อมทั้งตนเอง ให้ตั้งอยู่ หรือ เป็นไปต่างๆ ตลอดเวลา ที่เข้ามา เนื่องเป็นอันเดียวกัน ควรเปรียบ เรื่องนี้ด้วย เครื่องไดนาโมไฟฟ้า ชิ้นโลหะต่างๆ กว่าจะมา คุมกันเข้า จนเป็นอย่างนี้ได้นั้น ล้วนแต่ เกิดจากอุตุนิยมสืบมา ไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนปี จนมนุษย์ นำมาปรับปรุง ให้เป็นรูปต่างๆ ก็ยังหามี ไฟฟ้าเกิดขึ้นไม่ แต่เมื่อได้ยักย้าย ประกอบกันเข้า จนถูกส่วน พร้อมด้วย อาการหมุน มันจึงปรากฏ แรงไฟฟ้าอย่างแรง ขึ้นได้ ไฟฟ้าบางส่วนนั้น ปรากฏขึ้น มาจากการหมุนของเครื่อง การหมุนของเครื่อง กลับได้แรงไฟนั้นเอง มาช่วย สนับสนุน ในการหมุนบางส่วนก็มี ถ้ามีแต่ชิ้นโลหะก็ดี มีแต่อาการหมุน อย่างเดียวก็ดี หรือมีแต่กระแสไฟฟ้า อันเป็นธรรมชาติ ประจำ อยู่ใน สิ่งต่างๆ ในโลกก็ดี ยังไม่ประชุมกัน เข้าได้แล้ว กระแสไฟฟ้าใหม่ จะไม่ปรากฏขึ้น มาได้เลย ฉันใดก็ฉันนั้น รูปธาตุ หรือ ร่างกายนี้ เปรียบเหมือน เครื่องไดนาโม นามธาตุ เปรียบเหมือน กระแสไฟฟ้า ได้อาศัยกันกลับไปกลับมา จึงเป็นไปได้ ทั้งแต่ละอย่างๆ ล้วนต้องอาศัย ความประจวบพร้อม แห่งเครื่องประกอบ ซึ่งเกิดมาแต่สิ่ง อื่น หลายทอดด้วยกัน นามธาตุ ก็เกิดสืบมา โดยตรงจาก พวกนามธาตุ อิงอาศัย อยู่กับรูปธาตุ เมื่อรวมกันเข้าแล้ว เราสมมุติเรียก คนหรือสัตว์ ชื่อนั้นชื่อนี้ เพื่อสะดวกแก่การพูดจา เช่นเดียวกับ สมมุติเรียก ชิ้นโลหะและวัตถุต่างๆ ว่า เครื่องไดนาโม ยี่ห้อนั้นยี่ห้อนี้เหมือนกัน หลักของการ ที่สิ่งต่างๆ เป็นเหตุผลของกัน และให้เกิดสืบสาวกันไปนี้ เป็นปัญหา ที่ละเอียด ลึกซึ้ง ซึ่งพระองค์ ได้ทรงตีแตก อย่างทะลุปรุโปร่ง ในตอนหัวค่ำ แห่งคืนตรัสรู้ ที่ใต้ต้นมหาโพธิ์ ที่พุทธคยา เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท

ความรู้อันนี้ ทำให้พระองค์ ทรงรู้จักโลกดี พอที่จะตี ปัญหาที่สอง ออกได้ สืบไปว่า มนุษย์เรา ควรทำ อย่างไรกัน จึงเหมาะแก่โลก ซึ่งมีธรรมชาติ เป็นอย่างนี้ หรือ จะอยู่เป็นสุข ในโลกอันมี สภาวะเช่นนี้ได้? การตีปัญหาข้อสอง ออก ได้สำเร็จผล เกิดเป็น หลักธรรมต่างๆ ที่พระองค์ใช้สอน บริษัทในสมัยต่อมา นั่นเอง อันรวมใจความ ได้สั้นๆ ว่า สิ่งซึ่ง เกิดมาจาก สิ่งอื่น ซึ่งไม่เที่ยงถาวร และ ทั้งอาการที่สืบต่อกันมา ก็ไม่ถาวรแล้ว สิ่งนั้นจะ เที่ยงถาวร อย่างไรได้ ย่อม กระสับกระส่าย โยกโคลง แปรปรวน ไปตามกัน สิ่งที่แปรปรวน ไม่คงที่ ย่อมก่อให้เกิด ภาวะชนิดที่ ทนได้ยาก คือ ทำให้เจ้าของ ได้รับ ความไม่พอใจ เสียใจ และ เป็นทุกข์ เมื่อมันแปรปรวน และ เป็นทุกข์ อยู่อย่างนี้แล้ว มนุษย์จึง ไม่ควร ฝืนธรรมดา สะเออะ เข้าไปรับเอา ความทุกข์นั้น โดยเข้าใจอ้างตัวเอง เป็นเจ้าของ ร่างกายนี้ และ ร่างกายอื่น มันไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่กรรมสิทธิ์ ของเรา เห็นได้ตรงที่ไม่อยู่ ในอำนาจเรา เราไม่ได้ ทำมันขึ้น นอกจาก อำนาจธรรมชาติ แห่ง นาม และ รูป เท่านั้น ผู้ที่เข้าไป ผูกใจ ในสิ่งต่างๆ ทั้งที่เป็นของ ภายใน และ ภายนอกตน ก็ดี ว่าเป็นสิ่ง ที่จะเป็นไป ตามความประสงค์ ของตน ทุกเมื่อแล้ว จะเกิดเป็นปัญหา ยุ่งยากขึ้น ในใจ ของผู้นั้น มืดมิดเกิดกว่า ที่เขาจะสะสางได้ พระองค์ จึงทรงสอน ให้หน่าย และ ละวาง สิ่งต่างๆ ด้วยการไม่ยึดถือ ทางใจ แม้ว่า ตามธรรมดา คนเรา จะต้อง อิงอาศัย สิ่งนั้นๆ เพื่อมีชีวิตอยู่ หมายความว่า เราปฏิบัติ ต่อมัน ให้ถูกต้อง ก็แล้วกัน

เมื่อเรา ไม่เข้าไป ผูกใจ ในสิ่งใด สิ่งนั้น ก็ไม่เป็นนาย บังคับใจเรา ให้อยาก ให้โกรธ ให้เกลียด ให้กลัว ให้เหี่ยวแห้ง หรือ ให้อาลัย ถึงมันได้ เราจะอยู่ เป็นสุข เมื่อใจ หลุดพ้นแล้ว ก็เป็นอันว่า ไม่มีอะไร มาทำให้เรา กลับเป็น ทุกข์ ได้อีก จนตลอดชีวิต การคิดแล้วคิดอีก เพื่อตีปัญหานี้ให้แตก จนใจ หลุดพ้น เรียกว่า วิปัสสนากัมมัฏฐาน และ เมื่อใจเรา ไม่ค่อย ยอมคิด ให้จริงจัง ลึกซึ้ง เพราะอาจ ฟุ้งซ่าน ด้วยความรัก ความโกรธ ความกลัว ความขี้เกียจ หรืออะไรก็ตาม จะต้องทำการ ข่มใจ ให้ปลอดจาก อุปสรรคนั้นๆ เสียก่อน การข่มใจนั้น เราเรียกกันว่า สมถกัมมัฏฐาน ถ้าไม่มี อุปสรรคเหล่านี้ สมถกัมมัฏฐาน ก็ไม่เป็น ของจำเป็นนัก นอกจาก จะเข้าฌาน เพื่อความสุข ของพระอริยเจ้า เช่นเดียวกับ การหลับนอน เป็นการ พักผ่อน อย่างแสนสุข ของพวกเราๆ เหมือนกัน คำสั่งสอน ส่วนมาก ของพระองค์ เราจึงพบแต่วิปัสสนากัมมัฏฐานเป็นส่วนใหญ่

ความยึดถือ หรือ อุปาทาน

เราจะมองเห็น อย่างแจ่มแจ้ง ได้แล้วว่า สภาพแห่งทุกข์ มีอยู่ในโลกนี้ จริง แต่บุคคล  ผู้จะรับทุกข์ นั้นหามีไม่ ถ้าหากเขา จะไม่หลง เข้าไปรับเอา ด้วยความ เข้าใจผิด ว่า สิ่งนั้นเป็นสุข และ อยากได้ หรือ หวงแหน จนเกิดการ ยึดมั่น หรือเข้าใจไปว่า ทั้งมัน ทั้งเขา เป็นตัวตน ที่จะอยู่ใน อำนาจของตน ได้ทุกอย่าง ตามแต่จะปรารถนา คิดดูก็เป็นการ น่าขัน และ น่าสลดใจ อย่างไม่มีเปรียบ ที่เราพากัน สมมุติเอา สิ่งที่ พระพุทธองค์ ทรงตรัสว่า "ว่างเปล่า" ให้ เป็นตัว เป็นตน ขึ้น แล้ว ทำใจตัวเอง ให้ดิ้นรน ก่อความ ยุ่งยาก ให้เกิดขึ้นในใจ รัก โกรธ เกลียด กลัว ไปตาม ฉาก แห่งความ แปรปรวน ของสิ่งนั้นๆ ซึ่งที่แท้ มันเป็นของ "ว่างเปล่า" อยู่ตลอดเวลา ตามที่ พระองค์ตรัส ไว้นั่นเอง

คำว่า "ว่างเปล่า" ในที่นี้ คือ ไม่มีแก่นสาร ตัวตน ที่จะมายืนยันกับเราว่า เอาอย่างนั้น อย่างนี้กันได้ เพราะของทุกอย่างล้วนแต่มีสิ่งอื่นปรุงแต่ง ค้ำจุนกัน มาเป็นทอดๆ จึงตั้งอยู่ได้พร้อมกับ การค่อยๆ แปรไป สิ่งที่สิ่งอื่น ปรุงแต่ง จึงเป็นของว่างเปล่า ไม่มีน้ำหนัก ไม่มีอิสระแก่ตน ใครจะเอา สัญญา มั่นเหมาะ กับสิ่งเหล่านั้น อย่างไรได้ ในเมื่อทั้ง ผู้ถือสัญญา และ ผู้ให้สัญญา ก็ล้วนแต่ ไม่มีความเป็นใหญ่แก่ตน หรือมีความเป็นตัว เป็นตน ไปตามๆ กันทั้งนั้น ผู้ที่ขืน เข้าไปสัญญา หรือ ยึดมั่น ในสัญญา ก็เท่ากับ เอาความว่างเปล่า ไปผูกพัน กับ ความว่าง2 จะได้ผล อันพึงใจ จากอะไรเล่า ทั้งนี้ ก็เพราะ การหลงยึดมั่น ของว่าง ขึ้นเป็น ตัวตน เราเรียกกันว่า อุปาทาน วัตถุ อันเป็นที่ตั้ง แห่งความ ยึดมั่น นั้น เรียกว่า อุปาทานขันธ์ มีห้าอย่าง คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เพราะฉนั้น จึงตรัสรู้ว่า ขันธ์ทั้งห้า เป็นที่ตั้ง แห่งความ ยึดมั่น อันเป็นทุกข์

หลักอริยสัจ

เราจะเรียนรู้ หลักความจริง เหล่านี้ ได้จากโรงเรียน คือร่างกายเรานี้ เท่านั้น ของใคร ก็ของมัน ต้องอาศัยร่างกาย เป็นที่ค้นหาความจริง เป็นครู สอนความจริง เพราะในร่างกายนี้ มีลักษณะพร้อม ทั้งเหตุ และผล พอเพียง ที่จะให้เราศึกษา หาความรู้ และ ทำความมั่นใจ ให้แก่เราได้ พระองค์ จึงตรัสไว้ว่า

"...แน่ะเธอ! ในร่างกาย ที่ยาว วาหนึ่งนี้ นั่นเอง อันมีพร้อมทั้ง สัญญา และ ใจ ฉันได้บัญญัติ โลก (คือความทุกข์), ได้บัญญัติ โลกสมุทัย (คือ เหตุให้เกิด ทุกข์), ได้บัญญัติ โลกนิโรธ (คือความดับไม่เหลือ แห่ง ทุกข์), และได้บัญญัติ โลกนิโรธคามินีปฏิปทา (คือการทำเพื่อให้ถึง ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์นั้น) ไว้"

ในที่นี้ ตรัสเรียก สภาพธรรมดา อันเต็มไปด้วยทุกข์ว่า โลก, เรียก ความอยาก ทะเยอทะยาน ของสัตว์โลก เพราะความยึดมั่น เข้าใจผิดว่า เหตุให้เกิดโลก, เรียก การดับความอยากเสียแล้ว อยู่สงบเป็นสุขใจ เพราะไม่ยึดมั่น และเข้าใจถูก ในสิ่งต่างๆ ว่า เป็นที่ดับของโลก, และทรงเรียก มรรคมีองค์แปดประการ ว่า เป็นวิธีให้ถึง ความดับของโลก นั้น อันเป็นสิ่งที่ สัตว์ทุกคน ควรกระทำ เป็นหน้าที่ ประจำชีวิต ของตนๆ ตามนัยนี้ เป็นอันว่า หลักใหญ่ ของพุทธศาสนา คือ การสอน ให้ดับทุกข์ ภายในใจ ด้วยการศึกษา หาความจริง ในกายตน และ หยั่งรู้ ไปถึงสิ่ง และ บุคคล ที่แวดล้อมตน อยู่ตามเป็นจริง ไม่ติดมั่น จนเกิดทุกข์ เพราะเห็น กฏแห่งอนัตตา แล้วมีใจ ปลอดโปร่งสบาย การไม่ยึดมั่นว่า เป็นตัวตน อันจะก่อ ให้เกิดการเห็นแก่ตนนั้น เป็นประโยชน์ ทั้งแก่ตน และผู้อื่น หรือแก่โลกทั้งสิ้น คือตนเอง จะเป็นผู้มีความสุขสงบ เยือกเย็นแสนจะเย็น ส่วนผู้อื่นนั้น นอกจาก ไม่ถูกผู้นั้น มาเบียดเบียนแล้ว ยังอาจประพฤติ ตามเขา จนได้รับความสุข อย่างเดียว ไฟทุกข์ ของโลกจะดับสนิท หลักธรรมทั้งหลาย แม้จะมีชื่อเรียกต่างๆ กันหมดนั้น รวมลงได้ในหลัก คือ ความดับทุกข์ ทั้งสิ้น ความรู้ชนิดนี้ ย่อมนำให้เกิด ความเมตตา สงสารเพื่อน ที่กำลังอยู่ในทะเล แห่งสังสารวัฏ ด้วยกันอย่างแรงกล้า เพราะฉะนั้น เป็นอันไม่ต้องกล่าว ก็ได้ว่า เมตตา เป็นหลักอันสำคัญ ใน พุทธศาสนา นี้ด้วย อีกประการหนึ่ง

หลักโลกิยะ และโลกุตตระ

ผู้สำคัญในสิ่งว่างเปล่า ว่าเป็นแก่นสาร ก็คือผู้หลง หรือ เรียกตรงๆ อีกอย่างหนึ่งว่า ผู้ปลูกสร้าง ฉางบรรจุความทุกข์ไว้ สำหรับตน และนั่นคือ ปกติ หรือธรรมดา ของมนุษย์ทั้งโลก ที่เรียกว่า ยังอยู่ในวิสัย โลกิยะ ไม่ใช่ โลกุตตระ คือ ผู้พ้นจากโลก ด้วยน้ำใจ บางสมัย หรือ บางเรื่อง ผู้แสวงหาทุกข์มาใส่ตน ได้มาก กลับได้รับ ความยกย่องนับถือ ทั้งนี้ เพราะพากัน หลง ในสิ่ง ที่ยังไม่รู้จัก มันดี และนับถือ โลกิยะ คนยากจน ซึ่งมีอยู่เป็นส่วนมาก ทะเยอทะยาน เงินทอง ของ มหาเศรษฐี อย่างแรงกล้า แต่มหาเศรษฐี นั้น ไม่ได้ ทะเยอทะยาน หรือ รู้สึกอะไร กี่มากน้อย ในเงินทอง ของตนเองเลย เป็นแต่ทะเยอทะยาน ต่อส่วน ที่มากขึ้น ไปกว่านั้นอีก ส่วนความหนักใจ ความหวั่นใจ เมื่อคิด เทียบส่วนแล้ว ย่อมมีเสมอกัน ไปหมด มันมีส่วนมากน้อย เท่ากับ ที่ตน สมมุติเอา ความว่างเปล่า ขึ้นเป็นตัว เป็นตน ตามมาก และ น้อย เพียงไร ใครสมมุติขึ้นมาก ก็ต้องแบกไว้มาก และหนักกว่า! พระพุทธเจ้าเอง ก็เคยทรงแบกก้อนหิน อันหนักนี้ แต่แล้ว กลับทรงสลัดทิ้งเสีย !! เพราะพระองค์ ทรงค้นพบว่า มันคือความทุกข์ ทรมาน ของผู้เข้าใจผิด หลงเข้าไปยึดถือ เป็นของน่าสะอิดสะเอียน และตรงกันข้าม กลับเป็นของเบา สบาย สำหรับผู้ไม่หลงยึดถือ หรือสลัดทิ้งเสียได้แล้ว นี้เรียกว่า ทรงค้นพบ โลกุตรธรรม เพราะฉะนั้น พุทธศาสนา ก็คือ คำสอนให้สลัดความทุกข์ ออกทิ้งเสีย ให้พ้นจาก ความทุกข์ อันเป็นของมีประจำ อยู่ในโลกแต่อย่างเดียว ไม่หลง ประกอบทุกข์ ขึ้นแบกไว้ ไม่ใช่ให้อ่อนแอ ร้องขอแต่ความสุข ทั้งที่ไม่รู้จักทุกข์ และ สลัดมันออกไปเสีย โดยรู้ว่า ภาวะที่หมดทุกข์ นั่นแล เป็นความสุข ที่แท้, มันเป็นการ กระทำชีวิต ให้กลับกลาย มาเป็น อิสระจากสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ ตามธรรมชาติ อันยั่วยวนใจ ในโลก ภายหลังจากที่เราเองได้ยอมตน เข้าไปเป็นทาส ด้วยความโง่ อย่างยิ่ง ของเรามาแล้ว ตลอดสังสารวัฏ อันยาวยืด ซ้ำซาก ไม่มีที่สิ้นสุด ลงได้ จนกว่า เราจะรู้เท่าทันมัน ดวงใจอันข้ามขึ้น อยู่เหนือ โลก เช่นนี้ เรียกว่า โลกุตตรจิต ภาวะที่เป็นเช่นนั้น เรียกว่า โลกกุตตรธรรม โลกุตตรวิสัย, หรือ โลกุตตรภูมิ

ในวงแห่งศาสนาอื่นๆ เมื่อศาสนิกใกล้จะตาย ย่อมร้องว่า "สวรรค์! พระเจ้า!" แต่สำหรับ พุทธศาสนิก ที่แท้จริง จะร้องว่า "ความดับสนิท อย่างไม่มีเหลือ เป็นเชื้ออีกต่อไป !" นี้แสดงว่า เขาเหล่าโน้น ยังอยากอยู ่ในโลก-โลกสวรรค์ หรือ โลกพระเจ้า ส่วน พุทธศาสนิก มีจุดหมาย ปลายทาง คือ ความดับไม่มีเหลือ, โลกุตตระ จึงมีแต่ใน พุทธศาสนา เท่านั้น

เมื่อมนุษย์ ยังเป็นป่าเถื่อน, รู้จัก และปรารถนา ความสุข อย่างสูงสุด เพียงการได้กิน ได้เสพย์ ของอร่อยๆ พออิ่มไป ขณะหนึ่งๆ เท่านั้น แต่ความคิด ของมนุษย์ ในอันแสวงหาความสุขที่ยิ่งขึ้นไป ไม่ได้หยุดเฉยอยู่ นานเข้า ค่อยมีความเห็นแปรไปสู่ ภาวะที่สูงขึ้น จนรู้จัก และปรารถนา ทรัพย์สมบัติ แว่นแคว้น ปรารถนากามสุข จนถึงสวรรค์ อันเป็น ที่สุดยอด ของกาม นานต่อมา มีพวกหัวคิดสูง เห็นว่า สุขในกาม ก็ยังเป็น ของเสียดแทง หัวใจ เท่าๆ กับ ความหวาน อร่อยของมัน เลยนึก หาความสุข อันสูงขึ้นไป และได้ยึดเอาว่า ความมี ความเป็น แห่งชีวิต ที่ปราศจากกาม เป็นยอดสุด คือ ความเป็น พรหม นั่นเอง และบัญญัติขึ้น ในยุคนั้น ว่า ความเป็นพรหม นั่นแหละ เป็นนิพพาน คำว่า นิพพาน ที่แปล ตามศัพท์ว่า ปราศจากการเสียดแทง ได้เกิดมีขึ้นแต่ครั้งนั้น

ต่อมาอีกนาน พระพุทธเจ้า อุบัติขึ้น และทรงค้นพบว่า ภาวะ แห่งพรหม ก็ยังไม่เที่ยง แปรปรวน และแตกดับ เช่นเดียวกับ สิ่งที่ต่ำกว่า อื่นๆ จะเรียกว่า นิพพาน หาได้ไม่ ยังเสียดแทงอยู่อย่างละเอียด เพราะยังมี ความสำคัญว่า ตัวตนอยู่ จะต้องเสียดแทงใจ ในเมื่อมันแตกดับ เพราะยังมี ความอยาก ความปรารถนาในทางที่แม้ไม่ใช่กาม ก็จริง ตัณหา ยังมีอยู่ จึงทรงบัญญัติ ความดับไม่เหลือ เป็นตัวตน สำหรับยึดถืออีกต่อไปว่า เป็นตัวนิพพาน อันแท้จริง อันจะไม่มีใครมาบัญญัติ ความสุข ให้สูงกว่านี้ ขึ้นไปได้อีก โลกุตตรธรรม หรือ นิพพาน ที่แท้จริง จะมีแต่ในพุทธศาสนา นอกนั้น ยังอยู่ในวิสัยโลก ทั้งสิ้น ต่างกันสักว่า ชื่อ เป็นมนุษย์โลกบ้าง เทวโลกบ้าง พรหมโลกบ้าง

พุทธศาสนา กับ วิทยาศาสตร์

หลักแห่งพุทธศาสนา แปลกจากศาสนาอื่น ทั้งหลาย โดยเป็น ศาสนา แห่งวิชาความรู้ ที่ทนต่อการพิสูจน์ ของใครๆ ได้ทั้งสิ้น ดังที่ตรัสไว้ว่า ธรรม ในพุทธศาสนา ย่อมทนต่อการพิสูจน์ได้3 คือ ท้าให้ใครพิสูจน์ได้ทุกอย่าง จนผู้พิสูจน์ พ่ายแพ้ภัยตัวเอง หมดมานะ กลับใจ ยอมนับถือ พุทธศาสนา คำที่กล่าวกันว่า พุทธศาสนา เหมือนกัน หรือเข้ากันได้ กับ วิทยาศาสตร์นั้น มีผู้ตีความกันว่า เพราะพุทธศาสนา แยกสังขาร ร่างกาย ออก วิเคราะห์ หาความจริง เช่นเดียวกับ วิทยาศาสตร์ แผนปัจจุบัน แยกธาตุต่างๆ ออกหา คุณสมบัติ ชั้นละเอียด ข้าพเจ้าเห็นว่า คำกล่าวนั้น ยังไม่เพียงพอ กับคุณค่า อันสูงสุดแท้จริง ของพุทธศาสนา เพราะถ้า กล่าวเช่นนั้นแล้ว วิชา สรีรศาสตร์ หรือ แพทย์ศาสตร์ อันเกี่ยวกับการแยกตรวจร่างกาย ก็จะกลายเป็น พุทธศาสนาไปส่วนหนึ่งด้วย ที่แท้ ควรกล่าวว่า เหมือนกันโดยที่ หลักวิทยาศาสตร์ ก็ทนต่อการพิสูจน์ อาจทำการ พิสูจน์ให้ดูเอง หรือยอมให้ใครพิสูจน์ ได้ทุกท่า ทุกทาง จนเขาหมดท่าจะพิสูจน์ เพื่อโต้แย้งอีกต่อไป และหมดความสงสัย เช่นเดียวกับพุทธศาสนา ยอมให้ใครเพ่งพิสูจน์ซักไซร์อย่างไร ก็ได้ ยอมทนอยู่ได้ จนเขาหมดวิธีพิสูจน์ และต้องเชื่อ สัจจะย่อมไม่ตาย! คำว่า วิทยาศาสตร์ ในที่นี้ หมายถึง วิชา (Science) ที่แท้จริง ทุกๆ อย่าง ไม่เฉพาะแต่การแยกธาตุ (Chemistry) เท่านั้น แม้คณิตศาสตร์ (Mathematics) ก็เป็นวิทยาศาสตร์ ในที่นี้ด้วย ถ้าท่านสงสัยว่า วิชาเลข หรือ คณิตศาสตร์ จะทนต่อพิสูจน์ ได้เหมือน พุทธศาสนา อย่างไร ก็จงลองคิดดูอย่างง่ายๆ ที่สุดว่า ๒+๓=๕ เป็นต้นนี้ มันเป็นความจริงเพียงไร มีใครบ้างที่อาจพิสูจน์ให้เห็นได้ว่า ๒ บวก ๓ ได้ผลเป็นอย่างอื่นนอกจาก ๕ ใครจะพิสูจน์ โดยวิธีไร กี่ร้อยกี่พันเท่า ก็ตาม มันยังคงเป็น ๒+๓=๕ อยู่เสมอ เป็นหลักที่แข็งแรง ยิ่งกว่าภูเขาหินแท่งทึบ อันอาจหวั่นไหวได้ โดยธรรมชาติ หรืออุตุนิยมแปรปรวน หลักความจริง แห่งวิทยาศาสตร์ เหล่านี้มั่นคง มีอุปมาฉันใด พุทธศาสนา ก็มีหลักแห่งความจริง หนักแน่นมั่นคง ฉันนั้น แม้จะขนเอาการแยกธาตุ และตรวจค้นพิสูจน์ อย่างที่เรียกว่า วิทยาศาสตร์แผนใหม่ ทั้งหมดมาเป็นเครื่องมือพิสูจน์ ก็ไม่อาจ พิสูจน์ พุทธศาสนา ให้เศร้าหมองไปได้ เช่น พิธีต่างๆ เป็นต้น มาพิสูจน์ในนามว่า พุทธศาสนา ก็แล้วกัน ความจริง หรือพุทธศาสนา จะยังคงอยู่ชั่วโลก ไม่มีสมัย หรือขีดขั้น กำหนดเวลาอายุ เพราะเป็นการเรียนรู้ธรรมชาติ เพื่อชำนะ ธรรมชาติด้วยความจริง เช่นนี้ ยังมิเป็นเครื่องชี้ อันเด่นชัดว่า พุทธศาสนา เข้ากันได้กับ วิทยาศาสตร์ ซึ่งโลกปัจจุบัน ย่อมบูชาอย่างสนิททั่วหน้า โดยลักษณาการอย่างไรเจียวหรือ? และข้อสำคัญที่สุด ก็คือ เมื่อมีแต่พุทธศาสนาเท่านั้น ที่เข้ากันได้กับวิทยาศาสตร์ของโลกแล้ว จะยังมีศาสนาไหนอีกเล่า ที่จะเป็นศาสนาแห่งสากลโลก นอกจากพุทธศาสนา ?"

โมกขพลาราม
๑ กรกฏาคม ๒๔๗๗

---------------------------------
หมายเหตุส่วนตัว :- ที่จริงศาสนาทั้งหลายมี จุดมุ่งหมาย อย่างเดียวกัน คือความสุข ถ้าจะปรับกันเข้าให้สนิทก็จะลงกันได้เป็น ศาสนาเดียวกัน! ใครมีคุณสมบัติแค่ไหน ย่อมอยู่ในระดับแค่นั้น เหมือนพี่น้อง หรือ ผู้มีคุณวุฒิ ยิ่งหย่อนกว่ากัน ยืนเรียงแถวกันตามลำดับวุฒิ ก็จะมีแต่ ศาสนาเดียวในโลก ! ขอแต่ อย่าถือเราถือเขา ถึงกับพยายาม ทำลายเพื่อนศาสนาอื่น เพื่อประโยชน์ตน ด้วย "การรุกเงียบๆ" อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็แล้วกัน หลักศาสนาอื่นทั้งหลาย มีเพียง โลกิยะ ไม่พ้นไปได้ ส่วนพุทธศาสนา ยังมีสูงขึ้นไปถึงโลกุตตระด้วย มีทั้งสองอย่าง ใครจะเลือกเอาอย่างไหนก็ได้ หลักโลกุตตระ หรือที่เกี่ยวกับ โลกุตตระ เท่านั้น ที่พุทธศาสนา มีอยู่อย่างที่ศาสนาอื่นไม่มีเสียเลย จึง "อม" ศาสนาอื่นๆ ไว้ได้ทั้งหมด

พุทธทาส.

 

 

หมายเหตุประกอบ
๑. ศาสนาคริสต์และอิสลาม แม้เกิดทีหลังพุทธศาสนา แต่กลับไปมีหลักอย่างเดียวกับ ศาสนาพราหม์ในอินเดีย ซึ่งมีอยู่ก่อนศาสนาพุทธ ก็เพราะมีมูลรากไปจากศาสนานั้น โดยพวกที่ถือพระเจ้าแต่องค์เดียวของพราหม์ยุคนั้น แยกพวกจากอินเดียข้ามแดนไปทางตะวันตก คือ ปาเลสไตน์และอาหรับ (ดูพิสดารในเทศนาเสือป่า)

๒. ดูเรื่อง"ใครทุกข์? ใครสุข?" ประกอบ จะได้ความชัดเจน เมื่อสงสัยว่า ไม่มีตัวตนแล้ว ใครทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

๓. ตรัสว่า "...เมื่อเขาใคร่ครวญต่อเนื้อความแห่งธรรมอยู่ ธรรมทั้งหลายย่อมทนต่อการพิสูจน์ได้ เมื่อธรรมทั้งหลายทนต่อการพิสูจน์ได้ เขาย่อมเกิดความพอใจและความขยันขันแข็ง.." จังกีสูตร ม.ม. ไตร, ล. ๑๓ น. ๖๐๕ บ. ๖๕๘.

 


462
บทความ บทกวี / ฤทธิ์-ปาฎิหาริย์
« เมื่อ: 06 เม.ย. 2550, 03:35:04 »

เรื่องของฤทธิ์ หรือ ปาฎิหาริย์ นับว่าเป็นเรื่องหนึ่ง ที่ยังมัวอยู่มาก ในบรรดา เรื่องที่ยังมัวอยู่ หลายเรื่อง ด้วยกัน และดูเหมือน จะเป็นเพราะ ความที่มันเป็น เรื่องมัว นี่เอง ที่เป็นเหตุ ให้มีผู้สนใจ ในเรื่องนี้ อยู่เรื่อยๆ มาเป็นลำดับ อย่างไม่ขาดสาย และมากกว่า ที่ถ้ามันจะเป็น เรื่องที่กระจ่าง เสียว่า มันเป็นเรื่อง อะไรกันแน่ หมายความว่า ถ้าเราทราบดีว่า ฤทธิ์ คืออะไร และเป็นเรื่อง เหมาะสำหรับใคร โดยเฉพาะแล้ว เชื่อว่า จะทำให้มีผู้สนใจ เรื่องนี้ น้อยเข้า เป็นอันมาก

ท่านผู้ที่แสดงฤทธิ์ได้ ไม่เคยปรากฏว่า ได้รับผล อัน"เด็ดขาดแท้จริง" อย่างไร จากฤทธิ์นั้น ทั้งทางวัตถุ และความสุขในส่วนใจ ฤทธิ์ เป็นเรื่องจริง สำหรับผู้ที่ไม่ทราบว่า ฤทธิ์ คืออะไร และ ตนเป็นผู้ที่ ตกอยู่ใน ภูมิแห่งใจที่ต่ำ จนผู้มีฤทธิ์ จะออกอำนาจฤทธิ์ บังคับ เมื่อไรก็ได้ แต่สำหรับ ผู้มีฤทธิ์ หรือ ผู้ที่รู้เรื่องฤทธิ์ดี หรือมีกำลังใจ เข็มแข็ง เท่ากับ ผู้มีฤทธิ์ จะเห็นว่า ฤทธิ์นั้น เป็นเพียงเรื่อง "เล่นตลก" ชนิดหนึ่ง เท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่ แยบคายมาก ลึกซึ้งมาก

พระพุทธองค์ ทรงสะอิดสะเอียน ในเมื่อจะต้องมีการแสดงฤทธิ์ เว้นแต่ จะเป็น การจำเป็น จริงๆ ทรงห้าม พระสาวก ไม่ให้แสดงฤทธิ์ พระองค์เอง ก็ตรัสไว้ใน เกวัฎฎสูตร๑ ว่า พระองค์เอง ก็ไม่พอพระทัย ที่จะทรมานใคร ด้วยอิทธิปาฎิหาริย์ และ อาเทศนาปาฎิหาริย์ เพราะมันพ้องกันกับ วิชากลางบ้าน ซึ่งพวกนักเลงโต ในสมัยนั้น เล่นกันอยู่ เรียกว่า วิชาคันธารี และมนต์มณิกา พระองค์ พอพระทัยที่สุด ที่จะใช้ อนุสาสนีปาฎิหาริย์ คือ การพูดสั่งสอนกัน ด้วยเหตุผล ที่ผู้ฟังจะตรองเห็นตามได้เอง อันเป็น การทรมาน ที่ได้ผลเด็ดขาด ดีกว่าฤทธิ์ ซึ่งเป็นของชั่วขณะ อันจะต้องหาวิธีทำให้ มั่นคง ด้วยการสั่งสอน ที่มีเหตุผล อีกต่อหนึ่ง ในภายหลัง

แต่ถึงแม้ว่า ฤทธิ์จะเป็น เรื่องหลอกลวงตา อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นเรื่อง ที่น่าสนใจอยู่บ้าง เพราะมันเป็นสิ่งที่ท่านผู้มีฤทธิ์ เคยใช้ต่อต้าน หรือ ทำลายอุปสรรค ของท่านสำเร็จมาแล้ว เป็นอันมากเหมือนกัน เมื่อเราปวดท้อง เพราะอาหารเน่าบูดในท้อง ยาขนานแรก ที่เราต้องกิน ก็คือ ยาร้อน เพื่อระงับความปวด ให้หายไปเสียขณะหนึ่งก่อน แล้วจึง กินยาระบาย ถ่ายของบูดเน่าเหล่านั้นออก อันเป็นการแก้ให้หายเด็ดขาด ในภายหลัง ทั้งที่ ยาแก้ปวดท้อง เป็นเพียง แก้ปวดชั่วคราว ไม่ได้แก้ สมุฎฐาน ของโรค มันก็เป็น ยาที่มีประโยชน์ อยู่เหมือนกัน ในเมื่อเรารู้จักใช้ เปรียบกันได้กับ เรื่องฤทธิ์ อันท่านใช้ ทรมานใคร ในเบื้องต้น แล้ววทำให้มั่นคง ด้วยปัญญา หรือ เหตุผลในภายหลัง ฉันใดก็ฉันนั้น

แต่ถ้าไม่มีการทำให้มั่นคง ด้วยเหตุผล ที่เป็นปัจจัตตะ หรือ สันทิฎฐิโก ในภายหลัง ผลที่ได้มักไม่สมใจ เช่นเดียวกับ กินเพียง ยาระงับ ความเจ็บปวด อย่างเดียว แต่หาได้ ถ่ายโทษร้าย นั้นออกเสียไม่ มันก็กลับเจ็บอีก หรือ กลายเป็นโทษร้าย อย่างอื่นไป ควรใช้กำลังฤทธิ์ ในเบื้องต้น ใช้ปัญญา หรือ เหตุผล ในภายหลัง ย่อมได้ผลแนบแนียน และไพศาลกว่า ที่จะได้เพียงอย่างเดียว แต่อย่างเดียว คนบางพวก เลื่อมใสในศาสนา ด้วยอำนาจปาฏิหาริย์ อย่างใดอย่างหนึ่ง จูงให้เข้า ปฏิบัติศาสนา จนได้รับ ผลของศาสนานั้นแล้ว แม้จะ มารู้ภายหลังว่า เรื่องฤทธิ์ เป็นเรื่องหลอก เขาก็ละทิ้ง เฉพาะเรื่องของฤทธิ์ แต่หาได้ ทิ้งศาสนา หรือความสุข ที่เขาประจักษ์ กับเขาเอง ในภายหลังนั้นไม่

แต่มีปรากฏ อยู่บ้างเหมือนกัน ที่คนบางคน เลื่อมใสฤทธิ์ อย่างเดียว เข้ามาเป็นสาวก ของพระพุทธองค์แล้ว หาได้ทำให้ตน เข้าถึงหัวใจ แห่งพุทธธรรม ด้วยปัญญาไม่ ต้องหันหลัง กลับไปสู่ มิจฉาทิฎฐิ ตามเดิม เช่น สุนักขัตตะลิจฉวีบุตร เป็นต้น แต่ก็มีมากหลาย ที่ถูกทรงชนะ มาด้วยฤทธิ์ แล้วได้รับการอบรม สั่งสอนต่อ ได้บรรลุ พระอรหัตตผลไป เช่น ท่านพระองคุลิมาล เป็นต้น จึงเป็นอันว่า เรื่องฤทธิ์ ก็เป็นเรื่องที่ น่ารู้สนใจ อยู่ไม่น้อย แม้จะไม่เป็นการสนใจ เพื่อฝึกฝนตน ให้เป็นผู้มีฤทธิ์ แต่ก็เป็น การสนใจ เพื่อจะรู้สิ่งที่ควรรู้ ในฐานะที่ตน เป็นนักศึกษา หาความแจ่มแจ้ง ในวิชา ทั่วๆไป ต่อไปนี้ จะได้วินิจฉัย ในเรื่องฤทธิ์นี้ เป็นเพียง แนวความคิดเห็น ที่ขยายออกมา สำหรับ จะได้ช่วยกัน คิดค้นหาความจริง ให้พบใกล้ชิด เข้าไปหาจุด ของความจริง แห่งเรื่องนี้ ยิ่งขึ้นเท่านั้น

ในบาลี พระไตรปิฎก เราพบเรื่องของ ฤทธิ์ ชั้นที่เป็น วิชชา หรือ อภิญญา หนึ่งๆ แสดงไว้ แต่ลักษณะ หรือ อาการว่า สามารถทำได้ เช่นนั้นๆ เท่านั้น หามีบทเรียนหรือ วิธีฝึกกล่าวไว้ด้วยไม่ อันท่านผู้อ่าน จะอ่านพบได้จาก พระบาลี มหาอัสสปุรสูตร หรือ สามัญญผลสูตร แล้ว, ในบาลี คล้ายๆ กับ ท่านแสดงว่า เมื่อได้พยายามฝึกจิต ของตนให้ผ่องใส จนถึงขนาด ที่เหมาะสม แก่การใช้มันแล้ว ฤทธิ์นั้นก็เป็นอันว่า อยู่ในกำมือ ต่อมาในชั้น อรรถกถา และคัมภีร์พิเศษ เช่น คัมภีร์วิสุทธิมรรค โดยเฉพาะ ได้อธิบายถึง วิธีฝึกฝน เพื่อการแสดงฤทธิ์ ไว้โดยตรง และดูคล้ายกับว่า ท่านประสงค์ ให้เป็น บุรพภาค ของ การบรรลุมรรคผล เสียทีเดียว

ข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่า เรื่องฤทธิ์ นี้เป็น เรื่องของพุทธศาสนา โดยตรง หรือ เป็นส่วนหนึ่ง ของพุทธศาสนา ในบาลีมัชฌิมนิกาย มีพุทธภาษิตว่า พระตถาคต สอนแต่เรื่องความทุกข์ กับ ความพ้นทุกข์ เท่านั้น ๒ ทั้งเรื่อง ของฤทธิ์ ก็ไม่เข้า หลักโคตมีสูตรแปดหลัก แต่หลักใด หลักหนึ่ง การที่เรื่องของฤทธิ์ เข้ามาเกี่ยวข้องกับ พุทธศาสนาได้ ก็เป็น การเทียบเคียง โดยส่วนเปรียบว่า ผู้ที่ฝึกจิต ของตน ให้อยู่ในอำนาจ อาจที่จะ บรรลุมรรคผล ได้ ในทันตาเห็น นี้แล้ว จิตชนิดนั้น ก็ย่อมสามารถ ที่จะ แสดงฤทธิ์ เช่นนั้นๆ ได้ ตามต้องการ เมื่อต้องการ, และ อีกประการหนึ่ง ฤทธิ์ เป็นเครื่องมือ อย่างดี ที่จะ ทรมานบุคคล ประเภท ที่ไม่ใช่ นักศึกษา หรือ นักเหตุผล ให้มาเข้ารีต ถือศาสนา ได้, ในยุคพุทธกาล ยังเป็น ยุคแห่งจิตศาสตร์ ไม่นิยม พิสุจน์ค้นคว้า กันใน ทางวัตถุ เช่น วิทยาศาสตร์แผนปัจจุบัน มหาชน หนักไปในทางนั้น บรรดาศาสดา จึงจำเป็น ที่จะต้องมี ความรู้ ความสามารถ ในเรื่อง ฤทธิ์ นี้เป็นพิเศษ ส่วนหนึ่งด้วย เราอาจกล่าวได้ว่า ฤทธิ์ เป็นของคู่กันกับ ลัทธิคำสอน มาตั้งแต่ ดึกดำบรรพ์ ก่อนพุทธกาล ซึ่งศาสดานั้น ใช้เป็นเครื่องมือ เผยแพร่ ศาสนาของตน แม้พระพุทธองค์ ซึ่งปรากฏว่า เป็นผู้ที่ทรง เกลียดฤทธิ์ ก็ยังต้องทรงใช้บ้าง ในบางคราว เมื่อจำเป็น ดังที่ปรากฏอยู่ ในบาลี หลายแห่ง

ครั้ง ก่อนพุทธกาล นานไกล ในยุคพระเวท พระเวทยุคแรกๆ ก็มีแต่คำสั่งสอน ในการปฏิบัติและบูชา เท่านั้น ครั้นตกมายุคหลัง เกิดพระเวทที่สี่ (อรรถวนเวท) ซึ่งเต็มไปด้วยเวทมนต์ อันเป็นไปในการให้ ประหัตประหาร  ล้างผลาญ กัน หรือ ต่อสู้ ต้านทาน เวทมนต์ ของศัตรู ขึ้นด้วยอำนาจ ความนิยม ของมหาชน หรือ อาจกล่าวได้ อีกอย่างว่า ตามอำนาจ สัญชาตญาณ ของ ปุถุชน นั่นเอง นับได้ว่า ยุคนี้เป็นมูลราก ของสิ่งที่ เรียกกันว่า "ฤทธิ์" และนิยม สืบกันมา ด้วยเหตุที่ว่า มหาชน ชอบซื้อ "สินค้า" ที่เป็นไปทำนองฤทธิ์ มากกว่า เหตุผลทางปรัชญา ถ้าศาสนาใด ด้อยในเรื่องนี้ ก็จะมีสาวก น้อยที่สุด จะได้แต่ คนฉลาด เท่านั้น ที่จะเข้ามาเป็นสาวก ถ้าเกิดการแข่งขัน ในระหว่างศาสนา ก็เห็นจะเป็น ฤทธิ์ อย่างเดียว เท่านั้น ที่จะนำความ มีชัย มาสู่ตนได้ ในเมื่อให้ มหาชนทั้งหมด เป็นกรรมการตัดสิน คือ ให้พวกเขา หันเข้ามา เลื่อมใส และเพราะเหตุนี้เอง ในบาลี จึงมีกล่าวประปรายถึง ฤทธิ์ ส่วนในอรรถกถา ได้กล่าวอย่าง ละเอียดพิสดาร พระพุทธโฆษาจารย์ ได้กล่าว วิธีฝึกฤทธิ์ ไว้ใน คัมภีร์วิสุทธิมรรค ซึ่งเป็นหนังสือ ที่แต่งขึ้น เพื่อเอาชนะน้ำใจ ชาวเกาะลังกา นับตั้งแต่ พระสังฆราช แห่งเกาะนั้น ลงมา อันนับว่า เป็นหนังสือ เล่มสำคัญที่สุด ของท่านผู้นี้ และได้กล่าวไว้ ใน อรรถกถาขุททกนิกาย ว่า พระศาสดาของเรา ทรงแสดงฤทธิ์ หรือ ปาฎิหาริย์ แข่งกับ ศาสดานิครนถเดียรถีย์ อันเรียกว่า ยมกปาฎิหาริย์ และเล่าเรื่อง พระศาสดาทรงแสดงปาฎิหาริย์ ย่อยๆ อย่างอื่นอีก เป็นอันมาก นี่ชี้ให้เห็นชัดทีเดียวว่า จะอย่างไรก็ตาม ได้มีการต่อสู้ และ แข่งขัน ในระหว่าง เพื่อนศาสดา ด้วยใช้ฤทธิ์ เป็นเครื่องพิสูจน์ ตามความนิยม ของมหาชน เป็นแน่แท้ ในยุคนั้น, แต่นักต่อสู้นั้นๆ จะเป็น องค์พระศาสดาเอง ดังที่ท่านผู้นี้กล่าว หรือ ว่าเป็นพวกสาวกในยุคหลังๆ หรือ ยุคของท่านผู้กล่าวเอง หรือ ราว พ.ศ. ๙๐๐ ก็อาจเป็นได้ ทั้งสองทาง

อาจมีผู้แย้งว่า ถ้าเป็นยุคหลัง ทำไมเรื่องนี้ จึงไปอยู่ใน บาลีเดิมเล่า?  พึงเข้าใจว่า บาลีพระไตรปิฎก ของเรานี้ ปรากฏว่า มีอยู่คราวหนึ่ง ซึ่งถูก ถ่ายจากภาษาสิงหล กลับสู่ภาษาบาลี แล้ว เผา ต้นฉบับเดิม เสีย และผู้ที่ทำดังนี้ ก็คือ ท่านพระพุทธโฆษาจารย์ ผู้เป็น เอกอัคร แห่ง พระอรรถกถาจารย์ ทั้งหลาย นั่นเอง, ท่านผู้นี้เป็น พราหมณ์ โดยกำเนิด จึงนำให้ นักศึกษา หลายๆ คนเชื่อว่า ถ้าเรื่อง ของ พราหมณ์ หลายเรื่อง (เช่น เรื่องนรก สวรรค์ เรื่องพระราหู จับพระอาทิตย์ พระจันทร์ ในสังยุตตนิกาย เป็นต้น) ได้เข้ามาปนอยู่ใน พระไตรปิฎก ถึงกับบรรจุ เข้าใน พระพุทธโอษฐ์ ก็มีนั้น ต้องเป็นฝีมือ ของท่านผู้นี้ หรือ บุคคลประเภท เดียวกับท่านผุ้นี้ แต่ที่ท่านบรรจุเข้า ก็ด้วย ความหวังดี ให้คนละบาป บำเพ็ญบุญ เพราะสมกับ ความเชื่อถือ ของคน ในครั้งนั้น เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่า พระศาสดา มิได้ทรงสอน เรื่องฤทธิ์ หรือ เรื่องฤทธิ์ มิได้เข้าเกี่ยวข้อง กับพุทธศาสนา ในครั้งพุทธกาลแล้ว มันก็น่าจะ ได้เข้าเกี่ยวข้องในครั้งนี้ เป็นแน่. ท่านผู้ที่ดึงเข้ามา เกี่ยวข้อง ก็ได้ทำไป ด้วยความหวังดี เพื่อให้ พุทธศาสนา อันเป็นที่รัก ของท่าน ต้านทานอิทธิพล ของศาสนาอื่น ซึ่งกำลังท่วมทับ เข้ามานั่นเอง มิฉะนั้น น่ากลัวว่า พุทธศาสนา จะเหลืออยู่ ในโลกน้อยกว่า ที่เป็นอยู่ ในบัดนี้มาก

เมื่อเหตุผลมีอยู่ดังนี้ ข้อปัญหาต่อไป จึงมีอยู่ว่า เราจะปรับปรุง ความคิดเห็น และความเชื่อถือ ในเรื่องฤทธิ์ นี้อย่างไร ข้าพเจ้าเห็นว่า ฤทธิ์ เป็นเพียง เครื่องประดับ หรือ เครื่องมือ อย่างหนึ่ง ซึ่ง พุทธศาสนา เคยใช้ประดับ หรือ ใช้ต้านทานศัตรู มาแล้ว แต่หาใช่เป็น เนื้อแท้ของ พุทธวจนะ ซึ่งกล่าวเฉพาะ ความดับทุกข์ โดยตรงไม่ เพราะฉะนั้น เมื่อเราในบัดนี้ จะเข้าเกี่ยวข้อง กับฤทธิ์ อย่างดีที่สุด ที่จะทำได้ ก็เท่ากับ ที่เป็นมาแล้ว นั่นเอง เราไม่อาจถือเอามัน เป็นสรณะ อันแท้จริง อย่างไรได้ เพราะเหตุผล ดังที่ ข้าพเจ้า จะได้แสดงต่อไป ตามความรู้ ความเห็น ฝากท่านผู้รู้ ช่วยกัน พิจารณาหาความจริง สืบไป

คำว่า ฤทธิ์ แปลว่า เครื่องมือ ให้สำเร็จ ตามต้องการ แต่ความหมายจำกัด แต่เพียงว่า เฉพาะ ปัจจุบัน ทันด่วน หรือ ชั่วขณะเท่านั้น เมื่อ หมดอำนาจ บังคับของฤทธิ์ แล้ว สิ่งทั้งปวง ก็กลับคืน เข้าสู่สภาพเดิม ผู้มีกำลังจิตสูง ย่อมแสดงฤทธิ์ ได้สูง จนผู้ที่มีฤทธิ์ด้วยกัน ต้องยอมแพ้ เพราะมีอำนาจใจ ต่ำกว่า จิตเป็นธรรมชาติ อันหนึ่ง ซึ่งเมื่อได้มีการฝึก ให้ถูกวิธี ของมันแล้ว ย่อมมีอำนาจมากพอ ที่จะครอบงำ สิ่งทั้งหลาย ที่มีจิตใจ ด้วยกัน ได้หมด ช้างป่าดุร้าย และน่าอันตรายมาก ถ้าเราไม่ได้ ค้นพบ วิธีฝึก มันแล้ว ก็ไม่อาจ ได้รับประโยชน์ อะไร จากมันเลย คนเรา ที่รู้จักคิดว่า ช้างนี้ คงฝึกได้ อย่างใจ และค้นพบ วิธีฝึก บางอย่าง ในขั้นต้น ก็นับว่า เป็นผู้ที่ทำ สิ่งที่ยากมาก แต่ผู้ที่ค้นพบ เรื่องของจิต และ วิธีฝึกมัน โดยประการต่างๆ นั้น นับว่า ได้ทำสิ่ง ที่ยาก มากกว่า นั้นขึ้นไปอีก

ในยุคดึกดำบรรพ์ เมื่อได้มีการสนใจ ในเรื่องจิตกันขึ้น นักจิตศาสตร์ ได้พยายาม ทดลอง โดยอาการต่างๆ แยกกันไป คนละสาย สองสาย จนในที่สุด ก็ได้ลุถึง คุณสมบัติ อันสูงสุด ที่จิต ที่เขาฝึก ถึงที่สุด ในแง่นั้นๆแล้ว สามารถจะ อำนายประโยชน์ ให้ได้ อันจำแนกได้ โดยประเภทหยาบๆ คือ

(๑) เข้าถึงธรรมชาติ ที่เรียกว่า ทิพย์ แล้วหา ความเพลิดเพลิน จากสิ่งที่เรียกว่า วิสัยทิพย์ นั้นๆ
(๒) มีอำนาจบังคับทางจิต สำหรับบังคับจิต ของเพื่อนสัตว์ ด้วยกัน เพื่อเอาผล เช่นนั้น เช่นนี้ ตามความปรารถนา
(๓) สามารถรู้เรื่อง เกี่ยวกับ สากลจักรวาล พอที่จะให้ตน หมดความอยากรู ้อยากค้นคว้า อีกต่อไป เพราะตนพอใจ ในความรู้นั้นๆ เสียแล้ว
(๔) สามารถปลงวาง สลัดออกเสีย ซึ่งความทุกข์ ทางใจ อันได้แก่ ลัทธิศาสนา ที่เกี่ยวกับความดับทุกข์ ในจิต ทั้งมวล นับตั้งแต่ สุขใน ฌาน สมาธิ มรรค ผล นิพพาน เป็นลำดับๆ

พวกใด ดำเนินสายแห่งการค้นคว้าของเขา เข้าไปในดงรกแห่งฤทธิ์วิธี ย่อมได้ผลใน สองประเภท ข้างต้น (ข้อ ๑-๒) พวกที่ดำเนินไป เพื่อฟันฝ่า รกชัฎ แห่งตัณหา อันเป็น ก้อนหินหนัก แห่งชีวิต ก็ได้ ผลประเภทหลัง (ข้อ ๓-๔) พวกแรก คือ พวกฤทธิ์ พวกหลัง คือ ศีลธรรม และ ปรัชญาในทางจิต ทั้งสองประเภทนี้ เป็นที่นิยม ของมหาชน อย่างคู่เคียง กันมา ในยุคที่ความนิยม ในทางจิตศาสตร์ ยังปกคลุม ดินแดน อันเป็นที่เกิดขึ้น แห่งวิชานี้ คือ ชมพูทวีป หรือ อินเดียโบราณ มหาชนในถิ่นนั้น ต่างได้รับผล สมประสงค์ กันทั้ง ฝ่ายฤทธิ์ และ ฝ่ายความพ้นทุกข์ ของจิต แต่ในที่นี้ จะได้กล่าวเฉพาะ เรื่องฤทธิ์ อย่างเดียว งดเรื่องของความพ้นทุกข์ ซึ่งเป็นอีกเรื่องหนึ่งเสีย

ผู้ที่ฝึกใจตามวิธีที่ค้นคว้า และ สั่งสอนสืบๆ กันมา หลายชั่วอายุคน ได้ถึงขึดสุด อย่างถูกต้องแล้ว สามารถบังคับใจตนเอง ให้เป็นเช่นนั้น เช่นนี้ อันเกี่ยวกับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และ ความรู้สึกในใจ อันเกิดขึ้นจาก รูป เสียง เป็นต้น นั้นๆ แล้ว ฝึกวิธี ที่จะส่งกระแสจิตนั้นๆ ไปครอบงำ จิตผู้อื่น ให้ผู้อื่นรู้สึกเช่นนั้นบ้าง ในทางรูป เสียง กลิ่น ฯลฯ ทุกประการ ผู้ที่มีกำลังจิตอ่อนกว่า ทุกๆ คน แม้จะมี จำนวนมากมาย เท่าใด ก็จะรู้สึกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เช่นเดียวกันหมด เพราะใจของเขา ถูกอำนาจจิต ของผู้ที่ส่งมา ครอบงำ เขาไว้ ครอบงำ เหมือนกันหมด ทุกๆ คนจึงได้เเห็น หรือ ได้ยิน ได้ดมตรงกันหมด เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม บ้านเมืองที่งดงาม ฯลฯ ตามแต่ที่ผู้ออกฤทธิ์ ได้สร้างมโนคติ ขึ้นในใจ ของเขา แล้วส่งมาครอบงำ อำนาจครอบงำ อันนี้ เป็นไปแนบเนียน สนิทสนม ผู้ที่ถูกงำไม่มีโอกาสรู้สึกตัวในเวลานั้น ว่าถูกครอบงำ ทางจิต และ สิ่งที่รู้สึกนั้น ไม่ใช่ของจริง เมื่อเรานอนหลับ และ กำลังฝันอยู่ เราไม่อาจรู้ตัวว่า เราฝัน เรากลัวจริง โกรธจริง กำหนัดจริง ฉันใด ในขณะที่ เราถูกงำ ด้วยอำนาจฤทธิ์ ก็รู้สึกว่า เป็นเช่นนั้นจริงๆ ทุกอย่างฉันนั้น

ผู้ออกฤทธิ์บางคน สามารถออกอำนาจบังคับ เฉพาะคน ยกเว้นให้บางคน คนในหมู่นั้น แม้นั่งอยู่พร้อมกันในที่เดียวกัน จึงเห็นต่างๆกัน ดังเราจะได้ยิน ในตอนที่ เกี่ยวกับ พระศาสดา ทรมานคน บางคน ที่เข้าไปเผ้า พระองค์ ในที่ประชุมใหญ่ และพระองค์ ทรงบันดาล ด้วย อิทธาภิสังขาร เฉพาะผู้นั้น ให้เห็น หรือ ได้ยิน อย่างนี้ อย่างนั้น เพื่อทำลาย ทิฎฐิ หรือ มานะ บางอย่าง ของเขาเสีย

เมื่อผู้ที่ทำการต่อสู้กัน ต่างก็มีฤทธิ์ด้วยกัน นั่นย่อมแล้วแต่ อำนาจจิต ของใคร จะสูงกว่า หรือ มีกำลังแรงกว่า เมื่อผู้มีฤทธิ์ ฝ่ายหนึ่ง ได้บันดาล ให้ทุกๆ คนในที่นั้น เห็นภาพ อันน่ากลัว มาคุกคาม อยู่ตรงหน้า เช่นนั้นๆ แล้ว ถ้าหาก อีกฝ่ายหนึ่ง มีอำนาจจิต สูงกว่า ก็อาจรวบรวม กำลังจิตของตน เพิกถอนภาพ อันเกิดจาก อำนาจฤทธิ์ ของฝ่ายแรก กวาดให้เกลี้ยง ไปเสียจาก สนามแห่งวิญญาณ แล้วบันดาล ภาพอันน่ากลัว ซึ่งเป็น ฝ่ายของตน ขึ้น คุกคาม บ้าง แม้ว่า ในขณะที่คนนั้นๆ ถูกอำนาจฤทธิ์ ครอบงำ อยู่ และ เขาไม่อาจทราบว่า นั่นเป็น กำลังฤทธิ์ ดุจตกอยู่ใน ขณะแห่งความฝัน ก็ดี เขายังได้รับการศึกษา และความเชื่อ มาก่อนแล้วว่า มีวิธี ที่จะต่อสู้ ต้านทาน ซึ่งเป็น การเพิกถอนฤทธิ์ ของฝ่ายหนึ่ง เช่นนั้นๆ ด้วย จึงโต้ตอบ กันไปมา จนกว่า ฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง จะสิ้นฤทธิ์

ในรายที่ไม่ได ้ทำการต่อสู้ ประหัตประหาร กันโดยตรง แต่ต่อสู้ เพื่อแข่งขัน ชิงเกียรติยศ อย่างใด อย่างหนึ่ง เพื่อเรียกเอา ความเลื่อมใส ของมหาชน มาสู่ พวกของตัวนั้น ก็ทำนองเดียวกัน คือ มีการต้านทาน เพื่อมิให้ อีกฝ่ายหนึ่ง แสดงฤทธิ์ ของเขาได้สมหมาย ซึ่งถ้าหาก การต้านทาน นั้นสำเร็จ ฝ่ายโน้นก็แพ้ แต่ต้นมือ ถ้าต้านทานไม่สำเร็จ ก็ต้องหาอุบาย กวาดล้าง อำนาจฤทธิ์ ในเมื่อฝ่ายหนึ่ง ได้ส่งมาแล้ว ซึ่งถ้ายังทำไม่ได้อีก ตนก็ตกเป็น ฝ่ายแพ้ ฤทธิ์ของผู้ที่มี ดวงใจบริสุทธิ์ เป็นอริยบุคคล ย่อมมีกำลังสูง และหนักแน่น ยั่งยืนกว่า ของฝ่ายที่ยังเต็มไปด้วยกิเลส เป็นธรรมดา เพราะเหตุว่า จิตของผู้มีกิเลส ถูกกิเลสตัดทอน เสียตอนหนึ่งแล้ว ยังอาจที่จะ ง่อนแง่น คลอนแคลน ได้ ในเมื่ออิฎฐารมณ์ หรือ อนิฎฐารมณ์ มากระทบ ในขณะที่ ต่อสู้กันนั้น อีกประการหนึ่ง ผู้ไม่มีกิเลส ย่อมไม่ทำเพราะเห็นแก่ตัว จึงมีกำลัง ปีติปราโมทย์ ความเชื่อ และ อื่นๆ ซึ่งเป็นดุจเสบียงอาหาร ของฤทธิ์ มากกว่า ย่อมได้เปรียบ ในข้อนี้

ในรายที่ไม่มีการต่อสู้กัน เป็นเพียงการทรมาน ผู้ที่มีกำลังใจ อ่อนกว่า แต่มีมานะ หรือ ความกระด้าง เพราะเหตุบางอย่าง ย่อมเป็นการง่ายกว่า ชนิดที่ต่อสู้กัน คนธรรมดา สตรี เด็กๆ เพียงแต่อำนาจสะกดจิตชั้นต่ำๆ ซึ่งยังมีเหลือออกมา ถึงสมัยปัจจุบันนี้บ้าง ก็อาจที่จะเป็น อำนาจงำ ให้ตกอยู่ใต้ อำนาจของผู้แสดง นั้นได้ เสียแล้ว แม้ว่าสมัยนี ้จะเป็นสมัย ที่ไม่ค่อยมีใครเชื่อ ในเรื่องนี้ และทั้งผู้ฝึก ก็มิได้เป็น "นัก" ในเรื่องนี้ อย่างเอาจริง เอาจัง ก็ในสมัยโบราณ คนทุกคนเชื่อในเรื่องฤทธิ์ และผู้ฝึก ก็ฝึก อย่างเอาจริง เอาจัง เรื่องของฤทธิ์ จึงเป็นเรื่องที่แนบเนียน และเป็นเรื่องจริง ได้อย่างเต็มที่ ในสมัยนั้น ความที่ทุกคนเชื่อก็ดี ความที่ผู้ฝึกเองก็เชื่อ และตั้งใจฝึกเป็นอย่างดี ก็ดี ล้วนแต่เป็น สิ่งส่งเสริม ในเรื่องฤทธิ์ ให้เป็นเรื่องจริง เรื่องจัง ยิ่งขึ้นไปอีก เราอาจกล่าวได้ว่า ในยุคโบราณยุคหนึ่ง ความเชื่อในเรื่องนี้ มีเต็มร้อยเปอร์เซนต์ อิทธิพลในเรื่องฤทธิ์ จึงมีได้ เต็ม ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะมันถูกฝา ถูกตัว แก่กัน ครั้นมาบัดนี้ ทั้งความเชื่อ และการฝึกฝน มีเหลือน้อย ไม่ถึง ห้าเปอร์เซนต์ เลยกลายเป็น เรื่องเหลวไหล เสียเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์ บางที มีแต่ตัว ไม่มีฝา บางทีมีฝา แต่ไม่มีตัว ต่างฝ่าย ต่างก็ขี้เกียจเก็บ เลยทิ้งให้ ค่อยหาย สาปสูญไป ความยั่วยวน อันเกิดจากฝีมือ ของนักวิทยาศาสตร์ แผนปัจจุบัน กำลังมีอิทธิพล มากขึ้นๆ ในอันที่จะ ให้จิตของคนเรา ตกต่ำ อ่อนแอ ต่อการที่จะบังคับตัวเอง ให้ว่างโปร่ง เพื่อเป็นบาทฐาน ของฤทธิ์ ได้ เมื่อว่างผู้แสดงฤทธิ์ ได้ นานเข้า ความเชื่อในเรื่องนี้ ก็สาปสูญไป ทั้งของผู้ที่จะฝึกและของผู้ที่จะดู

บัดนี้ จะย้อนกลับไปหาเรื่องของการฝึก เพื่อให้เข้าใจในเรื่องนี้ดีขึ้น (มิใข่เพื่อรื้อฟื้นขึ้นฝึกกัน) ผู้ที่จะฝึกในเรื่องฤทธิ์ ต้องเป็นผู้ที่มีใจ เป็นสมาธิง่าย กว่าคนธรรมดา เพราะเรื่องนี้ มิใช่เป็นสาธารณะ สำหรับคนทั่วไป แม้ผู้ที่เชื่อและตั้งใจฝึกจริงๆ ถึงฝึกสมาธิได้แล้ว ท่านยังกล่าวว่า ร้อยคนพันคน จึงจะมีสักคนหนึ่ง ที่จะเขยิบตัวเอง ขึ้นไป จนถึงกับ แสดงฤทธิ์ได้ การปฏิบัติ เพื่อรู้อริยสัจ หลุดพ้นไปจากทุกข์ได้ เสียอีก ที่เป็นสาธารณะกว่า! คนบางประเภท หลุดพ้นจากทุกข์ได้ ด้วยเหตุผล ที่แวดล้อมเหมาะสม จูงความคิด ให้ตกไป ในแนวแห่ง ความเบื่อหน่าย และปล่อยวางได้ โดยไม่ต้องเกี่ยวกับ การฝึกสมาธิเลย จึงกล่าวย้ำ เพื่อกันสงสัย ได้อีกครั้งหนึ่ง สำหรับคนธรรมดา เราๆ การฝึกเพื่อพระนิพพาน เป็นของง่ายกว่า ที่จะฝึกในเรื่องฤทธิ์ ให้ได้ถึงที่สุด ยิ่งถ้าจะฝึกเพื่อทั้งฤทธิ์ และพระนิพพาน ทั้งสองอย่างด้วยแล้ว ก็ยิ่งยาก มากขึ้นไปอีก ในหมู่พระอรหันต์ ก็ยังมีแบ่งกันว่า ประเภทสุกขวิปัสสก และประเภทอภิญญา คือแสดงฤทธิ์ไม่ได้ และแสดงได้

ผู้ฝึกสมาธิ เพื่อมรรคผลนิพพานนั้น เมื่อใจเป็นสมาธิแล้ว ก็น้อมไปสู่ การคิดค้นหาความจริง ของชีวิต หรือ ความทนทุกข์ ของสัตว์ ว่า มีอยู่อย่างไร เกิดขึ้นอย่างไร จะดับไปได้อย่างไร เป็นต้น ส่วนผู้ที่ฝึก เพื่อฤทธิ์นั้น แทนที่จะน้อมไปเพื่อคิดค้นหาความจริง เขาก็น้อมสมาธิ นั้นไปเพื่อ การสร้างมโนคติ ต่างๆ ให้ชำนาญ ซึ่งเป็นบทเรียน ที่ยากมาก เมื่อเขาสร้าง ภาพแห่งมโนคติ ได้ด้วยการบังคับจิต หรือวิญญาณของเขา ได้เด็ดขาด และ คล่องแคล่ว แล้ว ก็หัดรวมกำลังส่งไป ครอบงำสิ่งที่อยู่ใกล้ จะขยายวงกว้าง ออกไปทุกที เพื่อให้ ภาพแห่งมโนคติ นั้นครอบงำใจ ของผู้อื่น ตามที่ เขาต้องการ ความยากที่สุด ตกอยู่ที่ตนจักต้อง ดำเนินการ เปลี่ยนแปลงภาพ นั้นๆ ให้เป็นไป ตามเรื่องที่ต้องการ ดุจการฉายภาพยนต์ ลงในผืนจอ แห่งวิญญาณ ของผู้อื่น จึงเป็นการยากกว่า การที่เจริญสมาธิ เพื่อสงบนิ่ง อยู่เฉยๆ หรือคิดเรื่องใด เรื่องหนึ่ง แต่เรื่องเดียว โดยเฉพาะ แต่อย่างไรก็ดี ความลำบาก นั้นๆ มิได้เป็นสิ่งที่ อยู่นอกวิสัย เพราะเมื่อจิต ได้ถูกฝึก จนถึงขีด ที่เรียกว่า "กัมมนีโย" นิ่มนวล ควรแก่ การใช้งานทุกๆ อย่างแล้ว ก็ย่อมใช้ได้ สมประสงค์

ฤทธิ์ตามที่กล่าวไว้ ใน นิทเทสแห่งอภิญญา ของฝ่ายพุทธศาสนานั้น ดูคล้ายกับ ยืมของใครมาใส่ไว้ เพื่อแสดง ความสามารถของจิต อันสูงสุดประเภทนี้ ให้ครบถ้วน นอกจาก ไม่เป็นไป เพื่อความพ้นทุกข็ โดยตรงแล้ว ยังไม่ค่อย ตรงกับ อาการที่ พระพุทธองค์ ทรงแสดงอยู่บ้าง ในบางคราว ในบาลีไม่ได้แสดงวิธีฝึก ไม่ได้แสดงวี่แววว่า ควรฝึก หรือจำเป็น และไม่ค่อยปรากฏว่า พระมหาสาวกองค์ได้ ได้รับประโยชน์ หรือใช้ให้เป็นประโยชน์ อย่างใดอย่างหนึ่ง จึงนำความเข้าใจ ให้เกิดขึ้นว่า ถ้าหากว่า เรื่องอภิญญาเหล่านี้ มิใช่เป็นเรื่องที่กล่าว เพื่อแสดง คุณสมบัติของจิต ที่ฝึกแล้วถึงที่สุด ให้ครบถ้วนเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องจำเป็น ของพระสาวกเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ การฝึกก็เป็นอันว่า ต้องต่างกันด้วย ไม่มาก ก็น้อย จากวิธีที่เขาฝึกกัน ในสายของฤทธิ์โดยตรง เพราะเรื่องโน้น เป็นเรื่องของ ผู้ขวนขวาย เพื่อเสียสละ มิใช่เรื่องของ ผู้ขวนขวาย เพื่อรับเอา ในพระบาลี กล่าวแต่เพียงว่า เมื่อจิตเป็น จตุตถฌาน คล่องแคล่ว ดีแล้ว ก็น้อมไปเพื่อ อภิญญา เช่นนั้นๆ สำเร็จได้ ด้วยอำนาจ จตุตถฌาน นั่นเอง เมื่อการน้อมนั้นๆ สำเร็จก็จะสามารถทำได้ เช่นนั้นๆ ดูเหมือนว่า ถ้า น้อมไปเพื่ออภิญญานั้นๆ ไม่สำเร็จ ก็น้อมเลยไป เป็นลำดับๆ ข้ามไปหา การคิดค้น เรื่องอริยสัจ เลยทีเดียว คล้ายกับว่า มีไว้เผื่อเลือก หรือ สำหรับคน ที่มีอุปนิสัยบางคน ในบาลีบางแห่ง ไม่มีกล่าวถึง อภิญญาเลย เมื่อกล่าวถึง จตุตถฌานแล้ว ก็กล่าวถึง วิชชาสาม คือ ระลึกถึงความเป็นมา แล้วของตนในอดีต ความวิ่งวนของหมู่สัตว์ ในสังสารวัฎ และเหตุผล เรื่อง อริยสัจ เป็นที่สุด พระบาลี ชนิดหลังนี้ มีมากกว่า ที่กล่าวถึง อภิญญา และที่กล่าวถึง จตุตถฌาน แล้ว กล่าวอริยสัจเสียเลย ก็มีมากกว่ามาก

ในอรรถกถาซึ่งเป็น คำอธิบายของพระบาลี ก็มิได้กล่าววิธีฝึกฤทธิ์นั้นๆ มักแก้ในทางศัพท์ ทางข้อธรรมะแท้ๆ หรือ มิฉะนั้น ก็ทางนิยายเลยไป แต่ได้ท้าให้ค้นดู เอาจาก คัมภีร์วิสุทธิมรรค เพราะ ผู้ร้อยกรอง อรรถกถา กับผู้แต่งวิสุทธิมรรค เป็นคนเดียวกัน หรือ วิสุทธิมรรคมีอยู่แล้ว ก่อนการแต่งอรรถกถานั้นๆ

ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค มีเรื่องของการฝึกฤทธิ์อย่างพิสดาร จนกล่าวได้ว่า ไม่มีคัมภีร์ใด มีพิสดารเท่า ในวงของ คัมภีร์ฝ่ายพุทธศาสนา ด้วยกัน เพราะความพิสดารนั่นเอง จำเป็นที่ข้าพเจ้า จะต้องขอร้อง ให้ท่านพลิกดู ในหนังสือชื่อนั้น ด้วยตนเอง ด้วยว่า เหลือที่จะ นำมาบรรยาย ให้พิสดาร ในที่นี้ได้ เมื่อกล่าวแต่ หลักย่อๆ ก็คือ ขั้นแรก ท่านสอน ให้หาความชำนาญ จริงๆ ในการเพ่งสีต่างๆ และวัตถุ เช่น ดิน น้ำ ไฟ ลม จนติดตาติดใจ เพื่อสะดวกในการ สร้างภาพแห่งมโนคติ ในขั้นต่อไป อันเรียกว่า เพ่งกสิณ ซึ่งเป็น สิ่งมีมา ก่อนพุทธกาล มิใช่สมบัติ ของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะ ผู้เพ่งต่อฤทธิ์ ต้องหนักไปใน การฝึกกสิณ เท่ากับ ผู้เพ่งต่อพระนิพพาน หนักไปใน การฝึกแห่ง อานาปานสติ และกายคตาสติ เป็นต้น ดิน น้ำ ไฟ ลม คือ ส่วนผสมของสิ่งต่างๆ ในโลก หรือ กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็ว่า โลก เท่าที่ปรากฏแก่ ความรู้สึก ของคนทั่วไป ก็คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม นั่นเอง เมื่อสิ่งเหล่านี้ ติดตา และติดใจ จนคล่องแคล่ว พระโยคีนั้น ก็อาจสร้าง มโนคติภาพ อันเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ได้ทั่วไป ทุกอย่าง กสิณ จึงจำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับผู้ศึกษา ในฝ่ายฤทธิ์ สีขาว สีเขียว และสีต่างๆ ก็ทำนองเดียวกัน  เป็นสีของสิ่งทั้งหลาย บรรดามี ในโลกนี้ การฝึก อุทธุมาตกอสุภ คือ การเพ่งจำ ซากศพ ที่ตายได้สี่ห้าวัน กำลังขึ้น พองเขียว จนติดตา และขยายสัดส่วน ให้ใหญ่เล็ก ทำนองย่อ และ ขยายสเกล อยู่ไปมา ตลอดจน ให้ลุกเดิน เคลื่อนไหวได้ ต่างๆ จนติดตา ติดใจ ชำนาญ ทุกประเภท เช่นนี้ ช่วยให้ประสาท ของผู้นั้น เข้มแข็ง ต่อความกลัว จนมีใจ ไม่หวั่นไหว ได้จริง ในที่ทั้งปวง ทั้งช่วยส่งเสริม ในการสร้าง มโนคติ ในเรื่องกลิ่น เป็นต้น ได้เป็นพิเศษ รวมความว่า ในขั้นแรก ต้องฝึกการอดทน การบังคับใจ ของตนเอง ให้อยู่ในมือ จริงๆ การชำนาญ สร้างภาพ ด้วยใจ อย่างเดียว ตลอดถึง ความกล้าหาญ ความบึกบึน หนักแน่น ของประสาท ทั้งสิ้น

เมื่อชำนาญใน ขั้นนี้แล้ว จึงฝึก การส่งภาพ ทางใจ หรือ ที่เรียกว่า อธิษฐานจิต เพื่อความเป็น เช่นนี้ เช่นนั้น ครอบงำผู้อื่น ถ้าหาก มีความชำนาญ และกล้าแข็งพอ อาจที่จะ บันดาลให้ คนทั้งชมพูทวีปรู้สึก หรือเห็น เป็นอันเดียวกันหมดว่า ภูเขาหิมาลัย ซึ่งเคยอยู่ ทางทิศเหนือนั้น บัดนี้ได้ ขยับเลื่อน ลงมาอยู่ ทางทิศใต้ หรือ กลางมหาสมุทรอินเดีย เสียแล้ว เป็นต้นได้ แต่เพราะ ความที่อำนาจใจ นั้นๆ ไม่พอ จึง เท่าที่ เคยปรากฏ กันมาแล้ว มีเพียง ในวงคน หมู่หนึ่ง หรือ ชั่วขณะหนึ่ง เท่านั้น สมตาม ที่ชื่อ ของมัน คือคำว่า ฤทธิ์ ซึ่งแปลว่า เครื่องมือช่วย แก้อุปสรรค ให้สำเร็จ กะทันหัน ทันอก ทันใจ คราวหนึ่ง เท่านั้น เพราะว่า แม้หาก พระโยคีองค์ใด เคลื่อน ภูเขาหิมาลัย ได้ด้วย อำนาจฤทธิ์ เมื่อท่านคลายฤทธิ์ หรือตายเสีย ภูเขาหิมาลัย ก็จะ วิ่งกลับสู่ที่เดิม เท่านั้นเอง นักโทษ ที่มีฤทธิ์ อาจบันดาล ให้เขา เห็นตน เหาะลอย อยู่ในอากาศได้ แต่ย่อม ไม่อาจที่จะ ทำลาย เครื่องจองจำ นั้นได้ ถ้าหากมัน เป็นเครื่องมือ ที่แน่นหนา แข็งแรงพอ แต่นักโทษผู้นั้น มีทางที่จะใช้ ฤทธิ์นั้น ให้เป็นประโยชน์ แก่ตน หรือ มีโอกาส ให้อุบาย อันใด อันหนึ่ง หรือ เขาสั่งปล่อย เพราะ กลัวอภินิหาร ของตน

เมื่อตนคล่องแคล่วใน การอธิษฐานจิต แผ่มโนคติภาพ ไปครอบงำ สัตว์อื่น ได้เช่นนี้ ก็เป็นผู้มีฤทธิ์ แต่จะมากหรือน้อย ย่อมแล้วแต่ ความสามารถ ของตน

เมื่อมาถึงตรงนี้ ก่อนแต่จะจบ ควรย้อนกลับไป พิจารณาถึง เรื่องฤทธิ์นี้ กันมาใหม่ ตั้งแต่ต้นอีก สักเล็กน้อย แต่พิจารณากัน ในแง่แห่ง ประวัติศาสตร์ ของวิชา ประเภทนี้ วิชาเรื่องนี้ ฟักตัวมันเอง ขึ้นมาได้ด้วย ความอยากรู้ และ อยากเข้าถึง อำนาจบางอย่าง ซึ่งอยู่เหนือ คนธรรมดา มันเป็น ความอยาก ที่เกิดขึ้น โดยบังเอิญของ คนบางพวก ที่อุตรี เชื่อว่า จิตนี ้แปลกประหลาดมาก น่าจะมี คุณสมบัติพิเศษ บางอย่าง ซึ่งเมื่อผู้ใด อุตส่าห์ฝึกฝน จนรู้เท่าถึงแล้ว อาจเอาชนะ คนที่รู้ไม่ถึงได้ เป็นอันมาก ความคิดนี้ เป็นเหตุให้ ยอมพลีเวลา ตลอดทั้งชีวิต เพื่อการค้นคว้า ทดลอง อันเรียกว่า บำเพ็ญตบะ ในยุคที่คนเราถือ พระเป็นเจ้า ย่อมหวัง ความช่วยเหลือของ พระเป็นเจ้า อย่างเต็มที่ ด้วยอำนาจสมาธิ ที่มีต่อ สิ่งที่ เขาเชื่อว่าเป็น พระเป็นเจ้านั่นเอง ที่ได้เป็น บาทฐาน ให้เขาพบ วี่แวว ของฤทธิ์ ในครั้งแรก สักเล็กน้อย และ เป็นเงื่อน ให้ คนชั้นหลัง ดำเนินตาม หลายสิบชั่ว อายุคน เข้า คนที่ตั้งใจจริง เหล่านั้น ก็ได้พบ แปลกขึ้น เป็นอันมาก จน ปะติด ปะต่อ เข้าเป็นหลัก เป็นเกณฑ์ สำหรับสั่งสอนกัน เมื่อวิชานี้ ถูกแพร่ข่าวรู้มาถึง คนในบ้าน ในเมือง ก็จูงใจ พวกชายหนุ่ม นักรบ หรือ กษัตริย์ ให้ออกไป ขอศึกษาจาก พวกโยคีนั้น ถึงในป่า มีเรื่องเหลือ เป็น นิยาย อยู่ตามที่ หนังตะลุง มักเล่นกัน โดยมาก คนป่า หรือ ยักษ์บางตน ก็มีความรู้ ความสามารถ ในเรื่องนี้ เท่า หรือ มากกว่า คนบ้าน หรือ มนุษย์ ถึงกับ รบกัน และ ผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะ พวกเทวดาหรือ พวกที่เอาแต่ เล่นสนุก ไม่ปรากฏว่า มีฤทธิ์ เพราะสมาธิ ไม่ค่อยดี กระมัง ในตอนแรกๆ ผู้มีฤทธิ์นั้น ค้นคว้า กันเพียง ขั้นที่สำเร็จ สมความต้องการ ไม่ได้ค้นถึง เหตุผล ของฤทธิ์ ไม่เป็น นักปรัชญา หรือ ทฤษฎีในเรื่องนี้ แต่เป็นเพียงนักปฏิบัติการ ตามที่สั่งสอน สืบๆ กันมา ขณะเมื่อ ในอินเดีย กำลังรุ่งเรือง ด้วยวิชา ประเภทนี้ ทางฝ่ายยุโรป ไม่มีความรู้ ในเรื่องนี้เลย เมื่อทางอินเดียเสื่อมลง ทางยุโรป ได้รับเพียง กระเส็น กระสาย เล็กน้อย ไม่พอที่จะรุ่งเรืองด้วย จิตวิทยา ประเภทนี้ อย่างอินเดียได้ มีแต่ฤทธิ์ ของซาตาน หรือมาร เพียงเล็กน้อย ซึ่งไม่มีพิษสง อะไรนัก และเป็นเรื่อง ทางศาสนา มากกว่า

เมื่อวิชานี้ ได้เสื่อมลง ในอินเดียแล้ว ในทางปฏิบัติการ แต่ทางนิยาย ยังมีเหลืออยู่ ไม่สาบสูญ และยิ่งกว่านั้น ที่แน่นอนที่สุด คือ ได้ถูกคนชั้นหลัง ต่อเติม เสริมความ ให้วิจิตร ยิ่งขึ้นไป จนคนชั้นหลัง ในบัดนี้ ปอกเปลือก ตั้งหลายชั้นแล้ว ก็ยังไม่ถึงเยื่อในได้เลย ความเดา ทำให้ขยาย ความจริง ให้เชื่อง จนฤทธิ์ ซึ่งเป็นเพียงวิชา สำหรับใช้แก้ อุปสรรค กะทันหัน เล่นตลก กับคนที่รู้ไม่ถึง กลับกลาย เป็นเรื่องจริงแท้ๆ ไป ดุจเดียวกับ เรื่องทางวัตถุอื่นๆ คนในชั้นหลังเป็นอันมาก เชื่อว่าอะไรทุกๆ อย่างจริงตามนั้น ทั้งที่ตนตอบไม่ได้ว่า ถ้าจริงเช่นนั้น ทำไมเวลาปรกติ ผู้มีฤทธิ์ ยังต้องเดิน ไปไหน มาไหน ไม่เหาะ เหมือนคราวที่ แสดงฤทธิ์ แข่งขัน ทำไมต้องทำนา ทำสวน หรือ ออกบิณฑบาต ขอทาน ไม่บันดาล เอาด้วยฤทธิ์ เป็นต้น ฤทธิ์ที่เคยเป็น เพียงการลองดี กันด้วย กำลังจิต ก็กลายเป็น เรื่องทางวัตถุ หนักขึ้น จนคนบางคนในชั้นหลัง หวังจะมีฤทธิ์ เพื่อให้หาเหยื่อ ให้แก่ตน ตามกิเลสของตน ผลที่ได้รับในที่สุด ก็คือ การวิกลจริต!

สรุปความสั้นๆ ที่สุดในเรื่องฤทธิ์ ที่ได้กล่าวมา อย่างยืดยาว นี้ ก็คือว่า ฤทธิ์ เป็นเพียง คุณสมบัติพิเศษ ส่วนหนึ่งของจิตเท่านั้น เรื่องของจิต อันนี้เป็น พวกนามธรรม จะให้สำเร็จผล เป็นวัตถุไม่ได้ เช่นเดียวกับวัตถุในความฝัน มันจะเป็น วัตถุอยู่ ก็ชั่วเวลา ที่เราไม่ตื่น จากฝันเท่านั้น ของที่นฤมิตขึ้น ด้วยอำนาจฤทธิ์ สำเร็จประโยชน์ ชั่วเวลา ที่คนเหล่านั้น ยังตกอยู่ใต้ อำนาจจิต ที่เป็นตัวออกฤทธิ์ เพราะว่า สิ่งทั้งหลาย ที่เราเรียกกันว่า โลกนี้ก็ตาม ถ้ามีอะไร มาดลบันดาล ให้จิตของเรา ทุกคน วิปริต เป็นอย่างอื่นไป โลกนี้ก็จะปรากฏ แก่เรา อย่างอื่น ไปทันที ดุจกัน สิ่งทั้งหลายสำเร็จ อยู่ที่ใจ รูป เสียง กลิ่น รส ทั้งหมด มีคุณสมบัติขึ้นมาได้ ก็เพราะเรา มีสิ่งที่เรียกกันว่า ใจ ถ้าไม่มีใจ โลกนี้ก็พลอยไม่มีไปด้วย รวมความสั้นๆ ได้ว่า สิ่งทั้งหลายสำเร็จจากใจ ใจสร้างขึ้น ใจเป็นประธาน หรือ หัวหน้าแต่ผู้เดียว เพราะฉะนั้น ถ้ามีอะไรก็ตาม มาดลบันดาล ให้ใจ เปลี่ยนเป็น อย่างอื่นไป สิ่งทั้งหลายที่รู้ได้ด้วยใจ ก็ต้องเปลี่ยนตามไปด้วย ถ้าอำนาจ ดลบันดาล นั้นเป็นของ ชั่วขณะ สิ่งนั้นก็ แปรปรวน ชั่วขณะ ด้วย

ในโลกนี้ ไม่มีอะไร เที่ยงอยู่แล้ว เราจะสร้างฤทธิ์ เพื่อเอาชนะ สิ่งที่ไม่เที่ยงนั้น น่าจะไม่ได้รับผลที่น่าชื่นใจ เพราะฉะนั้น พระอริยบุคคล ทั้งหลาย แทนที่จะ ใช้เวลา ไปค้นคว้า ในเรื่องฤทธิ์ ท่านจึงใช้ชีวิต ที่เป็นของ น้อยนิด เดียวนี้ ค้นคว้า หาสิ่งที่เที่ยง และเป็นสุข คือ พระนิพพาน แม้ว่า เรื่องฤทธิ์ และพระนิพพาน ต่างก็ เป็นวิทยาส่วนจิต ด้วยกันก็จริง แต่แตกต่างกัน ลิบลับ ด้วยเหตุผล ดังกล่าวมาแล้ว

เมื่อพระผู้มี พระภาคเจ้า อุบัติขึ้น ในอินเดีย พระองค์ทรงบัญญัติ บาทฐาน ของฤทธิ์ ว่า มีอยู่ สี่ อย่าง คือ ความพอใจ ความเพียร ความฝักใฝ่ และ ความคิดค้น เรียกว่า อิทธิบาท เมื่อทำได้ ผลที่ได้รับ คือ มรรคผลนิพพาน เพราะคำว่า ฤทธิ์ ของพระองค์ จำกัดความเฉพาะ เครื่องมือให้สำเร็จ หรือ ลุถึง นิพพาน เท่านั้น ฤทธิ์ ซึ่งเคยได้ผล เป็นของตบตา และชั่วคราว ก็ได้เปลี่ยน มาเป็น สิ่งซึ่งให้ผล อันมีค่าสูงสุด และแน่นอน ด้วยประการฉะนี้

พุทธทาสภิกขุ

๑๐ พฤศจิกายน ๒๔๘๐


463
QUOTE>>
เหล็กไหลตาแรดกับปืนลูกซอง

เมื่อ 20 เมษายน 2540 ลูกศิษย์ของหลวงพ่อสัมฤทธิ์รายหนึ่งท่านเรียกชื่อว่า " โบ้ " ซึ่งมาจาก "แรมโบ้" เพราะรูปร่างสูงใหญ่ ตัวหนา เป็นลูกศิษย์ที่เคารพนับถือหลวงพ่อมานาน แต่เพิ่งมาฝังเหล็กไหลตาแรดกับหลวงพ่อในช่วงปี 2538 ก่อนหลวงพ่อมรณะภาพไม่นาน

ปรากฏว่าในวันดังกล่าวได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นและคงต้องจำไปตลอดชีวิต เพราะในช่วงเย็นประมาณ 4 โมงเศษ ได้นัดจะไปธุระเรื่องงานกับเพื่อนชื่อ ประทีป ซึ่งได้ฝังเหล็กไหลตาแรดในวันเดียวกันเป็นผู้ขับรถมารับที่บ้าน ถนนสุขาภิบาล 3 ขณะที่กำลังเตรียมตัวจะขึ้นรถ และก้มจัดของอยู่ ประทีปที่นั่งขับรถอยู่ได้สตาร์ทเครื่องรถรออยู่ ได้เห็นรถมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งสวนมา มีคนซ้อนท้ายเข้ามาในระยะใกล้เพียง 3 เมตร ได้ชักอาวุธปืนลูกซองขึ้นมากระบอกหนึ่ง เล็งเป้ามาที่รถดังกล่าว จึงได้ร้องบอกเตือนให้เพื่อนคือ "แรมโบ้" ให้ระวังซึ่งยังคงระวังไม่ทัน เพราะได้ยินเสียงยิงปืนดังแชะ เหมือนปืนยิงไม่ออก เกือบฉับพลันมือปืนก็ชักปืนลูกซองอีกกระบอกขึ้นมายิงออกทันที ปรากฏเสียงดังปังใหญ่ พร้อมกับกระจกหน้ารถและด้านข้างแตกหมด คนขับกับคนที่เก้ๆ กังๆ ยังไม่มีโอกาสจะขยับตัวหลบด้วยซ้ำ เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วกว่าที่คิด

แต่ดูเห็นว่าจะโชคช่วย เพราะทราบภายหลังว่าเป็นลูกซองเบอร์ 9 และทั้งสองคนก็ปลอดภัยไม่มีบาดเจ็บ เหมือนกับลูกปืนหลบแยกไปด้านข้างทั้งสองคนทั้งๆที่ตนเองก็ไม่ ได้แขวนพระเครื่อง นอกจากมีเหล็กไหลฝังไว้ที่แขนเท่านั้น

ส่วนคนร้ายเมื่อยิงแล้วก็เสียหลัก วิ่งชนกำแพงบ้านห่างไปนิดหน่อย คนขับถูกจับกุมได้ แต่มือปืนวิ่งหลบหนีไป ก็นับเป็นเรื่องที่อธิบายลำบากว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงฉุกระหุกนั้น เพราะโดยธรรมดาของปืนลูกซอง อำนาจการยิงย่อมครอบคลุมไปทั่วรัศมี และระยะเพียง 3 เมตรสำหรับลูกซองแล้วถือได้ว่าเผาขนทีเดียว แต่ปืนด้านในนัดแรก ถึงนัดที่สองยิงออกแต่แล้วก็แคล้วคลาดจากผลการยิงในครั้งนั้นได้อย่างมหัศจรรย์ แม้เจ้าตัวก็ ยังคงงงอยู่ทุกวันนี้>>
>>

QUOTE>>

โคตรเหล็กไหล


เหล็กไหลฤๅษี


งาช้างเหล็กไหล


เหล็กไหลเงินยวง


พระกริ่งเหล็กไหล


สมเด็จเหล็กไหล


แหวนแรดเหล็กไหล>>

464
บทความ บทกวี / ความกลัว
« เมื่อ: 06 เม.ย. 2550, 03:30:54 »

ความกลัว เป็นสิ่งที่มีอำนาจมากสิ่งหนึ่ง ในบรรดา สิ่งที่ทำลาย ความสุข สำราญ หรือ รบกวนประสาท ของมนุษย์ เป็นอย่างยิ่ง ด้วยกัน ความกลัวนี้ ย่อมมีลักษณะ และพิษสง มากน้อยกว่ากัน เป็นขั้นๆ ตามความรู้สึก อันสูงต่ำ ของจิต เด็กๆ สร้างภาพ ของสิ่งที่น่ากลัว ขึ้นในใจ ตามที่ผู้ใหญ่ นำมาขู่ หรือได้ยิน เขาเล่า เรื่อง อันน่ากลัว เกี่ยวกับผี เป็นต้น สืบๆ กันมา แล้วก็กลัว เอาจริงๆ จนเป็นผู้ใหญ่ ความกลัวนั้น ก็ไม่หมดสิ้นไป ความกลัว เป็นสัญชาตญาณ อันหนึ่งของมนุษย์ เหมือนกันหมด แต่ว่า วัตถุที่กลัว นั่นแหละต่างกัน ตามแต่เรื่องราว ที่ตนรับ เข้าไว้ในสมอง วัตถุอันเป็น ที่ตั้งของความกลัว ที่กลัว กันเป็น ส่วนมาก นั้น โดยมาก หาใช่วัตถุ ที่มีตัวตน จริงจัง อะไรไม่ มันเป็น เพียงสิ่งที่ใจ สร้างขึ้น สำหรับกลัว เท่านั้น ส่วนที่เป็น ตัวตน จริงๆ นั้น ไม่ได้ ทำให้เรา กลัว นาน หรือ มากเท่า สิ่งที่ใจ สร้างขึ้นเอง มันมักเป็น เรื่องเป็นราว ลุล่วงไปเสียในไม่ช้านัก บางที เราไม่ทันนึก กลัว ด้วยซ้ำไป เรื่องนั้นก็ได้มาถึงเรา เป็นไปตามเรื่อง ของมัน และ ผ่านพ้นไปแล้ว มันจึงมิได้ ทรมานจิต ของมนุษย์มาก เท่าเรื่อง หลอกๆ ที่ใจสร้างขึ้นเอง

เด็กๆ หรือคนธรรมดา เดินผ่านร้านขายโลง ซึ่งยังไม่เคย ใส่ศพเลย ก็รู้สึกว่า เป็นที่น่ารังเกียจ หรือเป็นที่ อวมงคล เสียจริงๆ เศษกระดาษ ชนิดที่เขา ใช้ปิดโลง ขาดตก อยู่ในที่ใด ที่นั้น ก็มี ผี สำหรับเด็กๆ เมื่อเอาสีดำ กับกระดาษ เขียนกันเข้า เป็น รูปหัวกระโหลก ตากลวง ความรู้สึกว่าผี ก็มาสิง อยู่ใน กระดาษ นั้นทันที เอากระดาษฟาง กับกาวและสี มาประกอบกัน เข้าเป็น หัวคนป่า ที่น่ากลัว มีสายยนต์ ชักให้แลบลิ้น เหลือกตา ได้ มันก็พอที่ทำให้ใคร ตกใจเป็นไข้ได้ ในเมื่อนำไปแอบ คอยที่ชักหลอกอยู่ในป่า หรือที่ขมุกขมัว และแม้ที่สุด แต่ผู้ที่เป็นนายช่าง ทำมันขึ้นนั่นเอง ก็รู้สึกไปว่า มันมิใช่กระดาษฟาง กับกาวและสี เหมือนเมื่อก่อน เสียแล้ว ถ้าปรากฏว่า มันทำให้ใคร เป็นไข้ ได้สักคนหนึ่ง เราจะเห็นได้ ในอุทาหรณ์ เหล่านี้ ว่า ความกลัวนั้น ถูกสร้างขึ้น ด้วยสัญญา ในอดีต ของเราเอง ทั้งนั้น เพราะปรากฏ ว่า สิ่งนั้นๆ ยังมิได้ เนื่อง กับผีที่แท้จริง แม้แต่นิดเดียว และสิ่งที่เรียกว่า ผี ผี , มันก็ เกิดมาจากกระแส ที่เต็มไปด้วย อานุภาพอันหนึ่ง อันเกิดมาจาก กำลัง ความเชื่อ แห่งจิต ของคน เกือบทั้งประเทศ หรือ ทั้งโลก เชื่อกัน เช่นนั้น อำนาจนั้นๆ มัน แผ่ซ่าน ไปครอบงำ จิตของ คนทุกคน ให้สร้างผี ในมโนคติ ตรงกันหมด และทำให้เชื่อ ในเรื่องผี ยิ่งขึ้น และผี ก็มีชีวิต อยู่ในโลกนี้ได้ จนกว่า เมื่อใด เราจะ หยุด เชื่อเรื่องผี หรือ เรื่องหลอก นี้กันเสียที ให้หมดทุกๆ คน ผีก็จะตายหมดสิ้นไปจากโลกเอง จึงกล่าวได้ว่า ความกลัวที่เรากลัวกันนั้น เป็นเรื่องหลอก ที่ใจสร้างขึ้นเอง ด้วยเหตุผล อันผิดๆ เสียหลายสิบเปอร์เซ็นต์

ความกลัว เป็นภัยต่อความสำราญ เท่ากับความรัก โกรธ เกลียด หลงใหล และอื่นๆ หรือบางที จะมากกว่าด้วยซ้ำ ดูเหมือนว่า ธรรมชาติ ได้สร้างสัญชาตญาณ อันนี้ให้แก่สัตว์ ตั้งแต่ เริ่มออกจากครรภ์ ทีเดียว, ลูกนก หรือ ลูกแมว พอลืมตา ก็กลัวเป็นแล้ว แสดงอาการหนี หรือป้องกันภัย ในเมื่อเรา เข้าไปใกล้ เด็กๆ จะกลัวที่มืด หรือการถูกทิ้ง ไว้ผู้เดียว ทั้งที่ เขายังไม่เคย มีเรื่องผูกเวร กับใครไว้ อันจะนำให้กลัวไปว่า จะมีผู้ลอบทำร้าย เพียงแต่ผู้ใหญ่ ชี้ไปตรงที่มืด แล้วทำท่ากลัว ให้ดูสักครั้งเท่านั้น เด็กก็จะกลัว ติดอยู่ในใจไปได้นาน คนโตแล้วบางคน นั่งฟังเพื่อนกันเล่า เรื่องผี เวลากลางคืน มักจะค่อยๆ ยับๆ จนเข้าไป นั่งอยู่กลางวง โดยไม่รู้สึกตัว และยังไปนอนกลัว ในที่นอนอีกมาก กว่าจะหลับไปได้ เดินฝ่าน ป่าช้า โดยไม่รู้ เพิ่งมารู้และกลัว เอาที่บ้านก็มี สำหรับบางคน ทั้งหมดนี้ เป็น เครื่องแสดงว่า ความกลัว เป็นเรื่องของจิต มากกว่า วัตถุ ผู้ใด ไม่มี ความรู้ ในการควบคุม จิตของตน ในเรื่องนี้ เขาจะถูกความกลัว กลุ้มรุม ทำลาย กำลังประสาท และ ความสดชื่น ของใจ เสียอย่างน่าสงสาร ในทำนอง ตรงกันข้าม สำหรับผู้ที่มี อุบาย ข่มขี่ ความกลัว ย่อม จะได้รับ ความผาสุก มากกว่า มีกำลังใจ เข้มแข็งกว่า เหมาะที่จะเป็น หัวหน้าหมู่ หรือ ครอบครัว

เมื่อปรากฏว่า ความกลัว เป็นภัย แก่ความผาสุก เช่นนี้แล้ว บัดนี้ เราก็มาถึง ข้อปัญหาว่า เราจะเอา ชนะความกลัว ได้อย่างไร สืบไป เพราะเหตุว่า การที่ทราบแต่เพียงว่า ความกลัว เป็นภัย ของความผาสุกนั้น เรายังได้รับผลดีจากความรู้นั้น น้อยเกินไป เราอาจปัดเป่า ความกลัวออกไปเสียจากจิต โดยววิธีต่างๆ กัน แต่เมื่อจะสรุปความ ขึ้นเป็นหลักสำคัญๆ แล้ว อย่างน้อย เราจะได้สามประการ คือ

๑. สร้างความเชื่ออย่างเต็มที่ ในสิ่งที่ยึดเอาเป็นที่พึ่ง
๒. ส่งใจไปเสียในที่อื่น ผูกมัดไว้กับสิ่งอื่น
๓. ตัดต้นเหตุ ของความกลัวนั้นๆ เสีย

ในประการต้น อันเราอาจเห็นได้ทั่วไป คือวิธีของ เด็กๆ ที่เชื่อ ตะกรุด หรือ เครื่องราง ฯลฯ ตลอดจน พระเครื่ององค์เล็ก ที่แขวนคอ และเป็นวิธีของผู้ใหญ่ บางคน ที่มีความรู้สึก อยู่ในระดับ เดียวกับ เด็กด้วย คนในสมัยอนารยะ ถือภูเขาไฟ ต้นไม้ ฟ้า หรือ สิ่งที่ตนเห็นว่า มีอำนาจน่ากลัว ควรถือเอา เป็นที่มอบกายถวายตัว ได้อย่างหนึ่ง นี่ก็อยู่ในประเภท เดียวกัน ที่ยังเหลือมาจนทุกวันนี้ เช่น พวก ที่บนบาน ต้นโพธิ์ พระเจดีย์ เป็นต้น เพื่อความเบาใจ ของตน ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง วิธีนี้ เป็นผลดีที่สุด ได้ตลอดเวลา ที่ตน ยังมีความเชื่อ มั่นคงอยู่ ความเชื่อที่เป็นไปแรงกล้า อาจ หลอกตัวเอง ให้เห็นสิ่งที่ควรกลัว กลายเป็นสิ่งที่ไม่ควรกลัว ไปก็ได้ ถ้าหากจะมีอุบาย สร้างความเชื่อชนิดนั้น ให้เกิดขึ้น ได้มากๆ เมื่อใดความเชื่อหมดไป หรือมีน้อย ไม่มี กำลังพอ ที่จะหลอกตัวเองให้กล้าหาญแล้ว วิธีนี้ ก็ไม่มีประโยชน์ กลายเป็นของน่าหัวเราะเท่านั้น เล่ากันมาว่า เคยมีคนๆ หนึ่ง อมพระเครื่อง เข้าตะลุมบอน ฆ่าฟันกัน เชื่อว่า ทำให้อยู่คง ฟันไม่เข้า เป็นต้น ดูเหมือนได้ผล เป็นที่น่าพอใจ เขาจริงๆ ขณะหนึ่ง พระตกจากปากลงพื้นดิน ในท้องนา ตะลีตะลานคว้าใส่ปากทั้งที่เห็นไม่ถนัด แทนที่ จะได้พระ กลับเป็นเขียดตัวหนึ่ง เข้าไปดิ้นอยู่ในปาก ก็รบ เรื่อยไป โดยยิ่งเชื่อมั่นขึ้นอีกว่า พระในปาก แสดงปาฏิหาริย์ ดิ้นไปดิ้นมา เมื่อเลิกรบ รีบคายออกดู เห็นเป็นเขียด ตาย ก็เลย หมดความเชื่อ ตั้งแต่นั้นมา ไม่ปรากฏว่า พระเครื่ององค์ใด ทำความพอใจ ให้เขาได้อีก พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า วิธีนี้ ไม่ใช่ ที่พึ่ง อันเกษม คือ ทำความปลอดภัยให้ได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่ วิธีสูงสุด, เนตํ สรณํ เขมํ เนตํ สรณมุตฺตมํ

ประการที่สอง สูงขึ้นมาสักหน่อย พอที่จะเรียกได้ว่า อยู่ในชั้นที่จัดว่าเป็นกุศโลบาย หลักสำคัญอยู่ที่ส่งความคิดนึก ของใจไปเสียที่อื่น ซึ่งจะเป็นความรักใครที่ไหน โกรธใครที่ไหน เกลียดใครที่ไหน ก็ตาม หรือหยุดใจเสียจากความคิดนึก ทุกอย่าง (สมาธิ) ก็ตาม เรียกว่า ส่งใจไปเสียในที่อื่น คือจากสิ่งที่เรากลัว นั้น ก็แล้วกัน ที่เราเห็นกันได้ทั่วไป เช่น กำลังเมารัก บ้าเลือด เหล่านี้เป็นต้น จะไม่มีความกลัวผี กลัวเสือ กลัวเจ็บ แม้เรื่องราวในหนังสือข่าวรายวัน ก็เป็นพยาน ในเรื่องนี้ได้มาก แต่เรื่องชนิดนี้ เป็นได้โดย ไม่ต้องเจตนา ทำความรู้สึก เพื่อส่งใจไปที่อื่น เพราะมันส่งไปเองแล้ว ถึงกระนั้น ทุกๆ เรื่อง เราอาจปลูก อาการเช่นนี้ขึ้นได้ ในเมื่อต้องการ และมันไม่เป็นขึ้นมาเอง การคิดนึกถึง ผลดีที่จะได้รับ คิดถึงสิ่งที่เรารักมาก จนใฝ่ฝัน คิดถึง ชาติประเทศ คิดถึงหัวหน้า ที่กล้าหาญ ดูสิ่งที่ยั่วใจให้กล้า เช่น ระเบียบให้มองดู ธงของผู้นำทัพ ในเมื่อตนรู้สึกขลาด อันปรากฏอยู่ในนิยาย เทวาสุรสงคราม ในพระคัมภีร์ เป็นต้น เหล่านี้ ล้วน แต่ช่วยให้ใจ แล่นไปในที่อื่น จนลืมความกลัว ได้ทั้งนั้น ในชั้นนี้ พระผู้มีพระภาพทรงสอนให้ระลึกถึงพระองค์ หรือพระธรรม หรือพระสงฆ์ อย่างใดอย่างหนึ่ง ในเมื่อภิกษุใด เกิดความกลัวขึ้นมา ในขณะที่ตนอยู่ในที่เงียบสงัด เช่น ในป่า หรือถ้ำ เป็นต้น อาการเช่นนี้ ทำนองค่อนไปข้างสมาธิ แต่ยังมิใช่สมาธิแท้ทีเดียว แต่ถ้าหากว่า ผู้ใดแม้ระลึกถึง พระพุทธองค์ก็จริง แต่ระลึกไปในทำนองเชื่อมั่น มันก็ไปตรงกันเข้ากับประการต้น คือความเชื่อ เช่น เชื่อ พระเครื่อง หรือคนป่า เชื่อปู่เจ้าเขาเขียว ต่อเมื่อระลึก ในอาการ เลื่อมใส ปิติในพระพุทธคุณ เป็นต้น จึงจะเข้ากับประการที่สองนี้

ส่วนอาการที่สงบใจไว้ด้วยสมาธินั้น เป็นอุบายข่มความกลัว ได้สนิทแท้ เพราะว่า ในขณะแห่งสมาธิ ใจไม่มีการคิดนึก อันใดเลย นอกจากจับอยู่ที่สิ่งซึ่งผู้นั้น ถือเอาเป็นอารมณ์ หรือนิมิต ที่เกาะของจิตอยู่ในภายในเท่านั้น แต่ว่าใจที่ เต็มไป ด้วยความกลัว ยากที่จะเป็นสมาธิ เพราะฉะนั้น ต้องเป็นสมาธิ ที่ชำนาญ อย่างยิ่งจริงๆ จนเกือบกลายเป็นความจำอันหนึ่งไป พอระลึกเมื่อใด นิมิตนั้นมาปรากฏเด่นอยู่ที่ "ดวงตาภายใน" ได้ทันทีนั่นแหละ จึงจะเป็นผล แม้ข้อที่ พระองค์ สอนให้ ระลึกถึง พระองค์ หรือพระธรรมพระสงฆ์ ตามนัยแห่งบาลี ธชัคคสูตรนั้น ก็หมายถึง พุทธานุสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ อยู่แล้ว แม้ว่า จะเป็นเพียง อุปจารสมาธิ ยังไม่ถึงขึดฌาณก็ตาม ล้วนแต่ ต้องการ ความชำนาญ จึงอาจ เปลี่ยน อารมณ์ ที่กลัว ให้เป็น พุทธานุสสติ เป็นต้นได้ ส่วนสมาธิ ที่เป็นได้ถึงฌาณ เช่น พรหมวิหาร เป็นต้น เมื่อชำนาญแล้ว สามารถ ที่จะ ข่มความกลัว ได้เด็ดขาด จริงๆ ยิ่งโดยเฉพาะ เมตตา พรหมวิหาร ยิ่งเป็นไปได้ง่ายที่สุด แต่พึงทราบว่า ทั้งนี้ เป็นเพียง ข่มไว้ เท่านั้น เชื้อของความกลัว ยังไม่ถูกรื้อถอนออก เมื่อใด หยุดข่ม มันก็เกิดขึ้นตามเดิม อีกประการหนึ่ง ไม่ใช่วิธีที่ง่าย สำหรับคนทั่วไป สำหรับการข่ม ด้วยสมาธิ คนธรรมดา เหมาะสำหรับ เพียงแต่เปลี่ยนเรื่องคิดนึก ของใจเท่านั้น  หาอาจทำ การหยุด พฤติการของจิต ให้ชะงักลง ได้ง่ายๆ เหมือน นักสมาธิไม่ และค่อนข้าง จะเป็นการแนะให้เอา ลูกพรวน เข้าไป แขวนผูกคอแมว ไป ในเมื่อสอนให้ คนธรรมดาใช้วิธ๊นี้ และ น่าประหลาดใจ อีกอย่างหนึ่งว่า วิธีที่สาม ที่จะกล่าว ต่อไปข้างหน้า ฃึ่งเป็นวิธี ที่สูง นั้น กลับจะ เหมาะสำหรับ คนทั่วไป และได้ผล ดีกว่า เสียอีก วิธีนั้น คือ ตัดต้นเหตุ แห่งความกลัวเสีย ตามแต่ที่ กำลังปัญญา ความรู้ ของผู้นั้น จะตัดได้มากน้อยเพียงไร ดังจะได้ พิจารณา กันอย่าง ละเอียด กว่า วิธีอื่น ดังต่อไปนี้

เมื่อมาถึงประการ ที่สามนี้ ขอให้เราเริ่มต้นด้วย อุทาหรณ์ง่ายๆ ของท่านภิกขุ อานันท เกาศัลยายนะ [เขียนไว้ในเรื่อง คนเราเอาชนะความกลัวได้อย่างไร ในหนังสือพิมพ์มหาโพธิ และบริติชพุทธิสต์ แต่เขียนสั้นๆ เพียงสองหน้ากระดาษเท่านั้น และกล่าวเฉพาะการประพฤติ กายวาจาใจ ให้สุจริตอย่างเดียวว่า เป็ฯการตัดต้นเหตุแห่งความกลัว] เขียนไว้เรื่องหนึ่ง เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย ในข้อที่ว่า การสะสาง ที่มูลเหตุ นั้น สำคัญเพียงไร อุทาหรณ์ นั้น เป็นเพียงเรื่องที่ผูกขึ้นให้เหมาะสมกับความรู้สึกของคนเราทั่วไป เรื่องมีว่า เด็กคนหนึ่งมีความกลัวเป็นอันมาก ในการที่จะเข้าไปใน ห้องมืด ห้องหนึ่ง ในเรือน ของบิดาของเขาเอง เขาเชื่อว่า มีผีดุตัวหนึ่งในห้องนั้น และจะกินเขา ในเมื่อเขาเพียงแต่เข้าไป บิดาได้พยายาม เป็นอย่างดีที่สุด ที่จะทำได้ ทุกๆ ทาง เพื่อให้บุตรของตน เข้าใจถูกว่า ไม่มีอะไร ในห้องนั้น เขากลัวไปเอง อย่างไม่มีเหตุผล แต่เด็กคนนั้น ได้เคยนึกเห็นตัวผีมาแล้ว เขาเชื่อว่า ไม่มีทางใดที่จะช่วยบุตรของตน ให้หลุดพ้นจาก การกลัวผี ซึ่งเขาสร้างขี้น เป็นภาพใส่ใจ ของเขาเอง ด้วยนโนคติได้จริงแล้ว ก็คิดวางอุบาย มีคนใช้คนหนึ่ง เป็นผู้ร่วมใจด้วย ฤกษ์งามยามดีวันหนึ่ง เขาเรียกบุตร คนนั้นมา แล้วกล่าวว่า "ฟังซิ ลูกของพ่อ ตั้งนานมาแล้ว ที่พ่อเข้าใจว่า พ่อเป็นฝ่ายถูก พ่อเป็นฝ่ายผิด ก่อนหน้านี้ พ่อคิดว่า ไม่มีผีดุ ในห้องนั้น บัดนี้ พ่อพบด้วยตนเองว่า มันมีอยู่ตัวหนึ่ง และเป็นชนิด ที่น่า อันตรายมาก เสียด้วย พวกเรา ทุกคน จักต้องระวังให้ดี"

ต่อมา อีกไม่กี่วัน บิดาได้เรียกบุตร มาอีก ด้วยท่าทาง เอาจริง เอาจัง กล่าวว่า "หลายวันมาแล้ว ผีพึ่งปรากฏตัววันนี้เอง พ่อคิดจะจับและฆ่ามันเสีย ถ้าเจ้าจะร่วมมือกับพ่อด้วย ไปเอาไม้ถือ ของเจ้า มาเร็วๆ เข้าเถิด ไม่มีเวลา ที่จะรอ แม้นาทีเดียว เพราะมันอาจหนีไปเสีย" เด็กน้อย ตื่นมาก แต่ไม่มีเวลาคิด ไปเอาไม้ถือมาทันที พากันไปสู่ห้องนั้น เมื่อเข้าไป ก็ได้พบผี (ซึ่งเรารู้ดีว่า เป็นฝีมือของคนใช้ทำขึ้น และคอยเชิดมันในห้องมืดนั้น) สองคนพ่อลูกช่วยกันระดมตีผี ด้วยไม้ถือ และไม้พลอง จนมันล้มลง มีอาการของคนตาย พ่อลูกดีใจ คนในครอบครัวทั้งหลาย มีการรื่นเริง กินเลี้ยงกันในการปราบผี ได้สำเร็จ ฉลองวันชัย และเป็นวันแรก ที่เด็กนั้น กล้า เข้าไปในห้องนั้น โดยปราศจากความกลัวสืบไป นี่เราจะเห็นได้ว่า เพียงทำลายล้างผี ที่เด็กสร้างขึ้น ด้วยมันสมอง ของเขาเอง บิดาต้องสร้างผี ขึ้นตัวหนึ่งจริงๆ จึงทำลายได้สำเร็จ โดยอาศัยความฉลาด รู้เท่าทันการ รู้จักตัดต้นเหตุ คนโง่ กับคนฉลาด นั้น ผิดกันในส่วนที่ ระงับเหตุร้าย ลงไปจากทางปลาย หรือตัดรากเหง้า ขึ้นมาจากภายใต้ เสือย่อมกระโดด สวนทาง เสียงปืน เข้าไปหาผู้ยิง ในเมื่อรู้สึกว่า ตนถูกยิง แต่สุนัข ย่อมมัว ขบกัด ตรงปลายไม้ ที่มีผู้แหย่ ตนนั่นเอง หาคิดว่าต้นเหตุสำคัญ อยู่ที่ผู้แหย่ไม่

เมื่อเราพบจุดสำคัญว่า การตัดต้นเหตุเป็นวิธีที่ดีที่สุด ดังนี้แล้ว เราก็ประจัญกันเข้ากับปัญหาว่า อะไรเล่า ที่เป็น ต้นเหต ุแห่ง ความกลัว ?

เมื่อเราคิดดูให้ดีแล้ว อาจตอบได้ว่า เท่าที่คนเราส่วนมาก จะคิดเห็นนั้น ความกลัวผี มีต้นเหตุมากมาย คือความไม่เข้าใจ ในสิ่งนั้นบ้าง การมีความกลัวติดตัวอยู่บ้าง ใจอ่อน เพราะเป็น โรคประสาทบ้าง อาฆาตจองเวร ไว้กับคน ไม่ชอบพอกันบ้าง รักตัวเอง ไม่อยากตายบ้าง เหล่านี้ ล้วนเป็น เหตุแห่งความกลัว มูลเหตุอันแท้จริง เป็นรวบยอด แห่งมูลเหตุทั้งหลาย คืออะไรนั้น ค่อนข้างยาก ที่จะตอบได้ เพราะเท่าที่เห็นกันนั้น เห็นว่า มันมีมูลมากมายเสียจริงๆ แต่แท้ที่จริงนั้น ความกลัวก็เป็นสิ่งที่ เกิดมาจาก มูลเหตุอันสำคัญอันเดียว เช่นเดียวกับ ความรัก ความโกรธ ความเกลียด และ ความหลง เพราะว่า ความกลัว ก็เป็นพวกเดียวกันกับ ความหลง (โมหะ หรือเข้าใจผิด) มูลเหตุอันเดียวที่ว่านั้น ก็คือ อุปาทาน ความยึดถือต่อตัวเองว่า ฉันมี ฉันเป็น นั่นของฉัน นี่ของฉัน เป็นต้น อันเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อัสมิมานะ (เรื่องนี้ ข้าพเจ้าเคย อธิบายไว้บ้างแล้ว ในเรื่อง "สุขกถา" ที่คณะธรรมทาน เคยพิมพ์โฆษณาแล้ว)

ความรู้สึก หรือ ยึดถืออยู่เอง ในภายในใจ ตามสัญชาตญาณนั้น มันคลอดสิ่งที่เราเรียกกันว่า "ฉัน" ขึ้นมา และความรู้สึกนั้น ขยายตัวออกสืบไปว่า ฉันเป็นผู้ทำเช่นนั้น เช่นนี้ ฉันจะได้รับนั่น รับนี่ หรือเสียนั่น เสียนี่ ไป นั่นจะส่งเสริมฉัน เป็นมิตรของฉัน นี่จะตัดรอนฉัน ทำลายฉัน เป็นศัตรูของฉัน "ฉัน" สิ่งเดียวนี้ เป็นรากเหง้า ของความรัก โกรธ เกลียด กลัว หลงใหล อันจักทำลาย ความผาสุก และอิสรภาพ ของคนเรา ยิ่งไปกว่าที่ เพื่อนมนุษย์ด้วย กันทำแก่เรา มากกว่ามากหลายเท่า หลายส่วนนัก อุปาทาน ผูกมัดเรา ทำเข็ญให้เรา ยิ่งกว่าที่หากเราจะถูกแกล้งหาเรื่องจับจองจำในคุกในตะรางเสียอีก เพราะปรากฏว่า มันไม่เคยผ่อนผันให้เราเป็นอิสระ หรือพักผ่อน แม้ชั่วครู่ ชั่วยาม เมื่อมี "ฉัน" ขึ้นมาในสันดานแล้ว "ฉัน" ก็อยากนั่น อยากนี่ อยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อยากไม่ให้ เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ซึ่งเมื่อพิจารณาดู ซ้ำอีกทีหนึ่งแล้ว จะเห็นว่า เต็มไปด้วย ความเห็นแก่ตนเอง หรือ "ฉัน" นั้น ร้อยเปอร์เซ็นต์ "ฉัน" ไม่อยากเจ็บปวด ไม่อยากตาย หรือแหลก ละลายไปเสีย ฉัน จึงกลัวเจ็บกลัวตาย เป็นสัญชาตญาณ ของ "ฉัน" เมื่อกลัวตาย อย่างเดียว อยู่ภายในใจแล้ว ก็กลัวง่าย ไปทุกสิ่งที่เชื่อกันว่า มันจะทำให้ตาย หรือทำให้เจ็บป่วย ซึ่งเป็นน้องของ ตาย ทำให้ฉัน กลัวผี จะหักคอฉัน กินฉัน หลอกฉัน ขู่ฉัน กลัวเสือ ซึ่งไม่เคยปรากฏว่า เป็นเพื่อนกันได้ และกลัว สัตว์อื่นๆ แม้แต่งูตัวนิดๆ กลัวที่มืด ซึ่งเป็นที่อาศัย ของสิ่ง น่ารังเกียจ เหล่านั้น กลัวที่เปลี่ยว ซึ่งไม่มี โอกาส ที่ตนจะ ต่อสู้ ป้องกันตัว ได้ กลัว คู่เวร จะลอบ ทำฉันให้ แตกดับ กลัวฉันจะ อับอาย ขายหน้า สักวันหนึ่ง เพราะฉัน มีความผิด ปกปิดไว้  บางอย่าง ฉันกลัว เพราะไม่เข้าใจว่า สิ่งนั้น จะเป็นอะไร ก็ไม่รู้ เช่น ผลไม้ดีๆ บางอย่าง แต่ไม่เคยรู้จัก มาก่อน ถ้ารูปร่าง หรือ สีมันชอบกลแล้ว ฉันก็กลัว ไม่กล้ากิน หรือแม้แต่ จะชิมก็ ขนลุก และในที่สุด เมื่อ "ฉัน" ปั่นป่วน ในปัญหา การอาชีพ หรือ ชื่อเสียง เป็นต้น ของฉัน กลัวว่า ฉันจะ เสื่อมเสีย อยู่เสมอ ฉันก็เป็นโรคใจอ่อน หรือโรคประสาท สะดุ้งง่าย ใจลอย ความยึดถือว่า ฉันเป็นฉัน เหล่านี้เป็น มูลเหต ุของความกลัว ซึ่งเกิดขึ้นแล้ว ก็กวาด ความสดใส ชุ่มชื่น เยือกเย็น ให้หมดเตียน ไปจากดวงจิตนั้น

เมื่อพบว่า ต้นเหตุ ของความกลัว คืออะไร ดังนี้แล้ว เราก็มาถึง ปัญหา ว่าจะตัดต้นเหตุนั้นได้อย่างไร เข้าอีกโดยลำดับ ในตอนนี้ เป็นการจำเป็น ที่เราจะต้องแบ่ง การกระทำ ออกเป็น สองชั้น ตาม ความสูงต่ำ แห่งปัญญา หรือความรู้ ของคนผู้เป็นเจ้าทุกข์ คือถ้าเขามีต้นทุนสูงพอ ที่จะทำลาย อุปาทาน ให้แหลกลงไปได้ ก็จะได้ ตรงเข้าทำลาย อุปาทาน ซึ่งเมื่อทำลายได้แล้ว ความทุกข์ ทุกชนิด จะพากันละลาย สาบสูญไปอย่างหมดจดด้วย นี้ประเภทหนึ่ง และอีกประเภทหนึ่ง คือ พยายาม เพียงบรรเทา ต้นเหตุ ให้เบาบาง ไปก่อน ได้แก่ การสะสาง มูลเหตุ นั้น ให้สะอาด หมดจด ยิ่งขึ้น

ประเภทแรก สำเร็จได้ด้วยการปฏิบัติธรรมทางใจ ให้ก้าวหน้า สูงขึ้น ตามลำดับๆ จนกว่าจะหมดอุปาทาน ตามวิธี แห่ง การปฏิบัติธรรม อันเป็นเรื่องยาว อีกเรื่องหนึ่ง ผู้สำเร็จ ในประเภทนี้ คือ พระอรหันต์ จึงเป็นอันว่า จักงดวิธีนี้ไว้ก่อน เพราะไม่เป็นเรื่องที่สาธารณะแก่บุคคลทั่วไป และเป็นเรื่อง ที่เคยอธิบายกันไว้ อย่างมาก ต่างหากแล้ว

ส่วนประเภทหลัง นั้นคือ การพยายาม ประพฤติ ความดี ทั้งทางโลก และทางธรรม ทั้งในที่แจ้ง และในที่ลับ จนตน ติเตียน ตนเองไม่ได้ ใครที่เป็นผู้รู้ แม้จะมีทิพยโสต หรือทิพยจักษุ มาค้นหา ความผิด เพื่อติเตียนก็ไม่ได้ เป็นผู้เชื่อถือ และเคารพตัวเองได้เต็มเปี่ยม ไม่เบียดเบียนตน ไม่เบียดเบียนท่าน ไม่มีเวรภัย ที่ผูกกันไว้ กับใคร รู้กฏความจริงของโลก ศึกษาให้เข้าใจ ในหลักครองชีพ หาความ หนักแน่น มั่นใจให้แก่ตัวเอง ในหลักการครองชีพ และรักษา ชื่อเสียง หรือคุณความดี พยายาม ทำแต่สิ่งที่เป็น ธรรมด้วย ความหนักแน่น เยือกเย็น ไม่เปิด โอกาสให้ใคร เหยียดหยามได้ ก็จะไม่ต้องเป็น โรคใจอ่อน หรือ โรคประสาท เพราะมีความ แน่ใจตัวเอง เป็นเครื่องป้องกัน และสำเหนียก อยู่ในใจ เสมอว่า สิ่งทั้งปวงเป็น อนัตตา เป็นไปตามเรื่อง คือ เหตุปัจจัยของมัน ไม่เป็นของแปลก หรือได้เปรียบ เสียเปรียบ อะไรแก่กัน ในเรื่องนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ความกลัว ก็หมดไป ใจได้ที่พึ่ง ทีเกษม ที่อุดม ยิ่งขึ้น สมตาม พระผู้มี พระภาคเจ้า ตรัสการเห็นแจ้ง อริยสัจ สี่ประการ ไว้ในรองลำดับ แห่งการถือ ที่พึ่งด้วยการถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ อริยสัจ ก็คือการรู ้ เหตุผลของ ความทุกข์ และของความ พ้นทุกข์ ความกลัว ก็รวมอยู่ในพวกทุกข์ เห็นอริยสัจอย่างเพลา ก็คือ การเห็น และตัด ต้นเหตุแห่ง ความกลัว ประเภททีหลังนี้ เห็นอริยสัจ เต็มที่ถึงที่สุด ก็คือ พระอรหันต์ หรือการตัดต้นเหตุ ประเภทแรก ได้เด็ดขาด

ข้าพเจ้าขอจบ เรื่องนี้ลง ด้วย พระพุทธภาษิต ที่เราควร สำเหนียก ไว้ในใจ อยู่เสมอ อันจะเป็นดุจ เกราะ ป้องกันภัย จาก ความกลัว ได้อย่างดี ดังต่อไปนี้

"มนุษย์ทั้งหลายเป็นอันมาก ถูกความกลัว คุกคาม เอาแล้ว ย่อม ยึดถือเอา ภูเขาบ้าง ป่าไม้ที่ศักดิ์สิทธิ์บ้าง สวนที่ศักดิ์สิทธิ์บ้าง รุกขเจดีย์บ้าง เป็นที่พึ่งของตนๆ นั่นไม่ใช่ ที่พึ่ง อันทำความ เกษม ให้ได้เลย นั่นไม่ใช่ที่พึ่งอันสูงสุด ผู้ใดถือสิ่งนั้นๆ เป็นที่พึ่งแล้ว ก็ยังไม่อาจ หลุดพ้น ไปจากความทุกข์ ทั้งปวงได้

ส่วนผู้ใดที่ถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งแล้ว เห็นอริยสัจทั้งสี่ ด้วยปัญญาอันถูกต้อง คือ เห็นทุกข์ เห็นเหตุ เครื่องให้เกิดทุกข์ เห็นการก้าวล่วงไปเสียได้จากทุกข์ และ เห็นหนทาง อันประกอบด้วยองค์แปดประการ อันประเสริฐ อันเป็นเครื่องยังผู้นั้น ให้เข้าถึง ความรำงับแห่งทุกข์ นั่นแหละ คือ ที่พึ่งอันเกษม นั่นแหละ คือที่พึ่งอันสูงสุด ผู้ใด ถือเอา ที่พึ่ง นั้นแล้ว ย่อมหลุดพ้น จากทุกข์ทั้งปวงได้ (ธ. ขุ. ๔๐)

ความโศก ย่อมเกิดแต่ความรัก ความกลัว ย่อมเกิดแต่ความรัก สำหรับผู้ที่พ้นแล้ว จากความรัก ย่อมไม่มีความโศก ความกลัว จักมีมาแต่ที่ไหนเล่า

ความโศก ย่อมเกิดมาจาก ตัณหา (ความอยากอย่างนั้นอย่างนี้) ความกลัว ย่อมเกิดมาจาก ตัณหา (เพราะกลัวไม่สมอยาก) สำหรับผู้ที่พ้นแล้วจาก ตัณหา ย่อมไม่มีความโศก ความกลัว จักมีมา แต่ที่ไหนเล่า (ธ. ขุ. ๔๓)

ขอให้ความกลัว หมดไปจากจิต ความสุข จงมีแต่ สรรพสัตว์ เทอญ

 

พุทธทาสภิกขุ


465
เผยปมปริศนา ?เหล็กไหลตาแรด?

เหนียวเหมือนแรดจริงหรือ?

เมื่อท่านได้ทำพิธีฝังเหล็กไหลเรียบร้อยแล้ว ก็จะให้รับสัจจะไปถือปฏิบัติ 3 ข้อ

1.รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.อย่าลักของเขา

3.อย่าด่าพ่อแม่ครูบาอาจารย์

ข้อห้าม 3 ประการนี้จะต้องถือไว้อย่างเคร่งครัด ห้ามฝ่าฝืน ไม่เช่นนั้นของดีที่ท่านประสิทธิ์ให้จะมีอานุภาพไม่เต็มพลัง ในกรณีที่พลาดพลั้ง เผลอด่าพ่อ ด่าแม่ ซึ่งอาจจะเกิดจากความเคยชิน มิได้มีเจตนาในทางร้าย ก็จุดธูปเทียนขอขมาครูบาอาจารย์ และพึงรักษาอย่าให้พลั้งเผลออีก หมั่นปลุกด้วยพระคาถาที่ท่านมอบให้เป็นการเฉพาะดังนี้

สัมปันโนปะวะสิเสวะ สมาธิงปะวะโรชิโน

สยัมภูญาณะสัมปันโน สันหาวาจังนะมามิหัง

ฤทธิ์ปุราคาริภูตังวะ ฤทธิ์วิชาปฎิหันยาติ

ฤทธิ์ตะกัมมังนะกาเรตะวา ริยะวังสังนะมามิหัง

ทดสอบความเหนียวคง

พอทำการฝังเหล็กไหลเข้าตัวเป็นที่เรียบร้อย นับได้ว่าได้ผ่านพิธีขั้นแรกในส่วนของการฝัง ก็มาถึงขั้นที่ 2 ซึ่งถือเป็นขั้นตอนของการทดสอบอานุภาพเหล็กไหลที่ฝังไปนั้นว่าจะมีอานุภาพสูง ป้องกันภัยให้แก่ผู้เป็นเจ้าของได้จริงหรือไม่ ซึ่งผู้ฝังเหล็กไหลกับครูบาอาจารย์ของทางวัดถ้ำแฝด จะต้องผ่านขั้นตอนนี้ทุกราย ยกเว้นผู้เข้าพิธีฝังเหล็กไหลนั้นจะเป็นสุภาพสตรี จะมีข้อยกเว้นให้เป็นกรณีพิเศษ



ต่อไปก็จะเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่ทุกคนจะต้องผ่านการทดลองเสียก่อน หลวงพ่อท่านจะให้ผู้ฝังเหล็กไหลนั่งพับเพียบต่อหน้าท่าน ส่วนมือก็ล้วงลงไปในย่าม หยิบเอามีดหมอด้ามหัวแรดเนื้อเหล็กไหลหล่อ ด้ามเล็กแต่คมกริบตัดเส้นผมขาด ขั้นตอนของการทดสอบอานุภาพก็มีเพียงว่า ท่านพระอาจารย์ซึ่งเป็นเจ้าพิธีจะนำมีดหมอที่คมกริบ ปลายมีดแหลมเปี๊ยบ ผู้ที่สงสัยในความแหลมคมสามารถขอพิสูจน์ดูได้ ท่านจะเอามีดมาทำการฆ่าเชื้อด้วยแอลกอฮอล์ ใช้มือข้างหนึ่งจับผมของผู้เข้าพิธีทดสอบ แล้ววางมีดของท่านลงบนกระจุกผมที่รวบไว้ ลากคมมีดเบา ๆ ทำให้เส้นผมกระจุกนั้นขาดสะบั้นออกจากกันอย่างง่ายดาย จากนั้นก็นำเอามาปาดคอผู้ผ่านพิธีการฝังเหล็กไหลมาแล้ว ปาดซ้ายที ขวาที แล้วเสือกปลายมีดที่มี ความแหลมคมเข้าไปตรง ๆ ที่คออีก 1 ที เป็นการเสือกแทงที่แรงเอาการ แรงพอที่จะทำให้ผู้ถูกทดสอบเสียหลักหงายผึ่งลงไปกับพื้นได้เลยทีเดียว



พอลุกขึ้นมาท่านก็จะให้สำรวจดูลำคอของตนเองว่าเป็นอย่างไร มีบาดแผลบ้างหรือเปล่า ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่มีร่องรอยบาดแผลแต่อย่างใด นอกจากรอยแดง ๆ นิดหน่อย หรือบางรายก็ เป็นยางบอนก็มี แต่ก็แค่ผิวถลอกนิดหน่อยไม่มีอันตรายแต่อย่างใดทั้งสิ้น หลังจากนั้นท่านก็จะให้ดื่มน้ำมนต์ 3 อึกแก้เคล็ดหลังจากถูกลองด้วยของมีคม>>
>>
>>
>>
>>
>>
>>
>>
>>
>>

ฝังทำไม-ทำไมถึงต้องฝัง

เรื่องราวของวัตถุมงคลหรือเครื่องรางของขลังนั้น มักจะมีเคล็ดลับและวิธีใช้แตกต่างกันบ้างเหมือนกันบ้างตามบุรพาจารย์ผู้เป็น ต้นตำนานบอกกล่าวไว้โดยเฉพาะ ดังเรื่อง ?เหล็กไหล? หลวงพ่อจำเนียร จากวัดถ้ำเสือ จ.กระบี่ ได้เล่าให้ลูกศิษย์ผู้สนใจในธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้ฟังว่า

เหล็กไหลนั้นโดยธรรมชาติย่อมมีพลังอำนาจอยู่ในตัว หากได้รับการประจุพลังจากการปลุกเสกที่ถูกต้องก็จะมีพลังเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า และจะมีพลังอำนาจในการบูชาลดหลั่นกันดังนี้

1.จะมีพลังอำนาจสูงสุดเมื่อฝังอยู่ในตัวคน

2.ห้อยไว้ให้ถูกเนื้อคน กล่าวคืออย่าเลี่ยมปิดทึบทั้งหมด

3.ห่อเก็บไว้ในกระเป๋าถือ จะมีอานุภาพเท่ากับพลังการปลุกเสกอย่างเดียว

หลวงพ่อจำเนียรท่านเปรียบเทียบว่า ของเหล่านี้มีพลังจากธรรมชาติเดิม เหมือนต้นว่านจะมีฤทธิ์เต็มที่ต่อเมื่อ นำมาอมใส่ในปากพอถูกน้ำลายคน ถูกเนื้อคน ก็จะเกิดปฏิกริยาทางเคมี ดูดซึมทำให้เกิดมีอานุภาพทางคงกระพันหรือเมตตา หรือย่อมเป็นไปตามลักษณะของว่านชนิดนั้น ๆ

หลวงพ่อจำเนียร ท่านเคยให้หลวงพ่อสัมฤทธิ์ฝัง ?โคตรเหล็กไหล? เป็นครั้งแรกในสมัยที่ท่านมาบุกเบิกวัดถ้ำเสือใหม่ ๆ ไม่ใช่ท่านกลัวตายแต่เพื่อ ป้องกันพิษจากยาสั่ง เพราะท่านเคยมีประสพการณ์เรื่องตรงนี้มาก่อน และหลังจากนั้นท่านก็ได้ฝัง ?เหล็กไหลตาแรด? ?เหล็กไหลฤาษี? และ ?เหล็กไหลเงินยวง? จากวัดถ้ำแฝด ด้วยเหตุผลของอานุภาพเหล็กไหลที่แตกต่างกันไป

สำหรับท่านที่สนใจในเหตุผลเหล่านั้น ก็สอบถามข้อมูลได้จากหลวงพ่อโดยตรง เพราะผู้เขียนเคารพนับถือในความรอบรู้ของหลวงพ่อ จึงไม่ประสงค์พาดพิงถึงท่านจนเกินงาม

ดั้งนั้นการฝังจึงเหมาะด้วยประการทั้งปวง พลังอำนาจของเหล็กไหลจึงเพิ่มพูนและเปล่งอานุภาพได้เต็มที่ยามเกิดภาวะคับขัน หรือประสงค์จะช่วยส่งเสริมผู้ศรัทธาให้แคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวง หรือเป็นประโยชน์ตามที่ พระอาจารย์สิทธา เชตวัน ได้บอกไว้เบื้องต้น

ปัญหาส่วนใหญ่ที่อยากทราบกันเกี่ยวกับการฝังนั้นมีดังนี้

1.เจ็บไหม? นิดหน่อยแค่มดกัด บางทีไม่ทันรู้สึกเจ็บ เพราะตอกเร็วมาก

2.ฝังแล้วมันเคลื่อนที่ได้หรือเปล่า?

3.กลัวว่าฉีดยาไม่เข้า

4.กลัวว่าจะมีข้อห้ามทำให้รักษายาก

5.จะเกิดอันตรายในภายหลังหรือเปล่า ?

ความเจ็บปวด

ในที่นี้จึงใคร่ขอกล่าวโดยภาพรวม ๆ ว่า การตอกฝังนั้นเพียงเปิดผิวหนังในใต้ท้องแขน ในส่วนที่เป็นหนังกำพร้าหรือใต้ผิวหนังนิดเดียว โดยอาศัยค้อนไม้ตอกลงบนสิ่วแสตนเลสที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว จึงไม่ค่อยเจ็บอย่างที่คิด ผู้หญิงหรือเด็กก็เคยฝังกันมามาก เพราะความเร็วในการตอกฝังนั่นเอง ระวังอย่าให้แผลถูกน้ำหรือระวังน้ำซึมเข้าประมาณ 3 วัน ปากแผลก็จะหายสนิท เหลือเพียงรอยแผลเป็นเล็กน้อย ไม่ถึงกับน่าเกลียดอะไร

ฝังแล้ววิ่งในกาย

พวกเราหลายคนคงคิดถึงเรื่องการฝังเข็มทอง ที่ว่ามันจะวิ่งรอบตัว โดยเฉพาะจะวิ่งไปรับอาวุธที่ศัตรูมุ่งทำร้ายมา เกิดวิ่งมาที่ตาจะทำให้ตาบอด หรือผิดครูก็จะทำให้เข็มนั้นทิ่มแทงออกมาใต้ผิวหนังตุงเลยทีเดียว

สำหรับผู้ฝังแล้วเคยมาเล่าประสพการณ์อยู่ 2 ราย รายแรกเป็นทหารอยู่กองพลที่ 9 เมื่อกลางปี 2534 เคยเกิดอุบัติเหตุรถปิคอัพไปอัดกับรถเก๋ง ผลคือขาหัก 2 ข้าง ได้เอกซเรย์ดูผลกระดูก ปรากฏว่ามีเม็ดอะไรบางอย่าง เหมือนเม็ดเหล็กไหล อยู่ใกล้ส่วนบริเวณที่หัก เอะใจขึ้นมาก็ลองลูบดูที่ต้นแขนที่เคยฝัง?เหล็กไหลตาแรด? ปรากฏว่าไม่มี ก็ เลยเชื่อว่าเหล็กไหลคงวิ่งไปรับแรงกระแทกจากอุบัติเหตุในครั้งนั้น ทำให้ไม่ตายโหง รักษาอยู่เดือนเศษ ก็เลยลาราชการมาบวชอยู่ที่วัดถ้ำแฝด 1 พรรษา ได้เล่าถวายให้หลวงพ่อสัมฤทธิ์และพระในขณะนั้นฟัง พร้อมทั้งเอามือลูบที่หน้าขา ก็ยังปรากฏเหมือนเม็ดเหล็กไหลปรากฏอยู่

สุภาพสตรีรายนี้ไม่อยากให้เอ่ยชื่อ อยู่แถวจังหวัดสมุทรสงคราม ได้มาฝังเหล็กไหลเมื่อต้นปี 2543 นี้เอง เพราะถูกรบกวนด้วยมนต์ดำ ได้ให้หลวงพ่อวัชระรักษาจนหายดี ก็เลยขอฝังเหล็กไหลฤาษี หลังจากนั้นอีกประมาณ 1 เดือน พบว่าเม็ดเหล็กไหลเลื่อนจากใต้ท้องแขนช่วงไหล่ มาอยู่ใกล้ข้อศอก ก็รู้สึกตกใจ แต่เพียง 2 วันก็กลับไปอยู่ที่เดิมก็ ไม่ทราบเหตุผลเหมือนกัน ก็เลยพาพี่น้องและเพื่อนมาฝังเหล็กไหลอีก 3 คน เพราะมี ความเชื่อมั่นว่าเหล็กไหลวิ่งมาช่วยกันสิ่งที่ไม่ดีไม่ให้เข้ามาที่แขน เพราะปกติตนเองจะเจ็บที่ข้อศอกเสมอ

ปกติแล้วไม่ค่อยพบเห็นว่าเหล็กไหลวิ่งไปไหนในร่างกายแต่อย่างไร คงเป็นกรณีพิเศษ ด้วยเหตุผลบางอย่าง

ฉีดยาไม่เข้า

มีเรื่องอย่างนี้ด้วยหรือ? ก็คงจะมี เพราะสมัยหลวงพ่อแม้ในปัจจุบัน ผู้ที่ฝังเหล็กไหลบางคน เมื่อเจ็บป่วยถึงขั้นต้องฉีดยา ปรากฏว่าเข็มแกะออกมาใหม่ ๆ ฉีดไม่เข้า ไม่ใช่ครั้งเดียว บางที 3 เข็มก็ยังแทงไม่เข้า จนเจ้าตัวนึกขึ้นได้ จึงกล่าวขออนุญาตจากครูบาอาจารย์ นั่นแหละเข็มจึงแทงเข้า แต่ก็ไม่ใช่จะประสพกับทุก ๆ คน แต่ก็มีหลายคนเหมือนกัน

การระวังรักษา

การรับสัจจะ 3 ข้อนั้นก็ระวังรักษาไม่ยาก จะมีบ้างก็คงการด่าจนติดปากหรือเรียกล้อเล่นกันระหว่างเพื่อนสนิท ก็ไม่มีปัญหาอะไร เนื่องจากไม่มีเจตนาจะปรามาสใครเพียงแต่หมั่นสวดพระคาถาปลูกตัวที่ให้ไว้จนคล่อง หมั่นสวดเป็นประจำ ก็จะสำฤทธิ์ผล ไม่มีข้อห้ามเรื่องการกินอาหาร เหมือนวิชาบางอย่างที่เป็นไสยศาสตร์โดยตรง เพราะเหล็กไหลนี้จัดเป็นธาตุกายสิทธิ์มีฤทธิ์อำนาจในตนเองอยู่แล้ว

ดังนั้นไม่ว่าท่านจะมุดหรือลอดราวผ้า ใต้ถุนเรือน ต้นไม้บางชนิด ของเหล่านี้ก็ คงอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ตลอดกาล หลวงพ่อสัมฤทธิ์เคยเปรียบเทียบไว้ว่า งูเห่าถึงจะมุดน้ำครำผ่านของโสโครกมาอย่างไร ก็คงยังมีพิษเหมือนเดิม ไม่ใช่ว่ามุดลอดในสิ่งที่เราถือแล้ว มันจะหมดพิษไป อย่าให้มันกัดได้ก็แล้วกัน โอกาสตายก็ย่อมมี

การฝังไว้นาน ๆ จะมีผลกระทบอะไรไหม

หลายคนคงจะมีคำถาม เพราะเกรงว่าเม็ดเหล็กไหลที่ฝังไปอาจจะทำให้เกิดปฏิ กิริยาต่อต้านจากร่างกาย หรือ ทำให้ธาตุขันธ์ผิดปกติ บางคนคิดไกลไปว่า เหล็กไหลจะดูดกินเลือดมนุษย์ ทำให้เกิดโรคโลหิตจางได้ ก็เลิกวิตกได้เลย กว่า 30 ปีที่ ได้ทำพิธีฝังมานับหมื่นคน ยังไม่เคยปรากฏปัญหาผลกระทบจากการฝังสิ่งที่เรียกกันว่า เหล็กไหล นี้เลย

ประโยชน์จากการฝัง

# ทางด้าน เมตตา มหานิยม โชคลาภ แคล้วคลาดกันภัย มหาอุด กันคุนไสย

# ถ้านั่งสมาธิบ่อย ๆ จะสัมผัสพลังบางอย่างไหลผ่านลงมาจากกลางกระหม่อมจนถึงแขนขาชาไปทั่วตัว

# หากจิตดีก็สัมผัสกับปู่เหล็กไหลได้

# บางครั้งจะเกิดเหตุการณ์อะไร ไม่ว่าจะดีหรือร้ายแล้วแต่ ให้สังเกตุเม็ดเหล็กไหลที่ฝัง จะมีแรงกระตุกเตือนหรือลางบอกเหตุล่วงหน้า บางครั้งกระตุกแรงจนท่านอาจตกใจ เช่นขับรถด้วยความเร็วก็ควรลดความเร็วลงอยู่ในระดับที่ควบคุมเหตุกระทันหันได้ เพราะอาจจะมีอุบัติเหตุขวางหน้า เป็นต้น ให้รู้จักสังเกตการกระตุกว่าเป็นลักษณะอย่างไร หรือหากจะมีโชคลาภจากการค้าขาย หรือ ลาภลอยเป็นอย่างไร

# การฝังจะอยู่ติดตัวเราตลอดชีวิตไม่ว่ายามหลับหรือตื่น ถ้าเป็นวัตถุ มงคลบางครั้งเราอาจจะถอดลืมไว้ได้ ยามมีภัยก็ขาดสิ่งคุ้มครองป้องกันอันตรายได้>>
>>

ประสบการณ์เรื่องจริงที่เหลือเชื่อ


>>
QUOTE>>
เข็มแทงไม่เข้า
คุณธงไชย เผ่ารัชตพิบูลย์ ร้านทองแม่สมจิต ตลาดบ้านหมอ สระบุรี โทร (036) 201114 ได้บูชาวัตถุมงคลเกี่ยวกับเหล็กไหลตาแรดไปหลายรายการ เช่น แหวนหัวเหล็กไหลตาแรด ประคำโทนเหล็กไหลตาแรด เม็ดเหล็กไหลตาแรดทำจี้คอ รูปเหมือนหลวงพ่อขี่แรด เป็นต้น คุณธงไชย เมื่อบูชาไปครั้งแรกนั้นก็ประมาณต้นเดือนมกราคม 2538 หลังจากวันเกิดครบ 6 รอบ ซึ่งเพิ่งออกวัตถุมงคลให้บูชาเป็นครั้งแรก หลังจากนั้นก็ได้นำเอาประคำโทนเหล็กไหลตาแรดแขวนติดตัวไว้เสมอ

วันหนึ่งได้ลืมเอาเหล็กไหลติดตัวไป เนื่องจากลืมและถอดเก็บไว้แต่ใจได้นึกถึง เหล็กไหลตาแรด แล้วไม่ทราบว่านึกอย่างไรเช่นกัน ก็ได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้ในใจว่า หากเหล็กไหลตาแรดศักดิ์สิทธ์จริงขอให้แสดงปาฏิหาริย์ให้ได้เห็นประจักษ์สักครั้ง หลังจากนั้นก็ได้นำเอาเหล็กไหลตาแรดแขวนติดตัวเป็นประจำ จนวันที่ 28 มกราคม 2538 ได้ไปบริจาคโลหิตที่ รพ.ซึ่งได้บริจาคเป็นปกติ ปรากฏว่าขณะที่พยาบาลได้นำเข็มเจาะเลือดมาเพื่อแทงเข้าที่แขนนั้นก็ต้องพบกับ ความประหลาดใจ เพราะไม่สามารถแทงเข้าได้ จึงได้สอบถามด้วยความสงสัย และคุณธงไชยก็เห็นกับตาว่าเวลาแทงเข็มนั้นก็ได้แทงตามลักษณะปกติที่เคยทำอยู่เป็น ประจำทำให้เกิดปิติขนลุกซู่ขึ้นมาทันที และนึกได้ว่าเคยอธิษฐานขอชมบารมีของเหล็กไหลตาแรดไว้ ทำให้ปลาบปลื้มว่าได้พบของจริงและของดีเข้าแล้วหลังจากนั้นก็ได้ติดต่อทางวัดขอบูชาเ
หล็กไหลตาแรดไปเลี่ยมติดตัวในหมู่ญาติพี่น้องอีกหลายเม็ด

จากการสนทนากันทราบว่า คุณธงไชย เป็นนักปฏิบัติด้านกรรมฐานคนหนึ่งที่มีจิตสัมผัสสิ่งลี้ลับได้พอสมควร และเคยมีวัตถุมงคลชุดเกี่ยวกับเหล็กไหลของที่อื่นสร้างมาก่อนเช่นกัน อานุภาพก็ไม่ ด้อยกว่าเหล็กไหลตาแรดของวัดถ้ำแฝด ยอมรับว่ามีพลังดีมากทั้ง เมตตามหานิยมแคล้วคลาด คงกระพันและมหาอุด แต่เหล็กไหลตาแรดของที่อื่นนั้นยังไม่เคยแสดงอิทธิฤทธิ์ให้ปรากฏชัดเจน เหมือนเช่น เหล็กไหลวัดถ้ำแฝด และที่มั่นใจว่าเหล็กไหลวัดถ้ำแฝดมีอานุภาพคุ้มครองยอดเยี่ยม ก็เพราะในภายหลังก็ได้ประสบเหตุการณ์อื่นๆ อีกหลายครั้งอย่างที่ไม่เคยเป็นหรือพบมาก่อนเพราะเมื่อก่อนหน้านั้นยังไม่ได้บูชา เหล็กไหลตาแรดวัดถ้ำแฝดมา เวลาทำงานมักจะประสบอุบัติเหตุ เลือดตกยางออกเป็นประจำแต่เมื่อได้บูชา เหล็กไหลตาแรดแล้ว บางครั้งเกิดอุบัติเหตุในการทำงานค่อนข้างรุนแรงน่าจะได้รับบาดเจ็บมากกว่านี้ แต่กลับเป็นเพียงปูดนูนหรือรอยพกช้ำนิดหน่อย จนตัวเองมั่นใจว่า การสัมผัสของตนไม่ผิดพลาดแน่ เป็นด้วยอำนาจอิทธิฤทธิ์ของเหล็กไหลตาแรดที่ได้มาโปรดตนเองแน่นอน>>




>>
QUOTE>>
ถูกมีดแทงไม่เข้า
เมื่อกลางปี 2537 ชายหนุ่มคนหนึ่งเป็นชาวระยอง ซึ่งหลวงพ่อจำชื่อไม่ได้เสียแล้ว ได้มาขอฝังเหล็กไหลไปประมาณเดือนเศษ ได้พาน้องชายและเพื่อนคนหนึ่งมาขอฝังเข็มเหล็กไหลกับท่านพร้อมทั้งเล่าประสบการณ์ที่
เกิดขึ้นกับตนเองมาสดๆร้อนๆ ในอานุภาพของเหล็กไหลตาแรดที่ได้ช่วยชีวิตของเขาให้รอดตายมาได้

ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันได้เข้าไปดื่มสุราอาหารกับเพื่อนๆที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งใน จังหวัดระยอง ดื่มกันไปคุยกันไป เกิดมีเรื่องเขม่นกับวัยรุ่นโต๊ะข้างเคียง มองกันไปมองกันมา ก็มีการขว้างแก้วเข้าใส่กัน จนกลายเป็นการตะลุมบอนกันนัวเนีย รู้สึกว่าตนเองถูกมีดแทงอย่างแรงที่หน้าท้อง ก็รู้สึกตกใจ เอามือกุมไว้และเซเสียหลักล้มลงจึงได้เปิดดูบาดแผล เพราะคิดว่าคราวนี้คงแย่แน่ๆ แต่ไม่เห็นมีเลือดออก พบเพียงรอยจ้ำสีแดงเหมือนรอยช้ำแดงๆ เท่านั้นเองจึงนึกขึ้นมาได้ว่าได้ฝังเหล็กไหลตาแรดกับหลวงพ่อสัมฤทธิ์ไว้บัดนี้ของ วัดถ้ำแฝดได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ขึ้นมาแล้ว

แต่ก็ยังสงสัยอยู่ว่า ก่อนหน้านี้ เคยถูกเข็มเย็บผ้าทิ่มนิ้วตัวเองจนเลือดหยด แต่คราวนี้ถูกมีดแทงอย่างหนักหน่วง กลับไม่เข้ามันน่าสงสัย ก็นั่นซีครับ>>




>>
QUOTE>>
เสี้ยววินาทีแห่งความตาย

คุณวสันต์ แซ่ตั้ง ขายห่านพะโล้อยู่แถวถนนเยาวราช กรุงเทพฯ โทร 223-5528 ก็เป็นบุคคลหนึ่งที่ศรัทธาในเหล็กไหลตาแรดวัดถ้ำแฝด ก็ได้เดินทางมาฝังเหล็กไหลกับหลวงพ่อไล่ๆ กับรายที่อยู่ระยอง หลังจากนั้นไม่นานเกิดมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับน้องสาวของตนเอง จนกลายเป็นเรื่องยอมกันไม่ได้ ถึงกับท้าทายให้เอามีดมาแทงตนเอง 3 ที ด้วยเพิ่งฝังเหล็กไหลมาใหม่ๆ

ฝ่ายน้องสาวได้ยินคำท้าดังนั้นก็ไม่ยอมลดละเช่นกัน บอกว่ารอเดี๋ยว พร้อมกับเอามีดทำครัว "กีวี่" มาลับจนคม มิใยที่บิดาผู้เฒ่าจะร้องห้ามปรามไม่ให้พี่น้องทะเลาะกันเพราะถ้าตายคนหนึ่งอีกคนก็ ต้องติดคุก แล้วผู้เป็นบิดาจะอยู่กับใคร

คุณวสันต์เองก็ถือว่าลูกผู้ชาย พูดแล้วไม่คืนคำ และด้วยทิฐิมานะที่จะยอมน้องสาวไม่ได้พอกะว่าได้เวลาก็เดินทื่อเข้าหาน้องสาวทันที ฝ่ายน้องสาวก็รอจังหวะ เห็นพี่ชายทื่อเข้าใส่ก็คิดว่าคงจะถูกทำร้ายก็หลับหูหลับตาสวนมีดเข้าไปข้างหน้า เต็มแรง ถูกหน้าท้องเต็มที่

ท่ามกลางเสียงหวีดร้องอย่างตื่นตระหนกของคนรอบข้างและบิดา ฉับพลันนั้นสิ่งมหัศจรรย์ก็ได้บังเกิดขึ้นต่อหน้าทุกคนในขณะนั้น ที่มุงดูอยู่ด้วยความหวาดเสียวแทบไม่หายใจ ผลคือมีดนั้นงออย่างเห็นได้ชัดไม่สามารถทำให้ผิวหนังนั้นเป็นบาดแผลได้เมื่อดู ภายหลังเห็นเป็นรอยช้ำหนักๆ เท่านั้น

ทันทีทันใดเหมือนโลกทั้งใบจะหยุดหมุน ความรู้สึกที่สับสน ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีก็ได้บังเกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีแห่งความตายในขณะนั้น ความโกรธที่มีอยู่กลับกลายเป็นความรักความห่วงใย น้ำตาของทั้ง 2 ฝ่ายรวมทั้งบิดาผู้ชราและหลายคนที่อยู่ในเหตุการณ์ได้หลั่งออกมาด้วยความรู้สึกที่ แตกต่างกัน

เช่นกัน หลังเหตุการณ์ระทึกใจได้ผ่านพ้นไป ความเข้าใจอันดีต่อกันก็กลับคืนมา เหมือนบุญกุลของทุกฝ่ายได้มาประสานกันทำให้เกิดเหตุอันมหัศจรรย์นี้ขึ้น ทำให้เพื่อนๆ คุณวสันต์หลายคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็มาขอฝังเหล็กไหลกันมั่ง เพราะความมั่นใจในพลังจิตอันเข้มแข็งที่ช่วยชีวิตลูกศิษย์ไว้ให้รอดตายโดยเห็นกับ ตาตนเองหรือช่างเป็นบุญวาสนาที่จะยังไม่ถึงที่ตาย เทพเจ้าจึงได้ปกปักษ์รักษาชีวิตเอาไว้ก็เหลือเดา ขอให้ท่านได้ใช้ดุลยพินิจพิจารณาเอาเอง หรือสงสัยจะโทรถามคุณวสันต์โดยตรงเองเลยก็ได้ คงจะได้คำตอบที่ชัดเจนกว่านี้>>




>>
QUOTE>>
เหล็กไหลตาแรดที่เหนียวตลอดกาล

ต้นปี 2537 เช่นกัน สุภาพสตรีระดับคุณนายภริยานายทหารอากาศที่ดอนเมือง เป็นศิษย์รุ่นเก่าแก่ได้มาฝังเหล็กไหลไปกว่า 10 ปีแล้ว ได้พาคณะมาฝังเหล็กไหล 3 - 4 คน พร้อมทั้งเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเองให้หลวงพ่อฟังโดยมีผู้ที่มาด้วยร่วมกัน ยืนยัน

สามีนายทหารอากาศได้ไปมีภรรยาน้อย เมื่อต่อว่าต่อขานก็กลายเป็นทะเลาะวิวาทตบตีกันฝ่ายสามีเกิดบรรดาลโทสะ ถึงขั้นคว้าปืน . 45 ขึ้นเล็งยิงคุณนายตนเองทันที เสียง แช๊ะๆๆ กับเสียงร้องด้วยความตกใจร้องเรียกให้คนช่วยดังลั่นบ้านทำให้เพื่อนบ้านข้างเคียง รีบรุดมาไกล่เกลี่ย

ฝ่ายสามีก็ได้สติและสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ตนเองเกือบเป็นฆาตรกรฆ่าภรรยาตัวเองเสียแล้วจึงถามว่ามีอะไรดี ฝ่ายคุณหญิงนั้นก็ไม่มีอะไรห้อยคอ นึกได้ว่า 10 กว่าปีมาแล้วที่ตนได้ไปฝังเหล็กไหลตาแรดกับหลวงพ่อสัมฤทธิ์ที่วัดถ้ำแฝด ซึ่งกล่าวขานกันในเรื่องมีอิทธิฤทธิ์ กันมีดกันปืนได้ดี จึงได้มากราบและทำบุญกับหลวงพ่อพร้อมกับผู้ที่ใกล้ชิดเหตุการณ์หลายคน

เรื่องราวต่างๆ เหล่านี้บางรายจำเป็นต้องปกปิดชื่อเสียงเรียงนาม เพราะไม่ได้ขออนุญาตเจ้าตัวนำเรื่องราวมาเปิดเผยแต่อยากให้ทุกท่านได้รับทราบถึง อานุภาพและอิทธิฤทธิ์ที่ปรากฎมาในอดีตจนถึงปัจจุบันว่า เหล็กไหลตาแรด ยังคงเปล่งอานุภาพเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แม้ปัจจุบันนี้ก็มีผู้มาขอฝังเหล็กไหลหรือขอบูชาวัตถุมงคลในชุด เหล็กไหลตาแรดกันอย่างไม่ขาดสาย มาจากทุกส่วนของประเทศ จากเหนือ เชียงราย พะเยา จนถึงใต้สุด นราธิวาส อุบล ศรีสะเกษ สุรินทร์ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ สุโขทัย ตราด จันทบุรี ชลบุรี ระยอง มีผู้ฝังไปแล้วนับหมื่นราย ในทุกส่วนของประเทศก็ว่าได้

โดยเฉพาะที่ศูนย์ปฏิบัติธรรม "โลกทิพย์" มีผู้มาฝังเหล็กไหลครั้งละไม่ต่ำกว่า 40 รายเป็นประจำ โดยเฉพาะวันอาทิตย์แล้ว ที่วัดถ้ำแฝดจะมีญาติโยมมาฝังเหล็กไหลและเสริมดวง เสริมบารมีด้วย "มงกุฏพระเจ้า" กันอย่างล้นหลาม เหมารถตู้มาจากทางไกลในส่วนต่างๆ ทั่วประเทศ บางคราวมากันเป็นรถบัสหลายๆ คัน เต็มวัดไปหมด จนสถานที่รับแขกคับแคบและเต็มไปด้วยกลิ่นและควันธูปตลบอบอวนไปหมด แต่หลวงพ่อวัชระก็ ยังคงต้อนรับญาติโยมอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเหมือนกัน พูดคุยกับทุกคนอย่างเป็นกันเอง จากเช้ายันค่ำ บางทีถึงมืดก็บ่อยครั้งด้วยความเมตตาที่ทุกคนเสียสละเวลาและทรัพย์ สินเงินทองมาด้วยความศรัทธา จึงไม่อยากให้ผิดหวังกลับไป>>


466
ลองไปหลวงพี่แป๊วสิครับ   มือเบางับ

467

เมื่อกล่าวสรุปให้สิ้นเชิง ในแง่แห่งการกระทำ หรือ การปฏิบัติแล้ว "พุทธศาสนาคือ ศาสนา แห่งการบังคับตัวเอง": มิใช่ศาสนา แห่งการ อ้อนวอน พระเป็นเจ้า ผู้มีอำนาจ หรือ เป็น ศาสนา แห่ง การแลกเปลี่ยน ทำนอง การค้าขาย ทำบุญ ทำทาน แลกนางฟ้า ในสวรรค์ หรือ อะไรทำนองนี้ แต่ประการใด เลย และ เพราะ ความที่พุทธศาสนา เป็น ศาสนา แห่ง การบังคับตัวเอง โดยมีเหตุผล เพียงพอ แก่ตนเอง จึงได้ชื่อว่า เป็น "ศาสนา แห่ง เหตุผล" ด้วย

พุทธศาสนา คือคำสั่งสอน อันเป็นแบบฝึกหัด บังคับตนเอง แต่ว่า ลำพังคำสั่งสอน อย่างเดียว หาใช่เป็น แก่น หรือ เป็นตัว พุทธศาสนา อันแท้ไม่ แม้ว่า คำว่า "ศา สนา" จะแปลว่า คำสอน ก็ตาม ตัวศาสนาแท้ หรือ ตัวพรหมจรรย์ นั้น ได้แก่ การปฏิบัติ ตามคำสั่งสอน นั้นๆ ซึ่งเรียกโดย ภาษาศาสนาว่า สีลสิกขา - จิตตสิกขา - ปัญญาสิกขา

พุทธมามกะ เป็นอันมาก เข้าใจว่า "สิกขา" ตรงตามรูปศัพท์ เกินไป คือ สิกขา แปลตามรูปศัพท์ ว่า การศึกษา แต่พระพุทธองค์ ตรัสไว้ เป็นหลัก ว่า การศึกษาเล่าเรียน ปริยัตินั้น ไม่ใช่ สิกขา แต่ การกระทำจริงๆ ตามหลักที่เป็น การบังคับตนเอง ในส่วนที่เป็น ความ เสื่อมเสีย ทางกาย และ วาจา เรียกว่า "สีลสิกขา" ในส่วนใจ เรียกว่า "จิตตสิกขา" และ ในส่วนที่เกี่ยวกับ ความคิดนึก เพื่อรู้สิ่งที่ชีวิต จะต้องรู้ เรียกว่า "ปัญญาสิกขา"

ในส่วน สีลสิกขา โดยประเภท คือ การบังคับตน ให้ตั้ง หรือดำเนิน ไปด้วย กาย วาจา ตามกฏ อันเป็นระเบียบ มรรยาท หรือ จรรยา อัน ตนจะ พึงประพฤติ ต่อตนเอง ต่อผู้อื่น และ ต่อวัตถุสิ่งของ อันเกี่ยวเนื่องกัน เป็นข้อบังคับตายตัว ในเบื้องต้น เรียกว่า ปาฏิโมกขสังวรสีล [มีหลายพวก เกี่ยวกับ ขนบธรรมเนียม ของนักบวช ก็มี เกี่ยวกับ อนามัย ของร่างกาย ก็มี เกี่ยวกับการเคารพ ปฏิสันถาร ปรนนิบัติ ฯลฯ ผู้อื่น ก็มี เกี่ยวกับ การรักษาสิ่งของ เครื่องใช้สอย ของตน หรือ หมู่ ก็มี และยังมีอย่างอื่นอีก ซึ่งเป็นส่วน ต้องรู้แล้ว ทำในเบื้องต้น อนุโลม ทำนองเดียวกัน ทั้งฆราวาส และบรรพชิต ] การควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ให้ กำเริบ ไปตาม รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อันเป็นโลกธรรม เรียกว่า อินทรียสังวรสีล การควบคุมตน ให้มีการ แสวง การรับ การบริโภค ปัจจัย เครื่องอาศัย อันจำเป็น แก่ชีวิต อย่างบริสุทธิ์ จากการ หลอกลวงตน และผู้อื่น เรียกว่า อาชีวปาริสุทธิสีล และ การควบคุมตน ให้มีสติระลึก เพียงเพื่อยัง อัตตภาพ ให้เป็นไปในการบริโภค ปัจจัยนั้นๆ ไม่บริโภค ด้วยตัณหา เรียกว่า ปัจจยสันนิสสิตสีล รวมเรียกว่า ปาริสทธิศีลสี่ หรือ จตุปาริสุทธศีล เรียก ภาวะแห่ง การกระทำจริงๆ ตามนี้ว่า สีลสิกขา อันได้แก่ การบังคับตัวเอง โดยตรง เป็นเหมือน ถากโกลน กล่อมเกลา ในขั้นต้น แต่ประสงค์เฉพาะส่วน ที่เป็นไป ทางกาย และวาจา เท่านั้น

ในส่วน จิตตสิกขา คือ การบังคับจิตของตน ให้อยู่ในวง ความต้องการ ของตน ภายใน ขอบขีด ของวิสัย ที่บังคับได้ คือ ให้หยุดแล่น ไปตามความกำหนัด พยาบาท หรือ ไม่ให้ง่วงซึม ฟุ้งซ่าน ง่อนแง่น คลอนแคลน รวมความว่า ฝึกจนดีพอ ที่จะต้องการ ให้หยุดคิด ก็หยุด ให้คิดก็คิด ให้คิดเฉพาะสิ่งนี้ ก็คิดเฉพาะสิ่งนี้ ด้วยกำลัง ของจิตทั้งหมดอย่างเต็มที่ โดย ไม่กลับกลอก แต่อย่างใด การ พยายามฝึก จนทำได้อย่างนี้ เรียกว่า จิตตสิกขา ซึ่งเมื่อมีแล้ว ทำจิด ให้สงบอยู่ใน อำนาจ ได้ ต่อนั้น ก็ใช้เป็น อุปกรณ์ แก่ ปัญญาสิกขา อย่างจำเป็นยิ่ง

ในส่วน ปัญญาสิกขา คือ การควบคุมจิต ที่ฝึกจน อยู่ในอำนาจแล้ว นั้น ให้คิดแล้วคิดอีก จนแทงตลอด ในข้อปัญหา ของชีวิต หรือ ที่จำเป็นแก่ชีวิต โดยย่อ คือ ปัญหาที่ว่า อะไรเป็น เหตุให้เกิดทุกข์ ทำอย่างไร จึงจะพ้นทุกข์ ทั้งนี้ เพราะเหตุว่า สิ่งทั้งปวง รวมทั้ง ทุกข์สุข ของชีวิต เป็นเรื่องของใจ คือ ทุกข์ เพราะใจปลงไม่ตก ในสิ่งที่ตน เข้าใจผิด แล้ว หลงยึดถือไว้ จะสุขได้ ก็ด้วยบังคับ แนวของ ความคิด อย่างแรงกล้า ให้แล่นไปอย่างรู้แจ้งแทงตลอด จนปลงตก ในสิ่งที่ตน ยึดถือ ถึงกับรัก โกรธ เกลียด กลัว มัวเมา ฯลฯ นั้นๆ เสีย โดยไม่มี เชื้อเหลือ เพื่อความเป็นเช่นนั้น อีกต่อไป การพยายาม ทำจนทำได้ เช่นนี้ เรียกว่า ปัญญาสิกขา ซึ่งมีบริบูรณ์ แล้วก็จบกิจ แห่งพรหมจรรย์ จบพรหมจรรย์ คือจบศาสนา ไม่มีเรื่องที่จะต้องทำอีกต่อไป นอกจาก การเสวยสุข

โดยนัยนี้ จะเห็นได้ว่า พุทธศาสนา คือศาสนา แห่งการ บังคับตัวเอง ถ้าหมายถึง คำสอน ก็คือ คำสอน แห่งการ บังคับตัวเอง ถ้าหมายถึง การทำ หรือ การปฎิบัติ ก็ คือ การกระทำ การบังคับตัวเอง และ เมื่อหมายถึง ผลสุดท้าย คือปฏิเวธ ก็คือ ซึมซาบรส แห่งผลของ การบังคับตัวเอง อันเดียวกัน นั่นเอง เมื่อเรียน หรือ เมื่อทำ หรือ เมื่อได้รับผล ของการทำ ก็มีเหตุพร้อมพอ ที่จะให้ตน เชื่อถือ มั่นใจตนเองได้ โดยไม่ต้องเชื่อ ตามคำผู้อื่น จึงเป็นการบังคับตัวเอง อย่างมีเหตุผล ของตนเอง โดยตนเอง เพื่อตัวเอง อย่างที่เป็นอัน แน่ใจได้ว่า ไม่เป็น ศาสนา แห่งความโง่เขลา ถึงกับต้องการ ล่อหลอก หรือ ขู่เข็ญ อย่างใด แม้แต่น้อย

 ลัทธิศาสนาบางลัทธิ หวังความช่วยเหลือ จากผู้อื่น จนไร้หลัก แห่งการช่วยตนเอง ไฉน จะมีการบังคับตัวเอง บางลัทธิ มีการบังคับตัวเอง แต่ไร้เหตุผล เพราะเป็นเพียง การนึกเอา อย่างตื้นๆ หรือเป็นการเดา จึงเลยเถิด เป็น อัตตกิลมถานุโยค ไปก็มี ที่อ่อนแอ เอาแต่ความสนุกสบาย กลายเป็น อย่างที่เรียกว่า กามสุขัลลิกานุโยค ก็มี จึงแปลกกับ พุทธศาสนา ซึ่งมีหลักการ บังคับตัวเอง อย่างมีระเบียบ เรียบร้อย ชัดเจน มั่นคง ปรากฏ เป็น ศีล สมาธิ ปัญญา หรือ อัฏฐังคิกมรรค และมีเหตุผล พร้อมอยู่เสมอ เป็นอันกล่าวได้ว่า พุทธศาสนา คือ ศาสนา แห่งการบังคับตัวเอง ชนะตัวเอง เชื่อตัวเอง พึ่งตัวเอง ฯลฯ โดยแท้

เนื้อความเท่าที่บรรยายมาแล้วนี้ เป็นเพียงมุ่งให้ผู้อ่าน มองเห็น จุดสำคัญ อันเป็นท สรุปรวมใจความ ของธรรมบรรยาย อันกว้างขวาง ลึกซึ้ง ดุจมหาสมุทร เท่านั้น คือว่า เมื่อมีหลัก ก็ไม่ฟั่นเฝือ รู้อะไรเพิ่มเติม เข้ามาอีกเท่าไร ก็ไม่งงเงอะ จนไม่รู้ว่าจะจำไว้ อย่างไรไหว แต่อาจสงเคราะห์ รวมเข้าชั้น เข้าเชิง ของหลักธรรม ซึ่งที่แท้ ก็มีอยู่เพียง ๓ คือ ศึล สมาธิ ปัญญา เท่านั้นเอง จึงเมื่อถ้า ยังไม่เข้าใจ ในส่วนไหน ก็พึงศึกษา ค้นคว้า จากเนื้อความ ที่ได้บรรยาย ในที่อื่น เฉพาะส่วนนั้น สืบไปเทอญ

 

พุทธทาสภิกขุ


468
ข่าวการซื้อขายเหล็กไหล

พาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ ?ไทยรัฐ? ฉบับที่ 15549 วันพฤหัสบดีที่ 17 สิงหาคม 2543
"แก๊งต้มตุ๋นเหล็กไหล สตท.ระเบิดหัว"

ยิงหนแรกไม่ออก กู้เงินซื้อขายเสี่ย พอยิงรอบ 2 เหล็กไหลกระจุย ตัดใจตายหนีหนี้

สิบตำรวจโทหนุ่มเกิดหลงตกเป็นเหยื่อแก๊งหลอกซื้อขายเหล็กไหล ทีแรกนำไปทดสอบยิง 2 นัดไม่ระเบิด จึงกู้หนี้ยืมสินเพื่อนบ้านกว่าครึ่งล้านนำไปมัดจำ แล้ววิ่งเต้นติดต่อขายให้นายทุนใหญ่หลายสิบล้านบาท เสี่ยใหญ่ตกลงซื้อนำไปยิงทอดสอบก่อนจ่ายเงิน ปืนเกิดระเบิดเปรี้ยง เหล็กไหลที่อ้างว่าทรงอิทธิฤทธิ์ถึงกระจุยกระจาย ทำให้ตกเป็นหนี้หาทางออกไม่ได้ ระเบิดสมองตัวเองตายทั้งยังแต่งชุดตำรวจอย่างอนาถ เขียนจดหมายลาตายฝากฝังแม่และลูกสาว รวมทั้งแบ่งปันสมบัติเท่าที่มีอยู่ให้แก่ทุกคน

ตำรวจหนุ่มหลงตกเป็นเหยื่อแก๊งต้มตุ๋นซื้อขายเหล็กไหล ลงทุนกู้หนี้ยืมสินเพื่อนบ้านกว่าครึ่งล้านไปทดสอบยิงปืนไม่ระเบิด จึงนำซื้อไว้นำไปขายเสี่ยใหญ่ พอทดสอบยิงอีกทีปืนระเบิดเปรี้ยงเหล็กไหลกระจุย ต้องตกเป็นหนี้หาทางออกไม่ได้ระเบิดสมองตัวเองตายอนาถรยนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 15 ส.ค. ร.ต.อ.ประเสริฐ พานโท ร้อยเวร สภ.อ.บ้านแท่น จ.ชัยภูมิ ได้รับแจ้งว่ามีเหตุตำรวจยิงตัวตายที่สถานีอนามัยบ้านสามสวน ต.สามสวน จึงรีบรายงานผู้บังคับบัญชา จากนั้นพร้อมด้วย พ.ต.ท.สมาน พุดซา สวส.รักษาราชการแทนรอง กกก.หน. สภ.อ.บ้านแท่น พ.ต.ท.สุรชัย สายณสิต สวป. เจ้าหน้าที่และหน่วยกู้ภัยมูลนิธิเต็กก่าจีแซเกาะ อ.ชุมแพ รุดไปยังที่เกิดเหตุ พบว่าที่ด้านห้าสถานีอนามัยมีชาวบ้านมุงดูกันแน่น และพบว่าที่ม้านั่งใต้สถานีอนามัยมีศพ ส.ต.ท.สมบัติ ป้อมสุวรรณ อายุ 29 ปี ผบ.หมู่งานป้องกันปราบปราม สภ.อ.บ้านแท่น นอนหงายจมกองเลือดในสภาพสวมชุดเครื่องแบบตำรวจ มีแผลถูกยิงด้วยกระสุนปืน 9 มม. ที่เหนือกกหูขวาทะลุด้านซ้ายเป็นรูโบ๋ มันสมองปนเลือดกระจายเกลื่อน ในมือขวายังกำปืนพก 9 มม. ที่ตกมาแนบหน้าอกไว้แน่น ในแมกกาซีนมีกระสุนที่ยังไม่ด้ยิงอีก 7 นัด ในที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืน 9 มม. ตกอยู่ 1 ปลอก และหัวตะกั่วหล่นอยู่บนพื้น ห่างไปเล็กน้อยบนโต๊ะพบไฟฉายพร้อมวิทยุมือถือและกระเป๋าถือสีน้ำเงินวางอยู่ เมื่อเปิดออกตรวจดูพบว่าภายในกระเป๋ามีจดหมายใส่ซองสีฟ้า 3 ซองและสีขาว 1 ซอง จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน

จดหมายฉบับที่ 1 เขียนถึง พ.ต.ท.สุรชัย สายณสิต สวป.ผู้บังคับบัญชาว่า ตนไม่สามารถเป็นตำรวจที่ดีของท่านได้ แต่ภูมิใจที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้มีโอกาสทำงานร่วมกัน ขอฝากฝังให้ช่วยจัดการเรื่องเงินที่จะได้รับหลังตนเสียชีวิต โดยขอให้แบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งมอบให้มารดา อีกส่วนหนึ่งแบ่งให้ภรรยาและลูกสาวเพื่อเป็นทุนการศึกษาของบุตร ฉบับที่ 2 เขียนถึงอาจารย์ปัญญา เจ้าอาวาสวัดสมอ บ้านหนองบัว กล่าวขอโทษหลวงพ่อที่ตนคิดสั้น บอกว่าหมดปัญญาเจอทางตัน ไม่มีทางออกจริง ๆ จึงอยากฝากลูกสาวให้เป็นบุตรบุญธรรมอีกคน เพื่อเด็กจะได้มีอนาคตที่ดีต่อไป ฉบับที่ 3 เขียนเป็นพินัยกรรมที่ผู้ตายเขียนไว้ 4 ข้อ มีทรัพย์สินทั้งหมดขอมอบให้ภรรยาและลูกสาว เงินส่วนที่จะได้ให้แบ่งเป็น 2 ส่วน ให้มารดาและภรรยาพร้อมลูก ที่ดินนาส่วนของตนขอยกให้ลูกสาวคนเดียว โดยให้พี่สาวครอบครองทำกินและให้ช่วยเหลือการศึกษาของลูกสาวจนกว่าจะโต สุดท้ายขอให้นายวิโรจน์ รัตนพงศ์ พี่เขยเป็นผู้จัดการมรดกให้เป็นไปตามนี้ ส่วนฉบับที่ 4 เขียนถึงพี่ทิปและพี่โรจน์ พี่สาวและพี่เขย บอกว่าไม่ต้องเสียใจใครเกิดมาก็ต้องตายทุกคน ตนคงมีกรรมไม่สามารถอยู่ดูโลกได้อีกต่อไป เกิดชาติใหม่ขอเกิดเป็นลูกแม่และเป็นน้องพี่อีกหน ขอฝากช่วยดูแลลูกเมียให้ด้วย ลงชื่อว่า ?ส.ต.ท.สมบัติ ป้อมสุวรรณ ตำรวจน้อยรักดีแต่อายุสั้น?

จากการสอบสวนในเบื้องต้น พ.ต.ท.สุรชัยได้นำผู้ใกล้ชิดของ ส.ต.ท.สมบัติ ซึ่งทราบสาเหตุที่ทำให้ยิงตัวตายมาสอบปากคำทำให้ทราบว่า เกิดจากผู้ตายมีความกลัดกลุ้มจากภาวะตกเป็นหนี้สินเงินกู้ เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ตายได้รวบรวมเงินทองและกู้เงินเพื่อนบ้านได้ 5 แสนบาท นำไปซื้อเหล็กไหลจากแก๊งหลอกตุ๋นขาย ไม่ทราบแน่ชัดว่าอยู่ที่ใด และเป็นใครมาจากไหน โดยตกลงซื้อกันในราคา 1 ล้านบาท วางมัดจำเงินไว้ 5 แสนบาท และผู้ตายนำไปทดสอบยิงเหล็กไหลก้อนดังกล่าวถึง 2 ครั้ง 2 ครา ปรากฏว่า กระสุนยิงไม่ออก ผู้ตายหลงเชื่อว่าเป็นเหล็กไหลจริง ยอมจ่ายเงินให้แก๊งตุ๋นไป และนัดให้มารับส่วนที่เหลือภายหลัง ต่อมาผู้ตายได้วิ่งติดต่อขายให้แก่นายทุนใหญ่คนหนึ่ง ตกลงซื้อขายในราคาหลายสิบล้านบาท นายทุนใหญ่นัดให้นำไปยิงทดสอบหากยิงไม่ออกก็จะจ่ายเงินซื้อทันที แต่คราวนี้ปรากฏว่า กระสุนระเบิด เหล็กไหลที่คุยว่าทรงอิทธิฤทธิ์ถึงกระจุยกระจาย

ข่าวนี้ย่อมเป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้ที่ฝักใฝ่ในการเป็นนายหน้า ซื้อขายเหล็กไหลได้เป็นอย่างดี เนื้อข่าวไม่ได้ระบุชัดเจนถึง ชนิดของเหล็กไหล รูปพรรณสัณฐาน วิธีการทดสอบครั้งแรก ว่าปืนหรือกระสุนเป็นของใคร แต่ที่แน่ ๆ ว่าพอทดสอบครั้งที่ 2 เหล็กไหลแตกกระจุย ย่อมแสดงถึงของเทียมหรือเลียนแบบ ผู้ใดที่พยายามจะเป็นนายหน้าขายเหล็กไหล ระวังอย่าตกเป็นเครื่องมือของเหล่ามิจฉาชีพ ที่อาศัยความโลภของมนุษย์เป็นเหตุหลอกล่อ

ต้มเจ้าอาวาส

ข่าวจากหนังสือพิมพ์ ?ไทยรัฐ? ฉบับที่ 15712 วันเสาร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2544 คอลัมน์ ?ข่าวสั้นทันโลก? ได้นำเสนอข่าวที่น่าสนใจเกี่ยวกับ กระแสธาตุกายสิทธิ์ ที่น่าสนใจว่า

เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 26 ม.ค. พระอาจารย์ไพโรจน์ ปภัสสโร เจ้าอาวาสวัดห้วยมงคล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ว่า นายวิเชียร เพชรนิล อายุ 30 ปี และนางจันทร์จุรี หมายเมฆ อายุ 27 ปี สองผัวเมียอยู่บ้านเช่าเลขที่ 20/12 ถนนเลียบทางรถไฟ บ้านบ่อนไก่ อ.หัวหิน นำก้อนหินเป็นแก้วผลึกสีอ้างว่าเป็น ไข่พญานาค ได้มาจากพระธุดงค์ที่ จ.สุโขทัย มีสรรพคุณรักษาโรคได้ทุกชนิดและเป็นเครื่องรางของขลังสิริมงคล มาหลอกขาย 2 ครั้ง ครั้งแรก 9 ก้อน ตนจ่ายไป 10,000 บาท ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 24 ม.ค. ที่ผ่านมานำมาขายอีก 84 ก้อน คิดราคา 84,000 บาท แต่จ่ายเงินให้ไปก่อน 70,000 บาท ต่อมามีญาติโยมทักท้วงจึงลองทุบดู พบว่าข้างในเป็นแก้วผลึกธรรมดา จึงมาแจ้งความดำเนินคดีฐานฉ้อโกง หลังรับแจ้งตำรวจตามจับนางจันทร์จุรีได้คนเดียว

แก๊ง 18 มงกุฎ

เมื่อเดือน กันยายน 2540 มีคณะรับซื้อเหล็กไหล อ้างว่าเป็นชาวไต้หวันกับคนไทยร่วมกัน รับเป็นนายทุนดำเนินการในวงเงิน 1,000 ล้านบาท ก่อนการทดสอบของ สามารถตรวจสอบวงเงินซื้อขายได้จากทางธนาคารกรุงเทพฯ สาขาท่าเรือ กาญจนบุรี หากของไม่ผ่านการทดสอบ ผู้เสนอขายจะต้องจ่ายให้ 5 แสนบาท หากผู้ซื้อไม่สามารถแสดงวงเงินที่ซื้อขายได้ก็ยินดีจ่ายให้ฝ่ายผู้ขาย 5 แสนบาทเช่นกัน

พอถึงเวลาทั้งสองฝ่ายก็นัดตรวจสอบยอดเงินกัน ปรากฏว่าฝ่ายชาวไต้หวันซึ่งใช้ชื่อว่า มิสเตอร์อังได้ทำทีเป็นโทรศัพท์ติดต่อกับทางต่างประเทศ พูดไปพูดมาก็สรุปว่า กำลังจะโอนเงินให้อยู่ นั่งรอกันเกือบชั่วโมงเพื่อรอการเช็คข้อมูลจากธนาคาร ก็ไม่ปรากฏว่ามีการโอนเงินโชว์ผ่านทางธนาคารแต่อย่างใด แต่ฝ่ายผู้ขายได้เตรียมเงินสดมาแสดงพร้อม 5 แสนบาท

ทางฝ่ายผู้ขายและเจ้าของเหล็กไหล ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ด้วย จึงได้เชิญตัวผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดไปพูดจากัน ผู้ขายจึงจะขอทำการปรับตามข้อตกลง ปรากฏว่าไม่มีเงินจ่ายค่าปรับให้ได้ เพราะค้นแล้วมีเงินติดตัวกันรวม 700 บาทเท่านั้น ซึ่งฝ่ายนายทุนยอมรับว่าได้แอบอ้างวิธีการนี้หากินแบบนี้มานานแล้ว บางรายก็สำเร็จบางรายก็ไม่สำเร็จ เพราะรู้ว่า เหล็กไหลของจริงนั้น ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ คือ ไม่ผ่านการทดสอบหรือมีการหนีไปก่อน แต่ถ้าเป็นของปลอมก็ถูกปืนยิงกระจุย

ฝ่ายเจ้าของเหล็กไหลจึงนำเอาเหล็กไหลองค์ที่จะขายแช่ไว้ในแก้วน้ำแล้วอธิษฐานจิต เพียงครู่เดียว แล้วนำเอาแก้วน้ำไปตั้งกลางแจ้ง ให้ฝ่ายนายหน้าลองทดสอบดูด้วยปืน .357 จนหมดโม่ก็ยิงไม่ออก เรื่องนี้ปรากฏต่อสายตาคนเกือบร้อยคนที่ทราบข่าวที่มามุงดู ถ้าจะเป็นการแสดงก็คงระดับบรมครู

สนิมเหล็กไหล

ข่าวจากหนังสือนิตยสาร ?พระเกจิ? ปีที่ 2 ฉบับที่ 28 วันที่ 20 ต.ค. 37 โดยสำเริง มณีวงศ์ ได้เขียนลงในคอลัมย์ ?ทางกรรม? เมื่อคราวไปเขียนเรื่องประวัติและเรื่องราวของ ?ถ้ำเชียงดาว? ในปลายปี 2535 เพื่อลงในนิตยสารฉบับหนึ่ง

คุณเพชร กันทาดี ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงใหม่ในขณะนั้นได้อำนวยความสะดวกในการเดินทางให้เป็น อย่างดี ช่วงหนึ่งในขณะที่รับประทานอาหารร่วมกัน ได้มีโอกาสสนทนากันถึงเรื่องราวประหลาดเรื่องหนึ่งซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมา และเกี่ยวข้องกับตัวคุณเพชรพอสมควรในฐานะผู้อยู่ร่วมและรับรู้ด้วย

เมื่อคุณเพชร กันทาดี เดินทางไปรับตำแหน่งประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงใหม่แรก ๆ ประมาณ ปี พ.ศ. 2535 ก็ได้รับฟังเค้ามูลของเรื่องน่าสนใจอยู่เรื่องหนึ่งนั่นคือ ?ข่าวของเหล็กไหล? ร่ำลือกันว่ามีกะเหรียงคนหนึ่งอยู่แถบชายแดนไทย-พม่าของอำเภอฝาง สามารถพาผู้ต้องการซื้อไปพบเจ้าของเหล็กไหลได้และยินดีจะให้พิสูจน์ เหล็กไหล ทุกอย่างเพื่อให้เกิดความแน่ใจก่อนตกลงซื้อขายกันในราคาตั้งแต่หนึ่งล้านบาทขึ้นไป

ข่าวเหล็กไหลสร้างความสนใจอย่างมากกับคุณเพชร บังเอิญระหว่างนั้นอาจารย์พงศ์เทพ ชูพินิจ (ปัจจุบันถึงแก่กรรมแล้ว) เดินทางจากเมืองแพร่โดยพาเสี่ยผู้ร่ำรวยมาจากกรุงเทพฯดั้นค้นขึ้นไปถึงเมืองฝาง ทั้งนี้ด้วยการส่งข่าวเรื่องเหล็กไหลจากลูกน้องคนหนึ่งของอาจารย์นั่นเอง

เมื่อทุกอย่างพร้อมก็มีการเดินทางจากตัวอำเภอฝางไปตามเส้นทางของ กรป.กลางที่สร้างไว้ไปสู่หมู่บ้านคนโรคเรื้อนที่ทางการเปลี่ยนชื่อเสียใหม่ว่า..?หมู่บ้านอรุโณทัย? อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของตำรวจตระเวณชายแดนจนไปสิ้นสุดเอาที่หมู่บ้าน ?หนองอุ๊ก? สุดเขตแดนสยาม หมู่บ้านแห่งนี้เต็มไปด้วยพวกจีนฮ่อทั้งนั้นแต่ฟังและพูดภาษไทยพอรู้เรื่อง

การติดต่อเจรจาซื้อขายเหล็กไหลดังกล่าวจะต้องผ่านหน้าม้าซึ่งเป็นกะเหรี่ยง โดยกลุ่มที่เดินทางไปซื้อต้องลงทุนเดินด้วยเท้าเปล่าอีกทอดหนึ่งในป่าลึก แล้วพักรออยู่บนกระท่อมหลังหนึ่งของชาวกะเหรี่ยง ปล่อยให้กะเหรียงหน้าม้าเดินลัดป่าไปหาเจ้าของเหล็กไหลกินเวลากว่า 3 ชั่วโมง ทั้งกะเหรียงหน้าม้าและเจ้าของเหล็กไหลถึงได้มาถึงกระท่อม ผู้ที่เป็นเจ้าของเหล็กไหลเวลาพูดคุยกันมักไม่ค่อยสบหน้า ปล่อยให้หน้าม้าอธิบายสลับกัน

สรุปแล้วก็ตกลงที่จะให้ทดลองความศักดิ์สิทธิ์กันด้วยการทำพิธีเสียก่อน จากนั้นก็จะให้ผู้ซื้อจ่อยิงเหล็กไหลในระยะใกล้ตามแต่จะเลือก ถ้ากระสุนไม่ออกก็เป็นอันตกลงซื้อขายกันในราคาหนึ่งล้านบาท แต่มีเงื่อนไขว่าสถานที่ทดลองและทำพิธีนั้นจะต้องทำกันที่ลานกว้างโดยเจ้าของเหล็กไห
ลจะเป็นฝ่ายพาไป

ทุกคนเดินทางกันเป็นกลุ่มตามเจ้าของเหล็กไหลซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ห่างไปทางตะวันตกอันเป็นที่ราบเชิงเขา ก่อนที่จะมีการทดลองนั้น เจ้าของได้เปิดตลับสีน้ำเงินเข้มกำมะหยี่ออกมา ซึ่งตลับนี้ซุกซ่อนอยู่ในกระบอกไม้ไผ่มีผ้าดิบพันปากกระบอกอีกชั้นหนึ่ง เจ้าของค่อยบรรจงหยิบวัตถุก้อนหนึ่งสีทึบคล้ายทับทิมขนาดเท่าเม็ดลำใยให้ทุกคนดู อย่างระทึก เมื่อขอจับดูรู้สึกหนักและเย็นชื้นเหมือนก้อนน้ำแข็งสมกับของหายากยิ่งที่ทุกคนปรารถ
นาเมื่อได้สัมผัสของจริงกันถ้วยทั่วพอใจแล้วพิธีจึงเริ่มขั้น

บริเวณลานกว้างนั้น ด้านหน้าออกไปมีการตั้งแท่นบูชาสูงราวหนึ่งเมตร มีผ้าขาวคลุมโต๊ะจรดพื้นดิน บนแท่นนี้มีพานสีเหลืองวางอยู่ ผู้ทดสอบจะต้องเดินไปที่แท่นนี้แล้ววางปืนไว้บนพานเหลือง แล้วเดินหันหลังออกมาเจ็ดก้าวรอจนกว่าการกล่าวคาถาพิธีเสร็จจึงค่อยหันหลังกลับไป หยิบปืนได้ คาถาศักดิ์สิทธิ์นี้เพื่ดอความคมขลังของเหล็กไหลมีความยาวเกือบสิบนาที

ผู้ที่จะทำหน้าที่ทดสอบครั้งนี้คือ คุณเพชร กันทาดี ผู้มีความถนัดในเรื่องการใช้ปืนสั้นเพราะได้รับความเห็นชอบจากทุกคน ปืนพกรีวอลเว่อร์จุด 38 กระบอกห้านิ้วนั้นเป็นปืนพกประจำตัวของเสี่ยจากกรุงเทพฯ ผู้ที่จะซื้อเหล็กไหลนั่นเองมีประสิทธิภาพร้อยเปอร์เซ็นต์ เมื่อได้เวลาก็เริ่มทำพิธีโดยเพชร กันทาดี เดินถือปืนกระบอกนั้นไปวางไว้บนพานเหลืองแล้วหันหลังกลับมาช้า ๆ ระหว่างนั้นตัวเจ้าของเหล็กไหลก็เริ่มสวดคาถาซึ่งฟังแปลก ๆ ไม่รู้เรื่องยาวนานเกือบสิบนาทีทีเดียว พอเสร็จสิ้นก็ให้สัญญาณ ให้เพชร กันทาดี ไปหยิบปืนได้ ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงใหม่เดินอาด ๆ เข้าไปยังแท่นพิธีหยิบปืนพกกระบอกนั้นขึ้นมาพร้อม ๆ กับเจ้าของเหล็กไหลเริ่มเปิดตลับนำเอาไปวางไว้บนตอไม้ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งมองเห็น วัตถุสำคัญนั้นถนัดชัดเจน ทุกคนกรูกันเข้ามุงดู เพชร กันทาดี ยกปืนขึ้นจ่อเหล็กไหลในระยะใกล้เพียงกึ่งฟุตแล้วสับไกทันที

แช๊ะ แช๊ะ แช๊ะ แช๊ะ แช๊ะ แช๊ะ

ทุกคนระทึกตื่นเพริดเพราะลูกกระสุนไม่ระเบิดจากลำกล้องแม้สักนัดเดียว พากันขนลุกเกรียวไปตาม ๆ กันและเชื่อในอภินิหารความศักดิ์สิทธิ์ของเหล็กไหลอย่างท่วมท้น โดยเฉพาะเสี่ยผู้ซื้อเขาถึงกับกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดีปรีดา เมื่อพิสูจน์เหล็กไหลกันแล้วก็นัดหมายการจ่ายเงินกัน ผู้ขายขอรับเพียงเงินสดอย่างเดียว รุ่งขึ้นทุกอย่างก็เรียบร้อยโดยจ่ายกันสด ๆ ในเมืองฝางผ่านหน้าม้าชาวกะเหรี่ยงที่ได้รับมอบหมาย

เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงใหม่หยุดชั่วครู่ด้วยการยกแก้วเบียร์
ที่เย็นเจี๊ยบขึ้นดื่ม สอดดวงตามองมายังผู้เขียนอย่างหนักหน่วงเหมือนจะคาดคั้นคู่สนทนาที่กำลังตื่นเต้นกับ
เรื่องที่เล่า

?ก็คงจบแค่นี้?

ผมสรุปเอาดื้อ ๆ เมื่อเห็นว่าผู้ซื้อผู้ขายต่างก็สมปรารถนาของตนแล้ว แต่ ?มันเป็นของเก๊?

เพชร กันทาดี เผยเคล็ดลับอย่างต่อเนื่องอีกว่า เสี่ยจากกรุงเทพฯพอได้ของดีไปแล้วก็บินกลับเข้าเมืองหลวงจัดพิธีเลี้ยงพรรคพวกใหญ่โต
นำเหล็กไหลที่ได้มาหนึ่งล้านบาทออกมาโชว์ด้วยแถมท้าใครต่อใครให้พิสูจน์ คราวนี้เหล็กไหลวิเศษแหลกย่อยยับแทบเป็นผุยผงเมื่อเจอเข้ากับลูกตะกั่วจากลำกล้อง 357 สีเงินยาว เสี่ยใหญ่หน้าแตกจนแทบเสียสติเป็นบ้า ร้อนถึงอาจารย์พงศ์เทพผู้อาสาพาไปซื้อ ต้องหวุดหวิดเข้าคุกด้วยข้อหาร่วมกันหลอกลวง ทั้ง ๆ ที่ตัวอาจารย์ก็ถูกหลอกไปด้วย

ในที่สุดก็ได้ความจริงว่าเป็นแก๊งที่หลอกต้มคนมาหลายครั้งแล้ว หาใช่เป็นกะเหรี่ยงจีนฮ่อแต่ประการใด คนไทยด้วยกันนี่แหละปลอมเป็นพวกชาวเขาเพื่อให้ดูขลังสมจริง

?ฮ้าว ทำไมตอนทดลองครั้งแรกปืนจึงไม่ลั่น?

เพชร กันทาดี มองหน้าผู้เขียนอย่างละห้อยละเหี่ย เอ่ยอย่างเหน็ดเหนื่อย

?ความจริงสภาพปืนในวันนั้นดีทุกอย่าง แต่ถูกคมตะไบเฉือนที่ปลายนกจนทู่มันจะเสียบถึงลูกได้ยังไง?

?อ้าว?

ผู้เขียน งง เหมือนตาบอดคลำหัวเหน่า

?เรื่องมันเป็นยังงี้ ตอนที่ผมเดินหันหลังกลับจากวางปืนบนพานทองเหลืองแล้ว คนที่ซ่อนตัวอยู่หลังโต๊ะซึ่งซ่อนตัวอยู่หลังโต๊ะซึ่งซ่อนตัวอยู่ในหลุมที่ขุดเตรียม
การณ์ก็โผล่มือขึ้นมาคว้าปืนลงไปในหลุมและทำการใช้ตะไบฝนนกปืนจนทู่เสร็จแล้ว รีบเอาขึ้นมาไว้อย่างเดิม มันทำงานรวดเร็วมาก ถึงว่ามันย้ำว่าถาคาทำพิธียาวถึงเกือบสิบนาที เพิ่งรู้?

แต่ผลกรรมตามทันเพราะเสี่ยที่เสียรู่้ไปหนึ่งล้านนั้น อยู่ไม่นานก็ร่ำรวยจากกิจการได้มากกว่าหลายเท่า เก็บความแค้นไว้เงียบ ๆ ไม่ประโตกประตากเป็นข่าวทางสื่อมวลชนเพราะกลัวไก่จะตื่นเสียก่อน

?เสี่ยทำยังไงครับ?

เพชร กันทาดี หัวร่อหึ ๆ ในลำคอ ดวงตาลุกเป็นประกายวาวขึ้นมาฉับพลัน

?เสี่ยทิ้งระยะเวลาผ่านเงียบไปช่วงหนึ่ง ก็จ้างนักฆ่ามืออาชีพปลอมตัวไปเจรจาซื้อถึงที่ ผ่านการทดสอบทำพิธี แล้วก็จับมัดกะเหรี่ยงปลอมและผู้ร่วมแก๊งทั้งหมดเอาเหล็กไหลอันวิเศษของพวกมันซึ่งทำ
จากแก้วธรรมดายัดใส่ปากให้อมเพื่อทดสอบความขลัง ลากตัวขึ้นรถตู้ควบตะบึงไปทางดอยสะเด็ดที่เปลี่ยว นำตัวเอามานอนเรียงกันแล้วจ้างนักขับแรกเตอร์ชั้นเซียนบดขยี้ด้วยตีนล้อยักษ์ จมธรณีไปหลายศอก เป็นข่าวที่เงียบที่สุดหนังสือพิมพ์ไม่เคยรู้ เรื่องนี้เอาไปเขียนได้แต่อย่างระบุชื่อจริงของเสี่ย ผมนั้นไม่เสียหายเพราะไม่มีส่วนร่วมรู้การฆ่าคนพวกนี้ ไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น เพราะเล่าลือกันมาอย่างนั้น?

นั่นคือเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับการ ซื้อ-ขาย เหล็กไหลที่ปรากฏเป็นข่าวก็มี รู้กันในวงแคบ ๆ ไม่แพร่งพรายต่อบุคคลภายนอกก็มาก จึงเป็นข้อคิดสะกิดเตือนใจท่านผู้แสวงหาเหล็กไหล ได้โปรดใช้วิจารณญาณของท่านพิจารณาให้ดี เพราะเมื่อมีของจริงของปลอมก็ย่อมมีได้เหมือนกัน

ข้อสังเกตุ

จากเรื่องราวเหล่านี้ จะเห็นได้ว่าขบวนการหากินในเรื่องเกี่ยวกับ เหล็กไหลธาตุกายสิทธิ์ หรือ เหล็กไหลพญานาค ได้อาศัยสิ่งที่ทำเทียมและเลียนแบบจาก แก้วธรรมดาหรือแก้วที่ตกผลึก ออกเร่ขายตามวัดวาอารามต่าง ๆ หรือบุคคลที่หลงไหลศรัทธาในธาตุกายสิทธิ์เหล่านั้น โดยกลวิธีในรูปแบบต่าง ๆ ที่เราท่านคาดไม่ถึงให้เห็นเป็นจริงเป็นจัง หากท่านเจ้าอาวาสองค์ใดหลงไหลไปตามกระแสของพวก 18 มงกุฎเข้า โดยเข้าใจว่าสิ่งที่ได้มานั้นเป็นของกายสิทธิ์ชนิดหนึ่งจริงดังกล่าวอ้าง แล้วนำมาเผยแพร่ต่อ ก็อาจทำให้ของเทียมกลายเป็นของจริงขึ้นมาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ได้>>
>>

พิธีกรรมฝังเหล็กไหล

เรื่องราวของชายชาตรี ส่วนใหญ่มักนิยมในเรื่องเครื่องรางของขลัง แคล้วคลาด อยู่ยงคงกระพัน และมหาอุด เพราะชีวิตในสังคมทุกวันนี้ค่อนข้างเสี่ยงภัยนานาประการ นอกจากวัตถุมงคลที่เป็นพระเครื่องหลากหลายแล้ว การแสวงหาของขลังอื่น ๆ ก็ไม่น้อยหน้ากัน

หลังจากที่หลวงพ่อสัมฤทธิ์ได้ค้นพบเหล็กไหลตาแรดแล้ว ท่านก็เริ่มต้นทำในสิ่งที่ท่านตั้งใจทันที สิ่งหนึ่งนั้นก็คือ นำเอาเหล็กไหลตาแรดที่พบนั้นมาเจียระไนให้ได้ขนาดพอเหมาะ ประมาณเมล็ดถั่วเขียว ซึ่งโตพอที่จะทำการฝังลงไว้บริเวณใต้ท้องแขนได้โดยสะดวก ก่อนที่จะนำมาฝังให้กับผู้ศรัทธานั้น ก็ต้องทำพิธีบวงสรวงบอกกล่าวต่อ ปู่ สิงขร ผู้รักษาเหล็กไหลนี้ก่อน

สำหรับผู้ที่จะทำพิธีฝังเหล็กไหลนั้น จะต้องมีพานดอกไม้สักการะ บูชาครู เสียก่อน หากท่านไม่ได้เตรียมมาทางวัดก็จะจัดเตรียมไว้ให้ ประกอบด้วย

1. ดอกบัว 10 ดอก

2. ธูปเทียน 1 ชุด

3. เงินค่าบูชาครู

เมื่อจัดเตรียมเครื่องบูชาพร้อมแล้ว ก็จะนำกล่าวบูชาพระรัตนตรัย อาราธนาพระเข้าตัว ทำพิธีเสริมดวง เสริมบารมี สะเดาะเคราะห์ ต่อชะตา ด้วยการ ?ครอบมงกุฎพระเจ้า? เมื่อเสร็จพิธีเสริมดวงแล้ว ก็จะประสิทธิบูชาครูด้วยพระคาถาเฉพาะการนี้โดยตรง เรียกว่า ?คาถาปลุกตัว? มอบถวายเครื่องบูชาทั้งหมดกับหลวงพ่อ หลังจากนั้นก็ จะเริ่ม

พิธีกรรมฝังเหล็กไหล

อุปกรณ์การฝังเหล็กไหล ประกอบด้วย

1.เขียงไม้แก่นมะขาม ลงอาคม
2.สิ่วแสตนเลสแหลมบาง
3.ฆ้อนไม้ลงอาคม
4.แอลกอฮอล์สำหรับฆ่าเชื้อ
5.พลาสเตอร์ยาปิดแผล
6.ยาใส่แผลสด

วิธีการฝัง



ในเบื้องต้นจะให้ผู้ฝังเหล็กไหลวางท้องแขนพาดวางไว้ตรงเขียงไม้ที่เตรียมไว้ นำสิ่วแสตนเลสที่ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยความร้อนสูง แช่ทิ้งไว้ในแอลกอฮอล์ก่อน เมื่อกำหนดจุดที่จะฝังแล้ว จึงค่อยจรดปลายสิ่วพร้อมกับใช้ฆ้อนไม้นั้นตอกลงไป ผู้เข้าพิธีจะรู้สึกเจ็บเพราะคมสิ่วเล็กน้อยคล้ายถูกมดกัดเท่านั้น บางทีอาจจะไม่ทันเจ็บไปด้วยซ้ำ เพราะการตอกฆ้อนไม้นั้นรวดเร็วจนไม่ทันรู้สึกเจ็บก็ได้



หลังจากนั้นก็จะนำเม็ดเหล็กไหลที่จัดเตรียมไว้เป็นพิเศษ กลมเกลี้ยงเม็ดเล็กขนาดเท่าถั่วเขียว ใส่เข้าไปทางปากแผลที่เปิดไว้นั้น ให้อยู่ในตำแหน่งกึ่งกลางรอยแผล โอมอ่านพระถาคากำกับตามเคล็ดวิชา แล้วนำยาใส่แผลสดทาที่ปากแผล ปิดด้วยแผ่น พลาสเตอร์ยาให้สนิท และระวังอย่าเพิ่งให้ถูกน้ำซัก 3 วัน ปากแผลก็จะติดสนิท จะเป็นรอยแผลเป็นนิดหน่อยเท่านั้น ซึ่งถือว่าเสร็จสิ้นพิธี กรรมในขั้นที่ 1

อีกประการหนึ่งที่ใคร่จะเรียนไว้ให้พิจารณาก่อนที่ผู้เข้าพิธีจะทำการฝังเหล็กไหล หากเคยได้รับการฝังเหล็กไหลหรือตะกรุดของขลังจากครูบาอาจารย์อื่นมาก่อน ควรที่จะกราบเรียนให้ท่านผู้เป็นเจ้าพิธีทราบก่อนล่วงหน้า เพื่อท่านจะได้โอมอ่านคาถาขอขมากรรมให้เป็นกรณีพิเศษ เพราะไม่เช่นนั้นการตอกสิ่วให้เกิดปากแผลอาจต้องทำหลายครั้ง เนื่องเพราะความเหนียวและความอยู่คงด้วยอานุภาพเหล็กไหลหรือตะกรุดของขลังที่ฝัง ไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว เรื่องนี้มีปรากฏให้เห็นมาแล้วหลายราย


469
ธรรมะ / ตอบ: ธรรมะกับเรา
« เมื่อ: 06 เม.ย. 2550, 03:24:36 »
ในประโยคว่า "พระนิพพานเป็นธรรมที่ปลอดจากโยคะ ไม่มีธรรมใดยิ่งไปกว่า"  เช่นนี้ คำว่า ธรรม หมายถึง (Thing) สิ่งใดสิ่งหนึ่งในบรรดาสิ่งทั้งหลาย เช่นเดียวกับสิ่งอื่นเหมือนกัน หาความหมายในทางปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งมิได้ เพราะเป็นนามศัพท์กลางเช่นเดียวกับคำว่า "สิ่ง" ในภาษาไทย หรือคำว่า (Thing) ในภาษาอังกฤษ ที่เกี่ยวกับคำว่า "ธรรม" ล้วนๆ ในประโยคนี้ หน้าที่ยังไม่เกิด.

ในประโยคว่า "เขาได้รับประโยชน์ตอบแทนในทิฏฐธรรม" (ทิฏฐธรรม แปลว่า ธรรมอันสัตว์เห็นแล้ว) ในประโยคเช่นนี้ คำว่า ธรรมตรงกับคำว่า เวลา หรือแปลว่าเวลา; ในทิฏฐธรรม ก็คือภายในเวลาที่ผู้นั้นเห็นได้ด้วยตนเอง คือในชาตินี้ ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า. ในกรณีที่แปลว่า เวลาเช่นนี้ คำว่า ธรรมล้วนๆ ยังไม่ก่อให้เกิดหน้าที่อะไร เช่นเดียวกับข้อที่แล้วมา.

ในประโยคว่า "บุคคลผู้บรรพชา อุปสมบทแล้ว ไม่พึงเสพเมถุนธรรม" เช่นนี้ คำว่า ธรรม แปลว่า การกระทำ เป็นคำกลางยิ่งกว่าในประโยคที่ว่า บัณฑิตควรละธรรมดำ เจริญธรรมขาว เป็นเพียงการทำ (Doing) กลางๆ ทั่วไป ไม่มุ่งแสดงในทางดีชั่วและเป็นศัพท์นามธรรมดาคำหนึ่ง ไม่มีความหมายเกี่ยวกับทางธรรมหรือทางโลกอะไรๆ หมด ต่อเมื่อมีคำอื่นประกอบเข้าจึงมีความหมายไปในทางใดทางหนึ่ง เช่นในที่นี้ประกอบกันเป็น เมถุนธรรม แปลว่า การกระทำของคนคู่ คือสตรีกับบุรุษ. คำว่า ธรรมล้วนๆ ในที่นี้ ไม่มีความหมายอันจะก่อให้เกิดหน้าที่ และเป็นเช่นเดียวกับสองข้อที่แล้วมา. (ยกมาเป็นตัวอย่าง เพื่อให้เห็นว่า คำว่า ธรรม ในภาษาบาลีนั้น ท่านใช้กันมากมายหลายประเภทอย่างไร)

ในประโยคว่า "เขากล่าวธรรมของตัวเองว่าบริบูรณ์ กล่าวธรรมของผู้อื่นบกพร่อง (สกํ หิ ธมฺมํ ปริปุณฺณมาหุ อญฺญสฺส ธมฺมํ ปน ปีนมาหุ)" เช่นนี้คำว่าธรรม ตรงกับคำว่าลัทธิ คือกล่าวให้ชัดก็กล่าวเสียใหม่ว่า "ลัทธิของฉันถูกต้องครบถ้วน ลัทธิของท่านไม่ครบถ้วน" ดังที่เช่นนักศาสนาชอบกล่าวกันในบัดนี้ เพื่อยกศาสนาของตนเอง. ให้เห็นว่ามีอะไรครบ สมควรยกขึ้นเป็นศาสนาสากลของโลก คำว่า ธรรม ที่ตรงกับคำว่า ลัทธิ (Dogma) เช่นนี้ถือว่ายังไม่เกิดหน้าที่เช่นเดียวกัน แต่ถ้าจะให้เกิดหน้าที่ก็คือระวัง เลือกลัทธิที่จะเอามาถือให้ดีๆ.

ในประโยคว่า "ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้ย่อมฟังธรรมโดยเคารพ ย่อมเรียนธรรมโดยเคารพ (อิธ ภิกฺขเว สกฺกจฺจจํ ธมฺมํ สุณนฺติ, สกฺกจฺจํ ธมฺมํ ปริยาปุณนฺติ)" เช่นนี้ คำว่า ธรรม หมายถึง ปริยัติธรรม เช่น เรียนพระไตรปิฎก เรียนนักธรรม เรียนบาลี สรุปก็คือ การเรียนด้วยตำราหรือคัมภีร์ทุกอย่าง หน้าที่ของเราเกี่ยวกับธรรมในที่นี้คือ อุตส่าห์เรียน อุตส่าห์ฟัง อุตส่าห์คิด อุตส่าห์จำ อุตส่าห์ถาม ไว้นั่นเอง.

ในประโยคว่า "ธรรมแล ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม (ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารี)" เช่นนี้ คำว่า ธรรม ได้แก่ ปฏิบัติธรรม หรือ การปฏิบัติ ไม่หมายเฉพาะการเรียนเฉยๆ หน้าที่ของเราในคำว่า ธรรมชนิดนี้ ก็คือการปฏิบัติเหมือนกัน. ต้องปฏิบัติจริงๆ เพียงแต่เรียนรู้นั้นไม่พอ หรือจะนอนรออำนาจธรรมอันศักดิ์สิทธิ์ประจำโลกอย่างเดียวก็ไม่ไหวแน่ รีบปฏิบัติอย่างลืมหูลืมตาเท่านั้น จึงจะเอาตัวรอดได้

ในประโยคว่า "ผู้ปีติในธรรม ย่อมอยู่เป็นสุข (ธมฺมปีติ สุขํ เสติ)" เช่นนี้ คำว่า ธรรม หมายถึง ปฏิเวธธรรม คือผลของการปฏิบัติ กล่าวคือ มรรคที่ตนได้บรรลุแล้ว หรือเรียกสั้นๆ ก็คือ ผลแห่งการปฏิบัติ ความปีติที่จะเกิดขึ้นได้ในธรรมนั้น เกิดได้เฉพาะแต่ในธรรมที่ตนเองได้บรรลุแล้วเห็นแล้วเท่านั้น แม้จะเล็กน้อยเพียงไรก็ต้องเป็นธรรมที่ตนบรรลุแล้วเห็นแล้ว มิฉะนั้นปีติไม่เกิดขึ้น คำว่า ธรรมในที่นี้จึงหมายถึงปฏิเวธ หน้าที่ของเราทั้งโดยตรงและโดยอ้อมคือ พยายามหามาชิมดูบ้างอย่าเห็นเป็นของครึ.

ในประโยคว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ผู้ใดไม่เห็นธรรม ผู้นั้นแม้จะคอยดึงมุมจีวรของเราไปไหนด้วยกัน ก็หาชื่อว่าเห็นตถาคตไม่" เช่นนี้ คำว่า ธรรม หมายถึงความหมดกิเลส เป็นความประเสริฐชนิดที่มีในเมื่อเมื่อประพฤติธรรมสำเร็จแล้ว แม้บางส่วนหรือทั้งหมด จนเห็นชัดว่า คนที่บริสุทธิ์ คนที่สว่างแจ่มแจ้ง คนที่เป็นสุขสงบเป็นอย่างนี้ๆ ทำให้เห็นว่า พระอรหันต์ ท่านผิดกับคนธรรมดา ก็ที่ตรงนี้เอง ชื่อว่าเห็นธรรมในที่นี้ คำว่าธรรมในที่นี้  จึงหมายถึงความเป็นพระอรหันต์หรือพระพุทธเจ้า. หน้าที่ของเราในเรื่องนี้มีว่า เราจะต้องรู้เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านทรงรู้ พ้นความดีและความชั่วเหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านพ้น โดยเฉพาะคือรู้อริยสัจ ๔ กระทั่งเสวยผลแห่งความรู้นั้นอยู่ด้วยใจตัว.

ในประโยคว่า "ธรรมเป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว เราขอนอบน้อมธรรมนั้น สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ตํ ธมฺมํ นมสฺสามิ" เช่นนี้ คำว่า ธรรม ในที่นี้ หมายถึงเฉพาะคำสอนที่เป็นนิยยานิกธรรม คือที่ "ชี้ทางบรรเทาทุกข์ และชี้สุขเกษมศานต์ ชี้ทางพระนฤพาน อันพ้นโศกวิโยคภัย" เท่านั้น ไม่หมายถึงสิ่งทั้งปวงเหมือนบางข้อข้างต้น หน้าที่ของเราในที่นี้ คือเร่งพิจารณาให้อย่างหนักว่า ธรรมที่ตรัสไว้นั้นทนต่อการพิสูจน์ (เช่น สองบวกสามได้ห้า) จริงหรือไม่ จนเห็นว่าพระองค์ตรัสไว้ดีจริง คือไม่ผิดแล้วนอบน้อม คือทำตามเหมือนอย่างกะว่ามันเป็นสิ่งที่เราคิดค้นได้เอง ทำให้เกิดผลได้เอง.

ในประโยคว่า "พระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ทรงเคารพใคร แต่ทรงเคารพธรรม" คำว่า ธรรม ในที่นี้ หมายถึงระเบียบอันบุคคลจะพึงประพฤติทั้งต่อตนเองและผู้อื่น แม้ว่าตนเองจะไม่ต้องการผลอันจะพึงได้จากการประพฤติตามระเบียบอันนั้น ก็เคารพในการที่จะรักษาระเบียบอันนั้นไว้ให้เป็นหลักของโลก, แม้ว่าตนจะพ้นแล้วจากบุญและบาป เป็นผู้ที่บุญและบาปไม่อาจฉาบทาติดได้อีกต่อไป ก็ยังคงเคารพต่อระเบียบแห่งการละบาปบำเพ็ญบุญ เพื่อให้ระบอบนี้ยังคงเป็นหลักเป็นประธานของโลกทั่วไป แม้ว่าตนเองจะพ้นทุกข์แล้ว ก็ยังคงเคารพต่อระเบียบของการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์, เพื่อพระองค์ทรงเห็นว่า การอยู่โดยปราศจากที่เคารพเป็นการไม่สมควร แต่พระองค์มองหาบุคคลใดเป็นที่เคารพไม่ได้ แม้แต่พระพุทธเจ้าด้วยกัน, พระองค์จึงทรงเคารพธรรม คือระเบียบแห่งความจริง (Truth system) ตามที่ควรจะมีประจำโลกอยู่อย่างไรตลอดอนันตกาล คำว่าธรรมในกรณีที่แม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็ทรงเคารพเช่นนี้ หน้าที่ของเราก็คือ เคารพเหมือนกัน ได้แก่เคารพตัวเอง ที่รู้สึกว่า กำลังรักษาความดีไว้ให้คงมีอยู่ในตัวเอง และงอกงามไปจนกระทั่งดีที่สุดเป็นต้นไป จนกระทั่งเคารพระเบียบแห่งธรรมที่ทนต่อการพิสูจน์ ไม่มีความประมาทแม้แต่น้อย ผู้ใหญ่ที่ดูถูกระเบียบปฏิบัติของเด็ก ย่อมทำให้เด็กหมดกำลังใจในการที่จะรักษาระเบียบนั้น. ทั้งนี้เนื่องจากผู้ใหญ่คนนั้นเขลาไปว่า ระเบียบนั้นมีเด็กมีผู้ใหญ่ไปตามคนผู้ปฏิบัติด้วย. ถ้ามองเห็นว่าระเบียบทั้งหลายเป็นอันเดียวกัน ไม่มีเด็กผู้ใหญ่ไปตามคนผู้ปฏิบัติแล้ว ก็จะเป็นผู้ที่เคารพระเบียบได้เต็มที่ เช่นเดียวกับที่พระพุทธเจ้าท่านเคารพระเบียบ

ในประโยคยาวที่ว่า "แม้เขาฟัง ธรรม น้อย แต่เห็นธรรมด้วยนามกาย เขานั่นแหละชื่อว่า ผู้ทรงธรรม" คำว่า ธรรม ทั้งสามคำนี้ ต่างกันทั้ง ๓ คำ คำแรกหมายถึง คำสอน (Body of the Teaching) คำที่สองหมายถึง ผลของการปฏิบัติธรรม ที่เขาทำให้เกิดขึ้นได้แล้ว คำที่สามหมายถึง รูปร่างแห่งการปฏิบัติธรรม. อันมีอยู่ที่เนื้อที่ตัวของเขา. ประโยคนี้ทั้งประโยคให้เกิดหน้าที่ คือ ได้เล่าเรียนมากหรือน้อยไม่สำคัญ ขอแต่ให้ได้รู้รสของธรรมบ้างเป็นอย่างน้อยก็แล้วกัน; จะมีความสุขด้วย จะมีเกียรติว่าเป็นผู้ประพฤติธรรมหรือมีธรรมด้วย. การเรียนจบพระไตรปิฏกแต่ไม่เห็นธรรมนั้น ไม่มีทางที่จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ทรงธรรมเลย. เป็นหนอนหนังสือ หรือคนหาบใบลานมากกว่า.

ฉันเขียนมาให้ท่านเลือกมากพอแล้ว, จะเขียนให้หมดจริงๆ ท่านก็จะอ่านไม่ไหว และเลือกไม่ไหวตาลาย. เมื่อท่านดูธรรมะเข้าที่เหลี่ยมใดเหลี่ยมหนึ่ง เข้าตาท่านแล้ว ท่านจงดูเหลี่ยมนั้นให้มาก มันก็จะทะลุไปยังเหลี่ยมอื่นได้เอง และปรุโปร่งไปหมด ธรรมะกับเราจะพบกันแล้วจัดการอย่างไรนั้น ปัญหาข้อนี้อยู่ที่ว่า หมายถึงธรรมะอันไหนหรือคำไหนเสียก่อน. ท่านต้องเลือกเอาเองเฉพาะคน เป็นคนๆ ไป เพราะมาจากจุดตั้งต้นที่ผิดกัน. โลกสมัยนี้เขาไม่มีเวลาที่จะคิดธรรมะ หรือไม่มีแม้แต่จะอ่านจะฟัง ย่อมเป็นการยากอยู่ที่เขาจะนำธรรมะไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ มิหนำซ้ำยังไม่ทราบว่า จะต้องการธรรมะ ตามความหมายของคำว่า ธรรมะคำไหนด้วยซ้ำไป.

หอสมุดธรรมทาน

พุทธทาสภิกขุ


470
พระคาถาอัญเชิญเหล็กไหล

เมื่อตัดเหล็กไหลได้แล้วก็ต้องใช้คาถาอันเชิญธาตุกายสิทธิ์มาอยู่ด้วยเพื่อความเป็น ศิริมงคล

พระคาถาอันเชิญเหล็กไหลไว้บูชามีดังนี้

# พุทโธเมนาโถ ธัมโมเมนาโถ สังโฆเมนาโถ

# สะกะพะจะ ปูชาจะ บูชาท่านผู้ดูแลรักษา ธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ ทรงฤทธิ์อานุภาพ

# อิสะวาสุ อิติปิโส ภะคะวา

# เหล็กไหลเจริญมา เจริญยิ่ง เจริญดี สิ่งดี ๆ ทั้งหลายหลั่งไหลเข้ามาหาข้าพเจ้า

# สัมมะ สัมมา สัมมา สัมมะ มะอะอุ

# นะมะพะทะ นะโมพุทธายะ

พระคาถาอาคมต่างๆ ที่ได้บันทึกไว้ในหนังสือนี้ยังไม่เคยปรากฏการตีพิมพ์ที่ไหนมาก่อน นับเป็นโชคดีของท่านผู้สนใจเพราะหาผู้รู้เรื่องเหล่านี้ยาก ไม่มีตำราจะให้ศึกษา เพราะคนโบราณจะหวงวิชา จะให้วิชาที่ตนรู้ - ทำได้ - ตายไปพร้อมกับตนเองเว้นแต่จะถ่ายทอดให้ลูกหลานเท่านั้น คนไหนเกเรก็ไม่ได้อีกเช่นกัน บางครั้งก็ถ่ายทอดให้ไม่หมด เพราะกลัวศิษย์คิดล้างครูก็มีเหมือนกัน

เทพเทวาเป็นผู้มอบให้

เหล็กไหลประเภทนี้ เกิดจากการอธิษฐานจิต ของผู้ที่มีคุณธรรม ที่มีความประสงค์จะขอบารมีจากเหล็กไหล เพื่อประโยชน์ในการทำนุบำรุงพระศาสนา โดยมิได้ใช้เวทมนต์วิชาการต่าง ๆ ไปบีบคับหรือแย่งชิงเอา แต่อาศัยบุญบารมีที่ตนเองได้เคยบำเพ็ญมาแต่ครั้งอดีตชาติ และเคยเป็นเจ้าของสิ่งนี้มาก่อน

เมื่อถึงเวลาเหล่าเทพเทวา นาคนาคา คนธรรพ์ ยักษ์ ผู้ดูแลรักษาสิ่งเหล่านี้ จะนิมิตบอกให้รู้ เพื่อให้มารับเอาของสิ่งนี้ซึ่งเป็นของคู่บารมีไปรักษา เพราะผู้มีบารมีในที่นี้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่ รักษาศีลหรือปฏิบัติมาก่อน จึงมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอดีตตนเองได้ค่อนข้างมาก จึงสามารถเป็นเจ้าของเหล็กไหลนี้ ซึ่งจะเป็นการพบโดยบังเอิญหรือได้มาด้วยความศรัทธาจากการบูชาหรือจะด้วยแรงอธิษฐาน หรือนิมิตบอกก็ตาม

แผ่บารมีทิ้งไว้เมื่อถึงเวลาจุติ

เหล็กไหลประเภทนี้ เกิดจากเทพพรหมเทวา ผู้รักษาเหล็กไหลได้บำเพ็ญบารมีธรรมจนเข้าสู่อริยมรรค หรือ พ้นจากวิบากกรรมบางอย่าง จะจุติในภพภูมิที่สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป ก็จะทิ้งธาตุขันธ์หรือสิ่งที่เคยรักษาไว้อยู่ โดยการอธิษฐานจิตทิ้งเอาไว้ในถ้ำหรือสถานที่ลึกลับ ให้เทพเทวาหรือยักษ์ คนธรรพ์คอยเฝ้ารักษา จนกว่าจะพบผู้ที่มีบารมีธรรมพอจะรักษาสิ่งเหล่านี้ให้ ก็จะมอบให้โดยวิธีใดวิธี หนึ่งดังนี้

1.เหล็กไหล ที่เคยไหลผ่านไปมาตามซอกถ้ำซอกผา มีลักษณะเป็นแผ่น ๆ เป็นปื้น เป็นก้อนขนาดต่าง ๆ ฝังตัวอยู่ตามซอกหินในถ้ำที่ลี้ลับ รอเวลาผู้มีวาสนาเอาไปทำประโยชน์ เหล็กไหลประเภทนี้จะไม่ไหลย้อยเคลื่อนที่ไปไหนอีก แต่จะถูกพรางตาจากบุคคลผู้ไร้วาสนา หากผู้มีวาสนาได้พบเห็นและทำพิธีให้ถูกต้อง ก็จะมีฤทธิ์อำนาจเป็นเหล็กไหลชั้น 1 ได้เหมือนกัน

2.องค์เหล็กไหล สำหรับผู้มีบารมีที่เข้าไปบำเพ็ญฌาณตามป่าเขาหรือถ้ำลึกลับ เทพผู้รักษาจะมอบให้ ถ้าต้องการ >>
>>

พิธีกรรมทดสอบบารมีเหล็กไหล



ในการทดสอบบารมีของเหล็กไหลนั้น จะทำเป็นเล่นๆ หรือ เพื่อความรู้อย่างเดียวหาได้ไม่เพราะเหล็กไหลในที่นี้มีจิตวิญญาณครอบครอง มีความรู้สึก รัก โกรธ เกลียด ชอบ หรือดีเฉกเช่นความรู้สึกของสัตว์โลกทั่วไปที่ยังไม่พ้นความเป็นปุถุชน เพียงแต่อาศัยธาตุขันธ์ประกอบเข้ากันใช้เป็นที่อยู่อาศัย โดยใช้บุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์ความเป็นเทพในระดับภพภูมิต่างๆ แฝงเข้าอาศัยอยู่ ดังนั้นมีใครคิดไม่ซื่อหรือไม่ดีที่จะมาทำลายหรือมุ่งร้ายด้วยเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ จะมีการต่อต้านหรือต่อสู้เกิดขึ้นได้เช่นกัน เช่นทำให้อานุภาพของดินปืนชื้นจนยิงไม่ออก บางครั้งผู้ที่ทดสอบด้วยปืน จะถูกเหล็กไหลต่อสู้ยื้ดยุดฉุดรั้งปืนหรือแขนไว้จนไม่สามารถจะยิงได้จนสุดท้ายถูก สิ่งที่มองไม่เห็นถีบหน้าอกหรือจุกแน่นหน้าอกจนไม่สามารถทำการยิงได้ บางครั้งล้มลงทั้งยืนเลยก็มี

ผู้อ่านหลายคนอาจจะไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็นจริงหรือไม่ หรือเกินความจริงไปหรือเปล่า แต่สิ่งเหล่านี้รอการพิสูจน์จากผู้ที่สนใจและต้องการสิ่งที่มีอานุภาพในการปกป้อง คุ้มครอง ไม่ใช่จากนายหน้าหรือผู้ที่หากินทางอาชีพยิงเหล็กไหล โดยหลอกว่ามีนายทุนใช้ให้มาทดสอบบ้าง มีการวางเงินเดิมพันบ้าง มิฉะนั้นถ้าพบของจริงอย่างที่ว่าแล้วท่านอาจจะพบกับเหตุการณ์ที่น่าสพึงกลัวจาก สิ่งที่มองไม่เห็นเหล่านี้ได้โดยง่ายก็ได้ แต่สิ่งเหล่านี้ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงสดๆ ร้อนๆ ต่อหน้าสายตาคนนับร้อย ดังที่จะกล่าวถึงในโอกาสต่อไป

เครื่องบูชา

1.บายศรีเทพ บายศรีพรหม บายศรีตอง

2.ฉัตรเงิน ฉัตรทอง 9 ชั้น 4 ทิศ

3.ตั้งศาลเอก 1 ศาล ศาลเพียงตา 4 ทิศ

4.ผลไม้ 7 อย่างทั้ง 4 ศาล

5.อาหารเจ พร้อมผลไม้ชุดใหญ่ ตั้งศาลเอกพร้อมบายศรีเทพ 1 คู่ บายศรีพรหม 1 คู่

6.บายศรีตองตั้งศาลเพียงตาอย่างละ 1 คู่

7.เครื่องกระยาบวช ข้าวตอกดอกไม้

8.คนอ่านโองการอัญเชิญ

สำหรับพิธีกรรมต่างๆ นั้นสุดแท้แต่ความประสงค์ของเทพที่รักษา ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงตัวอย่างในการจัดทำพิธีในสถานที่แห่งหนึ่งเท่านั้น

หลังจากทำพิธีอันเชิญบอกกล่าวขออนุญาตจากเทพผู้ปกปักรักษาเหล็กไหลก็เป็น หน้าที่ของผู้ทำการทดสอบส่วนใหญ่จะเป็นไม้ขีด หรือปืนยิง 3 นัด สุดแท้แต่เงื่อนไขปลีกย่อยที่จะตกลงกันเอง ซึ่งจะต้อง ใช้วิจารณญาณของตนเองอย่าให้ตกเป็นเครื่องมือหากินของกลุ่มผู้ไม่สุจริต เท่านั้น ผู้ซื้อจริงๆ นั้นมีน้อย อย่าหลงเชื่อคนแปลกหน้าง่ายๆ หรือฟังคนบอกว่าเป็นนายทุนมีเงินเป็นร้อยล้านพันล้าน ซึ่งก็ยากแก่การตรวจสอบ พอผ่านการทดสอบสอบจริงๆ แล้ว นายทุนที่ว่าไม่มีเงินจ่ายก็อาจเดือดร้อนได้ในภายหลังเหมือนกันซึ่งส่วนใหญ่จะมีหลัก
เกณฑ์ดังนี้

1.นายหน้าจะต้องมีเงินค่าบูชาครูในการจัดตั้งปรำพิธีหรือของใช้ในพิธี ซึ่งสุดแท้แต่พิธีเล็กหรือใหญ่ ประมาณ 30,000 บาทขึ้นไป

2.ค่าใช้จ่ายของฝ่ายนายทุนผู้ทดสอบการยิง 30,000 บาท

3.เงินมัดจำหรือเงื่อนไขการจ่ายเงินเมื่อการทดสอบผ่านเรียบร้อย

เหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังทุกขั้นตอนเหมือนกัน เพราะมีเล่ห์เหลี่ยมของผู้ที่ แสวงหาผลประโยชน์จากความโลภของคนเราได้ง่ายเหมือนกัน ดังข่าวที่ปรากฏตามหน้าหนังสือพิมพ์เป็นประจำ

ขั้นตอนการทดสอบ

1.จุดธูปบอกกล่าวขอชมบารมีและขอขมาโทษหากได้ล่วงเกินต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้

2.ทดสอบอาวุธปืน โดยทดสอบยิงขึ้นฟ้า 1 นัด เล็งเป้าหมายระยะไม่เกิน 2 เมตร แล้วเหนี่ยวไกปืน

3.กรณีเป็นไม้ขีด เมื่อเปิดรังเหล็กไหลแล้วประมาณอึดใจ ก็ทดสอบขีดดูก็จะรู้ผล หากชึ้นชุ่มขีดไม่ติดทุกก้าน ก็ผ่านตามข้อตกลง 2 กล่องหรือมากกว่านั้น

ผลจากการทดสอบการยิง



ทั่วไปแล้วจะกำหนด 3 นัดยิงไม่ออกจึงจะผ่าน และระหว่างทำการทดสอบหากปืนจะขัดข้องด้วยประการใดๆ จนไม่สามารถทำการยิงได้ หรือผู้ยิงมีอาการจุกแน่น หรือมี อาการอย่างใดอย่างหนึ่งจนไม่สามารถทำการยิงได้ ก็ถือว่าผ่าน ดังนั้นเมื่อถึงเวลาทดสอบแล้วจะเปลี่ยนอาวุธหรือคนยิงใหม่ไม่ได้จะต้องถือว่าผ่านเช่
นกัน

จากการชมบารมีของเหล็กไหล 2 องค์ สีเขียวคล้ายหยกอ่อน และเขียวอมฟ้าปรากฎผลมหัศจรรย์ดังนี้

1.ถ่ายรูปไม่ได้หากไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของเหล็กไหลโดยถูกวิธี เพราะมีผู้พยายามจะถ่ายรูปกดชัตเตอร์ถึง 3 ครั้ง กล้องไม่ทำงาน ทั้งตรวจสอบกล้องมาอย่างดีและไม่ได้นำไปใช้ที่ใดเลยในระหว่างการเดินทาง

2.แม้จะอนุญาตให้ถ่ายได้ บางครั้งเหล็กไหลไม่ให้ถ่ายบางภาพ หน้ากล้องจะถูกปิดโดยอัตโนมัติทันที

3.ไฟหรี่ลงเอง แอร์จะดับ เครื่องยนต์ดับเอง

4.ผู้ที่ทดสอบเหล็กไหลประเภทนี้ จะมีอาการจุกแน่นหน้าอก หายใจไม่ค่อยออก เมื่อจะเล็งเป้าไปที่เหล็กไหลจะรู้สึกมือไม้หนักจนยกปืนไม่ขึ้น เมื่อขืนทำเหมือนจะถูกเหนี่ยวรั้งไว้ จนคนที่อยู่ในบริเวณจะเห็นได้ชัดเจนถึงความผิดปกติในตรงนี้

5.เมื่อเหนี่ยวไกปืนจะไม่ดัง คือยิงไม่ออกมีเสียงสับนกดัง แชะ เท่านั้น

6.ถ้าเหล็กไหลสู้ หากฝืนครบจน 3 นัด จะถูกลงโทษอย่างรุนแรงจนร้องออกมาด้วยความตกใจ และหงายหลังล้มลงทันที มือไม้สั่นกระตุกจนเห็นได้ชัด บางคนง่ามมือฉีก บางทีก็ปืนแตก บางคนชักดิ้นชักงอต่อหน้าเดี๋ยวนั้นทันที

7.หากเหล็กไหลหนีจะพุ่งแรงเห็นเป็นลำแสงวิ่งขึ้นฟ้าพร้อมเสียงหวีดแหลมชั่วพริบตา เท่านั้น

8.บางครั้งเมื่อครบ 3 นัด คนยิงถูกเหล็กไหลกระแทกกลับจนหงายหลังแล้ว จะพบว่าองค์เหล็กไหล ไม่ได้อยู่ที่เดิมเสียแล้ว บางครั้งกระโดดลงไปในถาดผลไม้เครื่องบูชา ถ้าถ่ายวีดีโอจะมองเห็นเป็นลำแสงสีแดงวิ่งพุ่งลงไป บางครั้งเอาใส่เซฟที่ผู้ทดสอบจัดหามา วางเปิดให้เห็นในเซฟแล้วทดสอบ เหล็กไหลกระโดดมาอยู่บนจานเชิงเทียนขนาดใหญ่ที่วางตั้งอยู่ใกล้ ๆ กัน ทั้งที่มีสายตาหลายสิบคู่มองกันแทบไม่กระพริบ แต่ไม่มีใครสังเกตุว่ากระโดดออกมาจาก เซฟหรือพานรองรับเมื่อไร



ดังนั้นผู้ทดสอบชมบารมีเหล็กไหล จริงๆ แล้วจะต้องระมัดระวังอันตรายจากจุดนี้ด้วย จนผู้ที่รู้ดีจะเสี่ยงใช้เทียบลูกปืน หรือก้านไม้ขีดแทน ดูจะปลอดภัยกว่าด้วยประการทั้งปวง

เหตุผล ทั้งนี้ทั้งนั้นในเมื่อเป็นธาตุกายสิทธิ์ที่มีชีวิตจิตวิญญาณ มีความรู้สึกเหมือนกับเรา หากเป็นมนุษย์ธรรมดา ต่อให้สนิทกันขนาดไหน ลองเอาปืนไม่มีกระสุนแล้วเล็งมาพร้อมโก่งไกไว้ ท่านจะพอใจ หรือไม่ ?

ดังนั้นอาถรรพณ์ของเหล็กไหลทางป้องกันและรักษา จึงค่อนข้างมีอานุภาพและอิทธิฤทธิ์นานาประการสุดแท้แต่ความประสงค์ที่จะอธิษฐานเอา และเพื่อเผยแพร่เรื่องราวอันแสนมหัศจรรย์ให้แก่ผู้สนใจได้รับทราบและศึกษากันต่อไป>>
>>

แก๊งต้มตุ๋น "เหล็กไหล"

พระอาจารย์เกษมสุข เขมสุโข วัดประดู่ธรรมาธิปัตย์ บางโพ กรุงเทพฯ ได้เคยเล่าให้ฟังว่า เมื่อประมาณปี 2535 ท่านได้รับการติดต่อจาก หัวหน้าแก๊งต้มตุ๋นขายเหล็กไหลรายหนึ่ง ได้เสนอขายสูตร และกรรมวิธีใช้ "เทียนลนเหล็กไหล" ให้สามารถย้อยออกมาจากหินในราคาถึง 100,000 บาท เพื่อนำไปใช้ประกอบการหลอกลวงเรียกเงินทองจากญาติโยมผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งวิธีดังกล่าวได้เคยใช้ได้ผลมาแล้วหลายราย ทำให้ได้เงินไปใช้หลายล้านบาท

อาจารย์เกษมสุข ท่านแกล้งทำเป็นสนใจ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องทดสอบให้ท่านดูที่วัดเสียก่อน ปรากฏว่าทางแก๊งต้มตุ๋นยอมตกลง แต่ขอค่าใช้จ่ายในการทดสอบ 2,000 บาท ซึ่งปรากฏว่าเขาสามารถใช้เทียนลนให้หินแข็ง ๆ ไหลเยิ้มออกมาได้จริง ๆ ดังภาพที่ปรากฏด้านข้าง ซึ่งทางแก๊งดังกล่าวได้เปิดเผยต่อไปว่า ของเหลวที่ไหลออกมานั้นไม่ใช่หิน แต่จะเป็นสารผสมทางเคมีหลายชนิดรวมกันโดยมีปรอทเป็นส่วนผสมหลัก จากนั้นก็จะนำเอาไปฝังไว้ในก้อนหินที่จัดเตรียมไว้ ก่อนที่จะใช้กาวติดที่ผนังถ้ำก่อนที่จะทำการทดลองให้เหยื่อชม

ระหว่างการทดลองนั้นทางแก๊งได้พยายามโน้มน้าวพระอาจารย์เกษมสุขให้คล้อยตาม โดยบอกว่าท่านเสียเงินเพียง 100,000 บาทเท่านั้น แต่ถ้านำไปหลอกผู้คนก็จะได้เงินเป็นล้านทีเดียว โดยท่านอาจารย์เพียงแต่นำเศรษฐีที่มีเงินและอยากได้เหล็กไหลมาเท่านั้น ทางแก๊งจะนำเอาเหล็กไหลเทียมที่ทำขึ้นนี้ไปซ่อนฝังไว้ตามจุดที่นัดหมาย แล้วให้ท่านอาจารย์เอาเทียนลนเหล็กไหลนั้น ก็จะทำให้คนเชื่อว่าเป็นเหล็กไหลตัดสดจริง ๆ ก็จะได้เงินหลายล้านบาท

หลังจากได้เห็นการทดสอบพร้อมกับจ่ายค่าโง่ไปแล้ว อาตมาก็ตอบปฏิเสธที่จะซื้อสูตรดังกล่าว เพราะไม่สามารถหาเงินแสนมาจ่ายค่าซื้อสูตรการต้มตุ๋นได้ นอกจากนี้แล้ว หากเอาไปหลอกคนอื่นมีหวังอาจจะถูกตามฆ่าก็ได้" พระอาจารเกษมกล่าว

นอกจากนี้แล้ว พระอาจารย์เกษมยังเปิดเผยถึงวิธีต้มตุ๋นที่คนโลภทั่วไปถูกหลอกอีก 2 วิธี โดยวิธีแรกคือ ขอเงินค่าทดสอบ โดยอ้างว่าจะมีนายหน้ามาซื้อเหล็กไหล ทั้งนี้จะบอกว่า "เหล็กไหล" ของเขาต้องบูชาครูด้วยจำนวนเงิน 500,000 บาท เพราะไม่เช่นนั้น "เหล็กไหล" จะหายไป เมื่อเขาอ้างว่า "เหล็กไหล" สามารถทดลองกับไม้ขีดไฟ ด้วยการนำไม้ขีดไฟมาวางและเอา "เหล็กไหล" มาวางทับทิ้งไว้ 10 นาที ไม้ขีดนั้นก็จะจุดไม่ติด ถ้าทดลองกับไม้ขีดไฟเห็นผลแล้วก็จะนำไปทดลองกับลูกปืน ซึ่งถ้าเอาเหล็กไหลไปทาบกับลูกปืน ลูกปืนก็จะยิงไม่ออกเช่นกัน

วิธีการหลอกลวงนั้นจะมีหน้าม้า 3 คน ขั้นแรกต้องเลือกเอาบ้านของเหยื่อที่มีฐานะก่อน โดยจะหาเอาไม้ขีดไฟที่เหยื่อเป็นผู้ซื้อเองมาใหม่ ๆ มาทดลอง โดยบอกเหยื่อว่าจะเอา "เหล็กไหล" วางทับไว้ 10 นาที หลังจากนั้นไม้ขีดไฟจะจุดไม่ติด ขณะที่รอคอยเวลาอยู่นั้น ก็จะชวนเหยื่อคุย พร้อมกับชี้นิ้วมือไปที่ภาพใดภาพหนึ่งในบ้าน แล้วถามว่าเป็นภาพอะไร ถ่ายที่ไหน ทำทีเป็นสนใจมากเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ เหยื่อก็จะหันไปมองที่ภาพนั้น ทุกสายตาก็จะเบนตามไปด้วย จังหวะนั้นเองคนในแก๊งก็จะรีบสับเปลี่ยนไม้ขีดไฟทันที อีกวิธีหนึ่ง แกล้งทำแก้วให้ตกแตก พอเหยื่อหันไปดูเขาก็จะเปลี่ยนไม้ขีดไฟทันทีเช่นกัน

เมื่อนำไม้ขีดไฟมาจุดก็จะจุดไม่ติด เหยื่อเจ้าของบ้านก็จะเข้าใจว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ เป็นอิทธิฤทธิ์ของเหล็กไหล เนื่องจากไม้ขีดเป็นของตัวเองที่ซื้อมากับมือ ยังจุดไม่ติดจริง ๆ แต่หารู้ไม่ว่า ไม้ขีดไฟถูกแอบสับเปลี่ยนไปแล้ว และไม้ขีดไฟของแก๊งต้มตุ๋นนั้นได้มีการเคลือบน้ำ ซึ่งทำให้หมดสภาพในการจุดประกายไฟ

ก่อนกลับแก๊งต้มตุ๋นจะเอาเงินค่าบูชาครูที่เหยื่อเป็นคนจ่ายให้ใส่กล่องแล้วห่อด้วย ผ้าขาว พร้อมกับบอกเหยื่อเจ้าของบ้านว่า จะขอฝาก "เหล็กไหล" และเงินค่าบูชาครูที่ทำพิธีไว้กับเจ้าของบ้านก่อน ให้เก็บบูชาเป็นระยะเวลา 1 เดือน ห้ามเปิดออกมาโดยเด็ดขาด ไม่เช่นนั้น "เหล็กไหล" จะหนีไปหมด

วิธีการหลอกเอากล่องที่ใส่เงินจะทำเช่นเดียวกับการสับเปลี่ยนไม้ขีดไฟ โดยแก๊งคนร้ายได้เตรียมกล่องห่อผ้าขาวมาอีก 1 ห่อ ซึ่งก่อน ที่จะเปลี่ยนกล่องดังกล่าวนั้น แก๊งต้มตุ๋นจะใช้ให้เหยื่อไปจุดธูปบูชา "เหล็กไหล" กลางแจ้งก่อน พอเหยื่อเผลอเขาก็แอบเปลี่ยนห่อ ผ้าขาวทันที

เมื่อครบ 1 เดือน เหยื่อจะแก้ห่อผ้าขาวออกมาดู ปรากฏว่าเงินค่าไหว้ครูไม่มีเสียแล้ว และวัตถุที่บอกว่าเป็น "เหล็กไหล" ก็ไม่มี สิ่งที่ปรากฏคือก้อนหิน หรือก้อนเหล็กอะไรสักอย่างหนึ่ง ที่ไม่มีราคาค่างวดอะไรเลย

ข่าวการทดลองเหล็กไหล

ข่าวคราวของการทดลองเหล็กไหลมักจะปรากฏให้ได้ยินเป็นระยะ ๆ จริงบ้างเท็จบ้าง จึงควรต้องใช้วิจารณญาณพิจารณาให้ดี แต่ถ้าเป็นเพียงเพื่อศึกษาค้นคว้าก็ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่ ดังนั้นจึงขอนำเสนอข่าวเกี่ยวกับเหล็กไหลให้ท่านได้ทราบในอีกแง่มุมหนึ่ง

588 บ้านฟ่อน หมู่ 2 ซอย 2 ต.ชมพู
อ.เมือง จ.ลำปาง 52100

8 พฤษภาคม 2540

นมัสการ พระครูกาญจนกิจจาทร (หลวงพ่อสัมฤทธิ์ คมภีโร)

กระผม นายพุทธิพงศ์ ศรีวิกุล เป็นชาวจังหวัดลำปาง ได้อ่านและทราบประวัติของหลวงพ่อ เกี่ยวกับการตัดเหล็กไหล และการฝังเหล็กไหลในตัวคน ซึ่งกระผมมีความสนใจมาก คิดว่าจะมาฝังเหล็กไหลด้วยตนเอง และจะนำคณะมาฝังเหล็กไหลด้วยในไม่ช้านี้ ส่วนเรื่องของการตัดเหล็กไหลนั้น มีอยู่ว่ามีคณะของกระผมคนหนึ่ง เขาต้องการที่จะขายเหล็กไหลเป็นจำนวนเงินมากพอสมควร และจะต้องใช้ปืนลองยิงดูทุกครั้ง เป็นการทดสอบว่าของดีจริง หรือไม่ จุด 38 ยิงเป็นจำนวน 3 นัด ผลออกมาคือ ไม่เคยยิงออกเลย เหล็กไหลมีอยู่ 2 ก้อน

ก้อนที่ 1 มีน้ำหนัก 3 บาท

ก้อนที่ 2 มีน้ำหนัก 5 บาท

เป็นเหล็กไหลโกฏิปี มีลักษณะสีสรรวรรณะ เขียวเหมือนสีของแมลงทับ และในการตัดเหล็กไหลจะต้องมี พระที่มีบารมีมาก จึงจะตัดได้ และจะต้องทำพิธีการตัดอยู่หลายอย่าง จึงกราบเรียนหลวงพ่อให้ทราบว่า มีของอยู่แล้ว แต่เวลามีนายทุนใหญ่มาลองของทุกครั้ง ไม่เคยมีใครยิงออกเลย แต่เวลาจะโอนเงินนั้น เหล็กไหลได้กลับไปอยู่กับเจ้าของเหมือนเดิม ทั้ง ๆ ที่เอาใส่ไว้ในตู้เป็นกล่องเหล็กอย่างดีไม่มีรูแม้แต่น้อยเลย พวกกระผมทำกันถึง 3 ครั้ง แต่ก็กลับไปอยู่กับคณะของพวกกระผมเหมือนเดิม

ซึ่งพวกกระผมก็ได้หาวิธีและได้นิมนต์พระมาหลายรูปแล้ว เพื่อมาตัดเหล็กไหลนี้ แต่ก็เหมือนเดิม อาจจะคงเป็นเพราะทำพิธีไม่ถูกต้องก็เป็นได้ จึงกราบเรียนให้หลวงพ่อได้ทราบในเรื่องนี้ด้วย ซึ่งหลวงพ่อเป็นผู้ที่มากด้วยบารมีและรู้วิธีการตัดเหล็กไหลได้อย่างถูกต้อง จากที่กระผมได้ศึกษามานี้จึงทำให้คิดว่า หลวงพ่อต้องทำได้อย่างแน่นอนในวิธีการตัดเหล็กไหลในครั้งนี้

ในเรื่องของการเดินทางมาที่ถ้ำแฝดนี้ กระผมจะนำคณะมาเอง โดยที่หลวงพ่อไม่ต้องออกไปไหน และการจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์มีอะไรบ้างขอให้หลวงพ่อเขียนมาบอกด้วย หรือจะให้จัดเตรียมที่ จ.กาญจนบุรี เลยก็ได้ ขอนมัสการกราบเรียนหลวงพ่อว่า เรื่องเป็นความสัจจริงทุกประการ และถ้าหากวิธีการตัดเหล็กไหลสำเร็จแล้ว พวกกระผมและคณะจะสร้างทุกอย่างที่ทางวัดถ้ำแฝดต้องการ หรือหลวงพ่อต้องการจะสร้างอะไร กระผมจะเป็นผู้จัดการให้ทุกอย่าง จึงเรียนมาเพื่อให้หลวงพ่อได้โปรดเมตตาช่วยให้พวกกระผมได้ร่วมสร้างผลบุญกุศลในครั้ง
นี้ด้วย ถ้าได้รับจดหมายจากกระผมแล้ว กระผมขอรบกวนหลวงพ่อช่วยเมตตาตอบจดหมายให้กระผมได้ทราบด้วย ส่วนเรื่องของการเดินทางพวกกระผมและคณะจะเดินทางมาพบหลวงพ่อเองครับ


471
ธรรมะ / ธรรมะกับเรา
« เมื่อ: 06 เม.ย. 2550, 03:22:27 »
(เรื่องนี้ ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ พาณิชย์-บัญชี, ฉบับ กรกฎาคม ๒๔๙๐)

ท่านภิกษุ พุทธทาส อินทปัญโญ สำนักอยู่ในสวนโมกขพลาราม ไชยา สำนักนี้เป็นที่ปฏิบัติธรรม หรืออีกนัยหนึ่ง คือเป็นฝ่ายอรัญวาสี ท่านพุทธทาส อินทปัญโญ เป็นผู้ปฏิบัติธรรม และปรากฏมาแล้วว่า ปฏิบัติมาด้วยดี ท่านได้พยายามเร้าความสนใจของพุทธบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งรุ่นใหม่ให้สนใจในแก่นของพระธรรม ดังที่ปรากฏแพร่หลายโดยบทความบ้าง โดยปาฐกถาบ้าง บทความข้างล่างนี้ก็เป็นส่วนหนึ่ง ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่บุคคลในระดับนิสิตแห่งมหาวิทยาลัย.

(บันทึกของบรรณาธิการ พาณิชย์ - บัญชี)

ท่านบอกให้ฉันช่วยเขียนเรื่องหน้าที่ และวิธีที่เราจะต้องปฏิบัติต่อ "ธรรมะ" ก็คำว่า ธรรมะนั้น โดยพยัญชนะมีอย่างเดียว. แต่โดยความหมายแล้วมีหลายอย่าง หลายขนาด; ฉันจึงไม่ทราบว่าให้เขียนธรรมะอย่างไหนแน่ กำลังไม่แน่ใจอยู่ ก็เกิดความคิดว่า ในขั้นต้นนี้เขียนเผื่อให้หลายๆ อย่างดีกว่า, เมื่อท่านเลือกชอบใจอย่างไหนแล้ว มีเวลาจึงค่อยเขียนกันเฉพาะธรรมะอย่างนั้นให้ละเอียด ก็คงสำเร็จตามประสงค์.

คำว่า "ธรรมะ" นี้ โดยศัพทศาสตร์หรือนิรุกติศาสตร์ แปลว่า สิ่งซึ่งทรงตัวมันเองอยู่ได้ หรือโดยควาหมายก็ได้แก่ สิ่งทั้งปวงนั่นเอง ไม่มีอะไรที่ไม่ถูกเรียกว่า ธรรม ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งเปลี่ยนแปลง หรือเป็นสิ่งที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงก็ตาม สิ่งทั้งหลายประเภทที่เปลี่ยนแปลง ก็ทรงตัวมันอยู่ได้ด้วยการเปลี่ยนแปลง หรือโดยพฤตินัยก็ตัวความเปลี่ยนแปลงนั่นเอง คือตัวมันเอง. ส่วนสิ่งทั้งหลายประเภทที่ไม่เปลี่ยน ก็ทรงตัวอยู่ได้ด้วยความไม่เปลี่ยนแปลง หรือตัวความไม่เปลี่ยนแปลงนั่นเอง เป็นตัวมันเอง. ทั้งสองประเภทนี้ ล้วนแต่ทรงตัวเองได้ จีงเรียกมันว่า "ธรรมะ" หรือ "ธัมม" แล้วแต่ว่าจะอยู่ในรูปภาษาบาลี สันสกฤต หรือภาษาไทย คำว่าธรรม โดยศัพทศาสตร์ ตรงกับคำไทยแท้ว่า "สิ่ง" เป็นสามัญญนาม หมายถึงได้ทุกสิ่ง และมีคุณลักษณะคือการทรงตัวมันเองตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น หน้าที่อันเราจะต้องประพฤติต่อมัน ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า เฉยๆ เสียก็แล้วกัน อย่าขันอาสาเข้าไปแบกไปทรงให้มันแทนตัวมันเลย. นี้คือคำว่า "ธรรม" โดยความหมายรวมและเป็นกลางที่สุด.

แต่คำว่า ธรรม นี้ ถูกนำไปใช้โดยขนาดและอย่างต่างๆ กัน มุ่งหมายต่างกัน เลยทำให้ฟั่นเฝือไปได้ ฉะนั้นในกรณีหลังนี้ ต้องพิจารณากันทีละอย่างเช่น :-

คำว่า "ธรรมะ" ที่มาในประโยคว่า "ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นไม่ไปทุคติ" นั้น, คำนี้หมายถึงศีลธรรมทั่วไป. หน้าที่ที่คนทั่วไปจะต้องประพฤติก็คือ ช่วยกันบังคับตนเองให้ประพฤติ. ศีลธรรมของคนทั้งหลายที่ไม่ประพฤตินั้น ไม่ใช่เพราะไม่รู้ เป็นเพราะทุกคนพากันเหยียบรู้ ขอจงช่วยกันอย่าเหยียบรู้ต่อไปอีกเลย.

คำว่า "ธรรมะ" ที่มาในประโยคว่า "บัณฑิตควรละธรรมที่ดำ ควรเจริญธรรมที่ขาว" นั้น. ธรรมคำนี้มีความหมายตรงกับคำว่า การกระทำ คือเราอาจพูดให้ชัดเจนเสียใหม่ว่า "บัณฑิตควรละการกระทำที่ดำ ควรเจริญการกระทำที่ขาว" ในกรณีที่คำว่า ธรรมะตรงกับคำว่า การกระทำ (Action) มีอรรถะเป็นกลางๆ เช่นนี้ เรามีหน้าที่ทำแต่สิ่งที่ดี.

คำว่า "ธรรม" ที่มาในประโยคว่า "เขายังห่างไกลจากธรรมนั้นอย่างกะฟ้ากับดิน แม้ว่าเขาจะฟังเทศน์ทุกวันพระ" นี้มีความหมายตรงกับสถานะหรือ State ชั้นหนึ่งๆ ตามแต่ท่านจะบัญญัติธรรมไว้เป็นชั้นๆ อย่างไร. เรามีหน้าที่ในเรื่องนี้ คือรีบเลื่อนชั้นให้ตัวเอง ให้สมกับเกียรติของตัว.

คำว่า "ธรรม" ที่มาในประโยคว่า "สังขารทั้งหลายมีความเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรม (อุปฺปาทวยธมฺมิโน)" ; คำนี้ตรงกับคำว่า ธรรมดา (Nature) หน้าที่ของเราคือบางอย่างควรเรียนและสังเกตอย่างเต็มที่ บางอย่างเอาแต่เพียงเอกเทศ.

ในประโยคว่า "พระพุทธเจ้าเกิดในโลกเพื่อประกาศสัจธรรม" เช่นคำว่า ธรรม หมายถึงกฏธรรมดา (Law of Nature) เช่นว่า ทุกข์ต้องเกิดมาจากสิ่งนั้น ความดับทุกข์มีได้เพราะสิ่งนั้น. หรือว่า สิ่งทั้งปวงต้องเป็นอย่างนั้นๆ เป็นต้น. หน้าที่ของเรา คือต้องทำตัวให้เข้ากันได้กับกฏนั้นบ้าง รู้จักนำเอากฏนั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์บ้าง. (คำว่าสัจธรรมในที่นี้ ใช้คำว่า ธัมม เฉยๆ แทนได้).

ในประโยคว่า "เสียทรัพย์เพื่อไถ่เอาอวัยวะไว้ เสียอวัยวะเพื่อไถ่เอาชีวิตไว้. ยอมเสียทั้งหมดนั้น เพื่อเอาธรรมไว้" เช่นนี้ คำว่า "ธรรมะ" หมายถึง "ความถูกต้อง" หรือ Righteousness หน้าที่ของเรา คือ เลือกเอาเองตามใจชอบในทางที่ถูกต้อง.

ในประโยคว่า "ตัดสินคดีไม่เป็นธรรมกล่าวหาไม่เป็นธรรม" เหล่านี้ คำว่า ธรรม หมายถึง ความยุติธรรม (Justice of Justness) หน้าที่ของเราคือ ระวังให้เป็นธรรม.

ในประโยคที่พระท่านสวดเมื่อสวดศพ ว่า กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา อพฺยากตา ธมฺมา "ธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศล, ธรรมทั้งหลายที่เป็นอกุศล, ธรรมทั้งหลายที่ท่านไม่บัญญัติว่า เป็นกุศลหรืออกุศล" เช่นนี้คำว่า ธรรม เป็นคำกลางๆ มีความหมายตรงกับคำว่า "สิ่ง" หน้าที่ของเราโดยทางปฏิบัติ ยังกล่าวไม่ได้ว่า คืออะไร เพราะยังไม่ได้ยุติว่าจะเอาความหมายกันตรงไหน. นี่เพื่อชี้ให้เห็นว่า คำว่า ธรรม ในภาษาบาลีนั้น กว้างขวางเพียงไร. คือถ้าไม่มีคุณนามประกอบแล้ว คำว่า ธรรมในที่เช่นนี้ไม่มีความหมายอะไรมากไปกว่าคำว่า สิ่ง นั้นเลย. สิ่ง เท่ากับ Thing.

ในประโยคว่า "เมื่อธรรมทั้งปวงถูกเพิกถอนแล้ว วาทบถทั้งหลายก็พลอยถูกเพิกถอนตามไปด้วย" (สพฺเพสุ ธมฺเมสุ สมูหเตสุ สมูหตา วาทปถาปิ สพฺเพ). คำว่า ธรรมในที่นี้ หมายถึงแต่สิ่งต่างๆ ที่อยู่ในวงของความยึดมั่นถือมั่นของสัตว์ ได้แก่คำว่า "สิ่ง" เหมือนกัน แต่กันเอามาเฉพาะประเภทที่เกี่ยวกับการยึดถือ ไม่ทั่วไปแก่สิ่งที่ไม่ยึดถือ แคบกว่าข้อข้างบนเล็กน้อย. ตัวอย่างในเรื่องนี้ เช่น เงิน ทอง ลูก เมีย ข้าวของ เป็ด ไก่ วัว ควาย ฯลฯ ถ้าใครถอนความยึดมั่นว่า เป็นสัตว์ เป็นคน ตัวตน เรา เขา ของเรา ของเขาเสียได้แล้ว เห็นเป็นสักว่า สังขารเสมอกัน ชื่อที่เรียกสิ่งเหล่านั้นก็พลอยไม่มีความหมายไปด้วยสำหรับผู้นั้น. นี้คำว่า ธรรมตรงกับ "สิ่งที่ถูกยึดถือ" คืออุปาทานักขันธ์ ที่มีความยึดถือ, หน้าที่ของเราในธรรมประเภทนี้ก็คือ คิดเพิกถอน อย่ายึดถือ จะได้สงบเย็น ไม่ขึ้นๆ ลงๆ ไปกับธรรมเหล่านั้น.

ในประโยคว่า "ธรรมเหล่าใดมีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตทรงแสดงเหตุของธรรมเหล่านั้น (เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา เตสํ เหตุํ ตถาคโต)" คำว่าธรรมในที่นี้ได้แก่ "สิ่งซึ่งเป็นผล" ซึ่งมีเหตุปรุงแต่งขึ้น และกำลังบังคับให้เป็นไปตามอำนาจของเหตุ สิ่งซึ่งเป็นผล หรือ Phenomena เหล่านี้ เรามี หน้าที่จะต้องค้นหาเหตุของมันให้พบ แล้วจัดการกับเหตุนั้นๆ ตามที่ควรจะทำ. เช่นทุกข์เป็นผลของความทะยานอยาก เราจัดการสับบลิเมตหรือเปลี่ยนกำลังงานของความอยากนั้น เอามาใช้เป็นกำลังงานของความรู้สึกทางปัญญา ทำไปตามความรู้สึกที่ถูกที่ควร ไม่ทำตามอำนาจของความอยากนั้นๆ ทุกข์ก็น้อยลงและหมดไปในที่สุด

472
การตัดเหล็กไหล



เหล็กไหลตัด คือ เหล็กไหลประเภท ?ธาตุสำเร็จ? ที่กระจัดกระจายอยู่ในส่วนต่าง ๆ ตามป่าเขาลำเนาไพร ที่สามารถไหลไปตามส่วนต่าง ๆ ของซอกถ้ำซอกเขา เกิดจากเทพพรหมในระดับ ?รูปพรหม? อาศัยเป็นก้อนธาตุในรูปทรงแบบต่าง ๆ ลักษณะแกร่งพอสมควร อาศัยธาตุเหล็กเป็นธาตุหลัก สีออกค่อนข้างเขียวจนถึงสีปีกแมงทับ ขาวเงินยวง หรือหลายสีในก้อนเดียวกัน รูปทรงเป็นไปตามที่เทพปรารถนา สีสันแตกต่างกันไป เนื้อค่อนข้างมันวาว สามารถยืดได้หดได้ และลื่นไหลแทรกไปในวัตถุแข็งทึบได้ แต่ไม่สามารถล่องหนไปในอากาศได้ด้วยตนเอง ต้องอาศัยผู้ที่มีวิชาอาคมเรียกเอา หรือติดต่อกับผู้ที่เฝ้ารักษาอยู่ คือ เทพ นาคราช คนธรรพ์ อสูร ยักษ์ ฤาษี เป็นต้น เมื่อผู้เฝ้ารักษายินยอมให้แล้ว ผู้มีวิชาอาคมจึงใช้วิชาตัดเอาเรียกเอา

พิธีกรรมตัดเหล็กไหล

การตัดเหล็กไหลเป็นพิธีกรรมที่สืบทอดกันมาแต่โบราณกาล อุปกรณ์ที่จะใช้ประกอบพิธีกรรมจึงอาจจะมีสิ่งแตกต่างกันไปตามบุรพาจารย์ผู้กำหนด เพราะส่วนสำคัญในการตัดเหล็กไหลบางอาจารย์ก็ใช้ หวายผูกลูกนิมิต ใบตาล เส้นผมสาวพรหมจารีย์ ขวานเทียนเข้าพรรษา ประจำเดือนของทารกแรกเกิด เป็นต้น

ผู้จะทำพิธีตัดเหล็กไหล ต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรมประพฤติปฏิบัติรักษาศีลได้มั่นคง ไม่มี่ จิตละโมบ คือต้องขออนุญาตจากเทพผู้ดูแลรักษาเสียก่อน เมื่อได้รับอนุญาตจึงค่อยทำพิธีตัดเอา มิ ฉะนั้นหากเราขืนด้วยกำลัง หมายแย่งชิงเอาโดยพละการ ถือดีในพระเวทย์ก็อาจมีเพทภัยถึงแก่ชีวิต หรือเกิดความขัดแย้งในหมู่คณะจนถึงขั้นวิบัติเอาได้ ด้วยอิทธิฤทธิ์ของเทพผู้รักษาเหล็กไหลนั้นเอง

พิธีกรรมในที่นี้จึงเป็นเพียงแนวทางสำหรับผู้สนใจ ในพระเวทย์เพื่อใช้ในการนี้โดยเฉพาะ ขอให้ท่านได้ลองพิจารณาศึกษาดู เพราะโอกาสจะเรียนรู้ในเรื่องราวเหล่านี้จากครูบุรพาจารย์ผู้รู้นั้นหายาก

อุปกรณ์ในการตัดเหล็กไหล

1.สายสิญจ์จากปากหลุมลูกนิมิตร

2.ไม้ตาขอ 9 อัน ใหญ่พิเศษ 1 อัน

3.มีดหมอลงอาคม เพื่อใช้ตัดเหล็กไหล

4.น้ำผึ้งป่า

5.คาถาเรียกเหล็กไหล

6.คาถาผูกเหล็กไหล

7.คาถาตัดเหล็กไหล

8.คาถาอัญเชิญเหล็กไหล

เครื่องบวงสรวง

1.บายศรีเทพ บายศรีพรหม อย่างละ 1 คู่ สำหรับตั้งศาลเอก

2.ฉัตรเงิน ฉัตรทอง 9 ชั้น 4 ทิศ

3.ตั้งศาลเอก 1 ศาล ศาลเพียงตา 4 ทิศ

4.ผลไม้ 7 อย่างทั้ง 4 ศาล

5.อาหารเจ พร้อมผลไม้ชุดใหญ่ หน้าศาลเอกพร้อมบายศรี

6.บายศรีตอง ตั้งที่ศาลเพียงตาแห่งละ 1 คู่

7.เครื่องกระยาบวช ข้าวตอกดอกไม้

8.อาหารคาวหวาน เช่น หัวหมู เป็ด ไก่ ปลา เนื้อ มะพร้าวอ่อน 1 คู่ กล้วย้ำว้า 1 คู่ ขนมต้มแดง-ตัมขาว ถั่วชนิดต่าง ๆ งาดำ งาขาว ขนม ผลไม้ เหล้าขาว เหล้าแดง หมากพลู บุหรี่ สำหรับเทวดาที่ถือศีล 5 ที่ยังชอบเหล้ายา ปลาปิ้ง ของสด ของคาว จัดแยกไว้ที่หน้าศาลเอกอีกโต๊ะต่างหาก

เมื่อถึงเวลาก็จุดธูป ๙ ดอก เทียนขี้ผึ้งแท้สีขาว ๙ เล่ม

ตั้งนะโม ๓ จบ

กล่าวสัคเคฯชุมนุมเทวดา

จบแล้วต่อด้วยบทสวดดังนี้

สัพเพธัมมานาลัง อภินิเวสายะ ๓ จบ

เอกายะโน อะยัง ภิกขเว มัคโค สัตตานัง วิสุทธิยา>>
>>

โองการบวงสรวง




>>
QUOTE>>
***ข้าแต่เทพยดาผู้มีความเป็นทิพย์มีฤทธานุภาพเหนือกว่ามนุษย์ทั้งหลายตลอดจนพระภูมิ
เจ้าที่ ณ บริเวณนี้และบริเวณใกล้เคียง ตลอดจนเจ้าป่า เจ้าเขา ภูมิเทวดา รุกขเทวดา ท่านผู้เป็นหัวหน้าพร้อมบริวาร ข้าพเจ้าขอเชิญทุกท่านมารับเครื่องเซ่นสังเวย อาหารคาวหวาน ขอเชิญท่านทั้งหลายรับประทานได้ตามอัธยาศัย ขอเทพยาดาทั้งหลายที่ข้าพเจ้าออกนามมาข้างต้น และมิได้ออกนามเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้เมตตาแก่ ข้าพเจ้าอวยชัยให้พรแก่ข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้ามีแต่ความสุขความเจริญ ทำกิจการงานใดขอให้สำเร็จตามที่ใจมุ่งหมาย พร้อมกันนี้ ข้าพเจ้าและคณะขอชมบารมีเหล็กไหลและขออนุญาตอันเชิญเหล็กไหลไปสักการะบูชา เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตัวข้าพเจ้าและครอบครัวสักระยะหนึ่ง ในอนาคตถ้าเหล็กไหลก้อนนี้จะทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ ทำประโยชน์ให้แก่พระพุทธศาสนา ทำประโยชน์ให้แก่มนุษย์ด้วยกัน ข้าพเจ้าจะนำไปให้เขาบูชา เมื่อสมปรารถนาแล้วเงินที่ได้มานั้น ข้าพเจ้าจะทำประโยชน์แก่ชาติและเพื่อนมนุษย์ 40% ทำประโยชน์ในพระพุทธศาสนา 40% อีก 20% ขอไว้ใช้เป็นส่วนตัว

หากข้าพเจ้าทรยศคดโกง ไม่ทำตามสัจจะสาบานไว้ ขอเทวดาและดวงวิญญาณรวมทั้งบริวารของท่านผู้มีฤทธิ์ทั้งหลาย จงลงโทษข้าพเจ้าให้พบกับความวินาศดับศูนย์ ล่มจมถึงแก่ชีวิต***>>


การที่จะต้องให้สัจจะสาบานแบ่งผลประโยชน์แก่ประเทศชาติและพระพุทธศาสนามากกว่า ผลประโยชน์ส่วนตัว ก็เพื่อให้เจ้าของเหล็กไหล หรือผู้ดูแลเหล็กไหลก้อนนั้นมีใจเมตตา ยอมมอบให้กับคณะผู้ค้นหา เพราะอาจจะเห็นว่า จะดูแลไว้ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ถ้าให้คนเหล่านี้ได้ไปและขายได้ ก็จะได้บุญจากคณะค้นหาที่สาบานไว้จะทำบุญ 80% จึงทำให้เทพผู้รักษานั้นไม่หวงสมบัติหรือเสียดายอย่างไร เพราะอยากได้บุญ

แต่ถ้าเทพผู้รักษาตรวจดูด้วยฌาณและมองเห็นว่าในอนาคต คณะค้นหาจะเกิดความโลภ ไม่ทำตามสัจจะที่ให้ไว้ เพื่อไม่ให้เป็นบาปกรรมที่ต้องฆ่าคน ท่านก็อาจจะไม่ มอบเหล็กไหลให้ก็ได้ เพราะท่านเหล่านี้ย่อมมีอำนาจที่จะพาของเหล่านี้ล่องหนหรือซุกซ่อนหาที่ใหม่ได้ หรืออาจจะกำบังตาก็ได้

ด้วยเหตุนี้ผู้มีวิชาอาคมที่มีพลังจิตแก่กล้า บางครั้งก็จะถือโอกาสเข้าแย่งชิงด้วยความโลภ เพียงว่าใครจะเก่งกว่ากันระหว่างเทพหรือวิญญาณผู้รักษาเหล็กไหลหรือเจ้าของเหล็กไหล นั้นจะอนุญาตหรือไม่ ก็ต้องทำการเสี่ยงทายกันด้วยไหวพริบปฏิญาณอีกครั้งโดยอธิษฐานกล่าวออกมาดังๆ ว่า

"ข้าพเจ้า นาย.......นามสกุล.........ขอเหล็กไหลที่อาศัยอยู่ในก้อนหินนี้ ถ้าท่านผู้เป็นเจ้าของเหล็กไหลก้อนนี้หรือท่านผู้ดูแลเหล็กไหลก้อนนี้ อนุญาตให้แก่ข้าพเจ้าขอให้ได้ยินเสียงว่า ให้ (เว้นระยะนิดหนึ่ง แล้วพูดว่า "ให้" ) เป็นการพูดเอง เออเอง วิธีนี้ตามตำราไสยศาสตร์โบราณนิยมใช้กันมาก เพราะถือเคล็ดที่ว่า ถ้าหูเราได้ยินบอกว่า "ให้" ก็ ถือว่าใช้ได้ แสดงว่าเจ้าของอนุญาตแล้ว

วิธีล้อมวงสายสิญจน์ป้องกันอันตราย

เมื่อตั้งใจจะเรียก "เหล็กไหล" ออกมาจากก้อนหิน ก็ต้องป้องกันตนเองจากอันตรายต่างๆ เสียก่อนเพราะภัยจากเจ้าของผู้ดูแลเหล็กไหล บริวาร หรือวิญญาณที่เป็นมิจฉาทิฏฐิฺมาแกล้งทำลายพิธีกรรม ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ เพราะฉะนั้นเครื่องลางของขลังที่มีอยู่ก็ต้องพกติดตัวไว้เสมอ

การวงสายสิญจน์นั้น เมื่อพบเห็นจุดที่สงสัยว่ามีเหล็กไหลอยู่ ก็ต้องวงสายสิญจน์ล้อมรอบก้อนหินนั้นให้ห่างจากตัวเราหรือตัวเราหรือหมู่คณะประมาณ 1 วา วงล้อมจะเล็กหรือใหญ่ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนคนหรือคณะที่มา ถ้ามาเพียงคนเดียวไม้หลักที่จะปักผูกสายสิญจน์ก็น้อย วงก็เล็ก ถ้าคณะใหญ่มากก็ต้องวงสายสิญจน์ให้กว้างพอกับคณะที่มา

อุปกรณ์ในการล้อมวงสายสิญจน์

1. สายสิญจน์ จากปากหลุมลูกนิมิตร ใช้สำหรับผูกเหล็กไหล

2. ไม้ตาขอ 9 อัน หรือ 19 อัน ให้ใช้ไม้ในป่าแถวนั้น แต่ถ้าให้เลือกไม้ที่มีรูปตาขอหรือลักษณะคล้ายตาขอ เพื่อเอาเคล็ดว่า "ขอนะ ขอเถอะ ขอแล้ว ขอครับ ขอค่ะ ขอเล็ก ขอน้อย ขอมาก ขอหมด" รวม 9 ขอ สำหรับขอที่ 10 เป็นไม้ขอพิเศษที่มีขนาดใหญ่กว่าทุกอันและให้เลือกเนื้อไม้ที่แข็งกว่าทุกอัน นำมาเขียนอักษรขอมหรือพระคาถาลงไปเป็นคำว่า "เหลือ" เขียนเสร็จแล้วจะต้องปลุกเสกด้วยคาถาชูชกดังนี้

"นะโม 3 จบ"

"ปะกาเสนโต ตาชูชกคนโซ ขอใครไม่ได้ ต้องให้ กอ ขอ ขอ"

ตาขอพิเศษอันนี้ให้พกติดตัวตอนทำพิธีเป็นเคล็ดว่า "เหลือขอ" เพราะคำว่าเหลือขอนี้คงจะมีความหมายว่า "ลูกเหลือขอ" พ่อแม่ก็ส่ายหน้า ครูบาอาจารย์ก็ส่ายหน้าด้วยเอาไว้ไม่อยู่ มันเหลือขอจริงๆ

ช้างที่ว่าตัวใหญ่ที่สุดในโลกของประเภทสัตว์บก แต่ก็แพ้ตะขอหรือ ตาขอ ของควายช้างที่สับลงบนหัวแต่บางครั้งช้างมันก็รั้นและดื้อเอาการ เอาตาขอสับเท่าใดก็ไม่ ยอมอยู่ในคำสั่ง ไม่ยอมทำตามควาญช้างสั่ง ก็เรียกว่า "เหลือขอ" เหมือนกัน และที่ สำคัญไม้เหลือขอนี้ยังเสกด้วยพระคาถานักขอเอกของชูชกอีกด้วย ดังนั้นจะขออะไรใครก็คงจะสำเร็จง่ายดาย

ดังนั้นการทำพิธีไม้เหลือขอนี้ เพื่อว่าใครๆก็ส่ายหน้าไม่อยากยุ่งเกี่ยว วิญญาณทั้งหลายก็รั้งเราไว้ไม่อยู่ เสร็จแล้วน้ำตาขอทั้ง 9 อันมาปักในดิน ตอนปักต้องท่องคาถากำกับไปด้วย แล้วจึงนำด้ายสายสิญจน์มาล้อม ผูกบนไม้ตาขอเพื่อป้องกันไม่ให้สายสิญจน์ตกดิน เพราะสายสิญจน์เปรียบเหมือนกำแพงบ้านกำแพงเมือง ต้องอยู่กว่าพื้นดิน ถ้านั่งให้อยุ่ในระดับศรีษะ

ขณะที่ปักไม้หลักตาขอให้สวดบริกรรมดังนี้

"พุทโธ พุทธะ โอม เมอะมะอุ ปักดวงจิตดวงใจไว้กับแม่พระธรณี ลูกฝากหลักชัย คุ้มภัยให้ลูก หมู่มารมาเป็นแสนแม่ยังช่วยให้พุทธพ้นภัย ทา สี เน ปะ วิ ขะ สะ อะ เม อุ อันเชิญแม่พระธรณีมารักษาลูก"

ขณะนำด้ายสายสิญจน์มาผูกกับหลักก็ให้บริกรรมพระคาถาอีกบทหนึ่งดังนี้

"พุทผูก ธะมัด สังรัด มิตรึง "

"พุทธังประสิทธิเม ธัมมังประสิทธิเม สังฆังประสิทธิเม"

ผูกสายสิญจน์ล้อมเป็นวงกลมเวียนขวาหรือเวียนตามเข็มนาฬิกา

ขณะล้อมสายสิญจน์ก็ให้สวดพระคาถาอีกบทหนึ่งดังนี้

"พุทโธ พุทธัง นะกันตัง อะระหัง พุทโธ

ธัมโม ธัมมัง นะกันตัง อะระหัง ธัมโม

สังโฆ สังฆัง นะกันตัง อะระหัง สังโฆ

นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ พามานาอุ กะสะนะทุ

พุทธะกันนะ ธัมมะกันนะ สังฆะกันนะ"

# อิมัสมิงมงคลจักวาฬทั้ง 8 ทิศ พุทธะประสิทธิเป็นกำแพงแก้ว 7 ชั้น ป้องกันล้อมรอบ ขอบมณฑล อิระชาคะตะระสา กายาดูแลรักษาด้วย ธัมมังประสิทธิ์ สังฆังประสิทธิ

# นะโม นะมัด กำจัดออกไป ศัตรูทั้งหลายอย่าใกล้เสมามณฑล
(พระคาถาท่อนท้ายนี้ สมเด็จย่าของปวงชนชาวไทยทรงท่องเป็นประจำ)

เมื่อทำการล้อมสายสิญจน์เพื่อเป็นกำแพงแก้วป้องกันอันตรายทั้งปวงจากอมนุษย์ทั้งหลาย
แล้ว ยังช่วยป้องกันคุณไสยที่ปล่อยมาจากผู้ต้องการทำลายพิธีได้อีกด้วย

ผู้ทำพิธีควรนุ่งขาวห่มขาวรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ต่อหน้าพระพุทธรูปหรือเครื่องรางของขลังที่นำมา เพราะเมื่อล้อมวงสายสิญจน์เรียบร้อยแล้ว ก็สวดมนต์เจริญภาวนา นั่งกรรมฐานเพิ่มพลังจิตให้เข้มแข็งก่อนที่จะทำพิธีหาเหล็กไหลกันต่อไป เพราะอย่างน้อยจิตต้องทรงในระดับอุปจารสมาธิซึ่งเป็นสมาธิระดับเกือบปฐมญาณ ซึ่งพอจะสัมผัสรับรู้หรือเห็นนิมิตต่างๆ ได้ระดับหนึ่ง แต่อาจทรงอยู่ไม่นานนัก

เมื่อจิตสงบดีแล้วก็กำหนดให้เห็นภาพเหล็กไหลหรือของขลังที่อยู่นั้นเคลื่อนตัวออกมา ถ้าเป็นเหล็กไหลให้ใช้เทียนชัยหนัก 9 บาท เป็นเทียนที่ทำจากขี้ผึ้งแท้ ไม่ใช่ทำจากไขมันวัวหรือควาย เพราะไขมันสัตว์ถือเป็นของต่ำ นอกจากรังผึ้งเท่านั้นที่ถือว่าเป็นของสูง ยิ่งไขมันน้ำมันจากตัวเหี้ยห้ามนำมาใช้ทำพิธีเด็ดขาด เพราะถ้างานมงคลใดถ้าใช้เทียนที่ทำจากตัวเหี้ยแล้ว ในคัมภีร์สมุดข่อยโบราณกล่าวไว้ว่า น้ำมันเหี้ย ไขมันเหี้ย ใช้ล้างอาถรรพ์ไสยศาสตร์ของฝ่ายตรงข้ามฉะนั้นเวลาทำเทียนชัยอย่าได้เอาของใครเป็นอัน
ขาด ต้องทำด้วยตนเอง เพราะถ้ามีคนอิจฉาหรือต้องการทำลายพิธีหรือแย่งผลประโยชน์ กัน พิธีกรรมที่เตรียมไว้ก็จะถูกทำลาย หรือฝ่ายตรงข้ามส่งคนแทรกซึมมาช่วยจัดหาเทียนชัยไว้ก็จะถูกลงอาคมคัดของขลังให้เสื่อ
มสลาย การทำพิธีก็จะไม่สำเร็จหรือมีอุปสรรค ฝ่ายตรงข้ามก็จะสวมรอยเข้าไปเอาเหล็กไหลหรือตัดเหล็กไหลไปได้

สำหรับความรู้ในเรื่องน้ำมันเหี้ยแล้ว ไสยศาสตร์ทางแขกหรือคุณไสยทางแขกนั้น สามารถแก้ไขได้ทุกชนิดโดยไม่ยากเพราะในคัมภีร์โบราณ 188 ปี กล่าวไว้ว่า ใช้น้ำมันหมู หรือน้ำมันเหี้ย ปลุกเสกด้วยคาถาถอน ทาทับของที่แขกทำ จะเสื่อมทันที

น้ำมันพรายที่อาจารย์แขกทำให้ศิษย์มาทาสาว พอแก้ด้วยน้ำมันหมูผสมน้ำมันเหี้ย วิญญาณผีพลายแขกร้องเสียงลั่น หนีไปสิงร่างคนที่อาจารย์แขกทำ แล้วอาละวาดจนข้าวของพังเสียหายไปหมด ดังนั้นเมื่อจะทำพิธีใหญ่ก็ควรจะระวังเรื่องเล็ก ๆ น้อย เหล่านี้ด้วย เพราะจะทำให้พิธีเสียได้


473
รูปทรงของเหล็กไหล

เหล็กไหลย่อมมีรูปทรงพรรณสัณฐานที่แตกต่างกันไปตามจริตและความพึงพอใจของผู้รักษา แต่เท่าที่พบเห็นและเล่าสืบทอดกันมาแต่โบราณ พอจะประมวลได้ดังนี้

1. กลมแบน 5. ดอกบัวตูม 9. แคปซูลยา

2. ผลองุ่น 6. งาช้าง 10. เต่า

3. ฟักเขียว 7. ลักบี้ 11. จาวตาล

4. กลมแบบลูกบอล 8. หยดน้ำ

สีสันของเหล็กไหล

ดังที่ได้เคยกล่าวไว้ในตอนต้นแล้วว่า สีสันของเหล็กไหลนั้นจะบ่งบอกถึงบุญบารมีของกายทิพย์เดิมหรือผู้รักษาเหล็กไหล ซึ่งเป็นผู้ที่มีบารมีจากภพภูมิที่แตกต่างกันไป ซึ่งอาจจะเป็น พรหม ฤาษี เทวดา คนธรรพ์ เพชรพญาธร ยักษ์ ที่เข้าไปจับจองเป็นเจ้าของ ทำให้เกิดอิทธิฤทธิ์ในขั้น ล่องหนหายตัว ยืดหดเองได้ สีสันต่าง ๆ ที่พบเห็นบ่อยนั้นได้แก่

1.สีเขียวปีกแมลงทับ หรือ เขียวมรกต

2.สีเขียวตองอ่อน

3.สีน้ำตาลอ่อนหรือท้องปลาไหล

4.สีเปลือกมังคุด หรือ สีน้ำตาลไหม้

5.สีเงินยวง หรือ สีขาวเงินในเบ้าหลอม

6.สีทองลูกบวบ

7.สีนิลดำสนิทแวววาว

8.สีลูกหว้า หรือ ม่วงเข้ม

ดังนั้น สีสันของเหล็กไหลอาจแปรเปลี่ยนได้ตามกาลเวลา เพราะเหล็กไหลเมื่อได้กระจัดกระจายไปอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของโลก ซึ่งมักจะเป็นสถานที่สงบ อากาศเย็นชุ่มชื้น ทั้งใต้พื้นน้ำ ตามถ้ำ ป่าเขา ลำเนาไพร เพื่อแสวงหาอริยะสัจจธรรมมานานนับโกฏฐ์ปีก็มี การเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ ย่อมมีผลกระทบต่ออาณาจักรของเหล็กไหล จึงจำเป็นต้องมีการเคลื่อนย้ายที่อยู่อาศัย เสาะแสวงหาสถานที่หรือสร้างอาณาจักรขึ้นมาใหม่ ฉะนั้นสี สันของเหล็กไหลอาจเปลี่ยนแปลงได้ด้วยเหตุดังกล่าว คือ

# สีสันขึ้นอยู่กับสภาพสิ่งแวดล้อม ภูมิประเทศ ดินฟ้าอากาศ เช่น แร่ธาตในบริเวณนั้น อากาศหนาวจัด อากาศร้อนจัด ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและสีสันที่แตกต่างกันออกไป เพื่อการอำพรางตัว ปรับตัวตามอุณหภูมิ

# สีสันเปลี่ยนแปลงไปตามจริตของเทพเทวาในระดับต่าง ๆ อาจจะเนื่องด้วยอำนาจลี้ลับของวิญญาณแห่งธรรมชาติบันดาลให้เป็นไปในสีต่าง ๆ หรือ ผู้ที่ครอบครองเหล็กไหล หมั่นฝึกฝนปฏิบัติ เจริญสมาธิภาวนาอยู่เนืองนิตย์ แล้วแผ่เมตตาบุญบารมีของการปฏิบัตินั้นให้กับเหล็กไหล จะทำให้บารมีของธาตุกายสิทธิ์นั้นเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ สีสันต่าง ๆก็สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้เหมือนกัน

# สีสันเกิดจากส่วนผสมของสีหลัก ๆ ผสมกัน ซึ่งเป็นความลึกลับอย่างหนึ่งของธรรมชาติ เหล็กไหล


>>
สีสันและคุณประโยชน์

ดังได้กล่าวมาแล้วว่า สีสันของเหล็กไหลนั้นจะบ่งบอกถึงบุญบารมีของกายทิพย์เดิมหรือผู้รักษาเหล็กไหล บุญฤทธิ์ของเทพพรหม ฤาษี หรือ คนธรรพ์ บังบด ครุฑ นาค ยักษ์ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหล็กไหล ผู้ เป็นสัมมาปฏิบัติ จนมีฤทธิ์อำนาจจากการปฏิบัตินั้น ย่อมสามารถเปล่งสีแสงต่าง ๆ เข้าไปในวัตถุธาตุที่ตนต้องการ ทั้งนี้ย่อมเป็นไปตามลำดับชั้นของภูมิจิตภูมิธรรมที่ได้ฝึกฝนมา

1.สีเงินยวง เหล็กไหลชนิดนี้มีอริยเทพ อริยพรหมในระดับ อรูปฌาณ รักษาอยู่ เป็นเหล็กไหลที่ มีบารมีธรรมในชั้นสูง พบมากในแถบที่มีอากาศเย็นจัด พวกลามะทิเบตมักใช้พกติดตัว จึงพบมากในเขตเทือกเขาสูงที่มีหิมะปกคลุม เช่นประเทศทิเบต จีน แถบภาคเหนือของไทย ลาว

ดีเด่นทางเมตตามหานิยม คงกระพันชาตรี แคล้วคลาด และล่องหนหายตัวได้ ชอบช่วยเหลือผู้ปฏิบัติธรรม หรือดลใจให้ผู้ครอบครองมีจิตใจฝักใฝ่อยู่ในการสร้างบุญสร้างกุศล

เหล็กไหลชนิดนี้จัดได้ว่า เป็นเหล็กไหลที่มีบารมีธรรมสูงสุดในบรรดาผู้ครอบครองเหล็กไหลทุกชนิด สมัยโบราณมักจะนำไปจัดสร้างพระพุทธรูปหรือเครื่องรางของขลังในสมัยโบราณ ดังนั้นเหล็กไหลชนิดนี้จึงมักจะอยู่ในความครอบครองของนักบวชต่าง ๆ เช่น ฤาษี ชีไพร ภิกษุสงฆ์ผู้ท่องเที่ยวหาความวิเวกตามป่าเขา

2.สีเขียวปีกแมลงทับ เหล็กไหลชนิดนี้มี อริยเทพ อริยพรหม ในระดับ รูปฌาณ เป็นผู้ดูแลรักษา เพื่อมอบให้กับผู้ที่มีบุญบารมี และผู้ที่กำลังประพฤติปฏิบัติอยู่ในบุญกุศล เพื่อแสวงหาความหลุดพ้นนั้น ส่วนใหญ่จะมีบริวารเป็นจำนวนมากคอยอารักขาหลายชั้น

ผู้พบเห็นส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประพฤติธรรม ที่บังเอิญผ่านเข้าไปพบเข้าโดยบังเอิญ หรือเกิดจากการลองใจของเทพผู้รักษาเหล็กไหลก็แล้วแต่ บุคคลธรรมดาทั่วไปอย่าหมายว่าจะครอบครองเป็นเจ้าของได้โดยง่าย

ดีเด่นในทุก ๆ ทาง ไม่ว่าเป็นเมตตามหานิยม โชคลาภ แคล้วคลาดกันภัย ล่องหนหายตัว มหาอุด คงกระพัน ยืดได้หดได้ เล่นกับไฟ กินน้ำผึ้ง

3.สีทอง หรือ สีน้ำตาลอ่อน เหล็กไหลชนิดนี้จะมีเทวดาจำพวกคนธรรพ์และเหล่าเพชรพญาธร เป็นผู้ดูแลรักษา มีฤทธิ์อำนาจใกล้เคียงกับเหล่าพญานาค แต่มีฤทธือำนาจพิเศษกว่าคือสามารถที่จะลื่นไหลไปมาได้ สามารถที่จะกำบังกายได้ มีอยู่ตามป่าเขาทั่วไป

ดีเด่นทางด้านเมตตามหานิยม โชคลาภ และความรักเด่นเป็นพิเศษ

4.สีเขียวอมดำ เหล็กไหลชนิดนี้มี อริยะเทพ อริยะพรหม ในระดับ รูปพรหม เป็นอริยะธรรมในระดับสูง ที่มุ่งบำเพ็ญบารมีรักษาพระพุทธศาสนา จะอยู่เฝ้ารักษาพระบรมสารีริกธาตุหรืออรหันต์ธาตุที่สำคัญไว้ จึงมักจะปรากฏเป็นลูกไฟดวงใหญ่เป็นสีแสงคุ้มครองรักษาธาตุศักดิ์สิทธิ์ ไม่ให้ผู้คนเข้าไปรบกวน

เด่นทางด้านอิทธิ์ฤทธิ์ เนรมิตภาพมายา ส่งเสริมผู้ใฝ่ในการปฏิบัติธรรมในรูปแบบการชี้แนะผ่านทางนิมิตรสมาธิ หรือความฝัน จัดเป็นเหล็กไหลที่หาได้ยากมากชนิดหนึ่ง

5.สีชมพู เหล็กไหลชนิดนี้มี อริยเทพ อริยพรหม ในระดับ รูปฌาณ รักษาอยู่ เป็ไหลที่มี บารมีธรรมในระดับสูงรองลงมาจาก อรูปฌาณ พบมากในเขตป่าเขาที่มีความชุ่มชื้น มักอยู่ตามถ้ำภูผาที่ลึกลับ พบเห็นได้ยาก นอกจากผู้มีบารมีธรรมเข้าถึงสัจจธรรมเท่านั้น

ดีเด่นทางด้านเมตตามหานิยม โชคลาภ แคล้วคลาด กันภัย ช่วยเหลือผู้เป็นสัมมาทิฏฐิให้สำเร็จในสิ่งที่อธิษฐานไว้ โดยไม่ขัดกับกฏแห่งกรรม

6.สีเหลือง เหล็กไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของภูมิจิตภูมิธรรม ของเหล่าอริยเทพ อริยพรหม ในระดับรูปฌาณ ที่ปรารถนาพุทธภูมิในระดับ พระปัจเจกพุทธเจ้า สีสันเหมือนกับแสงนวลของพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ มักแฝงเร้นในที่สงบด้วยป่าเขา ลำเนาไพร ถ้ำคูหาที่สงบเยือกเย็นบนภูเขาสูง ๆ เรียกลมเรียกฝนได้ มีอิทธิ์ฤทธิ์ทำให้เกิดปาฏิหาริย์ได้มากมาย เช่น ดวงรัศมีกลมใหญ่ส่องสว่างทั่วภูเขา จะพบเห็นได้ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น

เหล็กไหลประเภทนี้สามารถอธิษฐานขออาราธนาบารมีจากพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอรหันต์ได้ แต่จะไม่มีเทพเข้าไปสิงสถิตย์อยู่ แต่เทพพรหมในระดับจ่าง ๆ จะเข้าไปอธิษฐานของบารมีและเฝ้ารักษาอยู่ภายนอกเท่านั้น ไม่มีใครจะบังคับหรืออัญเชิญท่านด้วยอิทธิ์ฤทธิ์หรือวิชาคาถาอาคมใด ๆ เว้นแต่ขอชมบารมี ขอคำแนะนำในการปฏิบัติธรรมให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป โดยมาปรากฏในลักษณะนิมิตรต่าง ๆ ในขณะนั่งสมาธิ

7.สีฟ้าอ่อน เหล็กไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของ อริยะเทพ ในระดับมหาเทพชั้นสูง ผู้ครอบครองเหล็กไหลชนิดนี้ จะเป็นผู้มีบารมีเดิมที่เคยเกี่ยวข้องกันมาก่อน เพื่อช่วยส่งเสริมด้านบารมีธรรมทั้งนักบวชและฆราวาสให้เป็นผู้สอนธรรมในระดับปานกลาง
จนถึงระดับสูงขึ้นไป

มีฤทธิ์อำนาจในการขจัดปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บ ดับพิษร้อน ป้องกันภูติผีปีศาจ แต่มีขอบเขตและรัศมีที่จำกัด สามารถล่องหนหายตัวได้ กันฟ้าผ่า มีความเย็นจนสามารถกำจัดไฟได้ในรัศมีของมัน

8.สีน้ำตาลอมแดง เหล็กไหลชนิดนี้มีพวก นาค นาคา ผู้บำเพ็ญศีลเฝ้ารักษาอยู่ จึงมีฤทธิ์อำนาจในทางความร้อนแรงด้วยพิษแห่งนาคทั้งหลาย จึงทำให้เหล็กไหลประเภทนี้มีสีออกทางน้ำตาลเข้มและน้ำตาลอมแดง

มีฤทธิ์อำนาจในทำลายล้างพวกมนต์ดำ อวิชชา ป้องกันภูติผีปีศาจได้

9.สีดำเหมือนนิล เหล็กไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของ เหล่าเทพ คนธรรพ์ บังบด เพชรพญาธร ยักษ์ ผู้ปรารถนาจะสร้างบารมีให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป แต่ยังติดอยู่ในระดับโลกียฌาณ คือยังมีความ โลภ โกรธ หลง ติดอยู่ จึงทำให้มีบารมีทางธรรมน้อยกว่าเหล็กไหลชนิดอื่น ๆ

มีฤทธิ์อำนาจทางการคุ้มครอง แคล้วคลาดกันภัย เป็นมหาอุด คงกระพัน

10.เจ็ดสีประกายรุ้งเหล็กไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของ อริยะเทพ อริยะพรหมผู้รักษาเหล็กไหล ที่ปฏิบัติจนสภาวะจิตเป็นสีประกายรุ้งรัศมีสวยสดงดงาม เป็นธาตุที่หาได้ยากที่สุดและมี อำนาจครอบจักรวาลประหนึ่งแก้วสารพัดนึก
แต่สิ่งที่จะอธิษฐานนั้นจะสำเร็จได้โดยไม่เกินอำนาจของกฏแห่งกรรมตามวาสนาเท่านั้น

น้ำหนักของเหล็กไหล

1.น้ำหนักเกินตัวหลาย 10 เท่า

2.น้ำหนักเบากว่าตัวเองหลายเท่า

3.น้ำหนักเท่าตัว

4.ไร้น้ำหนักดุจปุยฝ้าย กรณีเป็นเหล็กไหลที่มีมายามาก หากเอาใส่แก้วน้ำแล้วจะมองไม่ค่อยเห็น เพราะจะกลมกลืนไปกับน้ำเลย

อภินิหารของเหล็กไหล

การแสดงอำนาจอิทธิฤทธิ์ของเหล็กไหลนั้น ย่อมมีอภินิหารล้ำลึกในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ซ้ำกัน สุดแท้แต่องค์เหล็กไหลปรารถนาจะแสดงให้ชม ซึ่งพอจะประมวลอภินิหาริย์ไว้เป็นแนวทางศึกษาดังนี้

1.อยู่นิ่งได้

2.กลิ้งตัวเองให้เคลื่อนไหวได้

3.หายตัวได้

4.ปรากฏตัวได้

5.เผาทำลายตัวเองได้

6.อาวุธปืนยิงไม่ออก

7.ถอดวิญญาณออกไปได้

8.ยืดหรือหดได้

9.ทำให้น้ำร้อนกลายเป็นน้ำเย็นในชั่วพริบตา

10.กินดินปืน ฟอสฟอรัส และ ไฟได้

11.แช่ทำน้ำมนต์เพื่อรักษาโรคบางชนิดได้

12.ส่งกลิ่นหอมได้

13.เพิ่มหรือลดน้ำหนักตัวเองได้

14.เหล็กไหลบางองค์มีคุณสมบัติเป็นแม่เหล็กได้

เหล็กไหลของแท้ที่สามารถขายได้ก้อนละหลายสิบล้านไม่ว่าในสมัยก่อนหรือสมัยนี้ก็คงจะต
้องมีคุณสมบัติดังนี้คือ ปืนยิงไม่ออก ชนวนระเบิดไม่ทำงาน ลนแล้วยืดหดได้ ของมีคมทำอันตรายไม่ได้ มีคุณสมบัติในการดับพิษร้อนได้ทุกชนิด เหล็กไหลของแท้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนดังกล่าวข้างต้น สมัยก่อนมีไม่กี่ก้อน แม้สมัยนี้ก็เหมือนกัน


>>
ข้อห้าม

1.ห้ามผู้ครอบครอง หรือ เจ้าของเหล็กไหล ทดลองหรือขอชมบารมีด้วยตน เอง

2.ชักชวนคนอื่นมาชมบารมีหรือมาทดลอง

ข้อห้ามนี้ถ้าผู้ใดฝ่าฝืนจะพบกับความวิบัติมากน้อยแล้วแต่กรณี ถ้าผู้อื่นมาชมด้วยความศรัทธา ก็จะได้พบกับความพิสดารในอิทธิ์ปาฎิหาริย์ความศักดิ์สิทธิ์ทุกราย>>
>>

การอัญเชิญเหล็กไหล

เมื่อเราพอทราบลักษณะ สีสัน รูปทรง และเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเหล็กไหลแล้ว ตอนนี้เราก็จะมาศึกษาถึงวิธีการอัญเชิญเหล็กไหลกัน เพื่อเป็นแนวทางในการศึกษาเรื่องธาตุกายสิทธิ์ที่เร้นลับนี้ต่อไป การที่เราจะได้เหล็กไหลมานั้น จะต้องประกอบไปด้วยบารมีพอสมควร ด้วยวิธีการเฉพาะและเมื่อได้พบสถานที่ที่คาดว่าน่าจะมีเหล็กไหลอยู่ควรจะ ดำเนินการอย่างไรถึงจะได้เหล็กไหลมาครอบครองโดยถูกวิธีและไม่มีอันตราย ซึ่งในที่นี้จะขอใช้คำว่า ?อัญเชิญเหล็กไหล? เพราะเหล็กไหลที่ จะได้มานั้นย่อมมี วิธีการและที่มาแตกต่างกันไปดังนี้

1.เหล็กไหลบารมี

2.เหล็กไหลตัด

3.เทพเทวาเป็นผู้มอบให้

4.แผ่บารมีทิ้งไว้ในเหล็กไหล เมื่อถึงเวลาต้องจุติ

เหล็กไหลบารมี

เหล็กไหลบารมี คือ เหล็กไหลที่เกิดขึ้นจากการทำพิธีอัญเชิญ ของผู้มีบารมีเพื่อขอความช่วยเหลือจากเทพพรหมผู้มีบุญฤทธิ์ ที่สั่งสมฤทธิ์อำนาจอยู่ในสภาวะที่เป็น ?ธรรมธาตุ? ได้มาช่วยเหลือมวลมนุษย์ และสืบพระศาสนาของสมณโคดมให้อยู่สถาพรต่อไปในภายภาคหน้า



พิธีกรรมในการอัญเชิญเหล็กไหลนี้ประเภทนี้ จะประกอบไปด้วยเครื่องบวงสรวงสังเวยที่ เป็นมังสวิรัติ หรือ ผลไม้ แต่บางครั้งวิญญาณที่เฝ้ารักษา เหล็กไหลในสถานที่นั้น มีทั้งเทพ ยักษ์ นาค คนธรรพ์ หรือภูติ ต่าง ๆ ปะปนกัน ก็ต้องทำพิธีพลีกรรมขอเอาเหมือนกัน จะต้องจัดอาหาร คาวหวานหลายอย่าง

การอัญเชิญเหล็กไหลจะต้องใช้ คาถาอัญเชิญ เหล็กไหลโดยเฉพาะ เท่านั้น และจะต้องมี คุณธรรมที่ได้สะสมมานาน เป็นบารมีเฉพาะตัว จึงมีแต่คำพูดที่ไพเราะเท่านั้นจึงจะอัญเชิญเหล็กไหลให้ออกมาได้ เพราะ ?เหล็กไหล? มีอานุภาพเหนืออาคมทั้งปวง ไม่มีอาคมของผู้ใดจะบีบบังคับให้เหล็กไหลยอมจำนนได้ มีแต่คำเชิญที่ไพเราะถูกต้องเท่านั้น จึงจะได้เหล็กไหล ดังนั้นคาถาอัญเชิญกับคาถาอาคมด้วยพระเวทย์จึงมีความแตกต่างกันในเจตนา

เวลาที่เหล็กไหลจะเสด็จออกมานั้นเอาแน่นอนไม่ได้ ขึ้นอยู่กับบารมี บางครั้งไม่กี่นาทีเหล็กไหลก็ปรากฏตนให้เห็น บางครั้งครึ่งวันหรือค่อนคืนจึงเสด็จออกมาก็มี เมื่อพบเห็นแล้วก็ต้องใช้ คาถา เอามือจับเหล็กไหลมาไว้เคารพบูชา

เหล็กไหลจากถ้ำเขาหลวง

พระอาจารย์สิทธา เชตวัน ได้เคยเล่าถึงพิธีกรรม ?อัญเชิญเหล็กไหล? ที่แตกต่างจากพิธี กรรมที่เคยพบมาว่า อาจารย์เสือ เพชรสังฆาต เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ จังหวัดนครสวรรค์ อดีตเคยเป็นนักเลงใหญ่และเสือปล้นมาก่อน แต่ได้เลิกอาชีพโจรมาเป็นอาจารย์ไสยศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงที่รู้จักกันดี ในวงการเหล็กไหล ประพฤติตนอยู่ในศีลในธรรม สงเคราะห์ช่วยเหลือผู้คนด้วยเมตตาธรรม จนเป็นที่เคารพรักใคร่นับถือของคนในหลายวงการ รวมทั้งอดีตรัฐมนตรีบางคนก็เคยได้รับ ?เหล็กไหล? จากมือของอาจารย์เสือมาแล้ว

เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา อาจารย์เสือ เพชรสังฆาต ได้ทำพิธีกรรมอัญเชิญเหล็กไหลครั้งสำคัญที่ถ้ำเขาหลวง จังหวัดเพชรบุรี มีลูกศิษย์ลูกหาที่เป็นทั้ง ทหาร ตำรวจ และรัฐมนตรีเข้าร่วมพิธีหลายคนจนเป็นข่าวเกรียวกราวในวงการเหล็กไหล เพราะได้พบเห็นความมหัศจรรย์ประจักษ์แก่สายตาตนเองพร้อมกันในวันนั้น

วัตถุธาตุกายสิทธิ์ที่ได้ทำพิธี ?อัญเชิญ? ในครั้งนั้น อาจารย์เสือไม่ได้เรียกว่า ?เหล็กไหล? แต่ได้เรียกว่า ?พญาเหล็ก? หรือ ?นางพญาเหล็ก? หรือ ?เจ้าแม่ทองธรรมชาติ? เนื่องจากสิ่งที่ทำพิธีอัญเชิญในครั้งนี้ เกิดจากวัตถุธาตุกายสิทธิ์ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ อาจารย์เสือได้ใช้ พระเวทย์เรียกให้ธาตุเหล่านั้นมารวมตัวกันเข้าเป็นวัตถุธาตุกายสิทธิ์ สีดำดั่งนิล มีอานุภาพทางคงกระพันชาตรีเป็นมหาอุด รวมทั้งเมตตามหานิยม เรียกโชคลาภมาสู่เจ้าของผู้ครอบครอง

แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า หนังสือพิมพ์ ?มติชน? รายวัน ฉบับวันพุธที่ 24 มีนาคม 2536 หน้า 29 ได้ลงพาดหัวข่าวว่า ?ล้อมจับมือปืนเฒ่าคว้าน้ำเหลว? บรรยายเนื้อข่าวว่า

"เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 22 มีนาคตม ร.ต.อ.ปฐมพงษ์ เพชรพิรุณ รอง สว.ผ.4 กก. 2 ป. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่กองปราบ ได้เข้าล้อม บ้านเลขที่ 91/3 ม.6 บ้านไร่ลำปาง ต.โกสัมพี อ.เมือง จ.กำแพงเพชร โดยสืบทราบว่า นายเสือ เพชรสังฆาต อายุ 56 ปี มือปืนรุ่นลายคราม ได้ตั้งตนเป็นผู้วิเศษหลอกลวงชาวบ้านอยู่ในละแวกดังกล่าว

เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปิดล้อมไว้ทุกด้านแล้ว ได้ตะโกนให้นายเสือมอบตัว ก็เลยเกิดการยิงต่อสู้กัน ปรากฏว่าตำรวจบาดเจ็บ 2 นาย ก็เลยมีการขอกำลังเสริมจาก สภ.ต.ทรงธรรม เจ้าของท้องที่ เพื่อติดตามล่าตัวนายเสือ แต่ปรากฏว่าไม่พบ เหลือเพียงปลอกกระสุนปืนเป็นจำนวนมากตกอยู่

ทำให้ขาดข้อมูลเรื่องราวที่น่าสนใจไป เพราะไม่ทราบข่าวของอาจารย์เสือ และสาเหตุที่แท้จริงในเรื่องราวที่เกิดขึ้น รวมทั้งข้อมูลดี ๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องเหล็กไหลอีกหลายแง่หลายมุม แต่สิ่งหนึ่งที่อาจารย์เสือทำได้สำเร็จในครั้งนี้ ย่อมแสดงถึงคุณธรรมและเจตนาที่บริสุทธิ์ในการอัญเชิญเหล็กไหล เพราะได้ทราบข่าวว่า ลูกศิษย์ลูกหาหลายคนได้มีบารมีพอที่จะได้รับมอบเหล็กไหลชุดนี้ไปครอบครองจึงไม่น่าจะ
เป็นผู้ประพฤติมิชอบตามข้อกล่าวหาดังที่เป็นข่าว

เหล็กไหลจากเขากะอางค์

พิธีการอัญเชิญเหล็กไหลนี้ หลวงพ่อวัชระได้เคยไปสัมผัสอยู่แห่งหนึ่งเมื่อปี 2540 ในบริเวณถ้ำบนเขากะอางค์ อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี ได้มีคณะค้นหาเหล็กไหล มาชักชวนให้ไปทำพิธี อัญเชิญ เหล็กไหลบารมี ก็เลยสนใจเพราะเคยได้ยินแต่ว่า ตัดเหล็กไหล ส่วนการอัญเชิญอย่างที่เข้าใจก็คงหมายถึง การทำพิธี ให้เหล็กไหลโผล่ปรากฏออกมาเอง เหมือนการเสด็จของพระธาตุกระมัง

ในวันนั้นได้เดินทางไปถึงบริเวณเขาก็มืดค่ำพอดี คณะค้นหาได้รอต้อนรับอยู่ที่เชิงเขา มีผู้คนทั้งชาวบ้านที่ทราบข่าวเกือบ 30 คน เดินขึ้นไปบนเขาเกือบหนึ่งชั่วโมง จึงได้พบจุดที่จะทำพิธี ในขณะที่ทำพิธีนั้นไม่มีโอกาสสอบถามชื่อเสียง ทราบแต่ว่าเป็นชาวเขมรทางสุรินทร์ เก่งในเรื่องค้นหาเหล็กไหล ได้รออยู่จนดึกปรากฏว่า เหล็กไหลไม่ยอมออกมา เพราะคนจำนวนมากขาดความสำรวม ส่งเสียงดังลั่นคูหาไปหมด

ได้มีการนัดหมายเวลาใหม่ในวันรุ่งขึ้น เฉพาะในหมู่คณะที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ตกเย็นจึงได้เปลี่ยนจุดนัดพบ ขึ้นเขาอีกทางด้านหนึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงบุคคลภายนอกที่จะติดตาม ปรากฏว่ามีคนร่วมคณะไปรวม 7 คน จนถึงบริเวณถ้ำแห่งหนึ่ง พบว่าได้มีการจัดเครืองบวงสรวง จำพวก ไก่ ปลา บายสี ผลไม้ สุรา น้ำ พานทองสีเหลืองอร่ามขนาดเล็ก ปูรองด้วยผ้าสีแดงสด รังสำหรับใส่เหล็กไหลขนาดฟองไข่ไก่ ผ่าซีก ภายในบุด้วยสำลีสีขาวสะอาด ตั้งอยู่กลางพาน รายล้อมด้วยพวงมาลัยดอกมะลิสดระย้าสีแดง

หลังจากได้สนทนากันพอสมควร ก็ถึงเวลาเริ่มประกอบพิธี อาจารย์เขมรก็เริ่มจุดธูปเทียนทำพิธีอัญเชิญเหล็กไหล ภาษาที่ใช้เป็นภาษาเขมรปนไทยบางคำ คณะติดตามนั่งอยู่เบืองหลังในท่วงท่าที่สำรวม จิตใจจดจ่ออยู่ในเหตุเฉพาะหน้าแน่วนิ่ง เสียงมนตรากระหึ่มด้วยท่วงทีลีลาไพเราะ เหมือนคำร้องชวนเชิญ นานเกือบครึ่งชั่วโมง

ฉับพลันทุกคนก็ได้พบเห็นเหมือนลูกไฟสีเขียวเรืองรองส่องสว่างลอยมาจากหน้าถ้ำ พุ่งเข้ามาสู่ภายในถ้ำอย่างรวดเร็ว สว่างวาบเดียวแล้ววูบดับลงในพานรองรับเหล็กไหลนั้นทันที เสียงมนตรานั้นค่อยแผ่วลง ท่วงทำนองก็เปลี่ยนไปเหมือนแสดงความยินดี อึดใจใหญ่ ๆ ทุกสิ่งก็เงียบสงบลง ไม่มี ใครกล้าจะขยับหรือเหมือนไม่อยากหายใจ เพราะเกรงเสียงลมหายใจจะทำให้อาจารย์เขมรเสียสมาธิ หรือกลัวว่าสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดเฉพาะหน้านี้ จะอันตธานหายไป

อีกอึดใจต่อมาอาจารย์เขมรเริ่มขยับตัวไปที่หน้าพานรองรับเหล็กไหลนั้น ทุกคนเริ่มขยับตาม เห็นวัตถุธาตุสีเขียวคล้ายหยกอ่อนนอนนิ่งอยู่ในรังขี้ผึ้งนั้นเอง ดูแล้วเหมือนขี้ผึ้งที่อ่อนนุ่ม อาจารย์เขมรเอามือจับที่พานแล้วพึมพัมอะไรบางอย่างออกไป ชั่วครู่จึงได้อนุญาตให้ศิษย์บางคนสัมผัสดู หลวงพ่อวัชระได้ลองจับดูปรากฏว่ามีความอ่อนนุ่มแต่เย็นเหมือนน้ำแข็ง ตลอดเวลาที่จับสัมผัสนั้น ขนลุกซู่ชูชันไปทั้งร่าง หลายคนก็ได้ลองสัมผัสดูก็มีความรู้สึกเช่นนั้น

หลวงพ่อวัชระท่านกล่าวว่า เหมือนกับเหล็กไหลที่หลวงพ่อสัมฤทธิ์ได้กล่าวถึงคือ ?ธรรมธาตุ? เหล็กไหลชนิดนี้เป็น ?อรูปธาตุ? มีแต่เพียงจิตวิญญาณที่ไม่มีรูปร่าง แต่มีลักษณะเป็นแสงสี อาศัยอยู่ตามถ้ำที่สำคัญในอดีตกาล โดยอาศัยแฝงองค์อยู่ภายในหินงอกหินย้อย โดยมีเทพเทวารักษาอยู่อีกต่อหนึ่ง ต่อเมื่อถึงเวลาที่ผู้มีบารมีธรรมได้มาพบ เหล่าเทพเทวาที่รักษาอยู่ก็ จะน้อมนำถวายมอบให้แก่ผู้ที่มีบุญวาสนาเหล่านี้ต่อไป

มีลักษณะเหมือนแก้วใส ๆ หรือสีขุ่น เมื่อได้มาใหม่ ๆ มองดูจะคล้ายกับสีผึ้งที่มีความอ่อนนุ่ม แต่เมื่อสัมผัสดูจะรู้สึกว่าแข็ง แต่ไม่ใช่โลหะ สีจะเงาด้านไม่เงาวาว มี หลายสี เช่น เขียว น้ำผึ้ง สี หยก ลูกหว้า เป็นต้น สีสันหลากสีเหล่านี้ เกิดตามบารมีและจริตของเทพผู้รักษา ที่เข้ามาประทับอยู่ ในก้อนธาตุ เหล่านี้



ในที่สุด ?เหล็กไหลสีหยกอ่อน? ก็ค่อย ๆ แข็งตัว เป็นรูปทรงเหมือนลูกฟัก แต่ที่ปลายมีรังเหมือนหินปูนเกาะหุ้มติดตัวเหล็กไหลอยู่ จึงได้เวลาลงกลับมายังเบื้องล่างเกือบสี่ทุ่มเศษ ทุกคนได้พร้อมใจกันว่า จะมอบเหล็กไหลไว้กับผู้ที่เชื่อถือได้รักษาไว้ก่อน ก็เลยตกลงมอบให้หลวงพ่อวัชระดูแลรักษาไว้ก่อน

เช้าวันต่อมาทุกคนก็ได้มาพบกันที่วัดถ้ำแฝด คุณกินรีซึ่งเป็นตัวแทนของคณะ ได้กล่าวปรึกษากับหลวงพ่อวัชระว่า อาจารย์เขมรท่านจะต้องกลับบ้านก่อน เพราะทิ้งบ้านมาหลายวัน ไม่มีใครช่วยดูแลพืชไร่ ทางคณะทุกคนก็ไม่มีใครที่มีเงินพอที่จะมอบสมนาคุณแก่ท่านอาจารย์เขมรที่มาทำพิธีให้ หากหลวงพ่อพอจะมอบปัจจัยเท่าที่จำเป็นแทนก่อน ก็จะขอมอบเหล็กไหลก้อนนี้ไว้กับหลวงพ่อรักษาไว้ก่อน หากหาคนซื้อหรือขายได้เมื่อไหร่ ส่วนหนึ่งก็จะถวายไว้สร้างวัดถ้ำแฝด ส่วนหนึ่งขอให้หลวงพ่อพิจารณาสมนาคุณแก่คณะบุคคลรวม 3 คนด้วยกัน ส่วนที่จะเหมาะสมเท่าไหร่สุดแท้จะให้



ต่อมาได้มีผู้มาติดต่อขอชมเหล็กไหลชิ้นนี้ และได้มีการติดต่อหาผู้ซื้อในราคา 499 ล้านบาท โดยทดสอบกันบนลานวัดบนเขา ซึ่งมีคนงานและคณะติดตามรวมทั้งพระในวัดเกือบ 10 องค์ รวมแล้ว เกือบ 50 คน เป็นสักขีพยาน แต่การทดสอบไม่ผ่าน เพราะนัดแรกยิงไม่ออก เสียงดังแชะ นัดที่สองปลายกระบอกกดลงดินหน้าตรงหน้าพานตั้งเหล็กไหล นัดที่สามกระดกขึ้นสูง แต่พอเอาปืนนัดที่ ยิงไม่ออก ยิงขึ้นฟ้าก็เกิดเสียงดังเปรี้ยงใหญ่

ก่อนจะเริ่มยิงในครั้งนั้น ผู้ยิงได้พบการต่อต้าน คือยกปืนเล็งยิงเป้าหมาย ก็เหมือนมีใครมากดปลายปืนลง ยื้อยึดกันอยู่ครู่ใหญ่ จนทุกคนแปลกใจ นึกอยู่ว่าทำไมเล็งนาน เห็นยกปืนขึ้นปืนลงอยู่ นาน แถมไม่ลุกขึ้นมายิง นั่งยิงอยู่ที่ม้านั่งห่างไปตั้ง 10 เมตรเศษ>>

474
อาหารของเหล็กไหล

เนื่องจากผู้บำเพ็ญฌาณในระดับสูงและผู้สร้างเหล็กไหลในอดีต ล้วนแต่อาศัยตามเงื้อมผาและถ้ำคูหา เป็นที่บำเพ็ญพรตภาวนา มักจะถือศีล 8 กินพืชผักผลไม้เป็นอาหารหลัก อาหารเสริมพิเศษที่ทำให้เกิดกำลังก็ คือ น้ำผึ้งป่า

ดังนั้นเหล็กไหลเกือบทุกประเภทก็ชมชอบที่จะเสพน้ำผึ้งเช่นกัน เพราะน้ำผึ้งเกิดจากความหวานของเกษรดอกไม้ต่าง ๆ ที่ผึ้งนำมาเก็บไว้ในรัง บางทีก็บินไปสร้างที่อยู่ใหม่ทิ้งรังเก่าไว้ตามคบไม้ หรือหน้าผา เมื่อเหล็กไหลมีจิตวิญญาณขององค์ฤาษีหรือเทพผู้สร้างสิงสถิตย์อยู่ จึงนิยมที่จะเสพน้ำผึ้งเช่นกัน>>
>>
>>
>>
>>

หลวงพ่อสัมฤทธิ์กับการค้นหาเหล็กไหล

เมื่อท่านได้รู้จัก?เหล็กไหล?ดีแล้ว ก็จะได้ดำเนินเรื่องราวเกี่ยวกับ หลวงพ่อสัมฤทธิ์และเหล็กไหลวัดถ้ำแฝดสืบไป

ภายหลังจากหลวงพ่อเดินทางกลับจากประเทศลาวแล้ว ก็ออกธุดงค์ไปทั่ว เพื่อฝึกฝนจิตใจให้มีความเข้มแข็ง เช่น เขาฉกรรจ์ จังหวัดปราจีนบุรี เขาใหญ่ นครราชสีมา เขาเขียว ชัยภูมิ เขาค้อ เพชรบูรณ์ เลยไปถึง ลำปาง เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน

ณ ที่จังหวัดลำปางนี้เอง หลวงพ่อสัมฤทธิ์ได้พบกับ พ่อเลี้ยงรัศมี คหบดีผู้กว้างขวางในจังหวัดลำปางและเชียงใหม่ เป็นผู้ที่มีความสนใจในเรื่องราวของเหล็กไหล และของกายสิทธิ์อื่น ๆ เมื่อรู้ว่าหลวงพ่อสัมฤทธิ์มีความเชี่ยวชาญในเรื่องราวเกี่ยวกับเหล็กไหล ก็ได้ชวนให้ท่านช่วยหาเหล็กไหลให้ โดยเป็นผู้ปวารณาในเรื่องภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมด โดยได้พาไปในสถานที่หลายแห่งที่เล่าลือว่ามีเหล็กไหล แต่ก็เป็นเพียงข่าวลือ ไม่ได้พบเหล็กไหลตามที่ตั้งใจ

ปรากฏการณ์ประหลาด

เรื่องนี้เกิดจากการแสวงหาเหล็กไหลกับพ่อเลี้ยงรัศมี เดินรอนแรมในป่ามาถึงเขตดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ ได้พบสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งคิดว่าน่าจะมีเหล็กไหลอยู่ จึงได้จัดเครื่องบวงสรวงเจ้าป่าเจ้าเขา เทพผู้รักษาองค์เหล็กไหล

ขณะที่กำลังทำพิธีอยู่นั้น ท้องฟ้าได้เปลี่ยนเป็นมืดครึ้มโดยฉับพลัน มีเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงมายังสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากบริเวณทำพิธีเล็กน้อย เสียงดังสนั่นแสบแก้วหู ทำให้ทุกคนตกตะลึงในเหตุการณ์เฉพาะหน้าเป็นอย่างยิ่ง ด้วยไม่รู้เหตุเภทภัยอันใดที่ปรากฏต่อหน้าในขณะนั้น

หลวงพ่อได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ชะรอยคงเป็นสิ่งบอกเหตุบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการเสาะแสวงหาของกายสิทธิ์เป็น แม่นมั่น จึงได้ชวนญาติโยมไปพิสูจน์อะไรบางอย่างที่ท่านแคลงใจ โดยเดินไปยังจุดที่ฟ้าผ่าลงมา ณ ที่นั้นทุกคนได้เห็นวัตถุสีดำก้อนประมาณ 2-3 นิ้วเศษ สีดำสนิท เนื้อในดูเงาวาว ขณะที่กำลังหาเหตุผลอยู่นั้น ฉับพลันได้ยินเสียงช้างร้อง พร้อมกับปรากฏกายอันสูงใหญ่รี่ตรงมายังที่อยู่ของหมู่คณะ

เท่านั้นแหละตัวใครตัวมัน ต่างคนก็ตกใจคิดหนีเอาตัวรอด หลวงพ่อเองก็คาดไม่ถึงว่า จะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น อาศัยที่เป็นพระกรรมฐาน มีสติไม่ตกใจอะไรง่ายนัก ได้กำหนดจิตแผ่เมตตาและชูเจ้าหินประหลาดสีดำนั้นไปทางช้างที่กำลังวิ่งรี่เข้ามา

เหลือเชื่อทีเดียว ทำให้ช้างร้ายตัวนั้นหยุดชะงักอยู่กับที่พร้อมกับจ้องมองมาทางท่านถมึงทึงสักครู่เดี
ยวช้างนั้นก็เดินเลี่ยงหลบออกไปทางอื่นทันที เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกจากคณะค้นหาที่เห็นเหตุการณ์โดยตลอด แต่ไม่กล้าแสดงตนออกมาช่วย



พ่อเลี้ยงรัศมีเป็นคนแรกที่วิ่งมาถึงตัวท่าน พร้อมกับขอชมเจ้าสิ่งประหลาดที่ทำให้ช้างเปลี่ยนใจหนีไปทางอื่น หลวงพ่อบอกว่าเจ้าสิ่งที่ท่านได้พบตอนฟ้าผ่านั้นกลับเป็น ?สะเก็ดดาว? หรือ อุกกามณี ที่เราถือว่าดีเด่นทางโชคลาภ แคล้วคลาดกันภัย ปลุกเสกดี ๆ ก็เป็นมหาอุด น้อง ๆ เหล็กไหลเหมือนกัน

ดังนั้นพ่อเลี้ยงรัศมีจึงได้เอ่ยปากขอสิ่งที่เห็นนี้จากหลวงพ่อทันที ซึ่งท่านก็ยินยกให้ ด้วยไม่ได้ติดในเรื่องราวเหล่านี้อยู่แล้ว อีกประการหนึ่งพ่อเลี้ยงรัศมีก็เป็นเจ้าภาพในการเสาะแสวงหาของกายสิทธิ์ประเภทนี้ อยู่แล้ว ก็เลยไม่ได้ค้นหาเหล็กไหลต่อไป ด้วยปรากฏปาฏิหารย์ขึ้นมาก่อน จึงเห็นว่าไม่สมควรจะทำพิธีต่อไป

อัญเชิญเหล็กไหลก้อนแรก

หลังจากแยกทางกับพ่อเลี้ยงรัศมีแล้ว ท่านก็ธุดงค์ลงทางใต้ จากกาญจนบุรีล่องลงไปด้วยเท้า จนถึงบางสะพาน ปะทิว ชุมพร ซึ่งเต็มไปด้วยเทือกเขายาวเหยียดไปจนติดพม่า และที่บางสะพานนี้เองท่านเล่าว่าได้มาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง เรียกกันว่า ?เกาะยายฉิม?

ณ สถานที่นี้เป็นฐานของ ตชด.อยู่ลึกจากถนนใหญ่ 2-3 กม. ได้พบน้ำตกแห่งหนึ่งปลาชุกชุมมาก ท่านได้สังเกตุเห็นหน้าผาแห่งหนึ่งดูแปลกในความรู้สึก จึงได้แหวกหญ้าเข้าไปใกล้บริเวณหน้าผาดังกล่าว พบว่ามีงูชุกชุม เมื่อพิจารณาหาสถานที่พอเหมาะที่จะปักกลดได้ จึงได้ปักกลดในบริเวณนั้น 3 วัน

ในวันสุดท้ายขณะที่ท่านนั่งกรรมฐานอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมงเศษ รู้สึกได้ยินเสียงวัตถุบางอย่างตกอยู่ใกล้ ๆ กลด ท่านจึงได้คลายสมาธิออกดู ฉับพลันสายตาก็กระทบเข้ากับวัตถุมันดำวาวขนาดนิ้วก้อยจำนวน 2 เม็ดตกอยู่ใกล้ ๆ กลด จึงได้หยิบมาพิจารณาก็ทราบว่าเป็น ?เหล็กไหล?ที่เทพผู้รักษาได้มอบให้

ดังนั้นพอรุ่งเช้าหลังรับบิณฑบาตรจาก ตชด. แล้ว ก็ได้นำเอากลับมาฉันที่กลดขณะเดียวกัน ตชด.ก็ได้นำเอากับข้าวมาเสริมให้หลวงพ่อ โดยสนทนาเรื่องราวต่าง ๆ ว่าหลวงพ่อมาปักกลดที่นี่ ได้เห็นนิมิตอะไรที่ดี ๆ บ้างไหม จำได้ว่า ร.ท.อำไพกับลูกน้อง 2-3คน เป็นเพื่อนร่วมสนทนาด้วย

ท่านจึงได้นำเอาสิ่งที่ท่านพบมาให้ดู คณะ ตชด. เห็นแล้วก็ขนลุกซู่ทันที จึงขออนุญาตทดลองต่อหน้าท่าน โดยใช้อาวุธปืนคาร์บินส์ เล็งยิงระยะห่างเพียง 3 เมตรเท่านั้น ปรากฏว่ายิงไม่ออก แต่พอหันปากกระบอกขึ้นฟ้าเสียงก็ดังเปรี้ยงทันทีเหมือนกัน พอเห็นผลดังนั้น ร.ท.อำไพและเหล่า ตชด.ก็ได้ขอเอาไว้โดยไม่ฟังเสียงว่าจะให้หรือไม่ ถือสิทธิเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองทันที

ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร เมื่ออยากได้ท่านก็ให้ด้วยเมตตา เพราะสิ่งเหล่านี้ถือเป็นทางผ่าน เป็นประสพการณ์ที่เหลือเชื่อเรื่องหนึ่งเช่นกัน เพราะท่านบอกว่า สมัยนั้นยังไม่มี ใครรู้จัก ?เหล็กไหล?ที่ว่ากันนัก ราคาซื้อขายก็ไม่กี่หมื่นบาท>>
>>
>>
>>

การค้นหาเหล็กไหล



การค้นหาเหล็กไหลไม่ใช่ของง่าย เนื่องจากไม่มีเครื่องมือจะตรวจค้นโดยวิธี ทางวิทยาศาสตร์ได้ แถมบางทียังไม่เคยเห็นหน้าตาของเหล็กไหลมาก่อนว่าเป็นอย่างไร

ดังนั้นในที่นี้ จึงขอกล่าวสรุปพอเป็นสังเขป เพื่อเป็นแนวทางให้ท่านพิจารณาดังนี้

1.ตามตำรา บูรพาจารย์ผู้รู้ในอดีต ได้บอกกันต่อ ๆ มาว่า ถ้าจะหาเหล็กไหลแล้วให้สังเกตุถ้ำที่จะเข้าไปหานั้นว่ามีลักษณะเช่นนี้หรือไม่ ?

1.ถ้ำนั้นต้องสะอาด ไม่มีมูลค้างคาวหรือมูลสัตว์ป่าใด ๆ

2.ถ้ำนั้นต้องมีอากาศเย็นชุ่มชื้น

3.ถ้ำนั้นต้องสงบเงียบวังเวง มีความรู้สึกน่าเกรงขาม

2.คำบอกเล่า อาจจะได้ยินได้ฟังจากพรานป่าที่มีประสพการณ์แปลก ๆ หรือจากพระธุดงค์ที่พบเห็น

3.การเข้าทรง จากการประทับทรงขององค์เทพเทวาที่บอกผ่านมา

4.การเกิดนิมิต จากการนั่งกรรมฐานจนจิตรสงบ แล้วเกิดภาพนิมิตรสถานที่ หรือมีผู้พาไปชม

5.จิตสงบ จากสภาวะจิตที่สงบ จนเกิดญาณหยั่งรู้ขึ้นมาเอง

การทดสอบเหล็กไหลในถ้ำ

เมื่อพบถ้ำที่มีลักษณะดังกล่าวข้างต้น หรือพบแหล่งที่พอเชื่อได้ว่าจะมีเหล็กไหลอยู่แล้ว ก็ควรจะมีวิธีการทดสอบเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า จะไม่ผิดหวังหรือเสียเวลาค้นหา มักจะใช้ปืนลองยิงดูในบริเวณที่คิดว่าน่าจะมีเหล็กไหลซ่อนอยู่ ถ้าเล็งไปแล้วยิงไม่ออกก็มั่นใจได้ว่า มีเหล็กไหลอยู่ในบริเวณนี้แน่นอน

เมื่อมั่นใจว่าพบแหล่งที่อยู่ของเหล็กไหลแน่นอนแล้ว ก็เป็นเรื่องพิธีกรรมที่จะทำพิธี ?อัญเชิญเหล็กไหล? ออกมา โดยการบวงสรวง หรือ อธิษฐานจิต ขอเอาจากเจ้าป่า เจ้าเขา เจ้าถ้ำ หรือ เทพผู้รักษาองค์เหล็กไหลแล้วแต่กรณี>>
>>

เผ่าพันธุ์ของเหล็กไหล

เหล็กไหลเป็นโลหะธาตุที่มีความลี้ลับพิสดาร แปลกประหลาดมหัศจรรย์แตกต่างไปจากโลหะธาตุทั้งปวง จึงได้ถูกจัดอยู่ในฐานะ ?ธาตุกายสิทธิ์? ที่มีชีวิตจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นไปตามวิบากของกฏแห่งกรรม ที่บันดาลให้วิญญาณในสังสารวัฏมาปฏิสนธิ ในสภาวะที่เป็นโลหะธาตุที่ศักดิ์สิทธิ์มี อิทธิฤทธิ์เหนือธรรมชาติทั่วไป

ดังนั้น ?เหล็กไหล? จึงถือเสมือนหนึ่งเป็น ?สัตว์โลกที่มีชีวิต? เผ่าพันธุ์หนึ่งในโลก เพราะเหล็กไหลมีทั้งตัวผู้และตัวเมีย สามารถเคลื่อนไหวได้ เสพบริโภคน้ำผึ้งเป็นอาหาร มีการขับถ่ายออกมาได้ ซึ่งเรียกกันว่า ?ขี้เหล็กไหล? นอกจากนี้ยังสามารถเสพกามได้ แต่เป็นการเสพกามกันทางกระแสจิตวิญญาณ เพราะเพียงแต่มีความรู้สึกใคร่ในกามารมณ์ ก็สามารถบรรลุจุดสุดยอดได้ในทันที โดยไม่ ต้องมีการถูกต้องสัมผัสกัน และชอบพักผ่อนหลับนอนในสถานที่สงบตามถ้ำ

เหล็กไหลจึงจัดเป็นสัตว์ที่ประเสริฐเผ่าพันธ์หนึ่งของโลก จัดอยู่ในจำพวกเทพ แต่เป็นเทพที่ มาชดใช้วิบากกรรมในโลกมนุษย์ ดังนั้นจึงทำให้มีพวก ยักษ์ คนธรรพ์ ครุฑ นาค คอยให้ความอารักขาอีกทีหนึ่ง เหล็กไหลจึงมีถิ่นกำเนิด และบารมีที่แตกต่างกันไป ตามเผ่าพันธ์และวรรณะ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะ และสมมุติเรียกหาเพื่อให้เห็นความแตกต่างชัดเจนขึ้นเท่านั้น เช่น



1.เหล็กไหลโกฎฐ์ปี เป็นเหล็กไหลที่หาได้ยากมาก สีปีกแมลงทับ จะออกเขียวเข้มหรือฟ้าสดใส หรือเปลี่ยนเป็นสีท้องปลาไหล เป็นเงามันวาวเนียนละเอียด เพราะถ้าเคยเห็นปีกแมลงทับ คงจะสังเกตุเห็นสีสันดังกล่าวที่ประกอบไปด้วยสีสองสี สวยงาม ชอบอยู่ในถ้ำที่ลี้ลับลึกลับและสงบวิเวก เพื่อบำเพ็ญฌาณ เหมือนฤาษีที่มีอายุยืนหมื่น ๆ ปี มีความเย็นเหมือนน้ำในฤดูหนาว กล่าวกันว่าเป็นเหล็กไหลที่เกิดจากมหาฤาษีในยุคต้น ๆ เป็นผู้สร้างไว้มีอำนาจทำลายอาถรรพณ์เวทย์ทุกชนิดให้สูญสิ้นเป็นสุญญตา ใครฝังติดตัวไว้รับรองไม่มีตายโหง ซ้ำยังเรียกเงินเรียกทองให้ไหลมาเนืองนอง เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี มีเสน่ห์ เมตตามหานิยม เข้าไปในสถานที่ใดมีแต่คนชอบรักใคร่ นอกจากนี้ยังป้องกันคุณไสยที่เขาทำมา ให้ตี กลับไปหาผู้ทำถึงชักดิ้นชักงอตายเอาง่าย ๆ ชอบดูดกินน้ำผึ้งและเล่นกับไฟ ล่องหนหายตัวได้ ใครได้ครอบครองจะมีอายุไม่ต่ำกว่าร้อยปี ถ้าบำเพ็ญฌาณ เช่น ฤาษี มุณี ที่ชอบบำเพ็ญธรรมอยู่ในป่า จะทำให้อายุ ยืนถึงหมื่นปี โกฏฐ์ปี

2.เหล็กไหลไพร เป็นเหล็กไหลที่พอหาได้โดยไม่ยากลำบาก สีดำสนิทหรือเทาดำ เนื้อค่อนข้างหยาบไม่มันวาว ยืดได้หดได้ ชอบเล่นกับไฟ แต่ถ้าทำหลุดมือตกลงสู่พื้นดินจะหายวับไปทันที คล้ายกับปรอทสำเร็จที่ถูกพวกยักษ์หรือคนธรรพ์ผู้รักษาช่วงชิงกลับไป ดีเด่นทางเมตตาโชคลาภ แคล้วคลาดกันภัย เกิดจากเทพในระดับต่ำลงมาใช้กรรม มีทั้งที่ แม่เหล็กดูดติดและแม่เหล็กดูดไม่ติด ขึ้นอยู่กับถิ่นกำเนิดและแร่ธาตุ ในบริเวณดังกล่าว ถ้ามีธาตุเหล็กมาก ก็จะติดแม่เหล็ก



3.เหล็กไหลเงินยวง เป็นเหล็กไหลที่หาได้ค่อนข้างยาก สีขาวขุ่นเป็นมันเลื่อม สีเหมือนเงินยวง พบได้ตามถ้ำที่มีอากาศค่อนข้างหนาวเย็น มีคุณธรรมทางด้านเมตตามหานิยม คงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและล่องหนหายตัวได้ ชอบช่วยเหลือผู้ปฏิบัติธรรม หรือดลจิตดลใจของผู้ครอบครองเหล็กไหลนี้ตั้งมั่นอยู่ในการสร้างบุญกุศล เกิดจากเทพในระดับ ?อรูปฌาณ? ที่มีบารมีธรรมสูงเป็นผู้ครอบครองเหล็กไหลประเภทนี้ มักจะอยู่ในครอบครองของพวกนักบวชต่าง ๆ



4.โคตรเหล็กไหล (เหล็กไหลงอกหรือเหล็กทรหด) เป็นเหล็กไหลที่มีปรากฏอยู่ค่อนข้างมาก สีดำสนิทเป็นมันเลื่อมเมื่อกระทบแสงสว่าง ผิวค่อนข้างละเอียด แม่เหล็กดูดไม่ติดพบเห็นได้ตามถ้ำที่ ลึกลับ เกิดจากเทพที่มาใช้วิบากกรรมในโลกนี้ จึงมีพวกเทพที่เป็นยักษ์ หรือ คนธรรพ์คอยให้ความอารักขา ไม่ยืดหรือหดได้อีก แม่เหล็กดูดไม่ติด แต่ชอบกินน้ำผึ้ง สามารถงอกโตขึ้นเอง บางทีหากเจ้าของบูชาให้ดี จะเปลี่ยนเป็นสีดำอมเขียว ไปจนถึงเป็นสี รุ้ง ๗ สี ดีทั้งเมตตา โชคลาภ แคล้วคลาดกันภัย มหาอุด คงกระพันถอนพิษสัตว์เขี้ยวงาต่าง ๆ งอกขึ้นอยู่ตามพื้นถ้ำและผนังถ้ำที่มีความชื้นและเย็นพอสมควร สามารถนำมาแกะหรือเจียรนัยเป็นเครื่องรางหรือรูปวัตถุ มงคลตามต้องการ



5.เหล็กไหลย้อย เป็นเหล็กไหลที่ปรากฏอยู่ค่อนข้างมาก สีออกดำหรือเทาดำ ด้านไม่มีแวว เปราะและกรอบเหมือนเหล็กผุ เป็นเหล็กไหลที่ ตายซากแล้ว ไหลย้อยอยู่ในซอกถ้ำที่ลี้ลับ ลักษณะแข็งกรอบ ยาวเป็นศอกเป็นคืบเป็นวา ไม่ยืดหรือหดได้อีก ไม่กินน้ำผึ้ง แม่เหล็กไม่ดูด เกิดจากได้มีการเคลื่อนย้ายแหล่งหาน้ำผึ้งไปในสถานที่ ใหม่ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปมาก ธาตุขันธ์เดิมจึงถูกทิ้งไว้ เหมือนไม่มี ชีวิตจิตวิญญาณ คือเหลือแต่ซากนั่นเอง บางทีมีอสูรกายชอบถือโอกาสเข้าแอบแฝงอาศัยอยู่ เกจิอาจารย์ที่มีกฤตยาคมสูงสำเร็จอัปปนาสมาธิพลังจิตแก่กล้า มักจะนำมาปลุกเสกให้เกิดอานุภาพ เมตตามหานิยม แคล้วคลาดคงกระพัน จนถึงมหาอุดเลยที เดียว แต่ถ้านำมาหลอมละลายด้วยไฟอาคมจะกลายเป็นของเหลวสีดำมันวาวเหมือนนิล หล่อหลอมเป็นพระพุทธรูป เครื่องรางต่าง ๆ ได้ดี มี อานุภาพทางโชคลาภ แคล้วคลาดคงกระพันชาตรี ทำลายอาถรรพณ์ทุกชนิด หากบูชาให้ดีจะเปลี่ยนเป็นสีต่าง ๆ ได้หลายสีตามบารมีของผู้บูชา



6.เหล็กไหลเพลิง เป็นเหล็กไหลที่พอหาได้ไม่ยาก พบอยู่ในถ้ำต่าง ๆ หลายแห่ง ฝังตัวเองอยู่ตามเพดานและผนังถ้ำที่มีลักษณะเหมือนผงฝุ่นละเอียด ออกสีแดงหรือน้ำตาล องค์ขนาดเมล็ดถั่วเขียวหรือใหญ่กว่า หากลองอธิษฐานจิตจับดูจะรู้สึกว่าร้อนเหมือนไฟ เชื่อว่าสามารถแสดงภาพมายาหลอกหลอน ทำให้ศัตรูตกใจกลัวได้



7.เหล็กไหลตาน้ำ เป็นเหล็กไหลที่หาได้ยาก มีพรรณสัณฐานสีเขียวปนดำเป็นมันด้าน ลักษณะทรงกลมหรือรูปหยดน้ำ ขนาดเล็กกว่าถั่วเขียวเล็กน้อย ชอบเกาะอยู่ตามตาน้ำในซอกหินภายในถ้ำที่ลึกลับอาถรรพ์ การค้นหานอกจากวิชาอาคมแล้วยังต้องสังเกตุตามตาน้ำที่ไหลผ่านบริเวณหินผาที่มีตะไคร่
น้ำเกาะอยู่มาก ๆ ต้องค่อย ๆ เอามือแหวกหาดูจึงจะพบ



8.เหล็กไหลเศรษฐี เป็นเหล็กไหลที่หาได้ยากมาก อาศัยอยู่ภายในถ้ำใต้น้ำ มี ลักษณะเป็นผงเกล็ดสีดำเงามันระยิบระยับ เหมือนกับเพชรต้องแสงไฟ ไหลออกมาตามธารน้ำในฤดูน้ำหลาก เชื่อกันว่าเป็นของชาวบาดาล บันดาลโชคลาภให้แก่ผู้บูชา

9.เหล็กเปียก เป็นเหล็กไหลที่หาได้ยากมาก พรรณสัณฐาน สีขาวขุ่นเหมือนตะกั่ว นับเป็นโลหะธาตุที่มีเนื้อเปียกชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา คล้าย ๆ กับน้ำค้างจับเกาะ เข้าไปอยู่ในสถานที่ใดก็จะเกิดบรรยากาศเย็นสบาย ถ้าอยู่ใกล้ลูกปืนอาจทำให้กระสุนด้านเพราะการแผ่รังสีความเย็นของเหล็กเปียก สมัยโบราณนิยมใช้เหล็กเปียกประดับไว้ที่ ยอดพระเจดีย์ ป้องกันฟ้าผ่า มีอานุภาพทางหนังเหนียว คงกระพันอาวุธทุกชนิด

10.ขี้เหล็กไหล มักจะปรากฏอยู่ในถ้ำหรือบริเวณที่มีเหล็กไหล เหมือนกับมูลหรือการขับถ่ายของเสียจากเหล็กไหล ลักษณะเป็นก้อนกลม ๆ สี ออกดำบ้าง น้ำตาลบ้าง ไม่สามารถยืดได้หดได้ แม่เหล็กดูดไม่ติด หากครูบาอาจารย์ผู้ทรงฌาณ ทำพิธีกรรมให้ถูกต้อง เฉกเช่นวัตถุ มงคลที่ถูกปลุกเสก ก็จะมีอานุภาพตามที่ ประสงค์

11.เหล็กไหลนาคราช หรือ เหล็กไหลบาดาล มักปรากฏอยู่ในลำแม่น้ำใหญ่ที่มีภูเขาสลับซับซ้อน เช่น แม่น้ำโขง แม่น้ำแยงซีเกียง แม่น้ำคงคา เป็นต้น เพราะต้นน้ำเหล่านี้มาจากภูเขาสูงที่ศักดิ์สิทธิ์ ลักษณะคล้ายก้อนหินมันเงาเป็นเลื่อม สีดำเหมือนนิล แม่เหล็กดูดติดเชื่อว่าป้องกันพิษสัตว์เขี้ยวงา แคล้วคลาด คงกระพัน



12.เพชรหน้าทั่ง จัดอยู่ในจำพวกธาตุกายสิทธิ์คล้ายเหล็กไหล พบได้ตามถ้ำบนเขาเจ็ดร้อยยอด จ.พัทลุง ลักษณะเป็นโลหะผลึก 4 เหลี่ยม สีเหลืองนวลออกขาวคล้าย ?แสตนเลส? ฝังตัวอยู่ในก้อนหิน เล็กบ้างใหญ่ บ้าง บางคนเรียก ?เหล็กสายฟ้า? อยู่ในตระกูล ?อัญมณี? ประกอบด้วยธาตุที่เป็นทองคำและแร่เงินผสมอยู่ด้วยกัน สีจึงออกเหลืองนวลอมทอง อมเงิน และหากโดนปฏิกิริยาทางเคมีก็จะกลายเป็นสีทอง มีฤทธิ์อำนาจในตนเองด้วยจิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในธาตุโลหะนั้น โบราณเชื่อกันว่า เพชรหน้าทั่ง เป็นธาตุกายสิทธิ์ที่จะทำให้ ผู้ที่เป็นเจ้าของเกิดความร่ำรวย มักจะอยู่ในเขตที่มีสายแร่ทองคำภายใต้ภูเขาลูกนั้น

13.เหล็กหลบ จัดอยู่ในประเภทธาตุกายสิทธิ์คล้ายเหล็กไหล พบได้ตามแม่น้ำสายสำคัญของประเทศ เกิดจากการหมุนวนของแม่น้ำที่พัดพาเอาแร่ธาตุต่าง ๆ มารวมกันทับทมทวีจนเกิดการจับตัวเป็นก้อนกลม สีดำเป็นมัน สีเขียวอมดำ สีเปลือกมังคุดหรือน้ำตาลไหม้ สีทองดอกบวบ ไม่ชอบเล่นไฟหรือกินน้ำผึ้ง ปืนยิงออกแต่ไม่ถูก เด่นทางแคล้วคลาดกันภัยจากอันตรายรอบด้าน เช่น มีดรุมแทงก็จะไม่ถูก รังสีเหล็กหลบจะทำให้แฉลบออกไป หรือพกเหล็กหลบเข้าใต้ต้นพุดทรา แล้วเขย่าให้ลูกหล่นลงมา ก็จะไม่ถูกตัว



14.สะเก็ดดาว เหล็กไหลจากต่างดาว เชื่อกันว่ามีพลังมหัศจรรย์หลายอย่างแฝงอยู่ ในอุกกามณี เกิดจากการระเบิดของดวงดาวจากนอกโลกที่ผ่านบรรยากาศแล้วเกิดการลุกไหม้ก่อนตกลง สู่พื้นโลก มีขนาดตั้งแต่ขนาดก้อนกรวด จนใหญ่ขนาดก้อนหิน 10 กิโลกรัม ไม่กินน้ำผึ้ง หรือชอบเล่นไฟ แต่ดีเด่นทั้งด้าน เมตตา โชคลาภ แคล้วคลาด กันภัย



15.แก่นไม้หิน จัดอยู่ในตระกูล "พญาเหล็ก" คือไม้กลายเป็นหิน ฝรั่งเรียกว่า ?ฟอสซิล? จัดอยู่ในลูกหลานว่านเครือของเหล็กไหล เชื่อกันว่าเป็นที่ลงทัณฑ์ เหล่าอสูรเทพที่ดุร้าย เหมือนการ ?เข้ากรรม? เสวยกรรมในโลกมนุษย์ เพื่อไถ่บาป 1 พุทธันดร มีตบะเดชะทางด้านมหาอำนาจ แคล้วคลาดกันภัย เมตตาโชคลาภ กันพิษ



16.ข้าวตอกพระร่วง จัดอยู่ในตระกูล ?พญาเหล็ก? ชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นผลึกรูปสี่เหลี่ยมเล็กใหญ่คล้ายโลหะสีน้ำตาลฝังตัวอยู่ใต้พื้นดินในเขต จังหวัดสุโขทัย ถ้านำมาขัดก็จะเปลี่ยนเป็นสีดำเหมือนนิลแวววาว ตามตำนานที่เล่าขานสืบทอดกันมาแต่ยุคสุโขทัย เมื่อพระร่วงเจ้าได้ออกผนวชในวันใส่บาตรเทโว บนลานวัดเขาพระบาทใหญ่ เมื่อฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ท่านได้โปรยข้าวที่เหลือจากก้นบาตรลงบนลานวัด แล้วอธิษฐานว่า ให้ข้าวตอกดอกไม้นี้กลายเป็นหินชนิดหนึ่ง และมีอายุยืนนานชั่วลูกชั่วหลาน เมื่อใครได้บูชาบนหิ้งพระหรือพกติดตัวก็จะอยู่ดีมีสุขและเจริญด้วยโภคทรัพย์นานาประก
าร ใช้ฝนน้ำมะนาวถอนพิษสัตว์เขี้ยวงาทุกชนิด อมไว้ในปากทำให้ชุ่มชื่นคอ>>
>>

475
ธรรมะจากหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด


หลวงปู่ทวด

วัดช้างให้ จ.ปัตตานี ท่านเป็นพระมหาเถระที่รู้จักกันทั่วประเทศ ในนาม " หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด "
คาถาบูชาท่าน คือ นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา

ชาติกาล 3 มีนาคม พ.ศ. 2125
ชาติภูมิ บ้านเลียบ ต.ดีหลวง อ.สทิงพระ จ.สงขลา
บรรพชา เมื่ออายุได้ 15 ปี
อุปสมบท เมื่ออายุ 20 ปี
มรณภาพ 6 มีนาคม พ.ศ.2225
สิริรวมอายุได้ 99 ปี

คติธรรมคำสอน ของ หลวงปู่ทวด

ธรรมประจำใจ
พูดมาก เสียมาก พูดน้อย เสียน้อย ไม่พูด ไม่เสีย นิ่งเสีย โพธิสัตว์

ละได้ย่อมสงบ
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนแต่เคลื่อนที่ไปสู่ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ทุกอย่างในโลกนี้ เคลื่อนไปสู่การสลายตัวทั้งสิ้น ไม่ยึด ไม่ทุกข์ ไม่สุข ละได้ย่อมสงบ

สันดาน
" ภูเขาถูกมนุษย์ทำลายลงมาได้ แต่สันดานของคนเราที่นอนนิ่งอยู่ในก้นบึ้ง ซึ่งไม่เหมือนกันย่อมขัดเกลาให้ดีเหมือนกันได้ยาก

ชีวิตทุกข์
การเกิดมาเป็นมนุษย์ชาติหนึ่ง จะว่าประเสริฐก็ประเสริฐ จะว่าไม่ประเสริฐก็ไม่ประเสริฐ จะเห็นได้ว่า ตื่นเช้าก็มีความทุกข์เข้าครอบงำ จะต้องล้างหน้า ล้างปาก ล้างฟัน ล้างมือ เสร็จแล้วจะต้องกินต้องถ่าย นี่คือความทุกข์แห่งกายเนื้อ เมื่อเราจะออกจากบ้านก็จะประสบความทุกข์ในหมู่คณะ ในการงาน ในสัมมาอาชีวะ การเลี้ยงตนชอบ นี่คือ ความทุกข์ในการแสวงหาปัจจัย

บรรเทาทุกข์
การที่เราจะไม่ต้องทุกข์มากนั้น เราจะต้องรู้ว่า เรานี้จะต้องไม่เอาชีวิตไปฝากสังคม เราต้องเป็นตัวของเราเองและเราจะต้องวินิจฉัย ในเหตุการณ์ที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับตัวเราว่าส่งใดเราควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ

ยากกว่าการเกิด
ในการที่เราเกิดมา ชีวิตแห่งการเกิดนั้นง่าย แต่ชีวิตแห่งการอยู่นั้นสิยาก เราจะทำอย่างไรให้อยู่ได้อย่างสุขสบาย

ไม่สิ้นสุด
แม่น้ำทะเล และมหาสมุทร ไม่มีที่สิ้นสุดของน้ำ ฉันใด กิเลสตัณหาของมนุษย์ก็ย่อมไม่มีที่สิ้นสุด ฉันนั้น

ยึดจึงเดือดร้อน
ทุกวันนี้ เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อน ก็เพราะมนุษย์ไปยึดโนน่ ยึดนี่ ยึดพวกยึดพ้อง ยึดหมู่ยึดคณะ ยึดประเทศเป็นสรณะ โดยไม่คำนึงถึงธรรม สากลจักรวาลโลกมนุษย์นี้ ทุกคนมีกรรมจึงเกิดมาเป็นสัตว์โลก สัตว์โลกทุนคนต้องใช้กรรมตามวาระ ตามกรรม ถ้าทุกคนยึดถือเป็นอารมณ์ ก็จะเกิดการเข่นฆ่ากัน เกิดการฆ่าฟันกัน เพราะอารมณ์แห่งการยึดถืออายตนะ ฉะนั้น ต้องพิจารณาให้ถ่องแท้ว่า สิ่งใดทำแล้ว สัตว์โลกมีความสุข สิ่งนั้นควรทำ นี่คือ หลักความจริงของธรรมะ

อยู่ให้สบาย
ในภาวะแห่งการที่จะอยู่อย่างสบายนั้น เราต้องอยู่กันอย่างไม่ยึด อยู่กันอย่างไม่ยินดี อยู่กันอย่างไม่ยินร้าย อยู่กันอย่างพยายามให้จิตวิญญาณของนามธรรมนั้นเหนืออารมณ์ เหนือคำสรรเสริญ เหนือนินทา เหนือความผิดหวัง เหนือความสำเร็จ เหนือรัก เหนือชัง

ธรรมารมณ์
การอยู่อย่างมีธรรมารมณ์คือ การอยู่เหนือความรู้สึกทั้งปวง อยู่อย่างรู้หน้าที่การเป็นคน และรู้หน้าที่ในการงาน คือรู้ว่าสิ่งที่เราทำนั้น เป็นสิ่งที่เราต้องทำ ไม่ใช่ทำเพื่อหวังผลตอบแทน เพราะถ้าเราทำงานเพื่อหวังผลตอบแทนต่างๆแล้ว ถ้าสิ่งต่างๆไม่สัมฤทธิ์ผลตามความหวังนั้น เราย่อมเกิดความโทมนัส เสียใจน้อยใจ เป็นทุกข์

กรรม
ถ้าเรามีชีวิตอยู่อย่างที่ว่า เกิดเพราะกรรม อยู่เพื่อกรรม ทำเพราะกรรม ตายเพราะกรรมแล้ว ชีวิตการเป็นมนุษย์ย่อมมีความภิรมย์ มีความรื่นเริง

มารยาทของผู้เป็นใหญ่
" ผู้ใหญ่ไม่ใช่อยู่ที่เกิดก่อน ผู้ดีไม่ใช่อยู่ที่เรียนสูง " มารยาทจรรยาของการเป็นผู้ใหญ่ ก็คือต้องสุขุมรอบคอบ และไม่ยึดติดเสียงเป็นหลัก คือ ต้องไม่หวั่นไหวกับคำนินทาและสรรเสริญ

โลกิยะหรือโลกุตระ
คนที่เดินทางโลกุตระ ย่อมไปดีทางโลกิยะไม่ได้ คนที่เดินทางโลกิยะย่อมสำเร็จทางโลกุตระได้ยาก เพราะอะไร ? ถ้าคนหนึ่งสำเร็จได้ทั้งโลกิยะ และโลกุตระง่ายแล้ว ทำไม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธโคดม ต้องสละราชบัลลังก์แห่งจักรพรรดิไปเป็นธรรมราชาเล่า ถ้าเป็นไปได้ พระองค์เป็นมหาจักรพรรดิพร้อมทั้งธรรมราชา ไม่ดีหรือ? แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะโลกของโลกิยะและโลกุตระเดินคู่ขนานกัน เราต้องตัดสินใจ ต้องมีความเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญในการที่จะเลือกทางใดทางหนึ่ง

ศิษย์แท้
พิจารณากาย ในกาย พิจารณาธรรม ในธรรม พิจารณาวิญญาณ ในวิญญาณ นั่นแหละ คือ สานุศิษย์อันแท้จริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

รู้ซึ้ง
ทุกอย่างจะต้องมีเหตุ เมื่อมีเหตุจึงจะมีผล ผลนั้นเกิดจากเหตุ เราได้วินิจฉัยข้อนี้แล้ว เราจึงรู้ซึ้งถึงพุทธศาสนา

ใจสำคัญ
การทำบุญนั้น จะต้องทำด้วยจิตใจบริสุทธิ์ จะต้องทำด้วยความศรัทธา ผลสะท้อนมันจะเกิดขึ้น เกินความคาดหมาย

หยุดพิจารณา
คนเรานี้ ถ้าไม่มีอะไรทำอยู่ในที่วิเวกคนเดียว จิตมันจะฟุ้งซ่าน และถ้าภาวะนั้นตนไม่ปล่อยให้จิตฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆ คือหยุดพิจารณาแล้วค้นสัจจะของ ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมที่จะค้นหาสัจจะในธรรมะได้

บริจาค
ทำบุญสังฆทานเป็นจาคะ จาคะเป็นการบริจาคโภคทรัพย์ภายนอน การสวดมนต์เป็นการภาวนา การภาวนาเป็นการบริจาคภายใน เพราะฉะนั้น ถ้านับในด้านทิพย์อำนาจ การบริจาคภายในย่อมได้กุศล มากว่า การบริจาคภายนอน นี่คือเรื่องของนามธรรม

ทำด้วยใจสงบ
เราจะทำบุญก็ดี เราจะทำอะไรก็ดี จงทำด้วยความสงบ อย่าทำด้วยอารมณ์แห่งความร้อน เพราะการทำด้วยอารมณ์ร้อนนั้น มันจะพาเราไปสู่หายนะ เมื่อเกิดอารมณ์ร้อน เราจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จงอย่าทำ นั่งให้จิตใจมันสบายเสียก่อน เมื่อจิตใจสบายแล้วปัญญาก็เกิด เมื่อเกิดปัญญาแล้ว จะทำสิ่งใดก็เป็นไปโดยความสะดวก

มีสติพร้อม
จะทำสิ่งใดก็ตาม เราต้องมีสติพร้อม คือ อย่าให้มีโทสะ อย่าให้อารมณ์เข้ามาควบคุมสติ อย่าให้เรื่องส่วนตัวและขาดเหตุผลมาอยู่เหนือความจริง

เตือนมนุษย์
มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่งานส่วนตัว มนุษย์ผู้นั้น จะไม่มีงานทำในไม่ช้า
มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่ทรัพย์ส่วนตัว มนุษย์ผู้นั้น จะไม่มีทรัพย์ครองในไม่ช้า
มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่นอนมาก มนุษย์ผู้นั้น จะไม่ได้นอนในไม่ช้า

พิจารณาตัวเอง
คืนหนึ่งก็ดี วันหนึ่งก็ดี ควรให้มีเวลาว่างสัก 5 นาที หรือ 10 นาที ไม่ติดต่อกับใคร ให้นั่งเฉยๆ คิดถึงเหตุการณ์ที่เราทำไปแต่ละวันๆ ว่าที่เราทำไปนั้นเป็นอย่างไร คือให้ปลีกตัวมีเวลาเป็นของตัวเองบ้าง คิดเอาแต่เรื่องของตัว อย่าไปคิดเรื่องของคนอื่น เพราะมนุษย์เราส่วนมากทุกวันนี้ มักเอาแต่เรื่องของคนอื่นมาคิด ไม่ค่อยคิดเรื่องของตัวเอง

คัดลอกจากหนังสือ เรียนธรรมะบูชาพระสุปฏิปันโน เล่มของ หลวงปู่ทวด
ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม
http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/007639.htm

476
ประเภทของเหล็กไหล

ธาตุศักดิ์สิทธิที่เราเรียกกันว่า ?เหล็กไหล? นี้ พอจะแบ่งแยกได้เป็นสองประเภทใหญ่ ๆ ด้วยกัน

1.ธรรมธาตุ กำเนิดของเหล็กไหลประเภทนี้ เกิดจากจิตของเทพพรหมในอดีตอันไกลโพ้น ซึ่งเป็น ?อรูปพรหม? ที่ปรารถนาจะมาช่วยรักษาพระพุทธศาสนา จึงได้ลงมาบำเพ็ญฌาณในมนุษย์โลก ได้เข้ามาสัมผัสเข้ากับกลิ่นอันโอชะของง้วนดิน ที่เป็นธาตุ บริสุทธิ์มาแต่เดิม แล้วเกิดติดใจในความโอชาของง้วนดินเข้า เมื่อเสพแล้วก็เลยหาที่พักพิงอาศัยอยู่ ตามเงื้อมเขา ตามถ้ำอันสงบ เป็นอยู่อย่างนั้นตามสภาพของจิต ล้านปีบ้าง แสนปีบ้าง หมื่นปีบ้าง ร้อยปีบ้าง หนึ่งปีบ้าง

เมื่ออัธยาศรัยของจิตเริ่มเกาะรูปธรรม จึงได้เนรมิตรธาตุบริสุทธิ อันประกอบด้วย ธาตุทั้ง 4 อันได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ด้วยการเนรมิตรเอาด้วยกำลังแห่งฤทธิ์ขึ้นมาประกอบเป็นเรือนกาย ฝังตัวอยู่ในก้อนธาตุเหล่านั้น อาศัยอยู่ในโลกมนุษย์ เป็นเพศผู้ก็มี เพศเมียก็มี อยู่โดดเดี่ยวก็มี เป็นคู่ก็มี เป็นกลุ่มก็มี มีรังอาศัยอยู่ก็มี ที่ไม่มีรังอาศัยอยู่ก็มี โดยปกติแล้วปีหนึ่ง ๆ ประมาณเดือน 5 ธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้จะออกหาเสพง้วนดิน

แต่ในสมัยปัจจุบันโลกมนุษย์ของเรา ผิวพื้นโลกไม่มีความสะอาดเพียงพอ จึงไม่มีง้วนดินอยู่ ธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้จึงต้องอาศัย เสพน้ำผึ้งแทนเฉพาะในเวลากลางคืนโดยอาศัยป่าเขาต่าง ๆ ซึ่งบางคนอาจจะเคยพบเห็น

ลักษณะการเคลื่อนที่ของธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้ จะปรากฏเป็นดวงกลมใหญ่ เล็ก ลอยออกจากหน้าผาหรือถ้ำ ออกไปจับรังผึ้งตามต้นไม้ บางดวงก็ลอยหายไปในโพรงไม้เพื่อกินน้ำผึ้งโพรง บางดวงก็ลอยหายไปใต้พื้นดินเพื่อกินน้ำหวานของแมงขี้สูตร

ถ้าผู้พบเห็นมีความสามารถพิเศษ ก็สามารถเชิญเขามาสนทนาได้เช่นกัน แต่ถ้าต้องการที่จะครอบครองของสิ่งนี้ ต้องมีวาสนาบารมีสั่งสมร่วมกันมาตั้งแต่อดีต หรือมิเช่นนั้นก็ต้องเป็นผู้มีศีลธรรม จิตใจเป็นบุญเป็นกุศล ถึงพร้อมพรหมวิหารธรรม เจตนาเป็นกุศลจิต ก็อาจทำพิธีอัญเชิญท่านให้ปรากฏตนออกมา เพื่อสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้ทรงคุณธรรมทั้งฝ่ายฆราวาสและบรรพชิตที่ประสงค์จะช่วยกัน สืบพระศาสนาขององค์พระศรีศากยมุณี ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกันมาแต่อดีตชาติ แล้วได้จุติลงมาเป็นมนุษย์

เทพพรหมเหล่านี้มุ่งการบำเพ็ญบารมีทำความเพียรจนเข้าถึงอริยสัจจธรรม เพื่อที่จะได้น้อมนำชีวิตอุทิศตนเอง ถวายเป็นพุทธบูชาเสริมสร้างบารมีของตน จนเข้าสู่มรรคผลนิพพาน ในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้า และจรรโลงกอบกู้อุปถัมภ์ค้ำชู พระพุทธศาสนาที่เป็นฝ่ายสัมมาทิฐิ ที่ปฏิบัติถูกต้องตามความเป็นจริงแห่งธรรม

ดังนั้นฤทธิ์อำนาจของเหล็กไหลชนิดนี้จะสูงกว่าธาตุกายสิทธิ์ทุกประเภท สามารถทำปฏิกิริยาต่อเชื้อปะทุทุกชนิดและศาสตราวุธต่าง ๆ ให้หมดอานุภาพได้ เมื่อเทพนั้นมีความประสงค์จะแสดงอิทธิฤทธิ์ให้ดู หรือเพื่อคุ้มครองรักษาเจ้าของเหล็กไหลนั้น คือจะแสดงฤทธิ์ก็ต่อเมื่อมีเหตุจำเป็นเท่านั้น

นอกจากนี้ยังล่องหนหายตัวได้เมื่อต้องการ โดยการสลายรูปธาตุทั้งสี่ให้เป็นอรูปธาตุ (วิญญาณธาตุ) แล้วประกอบขึ้นใหม่ได้ และเมื่อยังไม่ประกอบรูปธาตุก็จะยังไม่กินน้ำผึ้ง ต่อเมื่อประกอบธาตุแล้วจึงจะกินน้ำผึ้ง และต้องเป็นน้ำผึ้งที่บริสุทธิ์อีกด้วย

ลักษณะพรรณสัณฐานของเหล็กไหลประเภทนี้มีหลายรูปแบบ เช่น รูปไข่ กลมรี ครึ่งซีก ทรงกลม หนำเลี๊ยบ รักบี้ เป็นต้น เพราะมองดูเผินจะมองไม่ออกเลยว่าเป็นเหล็กไหล เพราะเหมือนก้อนหิน ก้อนกรวดธรรมดา ธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหล ที่เป็นธรรมธาตุนี้ แต่ละองค์จะมีนามของตนเองโดยเฉพาะ จะต้องสอบถามนามของท่านเอาเอง

ยุคสมัยปัจจุบันมีผู้ตั้งค่านิยมของ ธาตุกายสิทธิ์ ไว้สูงมาก จนเกิดการทุ่มเทติดตามหาวัตถุธาตุกายสิทธิ์นี้อย่างจริงจัง จนหลายคนหมดเงินหมดทองไปเป็นจำนวนมาก แต่มีน้อยรายที่จะพบกับความสำเร็จ เพราะขาดความรู้ความเข้าใจ ความเป็นมาของธาตุวิเศษเหล่านี้ รวมทั้งขาดบุญวาสนาอีกด้วย พึงตระหนักอยู่เสมอว่า สิ่งใดมีคุณอนันต์ ก็ย่อมเกิดโทษอันมหันต์ได้เช่นกัน

2.ธาตุสำเร็จ เหล็กไหลชนิดนี้เป็น ?รูปธาตุ? มีแต่เพียงจิตครอง ไม่มีวิญญาณครอง เกิดจากฤทธิ์อำนาจของเทพระดับต่ำลงมาในระดับ ?รูปพรหม? โดยเมื่อครั้งในอดีตได้เคยบำเพ็ญตบะเป็นฤาษีชีไพรจนสำเร็จรูปฌาณ แต่ด้วยบุพกรรมและความปรารถนาบางอย่าง จึงได้ลงมาสู่โลกมนุษย์ในลักษณะเป็นก้อนธาตุสำเร็จ รูปทรงต่าง ๆ กัน ที่เป็นเหมือนโลหะธาตุก็มี เหมือนแก้วใสก็มี สถานที่ อยู่ของเหล็กไหลประเภทนี้ มักจะอยู่ภายในถ้ำที่มีความสะอาด เย็น หรือชื้นแฉะ ธาตุเหล็กไหลประเภทนี้ไม่สามารถล่องลอยไปหาน้ำผึ้งกินเองได้ จะต้องอาศัยวัตถุธาตุที่เป็นสื่อเป็นสะพานนำไป โดยการไหลไปตามพื้นดิน ผนังถ้ำ หรือ หน้าผา

หากสถานที่นั้นไม่มีผึ้งทำรังอยู่ นานวันเข้าเหล็กไหลก็จะเคลื่อนย้ายเปลี่ยนที่ อยู่ใหม่ต่อไปเรื่อย ๆ บางครั้งก็จะมีการขับถ่ายของเสียออกมา ซึ่งเรียกกันว่า ?ขี้เหล็กไหล? เมื่อถ่ายมูลเสร็จจะกลับเข้ารังต่อไป

สำหรับเหล็กไหลประเภทนี้มีฤทธิ์อำนาจใกล้เคียงกับธาตุกายสิทธิ์ประเภทแรก เพราะเป็นการประกอบธาตุให้ถูกส่วนของผู้มีวิชาแก่กล้าทางโลกียฌาณ คือ ฤาษี ชีไพร คนธรรพ์ วิทยาธร เป็นต้น แต่ไม่สามารถคุ้มครองตัวเองได้ เพราะถ้าเจอะผู้มีวิชาอาคมที่ แก่กล้า จะถูกทำลายหรือแย่งชิงได้ง่าย เนื่องจากมีเพียงวิญญาณธาตุ คือ พลังงานอย่างเดียว

ดังนั้นผู้มีเหล็กไหลประเภทนี้อยู่ มักจะไม่เปิดเผย เพราะเกรงผู้มีวิชาเรียกเอาได้ ลักษณะของเหล็กไหลประเภทนี้มักจะพบเห็นบ่อยครั้ง มีชื่อเรียกหาแตกต่างกันไปตามความคิดความเข้าใจและคุณสมบัติที่พบเห็น บางครั้งต้องทำพิธีพลีกรรมตัดเอา แต่ สำหรับผู้ทรงฌาณระดับสูงแล้ว เพียงแต่ทำการอัญเชิญท่าน ก็จะเสด็จมาอยู่ด้วยโดยไม่ ต้องมีพิธีกรรมที่ยุ่งยากแต่อย่างใด


>>
> >
> >
อาณาจักรของเหล็กไหล

เนื่องจากเหล็กไหลประกอบไปด้วยธาตุเหล็กเป็นสำคัญ จึงต้องการสิ่งที่มีความแข็งแกร่งพอสมควรที่จะเข้าไปยึดเกาะเป็นที่อยู่อาศัยเพื่อ สร้างอาณาจักรหรือรังขึ้นมา เฉกเช่นสัตว์โลกทั่วไปที่ จำเป็นต้องมีที่อยู่อาศัย เพื่อขยายเผ่าพันธ์มีลูกมีหลานสืบต่อไปในภายภาคหน้า

ดังนั้นโครงสร้างของอาณาจักรส่วนใหญ่จึงยึดเอาสิ่งที่มีธาตุเหล็กเป็นหลัก เพราะจะได้อาศัยการกินธาตุเหล็กเป็นอาหาร เพื่อเป็นการตั้งธาตุและปรับธาตุของตนเองให้เกิดความสมดุลย์ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากธาตุเหล็กเป็นธาตุดังเดิมที่มีอยู่ในพื้นภิภพและพื้นผิวโลกมาตั้งแต่การกำเ
นิดของโลกก็ว่าได้

ธาตุเหล็กจึงมีโอกาสดึงดูดและสะสมพลังงานต่าง ๆ ที่มีอำนาจมาไว้ในตนเองค่อนข้างมากและเป็นเวลานาน ทำให้เหล็กไหลมีอิทธิฤทธิ์เพิ่มพูนขึ้น และเมื่อมีการกินธาตุเหล็กเข้าไปมาก ก็ย่อมมีการขับถ่ายของเสียออกมาหรือของเหลือออกมา กลายเป็น ?ขี้เหล็กไหล? ซึ่งมีลักษณะเหมือนเหล็กที่ผุตัวลงไป ไม่มีความแข็งแกร่งเหมือนกับตัวเหล็กไหล หรือ โคตรเหล็กไหล

แต่เหล็กไหลบางประเภทที่อาจจะมีผิวพรรณวรรณะไปทาง ธาตุกายสิทธิ์ คล้ายแก้วหรือหินย่อมจะสร้างรังหรืออาณาจักรที่แตกต่างกันไป ส่วนใหญ่จะเป็นเทพผู้รักษาในระดับชั้นพรหมที่ละเว้นจากเรื่องกาม เช่น มหาฤาษีผู้เพ่งฌาณสร้างธาตุกายสิทธิ์ หรือ กลั่นกรองธาตุเหล่านั้นจนใสเป็นแก้วแตกต่างกันไปตามบารมี ชอบจะอาศัยอยู่ในโพรงหินที่เป็นแก้วสีที่แตกต่างกันออกไป หากดูภายนอกจะไม่ทราบเลยว่า ภายในก้อนหินเหล่านั้นจะมีธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหลซ่อนอยู่ภายใน


>>
> >
รังของเหล็กไหล



ความหมายของ ?รังเหล็กไหล? ย่อมหมายถึงลักษณะของถิ่นที่อยู่หรือโครงสร้างที่อยู่อาศัยนั้นเอง เหล็กไหลบางประเภทที่จำเป็นต้อง สร้างอาณาจักรนั้น ลักษณะของรัง จะเหมือนรังผึ้ง้ มีท่อ มีรู เชื่อมโยงอยู่ภายใน เหมือนเป็นเส้นทางเชื่อมโยงติดต่อซึ่งกันและกัน โดยมีการแบ่งสัดส่วนเป็นห้องเป็นหับ เหมือนสัตว์โลกทั่วไป เพื่อใช้เป็นห้องพักของตนเอง ห้องพักของตัวอ่อน ลูก ๆ ที่เกิดขึ้นก็จะฟักตัวเองอยู่ในโพรง หลายตัวต่อโพรงก็มี

รังของเหล็กไหลเหล่านี้มักจะอยู่ภายในถ้ำคูหาต่าง ๆ พ่อแม่ก็อาจจะแสวงหาอาหารจากแร่ ธาตุและธาตุอื่น ๆ ที่มีฤทธิ์อำนาจและพลังบารมีสูง เพื่อให้ตัวอ่อนมีความแก่กล้าและแข็งแรงเติบใหญ่ขึ้น พร้อมกับเรียนรู้สภาวะต่าง ๆ ไปพร้อมกัน

จากตัวเล็กขนาดเท่าปลายเข็ม ก็ขยายใหญ่ขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงขนาดไข่ปลาดุก ไข่กบ เม็ดถั่วเขียว เม็ดถั่วลิสง เชื่อกันว่าเม็ดเหล็กไหลขนาดเล็กเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีฤทธือำนาจมากขึ้นเท่านั้น เพราะหากมีเหตุเภทภัยอันใดจะมาถึงตัว ก็จะใช้ฤทธิ์ทั้งหมดในทีเดียว

ดังนั้นจึงเป็นที่เชื่อถือในหมู่ผู้ปฏิบัติจนได้ถึง เจโตรปริยญาณว่า ตัวเหล็กไหลที่แท้จริงนั้น ก็ คือตัวลูก ๆ ที่ยังเล็ก ๆ อยู่ หรือเพิ่งเป็นอิสระหลุดตัวเองออกมาจากญาณพ่อญาณแม่ของมัน

เหล็กไหลบางประเภท ก็จะมีสิ่งปกป้องคุ้มครองจากเหล่ายักษ์ คนธรรพ์ นาค วิทยาธร ให้ความอารักขา เนรมิตสิ่งบดบังคุ้มครองหรือปกปิดให้ เช่น ?แก้วขนเหล็ก? ที่เป็นเหมือนขนโลหะที่มี ความคมและแข็งห่อหุ้ม เหล็กไหลไว้ภายในโดยรอบ

เหล็กไหลบางประเภท ก็จะมีสิ่งห่อหุ้มที่เกิดขึ้นมาจากธรรมชาติ ปกป้อง หรือ เป็นที่หลบซ่อนฝังตัวของเหล็กไหล ไม่ให้ปรากฏเป็นที่สนใจของผู้ที่มีเจตนาที่ไม่ดีได้พบเห็น มีลักษณะแตกต่างกันไป บางอย่างก็นิ่มคล้ายขี้ผึ้ง แต่พอโดนอากาศภายนอกนาน ๆ ก็จะแข็งตัว บางอย่างคล้ายแก้วสี ขุ่น ๆ ห่อหุ้มตัวไว้ มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่เหตุปัจจัย

คุณสมบัติของผู้ครอบครองเหล็กไหล

เหล็กไหลจะอยู่กับผู้มีบุญเท่านั้น ผู้มีบุญในที่นี้หมายถึง ผู้ประพฤติชอบด้วย กาย วาจา ใจ ไม่คิดเบียดเบียนผู้อื่น ยึดมั่นในศีล 5 พรหมวิหาร 4 ผู้ละแล้วเสียซึ่ง ความโลภ โกรธ หลง เหล็กไหลเมื่อมีความยินดีจะอยู่คุ้มครองให้กับผู้ใดก็จะอยู่ด้วยตลอดไป เว้นแต่ผู้นั้นจะมีจิตใจที่เปลี่ยนไปในทางอกุศล เหล็กไหลก็อาจหายไปทันที

ดังนั้นผู้ครอบครองเหล็กไหล จึงควรมีคุณสมบัติดังนี้

1.บุญวาสนาและบารมี ที่ประกอบไปด้วยสัมมาทิฐิ เป็นคนดีมีศีลธรรม

2.มีความเชื่อมั่นและศรัทธาในธาตุกายสิทธิ์นี้

3.มีความปรารถนาอยากได้อย่างแรงกล้า

แท้จริงแล้วผู้ที่จะเกี่ยวข้องกับเหล็กไหล ซึ่งเป็นธาตุกายสิทธิ์ที่มีทั้งบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์แล้ว จะต้องมีบารมีรองรับพอเพียง มิฉะนั้นเหล็กไหลจะหนีกลับไปสู่เจ้าของเดิม หรือ ผู้ที่มีบารมีสูงพอ ดังนั้นถ้ามีเงินแต่ไม่มีคุณธรรม ก็อย่าหมายว่าจะซื้อได้

ท่านทั้งหลายได้ลองพิจารณาตนเองในส่วนนี้แล้วหรือยัง ในการที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหล็กไหล เพราะเหล็กไหลทุกประเภท ล้วนแต่ยอมอุทิศตนเพื่อเสริมสร้างบารมีธรรมให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปจนถึงมรรคผลนิพพาน จึงยอมอุทิศตนทั้ง ร่างกายคือธาตุขันธ์ และจิตวิญญาณ ในการสืบพระศาสนาให้มั่นคงสถาพรตราบนานเท่านาน


477
ต้นตำนานเหล็กไหลในยุคปัจจุบัน



เรื่องราวความเป็นไปของเหล็กไหล ค่อนข้างสลับซับซ้อนและยากต่อการเสาะแสวงหา นอกจากการชี้แนะของ ครูบาอาจารย์ รุ่นก่อน ๆ ที่ท่านได้ศึกษาและมีประสพการณ์ โดยเฉพาะตำนานเหล็กไหลเหล่านี้ ได้รับการบอกเล่าสืบทอดกันมาด้วยวาจา จนเมื่อ หลวงพ่อสัมฤทธิ์ อดีตเจ้าอาวาส วัดถ้ำแฝด อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ได้เปิดเผยเรื่องราวอันมหัศจรรย์นี้จากการบอกเล่าสืบทอดกันมาแต่โบราณ ถ่ายทอดจากประสพการณ์ ออกเผยแพร่เป็นตำนานเรื่องเล่าขาน



จนพระอาจารย์ สิทธา เชตวัน นักเขียนนวนิยาย และเรื่องราวที่ ลี้ลับทางจิตอภิญญา ผู้มีบารมีธรรมและญาณหยั่งรู้ชั้นสูง ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเพศบรรพชิตที่ กำลังแสวงหามรรคผลในปัจจุบัน ได้เคยกล่าวถึงหลวงพ่อสัมฤทธิ์ไว้ว่า

?พระธุดงค์ส่วนใหญ่ท่านจะแสวงหามรรคผลนิพพาน แต่หลวงพ่อสัมฤทธิ์ไม่ เอาอย่างนั้น จะเอาเหล็กไหลลูกเดียว ช่างกล้าหาญชาญชัยถึงปานนั้น"

เพราะผู้ที่จะรู้เรื่องราว ?เหล็กไหล? ส่วนใหญ่จะเป็น พระเกจิอาจารย์ผู้ผ่านการวิเวกตามป่าเขาลำเนาไพร เป็นผู้ทรงญาณเก่งกล้าในพุทธาคม จึงจะมีโอกาสได้สัมผัสหรือรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ ตลอดจนมีเหล็กไหลบางประเภทอยู่ในครอบครอง

หลวงพ่อสัมฤทธิ์ ท่านศึกษาเรื่องเหล็กไหลมาจาก หลวงพ่อดี วัดพระไต นครเวียงจันทร์ ประเทศลาว อายุ 90 ปีเศษ แต่ยังแข็งแรงเหมือนคนอายุ 60 แต่ท่านเชี่ยวชาญในเรื่อง เหล็กไหลไพรดำ เล่นแร่แปรธาตุ ได้ชวนหลวงพ่อสัมฤทธิ์ศึกษาเรื่องเหล็กไหล โดยออกธุดงค์ไปทาง ภูเขาควาย เข้าไปถึงเขมร และญวน จนได้รับความรู้เป็นอย่างดี จึงย้อนกลับประเทศไทย ออกธุดงค์ไปตามป่าเขาจากเหนือจรดใต้ของประเทศ ทำให้ท่านได้ประสพการณ์เรื่องของ ธาตุกายสิทธิ์ และเหล็กไหลมากมาย

ดังนั้นเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านี้หาใช่จะยึดเป็นตำราได้ไม่ เพียงแต่เป็นเสี้ยวหนึ่งของประสพการณ์จากครูบุรพาจารย์ในอดีต ที่ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อใช้ประกอบการศึกษาและหาทางพิสูจน์กันต่อไป

?เหล็กไหลไพลดำ พูดพล่ามเป็นบ้า เล่นแร่แปรธาตุ ผ้าขาดเป็นวา คิดสะระตะโสฬส นอนอดเหมือนหมา? ดังคำพังเพยของคนโบราณที่ได้ให้ข้อคิดสะกิดเตือนลูกหลานเอาไว้ ไม่ให้สนใจในเรื่องเหล่านี้

เพราะเป็นช่องทางหากินของเหล่ามิจฉาชีพ ใช้เล่ห์เหลี่ยมกลโกงแบบ 18 มงกุฎ ใช้ไสยศาสตร์และมายากลหลอกลวงหากินต้มประชาชน ผู้รู้ไม่ทันก็จะเสียเงินเสียทองเป็นจำนวนมากได้



ฤาเป็นเรื่องที่เบื้องบนต้องการเปิดเผยความเร้นลับของ เหล็กไหล นี้กันแน่ เพราะเมื่อ 30 ปี ก่อน ทันตแพทย์วิชิต ตริชอบ ได้เปิดเผยเรื่องราวของเหล็กไหลในแง่ การผจญภัย และพิธีกรรมตัดเหล็กไหล ผ่านทางนักเขียนนามอุโฆษ ?พนมเทียน? ในหน้าหนังสือพิมพ์ ?เดลินิวส์? ทำให้คนอ่านทั่วประเทศติดกันงอมแงมทีเดียว

เคยมีคนถามคุณหมอวิชิตว่า ?เหล็กไหลมีจริงหรือเปล่า? คำตอบก็คือ ?ผมได้เห็นเหล็กไหลจริง ๆ ดังที่ได้เล่าไว้ในหนังสือเรื่อง เหล็กไหลทั้ง 4 เล่มนั่นแหละ แต่ไม่ กล้ายืนยันว่า เหล็กไหล ที่แท้จริงมีอยู่ในโลกนี้จริง ๆ หรือไม่ มันยังอึมครึมลึกลับอยู่?

เพราะอาจจะเป็นมายาศาสตร์ชั้นสูง ที่ผู้สำเร็จญาณสมาบัติชั้นสูง หรือสำเร็จอภิญญาใช้ฤทธิ์อำนาจสะกดจิตให้เห็นตามที่ต้องการ หรือใช้มายากลระดับเซียนเหยียบเมฆ เพราะเหล็กไหลที่ตัดมาทั้งหมดนั้น ในที่สุดก็ได้ล่องหนหายไปอย่างลึกลับเช่นกัน

แม้ในปัจจุบัน เรื่องราวของการใช้มายากล ในผู้ที่แอบอ้างเป็นพระสงฆ์ ก็ยังมีอยู่ให้เห็นเป็นข่าวเมื่อเร็ว ๆ นี้เช่นกัน การที่อวดแอบอ้างเป็นผู้มีฤทธิ์อภิญญา ใช้ทีมงานร่วมมือกันหลายคน แสดงการปรากฏตัวของ ?เปรต? การเคลื่อนย้ายวัตถุข้ามมิติ การย่นระยะทาง เสกเรียกของกลางอากาศ แล้วทำไมจะใช้ขบวนการสร้างเรื่องราวของเหล็กไหลให้ดูพิสดารสมจริงไม่ได้

เรื่องราวของตำนานเหล็กไหลในที่นี้ เป็นข้อมูลที่หลวงพ่อสัมฤทธิ์ ได้รับมาจากครูบาอาจารย์หลายท่านด้วยกัน ที่เหมือนกันก็มี ที่ขัดแย้งกันก็มี ตามภูมิความรู้ภูมิธรรมของแต่ละท่าน ตลอดจนประสพการณ์จากการปฎิบัติและศึกษาจากของจริงตามป่าตามเขามานานนับสิบปี>>

478
เหล็กไหลธาตุกายสิทธิ์



คำว่า"ธาตุกายสิทธิ์"นั้น หมายถึง วัตถุธาตุบางชนิดที่ปรากฏอยู่ในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ ประกอบไปด้วยพลังงานอันมหาศาล อันเกิดจากเจตสิกผู้ครอบครองธาตุนั้นแฝงเร้นอยู่ ใช้สำหรับป้องกันภัยให้กับตนเองโดยธรรมชาติ แต่บางครั้งไม่ได้ปรากฏให้เห็นชัดเจน กลับซืมลึกลงไปอยู่ใต้พื้นผิวโลก ตามป่าตามเขา ตามถ้ำ แม้แต่ห้วยหนอง คลองบึง รอจนกว่าผู้ที่มีภูมิจิตภูมิธรรมสูงไปพบเข้าแล้วหยิบยกเอาธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้มา ใช้ประโยชน์ เพื่อมวลมนุษยชาติและปกป้องคุ้มครองคนหมู่มาก ดังนั้นจึงเชื่อกันว่า ?เหล็กไหล? จัดเป็นธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่งที่ประกอบด้วยธาตุที่สำคัญดังนี้

1.ธาตุเหล็ก คือ ธาตุหลักเนื่องจากมีความแข็งแกร่งมากที่สุดในยุคนั้น

2.ธาตุดิน ที่ถูกความอัดแน่นของโลก จนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาเป็นหินสีต่าง ๆ เช่น เพชร นิล จินดา อัญมณีหลากสี

3.ว่านมหามงคล ที่มีฤทธิ์อำนาจในตัว เช่น ว่านต่าง ๆ ไพรดำ ซึ่งเป็นพืชที่ดูดซับเอาพลังต่าง ๆ จากผืนดินเก็บสะสมเอาไว้ในตนเอง จนเกิดฤทธิ์เดช

4.ปรอท หรือธาตุอื่น ๆ ที่สามารถเคลื่อนไหว หรือเคลื่อนที่ได้ด้วยตนเอง โดยการอ่อนตัวแล้วกลิ้งไหลไป มีฤทธิ์อำนาจทางความยืดหยุ่น หรือหดตัวเองได้ หลีกภัยได้เร็ว ปรับสภาพตนเองให้เป็นไปในลักษณะต่าง ๆ ได้

ดังนั้นแร่เหล็กที่อยู่ภายใต้ลาวานั้น ย่อมได้รวบรวมเอาสรรพสิ่งจากธาตุ กายสิทธิ์ทั้งหลายเหล่านั้นรวมกันไว้ในตัวเอง คือมีฤทธิ์ในการปกป้องตนเองให้พ้นจากภัยในทุกรูปแบบ เพราะฉะนั้นเมื่อมหาฤาษีได้ใช้อิทธิฤทธิ์ดึงธาตุเหล่านี้ขึ้นมา แล้วถอดจิตด้วยฌาณสมาบัติเข้าแฝงตนอยู่ในธาตุ กายสิทธิ์เหล่านี้ เพื่อฝึกฝนปฏิบัติทางจิตให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป จึงทำให้เจตสิกของผู้ทรงฌาณนั้นเกิดพลังอันมหาศาล แม้แต่จะงอเหล็กก็ยังได้ จนมนุษย์ได้ค้นพบสิ่งเหล่านี้เข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ และไม่ทราบว่ามันคืออะไร ก็เลยเรียกกันว่า ?เหล็กไหล? ตามสภาวะการแสดงอิทธิ์ฤทธิ์ที่ปรากฏต่อสายตาในขณะนั้นนั่นเอง คือลักษณะเหมือนก้อนเหล็กที่ยืดตัวได้ มีสีสรรต่าง ๆ กันหลายรูปแบบ เหล็กไหลจึงเป็นธาตุ กายสิทธิ์ที่ ทรงอิทธิฤทธิ์ จนกลายเป็นสิ่งล้ำค่าที่ผู้คนแสวงหาไม่รู้จักจบมาทุกยุคทุกสมัยตราบจนเท่าทุกวันนี้

เหล็กไหลมีหลากหลายชนิด ลักษณะเป็นเนื้อโลหะสีมันวาวสะท้อนแสงได้ดี แข็งมีน้ำหนักเหมือนโลหะทั่วไป สนิมไม่กินเนื้อ มีพลังอำนาจในตัว ทางธรณีวิทยาเราจัดเป็นแร่ ประเภทหนึ่ง แต่ คนโบราณได้ค้นพบธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้ขึ้นมา โดยการอนุมานจากอนุภาคธรรมชาติ ที่แสดงตนออกมาตามสภาพที่พบเห็นแล้วเรียกมันว่า ?เหล็กไหล? เช่น ยืดได้หดได้ด้วยตนเอง ไหลยืดออกมาเป็นทางยาว ดับความร้อนได้ ชอบกินน้ำผึ้ง มีฤทธิ์ทำลายฟอสฟอรัสหรือหัวไม้ขีดให้หมดสภาพไปได้ คือจุดไม่ติด เมื่อมีการทดลองให้ประจักษ์แก่สายตาในอิทธิ์ฤทธิ์ปาฎิหาริย์ จึงทำให้เกิดมีความปรารถนาและมี ความต้องการสูง มีการติดต่อซื้อขายกันในราคาที่ค่อนข้างสูง คิดตามน้ำหนักเป็นบาทหรือเป็นชิ้นเป็นองค์ในราคาหลักร้อยล้านกันขึ้นไป

ดังนั้น ?เหล็กไหล? จึงเป็นที่ปรารถนาและใฝ่ฝันของคนทั่วไป แม้บางที่จะต้องเสี่ยงภัยถึงขั้นเอาชีวิตแลกก็ยอม เรื่องราวของเหล็กไหลจึงดูเหมือนเป็นเรื่องลี้ลับซับซ้อน และหลายคนคงอยากจะรู้เหมือนกันว่า เหล็กไหลคืออะไรกันแน่ ? เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ? เหล็กไหลที่ทรงอิทธิฤทธิ์นี้ มีจริงหรือไม่ ? จึงเป็นปรัศนีที่ท้าทายความกระหายใคร่อยากรู้ตามลักษณะวิสัยของมนุษย์ จึงทำให้ต้องเที่ยวหาคำตอบจากผู้รู้ทั้งหลาย หรือผู้มี ประสพการณ์ที่มีความรู้ที่พึงเชื่อถือได้ จนกลายเป็นตำนาน ?เหล็กไหล? ที่เล่าขานที่สืบทอดกันมาแต่สมัยโบราณตราบถึงปัจจุบัน บางครั้งก็มีผู้ขนานนามว่า ?ธาตุน้ำนมพระแม่ธรณี?


>>
ธาตุน้ำนมพระแม่ธรณี

พระแม่นางธรณีเป็นผู้รักษาแผ่นดินโลก และสิ่งที่เป็นของแข็งอยู่ในโลกเรานี้จึงได้ถูกเรียกว่า ?ธาตุดิน? ดังนั้น ?เหล็กไหล? จึงจัดเป็นธาตุกายสิทธิ์ที่เกิดขึ้นมาจากธาตุ ของ ?พระแม่นางธรณี? นั่นเอง ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของผิวโลกในหลายศตวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดย่อมก่อให้เกิดการเคลื่อนที่ของแร่ธาตุต่าง ๆ ตามกฎของธรรมชาติ

เหล็กไหลประเภทต่าง ๆ ที่อยู่ตามป่าเขา ตามถ้ำจึงได้เริ่มปรากฏตัวสู่โลกภายนอกในรูปแบบต่าง ๆ ส่วนเหล็กไหลที่เกิดจากปล่องภูเขาไฟระเบิด ตัวแร่เหล็กไหลจะอยู่ ใจกลางก้นบ่อของภู เขา และจากความร้อนแรงที่หลอมละลายอยู่ภายใจกลางโลก จึงทำให้แร่ธาตุต่าง ๆ รวมตัวเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดการไหลรวมตัวกับแร่ธาตุอื่น ๆ อีกหลายชนิด

ธาตุเหล็กไหลนี้จัดได้ว่า มีชีวิตจิตวิญญาณ และเป็นธาตุกายสิทธิ์ ด้วยว่ามันมี พลังงานอยู่ ในตนเองสูงมาก พลังงานนี้จะเทียบเท่ากับน้ำหนักหรือแรงกด เหมือนกับสิ่งของที่มีน้ำหนักมาก ๆ จนบางครั้งยกไม่ขึ้น หรือยกขึ้นไม่ไหว นี่แหละคือคุณค่าพิเศษของธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้ จึงจัดเป็นธาตุที่หาได้ยากมาก จะอยู่ตามถ้ำ ตามหน้าผา หุบเขา หรือภูเขา บางครั้งเราเรียกกันว่า ?ธาตุน้ำนมของพระแม่นางธรณี? ด้วยเกิดจากสิ่งหลอมเหลวภายในโลกนั่นเอง จึงเปรียบเสมือนเลือดน้ำนมในอกของพระแม่ นางธรณี

ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้ใช้พลังงานจากธาตุกายสิทธิ์หลายชนิดอันเกิดจากแร่ธาตุธรรม
ชาติ มาเป็นส่วนประกอบสำคัญในเครื่องมือทางการแพทย์ อุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ และอีเล็คโทรนิค

ธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหลก็เช่นกัน เมื่อคนเราได้ค้นพบพลังงานอันมหาศาลที่ ซ่อนเร้นอยู่ จึงกลายเป็นของที่ทุกคนสนใจใคร่แสวงหากัน และจะหาธาตุเหล็กใดในโลกนี้บ้าง ที่มีพลังลึกลับอันมหัศจรรย์ซ่อนเร้นอยู่ในตัว เพราะเป็นพลังที่พิสดารจากธรรมชาติ เนื่องจากธาตุเหล็กธรรมดา ถ้าสัมผัสพลังดูแล้วจะรู้สึกว่าธรรมดา แต่ถ้าเป็นเหล็กไหลจะรู้สึกถึงพลังอันหนักหน่วง มีน้ำหนักมากจนรู้สึกได้

การสัมผัสพลังของเหล็กไหลนั้น จะต้องอาศัยการฝึกฝนศึกษาจาก กรรมฐานจนเกิดญาณทัศนะ สัมผัสได้ลึกละเอียด มองเห็นและถ่ายทอดออกมาทางอารมณ์ความคิด เพราะพลังธรรมชาติ กับพลังจากพุทธคุณหรือการสวดยัดวัตถุธาตุมงคลนั้นย่อมจะแตกต่างกัน เหล็กไหลจึงจัดเป็นเหมือนแก้วกายสิทธิ์สำหรับผู้ครอบครองที่มีบุญบารมีเท่านั้น

การสัมผัสด้วย ?ญาณ? จากผู้มีบารมีธรรมแต่ละคนนั้น ย่อมจะต้องได้คำตอบถึงคุณลักษณะของเหล็กไหลที่ตรงกัน พลังของเหล็กไหลนั้นรุนแรงมาก จนผู้ทดสอบพลังต้องคลายมือออกจากเหล็กไหลนั้น เพราะจะรู้สึกจุกแน่นหน้าอก เหมือนถูกพลังอันหนักหน่วงโถมใส่จนรับไว้ไม่ไหว จำเป็นต้องคลายสมาธิ โดยฉับพลัน ก็พลังนี้แหละจะสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกของคนเราได้ มองเห็นต่างหูต่างตาแทนเราได้ จึงทำให้วัตถุ มงคลเหล็กไหลเหมือนมีชีวิตจิตวิญญาณ

479
ธรรมะ / ธรรม.........เหมือนแพข้ามฟาก
« เมื่อ: 06 เม.ย. 2550, 03:13:37 »
ธรรมะเหมือนแพข้ามฟาก

พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน เมืองสาวัตถี ได้ตรัสกับภิกษุทั้งหลาย เป็นใจความสรุปได้ว่า
?ภิกษุทั้งหลาย! เราจักแสดงธรรม มีอุปมาดังเรือหรือแพข้ามฟาก แก่พวกเธอเพื่อต้องการให้สลัดออก ไม่ใช่เพื่อต้องการให้สลัดออก ไม่ใช่ต้องการให้ยึดถือ
ภิกษุทั้งหลาย! เปรียบเหมือนบุคคลผู้เดินทางไกล พบแม่น้ำขวางหน้า แต่ฝั่งข้างนี้มีภัยอันตราย ส่วนฝั่งข้างโน้นเป็นที่สบายปลอดภัยเรือหรือสะพานจะข้ามฝั่งก็ไม่มี บุคคลนั้นคิดว่าจะอยู่ช้าไม่ได้อันตราย
เขาจึงรวบรวมกิ่งไม้และใบไม้ เอามาผูกเป็นแพให้ลอยน้ำ แล้วใช้มือและเท้าพุ้ยน้ำด้วยความพยายาม จนข้ามแม่น้ำนั้นได้โดยปลอดภัย
เขาจึงคิดว่า แพนี้มีคุณแก่เรามาก เราอาศัยแพนี้จึงข้ามอันตรายได้ อย่ากระนั้นเลย เรายกเอาแพนี้ขึ้นทูนหัวไปด้วยเถิด แล้วเขาก็เอาแพนั้นทูนหัวเดินไป
ภิกษุทั้งหลาย! การกระทำของบุคคลนั้น ชื่อว่าทำไม่ถูกในหน้าที่ทางที่ถูกนั้นเมื่อเขาอาศัยแพข้ามฝั่งได้แล้ว พึงยกแพขึ้นบกหรือเอาลอยไว้ในน้ำนั่นแหละ แล้วเดินไปแต่งตัว จึงชื่อว่าทำถูกหน้าที่ในแพนั้น แม้ฉันใด
ภิกษุทั้งหลาย! เราแสดงธรรมมีอุปมาด้วยแพ เพื่อต้องการให้สลัดออก ไม่ใช่เพื่อให้ยึดถือก็ฉันนั้นแล เธอทั้งหลายรู้ถึงธรรมมีอุปมาด้วยแพ ที่เราแสดงแล้ว พึงละแม้ซึ่งธรรมทั้งหลาย จะป่วยกล่าวไปไยถึงฝ่ายอธรรมเล่า?

อลคัททูปสูตร 12 / 219

พระสูตรนี้ อยากจะขอร้องให้นักปฏิบัติธรรม ช่วยอ่านกันหลายๆเที่ยวแล้วจับประเด็นหลักสำคัญได้ว่า เป้าหมายอันสูงสุดของพระพุทธดำรัสนี้ อยู่ตรงไหน?
ถ้านักปฏิบัติจับได้และตีปัญหาแตกแล้ว การปฏิบัติธรรมก็จะง่ายยิ่งกว่าการ พลิกฝ่ามือ เสียอีก ที่บางท่านปฏิบัติธรรมยิ่งมากขึ้นเท่าไร ทั้งที่อยู่และจิตใจ ก็ดูเหมือนจะยิ่งรกรุงรัง และจิตก็ขุ่นมัว หรือสกปรกลามกมากขึ้นเท่านั้น นั่นแสดงว่าการปฏิบัติธรรมเกิดการผิดพลาดขึ้นแล้ว
การปฏิบัติธรรมต้องมีขั้นตอน คือละความชั่ว ทำความดี แต่พอถึงขั้นสูงสุดทั้งความชั่วและความดีก็ต้องละให้หมด จึงจะพบพระนิพพาน
 

480
กำเนิดเหล็กไหล



ย้อนกาลเวลาไปนานแสนนาน ในสมัยอสงไขยแสนกัลป์กาลก่อนโน้น มหาฤาษีกไลโกษฐ์ผู้สำเร็จญาณสมาบัติ เป็นผู้เพ่งฌาณเรียกแร่ธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะแข็งตัวได้ หลอมเหลวได้ สลายตัวได้และรวมตัวได้ มีลักษณะเหมือนเหล็กแต่ไม่ใช่เหล็ก ท่านเรียกให้มารวมตัวกันอยู่ตามถ้ำตั้งแต่สมัยแอตแลนติสซึ่งเคยมีความเจริญรุ่งเรือง
สูงสุดในยุคนั้น แต่ได้ล่มสลายหายไปจากแผนที่โลก เชื่อกันว่าทวีปนี้ได้จมหายไปในมหาสมุทรเมื่อคราวน้ำท่วมโลกครั้งใหญ่ และโนอาได้เป็นผู้สร้างเรือใหญ่หนีน้ำท่วม ตามเรื่องราวที่ได้ถูกบันทึกอยู่ในคัมภีร์โบราณ

นอกจากนี้ยังมีท่านมหาฤาษีกัสสปและเหล่ามหาฤาษีผู้ทรงฌาณสมาบัติบรรลุ อภิญญาสูงสุด ท่านก็เป็นผู้ที่ได้เพ่งฌาณเรียกแร่ดังกล่าวมารวมกันที่ผนังถ้ำ เพื่อเป็นที่พำนักของวิญญาณ ได้เล็งเห็นด้วยอำนาจทิพยจักษุญาณว่า ภายใต้แผ่นดินนี้ลึกลงไปประมาณ 3 กม. มีแหล่งรวมของธาตุกายสิทธิ์มากมายหลายชนิด หล่อหลอมเหลวปะปนรวมกันอยู่ ในใจกลางโลก ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในโลกวิทยาศาสตร์ ว่า ?ลาวา? นั่นเอง แต่ภายใต้หินลาวาเหล่านั้นมี ?แร่เหล็ก? ชนิดหนึ่งสมบูรณ์ด้วยคุณภาพ และเยี่ยมยอดเหนือกว่าเหล็กชนิดอื่น



มหาฤาษีผู้ทรงฤทธิ์อภิญญา จึงใช้พลังจิตด้วยฤทธิ์อภิญญาของท่านดึงเอาแร่เหล็กดังกล่าวขึ้นมาจากใต้ลาวา อธิษฐานจิตให้เป็นของศักดิ์สิทธิ์สุดวิเศษ มีอำนาจกายสิทธิ์ มีฤทธิ์ คุ้มครองปกป้องสรรพภัยได้อย่างอัศจรรย์ ดัวยพลังอำนาจจิตชั้นสูงปลุกเสกบรรจุไว้ด้วยอำนาจแห่งฤทธิ์ของมหาฤาษี นั้น จากนั้นได้ใช้อำนาจอิทธิฤทธิ์ตัดเหล็กวิเศษออกทำเป็นรูปเคารพของตน เช่น รูปพระอิศวร รูปพระนารายณ์ รูปพระพรหม แล้วอัดพลังเจโตสมาธิหรือพลังฌาณเข้าไปพร้อมกับอธิษฐานให้เกิดความศักดิ์สิทธิ

แต่ก็มีมหาฤาษีบางตนมีศรัทธาแก่กล้า เข้าฌาณเต็มอัตราแล้วถอดจิตหรืออาตมันของตนเองด้วยมโนมัยฤทธิ์ เข้าไปอยู่ในเทวรูปเหล็กวิเศษนั้นเลย ทีเดียว ถือว่าเป็นการสละชีวิตบูชาองค์พระผู้เป็นเจ้าตามลัทธิความเชื่อถือ ฤาษีตนอื่นเห็นเข้าก็เอาแบบอย่าง เพราะถือว่าเป็นกุศลสูงสุดที่ได้เอาดวงจิตเข้าร่วมปรมาตมันของพระผู้เป็นเจ้าโดย ทางลัด

ต่อมาฤาษีอื่น ๆ เห็นว่าการถอดจิตเข้าในเทวรูปนั้นมีมากแล้ว น่าจะเข้าสิงสู่ในรูปแบบอื่น ๆ ที่จะยังคงขลังและศักดิ์สืทธิ์เหมือนเดิม เพื่อให้สาธุชนได้ไว้สักการะบูชาเพื่อความเป็นศิริมงคล คุ้มครองป้องกันชีวิตและทรัพย์สมบัติ

ดังนั้นฤาษีผู้บำเพ็ญญาณอื่น ๆ ที่บำเพ็ญบารมีถึงขั้นพรหมในถ้ำต่าง ๆ จึงได้ถือเป็นแบบอย่างสืบทอดกันมา ก็จะทำการเพ่งฌาณเรียกเอาแร่ธาตุกายสิทธิ์ดังกล่าวให้ไหลมารวมตัวกันเป็นสังขารอมตะ สำหรับวิญญาณซืมสิง เมื่อกายเนื้อได้แตกดับทำลายลงไปตามกาลเวลา ด้วยเหตุนี้ตามถ้ำต่าง ๆ จึงมีเหล็กไหลซุ่มซ่อนแฝงเร้นกายสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

นับได้ว่าเป็นต้นแบบของเหล็กไหลที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก จนในกาลต่อมาได้เป็นคติ นิยมสืบทอดกันมาในทางพระพุทธศาสนา ที่ผู้สำเร็จฌาณอภิญญาชั้นสูง นิยมถอดจิตตนเองด้วยวิธี มโนมยิทธิ เข้าสิงในรูปปั้นพระพุทธปฏิมากร แล้วอธิษฐานให้พระพุทธรูปนั้นลอยไปตามน้ำ เห็นสถานที่ใดเหมาะสมที่จะให้ประชาชนได้กราบไหว้บูชา ชาวบ้านก็จะทำพิธีบวงสรวงชักลากขึ้นไปสักการบูชาได้สำเร็จ เช่น หลวงพ่อโสธร หลวงพ่อวัดไร่ขิง หลวงพ่อบ้านแหลม หลวงพ่อทอง เป็นต้น

เหล็กไหลนี้จึงเปรียบได้กับร่างกายของท่านมหาฤาษีทั้งหลาย ที่มีวิญญาณอันเป็นอมตะของท่านมหาฤาษีครองอยู่ จึงได้เกิดอภินิหารเหนือสิ่งมีชีวิตทั้งปวง จนบางครั้งมีผู้เรียกขานกันว่า ?ธาตุกายสิทธิ์?>>

481
เหล็กไหล คือ ก้อนแร่เหล็กบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ ได้รับการอธิษฐานบรรจุฤทธิ์ โดยพระฤาษีผู้ทรงฌาณชั้นสูง เพื่อธำรงคุณงามความดี โดยมีธาตุกายสิทธิ์เป็นผู้คอยช่วยเหลือผู้ที่มี ความทุกข์ยากให้พ้นภัย จัดเป็นธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่งที่มีรังสีหรือพลังปราณที่ทรงอำนาจในการป้องกันตัว และสิ่งที่อยู่ ใกล้ตัว ให้พ้นจากภัยอันตรายอันเกิดจากอาวุธปืนหรือของมีคม เป็นสสารที่มีชีวิตเป็นอมตะและหายากยิ่ง ต้องมีพิธีกรรมมากมายกว่าจะได้มา ฉะนั้นเหล็กไหลจึงเป็นวัตถุอาถรรพณ์ที่ มีราคาแพง เพราะเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายและเป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า เหล็กไหลมีอานุภาพยอดเยี่ยม สามารถคุ้มครองชีวิตคนที่มีเหล็กไหลพกติดตัว และจะได้รับความคุ้มครองให้ปลอดภัยจากอุบัติภัยร้ายแรงรวมถึงอาวุธร้ายแรงนานาชนิด ได้อย่างอัศจรรย์นั่นเอง


482
ธรรมะ / คนกับธรรมนั้น คือ ฉันใด
« เมื่อ: 06 เม.ย. 2550, 03:02:04 »
1. โจทย์หลัก
ถ้าจะตั้งคำถาม เกี่ยวกับ "คนกับธรรม" ก็คงจะตั้งได้สัก 4 คำถาม เป็นอย่างน้อย คือ

คนกับธรรม คืออะไร?
คนกับธรรม มาจากไหน?
คนกับธรรม เพื่ออะไร ประโยชน์ใด?
คนกับธรรม เชื่อมโยงกันอย่างไร ทำไม?

สังคมไทยเรา ณ วันนี้ จะมีคนอยู่จำนวนหนึ่งซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มคนชั้นกลาง เป็นผู้ที่มีโอกาสได้รับรู้ เรียนรู้วิชาการสมัยใหม่ จากตะวันตก แต่ค่อนข้างมีโอกาสน้อยที่จะได้สัมผัสคำว่า "ธรรม" ผู้เขียนก็เป็นคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มนี้มาก่อน เหตุเพราะการศึกษาที่เป็นทางการของเรานั้นเดินตามตะวันตกค่อนข้างจะเต็มที่ แต่ด้วยเหตุที่เส้นทางเดินของชีวิตที่ลุ่มๆ ดอน ๆ ต้องต่อสู้กับปัญหาอุปสรรคต่างๆ ค่อนข้างมาก และสูงหรือรุนแรงจึงมีโอกาสได้เรียนรู้ สิ่งที่ชื่อว่า "ธรรม กับคน" หรือ "คนกับธรรม" มากขึ้น

สิ่งที่จะนำเสนอไว้ในบทความนี้ คือ ความรู้ความเข้าใจเรื่อง "คนกับธรรม" หรือ "ธรรมกับคน" ที่ผู้เขียนได้เรียนรู้ได้สัมผัส ได้เข้าใจ จึงขอนำมาบันทึกไว้ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับท่านทั้งหลาย

คนเป็นส่วนหนึ่งของธรรม
ธรรม คือ ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งที่มนุษย์รับรู้ได้และรับรู้ไม่ได้

ธรรมแบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่คงที่ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น และส่วนที่ไม่คงที่ มีการเปลี่ยนแปลงได้ ตามเหตุตามปัจจัย นี้คือความหมายหนึ่งของธรรมและการแบ่งส่วนของธรรมตามสภาวะ อาจแบ่งโดยอาศัยเกณฑ์อื่นได้อึก เช่น แบ่งตามลักษณะของผลที่มีต่อมนุษย์ โดยแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ กุศลธรรม ธรรมที่ดี อกุศลธรรม ธรรมที่ไท้ดี และอัพยากตธรรม ธรรมที่เป็นกลางๆ เป็นต้น

โดยนัยนี้จะเห็นได้ว่าที่มนุษย์ทุกคนก็มี "ความเป็นธรรม" คือ มีทั้งที่ไม่เปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนแปลง ที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือ เกิดแล้วต้องแก่และต้องตาย ที่เปลี่ยนแปลงคือ เปลี่ยนจากวัยเด็กอ่อนหรือทารกจนถึงชรา สิ่งที่อยู่รอบๆ ตัว เราก็มีภาวะดังกล่าวนี้โดยถ้วนหน้ากัน

เมื่อมองในแง่ของความสัมพันธ์ คน กับธรรม ก็มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ทั้งโดยเนื้อแท้ และเนื้อไม่แท้ ที่ว่าเนื้อแท้ก็คือมีที่มาที่ไปเหมือนๆ กัน ที่เนื้อไม่แท้ก็คือคนจะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยดี หรืออยู่ดีมีสุข ไม่อยู่ร้อนนอนทุกข์ ก็โดยอาศัยธรรม คือ ถ้ารู้ธรรม เข้าใจธรรม และปฏิบัติตามธรรม ถูกธรรมตรงธรรมก็จะพัฒนาจะก้าวหน้าในทางดี แต่ถ้าไม่รู้ธรรม ไม่เข้าใจธรรม และไม่ปฏิบัติตามธรรมให้ถูกให้ตรงธรรม ก็จะพบกับความเสื่อมถอน และทนทุกข์

โดยนัยนี้ชี้ให้เห็นว่า ธรรมที่ว่า นั้นถ้าเอาคนเป็นแกนก็มี 3 ส่วน คือ ส่วนแรก เป็นส่วนที่มีผลดีต่อคน เรียก กุศลธรรม ส่วนที่สอง เป็นส่วนที่มีผลเสียต่อคนเรียก อกุศลธรรม ส่วนที่สาม เป็นส่วนที่ไม่ดี ไม่ร้ายต่อคนเรียก อัพยากตธรรม กุศลธรรม คือ ธรรมที่เมื่อคนได้เรียนรู้ ได้ปฏิบัติตามก็จะก่อผลดี ให้คน อกุศลธรรม คือ ธรรมที่เมื่อคนได้เรียนรู้ได้ปฏิบัติตามก็จะก่อผลเสีย ส่วนอัพยากรธรรม คือ ธรรมที่เป็นกลางไม่ให้พอดีผลเสียอะไร

2. ธรรมมิได้เป็นของใคร

ท่านอาจารย์พุทธทาสบอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เรียกว่า ธรรม และธรรมคือทุกสิ่งทุกอย่าง

ดังนั้น การจะเรียนรู้ธรรม เข้าใจธรรม และเข้าถึงธรรม ก็เรียนรู้จากอะไรก็ได้ ทั้งในและนอกตัวเรา ต่างก็มีธรรมให้เรียน ให้รู้ ให้เห็น ตัวธรรมจริง ๆ มิได้ ปรากฏอยู่ในเอกสารหรือคัมภีร์ หรือจารึกใดๆ หรือที่ตัวอักษร แต่ตัววัตถุ หรือวัสดุที่ใช้จารึกนั้นเอง คือ ตัวธรรมแท้ที่ปรากฏให้เราได้เรียน ได้รู้ ได้เห็น ท่านจึงศึกษาธรรมจากต้นไม้ จากสัตว์ จากดิน จากน้ำ โดยเฉพาะที่ตัวท่านเอง

พระพุทธองค์ก็ดี พระเยซูคริสต์ก็ดี ต่างก็ศึกษาธรรมจากสภาพภายนอก มีพืชสัตว์ เป็นต้น และจากสภาพภายใน คือ ที่กายใจของพระองค์ จนมองเห็นชัดว่า

ธรรม คือ ทุกสิ่งทุกอย่าง และ ทุกสิ่งทุกอย่างก็คือ ธรรม

ในแง่ของพลังอำนาจที่มนุษย์มองเห็น

ธรรม คือ ผู้สร้าง
ธรรม คือ ผู้ดำรงรักษา
ธรรม คือ ผู้ทำลาย

คำสอนของพระพุทธองค์ บอกว่า ให้เคารพธรรม ให้ถือธรรมเป็นใหญ่ ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า พระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พุทธะ คือ รู้ ธรรมะ คือ ความจริง สังฆะ คือ การทำตามความจริง หรือตามธรรม

พระเยซู ก็ทรงสอนให้เคารพธรรม ให้ถือธรรมเป็นใหญ่ ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า ตรีเอกานุภาพ คือ พระบิดา พระจิต และพระบุตร พระบิดา คือ ตัวธรรม หรือตัวความจริง พระจิต คือ ตัวรู้ ธรรมและพระบุตร คือ ตัว การปฏิบัติตามที่รู้ ซึ่งก็คือการที่คนรู้ธรรมแล้ปฏิบัติตามธรรม หรือความจริงนั้น

คำสอนของพราหมณ์ก็ให้เคารพธรรม ให้ถือธรรม เป็นใหญ่ ภายใต้ชื่อว่า ตรีมูรติ คือ พระพรหม พระวิษณุ และพระนารายณ์ พระพรหม คือสภาวการณ์ว่าด้วยการเกิด พระวิษณุ คือ สภาวการณ์ว่าด้วยการสลายตัว พระนารายณ์ คือ สภาวการณ์ว่าด้วยการดำรงอยู่ช่วงระยะหนึ่ง ทั้ง 3 ก็คือ อาการ หรือลักษณะของธรรม ที่มี การเกิด การดำรงอยู่ และการแตกสลายลง ของสิ่งที่ภาษาพุทธเรียกว่า สังขตธรรม ทั้งหลาย คือ สิ่งที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ตามกฎธรรมชาติที่ชื่อว่า อิทัปปัจจยตา คือ เมือสิ่งนี้มีจึงมีสิ่งนี้

ธรรมเป็นสิ่งที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ นอกจากตัวธรรมนั่นเอง คนมิอาจเป็นเจ้าของธรรมได้ แต่ธรรมเป็นเจ้าของตน คือ คนมิอาจไปกำกับ หรือบังคับธรรม แต่ธรรมกำกับหรือบังคับคนให้อยู่ในอาณัติ หรือในกฎของธรรม นั่นคือ ธรรม มิได้เป็นของใครทั้งนั้น ไม่ใช่ของไทยของฝรั่ง ไม่ใช่ของคนตะวันตก ตะวันออก ไม่ใช่ของชาวพุทธ ชาวคริสต์ ชาวมุสลิม หรือผู้ถือศาสนาใด ทั้งนั้น

แต่ธรรมเป็นสิ่งที่คนหรือมนุษย์ทุกคนเรียนรู้ได้ เข้าใจได้ และเข้าถึงได้ เพราะทุกคนต้องอยู่กับธรรม ทุกคนกินธรรมและใช้ธรรม

ในอีกมุมหนึ่งที่ตัวธรรม มี 2 ลักษณะคือ รูปธรรม และนามธรรม ที่ระดับของธรรม ก็มี 2 ระดับ คือ โลกยธรรม และโลกุตรธรรม

คนกับธรรมจึงเป็นอย่างนี้เอง

3. คนกับธรรมมาจากไหน?

เมื่อธรรม คือ ทุกสิ่งทุกอย่าง และคนก็คือส่วนหนึ่งของธรรม คนและธรรมก็มาจากธรรม นั่นเอง

ส่วนคนเป็นธรรมที่มีลักษณะ 3 คือ เกิดขึ้น ดำรงอยู่ หรือค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง และแตกสลายลงในที่สุด เช่นเดียวกับ พืช สัตว์ เป็นต้น ที่อยู่รอบๆ ตัวคน ลักษณะเช่นนี้ เป็นสามัญลักษณะของธรรมทีมีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ที่ภาษาพุทธธรรมเรียกว่า สังขตธรรม

สังขตธรรม ทั้งหลายมาจากไหน

มาจากอสังขตธรรม อสังขตธรรม เป็นผู้สร้างสังขตธรรม อสังขตธรรม เป็นอมตธรรม คือ เป็นธรรมที่ไม่ตาย เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ไม่มีตัวไม่มีตนให้มนุษย์เห็น จะเห็นได้ก็เฉพาะบทบาทหน้าที่ที่มีต่อสังขตธรรมเท่านั้น อสังขตธรรม ไม่ร้อนไม่เย็นไม่สูงไม่ต่ำ ไม่ดำไม่ขาว ไม่อะไรทั้งนั้น แต่เป็นอย่างที่เป็น ที่เรียกว่า "เป็นอย่างนั้นเอง"

4. คนกับธรรมเพื่ออะไร ประโยชน์ใด?

คนเพื่อธรรม ธรรมเพื่อคน
คนเพื่อประโยชน์ธรรม ธรรมเพื่อประโยชน์คน
คนเข้าถึงธรรม ธรรมเข้าถึงคน
คนเป็นธรรม ธรรมเป็นคน
คนช่วยธรรม ธรรมช่วยคน
คนรักษาธรรม ธรรมรักษาคน
คนทำลายธรรม ธรรมทำลายคน

เมื่อคนเป็นส่วนหนึ่งของธรรม จะทำอย่างไร แน่นอน คนจะต้องรักษาธรรมไว้ ธรรมก็จะช่วยคน

เมื่อใดคนไม่รักษาธรรม ธรรมก็จะไม่รักษาคน
เมื่อใดคนเดือดร้อน นั้นแสดงว่า คนไม่รักษาธรรม
คนที่ทำถูกธรรม ธรรมก็จะช่วยสร้างสุขให้คน
แต่ถ้าคนทำไม่ถูกธรรม ธรรมก็จะสร้างทุกข์ให้คน

อาหารของมนุษย์คือ ธรรม มนุษย์กินอาหารที่ถูกกับธรรมในร่างกายมนุษย์ อาหารก็เป็นเครื่องบำรุงกายมนุษย์

ความรักความเมตตากรุณา คือ ธรรม มนุษย์ได้รับความเมตตากรุณา เข้าสู่ใจ ธรรม คือ ความเมตตา กรุณาก็เป็นเครื่องบำรุงใจ
ความเมตตาเกิดที่ใจคน อยู่ในใจคน
ความเมตตาก็คือ ธรรม ใจคนก็คือธรรม
เมื่อธรรมจากใจสู่ใจ ก็ก่อธรรม ขยายธรรมขึ้นในธรรม คือ ในใจคน

นั่นคือ ธรรมช่วยคน และคนก็ช่วยธรรม

5. คนกับธรรมเชื่อมโยงกันอย่างไร และทำไม?

โดยเป็นเหตุเป็นปัจจัยต่อกันและกัน

คนมีอกุศลธรรมอยู่ในใจ เช่น ความยากเสพ อยากสะสม อยากเป็น อยากไม่เป็น ความต้องการแสดงบทบาทอำนาจ ความมืดบอด เป็นปัจจัยให้คนรู้ ให้คนคิด ให้คนพูด ให้คนทำ ในสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามธรรม ที่จะเป็นเหตุให้เกิดผลดีต่อตนและเพื่อนมนุษย์ แต่ถูกต้องตามธรรมที่จะเป็นเหตุให้เกิดผลเสียต่อตนเองและเพื่อนมนุษย์

โลกเย็นลง หรือร้อนขึ้น ก็คือ สภาวะของธรรม การกระทำของมนุษย์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธรรม ย่อมมีผลให้โลกเย็นโลกร้อนได้ ในด้านกายภาพ

ในขณะเดียวกัน ในด้านสัมพันธภาพ เมื่อใดธรรมคือคน หรือมนุษย์มีพฤติกรรมไม่ต้องตามธรรม ก็จะมีผลต่อดุลยภาพ ระหว่างคนกับธรรม หรือแม้แต่คนกับคน ถ้ามีดุลยภาพ คนก็อยู่ดี ธรรมก็อยู่ได้

ในด้านจิตภาพ จิตของคนก็คือธรรม สิ่งที่เข้าสู่จิตของคนก็คือธรรม สิ่งที่อยู่นอกจิต คนก็คือธรรม

ธรรมใดที่อยู่ภายนอกจิต ที่เป็นพิษภัยกับจิต เมื่อจิตรับเข้าไปในจิต ก็จะทำให้จิตพิกลพิการ นั่นคือธรรมเป็นปฏิปักษ์ต่อธรรม

ธรรมใดที่อยู่นอกจิต แต่เป็นธรรมที่จะช่วยจรรโลงจิต เมื่อจิตรับเข้าไปสู่จิต จิตก็จะสดชื่นแจ่มใส จนถึงจิตเกษม นั้นคือธรรมเป็นตัวหนุนธรรม

คนคือธรรม สิงที่อยู่ข้างในคน นอกคน ก็คือธรรม คนต้องสัมพันธ์กับธรรม และธรรมต้องสัมพันธ์กับคน คนต้องอาศัยธรรม ธรรมก็ต้องอาศัยคน เพราะคนก็เป็นทั้งปฏิปักษ์และตัวหนุนธรรม

คนจึงต้องเชื่อมโยงอยู่กับธรรม และธรรมก็ต้องเชื่อมโยงกับคน เพราะคนกับธรรมต้องอาศัยกันและกัน อย่างเป็นเอกภาพและดุลยภาพ นั่นเอง

6. สรุป

คนกับธรรม ก็คือธรรม
คนกับธรรม มาจากธรรม
คนกับธรรม ก็เพื่อธรรม

คนกับธรรม เชื่อมโยงกัน ตลอดเวลา และทุกที่ เพราะเป็นเหตุ เป็นปัจจัยต่อกัน คนเป็นปัจจัยให้เกิดธรรม ธรรมเป็นปัจจัยให้เกิดคน

ธรรมมี ธรรมขาว ธรรมดำ และธรรมกลาง ๆ คือ กุศลธรรมและอกุศลธรรมและอัพพยากตกรรม
คนมี คนขาว คนดำ คนไม่ขาวไม่ดำ คือ คนดี คนไม่ดี คนกลางๆ

คนดี คือกุศลธรรม คนไม่ดีคืออกุศลธรรม คนกลางๆ คือ อัพยากตธรรม

ธรรมว่าโดยลักษณะมี 2 คือ รูปธรรมและนามธรรม
ธรรมว่าโดยระดับก็มี 2 คือ โลกยธรรม และโลกุตรธรรม

คนรู้ธรรมเข้าใจและเข้าถึงธรรม จะมองไม่เห็นคนไม่เห็นธรรม ไม่เห็นดำ ไม่เห็นขาว ไม่เห็นยาวไม่เห็นสั้น เพราะธรรมคือจิตของเขาหมดกุศลธรรมและอกุศลธรรม หมดธรรมขาว ธรรมดำ เขาเป็นธรรมที่เหนือธรรม

นั้นคือ สุญญตธรรม ธรรมที่อาจารย์พุทธทาสเรียกว่า "ความว่าง" (emtiness)
นั้นคือ นิพพานธาตุ หรือนิโรธธาตุ คือ ธาตุแห่งความดับ
นั้นคือ ยะโฮรา นั้นคือ อัลเลาะห์ นั้นคือ ปรมาตมัน

คำว่าธรรมกับคน หรือคนกับธรรม ก็เป็นดังนี้แล

ผู้เขียนก็รู้และเข้าใจเรื่องนี้แค่นี้แล ท่านจะว่าอย่างไร ก็แล้วแต่ใจท่าน ใครจะคัดค้าน หรือเห็นด้วยก็ไม่ว่า


สัจกวี : คนกับธรรม

คำว่าคน กับธรรม จำใส่จิต
ไม่ต้องคิด ให้ลึก นึกสับสน
ทั้งนอกตัว ในตัว ทั่วทุกคน
ไม่วกวน คือ ธรรม จำเถิดนา

มีธรรมเทียม ธรรมแท้ ของแน่จิต
มีแค่คิด ให้ดูไม่มุสา
มีธรรมดี ธรรมด้อย คอยนำพา
ให้ชีวา มนุษย์ จุดสำคัญ

ใครรู้ธรรม นำจิต ให้คิดนึก
ช่วยให้ฝึก กายใจ ได้ขยัน
กายสะอาด จิตสงบ พบชีวัน
เกษมสันติ์ มีสว่าง ขึ้นกลางใจ

นั้นคือ คนถึงธรรม ธรรมถึงคน
เป็นเหตุผล ของธรรม นำสดใส
เรียกอิทัป ปัจยตา พาก้าวไกล
โลกสดใส ก็เพราะธรรม ชื่นฉ่ำเอย






483
บทความ บทกวี / ตอบ: ท้าวจตุโลกบาล 4
« เมื่อ: 06 เม.ย. 2550, 02:58:01 »
ซื่อ เทียน หวาง หรือ ซี้ เทียง อ้วง ?ท้าวจตุโลกบาล?
เทพทั้งสี่ผู้เป็นใหญ่ในแดนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิก เป็นแดนเทวโลก ซึ่งเชื่อว่าเป็นดินแดนอันมีอาณาเขตติดกับโลกมนุษย์ เทพทั้งสี่ปกครองสวรรค์แบ่งเป็นเขตต่างกัน ทำหน้าที่เป็นโลกบาลประจำทิศทั้งสี่ โดยมี

1. เทพ ฉือ กว๋อ เทียน อ้วง หรือ ฉือ กว๋อ เทียน หวาง
เป็นราชาแห่งฝูงคนธรรพ์ ประจำอยู่ทิศตะวันออก มีชื่อเรียกว่า ท้าวธตรัฐ มีลักษณะ คือ ผิวกายสีเขียว มือซ้ายถือพิณ มือขวาดีดพิณ บางตำราอ้างว่าท้าวธตรัฐ เป็นผู้ดีดพิณถวายเตือนพระสติพระโพธิสัตว์ในคราวบำเพ็ญทุกขกิริยา ให้หันมาตั้งมั่นในมัชฌิมาปฏิปทา ซึ่งในคติเบตท้าวธตรฐเป็นเทพเจ้าแห่งความร่าเริง เพราะมีของวิเศษเป็นพิณที่ดีด และเพลงที่เล่นนั้นเป็นเพลงแห่งความสุขกล่อมปวงประชา ท้าวธตรัฐนี้มีเทพองครักษ์เป็น ?ค้วงกุ้ย? (ภาษาจีนแต้จิ๋ว) หรือผีบ้าสติแตกกับยมทูตตัวเขียว

2. เจง เจีย เทียง อ้วง หรือ เจิง ฉาง เทียง หวาง
ซึ่งก็คือ ท้าววิรุฬหก เป็นราชาแห่งกุมภัณฑ์ (ยักษ์) เป็นเทพแห่งเหล่ายักษ์มีรูปกายสีขาว มือถือเกาทัณฑ์ บางตำรากล่าวว่าถือร่ม อยู่ประจำทิศทักษิณ มีผีที่เป็นองค์ชื่อ ?อุ๊งหิ่ง เท้งฉู่?(ภาษาจีนแต้จิ๋ว) ผีเหม็น กระโดกกระเดก ในคติเบตท้าววิรุฬหกทรงเป็นเทพแห่งความสุข และความมั่งคั่งของปวงประชาหรือเทพเจ้าแห่งโชคลาภนั่นเอง

3. ควง บัก เทียง อ้วง หรือ กว่าง มุ เทียน หวาง
ซึ่งก็คือท้าววิรูปักษ์, ท้าววิรุณ, ท้าวพิรุณ ผู้เป็นราชาแห่งนาค มือซ้ายมีงูเลื้อยพันฝ่ามือจับคองูไว้ มือขวาถือดาบ อยู่ประจำทิศตะวันตก กล่าวว่า เกิดจากกัสสปเทพบิดรกับนางทิติมเหสี ฝ่ายซ้าย มีกายขาวเพราะทำหน้าที่เกี่ยวกับน้ำ และยังมีคนกล่าวไว้อีกว่าท้าวเธอเกลียดความเท็จมากที่สุด หากผู้ใดกล่าวเท็จ ผิดสัญญา ก็จะบันดาล ให้ป่วยไข้ต่างๆ นานา แต่หากผู้ใดมีศีลสัตย์เกรงกลัวต่อบาปก็ย่อมบำเหน็จให้พบความสุขสวัสดี ทั้งอาจช่วยให้พ้นมฤตยู(ความตาย) ได้ในบางคราว ด้วยความเมตตากรุณาในหทัยของท้าวเธอนั่นเอง ด้วยเหตุที่มีชื่อเรียกวิรุณหรือพิรุณจึงเป็ฯเทพแห่งฝนเรียกปัชชุนะพุทธโฆษาจารย์ว่าชื่อ วสสาวลาหก บ้างก็ว่าเป็นใหญ่เหนือมนุษย์ทั้งหลายกล่าวว่าปัชชุนะอาจต้องทำให้ฝนตกเมื่อเปี่ยมบุญญาธิการ ประกาศสัจจกริยาเช่นครั้งที่พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นปลา ปัชชุนะต้องทำให้ฝนตกเพื่อพระโพธิสัตว์และญาติมิตรทั้งปวง ทั้งพระอานนท์ก็เคยเกิดเป็นเทพปัชชุนะมาแล้วในอดีตชาติ
ท้าววิรูปยักษ์ หรือพระวรุณ นามเต็มว่า พระวรุณาทิตย์ เป็นเชษฐาองค์แรกในพวกอาทิตย์ ทั้ง 8 เป็นโอรสนางทิติกับกัศยปเทพพิดร แต่ในมหาภารตะว่าเป็นโอรสพระฤษีกรรทมพรหมบุตร ส่วนในรามเกียรติ์ว่าเป็นบิดาสุเสน (นายทหารของพระราม) มีเทพองครักษ์เป็น ?เอี่ยวเฮ้งกุ้ย? (ภาษาจีนแต้จิ๋ว) หรือแปลง่ายๆว่า ผีเมตตาอ่อนโยน และอีกตัวหนึ่งคื ?หง่อกุ้ย? (ภาษจีนแต้จิ๋ว) หรือผีออดอยาก

4. โต เหวิน เทีวน หวาง
หรือเรียกว่า ท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท้าวกุเวร หรือไตรภูมิพระร่วงเรียกว่า ท้าวไพสพมราช เป็นราชาแห่งยักษ์ ประจำอยู่ทางทิศเหนือ มีกายดำถือเจดีย์ กล่าวว่าเป็นอริยบุคคลชั้นโสดาบัน ถือเป็นยักษ์ที่ดำรงในสัตย์ธรรม เป็นที่ปรึกษาคนสนิทของพระอินทร์ สมมติกันว่าเป็นโอรสพระวิศรวสมุนีกับนางอิฑวิฑา แต่ในมหาภารตะว่าเป็นดอรสพระปุลัสตยะ (เป็นบิดาของพระวิศรวัสมุนี อีกชั้นหนึ่งในคัมภีร์มหาภารตะ อ้าวว่าพระปุลัสตยะเป็นเทพองค์ที่ 4 ของดาวจระเข้) ท้าวเวสสุวรรณได้รับพรจากพรหมให้เป็นอมฤต
ท้าวเวสสุวรรณนั้น มีองครักษ์เป็น ?เฉ่าเง่อกุ้ย? (ภาษาจีนแต้จิ๋ว) แปลตรงตัวว่ามีอดอยาก และเหม็น
ในทางพระพุทธสาสนา ท้าวจตุโลกบาลถือเป็นเอตทัคคะอุปัฎฐากโดยเป็นผู้ถวายอารักขาพระพุทธองค์ครั้งอยู่ในครรภ์ของพระราชนนี ในครั้งที่ตปุสสะและภัลลิกะถวายข้าวยาคู และรวงผึ้งนั้น พระพุทธองค์ ทรงปริวิตกว่า หากจะทรงรับด้วยพระหัตถ์ ก็จะเป็นการไม่เหมาะสม ครั้นท้าวจตุโลกบาททราบความในพระทัย ต่างก็ทูลเกล้าถวายบาตรแก้ว แล้วโดยพุทธานุภาพทรงรวมบาตรทั้งสี่เข้าด้วยกันแล้วจึงทรงรับบิณฑบาตดังกล่าว ท้าวเธอทั้งสี่ยังเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือแก่พุทธสาวกในการค้ำจุนหระพุทธสาสนาอีกด้วย
ท้าวจตุโลกบาลมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย เพื่อผดุงเหล่าธรรมิกชนทั้งในโลกมนุษย์ และเทวโลกโดยวันขึ้น หรือแรม 15 ค่ำ (วันอุโบสถ) ท้าวทั้งสี่จะมาตรวจโลก เพื่อสำรวจดูผู้ดำเนินในศีลจารวัตร ด้วยคตินี้ในพิธีกินผักจะมีประเพณีป้ายฐาน เพื่อรอรับท้าวเธอที่จะเสด็จมาตรวจดูคืนวันที่ 29 หรือ 30 ของ เดือน 8 ตามปฏิทิน จันทรคติจีน (ไทย แรม 15 ค่ำ เดือน 10)
เมื่อท่านได้ทราบถึงประวัติของเทพจตุโลกบาลแล้ว เชิญท่านเลือกชมบารมีเทพองค์อื่นได้ในทุกศาลเจ้าที่กล่าวมาแล้ว
ทุกศาลเจ้าในเมืองตรังย่อมมีผู้ศรัธทาที่สร้างให้ก่อเกิด หากเมื่อศรัทธาเคารพก็เป็นสิทธิส่วนบุคคลอย่างคำที่มีผู้กล่าวไว้ตลอดว่า พระใครใครก็นับถือย่อมเป็นสัจจธรรม แต่ทุกศาลเจ้าที่กล่าวมาข้างต้นจะมีที่สำรับกราบไหว้เทวดาในภาษาจีน เรียกกันว่า ที่ตี้เปบ้อ หรือเทียนตี้ฟู่หมู่เป็นด่านแรก เนื่องจากเป็นการการบไหว้เทพบิดา เทพมารดา เชื่อกันว่า เป็นเทพแห่งการกำเนิดสรรพชีวิตในโลกมนุษย์ สำหรับท่านที่ตั้งใจจะถือปฏิบัติตนในช่วงประเพณีถือศีลกินผัก หรือหากท่ามีญาติมิตรมาร่วมพิธีก็ขอให้พำนักอยู่ในเมืองตรังด้วยความสวัสดิภาพ และขอให้ทุกคนเที่ยวเมืองตรังให้สนุก ได้บุญกุศลกับการเที่ยวชมสักการะให้ครบ 9 ศาลเจ้าจะถือเป็ฯมงคลแห่งชีวิตอย่างยิ่ง

484
บทความ บทกวี / ท้าวจตุโลกบาล 4
« เมื่อ: 06 เม.ย. 2550, 02:55:11 »
สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกามีท้าวมหาราชทั้ง ๔ เป็นผู้ปกครองดูแล คอยแบ่งกันครอบครองดังนี้

ด้านทิศตะวันออก เป็นที่อยู่ของ ท้าวธตรฐ มีพวกคนธรรพ์ เป็นบริวาร คนธรรพ์ นี้เป็นเทวดาพวกหนึ่งซึ่งที่มีความถนัดในการดนตรีศิลปะระบำรำฟ้อนและชำนาญในการขับกล่อมเพลงยิ่งนัก เมื่อใดที่เทวดาทั้งหลายชุมนุมกันเพื่อความรื่นเริงสนุกสนาน เมื่อนั้นพวกคนธรรพ์ ก็จะไปทำหน้าที่ขับกล่อมเพลงและรำบำรำฟ้อนเพื่อความสำราญของเหล่าเทวดา

ด้านทิศใต้ เป็นที่อยู่ของท้าววิรูปักษ์ มีพวกนาคเป็นบริวาร นาคนี้เป็นพวกกายทิพย์พวกหนึ่ง มีฤทธิ์เดชมาก เพราะเพียงแค่พิษของนาคถูกต้องบุคคลใดบุคคลหนึ่งก็สามารถตัดเอาผิวหนังของบุคคลนั้นและทำให้ถึงแก่ความตายได้ในพริบตา พวกนาครู้จักเนรมิตตนเป็น มนุษย์ เป็นสัตว์ เป็นเทวดา เพื่อท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ ตามอัธยาศัยอย่างสุขสำราญ
หากบุคคลใดได้ยินได้ฟังมาว่าพวกนาคมีอายุยืน มีวรรณะงาม มีความสุขมาก ทำให้ชอบใจ แล้วทำคุณงามความดีด้วยกาย วาจา ใจ พร้อมทั้งปรารถนาไปเกิดเป็นนาค บุคคลนั้นเมื่อละโลกนี้ไปแล้วย่อมได้ไปเกิดเป็นนาคในชาติต่อไปสมความปรารถนา
ด้านทิศเหนือ เป็นที่อยู่ของท้าวเวสวัณหรือ ท้าวเวสสุวัณ มีพวกยักษ์ เป็นบริวาร ยักษ์ นี้เป็นพวกกายทิพย์พวกหนึ่ง มีสันดานแตกต่างกัน บางตนก็มีสันดานดีประกอบด้วยศีลธรรม บางตนก็มีสันดานร้ายมีจิตใจเต็มไปด้วยโทสะโมหะ เป็นอันธพาลที่มีใจกล้าหาญดุดัน

ท้าวเวสวัณมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า ท้าวกุเวร เพราะในสมัยที่โลกยังว่างจากพระพุทธศาสนา ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จอุบัตินั้น มีพราหมณ์ผู้หนึ่งนามว่า กุเวร เป็นคนใจดีมีเมตตากรุณา ประกอบสัมมาชีพด้วยการทำไร่อ้อย นำต้นอ้อยตัดใส่ลงไปในหีบยนต์แล้วบีบน้ำอ้อยขายเลี้ยงชีวิตตนและบุตรภรรยา ต่อมากิจการเจริญขึ้นจนเป็นเจ้าของหีบยนต์สำหรับบีบน้ำอ้อยถึง ๗ เครื่อง จึงสร้างที่พักสำหรับคนเดินทาง และบริจาคน้ำอ้อยจากหีบยนต์เครื่องหนึ่งซึ่งมีประมาณน้ำอ้อยมากกว่าหีบยนต์เครื่องอื่นๆ ให้เป็นทานแก่คนเดินผ่านไปมาจนตลอดอายุขัย

ด้วยอำนาจแห่งบุญกุศลที่บริจาคน้ำอ้อยให้เป็นทานนั้น ทำให้กุเวรได้ไปอุบัติเป็นเทพบุตรบนสวรรค์ชั้น จาตุมหาราชิกา มีนามว่า"กุเวรเทพบุตร"ต่อมากุเวรเทพบุตรได้เทวาภิเษกเป็นผู้ปกครองดูแลพระนครด้านทิศเหนือ จึงได้มีพระนามว่า "ท้าวเวสวัณ"


ท้าวมหาราชทั้ง ๔

๑. ท้าวธตรัฏฐะ อยู่ทางทิศตะวันออกของภูเขาสิเนรุเป็นผู้ปกครองคันธัพพ เทวดาทั้งหมด
๒. ท้าววิรุฬหกะ อยู่ทางทิศใต้ของภูเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครองกุมภัณฑเทวดา ทั้งหมด
๓. ท้าววิรูปักขะ อยู่ทางทิศตะวันตกของภูเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครองนาคะ เทวดาทั้งหมด
๔. ท้าวกุเวระ หรือ ท้าวเวสสุวรรณ อยู่ทางทิศเหนือของภูเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครองยักขะเทวดาทั้งหมด เทวดาที่อยู่ภายใต้การปกครองของท้าวจาตุมมหาราช คือ
๑. ปัพพัฏฐเทวดา เทวดาที่ อาศัยภูเขาอยู่
๒. อากาสัฏฐเทวดา เทวดาที่ อาศัยอยู่ในอากาศ
๓. ขิฑฑาปโทสิกเทวดา เทวดาที่ มีความเพลิดเพลินในการเล่นกีฬา จนลืมบริโภคอาหารแล้วตาย
๔. มโนปโทสิกเทวดา เทวดาที่ ตายเพราะความโกรธ
๕. สีตวลาหกเทวดา เทวดาที่ ทำให้อากาศเย็นเกิดขึ้น
๖. อุณหวลาหกเทวดา เทวดาที่ ทำให้อากาศร้อนเกิดขึ้น
๗. จันทิมเทวปุตตเทวดา เทวดาที่ อยู่ในพระจันทร์
๘. สุริยเทวปุตตเทวดา เทวดาที่ อยู่ในพระอาทิตย์

จตุโลกบาล
ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ยังมีหน้าที่เป็นจตุโลกบาล คือเป็นผู้คุ้มครองและตรวจดูโลกซึ่งเป็นที่อยู่ของมนุษย์ทั้ง ๔ ทิศ โดย
วัน ๘ ค่ำ อำมาตย์ของท้าวมหาราชทั้ง ๔ จะเป็นผู้ตรวจดูโลก
วัน ๑๕ ค่ำ บุตรทั้งหลายของท้าวมหาราชทั้ง ๔ จะเป็นผู้ตรวจดูโลก
ส่วนในวัน ๑๕ ค่ำ ท้าวมหาราชทั้ง ๔ จะเป็นผู้ตรวจดูโลกเองว่า พวกมนุษย์พากันบำรุงบิดามารดา และสมณพราหมณ์ เคารพนอบน้อมผู้ใหญ่ในตระกูล รักษาอุโบสถศีลและทำบุญกุศลเป็นจำนวนมากหรือไม่
ครั้นตรวจดูแล้วก็จะไปบอกพวกเทพชั้น ดาวดึงส์ ซึ่งมาประชุมกันในสุธรรมาเทวสภา ถ้าได้ฟังว่าพวกมนุษย์ทำดีกันน้อย พวกเทพชั้นดาวดึงส์ ก็มีใจหดหู่ เพราะทิพยกายจะลดถอย อสุรกายจะเพิ่มพูน แต่ถ้าได้ฟังว่าพวกมนุษย์ทำดีกันมาก พวกเทพชั้นดาวดึงส์ ก็มีใจชื่นบาน เพราะทิพยกายจะเพิ่มพูน อสุรกายจะลดถอย


ตำนานอาฏานาฏิยปริตร
อาฏานาฏิยสูตร กล่าวไว้ว่า
ในสมัยหนึ่ง เมื่อพุทธเจ้าประทับ ณ เขาคิชฌกูฏ กรุงราชคฤห์ ท้าวจาตุมหาราช คือ ท้าวธตรฏฐ์ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักข์ และท้าวกุเวร พร้อมด้วยบริวารอันได้แก่ คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ นาค และยักษ์ มาเฝ้าพระพุทธเจ้า
ท้าวมหาราชเหล่านี้ บางครั้งเรียกว่า จตุโลกบาล ( ผู้รักษาโลกทั้ง ๔) ซึ่งเป็นผู้นับถือพุทธศาสนา เมื่อได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ท้าวกุเวรกราบทูลว่า อมนุษย์ที่เป็นบริวารของจตุโลกบาล บางพวกก็เลื่อมใสพระพุทธเจ้า บางพวกก็ไม่เลื่อมใส เพราะพระองค์ทรงแสดงธรรมให้ถือศีล ๕ คือให้ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม การพูดเท็จ และการเสพสุรา แต่มนุษย์และยักษ์ยังชอบทำบาปเหล่านี้ จึงขัดใจไม่ค่อยเลื่อมใส สาวกของพระองค์ที่ประกอบวิปัสสนาธุระ ไปบำเพ็ญสมณธรรมในเสนาสนะป่าเปลี่ยว เมื่อไม่มีสิ่งป้องกัน อมนุษย์ก็จะรบกวนเบียดเบียนให้ลำบาก ขอให้พระองค์ทรงรับเอาเครื่องป้องกันรักษา คือ อาฏานาฏิยปริตรไว้ จะได้ประทานให้สาวกสวด จะทำให้อมนุษย์เลื่อมใส ไม่เบียดเบียนภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา และกลับจะช่วยคุ้มครองรักษาให้อยู่ผาสุข แล้วจึงกล่าว อาฏานาฏิยปริตร ขึ้นในเวลานั้นว่า วัปัสสิสสะ นะมัตถุ เป็นต้น
เมื่อพระองค์ทรงรับโดยดุษณีภาพ ท้าวกุเวรจึงกราบทูลต่อไปอีกว่า ผู้ที่เจริญอาฏานาฏิยปริตรนี้ดีแล้ว อมนุษย์จะไม่ทำร้าย ถ้าอมนุษย์ยังผืนกระทำจะแพ้ภัยตัวเองจากนั้น พระพุทธเจ้าจึงนำมาตรัสเล่าแก่ภิกษุทั้งหลายในภายหลัง

485
บทความ บทกวี / พุทธศาสนสุภาษิต
« เมื่อ: 06 เม.ย. 2550, 02:51:24 »
พุทธศาสนสุภาษิต " อัปปมาทวรรค - หมวดไม่ประมาท


อปฺปมาทญฺจ เมธาวี ธนํ เสฏฺฐํว รกฺขติ
ปราชญ์ย่อมรักษาความไม่ประมาทไว้ เหมือนทรัพย์อันประเสริฐ


อปฺปมตฺตา น มียนฺต ผู้ไม่ประมาท ย่อมไม่ตาย


อปฺปมตฺโต หิ ฌายนฺโต ปปฺโปติ วิปุลํ สุขํ
ผู้ไม่ประมาทพินิจอยู่ ย่อมถึงสุขอันไพบูลย์


อปฺปมาโท อมตํ ปทํ ความไม่ประมาท เป็นทางไม่ตาย


อปฺปมตฺโต ปมตฺเตสฺ สุตฺเตสุ พหุชาคโร อพลสฺสํว สีฆสฺโส หิตฺวา ยาติ สุเมธโส
คนมีปัญญาดีไม่ประมาทในเมื่อผู้อื่นประมาท มักตื่นในเมื่อผู้อื่นหลับ
ย่อมละทิ้งคนนั้น เหมือนม้าฝีเท้าเร็ว ทิ้งม้าไม่มีกำลังไป ฉะนั้น


อุฏฺฐานวโต สติมโต สุจิกมฺมสฺส นิสมฺมาการิโน
สญฺญตสฺส จ ธมฺมชีวิโน อปฺปมตฺตสฺส ยโสภิวฑฺฒติ
ยศย่อมเจริญแก่ผู้มีความหมั่น มีสติ
มีการงานสะอาด ใคร่ครวญแล้วทำ ระวังดีแล้ว เป็นอยู่โดยธรรม และไม่ประมาท


486
ธรรมะ / ธรรม คือ ของจริงของแท้
« เมื่อ: 06 เม.ย. 2550, 02:49:19 »
หลวงปู่ให้ธรรมโอวาทแก่พุทธศาสนิกชนมากมาย เช่น
1. ธรรม คือ ของจริงของแท้ เป็นแก่นของโลก ธรรม แปลว่า ของเป็นอยู่ทรงอยู่สภาพ ตามเป็นจริง เป็นอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น เรียกว่า ธรรม ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ เป็นธรรมทั้งนั้น เรียก ชาติธรรม ชราธรรม พยาธิธรรม มรณธรรม ทำไมจึงเรียกว่า ธรรม คือทุกๆคนจะต้องเป็นเหมือนกันหมด (ธรรมเทศนาเรื่อง ธรรมะ)
 

2. สมบัติที่มนุษย์ต้องการ ไม่ทราบว่าจะกอบโกยเอาไปถึงไหน ได้มาก็เพียงแต่เอาเลี้ยงชีวิตเท่านั้น เลี้ยงชีวิตให้นานตายหน่อย นั่นละ ประโยชน์ของมนุษย์สมบัติเพียงแค่นั้นแหละ

3. เราเกิดมาในโลกนี้ จะเป็นมนุษย์หรือเป็นสัตว์ต่างๆ ก็ตามเถอะ เรียกว่าอยู่ในแวดวง ของมัจจุราชทั้งนั้น หรือเปรียบเหมือนกับอยู่ในคุกในตาราง (รอความตาย) ด้วยกันทุกคน จะทำอะไรอยู่ก็ตาม จะเป็นผู้ดีวิเศษวิโสเท่าไรก็ช่าง แม้แต่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า สรีระร่างกายของพระองค์ ยังปล่อยให้พญามัจจุราชทำลายได้ แต่ตัวจิตของพระองค์ เป็นผู้พ้นแล้ว ไม่ยอมให้มัจจุราชข่มขี่ได้เลย (ธรรมเทศนาเรื่อง มัจจุราช)

4. ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกนี้เป็นเพียงสักแต่ว่าเป็นธาตุสี่เท่านั้น แต่คนเราไปสมมติ แล้วหลงสมมติตนเองต่างหาก มันก็ต้องยุ่งและเดือดร้อนด้วยประการทั้งปวง(อัตตโนประวัติ)

5. มนุษย์เราพากันสมมติ เรียกเอาตามความชอบใจของตนว่านั่นเป็นคน นั่นเป็นสัตว์ เป็นนั่นเป็นนี่ต่างๆนานาไป แต่ก้อนธาตุนั้นมันก็หาได้รู้สึกอะไรตามสมมติของคนไม่ มันมีสภาพเป็นอยู่อย่างไรก็เป็นอยู่อย่างนั้นตามเดิม สมมติว่า หญิง ว่าชาย ว่าหนุ่ม ว่าแก่ ว่าสวย ไม่สวย ก้อนธาตุอันนั้นก็ไม่มีความรู้สึกอะไรเลย หน้าที่ของมันเมื่อมาประชุมกันเข้า เป็นก้อนแล้ว อยู่ได้ชั่วขณะหนึ่งแล้วมันก็แปรไปตามสภาพของมัน ผลที่สุดมันก็แตกสลาย แยกกันไปอยู่ตามสภาพเดิมของมันเท่านั้นเอง (ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ สัมพันธ์)

6. เมื่อเรามาฝึกหัดปฏิบัติธรรม จนเห็นเรื่องโทษของตนเองแล้ว ค่อยชำระสะสางให้มันหมดไปๆ ก็จะเป็นคุณแก่ตนในอนาคตข้างหน้า ได้ชื่อว่าไม่เสียชาติที่เกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์ แล้วยังมาพบพระพุทธศาสนา และยังมาพบครูบาอาจารย์ ที่สอนให้เราละกิเลสอีกด้วย (ธรรมเทศนาเรื่องแก่นของการปฏิบัติ)

7. แท้ที่จริงธรรมะคือตัวของเรานี้ทุกคนก็มีแล้ว ครบมูลบริบูรณ์ทุกอย่าง แต่เราไม่ได้สร้างสมอบรมให้เห็นธรรมะที่มันมีในตนของตน ธรรมะแทรกอยู่ในขันธโลกอันนี้ หากใช้อุบายปัญญาพิจารณากลั่นกรองด้วยวิธี 3 อย่าง มีศีล สมาธิ ปัญญา ดังอธิบายแล้ว ธรรมะ จะปรากฎในตัวของตน (ธรรมเทศนาเรื่องวิจัยธรรมออกจากโลก)


หลวงปู่เทสก์กับท่านเจ้าคุณพระราชวุฒาจารย์ ( หลวงปู่ดุลย์ อตุโล )
8. การศึกษาพระพุทธศาสนา ถ้าจะให้เข้าใจถูกต้องแล้ว ต้องให้มีทั้งปริยัติคือ การศึกษา และปฏิบัติตามความรู้ที่ได้ศึกษามานั้นให้ถูกต้อง โดยเฉพาะการปฏิบัติ ถ้าไม่ยืนตัว อยู่ในไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญาแล้ว จะไม่มีความถูกต้องอันจะให้เกิดความรู้ ในสัจธรรมได้เลย มรรคปฏิปทาอันจะให้ถึงสัจธรรมนั้น ก็ต้องรวมศีล สมาธิ ปัญญา ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แล้วปฏิเวธธรรมจึงจะเกิดขึ้นได้ (ธรรมเทศนา เรื่อง พุทธบริษัทพึงปฏิบัติตนเช่นไร)

9. คนที่จะข้ามโอฆะได้ต้องมีศรัทธาเสียก่อน ถ้าไม่มีศรัทธาเสียอย่างเดียวก็หมดทาง ที่จะข้ามโอฆะได้ ศรัทธาจึงเป็นของสำคัญที่สุด เช่น เชื่อมั่นในกรรม เชื่อผลของกรรม ดังที่ได้อธิบายมาแล้ว แต่ว่าศรัทธาอันนั้น เป็นเบื้องต้นที่จะทำทาน ถ้ามีศรัทธาแล้ว ไม่อดเรื่องการทำทาน อยู่ที่ไหนก็ทำได้ ทำมากก็ได้ ทำน้อยก็ได้ ไม่ต้องเลือกวัตถุในการทำทาน จะเป็นข้าว น้ำ อาหาร หมากพลู บุหรี่ ฯลฯ สารพัดสิ่งเป็นทาน ได้ทั้งหมด แม้แต่ใบไม้ ใบตอง ใบหญ้า ก็เป็นทานได้ เราทำด้วยความเชื่อมั่นว่า สิ่งนี้ทำไปแล้วจะเป็นประโยชน์แก่ผู้นั้น ๆ ก็อิ่มอกอิ่มใจขึ้นมาก็เป็นบุญนั่นแหละ ศรัทธา มันทำให้อิ่มอกอิ่มใจ ทำให้เกิดบุญ ซาบซึ้งถึงใจทุกอย่างไม่ลืมเลย อันนั้นจึงเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ข้ามโอฆะ (ธรรมเทศนา เรื่องหลักการปฏิบัติธรรม)

10. กายและจิตอันนี้เป็นบุญกรรมและกิเลสนำมาตกแต่งให้ เมื่อนำมาใช้โดยหาสาระมิได้ ถึงแม้จะมีอายุยืนนาน ก็ปานประหนึ่งว่าหาอายุมิได้ (คือไม่มีประโยชน์) สมกับพุทธพจน์ ที่พระองค์ตรัสว่า โย จ วสฺสสตํ ชีเว อปสฺสํ อุทยพฺพยํ เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย ปสฺสโต อุทยพฺพยํ แปลว่า บุคคลใดมีชีวิตอยู่ร้อยปี แต่เขามิได้พิจารณาเห็นความเกิดดับ (ของอัตภาพนี้) ผู้นั้นสู้ผู้เขามีชีวิตอยู่วันเดียว แต่พิจารณาเห็นความเกิดความดับไม่ได้ (ธรรมเทศนาเรื่องวันคืนล่วงไป ๆ)

11. คนที่จะพ้นจากทุกข์ได้ พ้นจากโลกนี้ได้ พ้นจากกรรมได้ ก็เพราะใจอันเดียว จงยึดใจถือใจ เป็นสำคัญ จะมาเกิดก็เพราะใจ เกิดแล้วจะมาสร้างกิเลสขึ้นก็เพราะใจ เป็นทุกข์ก็เพราะใจ ถ้าใจไม่เป็นทุกข์ ใจไม่ยึดถือ ปล่อยทิ้งเสีย กายอันนี้ก็ไปตามเรื่องของกาย ใจก็เป็นตามเรื่องของใจ หมดเรื่องหมดราวกันที (ธรรมเทศนาเรื่องกรรม)

12. หิริ โอตฺตปฺป นี้เป็นธรรมที่สำคัญ เพราะเป็นพื้นฐานของศีล เป็นต้นตอของศีล ผู้จะมีศีลได้ ไม่ว่าจะเป็นศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 หรือศีล 227 ก็ตาม ต้องมีหิริ และโอตฺตปฺป 2 อย่างนี้ เนื่องจากได้เห็นจิตของตน เห็นความนึกความคิดความปรุงจิตของตน แล้วก็กลัวบาป ละอายบาป จึงไม่อาจจะทำความชั่วได้ ฉะนั้น ศีลก็บริสุทธิ์เท่านั้นเอง (ธรรมเทศนาเรื่อง เทวตานุสสติ)

13. การภาวนา คือ การอบรมจิตใจให้มีความสงบ เป็นการชำระจิตใจให้สงบจากอารมณ์ต่าง ๆ ยิ่งเป็นการละเอียดไปกว่าการรักษาศีลอีก จิตของเราถ้ายังไม่สงบตราบใดแล้ว มันก็จะต้องยุ่งวุ่นวายอยู่ตราบนั้น เมื่อมาฝึกหัดภาวนา เห็นโทษเห็นภัย ของความยุ่ง ความไม่สงบด้วยตนเองแล้ว เราก็จะพยายามทุกวิถีทางที่จะละความไม่สงบ เมื่อสิ่งใดที่ละได้แล้ว อารมณ์ใดที่วางได้แล้ว เราก็จะต้องรักษาไม่ให้สิ่งนั้น มันเกิดขึ้นมาอีก ไม่ใช่ว่าเราละได้แล้ว ก็แล้วไปเลย ไม่ต้องคำนึงถึงมันอีก อย่างนั้นไม่ถูกต้อง เพราะมันอาจสามารถที่จะฟื้นฟู ขึ้นมาใหม่อีก ถ้ามันเกิดมาทีหลังจะยิ่งร้ายกว่าเก่า (ธรรมเทศนาเรื่อง มาร)

14. ฝึกหัดจิตให้เข้าถึงใจ วิธีปฏิบัติฝึกหัดกรรมฐานมีเท่านี้แหละ ใครจะฝึกหัดปฏิบัติ อย่างไรก็เอาเถอะ จะภาวนาพุทโธ สัมมาอรหัง ยุบหนอพองหนอ หรืออานาปานสติ ก็ไม่เป็นปัญหา คำบริกรรมเหล่านั้นก็เพื่อล่อจิตเข้ามาอยู่ในคำบริกรรม แต่คนที่เข้าใจผิด ถือว่าตนดีวิเศษโอ้อวดเพื่อนว่าของข้าถูกของเอ็งละผิด อย่างนั้นอย่างนี้ต่างๆนานา พุทธศาสนาแท้ไม่เป็นอย่างนั้นหรอก มันต้องเป็นอันเดียวกัน ไม่มีใครผิดใครถูก เมื่อปฏิบัติถึงจิตรวมแล้ว จิตรวมเข้าไปเป็นอัปปนาแล้วหมดเรื่อง จิตรวมเข้าถึงอัปปนาแล้ว ถึงที่สุดของการทำสมาธิเท่านี้ ไม่มีอะไรแตกต่างกัน (ธรรมเทศนาเรื่อง การปฏิบัติเบื้องต้น)

15. การหัดภาวนาเบื้องต้น คือ หัดให้เข้าถึงจิตเป็นหนึ่ง หัดเบื้องต้นก็จริง แต่มันถึงที่สุดได้ คือจิตที่สงบนิ่งเป็นหนึ่ง มันก็ถึงที่สุดแล้ว การฝึกหัดจิต หัดมากหัดน้อยเท่าไรก็ตาม ต้องการให้จิตเข้าถึงที่สุด คือ จิตเป็นหนึ่งเท่านั้น การฝึกหัดจิตไม่นอกเหนือจากจิตเป็นหนึ่ง ส่วนอุบายปัญญาที่จะเกิดขึ้น มันเป็นเฉพาะบุคคล (ธรรมเทศนาเรื่อง แก่นของการปฏิบัติ)

16. ขอจงตั้งใจทำให้จริงจัง และทำความเลื่อมใสพอใจในกัมมัฏฐานของตนให้แน่วแน่เต็มที่ ทำนิดเดียวก็จะเป็นผลยิ่งใหญ่ไพศาล เมื่อทำไปทุกๆวัน วันละนิดวันละหน่อย มันหากจะมีวันหนึ่งโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจที่จะให้เป็น มันหากเป็นเอง คราวนี้ละ เราจะประสบโชคลาภอย่างอย่าบอกใครเลย ถึงบอกก็ไม่ถูก เป็นของรู้และซาบซึ้งเฉพาะตนเอง คำว่าภาวนาขี้เกียจและปวดเมื่อยแข้งขาจะหายไปเองอย่างปลิดทิ้ง จะมีแต่อยากทำภาวนา สมาธิอยู่ร่ำไป (ธรรมเทศนาเรื่องทุกข์)



หลวงปู่เทสก์กับท่านเจ้าคุณพระธรรมวิสุทธิมงคล ( หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน )
17. สติตัวนี้ควบคุมจิตอยู่ได้ ถ้าเผลอเวลาใดไปเวลานั้น ทำชั่วเวลานั้น จึงให้รักษาจิตตรงนั้นแหละ ควบคุมจิตตรงนั้นแหละ ให้มันอยู่นิ่วแน่วเป็นสมาธิภาวนา เข้าถึงในสงบนิ่งแน่วเฉยอยู่ ให้หัดตรงนี้แหละ พระพุทธศาสนาไม่ให้หัดอื่นไกล หัดตรงนี้แหละ ปฏิบัติศาสนาก็ปฏิบัติตรงนี้แหละ จะถึงศีล สมาธิ ปัญญา ก็ตั้งนั้นแหละ? (ธรรมเทศนาเรื่อง เบื้องต้นของการปฏิบัติกัมมัฏฐาน)

18. แก่นสารคือ จิตที่เป็นหนึ่ง จับเอาจิตที่เป็นหนึ่งให้ได้ ครั้นจับเอาจิตที่เป็นหนึ่งได้แล้ว รักษาเอาไว้ให้มั่น ไม่ต้องเอาอื่นใดอีก เอาอันเดียวเท่านั้นเป็นพอแล้ว (ธรรมเทศนาเรื่อง แก่นของการปฏิบัติ)

19. จิตเป็นสมาธิแล้ว นั่นจึงจะมองเห็นธรรม คือ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บไข้ และความตายได้ชัดเจน (ธรรมเทศนาเรื่อง ธรรมะ)

20. จิตมันต้องเป็นหนึ่ง ถ้าไม่ใช่หนึ่งแล้วก็ไม่ใช่จิต จิตเป็นหนึ่งกลายเป็นใจละ คราวนี้ตัวจิตนั่นแหละกลายเป็นใจ อันที่นิ่งเฉย ไม่คิดไม่นึก ไม่ปรุงไม่แต่ง ความรู้สึกเฉยๆ นั่นแหละ มันกลายเป็นใจ จิตมันกลายเป็นใจ (ธรรมเทศนาเรื่อง วิธีหาจิต)

21. ใคร ๆ ก็พูดถึงจิตถึงใจ จิตเป็นทุกข์ จิตเดือดร้อน จิตยุ่งวุ่นวาย จิตกระวนกระวาย จิตกระสับกระส่าย มันเรื่องของจิตทั้งนั้นแหละ แต่ยังไม่เคยเห็นจิตสักที จิตแท้เป็นอย่างไร ก็ไม่ทราบ เมื่อไม่เห็นจิตไม่เห็นใจ มันก็ไม่มีโอกาสที่จะชำระได้ ต้องเห็นตัวมันเสียก่อน รู้จักตัวที่เราพูดถึงเสียก่อน พอเราเดือดร้อนเรายุ่งเหยิงหรือส่งส่ายเราก็แก้ตรงนั้นเอง (ธรรมเทศนาเรื่องความโง่ของคนโง่)

22. นักฝึกหัดจิตทำสมาธิให้แน่วแน่ เป็นอารมณ์หนึ่งแล้ว จะมองเห็นกิเลสในจิตของตนเอง ทุกกาลทุกเวลาว่า มีกิเลสหยาบและละเอียดหนาบางขนาดไหนเกิดขึ้นที่จิต เกิดจากเหตุอะไร และจะต้องชำระด้วยวิธีอย่างไร จิตจึงบริสุทธิ์ผ่องใส ค้นหากิเลสของตนเองอยู่ทุกเมื่อ กิเลสจะหมดสิ้นไป (ของดีมีในศาสนาพุทธ)

23. การฝึกหัดสมาธิภาวนา คือ การตั้งสติอันเดียว ให้รู้ตัวอยู่เสมอ มันคิดมันนึกอะไร ก็ให้รู้ตัวอยู่เสมอ ยิ่งรู้ตัวชัดเจนเข้ามันยิ่งเป็น เอกัคคตารมณ์ นั่นแหละตัวสมาธิ (อนุสสติ ๑๐)

24. รู้สิ่งอื่นไม่สามารถจะชำระจิตของตนได้ รู้จิตของเรานี่แหละจึงจะเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์ (อนุสสติ ๑๐)

25. การฝึกหัดจิตนี้ ถ้าอยากเป็นเร็ว ๆ มันก็ไม่เป็น หรือไม่อยากให้เป็นมันก็ประมาทเสีย ไม่เป็นเหมือนกัน อยากเป็นก็ไม่ว่า ไม่อยากเป็นก็ไม่ว่า ทำใจให้เป็นกลาง ๆ แล้วตั้งใจให้แน่วแน่ ในกัมมัฏฐานที่เรายึดมั่นอยู่นั้น แล้วภาวนาเรื่อยไป ก็จะถึงซึ่งความอัศจรรย์ขึ้นมาในตัวของตน แล้วจะรู้ชัดขึ้นมาว่าอะไรเป็นอะไร (อนุสสติ ๑๐)

26. การเห็นจิตของเรานี่แหละดี มันคิดดีคิดชั่ว คิดหยาบ คิดละเอียด ก็รู้ดูจนกระทั่งมันวางลง ถ้าเห็นอยู่เสมอ ๆ แล้ว ก็วางหมด (อนุสสติ ๑๐)

27. ปหานปธาน ให้เพียรดูที่จิตของเรานั่นแหละ การกระทำสิ่งใด ๆ ก็เกิดจากจิตเป็นคนบัญชา ถ้าจับจิตเห็นจิตอันนี้แล้ว จะรู้ได้ดีเห็นได้ชัด กายจะทำอะไรผิดหรือถูก ดีหรือชั่ว เป็นบุญหรือเป็นบาป รู้ได้ดีทีเดียว เอาสติไปตั้งไว้ที่จิต คิดค้นอยู่ที่จิต เห็นใจเป็นผู้สั่งกาย ทำอะไร ๆ เห็นอยู่ตลอดเวลา (ธรรมเทศนาเรื่อง เพียรละความชั่ว)

28. ผู้ใดชนะข้าศึกคือ ตัวของเราคนเดียวได้แล้ว เป็นผู้ประเสริฐกว่าการชนะชนหมู่มาก นับเป็นพัน เพราะข้าศึกอันเกิดจากคนอื่นภายนอก เมื่อพ่ายแพ้ก็เลิกกันไปที แต่ข้าศึกภายในนี้ จะแพ้หรือชนะอย่างไร ก็ยังต้องอาศัยกันอยู่อย่างนี้จนกว่าจะแตกดับจากกันไป ถึงแม้อายตนะภายในมีตาเป็นต้นที่เราเห็น ๆ กันอยู่นี้ เมื่อหลับเสียแล้วก็ไม่เห็น แต่อายตนะของใจอีกส่วนหนึ่งนั้นซี ตาบอดแล้ว หูหนวกแล้ว มันยังได้เห็นได้ยินอยู่ กายแตกดับแล้วใจยังมีอายตนะได้ ใช้บริบูรณ์ดีทุกอย่างอยู่ และนำไปใช้ได้ทุก ๆ สถาน ตลอดภพภูมินั้น ๆ ด้วย ฉะนั้น เมื่อเราจะเอาชัยชนะข้าศึกภายในจึงเป็นการต่อสู้อย่างยิ่ง (ธรรมเทศนาเรื่อง พละ ๕)

29. ผู้ที่ยอมตัวมารับเอาศีลไปไว้เป็นเครื่องปฏิบัติ จะเป็นศีล 5-8-10-227 ก็ตาม ได้ชื่อว่า เป็นผู้เริ่มต้นปฏิบัติศาสนะพรหมจรรย์ เข้าไปทำลายบ่อนรังข้าศึก อันมีอยู่ในภายในใจของตนแล้ว (ธรรมเทศนาเรื่อง สติปัฏฐานภาวนา)

30. หากจะเรียกกายใจของคนเรานี้ว่า ตู้พระธรรมก็จะไม่ผิด (ธรรมเทศนาเรื่องสติปัฏฐานภาวนา)

31. ธรรมเทศนาที่ท่านพูดที่ท่านสอนธรรมะนั้น ท่านสอนตรงนี้ คือสอนให้พิจารณา กายกับใจตรงนี้ ไม่ได้สอนที่อื่น สอนเข้าถึงตัว สอนให้เห็นของจริงในกายตน ที่จะพ้นทุกข์ได้ก็เพราะเห็นของจริงตรงนี้ จะถึงมรรคผลนิพพาน ฌาน สมาบัติ ก็ตรงนี้แหละ ไม่ใช่อื่นไกลเลย เห็นเฉพาะในตัวของเรา ถ้าไปเห็นของอื่นละไม่ใช่ (ธรรมเทศนาเรื่อง ธรรม)



หลวงปู่เทสก์กับพระราชสังวรญาณ ( หลวงพ่อพุธ ฐานิโย )
32. ตัวจิตหรือตัวใจอันนี้แหละไม่มีตนมีตัว ถ้าเรารู้เรื่องจิตเรื่องใจเสียแล้ว มันง่ายนิดเดียว ฝึกหัดปฏิบัติกัมมัฏฐานก็เพื่อชำระใจ หรือต่อสู้กับกิเลสของใจนี้ ถ้าไม่เห็นจิตหรือใจแล้ว ก็ไม่ทราบว่าจะไปต่อสู้กับกิเลสตรงไหน เพราะกิเลสเกิดที่ใจ สงครามไม่มีสนามเพลาะ ไม่ทราบว่าจะรบอย่างไรกัน ต้องมีสนามเพลาะสำหรับยึดไว้เป็นที่ป้องกันข้าศึก มันจึงค่อยรู้จักรบ รู้จักแพ้ รู้จักชนะ ขอให้พากันพิจารณาทุกคน ๆ เรื่องใจของตน เวลานี้เราเห็นใจแล้วหรือยัง ใจหรือจิตของเรานั้นมันอยู่ที่ไหน มีอาการอย่างไร (ธรรมเทศนาเรื่อง กิเลส)

33. ความจริงกิเลสไม่มีตนมีตัว ไม่ได้เอาไปละที่ไหน หรือเอาไปทิ้งให้ใคร เป็นการละออกจากใจของตนเอง (ธรรมเทศนาเรื่อง เพียรละความชั่ว)

34. บ่วงของมารได้แก่อะไร อาการของจิตที่เที่ยวไปตามอารมณ์นั้น ย่อมมีทั้งอารมณ์ดี และอารมณ์ร้าย จึงต้องมีความสุขบ้างทุกข์บ้างเป็นธรรมดา ตามวิสัยของปุถุชน จิตที่เที่ยวไปนั้นจะต้องประสบของ 5 อย่าง คือ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏธัพพะ ซึ่งเรียกว่า กามคุณ 5 พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นบ่วงของมาร

จิตของปุถุชนทั้งหลายเมื่อเที่ยวไปประสบอารมณ์ทั้ง 5 นั้น หรือเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ทำให้เกิดความยินดีพอใจก็ดีหรือเกิดความเสียใจเป็นทุกข์ก็ดี เรียกว่าเข้าไปติดบ่วงของมารแล้ว คำว่า "ติด" ในที่นี้ หมายความว่า สลัดไม่ออก ปล่อยวางไม่ได้ บ่วงของมารผูกหลวม ๆ แต่แก้ไม่ได้ ถ้าดิ้นก็ยิ่งแต่จะรัดแน่นเข้า

จิตที่สำรวมได้แล้วจะพ้นจากบ่วงของมารได้อย่างไร ปุถุชนเบื้องต้นเมื่อเห็นโทษภัย ในการเข้าไปติดบ่วงของมารแล้ว จึงต้องพึงสำรวมในอายตนะทั้งหลาย มีตา หู เป็นต้น พระทศพลสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ใครสำรวมจิตได้แล้ว จักพ้นจากเครื่องผูกของมารดังนี้

ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นโคจรที่เที่ยวแสวงหาอารมณ์ของจิต เมื่อเราปิดคือ สำรวมมีสติ ระวังอย่าให้จิตหลงไปในอารมณ์ทั้ง 6 นั้นได้แล้ว เป็นอันว่ามารผูกมัดเราด้วยบ่วงไม่ได้ (ธรรมเทศนา เรื่องสังวรอินทรีย์)

35. ผู้ฝึกหัดปฏิบัติรู้เข้าใจเรื่องเหล่านี้ตามเป็นจริงว่า วิสัยของอายตนะทั้งหกนั้น มีชอบกับไม่ชอบเท่านั้น แล้วปล่อยวางเสีย ไม่ไปยึดเอามาเป็นอารมณ์ จิตก็จะกลายมาเป็นใจ เฉยอยู่กลาง ๆ นั่นแหละจึงเป็นธรรมเห็นธรรม ไม่เป็นโลก อยู่เหนือโลกพ้นจากโลก (ธรรมเทศนาเรื่อง จิตเหนือโลก)

36. การทำจิตไม่ให้หมุนไปตามอายตนะหก คือปรุงแต่งส่งส่ายไปตามอารมณ์ต่าง ๆ นั้น เป็นการหักกงกำแห่งล้อของวัฏจักร นักปฏิบัติผู้ฝึกหัดได้อย่างที่อธิบายมานี้ ถึงหักกงกำ แห่งวัฏจักรไม่ได้อย่างเด็ดขาด ได้เพียงชั่วครู่ชั่วคราว ก็นับว่าดีอักโขแล้ว ดีกว่าไม่รู้วิธีหักเสียเลย (ธรรมเทศนาเรื่อง จิตเหนือโลก)

37. ผู้ฝึกจิต ถ้าทำจิตให้มีอารมณ์หลายอย่าง ก็จะสงบไม่ได้ และไม่เห็นสภาพของจิต ตามเป็นจริง ถ้าทำให้จิตดิ่งแน่วแน่อยู่ในอารมณ์อันเดียวแล้ว จิตก็มีกำลังเบ่งรัศมี แห่งความสว่างออกมาเต็มที่ มองสภาพของจิตตามเป็นจริงได้ ว่าอะไรเป็นจิต อะไรเป็นกิเลส อะไรเป็นของควรละ (ธรรมเทศนาเรื่อง สมบัติอันล้ำค่า)

38. ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ฉะนั้นผู้ถือว่าเราถึงธรรมได้ ธรรมชั้นนั้นชั้นนี้ ผู้นั้นยังมีความอยากอยู่ จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ถึงธรรมได้อย่างไร (ของดีมีในศาสนาพุทธ)

39. คนเราเกิดมาเหมือนกับไปยืมของคนอื่นเขามาเกิด ตายแล้วก็ส่งกลับคืน มาเกิดอีก ก็ยืมมาใหม่ ดังนี้อยู่ไม่รู้จบรู้สิ้นสักที ขออย่าลืมผู้ไปยืมของเขามาเกิดยังมีอยู่ จึงต้องยืมของเราร่ำไปไม่มีที่สิ้นสุด (ของดีมีในศาสนาพุทธ)

40. ความสละเด็ดเดี่ยว ปล่อยวางสิ่งสารพัดทั้งปวงหมด เหลือแต่ใจ อันนั้นเป็นของดีนัก ความสละความตายเลยไม่ตายซ้ำ เลยมีอายุยืนนาน ถึงเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรต่าง ๆ ก็ทอดทิ้งหมด เลยกลับเป็นของดีซ้ำ ที่เป็นห่วงทั้งนั้นอยู่ในเรื่องความเจ็บความป่วย อันนั้นป่วยก็ไม่หาย สมาธิก็ไม่เป็น นั่นแหละเป็นเหตุที่ไม่เป็นสมาธิ เราจะทำอะไรต้องทำให้จริง ๆ ซี (อนุสสติ ๑๐)

41. จิตของคนเราเป็นของใสสะอาดมาแต่เดิม เหตุนั้นขัดเกลากิเลสออกหมด มันจึงเห็นความใสสะอาด จึงเรียก ปภสฺสรมิท จิตฺต (ธรรมเทศนาเรื่องวิธีหาจิต)


42. วิปัสสนาจริงแล้วไม่ต้องคิดต้องนึกไม่ต้องปรุงแต่ง มันเป็นเอง มันเกิดของมันต่างหาก เมื่อมันเกิดแล้วจะต้องชัดแจ้งประจักษ์ในพระไตรลักษณฐานด้วยตัวของตนเองต่างหาก

43. เมื่อปัญญาวิปัสสนาเกิดขึ้น ในขณะจิตเดียวนั้นสิ้นสงสัยในธรรมทั้งหลาย เห็นสรรพสัตว์ในโลกเป็นสภาพอันเดียวกันหมดเลย ไม่มีต่ำ ไม่มีสูง ไม่มีน้อย ไม่มีใหญ่ ไม่มีหญิง ไม่มีชาย มีแต่ธาตุ ๔ เกิดขึ้นแล้วดับไปเท่านั้น (ธรรมเทศนาเรื่อง ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร)

44. ปัญญาวิปัสสนา คือเห็นสิ่งทั้งปวงหมด เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สิ่งเหล่านั้น เป็นของไร้สาระ เป็นโทษเป็นทุกข์ เป็นภัยอันตรายแก่จิตใจ จึงปล่อยวาง ทอดธุระในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น อันนี้เป็นปัญญาอันวิเศษสูงสุด เพราะคนจะพ้นจากโลกได้ ก็เพราะเห็นที่สุดของโลก คือได้แก่เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา (ธรรมเทศนาเรื่อง หลักการปฏิบัติธรรม)

45. ขอให้มีศรัทธา ทำทานไปเรื่อย ทั้งทานภายนอก ทานภายใน รักษาศีล คือรักษากาย วาจา และใจ ให้มันเป็นปกติ หรือรักษาจิตนั่นเอง คอยมีสติปกครองจิตใจ สิ่งใดไม่ควรคิดก็ไม่คิด สิ่งใดไม่ควรพูดก็ไม่พูด สิ่งใดไม่ควรทำก็ไม่ทำ เพราะเรามีสติรู้อยู่ว่าเราเป็นผู้มีศีล (ธรรมเทศนาเรื่อง สติควบคุมจิต)



หลวงปู่เทสก์กับหลวงปู่เปลื้อง ปัญญวันโต
วัดบางแก้วผดุงธรรม จ.พัทลุง
46. ผู้มีศรัทธา มีความเพียรด้วย และมีความอดทน กล้าหาญ ประกอบด้วยปัญญา ประกอบด้วยความเพียร รักษาความดีนั้น ๆ ไว้ติดต่อกันอย่าให้ขาด นั่นแลจึงสามารถ ขจัดกิเลสสานสัยให้หมดสิ้นไปได้ (อัตตโนประวัติฯ)

47. ท่านผู้ที่หายจากโรคอันเกิดจากใจได้แก่ผู้สิ้นกิเลสแล้ว ถึงแม้โรคในกายของท่าน จะยังปรากฎอยู่ ก็เป็นแต่อาการความรู้สึก หาได้ทำใจของท่านให้กำเริบไม่ เพราะโรคใจของท่านไม่มีแล้ว สมุฏฐานคืออุปาทานของท่านได้ถอนหมดแล้ว ฉะนั้นท่านจึงมีความสุขและได้ลาภอย่างยิ่งในความไม่มีโรค (ธรรมเทศนาเรื่อง โรค)

48. ทำทานมีมากมีน้อยก็ต้องทำด้วยตนเอง รักษาศีลก็โดยเฉพาะส่วนตัวแท้ ๆ ใครรักษาศีลให้ไม่ได้ ทำสมาธิยิ่งลึกซึ้งหนักแน่นเข้าไปกว่านั้นอีก แต่ละคนก็ต้องรักษาจิตใจของตน ๆ ให้มีความสงบหยุดวุ่นวายแส่ส่าย ถ้าเราไม่รู้จักวิธีทำสมาธิแล้ว ก็ทำสมาธิไม่เป็น จิตใจก็เดือดร้อนดิ้นรนเป็นทุกข์ เหตุนั้นจึงว่า การทำทาน รักษาศีล ทำสมาธินี่เป็นกิจเฉพาะส่วนตัว ทุก ๆ คนจะต้องทำให้เกิดมีขึ้นในตน (ธรรมเทศนาเรื่อง หลักศาสนา)

49. ความเป็นเศรษฐีมีจนคนอนาถา ก็มิได้เป็นอุปสรรคแก่การจับจ่ายอริยทรัพย์ ของผู้มีศรัทธาปัญญา ฉะนั้นอริยทรัพย์จึงเป็นของมีคุณค่าเหนือกว่าทรัพย์ทั้งปวง (อัตตโนประวัติฯ)

50. บุญกุศลที่สร้างสมถึงที่แล้วมันจะหมดเรื่อง ไม่มีอะไรอีก และไม่เอาไปด้วย บาปก็ไม่เอา บุญก็ไม่เอา ผู้ที่ยังเอาอยู่จึงได้บุญได้บาป เป็นภพเป็นชาติขึ้น ผู้ทอดธุระแล้ว ไม่มีบุญและบาปแล้ว จึงได้เรียกว่า โลกุตระ เหนือโลก (ธรรมเทศนาเรื่องจิตที่ควรข่ม-ควรข่มขี่-ควรละ)


487
บทความในตอนนี้ขอเรียนให้ทราบก่อนว่า ไม่ได้มีการบันทึกเอาไว้ในพระราชหัตถเลขา หรือพระราชนิพนธ์ "ไกลบ้าน" แต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องเล่าสืบทอดกันมาจากบรรดาข้าราชบริพารที่ตามเสด็จ และปู่ย่า ตาทวดละแวกวัดโคนอน เขตภาษีเจริญ ที่ได้รู้ได้เห็นได้ประสบเหตุการณ์ เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์เข้านมัสการ "หลวงปู่เอี่ยม" เจ้าอาวาสวัดโคนอนในสมัยนั้น เพื่อขอรับการพยากรณ์เหตุการณ์ล่วงหน้าในการเสด็จประพาสยุโรป จริง เท็จ ประการใด เชื่อได้หรือไม่ ? ขอให้อยู่ในดุลยพินิจของท่านผู้อ่านก็แล้วกันนะครับ

ขอเริ่มเรื่องที่ "หลวงปู่เอี่ยม วัดโคนอน" หรือ "เจ้าคุณเฒ่า วัดหนัง"ที่หลายท่านโดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวงการพระเครื่อง รู้จักกันดี เหรียญรูปเหมือนของท่านทั้งสองรุ่นที่ทันท่านปลุกเสก ค่านิยมในการบูชาอยู่ในหลักแสนมานานนับสิบปีแล้ว เหตุที่มีชื่อเรียกอีกนามหนึ่งนั้น เพราะภายหลังท่านได้มาปกครองวัดหนัง ภาษีเจริญ และได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ที่ "พระภาวนาโกศล" ก็คงจะเป็นด้วยคุณงามความดีของท่านที่ถวายคำพยากรณ์ โดยที่ผลของคำพยากรณ์ออกมาเป็นจริง ทำให้ไทยเราไม่ต้องสูญเสียองค์พระปิยมหาราช ในขณะที่เสด็จรอนแรมอยู่กลางทะเล มหาสมุทร และแผนอันชั่วร้ายของ "เศษฝรั่ง" ที่คิดปลงพระชนม์ชีพพระองค์อย่างแยบยล ชนิดที่ชาวโลกไม่กล้าตำหนิ

หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง บางขุนเทียน

หลวงปู่เอี่ยมนั้น ท่านเป็นศิษย์เอกของ "พระภาวนาโกศล (รอด) " อดีตเจ้าอาวาสวัดนางนอง วรวิหาร พระอารามหลวงชั้นตรีพระวิปัสนาจารย์ที่เก่งกล้าในด้านพุทธาคม มีตบะเดชะที่กล้าแข็ง สำเร็จวิชาแปดประการมีหูทิพย์ ตาทิพย์ ล่วงรู้จิตใจคน รู้อดีต รู้อนาคต แสดงฤทธิ์ได้ ฯลฯ หลวงปู่รอดนี้ ต่อมาภายหลังท่านได้ถูกฝ่ายอาณาจักร และศาสนจักร ลงโทษด้วยการปลดออกจากตำแหน่ง ริบสมณศักดิ์คืนเพราะท่านไม่ยอมถวายอดิเรกแด่ล้นเกล้า ฯ รัชกาลที่ ๔ ในคราวเสด็จถวายผ้าพระกฐิน อาจจะเป็นเพราะความคิดที่ไม่เห็นด้วย ในการที่ล้นเกล้า ฯรัชกาลที่ ๔ ตั้ง "ธรรมยุติกนิกาย" ขึ้นมา ทำให้สงฆ์ต้องแตกแยกกันนั่นเอง ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ผู้ใดไม่เห็นด้วย ก็ไม่ควรเป็น "พระราชาคณะ" อีกต่อไป เพราะคำว่า "ราชาคณะ" นั้น แปลว่า "พวกของพระเจ้าแผ่นดิน หรือพระราชา"

เมื่อหลวงปู่รอดถูกถอดจากสมณศักดิ์แล้ว ก็ออกจากวัดนางนอง กลับไปยังวัดบ้านเกิดที่ห่างไกลจากความเจริญ คือ "วัดโคนอน"ด้วยความกตํญญูรู้คุณแด่องค์พระอาจารย์ หลวงปู่เอี่ยม ซึ่งขณะนั้นเป็นเพียง "พระปลัดเอี่ยม"ก็อ้อนวอนขอติดตามองค์อาจารย์ ไปปรนนิบัติรับใช้ ท่านไปไหนก็ไปด้วย เรียกว่าเห็นใจในยามทุกข์ ก็คงจะไม่ผิด แสดงให้เห็นถึงความไม่ยึดติดในลาภสักการะ ถิ่นที่อยู่ที่เจริญด้วยอาหารบิณฑบาตร และปัจจัยในองค์หลวงปู่เอี่ยม นอกเหนือไปจากความกตํญญูกตเวที ที่ปรนนิบัติรับใช้พระอาจารย์ จวบจนวาระสุดท้าย

หลวงปู่เอี่ยมนั้นเป็น "ศิษย์มีครู " ดังนั้น จึงถอดแบบอย่างมาจากองค์หลวงปู่รอดแทบจะเป็นพิมพ์เดียวกัน หลวงปู่รอดเก่งอย่างไร หลวงปู่อี่ยมก็เก่งอย่างนั้น จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจที่ท่านจะมีศิษย์และผู้ที่เคารพนับถือมากมาย ทั้งที่วัดอยู่ในถิ่นห่างไกลความเจริญ การเดินทางไปมาหาสู่ไม่สะดวก แม้แต่พระเจ้าน้องยาเธอ "กรมหลวงนเรศวรฤทธิ์" เจ้ากรมพระนครบาล (มหาดไทยในปัจจุบัน) ยังน้อมตัวเป็นศิษย์ และท่านผู้นี้แหละ ที่ถวายคำแนะนำและทูลเชิญเสด็จล้นเกล้า ฯ รัชกาลที่ ๕ให้เสด็จมาขอรับคำพยากรณ์จากหลวงปู่เอี่ยม ก่อนที่จะเสด็จประพาสยุโรป

ในการเสด็จประพาสยุโรป ครั้งที่หนึ่ง เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๐ นั้น ไม่ได้เป็นการเสด็จเพื่อแสวงหาความสำราญแต่อย่างใด แต่เป็นการเสด็จเพื่อดำเนินพระราชวิเทโศบาย ด้านการต่างประเทศอย่างชาญฉลาด เป็นการเสด็จเพื่อเจริญพระราชไมตรีกับราชวงศ์ต่าง ๆ ของยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัสเซียและเยอรมัน ซึ่งเป็นศัตรูคู่แค้นของอังกฤษ และฝรั่งเศส ด้วยหลักการที่ว่า "ศัตรูของเพื่อนก็คือศัตรูของเรา" เมื่อผูกสัมพันธ์กับรัสเซีย เยอรมัน และกลุ่มประเทศต่าง ๆ ในยุโรป ได้แล้ว อังกฤษ และฝรั่งเศสก็จะไม่กล้ารุกราน หรือยึดเอาประเทศไทยเป็น "อาณานิคม" อีกต่อไป ซึ่งส่งผลทำให้ไทยเราดำรงความเป็นเอกราชมาจนทุกวันนี้

การเสด็จประพาสยุโรปในสมัยนั้น ทำได้ทางเดียว คือ "ทางเรือ" ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการเดินทางแรมเดือน การออกทะเลหรือมหาสมุทรนั้น แม้ในปัจจุบันที่มีการพัฒนาการเดินเรือ มีเรือที่มั่นคงแข็งแรง ประสิทธิภาพสูง มีการติดต่อสื่อสารที่ทันท่วงที ก็ยังไม่วายจะ "อับปาง" เลยครับ หากออกเดินทางในช่วงมรสุม หรือ "สุ่มสี่สุ่มห้า" ล่ะก็ เป็นเสร็จทุกราย คนโบราณจึงสอนเอาไว้ว่า "อย่าไว้ใจทะเลคืบก็ทะเล ศอกก็ทะเล มีภยันตรายรอบด้าน ทุกเวลานาที" ท่านผู้อ่านลองหลับตาวาดภาพการเดินเรือในสมัยเมื่อร้อยกว่าปีล่วงมาแล้วซิครับ ว่ายากลำบาก และมีอันตรายเพียงใด แต่ล้นเกล้า ฯ รัชกาลที่ ๕ท่านก็ทรงเสด็จ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย เป็นการเสียสละพระองค์อย่างสูงสุด ที่ไม่มีพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในโลกจะทำได้ ตอนหน้าจะได้กล่าวถึงคำพยากรณ์และการแก้ไขเหตุร้ายแรงที่ประสบตามคำพยากรณ์ เป็นเรื่องของความเชื่อถือในคุณพระ และคาถาอาคม หากท่านเห็นว่า "ไม่ไร้สาระ" จนเกินไป

เมื่อล้นเกล้า ฯ รัชกาลที่ ๕ ได้รับคำแนะนำจากพระเจ้าน้องยาเธอ "กรมหลวงนเรศวรฤทธิ์"ให้เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ เข้านมัสการ "หลวงปู่เอี่ยม" วัดโคนอน เพื่อขอรับคำพยากรณ์ก่อนที่จะเสด็จประพาสยุโรป ครั้งที่ ๑ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๐ นั้น ภายหลังที่กำหนดการเสด็จวัดโคนอนได้ถูกกำหนดขึ้นเป็นการส่วนพระองค์เรียบร้อยแล้ว ก็ได้ส่งหมายกำหนดการไปถวายแด่หลวงปู่เอี่ยม เป็นการภายใน เพื่อที่จะได้เตรียมตัวรับเสด็จ

ขบวนเสด็จประกอบด้วย เรือพายสี่แจวที่ทรงประทับ และขบวนเรือคุ้มกัน ควบคุมโดยพระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงนเรศวรฤทธิ์ ได้เคลื่อนที่เข้าคลองลัดสู่วัดโคนอน ชาวบ้านละแวกนั้นไม่ได้ไหวตัวหรือเอะใจแต่อย่างใด เพราะเห็นเป็นขบวนเรือธรรมดา มิได้ประดับประดาธงทิวให้แปลกไปกว่าเรือลำอื่นดูเหมือนกับเรือที่ขุนนางหรือเศรษฐีผู้มีทรัพย์ใช้กันทั่วไป และผู้ที่ขึ้นมาจากเรือสี่แจวต่างก็แต่งกายแบบธรรมดา มีหมวกสวมไว้บนศีรษะ ใบหน้าบ่งบอกถึงเป็นผู้มีบุญ หนวดบอกถึงผู้มีอำนาจดวงตาฉายแววแห่งความเมตตาปราณีตลอดเวลา เวลาเดินมีคนล้อมหน้าล้อมหลัง ทุกคนไม่ได้เฉลียวใจเลยว่า "บุรุษผู้ขึ้นมาจากเรือสี่แจวนั้น คือ เจ้าชีวิตแห่งกรุงสยาม พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า ผู้ทรงประกาศเลิกทาสโดยสิ้นเชิง"

พระปลัดเอี่ยมนั่งรออยู่บนอาสนะอันสมควรแก่ฐานานุรูป ภายในพระอุโบสถอันแคบ แบบวัดราษฏรในเขตอันไกลจากพระบรมมหาราชวัง กรมหลวงนเรศวรฤทธิ์ก้าวนำเสด็จเข้ามาภายในพระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้าทรงจุดธูปเทียนบูชาสักการะพระประธาน กราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วจึงเสด็จกลับมาถวายนมัสการพระปลัดเอี่ยม ซึ่งกราบทูลให้ทรงประทับนั่งธรรมดาตามสบายพระองค์

"ที่รูปมาในวันนี้ ("รูป" เป็นคำที่พระมหากษัตริย์สมัยก่อนใช้แทนพระนามเมื่อมีพระราชดำรัสกับพระสงฆ์) เพื่อขอให้ท่านปลัดได้ช่วยตรวจดูเหตุการณ์ว่า การที่รูปจะเสด็จไปยุโรปเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับราชสำนักในยุโรปนั้น จักเป็นอย่างไรบ้าง ด้วยหนทางไกลและอันตรายมีอยู่รอบด้าน"

"มหาบพิตร อาตมาจักตรวจสอบให้ อย่าได้ทรงมีพระหทัยกังวล ทั้งนี้ด้วยพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นสมมติเทพแบบพระองค์นั้น มีบุญญาธิการ สามารถผ่านพ้นความทุกข์ได้อย่างมั่นคง"

พระปลัดเอี่ยมลุกจากที่นั่งไปคุกเข่าลงหน้าพระประธาน ก้มลงกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ระลึกถึงองค์พระรัตนตรัย และหลวงปู่รอดผู้มรณภาพไปแล้ว ขอบารมีในการจะเข้า "ฌาน" เพื่อดูอนาคตด้วย"อนาคตังสญาณ" จากนั้นก็กลับเข้ามาสู่ท่านั่งสมาธิตัวตรง เจริญอานาปานสติ แล้วเข้าสู่ฌานที่ ๔ ตามลำดับ จากนั้นเข้าสู่อนาคตังสญาณ โดยกำหนดจิตไว้มั่นเพื่อให้นิมิตเกิด

ในท่ามกลางความคะนองของท้องทะเล และคลื่นลมตลอดจนวังวนของทะเล เรือพระที่นั่งกำลังอยู่ในปากแห่งวังวนนั้น น้ำในวังวนเชี่ยวกราก และส่งแรงดูดมหาศาล ภายใต้วังวนนั้น ซากเรือใหญ่น้อยจมอยู่เป็นอันมาก พ้นจากทะเลมาสู่บก พลันภาพของกลุ่มคนที่นั่งกันอยู่เป็นชั้น ๆ ส่งเสียงจ้อกแจัก ด้านล่างเป็นผืนหญ้า และมีผู้จูงม้าเข้ามาในที่นั้น ม้าตัวนั้นมีคนถือเชือกที่ล่ามขาทั้งสี่คอยดึงไว้ไม่ให้พยศ ดวงตาของมันเหลือกโปน น้ำลายฟูมปาก

ภาพของฝรั่งแต่งตัวด้วยเครื่องแบบประหลาด ผายมือให้พระบาทสมเด็จพระปิยะมหาราชเจ้าทรงเสด็จไปรับม้าเพื่อประทับ แล้วทุกอย่างก็ดับวูบหายไป ถึงวาระที่ออกจากญาณพอดีลุกขึ้นเดินมานั่งบนอาสนะที่เดิม ก่อนจะกราบทูลความถวายว่า

"มหาบพิตร การเสด็จพระราชดำเนินสู่ยุโรปครั้งนี้ จะต้องประสบภัยสองครั้ง ครั้งแรกในทะเลที่วังวน อาตมาจะถวายผ้ายันต์พิเศษและคาถากำกับ เมื่อเข้าที่คับขันขอให้ทรงเสด็จไปยืนที่หัวเรือ แล้วภาวนาคาถากำกับผ้ายันต์แล้วโบกผ้านั้น จะเกิดลมมหาวาตะพัดให้เรือหลุดจากการเข้าสู่วังวนได้

ภัยครั้งที่สองเกิดจากสัตว์จตุบท (สี่เท้า) คืออัศดรชาติอันดุร้ายที่ฝ่ายตรงข้ามจะทดลองพระองค์อาตมาจะถวายคาถาพิเศษสำหรับภาวนาเวลาถอนหญ้าให้อัศดรอันดุร้ายนั้นกิน จะคลายพยศและสามารถประทับบังคับให้ทำตามพระราชหฤทัยได้เหมือนม้าเชื่อง" ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เล่าลือกันมาตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าหลวง ปู่ย่าตายายได้เล่าสืบทอดกันมาอันมีส่วนหนึ่งเกี่ยวพันกับพระบรมรูปทรงม้าที่ลานพระราชวังดุสิต

คาถาเสกหญ้าให้ม้ากินที่หลวงปู่เอี่ยมถวายนั้น คือ "คาถาอิติปิโสเรือนเตี้ย" หรือ "มงกุฎพระพุทธเจ้า" มีตัวคาถาว่า "อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธะนาเมอิ อิเมนา พุทธะตังโสอิ อิโสตังพุทธะปิติอิ "

หลังจากได้ทรงมีพระราชดำรัสกับพระปลัดเอี่ยมพอสมควรแก่เวลาแล้ว ก็ทรงถวายจตุปัจจัยไทยทานแด่พระปลัดเอี่ยม จากนั้นได้เสด็จทอดพระเนตรโดยรอบวัดโคนอน ซึ่งตอนนี้มีผู้จดจำพระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้าได้แม่นยำ ได้บอกกันออกไป ทำให้มีผู้มาหมอบเฝ้ารับเสด็จกันเป็นจำนวนพอสมควร ครั้นทรงสำราญพระอิริยาบถพอสมควรแล้ว ก็เสด็จกลับสู่พระบรมมหาราชวัง เพื่อเตรียมพระองค์ไปทวีปยุโรปต่อไป

การเสด็จประพาสยุโรปในครั้งแรก เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๔๔๐ (ร.ศ. ๑๑๖) ได้ทรงเตรียมการทุกอย่างไว้เป็นอย่างดียิ่ง ในส่วนที่เป็นกิจการภายในประเทศ ได้ทรงแต่งตั้งสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต่อหน้ามหาสมาคม จากนั้นได้ทรงถวายสัตย์ปฏิญาณต่อหน้ามหาสมาคมซึ่งประกอบไปด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ เหล่าเสนามหาอำมาตย์ ข้าราชบริพาร และพระราชาคณะอันมีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธาน ในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร บางลำภู กทม. มีใจความสำคัญ ดังนี้

๑. จักไม่เปลี่ยนแปลงจากพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาอื่น

๒. จักเสวยน้ำจัณฑ์ (เหล้า) ต่อเมื่อไม่เป็นการผิดพระราชประเพณีต่อฝ่ายที่จะกระชับสัมพันธไมตรี และจะเสวยเพียงเพื่อไมตรีไม่ให้เสียพระเกียรติยศ

๓. จะไม่ล่วงประเวณีต่อสตรีไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติใด ตลอดเวลาที่พ้นออกไปจากพระราชอาณาเขตสยาม

ซึ่งท่านผู้อ่านจะเห็นได้ว่า การเสด็จพระราชดำเนินครั้งนี้ ไม่ได้เป็นไปเพื่อความสำราญส่วนพระองค์ แต่ทรงเสียสละความสุขส่วนพระองค์เพื่อประเทศชาติโดยแท้ จากจดหมายเหตุและพระราชหัตถเลขา ที่ทรงมีมายังพระพันปีหลวงผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ทรงบอกชัดเจนว่า


ทรงต้องผจญภัยในท้องทะเล กับคลื่นลมที่แปรปรวน ทรงพบกับความลำบากนานาประการอาทิ ต้องทรงงดเสวยพระโอสถหมากและพระโอสถมวน (หมาก พลู บุหรี่) และต้องให้ช่างมาขูดคราบพระทนต์ (ฟัน) ที่เกิดจากคราบหมากคราบปูนออกเพื่อให้พระทนต์ขาว ห้องพระบรรทมในเรือพระที่นั่งก็ไม่สะดวกสบาย อากาศร้อนเป็นที่สุด การเสวยก็ไม่เป็นไปตามที่ทรงพระประสงค์ ฯลฯ ซึ่งความยากลำบากเหล่านี้เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาแรมเดือน ในช่วงที่ต้องใช้ทะเล มหาสมุทร เป็นเส้นทางเสด็จและในช่วงที่เสด็จรอนแรมในท้องทะเลนั่นเอง คำพยากรณ์ข้อที่ ๑ ของหลวงปู่เอี่ยม วัดโคนอนก็เป็นจริง

เมื่อเรือพระที่นั่งแล่นอยู่ในบริเวณใกล้กับ สะดือทะเล หรือ "ซากัสโซ ซี" อันบริเวณนั้นมักจะเกิดน้ำวนเป็นประจำ และเรือลำใดบังเอิญหลงเข้าไปในวังน้ำวนนั้น ก็มีหวังจมลงอับปางเป็นแน่แท้ และแล้วเรือพระที่นั่งมหาจักรี ก็พลัดเข้าไปในวังวนนั้นจนได้

กัปต้นคัมมิง (Commander Cumming) แห่งราชนาวีอังกฤษซึ่งไทยได้ขอยืมตัวมาเป็นผู้บังคับการเรือพระที่นั่งเป็นการชั่วคราว ได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มสติกำลังความสามารถ บังคับเรือให้สู้กับแรงหมุนและดูดอย่างเต็มที่ ด้วยหากเรือพระที่นั่งเข้าปากวังวนแล้ว การรอดออกมานั้นหมดหนทาง

ในขณะที่วิกฤตินั้น ได้มีผู้เข้าไปกราบทูลให้ทรงทราบ เมื่อระลึกถึงคำพยากรณ์ของพระปลัดเอี่ยมข้อแรกขึ้นมาได้ ก็ทรงจัดฉลองพระองค์ให้รัดกุม อาราธนาผ้ายันต์ของพระปลัดเอี่ยมติดมาด้วย เมื่อเสด็จมาถึงตอนหัวเรือ กัปตันกำลังแก้ไขสถานการณ์สุดกำลัง ทรงไม่รบกวนสมาธิของกัปตัน แต่เสด็จไปยืนอธิษฐานจิตถึงพระรัตนตรัย พระสยามเทวาธิราช และบารมีทศพิธราชธรรม และการเลิกทาสที่ทรงพระวิริยะอุตสาหะในการช่วยเหลือพสกนิกรให้พ้นจากการเป็นทาส จบลงด้วยพระปลัดเอี่ยมและผ้ายันต์ ทรงโบกผ้ายันต์นั้นไปมาด้วยความมั่นพระราชหฤทัย แล้วปาฎิหาริย์ก็ปรากฎ เหตุการณ์ก็แปรเปลี่ยน จู่ ๆ ก็เกิดลมมหาวาตะพัดมาในทิศทางที่อยู่ในแนวเดียวกับวังวน แรงลมทำให้เกิดกระแสคลื่นสะกัดกระแสวนของวังน้ำ ดันเรือพระที่นั่งให้พ้นจากแรงดูดสามารถตั้งเข็มเข้าสู่เส้นทางได้ ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนว่า "ฮูเรย์" ของกัปตันและลูกเรือ

ส่วนผู้ติดตามเสด็จนั้นอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูก จนทรงพับผ้ายันต์เก็บแล้วนั่นแหละ จึงค่อย ๆร้องว่า สาธุ สาธุ คำพยากรณ์ข้อแรกเป็นที่ประจักษ์แก่พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงว่า "แม่นยำยิ่งนัก" คงเหลือแต่คำพยากรณ์ข้อที่สองซึ่งยังมาไม่ถึง แต่ก็ทรงเตรียมพระองค์รับสถานการณ์หากจะเกิดขึ้น

เส้นทางเสด็จพระราชดำเนินนั้น มีช่วงที่รอนแรมในมหาสมุทรอินเดียยาวนานถึง ๑๕ วัน ๑๕คืน คือเส้นทางระหว่างเมืองกอล (Galle) ประเทศศรีลังกา ไปยังเมืองเอเดน (Aden) เมืองท่าปากทางเข้าสู่ทะเลแดงของประเทศเยเมน ช่วงนี้แหละที่น่าจะเป็นช่วงอันตรายที่สุดและลำบากที่สุด เหตุการณ์ตามคำพยากรณ์ข้อที่ ๑ ข้างต้น คงเกิดในช่วงเส้นทางนี้ คือระหว่างวันที่ ๒๓ เมษายน ถึง ๖ พฤษภาคมพ.ศ. ๒๔๔๐ (ขอย้ำอีกครั้ง เป็นเรื่องเล่า ไม่ได้มีบันทึกไว้ในพระราชหัตถเลขา - เล็ก พลูโต)

ขอรวบรัดตัดตอนเส้นทางเสด็จ ไม่ขอนำความมากล่าวโดยละเอียด ณ ที่นี้ เมื่อพระองค์เสด็จถึงประเทศฝรั่งเศส ประธานาธิบดี เฟลิกซ์ ฟอร์ ได้ถวายการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ แม้จะไม่เต็มใจนัก แต่แรกไม่คิดจะต้อนรับขับสู้อย่างดีหรอกครับ แต่สืบข่าวดูแล้ว ทุกประเทศที่พระองค์เสด็จผ่านมาก่อนหน้าที่จะเข้าฝรั่งเศส ไม่ว่าจะเป็นสวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี ออสเตรีย ฮังการี รัสเซีย เดนมาร์ก อังกฤษเบลเยี่ยม เยอรมัน ต่างก็ถวายการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ โดยเฉพาะรัสเซีย พระเจ้าซาร์ นิโคลัสทรงยกย่องนับถือเสมือนหนึ่งพระอนุชาร่วมอุทรของพระองค์เอง มีการฉายภาพพระบรมฉายาลักษณ์คู่กัน เผยแพร่ไปทั่วยุโรป แล้วอย่างนี้ "เจ้าเศษฝรั่ง" จะทำเป็นทองไม่รู้ร้อนได้อย่างไร

ในช่วงที่ทรงพำนักในกรุงปารีส ฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ ๑๑ กันยายน ถึง ๑๗ กันยายน ๒๔๔๐นี่เอง ที่พระองค์ได้ประสบกับความแม่นยำในอนาคตังสญาณของพระปลัดเอี่ยม ข้อที่ ๒ หากไม่ได้เตรียมการ หรือเตรียมพระองค์ล่วงหน้าแล้ว มีหวังที่จะต้องเอาพระชนม์ชีพไปทิ้งเสียที่นี่กระมัง เหตุการณ์จะเป็นอย่างไร ติดตามอ่านกันไดใน้ฉบับหน้านะครับ

โบราณว่าไว้ "หากไม่เข้าถ้ำเสือ แล้วจะได้ลูกเสืออย่างไร ? " เป็นบทท้าทายคำพิสูจน์ให้เห็นเด่นชัดตอนที่ล้นเกล้า ร.๕ พระปิยมหาราชเสด็จพระราชดำเนินเหยียบดินแดนของผู้ที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นศัตรู ที่ร้ายกาจ หวังจะครอบครองแผ่นดินไทยให้ได้ทั้งหมด แม้จะได้เป็นบางส่วนแล้วก็ตามก็หาเป็นที่พอใจไม่

ในช่วงที่เสด็จพระราชดำเนินเยือนทวีปยุโรปครั้งแรก เมื่อ ร.ศ. ๑๑๖ (พ.ศ. ๒๔๔๐) นั้น สยามประเทศของเรายังคงมีกรณีพิพาทต่อกันในเรื่อง "สิทธิสภาพนอกอาณาเขต" กล่าวคือเราต้องยอมให้อังกฤษและฝรั่งเศสตั้งศาลกงสุลของตนในดินแดนไทย สำหรับตัดสินคดีความต่าง ๆ เมื่อคนของเขา หรือคนใดก็ตามแม้แต่คนไทยหัวใสบางคนที่ยอมตนจดทะเบียนเป็นคนในบังคับ (คล้าย ๆ กับการโอนสัญชาติ แต่ไม่ใช่ เพราะยังไม่มีสิทธิที่จะพำนักในประเทศของเขา ) ซึ่งก็มีจำนวนไม่น้อย เพราะเวลาทำผิดแล้วไม่ต้องขึ้นศาลไทย ไม่ใช้กฎหมายไทยตัดสิน คนไทยเองก็เถอะ หากทำความผิดต่อคนของเขาแล้ว ต้องขึ้นศาลเขาและต้องยอมเขาทุกอย่าง แม้ศาลไทยจะตัดสินว่า "ถูก" หากเขาเห็นว่า "ผิด" คนผู้นั้นก็ต้องถูกลงอาญา ซึ่งเป็นหนามยอกอกของคนไทยในสมัยนั้นมาก ต้องยอมให้คนต่างชาติต่างแดนมากดหัวเรา มาเอาเปรียบเรา ป็นการยั่วยุให้เราหมดความอดทน หากก่อสงคราม ก็มีหวังสูญเสียเอกราชของชาติแน่นอน

กรณี "พระยอดแมืองขวาง" แขวงเมืองคำเกิดคำมวน วีรบุรุษไทยที่รักผืนแผ่นดินไทย รักในองค์พระมหากษัตริย์ไทย ได้ดับความอหังการ์ของทหารฝรั่งเศส ที่บุกรุกอธิปไตยของไทยที่เมืองขวาง จนต้องถูกจำคุกเสียหลายปี แม้ศาลไทยจะให้ปล่อยตัวเพราะเป็นการทำตามหน้าที่ แต่ศาลกงสุลของฝรั่งเศสในไทยตัดสินให้จำคุก ท่านก็ต้องติดคุกเพื่อชาติ เรื่องนี้คนไทยทั้งแผ่นดินในขณะนั้น แค้นแทบจะกระอักเลือดเลยครับ เกือบจะทำสงครามกันรอมร่ออยู่แล้ว ดีแต่องค์พระปิยมหาราชเจ้า ท่านทรงดำเนินวิเทโศบายด้านต่างประเทศด้วยการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ในยุโรปเสียก่อน แล้วพระองค์ก็ทรงทำสำเร็จเสียด้วย ผู้ที่แค้นแทบจะกระอักเลือดแทน ก็คงจะเป็น "เจ้าเศษฝรั่ง" น่ะเองซึ่งมันก็รอจังหวะและโอกาสที่จะล้างแค้นเหมือนกัน มันคิดว่า

"หากไม่มีล้นเกล้า ฯ ร.๕ เสียพระองค์หนึ่ง สยามประเทศเราก็เปรียบเสมือนมังกรที่ไร้หัว" ที่นี้คงมีโอกาสมากขึ้นหากจะฮุบประเทศชาติของเราไว้ในกำมือ และแล้วแผนการอันแยบยลก็อุบัติขึ้นเมื่อพระองค์เสด็จเยือนประเทศฝรั่งเศส แม้เขาจะต้อนรับพระองค์อย่างสมพระเกียรติก็ตาม แต่นั่นเป็นเพียงหน้าฉากเท่านั้น หลังฉากน่ะหรือ ? ได้กำหนดขึ้นเพื่อต้อนรับพระองค์ไว้เรียบร้อยแล้ว ในสนามแข่งม้าชานกรุงปารีสนั่นเอง เมื่อพระองค์ได้รับคำทูลเชิญให้เสด็จทอดพระเนตรการแข่งม้านัดสำคัญนัดหนึ่งซึ่งมีขุนนาง ข้าราชการ พระบรมวงศานุวงศ์ฝรั่งเศสมาชมกันมาก พวกมันได้นำเอาม้าดุร้ายและพยศอย่างร้ายกาจมาถวายให้ทรงประทับ โดยถือโอกาสขณะที่อยู่ท่ามกลางมหาสมาคม แม้รู้ว่าม้านั้นดุร้าย พระปิยมหราชเจ้าก็จะไม่ทรงหลีกหนี ด้วยขัตติยะมานะที่ทรงมีอยู่ในฐานะผู้นำประเทศ หากทรงพลาดพลั้งนั่นคือ "อุบัติเหตุ" ใครก็จะเอาผิดหรือต่อว่าเจ้าเศษฝรั่งไม่ได้

ม้าตัวนั้นเล่าลือกันว่า เคยโขกกัดผู้เลี้ยงดูและผู้หาญขึ้นไปขี่ตายมาแล้วหลายคน จะเอาไปไหนต้องมีคนจูงด้วยเชือกล่ามเท้าทั้งสี่ไว้ เพื่อป้องกันการพยศและขบกัดผู้คน นัยว่าเป็นม้าของเจ้าชายแห่งฝรั่งเศสพระองค์หนึ่ง เมื่อถูกนำเข้ามาในสนาม ทุกคนก็ส่งเสียงร้องด้วยความตกใจและหวาดกลัว ตัวแทนรัฐบาลฝรั่งเศสเริ่มวางหลุมพราง โดยกราบบังคมทูลว่า

"ไม่ทราบเกล้าว่าเมื่ออยู่ในสยามประเทศเคยทรงม้าหรือไม่ พระเจ้าข้า"

"แน่นอน ข้าพเจ้าเคยทรงอยู่เป็นประจำ เพราะในสยามประเทศก็มีม้าพันธุ์ดีอยู่มาก"

"โอ วิเศษ ขออัญเชิญพระองค์ทรงเสด็จขึ้นทรงม้า ตัวที่กำลังถูกจูงเข้ามานี้ให้ประจักษ์ชัดแก่สายตาของผู้คนในสนามม้านี้ด้วยเถิดพระเจ้าข้า"

ตัวแทนรัฐบาลฝรั่งเศสกราบทูลด้วยความกระหยิ่มใจ

"แน่นอน ข้าพเจ้าจะแสดงให้ท่านทั้งหลายได้ดูว่า กษัตริย์แห่งสยามประเทศนั้นไม่เคยหวาดหวั่นกลัวแม้แต่อัสดรที่พยศดุร้าย หรือผู้คุกคามที่มีอาวุธพร้อมสรรพ "

จบพระราชดำรัสก็ทรงลุกขึ้นเปิดพระมาลาขึ้น รับการปรบมืออันกึกก้องสนามม้าแห่งนั้น แล้วเสด็จพระราชดำเนินลงจากอัฒจันทร์ สู่ลู่ด้านล่าง ซึ่งขณะนั้นม้ายืนส่งเสียงร้อง และเอากีบเท้าตะกุยจนหญ้าขาดกระจุยกระจาย

คำพยากรณ์ของพระปลัดเอี่ยมยังกึกก้องอยู่ในพระกรรณ ทรงก้มพระวรกายลงใช้พระหัตถ์ขวารวบยอดหญ้าแล้วดึงขึ้นมากำมือหนึ่ง ทรงตั้งจิตอธิษฐานถึงพระรัตนตรัย พระสยามเทวาธิราชและพระปลัดเอี่ยม เจริญภาวนาพระคาถาอิติปิโสเรือนเตี้ยที่พระปลัดเอี่ยมถวายสามจบ ทรงเป่าลมจากพระโอษฐ์ลงไปบนกำหญ้านั้น แล้วแผ่เมตตาซ้ำ ยื่นส่งไปที่ปากม้า เจ้าสัตว์สี่เท้าผู้ดุร้ายสะบัดแผงคอส่งเสียงดังลั่นก่อนจะอ้าปากงับเอาหญ้าในพระหัตถ์ไปเคี้ยวกินแล้วก็กลืนลงไป

ผู้แทนรัฐบาลฝรั่งเศสโบกผ้าเช็ดหน้า เป็นสัญญาณให้แก้เชือกที่ตรึงเท้าม้าออกไปพ้นทั้งสี่เท้าบัดนี้เจ้าสัตว์ร้ายพ้นจากพันธนาการ และบรรดาผู้ที่จูงมันเข้ามาก็ผละหนี เพราะเกรงกลัวในความดุร้ายของมัน พระปิยะมหาราชเจ้าทรงทอดสายพระเนตรจับจ้องอยู่ที่นัยน์ตาของม้านั้น ก็เห็นว่ามันมีแววตาอันเป็นปกติ มิได้เหลือกโปนดุร้าย ทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปตบที่ขาหน้าของมันสามครั้ง เจ้าม้านั้นก็ก้มหัวลงมาดมที่พระกรไม่แสดงอาการตื่น หญ้าเสกสำริดผลตามประสงค์

อาชา ที่ดุร้ายกลับเชื่องลงเหมือนม้าลากรถ เจ้าชีวิตแห่งสยามประเทศยกพระบาทขึ้นเหยียบโกลนข้างหนึ่งแล้วหยัดพระ วรกายขึ้นประทับบนอานม้าอย่างสง่างามไร้อาการต่อต้านของม้าที่เคยดุร้าย เสียงคนบนอัฒจันทร์ส่งเสียงตะโกนขึ้นเป็นเสียงเดียวกันว่า "บราโวส บราโวส" อันหมายถึงว่า "วิเศษที่สุด เก่งที่สุด ยอดที่สุด" ทรงกระตุ้นม้าให้ออกเดินเหยาะย่างไปโดยรอบสนาม ผ่านอัฒจันทร์ที่มีผู้คนคอยชม เปิดพระมาลารับเสียงตะโกนเฉลิมพระเกียรติบางคนก็โยนหมวก โดยมีดอกกุหลาบลงมาเกลื่อนสนามตลอดระยะทางที่ทรงเหยาะย่างม้าผ่านไปจนครบรอบ จึงเสด็จลงจากหลังม้ากลับขึ้นไปประทับบนพระที่นั่งตามเดิม

บรรดาพี่เลี้ยงม้าก็เข้ามาจูงม้านั้นออกไปจากสนาม คำพยากรณ์ข้อที่สองและคาถาที่พระปลัดเอี่ยมแห่งวัดโคนอนถวาย ได้สำริดผลประจักษ์แก่พระราชหฤทัย ทรงระลึกถึงพระปลัดเอี่ยมว่า เป็นผู้ที่จงรักภักดีโดยแท้จริง และได้ช่วยให้ทรงผ่านสถานการณ์อันเลวร้ายมาถึงสองครั้งสองครา และทั้งหมดนี้คือจุดเล็ก ๆ ในเกร็ดพระราชประวัติ เป็นปฐมเหตุแห่งพระบรมรูปทรงม้า หน้าพระราชวังดุสิต ที่เล่าขานกันต่อมาช้านาน และยังคงกึกก้องในโสตประสาทของปวงชนชาวไทยต่อไป ชั่วกาลปาวสาน

...................................................................................

ที่มา http://www.lekpluto.com/index01/special03.html

488
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

1.รูปัปมาณิกา พระพุทธเจ้าทุกองค์ต้องมีรูปร่างหน้าตาสะสวย สมสัดสมส่วน มีอาการ 32 ครบถ้วน และมีลักษณะพิเศษเล็กๆ อีก 80 บริบูรณ์ทั้งหมด ฉะนั้นองค์สมเด็จพระบรมสุคตทุกองค์จึงมีรูปร่างหน้าตาทรวดทรงสวยสดงดงามเป็นพิเศษ ความสวยของพระองค์เป็นเหตุดึงใจของบุคคล ผู้จะรับธรรมสำหรับคนผู้ต้องการความสวย
2.ลูขัปปมาณิกา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์จะต้องมีจีวรเศร้าหมอง คือห่มผ้าไม่มีสีฉูดฉาดคล้ายๆกับผ้าเปื้อนโคลน ทั้งนี้ถ้าเผื่อว่ามีบุคคลเขาต้องการความเศร้าหมองก็จะเห็นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นไม่ต้องการความสวยสดงดงามแต่ประการใด แต่งตัวแบบปอนๆเขาก็ชอบใจ
3.โฆสัปปมาณิกา พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์จะมีพระเสียงไพเราะมากเป็นที่จับใจของบุคคลผู้สดับ และก็
4.ธัมมัปปมาณิกา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมไพเราะเสนาะโสต เป็นที่ต้องใจของบุคคล และก็เวลาแสดงธรรมนั้นจะมีคนกี่ภาษาก็ตามเข้ามาฟังธรรม คนทุกคนจะมีความรู้สึกว่า ได้ยินพระพุทธเจ้าเทศน์ภาษาของตน และทุกคนจะเห็นว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ หันหน้าไปหาตนเหมือนกันหมด อันนี้เป็นพระปาฏิหาริย์
คุณสมบัติทั้ง ๔ประการนี้มีประจำพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

489
ชะตาชีวิต(อนาคต)ของคนเราหรือสิ่งของสถานที่ต่าง ๆ นั้นได้ถูกกำหนดไว้แล้วในอนาคตและเราก็ต้องเป็นไปตามนั้น หรือไม่fficeffice" />>>
> >
ผมติดอยู่กับคำถามนี้มานานเพราะมันมีส่วนจริงอยู่บ้าง เช่นคำทำนายต่างๆไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์บ้านเมือง ชะตาชีวิตของแต่ละคนที่ดูจากลายมือบ้างวันเดือนปีเกิดบ้าง อย่างผมนี่แม่เอาวันเดือนปีเกิดไปให้พ่อหมอดูว่าจะจบปริญญาหรือเปล่าโดยที่ผมไม่รู้ พ่อหมอว่าไม่จบ และแล้วก็เป็นจริงโดยที่ยังไม่ทันได้จ่ายเงินลงทะเบียนเลยแต่ตอนนั้นสอบเข้าได้แล้วน้ะ บวกกับตามน้ำไปกับเพื่อนๆก่อน จนสุดท้ายบอกแม่ว่า ไม่เรียนแล้ว สาเหตุคือ เบื่อ บวกกับเป็น ไมเกรน ผมไม่เสียใจเลยคิดว่าปริญญาตรีมันก็พอๆกับปริญญาใจนั้นแหละ 5555ฮือๆๆๆๆๆๆ>>
>>
ผมขอออกตัวก่อนว่าผมไม่รู้เรื่องดาราศาตร์โหราศาตร์แต่อย่างใด>>
ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตคล้ายหุ่นยนต์โดยที่ทำกิจวัตรประจำวันผ่านไปผ่านไป โดยที่มีวันเดือนปีเกิดของตนเองและอิทธิพลจากดวงดาวต่างๆเป็นตัวควบคุมหลักรวมไปถึงรูปร่างหน้าตาที่เรียกว่า โหงวเฮ้ง หรือชื่อของตัวเองที่มีส่วนส่งผลต่อนิสัยใจคอ สติปัญญา ที่ถูกล็อกค่าไว้แล้ว เช่น ลองสังเกตุคนที่มีหูยาวดูส่วนมากจะฉลาดได้เป็นเจ้าคนนายคน ส่วน นิสัยใจคอ สติปัญญา ที่เรียนรู้จากการเรียน หรือในสังคมรอบข้างเป็นของอย่างหยาบ นานๆลืมกันได้>>
> >
จากการที่ผมสนใจเรื่องลึกลับของอวกาศ เอเลี่ยน ยูเอฟโอ อะไรพวกนี้ จึงหาดูทางเน็ตแต่ไปๆมาๆ ก็มาจบที่พระพุทธศาสนา ตอนนี้ผมสนใจเรื่องการทำสมาธิ เข้าฌาน สมาธิหมุนอะไรทำนองนี้เคยอ่านมาว่าช่วยให้ลดอิทธิพลจากดวงดาวต่างๆ ตัวเองจะเป็นคนกำหนดชะตาชีวิต ทำให้เวรกรรม(พลังงานที่ติดมากับจิต ,,อันนี้ผมมั่วเอาเอง) หมดไปบ้าง>>
> >
แต่ก็นั่นล่ะไม่รู้ว่าชะตาชีวิต(อนาคต)ได้กำหนดให้ผมมาแนวนี้หรือเปล่าเหมือนที่คุณต้องมานั่งอ่าน ส่วนตอนที่ผมพิมพ์อยู่นี้เป็นอดีตไปแล้ว ถ้าสมมุติว่าสามารถรู้อนาคตได้แล้วเราลองฝืน มันจะเป็นยังไง ขนาดพุทธศาสนาที่มี>>
สมณโคดม เป็นศาสดา จะอยู่ได้5000ปี จากที่รู้มา จะต้องเป็นเช่นนี้แก้ไขอะไรไม่ได้จริงรึป่าว>>
> >
ส่วนใครที่พอรู้เรื่องแบบนี้ช่วยอธิบายหน่อย ไม่รู้ว่าจะมีเรื่อง ควอนตัมฟิสิกส์ มาเกี่ยวบ้างรึป่าว ? ไม่รู้ว่าผมคิดฟุ้งซ่านอะไรมากไปรึป่าว ช่วยตอบให้หายสงสัยด้วย สงสัยมากเดี๋ยวจะเหมือนหมอประกิตเผ่าเอา 55>>
ขอบคุณไว้ล่วงหน้าก่อนสำหรับความคิดเห็น

490
พระพุทธองค์...กล่าวว่า
" ตัวกระทำมีจริง ตัวกระทำไม่ตาย ตัวกระทำมีผลตอบแทน "

ประโยคนี้...เพียงประโยคเดียว....ครอบคลุมทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้น ทั่วทั้งจักรวาล
เพราะ....ประโยคนี้ คือ "หลักเดียวที่สูงสุด" ... ปักไว้มั่นคง นิ่ง ไม่กระดุกกระดิก
นั่นคือ... "หลักสัจจะธรรม"
สิ่งที่มนุษย์มุ่งค้นหากัน
ซึ่ง พระพุทธเจ้าค้นพบมานานแล้ว ... แต่เมื่อถึงยุคปัจจุบัน กลับสูญหายไป
ไม่มีผู้ใดอธิบายได้ว่า "หลักสัจจะธรรม" คือ อะไร หมายถึงอะไร

ดังนั้น...ผลจากการกระทำ ที่เกิดขึ้นจาก "สัจจะ"...จึงเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ประมาณค่ามิได้ !!!
ผลที่เกิดขึ้น คือ "ตัวกระทำ"....ที่จะติดตัวไปกับจิตวิญญาณของเรา ตลอดไป
และ นี้คือ หนทางเดียวเท่านั้น...ที่จะช่วยให้ มนุษย์สามารถเดินทางหลุดพ้นจากความทุกข์ ...เพื่อไปพบกับพระผู้เป็นเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดในจักรวาลได้

อย่า...มัวหลงการปฏิบัติที่ขัดกับ "หลักสัจจะธรรม" อยู่อีกเลย
เวลา...ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอดีตที่ผิดพลาดได้
วันนี้...และวันต่อๆ ไป...ใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท
ดำเนินชีวิตด้วย "สัจจะ"....กำหนดสิ่งที่ดี ตั้งใจทำ วันละข้อ วันละหนึ่งชั่วโมง

491
สงครามกำลังจะเกิด....การใช้อาวุธนิวเคลียร์ ใกล้จะเป็นจริง
หาก สารนี้กระจายไปทั่วโลก...จะสามารถช่วยหยุดยั้ง "สงครามนิวเคลียร์" ได้
ทุกข้อความของข้าพเจ้า....ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ที่จะเผยแพร่
เพราะ ทุกข้อความ...คือ ธรรมะ ความจริงที่มีประโยชน์ต่อมวลมนุษย์
โลก ...กำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น....
"หลักสัจจะธรรม" ปรากฏแล้ว
มนุษย์ จึงควรหยุด "การกระทำที่โหดร้าย" เข่นฆ่ากัน
ศาสนาต่างๆ กำลังจะรวมกันเป็นหนึ่ง....คือ ศาสนศาสตร์ของโลก
ที่มานำสัตว์...หมายถึง มนุษย์ให้หลุดพ้นจากความทุกข์....สู่สรวงสวรรค์ที่ทุกคน ทุกศาสนาปรารถนาไว้

ขอให้ผู้ที่รู้ตัว และ ผู้ที่เพิ่งเริ่มรู้สึกตัวว่าเป็น หน่อพุทธภูมิ โพธิสัตว์ มหาโพธิสัตว์...นำพา "หลักสัจจะธรรม" และ "การปฏิบัติสัจจะ" ออกสู่มวลมนุษย์ ต่อไป...เพื่อเป็นการสานต่อพระพุทธศาสนาในช่วงหลังกึ่งพุทธกาล ที่แก่นสารของศาสนาขาดหายไป

มนุษย์ ที่ยังอยู่ในศาสนาอื่นๆ ...กำลังรอคอย สารที่ข้าพระพุทธเจ้านำมา
จึงขอให้ช่วยกันอย่างเต็มกำลัง....อย่าให้เสียชาติที่มากำเหนิดในครั้งนี้...ทำให้เต็มที่
โปรดนำ....ธรรมจากข้าพระพุทธเจ้า ไปโปรดมนุษย์ต่อไป
กองทัพธรรม เริ่มก้าวออกเดินแล้ว...

492
ระวัง...มีสติ....อย่าหลงให้สิ่งไม่ดีเข้ามาอยู่ในจิตใจตัวเอง
ชาวมุสลิม อิสลาม...ไม่ใช่คนไม่ดี....ทุกคนเกิดมาล้วนเป็นคนดีทั้งนั้น
แต่มี "นิสัยสันดาน" ที่แตกต่างกันไป
คนที่ก่อการร้าย....เป็นคนที่หลงผิด ถูกหลอกใช้งาน...จากประเทศทุนใหญ่
เขาจะทำลายความสามัคคีคนไทย...ให้แบ่งพักแบ่งพวก
เมื่อคนไทยไม่รักกันเอง...เกลียดกันเอง...แบ่งฝักแบ่งฝ่าย
ความสามัคคีของคนไทย จะหมดไป....
เขาจะเริ่มนำกำลังมาจู่โจมทำลาย และ อ้างประวัติศาสตร์เก่าๆ เพื่อยึดครองได้ในที่สุด
ถึงตอนนั้น...ในหลวง ก็ลำบาก...ประชาชน ก็ลำบาก...พระ เณร ชี ก็ลำบากกันหมด
ประเทศใหญ่ที่หนุนหลัง...เขาได้เริ่มส่ง คนไทยที่รักชาติแต่ปาก คิดทรยศขายชาติ จำนวนมาก...เข้ามาแทรกแซงอยู่ในปัจจุบัน
คนไม่ดีมี ๒ พวกใหญ่ คือ พวกยุยงให้คนไทยเกลียดคนไทยด้วยกัน เห็นในทีวีในข่าวบ่อยๆและพวกมีแฝงเข้าทำงานใหญ่ๆ ที่ทำงานไปวันๆ เพื่อรอเวลาวันที่จะจุดชนวนระเบิดความรุนแรงในไทย ตามแผนที่เขาวางกันไว้

ตอนนี้ เราเหมือนปลวก...ตัวเล็ก ๆ ....อยู่ใต้บ้านโจรหลังใหญ่ จะไปสู้กับคนที่มีกำลังมากกว่าไม่ได้...สู้ด้วยปาก ...สู้ด้วยอารมณ์ ก็ไม่มีประโยชน์

เราต้องสู้ด้วย "หลักสัจจะธรรม"
สู้ด้วย "การกระทำ" ที่ดี...ปราศจากนิสัยสันดานไม่ดี
กองทัพธรรมของเรา...จะต้องสู้ด้วย "ตัวกระทำ" หมายถึง ผลการกระทำที่เป็นพลังงานที่ไม่ตาย ไม่สูญสลาย เป็น "พลังแห่งนิพพาน"
เราทุกคนที่คิดจะต่อสู้กับมาร พญามารทั้งปวง...จึงต้องสู้ด้วย "สัจจะ"

นี่คือ... "พรศักดิ์สิทธิ์ จาก โลกุตตระ และ พระไตรปิฎก"
อย่า...มัวแต่นั่งสมาธิ กษิณ....อย่ามัวแต่ ...หลง กาย ...หลงดิน หลงน้ำ หลงลม หลงไฟ...ถอดจิต ถอดใจ ถอยกายกันอยู่เลย !!!
ทุกวันนี้ เริ่มเข้ายุคพระศรีอารย์แล้ว...ฟ้าเปิดแล้ว...ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว
มิติต่าง ๆ จะเปิดออก...ใครมัวแต่หลงกาย หลงใจ หลงนิมิต...ระวังอันตราย !!!
สิ่งไม่ดี...จะแฝงเข้ามาในร่างกาย และจิตใจของพวกท่าน ที่ชอบฝึกกัน
ท่านจะสูญเสียสติ...ทำร้ายกันเอง...และทำร้ายตัวเองในที่สุด

ทุกครั้ง...ที่ท่านปฏิบัติใน "สัจจะ" ได้จริง....ให้ท่านอธิษฐาน ...ถึงในหลวงของเรา ว่า...
" ขอพระธรรมคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โปรดน้อมนำส่วนบุญกุศลนี้แผ่รอบคอบจักรวาล วิมานพรหม ยมโลก รอบคอบจักรวาลสันดานมนุษย์ อุทิศส่งให้คุณบิดามารดา ให้กับในหลวงพระมหากษัตริย์ไทยองค์ปัจจุบัน ให้กับผู้อุปการะ ผู้อุปถัมภ์ เจ้ากรรมนายเวรรอบคอบจักรวาล ข้าพระเจ้าปรารถนาขอบรรลุ มรรค ๔ ธรรม ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ "

หมดเวลาเล่นแล้ว...ถึงเวลาที่ต้องจริงจัง...กองทัพธรรม จะเริ่มเดินแล้ว
ขอดินฟ้าอากาศ เป็นพยาน ในการกระทำของข้าพระพุทธเจ้า


493
บทความ บทกวี / องค์โลกุตตระ คือ.
« เมื่อ: 06 เม.ย. 2550, 02:21:51 »
คือ พระไตรปิฎก.......เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์
คือ ผู้ที่อยู่เหนือโลก.......เหนือ หลักสัจจะธรรม
คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด.......รอบคอบจักรวาล
คือ มนุษย์เหนือโลก??.เมื่อปรากฏเป็นมนุษย์ ทุกหนึ่งหมื่นปี
คือ บรมาจารย์.......สั่งสอน พระพุทธเจ้าทุกพระองค์
คือ ผู้ที่นำพา.......ให้มนุษย์ผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้พบ หลักสัจจะธรรม
คือ ผู้ที่ส่งมอบ สัจจะ.......ให้กับ ผู้ที่ถูกกำหนดให้มีสติของพระพุทธเจ้าได้พิจารณา
คือ ผู้อยู่เหนือชะตาลิขิต.......จึงไม่มีมนุษย์ผู้ใดล่วงรู้ ในการมา
คือ ตัวอักษร.......หลังจากละสังขาร จากไป
คือ พระไตรปิฎก.......หลักธรรมของโลกุตตระ นำสัตว์ให้หลุดพ้น

494
บทความ บทกวี / พรโปรดผู้นำ
« เมื่อ: 06 เม.ย. 2550, 02:21:29 »
ควรเป็นธุระ เห็นใจเขาบ้าง
มี "เมตตา กรุณา"....
ให้ออกมาก ๆ...ไม่ใช่ออกน้อย


อย่าลิดรอน ผู้อื่น...
" ต้นไม้ ไม่ทันโต....ถูกคมมีดแล้ว "


ขอร้องให้มี... "เมตตา กรุณา"....ที่อยู่ในส่วนลึกสุด
อย่า...โกรธเขา
อย่า....อิจฉาเขา
อย่า...เอาเรื่องส่วนตัว ไปวิพากษ์วิจารณ์
อย่า....ทำตัวเป็นนักข่าว
ที่พูดนี้...ดูจากสภาพที่เป็นอยู่


" ขึ้นต้นไม้สูงสุดแล้ว จะไปรบกับใครที่ไหนอีก "
เมตตา กรุณา....ทำใจเห็นเขาบ้าง

495
หมายถึงว่า...เรื่องพื้นดิน นั้น.... แล้วก็แล้วไป
ประเทศต่างๆ อเมริกา รัสเซีย จีน อินเดีย อิหร่าน เกาหลี ญี่ปุ่น ไทย พม่า ลาว เขมร และ ประเทศอื่นๆ
ที่เคยครองสิทธิ ที่ดิน นานมาแล้ว...ก็แล้วไป


ทุกชนชาติ...ไม่ควรเอาท้องฟ้าเป็นสนามรบ
ให้เป็นโอกาสของดวงวิญญาณ ที่เขาจะมา


หากไม่เชื่อ...รบกันแล้ว
จะไม่มีใครเสีย....ใครสูญ
มันระส่ำระสาย
ไม่มีใครเสียหาย แต่ทำให้ปั่นป่วน


เวลานี้...แต่ละประเทศ
ถ้ากดปุ่มอาวุธนำวิถีเมื่อไหร่....มันจะเป็นไปทั้งหมด
มันจะเกิดความผิดพลาด...ไปหมด
แต่นี้...แน่นอนหรือไม่ ???
ของเหล่านี้จูนระบบ...นำร่องด้วย "แสง"
แต่ แสงหักเหได้
มันอาจหักเหได้...ไปตกประเทศอื่น
จะลุกลามใหญ่
หลายประเทศ จะเอาข้อมูลไม่เป็นเรื่องมาอ้าง


ดังนั้น...เรื่องภัยพิบัติโลกาวินาศ
จะเกิดขึ้น หรือ ไม่
ขึ้นอยู่กับ...ความคิด การตัดสินใจของผู้นำแต่ละประเทศ


หาก...มีประเทศหนึ่ง ประเทศใด
กดปุ่มยิงขีปนาวุธขึ้น
โลก...จะเปลี่ยนแปลง...อย่างฉับพลัน !!!!
จึงขอฝากไว้...ถึง ผู้มีอำนาจของแต่ละประเทศ

496
ถึง ผู้มีอำนาจทั้งหลายทั่วโลก


" เราขอประกาศไว้ว่า.......
สถานที่นี้ เอาหลักธรรมของ โลกุตตระ มานำสัตว์ให้หลุดพ้น
เพราะฉะนั้น ผู้มีอำนาจทั้งหลาย ขอให้ตั้งอยู่ในความสงบ
อย่าได้เอาท้องฟ้านี้ เป็นสนามรบ


ถ้าฝ่าฝืน ประเทศใดประเทศหนึ่งฝ่าฝืนโองการของ โลกุตตระ
.......ฟ้าจะต่ำลงมา "




วันศุกร์ 6  เมษายนพ.ศ.๒๕๕๐
ลูกผู้ชาย
ผู้บันทึก

497
***การปฏิบัติธรรม**** มีมากมายหลากหลายวิธี หลายอาจารย์ แต่สุดท้ายจะจบลงที่จิตใจตนเอง เพราะหลักของศาสนาพุทธที่พระพุทธเจ้านำมา มี ๓ ประการ คือ ๑.ไม่ใช่วัตถุ พิธีการ ๒.ไม่ใช้ความเห็น (ใช้ความจริง สัจจะธรรม) ๓.ปฏิบัติด้านจิตใจ ดังนั้น สถานที่ จึงไม่ใช่สิ่งสำคัญ พิธีการก็เช่นเดียวกัน ความสำคัญจึงอยู่ที่ "ใจตนเอง" ว่าจะตั้งใจทำสิ่งที่ดีอะไรบ้าง ให้กับตนเอง ในแต่ละวัน ซึ่งก็คือ "สัจจะ" สัญญากับใจตนเอง เมื่อเกิดการกระทำขึ้นมา สิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกัน คือ "ตัวกระทำ" เป็นเหมือนถ่ายรูป ถ่ายภาพยนตร์ไว้ และเก็บในกระเป๋าใบหนึ่งของตนเองที่เราจะต้องแบกติดตัวไปตลอดชั่วกัปชั่วกัลป์ และผลของตัวกระทำนี้ก็จะต้องตอบแทนตัวเราในอนาคต สิ่งนี้ก็คือ "หลักสัจจะธรรม" ที่พระพุทธเจ้าค้นคว้าจนพบ และนำมาสอนถ่ายทอดให้กับสาวกที่เชื่อและศรัทธา จึงสรุปเป็นหลักสัจจะธรรมสั้นๆ ว่า "ตัวกระทำมีจริง ตัวกระทำไม่ตาย ตัวกระทำมีผลตอบแทน" จึงเป็นคำตอบของกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว พระองค์ท่านจึงมุ่งสอนให้ทุกคนเกิด "การกระทำใหม่" หมายถึง การกระทำที่เกิดจากการตั้งใจหยุดนิสัยที่ไม่ดีของตนเอง โดยตั้งใจทำให้ได้จริงในช่วงเวลากำหนดที่ชัดเจน เพราะจะเกิด "ตัวกระทำ" ขึ้นมา ซึ่งจะเกิดผลตอบแทนที่ดีอย่างแน่นอนในอนาคต ทั้งหมดนี้พระไตรปิฎกได้ "ย่อการปฏิบัติ" จนเหลือเพียง "สัจจะ" ซึ่งคือพื้นฐานของการปฏิบัติทั้งมวล ทุกศาสนา เพราะหัวข้อธรรม การให้ทำดี ละเว้นชั่วมีอย่างมากมาย แต่ถ้าไม่มี "สัจจะ" ก็จะไม่สำเร็จ หลอกคนอื่นได้ แต่หลอกตนเองไม่ได้ การปฏิบัติธรรมด้วย "สัจจะ" ไม่ใช่สิ่งใหม่ แต่อยู่คู่กับโลกมานานแล้ว เพียงแต่ปัจจุบันเวลาผ่านไปนานมาก แก่นสารสำคัญนี้ จึงถูกบดบังด้วยความเชื่อ ความเห็นต่างๆ มากมาย ให้สังเกตว่าพระที่ปฏิบัติได้จนบรรลุอรหันต์จะทราบเรื่องนี้ดี แต่ด้วยเป็นสิ่งที่ขัดกับคำสั่งสอนในตำราปัจจุบันอย่างมาก จึงไม่สามารถนำมาถ่ายทอดสอนใครได้ เพราะจะทำให้เกิดความแตกแยกในหมู่สงฆ์ และประชาชนที่ศรัทธาในพุทธศาสนา แต่ที่ข้าพระพุทธเจ้านำมาบอกเพราะเห็นว่าใกล้ถึงเวลาที่ "หลักสัจจะธรรม" จะถูกเปิดเผยต่อชาวโลก และเห็นว่าประเทศไทยกำลังเข้าสู่สถานการณ์บ้านเมืองวิกฤติที่สุด และภัยพิบัติกึ่งพุทธกาลก็กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป หาก "หลักสัจจะธรรม" ถูกเปิดเผยโดยพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในโลก จะทำให้ "สัจจะ" ที่เป็นทางตรงในการปฏิบัติของการหลุดพ้น สามารถเข้าถึงจิตใจของคนไทยและชาวพุทธทั่วโลกได้ทันการณ์ ก่อนที่ "กรรม"ในใหญ่หลวงกำลังปรากฏขึ้นในอนาคต หากภารกิจที่ข้าพระพุทธเจ้ากำลังดำเนินการสามารถทำสำเร็จ จะทำให้ประเทศไทยเกิดปฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่ ชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์จะรอดพ้นภัยจาก "กรรม" ที่กระทำร่วมกันมาในอดีต อีกทั้งยังเป็นการบูรณะต่อเติมส่วนที่ขาดหายไปในพุทธศาสนาให้สมบูรณ์ ดินฟ้าอากาศรับรู้รับแจ้งในการกระทำครั้งนี้ของข้าพระพุทธเจ้าแล้ว เพียงแต่รอเวลาการตัดสินพระทัยของพระเจ้าแผ่นดิน ความสบายพระทัยจะเกิดขึ้นทันที ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ข้าพระพุทธเจ้า ลูกผู้ชาย

498
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓
ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
 
 



๔. อัคคัญญสูตร
[๕๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้- สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารบุพพาราม เป็นปราสาทของนางวิสาขามิคารมารดา เขตพระนครสาวัตถี ก็โดยสมัยนั้นแล วาเสฏฐ-*สามเณรกับภารทวาชสามเณร เมื่อจำนงความเป็นภิกษุอยู่ อยู่อบรมในสำนักภิกษุทั้งหลาย เย็นวันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่หลีกเร้น เสด็จลงจากปราสาทแล้ว ทรงจงกรมอยู่ ณ ที่แจ้งในร่มเงาปราสาท วาเสฏฐสามเณรได้เห็นพระผู้มีพระภาค เสด็จออกจากที่หลีกเร้น เสด็จลงจากปราสาทกำลังเสด็จจงกรมอยู่ในที่แจ้ง ในร่มเงาปราสาทในเวลาเย็น ครั้นแล้วจึงเรียกภารทวาชสามเณรมาพูดว่า ดูกรภารทวาชะผู้มีอายุ นี้พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่หลีกเร้นในเวลาเย็น เสด็จลงจากปราสาททรงจงกรมอยู่ ณ ที่แจ้งในร่มเงาปราสาท เรามาไปกันเถิด พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ บางทีเราจะได้ฟังธรรมีกถาเฉพาะพระพักตร์ของพระองค์บ้างเป็นแม่นมั่น ส่วนภารทวาชสามเณรรับคำของวาเสฏฐสามเณรแล้ว ทันใดนั้น วาเสฏฐสามเณรกับภารทวาชสามเณร พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วชวนกันเดินตามเสด็จพระองค์ผู้กำลังเสด็จจงกรมอยู่ ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกวาเสฏฐสามเณรมาแล้วตรัสว่า ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ เธอทั้งสองมีชาติเป็นพราหมณ์ มีตระกูลเป็นพราหมณ์ ออกบวชจากตระกูลพราหมณ์ ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ พวกพราหมณ์ไม่ด่าว่าเธอทั้งสองบ้างดอกหรือ ฯ สามเณรทั้งสองนั้นจึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกพราหมณ์พากันด่าว่าข้าพระองค์ทั้ง ๒ ด้วยคำเหยียดหยามอย่างสมใจ อย่างเต็มที่ ไม่มีลด-*หย่อนเลย พระผู้มีพระภาคจึงตรัสถามต่อไปว่า ก็พวกพราหมณ์พากันด่าว่าเธอทั้งสองด้วยถ้อยคำอันเหยียดหยามอย่างสมใจ อย่างเต็มที่ ไม่มีลดหย่อนอย่างไรเล่า สามเณรทั้งสองกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกพราหมณ์พากันว่าอย่างนี้ว่า พราหมณ์พวกเดียวเป็นวรรณะที่ประเสริฐที่สุด วรรณะอื่นเลวทรามพราหมณ์พวกเดียวเป็นวรรณะขาว พวกอื่นเป็นวรรณะดำ พราหมณ์พวกเดียวบริสุทธิ์ พวกอื่นนอกจากพราหมณ์หาบริสุทธิ์ไม่ พวกพราหมณ์เป็นบุตรเกิดจากอุระ เกิดจากปากของพรหม มีกำเนิดมาจากพรหม พรหมเนรมิตขึ้น เป็นทายาทของพรหม เจ้าทั้งสองคนมาละวรรณะที่ประเสริฐที่สุดเสียแล้ว ไปเข้ารีดวรรณะที่เลวทราม คือ พวกสมณะที่มีศีรษะโล้น เป็นพวกคฤหบดี เป็นพวกดำ เป็นพวกเกิดจากเท้าของพรหม เจ้าทั้งสองคนมาละพวกที่ประเสริฐที่สุดใดเสีย ไปเข้ารีดวรรณะเลวทราม คือพวกสมณะที่มีศีรษะโล้น เป็นพวกคฤหบดี เป็นพวกดำเป็นพวกเกิดจากเท้าของพรหม ข้อนั้นไม่ดี ไม่สมควรเลย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญพวกพราหมณ์พากันด่าว่าข้าพระองค์ทั้งสองด้วยถ้อยคำที่เหยียดหยาม อย่างสมใจอย่างเต็มที่ ไม่มีลดหย่อนเลยอย่างนี้แล พระองค์จึงตรัสว่า ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ พวกพราหมณ์ระลึกถึงเรื่องเก่าของพวกเขาไม่ได้ จึงพากันพูดอย่างนี้พราหมณ์พวกเดียวเป็นวรรณะที่ประเสริฐที่สุด วรรณะอื่นเลวทราม พราหมณ์พวกเดียวเป็นวรรณะขาว พวกอื่นเป็นวรรณะดำ พราหมณ์พวกเดียวบริสุทธิ์พวกอื่นนอกจากพราหมณ์หาบริสุทธิ์ไม่ พวกพราหมณ์เป็นบุตรเกิดจากอุระ เกิดจากปากของพรหม มีกำเนิดมาจากพรหม พรหมเนรมิตขึ้น เป็นทายาทของพรหมดังนี้ ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็ตามที่ปรากฏอยู่แล คือ นางพราหมณีทั้งหลายของพวกพราหมณ์ มีระดูบ้าง มีครรภ์บ้าง คลอดอยู่บ้าง ให้ลูกกินนมอยู่บ้าง อันที่จริง พวกพราหมณ์เหล่านั้น ก็ล้วนแต่เกิดจากช่องคลอดของนางพราหมณีทั้งนั้น พากันอวดอ้างอย่างนี้ว่า พราหมณ์พวกเดียวเป็นวรรณะที่ประเสริฐที่สุด วรรณะอื่นเลวทราม พราหมณ์พวกเดียวเป็นวรรณะขาว พวกอื่นเป็นวรรณะดำ พราหมณ์พวกเดียวบริสุทธิ์ พวกอื่นนอกจากพราหมณ์หาบริสุทธิ์ไม่พวกพราหมณ์เป็นบุตรเกิดจากอุระ เกิดจากปากของพรหม มีกำเนิดมาจากพรหมพรหมเนรมิตขึ้น เป็นทายาทของพรหม เขาเหล่านั้นกล่าวตู่พรหม และพูดเท็จก็จะประสบแต่บาปเป็นอันมาก ฯ [๕๒] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ วรรณะเหล่านี้ มีอยู่สี่คือ กษัตริย์พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ก็กษัตริย์บางพระองค์ในโลกนี้ มีปรกติฆ่าสัตว์ มีปรกติลักทรัพย์ มีปรกติประพฤติผิดในกามทั้งหลาย มีปรกติพูดเท็จ พูดส่อเสียดพูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ละโมภมาก คิดปองร้ายผู้อื่น มีความเห็นผิด ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ด้วยประการดังที่กล่าวมานี้แล ธรรมเหล่าใดเป็นอกุศลนับว่าเป็นอกุศล เป็นธรรมมีโทษ นับว่าเป็นธรรมมีโทษ เป็นธรรมไม่ควรเสพนับว่าเป็นธรรมไม่ควรเสพ ไม่ควรเป็นอริยธรรม นับว่าไม่ควรเป็นอริยธรรมเป็นธรรมดำ มีวิบากดำ วิญญูชนติเตียน อกุศลธรรมเหล่านั้น มีปรากฏอยู่แม้ในกษัตริย์บางพระองค์ในโลกนี้ ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ แม้พราหมณ์บางคนในโลกนี้ ฯลฯ แม้แพศย์บางคนในโลกนี้ ฯลฯ ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ แม้ศูทรบางคนในโลกนี้ มีปรกติฆ่าสัตว์มีปรกติลักทรัพย์ มีปรกติประพฤติผิดในกามทั้งหลาย มีปรกติพูดเท็จ พูดส่อเสียดพูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ละโมภมาก คิดปองร้ายผู้อื่น มีความเห็นผิด ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ด้วยประการดังที่กล่าวมานี้แล ธรรมเหล่าใดเป็นอกุศลนับว่าเป็นอกุศล เป็นธรรมมีโทษ นับว่าเป็นธรรมมีโทษ เป็นธรรมไม่ควรเสพนับว่าเป็นธรรมไม่ควรเสพ ไม่ควรเป็นอริยธรรม นับว่าไม่ควรเป็นอริยธรรมเป็นธรรมดำ มีวิบากดำ วิญญูชนติเตียน ธรรมเหล่านั้นมีปรากฏอยู่แม้ในศูทรบางคนในโลกนี้ ฯ [๕๓] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ฝ่ายกษัตริย์บางพระองค์ในโลกนี้เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ เป็นผู้เว้นขาดจากการลักทรัพย์ เป็นผู้เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม เป็นผู้เว้นขาดจากการพูดเท็จ เป็นผู้เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด เป็นผู้เว้นขาดจากการพูดคำหยาบ เป็นผู้เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ ไม่ละโมภมาก ไม่คิดปองร้ายผู้อื่น มีความเห็นชอบ ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะด้วยประการดังที่กล่าวมานี้แล ธรรมเหล่าใดเป็นกุศล นับว่าเป็นกุศล เป็นธรรมไม่มีโทษ นับว่าเป็นธรรมไม่มีโทษ เป็นธรรมที่ควรเสพ นับว่าเป็นธรรมที่ควรเสพ ควรเป็นอริยธรรม ควรนับว่าเป็นอริยธรรม เป็นธรรมขาว มีวิบากขาววิญญูชนสรรเสริญ ธรรมเหล่านั้นมีปรากฏอยู่แม้ในกษัตริย์บางพระองค์ในโลกนี้ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ แม้พราหมณ์บางคนในโลกนี้ ฯลฯ แม้แพศย์บางคนในโลกนี้ ฯลฯ แม้ศูทรบางคนในโลกนี้ เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ ฯลฯ ไม่ละโมภมาก ไม่คิดปองร้ายผู้อื่น มีความเห็นชอบ ด้วยประการดังที่กล่าวมานี้แลธรรมเหล่าใดที่เป็นกุศล นับว่าเป็นกุศล เป็นธรรมไม่มีโทษ นับว่าเป็นธรรมไม่มีโทษ เป็นธรรมที่ควรเสพ นับว่าเป็นธรรมที่ควรเสพ ควรเป็นอริยธรรม นับว่าควรเป็นอริยธรรม เป็นธรรมขาว มีวิบากขาว วิญญูชนสรรเสริญ ธรรมเหล่านั้นมีปรากฏอยู่แม้ในศูทรบางคนในโลกนี้ ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็เมื่อวรรณะทั้งสี่เหล่านี้แล รวมเป็นบุคคลสองจำพวก คือพวกที่ตั้งอยู่ในธรรมดำ วิญญูชนติเตียนจำพวกหนึ่ง พวกที่ตั้งอยู่ในธรรมขาว วิญญูชนสรรเสริญจำพวกหนึ่งเช่นนี้ ไฉนพวกพราหมณ์จึงพากันอวดอ้างอยู่อย่างนี้ว่า พราหมณ์พวกเดียวเป็นวรรณะที่ประเสริฐที่สุด วรรณะอื่นเลวทราม พวกพราหมณ์เป็นวรรณะขาว พวกอื่นเป็นวรรณะดำ พราหมณ์พวกเดียวบริสุทธิ์ พวกอื่นนอกจากพราหมณ์หาบริสุทธิ์ไม่ พราหมณ์พวกเดียวเป็นบุตรเกิดจากอุระ เกิดจากปากของพรหม มีกำเนิดมาจากพรหม พรหมเนรมิตขึ้น เป็นทายาทของพรหม ดังนี้เล่า ท่านผู้รู้ทั้งหลายย่อมไม่รับรองถ้อยคำของพวกเขา ข้อนั้นเพราะเหตุไร ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ เพราะว่า บรรดาวรรณะทั้งสี่เหล่านั้น ผู้ใดเป็นภิกษุสิ้นกิเลสและอาสวะแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว มีกิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว ได้วางภาระเสียแล้ว ลุถึงประโยชน์ของตนแล้ว สิ้นเครื่องเกาะเกี่ยวในภพแล้ว หลุดพ้นไปแล้วเพราะรู้โดยชอบ ผู้นั้นปรากฏว่าเป็นผู้เลิศกว่าคนทั้งหลายโดยชอบธรรมแท้ มิได้ปรากฏโดยไม่ชอบธรรมเลย ด้วยว่าธรรมเป็นของประเสริฐที่สุดในหมู่ชน ทั้งในเวลาที่เห็นอยู่ ทั้งในเวลาภายหน้า ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ โดยบรรยายนี้แล เธอทั้งสองพึงทราบเถิดว่า ธรรมเท่านั้นเป็นของประเสริฐที่สุดในหมู่ชนทั้งในเวลาที่เห็นอยู่ ทั้งในเวลาภายหน้า ฯ [๕๔] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ พระเจ้าปัสเสนทิโกศล ทรงทราบแน่ชัดว่า พระสมณโคดมผู้ยอดเยี่ยมได้ทรงผนวชจากศากยตระกูล ดังนี้ ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็พวกศากยตระกูลยังต้องเป็นผู้โดยเสด็จพระเจ้าปัสเสน-*ทิโกศลอยู่ทุกๆ ขณะและพวกเจ้าศากยะต้องทำการนอบน้อม กราบไหว้ ต้อนรับอัญชลีกรรม สามีจิกรรมในพระเจ้าปัสเสนทิโกศลอยู่ ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ด้วยประการดังที่กล่าวมานี้แล พวกเจ้าศากยะยังต้องกระทำการนอบน้อม กราบไหว้ ต้อนรับ อัญชลีกรรม สามีจิกรรมอันใดอยู่ในพระเจ้าปัสเสนทิโกศล แต่ถึงกระนั้น กิริยาที่นอบน้อม กราบไหว้ ต้อนรับ อัญชลีกรรม และสามีจิกรรมอันนั้น พระเจ้าปัสเสนทิโกศลก็ยังทรงกระทำอยู่ในตถาคตด้วยทรงถือว่า พระสมณโคดมเป็นผู้มีพระชาติสูง เรามีชาติต่ำกว่า พระสมณ-*โคดมเป็นผู้มีพระกำลัง เรามีกำลังน้อยกว่า พระสมณโคดมเป็นผู้มีคุณน่าเลื่อมใสเรามีคุณน่าเลื่อมใสน้อยกว่า พระสมณโคดมเป็นผู้สูงศักดิ์ เราเป็นผู้ต่ำศักดิ์กว่าดังนี้ แต่ที่แท้ พระเจ้าปัสเสนทิโกศลทรงสักการะ เคารพ นับถือ บูชานอบน้อมพระธรรมนั้นเทียว พระเจ้าปัสเสนทิโกศลทรงกระทำการนอบน้อม กราบไหว้ ต้อนรับ อัญชลีกรรม สามีจิกรรม ในตถาคตอยู่ด้วยอาการอย่างนี้ ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ โดยปริยายนี้แล เธอทั้งสองพึงทราบเถิดว่า ธรรมเท่านั้นเป็นของประเสริฐที่สุดในหมู่ชน ทั้งในเวลาที่เห็นอยู่ ทั้งในเวลาภายหน้า ฯ [๕๕] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสต่อไปว่า ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะเธอทั้งสองคนมีชาติก็ต่างกัน มีชื่อก็เพี้ยนกัน มีโคตรก็แผกกัน มีตระกูลก็ผิดกันพากันทิ้งเหย้าเรือนเสีย มาบวชเป็นบรรพชิต เมื่อจะมีผู้ถามว่า ท่านทั้งสองนี้เป็นพวกไหน เธอทั้งสองพึงตอบเขาว่า ข้าพเจ้าทั้งสองเป็นพวกพระสมณศากยบุตรดังนี้เถิด ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็ผู้ใดแล มีศรัทธาตั้งมั่นเกิดขึ้นแล้วแต่รากแก้วคืออริยมรรค ประดิษฐานมั่นคง อันสมณพราหมณ์ เทวดา มาร พรหมหรือผู้ใดผู้หนึ่งในโลก ไม่พรากไปได้ ควรเรียกผู้นั้นว่า เป็นบุตรเกิดแต่พระอุระเกิดแต่พระโอฐของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้เกิดแต่พระธรรม เป็นผู้ที่พระธรรมเนรมิตขึ้น เป็นผู้รับมรดกพระธรรม ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะคำว่า ธรรมกายก็ดี ว่าพรหมกาย ก็ดี ว่าธรรมภูต ก็ดี ว่าพรหมภูต ก็ดี เป็นชื่อของตถาคต ฯ [๕๖] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ มีสมัยบางครั้งบางคราว โดยล่วงระยะกาลยืดยาวช้านานที่โลกนี้จะพินาศ เมื่อโลกกำลังพินาศอยู่ โดยมากเหล่าสัตว์ย่อมเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม สัตว์เหล่านั้นได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหารมีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในภพนั้นสิ้นกาลยืดยาวช้านาน ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ มีสมัยบางครั้งบางคราว โดยระยะกาลยืดยาวช้านาน ที่โลกนี้จะกลับเจริญ เมื่อโลกกำลังเจริญอยู่โดยมาก เหล่าสัตว์พากันจฺติจากชั้นอาภัสสรพรหมลงมาเป็นอย่างนี้ และสัตว์นั้นได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในภพนั้นสิ้นกาลยืดยาวช้านาน ก็แหละสมัยนั้นจักรวาลทั้งสิ้นนี้แลเป็นน้ำทั้งนั้น มืดมนแลไม่เห็นอะไร ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ก็ยังไม่ปรากฏ ดวงดาวนักษัตรทั้งหลายก็ยังไม่ปรากฏ กลางวันกลางคืนก็ยังไม่ปรากฏ เดือนหนึ่งและกึ่งเดือนก็ยังไม่ปรากฏ ฤดูและปีก็ยังไม่ปรากฏเพศชายและเพศหญิงก็ยังไม่ปรากฏ สัตว์ทั้งหลาย ถึงซึ่งอันนับเพียงว่าสัตว์เท่านั้น ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้นต่อมา โดยล่วงระยะกาลยืดยาวช้านาน เกิดง้วนดินลอยอยู่บนน้ำทั่วไป ได้ปรากฏแก่สัตว์เหล่านั้นเหมือนนมสดที่บุคคลเคี่ยวให้งวด แล้วตั้งไว้ให้เย็นจับเป็นฝาอยู่ข้างบน ฉะนั้นง้วนดินนั้นถึงพร้อมด้วยสีกลิ่น รส มีสีคล้ายเนยใส หรือเนยข้นอย่างดี ฉะนั้น มีรสอร่อยดุจรวงผึ้งเล็กอันหาโทษมิได้ ฉะนั้น ฯ ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ต่อมามีสัตว์ผู้หนึ่งเป็นคนโลนพูดว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย นี่จักเป็นอะไร แล้วเอานิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลองลิ้มดู เมื่อเขาเอานิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลองลิ้มดูอยู่ ง้วนดินได้ซาบซ่านไปแล้ว เขาจึงเกิดความอยากขึ้น ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ แม้สัตว์พวกอื่นก็พากันกระทำตามอย่างสัตว์นั้นเอานิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลองลิ้มดู เมื่อสัตว์เหล่านั้นพากันเอานิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลองลิ้มดูอยู่ ง้วนดินได้ซาบซ่านไปแล้ว สัตว์เหล่านั้นจึงเกิดความอยากขึ้น ต่อมาสัตว์เหล่านั้นพยายามเพื่อจะปั้นง้วนดินให้เป็นคำๆ ด้วยมือแล้วบริโภค ดูกรเสฏฐะและภารทวาชะ ในคราวที่พวกสัตว์พยายามเพื่อจะปั้นง้วนดินให้เป็นคำๆ ด้วยมือแล้วบริโภคอยู่นั้น เมื่อรัศมีกายของสัตว์เหล่านั้นก็หายไปแล้ว ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ก็ปรากฏ เมื่อดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ปรากฏแล้ว ดวงดาวนักษัตรทั้งหลายก็ปรากฏ เมื่อดวงดาวนักษัตรปรากฏแล้ว กลางคืนและกลางวันก็ปรากฏ เมื่อกลางคืนและกลางวันปรากฏแล้ว เดือนหนึ่งและกึ่งเดือนก็ปรากฏ เมื่อเดือนหนึ่งและกึ่งเดือนปรากฏอยู่ ฤดูและปีก็ปรากฏ ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล โลกนี้จึงกลับเจริญขึ้นมาอีก ฯ [๕๗] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้นต่อมาสัตว์เหล่านั้นพากันบริ-*โภคง้วนดิน รับประทานง้วนดิน มีง้วนดินเป็นอาหาร ดำรงอยู่ได้สิ้นกาลช้านานด้วยเหตุที่สัตว์เหล่านั้นมัวเพลินบริโภคง้วนดินอยู่ รับประทานง้วนดิน มีง้วนดินเป็นอาหาร ดำรงอยู่ได้สิ้นกาลช้านาน สัตว์เหล่านั้นจึงมีร่างกายแข็งกล้าขึ้นทุกที ทั้งผิวพรรณก็ปรากฏว่าแตกต่างกันไป สัตว์บางพวกมีผิวพรรณงาม สัตว์บางพวกมีผิวพรรณไม่งาม ในสัตว์ทั้งสองพวกนั้น สัตว์พวกที่มีผิวพรรณงามนั้นพากันดูหมิ่นสัตว์พวกที่มีผิวพรรณไม่งามว่า พวกเรามีผิวพรรณดีกว่าพวกท่าน พวกท่านมีผิวพรรณเลวกว่าพวกเรา ดังนี้ เมื่อสัตว์ทั้งสองพวกนั้นเกิดมีการไว้ตัวดูหมิ่นกันขึ้นเพราะทะนงตัวปรารภผิวพรรณเป็นปัจจัย ง้วนดินก็หายไป เมื่อง้วนดินหายไปแล้ว สัตว์เหล่านั้นจึงพากันจับกลุ่ม ครั้นแล้ว ต่างก็บ่นถึงกันว่า รสดีจริง รสดีจริง ดังนี้ ถึงทุกวันนี้ก็เหมือนกัน คนเป็นอันมากได้ของที่มีรสดีอย่างใดอย่างหนึ่ง มักพูดกันอย่างนี้ว่า รสอร่อยแท้ๆ รสอร่อยแท้ๆ ดังนี้ พวกพราหมณ์ระลึกได้ถึงอักขระ ๑- ที่รู้กันว่าเป็นของดี เป็นของโบราณนั้นเท่านั้น แต่ไม่รู้ชัดถึงเนื้อความแห่งอักขระนั้นเลย ฯ [๕๘] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้นต่อมา เมื่อง้วนดินของสัตว์เหล่านั้นหายไปแล้ว ก็เกิดมีกระบิดินขึ้น กระบิดินนั้นปรากฏลักษณะคล้ายเห็ด@๑. หมายถึงเรื่องราวกระบิดินนั้นถึงพร้อมด้วยสี กลิ่น รส มีสีเหมือนเนยใส หรือเนยข้นอย่างดีฉะนั้นได้มีรสอร่อยดุจรวงผึ้งเล็กอันหาโทษมิได้ฉะนั้น ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะครั้งนั้น สัตว์เหล่านั้นพยายามจะบริโภคกระบิดิน สัตว์เหล่านั้นบริโภคกระบิดินอยู่รับประทานกระบิดิน มีกระบิดินเป็นอาหาร ดำรงอยู่ได้สิ้นกาลนาน ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ โดยประการที่สัตว์เหล่านั้นบริโภคกระบิดินอยู่ รับประทานกระบิดินมีกระบิดินเป็นอาหาร ดำรงอยู่ได้สิ้นกาลช้านาน สัตว์เหล่านั้นจึงมีร่างกายแข็งกล้าขึ้นทุกที ทั้งผิวพรรณก็ปรากฏว่าแตกต่างกันไป สัตว์บางพวกมีผิวพรรณงาม สัตว์บางพวกมีผิวพรรณไม่งาม ในสัตว์ทั้งสองจำพวกนั้น สัตว์พวกที่มีผิวพรรณงามพากันดูหมิ่นสัตว์พวกที่มีผิวพรรณไม่งามว่า พวกเรามีผิวพรรณดีกว่าพวกท่าน พวกท่านมีผิวพรรณเลวกว่าพวกเรา ดังนี้ เมื่อสัตว์ทั้งสองพวกนั้น เกิดมีการไว้ตัวดูหมิ่นกันขึ้น เพราะทะนงตัวปรารภผิวพรรณเป็นปัจจัย กระบิดินก็หายไป เมื่อกระบิดินหายไปแล้ว ก็เกิดมีเครือดินขึ้น เครือดินนั้นปรากฏคล้ายผลมะพร้าวทีเดียวเครือดินนั้น ถึงพร้อมด้วยสี รส กลิ่น มีสีคล้ายเนยใส หรือเนยข้นอย่างดีฉะนั้น ได้มีรสอร่อยดุจรวงผึ้งเล็กอันหาโทษมิได้ฉะนั้น ฯ ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้น สัตว์เหล่านั้นพยายามจะบริโภคเครือดิน สัตว์เหล่านั้นบริโภคเครือดินอยู่ รับประทานเครือดิน มีเครือดินเป็นอาหาร ดำรงมาได้สิ้นกาลช้านาน โดยประการที่สัตว์เหล่านั้นบริโภคเครือดินอยู่รับประทานเครือดิน มีเครือดินนั้นเป็นอาหาร ดำรงมาได้สิ้นกาลช้านานสัตว์เหล่านั้นจึงมีร่างกายแข็งกล้าขึ้นทุกที ทั้งผิวพรรณก็ปรากฏว่าแตกต่างกันไปสัตว์บางพวกมีผิวพรรณงาม สัตว์บางพวกมีผิวพรรณไม่งาม ในสัตว์ทั้งสองพวกนั้นสัตว์พวกที่มีผิวพรรณงาม พากันดูหมิ่นพวกที่มีผิวพรรณไม่งามว่า พวกเรามีผิวพรรณดีกว่าพวกท่าน พวกท่านมีผิวพรรณเลวกว่าพวกเรา ดังนี้ เมื่อสัตว์ทั้งสองพวกนั้นเกิดมีการไว้ตัวดูหมิ่นกัน เพราะทะนงตัวปรารภผิวพรรณเป็นปัจจัย เครือดินก็หายไป เมื่อเครือดินหายไปแล้ว สัตว์เหล่านั้นก็พากันจับกลุ่ม ครั้นแล้วต่างก็บ่นถึงกันว่า เครือดินได้เคยมีแก่พวกเราหนอ เดี๋ยวนี้เครือดินของพวกเราได้สูญหายเสียแล้วหนอ ดังนี้ ถึงทุกวันนี้ก็เหมือนกัน คนเป็นอันมาก พอถูกความระทมทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งมากระทบ ก็มักบ่นกันอย่างนี้ว่า สิ่งของของเราทั้งหลายได้เคยมีแล้วหนอ แต่เดี๋ยวนี้ สิ่งของของเราทั้งหลายได้มาสูญหายเสียแล้วหนอดังนี้ พวกพราหมณ์ระลึกได้ถึงอักขระที่รู้กันว่าเป็นของดีเป็นของโบราณนั้นเท่านั้นแต่ไม่รู้ชัดถึงเนื้อความแห่งอักขระนั้นเลย ฯ [๕๙] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้นต่อมา เมื่อเครือดินของสัตว์เหล่านั้นหายไปแล้ว ก็เกิดมีข้าวสาลีขึ้นเองในที่ที่ไม่ต้องไถ เป็นข้าวไม่มีรำ ไม่มีแกลบ ขาวสะอาด กลิ่นหอม มีเมล็ดเป็นข้าวสาร ตอนเย็นสัตว์เหล่านั้นนำเอาข้าวสาลีชนิดใดมาเพื่อบริโภคในเวลาเย็น ตอนเช้าข้าวสาลีชนิดนั้นที่มีเมล็ดสุกก็งอกขึ้นแทนที่ ตอนเช้าเขาพากันไปนำเอาข้าวสาลีใดมาเพื่อบริโภคในเวลาเช้าตอนเย็นข้าวสาลีชนิดนั้นที่มีเมล็ดสุกแล้วก็งอกขึ้นแทนที่ ไม่ปรากฏว่าบกพร่องไปเลย ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้น พวกสัตว์บริโภคข้าวสาลีที่เกิดขึ้นเองในที่ที่ไม่ต้องไถ พากันรับประทานข้าวสาลีนั้น มีข้าวสาลีนั้นเป็นอาหารดำรงมาได้สิ้นกาลช้านาน ก็โดยประการที่สัตว์เหล่านั้นบริโภคข้าวสาลีอันเกิดขึ้นเองอยู่ รับประทานข้าวสาลีนั้น มีข้าวสาลีนั้นเป็นอาหาร ดำรงมาได้สิ้นการช้านาน สัตว์เหล่านั้นจึงมีร่างกายแข็งกล้าขึ้นทุกที ทั้งผิวพรรณก็ปรากฏว่าแตกต่างกันออกไป สตรีก็มีเพศหญิงปรากฏ และบุรุษก็มีเพศชายปรากฏ นัยว่า สตรีก็เพ่งดูบุรุษอยู่เสมอ และบุรุษก็เพ่งดูสตรีอยู่เสมอ เมื่อคนทั้งสองเพศ ต่างเพ่งดูกันอยู่เสมอ ก็เกิดความกำหนัดขึ้น เกิดความเร่าร้อนขึ้นในกาย เพราะความเร่าร้อนเป็นปัจจัย เขาทั้งสองจึงเสพเมถุนธรรมกัน ฯ ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็โดยสมัยนั้นแล สัตว์พวกใดเห็นพวกอื่นเสพเมถุนธรรมกันอยู่ ย่อมโปรยฝุ่นใส่บ้าง โปรยเถ้าใส่บ้าง โยนมูลโคใส่บ้าง พร้อมกับพูดว่า คนชาติชั่ว จงฉิบหาย คนชาติชั่ว จงฉิบหาย ดังนี้ แล้วพูดต่อไปว่า ก็ทำไมขึ้นชื่อว่าสัตว์ จึงทำแก่สัตว์เช่นนี้เล่า ข้อที่ว่ามานั้น จึงได้เป็นธรรมเนียมมาจนถึงทุกวันนี้ ในชนบทบางแห่ง คนทั้งหลาย โปรยฝุ่นใส่บ้าง โปรยเถ้าใส่บ้าง โยนมูลโคใส่บ้าง ในเมื่อเขาจะนำสัตว์ที่ประพฤติชั่วร้ายไปสู่ตะแลงแกง พวกพราหมณ์มาระลึกถึงอักขระที่รู้กันว่าเป็นของดี อันเป็นของโบราณนั้นเท่านั้น แต่พวกเขาไม่รู้ชัดถึงเนื้อความแห่งอักขระนั้นเลย ฯ [๖๐] ดูกรวาเสฏฐะและภารวาชะ ก็สมัยนั้นการโปรยฝุ่นใส่กันเป็นต้นนั้นแล สมมติกันว่าไม่เป็นธรรม มาในบัดนี้ สมมติกันว่าเป็นธรรมขึ้น ก็สมัยนั้นสัตว์พวกใด เสพเมถุนกัน สัตว์พวกนั้นเข้าบ้านหรือนิคมไม่ได้ สิ้นสองเดือนบ้าง สามเดือนบ้าง ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ เมื่อใดแล สัตว์ทั้งหลายพากันเสพอสัทธรรมนั่นอยู่เสมอ เมื่อนั้น จึงพยายามสร้างเรือนกันขึ้น เพื่อเป็นที่กำบังอสัทธรรมนั้น ครั้งนั้น สัตว์ผู้หนึ่ง เกิดความเกียจคร้านขึ้น จึงได้มีความเห็นอย่างนี้ว่า ดูกรท่านผู้เจริญ เราช่างลำบากเสียนี่กระไร ที่ต้องไปเก็บข้าวสาลีมา ทั้งในเวลาเย็นสำหรับอาหารเย็น ทั้งในเวลาเช้าสำหรับอาหารเช้า อย่ากระนั้นเลย เราควรไปเก็บเอาข้าวสาลีมาไว้เพื่อบริโภคทั้งเย็นทั้งเช้าเสียคราวเดียวเถิดดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ต่อแต่นั้นมา สัตว์ผู้นั้นก็ไปเก็บเอาข้าวสาลีมาไว้เพื่อบริโภคทั้งเย็นทั้งเช้าเสียคราวเดียวกัน ฉะนี้แล ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะครั้งนั้น สัตว์ผู้หนึ่งเข้าไปหาสัตว์ผู้นั้นแล้วชวนว่า ดูกรสัตว์ผู้เจริญ มาเถิด เราจักไปเก็บข้าวสาลีกัน สัตว์ผู้นั้นตอบว่า ดูกรสัตว์ผู้เจริญ ฉันไปเก็บเอาข้าวสาลีมาไว้เพื่อบริโภคพอทั้งเย็นทั้งเช้าเสียคราวเดียวแล้ว ต่อมา สัตว์ผู้นั้นถือตามแบบอย่างของสัตว์ผู้นั้น จึงไปเก็บเอาข้าวสาลีมาไว้คราวเดียวเพื่อสองวัน แล้วพูดว่าได้ยินว่า แม้อย่างนี้ก็ดีเหมือนกันท่านผู้เจริญ ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ต่อมาสัตว์อีกผู้หนึ่ง เข้าไปหาสัตว์ผู้นั้น แล้วชวนว่า ดูกรสัตว์ผู้เจริญ มาเถิด เราจักไปเก็บข้าวสาลีกัน สัตว์ผู้นั้นตอบว่า ดูกรสัตว์ผู้เจริญ ฉันไปเก็บเอาข้าวสาลีมาไว้เพื่อบริโภคพอทั้งเย็นทั้งเช้าเสียคราวเดียวแล้ว ฯ ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้นแล สัตว์ผู้นั้นถือตามแบบอย่างของสัตว์นั้น จึงไปเก็บเอาข้าวสาลีมาไว้คราวเดียว เพื่อสี่วัน แล้วพูดว่า แม้อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน ท่านผู้เจริญ ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ต่อมาสัตว์อีกผู้หนึ่งเข้าไปหาสัตว์ผู้นั้น แล้วชวนว่า ดูกรสัตว์ผู้เจริญ มาเถิด เราจักไปเก็บข้าวสาลีกัน สัตว์ผู้นั้นตอบว่า ดูกรสัตว์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าได้ไปเก็บข้าวสาลีมาไว้คราวเดียวเพื่อสี่วันแล้ว ครั้งนั้นแล สัตว์ผู้นั้น ถือตามแบบอย่างของสัตว์นั้น จึงไปเก็บข้าวสาลีมาไว้คราวเดียว เพื่อแปดวัน แล้วพูดว่า แม้อย่างนี้ก็ดีเหมือนกันท่านผู้เจริญ เมื่อใด สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นพยายามเก็บข้าวสาลีสะสมไว้เพื่อบริโภคกันขึ้น เมื่อนั้นแล ข้าวสาลีนั้นจึงกลายเป็นข้าวมีรำห่อเมล็ดบ้าง มีแกลบหุ้มเมล็ดบ้าง ต้นที่ถูกเกี่ยวแล้วก็ไม่กลับงอกแทน ปรากฏว่าขาดเป็นตอนๆ (ตั้งแต่นั้นมา) จึงได้มีข้าวสาลีเป็นกลุ่มๆ ฯ [๖๑] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ในครั้งนั้น สัตว์เหล่านั้นพากันมาจับกลุ่ม ครั้นแล้วต่างก็มาปรับทุกข์กันว่า ดูกรท่านผู้เจริญ เดี๋ยวนี้ เกิดมีธรรมทั้งหลายอันเลวทรามปรากฏขึ้นในสัตว์ทั้งหลายแล้ว ด้วยว่า เมื่อก่อนพวกเราได้เป็นผู้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในวิมานนั้นสิ้นกาลยืดยาวช้านาน บางครั้งบางคราวโดยระยะยืดยาวช้านาน เกิดง้วนดินลอยขึ้นบนน้ำ ทั่วไปแก่เราทุกคนง้วนดินนั้นถึงพร้อมด้วยสี กลิ่น รส พวกเราทุกคนพยายามปั้นง้วนดินกระทำให้เป็นคำๆ ด้วยมือทั้งสองเพื่อจะบริโภค เมื่อพวกเราทุกคน พยายามปั้นง้วนดินกระทำให้เป็นคำๆ ด้วยมือทั้งสองเพื่อจะบริโภคอยู่ รัศมีกายก็หายไป เมื่อรัศมีกายหายไปแล้ว ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ก็ปรากฏขึ้น เมื่อดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นแล้ว ดาวนักษัตรทั้งหลายก็ปรากฏขึ้น เมื่อดวงดาวนักษัตรทั้งหลายปรากฏขึ้นแล้วกลางคืนและกลางวันก็ปรากฏขึ้น เมื่อกลางคืนและกลางวันปรากฏขึ้นแล้ว เดือนหนึ่งและกึ่งเดือนก็ปรากฏขึ้น เมื่อเดือนหนึ่งและกึ่งเดือนปรากฏขึ้นแล้ว ฤดูและปีก็ปรากฏ พวกเราทุกคนบริโภคง้วนดินอยู่ รับประทานง้วนดิน มีง้วนดินเป็นอาหารดำรงชีพอยู่ได้สิ้นกาลช้านาน เพราะมีธรรมทั้งหลายที่เป็นอกุศลชั่วช้าปรากฏขึ้นแก่พวกเรา ง้วนดินจึงหายไป เมื่อง้วนดินหายไปแล้ว จึงมีกระบิดินปรากฏขึ้นระบิดินนั้นถึงพร้อมด้วยสี กลิ่น รส พวกเราทุกคนบริโภคระบิดิน เมื่อพวกเราทุกคนบริโภคระบิดินนั้นอยู่ รับประทานระบิดิน มีระบิดินเป็นอาหาร ดำรงอยู่ได้สิ้นกาลช้านาน เพราะมีธรรมทั้งหลายที่เป็นอกุศลชั่วช้าปรากฏขึ้นแก่พวกเราระบิดินจึงหายไป เมื่อระบิดินหายไปแล้ว จึงมีเครือดินปรากฏขึ้น เครือดินนั้นถึงพร้อมด้วยสี กลิ่น รส พวกเราทุกคนพยายามบริโภคเครือดิน เมื่อพวกเราทุกคนบริโภคเครือดินนั้นอยู่ รับประทานเครือดิน มีเครือดินเป็นอาหาร ดำรงอยู่ได้สิ้นกาลช้านาน เพราะมีธรรมทั้งหลายที่เป็นอกุศลชั่วช้าปรากฏขึ้นแก่พวกเราเครือดินจึงหายไป เมื่อเครือดินหายไปแล้ว จึงมีข้าวสาลีปรากฏขึ้นเองในที่ไม่ต้องไถ เป็นข้าวที่ไม่มีรำ ไม่มีแกลบ ขาวสะอาด กลิ่นหอม มีเมล็ดเป็นข้าวสาร ตอนเย็นพวกเราทุกคนไปนำเอาข้าวสาลีชนิดใดมาเพื่อบริโภคในเวลาเย็นตอนเช้าข้าวสาลีชนิดนั้นที่มีเมล็ดสุกก็งอกขึ้นแทนที่ ตอนเช้าพวกเราทุกคนไปนำเอาข้าวสาลีชนิดใดมาเพื่อบริโภคในเวลาเช้า ตอนเย็น ข้าวสาลีชนิดนั้นที่มีเมล็ดสุกก็งอกขึ้นแทนที่ ไม่ปรากฏว่าบกพร่องไปเลย เมื่อพวกเราทุกคนบริโภคข้าวสาลีซึ่งเกิดขึ้นเองในที่ไม่ต้องไถอยู่ รับประทานข้าวสาลีนั้น มีข้าวสาลีนั้นเป็นอาหารดำรงอยู่ได้สิ้นกาลช้านาน เพราะมีธรรมทั้งหลายที่เป็นอกุศลชั่วช้าปรากฏขึ้นแก่พวกเรา ข้าวสาลีนั้นจึงกลายเป็นข้าวมีรำหุ้มเมล็ดบ้าง มีแกลบห่อเมล็ดไว้บ้างแม้ต้นที่เกี่ยวแล้วก็ไม่งอกขึ้นแทนที่ ปรากฏว่าขาดเป็นตอนๆ จึงได้มีข้าวสาลีเป็นกลุ่มๆ อย่ากระนั้นเลย พวกเราควรมาแบ่งข้าวสาลีและปักปันเขตแดนกันเสียเถิด ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้นแล้ว สัตว์ทั้งหลายจึงแบ่งข้าวสาลีปักปันเขตแดนกัน ฯ [๖๒] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้นแล สัตว์ผู้หนึ่งเป็นคนโลภ สงวนส่วนของตนไว้ ไปเก็บเอาส่วนอื่นที่เขาไม่ได้ให้มาบริโภค สัตว์ทั้งหลายจึงช่วยกันจับสัตว์ผู้นั้น ครั้นแล้ว ได้ตักเตือนอย่างนี้ว่า แน่ะสัตว์ผู้เจริญ ก็ท่านกระทำกรรมชั่วช้านัก ที่สงวนส่วนของตนไว้ ไปเก็บเอาส่วนอื่นที่เขาไม่ได้ให้มาบริโภค ท่านอย่าได้กระทำกรรมชั่วช้าเห็นปานนี้อีกเลย ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ สัตว์ผู้นั้นแล รับคำของสัตว์เหล่านั้นแล้ว แม้ครั้งที่ ๒ ... แม้ครั้งที่ ๓ สัตว์นั้นสงวนส่วนของตนไว้ ไปเก็บเอาส่วนอื่นที่เขาไม่ได้ให้มาบริโภค สัตว์เหล่านั้นจึงช่วยกันจับสัตว์ผู้นั้น ครั้นแล้ว ได้ตักเตือนว่าแน่ะ สัตว์ผู้เจริญ ท่านทำกรรมอันชั่วช้านัก ที่สงวนส่วนของตนไว้ ไปเอาส่วนที่เขาไม่ได้ให้มาบริโภค ท่านอย่าได้กระทำกรรมอันชั่วช้าเห็นปานนี้อีกเลย สัตว์พวกหนึ่งประหารด้วยฝ่ามือ พวกหนึ่งประหารด้วยก้อนดินบ้าง พวกหนึ่งประหารด้วยท่อนไม้ ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็นัยเพราะมีเหตุเช่นนั้นเป็นต้นมาการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้จึงปรากฏ การติเตียนจึงปรากฏ การกล่าวเท็จจึงปรากฏ การถือท่อนไม้จึงปรากฏ ครั้งนั้นแล พวกสัตว์ที่เป็นผู้ใหญ่จึงประชุมกัน ครั้นแล้ว ต่างก็ปรับทุกข์กันว่า พ่อเอ๋ย ก็การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้จักปรากฏ การติเตียนจักปรากฏ การพูดเท็จจักปรากฏ การถือท่อนไม้จักปรากฏ ในเพราะบาปธรรมเหล่าใด บาปธรรมเหล่านั้นเกิดปรากฏแล้วในสัตว์ทั้งหลาย อย่ากระนั้นเลย พวกเราจักสมมติสัตว์ผู้หนึ่งให้เป็นผู้ว่ากล่าวผู้ที่ควรว่ากล่าวได้โดยชอบ ให้เป็นผู้ติเตียนผู้ที่ควรติเตียนได้โดยชอบ ให้เป็นผู้ขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่ได้โดยชอบ ส่วนพวกเราจักแบ่งส่วนข้าวสาลีให้แก่ผู้นั้น ดังนี้ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้นแล้ว สัตว์เหล่านั้น พากันเข้าไปหาสัตว์ที่สวยงามกว่า น่าดูน่าชมกว่า น่าเลื่อมใสกว่า และน่าเกรงขามมากกว่าสัตว์ทุกคนแล้ว จึงแจ้งเรื่องนี้ว่า ข้าแต่สัตว์ผู้เจริญ มาเถิดพ่อ ขอพ่อจงว่ากล่าวผู้ที่ควรว่ากล่าวได้โดยชอบ จงติเตียนผู้ที่ควรติเตียนได้โดยชอบ จงขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่ได้โดยชอบเถิด ส่วนพวกข้าพเจ้าจักแบ่งส่วนข้าวสาลีให้แก่พ่อ ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ สัตว์ผู้นั้นแลรับคำของสัตว์เหล่านั้นแล้ว จึงว่ากล่าวผู้ที่ควรว่ากล่าวได้โดยชอบ ติเตียนผู้ที่ควรติเตียนได้โดยชอบ ขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่ได้โดยชอบส่วนสัตว์เหล่านั้นก็แบ่งส่วนข้าวสาลีให้แก่สัตว์ที่เป็นหัวหน้านั้น ฯ [๖๓] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ เพราะเหตุผู้ที่เป็นหัวหน้าอันมหาชนสมมติ ดังนี้แล อักขระว่า มหาชนสมมติ จึงอุบัติขึ้นเป็นอันดับแรกเพราะเหตุผู้ที่เป็นหัวหน้า เป็นใหญ่ยิ่งแห่งเขตทั้งหลาย ดังนี้แล อักขระว่ากษัตริย์ กษัตริย์ จึงอุบัติขึ้นเป็นอันดับที่สอง เพราะเหตุที่ผู้เป็นหัวหน้ายังชนเหล่าอื่นให้สุขใจได้โดยธรรม ดังนี้แล อักขระว่า ราชา ราชา จึงอุบัติขึ้นเป็นอันดับที่สาม ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ด้วยประการดังนี้แล การบังเกิดขึ้นแห่งพวกกษัตริย์นั้น มีขึ้นได้ เพราะอักขระที่รู้กันว่าเป็นของดี เป็นของโบราณอย่างนี้แล เรื่องของสัตว์เหล่านั้น จะต่างกันหรือเหมือนกัน จะไม่ต่างกันหรือไม่เหมือนกัน ก็ด้วยธรรมเท่านั้น ไม่ใช่นอกไปจากธรรม ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ความจริง ธรรมเท่านั้นเป็นของประเสริฐสุดในประชุมชนทั้งในเวลาที่เห็นอยู่ ทั้งในเวลาภายหน้า ฯ [๖๔] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้นแล สัตว์บางจำพวกได้มีความคิดขึ้นอย่างนี้ว่า พ่อเอ๋ย การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้จักปรากฏ การติเตียนจักปรากฏ การกล่าวเท็จจักปรากฏ การถือท่อนไม้จักปรากฏ การขับไล่จักปรากฏ ในเพราะบาปธรรมเหล่าใด บาปธรรมเหล่านั้นเกิดปรากฏแล้วในสัตว์ทั้งหลาย อย่ากระนั้นเลย พวกเราควรไปลอยอกุศลธรรมที่ชั่วช้ากันเถิด สัตว์เหล่านั้นพากันลอยอกุศลธรรมที่ชั่วช้าแล้ว ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ เพราะเหตุที่สัตว์เหล่านั้นพากันลอยอกุศลธรรมที่ชั่วช้าอยู่ ดังนี้แล อักขระว่า พวกพราหมณ์ๆ จึงอุบัติขึ้นเป็นอันดับแรก พราหมณ์เหล่านั้นพากันสร้างกระท่อมซึ่งมุงและบังด้วยใบไม้ในราวป่า เพ่งอยู่ในกระท่อมซึ่งมุงและบังด้วยใบไม้ พวกเขาไม่มีการหุงต้ม และไม่มีการตำข้าว เวลาเย็น เวลาเช้า ก็พากันเที่ยวแสวงหาอาหารตามคามนิคมและราชธานี เพื่อบริโภคในเวลาเย็นเวลาเช้า เขาเหล่านั้นครั้นได้อาหารแล้ว จึงพากันกลับไปเพ่งอยู่ในกระท่อมซึ่งมุงและบังด้วยใบไม้ในราวป่าอีก คนทั้งหลายเห็นพฤติการณ์ของพวกพราหมณ์นั้นแล้วพากันพูดอย่างนี้ว่าพ่อเอ๋ย สัตว์พวกนี้แลพากันมาสร้างกระท่อมซึ่งมุงและบังด้วยใบไม้ในราวป่าแล้วเพ่งอยู่ในกระท่อมซึ่งมุงและบังด้วยใบไม้ ไม่มีการหุงต้ม ไม่มีการตำข้าวเวลาเย็นเวลาเช้า ก็พากันเที่ยวแสวงหาอาหารตามคามนิคมและราชธานี เพื่อบริโภคในเวลาเย็นเวลาเช้า เขาเหล่านั้นครั้นได้อาหารแล้วจึงพากันกลับไปเพ่งอยู่ในกระท่อมซึ่งมุงและบังด้วยใบไม้ในราวป่าอีก ฯ ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ เพราะเหตุนั้นแล อักขระว่า พวกเจริญฌาน พวกเจริญฌาน ดังนี้ จึงอุบัติขึ้นเป็นอันดับที่สอง บรรดาสัตว์เหล่านั้นแลสัตว์บางพวกเมื่อไม่อาจสำเร็จฌานได้ ที่กระท่อมซึ่งมุงและบังด้วยใบไม้ในราวป่าจึงเที่ยวไปยังคามและนิคมที่ใกล้เคียงแล้วก็จัดทำพระคัมภีร์มาอยู่ คนทั้งหลายเห็นพฤติการณ์ของพวกพราหมณ์นี้นั้นแล้ว จึงพูดอย่างนี้ว่า พ่อเอ๋ย ก็สัตว์เหล่านี้ไม่อาจสำเร็จฌานได้ที่กระท่อมซึ่งมุงและบังด้วยใบไม้ในราวป่า เที่ยวไปยังบ้านและนิคมที่ใกล้เคียง จัดทำพระคัมภีร์ไปอยู่ ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ บัดนี้พวกชนเหล่านี้ไม่เพ่งอยู่ บัดนี้ พวกชนเหล่านี้ไม่เพ่งอยู่ ดังนี้แล อักขระว่าอชฺฌายิกา ๑- อชฺฌายิกา จึงอุบัติขึ้นเป็นอันดับที่สาม ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะก็สมัยนั้น การทรงจำ การสอน การบอกมนต์ ถูกสมมติว่าเลว มาในบัดนี้สมมติว่าประเสริฐ ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล การอุบัติขึ้นแห่งพวกพราหมณ์นั้นมีขึ้นได้ เพราะอักขระที่รู้กันว่าเป็นของดีเป็นของโบราณอย่างนี้แล เรื่องของสัตว์เหล่านั้นจะต่างกันหรือเหมือนกันจะไม่ต่างกันหรือไม่เหมือนกัน ก็ด้วยธรรมเท่านั้น ไม่ใช่นอกไปจากธรรม ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ความจริง ธรรมเท่านั้นเป็นของประเสริฐสุดในประชุมชน ทั้งในเวลาที่เห็นอยู่ ทั้งในเวลาภายหน้า ฯ [๖๕] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ บรรดาสัตว์เหล่านั้นแล สัตว์บางจำพวกยึดมั่นเมถุนธรรม แล้วประกอบการงานเป็นแผนกๆ เพราะเหตุที่สัตว์เหล่านั้นยึดมั่นเมถุนธรรม แล้วประกอบการงานเป็นแผนกๆ นั้นแล อักขระว่าเวสฺสา เวสฺสา ดังนี้ จึงอุบัติขึ้น ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ด้วยประการดังที่กล่าวมานี้ การอุบัติขึ้นแห่งพวกแพศย์นั้นมีขึ้นได้ เพราะอักขระที่รู้กันว่าเป็นของดี เป็นของโบราณ อย่างนี้แล เรื่องของสัตว์เหล่านั้นจะต่างกันหรือเหมือนกันจะไม่ต่างกันหรือไม่เหมือนกัน ก็ด้วยธรรมเท่านั้น ไม่ใช่นอกไปจากธรรม ฯลฯดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ด้วยประการดังที่กล่าวมานี้แล การอุบัติขึ้นแห่งพวกศูทรนั้นมีขึ้นได้ เพราะอักขระที่รู้กันว่าเป็นของดี เป็นของโบราณ อย่างนี้แลเรื่องของสัตว์เหล่านั้นจะต่างกันหรือเหมือนกัน จะไม่ต่างกันหรือไม่เหมือนกันก็ด้วยธรรมเท่านั้น ไม่ใช่นอกไปจากธรรม ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ความจริง ธรรมเท่านั้นเป็นของประเสริฐสุดในประชุมชนทั้งในเวลาที่เห็นอยู่ ทั้งในเวลาภายหน้า ฯ [๖๖] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ มีสมัยอยู่ ที่กษัตริย์บ้าง พราหมณ์บ้าง แพศย์บ้าง ศูทรบ้าง ตำหนิธรรมของตน จึงได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ด้วยประสงค์ว่า เราจักเป็นสมณะ ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ พวกสมณะจะเกิดมีขึ้นได้ จากวรรณะทั้งสี่ นี้แล เรื่องของสัตว์เหล่านั้นจะต่างกันหรือเหมือนกัน จะไม่ต่างกันหรือไม่เหมือนกัน ก็ด้วยธรรมเท่านั้น ไม่ใช่นอกไปจากธรรม ความจริงธรรมเท่านั้นเป็นของประเสริฐที่สุดในประชุมชน ทั้งในเวลาที่เห็นอยู่ ทั้งในเวลาภายหน้า ฯ [๖๗] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ กษัตริย์ก็ดี ... พราหมณ์ก็ดี ... แพศย์ก็ดี ... ศูทรก็ดี ... สมณะก็ดี ... ประพฤติกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เป็นมิจฉาทิฐิยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฐิ เพราะยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฐิเป็นเหตุเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรกทั้งสิ้น ฯ [๖๘] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ กษัตริย์ก็ดี ... พราหมณ์ก็ดี ... แพศย์ก็ดี ... ศูทรก็ดี ... สมณะก็ดี ... ประพฤติกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต เป็นสัมมาทิฐิยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฐิ เพราะยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฐิเป็นเหตุ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ฯ [๖๙] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ กษัตริย์ก็ดี ... พราหมณ์ก็ดี ... แพศย์ก็ดี ... ศูทรก็ดี ... สมณะก็ดี ... มีปรกติกระทำกรรมทั้งสอง [คือสุจริตและทุจริต] ด้วยกาย มีปรกติกระทำกรรมทั้งสองด้วยวาจา มีปรกติกระทำกรรมทั้งสองด้วยใจ มีความเห็นปนกัน ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจความเห็นปนกัน เพราะยึดถือการกระทำด้วยอำนาจความเห็นปนกันเป็นเหตุ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ฯ [๗๐] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ กษัตริย์ก็ดี ... พราหมณ์ก็ดี ... แพศย์ก็ดี ... ศูทรก็ดี ... สำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมใจ อาศัยการเจริญโพธิปักขิยธรรมทั้ง ๗ แล้ว ย่อมปรินิพพานในปัจจุบันนี้ทีเดียว ฯ [๗๑] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็บรรดาวรรณะทั้งสี่นี้ วรรณะใดเป็นภิกษุ สิ้นอาสวะแล้ว มีพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว มีกิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ววางภาระเสียได้แล้ว ลุถึงประโยชน์ของตนแล้ว หมดเครื่องเกาะเกี่ยวในภพแล้วหลุดพ้นแล้ว เพราะรู้โดยชอบ วรรณะนั้นปรากฏว่า เป็นผู้เลิศกว่าคนทั้งหลายโดยธรรมแท้จริง มิใช่นอกไปจากธรรมเลย ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ความจริงธรรมเท่านั้นเป็นของประเสริฐที่สุดในประชุมชน ทั้งในเวลาเห็นอยู่ ทั้งในเวลาภายหน้า ฯ [๗๒] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ แม้สนังกุมารพรหมก็ได้ภาษิตคาถาไว้ว่า กษัตริย์เป็นประเสริฐที่สุด ในหมู่ชนผู้รังเกียจ ด้วยโคตร ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นประเสริฐที่สุดในหมู่เทวดาและมนุษย์ ฯ ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็คาถานี้สนังกุมารพรหมขับถูกไม่ผิด ภาษิตไว้ถูก ไม่ผิด ประกอบด้วยประโยชน์ มิใช่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ เราเห็นด้วย ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ถึงเราก็กล่าวอย่างนี้ว่า กษัตริย์เป็นประเสริฐที่สุดในหมู่ชนผู้รังเกียจ ด้วยโคตร ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นประเสริฐที่สุดในหมู่เทวดาและมนุษย์ ฯ พระผู้มีพระภาคตรัสพระพุทธพจน์แล้ว วาเสฏฐะและภารทวาชะยินดีชื่นชมพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้วแล ฯ
จบ อัคคัญญสูตร ที่ ๔

499
ในพระไตรปิฏก พระพุทธเจ้าได้เคยตรัสถึงจักรวาลและโลกธาตุมาแล้ว มีการระบุเอาไว้ว่า จักรวาลไม่ได้มีอยู่หนึ่งเดียว แต่ว่ามีหลายหมื่นแสนจักรวาลจนประมาณมิได้ เมื่อครั้งตรัสรู้ ในพระไตรปิฎกกล่าวว่า ได้เกิดการสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วหมื่นโลกธาตุ ข้อนี้ก็สอดคล้องกับข้อความข้างบน แสดงว่าจักรวาลมีจำนวนมาก ไม่ได้มีแค่โลกเดียว

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้กล่าวกับพระอานนท์ถึงโลกธาตุและจักรวาลไว้ดังนี้ ? ดูกรอานนท์ จักรวาลหนึ่งมีกำหนดเท่ากับโอกาสที่พระจันทร์พระอาทิตย์โคจรทั่วทิศ สว่างไสวรุ่งโรจน์ โลกมีอยู่พันจักรวาลก่อน
ในโลกพันจักรวาลนั้น มีพระจันทร์พันดวง มีอาทิตย์พันดวง มีขุนเขาสิเนรุพันหนึ่ง
มีชมพูทวีปพันหนึ่ง มีอปรโคยานทวีปพันหนึ่ง มีอุตตรกุรุทวีปพันหนึ่ง มีปุพพวิเทหทวีปพันหนึ่ง มีมหาสมุทรสี่พัน มีท้าวมหาราชสี่พัน มีเทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นดาวดึงส์พันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นยามาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นดุสิตพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นนิมมานรดีพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นปรนิมมิตวสวัสตีพันหนึ่ง มีพรหมโลกพันหนึ่ง นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างเล็กที่มีพันจักรวาล??
.โลกคูณด้วยส่วนพันแห่งโลกธาตุอย่างเล็กซึ่งมีพันจักรวาลนี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างกลางมีล้านจักรวาล ??
โลกคูณโดยส่วนพันแห่งโลกธาตุอย่างกลางมีล้านจักรวาลนี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างใหญ่ มีประมาณแสนโกฏิจักรวาล
?ดูกรอานนท์ตถาคตมุ่งหมายอยู่ พึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาลให้รู้แจ้งได้ด้วยเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่มุ่งหมาย ฯ?

ซึ่งความหมายในพุทธดำรัสก็คือ ในมหาสากลจักวาล ประกอบด้วย สากลจักรวาล (โลกธาตุ) ที่ปัจจุบันเรียกว่า กาแลกซี่ มี ๓ ขนาดด้วยกัน คือ
กาแลกซี่ขนาดเล็ก มี ๑ พันสุริยจักรวาล
กาแลกซี่ขนาดกลาง มี ๑ ล้านสุริยจักรวาล
กาแล็กซี่ขนาดใหญ่ มี ๑ แสนโกฏิสุริยจักรวาล


ทั่วทั้งมหาสากลจักรวาล ล้วนยึดโยงกัน เรียงรายกัน และหมุนตามกันเป็นธรรมจักร ซึ่งบรรจุไว้ในพระไตรปิฎก ซึ่งตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน

จะเห็นได้ว่า โลกแบบที่เราอยู่นี้มีมากมายในจักรวาล โลกนั้นเกิด โลกนี้ดับ สลับกันไปมาในอวกาศตลอดเวลา พระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ก็อาจจะตรัสรู้ในโลกอื่น ที่มีอยู่ก่อนหน้าโลกนี้ก็เป็นได้ ถึงพวกเราเองก็เถอะ อาจจะตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย ในโลกอื่นๆมาแล้วหลายที่เช่นกัน
ในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ นักดาราศาสตร์ยังค้นคว้าไม่พบดาวดวงอื่น นอกจากโลกของเราที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ แต่ในความรู้อันไม่มีขอบเขตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ และด้วยพระญาณทัสสะอันบริสุทธิ์ ทรงพบว่าในแต่ละจักรวาล มีโลกมนุษย์อยู่อย่างเราๆ นี้ ๔ โลก เป็นโลกแห่งความเดือดร้อน คือ โลกนรก โลกเปรต อสุรกาย และดิรัจฉาน ภพต่างๆ อันเป็นที่ตั้งของภูมิเหล่านี้ เกิดขึ้นเองตามความจำเป็นของสรรพสัตว์ เมื่อสัตว์ถูกกิเลสบีบคั้นใจ สัตว์ก็จะลงมือกระทำกรรมชนิดต่างๆ ตามความบีบคั้นนั้น เมื่อทำกรรมสำเร็จลง จะเป็นกรรมดีก็ตาม กรรมชั่วก็ตาม หรือไม่ดีไม่ชั่วก็ตามผลของกรรมจะเกิดตามมา ซึ่งภพเป็นที่รองรับสรรพชีวิตตามภูมิ ตามผลกรรมเหล่านั้น

ความจริงในบรรดาดวงดาวทั้งหลายที่นักดาราศาสตร์ค้นพบว่า ไม่มีสิ่งชีวิตอยู่เพราะเข้าใจเอาว่าสิ่งชีวิตมีเพียงมนุษย์และสัตว์ ซึ่งความจริงแล้วในจักรวาลหนึ่งๆ มีดวงดาวชนิดต่างๆ นับไม่ถ้วน ดวงดาวเหล่านี้ไม่มีดวงใดว่างเปล่า ไร้สิ่งมีชีวิตเลยแม้แต่ดวงเดียว ไม่ว่าดวงดาวนั้นจะลุกโพลงเป็นเปลวไฟอยู่ หรือเต็มไปด้วยน้ำแข็งเย็นเฉียบ มิติหยาบกับมิติละเอียดไม่มีสิ่งใดสัมพันธ์กัน จะเกี่ยวข้องก็เพียงมีสถานที่ตั้งเป็นที่แห่งเดียวกันเท่านั้นเอง ความร้อนเย็นมีอากาศ หรือไม่มีของมิติหยาบไม่กระทบกระเทือนมิติละเอียด




ถ้านักดาราศาสตร์หรือนักวิทยาศาสตร์ เหล่านั้นสามารถฝึกจิตให้มีคุณภาพพิเศษดังกล่าวไว้ได้ ก็ย่อมจะเห็นสิ่งมีชีวิตมากมาย อยู่ในดวงดาวเหล่านั้น เพียงแต่ร่างกายของสัตว์เหล่านั้นโปร่งใสจนสายตาของมนุษย์มองไม่เห็น ซึ่งจัดอยู่ในเทวภูมิชั้นที่หนึ่ง สัตว์เหล่านี้ มีที่อยู่บนดวงดาวต่างออกไปอีกมิติหนึ่ง ที่อยู่เหล่านั้นสุขสบายจนเรียกกันว่าเป็นสมบัติทรัพย์ โดยไม่เกี่ยวกับเนื้อดินหรือหินที่เห็นได้ด้วยตา มนุษย์ในดวงดาวนั้นๆ เป็นมิติละเอียดที่ซ่อนอยู่ในของหยาบ

จากญาณทัสสนะของจิตอันบริสุทธิ์ของพระพุทธองค์ ทรงแบ่งขอบเขตของห้วงอวกาศเป็นจักรวาล ลักษณะของจักรวาล ยกเว้นโลกมนุษย์ สัตว์ดิรัจฉาน และดาวนพเคราะห์ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ดาวฤกษ์ ทั้งหลายแล้ว มีสภาวะที่เป็นทิพย์ทั้งสิ้น คือไม่อาจเห็นได้ด้วยตาเนื้อ หรือไม่อาจสัมผัสรู้ได้ด้วยอายตนะหยาบของมนุษย์หรือของสัตว์เดรัจฉานที่อาศัยอยู่ร่วมกับโลกมนุษย์นี้


แต่ละจักรวาลมีส่วนประกอบอย่างเดียวกันหมด คือในจักรวาลหนึ่งๆนั้น จะ มี ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ภพดาวดึงส์ ภพอสูร อเวจีมหานรก และ ชมพูทวีป, อปรโคยานทวีป ปุพพวิเทหทวีปก็แล ทวีปใหญ่ๆ ในโลกธาตุนี้ แต่ละทวีปๆ มีทวีปเล็กๆ เป็นบริวาร ทวีปละ ๕๐๐ๆ หนึ่งจักรวาลคือ หนึ่งโลกธาตุ และระหว่างจักรวาลนั้นๆ เป็น ?โลกันตริกนรก?อันมืดมิด

ลักษณะของจักรวาลในพระไตรปิฏกกล่าวโดยย่อดังนี้

๑ . ขอบเขตของจักรวาล มีรูปร่างเหมือนทรงกระบอก มีภูเขาล้อมรอบ จักรวาลนี้ มีปริมณฑลทั้งหมด ๓,๖๑๐,๓๕๐ โยชน์

๒ . ตรงกลางจักรวาล มีภูเขาเป็นแกน รูปร่างเหมือนกลองตะโพนมีชื่อว่า ? เขาสิเนรุ? หรือ ?เขาพระสุเมรุ? มี ความสูง ๑๖๘,๐๐๐ โยชน์ ครึ่งบน ๘๔,๐๐๐ โยชน์อยู่เหนือพื้นน้ำ (คือมหาสมุทรสีทันดร) ขึ้นไป ครึ่งล่าง ๘๔,๐๐๐ โยชน์ หยั่งลงในมหาสมุทร ตั้งอยู่บนฐานที่เป็นภูเขา ๓ ลูก

๓ . มีภูเขารอบเขาสิเนรุอีก ๗ รอบ ระหว่างรอบมีน้ำทะเลคั่นอยู่ทุกรอบ ภูเขาทั้ง ๗ เหล่านี้ คือ เขายุคันธร ๑ เขาอิสินธร ๑ เขากรวิกะ ๑ เขาสุทัสสนะ ๑ เขาเนมินธร ๑ เขาวินัตตกะ ๑ เขาอัสสกัณณะ ๑ เป็นของทิพย์ วิจิตรด้วยรัตนะต่างๆ หยั่งลง ในห้วงมหรรณพ

๔ . พ้นจากภูเขาทั้ง ๗ รอบ เป็นทะเลใหญ่ เป็นทั้งตั้งของโลกมนุษย์ ทิศละ ๑ แห่งรอบเขาสิเนรุ

๕. มีดวงอาทิตย์ ๑ ดวง และดวงจันทร์ ๑ ดวง ลอยอยู่ระดับกึ่งกลางระหว่างระดับพื้นทะเลกับยอดเขาสิเนรุ

๖. ฐานล่างที่รองรับจักรวาลไว้ ชั้นแรกเป็นพื้นดิน ถัดจากดินเป็นน้ำ ถัดจากน้ำจึงเป็นลม ต่อจากลมเป็นความว่างเปล่า มีแต่ความมืด แผ่นดินในจักรวาลนั้น กล่าวไว้ว่ามีความหนาประมาณ ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์.น้ำสำหรับรับรองแผ่นดิน หนาประมาณ ๔๘๐,๐๐๐ โยชน์ ลม พุ่งขึ้นจดท้องฟ้าสูง ๙๖๐,๐๐๐ โยชน์, ความตั้งอยู่แห่งโลกเป็นดังนี้.

๗. และสูงขึ้นไปเบื้องบนตามลำดับโดยประมาณกึ่งหนึ่งๆ จากประมาณแห่งสิเนรุที่กล่าวแล้ว ทั้งเบื้องล่างและเบื้องบนนั้น เป็นสถานที่อยู่ของท้าวมหาราช ทั้ง ๔ มีเทวดาและยักษ์อาศัยอยู่แล้ว ตั้งเรียงรายอยู่โดยรอบภูเขาสิเนรุ ด้วยอำนาจเป็นเครื่องล้อม.

๘.จากตอนกลางของภูเขาสิเนรุลงมาจนถึงใต้พื้นน้ำมหาสมุทร มีฐานบันไดเวียน ๕ รอบ คือ ชั้นที่ ๑ อยู่ใต้พื้นน้ำ เป็นที่อยู่ของพญานาค, ชั้นที่ ๒ เป็นที่อยู่ของพญาครุฑ, ชั้นที่ ๓ เป็นที่อยู่ของกุมภัณฑเทวดา, ชั้นที่ ๔ เป็นที่อยู่ของยักขเทวดา, ชั้นที่ ๕ เป็นที่อยู่ของท้าวจตุโลกบาล

พระพุทธองค์ตรัสว่าระบบสุริยะของเราจะถึงวาระสุดท้ายโดยการชนกันกับดวงอาทิตย์อื่น ๆ กลายเป็นดาวอาทิตย์ ๗ ดวง ปรากฏขึ้นในท้องฟ้าทีละดวงๆ แต่กว่าจะถึงเวลานั้นก็คงยาวนานประมาณมิได้

หมายเหตุ ข้อมูลจากพระไตรปิฏกออนไลน์ ท่านจะใช้คำว่า จักรวาลและโลกธาตุแทนสุริยจักรวาล

500
อะไรคือจุดเริ่มต้นของจักรวาล ก็คือ ความดับไปของจักรวาลก่อนหน้านั้น
เป็นจุดเริ่มต้นของจักรวาลใหม่

ก่อนเข้าใจจักรวาล และกาแลคซี่ทั้งหมด แยกประเภทของจักรวาลออกเป็นส่วน เพื่อให้จำแนกได้เสียก่อน

พระพุทธเจ้าทรงแยกจักรวาลออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งเราเรียกว่ารูป และส่วนหนึ่ง เรียกกันว่า นาม

รูป คือ สิ่งที่ถูกรู้ ถูกนามเข้าไปรู้ เช่น เสียง สี ความแข็ง ความอ่อน ความเย็น ความร้อน ความเผ็ด จะเรียกได้ง่าย ๆ ว่า สสาร และพลังงาน เรียกว่า รูป

นาม หมายถึง สิ่งที่เข้าไปรู้อารมณ์ได้ คิดได้ เช่น การมองเห็น เราเรียกว่านาม

ดวงตา เป็นรูป สีเป็นรูป แต่การมองเห็น เป็นนาม
หูเป็นรูป เสียง เป็นรูป แต่การได้ยิน เป็นนาม

กาแลคซี่ เป็นรูป แต่การมองเห็นภาพของกาแลคซี่ หรือ การนึกคิดเรื่องกาแลคซี่ เป็นนาม เพราะลำพังตัวกำแลคซี่เอง มันนึกอะไรไม่ได้เพราะมันเป็นรูป

ชาย หญิง เป็นรูป แต่ความติดใจ อยากมีแฟน อยากได้ผู้ชาย อยากได้ผู้หญิง เป็นนาม

ฯลฯ

คุณเข้าใจเรื่องรูปกับนามโดยย่อแล้ว

คำถามเรื่อง จุดเริ่มต้น โลกและจักรวาล เกิดมาได้อย่างไร ? คุณกำลังถามว่า "รูป เกิดมาได้อย่างไร ?" นั่นเอง

เรื่องกัป

กาลสมัยเริ่มแรกทีเดียว คือ ในยุคต้น คนเราไม่ใช่มีอายุน้อยนิดหนึ่งเพียง ๗0 - ๘0 ปี แล้วตายลงอย่างทุกวันนี้เลย ความจริง มนุษย์ในยุคนั้น เขามีอายุยืนนานถึงอสงไขยปี ที่ว่าอสงไขยปีนั้น ก็คือจำนวนปีมนุษย์ที่มีเลขหนึ่งขึ้นหน้า แล้วต่อด้วยเลขศูนย์หนึ่งร้อยสี่สิบตัว หรือจะว่าเป็นจำนวนปีที่นับด้วยเลขหนึ่งร้อยสี่สิบเอ็ดหลักก็ได้ อยากรู้ว่ามีจำนวนเท่าใด ก็ลอง คำนวณดูเถิด คือ ตั้งเลขหนึ่งเข้าแล้วเติมศูนย์ลงไปให้ได้หนึ่งร้อยสี่สิบศูนย์ กาลเวลาตามจำนวนตัวเลขดังกล่าวนี้ เป็นจำนวน อสงไขยปี เพราะมันเป็นจำนวนปีที่มากมายเกือบจะนับไม่ได้อย่างนี้ จึงมีชื่อเรียกว่า อสงไขยปี = จำนวนปีที่นับไม่ได้

ในยุคต้น มนุษย์มีอายุนานได้อสงไขยปีนี่แล แล้วค่อยๆลดลงมา ร้อยปีลดลงหนึ่งปี ลดลงมาเรื่อยๆ ค่อยลดลงด้วย อาการอย่างนี้ จนกระทั่งอายุมนุษย์เหลือเพียงสิบปี อาการที่อายุลดลงนี้ พึงเห็นตัวอย่าง เช่น ในสมัยที่สมเด็จพระสัมมาสัม พุทธเจ้าของเรายังทรงพระชนม์ชีพอยู่มนุษย์ในสมัยนั้นมีอายุหนึ่งร้อยปี ตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงกาลทุกวันนี้ นับได้สองพันห้าร้อย ปีเศษ หรือจะพูดอีกทีว่านับได้ยี่สิบห้าร้อยปีเศษแล้ว ทีนี้ ร้อยปีลดลงเสียปีหนึ่งก็คงเหลือเจ็ดสิบห้าปี (๑00-๒๕ = ๗๕) จึง เป็นอันยุติได้ว่า ในสมัยทุกวันนี้ อายุมนุษย์มี ๗๕ ปี เป็นประมาณเท่านั้นเอง เมื่อลดลงไปจนกระทั่งเหลือนิดหน่อยเพียงสิบปี แล้ว คราวนี้ไม่ลดไปอีกละ แต่จะเพิ่มขึ้น คือ ค่อยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ร้อยปีเพิ่มขึ้นปีหนึ่ง เช่นเดียวกับตอนที่ลดลงนั่นเอง เพิ่มขึ้น ไปเรื่อยไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งมนุษย์อายุยืนนานถึงอสงไขยปีตามเดิมอีก เวลานานหนึ่งรอบอสงไขยปีนี่เองเรียกว่า อันตรกัป

เมื่อนับอันตรกัปที่ว่ามานี่ได้หกสิบสี่อันตรกัป จึงเป็นหนึ่งอสงไขยกัป ก็อสงไขยกัปนี้มีอยู่ ๔ อสงไขยกัป คือ

๑. สังวัฏฏอสงไขยกัป ได้แก่ ตอนที่โลกกำลังถูกทำลาย ซึ่งได้แก่คำว่า สงฺวฏฺฏตีติ สงฺวฏฺโฏ = กัปที่กำลังพินาศอยู่ เรียกว่า สังวัฏฏอสงไขยกัป

๒. สังวัฏฏฐายีอสงไขยกัป ได้แก่ ตอนที่โลกถูกทำลายเสร็จแล้ว ซึ่งได้แก่คำว่า สงฺวฏฺโฏ หุตฺวา ติฏฐตีติ สงฺวฏฺฏฐายี = กัปที่มีแต่ความพินาศตั้งอยู่ เรียกว่า สังวัฏฏฐายีอสงไขยกัป

๓. วิวัฏฏอสงไขย ได้แก่ ตอนที่โลกกำลังพัฒนาคือกำลังจะกลับคืนเป็นปกติ ซึ่งได้แก่คำว่า วิวฏฺตีติ วิวฏฺโฏ =
กัปที่กำลังเจริญขึ้นเรียกว่า วิวัฏฏอสงไขยกัป

๔. วิวัฏฏฐายีอสงไขยกัป ได้แก่ ตอนที่โลกพัฒนาเรียบร้อยแล้วเป็นอันดีแล้วซึ่งได้แก่คำว่า วิวฏฺโฏ หุตฺวา ติฏฐตีติ วิวฏฺฏฐายี = กัปที่เจริญขึ้นพร้อมแล้ว คือทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งอยู่ตามปกติ เรียกว่า วิวัฏฏฐายีอสงไขยกัป

สัตว์โลกทั้งหลายเช่นมนุษย์เรานี้เป็นต้น จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้ ก็เฉพาะตองอสงไขยกัปสุดท้าย คือ วิวัฏฏฐายี อสงไขยกัป นี่เท่านั้น ส่วนตอนทั้งสามกัปข้างต้นนั้น ไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เลย ก็จะอยู่ได้อย่างไรเล่า เพราะเป็นตอนที่โลก กำลังพินาศ และผลมาเป็นปกติเอาเมื่อตอนอสงไขยกัปสุดท้ายนี่เอง

อสงไขยกัปหนึ่งๆ นั้นนับเป็นเวลานานมาก ดังกล่าว คือ

๑. สังวัฏฏอสงไขยกัป นานถึง ๖๔ อันตรกัป
๒. สังวัฏฏฐายีอสงไขยกัป นานถึง ๖๔ อันตรกัป
๓. วิวัฏฏอสงไขยกัป นานถึง ๖๔ อันตรกัป
๔. วิวัฏฏฐายีอสงไขยกัป นานถึง ๖๔ อันตรกัป

รวมทั้ง ๔ อสงไขยกัป ก็เป็น ๒๕๖ อันตรกัป เวลาทั้งหมดนี้ เรียกว่า ๑ มหากัป


สรุป

๑ มหากัป เท่ากับ ๔ อสงไขยกัป
๑ อสงไขยกัป เท่ากับ ๖๔ อันตรกัป
๑ อันตรกัป เท่ากับ ๑ รอบอสงไขยปี

หรือ

๑ รอบอสงไขยปี เป็น ๑ อันตรกัป
๖๔ อันตรกัป เป็น ๑ อสงไขยกัป
๔ อสงไขยกัป เป็น ๑ มหากัป

๑. มหากัปป์ เท่ากับ 1 รอบที่จักรวาลตั้งขึ้น และดับลงไป 1 ครั้งถ้วน

(พระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ทรงบำเพ็ญพระบารมีเริ่มตั้งแต่ทรงอธิษฐาน เป็นเวลา 20 อสงไขย กับเศษแสนมหากัปป์)

คำตอบเรื่องที่ว่า จักรวาล เกิดมาได้อย่างไร คำตอบจึงปรากฎแล้ว ว่า สสาร และพลังงาน คือรูป ไม่เคยเกิดขึ้น และไม่เคยดับลง เป็นสิ่งที่ปรากฎอยู่เสมอทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เพียงแต่แรกเปลี่ยนสภาพตามปัจจัย กลายเป็นก้อนหิน ก้อนใหญ่ ๆ ที่เรียกว่าโลก ที่เรียกว่าดาว

กลายมาเป็นกลุ่มเม็ดทราย ที่เราเรียกว่ากาแลคซี่

โลก จักรวาลทั้งหลาย เกิด และดับ ลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า วนเวียนไปอย่างนี้ ไม่รู้จักจบจักสิ้น

การเกิดของมนุษย์ เป็นการเกิดของทั้งรูป และนาม

คือ ร่างกายมนุษย์ เป็นรูป ส่วนจิตใจที่อยู่ในร่างนั้น เป็นนาม

ร่างกายมนุษย์ เกิดจาก นาม และรูปอีกทีหนึ่ง คือ นาม ทำให้เกิดปฏิสนธิเป็นมนุษย์ และกรรม ที่เคยทำเป็นเหตุให้มีรูปร่างต่างกัน ส่วนรูปภายนอกเป็นอาหารหล่อเลี้ยงรูปกายมนุษย์ให้ตั้งอยู่ คือ ข้าว อาหาร น้ำ วิตามิน ไขมัน ฯลฯ

ลงว่า รูปที่เป็นสารอาหาร เป็นปัจจัยแก่ รูป ที่เป็นกายของสัตว์ เช่น มนุษย์ กบ แมว ลิง

ส่วน นาม ที่อาศัย อยู่ในรูป นั้น มีที่เกิดดังนี้

ต้องย้อนทางกลับ ตามนัยปฏิจจสมุปบาท (แปลว่า ปฏิกิริยาลูกโซ่)

มนุษย์ มีอวัยวะรับประสาทสัมผัสครบ ดังนั้น เราจะเริ่มจาก

สฬายตนะ คือ อวัยวะที่เป็นเครื่องสื่อสารระหว่าง ร่างกายภายใน กับอารมณ์ภายนอกเกิดจาก นามรูป

นามรูป คือ รูปคือร่างกาย และนาม คือ เวทนา สัญญา และสังขาร เกิดจากจิต

วิญญาณ(จิต) ดวงที่นำเกิด เกิดจาก การปรุงแต่ง การประมวลผลของอารมณ์ ที่มาจากภพก่อน เรียกว่าสังขาร

สังขาร ทั้งปวง เกิดจากอวิชชา คือ ความไม่รู้ หัว รู้ท้าย ของสภาวะที่ตนเองเป็นอยู่ ความที่จิตไร้ข้อมูลของตนเอง ความที่จิตไม่ทราบว่าตนเองมีลักษณะอย่างไร ตนเอง มีอะไร อย่างไร (อย่างเช่น ตอนนี้เราไม่รู้ว่าทำไมเราถึงมีดวงตา มีหู ) การไม่ทราบข้อมูลที่เกี่ยวเนื่องกับตน เรียกว่า อวิชชา คือ สภาวะไร้ข้อมูล

อวิชชา เกิดจาก อาสวะ คือ การที่อารมณ์ ไหลมาจากรูป ทำให้เกิดปฏิกิริยาต่าง ๆ จนเป็นลูกโซ่ จนเป็นร่างกายมนุษย์นี้ หรือเป็นเทวดา เป็นสัตว์

อาสวะ เกิดเพราะมี อวิชชา คือ การที่มีอวิชชา ไม่ทราบว่า มีสภาวะของทุกข์ ไม่ทราบว่า การเกิดเป็นทุกข์ ไม่ทราบอริยสัจ ทำให้เกิดการยินยอม ปล่อยให้อาสวะไหลไป และเติบโตขึ้นได้

เหมือนราเกิดเพราะมีเชื้อ เชื้อเกิดเพราะมีรานั่นเอง

ต้นเง่า ของนามและรูปที่อาศํยนาม (คือรูปกายของสัตว์) ก็มาจาก อวิชชาและอาสวะนี่เอง

501
จะรู้ได้ด้วยการพิจารณา ถ้าไม่พิจารณาก็หาความรู้ไม่ได้เลย ถ้าพิจารณาน้อยก็มีความรู้น้อย ใครพิจารณาได้มากก็มีความรู้มาก"

ธรรมผ่านใจในวันนี้เป็นธรรมะเพียง สองคำที่ผ่านและกระทบใจหมอมานานแล้วตั้งแต่เด็ก เป็นธรรมะของสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี เมื่อกล่าวถึงท่าน หลายคนคงจะรู้จักในฐานะพระภิกษุผู้ปราบแม่นากพระโขนง บางท่านก็รู้จักท่านในนามของ ผู้สร้างจักรพรรดิพระเครื่องคือสมเด็จวัดระฆัง วัดบางขุนพรหม วัดเกศไชโย ซึ่งไม่สามารถจะหาใครมาเทียบเทียมได้ด้วยบารมีของผู้สร้างคือสมเด็จโต ที่เชื่อว่าเป็นท่านเป็นเชื้อพระวงศ์กษัตริย์ และยังเป็นพระอาจารย์ของในหลวงล้นเกล้ารัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 ของเราถึง 2 พระองค์ ท่านเป็นผู้ที่ทำให้พระคาถาชินบัญชร เป็นที่รู้จักทั่วไทย แต่ในความรู้สึกของหมอ ก็อยากให้ทุกคนรู้จักธรรมะที่มีค่าของท่านคือ "พิจารณา มหาพิจารณา" จากประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) จากบันทึกพระยาทิพโกษามีดังนี้ครับ

ปีมะเมีย โทศก จุลศักราช 1232 เป็นปีที่ 3 ในรัชกาลที่ 5 ที่บ้านสมเด็จพระยามหาสุริยวงศ์ ( ช่วง ) มีการประชุมนักปราชญ์ทุกชาติทุกภาษาเพื่อถกปัญหาธรรม สมเด็จเจ้าพระยาได้ให้คนไปอาราธนาท่านมาแสดงธรรมเผยแพร่ความรู้ในทางธรรมของสยามประเทศ เพื่อถกร่วมกับนักปราชญ์จากชาติและศาสนาอื่นๆ พอถึงวันกำหนด นักปราชญ์ทั้งหลายก็ขอให้นักปราชญ์ไทยแสดงธรรมก่อน สมเด็จได้รับอารธนาก่อนท่านแสดงธรรมเพียง สองคำคือ "พิจารณา มหาพิจารณา" ซ้ำๆซากๆอยู่ตลอดเป็นชั่วโมง เมื่อให้ขยายความท่านขยายว่า

"การของโลกก็ดี การของชาติก็ดี การของศาสนาก็ดี กิจที่ควรกระทำสำหรับข้างหน้าก็ดี กิจควรทำให้สิ้นธุระทั้งปัจจุบันแลข้างหน้าก็ดี เสร็จกิจดีงามได้ด้วยกิจพิจารณาเป็นชั้น พิจารณาเป็นเปราะๆเข้าไปตั้งแต่หยาบๆและกลางๆและชั้นสูงชั้นละเอียด พิจารณาให้ประณีตละเมียด เข้าถึงที่สุดแห่งเรื่องถึงที่สุดแห่งอาการถึงที่สุดแห่งกรณี ให้ถึงที่สุดแห่งวิธี ให้ถึงที่สุดแห่งประโยชน์ยืดยาว พิจารณาให้รอบคอบ ทั่วถึงแล้วทุกๆคน จะรู้จักประโยชน์คุณเกื้อกูลตน ตลอดทั้งเมื่อนี้เมื่อหน้า จะรู้ประโยชน์อย่างยิ่งได้ ก็ต้องอาศัยการพิจารณาเลือกเฟ้นค้นหาของดีของจริงเด่นเห็นชัดประโยชน์แก่คนก็ด้วยการพิจารณาของคนนั่นเอง ถ้าคนใดสติปัญญาน้อยด้อยปัญญา พิจารณาเหตุผลเรื่องราวกิจการงานงานของโลกของธรรมแต่พื้นๆ ก็รู้ได้พื้นๆ ถ้าพิจารณาด้วยสติปัญญาเป็นอย่างกลางก็รู้เพียงชั้นกลาง ถ้าพิจารณาด้วยสติปัญญาอันละเอียดลึกซึ้งในข้อนั้นๆอย่างสูงสุดไม่หลับหูหลับตา ไม่งมงายแล้ว อาจจะเห็นผลแก่ตนประจักษ์แท้แก่ตนดังปริยายมาทุกประการ"

ครั้นจบแล้วท่านลงจากบัลลังก์ก็ไม่มีนักปราชญ์ชาติอื่นๆภาษาอื่นมีแขกและฝรั่งเป็นต้น ก็ไม่อาจออกปากขัดคอคัดค้านได้ ได้แต่อัดอั้นกันไปหมด ต่างคนต่างแหยงแม้จะเตรียมข้อความมาก็จริง จะเอาโวหารของศาสดาตนมาแสดงก็ชักจะเก้อ เพราะไม่อาจจะเหนือคำพิจารณามหาพิจารณาของสมเด็จได้เลย ทุกคนเห็นจริงตามบรรยายของการพิจารณา ซึ่งรู้ได้ตามชั้นตามภูมิตามกาลตามบุคคลที่ยิ่งและหย่อนอ่อนและกล้าจะรู้ได้ด้วยการพิจารณา ถ้าไม่พิจารณาก็หาความรู้ไม่ได้เลย ถ้าพิจารณาน้อยก็มีความรู้น้อย ใครพิจารณาได้มากก็มีความรู้มาก จริงของสมเด็จทุกประการวันนั้นจึงเลิกประชุม ปราชญ์ต่างคนต่างลากลับ

ธรรมะล้ำค่าของสมเด็จกินใจอยู่ได้ในตนเอง ไม่ต้องการคำอธิบายใดอีกเพียงแต่ขอให้เรามีสติพิจารณาเหตุการณ์ในแต่ละเรื่องที่เราประสพและหมั่นพิจารณาเนืองๆไม่ประมาท ด้วยความสงบ พิจารณาให้ลึกซึ้งเรื่อยๆ ปัญญาในการแก้ปัญหาก็อยู่ในนั้นนั่นเอง ขอมอบธรรมอันล้ำค่าของสมเด็จไว้ในใจของทุกท่านนะครับ สวัสดีครับ

502
จากคู่มือการศึกษาพระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉทที่ ๕ วิถีวิมุตตสังคหวิภาค ของพระอาจารย์บุญมี เมธางกูร แห่ง อภิธรรมมูลนิธิ ได้อธิบายเกี่ยวกับทวีปทั้ง ๔ ไว้ดังนี้

--------------------------------------------------------------
ทวีปใหญ่ในทิศทั้ง ๔ ของภูเขาสิเนรุ แต่ละทวีปใหญ่ทั้ง ๔ ทิศนั้น แลดล้อมด้วยทวีปน้อยเป็นบริวาร อีกทวีปละ ๕๐๐ รวมทวีปน้อยมี ๒๐๐๐ ทวีป

ทวีปใหญ่ หรือพื้นแผ่นดินทั้ง ๔ ทิศ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์นั้น มีชื่อเรียกกันดังนี้คือ

๑. อุตตรกุรุทวีป อยู่ทางทิศเหนือของภูเขาสิเนรุ มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีลักษณะใบหน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีคุณสมบัติ ๓ ประการ คือ
๑) ไม่ยึดถือเอาทรัพย์สินเงินทองว่าเป็นของตน
๒) ไม่มีการยึดถือในบุตร, ภริยา, สามี ว่าเป็นของตน
๓) มีอายุยืนถึง ๑๐๐๐ ปี

มนุษย์ในอุตตรกุรุทวีปนี้มีการรักษาศีล ๕ เป็นนิจ เมื่อตายไปแล้วย่อมเกิดในเทวโลก แน่นอน ดังสารัตถทีปนีฏีกา แสดงว่า
คติปิ นิพฺพตฺถา มโต สคฺเคเยว นิพฺพตฺตนฺติ
แปลความว่า มนุษย์อุตตกุรุนี้ เมื่อตายแล้ว ย่อมไปบังเกิดในชั้นเทวโลกอย่างแน่นอน

หมายความว่า เมื่อตายจากภพมนุษย์แล้วย่อมไปบังเกิดในชั้นเทวโลกแต่ถึงเวลาที่จุติจากเทวโลกแล้ว อาจไปเกิดในอบายภูมิ ๔ หรือมนุษย์ในทวีปอื่นใดก็ได้ จะไม่ไปสู่อบายภูมิเพียงชั่วภพถัดไปจากที่กำลังเป็นมนุษย์อุตตรกุรุเท่านั้น

๒. ปุพพวิเทหทวีป อยู่ทางทิศตะวันออกของภูเขาสิเนรุ มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีลักษณะใบหน้าตอนบนตัดโค้งมนลงส่วนล่างคล้ายบาตร มีอายุยืนถึง ๗๐๐ ปี

๓. อปรโคยานทวีป อยู่ทางทิศตะวันตกของภูเขาสิเนรุ มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีลักษณะใบหน้ากลม คล้ายวงพระจันทร์ มีอายุยืนถึง ๕๐๐ ปี

๔. ชมพูทวีป อยู่ทางทิศใต้ของภูเขาสิเนรุ มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีลักษณะใบหน้ารูปไข่ กำหนดอายุขัยไม่แน่นอน โดยความยิ่งหย่อนในคุณธรรม สมัยใดคนชมพูทวีปมีกาย วาจา ใจ เพียบพร้อมยิ่งด้วยคุณธรรมสมัยนั้นคนชมพูทวีปมีอายุยืนถึงอสงไขยปี สมัยใด คนชมพูทวีป กาย วาจา ใจ ย่อหย่อนด้วยคุณธรรม สมัยนั้นมีอายุลดน้อยถอยลงมาเพียง ๑๐ ปี เป็นอายุขัย


กำหนดเกณฑ์อายุขัยของผู้เกิดใน ๔ ทวีปนี้มาใน สังยุตตนิกายอรรถกถา ว่า

ชมฺพูทีปวาสีนํ อายุปฺปมาณํ นตฺถิ, ปุพฺพวิเทหานํ สตฺตวสฺสสตายุกา, อปรโคยานวาสีนํ ปญฺจวสฺสสตายุกา อุตฺตรกุรุวาสีนํ วสฺสสหสฺสายุกา เตสํ เตสํ ปริตฺตทีปวา สีนมฺปิ ตทนุคติกาล

ในมนุษย์ภูมินี้ มุ่งหมายเอามนุษย์ที่เกิดในชมพูทวีป เป็นมุขยนัย (โดยตรง) โดยสทิสูปจารนัย (โดยอ้อม) ได้แก่มนุษย์ในทวีป ทั้ง ๓ อีกด้วย คุณสมบัติของมนุษย์ชมพูทวีป มีแสดงไว้หลายนัย ตามวจนัตถะ ดังต่อไปนี้

๑. มโน อุสฺสนฺตํ เอเตสนฺติ = มนุสฺสา
คนทั้งหลาย ที่ชื่อว่า มนุษย์ เพราะมีใจรุ่งเรืองและกล้าแข็ง
หมายความว่า จิตใจของคนชมพูทวีปนั้น กล้าแข็งทั้งฝ่ายดีและไม่ดี คือฝ่ายดีนั้นสามารถสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า, พระปัจเจกพุทธเจ้า, อัครสาวก, มหาสาวก, ปกติสาวก, สำเร็จอภิญญาลาภีหรือฌานลาภีบุคคล, ตลอดจนเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
ข้างฝ่ายไม่ดีนั้น ให้กระทำการวิบัติตัดชีวิต บิดามารดา, พระอรหันต์, กระทำโลหิตุปบาท, และสังฆเภท

๒. การณากรณํ มนติ ชานาตีติ = มนุสฺโส
คนชมพูทวีป ชื่อว่า มนุษย์ เพราะมีความเข้าใจในเหตุอันควรและไม่ควร
หมายความว่า คนชมพูทวีป ย่อมมีความสามารถค้นหาเหตุผลของธรรมได้โดยเฉพาะ เช่นการเห็น เกิดขึ้นได้ เพราะอาศัยจักขุปสาท กับรูปารมณ์ กระทบกันเป็นต้น ตลอดจนรู้ภาวะของรูป ? นาม ตามความเป็นจริงได้ เพราะอาศัยมีความเข้าใจในเหตุอันควรและไม่ควร นั่นเอง

๓. อตฺถานตฺตตํ มนติ ชานาตีติ = มนุสฺโส
คนชมพูทวีป ชื่อว่า มนุษย์ เพราะเข้าใจในสิ่งที่มีประโยชน์และไม่มีประโยชน์
ข้อนี้หมายความว่า บรรดาสิ่งต่าง ๆ ทั้งหลายที่สัตว์โลกได้รับ จะเป็นที่น่ายินดีพอใจหรือไม่น่าพอใจก็ตาม ย่อมเกิดจากการทำ การพูด การคิด ของสัตว์ทั้งหลายนั้นเอง
ถ้าการทำ การพูด การคิด ที่ดี ก็ได้ผลดี มีประโยชน์ แต่ถ้าการทำ การพูด การคิดที่ไม่ดี ก็ได้ผลไม่ดี ไม่มีประโยชน์

คนชมพูทวีปย่อมมีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่มีประโยชน์ และไม่มีประโยชน์นี้ได้อย่างดีว่า การทำ การพูด การคิด อย่างนี้ให้ผลเป็นทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ คือประโยชน์ในชาตินี้ หรือ สัมปรายิกัตถประโยชน์ คือ ประโยชน์ในชาติหน้า หรือ ปรมัตถประโยชน์คือประโยชน์อย่างยิ่ง ที่จะทำให้พ้นทุกข์ได้โดยเด็ดขาด

๔. กุสลากุสลํ มนติ ชานาตีติ = มนุสฺโส

คนชมพูทวีป ชื่อว่า มนุษย์ เพราะเข้าใจในสิ่งที่เป็นกุศล และอกุศล
หมายถึง ความเข้าใจในการทำดี ทำชั่ว คือการงานใดที่เนื่องด้วยความโลภ, ด้วยความโกรธ, ความหลงเหล่านี้เป็นความชั่ว เป็นอกุศล แต่ถ้าการงานใดไม่ได้ประกอบด้วยความโลภ, ความโกรธ, ความหลง แต่กลับเนื่องด้วยความไม่โลภ, ไม่โกรธ และความมีปัญญา และสามารถเข้าใจในกุศล - อกุศลได้เป็นอย่างดี เหล่านี้เป็นคุณสมบัติของมนุษย์ชมพูทวีป

๕. มนุโน อปจฺจาตี = มนุสฺสา

คนทั้งหลายชื่อว่า มนุษย์ เพราะเป็นลูกของพระเจ้ามนุ
ที่ว่า มนุษย์เป็นลูกหลานของพระเจ้ามนุนั้น มีตำนานดังนี้ คือ ในสมัยต้นกัปป์ ประชาชนได้เลือกพระโพธิสัตว์ ซึ่งขณะนั้นเป็นมนุษย์มีชื่อว่า มนุ ให้ครองราชย์ เป็นกษัตริย์ปกครองประเทศและถวายพระนามว่า พระเจ้ามหาสัมมตะ พระองค์ทรงอายุ และระเบียบแบบแผน กฎ ข้อบังคับ อย่างเที่ยงธรรม ให้ประชาชนได้ประพฤติปฏิบัติตามอย่างมิได้มีใครฝ่าฝืนเลย เหมือนหนึ่งบุตรที่ดีทั้งหลายประพฤติอยู่ในโอวาทแห่งบิดา เหตุนี้จึงได้ชื่อว่า มนุษย์ เพราะเป็นบุตรของพระเจ้ามนุ


503
ความลับของจักรวาล ในพระไตรปิฏก

ความลับของจักรวาล ในพระไตรปิฏก


ขนาดของจักรวาล


จักรวาลอันหนึ่ง โดยยาวและโดยกว้าง ประมาณ ๑,๒๐๓,๔๕๐ โยชน์ (๑ โยชน์ = ๑๖ กิโลเมตร)
ส่วนโดยรอบปริมณฑลทั้งสิ้น (ของจักรวาลนั้น) ประมาณ ๓,๖๑๐,๓๕๐ โยชน์


ขนาดหนาของแผ่นดิน ในจักรวาลนั้น
แผ่นดินนี้ กล่าวโดยความหนา มีประมาณถึงเท่านี้ คือ ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์


ขนาดหนาของน้ำรองแผ่นดิน สิ่งที่รองแผ่นดินนั้นหรือ
คือน้ำอันตั้งอยู่บนลม โดยความหนามีประมาณถึงเท่านี้ คือ ๔๘๐,๐๐๐ โยชน์


ขนาดความหนาของลมรองน้ำ
ลมอัน (พัดดัน) ขึ้นฟ้า (โดยความหนา) มีประมาณ ๙๖๐,๐๐๐ โยชน์ นี่เป็นความตั้งอยู่พร้อมมูลแห่งโลก


ขนาดภูเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ) และต้นไม้ประจำทวีป
อนึ่ง ในจักรวาลที่ตั้งอยู่พร้อมมูลอย่างนี้นั้น มี
ภูเขาสิเนรุอันเป็นภูเขาสูงที่สุด หยั่ง (ลึก) ลงไปในมหาสมุทร ๘๔,๐๐๐ โยชน์ สูงขึ้นไป (ในฟ้า) ก็ประมาณเท่ากันนั้น
ภูเขาใหญ่ทั้งหลาย คือภูเขายุคันธร ภูเขาอิสินธร ภูเขากรวีกะ ภูเขาสุทัสสนะ ภูเขาเนมินธระ
ภูเขาวินตกะ ภูเขาอัสสกัณณะ อันตระการไปด้วยรัตนะหลากๆ ราวกะภูเขาทิพย์ หยั่ง (ลึก) ลงไป
(ในมหาสมุทร) และสูงขึ้นไป (ในฟ้า) โดยประมาณกึ่งหนึ่งแต่ประมาณแห่งภูเขาสิเนรุไปตามลำดับ
ภูเขาใหญ่ทั้ง ๗ นั้น (ตั้งอยู่) โดยรอบภูเขาสิเนรุเป็นที่อยู่ของ (จาตุ)มหาราช เป็นที่ๆ เทวดา และยักษ์อาศัยอยู่


ภูเขาหิมวาสูง ๕๐๐ โยชน์ ยาวและกว้าง ๓,๐๐๐ โยชน์ (เท่ากัน) ประดับไปด้วยยอดถึง ๘๔,๐๐๐ ยอด
ต้นชมพู (หว้า) ชื่อนคะ วัดรอบลำต้นได้ ๑๕ โยชน์ ลำต้นสูง ๕๐ โยชน์ และกิ่ง (แต่ละกิ่ง)
ก็ยาว ๕๐ โยชน์ แผ่ออกไปวัดได้ ๑๐๐ โยชน์โดยรอบ และสูงขึ้นไปก็เท่ากันนั้น ด้วยอานุภาพของ
ต้นชมพู (นี้) ไรเล่า ทวีปนี้จึงถูกประกาศชื่อว่า ชมพูทวีป
ก็แลขนาดของต้นชมพูนี้ใด ขนาดนั้นนั่นแหละเป็นขนาดของต้นจิตรปาฏลี (แคฝอย) ของพวกอสูร
ต้นสิมพลี (งิ้ว) ของพวกครุฑ ต้นกทัมพะ (กระทุ่ม) ในอมรโคยานทวีป ต้นกัปปะในอุตตรกุรุทวีป
ต้นสิรีระ (ซึก) ในบุพพวิเทหทวีป ต้นปาริฉัตตกะ ในดาวดึงส์ เพราะเหตุนั้นแล ท่านโบราณจารย์จึงกล่าวไว้ว่า
(ต้นไม้ประจำภพและทวีป คือ) ต้นปาฏลี ต้นสิมพลี ต้นชมพู ต้นปาริตฉัตตะของพวกเทวดา
ต้นกทัมพะ ต้นกัปปะ และต้นที่ ๗ คือ ต้นสิรีสะ ดังนี้




ขนาดภูเขาจักรวาล

ภูเขาจักรวาล หยั่ง (ลึก) ลงไปในมหาสมุทร ๘๒,๐๐๐ โยชน์
สูงขึ้นไป (ในฟ้า) ก็เท่ากันนั้น
ภูเขาจักรวาลนี้ตั้งล้อมโลกธาตุทั้งสิ้นนั้นอยู่


ขนาดของภพและทวีป
ในโลกธาตุนั้น มีดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ภพดาวดึงส์ ๑๐,๐๐๐ โยชน์ ภพอสูร มหานรกอเวจี และชมพูทวีปก็
เท่ากันนั้น อมรโคยานทวีป ๗,๐๐๐ โยชน์ บุพพวิเทหทวีปก็เท่านั้น อุตตรกุรุทวีป ๘,๐๐๐ โยชน์ อนึ่ง ในโลกธาตุนั้น
ทวีปใหญ่ๆ ทวีป ๑ ๆ มีทวีปน้อยเป็นบริวาร ทวีปละ ๕๐๐
สิ่งทั้งปวง (ที่กล่าวมานี้) นั้น (รวม) เป็นจักรวาล ๑ ชื่อว่า โลกธาตุอัน ๑ ๑ในระหว่างแห่งโลกธาตุ
ทั้งหลายมีโลกันตนรก (แห่งละ ๑)


๑. มหาฎีกาว่า จักรวาล ก็คือโลกธาตุ โลกธาตุได้ชื่อว่า จักรวาล ก็เพราะมีภูเขาจักรวาล ซึ่งสัณฐานดังกง
รถล้อมอยู่โดยรอบเท่านั้นเองไม่ใช่จักรวาลอัน ๑ โลกธาตุอัน ๑
๒. ท่านว่าจักรวาลหรือโลกธาตุนั้นมีมากนัก ช่องว่างในระหว่างจักรวาล ๓ จักรวาลต่อกัน มีโลกันตนรก ๑
ทุกแห่งไป โดยนัยนี้ คำว่า โลกันตนรก ก็แปลว่า นรกอันตั้งอยู่ในช่องระหว่างจักรวาล ๓ อันนั่นเอง



พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ใน "จูฬนีสูตร" พระไตรปิฎก หน้า ๒๑๕ เล่ม ๒๐ ว่า
จักรวาล ประกอบด้วยดวงจันทร์ โลก ดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ทั้งหลายโคจร ไปร่วมกัน
จะมีขุนเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ) (เป็นภูเขาทิพย์ที่เห็นได้เฉพาะผู้มีอภิญญา) ทวีปต่างๆ ที่ตั้งชื่อกันในสมัย
นั้นคือ ชมพูทวีป อปรโคยานทวีป อุตรกุรุทวีป และปุพพวิเทหทวีป มหาสมุทรทั้ง ๔ (นับกันได้ในสมัยนั้น)
มีนรกขุมต่างๆ สวรรค์ชั้นต่างๆ และพรหมโลกชั้นต่างๆ
โลกธาตุ มี ๓ ขนาด คือ โลกธาตุอย่างเล็กมีจำนวนพันจักรวาล โลกธาตุอย่างกลางมีจำนวนล้านจักรวาล
โลกธาตุอย่างใหญ่มีจำนวน แสนโกฏิจักรวาล

ทั้งโลกธาตุอย่างเล็กก็ดี อย่างกลางก็ดี อย่างใหญ่ก็ดี ยังมีอีกจำนวนมากมาย
"ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และแตกดับไปในที่สุด"
กำเนิดของโลกพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ใน "อัคคัญญสูตร" พระไตรปิฎก หน้า ๖๑ เล่ม ๑๑ ว่า
เกิดมีน้ำขึ้นในห้วงอวกาศอันมืดมิดก่อนแล้วนานๆไปเกิดการรวมตัวงวดเข้าเป็นง้วนดิน แล้วพัฒนาเป็นกระบิดิน
ต่อไปเป็นเครือดิน จากนั้นมีต้นข้าวและพืชทั้งหลายเกิดขึ้น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หมู่ดาว
นรกขุมต่างๆ เทวโลก และพรหมโลกชั้นต่างๆ ก็เกิดขึ้นเอง

กำเนิดชีวิตพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า "เพราะมีความอยาก จึงมีการเกิดเป็นสัตว์เป็นบุคคลขึ้นมา
เมื่อไม่มีความอยากการเกิดเป็นสัตว์เป็นบุคคลก็ไม่มี"

กำเนิดชีวิตในจักรวาลอื่น ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ยังถกเถียงกันอยู่ว่ามีหรือไม่มี ?
และยังคงไม่มีใครสามารถสร้างเครื่องมือติดต่อค้นหาเพื่อตอบคำถามนี้ได้
แต่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้แน่นอนมากว่าสองพันปีแล้วว่า "มี"


นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า "ดวงอาทิตย์ มีเส้นผ่าศูยน์กลางประมาณ ๑,๔๐๐,๐๐๐ กิโลเมตร
หรือโตกว่าโลกประมาณ ๑๐๙ เท่า มีน้ำหนักประมาณ ๒ x ๑,๐๓๐ กิโลกรัม (หรือ ๒๐ ตามด้วย ๐ จำนวน ๓๐ ตัว)
เนื้อตัวทั้งหมดของดวงอาทิตย์เป็นธาตุไฮโดรเจนซึ่งเป็นธาตุเบา เผาไหม้ตัวเองด้วยปฏิกิริยา
เทอร์โมนิวเคลียร์ จากภายในใจกลางออกมาไม่ใช่เผาไหม้เฉพาะพื้นผิว
สิ้นมวลของตัวเองวินาทีละ ๔ ล้านตัน เผาไหม้อย่างนี้มาแล้ว ๕,๕๐๐ ล้านปี
และจะเผาไหม้อย่างนี้ต่อไปอีก ๕,๕๐๐ ล้านปี" เมื่อเป็นเช่นนี้ลองคิดดูว่าวันหนึ่งมีกี่วินาที ?
ต่อให้ดวงอาทิตย์หรือดาวฤกษ์นั้นใหญ่โตขนาดไหนก็ตาม น่าจะย่อยยับหมดสิ้นภายในวันเดียว
แต่ดวงอาทิตย์หรือดาวฤกษ์นั้นก็ยังอยู่ยืนยาวมานานนับพันๆล้านปี โดยยังมีขนาดเท่าเดิม "
นี้คือความมหัศจรรย์ที่ยังคงเหนือการพิสูจน์



อีกอย่างหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์คาดคะเนว่า "เวลาอันยาวนานในอนาคต
ดวงอาทิตย์จะขยายตัวบวมขึ้นจนมีขนาดโตถึงวงโคจรของโลก
แล้วกลืนกินโลกและดาวเคราะห์วงในทั้งหมด และเมื่อเวลายาวนานอีกต่อไป
ก็จะค่อยๆยุบตัวลงกลายเป็นดาวแคระ คือจะมีขนาดเล็กลงเท่าโลกแต่มีความร้อนจัด
ดาวฤกษ์บางดวงก็ยุบตัวลงเป็นดาวนิวตรอนที่มีขนาดเส้นผ่าศูยน์กลางเพียง ๒๕-๓๐
กิโลเมตร และดาวฤกษ์บางดวงก็ยุบตัวลงเป็นหลุมดำ"


พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ในอนาคตอันยาวไกลในสุริยะจักรวาล จะมีดวงอาทิตย์เกิดขึ้น
เองเพิ่มขึ้นทีละดวงๆ จนครบ ๗ ดวง แล้วเผาไหม้โลกและดาวเคราะห์บริวารทั้งหมด
นรกทุกขุม สวรรค์ทุกชั้น และพรหมโลกชั้นต่ำๆ รวมทั้งดวงอาทิตย์ทั้ง ๗ ดวงนั้น
ก็พินาศไปด้วย แล้วก็จะมีแต่ความมืดมิดจนนานแสนนาน ก็ก่อตัวขึ้นมาใหม่อีก" (สุริยะสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ หน้า ๘๓)


นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย คือปุถุชนผู้ที่ยังมีกิเลสตัณหา ตั้งทฤษฎีมาจากการคาดคะเน
การนึกคิด การเดา การสันนิษฐาน การค้นคว้าทดลอง การสังเกตจดจำ
การใช้เครื่องมือและอุปกรณ์เป็นจำนวนมาก แต่ทฤษฎีเหล่านั้นก็ยังไม่ตายตัว
พร้อมที่จะถูกลบล้างได้ตลอดเวลา
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย คือบุคคลพิเศษ วิเศษ เป็นอัจฉริยะมนุษย์ เป็นบุคคลเอก
ที่ไม่มีใครเสมอเหมือน เป็นผู้สิ้นกิเลสตัณหา เป็นผู้มีญาณวิเศษรู้อดีต ปัจจุบัน
และอนาคต เป็นผู้ตรัสรู้ เป็นผู้รู้แจ้งโลก ดังนั้นพระสูตรหรือทฤษฎีต่างๆที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ดีแล้ว
จึงตายตัวไม่มีใครลบล้างได้



ลักษณะของจักรวาล คือ มีเขาสิเนรุเป็นแกนกลาง มี เขาสัตตบริภัณฑ์ คือ เขาล้อมรอบ ๗ ชั้น
ซึ่งมี สีทันดรมหาสมุทร คั่นอยู่ในระหว่าง ตั้งเป็นรูปร่างขึ้นไว้ก่อน ภูมิสวรรค์อยู่พ้นทวีปทั้งหลาย
ซึ่งเป็นที่อยู่ของมนุษย์ เช่น ชมพูทวีปซึ่งมีอินเดียเป็นศูนย์กลาง จึงอยู่พ้นป่าหิมพานต์
พ้นภูเขาหิมวันตะหรือ หิมาลัย พ้นมหาสมุทรแห่งทวีปทั้งปวง แล้วถึงภูเขาสัตตบริภัณฑ์
ตั้งต้นแต่ภูเขาสุทัสสนะ จนถึงภูเขาอัสสกัณณะ จึงเป็นอันถึงสวรรค์ชั้นที่ ๑ เพราะยอดเขา
สัตตบริภัณฑ์เหล่านี้เองเป็นที่อยู่ของท้าวมหาราช ๔ องค์กับบริวาร นับเป็นสวรรค์ชั้นที่ ๑ เรียกว่า จาตุมหาราชิก


ท้าวมหาราช ๔ องค์นี้ แบ่งกันครอบครอง ดั่งนี้

๑)ด้านทิศตะวันออกของเขาสิเนรุเป็นที่อยู่ของ ท้าวธตรัฏฐะ
มีพวกคนธรรพ์เป็นบริวาร (ถัดออกไปเป็นปุพพวิเทหทวีป)

๒)ด้านทิศใต้เป็นที่อยู่ของ ท้าววิรุฬหก มีพวกกุมภัณฑ์เป็นบริวาร
(ถัดออกไปเป็นชมพูทวีป) พวกกุมภัณฑ์นี้ ท่านอธิบายว่าได้แก่ ทานพรากษส

๓)ด้านทิศตะวันตกของเขาสิเนรุเป็นที่อยู่ของ ท้าววิรูปักข์ มีพวกนาคเป็นบริวาร (ออกไปเป็น อมรโคยานทวีป)

๔)ด้านทิศเหนือของเขาสิเนรุเป็นที่อยู่ของ ท้าวกุเวร มีพวกยักษ์เป็นบริวาร (ถัดออกไปเป็นอุตตรกุรุทวีป)


ท้าวมหาราชที่ ๔ ครองอยู่ ๔ ทิศของเขาสิเนรุ มีกล่าวถึงใน อาฏานาฏิยสูตร
หน้าที่ของท้าวมหาราชที่ ๔ และบริวารตามที่ได้กล่าวไว้ คือเป็นผู้รับด่านหน้า
ของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อป้องกันพวกอสูรซึ่งเป็นศัตรูของเทพชั้นดาวดึงส์จะ
ยกมาตีเอาถิ่นสวรรค์ชั้นนั้น แต่ใน สุตตันตปิฎก ติกนิบาต ได้มีแสดงหน้าที่ให้
เป็นผู้ตรวจ ซึ่งเป็นที่อยู่ของหมู่มนุษย์อีกด้วย แสดงเป็นพระพุทธภาษิตมีความว่า
ในวัน ๘ ค่ำแห่งอมาตย์บริษัทของท้าวมหาราชทั้ง ๔ เที่ยวตรวจดูโลก ในวัน ๑๔ ค่ำแห่งปักข์
บุตรทั้งของท้าวมหาราชทั้ง ๔ เที่ยวตรวจดูโลก ในวัน ๑๕ ค่ำแห่งปักษ์
ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ตรวจดูโลกเองว่าพวกมนุษย์พากันบำรุงบิดามารดา
บำรุงสมณพราหมณ์ เคารพนบน้อมผู้ใหญ่ในตระกูล รักษาอุโบสถ ทำบุญกุศล
มีจำนวนมากด้วยกันอยู่หรือ เมื่อตรวจดูแล้ว ถ้าเห็นว่ามีจำนวนน้อย ก็ไปบอกแก่พวกเทพชั้นดาวดึงส์
ซึ่งประชุมกันใน สุธรรมสภา พวกเทพชั้นดาวดึงส์ เมื่อได้ฟังดั่งนั้นก็มีใจหดหู่ว่า ทิพยกายจักลดถอย
อสุรกายจักเพิ่มพูน แต่ถ้าเห็นว่าพวกมนุษย์พากันทำดี มีบำรุงมารดาบิดาเป็นต้น เป็นจำนวนมาก
ก็ไปบอกแก่พวกเทพชั้นดาวดึงส์เหมือนอย่างนั้น พวกเทพชั้นดาวดึงส์ก็พากันมีใจชื่นบานว่า
ทิพยกายจักเพิ่มพูน อสุรกายจักลดถอย ๑




ท้าวมหาราชทั้ง ๔ มีหน้าที่เป็น จตุโลกบาล คือ เป็นผู้คุ้มครองโลกทั้ง ๔ ทิศ
ตามที่เชื่อถือกันมาเก่าก่อนพระพุทธศาสนา แต่เมื่อพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นแล้ว
พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดง ธรรมเป็นโลกบาล คือ คุ้มครองโลกไว้ ๒ ข้อ คือ หิริ
ความละอายใจ ที่จะทำชั่ว โอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อความชั่ว เพราะเหตุนี้
จึงไม่กล่าวให้ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ทำหน้าที่คุ้มครองโลกโดยตรง จะไม่กล่าวถึงเลย
ก็จะขัดขวางต่อความเชื่อของคนทั้งหลายจนเกินไป จึงกล่าวเปลี่ยนไปให้มีหน้า
ที่เที่ยวตรวจดูโลกมนุษย์ ว่าได้พากันทำดีมากน้อยอย่างไร แล้วก็นำไปรายงาน
พวกเทพชั้นดาวดึงส์ พวกเทพชั้นนั้นได้รับรายงานแล้วก็เพียงแต่มีใจชื่นบานหรือ
ไม่เท่านั้น เห็นได้ว่าท่านผู้รวบรวมร้อยกรองเรื่องนี้ไว้ในพระสุตตันตปิฎก ต้องการ
จะรักษาเรื่องเก่าที่คนส่วนมากเชื่อถือ ด้วยวิธีนำมาเล่าให้เป็นประโยชน์ในทางตักเตือนให้ทำดี
เหมือนอย่างที่มีคำเก่ากล่าวไว้ว่า ถึงคนไม่เห็น เทวดาก็ย่อมเห็น คือ สดงจตุโลกบาลที่
เขาเชื่อกันอยู่แล้วในทางที่อาจเข้าใจเป็นธรรมาธิษฐาน ซึ่งเป็นข้อมุ่งหมายโดยตรง
ถึงจะเชื่อว่ามีตัวตนอยู่จริงและคอยมาตรวจดูโลกว่า ใครทำดีไม่ดีอย่างไรก็ไม่เสียหาย
กลับจะดีเพราะจะได้เกิดละอายกลัวเกรงว่า จตุโลกบาลจะรู้จะเห็นว่าทำไม่ดี หรือไม่ทำดี
เป็นอันหนุนให้เกิดหิริโอตตัปปะขึ้นได้ ผู้ที่ไม่ยอดเชื่อเสียอีกอาจจะร้ายกว่า
เพราะไม่มีที่ละอายยำเกรง เว้นไว้แต่จะมีภูมิธรรมในจิตใจดีอยู่แล้ว หรือมีที่ละอายยำ
เกรงอย่างอื่นแทนอยู่ วันที่ท่านกล่าวว่าจตุโลกบาลมาตรวจดูโลก เดือนหนึ่งมีไม่กี่วัน
ดูเหมือนจะน้อยไป แต่คงไม่หมายความว่าตรวจกรรมของคนเฉพาะวันนั้น วันอื่นไม่เกี่ยวข้องด้วย
ควรเข้าใจว่า ตรวจดูรู้ย้อนไปถึงวันอื่นๆ ในระหว่างที่ไม่ได้ลงมานั้นด้วย ตัวของเราเองทุกๆ
คนนึกย้อนตรวจดูกรรมของตนเองภายใน ๗ วันยังจำได้ ไฉนโลกบาลจะไม่รู้กรรมที่ตนเองทำ
แม้จะลืมไปแล้ว โลกบาลก็ต้องรู้ เมื่อเชื่อว่าโลกบาลมีจริง ก็ควรจะเชื่ออย่างนี้ด้วย
จึงจะเป็นโลกบาลที่สมบูรณ์ สรุปลงแล้วทำความเข้าใจว่า โลกบาลมาตรวจตราดูที่จิตใจนี้เอง
จะเกิดประโยชน์มาก.

ตามหลักในการจัดภูมิต่างๆ สัตว์ดิรัจฉานเป็นอบายภูมิต่ำกว่าภูมิมนุษย์และสวรรค์
พระอาจารย์จึงกล่าวว่าในสวรรค์ไม่มีสัตว์เดียรัจฉาน การเกิดในสวรรค์ เกิดโดยอุปปาติก
กำเนิดอย่างเดียว จึงน่ามีปัญหาว่า พวกนาคซึ่งเป็นบริวารของท้าวมหาราชจะจัดว่าเป็นภูมิอะไร
นอกจากนี้ บริวารของท้าวมหาราชจำพวกอื่น เช่น พวกกุมณฑ์ ก็มีลักษณะพิกล
ยักษ์บางพวกก็ดุร้าย เป็นผีเที่ยวสิงมนุษย์ก็มี ดูต่ำต้อยกว่าภูมิมนุษย์
แต่ก็อยู่ในสวรรค์ชั้นหนึ่งนี้ด้วย ตามที่กล่าวมานี้ น่าเห็นว่าเก็บเอามาจากเรื่องเก่าๆ
จึงฟังไม่สนิทตามหลักการจัดภูมิต่าง ๆ ดั่งกล่าว



ชมพูทวีป หมายถึง โลกมนุษย์ทั้งหมด ไม่ใช่อินเดีย-เนปาล
อย่างที่หลายๆคนเข้าใจ ดังมีหลักฐานที่พระพุทธเจ้าแสดงดังนี้


ทวีปต่างๆในจักรวาล

๑) ชมพูทวีป ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)

-มีธาตุมรกตอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุมรกตทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของชมพูทวีปมีสีน้ำเงินแกมเขียว
-มนุษย์ที่ชมพูทวีป มีความสูง ๔ ศอก มีอายุประมาณ ๑๐๐ ปี (อาจตายก่อนอายุได้ ไม่แน่นอน)
-มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ อายุยิ่งหย่อนขึ้นอยู่กับคุณธรรม ไม่แน่นอน
-สมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า "พระวิปัสสี" มนุษย์ในชมพูทวีปมีอายุถึง ๘๐,๐๐๐ ปี
-สมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า "พระเรวะตะ" มนุษย์ในชมพูทวีปมีความสูงถึง ๘๐ ศอก
-แต่เมื่อคุณธรรมเสื่อมลง จิตใจหยาบช้าลง อาหารเลวลง อายุก็ลดลง ร่างกายก็เตี้ยลง
-ต่อไปภายภาคหน้ามนุษย์ในชมพูทวีป จะมีอายุเพียง ๑๐ ปี เท่านั้น และตัวจะเตี้ยถึงขนาด
ต้องสอยมะเขือกิน เรียกยุคนั้นว่า "ยุคทมิฬ" เป็นยุคที่เสื่อมที่สุดของ "ชมพูทวีป"
-ดอกไม้ประจำชมพูทวีปคือ "ชมพู (ไม้หว้า)" ...เพราะเหตุนี้ ถึงเรียกว่า "ชมพูทวีป"
เพราะดอกไม้ประจำทวีปนี้คือ ดอก "ชมพู"
-ชมพูทวีป เป็นทวีปเดียวที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ต้องมาตรัสรู้ที่ทวีปนี้เท่านั้น


๒) อมรโคยานทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
-เป็นแผ่นดินกว้าง ๗,๐๐๐ โยชน์ ประกอบด้วยเกาะ และแม่น้ำใหญ่น้อย
-มีธาตุแก้วผลึกอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุแก้วผลึกทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของอมรโคยานทวีปมีสีแก้วผลึก
-มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีรูปหน้าเหมือนพระจันทร์ครึ่งซีก มีใบหน้าวงกลม คล้ายวงพระจันทร์ คนหน้าเหมือนดั่งเดือนแรม จมูกโด่ง คางแหลม
-มนุษย์ที่อมรโคยานทวีป มีความสูง ๖ ศอก มีอายุ ๕๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
-ดอกไม้ประจำอมรโคยานทวีปคือ "กะทัมพะ (ไม้กระทุ่ม)"


๓) ปุพพวิเทหะทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
-เนื้อที่กว้าง ๗,๐๐๐ โยชน์ มีเกาะ ๔๐๐ เกาะ
-มีธาตุเงินอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุเงินทำให้ทองฟ้า
และมหาสมุทรของปุพพวิเทหะทวีปมีสีเงิน
-มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีรูปหน้าเหมือนพระจันทร์เต็มดวง คนหน้ากลมเหมือนดวงจันทร์
มีใบหน้าตอนบนโค้งตัดลงมาเหมือนบาตร
-มนุษย์ที่ปุพพวิเทหะทวีป มีความสูง ๙ ศอก มีอายุ ๗๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
-ดอกไม้ประจำปุพพวิเทหะทวีปคือ "สิรีสะ (ไม้ทรึก)"


๔) อุตรกุรุทวีป ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
-มีพื้นที่เป็นรูปสี่เหลี่ยม เนื้อที่กว้าง ๘,๐๐๐ โยชน์ เป็นที่ราบ
-มีธาตุทองคำอยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุทองคำทำให้ทองฟ้า
และมหาสมุทรของอุตรกุรุทวีปมีสีเหลืองทอง
-มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ รูปร่างงาม มีลักษณะใบหน้าเป็นรูป ๔ เหลี่ยม รักษาศีล ๕ เป็นนิจ
ไม่ยึดถือสมบัติ บุตร ภรรยา สามี ว่าเป็นของๆตน
-มนุษย์ที่อุตรกุรุทวีป มีความสูง ๑๓ ศอก มีอายุ ๑,๐๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
-มีต้นไม้นานาชนิด ดอกไม้ประจำอุตรกุรุทวีปคือ "กัปปรุกขะ (กัลปพฤกษ์)"
ถ้าอยากได้อะไร ก็ไปนึกเอาที่ต้นกัลปพฤกษ์ จะสมปรารถนา
-มนุษย์ที่อุตรกุรุทวีป เมื่อตายจากทวีปนี้ ทุกคนจะได้ไปเกิดใน "เทวภูมิ ชั้นตาวติงสาห์ภูมิ" ทุกๆคน เป็นกฏตายตัว
-ในภาษาบาลี "อุตร" แปลว่า "เหนือ" ...เพราะเหตุนี้ ถึงเรียกทวีปนี้ว่า "อุตรกุรุทวีป"



[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

504
อันดับ 9 วิหารกระดูก แห่งเมือง อีโวราโปรตุเกส วิหารนี้สร้างในศตวรรษที่ 15

โดยพระนิกายฟรานซิสกัน ที่ประหลาดพิสดารคือ ผนังภายในวิหารนี้สร้างขึ้นจากกระดูกของมนุษย์กว่า 5,000 คนครับ เท่านั้นไม่พอ มีซากศพ 2 ร่าง ห้อยแขวนติดผนังด้านหนึ่งด้วย!

ตํานานวัดระบุว่า

ครั้งกระโน้นมีสตรีนางหนึ่งซึ่งยึดมั่น ในคาทอลิก แต่ได้ถูกสามีผู้โมโหร้ายกับลูกชายของ เธอเองช่วยกันโบยตีจนตาย ก่อนสิ้นชีวิต เธอได้สาป ให้วิญญาณของเขาทั้ง 2 ลงนรก แม้แต่พื้นพสุธา ก็จะไม่ยินดีรับร่างของเขาไว้

ไม่นานนัก ชายทั้งสองก็ถึงแก่มรณกรรม

ชาวเมืองพยายามขุด หลุมฝังศพของเขา แต่ขุดลงไปที่ใดก็เจอะแต่หิน เมื่อจนปัญญา พวกเขาจึงนําเอาซากศพทั้งสองขึ้น ไปห้อยแขวนไว้กับ ผนังวิหารดังกล่าว สําหรับให้นักบวชได้ใช้ปลง ในระหว่างทําสมาธิ ก็นับเป็นคําสาปที่ขลังยิ่ง

อันดับที่ 8 ละครเรื่อง แม็คเบ็ธ (Macbeth) ของเชคสเปียร์

ละครเรื่องนี้มีฉากที่เกี่ยวกับแม่มดและ คําสาปมนต์ดํา ว่ากันว่าทําให้แม่มดตัวจริงสมัยนั้น เคืองแค้น ที่เชคสเปียร์นําเอาเรื่องลับของพวกเขามาเปิดเผย จึงสาปให้ละครเรื่องนี้มีอันเป็นไป-หากใครนํามาแสดงโดยเฉพาะตัวละครที่เล่นบท แม็คเบ็ธ


ผลของคําสาปอุบัติขึ้นตั้งแต่หนแรกสุดที่ละครนี้ออกแสดง

โดยผู้แสดงที่ชื่อ ฮัล เบอร์ริดจ์ ซึ่งสวมบทเลดี้เอม ได้ล้มเจ็บลงในคืนนั้น และสิ้นใจตายหลังเวที

และนับแต่นั้นมาเกือบ 400 ปี ละครเรื่องนี้ก็มีอาถรรพณ์เกิดขึ้นกับนักแสดงมาตลอด

เช่น มีอุบัติเหตุบาดเจ็บ ล้มตาย บางคนฆ่าตัวตาย และที่น่าพรึงเพริดที่สุดก็คือ ในปี ค.ศ. 1947 นักแสดงชื่อ ฮาโรลด์ ทอร์แมน เป็นผู้รับบทแม็คเบ็ธ

ในระหว่างการดวลดาบนั้น คู่ต่อสู้ของเขาลืมสวมที่ครอบปลายดาบ

พอแม็คเบ็ธ ถูกแทงล้มลง กลางเวที ผู้ดูต่างก็ปรบมือพอใจในบทบาท หากทว่า หลังเวทีนั่นซิ ต่างก็ตกใจกันยิ่งนักที่เขาโดน แทงจริงๆ ทอร์แมนตายใน 3 สัปดาห์ต่อมา





อันดับ 7 คําสาปของ อลิสแตร์ ครอว์ลีย์ พ่อมดแห่งทะเลสาบล็อคเนสส์, สกอตแลนด์ ปี 1899

ครอว์ลีย์อาศัยอยู่ในบ้านอย่างโดดเดี่ยว ทางตอนใต้ของทะเลสาบที่ลือลั่นในเรื่องอสุรสัตว์ กล่าวกันว่า เ ขาขมังในเรื่องเวทมนตร์และเลี้ยงวิญญาณภูตไว้ถึง 115 ตน เขาสามารถดลบันดาลให้ เพื่อนบ้านหลายคนมีอันเป็นไปนานา จนเป็นที่หวาดหวั่นไปทั่ว

ก่อนตาย ครอว์ลีย์ ได้สาปทิ้งท้ายไว้กับยอด เขาแห่งหนึ่ง

ซึ่งเรียกกันว่า ?ปล่องไฟปีศาจ? และครอว์ลีย์เคยหลงทางที่ยอดเขานี้ ซึ่งทําให้เขาขัดเคืองใจ จึงสาปว่าเมื่อใดที่ยอดเขานี้พังทลาย สิ่งชั่วร้ายต่างๆก็จะถูกปลดปล่อยแผ่กระจายไปด้วย

ปล่องไฟปีศาจ? ยืนหยัดอยู่นานนับพันปี

แต่แล้วในเดือนเมษายน 2001 ยอดสูงราว 70 เมตร ก็มีอันถล่มทลายลงมาในทะเล เรื่องนี้ทําให้ผู้ที่เชื่อถือในตํานานพากันผวาไปตามกันเลยครับ ป่านนี้นรกคงครอบคลุมแผ่นดินแล้ว


อันดับ 6 คําสาปวูดูแห่งนิวออร์ลีนส์ สหรัฐฯ

แม่มดวูดูผู้นี้มีนามว่า มารี ลาโว มีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 1800 กว่าๆ เพื่อนบ้านรํ่าลือกันว่าเธอสามารถสาปได้ทั้งคนและสัตว์ โดยใช้มนต์ดําของวูดู กระทั่งทุกวันนี้ยังมีการ จัดทัวร์พาไปชมบ้านของเธอ รวมทั้งบนบานขอให้เธอช่วยสาปใครก็ได้ เรียกกันว่า บลัดดี้มารีทัวร์

ทั้งนี้ ผู้ขอจะต้องปฏิบัติดังนี้

เริ่มจากเคาะ 3 ครั้งบนโลงศพของมารี แล้วหมุนกายทวนเข็มนาฬิกา 3 รอบ เซ่นเหล้ารัม ข้ามหลุมศพ 3 หน แล้วเปล่งชื่อของเธอออกมาดังๆ

จากนั้นก็บอกกล่าวถึงจุดประสงค์ของคุณ

(ว่าจะให้เธอดลให้ศัตรูของคุณวิบัติอย่างไร) ไม่เชื่อก็เดินทางร่วมทัวร์ไปพิสูจน์ได้
อันดับ 5 คําสาป ตุตันคาเมน อียิปต์

เรื่องนี้เราคงเคยได้ฟังกันมาแล้ว จึงขอผ่านนะคะ สรุปสั้นๆแค่ว่า ทั้ง โฮวาร์ด คาร์เตอร์, ลอร์ด คาร์นาวอน และผู้มีส่วนรบกวนสุสานของฟาโรห์องค์ นี้ ล้วนมีอันล้มหายตายจากก่อนวัย อันควรทั้งนั้น
อันดับ 4 อีกา แห่งป้อมปราสาท ลอนดอน (Tower of London)

ป้อมปราสาทนี้ เป็นที่รู้จักกันดี ในฐานะถูกใช้เป็นที่คุมขังและ ประหารบุคคลสําคัญๆ ของอังกฤษมากมาย หลายท่าน ณ ลานปราสาทแห่งนี้จะมีการเลี้ยงดูอีกา จํานวน 6 ตัว เนื่องจากมีคําสาปมานานกว่า 900 ปี ว่า ถ้าหากอีกาลดจํานวนลงเมื่อใด เมื่อนั้นความหายนะจะมาเยือน นครลอนดอน และสิ้นสุดพระราชวงศ์แห่งอังกฤษ!

เรื่องนี้มีตํานานปรากฏเป็นเอกสาร

ในสมัยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 ราวศตวรรษที่ 17 ด้วยนะคะ ไม่ใช่เรื่องเลื่อนลอยแต่อย่างใด และทําให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นยาม หรือกษัตริย์ถือเป็นเรื่องจริงจังอย่างเคร่งครัด

เช่นว่า ถ้ามีอีกาตายหนึ่งตัว จะต้องรีบถวายรายงานต่อควีนทันที

และต้องจัดหาอีกาตัวใหม่ มาทดแทนโดยด่วน ซึ่งอีกาทุกตัวจะมีชื่อเรียก และถ้าตายก็จะถูกนําไปฝังอย่างมีพิธีการ จะมีการเลี้ยงอีกาไว้สํารองตลอดเวลา

ถ้าตัวใดล้มป่วย ก็ต้องรีบตรวจสอบ

หาไม่ถ้าหากตายโดยโรคติดต่อ (เช่น ไข้หวัดนก) และเช้าขึ้นมาอีกาตายเกลี้ยงละก้อ เชื่อกันว่าทั้งพระราชวงศ์ก็จะอันตรธานไปเช่นกัน 
 
 
 
 
 
อันดับ 3 คําสาปตะกั่วแห่งกรีซ ใน ค.ศ. 1979

มีการขุดค้นโบราณสถานชื่ออโกรา, นครเอเธนส์ ทําให้พบแผ่นม้วนตะกั่วบางๆ ซึ่งมีจารึกภาษาโบราณอันเป็นคําสาปปรากฏอยู่ แผ่นตะกั่วนี้เรียกกันว่า คาตาเรส (Katares) ใช้ใส่ลงในโลงศพก่อนจะฝัง

เชื่อกันว่า

ตะกั่วจะทําให้คําสาปจมลงไปอย่างรวดเร็วถึงขุมนรกพร้อมกับวิญญาณผู้ตาย เพื่อที่พระยมจะได้อ่านคําสาปและดลบันดาลให้เป็นไปตามนั้น

นอกจากนี้ การฝากหรือทิ้งแผ่นคําสาปลงไปในนํ้าก็เป็นอีกวิธีการหนึ่ง

เพราะนํ้าจะสามารถสื่อ ไปถึงผู้ที่เราต้องการสาปได้ ซึ่งแผ่นคาตาเรสกว่า 100 แผ่นที่ค้นพบนี้ได้ระบุจ่าหน้าถึง ซูลิส ไมเนอร์วา ซึ่งเป็นเทพีด้านอุทกของโรมัน
 
 
เคนเนดี้
 
 
อันดับ 2 คําสาปวัฏจักรมรณกรรมของประธานาธิบดีสหรัฐฯ

นี่ก็เป็นอาถรรพณ์อีกอย่างซึ่ง โด่งดังมาก นั่นคือ ปธน. สหรัฐฯ ท่านใดที่ได้รับเลือกตั้งในปี ค.ศ. ที่ลงท้ายด้วยเลข 0 จะต้องถึงแก่ มรณกรรมในหน้าที่ ตํานานระบุว่า ผู้ที่สาปก็คือ เตคัมเซ่ หัวหน้าเผ่าอินเดียนแดง ผู้คับแค้นจากการถูกชนผิวขาวเข้ามายํ่ายีแย่งแผ่นดิน

เขาได้สาปไว้ก่อนที่จะถูกฆ่าตายในปี ค.ศ. 1813

ปธน.คนแรกที่ตกเป็นเหยื่อก็คือ วิลเลียม เฮนรีย์ แฮร์ริสัน ที่ได้รับเลือกตั้งใน ค.ศ. 1840

ถัดจากนั้นคําสาปก็เป็นจริงมาตลอด ไม่ว่าจะเป็น

? ลิน-คอล์น (1860)
? การ์ฟิลด์ (1880)
? แม็คคินลีย์ (1900)
? ฮาร์ดิ้ง (1920)
? รูสเวลท์ (1940)
? เคนเนดี้ (1960)
 
 
 
 
 
อันดับ 1 คําสาปในสวนอีเดน (Garden of Eden)

นับเป็นคําสาปแรกเริ่มสุดๆ ตั้งแต่ครั้งพระเจ้าสร้างโลกโน่นเลย โดยปรากฏเรื่องราวอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิลว่า ก็อดทรงเสกอาดัม-มนุษย์ผู้ชายขึ้นก่อน จากนั้นก็แซะเอาซี่โครงของอาดัมมาเสกเป็นอีฟ แล้วส่งทั้งคู่ไปอยู่ในสวนอีเดน

พร้อมรับสั่งว่าจะกินอะไรก็ได้ทุกอย่าง

ยกเว้นผลไม้จากต้นแห่ง ความรู้หรือแอปเปิ้ล

แต่งูตัวแสบซิครับ มันยุยงอีฟให้หมํ่าแอปเปิ้ลเข้าไป

หมํ่าคนเดียวไม่พอ อีฟยังชักชวนให้อาดัมหมํ่าด้วย เมื่อขัดคําสั่งของพระเจ้า ก็เป็นเรื่องซิ
 
http://www.palungjit.com/board/showthread.php?t=76058


505
บทความ บทกวี / 10 สุดยอดคำสาปของโลก
« เมื่อ: 06 เม.ย. 2550, 01:47:07 »
อันดับ 10 เพชรโฮป (Hope Diamond)

เป็นเพชรสีนํ้าเงินขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีนํ้าหนักถึง 45.52 กะรัต โดยพ่อค้าฝรั่งเศสนาม จอห์น แบ็บติส ทราวิเนียร์ ได้ขโมยมาจากพระนลาฏ (หน้าผาก) เทวรูปฮินดูในวิหารแห่งหนึ่งของอินเดีย เมื่อราว ค.ศ. 160

โดยหารู้ไม่ว่าโคตรเพชรนี้มีคําสาปติดมาด้วย นั่นคือ

มันผู้ใดที่ขโมยหรือครอบครองเพชรโฮป จะต้องประสบความวิบัติทุกรายไป!

และก็จริงตามคําสาป นับตั้งแต่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งทรงซื้อเพชรนี้

จากนายทราวิเนียร์ พระองค์และพระราชวงศ์ก็ทรงได้รับภัยร้ายกาจจากการปฏิวัติของฝรั่งเศสตลอด กระทั่งนาย เฮนรีย์ ฟิลิป โฮป (เจ้าของชื่อเพชรเม็ดนี้) นายปิแอร์ คาร์เทียร์ (พ่อค้าอัญมณีชื่อดังที่เรารู้จักกันดี) ฯลฯ ล้วนประสบกับอัปมงคล


จนถึงผู้ครอบครองรายสุดท้ายคือ ตระกูลของ เซอร์ ฮาร์รีย์ วินสตัน

ได้ให้เลดี้ไฮโซ ผู้หนึ่งยืมสร้อยคอเพชรโฮป สวมใส่ในงานราตรี สองเดือนต่อมา ลูกน้อยของเธอก็ตายอย่างลึกลับ สามีกลายเป็นบ้าและต้องหย่าขาดกัน

ในที่สุด

ทายาทตระกูลวินสตันจึงมอบเพชรโฮปให้สถาบันสมิธ โซเนียนของสหรัฐฯ เป็นผู้อนุรักษ์แทน

506
บทความ บทกวี / ความรู้ คู่คุณธรรม?
« เมื่อ: 06 เม.ย. 2550, 01:39:40 »
 ?เมื่อความรู้ ยอดเยี่ยม สูงเทียมเมฆ
แต่คุณธรรม ต่ำเฉก ยอดหญ้านั่น
อาจเสกสร้าง มิจฉา สารพัน
ด้วยจิตอัน ไร้อาย ในโลกา
     แม้คุณธรรม สูงเยี่ยม ถึงเทียมเมฆ
แต่ความรู้ ต่ำเฉก เช่นยอดหญ้า
ย่อมเป็นเหยื่อ ทรชน จนอุรา
ด้วยปัญญา อ่อนด้อย น่าน้อยใจ
     หากความรู้ สูงล้ำ คุณธรรมเลิศ
แสนประเสริฐ กอปรกิจ วินิจฉัย
จะพัฒนา ประชาราษฎร์ ทั้งฃาติไทย
ต้องฝึกให้ ความรู้ คู่คุณธรรม?

507
หลักการวิวัฒนาการของสัตว์ สรุปเป็นหลักง่ายๆได้เลยครับ

กิเลส --- >>> กรรม --->>> วิบาก --->>> กิเลส --- >>> กรรม --->>> วิบาก --->>> ................

สัตว์ทั้งหลายมี โลภ โกรธ หลง จึงมีความอยากและไม่อยาก (ตัณหา) เป็นเหตุให้ยึดถือโดยไม่รู้ตัว (อุปาทาน) และแสดงออกตามสัญชาตญาณ

สัตว์ทั้งหลายอาศัยตัณหาอุปาทานแล้วก็ทำกรรมน้อยใหญ่ ดีบ้าง เลวบ้าง ไม่ดีไม่เลวบ้าง

เมื่อสัตว์ทั้งหลายสร้างกรรมอันเป็นเหตุไว้ในภพน้อยใหญ่แล้วจึงต้องรับผล (วิบาก) ในภายหลัง
อันเป็นเหตุให้รูปร่างเปลี่ยนไป อายตนะ ผัสสะ เวทนา สัญญา วิญญาณ เปลี่ยนไป เพื่อรับผลกรรมนั้นๆ

สัตว์ทั้งหลายเมื่อรับผลกรรมโดยรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา สัญญา วิญญาณ แล้ว อาศัยตัณหาอุปาทาน สร้างกรรมไว้ในภพน้อยใหญ่ต่อไป

วนเวียนไปไม่สิ้นสุด ตามหลักแห่งปฏิจสมุปปบาท
       
 

508
พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ไว้ว่า ศาสนาจะค่อยๆเสื่อมลง หลังจากพุทธปรินิพพาน
แต่...
หลังจากพุทธปรินิพพาน 2500 ปี
ศาสนาพุทธจะกลับมาเจริญขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
เพราะในความเป็นจริงแล้ว พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า ศาสนาของพระองค์ในอนาคตจะเสื่อมลงจริง แต่ไม่เคยทรงบอกเวลาครับ ว่าจะเป็นอีก 3000 ปี 4000 ปี 5000 ปี หรือ กี่ปี พระองค์เพียงแต่ทรงบอกว่า เมื่อใดก็ตามที่พุทธบริษัทไม่ประพฤติปฏิบัติธรรม เช่น พระภิกษุทำไรไถ่นาเหมือนชาวบ้าน มีสัญลักษณ์ความเป็นพระเพียงแค่จีวร แขวนติดไว้กับเสื้อ เมื่อนั้นพระพุทธศาสนาก็จะเสื่อม

ส่วนผู้ที่บอกว่า พระพุทธศาสนาจะอยู่ได้ 5000 ปีนั้น เป็นคำทำนายของพระภิกษุชื่อดังมากทางด้านสมาธิจิต รูปหนึ่งในเมืองไทยในสมัยก่อนครับ โดยเนื้อหาในคำทำนายบอกว่า
"พระพุทธศาสนาจะมีอายุได้ 5000 ปี แต่ในยุคกึ่งพุทธกาล คือ 2500 ปี ศาสนาจะค่อยๆ เสื่อมลง และกลับมาเจริญขึ้นอีกครั้ง โดยการฟื้นฟูของพระมหาเถระโพธิสัตว์ 2 พระองค์ ที่เกิดในยุคของธัมมิกมหาราชที่เป็นคนไทย แต่ไปโตในต่างประเทศ"

509
น่าจะเป็นของหลวงพ่อเนียม วัดน้อย สุพรรณบุรี
ถ้าผิดพลาดประการใดต้องขออภัยไว้ ณ.ที่นี้ด้วยครับ

510
ปริศนาคำพูดของอัลเบิร์ต ไอสไตล์ กล่าวถึงพระพุทธศาสนาก่อนเสียชีวิต

ถึงแม้อัลเบิร์ต ไอสไตล์ ได้จากโลกนี้ไปโดยที่เขายังไม่สามารถค้นพบตำตอบตามที่เขากำลังต้องการก็ตาม แต่ไอสไตล์ได้ทิ้งคำพูดที่เป็นปริศนาที่สำคัญมากให้กับมนุษยชาติ ในช่วงวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของเขา อัลเบิร์ตได้เริ่มสงสัยแล้วว่า พระพุทธศาสนา อาจจะเป็นศาสนาที่ให้คำตอบต่อคำถามที่เขากำลังพยายามค้นหา ในช่วง 1 ปีก่อนที่เขาจะเสียชีวิตนั้น มหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน ได้ตีพิมพ์งานเขียนชิ้นหนึ่งของเขาชื่อเรื่อง " The Human Side " ซึ่งนักฟิสิกส์ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลผู้นี้ ได้กล่าวทิ้งท้ายให้เป็นปริศนาแห่งโลกอนาคตว่า

The religion of the future will be a cosmic religion. It should transcend personal God and avoid dogma and theology. Covering both the natural and the spiritual, it should be based on a religious sense arising from the experience of all things natural and spiritual as a meaningful unity. Buddhism answers this description. If there is any religion that could cope with modern scientific needs it would be Buddhism. (Albert Einstein)

"ศาสนาในอนาคต จะต้องเป็นศาสนาสากล ศาสนานั้นควรอยู่เหนือพระเจ้าที่มีตัวตน และควรจะเว้นคำสอนแบบสิทธันต์ (คือเป็นแบบสำเร็จรูปที่ให้เชื่อตามเพียงอย่างเดียว) และแบบเทววิทยา(คือพึ่งเทวดาเป็นหลักใหญ่) ศาสนานั้น เมื่อครอบคลุมทั้งธรรมชาติและจิตใจ จึงควรมีรากฐานอยู่บนสามัญสำนึกทางศาสนา ที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ต่อสิ่งทั้งปวง คือ ทั้งธรรมชาติและจิตใจอย่างเป็นหน่วยรวมที่มีความหมาย พระพุทธศาสนาตอบข้อกำหนดนี้ได้....ถ้าจะมีศาสนาใดที่รับมือได้กับความต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ปัจจุบัน ศาสนานั้นก็ควรเป็นพระพุทธศาสนา"

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
นักฟิสิกส์ ชาวเยอรมัน ผู้เสนอทฤษฏีสัมพันธภาพ

คำพูดของไอสไตล์นั้นมีความนัยที่สำคัญซ่อนอยู่และรอคอยการค้นพบ และทฤษฎีเอกภาพหรือทฤษฎีสรรพสิ่งที่ต้องการค้นหานั้น ที่จริงพระพุทธเจ้าได้ตอบให้เบ็ดเสร็จก่อนหน้านั้น 2500 ปี


ขอขอบคุณ
http://www.dmc.tv/forum/index.php?showtopic=4698


511
เรื่องมีอยู่ว่า

เมื่อคืนวันหนึ่ง เวลาประมาณ ตี 1 ได้ ก่อนเข้านอน ผมได้ สวดมนต์
พระคถาหนึ่ง ที่ขึ้นต้นด้วย " ช " ลงท้ายด้วย " ร " (ขออนุญาติไม่บอกชื่อ
พระคถานี้นะครับ อาจไม่เป็นผลดีต่อผู้ที่กลัวผี แค่ ใบ้ ก็พอ) ตอนนั้นจำได้ว่า
สวดไป 10 จบ พอสวดเสร็จ ก็เตรียมตัวนอน พอหัวลงถึงหมอน ม่อยหลับไป
ได้สักพัก ก็ ได้ยินเสียง ท่านเจ้าที่ พูดว่า มีคนมาหา? ทันใดนั้น จิต มันก็ ลุกจากเตียง เดินไป พบคนที่มาหา ขอบอกก่อนนะครับ ว่า โลกแห่งทิพย์ เวลาเราอยากรู้อะไร ก็จะรับรู้ได้เกือบหมด ก็ทำให้ผม ทราบว่า คนที่มาหา เขารอผมอยู่ที่ เฉลีบง หลังบ้าน พอผมลงไป พบเขาเหล่านั้น ก็เห็น

-ผู้หญิงใส่ชุดไทย ถือดาบ เลือดเต็มตัวเต็มหน้า
-ผีตา โบ๋ แขนขาด เลือดเต็มตัว เสื้อผ้า ขาดหมด
- ลุงแก่ๆ คนหนึ่ง และอีกประมาณ 7-8 คน สภาพน่า เวทนา หมด

พวกเขา ขุกเข่า กับพื้น พนมมือ ไหว้ผม ผมเลย ถาม ลุงว่า ลุงมาทำไมหรอ ?
ลุง ตอบ ลุงได้ ยินเสียง สวดมนต์ดังไปไกลมาก ลุงเลย ลอย มาตามเสียง สวดมนต์ จนมาถึงต้นเสียงที่ ท่านเป็นผู้สวดนี้เอง ลุง ทรมาณมาก ตายมา 84 ปีแล้ว ต้องคอยมาขอ ส่วนบุญแบบ นี้ตลอด ผีตน อื่นๆๆ ไม่ได้คุยอะไร เขาได้แต่ อนุโมทนา ตอนนั้นผม สงสารมาก เห็น ทุกข์ เวทนาแบบนี้ ก็เลย คิดว่า จะเอาหนังสือสวดมนต์ธรรมะ แจกเขาหน่อย เพียงแค่คิด หนังสือธรรมะ ก็ มาอยู่ในมือผม ทันที ผมก็ แจก เขาเหล่านั้น บอกให้เอาไปบูขา เอาไป สวด พวกเขาดีใจกันใหญ่มากๆๆ หนังสือธรรมะที่แจก ก็ มีแสง ออกมามากเหลือเกิน พวกเขา ขอบคุณ ผมก็ถามอีกว่า ทำไมถึง ไปนั้งด้านนอก เฉลียงผม ทำไม ไม่เข้ามา ในห้องรับแขก ในบ้านผม เขาบอก เขาเข้าไม่ได้ มีเจ้าที่ กันไม่ให้เข้าอยู่ เขาเลยต้องมา รอ ที่เฉลียงด้านนอก ผมก็เงียบๆๆไป

เรื่องมันก็มีแค่นี้นะครับ นี้เป็นแค่ประสบการณ์ เล็กๆๆน้อยๆๆที่มาเล่าให้ฟัง
ที่ผมไม่บอกชื่อ คถา เพราะ ถ้าบางท่าน สวด ประจำ ถ้าเกิด กลัวผี เขาอาจจะไม่กล้า สวดอีกเลย

512
คุณมีจิตสัมผัส-ความผูกพัน-สื่อพลังเทพ หรือไม่

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

513
บ้านพี่อยู่ตรงไหนคับเดี๋ยวผมไปเอาถึงที่เลยคับขอให้พี่ตอบกระทู้ผมด้วยคับเร็วๆนะพี่ผมอยากดูคับ ป.ล.บอกซอยและบ้านเลขที่ด้วยคับ :o ;D

514
รู้เปล่าทำไมเสือถึงตีนโตเพระว่ามันไม่ใส่รองเท้า (พื้นมันร้อนตีนมันเลยโต)

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

515
อนุโมทนา

516
เห็นด้วยตามน้าจัน

517
น่าจะเป็นรุ่นที่สร้างซุ้มประตูของวัดบางพระ

518
ธรรมะ / ธรรมของพระพุทธเจ้า
« เมื่อ: 05 เม.ย. 2550, 01:07:30 »
บทนี้เป็นบทต่อจาก ศาสดาของ กามนิต ซึ่งกล่าวถึงการสนทนาระหว่าง พระพุทธเจ้า กับ กามนิต ที่ กามนิต ระบุว่า ต้องการเป็น ศิษย์ ของ พระพุทธเจ้า โดยไม่รู้ว่า ผู้ที่ตนสนทนาอยู่ด้วยนั้นคือ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น และ กามนิต ได้แสดงความยินดีที่จะได้สดับ พระธรรม ที่ กามนิตเชื่อว่า คู่สนทนา ได้ฟัง มาจาก พระพุทธเจ้า จริง ๆ
                   ต่อไปนี้เป็นพระดำรัส ของ พระพุทธเจ้า ที่คัดลอกทั้งหมดจาก บทที่ สิบเก้า ของ หนังสืออ่านนอกเวลาวิชาภาษาไทย กามนิต ( ภาคพื้นดิน ) ของ เสฐียรโกเศศ - นาคะประทีป


--------------------------------------------------------------------------------

                   และพระพุทธองค์ก็ตรัสว่า ?ดูก่อน ภารดา พระผู้มีพระภาคสัมมาสัมพุทธนั้น ได้ยัง จักร แห่งธรรมอันประเสริฐให้หมุนใกล้ อิสิปัตนะมฤคทายวัน จังหวัดพาราณสี ก็แหละ จักรแห่งธรรม นั้น อันสมณะหรือพราหมณ์ เทวดาหรือมาร พรหมหรือผู้ใดผู้หนึ่ง โลกนี้ ไม่พึงขัดขวางไว้มิให้หมุน ได้?

                   ?พระธรรมที่ทรงประกาศ คือ ธรรมอันให้เห็นแจ้งความจริงอย่างยิ่ง สี่ ประการ สี่ ประการนั้นคืออะไร ? ได้แก่
                     ความจริงอย่างยิ่งคือ ทุกข์
                     ความจริงอย่างยิ่งคือ เหตุของทุกข์
                     ความจริงอย่างยิ่งคือ การดับทุกข์ทั้งสิ้น และ
                     ความจริงอย่างยิ่งคือ ทางที่ไปถึงความดับทุกข์ทั้งสิ้น?

                   ?ดูก่อนภารดา ความจริงอย่างยิ่งคือ ทุกข์ นั้น อย่างไร ? ได้แก่
                     ความเกิดมานี้เป็นทุกข์
                     ความมีชีวิตล่วงไป ๆ เป็นทุกข์
                     ความเจ็บปวดเป็นทุกข์
                     ความตายเป็นทุกข์
                     ความอาลัย
                     ความคร่ำครวญ
                     ความทนลำบาก
                     ความเสียใจและความคับใจล้วนเป็นทุกข์
                     ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์
                     ความประจวบกับสิ่งที่ไม่รักเป็นทุกข์
                     ความที่ไม่ได้สมประสงค์เป็นทุกข์
                รวมความ บรรดาลักษณะต่าง ๆ เพื่อความยึดถือผูกพันย่อมนำทุกข์มาให้ทั้งนั้น
                ดูก่อนภารดา นี่แหละ ความจริงอย่างยิ่ง คือ ทุกข์?
                   ?ก็แหละ ความจริงอย่างยิ่งคือ เหตุของทุกข์ นั้น อย่างไร ? ได้แก่
                ความกระหายซึ่งทำให้เกิดมีสิ่งต่าง ๆ อันความเพลิดเพลินใจ และความร่านเกิดตามไปด้วยเพลิดเพลินนักในอารมณ์นั้น คือ
                     กระหายอยากให้มีไว้บ้าง
                     กระหายอยากให้คงอยู่บ้าง
                     กระหายอยากให้พ้นไปบ้าง
                     ดูก่อนภารดา นี้แหละความจริงอย่างยิ่ง คือ เหตุของทุกข์?

                   ?ก็แหละ ความจริงอย่างยิ่ง คือ การดับทุกข์ทั้งสิ้น นั้น อย่างไร ? ได้แก่
                     ความดับสนิทแห่ง ความกระหาย นี้เอง มิใช่อื่น
                     ความเสียสละได้ ความปลดเสียได้ ความปล่อยเสียได้ซึ่ง ความกระหาย นั้นแหละ และ
                     การที่ความกระหายนั้นไม่ติดตัวพัวพันอยู่
                     ดูก่อนภารดา นี้แหละ ความจริงอย่างยิ่ง คือ การดับทุกข์ทั้งสิ้น?

                   ?ก็แหละ ความจริงอย่างยิ่ง คือ ทางไปถึงความดับทุกข์ทั้งสิ้น นั้น อย่างไร ? ได้แก่
                     ทางอันประเสริฐมี องค์แปด คือ
                     ความเห็นชอบ
                     ความดำริชอบ
                     วาจาชอบ
                     การงานชอบ
                     เลี้ยงชีพชอบ
                     ความเพียรชอบ
                     ระลึกชอบ
                     ตั้งใจชอบ
                     ดูก่อนภารดา นี้แหละ ความจริงอย่างยิ่ง คือ ทางไปถึงความดับทุกข์ทั้งสิ้น?

                   เมื่อพระศาสดา มีพระพุทธบรรหาร ด้วยอริยสัจเป็นเบื้องต้น ปานว่า ประดิษฐาน หลักศิลา ขึ้น สี่มุม ด้วยประการดั่งนี้แล้ว ก็ทรงยกพระธรรมทั้งมวลขึ้นตั้งประกอบ โดยอุบายให้เป็นดั่งเรือนยอดสำหรับเป็นที่อาศัยแห่งดวงจิตผู้สาวก ทรงจำแนกแยกอรรถออกเป็น ตอนเนื้อความ แล้วทรงชี้แจง กำกับกันไป เสมือนดั่งบุคคลตัดแท่งศิลาออกเป็นชิ้น ๆ แล้ว และขัดเกลาฉะนั้น ทรงเชื่อมตรงเนื้อความต่อเนื้อความ เสมือนบุคคลได้ลำดับซ้อนแท่งศิลาเหล่านั้น ผจงจัดดุจเป็นรากให้รับกันเองแน่นหนา มีสัมพันธ์เนื่องถึงกันตลอดเรียบร้อย ทรงนำหลักความเห็นแจ้งว่าสิ่งทั้งปวง ย่อมแปรปรวนเข้าประกอบกับหลัก ความเห็นแจ้งว่า สิ่งทั้งปวงเป็นทุกข์ แล้วเชื่อมหลักทั้งสองนี้เป็นดั่ง ซุ้มทวาร ด้วยเครื่องประสาน คือ มนสิการ อันแน่นแฟ้น ที่ว่าสภาวธรรมทั้งปวงล้วนเป็น อนัตตา ? เลือกเอาไม่ได้ ทรงนำสาวกเข้าสู่ทวารอันมั่นคงนี้ คราวละขั้นเป็นลำดับไป แล้วย้อนลงย้อนขึ้นหลายครั้งหลายครา โดยขั้นบันไดอันสร้างไว้มั่นคงแล้ว คือ ปฏิจจสมุปบาทหลักธรรม อันมีเหตุผลอาศัยกันเองเกิดขึ้นเป็นชั้น ๆ สืบเนื่องดั่งลูกโซ่ซึ่งมั่นคงเต็มที่อยู่ทั่วไป

                   อันว่า นายช่างผู้เชี่ยวชาญก่อสร้างปราสาทมโหฬาร ย่อมเพิ่ม รูปสิลาจำหลัก ไว้ในที่สมควร ตามทำนอง มิใช่จะใช้เป็นเครื่องประดับเท่านั้น แต่ยังใช้ประโยชน์รองรับหรือค้ำจุนที่บางแห่งนั้นไว้ด้วยข้อความนี้ อุปมาฉันใด พระศาสดาในบางคราวย่อมทรงชักเอาเรื่องเปรียบเทียบ เป็นภาษิต ที่น่าฟังและสมด้วยกาลสมัย ขึ้นแสดง ก็อุปไมยฉันเดียวกัน เพราะทรงเห็นว่า เทศนาวิธี ที่ชักอุทาหรณ์ ขึ้นสาธก เปรียบเทียบ ย่อมกระทำให้ พระธรรม อันประณีตลึกซึ้งที่ทรงสำแดงหลายข้อ ให้แจ่มแจ้งขึ้นได้แก่บาง เวไนยชน
                   ในท้ายแห่งเทศนา พระองค์ทรงประมวล พระธรรม บรรยายทั้งหมดในคราวเดียวกัน เสมือนด้วย เรือน อันตะล่อมขึ้นด้วยยอดเด่น เห็นเป็นสง่างามรุ่งเรืองได้แต่ไกลด้วยพระวาจาว่า ดั่งนี้ ?ดูก่อนอาคันตุกะผู้แสวงบุณย์ ความเกาะเกี่ยวใคร่กระหายต่อความเกิด ย่อมเป็นเหตุให้ถึงความเกิด หากตัดความใคร่กระหายเช่นนั้นเสียได้ขาด ท่านก็ย่อมไม่เกิดในภพใด ๆ อีก?

                   ?อันภิกษุ ผู้พ้นจากการเกาะเกี่ยวยึดถือพึงใคร่ในอารมณ์ใด ๆ แล้ว ย่อมบังเกิดญาณความรู้แจ้งขึ้นภายในจิตอันสงบแจ่มใส ปราศจาก อวิชชา ความมืดมัวว่า วิมุตติ ความหลุดพ้นนั้นบัดนี้เป็นผลประจักษ์แล้ว นี้คือ ความเกิดเป็นครั้งที่สุด สิ้นความเกิดใหม่ในภพโน้นแล้ว?

                   ?ภิกษุผู้บรรลุธรรมปานนี้ ย่อมได้รับตอบแทนคือ ธรรม อันล้ำเลิศนั้นคือ อะไร ? ได้แก่ ญาณ อันรู้ว่า ทุกข์ทั้งปวง ดับหมดแล้ว ผู้ใดได้รับรสพระธรรมนี้ ก็ย่อมพบ ความหลุดพ้น อันเป็นผลเที่ยงไม่แปรผัน เพราะสิ่งใดไร้สาระเป็นอยู่ชั่วขณะ สิ่งนั้นไม่ใช่ของจริง และเป็นที่สุดแห่งสิ่งมายาทั้งปวง?

                   ?ผู้ใดจำเดิมมาแต่ต้นทีเดียว ตกอยู่ในความเกิด ในความสืบชีวิต เปลี่ยน ๆ ไปในความตาย และบัดนี้ได้กำหนดรู้ไว้ดีแล้วซึ่งลักษณะแห่งสภาพอันเป็นพิษนี้ ผู้นั้นย่อมชนะตนเองแล้วถึงซึ่งความพ้นภัยในความเกิด ความแก่ และความตาย และเขาซึ่งเคยตกอยู่ในโรคาดูร ในมลทินกิเลสในบาป ผู้นั้น ณ บัดนี้ ได้ความรับรองแน่นอนแล้วว่า ไม่มีพิการแปรผัน อันเป็นผลสะอาดหมดจดและเป็นบุณย์-?

                   ?เราพ้นแล้ว ความหลุดพ้นได้ประจักษ์แล้ว ชาติหยุดเพียงนี้แล้ว กรณียะของเราสำเร็จแล้ว โลกนี้หยุดอยู่แก่เราไม่สืบต่อไปอีกแล้ว?

                   ?ดูก่อน อาคันตุกะผู้แสวงบุณย์ นรชน มีญาณทรรศนะเช่นนี้ ชื่อว่า ผู้สำเร็จแล้ว เพราะเขาเสร็จสิ้นธุระและถึงที่สุดบรรดาความทุกข์ยากทั้งปวง?

                   ?ดูก่อน อาคันตุกะผู้แสวงบุณย์ นรชน มีญาณทรรศนะเช่นนี้ ชื่อว่า ผู้ได้ขจัดแล้ว เพราะเขาได้ขจัดแล้วซึ่ง อุปทาน ( ความออกรับ ) ? ว่า ? ตัวเรา? และ ?ของเรา?

                   ?ดูก่อน อาคันตุกะผู้แสวงบุณย์ นรชน ผู้มีญาณทรรศนะเช่นนี้ ชื่อว่า ผู้ถอนแล้ว เพราะเขาได้ถอนแล้วซึ่งต้นไม้ คือ ความมีความเป็นตลอดกระทั่งราก มิให้เหลือเชื้อเกิดขึ้นได้อีก?

                   ?บุคคลมีลักษณะเช่นนี้ ตราบเท่าที่ยังมีร่างอยู่ เทวดาและมนุษย์คงเห็นได้ แต่เมื่อร่างสลายเพราะความตายแล้ว เทวดาและมนุษย์มิได้เห็นต่อไป แม้แต่ธรรมดาผู้เห็นได้ตลอด ก็ไม่เห็นเขาคนนั้นอีก ผู้นั้นได้ทำให้ธรรมดาถึงความบอดแล้ว เขาพ้นจากมารแล้ว ได้ข้าม ห้วงมหรรณพ ที่ต้องแหวกว่ายวนเกิดเวียนตาย ถึงเกาะอันเป็นแหล่งเดียวที่ผุดพ้นเหนือ ความเกิด ความตาย กล่าวคือ พระอมฤตมหานิรพาน?
 

                   จากผู้เขียน
                    บทนี้ เป็น พระธรรม ที่ยิ่งใหญ่ ของ องค์สมเด็จพระพุทธเจ้า คือ อริยสัจ สี่ ที่จะนำ สาธุชน ให้ถึง นิพพาน ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้ประพฤติ ปฏิบัติ ที่เข้าใจในพระธรรมสำคัญนี้เอง

 

519
ธรรมะ / ธรรม 3 ประการ
« เมื่อ: 05 เม.ย. 2550, 01:03:44 »
 ธรรม 3 ประการ

ปัญหา ธรรม 3 ประการ เป็นไปเพื่อเบียดเบียน ไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียน ?

พุทธดำรัสตอบ "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๓ ประการนี้ เป็นไปทั้งเพื่อเบียดเบียนตนเอง
เป็นไปทั้งเพื่อเบียดเบียนผู้อื่น เป็นไปทั้งเพื่อเบียดเบียนตนและคนอื่นทั้งสองฝ่าย ธรรม
๓ ประการเป็นไฉน คือ กายทุจริต ๑ วจีทุจริต ๑ มโนทุจริต ๑ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๓ ประการนี้แล เป็นไปทั้งเพื่อเบียดเบียนตนเอง เป็นไปทั้ง
เพื่อเบียดเบียนผู้อื่น เป็นไปทั้งเพื่อเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่าย ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๓ ประการนี้ ไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนเอง ไม่เป็นไป
เพื่อเบียดเบียนผู้อื่น ไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนและคนอื่นทั้งสองฝ่ายธรรม ๓ ประการ
เป็นไฉน คือ กายสุจริต ๑ วจีสุจริต ๑ มโนสุจริต ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๓ ประการนี้แล ไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนเอง ไม่เป็น
ไปเพื่อเบียดเบียนผู้อื่น ไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนและคนอื่นทั้งสองฝ่าย ฯ"

520
บทความ บทกวี / ตอบ: ยอดตำรายาไทย
« เมื่อ: 05 เม.ย. 2550, 12:57:12 »
ยอดยาแก้ปวดเมื่อย

เหง้าขิงแห้ง หนัก 2 บาท
เทียนดำ หนัก 2 บาท
หัวว่านน้ำ หนัก 2 บาท
โกฐพุงปลา หนัก 2 บาท
ใบกระวาน หนัก 2 บาท
ลูกกระวาน หนัก 2 บาท
เถาว์สะค้าน หนัก 2 บาท
เกสรบัวหลวงขาว หนัก 2 บาท
เกสรบัวหลวงแดง หนัก 2 บาท
หญ้าตีนนก หนัก 2 บาท
เกลือสินเธาว์ หนัก 2 บาท
มหาหิงค์ หนัก 2 บาท
แก่นขี้เหล็ก หนัก 2 บาท
พญามือเหล็ก หนัก 2 บาท
เถาวัลย์เปลียง หนัก 4 บาท
บดเป็นผง ละลายกับสุรา หรือน้ำมะนาว น้ำมะกรูด โรคปวดเมื่อย เมื่อยหลัง

เมื่อยเอว ปวดตามข้อ หายสิ้นแล

ยอดยาแก้อายุวัฒนะ (ชลอความแก่)

ทิ้งถ่อนตะโกนา เปลือกหาเตรียมไว้

บอระเพ็ด แห้วหมู หาดูให้ได้

เม็ดข่อย พริกไทย 6 สิ่งเสมอกัน

ตำเป็นผงแล้ว น้ำผึ้งละลายฉัน

วันหนึ่งพึงปั้น เท่าเม็ดพุทรา

ยานี้เป็นยาโบราณ เคยมีคนกินแล้วอายุยืนถึง 120 ปี

ไม่เจ็บไม่ป่วย ขอให้ทำกินเถิดท่านเอย

ยอดยารักษาคนถูกงูกัด

ให้นำใบเสลดพังพอนตัวผู้และตัวเมีย มาอย่างละ 1 กำมือ ตำให้ละเอียด แล้วผสมกับเหล้าขาว ให้คนที่โดนงูกัดกลืนน้ำ แล้วนำกากมาพอกบริเวณที่โดนงูกัด แล้วเอาผ้ามาพันไว้ ดูดพิษงูทุกชนิดให้หายสิ้นแล


521
เรียกอาคมเข้าร่าง

เอหิคาถังปิยังกาโย ทิศาปาโมกขังจาริยัง เอหิพุทธานุภาเวนะ เอหิธัมมรานุภาเวนะ เอหิสังฆานุภาเวนะ กูจะสูบพระคาถาทั้งปวงขึ้นไว้ในคอ กูจะยอพระคาถาทั้งปวงขึ้นไว้เหนืออก กูจะยกพระคาถาทั้งปวงขึ้นไว้เหนือเกศ พระครูกู เธอจึงให้กูเป็นเอกกว่าคนทั้งหลาย เอหิคลาย ๆ ปิยังมะมะ

พุทธังสรหิโสมาเรสะระ เอหิมาเรมาระ อาคัจฉายะ อาคัจฉาหิ ธัมมัง สรหิโสมาเรสะระ เอหิมาเรมาระ อาคัจฉายะ อาคัจฉาหิ

สังฆังสรหิโสมาเรสะระ เอหิมาเรมาระ อาคัจฉะยะ อาคัจฉาหิ

กะ ขะ คะ ฆะ งะ จะ ฉะ ชะ ฌะ ญะ

ฏะ ฐะ ฑะ ฒะ ณะ ตะ ถะ ธะ ทะ นะ

ปะ ผะ พะ ภะ มะ ยะ ละ ระ อะ สะ หะ ฬะ อัง

ทรง อะ ทรงอา ทรงอิ ทรงอี ทรงอุ ทรงอู ทรงเอ ทรงโอ ทรงเอา ทรงอัง ทรงอะ ทรงนะโมพุทธายะ ทรงอักขระ ๔๑ ตัว โอกาเสติฎฐาหิ ติฏฐติ

ตั้งธาตุ

เอหิ ปฐวี พรหมา เอหิอาโปอินทรา

เอหิ เตโช นารายะ เอหิวาโย อิสรา

นะอิเพชชคง อะระหัง สุคะโต ภควา

โมติ พุทธะสัง อะระหัง สุคะโต ภควา

พุทธปิอิสวาสุ อะระหัง สุคะโต ภะคะวา

ธาโส มะอะอุ อะระหัง สุคะโต ภะคะวา

ยะภะอุอะมะ อะระหัง สุคะโต ภะคะวา

522
บทความ บทกวี / ตอบ: ยอดตำรายาไทย
« เมื่อ: 05 เม.ย. 2550, 12:50:20 »
ยอดยาบำรุงสมรรถนะทางเพศ

เป็นยาของพระฤาษี 5 พระองค์

พริกไทยทั้ง 5 หนัก 1 บาท
เจตมูลเพลิงทั้ง 5 หนัก 1 บาท
เถาว์สะค้านทั้ง 5 หนัก 1 บาท
ดีปลีเชือกทั้ง 5 หนัก 1 บาท
ชะพลูทั้ง 5 หนัก 1 บาท
แห้วหมู หนัก 1 บาท
ยาทั้ง 6 อย่าง บดให้ละเอียดทำเป็นผง ละลายน้ำผึ้งรวง ปั้นเป็นลูกกลอนเท่า

เม็ดพริกไทย กินวันละ 5 เม็ด ก่อนนอน

กิน 3 วันนั้นได้ จำให้ดี มีราศรีสวยสุด ดุจพระจันทร์

กิน 5 วัน 7 วันนั้นสาวรัก หากสาวกินหนุ่มทักว่าสวยสรร

กิน 3 เดือนดีเลิศ ประเสริฐครัน กินติดกัน 1 ปี ดีด้วยยา

เนื้อหนังเต่งเปล่งปลั่งขึ้นกว่าเก่า อาจยกเสาหินได้ไม่มุสา

แรงมากจริง เกิดกำลังดังกล่าวมา ใครทำยานี้กินสิ้นโรคภัย

แก้ร้อยแปดสารพัดขจัดโรค หมดทุกข์โศกโรคาไม่อาศัย

ให้พระสงฆ์ลงเลขเสกต่อไป สามเดือนในพรรษาเอามากิน

ในอุโบสถจำไว้ไม่ราคิน จึงค่อยกินบำรุงกายให้สมบูรณ์

523
บทความ บทกวี / ตอบ: ยอดตำรายาไทย
« เมื่อ: 05 เม.ย. 2550, 12:48:13 »
ยอดยาแก้โรคริดสีดวงทวาร

ใบมะขามแขก หนัก 20 บาท
ลูกคัดเค้า หนัก 8 บาท
เนื้อในฝักราชพฤกษ์ หนัก 4 บาท
ลูกขี้กาแดง หนัก 3 บาท
ลูกขี้กาขาว หนัก 3 บาท
ใบส้มป่อย หนัก 2 บาท
ตัวยาทั้งหมดนี้ใส่น้ำ 3 ส่วน ต้มเคี่ยวให้เหลือ 1 ส่วน เมื่อเหลือ 1 ส่วนแล้ว

เอายาดำ หนัก 1 บาท เนื้อมะขามเปียก หนัก 6 บาท เกลือสินเธาว์ หนัก 2 บาท ใส่เติมลงไปต้มเดียวกัน แล้วกินก่อนอาหาร ครั้งละครึ่งแก้ว กินติดต่อกัน ประมาณ 3 ? 4 หม้อ โรคริดสีดวงลำไส้ ริดสีดวงทวาร หายสิ้นไปแน่นอนแล


524
บทความ บทกวี / ตอบ: ยอดตำรายาไทย
« เมื่อ: 05 เม.ย. 2550, 12:46:15 »
ยาแก้โรคหัวใจทุกชนิด

เกสรทั้ง 5 หนัก 2 บาท
โกฐทั้ง 5 หนัก 2 บาท
เทียนทั้ง 5 หนัก 2 บาท
รากบัวหลวง หนัก 2 บาท
เมล็ดบัวหลวง หนัก 2 บาท
รากถั่วพลูคั่ว หนัก 2 บาท
แห้วสด หนัก 2 บาท
กระจับสด หนัก 2 บาท
ชะลูด หนัก 2 บาท
ขอนดอก หนัก 2 บาท
โกฐเขมา หนัก 2 บาท
ชะมดเชียง หนัก 2 บาท
หญ้าเกล็ดหอย หนัก 2 บาท
พิมพ์เสนเกล็ด หนัก 2 บาท
หญ้าฝรั่น หนัก 2 บาท
ชะมดเช็ด หนัก 2 บาท
อัมพันทอง หนัก 2 บาท
บดเป็นผงใส่ขวดโหลไว้ ตักมากินครั้งละ 1 ? 2 ช้อนกาแฟ ผสมน้ำสุก หรือน้ำแช่

ดอกไม้หรือน้ำดอกไม้เทศ กินก่อนอาหาร เช้า เย็น และก่อนนอน แก้โรคหัวใจทุกชนิด


525
บทความ บทกวี / ตอบ: ยอดตำรายาไทย
« เมื่อ: 05 เม.ย. 2550, 12:45:14 »
ยอดยาแก้โรคไต

ประคำไก่ทั้ง 5 สิ่งละ 1 บาท
ใบมะกา หนัก 4 บาท
สมอทั้ง 3 สิ่งละ 4 บาท
จันทน์ทั้ง 2 สิ่งละ 4 บาท
แก่นแสมทั้ง 2 สิ่งละ 4 บาท
แก่นขี้เหล็ก หนัก 4 บาท
ข่าต้น หนัก 2 บาท
เถาวัลย์เปลียง หนัก 4 บาท
สมุนแว้ง หนัก 2 บาท
ไพล หนัก 4 บาท
เบญจกูล สิ่งละ 4 บาท
พริกไทย หนัก 1 บาท
แห้วหมู หนัก 3 บาท
มะตูมอ่อน หนัก 1 บาท
โคคลาน หนัก 4 บาท
เกลือสินเธาว์ หนัก 4 บาท
ตัวยาทั้งหมดนี้ต้นกินเช้า ? เย็น ครั้งละ 1 แก้ว โรคไตหายขาดแล


526
บทความ บทกวี / ตอบ: ยอดตำรายาไทย
« เมื่อ: 05 เม.ย. 2550, 12:43:58 »
ยอดยาแก้โรคเบาหวาน

รากกล้วยน้ำหว้า 1 กำมือ
รากหญ้าคา 1 กำมือ
หญ้าใต้ใบ 1 กำมือ
เหง้าสัปรด 1 เหง้า
หญ้าไมยราบ 1 กำมือ
กาฝากมะม่วง 1 กำมือ
หญ้าหนวดแมว 1 กำมือ
ตัวยาทั้งหมดนี้ ให้นำมาต้ม กินต่างน้ำ ไม่นานน้ำตาลในเลือดจนหมดแล หาย

จากโรคเบาหวานมาหลายคนแล้ว

527
เรื่องเล่า....หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ระลึกชาติ 

 เนื้อความ :

คัดจากหนังสือคุณทองทิว  สุวรรณทัต (มีหลายเล่ม)

ผู้เขียนเคยสัมภารณ์ผู้ระสึกชาติได้มาหลายรายและได้นำคำสัมภารณ์นั้นๆมาเขียนหลายเรื่องแล้ว  แต่ไม่มีเรื่องใดดูจะอัศจรรย์ดังเรื่องของผู้ระลึกชาติได้เท่าท่านนี้เลย  ทั้งนี้เพราะท่านเป็นพระเถระ   ที่ใช้ชีวิตสมณเพศทั้งหมดอยู่กับการปฏิบัติ  จนบางครั้งแทบจะเอาชีวิตไปทิ้งกลางป่ากลางดง  และเนื่องจากผลของการปฏิบัติธรรม  จึงทำให้ท่านสามารถระลึกชาติย้อนหลังไปได้อีกหลายสิบชาติ
ท่านผู้นี้คือ  พระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ ฐานสโม  ซึ่งเป็นศิษย์เอกที่เลิศในทางอภิญญาของ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะบูรพาจารย์ของพระเถระทั้งหลายในปัจจุบัน
แต่ก่อนที่จะเล่าสู่กันฟัง  จำเป็นจะต้องเรียนท่านผู้อ่านทั้งหลายให้ทราบเสียก่อนว่า  เรื่องของ หลวงปู่ชอบ ระลึกชาติตอนนี้  ผู้เขียนได้รับอนุญาตจาก คุณสุรีพันธุ์ มณีวัต  ศิษย์ของท่านผู้บันทึกชีวประวัติของหลวงปู่เรียบร้อยแล้ว  จึงขอขอบพระคุณคุณสุรีพันธุ์ มาณ โอกาสนี้
ในเรื่อง บุพเพนิวาสานุสติญาณ  หรือ ญาณระลึกชาติได้นั้น  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลวงปู่จะมีหรือไม่   สมเด็จพระพุทธองคืได้ญาณนี้เมื่อคืนวันตรัสรู้ในเวลาปฐมยามซึ่งเป็นญาณลำบแรกที่ทรงบรรลุ  ทราบทราบระลึกชาติหนหลังได้  ทั้งของพระองค์เองและสัตว์โลกอื่นๆ ตั้งแต่ชาติหนึ่งจนถึงเอนกชาติหาประมาณมิได้....
พระพุทธองค์ไม่แต่จะเคยเป็นเทวดา อินทร์ พรหม มนุษย์ ที่เป็นทั้งท้าวพระยามหากษัตริย์  พระเจ้าจักรพรรดิเท่านั้น  หากท่านเคยเป็นคนยากจนเข็ญใจ  ก็มีอยู่หลายชาติ  ทั้งเคยเป็นสัตว์เดรัจฉาน  แม้การตกนรกหมกไหม้ก็เคยผ่านขุมนรกต่างๆ มาแล้วเช่นกัน  ทำให้พระพุทธองค์ทรงเบื่อหน่ายในชาติกำเนิด  การเวียนว่ายตายเกิดเป็นอย่างยิ่ง  การจุติแปรผัน ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย ของสัตว์โลกไม่มีที่สิ้นสุด
ญาณนี้เองเป็นเบื้องต้น  เป็นบันไดขั้นแรกในคืนวันเพ็ญเดือนหก  เมื่อสองพันห้าร้อยสามสิบพรรษาเศษที่ผ่านมา  และเป็นเหตุให้พระองค์ไปสู่การตรัสรู้  คือ พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในกาลต่อมา
สำหรับญาณการระลึกรู้อดีตชาตินี้  ศิษย์ผู้ใกล้ชิดหลวงปู่ชอบ ฐานสโม  ได้เคยขอโอกาสกราบเรียนถราบหลวงปู่  ซึ่งท่านก็ยอมเล่าให้ฟังบ้างเป็นสังเขป
หลวงปู่บอกว่า  ท่านไม่ได้ระลึกชาติได้มากมายอะไร  ที่สมเด็จพระพุทธองค์ทรงระลึกได้เป็นเอนกชาติหาประมาณมิได้นั้น  เป็นเพราะพระพุทธองค์ทรงมหาสติ มหาปัญญา มหาบารมีอย่างหาผู้ใดเทียบมิได้
สำหรับหลวงปู่นี้  เท่าที่ระลึกชาติได้  ท่านไม่เคยเป็นกษัตริย์มักจะเป็นคนตกทุกข์ได้ยากเสียมากกว่า
เคยเป็นพ่อค้าขายผ้าชาติลาว ออกเดินทางมากับ พ่อเชียงหมุน(อุปัฏฐากคนหนึ่งในชาตินี้)  ข้ามแม่น้ำโขงมาฝั่งไทย มาทานผ้าขาวหนึ่งวาและเงิน 50 สตางค์  บูชาถวายพระธาตุพนมพร้อมทั้งอธิษฐานขอให้ได้บวชได้พ้นทุกข์  ท่านเล่าว่าท่านเคยมาช่วยสร้างพระธาตุพนมด้วยสมัยพระมหากัสสปะเถระเจ้า  พระธาตุพนมนี้สร้างก่อนพระปฐมเจดีย์
ท่านเคยเป็นคนยางอยู่ในป่า  เคยเกิดเป็นทหารพม่ามารบกับไทย แต่ยังไม่ทันฆ่าคนไทย  ก็ตายเสียก่อน  เคยเกิดอยู่เมืองปัน พม่า ชาตินี้ท่านก็ได้กลับไปดูบ้านเกิดในชาติก่อนที่เมืองปันด้วย
เคยเป็นทหารไปหลบภัยที่ถ้ำกระ เชียงใหม่  และได้ตายเพราะอดข้าวที่นั่น
หลวงปู่  เคยเป็นพระภิกษุ รักษาศิลอยู่กับพระอนุรุทธ เคยเป็นสามเณรน้อย  ลูกศิษย์พระมหากัสสปะ
สำหรับการเกิดเป็นสัตว์ นั้น หลวงปู่เล่าว่า  ท่านผ่านพ้นมาอย่างทุกข์ยากแสนเข็ญ  เช่นเคยเกิดเป็นผีเสื้อแล้วถูกค้างคาวไล่จับเอาไปกินที่ถ้ำผาดิน  เคยเกิดเป็นฟาน หรือเก้ง ไปแอบกินมะกอก กินยังไม่ทันอิ่มสมอยาก  ก็ถูกมนุษย์ไล่ยิง  เขายิงที่โคกมนถูกที่ขา  วิ่งหนีกระเซอะกระเซิงไปตายที่บ้านม่วง
เมื่อครั้งเกิดเป็นหมีไปกินแตงช้าง (แตงร้าน) ของชาวบ้านถูกเจ้าของเขาเอามีดไล่ฟันถูกหัวถูกหู  เคราะห์ดีไม่ถึงตาย  แต่ก็บาดเจ็บมาก  ต้องทนทุกข์ไปจนกระทั่งหายไปเอง
เคยเกิดเป็นไก่  มีความรักผูกพันรักชอบนางแม่ไก่สาว  จึงอธิษฐานให้ได้พบกันอีก  ทำให้กลับมาเกิดเป็นไก่ซ้ำถึง 7 ชาติ
เคยเกิดเป็นปลา  ซึ่งอยู่ในสระ  (ปัจจุบันอยู่ที่สวนหลังบ้านของ พล.อ.อ.พโยม เย็นสุดใจ)
ท่านเล่าถึงชีวิตของการเป็นสัตว์ว่าแสนลำเค็ญ  อดอยากปากแห้ง  มีความรู้สึกร้อน หนาว หิวกระหายเหมือนมนุษย์  แต่ก็บอกไม่ได้  พูดไม่ได้  ต้องเที่ยวซอกซอนไปอยู่ตามป่า  ตามเขาตามประสาสัตว์  ฝนตกก็เปียกหนาวสั่น  แดดออกก็ร้อนไหม้เกรียม อาศัยถ้ำ อาศัยร่มไม้ไปตามเพลง  บางทีมาอยู่ใกล้หมู่บ้านหิวกระหาย  เห้นพืชผลที่ควรกินเป็นอาหารได้  พอจะจับใส่ปากใส่ท้องได้บ้าง ก็กลับกาลายเป็นของที่เขาหวงห้าม  มีเจ้าของต้องถูกเขาขับไสไล่ทำร้าย
ชีวิตที่เวียนว่ายวนอยู่ในกองทุกข์ตามอำนาจกรรมที่กระทำมานี้  แต่บางทีภพชาตินั้นก็ยืดยาวต่อไปด้วยอำนาจกิเลสตัณหายกตัวอย่างเช่น  ตอนท่านเกิดเป็นไก่  ใจนึกปฏิพันธ์รักใคร่นางแม่ไก่  ชื่นชอบภพชาติที่เป็นไก่ของตน  ปรารถนาขอให้พบนางไก่อีก  ก็ต้องวนเวียนกลับมาเกิดเป็นไก่อยู่เช่นนั้น
หลวงปู่เล่าว่า  แม้ท่านพระอาจารย์มั่นเอง  เมื่อท่านระลึกชาติได้  เห็นภพชาติที่เวียนวนกลับไปเกิดเป็นสุนัขถึงหมื่นชาติ  ท่านยังเกิดความสลดสังเวช  ถึงกับขออธิษฐานเลิกปรารถนาพุทธภูมิ  เพราะการบำเพัญบารมีเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระอวค์หนึ่งในอนาคตนั้น  ท่านจะต้องบำเพ็ญต่อไปอีกเป็นแสนกัปแสนกัลป์ฯ  เคราะห์ดีที่ท่านเกิดสลดสังเวชคิดได้  ท่านพระอาจารย์มั่นจึงสามารถดำเนินความเพียรเร่งรัดตัดตรงเข้าสู่พระนิพพานเป็นผลสำเร็จได้
วันหนึ่งระหว่างหลวงปู่กำลังวิเวกอยู่ที่เชียงใหม่  ตกกลางคืนท่านก็เข้าที่ภาวนาตามปกติ  ปรากฏภาพนิมิต  มีแม่ไก่ตัวหนึ่งมาหาท่าน กิริยาอาการนั้นนอบน้อมอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่งมาถึงก็ใช้ปีกจับต้องกายท่าน  จูบท่าน  ท่านประหลาดใจที่สัตว์ ตัวเมียแสดงกิริยาอันไม่สมควรต่อพระเช่นนั้น  จึงได้ดุว่าเอา  แต่แม่ไก่ตัวนั้นก็อ้างว่า เคยเกิดเป็นภรรยาของท่านมาถึง 7 ชาติแล้ว  ความผูกพันยังมีอยู่ไม่อาจจะลืมเลือนได้  แม้จะรู้ว่าพระคุณเจ้าเป็นภิกษุสงฆ์ไม่บังควรจะแสดงความอาวรณ์ผูกพันเช่นนี้  ตนมีกรรมต้องมาบังเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ต่ำต้อยน้อยวาสนา  ก็ได้แต่นึกสมเพชตัวเองอยู่มาก  อย่างไรก็ดี  เมื่อพระคุณเจ้าผู้เคยเป็นคู่ชีวิตมาอยู่ในถิ่นที่ใกล้ตัวเช่นนี้  ตนอดใจมิได้จึงมากราบขอส่วนบุญบารมี
ในนิมิตนั้นปรากฏว่าหลวงปู่ได้เอ็ดอึงเอาว่าเราเป็นคนเจ้าเป็นสัตว์  จะมาเคยเป็นสามีภรรยากันได้อย่างไร  เราไม่เชื่อเจ้า
แม่ไก่ก็เถียงว่า  ถ้าเช่นนั้นคอยดู  พรุ่งนี้เช้าตอนท่านไปบิณฑบาต ข้าน้อยจะไปจิกจีวรท่านให้ดู
ตอนเช้าหลวงปู่ครองผ้าออกไปบิณฑบาตตามปกติท่านเล่าว่า  ท่านไม่ได้นึกอะไรมาก  ด้วยคิดว่าเป็นนิมิตเหลวไหลไร้สาระ  แต่เมื่อท่านเดินบิณฑบาตเข้าไปในหมู่บ้านยางที่ชื่อบ้านป่าพัวะ  อำเภอจอมทอง  ก็มีแม่ไก่ตัวเมียตัวหนึ่งตรงรี่เข้ามาจิกจีวรท่านข้างหลัง!  หมู่เพื่อนที่ไปด้วยก็ตกใจ  เพราะเป็นสัตว์ตัวเมีย  เกรงท่านจะอาบัติ  จึงช่วยกันไล่  แต่แม่ไก่ตัวนั้นก็ยังพยายามวิ่งเข้ามาอีก
คืนนั้นหลวงปู่เข้าที่พิจารณาซ้ำ  ก็รู้ว่าแม่ไก่ตัวนั้นเคยเกิดเป็นภรรยาของท่านมา 7 ชาติแล้วจริงๆ  เป็นที่น่าเวทนาสงสารอย่างยิ่งที่นางกระทำไม่ดีไว้  ไม่มีศิล จึงต้องตกไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเช่นนี้
ท่านผู้อ่านทั้งหลายได้อ่านบทความนี้แล้ว  พึงระวังเทอญฯ
 
 

528
ขยายความคุณพุทธนุภาพ EVEREST  คือภูเขาที่สูงที่สุดในโลก

 เผือหลายท่านอาจไม่เข้าใจ

529
บทความ บทกวี / ตอบ: ยอดตำรายาไทย
« เมื่อ: 05 เม.ย. 2550, 12:36:51 »
ยาแก้อัมพฤก อัมพาต

ขี้เหล็กทั้ง 5 หนัก 2 บาท
มะคำไก่ ทั้ง 5 หนัก 2 บาท
แก่นลั่นทม หนัก 2 บาท
ขมิ้นเครือ หนัก 2 บาท
เถาวัลย์เปลียงแดง หนัก 2 บาท
สมอทะเล หนัก 2 บาท
แสมสาน หนัก 2 บาท
เปล้าน้อย หนัก 2 บาท
เปล้าใหญ่ หนัก 2 บาท
หางปลาไหลเผือก หนัก 2 บาท
ดีงูต้น หนัก 2 บาท
เหมือดคน หนัก 2 บาท
ขันทองพยาบาท หนัก 2 บาท
ฝิ่นต้น หนัก 2 บาท
ข่าต้น หนัก 2 บาท
ขมิ้นอ้อย หนัก 2 บาท
กระทือ หนัก 2 บาท
หัวไพล หนัก 2 บาท
หัวกระชาย หนัก 2 บาท
เปราะหอม หนัก 2 บาท
เถาวัลย์เหล็ก หนัก 2 บาท
สมอเทศ หนัก 2 บาท
พญามือเหล็ก หนัก 2 บาท
สมอไทย หนัก 2 บาท
กำลังวัวเถลิง หนัก 2 บาท
กำแพงเจ็ดชั้น หนัก 2 บาท
ใบมะกา หนัก 2 บาท
หัวดองดึง หนัก 2 บาท
ลูกจันทน์ หนัก 2 บาท
ดอกจันทน์ หนัก 2 บาท
ลูกกระวาน หนัก 2 บาท
กานพลู หนัก 2 บาท
สารส้ม หนัก 2 บาท
พริกไทย หนัก 2 บาท
ชะพลู หนัก 2 บาท
ดีปลี หนัก 2 บาท
รากเจตมูลเพลิง หนัก 2 บาท
ดอกสะค้าน หนัก 2 บาท
ยาดำ หนัก 1 บาท
เกลือสินเธาว์ หนัก 2 บาท
เกลือทะเล หนัก 2 บาท
ฝักราชพฤกษ์ 3 ฝัก
เทียนทั้ง 5 หนักอย่างละ 2 บาท
โกฐทั้ง 9 หนักอย่างละ 2 บาท
 

ยาทั้งหมดน้ำไปต้มกินน้ำ ครั้งละครึ่งแก้ว หรือบดเป็นผง ละลายน้ำผึ้งลวง กิน

ครั้งละ 2 เม็ด ก่อนอาหารเช้าเย็น โรคอัมพฤก อัมพาต หายมามากต่อมากแล้ว


530
บทความ บทกวี / ตอบ: ยอดตำรายาไทย
« เมื่อ: 05 เม.ย. 2550, 12:33:07 »
ยาแก้โรคลมทุกชนิดรักษาโรคหัวใจได้ด้วย

กระลำพัก หนัก 1 บาท
จันทร์เทศ หนัก 1 บาท
ขอนดอก หนัก 1 บาท
พิษหนาด หนัก 1 บาท
กฤษณา หนัก 1 บาท
กระวาน หนัก 1 สลึง
กานพลู หนัก 1 สลึง
ชะมดเชียง หนัก 1 สลึง
อำพันทอง หนัก 1 สลึง
ทองคำเปลว หนัก 1 สลึง
รากระย่อม หนัก 1 สลึง
ชะมดเชียง หนัก 1 สลึง
อำพันทอง หนัก 1 สลึง
ทองคำเปลว หนัก 1 สลึง
รากระย่อม หนัก 1 สลึง
โกฐหัวบัว หนัก 2 สลึง
โกฐสอ หนัก 2 สลึง
โกฐเขมา หนัก 2 สลึง
โกฐเชียง หนัก 2 สลึง
โกฐจุฬาลำพา หนัก 2 สลึง
โกฐกระดูก หนัก 2 สลึง
โกฐมะพร้าว หนัก 2 สลึง
โกฐพุงปลา หนัก 2 สลึง
โกฐชฏามังสี หนัก 2 สลึง
พริกหอม หนัก 2 สลึง
พริกทาบ หนัก 2 สลึง
พริกไทยล่อน หนัก 2 สลึง
รากสารภี หนัก 2 สลึง
รากย่านาง หนัก 2 สลึง
ปลาไหลเผือก หนัก 2 สลึง
ต้นน้ำนมราชสีห์ หนัก 2 สลึง
กระถินแดง หนัก 2 สลึง
ลูกจันทน์ หนัก 2 สลึง
ดอกจันทน์ หนัก 2 สลึง
บดเป็นผง ปั้นเป็นลูกกลอน หรือละลายกับน้ำจันทร์แดง ที่ต้มไว้ต่างหาก ครั้งละ

ช้อนกาแฟ รักษาโรคหัวใจ และโรคลมทุกชนิด ดีนักแล

531
บทความ บทกวี / ตอบ: ยอดตำรายาไทย
« เมื่อ: 05 เม.ย. 2550, 12:31:49 »
ยาแก้โลหิตสตรีไม่ปกติ บำรุงโลหิต และทำให้สตรีมีเสน่ห์แรง

ลูกจันทน์ หนัก 1 บาท
ดอกจันทน์ หนัก 1 บาท
กระวาน หนัก 1 บาท
กานพลู หนัก 1 บาท
ชะลูด หนัก 2 บาท
อบเชย หนัก 2 บาท
สักขี หนัก 2 บาท
กฤษณา หนัก 2 บาท
กำลังวัวเถลิง หนัก 2 บาท
ขมิ้นเครือ หนัก 2 บาท
ดอกพิกุล หนัก 2 สลึง
ดอกบุญนาค หนัก 2 บาท
ดอกสารภี หนัก 2 สลึง
เกสรบัวหลวง หนัก 2 สลึง
ดอกคำฝอย หนัก 1 บาท
โกฐทั้ง 5 หนักสิ่งละ 1 บาท
สมอทั้ง 3 หนักสิ่งละ 1 บาท
แก่นแสมทั้ง 2 หนักสิ่งละ 2 บาท
เปล้าทั้ง 2 หนักสิ่งละ 2 บาท
เบญจกูลทั้ง 5 หนักสิ่งละ 1 บาท
ให้นำมาต้มหรือบดเป็นผง ละลายน้ำผึ้ง แก้โรคเกี่ยวกับโลหิตสตรีทุกชนิด แก้ฤดู

เสีย หรือเลือดน้อย และทำให้มีบุตรในกรณีที่ผู้หญิงไม่มีบุตร ขับน้ำคาวปลา ทำให้สตรีสมบูรณ์เปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล เป็นยาที่ดี และเห็นผลเร็ว ดีนักแล


532
บทความ บทกวี / ตอบ: ยอดตำรายาไทย
« เมื่อ: 05 เม.ย. 2550, 12:22:07 »
ยาแก้โรคกระเพาะขนานเอกและวิเศษสุด ชื่อว่า ?มหาวัฑฒโนทัยมหาราช?

ลูกจันทน์ หนัก 1 บาท
ดอกจันทน์ หนัก 1 บาท
กระวาน หนัก 1 บาท
กานพลู หนัก 1 บาท
เทียนดำ หนัก 2 บาท
เทียนขาว หนัก 2 บาท
เทียนแดง หนัก 2 บาท
สัตตบุษย์ หนัก 2 บาท
เทียนเยาวพาณี หนัก 2 บาท
แห้วหมูใหญ่ หนัก 2 บาท
พริกหอม หนัก 2 บาท
โกฐสอ หนัก 2 บาท
โกฐเขมา หนัก 2 บาท
โกฐพัตรา หนัก 2 บาท
โกฐพุงปลา หนัก 2 บาท
บอระเพ็ด หนัก 2 บาท
ใบกัญชา หนัก 2 บาท
ลูกพิลังกาสา หนัก 2 บาท
รากไคร้เครือ หนัก 2 บาท
ขมิ้นอ้อย หนัก 2 บาท
พริกหาง หนัก 2 บาท
หัสคุณทั้งสอง อย่างละ 2 บาท
ดีปลี หนัก 40 บาท
ใบกะเพราแดง หนัก 80 บาท
ใบเปล้าน้อย หนัก 20 บาท
ยามหาวัฑฒโณทัยมหาราชขนานนี้ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงใช้รักษาโรคเกิดแต่ลำไส้ใหญ่ หรือกระเพาะอาหารพิการ ซึ่งมีอาการเมื่อรับประทานอาหารแล้วมีอาการปวดท้อง ปวดลำไส้ ปวดกระเพาะอาหารทุก ๆ ครั้ง ถึงผู้ป่วยเป็นมานานแล้ว 5 ? 10 ปี ก็สามารถรักษาให้หายได้ ยาขนานนี้สามารถสมานลำไส้ รับประทานแล้วโรคกระเพาะอาหารและลำไส้หายมาจนนับไม่ถ้วนแล้ว ดีนักแลขอจงทำกินเถิดท่านเอย

วิธีใช้ บดเป็นผงผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอน เท่าเม็ดพุทรา กินครั้งละ 3 เม็ด วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร


533
บทความ บทกวี / ตอบ: ยอดตำรายาไทย
« เมื่อ: 05 เม.ย. 2550, 12:20:39 »
ยอดยาแก้โรคหอบหืดภูมิแพ้

รากมะแว้งเครือ หนัก 1 บาท
รากมะแว้งต้น หนัก 1 บาท
รากมะเขือขื่น หนัก 1 บาท
ราชพฤกทั้ง 5 หนัก 1 บาท
มะเขือชนิดใดก็ได้ ที่มิใช่มะเขือขื่นทั้ง 5 หนัก 1 บาท
รากหวายขม หนัก 1 บาท
รากไม้รวก หนัก 1 บาท
รากหวายลิง หนัก 1 บาท
เทียนดำ หนัก 1 บาท
นำมาบดเป็นผง แล้วผสมกับน้ำผิง ทำเป็นลูกกลอน ขนาดเม็ดพุทรา กินวันละ

2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า เย็น ผู้ที่เป็นโรคหอบหืดหายไปหลายคนแล้ว


534
บทความ บทกวี / ตอบ: ยอดตำรายาไทย
« เมื่อ: 05 เม.ย. 2550, 12:19:44 »
ยอดยาแก้โรคมะเร็ง


หัวร้อยรู หนัก 50 กรัม
ไม้สักหิน หนัก 50 กรัม
กำแพงเจ็ดชั้น หนัก 50 กรัม
หญ้าหนวดแมว หนัก 50 กรัม
ผีหมอบ หนัก 100 กรัม
ทองพันชั่ง หนัก 200 กรัม
เหงือกปลาหมอ หนัก 200 กรัม
ข้าวเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้ หนัก 200 กรัม
โกฐจุฬา ? โกเชียง หนักอย่างละ 50 กรัม
วิธีต้ม

ใส่ตัวยาในหม้อดิน ต้มให้เดือดนาน 15 นาที แล้วรินน้ำยาเก็บไว้ในหม้อเคลือบ

แล้วเติมน้ำลงไปใหม่ให้ท่วมยา แล้วต้มให้เดือดนาน 15 นาที แล้วรินน้ำยาเก็บรวมไว้ กับของเก่า ใส่น้ำให้ท่วมยาใหม่ ต้มให้นาน 15 นาที แล้วรินน้ำยาเก็บรวมไว้กับของเก่า ส่วนกากก็ให้นำไปเทเสีย ที่ใต้ต้นไม้ อุ่นไว้กินเรื่อย ๆ ก่อนอาหาร 3 เวลา ครั้งละ 1 ถ้วยชามีหู หมดน้ำยาก็ให้ทำใหม่ ต้มกินไม่เกินห้าหม้อ โรคมะเร็งหายแล


535
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: รูปสัก
« เมื่อ: 05 เม.ย. 2550, 12:18:51 »
แปดทิศ เพราะหัวใจมหาอุจ

536
บทความ บทกวี / ยอดตำรายาไทย
« เมื่อ: 05 เม.ย. 2550, 12:17:10 »
ยอดตำรายาไทย


คาถาบูชาปู่ชีวกโกมารภัจ


โอมนะโม ชีวะโก สิรสา อหัง กรุณิโก สัพพะ สัตตานัง โอสะถะ ทิพพะมันตัง

ปะภาโส สุริยาจันทัง โกมาระวัจโต ปะกาเสสิ วันทามิ ปัณฑิโต สุเมทะโส อโรคา สุมะนา โหหิ

บทย่อ

นะโมชีวะโก มาระภัจจัสสะ ปูชายะ



[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

537
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: หนุมาน...
« เมื่อ: 05 เม.ย. 2550, 12:08:06 »
หนุมาณ๔กร.


539
เสือเปงเสือหมอบ ตอนนีราคา60เสือเล็ก  40

540
อนุโมทนา

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

541
ผมเคยเห็นศิษย์หลวงพี่แป๊วมีสาริกาเยียบโลง

542
ช้าง ช้าง น้องเคยเห็นช้างหรือเปล่า

543
สวยทุกอย่างเลยครับ

544
zผมมีเหรียณของหลวงพ่อไสวอยู่ เปงเหรียณเสมา

545
ไม่ทราบว่าเปงรุ่นนี้มิไช่หรือ ผมอ่านจากหนังสือหลวงพ่อเปิ่นเล่มละ50บาทที่กุฏิหลวงพ่อเปิ่นเขาเขียนว่าเปงรุ่นอาเสี่ยเล็ก เรี่ยงเกิดที่ซอยสำนักปู่สวรรค์  เหมือนกัน แถมยังโดนปืนยิงที่ปากอีก ฟันร่วงแทบหมดปาก รอดตายอย่างปฏิหารย์

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

547
พระอาจารย์ติ่ง

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

548
พระอาจารย์ญา 

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

549
 ท้าวกุเวร

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

550
พุทธศาสนา ๒ นิกาย ใหญ่ มหายาน กับ หีนยาน"

          หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วประมาณ ๑๐๐ ปี พระพุทธศาสนาก็เริ่มมีเค้าแตกแยกในด้านความคิดเห็นเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระธรรมวินัย จนมาถึงสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชก็แตกแยกกันออกเป็นนิกายใหญ่ ๆ ๒ นิกาย คือมหายาน กับหีนยาน

          มหายาน เป็นนิกายของภิกษุฝ่ายเหนือของอินเดีย บาทีเรียก "อุตรนิกาย" (นิกายฝ่ายเหนือ) บ้าง "อาจารยวาท" บ้าง ซึ่งมีจุดมุ่งสอนให้ระงับดับกิเลส ทั้งยังได้แก้ไขคำสอนในพระพุทธศาสนา ให้ผันแปรไปตามลำดับ พวกนี้เรียกลัทธิของตนว่า "มหายาน" ซึ่งแปลว่า "ยานใหญ่" อาจพาประชาชนให้ข้ามวัฏสงสาร คือ ความทุกข์จาการเวียนว่ายตายเกิดได้คราวละมาก ๆ นิกายนี้ได้เข้าไปเจริญรุ่งเรื่องอยู่ในประเทศทิเบต จีน มองโกเลีย ญี่ปุ่น เกาหลี และเวียดนาม

          หีนยาน เป็นนิกายของภิกษุฝ่ายใต้ของอินเดีย บางทีเรียก "ทักษิณนิกาย" (นิกายฝ่ายใต้) คือ "เถรวาท" ซี่งมุ่งสอนให้พระสงฆ์ปฏิบัติเพื่อดับกิเลสของตนเองก่อน และห้ามเปลี่ยนแลงแก้ไขพระธรรมวินัยอย่างเด็ดขาด คำว่า "หีนยาน" เป็นคำที่ฝ่ายมหายานตั้งให้ แปลว่า "ยานเล็ก" ส่วนภิกษุฝ่ายใต้เรียกตัวเองว่า "เถรวาท"หมายถึง ผู้ปฏิบัติตามพุทธบัญญัติอย่างเที่ยงตรง นิกายนี้มีผู้นับถือมากในประเทศศรีลังกา พม่า ลาว ไทย และกัมพูชา

          สำหรับพระเจ้าอโศกมหาราชนั้น เป็นกษัตริย์พระองค์ที่ ๓ แห่งราชวงศ์โมริยะ ครองราชสมบัติ ณ พระนครปาฏลีบุตร ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๖๐ เมื่อครองราชย์ได้ ๘ พรรษา ทรงยกทัพไปปราบแคว้นกลิงคะที่เป็นชนชาติเข้มแข็งลงได้ ทำให้อาณาจักรของพระองค์กว้างใหญ่ที่สุดในประวัติชาติอินเดีย พระเจ้าอโศกมหาราชนับเป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดพระองค์หนึ่งของชมพูทวีป

          แต่ในการสงครามครั้งนั้น มีผู้คนล้มตายและประสบภัยพิบัติมากมาย ทำให้พระองค์ทรงสลดพระทัย ครั้นได้ทรงสดับคำสอนในพระพุทธศาสนา ทรงเลื่อมใส ได้ทรงเลิการสงครามหันมาทำนุบำรุงพระศาสนาและความรุ่งเรืองในทางสงบของประเทศ ทรงสร้างมหาวิหาร ๘๔,๐๐๐ แห่งทรงอุปถัมภ์การสังคายนา คือการประชุมตรวจชำระสอบทานและจัดหมวดหมู่คำสั่งสอน ของพระพุทธเจ้าวางลงเป็นแบบแผนอันหนึ่งอันเดียวการสังคายนาครั้งที่ ๓ มีขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๓๔ สิ้นเวลา ๙ เดือน จึงเสร็จ นอกจากนั้นยังอุปถัมภ์การส่งศาสนทูตออกไปเผยแพร่พระพุทธศาสนา ในนานาประเทศพระเจ้าอโศกมหาราชนับเป็นพุทธศาสนูปถัมภกที่สำคัญยิ่ง


551
"พระพุทธเจ้าทรงปรินิพพาน"

          เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน ณ ปัจฉิมยามแห่งราตรีวิสาขปรุณมีเพ็ญเดือน ๖ ขณะมีพระชนมายุ ๘๐ พรรษา กาลนั้น บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายทั้งปวงที่ประชุมอยู่ในอุทยานสาลวันนั้นต่างก็เศร้าโศกร้ำไรรำพันปริเทวนาการ คร่ำครวญถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่น่าสลดใจยิ่งนัก พระอานนท์มหาเถระเจ้าได้แสดงธรรมีกถาปลุกปลอบบรรเทาจิตบริษัทให้เสื่อมสร่างจากความเศร้าโศกตามควรแก่วิสัยและควรแก่เวลา

          ครั้นสว่างแล้ว พระอนุรุทธัมหาเถระเจ้าก็มีเถระบัญชาให้พระอานนท์รีบเข้าไปในเมืองกุสินารา แจ้งข่าวปรินิพพานของพระพุทธเจ้าแก่มัลลกษัตริย์ทั้งหลาย เมื่อมัลลกษัตริย์ได้สดับข่าวปรินิพพานกำสรดโศกด้วยอาลัยในพระบรมศาสดาเป็นกำลัง จึงดำรัสสั่งให้ประกาศข่าวปรินิพพานแก่ชาวเมืองให้ทั่วนครกุสินารา แล้วนำเครื่องสักการบูชานานสุคนธชาติพร้อมด้วยผ้าขาว ๕๐๐ พับ เสด็จไปยังอุทยานสาลวันทำการสัการบูชาพระสรีระพระบรมศาสดาด้วยบุปผามาลัยสุคันธชาติเป็นอเนกประการ

          มวลหมู่มหาชนเป็นอันมากแม้จะอยู่ในที่ไกล เมื่อได้ทราบข่าวปรินิพพานของพระบรมศาสดาต่างก็ถืออนานาสุคนธชาติมาสักการบูชามากมายสุดจะคณาเวลาค้ำก็ตามชวาลาสว่างไสวทั่วทั้งสาลวันประชาชนต่างพากันมาไม่ขาดสายตลอดเวลา ๖ วันไม่มีหยุด พากันรีบรุดมาทำการสักการบูชาด้วยความเลื่อมใสถวายความเคารพอันสูงในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

          ครั้นวันที่ ๗ ได้อัญเชิญพระพุทธสรีระศพขึ้นประดิษฐานบนเตียบมาลาอาสน์ ซึ่งตกแต่งด้วยอาภรณ์อันวิจิตร แล้วเคลื่อนขบวนอัญเชิญไปโดยทางทิศอุดร เข้าไปภายในพระนครกุสารา ประชาชนพากันสโมสรเข้าขบวนแห่ตามพระพุทธสรีระศพสุดประมาณ เสียงดุริยางค์ดนตรีแซ่ประสานกับเสียงมหาชนดังสนั่นลั่นโกลาหลเป็นอัศจรรย์ ทั้งดอกไม้ทิพย์มณฑารพ ดอกไม้อันเป็นของทิพย์ในสรวงสวรรค์ตกโปรยปรายละลิ่วลงจากฟากฟ้า ดาดาษทั่วเมืองกุสินาราร่วงหล่นลงมาสักการบูชาพระบรมศาสดา ขบวนมหาชนอัญเชิญพระพุทธสรีระศพได้ผ่านไปในวิ๔ทางท่ามกลางพระนครกุสินารา ประชาชนทุกถ้วนหน้าพากันสักการบูชาทั่วทุกสถาน ตลอดทางที่พระพุทธสรีระศพแห่ผ่านไปตามลำดับ

          ครั้นเมื่อขบวนอัญเชิญผ่านมาถึงหน้าบ้านของนางมัลลิกา ผู้เป็นภรรยาของท่านพันธุละเสนาบดีซึ่งล่วงลับไปแล้ว นางมัลลิกาได้ขอร้องแสดงความประสงค์จะบูชาด้วยอาภรณ์มหาลดาปสาธน์อันสูงค่ามหาศาล มหาชนผู้อัญเชิญพระพุทธสรีระศพก็วางเตียงมาลาอาสน์ลง นางมัลลิกาถวายอภิวาทเชิญเครื่องมหาลดาปสาธน์มาสวมพระพุทธสรีระศพเป็นเครื่องบูชา ขณะนั้นพระพุทธสรีระศพก็งามโอภาสเป็นที่เจริญตาเจริญใจแล้วมหาชนก็อัญเชิญพระพุทธสรีระศพเคลื่อนจากที่นั้นออกจากประตูเมืองทางทิศบูรพา ไปสู่กุฎพันธเจดีย์

          ครั้นถึงยังจิตกาธานอันสำเร็จด้วยไม้จันทน์หอมงามวิจิตร ก็จัดการห่อพระพุทธสรีระศพด้วยทุกุลพัสตร์ภูษา ๕๐๐ ชั้น แล้วก็อัญเชิญลงประดิษฐานในหีบทองซึ่งประดิษฐบนจิตกาธานทำการสักการบูชาแล้วกษัตริย์มัลลราชทั้ง ๘ องค์ผู้เป็นประธานกษัตริย์ทั้งปวงก็นำเอาเพลิดจุดเพื่อถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระศพพรสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่พระเพลิงก็ไม่ติดตามประสงค์แม้จะพยายามจุดเท่าใดก็ไม่บรรลุผลมัลลกษัตริย์มีความสงสัยจึงได้เรียนถามพระอนุรุทธะมหาเถระเจ้าว่า

          "ข้าแต่ท่านพระอนุรุทธะ ด้วยเหตุใดเพลิงจึงไม่ติดโพลงขึ้น"
          พระอนุรุทธะมหาเถระกล่าวตอบว่า "เทวดาต้องการให้คอยท่านพระมหากัสสะเถระ หากยังมาไม่ถึงตราบใด ไฟจะไม่ติดตราบนั้นขณะนี้พระมหากัสสะเถระกำลังเดินทางมาใกล้จะถึงอยู่แล้ว

          เวลานั้นพระมหากัสสปะเถระเจ้าพาภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ เดินทางจากเมืองปาวามายังเมืองกุสินาราครั้นถึงยังพระจิตกาธานที่ประดิษฐานพระพุทธสรีระศพพระบรมศาสดาแล้ว ก็ทำจีวรเฉวียงบ่า ประคองอัญชลี กระทำประทักษิณเวียนพระจิตกาธานสามรอบแล้ว เข้าสู่ทิศเบื้องพระยุคคลบาท น้อมถวายอภิวาทและตั้งอธิฐานจิต

          ครั้นพระมหากัสสปะเถระเจ้ากับพระสงฆ์บริวาร ๕๐๐ และมหาชนทั้งหลาย กราบนมัสการพระบรมยุคลบาทโดยควรแล้ว ขณะนั้นเสียงโศกาปริเทวนาการของมวลเทพดาและมนุษย์ ซึ่งได้หยุดสร่างสะอื้นแล้วแต่ต้นวัน ก็ได้พลันดังสนั่นขึ้นอีกเสมอด้วยวันเสด็จดับขันธปรินิพพาน

          ขณะนั้น เตโชธาตุก็บันดาลติดพระจิตกาธานขึ้นเองด้วยอานุภาพเทพยดา เพลิงได้ลุกพวยพุ่งโชตนาเผาพระพุทธสรีระศพ พร้อมคู่ผ้า ๕๐๐ ชั้นและเครื่องอาภรณ์มหาลดาปสาธน์ กับหีบทองและจิตกาธานจนหมดสิ้น ยั้งมีสิ่งซึ่งเพลิงมิได้เผาให้ย่อยยับไปด้วยอนุภาพพุทธอธิฐานดังนี้ ผ้าห่อหุ้มพระสรีระชั้นใน ๑ ผืน ผ้าห่อนหุ้มพระพุทธสรีระภายนอก ๑ ผืน ทั้งสองนี้แตกฉานการะจัดกระจาย ส่วนพระเขี้ยวแก้วทั้ง ๔ พระรากขวัญ (ไหปลาร้า) ทั้ง ๒ และพระอุณหิสปัฎ (กระบังหน้า) ๑ พระบรมธาตุทั้ง ๗ นี้ยังปกติดีมิได้แตกกระจัดกระจาย


552
ตั้ง นะโม ๓ จบ


องค์พ่อจตุคาม เหนือฟ้าบาดาล


เหนือกรุงสองทะเล พ่อองค์สถิตหล้า


เจ้ากรุงธรรมโศก รามเทพเกรียงไกร


อยู่คู่ฟ้าไทย อมตะนิรันต์กาล


จตุนาคา รามเทพเทพไทย

บารมีปกเกล้า เหนือฟ้า เหนือดิน สาธุรามา

--------------------------------------------------------------------------------



จตุคามรามะเทวัง พระโพธิสัตตัง ศรีวิชะยัง มหาคุณัง มหิทธิกัง


สุริยะจันทัง มหาคุณัง อะหังปูเชมิ สิทธิลาโภ นิรันตะรัง




--------------------------------------------------------------------------------

- คำอธิษฐาน แบบสารพัดดี -


     ลูกขอนอบน้อมบูชา องค์สุริยัน-จันทรา องค์จันทภานุ องค์ดวงตราสองแผ่นดิน องค์ศรีวิชัยสุวรรณภูมิ องค์พระยาศรีธรรมโศกราช องค์สิบสองนักษัตริย์ องค์พระราหู องค์พ่อจตุคามรามเทพ องค์พระศรีมหาราชพังพะกาฬ องค์พระยาโหรา องค์พญาชิงชัย องค์พญารองเมือง องค์พญาสุขุม องค์เทวดาน้อย ตลอดจนสายขององค์พ่อจตุคามทุกๆพระองค์


     ลูกขอบารมีขององค์พ่อจตุคามรามเทพผู้ศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธานุภาพอันไพศาล ครอบคลุมทั่วทั้งจักรวาล ดลบันดาลได้สมปรารถนาในฉับพลัน ทั้งทรัพสินแก้วแหวนเงินทอง ไหลมาเทมา ไม่ขาดสาย เป็นมหาโชคมหาลาภ ร้อยเท่าล้านเท่าพันทวี มั่งมีศรีสุข หมู่คณะรักใคร่สามัคคี ปรองดองน้องพี่ ขอความสำเร็จในหน้าที่การงาน ลาภ ยศ สรรเสริญ อยู่ด้วยความสุขความเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขขะ พละ ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ วัฒนาถาวรมั่นคง ประสพความสำเร็จในชีวิต อีกทั้งยังมีฤทธิ์ช่วยชีวิตปลอดภัย คลาดแคล้วจากภัยพิบัติ และอันตรายทั้งปวง มีฤทธิ์รักษาให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง มีฤทธานุภาพป้องกันอาถรรพ์และสิ่งอัปมงคลต่างๆไม่ให้มากล้ำกลาย มีฤทธิ์ให้มีชัยชนะต่อเหล่าข้าศึกศัตรูทั้งปวงตลอดกาลนาน อีกทั้งความเจริญในการนอบน้อมต่อองค์พ่อจงดลบันดาลให้ประสบแต่ผลดีแก่ตัวลูกและครอบครัวอันนิรันดร์เทอญ

553
พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ อุบัติในภัททกัปนี้"

คำว่า "กัป" หมายถึง ระยะเวลาที่ยาวนานเหลือเกินที่กำหนดว่าโลกคือสกลจักวาฬ ประลัยครั้งหนึ่ง คือกำหนดอายุของโลก ท่านให้เข้าใจด้วยอุปามาว่าเปรียบเหมือนมีภูเขาศิลาล้วน กว้าง ยาว สูงด้านละ 1 โยชน์ (๔๐๐ เส้นหรือประมาณ ๑๖ กิโลเมตร) ทุก 100 ปี มีคนนำผ้าเนื้อละเอียดอย่างดีมาลูบครั้งหนึ่ง จนกว่าภูเขานั้นจะสึกหรอสิ้นไป กัปหนึ่งยาวกว่านั้น

"กัป" ปัจจุบันนี้เรียกว่า "ภัททกัป" หรือ "ภัทรกัป" แปลว่า กัปเจริญ เพราะในภัททกัปจะมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นถึง ๕ พระองค์ คือ

          ๑. พระกกุสันธะ
          ๒. พระโกนาคมนะ
          ๓. พระกัสสปะ
          ๔. พระโคดม (คือพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน)
          ๕. พระศรีอริยเมตไตรย

ในภัททกัปนี้จักมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในอนาคตอีกหนึ่ง พระองค์คือ "พระศรีอริยเมตไตรย"
บทนมัสการว่า "นโม พุทธาย" แปลตามศัพท์ว่า "นอบน้อมแต่พระพุทธเจ้า"เป็นคำ กลาง ๆ แต่ก็นับถือกันว่าเป็นบทไหว้พระพุทธเจ้า ๕ ประองค์ น่าจะเพราะนับได้ ๕ อักษร และพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์นั้น ก็หมายถึง พระพุทธเจ้าซึ่งได้อุบัติแล้วและจักอุบัติในภัททกัปนี้


554
นะโม     ๓ จบ
     " กินนุสัน ตะละมาโน วราหุ สุริยัน ( จันทัง ) ปมุตจะสิ สังวิคะรุโป อาคัมมภีโต วัตติถะ สีติ สัตตะทาเมภาเล มุทธาชีวันโต นะสุขังละเภ
พุทธบูชา ภิคิโต     มหิโน เจยมุต เจยยะ สุริยัน ติ ( จันทิมา ติ )
     (เที่ยวแรกให้สาธยาย สุริยัน กับ สุริยัน ติ ก่อน และท่องทั้งหมดซ้ำอีก 1 เที่ยว
แต่ให้เปลี่ยนจาก สุริยัน  เป็น  จันทัง และเปลี่ยนสุริยัน ติ เป็น จันทิมา ติ )
     ข้าฯ ขอน้อมถวายสักการะ องค์สุริยัน จันทรา จันทภานุ  พญาศรีธรรมโศกราช   พระราหู ศรีมหาราชพังพระกาฬ พระเทวราชโพธิ์สัตว์จตุคามรามเทพ
            ขอพุทธบารมี เทวบารมี  และมหาบารมีแห่งพระเทวราชโพธิ์สัตว์จตุคามรามเทพ องค์พ่อ จงเมตตาอภิบาลรักษาข้าพเจ้าและ.................ให้อยู่ด้วยความสุขความเจริญด้วยอายุ  วรรณะ  สุขขะ  พละ ปฏิภาณ  ธนสารสมบัติ  วัฒนาถาวรมั่นคง ประสพความสำเร็จในชีวิตและการงาน อุดมด้วยลาภยศสรรเสริญ มั่งมีศรีสุข มีชัยชนะเหนือหมู่มาร ตลอดกาลนานเทอญ
     สาธุ สาธุ สาธุ

555
?จตุคามรามเทพ? เทวดารักษาเมือง
พลตำรวจโทสรรเพชญ  ธรรมาธิกุล  ผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการสืบสวน   อธิบายว่าเทวดารักษาเมืองหรือเทพประจำหลักเมือง หรือเจ้าพ่อหลักเมืองนครศรีธรรมราชคือ ?จตุคามรามเทพ? หรือ ?จันทรภาณุ? ผู้ซึ่ง?ตั้งฟ้าตั้งดิน?สถาปนา?กรุงศรีธรรมโศก? ศูนย์กลางแห่งศรีวิชัย
      ตามคติพุทธศาสนาฝ่ายมหายานสาขาหนึ่งเชื่อว่ามนุษย์ทุกรูปทุกนามต้องเวียนว่ายตายเกิดท่ามกลางกองทุกข์  การจะข้ามวัฏสงสารก็ด้วยยึดถือปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธองค์ หากผู้ใดตั้งปณิธานแน่วแน่ อุทิศตนเพื่อช่วยเหลือขจัดความทุกข์ยากของมนุษย์ มุ่งบำเพ็ญบารมี 6 ประการ คือ ทานบารมี ศีลบารมี ขันติบารมี  วิริยบารมี  ธยานบารมี(ฌานบารมี) และปัญญาบารมี  ครบถ้วนแล้วผู้นั้นจะบรรลุความเป็นมนุษย์โพธิสัตว์ หรือคฤหโพธิสัตว์  หากพากเพียรสร้างบารมีขั้นสูงอีก 4 ประการ คือ อุปายบารมี   ปณิธานบารมี  พลบารมี  และชญานบารมี ผู้นั้นจะสำเร็จเป็นเทวโพธิสัตว์ทรงฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ สามารถบังคับฟ้าดิน สำแดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็นเป็นร่างแปลงธรรมอันจักช่วยเหลือเกื้อกูลมวลมนุษย์ให้พ้นทุกข์และภัยพิบัติ ก่อให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข 
องค์จตุคามรามเทพ ถึงแล้วซึ่งความแกล้วกล้าสามารถ เจนจบสรรพศาสตร์ทั้งปวง บำเพ็ญบารมีถึงพรหมโพธิสัตว์ จึงทรงอานุภาพยิ่งใหญ่ จนได้รับนามาภิไธยราชฐานันดรว่า?จันทรภาณุ? ผู้มีอำนาจดั่งพระอาทิตย์และพระจันทร์ ถืออาญาสิทธิ์รูปตราราหูอมจันทร์ และวัฏจักร 12 นักษัตร เป็นสัญลักษณ์  อันเป็นตราประจำเมืองนครศรีธรรมราชในปัจจุบัน
องค์จตุคามรามเทพ มีบริวารเป็นทหารกล้าสี่คน ได้แก่พญาชิงชัย พญาหลวงเมือง พญาสุขุม และพญาโหรา  เป็นกำลังหลักในการปราบพวกพราหมณ์ที่ปกครองเมืองตามพรลิงค์อยู่ก่อน         เมื่อได้บ้านเมืองแล้วก็ได้สร้างพระบรมธาตุ  สถาปนาเมืองสิบสองนักษัตร  หรือกรุงศรีธรรมโศก   ฝังรากฐานพระพุทธศาสนาอย่างถาวร จนได้รับเทิดพระเกียรติว่า ?พญาศรีธรรมาโศกราช?      ภายหลังท่านเป็นเทวดารักษาเมือง สิงสถิตอยู่ ณ รูปจำหลักที่บานประตูไม้ทั้งสองที่ทางขึ้นลานประทักษิณรอบองค์พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชนั่นเอง


                ส่วนบริวารทั้งสี่ก็เป็นเทวดารักษาเมืองประจำทิศของเมืองเช่นเดียวกัน  เมื่อสร้างหลักเมืองแล้วก็ได้อัญเชิญท่านมาสถิต ณ เสาหลักเมืองอันงดงามที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้      องค์จตุคามรามเทพและบริวารนี่เองที่ได้มาแสดงความอัศจรรย์ให้ปรากฏด้วยการประทับทรงหรือ?ผ่านร่าง?มาบอกกล่าวให้สร้างหลักเมือง แก้อาถรรพณ์ดวงเมืองที่พวกพราหมณ์ได้ฝังไว้ทำให้บ้านเมืองไม่ปกติสุข ผู้คนแตกแยกแก่งแย่งชิงดีกันหาความสงบสุขไม่ได้


          ส่วนเทวดารักษาเมืองโดยรอบศาลหลักเมืองนั้นพลตำรวจโทสรรเพชญ  ธรรมาธิกุล อธิบายไว้เป็นสามระดับหรือสามแนว  ได้แก่ แนวแรก  (ระดับล่าง)เป็นเทวดารักษาทิศคือเทวดารักษาทิศเหนือชื่อท้าวกุเวร   


       เทวดารักษาทิศตะวันออกชื่อท้าวธตรฐ  เทวดารักษาทิศใต้ชื่อท้าววิรุฬหก  เทวดารักษาทิศตะวันตกได้แก่ท้าววิรูปักษ์  แนวที่สอง (ระดับกลาง)เป็นจตุโลกเทพ คือพระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระพรหมเมือง และพระบันดาลเมือง     แนวที่สาม (ระดับสูง) เป็นไปตามคติพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ในจักรวาลของพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน คือพระไวโรจนพุทธเจ้าอยู่ตรงกลาง    พระอักโษภยพุทธเจ้าอยู่ด้านตะวันออก      พระอมิตาภะพุทธเจ้าอยู่ด้านตะวันตก  พระรัตนสมภพพุทธเจ้าอยู่ด้านทิศใต้ และพระอโมฆะสิทธิพุทธเจ้าอยู่ด้านเหนือ

             การสักการะเทวดารักษาเมืองนครศรีธรรมราชแบบครบสูตร ใช้เครื่องบูชาอันประกอบด้วย ดอกไม้ 9 สี (หรือ 9 ชนิด หรือ 9 ดอก)   ธูป 9 ดอก    เทียน 9 เล่ม    หมากพลู 9 คำ   ยาเส้น 1 หยิบมือ   และน้ำจืด  1 แก้ว
(หรือ 1 ขวด)   รำลึกถึงเทวดารักษาเมืองดังที่กล่าวนามข้างต้น  ตั้งจิตอธิษฐานตามใจปรารถนา

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

556
บทความ บทกวี / บุคคลที่ควรบูชา
« เมื่อ: 03 เม.ย. 2550, 11:33:05 »
...............บุคคลที่ควรบูชา คือ บุคคลที่มีคุณงามความดี ควรค่าแก่การระลึกถึง และยึดถือเป็นแบบอย่างในการประพฤติปฏิบัติตาม มีอยู่ด้วยกันจำนวนมาก เช่น พระพุทธเจ้า พระสงฆ์ พ่อ แม่ ฯลฯ อย่างไรก็ดีพระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงบุคคลที่สมควรแก่การสร้างสถูปไว้บูชาไว้เพียง 4 จำพวก ได้แก่

1.พระพุทธเจ้า
เหตุที่พระพุทธเจ้าทรงเป็นถูปารหบุคคลจำพวกหนึ่งนั้น ทรงมีพุทธาธิบายว่า เมื่อมหาชนยังจิตให้เลื่อมใสว่า นี่เป็นสถูปของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น พวกเขายังจิตให้เลื่อมใสในสถูปนั้นแล้ว เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ 
2.พระปัจเจกพุทธเจ้า
เหตุที่พระปัจเจกพุทธเจ้าทรงเป็นถูปารหบุคคลจำพวกหนึ่งนั้น ทรงมีพุทธาธิบายว่า เมื่อมหาชนยังจิตให้เลื่อมใสว่า นี่เป็นสถูปของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้น พวกเขายังจิตให้เลื่อมใสในสถูปนั้นแล้ว เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ 
3.พระอรหันต์ (ในพระสูตรกล่าวเป็น "พระตถาคตสาวก" ซึ่งปกติ หมายถึง "พระอรหันต์")
เหตุที่พระสาวกของพระพุทธเจ้าทรงเป็นถูปารหบุคคลจำพวกหนึ่งนั้น ทรงมีพุทธาธิบายว่า เมื่อมหาชนยังจิตให้เลื่อมใสว่า นี่เป็นสถูปของพระสาวกของผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น พวกเขายังจิตให้เลื่อมใสในสถูปนั้นแล้ว เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ 
4.พระเจ้าจักรพรรดิ์
เหตุที่พระเจ้าจักรพรรดิ์ทรงเป็นถูปารหบุคคลจำพวกหนึ่งนั้น ทรงมีพุทธาธิบายว่า เมื่อมหาชนยังจิตให้เลื่อมใสว่า นี่เป็นสถูปของพระธรรมราชาผู้ทรงธรรมนั้น พวกเขายังจิตให้เลื่อมใสในสถูปนั้นแล้ว เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ 

557
บทความ บทกวี / พระศรีอาริย์
« เมื่อ: 03 เม.ย. 2550, 11:31:33 »
พระศรีอาริย์
คอลัมน์ รู้ไปโม้ด
โดย น้าชาติ ประชาชื่น

หลานอยากทราบข้อมูลเกี่ยวกับพระศรีอาริย์ว่า

1.ในบทความมีอยู่ตอนหนึ่งที่ว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้มีพระองค์เดียวในพุทธศาสนา แสดงว่ามีพระพุทธเจ้าหลายองค์ใช่หรือไม่? ถ้าใช่ใช่อย่างไร? ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างไร?

2.พระศรีอาริย์ท่านเป็นใคร? มีรูป ลักษณะอย่างไร? ขอภาพเต็มในคอลัมน์

3.พระศรีอาริย์กับศรีอารยเมตไตรยใช่องค์เดียวกันหรือไม่?

4.พระศรีอาริย์มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาอย่างไร?

5.เมื่อถึงยุคพุทธศาสนาเสื่อมจะเกิดอะไรขึ้น? และจะเกิดขึ้นเมื่อใด?

6.จะหาซื้อหนังสือเกี่ยวกับ 2 พระองค์นี้ได้ที่ใด? หนังสือนั้นมีชื่อว่าอย่างไร?/เสือดาว

ตอบ - อยากบอกไว้ก่อนว่าการศึกษาพุทธศาสนานั้น เน้นในเรื่องพระธรรม การใช้สติและปัญญา คิดหาวิธีที่จะดับทุกข์

สำหรับเรื่องที่ถามมา คัมภีร์ในพระพุทธศาสนา ระบุว่าพระพุทธเจ้า หรือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเพียบพร้อมด้วยพระมหาปัญญาธิคุณ พระมหาวิสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ ทรงอุบัติ(เกิด)ขึ้นในกัปป์ทั้งสิ้น 25 พระองค์

ประกอบด้วย 1.พระทีปังกร 2.พระโกณฑัญญะ 3.พระมงคล 4.พระสุมนะ 5.พระเรวตะ 6.พระโสภิตะ 7.พระอโนมทัสสี 8.พระปทุมะ 9.พระนารทะ 10.พระปทุมุตตระ 11.พระสุเมธะ 12.พระสุชาตะ 13.พระปิยทัสสี 14.อัตถทัสสี 15.ธัมมทัสสี 16.สิทธัตถะ 17.ติสสะ 18.ปุสสะ 19.วิปัสสี 20.สิขี 21.เวสสภู 22.กกุสันธะ 23.โกนาคมนะ 24.กัสสปะ 25.โคตมะ(ในภัทรกัปป์นี้)

สำหรับพระศรีอาริย์ หรือพระศรีอารยเมตไตรยพุทธเจ้านั้น จะทรงอุบัติขึ้นต่อจากพระพุทธเจ้าโคตมะ หลังจากพระพุทธศาสนามีอายุครบ 5,000 ปีแล้ว อธรรมจะครองเมือง ศีลธรรมจะถูกบดบัง อายุของผู้คนจะลดน้อยลงตามลำดับ จากปัจจุบันมีอายุประมาณ 100 ปี จะค่อยลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่ง พ่อแม่มีอายุ 10 ปี ก็มีบุตรธิดา อายุลดลงเหลือ 5 ปี ซึ่งถือเป็นช่วงที่เกิดกลียุค

จากนั้นเกิดมิคสัญญียุค ผู้คนจะเข่นฆ่ากัน มองเห็นกันเป็นสัตว์ตลอดระยะเวลา 7 วัน บางรายหลบเข้าไปในป่า กลับออกมาตั้งกฎกติกาอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ไม่เบียดเบียนกัน ประพฤติศีลธรรมจนลูกหลานมีอายุเพิ่มขึ้นตามลำดับ กระทั่งมีอายุประมาณ 80,000 ปี พระศรีอารยเมตไตรยพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้น

ในพระศาสนาของพระองค์ (พระศรีอาริย์) เพียบพร้อมด้วยคุณธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างสมบูรณ์ มนุษย์มีจิตใจที่งดงาม ข้าวปลาอาหารพืชพันธุ์อุดมสมบูรณ์ประดุจทิพย์วิมาน

สำหรับประวัติของพระศรีอารยเมตไตรย มีเรื่องปรากฏอยู่ในเมตไตรยสูตร แห่งคัมภีร์พุทธอนาคตวงศ์ ได้กล่าวถึงการสร้างบารมีของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ คือ พระกกุสันธะ,โกนาคมนะ,กัสสปะ โคตมะ และอาริยเมตไตรยะ ซึ่งนักไสยศาสตร์มักจะใช้คำย่อว่า "นโมพุทธายะ"

ยุคที่พุทธศาสนาจะเสื่อมหรือจะเจริญนั้น ระบุไว้ในอรรถกถาสามัญญผลสูตรว่า ยุคที่พุทธศาสนาเจริญนั้น พระภิกษุสงฆ์และชาวพุทธเจริญด้วยศีล ปฏิบัติสมาธิ และบรรลุสามัญญผล (การบรรลุธรรม=โสดาบัน สกทาคามี อนาคามีและอรหัตตผล) ศาสนาพุทธก็จะเจริญ หากแต่ว่าเมื่อภิกษุสงฆ์และชาวพุทธไม่ประพฤติศีล ศีลจะวิบัติ ไม่ฝึกทำสมาธิ สมาธิจะวิบัติ และการบรรลุธรรมก็จะวิบัติหรือเสื่อมได้


558
องคุลิมาล(อังคุลิมาล) พรประวัติ

พระองคุลิมาล เป็นบุตรของคัคคพราหมณ์ (ภัคควพราหมณ์) ซึ่งเป็นปุโรหิตาจารย์ของพระเจ้าปเสนทิโกศล แห่งนครสาวัตถี โกศลรัฐ มารดาของท่านชื่อมันตานี ท่านเกิดเวลากลางคืน ตรงกับฤกษ์โจร เวลาท่านเกิดนั้น บรรดาศัสตราอาวุธทั่วพระนคร ตลอดจนพระแสงหอกดาบของพระเจ้าปเสนทิโกศลได้ลุกเป็นเปลวเพลิง บิดาของท่านเห็นว่าลางร้ายที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเพราะลูกชายของตน จึงนำความไปกราบทูลพระเจ้าปเสนทิโกศลให้ทรงทราบ และกราบทูลขอให้ประหารลูกชายของตนเสีย แต่พระเจ้าปเสนทิโกศล หาได้ทรงกระทำตามไม่ กลับรับสั่งให้เลี้ยงไว้ เพราะทราบจากบิดาของท่านว่า ท่านจะเป็นเพียงโจรร้ายต่อเอกชน ไม่ถึงกับเป็นโจรแย่งราชสมบัติ เวลาท่านเกิดขึ้น แม้ศัสตราอาวุธจะเกิดเป็นลางร้าย แต่หาได้เป็นอันตรายหรือเบียดเบียนใครไม่ ฉะนั้น เพื่อเป็นนิมิตรอันดีงาม เมื่อถึงวันตั้งชื่อ บิดามารดาจึงตั้งชื่อท่านว่าอหิงสกกุมารซึ่งแปลว่าผู้ไม่เบียดเบียนใคร

เมื่ออหิงสกกุมารมีอายุพอจะศึกษาศิลปวิทยาแล้ว บิดามารดาจึงส่งไปเรียนกับอาจารย์ทิศาปาโมกข์ที่เมืองตักกศิลา อหิงสกกุมารเป็นคนขยัน ตั้งใจเรียนดี มีความประพฤติเรียบร้อย คอยรับใช้อาจารย์ด้วยความเคารพ พูดจาไพเราะ จึงเป็นที่พอใจของอาจารย์มาก แต่ศิษย์คนอื่น ๆ เห็นท่านเป็นคนโปรดของอาจารย์ก็ริษยา พากันออกอุบายยุยงให้อาจารย์เกลียดชังและให้ฆ่าท่าน ทีแรกอาจารย์ไม่เชื่อ แต่เมื่อถูกยุยงหนักเข้าก็กลับใจเชื่อแล้วหาอุบายฆ่าท่าน โดยสั่งให้อหิงสก กุมารไปฆ่าคนให้ได้พันคน แล้วตัดเอานิ้วมือขวามาคนละนิ้ว ให้ได้จำนวนพันนิ้ว เพื่อประกอบพิธีบูชาครู (ครุทักษิณา) ที่อาจารย์สั่งเช่นนี้ ก็เพื่อออกอุบายยืมมือคนอื่นฆ่า ด้วยเห็นว่า เมื่ออหิงสกกุมารปฏิบัติตามคำสั่งของตน ก็จะต้องมีใครคนใดคนหนึ่งต่อสู้ และฆ่าท่านจนได้ ทีแรกอหิงสกกุมารปฏิเสธ โดยอ้างว่าท่านเกิดในตระกูลที่ไม่เบียดเบียนใคร แต่อาจารย์บอกว่า ศิลปศาสตร์ที่เรียนไปแล้ว ถ้ามิได้บูชาครู ก็จะไม่อำนวยผลที่ต้องการ ด้วยนิสัยรักวิชาอหิงสกกุมารจึงยอมปฏิบัติตาม โดยออกไปสู่ป่าชาลิวัน ในแคว้นโกศลอาศัยอยู่ที่หุบเขาแห่งหนึ่ง คอยดักฆ่าคนเดินทาง ออกเที่ยวปล้นหมู่บ้านและตำบลต่าง ๆ เป็นโกลาหล ได้ฆ่าคนล้มตายเป็นจำนวนมาก แล้วตัดเอานิ้วมือคนที่ตายคนละหนึ่งนิ้วมาทำเป็นพวงมาลัยคล้องคอไว้ ฉะนั้นคนจึงเรียกชื่อท่านว่า องคุลิมาล การกระทำอันอุกอาจเหี้ยมหาญขององคุลิมาล ได้ทำให้ผู้คนในหมู่บ้านและตำบลต่าง ๆ หวาดกลัวเป็นที่สุด ไม่เป็นอันหลับอันนอน พากันทิ้งบ้านเรือน อุ้มลูกจูงหลายอพยพหลบภัยไปสู่พระนครสาวัตถี แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระเจ้าปเสนทิโกศล ขณะนั้นคัคคพราหมณ์ผู้เป็นบิดาขององคุลิมาลนึกเดาถูกว่า โจรองคุลิมาลนั้น จะต้องเป็นอหิงสกกุมารลูกชายของตนแน่ และกลัวว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลจะเสด็จไปจับลูกชายของตนประหารเสีย จึงหารือกับนางมันตานีว่า จะทำอย่างไรดี ในที่สุด นางมันตานี ผู้มารดาก็ตัดสินใจรีบออกเดินทางไป เพื่อนำลูกชายหลบหนีมาบ้าน

เวลานั้น โจรองคุลิมาลได้นิ้วมือไม่ครบ ๑,๐๐๐ นิ้ว ยังขาดอยู่นิ้วเดียวเท่านั้น จึงกระหายเป็นกำลัง และตั้งใจว่า ถ้าพบใครก่อนก็จะฆ่าทันทีเพื่อจะได้นิ้วมือครบตามต้องการ แล้วจะได้ตัดผม โกนหนวดอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วไปเยี่ยมบิดามารดาเช้าตรู่วันนั้น พระบรมศาสดาทรงตรวจดูสัตว์โลก ทรงเห็นว่าองคุลิมาลเป็นผู้มีอุปนิสัยพอที่จะโปรดให้บรรลุมรรคผลได้ และทรงพระดำริเห็นว่าถ้าพระองค์มิได้เสด็จไปโปรด องคุลิมาลก็จะฆ่ามารดาของตนเสีย จะเป็นผู้บาปหนักอย่างช่วยไม่ขึ้น พระองค์จึงเสด็จมุ่งตรงไปยังป่าชาลิวัน เป็นระยะทาง ๓๐ โยชน์ เพื่อสกัดองคุลิมาลไว้ มิให้ทันได้ฆ่ามารดา ในระหว่างทางนั้น พวกคนเลี้ยงโคได้พากันวิ่งเข้าไปกราบทูลขอร้องมิให้เสด็จไปหาองคุลิมาล เพราะกลัวพระองค์จะได้รับอันตราย แต่พระพุทธองค์ทรงเฉยเสีย แล้วเสด็จดำเนินต่อไปจนถึงป่าชาลิวัน เมื่อเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมาแต่ไกล องคุลิมาลก็ประหลาดใจ เพราะผู้คนที่เคยเดินทางผ่านมายังป่านนั้น แม้มีจำนวนเป็นสิบ ๆ ก็ต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของตนทั้งนั้น เมื่อเห็นพระพุทธองค์เสด็จมาพระองค์เดียว ก็ให้นึกเคืองขึ้นทันที เห็นว่าเป็นการมาข่มขู่ดูหมิ่นตนอย่างชัด ๆ จึงตัดสินใจจะสังหารพระพุทธองค์ให้สมใจนึก แล้วฉวยเอาดาบและธนูสะพายแล่ง เขม้นมอง วิ่งออกติดตามพระพุทธองค์ทันที ความตอนนี้ ท่านพระธรรมปาลาจารย์ กล่าวว่า ก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จไปถึงป่าชาลิวัน มารดาองคุลิมาลได้เดินทางไปถึงก่อน พอเห็นมารดาเดินมาคนเดียวแต่ที่ไกล องคุลิมาลก็ตัดสินใจจะฆ่ามารดาทันทีแล้วชักดาบขึ้นเงื้อง่า วิ่งเข้าไปมารดาของตน ทันใดนั้น พระพุทธองค์ก็เสด็จไปถึง ทรงแสดงพระองค์ปรากฏอยู่ท่ามกลางระหว่างคนทั้งสองนั้น ครั้นองคุลิมาลเห็นเช่นนั้นก็เปลี่ยนใจ จะไม่ฆ่ามารดาของตน แต่จะปลงพระชนม์พระพุทธองค์แทน จึงชักดาบเงื้อง่า วิ่งติดตามพระพุทธองค์ทันที แต่ด้วยพุทธานุภาพ องคุลิมาลวิ่งไล่ติดตามเป็นระยะทางตั้ง ๓ โยชน์ พยายามวิ่งเท่าไร ๆ ก็ไม่ทันพระพุทธองค์ จึงเหนื่อยหอบ น้ำลายแห้งผากเหงื่อไหลโชก แล้วหยุดยืนตะโกนเรียกพระพุทธองค์ว่า "หยุดสมณะ! หยุดซีสมณะ!" พระพุทธองค์จึงมีพระดำรัสตอบว่า "ดูก่อนองคุลิมาล เราได้หยุดแล้ว เธอจงหยุดเถิด" องคุลิมาลได้ฟังพระดำรัสเช่นนั้น ก็เกิดเฉลียวใจและสงสัยทันที แล้วทูลถามพระพุทธองค์ว่า "สมณะ ท่านกำลังเดินอยู่แท้ ๆ ไฉนจึงบอกว่าท่านได้หยุดแล้ว ข้าหยุดยืนอยู่แท้ ๆ ไฉนท่านจึงบอกให้ข้าหยุดอีกเล่า?" พระพุทธองค์มีพระดำรัสตอบว่า "องคุลิมาล เราได้หยุด คือเลิกฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแล้ว ส่วนตัวเธอยังไม่หยุด คือยังฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอยู่ เราจึงพูดเช่นนั้น" องคุลิมาลได้ยินพระสุรเสียงอันแจ่มใส พระดำรัสที่คมคายเช่นนั้น ก็เกิดใจอ่อนรู้สึกสำนึกผิดได้ทันที แล้ววางดาบทิ้งธนู สลัดแล่ง โยนทิ้งลงเหวที่หุบเขาเข้าไปถวายบังคมพระบาทยุคลของพระพุทธองค์ ทูลขอบวชในพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้บวชเป็นภิกษุ ด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทาแล้วเสด็จพาองคุลิมาลภิกษุไปสู่พระเชตวันมหาวิหาร ณ กรุงสาวัตถี ขณะนั้น ด้วยการเรียกร้องของประชาชน พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงได้เสด็จเคลื่อนพลออกจากนครสาวัตถี เพื่อไปปราบองคุลิมาล และได้เสด็จแวะเฝ้าพระพุทธองค์ที่พระเชตวัน กราบทูลเล่าเรื่องที่จะเสด็จไปปราบองคุลิมาลให้ทรงทราบ พระพุทธองค์จึงแนะนำให้รู้จักภิกษุองคุลิมาล ซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ พระองค์ พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงสะดุ้งกลัว และแปลกพระทัยมากที่พระพุทธองค์ทรงสามารถปราบโจรร้ายได้ โดยไม่ต้องใช้อาญาและศัสตราอาวุธใด ๆ แล้วทรงปวารณาจะอุปถัมภ์ภิกษุองคุลิมาลด้วยปัจจัย ๔ แต่ภิกษุองคุลิมาลปฏิเสธ เพราะท่านถือธุดงควัตร ๔ ประการคือถืออยู่ป่า ออกบิณฑบาต นุ่งห่มผ้าบังสุกุล และถือไตรจีวรเป็นนิจ

ครั้งหนึ่ง ท่านเข้าไปบิณฑบาตในกรุงสาวัตถี ชาวพระนครเห็นเข้าตกใจกลัว พากันวิ่งหนีเป็นอลหม่าน บ้างก็ปิดประตูบ้านประตูเรือน ที่หนีไม่ทันก็หันหลังให้ ท่านไม่ได้อาหารเลยแม้แต่ทัพพีเดียว ต่อมา ท่านเข้าไปบิณฑบาต เห็นหญิงคลอดลูกไม่ออกคนหนึ่ง จึงเกิดความสงสารใคร่จะช่วย เมื่อกลับจากบิณฑบาตแล้ว ได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์ กราบทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบ พระพุทธองค์จึงตรัสบอกมนต์คลอดลูกง่ายให้บทหนึ่ง ท่านเรียนมนต์นั้นแล้วกลับเข้าไปช่วยหญิงคนนั้น ได้ทำให้คลอดลูกง่ายเหมือนเทน้ำจากกระบอกกรองน้ำ มนต์บทนั้น มีชื่อว่า มหาปริตต์ (องคุลิมาลปริตต์) นับแต่วันที่ช่วยหญิงคนนั้นคลอดลูกมา ภิกษุองคุลิมาลก็มีอาหารฉันอุดมสมบูรณ์ขึ้น

ต่อมา ภิกษุองคุลิมาล ก็หลีกออกจากคณะไปบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ผู้เดียว ไม่นานเท่าไรนัก ก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ครั้งหนึ่ง ท่านได้เข้าไปบิณฑบาติในเมืองสาวัตถี ถูกประชาชนขว้างปาด้วยก้อนอิฐ ก้อนหิน และท่อนไม้ จนศีรษะแตก เลือกไหล บาตรก็แตก ผ้าสังฆาฏิก็ขาด เข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์ แล้วตั้งอยู่ในพระพุทธโอวาทที่ทรงแนะนำให้เป็นผู้รู้จัดอดทนและให้ถือว่าเป็นการใช้กรรมชั่วครั้งก่อนของท่าน ในอรรถกถาธรรมบทกล่าวว่า หลังจากอุปสมบทแล้วไม่นานนัก ท่านก็ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุการโปรดองคุลิมาล นับเป็นการทรงกระทำสิ่งที่ทำได้ยากและเป็นข้อที่น่าอัศจรรย์ยิ่งของพระพุทธองค์ เช่นในมหาสุตโสมชาดก(๗) พระสงฆ์ก็สนทนากันปรารภถึงเรื่องนี้ การอนุญาตให้องคุลิมาลบวชได้เป็นเรื่องที่ประชาชนยกขึ้นตำหนิพระสงฆ์ และพระพุทธองค์ก็ทรงบัญญัติพระวินัยห้ามมิให้บวชโจรที่ถูกจับได้ต่อไป ชีวิตขององคุลิมาลนับเป็นตัวอย่างของการทำบุญเพื่อพ้นจากผลบาปเก่าอันจะเกิดขึ้น
ะมหาสาวกหนึ่งในอสีติมหาสาวก

559
ประวัติ พระสีวลีเถระ เอตทัคคะในทางผู้มีลาภมาก

พระสีวลี เป็นโอรสของพระนางสุปปวาสา ราชธิดาแห่งโกลิยนคร ตั้งแต่ท่านจุติลงถือปฏิสนธิในครรภ์ของพระมารดา ได้ทำให้ลาภสักการะเกิดขึ้นแก่พระมารดาเป็นอันมาก ท่าน
อาศัยอยู่ในครรภ์ของพระมารดา นานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ครั้นเมื่อใกล้เวลาจะประสูติ พระมารดาได้รับทุกขเวทนาอย่างแรงกล้า พระนางจึงขอให้พระสวามีไปกราบบังคมทูลขอพร จากพระบรมศาสดาและพระพุทธองค์ตรัสประทานพรแก่พระนางว่า:-

?ขอพระนางสุปปวาสา พระราชธิดาแห่งพระเจ้ากรุงโกลิยะ จงเป็นหญิงมีความสุข
ปราศจากโรคาพยาธิ ประสูติพระราชโอรสผู้หาโรคมิได้เถิด?

ด้วยอำนาจแห่งพระพุทธานุภาพ ทุกขเวทนาของพระนางก็อันตรธานไป พระนางประสูติพระราชโอรสอย่างง่ายดาย ดุจน้ำไหลออกจากหม้อ พระประยูรญาติทั้งหลายได้ขนานพระนามพระราชโอรสของพระนางสุปปวาสาว่า ?สีวลีกุมาร? เมื่อพระนางมีพระวรกายแข็งแรงดีแล้ว มีพระประสงค์ที่จะถวายมหาทานติดต่อกันเป็นเวลา ๗ วัน จึงจึงความประสงค์แก่พระสวามีให้กราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ มารับมหาทานอาหารบิณฑบาตในพระราชนิเวสน์ ตลอด ๗ วัน ในวันถวายมหาทานนั้น สีวลีกุมาร มีพระวรกายเข้มแข็งดุจกุมารผู้มีพระชนม์ ๗ พรรษา ได้ช่วยพระบิดาและพระมารดาจัดแจงกิจต่าง ๆ มีการนำธมกรก (ธะมะกะหรก = กระบอกกรองน้ำ) มากรองน้ำดื่มและอังคาสพระบรมศาสดาและหมู่พระภิกษุสงฆ์ ในขณะที่สีวลีกุมาร ช่วยพระบิดาและพระมารดาอยู่นั้น ท่านพระสารีบุตรเถระได้สังเกตดูอยู่ตลอดเวลา และเกิดความรู้สึกพอใจในพระราชกุมารน้อยเป็นอย่างมาก ครั้นถึงวันที่ ๗ ซึ่งเป็นวันสุดท้าย พระเถระได้สนทนากับสีวลีกุมารแล้วชักชวนให้มาบวช สีวลีกุมาร ผู้มีจิตน้อมไปในการบวชอยู่แล้ว เมื่อพระเถระชักชวน จึงกราบทูลขออนุญาตจากพระบิดาและพระมารดา เมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงติดตามพระเถระไปยังพระอารามพระสารีบุตรเถระ ผู้รับภาระเป็นพระอุปัชฌาย์ ได้สอนพระกรรมฐานเบื้องต้น คือ ตจปัญจกกรรมฐานทั้ง ๕ ได้แก่ เกสา(ผม) โลมา(ขน) นขา(เล็บ) ทันตา(ฟัน) ตโจ (หนัง) ให้พิจารณาของทั้ง ๕ เหล่านี้ว่าเป็นของไม่งานเป็นของสกปรก ไม่ควรเข้าไปยึดติดหลงใหลในสิ่งเหล่านี้ สีวลีกุมาร ได้สดับพระกรรมฐานนั้นแล้วนำไปพิจารณาในขณะที่กำลังจรดมีดโกนเพื่อโกนผม ครั้งแรกนั้นท่านได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน จรดมีดโกนลงครั้งที่ ๒ ท่านได้บรรลุเป็นพระสกทาคามี จรดมีดโกนลงครั้งที่ ๓ ท่านได้บรรลุเป็นพระอนาคามี และเมื่อโกนผมเสร็จ ท่านได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

เมื่อท่านอุปสมบทแล้วปรากฏว่าท่านเป็นพุทธสาวกที่มีลาภสักการะมากมาย ด้วยอำนาจบุญบารมีของท่านที่สั่งสมมา ลาภสักการะเหล่านี้ได้เผื่อแผ่ไปยังพระสงฆ์สาวกท่านอื่น ๆ ด้วย แม้พระบรมศาสดาเมื่อทรงพาหมู่ภิกษุสงฆ์เสด็จทางไกลกันดาร ถ้ามี พระสีวลี ร่วมเดินทางไปด้วย ความขาดแคลนอาหารและที่พักอาศัยในระหว่างทางก็จะไม่เกิดขึ้นแก่หมู่ภิกษุสงฆ์เลย เช่น....

พระพุทธองค์และหมู่ภิกษุอาศัยบุญพระสีวลี

สมัยหนึ่ง พระบรมศาสดาเสด็จพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จำนวน ๕๐๐ รูปไปเยี่ยมพระเรวตะผู้เป็นน้องชายของพระสารีบุตรเถระ ซึ่งจำพรรษาอยู่ ณ ป่าไม้ตะเคียน เมื่อเสด็จมาถึงทาง ๒ แพร่ง พระอานนท์เถระได้กราบทูลสภาพหนทางว่า.....

?ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าเสด็จไปทางอ้อม ระยะทางไกล ๖๐ โยชน์ มีประชาชนอยู่
อาศัยมาก พระภิกษุไม่ลบากด้วยภิกขาจาร แต่ถ้าเสด็จไปทางลัดระยะทางประมาณ ๓๐ โยชน์
ไม่มีประชาชนอยู่อาศัย มีสภาพเป็นป่าใหญ่ มีแต่อมนุษย์อยู่อาศัย พระภิกษุสงฆ์จะลำบากด้วย
ภิกขาจาร?

พระพุทธองค์ ตรัสถามว่า:-

?ดูก่อนอานนท์ พระสีวลีมากับเราด้วยหรือไม่??
?ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเสวลีมากับเราด้วย พระเจ้าข้า?

พระพุทธองค์ ตรัสว่า:-

?ดูก่อนอานนท์ ถ้าอย่างนั้นก็จงไปทางลัด ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวลด้วยอาหาร
บิณฑบาต เพราะเทวดาทั้งหลายที่สิงสถิตอยู่ในป่าระหว่างทาง จะจัดสถานที่พักและอาหาร
บิณฑบาตไว้ถวายพระสีวลีผู้เป็นที่เคารพนับถือของพวกตน เราทั้งหลายก็จะได้อาศัยบุญของ
พระสีวลี นั้นด้วย?


ได้รับยกย่องในทางผู้มีลาภมาก

ด้วยอำนาจบุญที่ท่านพระสีวลี ได้บำเพ็ญสั่งสมอบรมมาตั้งแต่อดีตชาติ เป็นปัจจัยส่งผลให้ท่านเจริญด้วยลาภสักการะ โดยมีเทพยาดา นาค ครุฑ และมนุษย์ทั้งหลาย นำมาถวายโดยมิ
ขาดตกบกพร่อง ไม่ว่าท่านจะอยู่ในที่ใด ๆ ในป่า ในบ้าน ในน้ำ หรือบนบก เป็นต้นด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์ จึงทรงประกาศให้ปรากฏในหมู่พุทธบริษัทตรัสยกย่องท่านในตำแหน่ง เอคทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทาง ผู้มีลาภมาก นับว่าท่านพระสีวลีเถระเป็นพระมหาสาวกอีกรูปหนึ่งที่ได้ช่วยกิจการ พระศาสนา แบ่งเบาภาระของพระบรมศาสดาเป็นอย่างมาก ท่านดำรงอายุสังขารโดยสมควรแก่กาลเวลาแล้วก็ดับขันธปรินิพพาน

560
ประวัติ พระมหาโมคคัลลานเถระ เอตทัคคะในทางผู้มีฤทธิ์

พระมหาโมคคัลลานะ เป็นบุตรพราหมณ์นายบ้านในหมู่บ้านโกลิตคาม ได้ชื่อว่า ?โกลิตะ? ตามชื่อของหมู่บ้าน มารดาชื่อ โมคคัลลี คนทั่วไปจึงเรียกท่านว่า ?โมคคัลลานะ? ตามชื่อของมารดา ท่านเป็นสหายที่รักกันมากับอุปติสสมาณพ เที่ยวแสวงหาความสุขความสำราญ ตามประสาวัยรุ่น และพ่อแม่มีฐานะร่ำรวย นอกจากนี้ยังมีอุปนิสัยใจคอเหมือนกัน และยังได้ออกบวชพร้อมกันอีกด้วย (ประวัติเบื้องต้นของท่านถึงศึกษาจากประวัติของพระสารีบุตร)

ทรงแสดงอุบายแก้ง่วงแก่พระโมคคัลลานะ

พระมหาโมคคัลลานะ เมื่ออุปสมบทได้ ๗ วัน ได้ไปทำความเพียรอยู่ที่ป่าใกล้บ้านกัลป์ลาวาลมุตตาคาม แขวงมคธ ถูกถีนมิทธารมณ์ คือ ความง่วงเหงาเข้าครอบงำ ไม่สามารถจะทำความเพียรได้ ขณะนั้น พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ณ สวนเภสกลาวัน ซึ่งเป็นสถานที่ให้เหยื่อแก่เนื้อ ใกล้เมืองสุงสุมารคิรี อันเป็นเมืองหลวงของแคว้นภัคคะ ทรงทราบด้วยพระญาณว่าพระโมคคัลลานะ โงกง่วงอยู่ จึงทรงทำปาฏิหาริย์ให้เห็นปรากฏ ประหนึ่งว่าเสด็จประทับอยู่ตรงหน้า ทรงแสดงอุบายสำหรับระงับความง่วงแก่เธอตามลำดับ ดังนี้:-

๑. โมคคัลลานะ เมื่อเธอมีสัญญาอย่างใดแล้ว เกิดความง่วงขึ้น เธอจงทำไว้ในใจซึ่ง
สัญญาอย่างนั้นให้มาก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้
๒. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรตรึกตรองถึงธรรมที่ได้เรียนมาแล้ว ได้ฟังมาแล้วให้มาก จะ
เป็นเหตุให้ละความง่วงได้
๓. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรสาธยายธรรมที่ได้เรียนได้ฟังมาแล้วให้มากจะเป็นเหตุให้ละ
ความง่วงได้
๔. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรยอนช่วงหูทั้งสองข้าง และลูบตัวด้วยฝ่ายมือจะเป็นเหตุให้ละ
ความง่วงได้
๕. ถ้ายังละไม่ได้ เธอจงลุกขึ้นแล้วลูบนัยน์ตา ลูบหน้าด้วยน้ำเหลียวดูทิศทั้งหลาย
แหงนดูดาว จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้
๖. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรทำไว้ในใจถึงอาโลกสัญญา ถือ กำหนดความสว่างไว้ในใจ
เหมือนกัน ทั้งกลางวันและกลางคืน ทำใจให้เปิด ให้สว่าง จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้
๗. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรเดินจงกรมสำรวมอินทรีย์ มีจิตใจไม่คิดไปภายนอก จะเป็น
เหตุให้ละความง่วงได้
๘. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรสำเร็จสีหไสยาสน์ นอนตะแคงขวา ซ้อนเท้าให้เลื่อมกัน มี
สติสัมปชัญญะ หมายใจว่าจะลุกขึ้นเป็นนิตย์ เมื่อตื่นแล้วควรรีบลุกขึ้นด้วยตั้งใจว่า เราจะไม่
ประกอบความสุขในการนอนและการเคลิ้มหลับอีกจะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้
พระพุทธองค์ ตรัสสอนอุบายเพื่อบรรเทาความง่วงโดยลำดับจนที่สุดถ้ายังไม่หายง่วงก็
ให้นอน แต่ให้นอนอย่างมีสติ เมื่อปรานอุบายแก้ง่วงดังนี้แล้วได้ประทานพระโอวาทอีก ๓ ข้อ
คือ:-

๑. โมคคัลลานะ เธอจงทำไว้ในใจว่า เราจะไม่ชูงวง คือ ความถือตัวว่าเราเป็นนั่น เป็น
นี่ เข้าไปสู่สกุล เพราะถ้าภิกษุถือตัวเข้าไปสู่สกุลด้วยคิดว่าเขาจะต้องต้อนรับเราอย่างนั้นอย่างนี้
ถ้าคนในสกุลเขามีการงานมาก ก็จะเกิดอิดหนาระอาใจ ถ้าเขาไม่ใส่ใจต้องรับ เธอก็จะเก้อเขินคิด
ไปในทางต่าง ๆ เกิดความฟุ้งซ่านไม่สำรวม จิตก็จะห่างจากสมาธิ
๒. โมคคัลลานะ เธอจงทำไว้ในใจว่า เราจักไม่พูดคำอันเป็นเหตุเถียงกันเพราะถ้าเถียง
กันก็จะต้องพูดมาก และผิดใจกัน เป็นเหตุให้ฟุ้งซ่านไม่สำรวม และจิตก็จะห่างจากสมาธิ
๓. โมคคัลลานะ ตถาคตไม่สรรเสริญการคลุกคลีด้วยประการทั้งปวง แต่ก็ไม่ตำหนิ
การคลุกคลีไปทุกอย่าง คือ เราไม่สรรเสริญการคลุกคลีกับหมู่ชน ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต แต่
เราสรรเสริญการคลุกคลีด้วยเสนาสนะ อันสงบสงัดปราศจากเสียงอื้ออึง ควรแก่การหลีกเร้นอยู่
ตามสมณวิสัย

ลำดับนั้น พระมหาโมคคัลลานะ ได้กราบทูลถามถึงข้อปฏิบัติอันเป็นธรรมชักนำไปสู่การสิ้นตัณหา เกษมจากโยคะคือกิเลสเครื่องประกอบให้จิตติดอยู่พระพุทธองค์ ตรัสสอนในเรื่องธาตุกรรมฐาน โดยใจความว่า ?ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เมื่อได้สดับว่าธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น ก็ควรกำหนดธรรมเหล่านั้น ในยามเมื่อเสวยเวทนา
อันเป็นสุขหรือทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่ง และให้พิจารณาดังปัญญา อันประกอบด้วยความหน่าย ความดับ และความไม่ยึดมั่น จิตก็จะพ้นจากอาสวกิเลส เป็นผู้รู้ว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว? พระมหาโมคคัลลานะ ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านเป็นกำลังสำคัญของพระศาสนา ช่วยแบ่งเบาภารกิจ และยังพุทธดำริต่าง ๆ ให้สำเร็จด้วยดี เพราะท่านมีฤทธิ์มีอานุภาพยิ่งกว่าพระสาวกรูปอื่น ๆ จนได้รับการยกย่องจากพระบรมศาสดา แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง พระอัครสาวกเบื้องซ้าย โดยทรงยกย่องให้เป็นอัครสาวกคู่กับพระสารีบุตรว่า:-

?พระสารีบุตรเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา เปรียบเสมือนมารดาผู้ให้กำเนิดบุตร
พระโมคคัลลานะ เป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้าย เปรียบเสมือนนางนมผู้เลี้ยงทารกที่เกิดมาแล้ว
พระสารีบุตร ย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล พระโมคคัลลานะ ย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ในคุณ
เบื้องสูงขึ้นไป?

นอกจากนี้ พระมหาโมคคัลลานะ ยังเป็นผู้มีความสามารถในการ นวกรรม คือ งานก่อสร้าง พระบรมศาสดาเคยทรงมอบหมายให้ท่านรับหน้าที่ นวกัมมาธิฏฐายี คือ ผู้ควบคุมดูแลการก่อสร้างวิหารบุพพาราม ที่เมืองสาวัตถี ซึ่งนางวิสาขาบริจาคทรัพย์สร้างถวายอีกด้วย

พระเถระมีความสามารถในทางอิทธิปาฏิหาริย์

พระมหาโมคคัลลานะ เมื่อบวชและสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วปรากฏว่าท่านมีความสามารถโดดเด่นในทางอิทธิปาฏิหาริย์ เป็นเลิศ กว่าภิกษุทั้งหลาย ท่านสามารถแสดงฤทธิ์ ไปยังภูมิของสัตว์นรก และไปโลกสวรรค์ชั้นต่าง ๆ ได้ ท่านได้พบเห็นสัตว์นรกในขุมต่าง ๆ ที่ได้เสวยความสุขจากการทำบุญไว้ในเมืองมนุษย์เช่นกัน ท่านได้นำข่าวสารของสัตว์นรกและของเทพบุตรเทพธิดาเหล่านั้น มาแจ้งแก่บรรดาญาติและชนทั้งหลายให้ทราบ ทำให้บรรดาญาติและชนเหล่านั้นพากันละเว้นกรรมชั่วลามกอันจะพาตนไปเสวยผลกรรมในนรก พากันสร้างบุญกุศล อันจะนำตนไปสู่สุคติโลกสวรรค์ และพร้อมกันนั้นก็พากันทำบุญอุทิศไปให้แก่ญาติของตน เหล่าชนบางพวกที่ไม่มีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาก็พากันละทิ้งลัทธิศาสนาเดิมมาศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น ทำให้พวกเดียรถีย์ทั้งหลายต้องเสื่อมจากลาภสักการะ เป็นอยู่ลำบากอดอยากขึ้นเรื่อย ๆ

พระมหาโมคคัลลานเถระถูกโจรทุบ

วันเวลาผ่านไปตามลำดับ เข้าสู่ปัจฉิมโพธิกาล ขณะที่ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระพักอยู่ที่กาฬศิลา ในมคธชนบทนั้น
พวกเดียรถีย์ ทั้งหลาย มีความโกรธแค้นพระมหาโมคคัลลานเถระ เป็นอย่างมาก เพราะความที่ท่านมีฤทธานุภาพมาก สามารถกระทำอิทธิฤทธิ์ ไปเยี่ยมชมสวรรค์และนรกได้ แล้วนำข่าวสารมาบอกแก่ญาติมิตรของผู้ไปเกิดในสวรรค์และนรกให้ได้ทราบประชาชนทั้งหลายจึงพากันเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาทำให้พวกเดียรถีย์ ต้องเสื่อมคลายความเคารพนับถือจากประชาชน ลาภสักการะก็เสื่อมลง ความเป็นอยู่ก็ลำบากฝืดเคือง จึงปรึกษากันแล้วมีความเห็นอันเดียว
กันว่า ?ต้องกำจัดพระมหาโมคคัลลานะ เพื่อตัดปัญหา? ตกลงกันแล้ว ก็เรี่ยไรเงินทุนจากบรรดาศิษย์ และอุปัฏฐากของตนเมื่อได้เงินมาพอแก่
ความต้องการแล้ว ได้ติดต่อจ้างโจรให้ฆ่าพระเถระ พวกโจรใจบาป ได้รับเงินสินบนแล้วพากันไปล้อมจับพระเถระถึงที่พัก แต่พระเถระรู้ตัวและหลบหนีไปได้ถึง ๒ ครั้ง ในครั้งที่ ๓ พระเถระได้พิจารณาเห็นกรรมเก่า ที่ตนเคยทำไว้ในอดีตชาติติดตามมา และเห็นว่ากรรมเก่านั้นทำอย่างไรก็หนีไม่พ้น จึงยอมให้พวกโจรจับอย่างง่ายดาย และถูกพวกโจรทุบตีจนกระดูกแตกแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี พวกโจรแน่ใจว่าท่านตายแล้ว จึงนำร่างของท่านไปทิ้งในป่าแห่งหนึ่ง แล้วพากันหลบหนีไป

กราบทูลลานิพพาน

พระมหาโมคคัลลานเถระ คิดว่า ?เราควรไปกราบทูลลาพระผู้มีพระภาค ก่อนจึงปรินิพพาน? ดังนี้แล้วก็เรียบเรียงสรีรกายประสานกระดูกผูกหมั่นด้วยกำลังฌาน เหาะมาเฝ้าพระบรมศาสดา ถวายบังคมแล้วกราบทูลลาปรินิพพาน พระพุทธองค์ตรัสถามว่า ?โมคคัลลานะ เธอจะปรินิพพาน ที่ไหน เมื่อไร ??
?ข้าพระองค์ จะนิพพานที่กาฬศิลาในวันนี้ พระเจ้าข้า?
?โมคคัลลานะ ถ้าอย่างนั้น เธอจงแสดงธรรมแก่ตถาคตก่อน ด้วยว่าการได้เห็นพระเถระเช่นเธอนี้ จะไม่มีอีกแล้ว?
พระเถระได้รับพระพุทธบัญชาเช่นนั้นจึงทำปาฏิหาริย์เหาะขึ้นไปบนอากาศแสดงพระธรรมเทศนาแล้วลงมาถวายอภิวาทกราบทูลลาไปยังกาฬศิลา และปรินิพพาน ณ ที่นั้น ตรงกับวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ หลังจากพระสารีบุตรนิพพานได้ ๑๕ วันพระผู้มีพระภาค เสด็จไปพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ทรงเป็นองค์ประธานจุดเพลิงฌาปนกิจศพให้ท่าน ขณะนั้น ฝนดอกไม้ทิพย์ตกลงมาโดยรอบบริเวณ มหาชนพากันประชุมทำสักการะอัฐิธาตุตลอด ๗ วัน พระพุทธองค์โปรดให้สร้างเจดีย์บรรจุอัฐิไว้ ณ ที่ใกล้ซุ้มประตูแห่งพระเชตะวัดมหาวิหารนั้นสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อพระอัครสาวกทั้งขวาและซ้ายนิพพานหมดแล้ว ก็เปรียบประหนึ่งต้นหว้าแก่ที่กิ่งใหญ่ทั้งสองหักลงแล้ว คงเหลือแต่พระอานนท์ ผู้เป็นพุทธอุปัฏฐากเพียงองค์เดียว เที่ยวติดตามประการหนึ่งว่าเงาตามพระองค์ ฉะนั้น


561
ประวัติ พระมหากัจจายนเถระ เอตทัคคะในทางผู้อธิบายความย่อให้พิสดาร

พระมหากัจจายนะ เป็นบุตรของพราหมณ์ตระกูลกัจจายนะ ผู้เป็นปุโรหิต (ที่ปรึกษา) ของพระเจ้าจัณฑปัชโชต ในกรุงอุชเชนี เดิมท่านชื่อว่า ?กัญจนะ? เพราะมีรูปร่างลักษณะงามสง่า มีเสน่ห์แก่ผู้พบเห็น เมื่อเจริญวัยขึ้น ได้เรียนจบไตรเพท คือ คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพราหมณ์ เมื่อบิดาถึงแก่กรรมแล้วได้ดำรงตำแหน่งปุโรหิตแทนบิดา เมื่อพระบรมศาสดาตรัสรู้แล้ว เสด็จเที่ยวจาริกประกาศหลักธรรมคำสอนตามคามนิคมชนบทอยู่นั้น พระเจ้าจัณฑปัชโชต มีพระราชประสงค์จะกราบทูลอาราธนาพระพุทธองค์เสด็จสู่กรุงอุชเชนีของพระองค์บ้าง จึงรับสั่งให้ปุโรหิจกัจจายนะไปกราบทูลอาราธนา กัจจายนะถือโอกาสกราบทูลลาเพื่ออุปสมบทด้วย เมื่อทรงอนุญาตแล้วจึงพร้อมด้วยบริวารติดตามอีก ๗ คน เดินทางไปเฝ้าพระบรมศาสดา เมื่อเดินทางไปถึงก็รับเข้าเฝ้า พระพุทธองค์ตรัสพระธรรมเทศนาให้ฟัง และท่านทั้ง ๘ คนนั้น ก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ แล้วกราบทูลขออุปสมบท พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปนา เมื่อได้อุปสมบทแล้ว ได้กราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดาเสด็จสู่กรุงอุชเชนี ตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้เดินทางมา แต่พระบรมศาสดารับสั่งให้ท่านไปเอง พระเจ้าจัณฑปัชโชต และชาวเมืองก็จะเกิดศรัทธาเหมือนกันพระมหากัจจายนะ จึงกราบทูลลาพระบรมศาสดาพาภิกษุบริวารอีก ๗ องค์นั้น เดินทางกลับสู่กรุงอุชเชนี ประกาศหลักธรรมคำสอนในพุทธศาสนาให้พระเจ้าจัณฑปัชโชต และชาวเมืองได้สดับรับฟัง เกิดศรัทธาเลื่อมใส ทำให้พระพุทธศาสนาแพร่กระจายทั่วกรุงอุชเชนีแล้ว ท่านก็ได้เดินทางกลับมาเฝ้าพระผู้มีพระภาคอีก

กราบทูลขอพระบรมพุทธานุญาตแก้ไขพุทธบัญญัติ

เสมือนหนึ่ง ท่านพระมหากัจจายนะ พักอาศัยอยู่ที่ภูเขาปวัตตะ แขวงเมืองกุรุรฆระ ในอวันตีทักขิณาปถชนบท ขณะนั้น มีอุบาสกคนหนึ่งชื่อว่า โสณกุฎิกัณณะ มีศรัทธาจะอุปสมบท แต่เนื่องจากในอวันตีชนบทนั้นมีพระภิกษุจำนวนน้อย ไม่ครบเป็นคณปูรกะจำนวน ๑๐ รูป (ทสวรรค) ตามพระบรมพุทธานุญาต ท่านจึงให้บรรพชาเป็นสามเณรอยู่นานถึง ๓ ปีกว่าจะได้อุปสมบท และเมื่อท่านโสณกุฏิกัณณะได้อุปสมบทแล้ว ปรารถนาจะเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา ได้กราบลาพระมหากัจจายนะ ก็อนุญาตพร้อมทั้งสั่งให้ไปราบทูลขอพระบรมพุทธานุญาต ให้พระพุทธองค์ทรงแก้ไขพุทธบัญญัติ ๕ ข้อ ซึ่งไม่สะดวกแก่พระภิกษุผู้อยู่ในอวันตีชนบท คือ:-

๑) ในอวันตีชนบท มีพระภิกษุจำนวนน้อย ขอให้พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตการอุปสมบทด้วยคณะพระภิกษุน้อยกว่า ๑๐ รูปได้ ข้อนี้ พระพุทธองค์ทรงอนุญาตว่า ?ดูก่อนภิกษุ เราอนุญาตการอุปสมบทในปัจจันตชนบท ด้วยคณะพระภิกษุ ๕ รูปได้?
๒) ในอวันตีชนบท มีพื้นดินขรุขระไม่เรียบไม่สม่ำเสมอ ขอให้พระผู้มีอาภาคทรงอนุญาตให้พระภิกษุในอวันตีชนบทสวมรองเท้ามีพื้นหลายชั้นได้ ข้อนี้ ทรงอนุญาตว่า ?ดูก่อนภิกษุ เราอนุญาตให้ภิกษุสวมรองเท้ามีพื้นหลายชั้น ใน ปัจจันตชนบทได้?
๓) ในอวันตีชนบท อากาศร้อน บุคคลต้องอาบน้ำทุกวัน ขอพระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ภิกษุอาบน้ำเป็นนิตย์ได้ข้อนี้ ทรงอนุญาตว่า ?ดูก่อนภิกษุ เราอนุญาตการอาบน้ำได้เป็นนิตย์แก่ภิกษุผู้อยู่ใน ปัจจันตชนบท?
๔) ในอวันตีชนบท มีเครื่องลาดที่ทำด้วยหนังมีหนังแพะ และหนังแกะ เป็นต้น สมบูรณ์ดีเหมือนในมัชฌิมชนบท ขอพระพุทธองค์ทรงอนุญาตเครื่องลาดทำด้วยหนังสัตว์ มีหนังแพะ และหนังแกะ เป็นต้นเหล่านั้นเถิด ข้อนี้ ทรงอนุญาตว่า ?ดูก่อนภิกษุ เราอนุญาตเครื่องลาดที่ทำด้วยหนังสัตว์เหล่านั้น?
๕) ทายกทั้งหลาย มักจะถวายจีวรแก่ภิกษุผู้ที่ออกจากวัดไปแล้ว ด้วยสั่งไว้ว่า ?ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอถวายจีวรผืนนี้แก่ภิกษุชื่อนี้? เมื่อเธอกลับมาแล้ว ทายกได้นำจีวรเข้าไปถวาย แต่เธอไม่ยอมรับด้วยเข้าใจว่า ผ้าผืนนี้เป็นนิสสัคคีย์ข้อนี้ ทรงอนุญาตว่า ?ดูก่อนภิกษุ เราอนุญาตให้ภิกษุรับจีวรที่ทายกถวายลับหลังได้ ด้วยว่า ผ้ายังไม่ถึงมือเธอตราบใด จะถือว่าเธอมีสิทธิ์ในผ้าผืนนั้นเต็มที่ไม่ได้ตราบนั้น?

ความสามารถพิเศษของพระมหากัจจายนเถระ

พระมหากัจจายนเถระ เป็นพระพุทธสาวก ที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดสามารถอธิบายธรรมที่ย่อให้พิสดาร ให้ผู้ฟังเกิดศรัทธาเลื่อมใสได้โดยไม่ยาก ทั้งนี้เพราะส่วนหนึ่งท่านเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญในปฏิสัมภิทา ๔ คือ:-

๑) อัตถปฏิสัมภิทา ผู้มีปัญญาแตกฉานในอรรถ สามารถอธิบายความย่อให้พิสดารได้
๒) ธัมาปฏิสัมภิทา ผู้มีปัญญาแตกฉานในธรรม สามารถถือเอาความโดยย่อจากธรรมที่พิสดารได้
๓) นิรุตติปฏสัมภิทา ผู้มีปัญญาแตกฉานในนิรุตติ มีความเชี่ยวชาญในภาษา สามารถพูดให้คนอื่นเลื่อมใสได้
๔) ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ผู้มีปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ มีไหวพริบและปฏิภาณ สามารถแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้

นอกจากนี้ยังมีพระธรรมเทศนาของท่านอีกหลายกัณฑ์ ที่พระธรรมสังคาหกาจารย์ ได้ยกขึ้นสู่สังคีติ คือการทำสังคายนา ได้แก่:-

๑ ภัทเทกรัตตสูตร เป็นสูตรที่แสดงถึงเรื่องบุคคลผู้มีราตรีเดียวเจริญ คือ คนที่เวลาวันคืนหนึ่ง ๆ มีแต่ความดีงาม ความเจริญก้าวหน้า ได้แก่ ผู้ที่ไม่มัวครุ่นคิดถึงอดีต ไม่เพ้อฝันหวังอนาคต ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นแจ้งประจักษ์สิ่งที่เป็นปัจจุบัน ทำความดีเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยไป มีความเพียรพยายามทำกิจที่ควรทำตั้งแต่ในวันนี้
๒ มธุรสูตร เป็นสูตรที่ท่านแสดงแก่พระเจ้ามธุรราชอวันตีบุตร ในขณะที่ท่านพักอยู่ที่คุณธาวัน มธุรราชธานี สูตรนี้มีใจความแสดงถึงความไม่แตกต่างกันของวรรณะ ๔ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ และศูทร วรรณะทั้ง ๔ นี้ แม้จะถือตัวอย่าง เหยียดหยามกันอย่างไร แต่ถ้าทำดีก็ไปสู่ที่ดีเหมือนกันทั้งหมด ถ้าทำชั่วก็ต้องรับโทษไปอบายเหมือนกันทั้งหมดทุกวรรณะเสมอกัน ในพระธรรมวินัย ออกบวชบำเพ็ญสมณธรรมแล้ว ไม่เรียกว่าวรรณะอะไร แต่เป็นสมณะเหมือนกันทั้งหมด ที่พระเถระกล่าวสูตรนี้ ก็เพราะพระเจ้ามธุรราชอวันตีบุตร ถามปัญหากับท่านเกี่ยวกับเรื่องพราหมณ์ถือตัวว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ และเกิดจากพรหม ท่านจึงแก้ว่าไม่เป็นความจริงแล้วยกตัวอย่างเป็นข้อ ๆ ดังนี้:-

๑) ในวรรณะ ๔ เหล่านี้ วรรณะใดเป็นผู้ร่ำรวย มั่งมีเงินทอง วรรณะเดียวกัน และวรรณะอื่นย่อมเข้าไปหา ยอมเป็นบริวารของวรรณะนั้น
๒) วรรณะใดประพฤติอกุศลกรรมบถ เมื่อตายไป วรรณะนั้นย่อมเข้าสู่อบายเสมอ เหมือนกันทั้งหมด
๓) วรรณะใดประพฤติกุศลกรรมบถ เมื่อตายไป วรรณะนั้นย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เหมือนกันทั้งหมด
๔) วรรณะใดทำโจรกรรม ทำปรทาริกกรรม วรรณะนั้นต้องรับราชอาญาเหมือนกันทั้งหมด ไม่มียกเว้น
๕) วรรณะใดออกบวช ตั้งอยู่ในศีลในธรรม วรรณะนั้นย่อมได้รับความนับถือ การบำรุง และการคุ้มครองรักษา เสมอเหมือนกันทั้งหมด

เมื่อพระเถระแสดงเทศนามธุรสูตรจบลงแล้ว พระเจ้ามธุรราช ก็เกิดศรัทธาเลื่อมใส ประกาศประองค์เป็นอุบาสกในพระพุทธศาสนา

พระเถระแปลงร่าง

ดังที่กล่าวมาในตอนต้นแล้วว่าพระมหากัจจายนเถระ เป็นผู้มีรูปร่างสง่างามผิวเหลือง ดุจทองคำสะอาดผ่องใจ เป็นที่ต้องตาถูกใจแก่ผู้พบเห็นทั่วไป จนกระทั่งมีเหตุการณ์วิปริตเกิดขึ้นแก่บุตรเศรษฐีคนหนึ่งในเมืองโสเรยยะ ชื่อว่า โสเรยยะ เหมือนชื่อเมือง ขณะที่เขานั่งบนยานพาหนะกับสหายเพื่อไปอาบน้ำพร้อมกับบริวารทั้งหลาย ได้เห็นพระเถระกำลังยืนห่มจีวร เพื่อเข้าไปบิณฑบาตในเมืองแล้วเกิดความพอใจ ในดวงจิตคิดอกุศลขึ้นว่า ?งามจริงหนอ พระเถระรูปนี้ น่าจะเป็นภริยาของเรา หรือไม่ก็ขอให้ภริยาของเรามีสีผิวกายเหมือนพระเถระนี้? ด้วยอกุศลจิตคิดเพียงเท่านี้ ทำให้เพศชายของเขาหายไป กลายเป็นเพศหญิงไปทั้งร่าง ทำให้เขาอับอายเป็นอย่างมาก และโดยที่ไม่มีใครรู้เขารีบลงจากยานนั้นแล้วเดินตามกองเกวียนพ่อค้าไปยังเมืองตักสิลา และได้เป็นภริยาของลูกชายเศรษฐีในเมืองนั้น อยู่ร่วมกันจนมีบุตร ๒ คน แต่เดิมทีที่เขาอยู่ในเมือง โสเรยยะนั้น เขาก็มีภริยาอยู่แล้วและมีบุตรด้วยกัน ๒ คน เช่นเดียวกัน จึงปรากฏว่าเขาเป็นทั้งพ่อและแม่ หรือเป็นทั้งผัวและเมียในชาติเดียวกันนี้ต่อมา พระมหากัจจายนเถระ จาริกมายังเมืองตักสิลา โสเรยยะทราบแล้วจึงเล่าเรื่องราวของตนที่ผ่านให้สามีฟัง แล้วพากันไปกราบขอขมาโทษต่อพระเถระ เมื่อท่านทราบเรื่องโดยตลอดแล้วก็ยกโทษให้ และเพศหญิงก็หายไปเพศชายปรากฏขึ้นมาเหมือนเดิม เขาเกิดศรัทธาเลื่อมใสในพระเถระเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งเห็นว่าตนเองเป็นคนแปลกคือเป็นทั้งชายและหญิงในอัตภาพเดียวเท่านั้น และยังคิดว่าไม่ควรที่จะอยู่ครองเพศฆราวาสต่อไป จึงมอบบุตรทั้ง ๔ คนให้บิดามารดาเลี้ยงดูต่อไป ส่วนตนเองได้ขอบวชในสำนักพระเถระ และได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในกาลต่อมาพระมหากัจจายนะ นอกจากจะมีเรื่องของโสเรยยะแล้ว ยังมีเรื่องพระภิกษุเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เห็นพระเถระเดินมาแต่ไกลแล้วก็พากันกล่าวว่า ?พระบรมศาสดาของพวกเราเสด็จมาแล้ว? แล้วพากันทำความเคารพกราบไหว้ ทั้งนี้ก็เพราะท่านมีรูปลักษณ์ละม้ายกับพระผู้มีพระภาคนั้นเอง พระเถระพิจารณาเห็นโทษเช่นนี้แล้ว จึงอธิษฐานจิตเนรมิตรร่างกายของท่านให้เปลี่ยนแปลงผิดแปลงไปจากเดิม ร่างกายที่เคยสง่างามก็ย่นย่อ ต่ำเตี้ย ท้องป่อง หมดความสวยงามดังที่พุทธศาสนิกชนนิยมสร้างรูปท่านไว้เป็นที่สักการบูชาในทุกวันนี้

ได้รับยกย่องในทางอธิบายความย่อให้พิศดาร

ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงแสดงภัทเทกรัตตสูตรแต่โดยย่อ แล้วเสด็จเข้าสู่พระวิหารที่ประทับ พระภิกษุทั้งหลายไม่ได้โอกาสเพื่อจะกราบทูลถามเนื้อความที่ตรัสไว้โดยย่อให้เข้าใจได้ จึงพากันเข้าไปหาพระมหากัจจายนะ กราบอาราธนาให้ท่านได้เมตตาอธิบายขยายความให้ฟัง พระเถระได้อธิบายขยายความย่อให้ฟังอย่างพิสดาร แล้วกล่าวแนะนำว่า ?ท่านผู้มีอายุ ข้าพเจ้าเข้าใจความหมายแห่งพระสูตรนี้ตามที่อธิบายมานี้ แต่ถ้าท่านทั้งหลายมีความต้องการจะทราบให้แน่ชัดก็จงไปกราบทูลถามพระผู้มีพระภาค เมื่อพระองค์ทรงแก้อย่างไร ก็จงจำไว้อย่างนั้นเถิด? พระภิกษุเหล่านั้นพากันลาพระเถระแล้ว เข้าไปกราบทูลเนื้อความที่พระมหากัจจายนะ อธิบายไว้ให้พระพุทธองค์ทรงสดับ พระผู้มีพระภาค ตรัสสรรเสริญพระเถระว่า ?ภิกษุทั้งหลาย พระมหากัจจายนะ เป็นผู้มีปัญญา เนื้อความนั้นถ้าพวกเธอถามตถาคต แม้ตถาคตก็จะอธิบายอย่างนั้น เช่นกัน ขอพวกเธอจงจำเนื้อความนั้นไว้เถิด?

เมื่อครั้งพระพุทธองค์ ประทับอยู่ ณ พระเชตะวันมหาวิหาร ทรงตั้งพระมหากัจจายนะ ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในฝ่าย ผู้อธิบายเนื้อความย่อให้พิสดารท่านพระมหากัจจายนเถระ ดำรงอายุสังขารโดยสมควรแก่กาลเวลาแล้วก็ดับขันธปรินิพพาน

562
ประวัติ พระสารีบุตร เอตทัคคอัครมหาสาวกผู้เลิศทางปัญญา

พระสารีบุตรถือกำเนิดในครรภ์ของนางสารีพราหมณีในบ้านอุปติสสคาม ณ หมู่บ้านนาลกะ (นาลันทะ) ไม่ไกลกรุงราชคฤห์ เดิมชื่อ อุปติสสะ บิดาคือ วังคันตพราหมณ์ มารดาคือ สารีพรามหณี มีน้องชาย ๓ คนชื่อ
อุปเสนะ (เอตทัคคมหาสาวกผู้นำความเลื่อมใสมาโดยรอบ),
จุนทะ (พระมหาสาวกจุนทะ แต่พระส่วนใหญ่ชอบเรียกท่านว่า สามเณรจุนทะ จนติดปาก),
เรวตะ (เอตทัคคมหาสาวกเลิศทางผู้อยู่ป่าเป็นวัตร),
มีน้องสาว ๓ คน นามว่า จาลา, อุปจาลา และสีสุปจาลา ซึ่งต่อมาได้บวชเป็นภิกษุณีและสามารถบรรลุธรรมขั้นสูง เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด แม้สหายของท่านคือ พระโมคคัลลานะ ก็ถือกำเนิดในครรภ์ของโมคคัลลีพราหมณีในวันเดียวกัน บ้านโกลิตคาม อันไม่ไกลกรุงราชคฤห์

วัยหนุ่มตอนเป็นคฤหัสถ์

ในกรุงราชคฤห์มีงานมหรสพประจำปีบนยอดเขา ซึ่งมาณพทั้งสองก็นั่งรวมกันดูมหรสพเป็นประจำ จนกระทั่งถึงวันหนึ่ง ท่านทั้งสองเริ่มมีความเบื่อหน่ายในงานมหรสพ ด้วยต่างคิดว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่ควรดูในมหรสพเหล่านี้ เพราะคนทั้งหมด ต่างก็จะล้มหายตายจากกันไป เราควรแสวงธรรมซึ่งเป็นเครื่องหลุดพ้น ดังนี้ ขณะนั้นโกลิตะเห็นเพื่ออุปติสสะใจลอยจึงกล่าวถาม อุปติสสะจึงบอกความในใจ ที่เบื่อหน่ายต่อมหรสพและความต้องการแสวงหาธรรมอันเป็นเครื่องหลุดพ้นแล้วจึงถามกลับบ้าน ซึ่งโกลิตะก็ตอบโดยมีเนื้อความเช่นเดียวกัน เมื่อต่างคนต่างทราบความในใจแล้ว จึงชวนกันไปบวชในสำนักของสัญชัยปริพาชก พร้อมกับมาณพอีก ๕๐๐ คน เมื่อบวชแล้วท่านทั้งสองได้เรียนจบลัทธิของสัญชัยปริพาชกทั้งหมด โดยใช้เวลาเพียง ๒-๓ วันเท่านั้น เมื่อหมดความรู้ที่จะศึกษาแล้ว และยังไม่เห็นถึงธรรม ท่านจึงอำลาและแสวงหาอาจารย์ท่านอื่นๆต่อไป ซึ่งท่านทั้งสองได้ตกลงกันว่า หากใครบรรลุอมตะก่อน ผู้นั้นจงบอกแก่กัน

สมัยนั้น พระอัสสชิเถระหนึ่งในภิกษุปัญจวัคคีย์ ได้ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์แต่เช้าตรู่ อุปติสสปริพาชกทำภัตกิจแต่เช้ามืดแล้วเดินไปอารามปริพาชก ได้เห็นพระเถระจึงตั้งใจเข้าไปสอบถามคำถามต่างๆ แต่เนื่องจากพระเถระกำลังบิณฑบาตอยู่ จึงติดตามไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงสถานที่แห่งหนึ่ง จึงเข้าไปอุปัฏฐากพระเถระ เมื่อเสร็จจากภัตกิจแล้วจึงได้สนทนาธรรมกัน โดยการสนทนาธรรมในครั้งนี้ทำให้ท่านได้บรรลุธรรมขั้นโสดาบัน เมื่อสอบถามถึงสถานที่ประทับของพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านจึงกลับไปตามโกลิตปริพาชก เมื่อท่านได้กล่าวคาถาที่พระเถระได้มอบให้ไว้ โกลิตปริพาชกก็บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันเช่นเดียวกัน ท่านทั้งสองจึงนับถือพระอัสสชิเป็นอาจารย์ และไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่พระเวฬุวัน แต่ก่อนไป ท่านทั้งสองได้ไปชักชวนอาจารย์เก่า คือสัญชัยปริพาชก แต่อาจารย์ท่านปฏิเสธ แต่มีอันเตวาสิก ๒๕๐ คนได้ติดตามไปด้วย

เมื่อพระศาสดากำลังทรงแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางบริษัท ๔ เห็นชนเหล่านั้นแต่ไกล จึงตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า ๒ คนนั้น คือโกลิตะและอุปติสสะกำลังเดินมา ทั้งสองนี้แหละจักเป็นคู่สาวกที่เลิศที่เจริญ ครั้นแล้วทรงขยายพระธรรมเทศนา เนื่องด้วยจริยาแห่งบริษัทของ ๒ สหายนั้น ในครั้งนั้นบรรดาผู้ติดตามทั้งหมดต่างได้บรรลุอรหัตผล ยกเว้นพระอัครสาวกทั้งสอง เมื่อนั้นพระศาสดาจึงประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาให้

การบรรลุธรรม

หลังจากพระสารีบุตรเถระบวชได้ครึ่งเดือน ก็เข้าไปอาศัยอยู่ในถ้ำสุกรขาตากับพระศาสดา กรุงราชคฤห์ ขณะที่พระสารีบุตรถวายงานพัดอยู่นั้น เมื่อพระศาสดาทรงแสดงเวทนาปริคหสูตรแก่ทีฆนขปริพาชก ผู้เป็นหลานของพระสารีบุตร ท่านได้ส่งญาณไปตามกระแสพระสูตร ก็ได้บรรลุถึงที่สุดสาวกบารมีญาณ สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ในวันขึ้น ๑๕ เดือน ๓ เวลาบ่ายในเวลาต่อมา พระศาสดาจึงทรงสถาปนาพระมหาสาวก้ทั้งสองไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะว่า สารีบุตรเป็นยอดของภิกษุสาวกของเราผู้มีปัญญามาก มหาโมคคัลลานะเป็นยอดของภิกษุสาวกของเราผู้มีฤทธิ์มาก แม้ว่าพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะจะเกิดพร้อมกัน แต่ด้วยพระสารีบุตรสำเร็จเป็นพระโสดาบันก่อน พระผู้มีพระภาคจึงถือให้พระสารีบุตรเป็นผู้พี่ของพระโมคคัลลานะ.

นิพพาน

เมื่อพระสารีบุตรอาพาธ ท่านจึงทูลลาพระพุทธเจ้ากลับไปนิพพานยังบ้านเกิด ก่อนนิพพานท่านได้ทำให้โยมมารดาเปลี่ยนใจ หันมายอมรับนับถือพระพุทธศาสนา โดยแสดงธรรมแก่มารดาจนบรรลุธรรมขั้นโสดาบัน หลังจากท่านนิพพานแล้วพระจุนทะจึงนำพระธาตุของพระสารีบุตรไปถวายพระพุทธเจ้าพระสารีบุตรปรินิพพานก่อนพระพุทธเจ้าประมาณ ๖ เดือน คือ วันเพ็ญ เดือน ๑๒(ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒) เวลาใกล้รุ่ง ที่บ้านตนเอง.

 

<<< back

563
พอประเทศไทยเอาจีดีพีเป็นตัวนำ มโนธรรมหายไปจากประเทศ กลายเป็นประเทศที่มีความทุกข์อันดับต้นๆ ของโลก เป็นประเทศที่ดื่มเหล้าติด 1 ใน 5 ของโลก ทั้งๆ ที่เราก็เป็นเมืองพุทธ นี่คือทุกข์ของคน เพราะคนโง่ ทำให้เกิดความทุกข์ของประเทศ ความทุกข์ของประเทศก็กลายเป็นความทุกข์มวลรวมประชาชาติ ฉะนั้นถ้าเราอยากจะแก้ทุกข์ก็ต้องมาเริ่มแก้ที่คนก่อน แผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับใหม่ จะหันมาเน้นที่เศรษฐกิจพอเพียงแล้วก็คน ทีนี้ถ้าคน คนมันก็เยอะ เราจะเอาคนระดับไหน พระ พุทธเจ้าท่านเคยทำงานในลักษณะว่า จับโจรให้จับหัวหน้า ถ้าเรามัวแต่ไปเทศน์สอนปลาซิวปลาสร้อย กว่ามันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงข้างบนนะ นานเหลือเกิน ใช่ไหม แต่ถ้าเราเอานักการเมืองมาเข้าคอร์ส วิปัสสนากรรมฐาน ไม่ต้องมากล่ะ เอาหัวหน้าพรรคการเมืองสัก 5 พรรค เข้าคอร์สกรรมฐานสัก 7 วัน อาตมายินดีสอนนะ รับรองเกิดการเปลี่ยนแปลง รับรองเลย เพราะอะไร คนที่ไม่เคยเจริญสติปัฏฐาน จะมองไม่เห็นตัวเอง เขาจะมองไม่ออกว่าเราเกิดมาทำไม เขาจะถามตัวเองว่าฉันจะรวยเมื่อไร จะรวยอย่างไร แต่คนที่เจริญสติปัฏฐานแล้วจะถามว่า ฉันเกิดมาทำไม อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตนี้ พอมันเปลี่ยนคำถามอย่างนี้ปุ๊บ จะยังกอบโกยหน้าดำคร่ำเคร่งอยู่ไหม ไม่แล้ว มันเปลี่ยนคำถามในชีวิตแล้ว เราจะเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นประเทศที่มีความสุขมวลรวมประชาชาติ แทนประเทศที่มีความทุกข์มวลรวมประชาชาตินะ ต้องเปลี่ยนคำถามของประเทศใหม่ คำถามของตัวเราก็ต้องเปลี่ยนใหม่ ทุกวันนี้สังคมไทยถูกพาให้ตั้งคำถามว่า ทำอย่างไรถึงจะรวย เราต้องเปลี่ยนใหม่ว่า ทำอย่างไรเราถึงจะมีความสุข
       
       ในหลวงพูดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2517 พระองค์ท่านเปลี่ยนคำพูดไหม ไม่เปลี่ยน ชัดเจนว่าประเทศไทยต้องเป็นอย่างนี้ อยู่แบบพอเพียง ท่านไม่เคยโลเลเลยนะ นโยบายในการบริหารราชการแผ่นดินของพระองค์ท่านไม่เคยโลเล เพราะฉะนั้นถ้าคำถามในชีวิตของเรามันไม่ชัด คน ที่ไม่ชัดเจนในตัวเองคนหนึ่ง เดินไปคบเพื่อน ทำให้เพื่อนที่ชัดเจนอยู่แล้วพลอยไม่ชัดเจนไปอีกคนหนึ่ง เพื่อนคนนั้นเดินกลับเข้าไปบ้าน ทำให้ภรรยาเป๋ไปอีกคนหนึ่ง ภรรยามีลูก สอนลูก ลูกเลยเป๋ไปอีกคนหนึ่ง เดินกลับเข้ามาในออฟฟิศ ถ้าเขาเป็นซีอีโอ พนักงานในเครือเป๋ไปทั้งหมด ขึ้นไปบริหารประเทศทั้งประเทศ ลงห้วยลงเหวกันพอดี เพราะฉะนั้นความไม่รู้จักธรรมะของคนๆ หนึ่ง ทำให้ประเทศทั้งประเทศ ทุกข์ไหม ทุกข์ แต่ทำยังไงเมื่อทุกข์กระทบแล้ว ธรรมจึงกระเทือน ก็มีวิธี พระพุทธเจ้าแสดงธรรมทุกครั้ง แสดงเหตุ แสดงผล แล้วก็แสดงวิธีที่จะดับเหตุดับผลของมัน การแสดงธรรมของพระพุทธเจ้าจะวางอยู่บนหลักพื้นฐานว่านี่คืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร จะเป็นอย่างไรต่อไป และจะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร ภาษาพระก็คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ภาษาฝรั่งก็คือ What Why How และ How to นี่ มันชัดเจนอย่างนี้ ถ้าเราเข้าใจเรื่องของอริยสัจ 4 นะ คนๆ หนึ่งที่เข้าใจอริยสัจ 4 ขึ้นไปบริหารประเทศ ประเทศทั้งประเทศจะได้รับการบริหายภายใต้กระบวนการที่จะนำไปสู่การดับทุกข์ ของพ่อแม่พี่น้องในประเทศ แต่ถ้าคนที่เป็นผู้บริหารไม่เข้าใจเรื่องอริยสัจ 4 พอขึ้นไปบริหารประเทศ จะนำเข้าไปสู่กระบวนการสร้างทุกข์ให้กับคนทั้งประเทศ
       
       มันน่าเสียดายที่เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ แต่ปรัชญาในการบริหารประเทศนี้ไปหยิบยกจากที่อื่นมาตลอด นั่นคือหยิบยกมาจาก กูรู (Guru) ถ้ามันรู้มากๆ แล้วเป็น กูรู้ บางทีฝรั่งเขาก็โง่ เพราะคำว่ากูรูเนี่ย อินเดียเขาออกเสียงว่า คุรุ กุรุ เวลาเขียนด้วยภาษาอังกฤษ หรือ Romanize มันจะเป็นตัว G ตัว U ตัว R ตัว U คุรุ ฝรั่งเขาออกเสียง คุรุ ไม่ได้ ก็ออกเสียงว่า กูรู เพราะอะไร เพราะบางทีฝรั่งก็โง่ เราต้องยอมรับ ต้องพูดไปตามความจริง ฝรั่งโง่ อย่าไปบอกว่าฝรั่งฉลาด เดี๋ยวฝรั่งหลงตัวเอง
       
       จะแก้ทุกข์ ต้องรู้จักทุกข์ให้ชัดๆ คนไทยเนี่ยถูกหลอกให้เชื่อ ผู้รู้มาก แต่เราหลงลืมธรรมะ ซึ่งเป็นปรัชญาในการบริหารประเทศชาติบ้านเมืองไป ในหลวงของเราไม่เขวเลยนะ ทศพิธราชธรรม ตั้งแต่ต้นจนจบ ใช้เรื่องนี้เรื่องเดียวบริหารราชการแผ่นดินได้ทั้งหมด มีอยู่วันหนึ่งฝรั่งเขาโยนคำว่า Good Governance คือธรรมาภิบาล คนไทยแตกตื่น บอกว่า โอ้โห ต้องทำตามนี้เป๊ะเลย ในหลวงเปลี่ยนไหม ไม่เปลี่ยน ดร.สุเมธ บอกว่า ถ้าประเทศไทยไม่มีธรรมาภิบาลมันจะอยู่มาได้อย่างไร อยุธยารุ่งเรืองเป็นมหาอาณาจักร เขาเพิ่งค้นพบอเมริกาเอง เพราะฉะนั้นอเมริกานี่อายุสั้น น่าจะ 200 กว่าปี แต่มีข้อเสียของสังคมไทยก็คือว่า เราเห่อกันไปเรียนเมืองนอก เมื่อเห่อกันไปเรียนเมืองนอกเราก็ไปสมาทานความคิดของตะวันตก ทั้งๆ ที่คนชั้นนำของตะวันตกเวลานี้ สมาทานความคิดตะวันออก มีแต่คนเป็นลูกศิษย์ของดาไล ลามะ นะ แต่คนไทยเมืองไทยเรานี่อยากไปลูกศิษย์ของ Guru ทั้งหลาย แล้ว Guru ทั้งหลายเขาเป็นลูกศิษย์ใคร เขาเป็นลูกศิษย์ดาไล ลามะ เนี่ย เรานะเป็นใกล้เกลือแต่กินด่าง
       
       อยากจะดับทุกข์ แต่พอไม่รู้วิธีดับทุกข์ กลายเป็นสร้างทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านพูดไว้ชัดว่า อยากแสวงหาความสุข แต่ถ้าแสวงหาไม่ถูก บนเส้นทางของการแสวงสุขนั้นกลายเป็นการเอาความทุกข์มาใส่ตัว เนี่ยคือ ทุกข์ของคนๆ หนึ่งกลายเป็นทุกข์ของประเทศชาติบ้านเมืองได้ ดังนั้นถ้าทุกข์กระทบทำยังไงธรรมจะกระเทือน ก็ต้องมีวิธีวิเคราะห์ทุกข์ วิธีวิเคราะห์ทุกข์ก็ต้องถามว่า ทุกข์ทั้งมวลบรรดามีในชีวิตของเรา เริ่มต้นจากไหน บางคนก็บอกว่าที่ใจ ใจนั้นถูกต้อง แต่ว่ากิเลสตัวไหน ตอบว่าที่ใจเนี่ยกำปั้นทุบดิน มันถูกอยู่แล้วล่ะ แต่ต้องวิเคราะห์ลงไปอีก เพราะใจมันมี 4 ห้อง กิเลสตัวไหนที่มันควบคุมทั้ง 4 ห้อง โลภะ โทสะ โมหะ อีกห้องหนึ่งทำอะไร เช่าไว้เป็นวอร์รูม กิเลส 3 ตัว มันเช่าไว้อีกห้องหนึ่ง หัวใจ เอาไว้เป็นวอร์รูม
       
       โลภะ โทสะ โมหะ 3 ตัวนี้ พระพุทธเจ้าตั้งชื่อว่า อกุศลมูล อกุศลมูล แปลว่า รากเหง้าของความชั่ว เพราะฉะนั้นถ้าจะถามหารากเหง้าของความทุกข์ ไม่ต้องหาไกลนะ เอา 3 ตัวนี้ ระดับหัวหน้าพรรคเลย โลภ ปัจจุบันนี้ก็คือทุนนิยม โกรธ คือ อำนาจนิยม ท่านทั้งหลายนึกหน้าออกนะ อำนาจนิยม เที่ยวจัดระเบียบโลกอยู่เรื่อยเลยนะ หลง คืออะไร หลงก็คือ แนวทางการพัฒนาที่ผิดพลาดทั่วทั้งโลก เอาวัตถุนิยมเป็นตัวตั้ง วัตถุนิยมนี้ก็คือ คิดว่าความมั่งคั่ง พรั่งพร้อมทางวัตถุทั้งปวง คือเป้าหมายของการมีชีวิตที่ดี แต่เอาเข้าจริง มีวัตถุพร้อมทุกอย่างแล้วนะ มีทุกอย่างเลย ไม่อยากจะยกตัวอย่างเงิน แต่ยกตัวอย่างอย่างอื่นมันก็ไม่ชัด มีเงินมากที่สุดอย่างบิล เกตส์ มีเงินระดับล้านล้านดอลลาร์ อย่างนี้ วันดีคืนดีแกก็กินยาพาราเซตามอลเหมือนกันนะ ทำไมมีเงินขนาดนั้นยังปวดหัวอยู่ น่าคิดไหม เห็นไหม นี่หลง คือปรัชญาในการดำเนินชีวิตของคนทั้งโลกมันผิดไป
       
       ความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงบรรดามีมันเกิดขึ้นเพราะ โลภ โกรธ หลง ซึ่งเป็นรากฐานของความชั่วในชีวิตคน และสาม การที่เราดับทุกข์ไม่ได้ ก็เพราะว่าเราเข้าหาพระพุทธศาสนาในเหลี่ยมมุมที่ไม่ถูกต้อง
       
       ถ้าเราจะเริ่มดับทุกข์ เริ่มที่ไหน เราจะเริ่มที่ไหน เมื่อกี้นี้เป็นบทนำ ทีนี้จะเริ่มเข้าสู่ภาคปฏิบัติ เราจะทำอย่างไร เราต้องไปเรียนกิเลสให้ชัด ถ้าเราเรียนกิเลสไม่ชัด เราก็ไม่รู้ว่าเรากำลังรบกับใคร ใช่ไหม เรากำลังรบกับใคร คุณสนธินี่เป็นคนที่แม่นประเด็นมาก เป็นคนที่แม่นประเด็น พอ กกต. 3 คน ถูกสั่งพิพากษาว่ามีความผิด คุณสนธิไม่ได้แสดงอาการดีใจเลย เพราะอะไร คุณสนธิบอกว่า รากแก้วของปัญหายังอยู่ อาตมาชอบคนที่จับประเด็นแม่นอย่างนี้ ถ้าเราจับประเด็นแม่น เอามาใช้ในการดับทุกข์ได้ไหม ได้ ถ้าจับประเด็นไม่แม่น คุณก็เขวเองล่ะ ไปหาพระอาจารย์ ฝึกปฏิบัติกันไป ฝึกปฏิบัติกันมา ก็เหมือนที่เป็นข่าว แม่ชีที่เป็นครูสอนวิปัสสนากรรมฐาน ใช่ไหม สุดท้ายก็พากันแปลงร่างไปนอนด้วยกันที่สมุทรปราการ นี่ขนาดสอนกรรมฐานนะ ก็น่าแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าสอนยังไง เพราะจับประเด็นไม่ชัด ถ้าสอนกรรมฐานประเด็นมันต้องชัด ว่านำไปสู่การดับทุกข์ อันนั้นไม่ใช่แค่ไม่ดับทุกข์นะ ไปสร้างทุกข์ใหม่ขึ้นมาเลยนะ กลายเป็นตัวสร้างทุกข์เลย แล้วอาตมานี่ไม่รู้เรื่องกับเขาด้วยเลยนะ ก็ต้องไปออกทีวีแก้ต่างให้อีก เพราะเราจับประเด็นไม่ชัด ถ้าจะดับทุกข์ต้องจับประเด็นชัดๆ ว่า เอาล่ะ ตัวที่มันก่อให้เกิดทุกข์มี 3 นะ โลภ โกรธ หลง โลภคือความอยาก โกรธก็คือความคับแค้น ความอาฆาต พยาบาท จองเวรจองกรรม ไม่ปล่อยไม่วาง หลงก็คือความโง่นั่นเอง เราต้องจับประเด็น 3 ตัวนี้ เอาให้อยู่หมัด แล้วรู้นะว่า 3 ตัวนี้ เป็นตัวทุกข์ ถ้า 3 ตัวนี้เกิดขึ้นในชีวิต ยังจะเอาไว้ไหม ถ้ามันเป็นตัวทุกข์ ต้องขับออกนะ ต้องขับออก ถ้ามันไม่ออกก็ต้องผ่าตัดมัน ต้องผ่าตัดความทุกข์ ผ่าตัดความโลภ ผ่าตัดความโกรธ ผ่าตัดความหลง
       
        ในหลวงนี่ผ่าตัดความโลภ พระองค์ท่านทำยังไง พระองค์ท่านไม่เคยใช้ชีวิตด้วยการวิ่งตามความโลภ แต่ใช้ชีวิตามเหตุผล พระองค์ท่านทำอะไรนี่ใช้เหตุผลตลอด ไม่เอาความโลภมาเป็นตัวนำในการใช้ชีวิต ในการบริหารราชการแผ่นดิน อย่างล่าสุดช่างเสื้อส่วนพระองค์ก็มาแถลง ใช่ไหม หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์เขาก็ลงบทสัมภาษณ์ช่างตัดเสื้อในหลวง เสื้อตัวที่ใส่มารักษาอาการพระประชวรที่โรงพยาบาลศิริราช น่ะ เขาบอกว่าตัวนี้ตัดมาแล้ว 6 ปี สูทที่ทรงยาวนานที่สุด 12 ปี ดูสิ นี่คือพระองค์ท่านนะ ข้าราชบริพารท่านหนึ่งบอกว่า ในหลวงใช้รองเท้า คือฉลองพระบาทนี่ 60 ปี ยี่ห้อเดียว ไม่เคยเปลี่ยน ยี่ห้อเดียวนะ ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ เล่าว่า ในหลวงทรงทำเรื่องของเบิกดินสอ ปีละ 12 แท่ง เห็นไหม แล้วเรานี่ใช้กันยังไง ปีละ 12 แท่ง แท่งละเดือนน่ะ ใช้จนกุดกันไปเลย นี่คือพระองค์ท่านนะ ไม่มีเลยที่จะใช้ชีวิตตามความโลภ สระที่วังสวนอัมพร รัฐบาลสร้างถวายอย่างดีเลยนะ หรูหรา พระองค์ท่านบอกว่าถึงมีไว้ก็ไม่ได้ใช้ มกุฎราชกุมารญี่ปุ่น ส่งปลานิลมาให้ เอาปลานิลไปเพาะในสระหลวงเลย นั่นน่ะสระหรูๆ ของพระองค์ท่าน ไม่ว่าย ให้ปลามันว่าย แล้วพอปลาว่ายแตกลูกแตกหลาน พระองค์ท่านเสวยไหม ไม่ เอาขึ้นโต๊ะกี่ครั้งๆ พระองค์ท่านก็เอาขยับไปห่างๆ แล้วไม่ว่าด้วยนะ ไม่ตำหนิแม่ครัว วันหนึ่งก็มีคนใจกล้ากราบบังคมทูลฯ ถามว่าทำไมไม่โปรดเสวยปลานิล พระองค์ท่านก็บอกว่า รักมันเหมือนลูก เพราะว่าเลี้ยงมันมา เพราะฉะนั้นไม่เสวย แต่แตกลูกแตกหลานไปแล้วทำยังไง เอาพันธุ์ปลานิลนั้นกระจายแจกผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศไทย ทุกวันนี้มีราษฎรของพระองค์เลี้ยงปลานิลอยู่ทั่วทุกจังหวัดใช่ไหม คตินี้สะท้อนว่า กินคนเดียว อิ่มคนเดียว แต่ถ้าแบ่งให้คนอื่นกิน อิ่มกันทั้งประเทศ

564
แม้พุทธศาสนาจะไม่สอนให้ติดยึดในชื่อเสียง แต่
ช่วงระยะเวลาไม่กี่ปี มานี้ ชื่อเสียงของพระหนุ่มนาม ว.วชิรเมธี ก็ขจรขจายลือเลื่อง ในฐานะพระนักเทศน์ และพระรุ่นใหม่ที่ศึกษาธรรมะ และเดินตามรอย ท่านพุทธทาส โดยมีมุมมองความคิดทั้งในทางธรรม และทางโลก ออกมาทั้งในรูปของการพูดและงานเขียนที่น่าสนใจ
        ว.วชิรเมธี ได้มาบรรยายพิเศษในงาน อุทยานรักษ์สุขภาพ
       ครั้งที่ 21 ณ บ้านเจ้าพระยาวันที่ 29 กรกฎาคม 2549 โดยใช้หัวข้อธรรมบรรยาย ครั้งนี้ว่า "ทุกข์กระทบ ธรรมกระเทือน" มีสาระน่าสนใจ "ผู้จัดการปริทรรศน์" จึงขอนำธรรมะบางตอนมาตีพิมพ์ไว้ ณ ที่นี้
       
       ขอเจริญพรผู้สนใจธรรมะทุกๆ ท่าน ช่วงนี้สุขภาพของประเทศไทยไม่ค่อยดี สุขภาพของพ่อก็ไม่ค่อยดี เพราะฉะนั้นก็เลยตั้งใจธรรมบรรยายในวันนี้ว่า ทุกข์กระทบ ธรรมกระเทือน ก็จะชวนท่านทั้งหลายมาสำรวจว่า ทุกข์มันเกิดขึ้นที่ไหน ที่ใจใช่ไหม ถ้าสมมุติว่าประเทศมันยุ่งเหยิง ความทุกข์ของประเทศเกิดขึ้นที่ไหน เกิดขึ้นที่ไหน ที่คน คนนั้นศูนย์รวมความทุกข์มันอยู่ที่ไหน มันก็อยู่ที่ใจ เพราะฉะนั้นทุกข์ของคน ทุกข์ของประเทศ ถึงที่สุดแล้ว เหมือนที่พระพุทธเจ้าพูด เกิดที่ใจ เกิดที่ใจ ดับที่ไหน ทุกข์ในชาตินี้ จะดับชาติหน้าได้ไหม ทุกข์ที่นี่ ก็ดับมันที่นี่ คนไทยมีความเข้าใจผิดว่าปฏิบัติตามอารยมรรคชาตินี้ กะว่าหลายๆ ชาติหน้าถึงจะถึงนิพพาน ทำเหตุชาติหนึ่งแล้วไปเอาผลอีกชาติหนึ่ง จริงๆ พระพุทธเจ้าท่านเน้นว่าทำเหตุชาติไหน ก็เอามันชาตินั้น พอเราไปบอกว่าทำเหตุชาตินี้ กะนิพพานในอนาคตกาลโน้นเทอญ อย่างนี้ คนมันก็เลยเอาเถิดเจ้าล่อกับกิเลส แล้วไม่กลัวเลยกิเลส ไม่กลัวกิเลส พอไม่กลัวกิเลสแล้วเป็นยังไง ก็ไปเจอธรรมะเข้า บางครั้งธรรมะนี่ไม่จำเป็นต้องมาจากปากของพระก็ได้ มาจากปากของผู้ที่รู้ธรรมะแต่ไม่ได้บวช ได้ไหม ก็ได้ ดังนั้นถ้าเราเข้าใจแล้วเราจะเห็นว่า คนทุกข์ก็มีอยู่ทั่วไป วิธีดับทุกข์ก็มีอยู่ทั่วไป แต่คนมีปัญญาจะมองเห็น
       
       มีคนไปถามหลวงปู่มั่นว่าไม่ได้เรียนสูง แต่ทำไมธรรมะลึก หลวงปู่มั่นก็บอกว่า ธรรมะมันก็เหมือนเส้นดินเส้นหญ้านั่นล่ะ ก็มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง คนตาดีถึงจะมองเห็น คนตาไม่ดีมองไม่เห็น คนตาถั่วเห็นแต่ผลประโยชน์นะ เขาส่งสัญญาณตั้งนานก็ไม่เห็น เพราะอะไร ผลประโยชน์มันเข้าหูเข้าตา พอทุกข์กระทบแล้วแทนที่ธรรมจะกระเทือน อะไรกระเทือน ความแค้นกระเทือน เนี่ย มนุษย์นะ ดังนั้นวันนี้จะวิเคราะห์ทุกข์ให้ฟัง เอาทั้งทุกข์ของคนและทุกข์ของประเทศ จะได้เห็นภาพรวมว่าธรรมะมันเกี่ยวข้องกับคน เกี่ยวข้องกับประเทศชาติบ้านเมือง มี คนถามอาตมาว่าวิกฤติของประเทศไทยทุกวันนี้มันวิกฤติที่ไหน บางคนบอกมันวิกฤติทางการเมือง บางคนบอกวิกฤติทางเศรษฐกิจ อาตมาบอกว่าไม่ถูกสักอย่าง มันวิกฤติที่ใจคนเท่านั้นล่ะ เห็นผิดเป็นชอบ เรื่องเดียวเท่านั้น เห็นผิดเป็นชอบ
       
       หลวงพ่อชา ท่านเคยพูดไว้คำหนึ่ง คมมาก ลึกซึ้งมาก ท่านบอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมันถูกอยู่แล้ว มีแต่ใจคนไปเห็นว่ามันผิด ถูกต้องไหม ทุกอย่างมันถูกอยู่แล้ว เช่น คนทำชั่วจะถูกไล่ อย่างนี้มันถูกอยู่แล้ว ตรรกะนี้เป็นความจริงที่สุด แต่มีคนอยากลองดีกับพระพุทธเจ้า ลองทำชั่วแล้วคิดว่าจะอยู่ได้ดู มันจะจริงไหม คนที่ไปเถียงกับพระพุทธเจ้าเนี่ย ก็เหมือนคนที่เอาไข่ไปทุบหิน ไข่เนี่ย วางอยู่เฉยๆ เอาหินหล่นใส่ไข่ ไข่แตกไหม ต่อไปเอาหินวางอยู่เฉยๆ ถือไข่ไปทุบหิน ไข่แตกไหม คนที่ไปเถียงพระพุทธเจ้าจะแพ้ไหม แพ้ ไม่ยกตัวอย่างนะ เพราะฉะนั้นท่านก็เห็นอยู่แล้ว ความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นทุกข์ของคน เรียกว่าเป็นทุกขสัจของคน ทุกข์ของประเทศเรียกว่าเป็นทุกขสัจของสังคม กล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว เบื้องต้นท่ามกลางที่สุด ไปจากใจคน ถ้าใจมันโง่ การใช้ชีวิตโง่ ถ้าใจของคนในประเทศจำนวนมากมันโง่ ก็ทำให้ประเทศนั้นเต็มไปด้วยคนโง่ แล้วประเทศของเราก็จะติดอันดับต้นๆ ของประเทศที่โง่ทั้งหลายในเวทีโลก
       
       เขามีการจัดอันดับประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก ประเทศที่เจริญที่สุดอย่างสหรัฐอเมริกา ติดอันดับที่ 150 นะ เห็นไหม แต่ประเทศที่สุขที่สุดในโลก กลับเป็นประเทศที่แทบไม่มีใครรู้จักเลย เป็นเกาะเล็กๆ แล้วประเทศไทยอยู่ที่ไหน เราเนี่ย 32 ใช่ไหม หลังเวียดนาม ถ้าไปวัดช่วงเดือนเมษาฯ เนี่ยน่าจะร้อยกว่าๆ อันดับคงร่นไปเยอะเลยนะ
       
       แต่ถ้ามาวัดวันที่ 9 ประเทศไทยอันดับ 1 นะ 9 มิถุนาฯ ดังนั้นเราก็จะเห็นว่า เมื่อเราวัดประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลกได้ ตอนนี้เขาก็วัดนะ ประเทศที่มีความทุกข์ที่สุดในโลก เขาวัดอีกแล้ว เดี๋ยวผลก็คงจะออกมา แต่อาตมาอยากจะให้วัดอีก ประเทศที่โง่ที่สุดในโลก อยากจะให้วัดจังเลย เราจะได้รู้ตัวเอง ในวงการมหาวิทยาลัยโลกทุกปีเขาจะวัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำ มหาวิทยาฮาร์วาร์ด ครองแชมป์มา 5-6 ปีซ้อน อันดับ 2 ก็ออกซ์ฟอร์ด อันดับ 3 เอ็มไอที ในเมืองไทยเราน่าจะวัด ใครโง่ที่สุดในประเทศไทย ใครหนาที่สุดในประเทศไทย อย่างนี้ ไม่ต้องวัดใช่ไหม ใครไม่รู้จักคำว่ามโนธรรม เราต้องวัดคำเหล่านี้ เพราะอะไร เพราะคำเหล่านี้ทำให้ประเทศไทยเกิดความทุกข์มวลรวมประชาชาติ ใช่ไหม มันเป็น National Domestic Sufferring ตอนนี้ประเทศภูฏานน่ะ เขาวัดความสุขมวลรวมประชาชาติเป็น National Domestic Happiness แต่ประเทศไทยสนอยู่เรื่องเดียว สนอะไร จีดีพี สนจีดีพี พอสนแต่จีดีพีมันก็ ตัวนั้นน่ะเป็นตัวทุกข์เลยนะ เพราะอะไร เพราะว่าเราเคยอยู่กันอย่างมีความสุขในสังคมแบบพอเพียง พอไปวัดจีดีพี ทุกอย่างต้องขาย สมมุติคุณทำสวนทุเรียนมาตั้งแต่สมัยเจ้าคุณปู่ 70 แต่นโยบายของรัฐบาลไม่สนับสนุนให้ขายทุเรียน เพราะว่าเราขายสู้ประเทศอื่นไม่ได้ เขาบอกให้คุณเลิก แล้วคุณไปขายอย่างอื่นที่มันจะขายแข่งกับคนอื่นได้ เขาจะไม่สนเลยว่าคุณจะผูกพันกับเจ้าคุณปู่ของคุณมากี่ปีกี่ชาติ ไม่สน ในวัฒนธรรมของทุนไม่สนเรื่องจิตวิญญาณ สนแต่ว่าอะไรขาย ส่งเสริม อะไรไม่ขายให้เลิก แล้วมนุษย์เรานี้มันอยู่เพื่อที่จะหาเงินเท่านั้นหรือ ใช่ไหม สมองมนุษย์มันมี 2 ซีก ซีกหนึ่งมันใช้เหตุผล ซีกหนึ่งมันใช้สุนทรียะ เรื่องจิตวิญญาณ เรื่องความดีงาม เรื่องมโนธรรม

565
ทศภูมิของพระโพธิสัตว์

ทศภูมิของพระโพธิสัตว์ คือภูมิจิตของพระโพธิสัตว์ มี ๑๐ ภูมิดังนี้
๑. มุทิตาภูมิ พระโพธิสัตว์มีความยินดีในความไร้ทุกข์ของสัตว์ (ภูมินี้บำเพ็ญหนักในทานบารมี)
๒. วิมลาภูมิ (ปราศจากมลทิน) พระโพธิสัตว์ละมิจฉาจริยาได้เด็ดขาด ปฏิบัติแต่ในสัมมาจริยา (ภูมินี้มีศีลบารมีเป็นใหญ่)
๓. ประภาการีภูมิ (มีความสว่าง) พระโพธิสัตว์ทำลายอวิชาได้เด็ดขาด มีความอดทนทุกประการ (ภูมินี้มีขันติบารมีเป็นใหญ่)
๔. อรรถจีสมดีภูมิ (รุ่งเรือง) พระโพธิสัตว์มีความเพียรในการบำเพ็ญธรรม (ภูมินี้มีวิริยะบารมีเป็นใหญ่)
๕. ทุรชยาภูมิ (ผู้อื่นชนะยาก) พระโพธิสัตว์ละสภาวะสาวกญาณ กับปัจเจกโพธิญาณ ซึ่งเป็นธรรมเครื่องกั้นพุทธภูมิ (ภูมินี้มีญาณบารมีเป็นใหญ่)
๖. อภิมุขีภูมิ (มุ่งหน้าต่อทางนิพพาน) พระโพธิสัตว์บำเพ็ญยิ่งในปัญญาบารมี เพื่อรู้แจ้งเห็นชัดในปฏิจจสมุปบาท (ภูมินี้มีปัญญาบารมีเป็นใหญ่)
๗. ทูรังคมาภูมิ (ไปไกล) พระโพธิสัตว์มีอุบายอันฉลาดแม้บำเพ็ญกุศลน้อย แต่ได้ผลแก่สรรพสัตว์มาก (ภูมินี้มีอุบายบารมีเป็นใหญ่)
๘. อจลาภูมิ (ไม่คลอนแคลน มั่นคง) พระโพธิสัตว์บำเพ็ญหนักในปณิธานบารมี
๙. สาธุบดีภูมิ พระโพธิสัตว์แตกฉานในอภิญญา และปฏิสัมภิทาญาณ (ภูมินี้บำเพ็ญหนักในพลบารมี)
๑๐. ธรรมเมฆภูมิ พระโพธิสัตว์บำเพ็ญหนักในญาณบารมีมีจิตอิสระ ไม่ติดในรูปธรรม นามธรรม (บำเพ็ญหนักญาณบารมี)

เมื่อพระโพธิสัตว์บำเพ็ญทศภูมิเต็มบริบูรณ์แล้ว ย่อมมีพระคุณเทียบเท่าพระพุทธเจ้า เหลืออีกชาติเดียวก็จักตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เช่นเดียวกับพระศรีอริยเมตตไตรยโพธิสัตว์

จริยธรรมของพระโพธิสัตว์ ๑๐ ประการ

๑. พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาเลยว่า ร่างกายจะไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ
๒. พระโพธิสัตว์ ครองชีวิตโดยไม่ปรารถนาเลยว่า จะไม่มีภยันตราย
๓. พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาเลยว่า จะไม่มีอุปสรรคในการชำระจิตให้บริสุทธิ์
๔. พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาเลยว่า จะไม่มีมารมาขัดขวางการปฏิบัติภารกิจ
๕. พระโพธิสัตว์ คิดว่าจะทำงานให้นานที่สุด โดยไม่ปรารถนาจะให้สำเร็จผลเร็ว
๖. พระโพธิสัตว์ จะคบเพื่อน โดยไม่ปรารถนาจะได้รับผล
๗. พระโพธิสัตว์ จะไม่ปรารถนาว่า จะให้คนอื่นต้องตามใจตนเองเสมอทุกอย่าง
๘. พระโพธิสัตว์ จะทำความดีกับคนอื่น โดยไม่ปรารถนาสิ่งตอบแทน
๙. พระโพธิสัตว์ เห็นลาภแล้ว ไม่ปรารถนาจะมีหุ้นส่วนด้วย
๑๐ พระโพธิสัตว์ เมื่อถูกใส่ร้ายป้ายสี ติเตียน นินทาแล้ว ไม่ปรารถนาจะโต้ตอบ หรือฟ้องร้อง

อุดมการณ์โพธิสัตว์ มีหน้าที่หลัก ๒ ประการ

๑. โพธิสัตว์นอกจากจะมุ่งช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์แล้ว ยังมุ่งในความสุขและความเป็นอยู่ที่ดีในโลกนี้
๒. โพธิสัตว์ปรารถนาให้สรรพสัตว์ได้บรรลุนิพพาน โดยตนเองปฏิเสธการเข้าถึงนิพพานของตน เพื่อที่จะได้ยังมีโอกาสรับใช้ช่วยเหลือผู้อื่น แม้ว่าจะต้องยังอยู่ในที่แห่งความทุกข์ยาก เพื่อสร้างคุณความดีช่วยเหลือสรรพสัตว์ ซึ่งนับว่าเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่โดยตั้งปณิธานสำคัญว่า


"ข้าฯจะไม่เข้าสู่ปรินิพพานจนกว่าสรรพสัตว์ทั้งหลายจะพ้นทุกข์
ข้าฯจะยังคงอยู่ที่นี่ตราบจนวัฏสงสารจะสิ้นสุดลง
แม้ว่าข้าฯยังจะต้องอยู่ที่นี่อีก แม้เพียงชีวิตใดชีวิตเดียว"

ยาน (yanas) หรือเส้นทางซึ่งนำไปสู่การบรรลุโพธิ แบ่งเป็น ๓ ประเภท

๑. สาวกยาน คือ ยานของพระสาวกที่มุ่งเพียงอรหันตภูมิ ซึ่งรู้แจ้งในอริยสัจ ๔ ด้วยการสดับจากพระพุทธเจ้า
๒. ปัจเจกยาน คือ ยานของพระปัจเจกพุทธเจ้า ได้แก่ ผู้รู้แจ้งในปฏิจจสมุปบาทด้วยตนเอง แต่ไม่สามารถแสดงธรรมสั่งสอนสัตว์ให้บรรลุมรรคผลได้
๓. โพธิสัตวยาน คือ ยานของพระโพธิสัตว์ ซึ่งได้แก่ผู้มีจิตใจเมตตา ใจคอกว้างขวาง ประกอบด้วยมหากรุณาในสรรพสัตว์ ไม่ต้องการอรหันตภูมิ ปัจเจกภูมิ แต่ปรารถนาพุทธภูมิ เพื่อโปรดสัตว์ได้กว้างขวาง และเป็นรู้แจ้งในสุญญตธรรม

โพธิสัตว์จะต้องมีจรรยา ๔ คือ

๑. โพธิปักขิยจรรยา คือ ปฏิบัติเพื่อความรู้แจ้ง อันประกอบด้วยคุณธรรม ๓๗ ประการ คือ
๑.๑ สติปัฏฐาน ๔ ได้แก่ กาย เวทนา จิต ธรรม
๑.๒ สัมมัปปธาน ๔ คือ ความเพียรอันบุคคลตั้งไว้ชอบ ได้แก่ สังวรปธาน(เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้นในสันดาน), ปหาปธาน(เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว), ภาวนาปธาน(เพียรให้กุศลเกิดขึ้นในสันดาน) และอนุรักขนาปธาน(เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้วไม่ให้เสื่อม)
๑.๓ อิทธิบาท ๔ ได้แก่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา
๑.๔ อินทรีย์ ๕
๑.๕ พละ ๕ ได้แก่ สัทธา, วิริยะ, สติ, สมาธิ และปัญญา
๑.๖ โพชฌงค์ ๗ ได้แก่ สติ(ความระลึกได้), ธัมมวิจยะ(ความเฟ้นหาธรรม), วิริยะ(ความเพียร), ปีติ(ความอิ่มใจ), ปัสสัทธิ(ความสงบใจ), สมาธิ(ความมีใจตั้งมั่น), อุเบกขา(ความมีใจเป็นกลางเพราะเห็นตามความเป็นจริง)
๑.๗ มรรค ๘ ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ, สัมมาสังกัปปะ, สัมมาวาจา, สัมมากัมมันตะ, สัมมาอาชีวะ, สัมมาวายามะ, สัมมาสติ, สัมมาสมาธิ

๒. อภิญญาจรรยา คือ การปฏิบัติความรู้ทั้งมวล

๓. ปารมิจาจรรยา คือ ปฏิบัติเพื่อการสร้างสมบารมี ซึ่งในทางเถรวาทจะกล่าวถึงทศบารมี ๑๐ ประการ แต่ฝ่ายมหายานจะกล่าวถึงบารมีหรือปารมิตาที่สำคัญ ๖ ประการ ได้แก่ ทาน ศีล ขันติ วิริยะ ฌาน ปัญญา โดยสาระที่แท้จริงแล้วก็คือการพัฒนาหลัก ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นเอง ส่วนเนกขัมบารมี ซึ่งแม้จะไม่ได้ระบุไว้ในบารมีของฝ่ายมหายาน แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียด จะพบว่า ในการบำเพ็ญฌานบารมีนั้น เมื่อปฏิบัติในขั้นสูง ผู้ปฏิบัติจะรักษาพรหมจรรย์ ซึ่งใกล้เคียงกับการออกบวชในประเด็นที่เป็นผู้ออกจากกามเช่นกัน

๔. สัตตวปริปาจรรยา คือ การอบรมสั่งสอนสรรพสัตว์

ประเภทของพระโพธิสัตว์

ในทางพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน แบ่งพระโพธิสัตว์ออกเป็น ๒ ประเภท คือ

๑. พระฌานิโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์ซึ่งกำหนดไม่ได้ว่ามาเกิดในโลกมนุษย์เมื่อใด แต่เกิดขึ้นก่อนกาลแห่งพระศากยมุนีพุทธเจ้า ซึ่งพระโพธิสัตว์เหล่านี้ ท่านได้บรรลุพุทธภูมิแล้ว แต่ทรงมีความกรุณาในหมู่สัตว์ ทรงตั้งพระทัยไม่เข้าสู่พุทธภูมิ ประทับอยู่เพื่อโปรดสัตว์ในโลกนี้ต่อไป ดังเช่น

- พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์แห่งปัญญา ในหัตถ์ขวาทรงถือพระขันธ์เป็นสัญลักษณ์ในการทำลายล้างกิเลสตัณหาและอวิชาทั้งปวง และในหัตถ์ซ้ายถือคัมภีร์บนดอกบัว
- พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์ที่ทรงไว้ด้วยความกรุณา และได้ทรงตั้งปณิธานว่าจะช่วยสรรพสัตว์ให้พ้นจากกิเลสความผูกพันทั้งปวง หน้าที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการรื้อสัตว์ ขนสัตว์จากนรก
- พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์แห่งความเมตตา จะลงมาจุติในโลกมนุษย์เป็นครั้งคราว เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ให้พ้นภัย ความเมตตาของพระองค์แผ่ไปไกลและลึกแม้กระทั่งในดินแดนนรก ในประเทศจีนพระอวโลกิเตศวรเป็นที่รู้จักกันในปางสตรีคือ "เจ้าแม่กวนอิม" และชาวธิเบตเชื่อว่าองค์ประมุขทไลลามะ เป็นอวตารของพระโพธิสัตว์พระองค์นี้
- พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ ทรงปัญญาเป็นเยี่ยม และทรงใช้ปัญญานี้เป็นเครื่อง บั่นทอนอวิชา
- พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ ทรงตั้งปณิธานที่จะช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ยาก และเจาะจงช่วยโดยเฉพาะแก่เด็กและมิจฉาชน
- พระเมตไตรยโพธิสัตว์ (พระศรีอริยเมตไตรย มหาโพธิสัตว์) เชื่อว่าเป็นองค์อนาคตพุทธเจ้า และจะลงมาตรัสรู้ในกาลข้างหน้า เป็นผู้เปี่ยมด้วยความเมตตา

๒. มนุษิโพธิสัตว์ คือ ผู้ปฏิบัติตนเพื่อบรรลุเป็นพระโพธิสัตว์ ปฏิบัติตนอยู่ในความบริสุทธิ์ ประกอบการบุญ เจริญศีล ทาน ภาวนา ทำประโยชน์แก่มวลมนุษย์ ช่วยชีวิตคนและสัตว์โลกให้พ้นจากกองทุกข์ กระทำกัลยาณวัตร และบำเพ็ญกุศลเพื่อบารมีแต่ละชาติไป โดยมุ่งหวังบรรลุพระโพธิญาณในขั้นสุดท้าย เช่น อดีตชาติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้นโพธิสัตว์ จึงเป็นอุดมการณ์ของชาวพุทธมหายาน ที่พยายามดำเนินรอยตามแนวทางพระยุคลบาทสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อครั้งทรงเป็นมนุษิโพธิสัตว์ เพื่อให้ได้ถึงพุทธภูมิในที่สุด

และอุดมการณ์โพธิสัตว์นี้ยังมีสมบัติเป็นตัวเชื่อมทำให้ไม่มีช่องว่างมากนักระหว่างบรรพชิตกับฆราวาส เนื่องจากผู้ที่จะเป็นโพธิสัตว์ ไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นบรรพชิต แม้ฆราวาสเองก็เป็นโพธิสัตว์ได้ (ไม่ใช่ด้วยความอยากจะเป็น) เช่นกัน โดยหัวใจของการเป็นโพธิสัตว์นั้นขั้นแรกต้องมี โพธิจิต คือจิตตั้งมั่น ยึดพุทธภูมิเป็นจุดมุ่งหมายของชีวิต มีศรัทธาในโพธิ หรือความรู้แจ้งว่าเป็นอุดมการณ์สูงสุด และมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าในการที่จะช่วยเหลือสรรพสัตว์



566
บทความ บทกวี / "พระโพธิสัตว์" คือ "
« เมื่อ: 03 เม.ย. 2550, 11:07:56 »
พระโพธิสัตว์" คือ ผู้ซึ่งจะได้มาตรัสรู้เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต ท่านอธิษฐานจิตถึงพระพุทธภูมิ ทุ่มเทปฏิบัติธรรม ช่วยผู้อื่นทั้งทางโลกและทางธรรม สะสมบารมี ๑๐ ทัศ ทุกๆคนเป็นพระโพธิสัตว์ได้ทั้งนั้น ถ้าหากว่าเขาผู้นั้นเป็นผู้มีจิตเมตตาประจำใจ ทำแต่คุณประโยชน์ช่วยเหลือคนทุกข์ยาก ไม่ประพฤติเบียดเบียนสนับสนุนผู้อื่นในทางผิดศีลธรรม


คุณธรรมหลักของผู้ตั้งความปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ คือ "มหาเมตตา" แปลว่า ปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข พระโพธิสัตว์จึงมีคุณธรรมอื่นๆต่อเนื่องกันคือ

มหากรุณา คือความปราณีต่อสรรพสัตว์(หมายรวมมนุษย์) ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง สงสารผู้ยากลำบากทั้งหลาย เฝ้าตามช่วยแนะเพื่อความสุขของเขา เป็นความยินดีกรุณาของพระโพธิสัตว์ทั้งลาย

มหาปัญญา คือเป็นผู้มีความรู้หรือศึกษาหาวิชาใส่ตัว ได้เป็นประโยชน์ส่วนตนเอง ส่วนผู้อื่นช่วยเหลือผู้อื่นต่อไปให้รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว

มหาอุบาย คือรู้ในวิธีนำตนและผู้อื่นให้พ้นภัยและสัมฤทธิผลเข้าถึงในคุณธรรมต่างๆที่มีประโยชน์

ความหมายของคำว่า
"พระโพธิสัตว์"


โพธิสัตว์ หรืออาจจะเขียนได้ว่า โพธิสัตต์ มาจากคำว่า โพธิ + สัตต

"โพธิ" แปลว่า ความตรัสรู้หรือความรู้แจ้ง

"สัตต" ตามบาลีไม่ได้หมายถึงสิ่งมีชีวิต (สัตวะ) หรือมนุษย์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการใช้ความหมายคล้ายคลึงกับ "สัตวัน" (Sattavan) ในคัมภีร์พระเวทของพราหมณ์ ซึ่งหมายถึง ผู้ทรงพลัง ผู้นำ นักรบ "สัตต" ในคำว่า "โพธิสัตต์" จึงหมายถึง ผู้นำ หรือผู้มีใจเด็ดเดี่ยว กล้าหาญ องอาจ เยี่ยงนักรบ ซึ่งให้ความหมายเดียวกับคำว่า โพธิสัตต์ ในภาษาทิเบต คือ byan chub sems-dpah โดยคำว่า byan chub หมายถึง โพธิ (bodhi), sems หมายถึง จิต (mind) และ dpah หมายถึง วีรบุรุษ ผู้กล้า หรือผู้เข้มแข็ง

"โพธิสัตต์" จึงแปลว่า ผู้มีใจยึดมั่นในสัมมาสัมโพธิญาณอย่างเด็ดเดี่ยว

มหาปณิธานของพระโพธิสัตว์

๑. เราจะละกิเลสทั้งหลายให้หมด
๒. เราจะต้องตั้งใจศึกษาพระะรรมทั้งหลายให้เจนจบ
๓. เราจะไปโปรดสรรพสัตว์ทั้งหลายให้สิ้น
๔. เราจะบำเพ็ญตนให้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ


567
คัดลอกจาก http://202.29.24.6/amazingsakon/monkWeb/deenoc/Kasorn.htm

ในจังหวัดอุดรธานี หรือแม้กระทั่งในพื้นที่หลายจังหวัดในภาคอีสาน มีเกจิอาจารย์จำนวนมากมาย หลายสิบองค์ ที่มีลูกศิษย์ลูกหาที่นับถือกราบไหว้สักการะ  ซึ่งเกจิอาจารย์ที่ว่านั้น ส่วนมากนั้นเป็นพระที่อยู่ในสายของธุดงคกรรมฐานเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นท่านหลวงปู่มั่น ภูมิทัตโต หลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่วัน วัดถ้ำส่องดาว สกลนคร หลวงปู่เครื่อง ธัมมจาโร วัดเทพสิงหาร อ.น้ำโสม อุดรธานี หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ของจังหวัดเลย แต่ที่จังหวัดอุดรธานีอีกนั่นแหละที่มี พระเกจิอาจารย์รูปหนึ่งที่ เป็นพระสงฆ์หรือเป็นพระเกจิอาจารย์รูปหนึ่งที่มีลูกศิษย์ลูกหาไม่น้อย แม้กระทั่งฝรั่งมังค่าที่เคยเดินทางมาราชการสงครามเวียดนามก็ยังรู้จักท่าน เพราะเนื่องจากมีประสบการณ์จากวัตถุมงคลที่ท่านสร้างเอาไว้แจกลูกศิษย์ลูกหลานชาวบ้านทั่วไป พระเกจิอาจารย์รูปนั้นไม่ได้เป็นพระเกจิอาจารย์ที่อยู่ในสายของมหายาน พระเกจิอาจารย์รูปนั้นคือ ท่านพระเทพวิสุทธาจารย์ หรือ เป็นที่รู้จักกันอย่างดีว่า "หลวงปู่ดีเนาะ" แห่งวัดมัชฌิมาวาส อ.เมือง จ.อุดรธานี

ถ้าเอ่ยชื่อของพระเถระชั้นผู้ใหญ่ในจังหวัดอุดรธานี  โดยเฉพาะในเขตเทศบาลแล้ว ชื่อของ พระเทพวิสุทธาจารย์ เจ้าอาวาสองค์ที่  3  ของวัดมัชฌิมาวาสนั้น น้อยคนที่จะรู้ว่าท่านเป็นใคร แต่ถ้าเอ่ยชื่อถึง "หลวงปู่ดีเนาะ" แล้วทุกคนจะรู้จักท่านเป็นอย่างดี เพราะท่าน หลวงปู่ดีเนาะที่ว่านี้ ท่านเป็นพระสงฆ์ หรือที่เรียกกันติดปากว่า พระเกจิอาจารย์ที่มีประชาชน พุทธศาสนิกชนให้ความเคารพ นับถือมากไม่แพ้พระเกจิอาจารย์รูปอื่น ๆ ในประเทศไทยเลยทีเดียว

ท่านพระเทพวิสุทธาจารย์ หรือ หลวงปู่ดีเนาะ นั้น การติดตามสืบหาอัตชีวประวัติส่วนตัวของท่านนั้น ไม่ค่อยจะมีปรากฎให้เห็นมากนัก เพราะเนื่องจากว่าท่านจะไม่ค่อยทิ้งหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของท่านเอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้ทราบ จะมีบ้างก็เพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ได้รับการรวบรวมจาก ท่านพระธรรมปริยัติโมลี เจ้าคณะภาค 8 เจ้าอาวาสวัดมิชฌิมาวาสองค์ปัจจุบันนี้ เก็บไว้ในหนังสือประวัติของวัดมัชฌิมาวาส

ท่านพระเทพวิสุทธาจารย์ หรือหลวงปู่ดีเนาะ นามเดิมว่า บุ ปลัดกอง เกิดที่บ้านดู่ ต.บ้านดอน อ.ปักธงชัย จ. นครราชสีมา พ.ศ.2415 บิดาชื่อ นายทา ปลัดกอง มารดาชื่อ นางปาน ปลัดกอง เมื่อมีอายุได้ 19 ปี ครอบครัวของท่านได้อพยพย้ายถิ่นฐานอาศัยจากจังหวัดนครราชสีมา มาอยู่ที่บ้านทุ่งแร่ ต.หมูม่น อ.เมือง จ.อุดรธานี ในปัจจุบันนี้

เมื่ออายุได้ 22 ปี ได้บวชเป็นสามเณรที่วัดบ้านโนนสว่าง บ้างทุ่งแร่ นั่นเอง และต่อมาอีกหนึ่งปี ท่านก็ได้รับ การอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ที่วัดบ้านบ่อน้อย ต.เชียงยืน อ.เมือง จ.อุดรธานี มีพระอธิการกัน วัดสระบัว บ้านสร้างแป้น เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า "ปุสิริ" เมื่ออุปสมบทเป็น พระภิกษุแล้วนั้น ได้ไปจำพรรษา อยู่ที่วัดบ้านโนนสว่าง บ้านทุ่งแร่ อยู่ 3 พรรษาจึงได้ย้ายสำนัก ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดมัชฌิมาวาส เมื่อ พ.ศ.2440 และท่านหลวงปู่ดีเนาะ ก็ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งนี้ และได้รับเลื่อนสมณศักดิ์ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงแก่มรณภาพ

หลาย ๆ คนอาจจะมีความสงสัยว่าเป็นเพราะเหตุใด ท่านพระเทพวิสุทธาจารย์ จึงมีฉายาอีกว่า "หลวงปู่ดีเนาะ" ความเป็นมาของฉายาดังกล่าวนั้น เป็นที่กล่าวขานกันในหมู่ศิษย์และประชาชนทั่วไป ที่เคยใกล้ชิดกับท่านกล่าวว่า ตามปกติวิสัยของท่านหลวงปู่ดีเนาะนั้น ท่านชอบอุทานหรือกล่าวคำว่า "ดีเนาะ" และคำว่า "สำคัญเนาะ" และท่านจะเรียกคนทั่วไปรวมทั้งพระภิกษุและสามเณร หรือคฤหัสถ์ ว่า "หลวง" เวลาท่านหลวงปู่ดีเนาะจะพูดคุยกับใครก็ตาม ท่านก็จะออกปากเรียกคนที่ท่านคุยด้วยว่า "หลวง" และเมื่อท่านจะต้องกลายเป็นผู้รับฟังนั้น ท่านก็จะมีคำอุทานวาจาว่า ?ดีเนาะ? อยู่เป็นอาจินต์ ไม่ว่าเรื่องที่ท่านได้รับฟังนั้นจะเป็นดี หรือเรื่องร้ายเพียงใดก็ตาม ท่านหลวงปู่ดีเนาะก็จะเอ่ยปากอุทานว่า ดีเนาะ หรือ สำคัญเนาะ จากคำอุทาน หรือคำพูดที่ท่านหลวงปู่ติดปากนี้เอง ประชาชนและลูกศิษย์ของท่านหลวงปู่ จึงตั้งฉายา หรือสมานาม ท่านหลวงปู่ว่า "หลวงปู่ดีเนาะ" แม้กระทั่งในการได้รับ พระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ของท่านนั้น ราชทินนามของท่านก็ยังมีคำว่า "สาธุอุทานธรรมวาที" ซึ่งแปลว่า "ดีเนาะ" อยู่ในราชทินนามของท่านด้วย

พระเทพวิสุธาจารย์ ได้เลื่อนสมณศักดิ์ตามกาลเวลาเรื่อย ๆ จนกระทั่งสุดท้ายท่านได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ มีราชทินนามว่า "พระเทพวิสุทธาจารย์ สาธุอุทานธรรมวาที ปูชนียฐานประยุต เชษฐวุฒอิสาน คณาธิกร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี" และซึ่งก่อนหน้านั้นท่าน ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดมัชฌิมาวาส เมื่อยังคงเป็นพระบุ (ปุสิริ) เมื่อ พ.ศ.2451 นับว่าเป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ 3 ของวัดมัชฌิมาวาส

ในขณะนั้นที่ท่านหลวงปู่ดีเนาะดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดมัชฌิมาวาสนั้น ท่านได้ทำการบูรณะวัดมัชฌิมาวาสในด้านต่าง ๆ ให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง ไม่ว่าจะเป็นถาวรวัตถุและเสนาสนะ เช่น พระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ โรงเรียนปริยัติธรรมและกุฎิของพระลูกวัดจำนวนมาก ที่เห็นในปัจจุบันนี้นั้นล้วนแต่ได้รับ การบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นในสมัยที่ท่านหลวงปู่ดีเนาะทั้งสิ้น นอกจากในด้านถาวรวัตถุของวัดแล้ว ท่านหลวงปู่ดีเนาะ ท่านก็ยังหันมาพัฒนาในด้านของการศึกษาของพระภิกษุสามเณรที่อยู่ในวัดแห่งนี้ โดยการจัดตั้งโรงเรียนปริยัติธรรมขึ้นมา สอนนักธรรมบาลีตามหลักสูตรของราชการคณะสงฆ์ ตั้งแต่ชั้น นักธรรมตรี จนถึงชั้น ป.ธ.6

สำหรับในด้านที่ท่านหลวงปู่ดีเนาะ ได้รับการนับถือเคารพสักการะในฐานะของเกจิอาจารย์นั้น ท่านหลวงปู่ดีเนาะก็นับว่า เป็นพระสงฆ์รูปหนึ่งที่มีลูกศิษย์มากองค์หนึ่ง ในเรื่องของวัตถุมงคลที่ท่านหลวงปู่ดีเนาะสร้างขึ้นมาเพื่อแจกจ่ายให้กับลูกศิษย์และประชาชนทั่วไปนั้น เป็นเพียงเหรียญและตระกรุดที่ทำคู่กัน เมื่อเวลาท่านจะมอบให้ใครท่านก็จะมอบให้คู่กันไปเลย ซึ่งปัจจุบันนี้เป็นของที่ค่อนข้างจะหายากขี้นทุกที คนที่มีหรือว่าเคยมีก็ไม่ค่อยให้ใครเห็นหรือดูกัน เพราะเกรงว่าจะถูกขอ เพราะเหตุที่ว่า หลวงปู่ทำออกมาน้อยเพียงรุ่นเดียว เมื่อท่านถึงแก่มรณภาพแล้ว ลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังก็ไม่ได้รับอนุญาตให้จัดสร้างขึ้นมาอีก

เหรียญและตระกรุดหลวงปู่ดีเนาะนั้น ในเรื่องของประสบการณ์นั้น คนที่เคยมีสิ่งของเหล่านี้ มีเรื่องที่เล่าและกล่าวถึงมากพอสมควร และไม่ใช่เฉพาะแต่ในหมู่ของพุทธศาสนิกชนชาวไทยเท่านั้น แม้แต่คนที่อยู่ในศาสนาอื่นก็ยังให้ความเคารพนับถือท่านหลวงปู่ กล่าวคือในปี พ.ศ.2511 ในขณะ นั้นสถานการณ์สงครามเวียดนามกำลังทวีความรุนแรงขึ้นไปเรื่อย ๆ ทหารอเมริกันถูกส่งเข้ามาประจำการตามฐานทัพต่าง ๆ ในประเทศไทยเพื่อรอการเดินทางไปทำการรบในสนามรบที่ประเทศเวียดนาม และมีทหารอเมริกันส่วนหนึ่งที่อยู่ในประเทศไทย ที่ได้ผู้หญิงไทยเป็นภรรยา และเมื่อสามีที่เป็นทหารอเมริกันจะเดินทางไปรบเวียดนาม ด้วยความเป็นห่วงสามี ภรรยาคนไทยก็เลยเอาเหรียญหลวงปู่ดีเนาะแขวนคอสามีไป จะด้วยเหตุอภินิหาร หรือด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของท่านหลวงปู่ดีเนาะ ก็ไม่มีใครตอบได้ ทหารอเมริกันคนนั้นออกทำการลาดตระเวนไปในพื้นที่ โดยใช้เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์เป็นพาหนะ และเครื่องบินลำดังกล่าวถูกฝ่ายตรงข้ามยิงตก ทหารหน่วยลาดตระเวนดังกล่าวเสียชีวิตเกือบหมด รวมทั้งนักบินประจำเครื่องด้วย ส่วนทหารอเมริกันที่ห้อยเหรียญหลวงปู่ดีเนาะ เพียงแต่ได้รับบาดเจ็บแต่ไม่ถึงกับเสียชีวิต เมื่อได้รับการรักษาตัวจนหายเป็นปกติดีแล้ว และได้รับอนุญาตให้เดินทางกลับมาพักผ่อนในประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง จึงได้พาพรรคพวกที่เป็นทหารด้วยกันมาประเทศไทยด้วย

ด้วยความที่เกิดความเชื่อว่าการที่ตนรอดตายในครั้งนั้น จะต้องเป็นรูปเหรียญพระที่ตนได้รับ จากภรรยาที่เป็นคนไทยเหรียญนั้นอย่างแน่นอน เมื่อได้สอบถามจากภรรยาคนไทยก็ทราบเพียงว่า เหรียญรูปพระดังกล่าวนั้น เป็นของหลวงปู่ดีเนาะ   แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นพระอยู่ที่ไหน จึงได้ไปถามกับเจ้าหน้าที่ของโรงแรมที่ตนเองพักอยู่ว่าในเมืองอุดรธานีนี้ มีพระที่ชื่อว่าดีเนาะบ้าง โดยทหารคนนั้น ถามว่า "ดู ยู โน เนาะ มั้ง อิน อุดร ทาวน์" ผู้ที่ถูกถามเองก็ไม่เคยรู้เรื่องพระมาก่อน จึงได้พยายามสอบถามจากคนอื่น ๆ ที่อยู่ในที่ทำงานเดียวกัน จนกระทั่งรู้ว่าท่านเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดมัชฌิมาวาส จึงบอกแก่ทหารอเมริกันคนนั้นไป แต่ก็ยังถูกขอร้องให้เป็นผู้พาไปหาอีก ซึ่งเจ้าหน้าที่คนนั้นก็ต้องลาพักงานชั่วระยะหนึ่งพาไปหาหลวงปูดีเนาะที่วัด ซึ่งในการพาฝรั่งกลุ่มนั้นไปหาหลวงปู่ดีเนาะนั้น ผู้พาก็ได้รับแจกเหรียญและตระกรุดมา 2 ชุด แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ว่าเป็นคนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องนี้มาก่อน จึงไม่ได้สนใจที่เก็บรักษาเอาไว้ และได้มอบให้คนอื่นต่อไป คงรักษาเอาไว้เพียงตระกรุดเพียงดอกเดียวในเวลานี้ ต่อมาเมื่อได้รับทราบถึงกิตติคุณของท่านเมื่อท่านมรณภาพแล้ว ก็หาเหรียญดังกล่าวไม่ได้แล้ว

หลวงปู่ดีเนาะหรือพระเทพวิสุทธาจารย์ ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดมัชฌิมาวาส ตั้งแต่ พ.ศ.2451 จนกระทั่ง พ.ศ.2513 จึงได้ถึงแก่มรณภาพลง ตรงกับวันที่ 10 มีนาคม 2513 ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 4 ปีระกา เวลา 09.10 น. ด้วยโรคชรา รวมอายุท่านหลวงปู่ได้ 98 ปี เป็นเจ้าอาวาสวัดมัชฌิมาวาส เป็นเวลา 63 ปี พรรษาได้ 76 พรรษา 


568
ประวัติท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฏก (ป. อ. ปยุตฺโต)

 พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) นามเดิม ประยุทธ์ อารยางกูร เกิดเมื่อ ๑๒ มกราคม ๒๔๘๑ อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี บรรพชาเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี ๒๔๙๔ ที่วัดบ้านกร่าง อ.ศรีประจันต์ และเริ่มเรียนพระปริยัติธรรมที่วัดนั้น ต่อมา พ.ศ.๒๔๙๕ ไปอยู่ที่วัดปราสาท ทอง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี เรียนพระปริยัติธรรมต่อ และได้เข้าฝึกวิปัสสนา เมื่อจบการฝึกที่จัดขึ้นแล้ว พระอาจารย์ผู้นำปฏิบัติได้ชวนไปอยู่ประจำใน สำนักวิปัสสนา แต่โยมบิดาไม่ยินยอม

จากนั้น พ.ศ.๒๔๙๖ ได้มาอยู่ที่วัดพระพิเรนทร์ กรุงเทพมหานคร เรียนพระปริยัติธรรม จนสอบเปรียญธรรม ๙ ประโยคได้ขณะยังเป็น สามเณร จึงได้รับการอุปสมบทในพระบรมราชานุเคราะห์เป็น นาคหลวง ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๐๔ แล้วสอบได้ปริญญาพุทธศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับ ๑) จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เมื่อ ๒๕๐๕ และสอบได้วิชาชุด ครู พ.ม. เมื่อ ๒๕๐๖

 ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากสถาบันการศึกษา ๑๒ สถาบัน ดังนี้

๑) พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาจุฬา-ลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๒๕

๒) ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (สาขาปรัชญา) จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๒๙

๓) ศึกษาศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (สาขาหลักสูตรและการสอน) จากมหาวิทยาลัยศิลปากร พ.ศ. ๒๕๒๙

๔) ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (ศึกษาศาสตร์-การสอน) จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๓๐

๕) อักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๓๑

๖) ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (สาขาภาษาศาสตร์) จากมหาวิทยาลัยมหิดล พ.ศ. ๒๕๓๑

๗) การศึกษาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (สาขาปรัชญาการศึกษา) จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พ.ศ. ๒๕๓๓

๘) ปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาศึกษาศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง พ.ศ. ๒๕๓๖

๙) ศึกษาศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พ.ศ. ๒๕๓๗

๑๐) ตรีปิฏกาจารย์กิตติมศักดิ์ จากนวนาลันทามหาวิหาร รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย พ.ศ. ๒๕๓๘

๑๑) อักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (จริยศาสตร์ศึกษา) จากมหาวิทยาลัยมหิดล พ.ศ. ๒๕๓๘

๑๒) วิทยาศาสตร์ดุษฎี บัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ.ศ.๒๕๔๑

เคยดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๗-๒๕๑๗ และเป็นเจ้าอาวาส วัดพระพิเรนทร์ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๕-๒๕๑๙ ปัจจุบันเป็นเจ้าอาวาสวัดญาณเวศกวัน ต.บางกระทึก อ.สามพราน จ.นครปฐม ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๗

ประกาศเกียรติคุณและรางวัล

พ.ศ. ๒๕๒๕ ได้รับการประกาศเกียรติคุณ ในฐานะผู้ทำคุณประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา ในการฉลอง ๒๐๐ ปี กรุงรัตนโกสินทร์

พ.ศ. ๒๕๒๕ ได้รับรางวัลวรรณกรรมชั้นที่ ๑ ประเภทร้อยแก้ว สำหรับงานนิพนธ์พุทธธรรม จากมูลนิธิธนาคาร กรุงเทพฯ

พ.ศ. ๒๕๓๒ ได้รับพระราชทานโล่รางวัล มหิดลวรานุสรณ์

พ.ศ. ๒๕๓๒ ได้รับโล่ผู้ทำคุณประโยชน์ต่อการศึกษา ในวาระครบรอบ ๒๐ ปี คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์

พ.ศ. ๒๕๓๓ ได้รับรางวัลกิตติคุณสัมพันธ์ สังข์เงิน สาขาเผยแผ่พระพุทธศาสนา

พ.ศ. ๒๕๓๗ ได้รับรางวัลการศึกษาเพื่อสันติภาพ จากองค์การ ยูเนสโก (UNESCO Prize for Peace Education)

พ.ศ. ๒๕๓๘ คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ประกาศเชิดชูเกียรติเป็นผู้ทรงคุณวุฒิทางวัฒนธรรม

 พ.ศ.๒๕๔๑ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมูลนิธิโตโยต้า ประเทศไทย ถวายรางวัล TTF Award สาขาสังคมศาสตร์และมานุษยวิทยา สำหรับผลงานทางวิชาการดีเด่น หนังสือ การพัฒนาที่ยั่งยืน

พ.ศ. ๒๕๔๔ เป็นศาสตราจารย์พิเศษ สาขาพุทธศาสนา ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

สมณศักดิ์

พ.ศ. ๒๕๑๒ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ พระศรีวิสุทธิโมลี

พ.ศ. ๒๕๑๖ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นราช ที่ พระราชวรมุนี

พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ที่ พระเทพเวที

พ.ศ. ๒๕๓๖ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ที่ พระธรรมปิฎก อดุลญาณนายก ปาพจนดิลกนิวิฐ ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี

งานเผยแพร่พระพุทธศาสนา

งานเผยแพร่พระพุทธศาสนาของพระธรรมปิฎกปรากฏในหลายลักษณะ ทั้งในด้านการสอน การบรรยาย การปาฐกถา การอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และการแสดงพระธรรมเทศนา

 พ.ศ.2505-2507 สอนในแผนกบาลีเตรียมอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
พ.ศ.2507-2517 สอนในชั้นปริญญาตรีพุทธศาสตรบัณฑิต ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ระหว่างนั้น บางปี บรรยายที่ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร และในโครงการศาสนาเปรียบเทียบ มหาวิทยาลัยมหิดล
พ.ศ.2507-2517 ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขาธิการ และต่อมาเป็น รองเลขาธิการมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
พ.ศ.2515-2519 เป็นเจ้าอาวาสวัดพระพิเรนทร์
พ.ศ.2537 เป็นเจ้าอาวาสวัดญาณเวศกวัน ต.บางกระทึก อ.สามพราน จ.นครปฐม จนปัจจุบัน

ท่านได้รับอาราธนาไปสอนวิชาการทางพระพุทธศาสนา ณ มหาวิทยาลัยชั้นนำในต่างประเทศหลายครั้ง อาทิ

University Museum, University of Pennsylvania ใน พ.ศ. ๒๕๑๕

Swarthmore College, Pennsylvania ใน พ.ศ. ๒๕๑๙

และ Harvard University ใน พ.ศ. ๒๕๒๔

และเป็นพระสงฆ์ไทย ที่ได้รับ การระบุอาราธนาแสดงปาฐกถาในที่ประชุมนานาชาติ ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศหลายครั้ง เช่น

ปาฐกถาในการประชุม The International Conference on Higher Education and the Promotion of Peace เรื่อง Buddhism and Peace ซึ่งจัดขึ้นที่ โรงแรมเอเซีย กรุงเทพฯ เมื่อ ๓ ธันวาคม ๒๕๒๙

บรรยายในการประชุม Buddhistic Knowledge Exchange Programme in Honour of His Majesty the King of Thailand เรื่อง Identity of Buddhism ซึ่งจัดโดยองค์การ พุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก (พสล.) เมื่อ ๙ พฤษภาคม ๒๕๓๐

ปาฐกถาในการประชุม The Sixth Asian Workshop on Child and Adolescent Development เรื่อง Influence of Western & Asian Thought on Human Culture Development เมื่อ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๓๓

ได้รับนิมนต์ให้จัดทำสารบรรยายสำคัญ เรื่อง A Buddhist Solution for the Twenty-first Century ในการประชุมสภาศาสนาโลก (Parliament of the World's Religions) ณ นครชิคาโก สหรัฐอเมริกา เมื่อ ๔ กันยายน ๒๕๓๖

งานนิพนธ์ของพระธรรมปิฎก ในลักษณะตำรา เอกสารทางวิชาการและหนังสืออธิบายธรรมทั่วๆ ไป เป็นที่รู้จักแพร่หลาย ในวงวิชาการ มีจำนวนมากกว่า ๒๒๗ เรื่อง เช่น พุทธธรรม พจนานุกรมพุทธศาสตร์: ฉบับประมวลธรรม พจนานุกรมพุทธศาสน์: ฉบับประมวลศัพท์ ธรรมนูญชีวิต การศึกษาของคณะสงฆ์: ปัญหาที่รอทางออก การศึกษาที่สากลบนฐานแห่งภูมิปัญญาไทย Thai Buddhism in the Buddhist World ทางสายอิสรภาพของการศึกษาไทย Buddhist Economics พุทธศาสนาในฐานะเป็น รากฐานของวิทยาศาสตร์ นิติศาสตร์แนวพุทธ เป็นต้น

นอกจากนั้น พระธรรมปิฎกได้รับนิมนต์เป็นที่ปรึกษาของ มหาวิทยาลัย มหิดล ในการสร้างพระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์สำเร็จสมบูรณ์เป็นฉบับแรกของโลก ทำให้การศึกษาค้นคว้าหลัก คำสอน ของพระพุทธศาสนาเป็นไปได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และถูกต้องแม่นยำ


569
หลวงปู่บุณเป็นศิษย์พี่ของหลวงปู่หิ่ม ชึงหลวงปู่หิ่มเป้นอาจารย์ของหลวงพ่อเปิ่น

570
หลวงปู่บุญชาตะเมื่อวันจันทร์ขึ้น ๓ค่ำ เดือน ๘ ปีวอก จุลศักราช ๑๒๑๐
สัมฤทธิศกเวลาย่ำรุ่งใกล้สว่าง ตรงกับวันที่ ๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๓๙๑
อันเป็นปีที่ ๒๕ แห่งแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๓
ท่านชาตะ ณ. บ้านตำบลท่าไม้ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร (ในครั้ง
นั้นยังเป็นตำบลบ้านนางสาว อ.ตลาดใหม่ เมืองนครชัยศรี มณฑลนครชัยศรี
ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็นบ้านท่าไม้ อ.สามพราน จ.นครปฐม แต่ปัจจุบันนี้ ต.ท่าไม้
ได้โอนไปขึ้นกับ อ.กระทุ่มแบน จ.สุมทรสาคร)

โยมบิดาของหลวงปู่มีนามว่า "เส็ง" โยมมารดามีนามว่า "ลิ้ม" ท่านมี
พี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน ๖ คน โดยตัวท่านเป็นคนหัวปี มีน้องชายหญิง
๕ คน ลำดับดังนี้
๑. นางเอม ๒. นางบาง ๓. นางจัน ๔. นายปาน ๕. นายคง


ประวัติชีวิต (พระพุทธวิถีนายก)
หลวงปู่บุญ ขนฺธโชติ
   
       กาลสมภพ
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?


 

 

เหตุแห่งมีนามว่า "บุญ"
เมื่อวัยทารก ท่านมีอาการป่วยหนักถึงแก่สลบไป และไม่หายใจในที่สุดบิดามารดาและญาติ เมื่อเห็นว่า
ท่านตายเสียแล้วจึงจัดแจงจะเอาท่านไปฝัง แต่ปรากฏว่ายังไม่ทันที่จะได้ฝังท่านก็กลับฟื้นขึ้นมา บิดามารดา
ได้ถือเอาเหตุนี้ตั้งชื่อให้แก่ท่านว่า "บุญ"

การศึกษาและบรรพชา
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?

เมื่อครั้งที่หลวงปู่ยังอยู่ในวัยเยาว์นั้น โยมทั้งสองได้ย้ายภูมิลำเนามาทำนาที่ตำบลบางช้าง อ.สามพราน
เมื่อท่านอายุได้ ๑๓ ปี โยมบิดาได้ถึงแก่กรรม โยมป้าของท่านจุงนำไปฝากให้ศึกษาเล่าเรียนอยู่กับพระปลัด
ทอง ณ วัดกลาง ซึ่งในสมัยนั้นมีชื่อว่า "วัดคงคาราม" ต.ปากน้ำ (ปากคลองบางแก้ว) อ.นครชัยศรี เมื่อท่าน
อายุได้ ๑๕ ปีเต็มพระปลัดทองจึงทำการบรรพชาให้เป็นสามเณรและได้อบรมสั่งสอนวิชาความรู้ต่างๆ ให้
เมื่อครั้งนั้นท่านได้รับใช้อย่างใกล้ชิดจึงทำให้เป็นที่รักใคร่ของพระปลัดทอง แต่เมื่อมีอายุได้ใกล้อุปสมบท
ท่านมีความจำเป็นต้องลาสิกขาเนื่องด้วยความป่วยไข้เบียดเบียน


 

 

 

 

อุปสมบท
หลวงปู่อุปสมบทเมื่ออายุได้ ๒๒ ปี ณ พัทธสีมา วัดกลางบางแก้ว เมื่อวันจันทร์เดือน ๘ ขึ้น ๑๕ ค่ำ
ปีมะเส็ง จุลศักราช ๑๒๓๑ เอกศกเพลาบ่ายตรงกับวันที่ ๒๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๑๒ ในท่ามกลาง
ที่ประชุมสงฆ์ ๓๐ รูป โดยมีพระปลัดปาน เจ้าอาวาสวัดพิไทยทาราม (วัดตุ๊กตา) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระ
ปลัดทอง เจ้าอาวาสวัดกลางบางแก้ว พระอธิการทรัพย์ เจ้าอาวาสวัดงิ้วราย พระครูปริมานุรักษ์ วัดสุประ
ดิษฐานราม และพระอธิการจับ เจ้าอาวาสวัดท่ามอญร่วมกันให้สรณาคมณ์กับศีลและสวดกรรมวาจา อนึ่ง
การที่มีพระอาจารย์ร่วมพิธีถึง ๔ รูปเช่นนี้ก็เพราะพระเถระเหล่านี้เป็นที่เคารพนับถือ ของผู้ใหญ่ที่เป็นเจ้า
ภาพอุปสมบทแล้วพระอุปัชฌาย์ขนานนามฉายาให้ว่า "ขนฺธโชติ" แล้วให้จำพรรษาอยู่กับพระปลัดทอง
ที่วัดกลางบางแก้ว

การศึกษาทางปริยัติและปฏิบัติ

หลวงปู่บุญถูกว่างพื้นฐานในทางธรรมมาอย่างดีแล้วตั้งแต่เป็นเด็กวัดและสามเณร ซึ่งช่วงระยะเวลา
ดังกล่าวประมาณ ๕-๖ ปี ที่ได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้พระปลัดทอง จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าพื้นฐานในทางธรรม
ของท่านถูกถ่ายทอดมาโดยพระปลัดทองทั้งสิ้น อาจารย์อีกรูปหนึ่งของท่านก็คือพระปลัดปาน เจ้าอาวาส
วัดตุ๊กตา ซึ่งจากปากคำของพระครูธรรมวิจารณ์ (ชุ่ม) เจ้าอาวาสวัดศรีสุดาราม (วัดชีปะขาว) บางกอกน้อย
เคยกล่าวไว้ว่าหลวงปู่บุญได้เล่าเรียนกรรมฐานและอาคมกับท่านปลัดปาน อันที่จริงนั้นอาจารย์ที่ถ่ายทอด
วิชาความรู้ทางธรรม ทั้งปริยัติและปฏิบัติตลอดจนพระเวท และพุทธาคมให้แก่ท่านยังมีอีกหลายรูป
แต่จะกล่าวถึงในถัดไป

สมณศักดิ์และตำแหน่ง
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?

ในปี พ.ศ. ๒๔๒๙ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอธิการปกครองวัดกลางบางแก้ว
ในปี พ.ศ.๒๔๓๑ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระกรรมวาจาจารย์
ในปี พ.ศ. ๒๔๓๓ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะหมวด
ในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ เมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ ต่อมาอีก ๔ เดือน คือวันที่
๓๐ ธันวาคม ศกเดียวกันก็ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูมีราชทินนามว่า "พระครูอุตรการบดี"
และยกให้เป็นเจ้าคณะแขวง
เมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๖๒ ก็ได้รับพระกรุณาโปรดให้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญา
บัตรที่ "พระครูพุทธวิถีนายก" และให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรการคณะสงฆ์จังหวัดนครปฐมกับจังหวัด
สุพรรณบุรี
ในปีพ.ศ. ๒๔๗๑ ก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดให้เลื่อนขึ้นเป็นพระราชาคณะสามัญในราชทินนามที่
"พระพุทธวิถีนายก"

ประวัติชีวิตหลวงปู่บุญที่กล่าวมานี้ เป็นเพียงส่วนย่อยในทั้งหมดของท่าน เพราะหากจะนำมาเขียนกัน
จริงๆ คงต้องยืดยาวมาก อีกทั้งได้มีนักเขียนหลายท่านพรรณาไว้อย่างถูกต้องดีแล้วผู้เขียนจึงเว้นไว้เสีย
ไม่นำมากล่าวถึงอีก

การศึกษาพุทธาคมและการสร้างพระเครื่องและเครื่องราง
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?

หลวงปู่บุญถูกจัดอันดับอยู่ในยอดเกจิ ผู้เข้มขลังทางพระเวท ที่มีตบะสมาธิและวิถีแห่งญาณแก่กล้า

จนเป็นที่ยอมรับยกย่องของพระคณาจารย์ร่วมยุคร่วมสมัยหลายรูป อาทิเช่น สมเด็จพระสังฆราช (แพ)
แห่งวัดสุทัศน์เทพวราราม หลวงพ่อทับ วัดทอง (วัดสุวรรณาราม) คลองบางกอกน้อย หลวงปู่นาค
วัดห้วยจรเข้และอีกหลายๆ รูป

ด้วยความเชี่ยวชาญเข้มขลังในพระเวททำให้พระเครื่องและวัตถุมงคล ที่หลวงปู่สร้างมีเกียรติคุณ
ชื่อเสียงขจรขจาย เป็นที่เสาะแสวงหาของคนรุ่นปู่รุ่นทวดลงมาจนถึงชั้นพวกเรา ด้วยวัตถุมงคลของหลวงปู่
มีมากชนิดและมากด้วยประสบการณ์ จึงทำให้พวกเราต่างอยากจะรู้ว่าครูบาอาจารย์ที่ถ่ายทอดพระเวท
และพุทธาคมให้กับหลวงปู่คือท่านใดบ้าง เรื่องนี้ได้กล่าวถึงมาบ้างแล้ว ว่าอาจารย์ของหลวงปู่ ๒ รูป คือ
พระปลัดทองและพระอธิการปาน มีบทบาทและความสำคัญอย่างมากในการถ่ายทอดวิชาอาคมต่างๆ ให้
แก่หลวงปู่ หากแต่ยังมีบางเรื่องที่ไม่กระจ่างชัดคือ หลวงปู่เรียนวิชาการส้ราง "เบี้ยแก้" มาจากพระอาจารย์
ท่านใด ที่ยกเอาเรื่องเบี้ยแก้ขึ้นมาพูดถึงก่อนเพราะเหตุว่าในกระบวนเครื่องรางของขลังที่หลวงปู่บุญสร้างไว
้ เบี้ยแก้ของท่านจัดอยู่ในอันดับยอดเครื่องรางที่ทุกคนต่างก็ปรารถนาจะได้ไว้ในครอบครอง

ใครคืออาจารย์ "เบี้ยแก้" ของหลวงปู่

การที่หยิบยกเอาความเข้าใจที่ไม่สอดคล้องกันเรื่องการเรียนเบี้ยแก้ของหลวงปู่บุญนั้น หาได้มีความ
ประสงค์จะเป็นผู้ตัดสิน หรือชี้ขาดว่าข้อมูลไหนถูกต้องและอันไหนผิดพลาด หากแต่ต้องการแสดงทัศนะ
ส่วนตัวเพื่อจะได้ร่วมกันคิดและวินิจฉัยว่า อันไหนจะใกล้เคียงความเป็นจริงกว่ากันบางท่านบอกว่าหลวงปู่
บุญเรียนวิชาทำเบี้ยแก้มาจากหลวงปู่รอด วัดโคนอน (ผู้เป็นอาจารย์ของพระภวนาโกศลเถระ (เอี่ยม) หรือ
เจ้าคุณเฒ่าวัดหนัง) บ้างก็ว่าเรียนมาจากอาจารย์ฆราวาสชาวมอญ ซึ่ง เร่ร่อนมาจอดเรือหน้าวัดหรือบางท่าน
บอกว่าเรียนมาจากหลวงปู่รอด วัดนายโรงหรือหลวงปู่แขกผู้เป็นชีปะขาว ก่อนที่ผู้เขียนจะแสดงทัศนะส่วนตัว
เรื่องวิชาเบี้ยแก้ของหลวงปู่บุญนั้นเราลองมาทำความรู้ จัดกับเบี้ยแก้ก่อน

เบี้ยแก้คืออะไร

เบี้ยแก้ คือ เครื่องรางชนิดหนึ่ง ซึ่งมีอุปเท่ห์การใช้มากมายหลายอย่าง ทั้งกันและแก้สิ่งชั่วร้ายเสนียด
จัญไร คุณไสย คุณคน คุณผี บาเบื่อ ยาเมา ทั้งหลาย คณาจารย์ยุคเก่าที่สร้างเครื่องรางประเภทเบี้ยแก้
เอาไว้มีด้วยกันหลายรูป แต่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด เห็นจะมีอยู่เพียง ๒ รูปคือ หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว
และหลวงปู่รอด วัดนายโรง นอกนั้นก็มีชื่อเสียงอยู่เฉพาะพื้นที่ เช่น หลวงพ่อพักตร์ วัดโบสถ์ จ.อ่างทอง ,
หลวงพ่อม่วง, หลวงพ่อทัต, หลวงพ่อพลอย วัดคฤหบดี บางยี่ขัน, หลวงพ่อแขก วัดบางบำหรุ, หลวงพ่อคำ
วัดโพธิ์ปล้ำ, หลวงพ่อนุ่ม วัดนางใน จ.อ่างทอง และมีอาจารย์อื่นอีกที่สร้างได้แต่ไม่แพร่หลาย

วิธีการสร้างเบี้ยแก้

เมื่อหาตัวเบี้ยมาได้แล้ว (เบี้ยพวกนี้ไม่ค่อยพบในบ้านเรา สมัยก่อนต้องหาซื้อตามร้านเครื่องยาจีน
เข้าใจว่าเบี้ยที่นำมาใช้นี้จะถูกนำเข้ามาพร้อมกับสินค้าจากประเทศจีนในอดีต.....ผู้เขียน) คณาจารย์
ผู้สร้างก็บรรจุปรอทที่ปลุกเสกแล้วเข้าไปในตัวเบี้ย แล้วหาวิธีอุดมิให้ปรอทไหลออกมาได้ (ปรอทที่ใช้
นี้เป็นปรอท หรือปรอทดินโบราณมีวิธีการจับปรอทโดยนำไข่เน่าไปทิ้งไว้ในน้ำครำไม่ช้าปรอทจะกิน
ไข่เน่าจนเต็ม)

ปรอทมีคุณสมบัติเป็นของเหลวลื่นไหลการจะนำปรอทมาบรรจุเบี้ยแก้ คณาจารย์ผู้สร้างจำต้องมีพระเวท
เข้มขลัง เพราะต้องใช้พระเวทฆ่าปรอทหรือบังคับให้ปรอทรวมตัวกันอยู่ในเบี้ยบางราย ถึงกับบริกรรมพระเวท
เรียกปรอทเข้าในตัวเบี้ยได้เอง การปิดปากเบี้ยเพื่อกันไม่ให้ปรอทไหลออกมาได้นั้นนิยมเอาชันโรงใต้ดิน
ที่ปลุกเสกแล้วมาอุดใต้ท้องเบี้ยให้สนิทเรียบร้อย แล้วจึงหุ้มด้วยวัสดุอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ผ้าแดง แผ่นตะกั่ว
แผ่นทองแดง วัสดุที่ใช้หุ้มหรือปิดนี้ก็ต้องลงอักขระเลขยันต์และปลุกเสกกำกับด้วย เช่นเบี้ยแก้หลวงปู่บุญ
วัดกลางบางแก้วจะมีลวดทองแดงขดเป็นห่วง ๓ ห่วง เพื่อให้ใช้เชือกคล้องคาดเอว

เบี้ยแก้ที่ผ่านการบรรจุปรอทจนกระทั่งถักหุ้มเรียบร้อยแล้ว ก็ยังไม่ถือว่าเสร็จสิ้นขึ้นตอนกรรมวิธี
เพราะคณาจารย์เจ้าผู้สร้างท่านต้องปลุกเสกกำกับอีกจนมั่นใจว่าใช้ได้จริงๆ แล้วเล่ากันว่า คณาจารย์บางรูป
สามารถปลุกเสกเบี้ยแก้ จนกระทั่งตัวเบี้ยคลานได้ เรื่องนี้ไม่ใช่ผู้เขียนเขียนขึ้นมาเอง หากแต่ได้รับการบอก
เล่าจากหลวงพ่อพระครูรัตนโสภณ เจ้าอาวาสวัดบางบำหรุ ซึ่งท่านกรุณาเล่าว่า สมภารฉายอาจารย์ของท่าน
และเป็นเจ้าอาวาสวัดบางบำหรุก่อนท่านเคยสร้างเบี้ยแก้เอาไว้ และสามารถปลุกเสกเบี้ยแก้จนตัวเบี้ย
คลานได้เหมือนหอย เมื่อเขียนมาถึงตรงนี้ ก็จะเข้าประเด็นที่ ขึ้นต้นเอาไว้ว่า

หลวงปู่บุญท่านได้รับการถ่ายทอดวิชาเบี้ยแก้มาจากท่านใด

ตามทัศนะของผู้เขียน ไม่เห็นด้วยกับข้อมูลที่บอกว่าหลวงปู่บุญ ท่านเรียนเบี้ยแก้มาจากหลวงปู่แขก
ซึ่งบางท่านบอกว่าเป็นชีปะขาวบางท่านบอกว่าเป็นสมภารวัดบางบำหรุ และยังระบุต่อไปอีกว่า หลวงปู่แขก
ที่กล่าวถึงนี้เป็นอาจารย์ของหลวงปู่รอด วัดนายโรง

ตามข้อมูลที่ผู้เขียนสืบค้นได้นั้น หลวงปู่รอดวัดนายโรง ท่านมีชีวิตอยู่ก่อนหน้าหลวงปู่แขกนานนัก
และหลวงปู่แขกที่ว่านี้ ก็มิได้เป็นชีปะขาว หากแต่เป็นสมภารวัดบางบำหรุต่อจากสมภารพรหมเจ้าอาวาส
วัดบางบำหรุรูปแรก เท่าที่มีประวัติคือ สมภารพรหมครองวัดบางบำหรุอยู่ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๕๖-๒๔๖๑
ถัดมาก็เป็นสมภารแขกซึ่งบอกไว้แต่เพียงว่าตั้งแต่พ.ศ. ๒๔๖๑ ถัดจากสมภารแขกก็เป็นสมภารฉาย
ครองวัดอยู่จนถึง พ.ศ. ๒๔๘๐ หากจะคำนวณอายุดู หลวงปู่แขกไม่น่าจะมีอายุแก่กว่าหลวงปู่บุญ
อย่างมากก็คงจะรุ่นราวคราวเดียวกัน หรืออาจจะอ่อนกว่าเสียด้วยซ้ำเพราะหลวงพ่อรัตน์เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า
"เมื่อท่านยังเป็นเด็กวัดอยู่นั้น สมภารแขกมี ชื่อเสียงโด่งดังมาก อายุขณะนั้นประมาณ ๗๐-๘๐ ปี หากนับ
ถึงปัจจุบันก็คงจะรุ่นๆ เดียวกับหลวงปู่บุญ จึงเป็นไปไม่ได้ที่สมภารแขกจะเป็นอาจารย์ของหลวงปู่รอด
และหลวงปู่บุญ แต่อาจเป็นไปได้ว่า หลวงปู่รอดที่เป็นอาจารย์ถ่ายทอดวิชาเบี้ยแก้ให้กับหลวงปู่บุญ
และหลวงปู่แขก เพราะหลวงปู่รอดนั้นท่านมีอายุนั้นในรุ่นหลังของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ไม่มากนัก
(คงมีอายุห่างจากสมเด็จฯ ประมาณ ๓๐ ปี-ผู้เขียน)

ตามหลังสือประวัติวัดทั่วราชอาณาจักรซึ่งกรมาการศาสนาเป็นผู้จัดพิมพ์นั้น ระบุว่าหลวงปู่รอดเป็น
สมภารรูปแรกของวัดนายโรง เพราะฉะนั้นในกระบวนเบี้ยแก้ทั้งหมดเท่าที่พบเห็นกันอยู่ต้องถือว่า เบี้ยแก้
ของหลวงปู่รอดวัดนายโรงเก่าแก่ที่สุด ส่วนสาเหตุที่น่าเชื่อว่าหลวงปู่แขกกับหลวงปู่บุญ มีความสัมพันธ์
กันก็เพราะว่า พื้นเพเดิมของหลวงปู่แขกนั้น ท่านเป็นชาวนครชัยศรีเช่นเดียวกับหลวงปู่บุญจึงน่าจะเป็น
ไปได้ว่า หลวงปู่บุญท่านอาจจะไปมาหาสู่กับหลวงปู่แขก และได้มาทราบกิติศัพท์และเกียรติคุณของ
หลวงปู่รอด วัดนายโรง เมื่อคราวมาเยี่ยมหลวงปู่แขกที่วัดบางบำหรุ จึงได้ขอเรียนวิชาทำเบี้ยแก้กับ
หลวงปู่รอด

อนึ่งหลวงพ่อรัตน์วัดบางบำหรุเล่าว่า สมภารพรหม เจ้าอาวาสวัดบางบำหรุก่อนหลวงปู่แขกก็อยู่ใน
ฐานะศิษย์ของหลวงปู่รอด วัดนายโรง เอาละครับผู้เขียนขอเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการสร้างเบี้ยแก้
ของหลวงปู่บุญไว้เพียงเท่านี้ ผิดถูกเท็จจริงประการใดขอให้อยู่ในดุลยพินิจของท่านผู้รู้ทั้งหลายด้วย

อิทธิคุณและพิธีกรรมการใช้เบี้ยแก้

ข้ออธิบายต่อไปนี้ คัดลอกจากต้นฉบับเดิมของวัดกลางบางแก้ว เพื่อให้ท่านที่มีเบี้ยแก้ได้ทราบถึง
อิทธิคุณและการใช้อย่างถูกต้อง อันจะบังเกิดผลดีแก่ผู้ใช้

- ป้องกันอัตวิบากกรรม แก้ภาพหลอน จิตรหลอน ภาพอุปทาน แก้อำนาจภูผีปีศาจ อาถรรพณ์เวททำให้
มัวเมาขลาดกลัว ขนพองสยองเกล้า ลมเพลมพัด คุณไสย คุณผี คุณคนทั้งปวงอุบาทวเหตุ อุบาทวภัย
ทั้งปวง มัวเมายาพิษ ยาสั่งทั้งหลาย ไข้ป่า ไข้ป้าง ไข่ผีป่า ผีโป่ง ผีปอบ ต้องกระทำจากภูตผี ผีพราย
ผีตายโหง กองกอยวิกลจริต จิตวิกลวิกาล วิญญาณ อุปาทานวิกลเหมือนผีเข้าเจ้าสิงสู่ปราศจากสิ้นแล

- ให้อธิษฐานเอาน้ำมนต์ เอาดอกพุทธรักษาดอกไม้ ดอกเข็มแดงหลากสี ตั้งขันธูปเทียน ขันห้า
ข้าวตอก ดอกไม้แก้บาทวพิษ บาทยัก อัมพาต บาดแผล ฝีมะเร็ง ฝีคุณ หัวพิษ หัวกาฬ ทรางชัก
รางขนพอง สันนิบาตลูกหมา ลูกนก หลังแอ่น คางแข็ง บ้าหมู ภายนอกภายใน อาบกินด้วย ตั้งจิตหน่วงลง
ในคุณพระศรีรัตนตรัยใช้ได้แล

- เมื่อเข้าศึกสงครามให้เอาไว้ด้านหน้าสารพัดศัตรู บีทาย่ำรุกไล่ให้เอาไว้ด้านหลัง หาเจ้าฟ้ามหากษัตริย์
เจ้าขุนมูลนาย ให้เอาไว้ด้านข้างขวา เมื่อหาหญิง หานางพญาไว้ข้างซ้าย สารพัดศาสตรามิต้องข้างกายเลย
ดุจฝนเสนห่า ข้าวปลาอาหารเป็นพิษ คางแข็ง เคี้ยวไม่กลืนเลยแล

- ปลิงก็ดี ทากร้ายก็ดี มีในป่ามืด ในน้ำห้วยหนอง คลองบึง มันไม่เก่าะกินเลือดทั้งวัวทั้งควาย ช้างม้า
ก็ดีแล แก้งูพิษ เขี้ยวขนอน แมวเซา เห่าแก้วก็ดีมิต้องกายมาขบกัดเลยแล

สูตรการสร้างยาจินดามณี

เมื่อกล่าวถึงผงยาจินดามณี ต่างก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่า เป็นสูตรการสร้างวัตถุมงคล ที่ส่งให้ชื่อเสียง
ของวัดกลางบางแก้ว โดยเฉพาะหลวงปู่บุญโด่งดังขจรขจาย อุปเท่ห์การใช้ยาจินดามณีนั้นมีคุณครอบ
จักรวาล แม้แตาสามารถฉุดกระชากจิตวิญญาณที่ใกล้จะดับสูญ ให้กลับฟื้นคืนสติขึ้นมาสั่งเสียข้อความต่างๆ
แก่ญาติโยมได้ สูตรการสร้างยาจินดามณีนี้ เป็นของเก่าแก่ดั่งเดิมสืบทอดมาหลายชั่วอายุคนแล้ว สำหรับ
หลวงปู่บุญนั้นท่านก็ได้รับสืบต่อมาจากพระปลัดทอง ซึ่งเป็นอุปัชฌาย์อาจารย์ของท่าน

กรรมวิธีการสร้างนั้น ประกอบด้วยพิธีกรรมและเครื่องยาแยกเป็นสองส่วน ส่วนที่เป็นเครื่องยานั้น
ตำรับโบราณได้พรรณาเอาไว้อย่างกว้างๆ ตามตำราว่า

"จินดามณีโอสถอันพิลาส" ประกอบดอกคลาด ดอกจันทร์เกสรบุษบัน เปราะหอม กำยานโกฐสอ
โกฐเขมา ทองน้ำประสาน เปลือกกุมชลธาร กรุงเขมาเท่ากัน ผสมแล้วตำบดพิมเสน ชะมดน้ำผึ้ง รวงรัน
กฤษณา น้ำมะนาว น้ำมะเขือขื่นคั้นผสมยาเข้าด้วยกัน บดปั้นตากกินเป็นยาวาสนาเลิศล้ำตำราในโลกแผ่นดิน
อุปเท่ห์กล่าวไว้ ผู้ใดได้กินจะสวัสดิโสภิณกว่าคนทั้งหลาย พัสดุเงินทองจักพูนกูลนองกว่าโลกหญิงชาย
นำมาบูชาอหิวาต์ก็มิวาย ระงับอันตรายทั้งสี่กิริยาโทษหนักเท่าหนัก มาตรแม้นประจักษ์ถึงกาลมรณา
ถ้าแม้นใครกินซึ่งยาวาสนากลับน้อยถอยคลาเคลื่อนคลายหายเอย

นอกจากนี้ยังได้แยกเครื่องยาไว้อย่างละเอียดว่า สมุนไพชนิดใดจะเอาส่วนไหนประกอบกับอะไร
บดเป็นผงละเอียด เคล้ากับตัวประสานสมุนไพรนั้นมีมากมายหลายชนิด แยกออกเป็นสันส่วนว่า ส่วนไหน
ใช้เท่าใด และให้ลงหรือเสกด้วยคาถาอย่างไรบ้าง เมื่อปลุกเสกเครื่องยาแต่ละส่วนตามคาถาที่กำกับแล้ว
ก็เอาเครื่องยามาผสมกับมีคาถาฤาษีประสมยาประกอบไว้อีกโสดหนึ่ง ในเรื่องสัดส่วนของสมุนไพรตลอดจน
สมุนไพรนอกจากที่ได้กล่าวไว้ในเบื้องต้นนั้น และพระคาถากำกับการเสกสมุนไพรมากมายหลายบท

จากนั้นท่านได้แจกแจงรายละเอียดเอาไว้ในส่วนการลงลูกหินและแม่หิน ซึ่งจะใช้บดยาว่า
"แม่หินต้องลงอักขระเลขยันต์อีกแบบหนึ่งและมีคาถาประกอบขณะบดยา"

การจัดพิธีท่านให้เลือกเอาวันเพ็ญขึ้น ๒๕ ค่ำกลางเดือน ๑๒ ซึ่งหากปีใดได้ราชาฤกษ์หรือเพชรฤกษ์
จัดว่าดีเยี่ยมให้จัดเครื่องสังเวยเทวดาบัตรพลีต่างๆ รวมทั้งราชวัตร ฉัตรธงภายในพระอุโบสถ และมีสายสิญจน์
รอบพระอุโบสถแต่ละทิศให้ลงยันต์ประจำทิศด้วยผ้าแดง ด้านหน้าพระอุโบสถแต่ละทิศ ให้ลงยันต์ตรีนิสิงเห
และยันต์จินดามณีประกอบไว้เป็นพิเศษด้วย เมื่อได้ฤกษ์ให้ชุมนุมเทวดา แล้วให้พระภิกษุและฆราวาส
ที่ร่วมพิธีพร้อมกัน โดยเฉพาะฆราวาสนั้น หากเป็นหญิงให้ใช้สาวพรหมจารีย์ ซึ่งรักษาศีลอุโบสถ (ศีล ๘)
มาแล้ว ๓ วัน ส่วนชายก็ให้รักษาศีลอุโปสถเช่นกัน

ผู้ร่วมพิธีปั้นเม็ดยา หรือกดพิมพ์พระจะต้องภาวนาพระคาถาไปด้วย ไม่ว่าเม็ดยา หรือพระพิมพ์ที่ปั้น
และกดเสร็จแล้วจะต้องนำไปปลุกเสกด้วยมนต์ขลังอีกอย่างน้อย ๗ เสาร์ ๗ อังคาร

การสร้างยาจินดามณีนี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ยาวาสนา" ซึ่งมิใช่มีเฉพาะตำหรับของวัดกลางบางแก้ว
เท่านั้น วัดอื่นก็มีสร้างกัน เช่น วัดปากครองบางครก อ.บ้านแหลม จ. เพชรบุรี ก็มีการสร้างในสมัยของ
หลวงพ่อโศก (พระครูอโศกธรรมสาร) เกจิอาจารย์ผู้พระเดื่องนาม ในการสร้างปลัดขิก พระขรรค์และ
ผ้ายันต์ราชสีห์เส้นคู่ ตำหรับการสร้างผงยาจินดามณีของวัดปากคลองบางครกนี้ ก็มีกรรมวิธีการสร้างและ
อุปเท่ห์การใช้อย่างเดียวกันกับของวัดกลางบางแก้ว ผู้เขียนเข้าใจว่าคงเป็นตำราที่สืบทอดแตกแยกกัน
ออกไป เมื่อได้พูดถึสูตรผงยาจินดาตรีของทั้ง ๒ สำนักแล้ว ก็อยากจะนำอุปเท่ห์การใช้มาเขียนลงไว้
อย่างชัดเจน โดยขอกล่าวถึงอุปเท่ห์การใช้ยาจินดามณีตำหรับวัดกลางบางแก้วก่อน

ใครได้รับประทานยาจินดามณีแล้วจะบันดาลให้เกิดศิริสวัสดีและลาภผล หากบูชาเอาไว้จะป้องกัน
และรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ แม้แต่อหิวาตกโรคผู้ใดมีไว้จะปราศจากอันตรายใดๆ ในทุกอิริยาบถผู้ใดต้อง
โทษทัณฑ์ก็จะบรรเทาเบาบางลงได้ ผู้ใดป่วยหนักแม้แทบจะสิ้นชีวิต หากได้รับประทานอาจินดามณีแล้ว
ก็จักรอดตายฟื้นหายจากโรคนั้นสำหรับวิธีการใช้ยาขอยกเอามาเพียงบางส่วนดังนี้

ถ้าใช้รักษาอหิวาตกโรคให้เอายอดทับทิมต้มผสมกับกานพลูและน้ำปูนใส แล้วฝนเม็ดยาใส่ลงไป
ดื่มรับประทานหายจากโรคแล

แก้โรคเสมหะดีขึ้น(คนป่วยถ้าเสมหะตีขึ้นแล้ว มักจะไม่รอด) ให้ใช้ดีหมีผสมน้ำร้อน แล้วใส่ยาจินดามณี
ผสมลงไปรับประทาน

ถ้าเกิดคดีความขึ้นโรงขึ้นศาล ให้เอายาใส่น้ำเสกด้วย "เอกัง จินดามณีมันตัง" เป็นเมตตามหานิยม
แล้วเอาน้ำประพรมศรีษะ เอาเม็ดยาอมไว้ตลอดเวลา จะชนะความทั้งสิ้นแล

หากจะให้ปัญญาดี ให้เสกด้วยพระคาถาต่อไปนี้ ๓ คาบ
"ตะโตโส ปัณฑิโต ปิหิโส อัตถะ ทัสสีมะโหสะ โถ" แล้วอมยาจะท่องมนต์คาถาสารพัดวิชา จำได้สิ้น
ที่หลงลืมก็จะระลึกได้อุปเท่ห์การใช้ผงยาจินดามณี ของวัดกลางบางแก้วนี้ยังมีอีกมาก เอาไว้กล่าวถึงใน
บทเฉพาะเกี่ยวกับพระคาถาอาคมของหลวงปู่บุญ

สิทธิการิยะ จะกล่าวถึงสรรพคุณวิเศษของยาจินดามณี ตำหรับวัดปากคลองบางครก (อันที่จริง
ก็ตำรับเดียวกันนั่นแหละครับ เพียงแต่แตกแยกออกไปเท่านั้น)

แก้โรคในจักษุ ๖ แก้ในจมูก ๓ ประการในลิ้น ๖ ประการ ในฟันในท้อง ๔ ประการ แก้ไขบั้นปลาย
ก็ได้แก้ลมมหาสดมภ์ แก้ลมราชยักษ์กุมภัณฑ์ยักษ์ แก้อ่อนเปลี้ยเพลียใจ คลื่นไส้เอาเจียรเป็นยาครรภ์
รักษา แก้หัวพิษ หัวกาฬ ละลอกน้ำ ละลอกไฟ

ผิวเป็นอัมพฤก อัมพาต ตายไปทั้งตัวก็ดีฝ่ายซ้ายขวาก็ดี ตีนมือ คาง ขากรรไกร ก็ดีหาสมประดี
ไม่ได้ไซร้ ให้เอาหญ้าฝรั่ง พิมเสนทองคำ บดด้วยยาละลายกรองลงไปได้สติลืมตามีน้ำตาไหล น้ำลายยืด
แล้วหายแล ถ้าคนไข้บีบมือเหมือนจะออกคำ แต่ออกมิได้ให้เอาดีหมีก็ได้ถ้าไม่มีดีงูก็ได้ ต้มน้ำให้ละลาย
ประมาณครึ่งถ้วยพริก ใส่เหล้าครึ่งให้กินเถิดถึงเสลดหางวัวตีขึ้นก็จับกลับหาย หายมากแล้ว

ถ้าผู้บ่าวสาว ชักดิ้นงักงอ หมดสติตีนมือเกร็ง มีมายาต่างๆ เหมือนผีสิงก็ดีกัดฟันหน้าเบี้ยว ให้เอาพิมเสน
มาบดด้วยยาใส่ฝิ่นรำหัส ให้ต้มน้ำขิงทุบ เอาน้ำอุ่นเยี่ยวหนูให้กิน ถ้ามิฟังให้เอาหัวหอม ๓-๔ หัวตำ คั้นน้ำ
บดยาให้กิน แก้กำหนัดกามราคะขึ้น เป็นลมเบื้อนสูงสงบและเลือดระดูทำพิษให้เอาเสนียด คำฝอยต้ม

แก้สวิงสวาย หน้ามืดตาลาย กระวนกระวายเป็นทุกข์ระส่ำทรวง หัวใจเต้นดังตีปลาเหงื่อกาฬแตก
บดยาใส่น้ำดอกไม้สด น้ำมะลิ บังหลวง กระดังงาก็ได้ ทั้งกินทั้งดมหายใจแลแก้ร้อนใน น้ำดอกไม้เทศ
แก้ทราง ละลายน้ำพ่น ชะโลมตัวหายแล

แก้เลือดตก น้ำมะขามเปียกครึ่งชามแกงแซกเหลือตัวผู้ แก้ลมบ้าหมู น้ำมะนาว แก้ไอมะนาวแทรกเกลือ

ตกลงป่วง ลงราก โรคห่า ละลายน้ำยา ด้วยน้ำฝนกินให้อิ่มหายพลัน ถ้ามิฟังเอาเปลือกมะม่วง ๓
เปลือก ต้มใส่ปูนน้อยหนึ่ง ต้ม ๓ เอา ๑ ละลายกินเถิดหาย

แก้บิดมูกเลือด ขมิ้นข้น ๓ แว่น ทายาฝิ่นหรือขี้ยากรอบงโรยลงปิ้งไฟเกรียม บดด้วยน้ำปูนใสใส่ยา
๑ เม็ดกิน ๓ ที หายดีนัก แก้จุกเสียดแน่นเฟ้อใช้น้ำขิงต้ม

แก้โรค อุปทม ทุเลาวสา มุตกิต มุตฆาต ยักน้ำกระสายธาตุ ๔ ต้ม ให้ถ่ายใช้เกลือหนัก ๑ ชั่ง
ธาตุหนักก็เพิ่มขึ้น ใบมะขามต้มเป็นกระสาย

องคชาติปวดแสบในลำปัสสาวะ เมื่อปัสสาวะเป็นกำลังบานไม่รู้โรยขาว ทั้งห้าต้นแทรกสารส้ม
รำหัสละลายยากินเถิดหาย มักหนักถ่วงท้องน้อย บางครั้งมีแน่นให้เอาใบมะดัน ๙ ใบลงด้วยนวหรคุณต้ม
แทรกสารส้มกินหาย เมื่อทุเลาแล้วแต่งยาชื่อกษัยองคสุตรกินเสียหายแล

แก้หัวพิษ หัวกาฬ หัวละลอก ใช้น้ำครำฝนยาทาใช้น้ำขี้เถ้าดินเผาไฟก็ได้ใบมหากาฬตำก็ได้

แก้บาดทะยัก เอาผักปราบตำใส่ปูน น้ำมะนาวบีบลงในยานี้ทาหาย ถ้าชักกระตุกแล้วให้รีบทาเถิด
ยักยาอื่นตายแล

อนึ่งทารกแรกเกิด ให้เอายาฝนกับน้ำผึ้งรวงแล้วหยอดให้ทารกนั้นกิน ๓ วันแรกเสียงจะดีนักแล
เลี้ยงง่ายปัญญาดีแล

ถ้าให้มีปัญญาพาที ให้เสกด้วยพระคาถานี้ ๓ จบ แล้วอมยาไว้จะเล่าบ่นมนต์คาถาสารพัดวิชาจำได้สิ้น
ที่เลือกลืมหลงก็นจะรำลึกได้แล

ให้เสกด้วยมนต์มหาจินดาติดตัวไปเป็นเสน่ห์บังเกิดลาภผลที่ตนปรารถนาแล

ให้เสกด้วย พัสสมิงกิเนนโตฯ สู้ความชนะ

ให้เสกด้วย เอกจินดา มณีมนตํ ติดตนไปเป็นมหานิยมภาวนา อุอากะสะ ทำการไร่นามิเหนื่อยแล

ให้ภาวนาด้วยบท ยันทุนนิมิตตัง จบหนึ่งเอายาติดตัวไว้กลัวลางนิมิตร้ายแล

อมยาแล้วนั่งเหนือลมภาวนา อิตถีจิตตํ ปิยํ มะมะ รักและหลงเรา จากไปมิได้แล

เมื่อจะเดินทางไปสารทิศ เข้าหายเจ้านายผู้ใหญ่ ใช้ยานี้แช่น้ำใช้น้ำนั้นสระหัวอมยา แล้วภาวนา
สัตถาเทวมนุสสานัง พุทโธ ภควาติ ๗ คาบผู้ใหญ่ เจ้านายหายโกรธ ช่วยเหลือเราทุกทางเลย

ถ้าเผชิญด้วยหมู่ศัตรูหมู่ร้าย ให้อมยาแล้วภาวนาพามานา อุกะสะนะทุ ๘ คาบ ชนะศัตรู ศัตรูทำร้าย
มิได้ แคล้วคลาดสารพัดแล

เอายาติดตัวไปป้องกันสรรพโรคภ้ย ป้องกันเสนียดจัญไร กันย่ำยีด้วยคุณไสย คุณผี คุณคน สารพัด
พิษ ผิดสำแดง เมื่อต้องยาเบื่อมา เอารากมะปรางหนึ่ง หัวนุมานกระทบแท่งหนึ่ง ฝนทำน้ำกระสาย หรือ
เอาแต่อย่างหนึ่งก็ได้กินเถิดมิเป็นไรอย่าประมาทเลย เคยแก้ยาสั่งมาแล้ว ถ้าติดตัวไปมิต้องเราแล

ให้มีติดตัวถึงราวอับจนจะได้ใช้ ตามืด หูมืด ใช้ได้ทุกเมื่อ มีอำนาจวิเศษคุณมากตีค่าไว้ถึง ๘ ชั่งทองแล

ที่ต้องเอาเกล็ดและฝอยของยาจินดามณีหรือยาวาสนาตำรับวัดปากคลองบางครก อ.บ้านแหลม
จ.เพชรบุรี มาลงไว้เสียยืดยาว ก็เพราะว่าต้องการให้ผู้อ่านเทียบเคียงกันดูว่าทั้งตัวยาและอุปเท่ห์การใช้นั้น
มีส่วนเหมือนและคล้ายคลึงกันมากซึ่งก็ไม่ใช้เรื่องแปลก เพราะสูตรดั่งเดิมของการสร้างยาจินดามณีนั้น
เป็นศัตรูเก่าแก่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เพียงแต่แตกสาขาออกไปหลายสาย โดยเฉพาะสายวัดกลางบางแก้วนั้น
ได้สืบทอดมาแต่ท่านเจ้าคุณวัดราชนัดดาที่มามีชื่อเสียงแพร่หลายกว่าสายอื่นนั้น ก็คงเนื่องจากตบะบารมี
ของหลวงปู่บุญท่านสูงส่งและแก่กล้ากว่าเท่านั้นเอง แต่ก็ใช้ว่าสูตรยาจินดามณีของสำนักอื่นไม่มีหรือมี
แต่จะด้อยสรรพคุณกว่าก็หาไม่ เพราะอันพระเถราจารย์เจ้าในยุคเก่าๆ นั้น ท่านเชี่ยวชาญเข้มขลังไม่แพ้กัน
หรอกครับ แต่ละท่านต่างก็ยกย่องซึ่งกันและกัน แต่มาชั้นหลังรุ่นพวกเราเหล่าลูกศิษย์ชักจะมีคติถือครูบา
อาจารย์ถือสำนัก แบ่งพรรคแบ่งพวกกันเสียแล้ว ผู้เขียนไม่เห็นด้วยเลยครับ อย่างไรเสียก็ควรจะช่วยกัน
รักและอนุรักษ์ของเก่าแก่ดั่งเดิมเอาไว้เถอะครับ แม้จะต่างวัด ต่างสำนักกันก็อย่าได้มองข้ามหรือดูแคลน
กันนักเลย

สำหรับอุปเทห์ใช้และคาถาที่กำกับยาจินดามณีตำหรับวัดกลางบางแก้ว ขอให้พลิกไปบทถัดไปนะครับ
มีบันทึกเอาไว้เฉพาะแล้ว

572
รักหลวงพ่อเปิ่นมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก มาก

573
เจริญพร

574
สวัสดี..สวัสดี ปีใหม่   
 

575
ผมได้แล้วครับ

576
อีกวิธีว่าดูของแท้ไห้ดูที่ขี้ฟัน

577
ถ้าคุณได้ยันหอมเชียงเป้นวาสนาและศิริมงคลอย่างยิ่งครับ แมลงวันไม่สามารถกิดเลือดได้ ขนาดสักไปเข็มเด้ง

578
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: ยันต์ 29
« เมื่อ: 03 เม.ย. 2550, 09:22:55 »
เห็นด้วยตามคุณ เปียกปูน

579
สายใต้ใหม่=30   ขึ้นรถท่านา=16 อย่างอื่นขึ้นอยู่ปัจจัย

580
งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง

582
ขอโทษด้วยภาพไม่ชัดเพระถ่ายจากมือถือ

583
ด้านล่างทำการผัง โดย อ.อภิญญยา

584
หลวงพ่อโต วัดบางพระ ด้านล่างทำการผัง โดย อ.อภิญญยา

586
น่าจะมี ลองแวะไปที่กุฏิมหาสมชาย

587
ผมก็มีเป้นเนื้อทองคำ

588
หลวงพ่อเปิ่น

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

589




 
พระวิษณุ (นารายณ์) เทพผู้คุ้มครองโลก

พระวิษณุ (นารายณ์) เทพผู้คุ้มครองโลก ความเชื่อของชาวฮินดูปัจจุบันพระองค์ คือเทพผู้ทำหน้าที่บริหารหรือผู้คุ้มครองโลกที่สำคัญ จากคัมภีร์พราหมณ์ คัมภีร์พราหมณ์ปุราณะกล่าวไว้ว่า ?พระปรเมศวร? (พระศิวะ) เป็นผู้สร้างพระวิษณุ เหตุมาจากทรงมีพระประสงค์จะสร้างสวรรค์และโลก ซึ่งถือว่าเป็นงานใหญ่นัก จึงได้ทรงต้องการผู้ช่วย โดยการนำหัตถ์ซ้ายมาลูบหัตถ์ขวา จึงบังเกิดเป็นเทพชื่อ ?พระวิษณุ? หรือ ?พระนารายณ์? พระปรเมศวร ได้สอนศิลปะด้านต่าง ๆ ให้กับพระวิษณุ ในทุกด้าน และให้ประทับอยู่ ณ เกษียรสมุทร เมื่อเกิดเหตุร้ายในโลกมนุษย์ หรือสวรรค์เมื่อใด พระวิษณุก็จะมีหน้าที่ไปปราบปรามเหล่าอสูร และผู้ประสงค์ร้ายนั้น ๆ โดยในบางคราวก็จะได้รับการร้องขอจากเหล่ามวลเทพเทวดาบ้าง คัมภีร์มหาภารตะ เล่าไว้ถึงพระนารายณ์แต่เดิมคือฤาษีตนหนึ่ง เป็นบุตรของฤาษีธรรมมะ ได้เดินทางจากโลกมนุษย์สู่สถานที่ของพวกพราหมณ์พร้อมเพื่อนสนิทนามว่า ?นร? เพื่อบำเพ็ญเพียรจนได้รับการเคารพบูชาจากเทพเทวดาทั้งมวล ต่อมาได้รับการขอร้องจากเหล่าเทวดาให้ช่วยปราบอสูรที่สร้างความเดือดร้อน ฤาษีทั้งสองจึงได้รับปากช่วยเหลือโดยได้ออกรบกับอสูรจนได้รับชัยชนะ จึงได้รับความเคารพนับถือจากเหล่าเทวดายิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน จนภายหลังฤาษีนารายณ์ได้ออกเดินทางไปบำเพ็ญตนยังหิมาลัยจนบรรลุผลเป็นพราหมณ์ (ผู้รู้แจ้งทุกสิ่งในโลก) และได้เป็นผู้นำเหล่าพราหมณ์ในเวลาต่อมา จากการยกย่องบูชาตลอดที่ผ่านมาจนเป็นที่รู้จักในนาม ?พระวิษณุ(นารายณ์)? พระนามของพระวิษณุ พระนารายณ์ มีผู้ขนานนามเรียกขานจากความแตกต่างกันตามความเชื่อ พระนามตามฤทธิ์อำนาจ และตามเหตุการณ์ที่ต่างกันตามกาล อาทิ อนันตะ ไม่สิ้นสุด จตุรภุช มี ๔ กร มุราริ เป็นศัตรูแห่งมุระ นระ (นะระ) ผู้ชาย นารายณ์ ผู้ที่เคลื่อนไปในน้ำ ปัญจายุทธ พระผู้ทรงอาวุธทั้ง ๕ อย่าง ปีตามพร ทรงเครื่องสีเหลือง ทโมทร มีเชือกพันเอาไว้รอบเอว กฤษณะ, โควินทะ, โคบาล ผู้เลี้ยงวัว ชลศายิน ผู้นอนเหนือน้ำ พระพิษณุหริ ผู้สงวน อนันตไศยน นอนบนอนัตนาคราช ลักษมีบดี ผู้เป็นสามีของพระลักษมี วิษว์บวร ผู้คุ้มครองโลก สวยภู เกิดเอง เกศวะ มีผมอันงาม กิรีติน ผู้ใส่มงกุฎ พระวิษณุ พระนารายณ์ ทรงประทับบนสวรรค์ เรียก ไวกูณฐ์ พาหนะ คือครุฑ พระวรกายสีนิล ฉลองดั่งกษัตริย์ มีมงกุฎ อาภรณ์สีเหลือง มี ๔ กร ถือ สังข์ จักร ตรี คทา บ้างก็กล่าวไว้ว่าทรงถือ ดอกบัว ลูกศร ดอกไม้ หรือเชือกบ่วงบาศ หรือสายฟ้า อาวุธประจำที่ใช้ คือ สังข์ จักร คทา ธนู และพระขรรค์



--------------------------------------------------------------------------------


 
?อวตาร?

ปฏิบัติการอันสำคัญของพระวิษณุมหาเทพ

เมื่อลัทธิไวษณพนิกาย ที่ถือว่าพระวิษณุทรงเป็นใหญ่เหนือมหาเทพทั้งหลายในตรีมูรติ เจริญรุ่งเรืองมากขึ้นในสมัยราชวงศ์คุปตะ ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๓-๖ และกษัตริย์อินเดียในราชวงศ์นี้ส่วนมากจะนับถือลัทธินี้มาก ทรงรับลัทธินี้ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ และถือว่าการอวตารขององค์พระวิษณุมหาเทพเป็นองค์ประกอบ หรือหัวใจที่สำคัญของลัทธิภควตา (Bhagavata) ซึ่งเกิดขึ้นมาในสมัยราชวงศ์คุปตะนี้และเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาเป็นลำดับแม้ว่าราชวงศ์คุปตะจะเสื่อมลงแล้วก็ตามลัทธินี้ก็ยังคงอยู่ ชาวฮินดูก็ยังเคารพบูชาปางอวตารของพระวิษณุมาก แม้กระทั่งในปัจจุบันนี้ก็ตามที การอวตาร (Aratara) หรือในภาษาอังกฤษว่า ?Incarnation? แปลว่า ?การลงมา? คือการลงมาเกิดเป็นมนุษย์หรือ ?การเข้าในร่างของมนุษย์? หมายถึง พระวิษณุเสด็จลงมาเกิดบนโลกมนุษย์เป็นภาคเป็นตอนต่าง ๆ กันเพื่อปราบยุคเข็ญในโลกให้หมดสิ้นไป ถือเป็นปฏิบัติการอันสำคัญยิ่งของมหาเทพพระองค์นี้ เมื่อมีบาปกรรมหนาแน่นบนโลกมนุษย์ พระวิษณุก็จะอวตารลงมาช่วยขจัดปัดเป่าเสีย



--------------------------------------------------------------------------------




 
นารายณ์อวตาร

อวตารของพระองค์เป็นทั้งมนุษย์และสัตว์ และการอวตารของพระองค์จะเป็นไปตามอิศวรโองการ (คำสั่งของพระศิวะ) และการอัญเชิญขอร้องของหมู่เทวดาทั้งหลาย การอวตารของพระวิษณุมหาเทพเพื่อมาช่วยมนุษย์โลกนี้มีทั้งหมด ๑๐ ปาง (แต่ยังไม่แยกย่อยออกเป็นอีกด้วยกันคือ ๒๒ ภาค ซึ่งจะไม่กล่าวในที่นี้)



--------------------------------------------------------------------------------


 

พระนารายณ์ ๑๐ ปางสำคัญดังนี้

ปางที่ ๑ วราหาวตาร (อวตารเป็นหมูเผือกมีเขี้ยวเพชร)
ปางที่ ๒ กูรมาวตาร (อวตารเป็นเต่าทอง)
ปางที่ ๓ มัตสยาอวตาร (อวตารเป็นปลากรายทอง)
ปางที่ ๔ นรสิงหาวตาร (อวตารเป็นครึ่งสิงห์)
ปางที่ ๕ วามนาวตาร หรือ ทวิชาวตาร (อวตารเป็นพราหมณ์เตี้ย)
ปางที่ ๖ มหิงสาวตาร (อวตารเป็นมหิงสา หรือควาย)
ปางที่ ๗ อัปสราวตาร (อวตารเป็นนางฟ้า)
ปางที่ ๘ รามาวตาร (อวตารเป็นมนุษย์ชื่อพระราม)
ปางที่ ๙ กฤษณาวตาร (อวตารเป็นพระกฤษณะ)
ปางที่ ๑๐ กัลกยาวตาร (อวตารเป็นมนุษย์เรียกว่า วีรบุรุษขี่ม้าขาว)




--------------------------------------------------------------------------------




 
ปางที่ ๑ วราหาวตาร

อวตารปางที่นี้อยู่ในโลกยุคที่ ๑ พระวิษณุทรงอวตารเป็นหมูป่า (วราห์) เพื่อปราบปรามยักษ์ผู้มีนามว่า ?หิรัณยากษะ? (ผู้ซึ่งมีนัยน์ตาทอง) ซึ่งเป็นอสูรที่ชั่วร้ายมีความร้ายกาจยิ่งนัก เดิมนั้นอสูรตนนี้ได้บำเพ็ญตบะเพื่อบูชาพระอิศวรทำให้พระองค์โปรดปรานและพอพระทัยยิ่งนัก จึงประทานให้อสุรตนนี้มีฤทธิ์สามารถปราบได้ทั่วสากลจักรวาล พญาอสูรจึงได้มีความฮึกเหิมอหังการยิ่งนัก ได้จัดการม้วนแผ่นดินโลกทั้งหมด แล้วหนีบใต้รักแร้ หนีลงไปอยู่ในบาดาล ในที่สุดต้องเดือดร้อนถึงพระวิษณุอวตารลงมาเป็นหมูป่า (วราห์) เพื่อปราบปรามยักษ์ตนนี้ หมูนี้มีเขี้ยว เป็นเพชร ดำน้ำลงไปในมหาสมุทรต่อสู้กับพญาอสูรหิรัณยักษ์ จนเวลาล่วงเลยไปถึง ๑ พันปี จึงสามารถฆ่าหิรัณยักษ์ได้สำเร็จ ท้ายที่สุดก็เอา เขี้ยวเพชรนั้นงัดเอาแผ่นดินขึ้นมาไว้บนผืนน้ำตามเดิม



--------------------------------------------------------------------------------




 
ปางที่ ๒ กูรมาวตาร

พระนารายณ์อวตารลงมาเป็นเต่ายักษ์ เพื่อปราบอสูรมัจฉา เรื่องกล่าวย้อนไปถึงการกวนน้ำอมฤต ในขณะที่พระนารายณ์ทรงอวตารเป็นเต่ายักษ์ เพื่อหนุนแผ่นดินมิให้ทะลุลงไปถึงโลกมนุษย์ พระองค์ได้พบกับอสูรมัจฉาในขณะกำลังใช้ปากแทะแผ่นดินเพื่อเปิดทางให้น้ำอมฤตไหลทะลักสู่ โลกมนุษย์ ด้วยอสูรมัจฉามีความคิดที่ต้องการเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียวในโลก เมื่อพระนารายณ์ (เต่ายักษ์) เห็นการกระทำนั้นจึงเข้าขัดขวางทำการ ต่อสู้กับอสูรตนนั้น หากจะกล่าวถึงอิทธิฤทธิ์ของอสูรย่อมมีมากมายนัก ส่วนเต่ายักษ์ก็เข้าต่อสู้จนที่สุดแล้วเต่ายักษ์เป็นฝ่ายมีชัยชนะ เรื่องจึงจบลง และเต่ายักษ์จึงกลับร่างเป็นพระนารายณ์คืนสู่วิมานดั่งเดิม



--------------------------------------------------------------------------------







ปางที่ ๓ มัตสยาอวตาร
พระวิษณุมหาเทพทรงทราบดีว่าในเวลาที่พระพรหมทรงบรรทมอยู่นั้นเป็นการเริ่มต้นของ ?พรหมราตรี? เป็นราตรีที่ยาวนานเป็นช่วงที่โลกทั้งหลาย ถึงกาลอวสาน น้ำจะท่วมโลกสรรพชีวิตทั้งหลายไม่อาจอยู่รอดได้ โลกจะตกอยู่ในความมืดมิดปราศจากแสงสว่างทั้งจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ พรหมราตรีนี้มีระยะเวลานานกับ ๔,๓๒๐ ล้านปีมนุษย์หรือเท่ากับครึ่งกัลป์ พระวิษณุมหาเทพทรงพิจารณาเห็นถึงมหันตภัยที่จะมากร้ำกรายแก่โลก และบรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายในสากลโลก อันมีพระมหากษัตริย์และไพร่ฟ้าประชาชนที่ตั้งอยู่ในศีลธรรมอันประเสริฐ จึงทรงอวตารลงมาเป็นปลาก รายทองชื่อศผริ (อ่านว่า ?ศะ-ผะ-ริ?) อยู่ในฝั่งแม่น้ำเมืองอโยธยา (ในโลกมนุษย์) รอเวลาเมื่อพระสัตยพรตพระราชาผู้ตั้งอยู่ในศีลสัตย์เสด็จมาวักน้ำ สรงพระพักตร์ ปลาน้อยก็ติดขึ้นมาในอุ้งพระหัตถ์กล่าวร้องขอให้ช่วยชีวิต พระราชาจึงนำมาเลี้ยงไว้ในบาตรปลานั้นก็โตเต็มบาตร แม้จะเปลี่ยนภาชนะ เป็นอ่างเป็นสระ ทะเลสาบจนในที่สุดต้องนำไปปล่อยลงในมหาสมุทรเพราะปลาจะขยายใหญ่โตเต็มขนาดของภาชนะที่ใส่ ทำให้ทรงพระสัตยพรตสงสัย ว่าปลาตัวนี้คงมิใช่ปลาธรรมดา คงจะเป็นพระผู้เป็นเจ้าอวตารมาเพื่อลองพระทัย จึงทรงบูชากราบไหว้พญาปลาด้วยความนอบน้อมและเคารพยิ่งพญาปลา ที่เป็นพระวิษณุอวตารก็พอใจยิ่งนักจึงแจ้งเรื่องภัยพิบัติ คือน้ำกำลังจะท่วมโลกและให้สัญญาว่าจะช่วยชีวิตของพระราชาไว้ โดยแนะนำให้พระองค์พร้อม ด้วยข้าราชบริพารเสด็จลงเรือใหญ่พร้อมด้วยพระฤาษีเจ็ดตน และเก็บรวบรวมพันธุ์ไม้ตลอดจนสรรพสัตว์ทั้งหลายอย่างละคู่เตรียมไว้ด้วย และในที่สุดภัย พิบัติดังกล่าวก็มาถึงเมื่อพระพรหมธาดาทรงบรรทมหลับสนิทบังเกิดพายุใหญ่พัดโหมกระหน่ำไปทั่วสากลโลก พาให้น้ำในมหาสมุทรท่วมท้นโลกจนพินาศ ดวงอาทิตย์ดวงจันทร์และดวงดาวต่างจมอยู่ใต้น้ำพระราชาพร้อมด้วยพระฤาษีเจ็ดตนและสัตว์ต่าง ๆ ต้นไม้ ฯลฯ อาศัยเรือลำใหญ่ลอยเคว้งคว้างอยู่กลาง มหาสมุทรที่ท่วมโลกแล้วนั้นโดยมีปลาศผริเป็นผุ้ชักลากจูงเรือไปฝ่าคลื่นและลมพายุอยุ่ในมหาสมุทรตลอดพรหมราตรีอันยาวนาน จนน้ำค่อย ๆ ลดลงและ สรรพสิ่งกลับเข้าสู่สภาวะปกติ เรือลำใหญ่นั้นก็เทียบชายฝั่งพร้อมกับกับส่งพระราชาพร้อมด้วยช้าราชบริพารเรียบร้อยแล้ว ปลาศผริ (อวตาร) ก้รีบดำดิ่งลง สู่มหาสมุทรเพื่อตามล่าอสูรหัยครีพทวงเอาพระเวทคืนกลับมาจนพบอสูรหัยครีพจึงทรงจัดการสังหารเสีย ซึ่งก่อนหน้านั้นอสูรหัยครีพได้นำพระเวททั้ง ๔ไป ฝากกับสังข์อสูร ทำให้พระวิษณุมิได้พระเวททั้ง ๔ คืนมาและจักต้องทรงอวตารมาอีกเพื่อทวงเอาพระเวททั้ง ๔ คืน



--------------------------------------------------------------------------------




ปางที่ ๔ นรสิงหาวตาร

อวตารปางนี้อยู่ในยุคที่ ๑ ของโลกคือ กฤดายุคเช่นเดียวกัน เรื่องราวของการอวตารในปางนี้ก็มีอยู่ว่าหลังจากหิรัณยากษะ (หิรันตยักษ์) ถูกพระวิษณุอวตาร เป็นหมูป่าสังหารเรียบร้อยแล้วนั้น พญายักษ์ชื่อว่า ?หิรัณยกศิปุ? ผู้เป็นน้องชายฝาแฝดก็ขึ้นมาเป็นใหญ่ในหมู่อสูร (ใต้บาดาล) แทนพี่ชาย พญายักษ์นี้มีจิตใจ หยาบช้ากว่าพี่ชายยิ่งนักได้ไปบำเพ็ญตบะขอพรต่อพระพรหมว่าขออย่าให้ตนเองถูกมนุษย์ เทวดา สัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย ฆ่าเอาให้ตายได้ อย่าให้ตายด้วย อาวุธใด ๆ ในสากลโลก อย่าให้ตายในเวลากลางวันและกลางคืน อย่าให้ตายในบ้านนอกบ้าน ซึ่งพระพรหมธาดาก็ประสิทธิ์ประสาทพรให้ตามที่ขอทุกประการ ทำให้พญาหิรัณยกศิปุมีความฮึกเหิมไม่เกรงกลัวผู้ใด แม้แต่พระผู้เป็นเจ้า พญายักษ์ตนนี้มีโอรสองค์หนึ่งชื่อว่า ?ประหลาทกุมาร? ซึ่งเป็นอสูรที่ตั้งมั่นอยู่ในศีล ธรรมอันดีมีความจงรักภักดีต่อพระวิษณุมหาเทพยิ่งนัก ทำให้แนวความคิดของพญาหิรัณยกศิปุนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงแลพญายักษ์ก็มีความรักในโอรสยิ่งนัก เรียกได้ว่ารักดังหัวแก้วหัวแหวน ประหลาทกุมารผู้ตั้งอยู่ในศีลธรรมก็พยายามโน้มน้าวจิดใจของบิดาให้เลิกประพฤติชั่วหันมาทำความดีมีความจงรักภักดีต่อผู้เป็นเจ้า แต่บิดาก็หาได้ฟังไม่เที่ยวเบียดเบียนบีฑาบรรดาทวยเทพทั้งหลายให้เดือดร้อนไปทั่วทุกหัวระแหง พระอินทร์จึงชักชวนบรรดาทวยเทพทั้งหลายไปขอร้องให้พระวิษณุ มหาเทพมาช่วยปราบพญาอสูรผู้ชั่วร้ายตนนี้เพราะไม่มีใครจะปราบมันได้ พระวิษณุมหาเทพก็ทรงรับปากว่าจะช่วยแต่ทรงขอเวลาคิดหาหนทางปราบพญาอสูรก่อน ฝ่ายประหลาทกุมารผู้เป็นโอรสก็เพียรพยายามขอร้องให้บิดาเลิกเบียดเบียนผู้อื่นฝ่ายพญาอสูรผู้บิดาก็หาเชื่อฟังไม่จึงใช้พวกพราหมณ์อสูรทั้งหลายไปอบรมพระโอรส ให้มาเข้าข้างตนพระโอรสก็ไม่ยอมแม้จะพยายามอย่างใดพระโอรสก็ไม่ยอม จากความรักมากก็กลายเป็นความชังมากจึงสั่งให้จัดการฆ่าโอรสของตนเสีย แต่ไม่ว่าจะ ใช้วิธีใด ๆ ก็ไม่สามารถฆ่าโอรสของตนได้ พญาหิรัณยกศิปุจึงถามโอรสตรง ๆ ว่าพระวิษณุมหาเทพนั้นมีจริงหรือไม่ ถ้ามีจริงและแน่จริงก็ปรากฏตัวออกมาเลย และทัน ใดในระหว่างนั้นเสาศิลากลางห้องท้องพระโรงก็แตกออกมา มีตัวประหลาดเป็นครึ่งคนครึ่งสิงห์ ปราดเข้ามาจับตัวหิรัณยกศิปุลากออกไปวางไว้บริเวณธรณีประตู (คืออยู่ในปราสาทครึ่งตัวอยู่นอกปราสาทครึ่งตัว) และนรสิงห์ผู้นั้นก็ถามพญาอสูรว่าตนเป็นมนุษย์เทวดาหรือสัตว์ พญายักษ์ตอบว่าไม่ใช่ทั้งมนุษย์เทวดาและสัตว์,นรสิงห์ ก็ถามต่อไปว่าเวลานี้ร่างของหิรัณยกศิปุ อยู่นอกเรือนหรือในเรือน พญายักษ์ตอบว่าไม่ใช่ทั้งในเรือนและนอกเรือน และนรสิงห์ถามต่อไปอีกว่าเวลานี้เป็นกลางวันหรือกลางคืน หิรัณยกศิปุตอบว่า มิใช่ทั้งกลางวันและกลางคืน แต่เป็นเวลาโพล้เพล้นรสิงห์จึงชูมือกางกรงเล็บออกมาถามพญายักษ์ว่าอันนี้คืออาวุธหรือไม่ พญายักษ์ก็ตอบว่าไม่ นรสิงห์จึงประกาศว่าพรทั้งหลายของพระพรหมธาดาเป็นอันเสื่อมแล้ว และตัวพญาอสูรก็ตกอยู่ในภาวะอันนอกเหนือจากพรหมประกาศิตทุกประการแล้ว กล่าวจบนรสิงห์ก็จัดการ สังหารพญาอสูรด้วยการใช้กรงเล็บฉีกกระชากท้องของพญาอสูรจนถึงทรวงอกจนขาดใจตาย พระวิษณุมหาเทพจึงประทานแต่งตั้งให้ประหลาทกุมารเป็นใหญ่แทนบิดาต่อไป พร้อมกับสั่งสอนให้ตั้งอยู่ในศีลธรรมอันดีแล้วเสด็จกลับยังที่ประทับของพระองค์ คืนความสงบให้กลับมาสู่ไตรโลกอีกต่อไป



--------------------------------------------------------------------------------




ปางที่ ๕ วามนาวตาร หรือ ทวิชาวตาร

อวตารปางนี้ทรงอวตารมาเป็นคนแคระเพื่อช่วยเหลือพระอินทร์ให้ได้กลับมาครอบเมืองสวรรค์ เพราะมีอสูรตนหนึ่งชื่อพลีซึ่งเป็นหลานของประหลาท (ในปางที่ ๔) จอมอสูร ได้เสียทีถูกบรรดาทวยเทพฆ่าตาย ภายหลังจากได้รับการช่วยชุบชีวิตจากพวกพราหมณ์ในใต้บาดาลแล้วก็เริ่มทำพิธีกรรมเพื่อเพิ่มฤทธานุภาพของตนให้มากยิ่งขึ้นจนสำเร็จ แล้วก็ยกพลบรรดาแทตย์และอสูรทั้งหลายพากันมาตีเอาเมืองสวรรค์ได้ ซึ่งพระอินทร์พร้อมทวยเทพบริวารที่แปลงกายเป็นนกยูงได้พากันไปขอร้องให้พระวิษณุมหาเทพลง มาช่วยปราบขุนพลี องค์พระวิษณุมหาเทพจึงอวตารไปเกิดเป็นโอรสของพระกัศยปมุนีและพระนางอทิติเมื่อประสูติออกมาแล้วประทานชื่อให้ว่า ?วามน? อันมีความหมายว่า เตี้ยหรือสั้น และได้ศึกษาเล่าเรียนศิลปะวิทยาการต่าง ๆ จนเจนจบครบถ้วนและก็บวชเป็นพราหมณ์ตามประเพณี ต่อมาวามนพราหมณ์ทราบข่าวว่าขุนพลีจะประกอบพิธีบูชายัญ เพื่อเพิ่มอำนาจอีก วามนพราหมณ์ก็ลาพระบิดาและพระมารดาไปยังมณฑลพิธีของขุนพลี ซึ่งขุนพลีก็มีความศรัทธานำน้ำมาล้างเท้าให้แล้วเอ่ยถามว่าวามนพราหมณ์ต้องการอะไร วามนพราหมณ์ก็ออกอุบายขอแผ่นดินเพียงสามย่างก้าวเท่านั้น ฝ่ายขุนพลีไม่ทันคิดก็ตกลงยกให้ทันที พร้อมนั้นก็ยกเต้าน้ำขึ้นเพื่อหลั่งให้ตามประเพณี พระศุกร์ผู้เป็นอาจารย์ของ ขุนพลีก็ร้องห้ามแต่ขุนพลีเป็นกษัตริย์ตรัสแล้วย่อมไม่คืนคำ พระศุกร์จึงหาทายตัวเข้าไปอุดรูเต้าน้ำนั้นเสีย จึงไม่อาจหลั่งทักษิโณทกได้ วามนพราหมณ์รู้ทันจึงได้เอายอดหญ้าคา แยงเข้าไปในน้ำเต้าถูกลูกตาของพระศุกร์ ๆ ทนไม่ไหวจึงรีบออกมาวามนพราหมณ์ก้รีบแบมือรับน้ำได้ตามปรารถนาพร้อมกันนั้นก็สำแดงเดชย่างก้าวทีหนึ่งลงไปชนแดนยักษ์ (แดนอสูร) ย่างก้าวที่สองลงไปชนแดนมนุษย์ ขุนพลีเห็นดังนั้นก็ผวาเกรงกลัวพร้อมยกมือไหว้ วามนพราหมณ์ ก็กลับร่างเป็นพระวิษณุทันทีทรงเป่าสังข์เรียกบรรดาทวยเทพทั้งหลายให้มาประชุม พร้อมกันทันทีและเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เหล่าทวยเทพทั้งหลายฟัง และมีเทวโองการให้พระอินทร์กลับเข้าไปครองสวรรค์ตามเดิม ส่วนขุนพลีนั้นพระวิษณุทรงมีเทวโองการให้ลงไป ปกครองอยู่ใต้สุดบาดาลชั้นที่สาม และทรงสั่งสอนให้ตั้งอยู่ในศีลในธรรมอย่าเบียดเบียนผู้อื่นอีก ส่วนอวตารอีกเรื่องหนึ่งมีลักษณะคล้ายกันที่มีชื่อเรื่องว่า ?ทวิชาวตาร? อวตารปางนี้ พระวิษณุทรงอวตารมาเป็นพราหมณ์หนุ่มน้อยรูปงามเข้าไปปราบท้าวตาวันอสูรที่ทูลขอที่ดินจากพระอิศวร ๓๐๐ โยชน์เพื่อจับสัตว์ทั้งหลาย (ทั้งสี่เท้าสองเท้า รวมทั้งเทวดาและมนุษย์ด้วย) ที่พลัดหลงเข้าไปในที่ดิน ๓๐๐ โยชน์นั้นจับกินเป็นอาหาร พระวิษณุอวตารลงมาใช้อุบายของที่ดินเพียง ๓ ก้าว เช่นเดียวกับเรื่องของวามนาวตาร และขับไล่ท้าวตาวันอสูรไปดินแดนที่ตน ขอพระอิศวร และต่อมาท้าวตาวันอสูรไปอาศัยอยู่เชิงเขาพระสุเมรุและลักลอบเป็นชู้กับนางสนมของพระอินทร์จนฝนที่สุดพระอินทร์จับได้จึงสังหารท้าวตาวันอสูรเสีย



--------------------------------------------------------------------------------




ปางที่ ๖ มหิงสาวตาร

อวตารในปางนี้เรื่องราวมีอยู่ว่ามีอสูรพรหมตนหนึ่งเกิดความริษยาพระพรหมธาดายิ่งนักจึงเนรมิตกายเป็นมหิงสาเข้าไปขวิดเขาพระสุเมรุหวังเพื่อจะทำลายเขาพระสุเมรุ พระอิศวรจึงมีเทวโองการ ให้พระวิษณุมหาเทพอวตารลงมาเป็นพญามหิงสา จัดการสังหารอสูรมหิงสาจนสิ้นชีวิต



--------------------------------------------------------------------------------




ปางที่ ๗ อัปสราวตาร

พระวิษณุอวตารในปางนี้มิได้กล่าวไว้ในคัมภีร์ของปุราณะหรือคัมภีร์มหารามายณะไม่ หรือแม้แต่ในคัมภีร์ใด ๆ ของอินเดียก็มิได้กล่าวถึง แต่เรื่องราวของการอวตารมาเป็นนางอัปสรนี้จะเกี่ยวเนื่อง กับการกำเนิดของของทศกัณฐ์และรามาวตารของพระวิษณุ ดังนั้นจึงขอให้ปราบนนทุกนี้เป็นอวตารปางหนึ่งของพระวิษณุและให้ชื่อปางนี้ว่า ?อัปสรอวตาร? คือการอวตารมาเป็นนางอัปสรนั่นเอง และสาเหตุของการอวตารในปางนี้ก็เนื่องมาจากมียักษ์ตนหนึ่งชื่อว่า ?นนทุก? หรือนนทกมีหน้าที่คอยล้างเท้าให้เทวดาทั้งหลายที่มาเข้าเฝ้าพระอิศวรโดยปฏิบัติหน้าที่ตามหน้าที่ตามคำสั่งของพระ อิศวรนี้มาเป็นเวลาถึงโกฏิปีเทวดาทั้งหลายก็หาได้ให้ความสำคัญกับนนทุกไม่ กลับหยอกล้อนนทุก ๆ ครั้งที่ล้างเท้าให้ โดยเขกหัวตบหัว ลูบหัว ตลอดจนถอนเส้นผมของนนทุกเล่นบ้างจนหัวของ นนทุกโกร๋นหมด กลายเป็นยักษ์หัวล้าน และด้วยความคับแค้นใจที่ถูกข่มเหงรังแกจึงไปเข้าเฝ้าพระอิศวรของพรว่าให้ตนมีนิ้วเพชรที่ศักดิ์สิทธิ์สามารถชี้ใคร ๆ ให้ตายได้ทันที พระอิศวรก็ทรงประ ทานพรให้นนทุกกลับมาทำหน้าที่ของตนตามเดิมพวกเทวดาที่มาเฝ้าก็ไม่รู้ว่านนทุกได้พรพระอิศวร ถึงเวลาก็มาให้นนทุกล้างเท้าให้และหยอกล้อนนทุกตามเคย นนทุกโกรธจัดจึงชี้นิ้วเพชรทำให้ เทวดาตายไปหลายองค์ เทวดาที่เหลือพากันไปทูลฟ้องพระอิศวร ๆ จึงมีเทวโองการให้พระวิษณุไปปราบนนทุกพระวิษณุจึงแปลงกายเป็นนางอัปสรที่มีความงามยั่วยวนใจชายยิ่งนัก และร่ายรำ เยื้องย่างมาให้นนทุกเห็นนนทุกถูกใจนางยิ่งนักจึงพยายามเกี้ยวพาราสีนาง นางแปลงจึงใช้มายาหลอกว่าจะตกลงตามใจนนทุก ถ้าหากยักษ์หัวล้านตนนี้ร่ายรำตามนางได้ถูกต้อง นนทุกก็ตกลง นางนารายณ์แปลงจึงเริ่มร่ายรำท่าแม่บท เริ่มตั้งแต่ท่าเทพนม, ท่าปฐม, ท่าพรหมสี่หน้า, ท่าสอดสร้อยมาลาเรื่อย ๆ ไป นนทุกก็รำตามโดยไม่เฉลียวใจ จนรำมาถึงท่านาคาม้วนหาง ท่านี้ต้องชี้นิ้ว ลงไปที่ขาตนเอง นนทุกก็ทำตามเมื่อชี้ไปที่ขาตนเองทำให้ขาหักล้มลง นางแปลงก็กลับร่างเป็นพระวิษณุตรงเข้าไปเหยียบอกเตรียมที่จะสังหาร นนทุกจึงตัดพ้อต่อว่าพระผู้เป็นเจ้าว่า ?ตัวข้ามีแต่ สองมือ หรือจะสู้ทั้งสี่กรได้ แม้สี่มือเหมือนพระองค์ทรงชัย ที่ไหนจะหาทำได้ดังนี้? เมื่อพระวิษณุสดับคำตัดพ้อของนนทุกในทำนองดูหมิ่นดูแคลนดังกล่าวจึงตรัสกับนนทุกว่าถ้าหากเห็นว่าไม่ยุติธรรม และก็จะให้ไปเกิดใหม่ให้มีถึงสิบหัวยี่สิบมือแล้วพระองค์จะลงมาเกิดเป็นมนุษย์ที่มีเพียงสองมือ จะฆ่านนทุกสิบหัวยี่สิบมือให้ได้จะได้พ้นข้อครหา และเมื่อนนทุกถูกฆ่าตายแล้วจึงได้ไปเกิดใหม่เป็น ยักษ์มี ๑๐ เศียร ๒๐ กร ดังพรที่ได้รับจากพระวิษณุมีชื่อว่า ?ทศกัณฐ์? หรือท้าวราพนาสูร นั่นเอง



--------------------------------------------------------------------------------




ปางที่ ๘ รามาวตาร

หลังจากนนทุกถูกสังหารแล้วก็ได้ไปเกิดใหม่พร้อมกับพรของพระวิษณุว่าให้มีสิบหัวยี่สิบมือ โดยไปเกิดเป็นโอรสของลัสเตียนกับพระนางรัชดาแห่งกรุงลงกามีคุณสมบัติตามพรที่ได้รับจากพระวิษณุ ทุกประการคือมี สิบเศียร ยี่สิบกร มีนามว่า ?ท้าวราพนาสูร? หรือ ?ทศกัณฐ์? ส่วนพระวิษณุนั้นอวตารลงมาเกิดเป็นมนุษย์ทรงพระนามว่า ?พระราม? เป็นโอรสของท้าวทศรถและพระนางเกาสุริยา กษัตริย์สูรย์วงศ์แห่งกรุงศรีอยุธยามีพระอนุชาทรงพระนามว่า ?พระลักษมณ์? ?พระพรต? และ ?พระสัตรุต? ต่อมาภายหลังพระรามได้ทำสงครามกับท้าวราพนาสูรเพราะว่าท้าวราพนาสูรมาลักพาตันาง สีดาผู้เป็นชายาของพระองค์ไปกักขังไว้ที่กรุงลงกา การสงครามครั้งนี้เป็นสงครามระหว่างยักษ์กับมนุษย์โดยมีกองทัพวานร (ลิง) มาช่วยมนุษย์ด้วยโดยที่พระรามมีขุนพลเป็นวานรเป็นวานรคู่พระทัยคือ ?หนุมาน? พระรามและพระลักษมณ์ได้คุมกองทัพวานรของสุครีพข้ามทะเลไปทำสงครามกับทศกัณฐ์ เป็นศึกสงครามที่ยืดเยื้อกินเวลาหลายปี ทั้งพระรามและพระลักษมณ์ได้ฆ่าพวกพ้องของท้าวราพนา สูรตายจนหมด จนในที่สุดท้าวราพนาสูรต้องถอยออกมาสู้รบด้วยตนเอง ซึ่งเป็นการรบตัวต่อตัวกับพระรามทั้งสองได้ต่อสู้กันหลายครั้งหลายหน พระรามก็ไม่สามารถสังหารท้าวราพนาสูรได้ พิเภกทูลพระ รามว่าที่ท้าวราพนาสูรไม่ตายนั้นก็เพราะว่าถอดดวงใจฝากไว้กับพระฤาษีโคบุตรผู้เป็นอาจารย์ พระรามจึงส่งหนุมานไปหลอกเอากล่องดวงใจจากฤาษีโคบุตรมาทำลายเสีย เมื่อหนุมานได้กล่องดวงใจมาแล้ว พระรามก็ออกไปรบกับท้าวราพนาสูรเป็นครั้งสุดท้าย พระรามแผลงศรไปปักอกท้าวราพนาสูร พร้อมกันนั้นหนุมานก็ขยี้กล่องดวงใจของท้าวราพนาสูร ก็ถึงแก่ความตายทันที พระรามจึงโปรดให้จัดพิธีอภิเษก ให้พระยาพิเภกให้เป็นกษัตริย์ครองกรุงลงกาต่อไป



--------------------------------------------------------------------------------




 
ปางที่ ๙ กฤษณาวตาร

กล่าวถึงคัมภีร์ปุราณะ มหากาพย์รามายณะ มหาภารตะ และตำนานเก่าต่าง ๆ ของอินเดีย รวมถึงคัมภีร์ทางศาสนาฮินดูอื่น ๆ ได้บันทึกและกล่าวถึงไว้ว่า พระวิษณุเทพได้อวตารลงมาเพื่อปราบยุคเข็ญให้แก่ เหล่ามวลมนุษย์ทั่วไป ในช่วงเหตุการณ์โลกเกิดกลียุคและเกิดความไม่สงบสุขจากเหล่าอสูร จึงทรงอวตารลงมาในปางต่างๆ ซึ่งปางพระกฤษณะเทพ คือปางที่ ๙ ในการอวตาร ๑๐ ปาง ของพระวิษณุเทพ นั่นเอง ลัทธิไวษณพนิกาย กล่าวไว้ว่าพระกฤษณะเกิดมาเพื่อทำลายอสูร ชื่อกังสะ ซึ่งเป็นลุงของพระกฤษณะเอง อสูรกังสะตนนี้ปลอมตัวมาเป็นกษัตริย์นามว่า อุคราเสน แห่งเมืองมถุรา และได้ใช้อำนาจ แย่งชิงมเหสีจากกษัตริย์ (องค์จริง) มาโดยมิชอบ และมเหสีก็ทรงไม่ทราบว่าเป็นอสูรที่แปลงกายมาเป็นสวามีของตนอสูรกังสะ เมื่อขึ้นครองเมืองก็สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนทั่วไป ต่อมาเมื่อพระ วิษณุเทพทรงทราบถึงความเดือดร้อนของประชาชน จึงทรงอวตารมาในปางพระกฤษณะเพื่อปราบอสูรกังสะตนนี้



--------------------------------------------------------------------------------




 
ปางที่ ๑๐ กัลกยาวตาร

พระวิษณุอวตารในปางนี้ ทรงเป็นมหาบุรุษขี่ม้าขาวถือดาบในมือขวาทำลายศัตรูของมนุษย์เพื่อปราบกลียุค ที่เต็มไปด้วยเหล่าคนชั่วหรือเหล่าอธรรมทั้งหลาย เมื่อปราบอธรรมแล้วก็จะสถาปนาศาสนาขึ้นใหม่ มหาบุรุษนี้จะมีนามว่า กัลก, กัลกี, หรือ กัลกิน เป็นบุตรของพราหมณ์ชื่อวิษณุยศ อวตารนี้เป็นอนาคตาวตาร (อนาคต+อวตาร) คือ เป็นการอวตารของพระวิษณุยังไม่เกิดขึ้น และหลังจากอวตารแล้ว กลียุคก็ จะสิ้นสุดลง จึงพอจะกล่าวได้ว่ากัลกยาวตารนี้เป็นอวตารที่จะเสด็จลงมาปราบคนชั่วที่มีมากมายโดยไม่เจาะจงว่าเป็นใครจะมีลักษณะคล้ายกับกฤษณาวตารที่คนชั่วมีมากจนไม่อาจจะชี้ชัดได้ว่าเป็นใครซึ่งต่าง กับรามาวตาร (อวตารเป็นพระราม) หรือนรสิงหาวตารที่จะอวตารลงมาเพื่อปราบปรามคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะและอาจกล่าวได้ว่าโลกเราทุกวันนี้ก็คงจะจะใกล้ถึงยุคของกัลกยาวตารเพราะว่าคนชั่วมากมายเหลือเกิน



กลับหน้าประวัติเทพเจ้า


     
ไปหน้าพระลักษมี          ไปหน้าหลัก

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

590
:: พระราชประวัติ ::




สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
 พระราชประวัติ
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระราชสมภพ เมื่อวันอาทิตย์ เดือน 5 ขึ้น 15 ค่ำ ปีขาล ฉศก จุลศักราช 1096 ตรงกับวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2277 ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา มีพระนามเดิมว่า สิน พระราชบิดาเป็นชาวจีนชื่อนายไหฮอง หรือ หยง แซ่แต้ เป็นนายอากรบ่อนเบี้ย มีบรรดาศักดิ์เป็นขุนพัฒน์ พระราชชนนีชื่อนางนกเอี้ยง (ภายหลังได้รับการสถาปนาเป็น กรมพระเทพามาตย์) ตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้กับจวนเจ้าพระยาจักรีที่สมุหนายก

เมื่อยังทรงพระเยาว์เจ้าพระยาจักรีได้ขอสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม และได้ตั้งชื่อพระองค์ท่านว่า สิน พอนายสินอายุได้ 9 ขวบ เจ้าพระยาจักรีก็นำไปฝากให้เล่าเรียนหนังสืออยู่ในสำนักของพระอาจารย์ทองดี วัดโกษาวาส ครั้นอายุได้ 13 ปี เจ้าพระยาจักรีได้นำนายสินเข้าถวายตัวรับราชการเป็นมหาดเล็กในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ตามประเพณีของการรับราชการในสมัยนั้น ในระหว่างรับราชการเป็นมหาดเล็กนายสินได้พยายามศึกษาหาความรู้ทางด้านภาษาต่างประเทศหลายภาษา มีภาษาจีน ภาษาญวน และภาษาแขก จนสามารถพูดได้สามภาษาอย่างชำนิชำนาญ

ครั้นนายสินอายุได้ 21 ปี เจ้าพระยาจักรีได้ประกอบการอุปสมบทนายสินเป็นพระภิกษุสงฆ์อยู่ในสำนักอาจารย์ทองดี ณ วัดโกษาวาส นายสินอุปสมบทอยู่ 3 พรรษา แล้วก็ลาสิกขาบทกลับมาเข้ารับราชการตามเดิม เนื่องจากนายสินเป็นผู้ฉลาดรอบรู้ขนบธรรมเนียมราชกิจต่าง ๆ โดยมาก จึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้นายสินเป็นมหาดเล็กรายงาน ด้วยราชการทั้งหลายในกรมมหาดไทย และกรมวังศาลหลวง

พ.ศ. 2301 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จสวรรคต สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอุทุมพรเสด็จเสวยราชสมบัติได้ 3 เดือนเศษ ก็ถวายสิริราชสมบัติแก่สมเด็จพระบรมราชาที่ 3 และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้นายสินมหาดเล็กรายงานเป็นข้าหลวงเชิญท้องตราพระราชสีห์ขึ้นไปชำระความหัวเมืองฝ่ายเหนือ ซึ่งนายสินได้ปฏิบัติราชการด้วยความวิริยะอุตสาหะและมีความดีความชอบมาก จึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นหลวงยกกระบัตรเมืองตาก ช่วยราชการอยู่กับพระยาตาก ครั้นเมื่อพระยาตากถึงแก่กรรมลงก็ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้เลื่อนหลวงยกกระบัตร (สิน) เป็นพระยาตาก ปกครองเมืองตากแทน

พ.ศ. 2308 พระยาตาก (สิน) ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เข้ามาช่วยราชการสงครามเพื่อป้องกันพม่าในกรุงศรีอยุธยา พระยาตาก (สิน) มีฝีมือการรบป้องกันพระนครอย่างเข้มแข็งมีความดีความชอบมาก จึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็น พระยาวชิรปราการ (สิน) สำเร็จราชการเมืองกำแพงเพชรแทนเจ้าเมืองเดิมที่ถึงแก่กรรม

พ.ศ. 2310 กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าในเดือนเมษายน พระยาตากก็สามารถกอบกู้กรุงศรีอยุธยากลับคืนได้ แล้วก็คิดจะปฏิสังขรณ์กรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นราชธานีใหม่ แต่เมื่อได้ตรวจความเสียหายแล้วเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาได้รับความเสียหายเป็นอันมากยากที่จะบูรณะให้เหมือนดังเดิมได้ และประกอบกับรี้พลของเจ้าตากมีไม่พอที่จะรักษากรุงศรีอยุธยาที่เป็นเมืองใหญ่ได้ จึงเลือกเมืองธนบุรีเป็นราชธานี และได้อพยพผู้คนลงมาตั้งมั่นที่เมืองธนบุรี

เจ้าตากทรงทำพิธีปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์ครองกรุงธนบุรี เมื่อวันพุธ เดือนอ้าย แรม 4 ค่ำ จุลศักราช 1130 ปีชวด สัมฤทธิศก ตรงกับวันที่ 28 เดือนธันวาคม พ.ศ. 2311 ขณะมีพระชนมายุได้ 34 พรรษา ทรงนามว่า สมเด็จพระศรีสรรเพชญ์ หรือ สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 แต่ประชาชนทั่วไปยังนิยมขนานพระนามพระองค์ว่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หรือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดากับสมเด็จพระอัครมเหษี กรมหลวงบาทบริจา และกรมบริจาภักดีศรีสุดารักษ์ รวมทั้งพระสนมต่าง ๆ รวมทั้งสิน 29 พระองค์

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เสด็จสวรรคต เมื่อวันเสาร์ เดือน 5 แรม 9 ค่ำ จ.ศ. 1144 ปีขาล ตรงกับวันที่ 6 เมษายน 2325 พระชนมายุ 48 พรรษา รวมสิริราชสมบัติ 15 ปี

 พระราชกรณียกิจ
ด้านการปกครอง ยังคงใช้ระบบการปกครองแบบกรุงศรีอยุธยา ส่วนด้านกฎหมาย เมื่อครั้งกรุงแตก กฎหมายบ้านเมืองกระจัดกระจายหายสูญไปมาก จึงโปรดให้ทำการสืบเสาะค้นหามารวบรวมไว้ได้ประมาณ 1 ใน 10 และโปรดให้ชำระกฎหมายเหล่านั้น ฉบับใดยังเหมาะแก่กาลสมัยก็โปรดให้คงไว้ และเป็นการแก้ไขเพื่อให้ราษฎรได้รับผลประโยชน์มากขึ้น เช่น โปรดให้แก้ไขกฎหมายว่าด้วยการพนัน ให้อำนาจการตัดสินลงโทษขึ้นแก่ศาลแทนนายตราสิทธิขาด และยังห้ามนายตรา นายบ่อนออกเงินทดรองให้ผู้เล่น เกาะกุม ผูกมัด จำจอง เร่งรัดผู้เล่น กฎหมายพิกัดภาษีอากรเกือบไม่มี เพราะผลประโยชน์แผ่นดินได้จากการค้าสำเภามากพอแล้ว กฎหมายว่าด้วยการจุกช่องล้อมวง ก็ยังไม่ตราขึ้น เปิดโอกาสให้ราษฎรได้เฝ้าตามรายทาง โดยไม่ต้องมีพนักงานตำรวจแม่นปืนคอยยิงราษฎร ซึ่งแม้แต่ชาวต่างประเทศก็ยังชื่นชมในพระราชอัธยาศัยนี้
ในชั้นศาล ก็ไม่โปรดให้อรรถคดีคั่งค้าง แม้ยามศึก หากคู่ความไม่ได้เข้ากองทัพหรือประจำราชการต่างเมือง ก็โปรดให้ดำเนินการพิจารณาคดีไปตามปกติ ทั้งในการฟ้องร้อง ยังโปรดให้โจทย์หาหมอความแต่งฟ้องได้เช่นเดียวกับปัจจุบันอีกด้วย วิธีพิจารณาคดีในสมัยนั้นสะท้อนให้เห็นได้แจ่มชัด ในบทละครรามเกียรติ์ตอนท้าวมาลีวราชพิพากษาความ พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าตากสินกรุงธนบุรี

ด้านการทหาร ทรงรวบรวมคนไทยที่แบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่า 5 ก๊ก และปราบปรามก๊กต่าง ๆ ทำสงครามกับพม่า ขยายพระราชอาณาเขตไปยังหลวงพระบาง เวียงจันทน์ และกัมพูชา

ด้านเศรษฐกิจ เนื่องในสมัยกรุงธนบุรี เป็นระยะเวลาที่สร้างบ้านเมืองกันใหม่ การค้าเจริญรุ่งเรืองทั้งของหลวงและของราษฎร สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงทำนุบำรุงการค้าขายทางเรืออย่างเต็มที่ ทรงแต่งสำเภาหลวงออกไปค้าขายทางด้านตะวันออกไปถึงเมืองจีน ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือถึงอินเดียตอนใต้ ผลประโยชน์ที่ได้รับจากการค้าของหลวงช่วยบรรเทาภาระภาษีของราษฎรไปได้มาก

สมเด็จพระเจ้าตากสิน ฯ ทรงส่งเสริมการนำสินค้าพื้นเมืองไปขายทางเรือ ซึ่งอำนวยผลประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่องานสร้างชาติ ทำให้ราษฎรมีงานทำ มีรายได้ ทั้งยังฝึกให้คนไทยเชี่ยวชาญการค้าขาย ป้องกันมิให้การค้าตกไปอยู่ในมือต่างชาติ

ด้านการคมนาคม ในยามว่างจากศึกสงคราม จะโปรดให้ตัดถนนและขุดคลองมากขึ้น เพื่อประโยชน์ในทางค้าขาย ทรงยกเลิกความคิดแนวเก่าที่ว่าหากถนนหนทาง การคมนาคมมีมากแล้ว จะเป็นการอำนวยความสะดวกให้ข้าศึกศัตรู และพวกก่อการจลาจล แต่กลับทรงเห็นประโยชน์ในทางค้าขายมากกว่า ดังนั้นในฤดูหนาวหากว่างจากศึกสงคราม ก็จะโปรดให้ตัดถนน และขุดคลอง จะเห็นได้จากแนวถนนเก่า ๆ ในเขตธนบุรี ซึ่งมีอยู่มากสาย ส่วนการขุดชำระคลองมักมีวัตถุประสงค์เบื้องต้นเพื่อประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ เช่น คลองท่าขามจากนครศรีธรรมราชไปออกทะเลเป็นต้น

ด้านศิลปกรรม ในสมัยนี้ แม้สมเด็จพระเจ้าตากสินกรุงธนบุรีจะมีการงานศึกสงครามแทบจะมิได้ว่างเว้นก็ตาม แต่ก็ทรงหาโอกาสฟื้นฟู และบำรุงศิลปกรรมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทางด้านนาฏดุริยางค์ และวรรณกรรม ด้านนาฏดุริยางค์โปรดให้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างบรรยากาศที่รื่นเริงครึกครื้นเหมือนครั้งกรุงเก่านับเป็นวิธีบำรุงขวัญที่ใกล้ตัวราษฎรที่สุด พระราชทานโอกาสให้ประชาชนทั่วไป เปิดการสอนและออกโรงเล่นได้โดยอิสระ เครื่องแต่งกายไม่ว่าจะเป็นเครื่องต้นเครื่องทรงก็แต่งกันได้ตามลักษณะเรื่อง แม้สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเองก็คงจะทรงสนพระทัยในกิจการด้านนี้มิใช่น้อย ด้วยมักจะโปรดให้มีละครและการละเล่นอย่างมโหฬารในงานสมโภชอยู่เนือง ๆ

สมเด็จพระเจ้าตากสินกรุงธนบุรี ทรงพระราชนิพนธ์บทละครรามเกียรติ์ไว้ 4 เล่ม สมุดไทยแบ่งเป็นตอนไว้ 4 ตอน คือ
เล่ม 1 ตอนพระมงกุฎ
เล่ม 2 ตอนหนุมานเกี้ยววานรินจนท้าวมาลีวราชมา
เล่ม 3 ตอนท้าวมาลีวราชพิพากษา จนทศกรรฐ์เข้าเมือง
เล่ม 4 ตอนทศกรรฐ์ตั้งพิธีทรายกรด, พระลักษณ์ต้องหอกกบิลพัสตร์ จนผูกผมทศกรรฐ์กับนางมณโฑ

การที่พระมหากษัตริย์ทรงใฝ่พระทัยในกวีนิพนธ์ถึงกับพระราชนิพนธ์ทั้ง ๆ ที่แทบจะมิได้ว่างเว้นจากราชการทัพเช่นนี้ เท่ากับเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ที่มีความสามารถทางกวีนิพนธ์ในยุคนั้นสร้างสรรค์งานขึ้นมาได้บ้าง แม้เหตุการณ์ของบ้านเมืองจะยังมิได้คืนสู่สภาพปกติสุขดีนัก และสมเด็จพระเจ้าตากสินกรุงธนบุรี ก็ทรงให้ความอุปถัมภ์กวีในราชสำนักเป็นอย่างดี

ด้านการช่าง โปรดให้รวบรวมช่างฝีมือ และให้ฝึกงานช่างทุกแผนกเท่าที่มีครูสอน เช่น ช่างต่อเรือ ช่างก่อสร้าง ช่างรัก ช่างประดับ ช่างเขียน เป็นต้น สำหรับงานช่างต่อเรือได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะเป็นยุคที่มีการต่อเรือรบ และเรือสำเภาค้าขายเป็นจำนวนมากมาย ช่างสมัยกรุงธนบุรีนี้อาจจะไม่มีเวลาทันสร้างผลงานดีเด่นเฉพาะสมัย แต่ก็ได้เป็นผู้สืบทอดศิลปกรรมแบบอยุธยาไปสู่แบบรัตนโกสินทร์

ด้านการศึกษา ในสมัยนั้นวัดเป็นแหล่งที่ให้การศึกษา จึงโปรดให้บำรุงการศึกษาตามวัดต่างๆ และโปรดให้ตั้งหอหนังสือหลวงขึ้นเช่นเดียวกันกับสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งคงจะเทียบได้กับหอพระสมุดในระยะหลัง ส่วนตำรับตำราที่กระจัดกระจายไปเมื่อคราวกรุงแตก ก็โปรดให้สืบเสาะหามาจำลองไว้เป็นแบบฉบับ สำหรับผู้สนใจอาศัยคัดลอกกันต่อ ๆ ไป และที่แต่งใหม่ก็มี

ด้านการศาสนา โปรดให้ปฏิสังขรณ์วัดวาอารามต่าง ๆ ที่รกร้างปรักหักพังตั้งแต่ครั้งพม่าเข้าเผาผลาญทำลายและกวาดต้อนทรัพย์สินไปพม่า แล้วโปรดให้อาราธนาพระภิกษุสงฆ์เข้าจำวัดต่าง ๆ ส่วนพระไตรปิฎกยังเหลือตกค้างอยู่ที่ใด ก็โปรดให้คัดลอกสร้างเป็นฉบับหลวง แล้วส่งคืนกลับไปที่เดิม

เรื่องสังฆมณฑล โปรดให้ดำเนินตามธรรมเนียมการปกครองคณะสงฆ์ที่มีมาแต่ก่อน โดยแยกเป็นฝ่ายคันถธุระและฝ่ายวิปัสสนาธุระ

ฝ่ายคันถธุระดำเนินการศึกษาพระปริยัติธรรมให้เจริญ ส่งเสริมการสอนภาษาบาลี เพื่อช่วยการอ่านพระไตรปิฎก

ฝ่ายวิปัสนาธุระ โปรดให้กวดขันการปฏิบัติพระธรรมวินัยเป็นขั้น ๆ ไปตามภูมิปฏิบัติ

ส่วนลัทธิอื่น ๆ ในชั้นต้นสมเด็จพระเจ้าตากสินกรุงธนบุรี พระราชทานเสรีภาพในการนับถือศาสนา แต่ต่อมาข้าหลวงที่เข้ารีต ได้พยายามห้ามปรามชาวไทยปฏิบัติพิธีการทางศาสนา เช่น พิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ความขัดแย้งมีมากขึ้นเรื่อย ถึงกับจับพวกบาทหลวงกุมขังก็มี ในที่สุดพระองค์จำต้องขอให้บาทหลวงไปจากพระราชอาณาเขต แล้วห้ามชาวไทยนับถือศาสนาคริสต์ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2322

ด้านการศึกสงคราม ขณะที่พระยาตากได้รับพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นพระยาวชิรปราการ (สิน) สำเร็จราชการเมืองกำแพงเพชรแทนเจ้าเมืองเดิมที่ถึงแก่กรรม แต่ก็ยังมิได้ไปครองเมืองกำแพงเพชร เพราะต้องต่อสู้กับข้าศึกในการป้องกันพระนคร

เมื่อพระยาวชิรปราการ (สิน) เล็งเห็นว่าถึงแม้จะอยู่ช่วยรักษาพระนครต่อไป ก็คงไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด พม่าก็ตั้งล้อมพระนครกระชั้นเข้ามาทุกขณะจนถึงคูพระนครแล้ว กรุงศรีอยุธยาคงไม่พ้นเงื้อมมือพม่าเป็นแน่แท้ ไพร่ฟ้าข้าทหารในพระนครก็อิดโรยลงมาก เนื่องจากขัดสนเสบียงอาหาร ทหารไม่มีกำลังใจจะสู้รบ ดังนั้นพระยาวชิรปราการ (สิน) จึงตัดสินใจร่วมกับพระยาพิชัยอาสา พระเชียงเงิน หลวงพรหมเสนา หลวงราชเสน่หา ขุนอภัยภักดี และพรรคพวก รวม 500 คน ยกกำลังออกจากค่ายวัดพิชัย ตีฝ่าพม่าไปทางทิศตะวันออก เวลาค่ำในวันเสาร์ เดือนยี่ ขึ้น 4 ค่ำ ปีจอ พ.ศ. 2309 ตรงกับวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2309

ทัพพม่าได้ส่งทหารไล่ติดตามพระยาวชิรปราการ (สิน) และพรรคพวกมาทันกันในวันรุ่งขึ้นที่ บ้านโพธิ์สังหาร พระยาวชิรปราการ (สิน) ได้นำพลทหารไทยจีนเข้ารบกับทหารพม่าเป็นสามารถจนทหารพม่าแตกพ่ายไป และยังได้ยึดเครื่องศาสตราวุธอีกเป็นจำนวนมาก แล้วออกเดินทางไปตั้งพักที่บ้านพรานนก เพื่อหาเสบียงอาหาร ระหว่างที่ทหารพระยาวชิรปราการ (สิน) หาเสบียงอาหารอยู่นั้น ได้พบทัพพม่าจำนวนพลขี่ม้าประมาณ 30 ม้า พลเดินเท้าประมาณ 2,000 คน ยกทัพมาจากบางคาง แขวงเมืองปราจีนบุรี เพื่อเข้ารวมพลเข้าตีกรุงศรีอยุธยาในโอกาสต่อไป ทหารพระยาวชิรปราการ (สิน) จึงหนีกลับมาที่บ้านพรานนก โดยมีทหารพม่าไล่ติดตามมาอย่างกระชั้นชิดและชะล่าใจ พระยาวชิรปราการ (สิน) จึงให้ทหารซึ่งเป็นพลเดินเท้าแยกออกเป็นปีกกาเข้าตีโอบพวกพม่าทั้งสองข้าง ส่วนพระยาวชิรปราการ (สิน) กับทหารอีก 4 คน ก็ขี่ม้าตรงเข้าไล่ฟันทหารม้าพม่าซึ่งนำทัพมาอย่างไม่ทันรู้ตัวก็แตกร่นไปถึงพลเดินเท้า พวกทหารพระยาวชิรปราการได้ทีเข้ารุกไล่ฆ่าฟันทหารพม่าจนแตกพ่ายไป การชนะในครั้งนี้ช่วยสร้างขวัญและกำลังใจให้ทหารพระยาวชิรปราการ (สิน) เป็นอย่างมากในโอกาสสู้รบกับพม่าในโอกาสต่อไป

พวกราษฏรที่หลบซ่อนเร้นพม่าอยู่ได้ทราบกิตติศัพท์การรบชนะของพระยาวชิรปราการ (สิน) ต่อทหารพม่าต่างก็มาขอเข้าเป็นพวก และได้เป็นกำลังสำคัญในการเกลี้ยกล่อมผู้ที่ตั้งตัวเป็นหัวหน้า นายซ่องต่าง ๆ มาอ่อนน้อมขุนชำนาญไพรสนฑ์ และนายกองช้างเมืองนครนายก มีจิตสวามิภักดิ์ได้นำเสบียงอาหารและช้างม้ามาให้เป็นกำลังเพิ่มขึ้น ส่วนนายซ่องใหญ่ซึ่งมีค่ายคูยังทะนงตนไม่ยอมอ่อนน้อม พระยาวชิรปราการ (สิน) ก็คุมทหารไปปราบจนได้ชัยชนะแล้วจึงยกทัพผ่านเมืองนครนายกข้ามลำน้ำเมืองปราจีนบุรีไปตั้งพักที่ชายดงศรีมหาโพธิ์ข้างฟากตะวันตก
ทหารพม่าเมื่อแตกพ่ายไปจากบ้านพรานนกแล้วก็กลับไปรายงานนายทัพที่ตั้งค่าย ณ ปากน้ำเจ้าโล้ เมืองฉะเชิงเทรา ซึ่งกองทัพพม่ากองสุดท้ายที่รวบรวมกำลังกันทั้งทัพบกทัพเรือไปรอดักพระยาวชิรปราการ (สิน) อยู่ ณ ที่นั้น และตามทัพพระยาวชิรปราการ (สิน) ทันกันที่ชายทุ่ง พระยาวชิรปราการ (สิน) เห็นว่าจะต่อสู้กับข้าศึก ซึ่ง ๆ หน้าไม่ได้ อีกทั้งมีกำลังน้อยกว่ายากที่จะเอาชัยชนะแก่พม่าได้ จึงเลือกเอาชัยภูมิพงแขมเป็นกำบังแทนแนวค่าย และแอบตั้งปืนใหญ่น้อยรายไว้หมายเฉพาะทางที่จะล่อพม่าเดินเข้ามา แล้วพระยาวชิรปราการ (สิน) ก็นำทหารประมาณ 100 คนเศษ คอยรบพม่าที่ท้องทุ่ง ครั้นเมื่อรบกันสักพักหนึ่งก็แกล้งทำเป็นถอยหนีไปทางช่องพงแขมที่ตั้งปืนใหญ่เตรียมไว้ ทหารพม่าหลงกลอุบายรุกไล่ตามเข้าไปก็ถูกทหารไทยระดมยิงและตีกระหนาบเข้ามาทางด้านหน้า ขวา และซ้าย จนทหารพม่าไม่มีทางจะต่อสู้ได้ต่อไปทำให้ทหารพม่าล้มตายเป็นจำนวนมาก ที่รอดตายต่างถอยหนีอย่างไม่เป็นกระบวนก็ถูกพระยาวชิรปราการ (สิน) นำทหารไล่ติดตามฆ่าฟันล้มตายอีก นับตั้งแต่นั้นมาทหารพม่าก็ไม่กล้าจะติดตามพระยาวชิรปราการ (สิน) อีกต่อไป

เมื่อพระยาวชิรปราการ (สิน) ได้ชัยชนะพม่าแล้วได้ยกทัพผ่านบ้านทองหลาง พานทอง บางปลาสร้อย บ้านนาเกลือ เขตเมืองชลบุรี ต่างก็มีผู้คนเข้าร่วมสมทบมากขึ้นจนมีรี้พลเป็นกองทัพ จากนั้นพระยาวชิรปราการ (สิน) ก็เดินทางไปเมืองระยอง โดยหมายจะเอาเมืองระยองเป็นที่ตั้งมั่นต่อไป ครั้นถึงเมืองระยอง พระยาระยองชื่อบุญ เห็นกำลังพลของพระยาวชิรปราการมีจำนวนมากมายที่จะต้านทานได้จึงพากันออกมาต้อนรับ พระยาวชิรปราการ (สิน) จึงตั้งค่ายที่ชานเมืองระยอง ขณะนั้นมีพวกกรมการเมืองระยองหลายคนแข็งข้อคิดจะสู้รบ จึงได้ยกกำลังเข้าปล้นค่ายในคืนวันที่สองที่หยุดพัก แต่พระยาวชิรปราการ (สิน) รู้ตัวก่อน จึงได้ดับไฟในค่ายเสียและมิให้โห่ร้องหรือยิงปืนตอบ รอจนพวกกรมการเมืองเข้ามาได้ระยะทางปืน พระยาวชิรปราการ (สิน) ก็สั่งยิงปืนไปยังพวกที่จะแหกค่ายด้านวัดเนิน พวกที่ตามหลังมาต่างก็ตกใจและถอยหนี พระยาวชิรปราการ (สิน) คุมทหารติดตามไปเผาค่ายและยึดเมืองระยองได้ในคืนนั้น

การที่พระยาวชิรปราการ (สิน) เข้าตีเมืองระยองได้และกรุงศรีอยุธยายังมิได้เสียทีแก่พม่าแต่ประการใด จึงถือเสมือนเป็นผู้ละเมิดกฎหมายบ้านเมือง ดังนั้น พระยาวชิรปราการ (สิน) ก็ระวังตนมิได้คิดตั้งตัวเป็นกบฏ และให้เรียกคำสั่งว่า พระประศาสน์อย่างเจ้าเมืองเอก พวกบริวารจึงเรียกว่า เจ้าตาก ตั้งแต่นั้นมา

เมื่อเจ้าตากตั้งตัวเป็นอิสระที่เมืองระยอง ส่วนเมืองอื่น ๆ ทางหัวเมืองชายทะเลตะวันออกนับตั้งแต่เมืองบางละมุง เมืองชลบุรี เมืองจันทบุรี เมืองตราด ต่างก็ยังเป็นอิสระ เจ้าตากจึงมีความคิดที่จะรวบรวมเมืองต่าง ๆ เหล่านี้ไว้เป็นพวกเดียวกันเพื่อช่วยกันปราบปรามพม่าที่ล้อมกรุงศรีอยุธยา และเล็งเห็นว่าเมืองจันทบุรีเป็นเมืองใหญ่กว่าหัวเมืองอื่น มีเจ้าปกครองอยู่เป็นปกติมีกำลังคนและอาหารบริบูรณ์ ชัยภูมิก็เหมาะที่จะใช้เป็นที่ตั้งมั่นยิ่งกว่าหัวเมืองใกล้เคียงทั้งหลาย จึงแต่งทูตให้ถือศุภอักษรไปชักชวนพระยาจันทบุรีช่วยกันปราบปรามข้าศึก ในครั้งแรกได้ตอบรับทูตโดยดีและรับว่าจะมาปรึกษาหารือกับเจ้าตากเกรงจะถูกชิงเมืองจึงไม่ยอมไปพบ

ครั้นถึงเดือน 5 ปีกุน พ.ศ. 2310 ข่าวกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310 แล้ว ก็มีคนไทยที่มีสมัครพรรคพวกมากต่างก็ตั้งตัวเป็นใหญ่พระยาจันทบุรียังไม่ยอมเป็นไมตรีกับเจ้าตาก ส่วนขุนรามหมื่นซ่อง กรมการเมืองระยองผู้หนึ่งที่เคยปล้นค่ายเจ้าตากก็ไปซ่องสุมผู้คนอยู่ที่เมืองแกลง ซึ่งขณะนั้นขึ้นกับเมืองจันทบุรีและคอยปล้นชิงช้างม้าพาหนะของเจ้าตาก เจ้าตากจึงยกกำลังไปปราบ ขุนรามหมื่นซ่องสู้ไม่ได้หนีไปอยู่กับพระยาจันทบุรี ครั้นเจ้าตากจะยกพลติดตามไปก็พอดีได้ข่าวว่าทางเมืองชลบุรี นายทองอยู่นกเล็กตั้งตัวเป็นใหญ่ ผู้ใดจะเข้ากับเจ้าตาก นายทองอยู่นกเล็กก็จะยึดเอาไว้เสีย เจ้าตากจึงรีบยกทัพไปเมืองชลบุรีแล้วส่งเพื่อนฝูงของนายทองอยู่นกเล็กเกลี้ยกล่อม นายทองอยู่นกเล็กเห็นจะสู้รบไม่ไหวจึงยอมอ่อนน้อม เจ้าตากจึงตั้งนายทองอยู่นกเล็กเป็นพระยาอนุราฐบุรี ตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองชลบุรี แล้วก็เลิกทัพกลับ

ฝ่ายพระยาจันทบุรีได้ปรึกษากับขุนรามหมื่นซ่องเห็นว่าจะรบพุ่งเอาชนะเจ้าตากซึ่งหน้าคงจะชนะยาก ด้วยเจ้าตากมีฝีมือเข้มแข็งทั้งรี้พลก็ชำนาญศึก จึงคิดกลอุบายจะโจมตีกองทัพเจ้าตากขณะกำลังข้ามน้ำเข้าเมืองจันทบุรี โดยนิมนต์พระสงฆ์ 4 รูป เป็นทูตมาเชิญเจ้าตากไปตั้งที่เมืองจันทบุรี แต่ในระหว่างเจ้าตากเดินทางจะข้ามน้ำเข้าเมืองจันทบุรีอยู่นั้นได้มีผู้มาบอกให้เจ้าตากทราบกลอุบายนี้เสียก่อน เจ้าตากจึงให้เลี้ยวกระบวนทัพไปตั้งที่ชายเมืองด้านเหนือบริเวณวัดแก้ว ห่างประตูท่าช้างเมืองจันทบุรีประมาณ 5 เส้น แล้วเชิญพระยาจันทบุรีออกมาหาเจ้าตากก่อนที่จะเข้าเมือง แต่พระยาจันทบุรีไม่ยอมออกมาต้อนรับพร้อมกับระดมคนประจำรักษาหน้าที่เชิงเทิน

เจ้าตากได้ทบทวนถึงสถานการณ์ต่าง ๆ แล้ว เห็นว่าแม้ข้าศึกจะครั่นคร้ามฝีมือไม่กล้าโจมตีซึ่งหน้าก็ตาม แต่ฝ่ายพระยาจันทบุรีมีจำนวนมากกว่า ถ้าเจ้าตากล่าถอยไปเมื่อใด ทัพจันทบุรีก็จะล้อมไล่ตีได้หลายทาง เพราะไม่มีเสบียงอาหาร เจ้าตากจึงตัดสินใจจะต้องเข้าตีเมืองจันทบุรีในค่ำวันนี้ให้ได้ และแสดงออกถึงน้ำใจอันเด็ดเดี่ยวโดยสั่งนายทัพนายกองว่า ?เราจะตีเมืองจันทบุรีในค่ำวันนี้ เมื่อกองทัพหุงข้าวเย็นกินเสร็จแล้วทั้งนายไพร่ให้เททิ้งอาหารที่เหลือและต่อยหม้อเสียให้หมด หมายไปกินข้าวเช้าด้วยกันที่ในเมืองเอาพรุ่งนี้ ถ้าตีเอาเมืองไม่ได้ในค่ำวันนี้ก็จะได้ตายเสียด้วยกันให้หมดทีเดียว?
ครั้นได้ฤกษ์เวลา 3 นาฬิกา เจ้าตากพร้อมด้วยทหารไทยจีนเข้าโจมตีเมืองจันทบุรีอย่างเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวโดยเจ้าตากขี่ช้างพังคีรีบัญชรเข้าพังประตูเมืองได้สำเร็จ พวกทหารก็กรูกันเข้าเมืองได้ ชาวเมืองต่างก็เสียขวัญละทิ้งหน้าที่แตกหนีไป ส่วนพระยาจันทบุรีพาครอบครัวลงเรือหนีไปเมืองบันทายมาศ

เมื่อเจ้าตากจัดเมืองจันทบุรีเรียบร้อยแล้ว ก็ยกทัพบกทัพเรือลงไปเมืองตราด พวกกรมการเมืองและราษฎรต่างยอมอ่อนน้อมโดยดี แต่ยังมีพ่อค้าในสำเภาที่จอดอยู่ปากน้ำเมืองตราดหลายลำไม่ยอมอ่อนน้อม เจ้าตากได้ยกทัพเรือโจมตีสำเภาจีนได้ทั้งหมดในครึ่งวัน และสามารถยึดทรัพย์สิ่งของได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งสามารถนำมาจัดเตรียมกองทัพเข้ากู้เอกราช

เจ้าตากได้จัดการเมืองตราดเรียบร้อยก็ย่างเข้าสู่ฤดูฝนพอดี จึงยกกองทัพกลับเมืองจันทบุรี เพื่อตระเตรียมกำลังคน สะสมเสบียงอาหาร อาวุธยุทธภัณฑ์ และต่อเรือรบได้ถึง 100 ลำ รวบรวมกำลังคนเพิ่มได้อีกเป็นคนไทยจีน ประมาณ 5,000 คนเศษ กับมีข้าราชการในกรุงศรีอยุธยาได้หลบหนีพม่ามาร่วมด้วยอีกหลายคน และที่สำคัญก็คือ หลวงศักดิ์นายเวรมหาดเล็ก นายสุดจินดาหุ้มแพรมหาดเล็ก

พอถึงเดือน 11 พ.ศ.2310 หลังสิ้นฤดูมรสุมแล้ว เจ้าตากก็ยกกองทัพเรือจากเมืองจันทบุรีเพื่อมากอบกู้เอกราช ระหว่างทางได้หยุดชำระความพระยาอนุราฐบุรีที่เมืองชลบุรี ซึ่งประพฤติตัวเยี่ยงโจรเข้าตีปล้นเรือลูกค้า ชำระได้ความเป็นสัตย์จริง จึงให้ประหารชีวิตพระยาอนุราฐบุรีเสีย แล้วยกทัพเรือเข้าปากแม่น้ำเจ้าพระยาในเดือน 12

กองทัพเรือภายใต้การบังคับบัญชาของเจ้าตากได้เข้าโจมตีเมืองธนบุรีเป็นครั้งแรก มีนายทองอินคนไทยที่พม่าให้รักษาเมืองอยู่ พอนายทองอินทราบข่าวว่าเจ้าตากยกกองทัพเรือเข้ามาทางปากน้ำเจ้าพระยา ก็ให้คนรีบขึ้นไปบอก

ข่าวแก่สุกี้พระนายกองแม่ทัพพม่าที่ค่ายโพธิ์สามต้น แล้วเรียกระดมพลขึ้นรักษาป้อมวิชเยนทร์ และหน้าแท่นเชิงเทิน

ครั้นกองทัพเรือเจ้าตากเดินทางมาถึง รี้พลที่รักษาเมืองธนบุรี กลับไม่มีใจสู้รบเพราะเห็นเป็นคนไทยด้วยกันเอง ดังนั้นกองทัพเรือของเจ้าตากเข้ารบพุ่งเพียงเล็กน้อยก็สามารถตีเมืองธนบุรีได้ เจ้าตากให้ประหารชีวิตนายทองอินเสียแล้วเร่งยกกองทัพเรือไปตีกรุงศรีอยุธยา

สุกี้แม่ทัพพม่าได้ข่าวเจ้าตากตีเมืองธนบุรีได้แล้ว ก็ส่งมองญ่านายทัพรองคุมพลซึ่งเป็นมอญและไทยยกกองทัพเรือไปสกัดกองทัพเรือเจ้าตากอยู่ที่เพนียด เจ้าตากยกกองทัพเรือขึ้นไปถึงกรุงศรีอยุธยาเป็นเวลาค่ำสืบทราบว่ามีกองทัพข้าศึกยกมาตั้งรับคอยอยู่ที่เพนียดไม่ทราบว่ามีกำลังเท่าใด ฝ่ายพวกคนไทยที่ถูกเกณฑ์มาในกองทัพมองญ่ารู้ว่ากองทัพเรือที่ยกมานั้นเป็นคนไทยด้วยกัน ก็คิดจะหลบหนีบ้าง จะหาโอกาสเข้าร่วมกับเจ้าตากบ้างมองญ่าเห็นพวกคนไทยไม่เป็นอันจะต่อสู้เกรงว่าจะพากันกบฏขึ้น จึงรีบหนีกลับไปค่ายโพธิ์สามต้นในคืนนั้น

เจ้าตากทราบจากพวกคนไทยที่หนีพม่ามาเข้าด้วยว่า พม่าถอยหนีจากเพนียดหมดแล้ว ก็รีบยกกองทัพขึ้นไป ตีค่ายพม่าที่โพธิ์สามต้น 2 ค่าย พร้อมกันในตอนเช้า สู้รบกันจนเที่ยง เจ้าตากก็เข้าค่ายพม่าได้ สุกี้ตายในที่รบ จึงถือว่า เจ้าตากได้กอบกู้เอกราชชาติไทยกลับคืนมาได้แล้ว หลังจากที่ไทยต้องสูญเสียเอกราชในครั้งนี้เพียง 7 เดือน

ภายหลังที่พระเจ้าตากมีชัยชนะกับพม่าแล้ว ทรงทำพิธีปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์ครองกรุงธนบุรี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ชาติบ้านเมืองเพิ่งเป็นอิสระจากพม่า จิตใจของประชาราษฎรยังระส่ำระสาย ประกอบกับสภาพบ้านเมืองที่ถูกข้าศึกเผาผลาญทำลายปรากฎให้เห็นอยู่ทั่วไป ก็ยิ่งก่อให้เกิดความเศร้าโศกสะเทือนใจจนยากที่จะหาสิ่งใดมาลบล้างความรู้สึกสลดหดหู่นั้นได้ บ้านเมืองยังต้องการความสมัครสมานสามัคคีของคนในชาติจะต้องเรียกขวัญและกำลังใจของประชาชนให้กลับคืน อยู่ในสภาพปกติโดยเร็วที่สุด ไหนจะต้องป้องกันศัตรูจากภายนอกประเทศที่คอยหาโอกาสจะเข้ารุกราน จึงต้องรวบรวมคนไทยที่แบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่าถึง 5 ก๊ก คือ

ก๊กที่ 1 เจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) ตั้งตัวเป็นเจ้าที่เมืองพิษณุโลก
ก๊กที่ 2 เจ้าพระฝาง (เรือน) อยู่ที่วัดพระฝาง เมืองสวางคบุรี ตั้งตัวเป็นเจ้าทั้งที่ยังเป็นพระ
ก๊กที่ 3 เจ้านคร (หนู) เดิมเป็นปลัดผู้รั้งเมืองนครศรีธรรมราช
ก๊กที่ 4 กรมหมื่นเทพพิพิธ ตั้งตัวเป็นใหญ่ที่เมืองพิมาย
ก๊กที่ 5 คือก๊กพระยาตาก ตั้งตัวเป็นใหญ่ที่เมืองจันทบุรี

ซึ่งก๊กต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นพระราชภาระที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจะต้องทรงกระทำโดยเร็ว ดังจะได้จำแนกพระราชกรณียกิจของพระองค์ออกเป็น 2 ด้านคือ การสร้างชาติให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง และการฟื้นฟูบ้านเมืองทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมของชาติ

 การสร้างชาติให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง
ทรงกระทำตลอดรัชกาลของพระองค์ นับตั้งแต่การปราบปรามชาวไทยที่แบ่งเป็นก๊กต่าง ๆ การปราบปรามหัวเมืองที่กระด้างกระเดื่อง ตลอดจนการทำสงครามกับพม่าทำให้พม่าลบคำดูหมิ่นไทย เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจแก่ชาวไทยที่ยังไม่หายครั่นคร้ามพม่าได้มีกำลังใจดีขึ้น ดังนี้

1. การปราบปรามก๊กต่าง ๆ

พ.ศ.2311 ยกกองทัพไปปราบกรมหมื่นเทพพิพิธได้สำเร็จ แล้วสำเร็จโทษกรมหมื่นเทพพิพิธด้วยท่อนจันทน์ ตามประเพณี
พ.ศ.2312 ยกทัพบกและทัพเรือไปปราบเจ้านครศรีธรรมราชได้สำเร็จ เมืองตานี และไทรบุรี ขอยอมเข้ารวมเป็นขัณฑสีมาด้วยกัน
พ.ศ.2313 ยกกองทัพไปตีเมืองสวางคบุรี ขณะที่เจ้าพระฝางตีได้เมืองพิษณุโลกแล้วจึงยกกองทัพเข้าล้อมเมืองพิษณุโลก เจ้าพระฝางฝ่าแนวล้อมหนีรอดไปได้

2. การทำสงครามกับพม่า

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงทำศึกกับพม่า ถึง 9 ครั้ง แต่ละครั้งแสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถของพระองค์ทางด้านยุทธศาสตร์อย่างดีเยี่ยม พร้อมด้วยน้ำพระทัยที่เด็ดเดี่ยวฉับไว การทำสงครามกับพม่าดังกล่าว ได้แก่

สงครามครั้งที่ 1 รบพม่าที่บางกุ้ง พ.ศ.2310
สงครามครั้งที่ 2 พม่าตีเมืองสวรรคโลก พ.ศ.2313
สงครามครั้งที่ 3 ไทยตีเมืองเชียงใหม่ครั้งแรก พ.ศ.2313 - 2314
สงครามครั้งที่ 4 พม่าตีเมืองพิชัยครั้งที่ 1 พ.ศ.2315
สงครามครั้งที่ 5 พม่าตีเมืองพิชัยครั้งที่ 2 พ.ศ.2316
สงครามครั้งที่ 6 ไทยตีเมืองเชียงใหม่ครั้งที่ 2 พ.ศ.2317
สงครามครั้งที่ 7 รบพม่าที่บางแก้วเมืองราชบุรี พ.ศ.2317
สงครามครั้งที่ 8 อะแซหวุ่นกี้ตีหัวเมืองเหนือ พ.ศ.2318
สงครามครั้งที่ 9 พม่าตีเมืองเชียงใหม่ พ.ศ. 2319

สำหรับสงครามรบพม่าที่บางแก้วเมืองราชบุรี พ.ศ. 2317 เป็นสงครามที่ทำให้พม่าครั่นคร้าม และเข็ดหลาบไม่กล้ามารุกรานไทยอีกต่อไป
3. การขยายพระราชอาณาเขตไปยังหลวงพระบางและเวียงจันทน์

พ.ศ.2321 พระเจ้านครหลวงพระบางขอสวามิภักดิ์เข้ารวมในพระราชอาณาจักร ส่วนนครเวียงจันทน์ซึ่งตกเป็นเมืองขึ้นพม่าตั้งแต่ พ.ศ.2317 ได้กระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยเดินทัพเข้ามาในพระราชอาณาเขต เพื่อกำจัดพระวอเสนาบดีเมืองเวียงจันทน์ ซึ่งได้เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร สมเด็จพระเจ้าตากสินกรุงธนบุรีจึงโปรดให้กองทัพไทยยกไปตีเมืองเวียงจันทน์ได้ เมื่อ พ.ศ.2322 โปรดให้พระยาสุโภอยู่รักษาเมือง เมื่อเสร็จสงคราม สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ได้อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฎิมากร (พระแก้วมรกต) และพระบาง จากเวียงจันทน์ มาประดิษฐาน ณ กรุงธนบุรีด้วย

4. การขยายพระราชอาณาเขตไปยังกัมพูชา

พ.ศ.2312 ทรงโปรดให้ยกกองทัพไปตีกรุงกัมพูชา เนื่องจากเจ้าเมืองกัมพูชาไม่ยอมส่งเครื่องราชบรรณาการดอกไม้เงิน ดอกไม้ทอง ตามราชประเพณีที่เคยปฏิบัติมา ทัพไทยตีได้เมืองเสียมราฐ และพระตะบอง

พ.ศ. 2314 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงยกกองทัพไปตีกัมพูชาได้สำเร็จ สาเหตุจากขณะไทยทำศึกกับพม่าอยู่ที่เมืองเชียงใหม่ สมเด็จพระนารายณ์ราชากษัตริย์กรุงกัมพูชาได้ถือโอกาสมาตีเมืองตราด และเมือง จันทบุรี เมื่อตีกัมพูชาได้แล้วทรงมอบให้นักองค์นนท์ปกครองต่อไป

พ.ศ.2323 กัมพูชาเกิดจลาจลแย่งชิงราชสมบัติกันเอง จึงเหลือนักองค์เอง ที่มีพระชนม์เพียง 4 พรรษา ปกครองโดยมีฟ้าทะละหะ (มู) ว่าราชการแทน และเอาใจออกห่างฝักใฝ่ญวน สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงโปรดให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และเจ้าพระยาสุรสีห์ไปปราบปราม และมีพระราชโองการให้อภิเษกสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์พระราชโอรสองค์ใหญ่ขึ้นครองกัมพูชา ทัพไทยตีเมืองรายทางได้จนถึงเมืองบัณฑายเพชร พอดีกับกรุงธนบุรีเกิดจลาจลจึงเลิกทัพกลับ

อาณาเขตกรุงธนบุรีได้ขยายออกไปอย่างกว้างขวาง ดังนี้

ทิศเหนือ                       ตลอดอาณาจักรลานนา
ทิศใต้                          ตลอดเมืองไทรบุรีและตรังกานู
ทิศตะวันออก                ตลอดกัมพูชาจดญวนใต้
ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตลอดนครเวียงจันทน์ หัวเมืองพวน และนครหลวงพระบาง หัวพันทั้งห้าทั้งหก
ทิศตะวันออกเฉียงใต้     ตลอดเมืองพุทธไธมาศ
ทิศตะวันตก                  ตลอดเมืองมะริด และตะนาวศรีออกมหาสมุทรอินเดีย

พระเจ้าตากสินมหาราช ทรงเป็นผู้สร้างวีรกรรมกอบกู้แผ่นดิน ศาสนา ฟื้นฟูขวัญและกำลังใจของปวงชนที่สิ้นหวังให้รวมพลังเป็นปึกแผ่น สามารถปกป้องรักษาราชอาณาจักรไทยไว้ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่นี้ คณะรัฐมนตรีจึงให้ความเห็นชอบตามคำเรียกร้องของประชาชน ให้ถวายพระราชสมัญญานามว่า ? สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ? เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2524
 


591
ตำนานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต)
 
 
          พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือที่ประชาชนทั่วไปนิยมเรียกกันว่า "พระแก้วมรกต" ซึ่งสถิตย์เป็นพระประธานคู่บ้านคู่เมือง ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพฯ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก องค์ปฐมบรมราชจักรีวงศ์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงสร้างพระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดาราม อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร สถิตย์เป็นองค์ประธาน ณ พระอุโบสถ เมื่อวันจันทร์ เดือน ๔ แรม ๑๔ ค่ำ ปีมะโรง พ.ศ. ๒๓๒๗ 

          พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ตามโบราณจารย์ประเพณีถือว่า พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร "พระแก้วมรกต" เป็นพระพุทธรูปที่พระอินทร์ และพระวิษณุกรรม จัดหาลูกแก้วมาสร้างองค์ เป็นพระพุทธรูปที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึง ๗ พระองค์ เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง และเป็นพระประธานสำคัญในการอัญเชิญประกอบพิธีสำคัญต่างๆ ของประเทศไทย 

          ตำนานโดยสังเขปกล่าวว่า เมื่อพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานล่วงแล้วได้ ๕๐๐ ปี มีพระอรหันต์องค์หนึ่งนามพระนาคเสนเถรเจ้า จำพรรษาอยู่ที่วัดอโศการาม เมืองปาฏลีบุตร พระพุทธศาสนากำลังเจริญเต็มที่ในยุคนั้น พระนาคเสนได้รำพึงและประสงค์จะจัดสร้างพระพุทธปฏิมากรไว้สำหรับเป็นองค์อนุสรณ์ แทนองค์สมเด็จพระบรมศาสดา ให้ผู้สืบอายุพระพุทธศาสนาไว้สักการะ บูชาแก่เทพยดาและมวลมนุษย์ จึงได้เสี่ยงทายว่า จะสร้างด้วยทองคำ หรือเงิน ก็เกรงว่าพวกมิจฉาชีพจะนำไปทำลายเสีย จะมิยั่งยืนตลอดไป ครั้นจะสร้างด้วยแก้วอันศักดิ์สิทธิ์ให้เหมาะสมกับ พุทธรัตนะ ก็ยังมิทราบว่าจะหาลูกแก้วสมดังปณิธานเสี่ยงทายได้ที่ไหน และด้วยทิพยจักษ์โสตร้อนอาสน์ถึงพระอิศวร ทรงทราบความปรารถนาแห่งพระนาคเสนเถรเจ้า ที่จะสร้างพระแก้วมรกตนี้ จึงเสด็จลงมาพร้อมด้วยวิษณุกรรม และจัดนำลูกแก้วมณีโชติ ซึ่งเป็นแก้วชนิดหนึ่งซึ่งมีรัศมีรุ่งโรจน์ ที่ภูเขาวิปุละ ซึ่งกั้นเขตแดนมคธ และอยู่ด้านหนึ่งของ กรุงราชคฤห์ ประกอบด้วย

          ๑. แก้วมณีโชติ มีบริวารแวดล้อมอยู่ ๓,๐๐๐ ดวง เฉพาะแก้วมณีโชติ มีขนาดใหญ่ถึงหนึ่งอ้อมเต็ม
          ๒. แก้วไพฑูรย์ มีบริวารแวดล้อมอยู่ ๒,๐๐๐ ดวง
          ๓. แก้วมรกต มีบริวารแวดล้อมอยู่ ๑,๐๐๐ ดวง เฉพาะแก้วมรกตนี้ มีขนาดใหญ่ ๔ กำมือ ๓ นิ้ว 

          แก้ววิเศษนี้ มีพวกกุมภัณฑ์ คนธรรพ์ ยักษ์มาร และเทพยดารักษาอยู่มาก พระวิษณุกรรมมิอาจที่จะไปนำลูกแก้วดังกล่าวนี้คนเดียวมาได้ จึงได้ทูลเชิญพระอิศวรเจ้าเสด็จร่วมไปด้วย เมื่อถึงเขาวิปุลบรรพตแล้ว พระอิศวรจึงแจ้งให้พวกกุมภัณฑ์ คนธรรพ์ และยักษ์ที่รักษาลูกแก้ว ทราบถึงความประสงค์ของพระนาคเสนเถรเจ้า ที่จะนำแก้วมณีโชตินี้ไปสร้างพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร เป็นอนุสรณ์แทนองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า แต่พวกกุมภัณฑ์ คนธรรพ์ และยักษ์ทูลว่า เฉพาะลูกแก้วมณีโชตินั้นมีอิทธิฤทธิ์มาก เป็นของคู่ควรสำหรับพระมหาจักรพรรดิ์ไว้ปราบยุคเข็ญของโลกเท่านั้น ในเมื่อโลกเกิดจลาจลวุ่นวาย ซึ่งมนุษย์ในสมัยนั้นจะหมดความเคารพยำเกรงซึ่งกันและกัน ก่อการวุ่นวายขึ้น พระมหาจักรพรรดิ์จะได้ใช้แก้วมณีโชตินี้ไว้ปราบยุคเข็ญต่อไป แต่ว่าเพื่อมิให้เสียความตั้งใจและเสื่อมศรัทธา จึงขอมอบถวายลูกแก้วอีกลูกหนึ่ง ซึ่งเป็น "แก้วมรกต" รัศมีสวยงามผุดผ่อง ถวายให้ไปจัดสร้างแทน และพระอิศวรและพระวิษณุกรรม ก็นำแก้วมรกตนี้ไปถวายพระนาคเสนเถรเจ้า แล้วก็เสด็จกลับวิมาน

          พระนาคเสนเถรเจ้า เมื่อได้รับลูกแก้วมรกตแล้ว ก็รำพึงถึงช่างที่จะมาทำการสร้างพระพุทธรูปด้วยแก้วสีมรกต ให้มีพุทธลักษณะสวยงามประณีต วิษณุกรรมซึ่งเป็นนายช่างธรรมดาทราบความดำริของพระนาคเสน จึงแปลงกายเป็นมนุษย์เข้าไปหาพระนาคเสน รับอาสาสร้างพระพุทธรูปตามประสงค์ของพระนาคเสนเถรเจ้า เมื่อได้รับอนุญาตจากพระนาคเสนแล้ว วิษณุกรรมจึงลงมือสร้างพระพุทธรูปด้วยแก้วมรกตสำเร็จลงด้วยอิทธิฤทธิ์ สำเร็จภายใน ๗ วัน เนรมิตพระวิหารและเครื่องประดับ สำหรับประดิษฐานรองรับพระพุทธรูปแก้วมรกต วิษณุกรรมก็กลับไปสู่เทวโลก และพระพุทธรูปแก้วมรกตที่สร้างสำเร็จโดยช่างวิษณุกรรมนี้ มีพุทธลักษณะอันสวยงาม มีรัศมีออกเป็นสีต่างๆ หลายสีหลายชนิด ฉัพพรรณรังษีพวยพุ่งออกจากพระวรกาย เทพบุตร เทพธิดา 
ท้าวพระยาสามนตราช พระอรหันตขีณาสพ สมณะ ชีพราหมณ์ ตลอดประชาชนทั่วไปเมื่อได้เห็นพุทธลักษณะพระแก้วมรกตแล้ว ต่างก็พากันแซ่ซ้องถวายสักการะ บูชา พระนาคเสนเถรเจ้าพร้อมด้วยพวกเทพยดา นาค ครุฑ มนุษย์ กุมภัณฑ์ พากันตั้งสัตยาอธิษฐานอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เข้าประดิษฐานในองค์พระแก้วมรกตรวม ๗ พระองค์ คือ ในพระโมฬีพระองค์หนึ่ง, ในพระนลาตพระองค์หนึ่ง, ในพระอุระพระองค์หนึ่ง, ในพระอังสาทั้งสองข้างสองพระองค์ และในพระชานุทั้งสองข้างสองพระองค์ เมื่อพระบรมสารีริกธาตุแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งเจ็ดพระองค์ เข้าไปประดิษฐานเรียบร้อยทั้ง ๗ แห่ง เนื้อแก้วมรกตแล้ว เนื้อแก้วก็ปิดสนิทเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่มีรอยแผลและช่องพลันก็เกิดปาฏิหาริย์ แผ่นดินไหวสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นเป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก พระพุทธรูปแก้วได้ยกฝ่าพระบาทดุจดังเสด็จลงจากแท่นประดิษฐาน เมื่อเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นดังนี้ พระนาคเสนเถระทำนายว่า พระแก้วมรกตนี้จะมิได้ประดิษฐานในเมืองปาฏลีบุตรแน่ ต้องเสด็จเที่ยวโปรดเวไนยสัตว์ในประเทศ ๕ คือ 

          ๑. ลังกาทวีป ๒. ศรีอยุธยา ๓. โยนก ๔. สุวรรณภูมิ ๕. ปะมะหล

          เมื่อพระนาคเสนเถรเจ้าดับขันธ์แล้ว พระแก้วมรกตนี้ คงได้รับการปกปักรักษา สักการะ บูชาเป็นเวลาต่อมาอีก ๓๐๐ ปี เมืองปาฏลีบุตรสมัยพระสิริกิติราชดำรงเป็นประมุข เกิดจลาจลวุ่นวาย เกิดสงครามมิได้ขาด ข้าศึกต่างเมืองยกมารบกวน เสนาอำมาตย์ผู้ใหญ่ ก่อการกบฏ ราษฎร์วานิชเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า สุดที่จะทนทาน ประชาชนวานิช พร้อมใจกันพาพระแก้วมรกตพร้อมด้วยพระไตรปิฎก ลงสำเภาหนีออกจากเมืองปาฏลีบุตรไปสู่ลังกาทวีป พระแก้วมรกตจึงประดิษฐานประมาณ ๒๐๐ ปี (พระพุทธศาสนาล่วงมาได้ ๑,๐๐๐ ปี)

          ครั้นถึงสมัยเจ้าอนุรุธราชาธิราช กษัตริย์ของพุกามประเทศ (พม่า) กับพระภิกษุรูปหนึ่งลงสำเภาไปสู่ลังกาทวีป พร้อมด้วยพระสงฆ์พุกามอีก ๙ รูป อำมาตย์พุกาม ๒ คน ของพุกาม ได้ขอบรรพชาต่อพระสังฆราชลังกาทวีป พระภิกษุรูปที่เป็นหัวหน้าของพุกามชื่อพระศีลขัณฑ์ ร่วมมือกันสังคายนาพระไตรปิฎกและคัมภีร์สัธทาวิเศษเป็นที่เรียบร้อย ก่อนจะกลับพุกาม ได้ทูลขอ "พระแก้วมรกต" ต่อประมุขของกรุงลังกาทวีป พระองค์จนพระทัย จึงต้องมอบพระแก้วมรกตให้กับกษัตริย์กรุงพุกามไป ทำความเศร้าโศกเสียใจให้กับชาวเมืองปาฏลีบุตรทั่วลังกาทวีป

          เมื่อกษัตริย์กรุงพุกามได้รับพระแก้วมรกตเรียบร้อยแล้ว จึงจัดขบวนเรือสำเภาอัญเชิญพระแก้วมรกตลงสำเภาสองลำ แต่เมื่อสำเภาแล่นมาในทะเล สำเภาที่อัญเชิญพระแก้วมรกต เกิดพลัดหลงทางไปสู่เมืองอินทปัตถ์พร้อมทั้งพระไตรปิฎก  พระเจ้ากรุงพุกามเสียพระทัยมาก เพราะตั้งพระทัยไว้ว่า จะจัดเฉลิมฉลองสมโภชเป็นการใหญ่ในกรุงพุกาม เมื่อเหตุการณ์กลับกลายไป จึงปลอมพระองค์เป็นราษฎรสามัญไปสู่กรุงอินทปัตถ์ เพื่อสืบหาเรือสำเภาที่อัญเชิญพระแก้วมรกตและพระไตรปิฎก และขอพระแก้วมรกตคืนจากพระเจ้ากรุงอินทปัตถ์ พระเจ้ากรุงอินทปัตถ์ก็ไม่ยอมคืนให้ เพราะถือว่าเป็นบุญญาธิการของพระองค์ ที่พระแก้วมรกตได้เสด็จมาสู่กรุงอินทปัตถ์ พระเจ้ากรุงพุกามทรงพิโรธมาก ดำริจะปลงพระชนม์พระเจ้ากรุงอินทปัตถ์ ก็เกรงว่าบาปกรรมจะติดตามตัวต่อไปภายภาคหน้า จึงแสดงอภินิหาริย์ให้ชาวอินทปัตถ์เห็น โดยเอาไม้มาทำเป็นดาบ ทาด้วยฝุ่นดำแล้วก็เหาะขึ้นไปในอากาศวนรอบเมืองอินทปัตถ์ ๓ ครั้ง สะกดพระเจ้ากรุงอินทปัตถ์และคนหลับทั้งเมือง แล้วเสด็จเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง เอาดาบที่ทำด้วยไม้ขีดไว้ที่พระศอของพระเจ้ากรุงอินทปัตถ์และมเหสี ตลอดจนเสนาบดีผู้ใหญ่ และตรัสขู่ว่า หากไม่คืนสำเภาที่อัญเชิญพระไตรปิฎกและพระแก้วมรกตให้แล้ว วันรุ่งขึ้นจะบั่นเศียรให้หมดทุกคน พระเจ้ากรุงอินทปัตถ์และมเหสีทรงทราบเรื่อง และพิสูจน์รอยฝุ่นดำที่พระศอ ก็พบว่ามีรอยฝุ่นดำจริงตามดำรัสของพระเจ้ากรุงพุกาม มีความหวั่นเกรงต่อชีวิตของพระองค์และราชบริพารเป็นอันมาก ให้อำมาตย์ ๒ คน กราบทูลพระเจ้ากรุงพุกามทราบว่า หากเป็นสำเภาอัญเชิญพระไตรปิฎกและพระแก้วมรกตของพุกามจริง ก็จะจัดถวายส่งคืนให้ ขอให้พระเจ้ากรุงพุกามเสด็จกลับยังกรุงพุกามก่อน พระเจ้ากรุงพุกามก็ยินยอม

          กาลต่อมา เมื่อสำเภาลำที่หายไปก็มาถึงกรุงพุกาม ตรวจสอบแล้วมีแต่พระไตรปิฎกอย่างเดียว หามีพระแก้วมรกตไม่ พระเจ้ากรุงพุกามทรงทราบดีว่า พระเจ้ากรุงอินทปัตถ์มีพระประสงค์จะได้พระแก้วมรกตไว้สักการะ บูชาในกรุงอินทปัตถ์ พระเจ้ากรุงพุกามก็มิได้คิดอะไรอีก พระแก้วมรกตนี้ได้ตกอยู่
ในกรุงอินทปัตถ์มาช้านานจนรัชสมัยพระเจ้าเสนกราช พระองค์มีพระราชโอรสองค์หนึ่ง สนพระทัยเที่ยวจับแมลงวันหัวเขียวมาเลี้ยงไว้ และบุตรชายของปุโรหิตคนหนึ่งชอบเล่นแมลงวันหัวเสือ ต่อมาแมลงวันหัวเสือของบุตรชายปุโรหิตกัดแมลงวันหัวเขียวของราชโอรสตาย พระราชโอรสเสียพระทัยและฟ้องพระเจ้าเสนกราชผู้บิดา จนมีรับสั่งให้นำบุตรชายของปุโรหิตไปผูกให้จมน้ำตาย ปุโรหิตผู้พ่อพร้อมด้วยภรรยาพาบุตรชายหนีออกจากเมือง เพราะเห็นว่าพระเจ้าเสนกราชปราศจากความยุติธรรม เอาแต่พระทัยตนเอง พญานาคราชก็โกรธพระเจ้าเสนกราชที่อยุติธรรม ที่สั่งให้เอาบุตรปุโรหิตไปผูกมัดเพื่อให้จมน้ำตาย จึงบันดาลให้น้ำท่วมเมืองอินทปัตถ์ เป็นที่ระส่ำระสายแก่ประชาราษฎร์ยิ่งนัก มีพระเถระรูปหนึ่งไม่ปรากฏนาม ได้อัญเชิญพระแก้วมรกตพร้อมด้วยคนรักษา หนีภัยแล่นเรือไปทางทิศเหนือของเมืองอินทปัตถ์

          ในราชอาณาจักรไทยขณะนั้น กรุงศรีอยุธยา กษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงพระนามว่า พระเจ้าอาทิตยราช เมื่อทรงทราบว่ากรุงอินทปัตถ์เกิดกุลียุค น้ำท่วมบ้านเมืองเสียหาย ผู้คนล้มตายมาก ทรงพระวิตกถึงพระแก้วมรกตจะอันตรธานสูญหายไป จึงจัดทัพไปรับพระแก้วมรกตอัญเชิญลงสำเภา พร้อมกับคนรักษากลับสู่กรุงศรีอยุธยา เมื่อมาถึงได้อัญเชิญพระแก้วมรกตประดิษฐานในมหาเวชยันต์ปราสาท ประดับตกแต่งด้วยเครื่องสักการะอันประณีต จัดการฉลองสมโภชเป็นการใหญ่ พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาและประชาราษฎร์ได้ถวายสักการะพระแก้วมรกตตลอดมา และต่อมา พระยากำแพงเพชรได้ลงมากรุงศรีอยุธยา กราบทูลขอพระแก้วมรกตไปสักการะ ณ เมืองกำแพงเพชร ต่อมาโอรสพระองค์หนึ่งมีชนมายุเจริญวัย โปรดให้ไปครองกรุงละโว้ ระลึกถึงพระแก้วมรกตได้ ปรารถนาอยากได้พระแก้วมรกตไว้สักการะ บูชา จึงทูลขอต่อพระมารดา พระมารดามีความรักพระโอรสขัดไม่ได้ จึงทูลขอต่อพระสามี ก็ได้รับอนุญาตให้อัญเชิญไปได้ แต่ให้ไปเลือกเอาเอง เพราะประดิษฐานรวมกับพระแก้วองค์อื่นๆ อีกหลายองค์ พระมารดาและโอรสไม่ทราบว่าพระแก้วมรกตองค์ไหนเป็นองค์ที่แท้จริง จึงให้ไปหาคนเฝ้าประตูรับสั่งคนเฝ้าประตูและให้สินบนช่วยชี้แจง คนเฝ้าประตูรับว่า จะนำดอกไม้สีแดงไปวางไว้บนพระหัตถ์พระแก้วมรกตองค์ที่แท้จริงให้ พระโอรสได้พระแก้วมรกตสักการะ บูชาไว้ ณ เมืองละโว้ เป็นเวลา ๑ ปี ๙ เดือน ก็ต้องอัญเชิญพระแก้วมรกตกลับเมืองกำแพงเพชรตามข้อตกลง

          ในขณะนั้น พ.ศ.๑๙๗๗ พระเจ้าพรหมทัตเจ้าเมืองเชียงราย ทรงทราบว่า พระยากำแพงเพชรผู้ทรงเป็นสหายมีพระแก้วไว้สักการะ บูชา ก็ปรารถนาอยากได้สักการะ บูชาบ้าง จึงจัดขบวนรี้พลสู่เมืองกำแพงเพชร พระปิยะสหาย ทูลขออาราธนาพระแก้วมรกตสู่เมืองเชียงราย เมื่อได้แล้วก็ดีพระทัย จัดขบวนเดินทางกลับไปสมโภช ณ เมืองเชียงรายเป็นนิจ ต่อมาเจ้าเมืองเชียงรายเกรงว่าเมื่อเกิดสงครามขึ้น จะเป็นอันตรายต่อพระแก้วมรกต หวังจะซ่อนเร้นมิให้ศัตรูปัจจามิตรทราบ จึงสั่งให้เอาปูนทาลงรักปิดทองบรรจุเสียมิดชิด ดูประดุจพระพุทธรูปศิลาสามัญ 

          ลำดับต่อมา พระสถูปเจดีย์ที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตถูกอสุนีบาตพังทลายลง ชาวเมืองจึงอัญเชิญไปประดิษฐานยังวิหารวัดแห่งหนึ่ง ครั้นต่อมาปูนที่พอกไว้ตรงพระนาสิกกะเทาะออก เห็นแก้วสีเขียว เจ้าอธิการและพระสงฆ์ในวัดนั้น จึงกะเทาะเอาปูนออกเห็นเป็นพระแก้วทึบทั้งองค์ บริสุทธิ์ดี มีรัศมีสุกใสสกาวไม่มีรอยบุบสลายเลย ราษฎรเมืองเชียงรายและหัวเมืองใกล้เคียง จึงพากันไปถวายสักการะมิได้ขาดสาย ความได้ทราบถึงพระเจ้าเมืองเชียงใหม่ จัดขบวนรี้พลช้างม้าเดินทางไปอัญเชิญพระแก้วมรกตสู่นครเชียงใหม่ ครั้นขบวนแห่อัญเชิญมาถึงทางแยกที่จะไปนครลำปางช้างที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต ก็พาพระแก้วมรกตวิ่งเตลิดไปทางนครลำปาง ควาญช้างได้ปลอบโยนให้หายจากความตื่น ช้างเชือกนั้นก็วิ่งเตลิดพาพระแก้วมรกต กลับหลังวิ่งไปทางนครลำปางอีก ควาญช้างได้พยายามเปลี่ยนช้างเชือกใหม่อีก ช้างตัวใหม่ก็วิ่งไปทางนครลำปางอีก ควาญช้างได้พยายามเล้าโลมเอาอกเอาใจอย่างไร เพื่อจะให้ช้างเดินทางไปนครเชียงใหม่ก็ไม่สำเร็จอีก ท้าวพระยาตลอดจนประชาชนในขบวนแห่พระแก้วมรกต เห็นประสบเหตุการณ์เช่นนั้น จึงส่งใบบอกไปยังพระเจ้าสามแกนเจ้านครเชียงใหม่ให้ทรงทราบ พระเจ้าเชียงใหม่มีความเลื่อมใสพระแก้วมรกตมาก แต่ก็กริ่งเกรงในพุทธานุภาพพระแก้วมรกต และถือโชคลาง เพราะที่ช้างไม่ยอมเดินทางไปนครเชียงใหม่นั้น คงเป็นด้วยพุทธานุภาพของพระแก้วมรกตไม่ยอมเสด็จมาอยู่เชียงใหม่ จึงอนุโลมให้พระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ ณ นครลำปาง

          ต่อมา พ.ศ.๒๐๑๑ พระเจ้าติโลกราช เจ้านครเชียงใหม่ เป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงอานุภาพมาก ทรงพิจารณาว่า พระแก้วมรกตเป็นสมบัติอันล้ำค่า ไม่สมควรที่จะประดิษฐานอยู่ที่นครลำปางอีกต่อไป จึงได้อาราธนาอัญเชิญพระแก้วมรกตมายังนครเชียงใหม่ แล้วจัดสร้างพระอารามราชกูฏเจดีย์ถวาย พระเจ้าเชียงใหม่สร้างวิหารให้เป็นปราสาทมียอด แต่ก็หาสมปรารถนาไม่ เพราะอสุนีบาตทำลายหลายครั้งและพระแก้วมรกตได้ประดิษฐานอยู่ ณ นครเชียงใหม่นานถึง ๘๔ ปี

          ครั้นพระเจ้าเชียงใหม่ซึ่งเป็นพระราชบิดานางหอสูง เสด็จสวรรคต เมืองเชียงใหม่ไม่มีกษัตริย์จะครองราชย์ ท้าวพระยาเสนาบดีและสมณะ ชีพราหมณ์ จึงพร้อมกันแต่งตั้งราชฑูต พร้อมด้วยเครื่องราชบรรณาการไปขอเจ้าราชโอรส อันเกิดจากนางหอสูง มาครองราชสมบัติแทนพระอัยกาต่อไป พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตทรงทราบ จึงโปรดให้เสนาบดีแต่งจตุรงคเสนาพาเจ้าไชยเชษฐา ซึ่งมีพระชนมายุ ๑๒ พรรษา ขึ้นไปกระทำพิธีราชาภิเษกตามประเพณี ครองราชสมบัติ ณ นครเชียงใหม่ ทรงนามว่าพระเจ้าศรีไชยเชษฐาธิราช เจ้านครเชียงใหม่ เมื่อเสร็จการราชพิธีราชาภิเษกแล้ว พระเจ้าโพธิสารก็เสด็จกลับคืนมายังกรุงศรีสัตนาคนหุตได้ ๓ ปี ก็สวรรคต เสนาบดีพฤฒามาตย์ผู้ใหญ่ ตลอดจนสมณะ ชีพราหมณ์เห็นว่า ถ้าให้ราชโอรสองค์อื่นครองราชสมบัติ ก็คงจะเกิดแก่งแย่งสมบัติกันขึ้น จึงพร้อมใจกันอัญเชิญพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ขึ้นครองราชสมบัติอีกเมืองหนึ่ง พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชจึงเสด็จมาประทับยังกรุงศรีสัตนาคนหุต ได้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาด้วย เพื่อให้พระราชวงศ์และประชาราษฎร์ได้กราบไหว้นมัสการ บางโอกาสเสด็จมาประทับกรุงศรีสัตนาคนหุตเป็นเวลาช้านาน ทำให้ชาวเมืองเชียงใหม่คิดว่า พระองค์คงจะไม่เสด็จกลับไปครองเมืองเชียงใหม่ จึงได้อัญเชิญเชื้อพระวงศ์ขึ้นครองราชย์แทน ทำให้พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชทรงพระพิโรธมาก กรีฑาทัพยกไปจะตีเมืองเชียงใหม่ แต่พระเจ้าสุทธิวงศ์ทรงทราบข่าวศึกเกรงพระเดชานุภาพ จึงแต่งพระราชสาส์นเครื่องมงคลราชบรรณาการ พร้อมด้วยสาวพรหมจารี ๑๒ คน เลือกเฟ้นเอาที่มีสิริโฉมงดงาม ส่งไปถวายพระเจ้ากรุงอังวะ ขอกองทัพพม่ารักษาเมือง พระเจ้ากรุงอังวะได้โปรดให้ยกกองทัพไปช่วยเมืองเชียงใหม่ เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชเห็นว่า จะทำศึกกับเชียงใหม่ ก็เหมือนกับทำศึกกับพม่า จะทำให้เสียไพร่พลตลอดจนเสบียงอาหาร ไม่ชอบด้วยทศพิธราชธรรม และเกรงว่าจะสู้ทัพข้าศึกมิได้ จึงสั่งให้ถอยทัพ พร้อมด้วยอัญเชิญพระแก้วมรกตมาอยู่ในเมืองหลวงพระบาง ๑๒ ปี 

          ลุถึง พ.ศ.๒๑๐๗ พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง เจ้าเมืองมอญ กำลังเรืองอำนาจ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชเห็นว่าจะสู้มอญไม่ได้ จึงมีดำรัสแก่อนุชาทั้งสองและอำมาตย์แสนท้าวพระยาลาวทั้งปวงว่า ที่ตั้งกรุงศรีสัตนาคนหุตนี้ เป็นถิ่นที่ดอนใกล้ภูเขาใหญ่ ชัยภูมิไม่เหมาะสมจะเป็นราชธานีของพระมหากษัตริย์ เห็นควรอพยพครอบครัวไปสร้างพระนครใหม่ อยู่ที่เมืองเวียงจันทน์ อันเป็นชัยภูมิอันสมบูรณ์ด้วยภักษาผลาหาร ใกล้กับฝั่งแม่น้ำยิ่งกว่ากรุงศรีสัตนาคนหุต เมื่อดำริต้องกันทั้งสามพระองค์แล้ว จึงได้สร้างเมืองเวียงจันทน์ขึ้นใหม่ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์เองในเมืองเวียงจันทน์ และได้อาราธนาพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร มาประดิษฐานไว้ในปราสาท แต่นั้นต่อมาอีก ๒๑๔ ปี

          ครั้นถึง พ.ศ.๒๓๒๑ พระเจ้าตากสิน เมื่อครั้งเป็นพระยาวชิรปราการ เจ้าเมืองกำแพงเพชร ขึ้นแก่กรุงศรีอยุธยา ให้รวบรวมไพร่พลที่เหลือจากพม่าโจมตี ตั้งตัวเป็นมหากษัตริย์สืบวงศ์สยาม ตั้งกรุงธนบุรีหัวเมืองชายทะเลขึ้นเป็นพระมหานคร ได้ยกทัพไปตีกรุงศรีสัตนาคนหุต เพื่อประสงค์จะแผ่พระเกียรติยศให้ยิ่งใหญ่ไพศาล และขยายขอบเขตขันธเสมาอาณาจักรให้กว้างขวางยิ่งขึ้น โดยให้สมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึก ขึ้นไปตีกรุงศรีสัตนาคนหุต 

          เมื่อได้เมืองเวียงจันทน์แล้วได้อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระแก้วมรกต กับพระบาง ขึ้นคานหามมายับยั้งอยู่เมืองสระบุรี แล้วแจ้งข้อราชการมีชัยชนะศึก ตลอดจนได้อัญเชิญพระพุทธปฏิมากรพระแก้วมรกตนั่ง และพระพุทธปฏิมากรยืนชื่อพระบางมาด้วย เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ทราบ ทรงเลื่อมใสศรัทธาปสาทะ ให้ราชบุรุษอาราธนาพระสังฆราชและพระราชาคณะฐานานุกรมเปรียญทั้งปวง จัดกำลังเรือและฝีพายให้ขึ้นไปรับพระแก้วมรกตและพระบางมายังกรุงธนบุรี โดยให้เรือพระที่นั่งศรี เป็นเรือพระรับพระแก้วมรกต และเรือที่นั่งกราบรับพระบาง พร้อมด้วยเรือชัยต่างๆ เรือตั้งกัน ๑๖ คู่ เรือรูปสัตว์ ๑๐ คู่ มีเรือเครื่องสูงเศวตฉัตรกลองชนะมโหระทึก ดนตรีประจำทุกลำ แห่ล่องมาเป็นขบวนพยุหยาตรานาวาจนถึงกรุงธนบุรี เชิญพระแก้วมรกตและพระบางประดิษฐานไว้ในโรงภายในพระราชวัง ซึ่งปลูกไว้ริมพระอุโบสถวัดแจ้ง ตั้งเครื่องสักการะ บูชา เป็นมโหฬารดิเรกด้วยเงิน ทอง แก้ว บูชาพระไตรยาธิคุณ และโปรดให้มีการถวายพระพุทธสมโภช มีมหกรรมมหรสพฉลอง เวลากลางคืนจุดดอกไม้เพลิงทุกคืนตลอด ๗ วัน ๗ คืน

          ครั้นสิ้นรัชกาลพระเจ้ากรุงธนบุรีแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ณ กรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อปีขาล พ.ศ. ๒๓๒๕ โปรดให้สร้างพระอารามขึ้นในพระบรมมหาราชวัง ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร

          ครั้นพระอุโบสถสร้างเสร็จแล้วจึงให้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันจันทร์ เดือน ๔ แรม ๑๔ ค่ำ ปีมะโรง พ.ศ. ๒๓๒๗

 

592
เรื่องราวดุจปาฏิหาริย์ที่ปรากฏทางหน้าหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับพระสงฆ์ที่มรณภาพแล้วร่างกายไม่เน่าเปื่อยสลายไปตามธรรมชาติ

แต่กลับเป็นคล้าย "มัมมี่" คงสภาพร่างกายให้บรรดาสานุศิษย์และประชาชนที่เลื่อมใสศรัทธากราบไว้ต่อไปนั้นในเมืองไทยมีอยู่มากมาย

นับแต่พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ พระดังๆ อาทิ หลวงพ่อพระราชพรหมยานเถระ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี, หลวงปู่วงศ์ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน, หลวงพ่อบุญเหลือ วัดเขาตะกร้าทอง จ.ลพบุรี, ครูบาธรรมชัย วัดทุ่งหลวง จ.เชียงใหม่, ครูบาขาวปี วัดพระพุทธบาทผาหนาม จ.ลำพูน, หลวงปู่สี วัดถ้ำเขาบุนนาค อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์, หลวงปู่พรหม วัดช่องแค จ.นครสวรรค์, หลวงปู่สงฆ์ วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย จ.ชุมพร, หลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ กทม., หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว จ.สุพรรณบุรี, หลวงพ่อเภา วัดเขาวงกต อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ ล่าสุดหลวงพ่ออุตตมะ (พระราชอุดมมงคล) อ.สังขละ จ.กาญจนบุรี

ทั้งหมดที่เอ่ยนามมาข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพระเถระผู้ใหญ่ที่ละสังขารแล้วร่างกายไม่เน่าเปื่อย แต่หากจะนับตัวเลขกันจริงๆ แล้ว ยังมีอีกหลายรูป

เรื่อง "ศพพระไม่เน่า" จึงกลายมาเป็นข้อปุจฉา-วิสัชนา กันอยู่อย่างไม่จบสิ้น เป็นเรื่องที่คนอยากรู้กระทั่งลงทุนไปศึกษากับเกจิดังๆ หลายรูปเพื่อหาข้อเท็จจริง

ในบรรดาสานุศิษย์ของพระเกจิชื่อดัง *กิตติชัย เชาว์ชนพันธ์* เป็นคนหนึ่งที่คนในแวดวงพระรู้จักกันดี

กิตติชัยเป็นเจ้าของบริษัทโฆษณาแห่งหนึ่ง ปัจจุบันอายุ 41 ปี เขาแนะนำตัวเองว่า เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อจ่าง วัดเขื่อนเพชร จังหวัดเพชรบุรี จบคณะวิทยาศาสตร์ เอกคณิตศาสตร์ มศว.ประสานมิตร ปี 2534

กิตติชัยเล่าให้ฟังถึงการศึกษาเกี่ยวกับพระละสังขารแล้วไม่เน่า ว่าเริ่มสนใจเรื่องนี้เมื่อครั้งมีหนังสือพิมพ์ลงข่าวเกี่ยวกับคนถูกยิง เป็นเรื่องของสองผัวเมีย ที่มีปัญหาขัดแย้งเรื่องมรดกกัน สามีตายคาที่ แต่ภรรยาแม้จะถูกยิงด้วยกระสุนชนิดจะจะ แต่กระสุนปืนไม่ระคายผิว ทำให้เริ่มต้นศึกษาในเรื่องเหล่านี้

พอเริ่มศึกษา ทำให้ได้ไปรู้จักครูบาอาจารย์หลวงพ่อหลายรูป แต่ละรูปเป็นเกจิชื่อดังทางด้านต่างๆ กันไป

อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่น่าสังเกตในการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ คือ แต่ละรูปขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นต่างได้ฝึกสมาธิ ฝึกจิต นั่งวิปัสสนากรรมฐานแทบทั้งสิ้น

"ผมอาจจะอธิบายแล้วฟังยากสักหน่อยสำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงนี้ แต่พูดแบบง่ายๆ ว่าจากการศึกษาของผมพบว่า เกจิอาจารย์ที่ฝึกนั่งสมาธิ ฝึกจิตทั้งหลายจะมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย เกิดรังสีประเภทหนึ่งขึ้นในตัว

"รังสีที่เกิดขึ้นนี้จะทำให้ผิวหนังร่างกายเปลี่ยนแปลงไป เรื่องนี้เป็นเรื่องของคนที่ปฏิบัติ เคยมีการวัดรังสีเหล่านี้แบบวิทยาศาสตร์ โดยมีเครื่องมือวัดเหมือนวัดรังสีออร่า ก็สามารถตรวจวัดได้ระดับหนึ่ง แต่ทีนี้คลื่นรังสีตัวนี้คืออะไร ยังตอบไม่ได้ในทางวิทยาศาสตร์ อาจจะแตกต่างไปจากแสงออร่าบ้าง คือความถี่น่าจะไม่เท่ากัน"

กิตติชัยอธิบายต่อไปว่า ในร่างกายคนเราปกติจะมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาอยู่แล้ว ถ้าเอามือไปอังใกล้ๆ จะรู้สึกมีการคลายความร้อน รังสีตัวนี้เมื่อคนที่ฝึกกรรมฐานมาแล้ว จิตพัฒนาไปจนสามารถที่จะรวบรวมรังสีเหล่านี้ได้ และส่งออกไปข้างนอกได้ ก็คือส่งไปอาบวัตถุมงคลที่เราเรียกกันว่า "การปลุกเสก" นั่นเอง

"เมื่อพระอาจารย์ทั้งหลายมีการปฏิบัติตรงนี้บ่อยๆ รังสีที่ว่านี้ก็จะอาบไปทุกอณูเซลล์ของร่างกาย เวลาหมดลมหายใจสุดท้าย หรือเวลามรณภาพ ดับขันธ์ พระเกจิเหล่านี้จะกำหนดอารมณ์ของตนเข้าไปอยู่ในที่ตั้งของกรรมฐาน รังสีตัวนี้ก็จะแผ่ปกคลุมในอณูเซลล์ เป็นเหตุให้แบคทีเรียไม่สามารถเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อได้"

ถ้าจะพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ได้หรือไม่ กิตติชัยบอกว่าต้องขอความร่วมมือจากนักวิทยาศาสตร์ให้มาช่วยศึกษาอีกที

"แต่ถ้าจะพิสูจน์ในลักษณะของเหตุและผล หรือดูข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ในแง่ของความรู้ทางพระที่ศึกษา

ผ่านมาแน่ชัดอยู่มากทีเดียวว่า พระที่ปฏิบัติกรรมฐาน จนมาถึงตรงที่ตั้งของรังสี ซึ่งเรียกว่ารังสีธาตุทั้ง 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ จะมีร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปหลายอย่าง เช่น ในตาดำจะมีวงแหวน จะไม่เหมือนกับคนที่ตาเป็นต้อ เพราะคนตาเป็นต้อจะเป็นสีฟ้าสีเดียวแล้วไม่สามารถเปลี่ยนสีได้ แต่คนที่ปฏิบัติตรงนี้วงแหวนในตาดำสามารถเปลี่ยนเป็นสีเทา สีไข่ไก่ได้ แล้วแต่อารมณ์ที่เขากำหนด"

นอกจากนี้ หัวคิ้วจะเปลี่ยนไป เพราะเวลานั่งกรรมฐานเขาจะเอาตาเพ่ง แล้วมองกลับเข้าไปข้างใน ดังนั้นกล้ามเนื้อตาด้านบนจะหดเวลากลอกตาขึ้น เมื่อทำแบบนี้ตลอด คนที่แก่กรรมฐาน กล้ามเนื้อเหมือนจะยืดตัว ตาดำเหมือนจะลอยขึ้นตลอด และมีการยกกระบังลมที่เปลี่ยนไป นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์

"พอถึงตอนมรณภาพหรือเสียชีวิต รังสีที่เกิดจากการฝึกปฏิบัติก็ยังอาบอณูเซลล์ร่างกายอยู่ จึงทำให้เซลล์ผิวหนังไม่เน่าเปื่อย มีพระนับร้อยองค์ที่เป็นแบบนี้

"ตัวผมสนใจเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 2535 ติดตามมาตลอด ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงร่างกาย ไปถึงการปลุกเสก ด้วยความที่เราเป็นนักวิทยาศาสตร์ สมัยนั้นผมทำงานอยู่ที่บริษัท ซีเกต เทคโนโลยี ประเทศไทย เราเรียนจบวิทยาศาสตร์ ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ เบื้องต้นผมไปเห็นหลวงพ่อรูปหนึ่งที่ จ.นครสวรรค์ ท่านอยู่ในหีบแก้วร่างกายไม่เน่า แวบแรกคิดว่าเป็นหุ่นขี้ผึ้ง ก็ขึ้นไปเกาะโลงศพดู พวกลูกศิษย์เขาบอกกันว่ามีเล็บงอก ผมงอก ผมก็บอกว่าไม่แปลกหรอกถ้าไม่ใช่หุ่นขี้ผึ้ง เพราะถ้าผิวหนังแห้งผมก็ต้องโผล่ขึ้นมา แต่ต้องจนมุมเมื่อเขาบอกว่าโกนแล้วยังงอกขึ้นมาอีก ผมก็ไปเกาะโลง จ่อหน้ากับท่านเพื่อจะดู แล้วก็ยอมลงมาจุดธูปขอเป็นลูกศิษย์

"จากนั้นเลยศึกษาเรื่องนี้อยู่นานมาก เดินทางพบพระเป็นพันรูปเพื่อศึกษาตรงนี้ บางรูปอยู่กับท่านตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ จนมรณภาพไปทีละรูป เอารูปท่านตั้งแต่หนุ่มมาดูจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของร่างกายเรื่อยๆ ที่อัศจรรย์กว่านั้น คือ ท่านซ่อนวงแหวนในตาดำได้

"แม้แต่ไอน์สไตน์ก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนี้เลยนะ" เสียงกิตติชัยย้ำดังๆ เมื่อถูกมองว่าเป็นเรื่องของไสยศาสตร์

"มันเป็นเรื่องที่วิทยาศาสตร์ยังไปไม่ถึง ซึ่งต้องการนักวิชาการทางฟิสิกส์เข้าไปค้นคว้าศึกษา คือวิทยาศาสตร์บางทีตอบได้ไม่หมดทุกเรื่อง บางเรื่องเรายังต้องเรียนรู้ต่อไปอีก"

กิตติชัยบอกด้วยว่า เรื่องกรรมฐาน คือการนั่งฌาน ญี่ปุ่นเอาไปใช้เรียกว่า "เซน" วิธีนั่งฌานถ่ายทอดกันมายาวนาน โดยเฉพาะนิกายมหายาน จะกล่าวถึงเรื่องฌานค่อนข้างมาก ส่วนหินยาน (เถรวาท) เองก็กล่าวถึงโดยตลอด ไม่ว่าจะในพระอภิธรรม พระไตรปิฎก

และเมื่ออธิบายเรื่องฌานในแบบวิทยาศาสตร์ ขั้นตอนการทำฌานก็เหมือนขั้นตอนที่หลอกล่อให้คนฝึกหัดสมาธิ เมื่อทำไปจนถึงระดับหนึ่งจะพบที่ตั้งของรังสีตัวนี้ ที่ขนานนามว่า "รังสีธาตุ" พอพบแล้วก็สามารถจะนำรังสีตัวนี้ส่งออกไปข้างนอกได้ ไปประจุไว้ในวัตถุได้ ที่เรียกกันว่าการปลุกเสก

กิตติชัยบอกว่า เรื่องแบบนี้เป็นได้เฉพาะคน ใครที่ฝึกได้ทำได้ดีมากๆ ก็สามารถรวมพลังงานตรงนี้ได้มาก

"แต่ถ้าถามว่า แล้วพลังงานนี้เมื่อประจุเข้าในวัตถุมงคลแล้วทำไมถึงไปส่งอิทธิปาฏิหาริย์ทำให้ยิงไม่เข้า ตรงนี้ผมก็ตอบไม่ได้.."

ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้อีกอย่าง คือ พระที่สังขารไม่เน่า สังขารต้องค่อยๆ ดำ เช่น หลวงพ่อผล วัดเชิงหวาย สีผิวจะค่อยๆ เปลี่ยนจากสีเนื้อเป็นสีน้ำผึ้ง แล้วเป็นสีน้ำผึ้งเก่าแก่ แล้วแห้ง น้ำค่อยๆ ออก อาจารย์ดังๆ ที่ปฏิบัติถึงขั้นแล้วสังขารไม่เน่า มีทั่วทุกภาค แต่จังหวัดทางภาคใต้มีมากเป็นพิเศษ

"เรื่องตายแล้วร่างกายไม่เน่า ไม่ใช่เรื่องแปลก อธิบายได้หมด แล้วก็ยังมีพระที่ร่างกายพร้อมจะไม่เน่าอยู่อีกเยอะแยะ และไม่ใช่แค่ประเทศไทย อย่างพระจีน พระญวน มรณภาพแล้วไม่เน่าก็มี นั่งสมาธิตายแข็งอยู่ทุกวันนี้ก็มี ที่ จ.ฉะเชิงเทรา วัดจีนประชาสโมสร ท่านนั่งฌานปฏิบัติแบบเดียวกัน อันนี้ไม่ใช่เรื่องอภินิหาร ที่ต่างประเทศก็มีการค้นคว้าเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัดออกมา"

เรื่องพระสังขารไม่เน่าของพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แม้ว่าจะมีการพิสูจน์ว่าคนทั่วไปก็สามารถทำได้ และมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ แต่ตามความเชื่อของคนไทยแล้ว เมื่อมีข่าวพระสังขารไม่เน่า ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ เป็นอภินิหาร

ดังนั้น แม้จะมีคำอธิบายระดับหนึ่งจากคนที่ศึกษาในเรื่องนี้ แต่คำตอบที่แน่นอนชัดเจนนั้นยังไม่มี เรื่องนี้ยังคงต้องการการศึกษาให้มากยิ่งขึ้นไปอีก และต้องขยายออกไปในวงกว้าง

593
ธรรมะ / นั่งสมาธิหลับตากันทำไม ?
« เมื่อ: 03 เม.ย. 2550, 12:07:56 »
นั่งสมาธิหลับตากันทำไม ?

น้อยคนนัก ที่จะรู้จริงว่า การนั่งสมาธิภาวนานั้น เขานั่งกันทำไม ?

แม้ผู้ที่ได้ทำการนั่งสมาธิมา ๓๐ ปี ๔๐ ปี แล้วก็ตาม แต่ไม่เกิดปัญญา ไม่บรรลุแจ้งแทงทะลุได้ ก็เพราะเหตุไม่เข้าใจตรงทาง ไม่รู้จุดหมายแท้ แห่งศาสนาพุทธนั่นเอง

โดยได้หลงเข้าใจผิดตามทางอื่น ไปหลงเข้าใจไกลจุดแท้ของศาสนาพุทธ อยู่นั่น ทีเดียว จึงไม่บรรลุ ไม่เห็นแจ้ง และไม่สำเร็จในวิชา "พุทธศาสนา" ได้สักที


--------------------------------------------------------------------------------

"พุทธ"พาคนให้"พ้นทุกข์"
"ศาสนาพุทธ" สอนให้คน"พ้นทุกข์" จำไว้ให้ดี และ นำไปคิดให้เห็นแจ้งก่อนอื่น ทีเดียว

"ศาสนาพุทธ" ไม่ได้สอนให้คนเป็น "คนเก่งในอภิญญา" ใดๆ เป็น "จุดเอก"

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ผู้บรรลุพุทธศาสนา จะไม่มี "อภิญญา" มีได้เป็นได้ แต่ไม่ใช่จุดเอก ไม่ใช่จุดแท้

จุดเอก  จุดแท้  อันเป็นเงื่อนต้น หรือ เป็นเบื้องต้น เป็นจุดสำคัญจุดแรก ที่พุทธศาสนิกชน จะต้องตั้งทิศ ให้ตรง มุ่งหมาย ให้ได้ก่อน "วิชชา" อื่นๆ หรือ ก่อน "อภิญญา" ใดๆ ก็คือ "อาสวักขยญาณ" ที่จะทำให้เรา "พ้นทุกข์อริยสัจ" นั่นเอง


--------------------------------------------------------------------------------


สุดยอดวิชาของพุทธ
"อาสวักขยญาณ" คือ ญาณอย่างไร ?
"อาสวักขยญาณ" ก็คือ ปัญญาอันแหลมคมละเอียดอ่อน ที่สามารถจะรู้ความกระเพื่อมไหวของ "จิต" ตัวเองได้

แม้จะกระเพื่อมไหวอย่างอ่อน อย่างเบา อย่างบางอยู่สุดซึ้งก้นบึ้งของ "จิต" ของเรา ก็สามารถ จับได้ไล่ทัน อ่านออก ทุกขณะ และ ทุกดวงแห่ง "จิต" ที่มัน "เกิด"

(อันคนธรรมดา จะไม่รู้ได้เป็นอันขาด เป็น "ความไว" ของประสาทสัมผัส ชั้นยอดเยี่ยม ที่เหนือยิ่งกว่า "มิเตอร์" ทางวัตถุใดๆ จะเป็นได้)

นอกจากจับ "จิต" ที่ "เกิด" ได้ทุกดวงแล้ว ยังสามารถลึกทะลวงทะลุลงไปล่วงรู้แจ้ง "เหตุ-ปัจจัย" ที่มาปรุงแต่งให้ "จิต-ขั้นลึก หรือ จิตอันบางเบา" (อาสวจิต) นั้นๆ "เกิด" ได้ด้วย

และสามารถ ที่จะ "ดับ" ความ "เกิด" นั้น ได้ด้วยตนในทุกขณะ ที่ต้องการอีกด้วย

จึงไม่ใช่เรื่องอื่น ไม่ใช่ "งาน" อื่น ไม่ใช่ภาระอื่น และไม่ใช่ "ความเก่ง" อย่างอื่น เป็นอันขาด

แม้จะเป็น "ตาทิพย์" เป็น "หูทิพย์" เป็นผู้รู้ "ระลึกชาติได้" หรือ เป็น "การรู้ชาติกำเนิด ของผู้อื่น รู้วาระจิต ของผู้อื่น" ก็ตาม ก็ไม่ใช่ "วิชชา" หรือ ไม่ใช่ "ความเก่ง" ที่เป็น "เงื่อนต้น" หรือ "จุดสำคัญจุดแรก" เป็นอันขาด

"ความเก่ง" หรือ "วิชชา" ที่จะต้องมุ่งเพียรให้บรรลุสำเร็จแจ้งให้ได้ ก็คือ ให้รู้ว่า "ทุกข์" คืออะไร ?

และ จะทำการ "หยุดทุกข์" นั้น ได้อย่างไร ? แล้วก็ทำให้ได้ เท่านั้นเอง

จึงควรจะ "พิจารณา" คำว่า "ทุกข์" ให้ออก


--------------------------------------------------------------------------------

แล้วเราจะเข้าใจ จะรู้แจ้งว่า ที่คนไปนั่งหลับตาทำสมาธิกันนั้น เขานั่งกันทำไม ?
และนั่งเพื่อให้อะไรมัน "เกิด" ? ใครทำถูกอยู่ ? ใครทำผิดอยู่ ? เราก็จะรู้ได้ด้วยผลจากการฝึกฝน จนลุถึง "อรูปพรหม"

ลัทธิการนั่งหลับตา ทำสมาธินั้น มีมาแต่ดึกดำบรรพ์ ก่อนสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเสียอีก

แล้ว "ผลได้" จากการนั่งหลับตาบำเพ็ญตบะนั้น ก็มี ก็เกิดออกมา ตามอายุกาลของ ความจริงที่ได้กระทำ

คือ เมื่อฝึกหัดนั่งไปนาน สภาวะที่จะออกมาเป็น "ผล" ในแง่ใดแง่หนึ่ง ที่มันเป็นได้ เกิดได้ ก็ย่อมจะ "เกิด"

เมื่อทำ "เหตุ" บำเพ็ญ "ปัจจัย" ได้ครบ ได้เต็ม ห้ามไม่ให้มัน "เกิด" ก็ไม่ได้เอาด้วย

เช่นว่า คนผู้บำเพ็ญเพ่งเล็ง "น้อมจิต" ใฝ่เพียรทำ "จิต" เพื่อให้นิ่ง ให้มี "พลัง" ในทาง "ระงับความรู้สึก" ที่จะเกิดมา กระทบสัมผัส "ร่างกาย" ของตน

ถ้าเขาผู้นั้น ได้สร้างแบบฝึกหัด หรือ ก่อเหตุก่อปัจจัยไป จนถ้วนพอ หรือ ครบจำนวน

"ผล" คือ เป็นผู้พร้อมทนหนาว ทนเจ็บปวด ทนการกระทบสัมผัสต่างๆ อันหนักหนา ที่มนุษย์ธรรมดา ทนไม่ได้ อย่างนั้น

นั่นก็เป็น "ผล" ของลัทธิอื่น ที่เขาทำกัน เขาเพ่งเล็ง และเขาก็เรียก "ผล" เช่นนั้นของเขาว่า "นิพพาน" ก็มี

พวกที่ทำอย่างนี้ มุ่งอย่างนี้ เป็น "จุดเอก" ก็คือ พวกที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเรียกว่า "อุปาทาน" และ "อรูปพรหม"

จนลุถึง "อสัญญีพรหม"

หรือคน ผู้บำเพ็ญเพ่งเล็ง "น้อมจิต" ใฝ่เพียรทำ "จิต" เพื่อให้นิ่ง ให้ดับ ให้ขาดจากร่างกาย อย่างแท้จริง เหมือนอยู่กันคนละส่วน คนละอัน "จิต" ก็แยกจากร่างกายไป "ร่างกาย" ก็แข็งทื่อ นิ่งอยู่ต่างหาก ไม่มี "จิต" ครอง

ถ้าเขาผู้นี้ ได้สร้างแบบฝึกหัด หรือก่อเหตุ ก่อปัจจัย ไปจนครบถ้วนพอ หรือ ครบจำนวน

"ผล" คือ เป็นผู้ทนได้ทุกอย่าง ทนแม้กระทั่งดิน ฟ้าอากาศ จะแปรเปลี่ยนอย่างไร ก็ยังสามารถทนได้

เช่น ไฟเผาก็ไม่ไหม้ ทิ้งน้ำก็ไม่จม มีดฟันก็ไม่เข้า เป็นต้น อย่างนี้ ก็มี

นั่นเป็น "ผล" ของลัทธิอื่นเขาทำกัน เขาเพ่งเล็งกัน และเขาก็เรียก "ผล" เช่นนั้น ของเขาว่า "นิพพาน" ก็มี

พวกที่ทำอย่างนี้ มุ่งอย่างนี้เป็น "จุดเอก" ก็คือ พวกที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเรียกว่า "อสัญญีพรหม" เก่งจริงๆ ราวกับเล่นกล "เดรัจฉานวิชชา"

หรือ ยิ่งคนผู้บำเพ็ญเพ่งเล็ง "น้อมจิต" ใฝ่เพียรทำ"จิต" เพื่อให้จิต "มีพลัง"

แล้วนำ "พลังจิต" นั้น ไปสร้างฤทธิ์ สร้างอภินิหาร ปาฏิหาริย์ต่างๆได้ แล้วก็เที่ยวนำออกแสดง "ผล" อย่างนี้ ก็มี และเป็นจริงได้

ซึ่งก็เป็นของลัทธิอื่นเขาทำกัน เขาเพ่งเล็งกัน

แต่ "ผล" อย่างนี้ แม้ศาสดาของลัทธิเช่นนี้ เขาก็ยังไม่กล้าเรียก "ผล" อย่างนี้ ของเขาว่า "นิพพาน"

แต่เขาเรียกของเขาว่า "วิชชา" หรือเป็น "อภิญญา" ของเขา

พวกที่ทำอย่างนี้เป็น "จุดเอก" ก็คือ พวกที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเรียกว่า พวกสำเร็จ "เดรัจฉานวิชชา"

เพราะเป็น "วิชชา" ที่ยังไม่ช่วยตนให้พ้นความเป็น "สัตวโลก" ยังเป็น "วิชชา" ที่ยังมีความหลง ความพึงพอใจ ความถือว่าตนเก่ง ความอวดรู้ อวดผล เพื่อตำแหน่งอันนำมาซึ่ง ลาภ-ยศ-สรรเสริญอยู่

(เดรัจฉาน หมายถึง สัตวโลก เดรัจฉานวิชา หมายถึง วิชชาที่ยังไม่พ้นความเป็นสัตวโลก อย่าไปแปลว่า วิชชาของสัตว์ขั้นต่ำ มันเป็นการดูถูก "วิชชา" หรือ "ความรู้" ไป เพราะ "ความรู้" นั้นเป็นของดีทั้งสิ้น ถ้าผู้ใด มีประดับตน แต่พระพุทธเจ้าสอนให้ "คนรู้" ยิ่งกว่า คือ แม้แต่ลำดับ แห่งการหา "ความรู้" ใส่ตน ก็จะต้อง "รู้" จักทางหนีทีไล่ ให้แก่ตน อย่างชาญฉลาดที่สุด)

ดังนั้น "วิชชา" ตามที่ยกตัวอย่างมาทั้งหลายนั้น จึงยังไม่ใช่ "จุดเอก" ไม่ใช่เรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง ของพุทธศาสนา


--------------------------------------------------------------------------------

จุดเอก จุดเด่น สุดสำคัญ ของพุทธวิชชา
"จุดเอก" หรือเรื่องสำคัญ อันดับหนึ่ง ของพุทธศาสนา จึงคืออะไรกันแน่ ?

"จุดเอก" ของพุทธ ก็คือ ต้องแทงทะลุ "ทุกขอริยสัจ" ด้วย "ปัญญาญาณ" ให้ได้นั่นเอง ยังไม่ต้องไป คำนึงถึง "ผลอื่น"

ยังไม่ต้องถึงกับทนร้อน ทนหนาว ทนเจ็บปวดได้ หรือ ยังไม่ต้องถึงกับสามารถแยก "จิต" แยก "กาย" ให้ขาด จากกัน จนเป็น "นิโรธสมาบัติ" ขั้นไฟเผา ก็ไม่ไหม้ มีดฟันก็ไม่เข้า หรือ ยังไม่ต้องสามารถแสดง "อภินิหาร" อะไรได้

"ผล" เหล่านั้น เป็น "ผลส่วนเกิน" เป็นความสามรรถของจิต ที่จะพึงเกิดเอง เป็นเอง มีมาเอง เมื่อ "เหตุ" และ "ปัจจัย" ครบถ้วน ตามฐานะ ของแต่ละบุคคล ผู้มี "เพียร"

"เงื่อนต้น" หรือ "จุดเอก จุดแรก" ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ถึงให้พุทธศาสนิกชน มุ่งเพียรบำเพ็ญ และ ทำให้ได้ก่อนอื่น

จึงคือ "ผล" อันนี้ "ผล" อย่างนี้ จึงจะเรียกว่า "ถูกทาง"

ดังนั้น คำว่า "สีลัพพตปรามาส" จึงมีความหมายเพียง "ถูกทาง" ตรงทางเท่านั้น

บุคคลใด แม้จะได้บำเพ็ญจิต (โยคะ หรือตบะ) มาอย่างเก่ง อย่างสูงเท่าใด ถ้ายังไม่เข้าใจ "จุดเอก" ยังไปมัวเมาใน "วิชชา" อย่างอื่นอยู่ จึงเรียกว่ายังมี "วิปัสสนูปกิเลส" อยู่ทั้งสิ้น

จึงคือผู้ยังไม่ได้เข้าอันดับเป็น "สมณะ" ของ "พุทธวิชชา"

จนกว่าจะจับจุดเอกได้ และเริ่มเดินทางถูก จึงจะได้ชื่อว่านักศึกษา ขั้นผ่านการสอบคัดเลือก เข้ามาได้ คือเรียกว่า เริ่มเป็น "พระโสดาบัน"

การบำเพ็ญจิตให้ลุถึง "พระนิพพาน"

เพราะฉะนั้น การบำเพ็ญ "จิต" เพื่อให้บรรลุ "นิพพาน" สำเร็จเป็น "พระอรหันต์" ของศาสนาพุทธ หรือ ตามลัทธิของ พระสมณโคดม จึงไม่ต้องมีฤทธิ์เดช ดังตัวอย่าง ที่ยกมาแล้ว แต่สามารถมี  "จิต" มี "กาย" มี "วาจา" บรรลุธรรมถึงขั้น "สงบ" ได้อย่างจริงแท้ ก็เป็นอันเพียงพอ สำหรับตำแหน่ง ที่จะเรียกว่า "อรหันต์"

แม้ยังไม่มีฤทธิ์ใด เดชใด อันเรียกว่า "อิทธิปาฏิหาริย์" ซึ่งคือ ปาฏิหาริย์ ทางแสดงให้ตนเห็นผล แปลง "รูป" หรือ ทำรูป ทำตัวตน ทำวัตถุ ให้เป็นของน่าทึ่งได้

เช่น เสกเป่าบันดาลของ ให้เป็นไปตามต้องการ หรือ ทำตนให้เหาะได้ หายตัวได้ เป็นต้น

และที่เรียกว่า "อาเทสนาปาฏิหาริย์" ซึ่งคือ ปาฏิหาริย์ทางแสดงออก ให้คนเห็นผลทาง "นาม" หรือ สามารถ ทำให้คนทึ่งได้ โดยทายจิต ทายใจ หรือ สามารถใช้จิต กำหนดหยั่งดิน ฟ้า อากาศ หยั่งนรก-สวรรค์ได้ เป็นต้น

ผู้ที่ได้ตำแหน่ง "พระอรหันต์" ในพุทธศาสนา จึงไม่ใช่บุคคลในประเภทมี "ปาฏิหาริย์" ดังกล่าวนั้นเลย

แต่พระพุทธองค์ระบุว่า จะต้องมี "อนุสาสนีปาฏิหาริย์" ซึ่งคือ "ปาฏิหาริย์" ในการรู้แจ้ง "เหตุ" และ "ผล" ของความจริงแท้ แน่ชัด รู้อย่างทำได้  และบอกได้ อธิบายถึงที่เป็นไปอย่างนั้น ให้ผู้อื่นรู้ตามได้ด้วย

อย่างต่ำที่สุด ก็ต้องรู้ว่า "ทุกข์" คืออะไร ?

"เหตุ" แห่งทุกข์ คืออะไร ?

อาการของ "ความดับ" แห่งทุกข์นั้น เป็นอาการอย่างไร ?

และทางที่จะทำให้ "เกิดความดับ" แห่งทุกข์นั้น ประกอบไปด้วยอะไร ?

เท่านี้ เท่านั้นเอง เป็น "ความเก่ง" เป็น "ความรู้ยิ่ง" ของผู้ที่ได้ชื่อว่า "อรหันต์" หรือผู้สำเร็จ "วิชชาอรหันต์"

จะเรียกว่า เป็น "บัณฑิต" หรือ ผู้จบปริญญาตรี ก็ได้


--------------------------------------------------------------------------------

ใบไม้นอกกำมือที่อาจมีได้
ส่วนจะมี "พลังจิต" เข้มแข็ง มีอำนาจจิตสูงขึ้นไปอีก จนสามารถทำ "อิทธิปาฏิหาริย์" ได้ และสามารถทำ "อาเทสนาปาฏิหาริย์" ได้ ก็ไม่ใช่ความผิด หรือความยุ่งยากอะไร สำหรับ "พระอรหันต์"

ท่านอาจมีได้ เป็นได้ และแม้มีแล้วในตน เป็นแล้วในตน

พระอรหันต์ ผู้รู้แจ้งความทุกข์ และ การดับทุกข์แล้ว ท่านก็จะไม่หลง ไม่งมงาย ที่จะ "ยึด" ไม่ติดใจ ที่จะมัวเมาในฤทธิ์ ในปาฏิหาริย์ เหล่านั้น

ท่านจึงจะไม่เป็น "รูปพรหม" ไม่เป็น "อรูปพรหม" ไม่เป็น "อสัญญีพรหม" และย่อมจะไม่ข้องอยู่ เป็นสัตวโลก ในวัฏสงสารอีก

ด้วยเหตุดังนี้ "พระอรหันต์" แต่ละองค์ จึงมี "อภิญญา" หรือ "ความเก่ง" สำหรับตนไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน

เช่น พระโมคคัลลานะ ก็เก่งทางแสดงอิทธิปาฏิหาริย์

พระอนุรุทธะ ก็เก่งทางแสดงอาเทสนาปาฏิหาริย์

ส่วนพระสารีบุตร ไม่เก่งในปาฏิหาริย์ทั้งสองนั้นเลย แต่เก่งทางอนุสาสนีปาฏิหาริย์ จึงได้รับยกย่อง เป็นพิเศษ กว่า พระอรหันต์องค์อื่นๆ

และ พระอรหันต์อื่นๆ  บางองค์ (ซึ่งมีจำนวนมากเสียด้วย) ก็ไม่มีปาฏิหาริย์ใดๆเลย เป็นเพียงมี "ความรู้แจ้ง" พอตัว รู้จัก ทุกข์ - เหตุแห่งทุกข์ - อาการของความดับแห่งทุกข์ - และ ทางที่จะทำให้ตน พ้นทุกข์ เท่านั้นเอง ที่ทุกองค์ มีเท่าๆกัน

เช่น พระยศ พระภัททิยะ พระราหุล พระอุบาลี เป็นต้น

ท่านเหล่านี้ (เท่าที่เอ่ยพระนามมานั้น) ต่างก็ได้รับยกย่อง แตกต่างกัน จากพระพุทธองค์ทั้งสิ้น แต่เป็น  "ความเก่ง" ในทางส่วนตน อันไม่เป็นปาฏิหาริย์ หรือ ความเก่งที่คนจะหลง จะทึ่ง ถึงสนเท่ห์แต่อย่างใด


--------------------------------------------------------------------------------

อรหันต์ ย่อมรู้แจ้งในอริยสัจ ๔
ดังนั้น ความเป็น "บัณฑิต" ของ"พุทธศาสตร์ หรือ การจบปริญญาตรีทางพุทธศาสตร์  จึงคือ การรู้แจ้ง แทงตลอด "อริยสัจ ๔" นั้นเท่านั้น ที่ทุกองค์ ต้องมีประดับตนให้ได้

อันมีรู้ทุกข์แท้ๆ รู้อาการของความดับแห่งทุกข์แท้ๆ และรู้จักทางที่จะนำพาตน ไปสู่ความดับทุกข์แท้ๆ ให้ได้ นี่แหละคือ "อรหันต์" ขั้นต้น อรหันต์แท้ๆของ "พุทธศาสนา"

เมื่อพระอรหันต์ท่านเหล่านั้น จบปริญญาตรีแล้ว ท่านจะบำเพ็ญจิตของท่าน ให้บรรลุ "อภิญญา" อื่นๆ

สำเร็จ "วิชชาอิทธิปาฏิหาริย์-อาเทสนาปาฏิหาริย์-และอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ที่กว้างขวางยิ่งๆ ขึ้นไป" อีกนั้น ก็เป็นเรื่อง ของท่าน เป็นการสั่งสม บารมีของแต่ละองค์ อันจะเป็นปริญญาโท ปริญญาเอก ดังเช่น พระอนุตตร สัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ผู้มีครบได้ ทุกปาฏิหาริย์  ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปไม่ได้ เป็นไปได้ และ จะเป็นไป ดังนั้นด้วย

ความเป็น "บัณฑิต" ของ "พระอรหันต์"  ดังกล่าว ก็มิได้สูญสิ้นไป   แต่จะเป็น "บัณฑิต" ที่มี "วิชชา" เพิ่มเติมมา สูงขึ้นๆ ไป ตามความเป็นจริง

ผู้ที่ยังเข้าใจว่า "อรหันต์" คือ "การจบ" การสิ้นสุดแล้ว ไม่มีการได้อะไรอีก ไม่มีการเรียนอะไรอีก หรือ ไม่ก่ออะไรต่อ จึงต้องพยายาม ทำความเข้าใจให้ได้ จงอ่านให้ออก เข้าใจให้ถูก


--------------------------------------------------------------------------------

อรหันต์ย่อมไม่หยุดในกุศลทั้งปวง
พระอรหันต์ท่านต่างๆ ไม่มีองค์ไหน "หยุด" จริงๆ

ทุกองค์ยังบำเพ็ญต่อ ทุกองค์ยังศึกษาต่ออยู่ทั้งสิ้น มีการถกปัญหาธรรม มีการบำเพ็ญธุดงคธรรม มีการได้ อภิญญาธรรม มาเพิ่มเติม อยู่เสมอทั้งสิ้น

แม้พระพุทธองค์เอง ก็ไม่เคยปล่อยปละละเลยการบำเพ็ญ จงทำความเข้าใจ ให้ถ่องแท้

แต่มันก็ยากเหมือนกัน ที่จะเข้าใจดังนี้ได้ เพราะ "ปฏิเวธธรรม" มันคือ "ปัจจัตตัง" และ "สันทิฏฐิโก" มันคือ อาการส่วนตน เฉพาะตน เท่านั้น

ผู้ยืนอยู่บันไดขั้นที่ ๑ ย่อมเห็นขั้นที่ ๒ พอได้ จะมองไปดูขั้น ๓ ก็ยาก ยิ่งมองดูขั้น ๔ ขั้น ๕ อันยิ่งสูงขึ้นไป ก็ยิ่งจะเห็นชัด เห็นแจ้ง ได้ยากยิ่งขึ้น

ต้องผู้ไปยืนขั้นนั้นๆจริงๆ จึงจะเห็นขั้นที่ตนยืน และขั้นที่สูงขึ้นไปกว่า ได้อย่างถูกกว่า ไปตามลำดับได้จริงๆ และไม่ผิดเพี้ยน หรือ เดาสุ่ม

ด้วย "จุดเอก" ของพุทธ เป็นดังนี้ การนั่งหลับตา สมาธิภาวนา จึงไม่จำเป็นนัก สำหรับ "เงื่อนต้น"

พระพุทธองค์ จึงมีวิธีให้แก่พุทธบริษัท เรียกว่า "สติปัฏฐาน ๔" คือ ให้หัดมี "สติ" หรือ หัดอย่าลืมตัว

อย่าทำอะไร ก็ทำไปโดยไม่รู้ ว่า เรากำลังทำอะไร ?

ต้องทำอย่างมี "ความรู้ตัว"  ทุกขณะ แม้จะ "คิด" จะ "พูด" จะ "ลงมือทำ" จริงๆ ก็ต้องให้รู้ใน "กรรม" หรือใน "การกระทำ" นั้นๆ ของตนให้ได้

แล้วก็ต้องใช้ "ปัญญา" พิจารณาใน "การกระทำ" ของเราให้ออกว่า สิ่งที่เรากำลังกระทำอยู่นั้น เรา "ทำดี" หรือ "ทำชั่ว"

ถ้าแจ้งใจว่า "เรากำลังทำดี" ก็จงทำต่อไป

ถ้าแจ้งใจว่า "เรากำลังทำชั่ว" ก็จงระงับการกระทำนั้นให้ได้

โมหบุคคล
ถ้าผู้ใดไม่รู้เลยว่า ที่ตนกำลังทำอยู่นั้น ว่า เป็น "ดีหรือชั่ว"

(อันนี้สำคัญ คนทุกคนเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น ทุกคนไม่รู้ตัวอย่างแท้จริง แต่สำคัญตนว่า ตนรู้ แต่แท้จริง "รู้" ตามอำนาจของกิเลส ตัณหา มันครอบงำ ปิดบังอยู่ จึงนึกว่า ตนทำดีอยู่ทุกที แท้จริง ทำเพื่อเห็นแก่ตน ลองคิดดูให้ดี)

คือ ทำไปตามความเคยของใจ หรือทำไปตามอย่างคนส่วนมากในโลก ก็เรียกว่า ยังโง่ คือ ยังมี "โมหะ"

ถ้าผู้ใดรู้แจ้งได้ว่า "เป็นดีหรือชั่ว" เรียกว่า ผู้นั้นเป็น "ผู้พ้นโมหะ" (อย่างหยาบ)

และผู้ที่รู้นั้น ถ้ารู้ว่าสิ่งที่ตนกำลังกระทำอยู่นั้น เป็น "ชั่ว" แต่ก็ยังทำอยู่ หยุดไม่ได้ อดทำไม่ได้ ตัดไม่ขาด ทั้งๆที่รู้แสนรู้ ผู้นั้นก็คือ ผู้ที่ยังมี "โลภะและโทสะ" อยู่ และ ก็ยังดีที่ "พ้นโมหะ"


--------------------------------------------------------------------------------

ผู้ชนะที่แท้จริง
ถ้ายิ่งผู้นี้รู้ได้ด้วยว่า "ตนกำลังทำชั่ว" แล้วก็ตัดใจระงับ การกระทำนั้นลงให้ได้ อย่างเด็ดขาดด้วย คนผู้นั้นก็ "พ้นทั้งโลภะ และโทสะ" (คือ บางที สิ่งที่กำลังกระทำนั้น อาจจะเป็น "โลภะ" บางทีก็อาจจะเป็น "โทสะ")

ผู้นี้จึงคือ ผู้ที่ "ชนะ" เป็นผู้บรรลุ เป็นผู้สำเร็จในแบบฝึกหัด การปฏิบัติธรรมของ พระพุทธศาสนาไปได้ ๑ ข้อ เป็นผู้ถึงขั้น "ทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องใส" ได้แล้วข้อหนึ่ง หรือครั้งหนึ่ง

ดังนี้ เรียกว่า "ตทังคปหาน" คือ ได้ทำการ "ฆ่ากิเลส" ในตน จนมันตายไปจริงๆ ได้แล้วจริงๆ ครั้งหนึ่ง

จงหัดทำดังนี้ให้ได้มากๆ ข้อเถิด หัดทำแบบฝึกหัดเช่นนี้เข้า เมื่อจำนวนข้อ หรือจำนวนครั้ง ของแบบฝึกหัดมาก ครบจำนวน "การบรรลุอรหัตตผล" จะถึงเอง โดยไม่ต้องมีใครแต่งตั้ง ผู้นั้น จะแจ้ง กับใจเองว่า "ทุกข์" ได้พ้นแล้ว ความเบาได้เกิดขึ้นแล้ว ภาระได้หมดไปแล้ว ความอยู่สุข ได้ถึงแล้ว ความสงบ เป็นอย่างไร ก็จะแจ้งกับใจ และจะอยู่กับมันได้ อย่างอิ่มเอม ไม่ทุรนทุราย ไม่มีอาการฟูเฟื่อง ไม่มีอาการดิ้นแส่

จะซาบซึ้งรสแห่งการอยู่คนเดียวเงียบๆ ด้วยจิตของตนเอง เป็นสภาวะนิ่ง สภาวะหยุด สภาวะรู้จักอิ่ม รู้จักพอ อย่างตรงกันข้าม กับความเป็น "ปุถุชน" โดยแท้จริง

ดังนั้น "กรรม" ของผู้บรรลุนี้ จึงเป็น "อโหสิกรรม" คือเป็น "กรรมที่ไม่ส่งผลใดให้ตนเสพ" หรือผู้บรรลุนั้น "เสพความว่างเปล่า" ก็เช่นกัน มีความหมายเหมือนกัน

แต่ "กรรม" ที่ผู้บรรลุนั้นประกอบ จะเป็น "กุศลกรรม" คือ เป็นการกระทำที่ดีกว่า เหนือกว่า สูงกว่า ปุถุชน กระทำนั่นเอง

เพราะเป็นการกระทำที่ไม่เห็นแก่ตน เป็นมหาเมตตา-กรุณา-มุทิตาแก่โลก และผู้อื่นแต่ส่วนเดียว เป็นจุดใหญ่ ตราบชีวิตจะดับขันธ์ จนกายแตก แยกจากกันไปตามแรง สามารถของ "พระอรหันต์" นั้นๆ

จงมั่นเป้าในการฝึกสมาธิภาวนา

ดังนั้น การจะ "นั่งสมาธิหลับตา" ก็ตาม จึงต้องรู้ให้ได้อย่างแจ้งว่า จะต้องปฏิบัติ เพื่อตัดตรงให้เห็น - ให้รู้ "ทุกข์" แท้ๆ ให้ได้เช่นกัน เป็นเบื้องต้น เป็นจุดเอก

มิใช่จะ "นั่งหลับตา" เพื่อเพ่งความดิ่งให้ "จิต" สงบสนิท แล้วก็ฝึกหัด "น้อมจิต" ไปให้เห็นแสง เห็นสี เห็นนรก เห็นสวรรค์ หรือ ถอดจิต ออกไปดูของหาย ถอดจิต ออกไปดูเลขล็อตเตอรี่

หรือ ไม่ก็ฝึก "น้อมจิต" ให้ตนเองสามารถเหาะได้ หายตัวได้ รักษาคนป่วยได้ นั่นไม่ใช่ทางตรง ไม่ใช่ทางเอก แห่งการ "พ้นทุกข์"

นั่นคือ การ "ต่อทุกข์" ให้ตน ไม่ใช่ "จบทุกข์" ให้ตน เป็น "วิปัสสนูปกิเลส" เป็น "สีลัพพตปรามาส" จึงต้องทำความเข้าใจ ให้ละเอียด

และแม้ท่านผู้ใด บรรลุอรหัตตผลแล้ว ได้ชื่อว่า เป็นพระอรหันต์แล้ว จะทำสิ่งอันใด ให้แก่ผู้อื่น ที่เป็นเรื่อง การนอกเหนือกว่า "อาการพ้นทุกข์" ท่านก็ย่อมทำได้ และท่านก็ยังต้องทำ เป็นการทำอย่าง "รู้"

เช่น พระพุทธองค์ แสดงปาฏิหาริย์เอง ทั้งๆที่ห้ามสาวกแสดงอย่างนี้ เป็นต้น

(เหตุที่ห้าม ก็เพราะ พระอรหันต์ต่างๆ ยังไม่บรรลุวิชชา ที่เป็นอภิญญาทั้ง ๘ ครบ อย่างแท้จริง ส่วนพระองค์ ที่ทรงแสดงเสียเอง ก็เพราะพระองค์ บรรลุสิ้นแล้ว กระทำได้สำเร็จหมดจดทั้ง ๘ อภิญญา แล้ว อย่างจริง เป็นอย่างแน่นอน ไม่ใช่อย่างหลงตน คือ สัมฤทธิ์ผลบ้าง ไม่สัมฤทธิ์ผลบ้าง)

หรือ พระอรหันต์บางองค์ อาจจะรักษาไข้ให้กับคนบ้าง ตามโอกาส หรืออาจจะสร้าง ก่อวัตถุ บางอย่าง อันเป็นประโยชน์ทั้ง ๒ ส่วน คือ เป็นทั้งประโยชน์โลก และประโยชน์ธรรม ท่านก็ทำได้ ตามเหตุ ตามกาล

ซึ่งปุถุชน ผู้ไม่รู้ต้องพยายาม อย่าเพิ่งไปเที่ยวได้จับ เอาพฤตินัยต่างๆ ที่ตนยังไม่ได้ไปวัด ความเป็น "อริยะ" ของท่าน สมณะต่างๆ เป็นอันขาด

จึงแม้การนั่งหลับตาสมาธิ ก็ต้องนั่งให้รู้ตัว (กาย) ให้รู้ใจ (จิต) ของตนให้ได้ว่า  เมื่อจิตเป็น "ฌาน" (คือ "จิตสงบ" ลงนั่นเอง) มันเป็นสภาวะอย่างไร อ่านให้ออก ค้นให้เห็น เข้าใจให้ได้ ให้รู้ความสงบแห่ง "จิต" นั้น

เมื่อรู้ได้ เข้าใจถึง "อาการสงบ" นั้นว่า เป็นอย่างนี้หนอ และมี "เหตุ" มี "ปัจจัย" อะไร ที่ทำให้ "สงบ" อยู่อย่างนี้ ก็รู้แจ้งได้ จึงจะออก มาจากอาการ "นั่งหลับตา" นั้น

แล้วก็นำ "เหตุ" และ "ปัจจัย" ที่ทำให้ "จิตสงบ" ได้นั้น มาหัดทำกับตน ในขณะ "ลืมตาโพลงๆ" นี้ให้ได้ (ไม่ใช่ทำความสงบได้ ก็แต่ขณะนั่ง อยู่เท่านั้น ตลอดกาล พอออกมาจากสมาธิ ก็ทำความสงบอย่างนั้น ให้แก่จิต ของตนไม่ได้สักที)

ถ้าทำได้จริงๆ เมื่อใด ก็เรียกว่า "บรรลุ" เรียกว่า "สำเร็จ" เรียกว่า "นิพพาน" เรียกว่า "สงบ" ได้อย่างจริง ในแบบคนเป็นๆ ลืมตาโพลงๆ

ดังนี้แล เรียก "นิพพาน" อย่างนี้ว่า "ตทังคนิพพาน" คือ ได้ทำจิตของตนให้ว่างเปล่า พ้นกิเลส - ตัณหา - อุปาทาน ไปได้ ในขณะมีชีวิตเต็มๆ ธรรมดาๆ คือ ลืมตาโพลงๆอยู่ แต่ทำได้เพียงชั่วขณะหนึ่ง

ถ้าแม้นผู้ใด ทำ "จิต" ให้เป็นดังนี้ได้เด็ดขาด ตามต้องการ ในขณะลืมตาโพลงๆ ได้ทุกเวลาที่ต้องการ ผู้นั้น ก็ถึงซึ่ง "สมุจเฉทนิพพาน" เป็น "อรหันต์"

๒๒ มกราคม ๒๕๑๔

(รวมบทความเก่า /FILE:1724L.ETC)

594
รับทราบ

595
พระโพธิรังษี

ในวิถีธรรมตามแบบล้านนาและความกล้าหาญ
โดย เครือมาศ วุฒิการณ์
ภาพประกอบโดย เทพศิริ สุขโสภา

คัดลอกจาก http://www.kruamas.org/html/life&work/article/bhodhi.html

น้ำคือ (น้ำในคูเมือง) สมัยนั้นเต็มไปด้วยดอกไม้ มีดอกป๊าน (ดอกบัวสาย)  ดอกจังกร (ดอกจงกล) และมีบัวลอย (ผักตบชวา)  นอกจากนั้นก็มีปลาตัวเท่าแขนเยอะมาก ปลาดุก ปลาช่อน ปลาสะเด็ด (ปลาหมอ)  ชาวบ้านไปเก็บมากิน แต่ก็ไม่หมดสิ้น ตามวัดก็ปลูกต้นไม้เช่น ดอกสารภี  ดอกประดู เดี๋ยวนี้วัดอื่น ๆ เลิกปลูกดอกไม้แล้ว เอาบริเวณวัดเป็นที่จอดรถ  เหลือแต่วัดพันตองวัดเดียวที่ยังมีต้นไม้ ดอกไม้ นานาชนิด มีดอกจำปี จำปา  ดอกจำปานี่เอาเมล็ดมาปลูกจากอินเดีย

นั่น คือ บรรยากาศรอบคูเมืองเชียงใหม่ในสมัยที่พระโพธิรังษียังเป็นเด็กคือราว  พ.ศ. ๒๔๖๑?๒๔๗๕ ตามที่ท่านได้บรรยายไว้ใน เรื่องเล่าเจ้าคุณโพธิ์ คนที่เติบโตในนครพิงค์ยุคนั้นจะจดจำความเก่าความหลังเมื่อครั้งเมืองยังงาม  และคนยังมีน้ำใจได้อยู่เสมอ สำหรับพระโพธิรังษีผู้บวชเรียนมาตั้งแต่อายุ ๑๔ ปี  ชีวิตสามเณรของท่านมั่งคั่งพรั่งพร้อมบนฐานวัฒนธรรมดั้งเดิมของล้านนาที่สืบทอดกันมา  โดยมีวัดเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้

วัดในเชียงใหม่สมัยก่อนจะมีครูบาเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ร่มเงา  ถ่ายทอดความรู้และฝึกฝนทักษะ  ที่สำคัญเป็นต้นแบบของการประพฤติปฏิบัติตนในทางดีงาม  ท่านเจ้าคุณโพธิ์มีครูบาคันธา และครูบาหมื่น ที่วัดพวกช้าง  เป็นต้นแบบดังกล่าว ทั้งได้เรียนเขียนอ่านตัวเมือง(อักษรล้านนา) ฝึกจารใบลาน  และเทศน์ธรรมเมือง (เทศน์ทำนองเสนาะแบบพื้นเมือง)  แล้วยังมีครูบาวัดเชียงมั่นที่อยู่ใกล้วัดพวกช้างอีก ๗ รูป ผู้มักมีเรื่องราว  ?บ่าเก่า? (โบราณ) เล่าสู่ให้จดจำกัน

สังคมมุขปาฐะที่มีผู้คนของธรรมชาตินั้น รุ่มรวยภาษาและจินตนาการเสมอ  ท่านเจ้าคุณโพธิ์ เมื่อยังเยาว์เติบโตมาในเมืองที่คนเปี่ยมศรัทธา  ศาสนาคือหัวใจผูกพันคนไว้กับธรรมชาติ ดังนั้นความเป็นกวีจึงเกิดขึ้น เป็นค่าว  เป็นเคือ เป็นเสียงซอ เป็นกะโลง ในสมัยนั้นเมื่อมีโรงพิมพ์ตัวเมือง  สิ่งที่พิมพ์เผยแพร่กันก็คือ ค่าวฮ่ำ  บทกวีที่ว่าด้วยชาดกและนิทานพื้นบ้านต่าง ๆ เนื้อหาเนื่องในทางธรรม  คนไหนแต่งค่าวเก่ง ก็จะมีคนรอคอยที่จะอ่านเช่น ปู่หน้อยปั๋นบ้านฮ่อ  ที่แต่งค่าวฮ่ำเรื่องไก่หน้อยดาววี (ดาวลูกไก่)  ท่านเจ้าคุณโพธิ์ยังจำที่เขาแต่งตอนหนึ่งได้ดังนี้

ไก่หน้อยดาววี      ป๊กลูกมาหา

น้ำตาหลั่งย้อย        สายสั่นสร้อยวาที

คั่นแม่ตายแล้ว         เมื่อวันเป็นผี

สูอยู่ดี ๆ                 อบรมลูกเต้า

บรรยากาศการกล่อมเกลาทางวัฒนธรรมเช่นนี้เองที่ร้อยรัดคนไว้ในพระศาสนา  และเสริมสร้างศรัทธา การที่ครูบาศรีวิชัยนำชาวเชียงใหม่ทั้งใกล้และไกลสร้างทางขึ้นพระธาตุดอยสุเทพเมื่อ  ปี พ.ศ. ๒๔๗๗ นั้น  มิได้เป็นเพียงข้อมูลที่บันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของเมือง  หากแต่เป็นความทรงจำที่จารึกไว้ในใจของคนที่มีส่วนร่วมในการทำบุญ  ไม่ว่าจะด้วยกำลังกาย หรือกำลังทรัพย์ แต่ก็เปี่ยมล้นด้วยศรัทธา พระโพธิรังษีได้มีส่วนร่วมสร้างทางขึ้นพระธาตุดอยสุเทพด้วย  เมื่อครั้งยังเป็นสามเณร เรื่องเล่าเกี่ยวกับครูบาศรีวิชัย  และศรัทธาในตัวท่านช่างมากมาย พูดกันต่อและเล่ากันมาจนถึงทุกวันนี้

สมัยที่ท่านเจ้าคุณโพธิ์บวชเป็นพระภิกษุแรก ๆ นั้น  พระคุณท่านไปจำพรรษาที่วัดน้ำบ่อหลวง (วัดป่าวนาราม) อำเภอสันป่าตอง  ที่นั่นมีครูบาอินทจักรรักษาเป็นผู้สอนวิปัสสนาอย่างเคร่งครัด  ที่วัดป่านี้เน้นการดำเนินชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมชาติ  จึงเป็นแรงบันดาลให้พระคุณท่าน ทำให้วัดพันตอง  ซึ่งเป็นวัดที่อยู่บนถนนลอยเคราะห์กลางเมืองเชียงใหม่ เป็นวัดที่คล้ายกับวัดป่า ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยทั่วทั้งบริเวณ

ท่านเจ้าคุณโพธิ์มีผู้ซึ่งมีต้นแบบหรือครูอยู่หลายท่านที่พระคุณท่านเอ่ยถึงด้วยความเคารพ  รวมทั้งท่านพุทธทาสแห่งสวนโมกข์

?หนังสือของท่าน อาตมาอ่านทุกเล่ม..  เห็นว่าที่ท่านว่านั้นเป็นความจริงแท้ อ่านไปแล้ว โอ?ไม่มีใครเท่า?

พระคุณท่านกล่าวถึงท่านพุทธทาสไว้ดังนี้

ท่านเจ้าคุณเจ้าโพธิ์ ปฏิบัติหน้าที่ต่อกิจการพระศาสนาโดยตลอด  ทั้งหน้าที่ประจำและที่ปฏิบัติพิเศษในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม  พระคุณท่านร่วมเป็นคณะธรรมทูตไปประจำวัดไทยในพุทธคยา  เป็นคณะสงฆ์ไทยรุ่นแรกที่รัฐบาลไทยส่งไปอินเดีย  และนอกจากจะดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดพันตอง  พระคุณท่านเคยเป็นเจ้าคณะอำเภอพร้าว ซึ่งในสมัยเมื่อ ๓๐?๔๐  ปีก่อนต้องเดินทางไปด้วยความยากลำบาก และต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๘  ท่านเจ้าคุณโพธิ์เป็นรองเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่  และปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนี้มาจนกระทั่ง  มีการเปลี่ยนแปลงโยกย้ายตำแหน่งบริหารคณะสงฆ์  เนื่องจากพระผู้ใหญ่ที่ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัด และรองเจ้าคณะจังหวัดอยู่  ชราภาพและปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่เต็มที่ เมื่อ ๒?๓ ปีที่ผ่านมานี้เอง

รากฐานที่มั่นคงทางวัฒนธรรมตามความเชื่อล้านนา  ประกอบกับการศึกษาพระธรรมอย่างลึกซึ้งถึงแก่น  ทำให้ท่านเจ้าคุณโพธิ์ยืนหยัดในการดำรงชีวิตพรหมจรรย์ที่เคร่งครัดและเรียบง่าย  ไม่หวั่นไหวต่อการเปลี่ยนแปลงท่ามกลางกระแสบริโภคนิยมที่โหมกระหน่ำ  วัดพันตองยังคงเขียวครึ้มชุมชื่นในขณะที่วัดในเมืองอื่น ๆ  ล้มไม้ใหญ่ถากถางทางให้สิ่งก่อสร้างที่มาในนามของความเจริญ  และถูกหลอกล่อด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ พระคุณท่านแห่งวัดพันตองเป็นอิสระจากอามิสชื่อเสียงฐานันดรทั้งปวง

ในปี พ.ศ. ๒๕๒๙  มีบริษัทหัวใสที่ทำเป็นโครงการวางแผนการท่องเที่ยวในเมืองเชียงใหม่  แล้วนำเสนอโครงการกระเช้าลอยฟ้าขึ้นพระธาตุดอยสุเทพเสียเอง  จะอวดอ้างแสนยานุภาพของเทคโนโลยีว่าเหนือกว่าศรัทธาคนหรืออย่างไรไม่ทราบ  ทางบริษัทมั่นใจในโครงการราวกับว่าจะมอบให้เป็นของขวัญชาวเชียงใหม่  ไล่แจกแผ่นพับสวยหรู ประชาสัมพันธ์กระเช้าลอยฟ้าขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ  ให้กับอาจารย์มหาวิทยาลัยในเชียงใหม่ทุกคน  โดยหารู้ไม่ว่านั่นคือข้อมูลที่นำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง  เมื่อรวมตัวกันประชุมเพื่อทำการคัดค้าน  มีผู้เสนอแนะให้ไปเรียนปรึกษาพระโพธิรังษี  การประท้วงกระเช้าลอยฟ้า ในยุคประชาธิปไตยครึ่งใบสมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์  จึงเริ่มต้นขึ้นอย่างอบอุ่นภายใต้การนำของพระคุณท่านผู้เป็นรองเจ้าคณะจังหวัด  วันที่มีการเดินขบวนต่อต้านกระเช้าลอยฟ้า  ประชาชนชาวเชียงใหม่รวมถึงอาจารย์และนักศึกษามหาวิทยาลัยทั้ง ๓?๔  สถาบันได้รับขวัญและกำลังใจจากการสวดชยันโต  โทรทัศน์หลายช่องแพร่ภาพพระสงฆ์นำโดยท่านเจ้าคุณโพธิ์  สวดนำประชาชนอยู่หน้าอนุสาวรีย์สามกษัตริย์  ตามด้วยภาพประชาชนเดินถือป้ายประท้วงไปรอบตัวเมือง

ในแวดวงวิชาการเมืองเชียงใหม่  ทุกครั้งที่มีการล่าลายเซ็นคัดค้านโครงการที่ไม่ชอบมาพากล  จะหาคนที่ยอมลงชื่อด้วยได้เพียงไม่กี่สิบคน แม้กระทั่งเรื่องกระเช้าลอยฟ้า  ซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัวใกล้ใจที่สุดแล้ว แต่ด้วยเครือข่ายของท่านเจ้าคุณโพธิ์รวมทั้งพระครูอนุสรณ์ศีลขันธ์แห่งวัดหมื่นล้าน  (มรณภาพแล้ว) และพระครูสุเทพแห่งวัดศรีบุญเรือง  รายชื่อของผู้ที่ลงคัดค้านการสร้างกระเช้าลอยฟ้าขึ้นดอยสุเทพในครั้งนั้น  เรียงรายอยู่บนกระดาษหนามัดได้หลายปึก นับได้ ๒๐,๐๐๐ กว่าชื่อ  ซึ่งเมื่อนำไปยื่นให้กับผู้ว่าราชการจังหวัด (นายชัยยา พูนศิริวงศ์)  เป็นหลักฐานที่ทางราชการไม่อาจปฏิเสธได้

ไม่อาจบันทึกไว้ได้หมดว่า ตลอดปีที่ทำการประท้วง เรื่องกระเช้าลอยฟ้า  มีกิจกรรมอะไรบ้าง แต่จำไว้ว่าท่านเจ้าคุณโพธิ์ทำงานหนัก  ออกหนังสือประชุมคณะสงฆ์ อบรมเจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยสุเทพ  คิดโครงการให้ช่างซอพื้นเมืองซอเรื่องการคัดค้านกระเช้าลอยฟ้า  ออกวิทยุกระจายเสียง ให้ชาวบ้านได้ยินกันทั่วถึง ฯลฯ  จนกระทั่งมีคนไปปล่อยข่าวว่า  พระคุณท่านคัดค้านเพราะเป็นเจ้าของธุรกิจรถสองแถวขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ  ที่กลัวเสียผลประโยชน์เมื่อมีกระเช้าลอยฟ้า ในขณะที่มีข่าวว่า  เจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยสุเทพสมัยนั้น  นั่งรถเปอโยต์สีน้ำเงินเข้มที่เจ้าของโครงการกระเช้าลอยฟ้าประเคนให้ น้อยคนนักจะรู้ว่าท่านเจ้าคุณโพธิ์นั้นไม่มีแม้กระทั่งรถประจำวัดเหมือนกับที่วัดอื่น  ๆ มี ถ้าหากไม่มีใครมารับพระคุณท่านจะนั่งรถสามล้อถีบไปไหนต่อไหนเอง

การที่ท่านเจ้าคุณโพธิ์ เป็นพระผู้ใหญ่  ที่นำในการคัดค้านกระเช้าลอยฟ้าในครั้งนั้น  ได้สร้างความไม่พอใจให้กับพระผู้ใหญ่ทางกรุงเทพฯ ซึ่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน  พระคุณท่าน เตรียมตัวออกเดินทางไปให้สอบสวนแล้ว แต่เนื่องจากอาจารย์สุลักษณ์  ศิวรักษ์ ท้วงติงไปทางพระเถระผู้ใหญ่ การสอบสวนจึงต้องระงับไป ที่โครงการกระเช้าลอยฟ้าขึ้นดอยสุเทพ ต้องหยุดชะงักไป  ก็เพราะประเด็นเรื่องของศาสนา ที่ท่านเจ้าคุณโพธิ์ได้ชี้ให้เห็น  และเป็นผู้นำในการสานความเข้าใจ โดยใช้หลักพุทธธรรม

เมื่อโครงการกระเช้าลอยฟ้าไม่ได้รับอนุมัติ  และผู้เสนอโครงการล้มเลิกความตั้งใจไปแล้ว ก็มาถึงยุคเศรษฐกิจฟองสบู่  ที่ทำให้คอนโดมิเนียมผุดขึ้นตามที่ต่าง ๆ อย่างไร้กฎเกณฑ์ ท่านเจ้าพระไม่เห็นด้วย ที่อาคารสูงเหล่านั้น จะอยู่ติดกับวัด  มีคนเรียนท่านว่าจะมีอาคารสูงสร้างติดกับวัดฟ้าฮ่าม  ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่ง  พระคุณท่านจึงได้นำหนังสือร้องขอให้เจ้าของโครงการ ผู้มีคุณธรรม (คุณบุญเทียม  โชควัฒนา) พิจารณายกเลิกซึ่งก็ได้รับคำยินยอม  เพราะเห็นแก่ความเหมาะสมในพระศาสนา เมื่อมีพระผู้ใหญ่ไม่เห็นด้วย  ประกอบกับการประท้วงอย่างต่อเนื่อง ของคนเชียงใหม่  ในที่สุดก็มีการประกาศกฎกระทรวงขึ้นใช้ ไม่ให้มีการสร้างอาคารสูงติดกับวัด  โรงเรียน และแม่น้ำ อีกต่อไป

พระโพธิรังษีไม่เคยเกรงกลัวอำนาจทางการเมืองใด ๆ  แต่ยึดมั่นในความถูกต้องดีงามเป็นหลัก  เมื่อครั้งมีเหตุการณ์วิกฤตเดือนพฤษภาคม ๒๕๓๕  รัฐบาลอันไม่ชอบธรรมของพลเอกสุจินดา คราประยูร เริ่มคร่าชีวิตประชาชน  ม็อบของชาวเชียงใหม่ที่ยึดประตูท่าแพเป็นที่มั่น  ร่วมทำบุญเพื่อแผ่ส่วนกุศลให้กับผู้ที่เสียชีวิต  และได้ไปนิมนต์พระคุณท่านมาเทศน์ที่ประตูท่าแพ ซึ่งท่านก็เต็มใจมา  แม้ไม่มีรถไปรับ พระคุณท่านนั่งสามล้อถีบมาถึงประตูท่าแพ  เป็นประธานในพิธีอุทิศแผ่ส่วนกุศลพร้อมเทศนาเรื่องความซื่อสัตย์  ซึ่งนับว่ากล้าหาญมากท่ามกลางบรรยากาศแห่งความไม่แน่นอนทางการเมือง  คงไม่มีพระผู้ใหญ่รูปใดในเชียงใหม่  ที่สามารถอยู่เคียงข้างประชาชนได้เหมือนที่พระโพธิรังษีได้กระทำในเวลานั้น  พระคุณท่านเทศนาท่ามกลางป้ายประท้วงรัฐบาล ในสาธารณะโล่งแจ้ง  แห่งความสับสนและเศร้าสลด

วิถีชีวิตของชาวล้านนา  หลังช่วงการพัฒนาที่ยืนอยู่บนฐานทางเศรษฐกิจของรัฐบาลนั้น  เปลี่ยนแปลงหักเหไปจากที่บรรพบุรุษได้สรรค์สร้างเป็นหนทางดีงามตามที่เรียกว่า  ฮีตฮอย อย่างมาก อีกทั้งลัทธิบริโภคนิยม  ที่โหมกระหน่ำนำพาให้ผู้คนหลงใหลไปกับกระแสการบริโภค อย่างไม่ยั้งคิด  และพลอยเอากระแสแห่งกิเลสนี้เอาไปในวัดด้วย  พระสงฆ์ในล้านนาหลายต่อหลายรูปหลงอยู่ในวงเวียนแห่งลัทธินี้  ทั้งยังมีระบบราชการที่รวมศูนย์เอาอำนาจการตัดสินใจไปไว้ส่วนกลาง  ที่ดึงคณะสงฆ์เข้าไปอยู่ในตำแหน่งและสมณศักดิ์ที่ต้องมีการวิ่งเต้นและแบ่งปัน  ซึ่งทำให้พระสงฆ์ต้องมีผลงานต่าง ๆ เพื่อที่จะได้มาซึ่งยศศักดิ์  พระโพธิรังษีมิใช่พระนักพัฒนาที่มีผลงานการพัฒนาดีเด่นเห็นเป็นโครงการก่อสร้าง  หรือดำเนินโครงการช่วยเหลือชาติบ้านเมืองและประชาชน เหมือนพระนักพัฒนาหลายรูป  และมิใช่พระนักอนุรักษ์ ที่สร้างผลงานด้านการอนุรักษ์ให้เห็น  เป็นการสะสมของเก่าเข้าไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์  แต่ท่านเป็นแบบอย่างที่หาได้ยากยิ่งในล้านนา  ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม

การดำรงชีวิตพรหมจรรย์ที่เคร่งครัด  ที่สืบสานวิถีทางดั้งเดิมของท้องถิ่นของท่านเจ้าคุณโพธิ์  เป็นเหมือนดังการหว่านเมล็ดพันธุ์อันก่อให้เกิดความงอกงาม  บัดนี้มีลูกศิษย์ของท่านเปิดโรงเรียนบาลีสาธิตศึกษา สาขาโพธิธรรมศึกษาขึ้น ณ  วัดป่าแดด อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่  ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ให้การศึกษาแก่สามเณรตามแบบอย่าง  ที่พระโพธิรังษีได้ตั้งต้นไว้ในวัดพันตอง  ส่วนพระวิมลญาณมุนีซึ่งเคยทำหน้าที่เป็นเลขาของท่านเจ้าคุณโพธิ์นั้น  บัดนี้ดำรงตำแหน่งเป็นรองเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่  เป็นพระผู้ที่ดำเนินรอยตามท่านอาจารย์ และเป็นที่เคารพนับถือของชาวเชียงใหม่

นอกจากนี้ท่านยังเป็นที่พึ่งทางใจ  และเป็นที่มาของศรัทธาของพุทธศาสนิกชนทั่วไป ทั้งในเชียงใหม่และต่างแดน  เช่นคุณขรรค์ชัย บุญปาน แห่งหนังสือพิมพ์มติชนผู้พบว่า  หาพระนับถือได้ยากในยุคปัจจุบัน เกิดศรัทธาในพระคุณท่านอย่างมาก  และรับเป็นผู้อุปัฏฐาก รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเรื่องดูแลรักษาสุขภาพของท่าน  เมื่อครั้งท่านอาพาธ

พระโพธิรังษี เป็นพระผู้ใหญ่ที่อยู่ในตำแหน่งชั้นผู้ปกครอง  ในคณะสงฆ์เชียงใหม่ เพียงรูปเดียว ที่สามารถเชื่อมโยงหลักพุทธธรรม  ให้เข้ากับวิถีปฏิบัติที่รากฐานทางวัฒนธรรมตามความเชื่อของชาวล้านนา  นอกจากนี้ทางด้านการศึกษาของสงฆ์ที่ท่านมีบทบาทโดยตรงในวัดของท่าน  และโดยอ้อมในแนวนโยบาย ท่านสามารถประสานการศึกษา ทั้งระบบที่เป็นสถาบันสงฆ์  กับการศึกษาที่เป็นรูปแบบวิถีดั้งเดิมของชาวล้านนา  โดยคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของท้องถิ่นได้อย่างกลมกลืน และประการสำคัญที่สุด  พระโพธิรังษี เป็นพระสงฆ์ผู้เป็นตัวแทนของสถาบันสงฆ์ไทย  ที่มิได้ปฏิเสธระบบที่เป็นกระแสหลัก  หากแต่ยังคงรักษาความเป็นตัวของท่านเองในวิถีชีวิตของชาวล้านนา  และกล้าหาญในวิถีแห่งความถูกต้องดีงามไว้  โดยไม่ได้สร้างรอยร้าวให้กับสถาบันสงฆ์แต่อย่างใด  พระโพธิรังษีจำเริญในวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวล้านนาอย่างเคร่งครัดหาที่ติมิได้  และเป็นแบบอย่างแก่พระภิกษุสามเณรและสาธุชนทั้งหลายที่จะเดินตาม  และต้นแบบที่แท้จริงเช่นนี้นับวันจะหาได้ยากในสังคมที่มากด้วยกิเลส และความหลงมัวเมา เท่าที่เป็นอยู่ขณะนี้.


596
สมเด็จเจ้าแตงโม
วัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี



 คัดลอกจาก http://www.muangphet.com/herophet.htm#p12

สมเด็จเจ้าแตงโม เดิมชื่อ ทอง เป็นชาวนาหนองหว้า กำพร้าพ่อแม่แต่เล็กอยู่กับพี่สาว พี่สาวใช้ให้ ตำข้าว หาฟืนทุกวัน วันหนึ่งตำข้าวหก พี่สาวคว้าฟืนไล่ตีเลยวิ่งหนีเอาตัวรอด (อายุประมาณ ๙ - ๑๐ ขวบ) แล้วระเหระหนเข้าเมืองเที่ยวตุหรัดตุเหร่เข้าหมู่ไปตามฝูงเด็ก ๆ จนมีเพื่อนเล่นเพื่อนเที่ยวมาก เช่น เด็กบ้าน เด็กวัด เด็กทองนี้ได้เที่ยวอด ๆ อยาก ๆ อาศัยแต่น้ำประทังความหิวไปวันหนึ่ง ๆ ด้วยความอดทน วันหนึ่งลงเล่นน้ำกับเด็กวัดใหญ่ที่ท่าหน้าวัด มีเปลือกแตงโมลอยน้ำมา ๑ ชิ้น ด้วยความหิวจึงคว้าเปลือกแตงโมได้แล้วก็ดำน้ำลงไปเคี้ยวกินแล้วโผล่ขึ้นมา เพื่อเด็กที่เล่นน้ำด้วยกันรู้ว่าเด็กทองกินเปลือกแตงโม ก็พากันเย้ยหยันต่าง ๆ ว่าจะกละกินเปลือกแตงโม จึงได้พากันเรียกว่าเด็กแตงโม ถึงอย่างไรก็ดี เด็กทองก็ไม่แสดงความเก้อเขินขัดแค้นต่อเพื่อเด็กด้วยกัน คงยิ้มแย้มแจ่มใสพูดจาเล่นหัวตามเคย ตั้งแต่วันนั้นมาก็กระจ๋อกระแจ๋กับเด็กวัดใหญ่จนได้เข้าไปเล่นหัวอยู่ในวัดกับเพื่อน ทั้งได้ดูเพื่อนเขาเขียนอ่านกันอยู่เนือง ๆ แล้วก็เลยนอนค้างอยู่กับเพื่อในวัดด้วยกัน วันหนึ่งเป็นพิธีมงคลการ เจ้าเมืองได้นิมนต์สมภารไปสวดมนต์เย็น ครั้นเสร็จแล้วกลับวัด พอตกเวลากลางคืนสมภารจำวัดตอนใกล้รุ่งฝันว่าช้างเผือกตัวหนึ่งได้เข้ามาอยู่ในวัด แล้วขึ้นไปบนหอไตร แทงเอาตู้พระไตรปิฎกล้มลงหมดทั้งหอ ครั้นตื่นจากจำวัดท่านก็นั่งตรองความฝันจึงทราบได้โดยตำราลักษณะสุบินทำนาย พอได้เวลาท่านจะไปฉันที่บ้านเจ้าเมือง ท่านสั่งกับพระเผ้ากุฏิว่า ถ้ามีใครมาหาให้เอาตัวไว้ก่อนรอจนกว่าจะพบท่าน แล้วท่านก็ไปฉัน ครั้นเสร็จแล้วกลับมาวัดถามพระว่ามีใครมาหาหรือเปล่า พระตอบว่าไม่มีใครมาหา ท่านจึงคอยอยู่จนเย็นก็ไม่เห็นมีใครมาจึงไต่ถามพระสามเณรศิษย์ว่าเมื่อคืนมีใครแปลกหน้าเข้ามาบ้างหรือเปล่า เด็กวัดคนหนึ่งเรียนว่า มีเด็กทองเข้ามานอนด้วยคนหนึ่ง ท่านจึงได้ให้ไปตามตัวมา ครั้นเด็กทองมาแล้ว ท่านจึงได้พิจารณาดูรู้ว่าเด็กทองนี้เองที่เข้าสุบิน ท่านจึงไต่ถามเรื่องราวต่าง ๆ จนได้ความตลอดแล้ว จึงชักชวนให้อยู่ในวัดมิให้ระเหระหนไปไหน

ธรรมเนียมวัดแต่โบราณ เมื่อใครพาเด็กให้มาเล่าเรียนแล้ว มักจะปล่อยให้เล่นหัวกันเสีย ให้คุ้นเคย สัก ๒ - ๓ เวลาก่อน จึงจะให้ลงมือเขียนอ่าน พอถึงวันกำหนดท่านจึงเรียกเด็กทองให้เขียนหนังสือ เด็กทองก็เขียนได้ตั้งแต่ ก, ข, ก. กา, ไปจนถึงเกยตลอดจนอ่านหนังสือพระมาลัยได้ ท่านมีความประหลาดใจจึงถามว่าเจ้ารู้มาจากไหน เด็กทองบอกว่ารู้ที่วัดนี้เอง เพราะดูเพื่อนเขาเขียนเขาอ่านจึงจำได้ ท่านสมภารจึงได้ให้บวชเป็นเณรหัดเทศน์ธรรมวัตรและมหาชาติ และเรียนอรรถแปลบาลีด้วย ครั้นเทศกาลเข้าพรรษา เจ้าเมืองให้สมภารเทศน์ ไตรมาส วันหนึ่งท่านสมภารไม่สบาย จึงให้สามเณรแตงโมไปแทน ครั้นสามเณรแตงโมไปถึงเจ้าเมืองเห็นเข้าก็ไม่ศรัทธา จึงบอกว่าเมื่อพ่อเณรมาแล้วก็เทศน์ไปเถิด แล้วกลับเข้าไปในห้องเสีย สามเณรแตงโมก็ขึ้นเทศน์ พอตั้งนะโมแล้วเดินบทจุลนีย์เริ่มทำนองธรรมวัตรสำแดงไป ผู้ทายกทั้งข้างหน้าข้างในได้ฟังเพราะจับใจ ทั้งกระแสเสียงก็แจ่มใส เมื่อเอ่ยถึงพระพุทธคุณมีพระอรหังเป็นต้น เสียงสาธุการและพนมมือแลเป็นฝักถั่วไปทั้งโรงธรรม ท่านเจ้าเมืองฟังอยู่ข้างในถึงกับนั่งอยู่ไม่ได้ จึงต้องกลับมานั่งฟังข้างนอกอย่างเคย และเพิ่มเครื่องกัณฑ์ติดเทียนขึ้นอีก เมื่อเทศน์จบแล้ว โดยความเลื่อมใสเข้าไปประเคนของและซักไซ้ไต่ถามเหตุผลว่าอยู่ที่ไหนแล้วปวารณาเป็นโยมอุปัฏฐาก อาราธนาให้มาแทนสมภารต่อไปว่า ท่านแก่เฒ่าชราอาพาธอย่าให้มาประดักประเดิดเลย ขอให้พ่อเณรมาเทศน์แทนท่านเถิด ต่อนั้นไปสามเณรแตงโมก็มาเทศน์แทนเสมอ สามเณรแตงโมนี้ได้เล่าเรียนศึกษายังอาจารย์ที่มีอยู่ในอารามต่าง ๆ ในเมืองเพชรบุรี การศึกษาเช่นทางพระปริยัติธรรมและข้อกิจวัตรปฏิบัติจนสิ้นความรู้ของท่านสมภารในสมัยนั้น ท่านสมภารจึงได้พาตัวสามเณรแตงโมเข้ากรุงศรีอยุธยา ไปฝากไว้ต่อคุณวัดหลวงแห่งหนึ่งได้ศึกษาพระปริยัติธรรมจนจบพระไตรปิฎก นับได้ว่าเป็นเปรียญแล้ว ได้อุปสมทบเป็นพระภิกษุที่มีชื่อเสียงโด่งดัง จนเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดันนับถือ โปรดให้เป็นอาจารย์สอนหนังสือพระราชบุตร พระราชนัดนา ให้เสด็จมาเล่าเรียนพระพุทธศาสนา ปฏิบัติในคัมภีร์พระไตรย์เภธางค์สาตร์ นัยว่ากาลภายหลังมาเมื่อสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์นั้นได้เสด็จเสวยราชย์แล้ว โปรดตั้งพระอาจารย์แตงโมเป็นพระราชาคณะที่พระสุวรรณมุนี ซึ่งปรากฏในฝูงชนภายหลังเรียกกันว่า สมเด็จเจ้าแตงโม เมื่อท่านได้มั่งคั่งด้วยสมณศักดิ์ฐานันดรแล้ว ภายหลังต่อมาท่านคิดถึงภูมิลำเนาบ้านเกิดเดิม และวัดอันเป็นสถานมูลศึกษาของท่าน จึงได้ถวายพระพรลาสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินว่า จะออกไปปฏิสังขรณ์พระอารามที่เคยอยู่พำนักอาศัยเป็นการบำเพ็ญพุทธบูชา ก็ทรงอนุญาตอนุโมทนาแล้วถวายท้องพระโรงในพระราชวังองค์หนึ่งเป็นการช่วย เจ้าคุณอาจารย์ท่านได้นำมาประดิษฐานเป็นศาลาการเปรียญไว้ในวัดใหญ่นั้น ตัวไม้และเสาไม้ใหญ่งามมาก ลวดลายที่เขียนและลายสลักก็เป็นฝีมือโบราณ บานประตูศาลาการเปรียญสลักงามเป็นลายก้านขดปิดทองอย่างวิจิตร

สมเด็จเจ้าแตงโม ได้ให้ช่างหล่อรูปท่านไว้รูปหนึ่ง แต่พระยาดำรงราชานุภาพว่า "ของสำคัญอีกอย่างหนึ่งนั้น คือรูปพระสงฆ์หล่อเท่าตัวคนนั่งพับเพียบพนมมือ ฝีมือที่ปั้นและหล่อเหมือนคน ดีกว่ารูปของท่านขรัวโตหรือรูปสมเด็จพระราชาคณะที่ได้เคยเห็นในที่อื่น ๆ รูปนั้นเขาเรียกกันว่ารูปสมเด็จเจ้าแตงโม คือท่านผู้ที่สร้างวัดใหญ่นี้?รฤกถึงชาติภูมิจึงออกมาสร้างวัดที่เมืองเพชรบุรี ๒ วัด คือ วัดหนองหว้าวัด ๑ และวัดใหญ่นี้วัด ๑ ทำเท่ากันเหมือนกัน แลยังปรากฏอยู่ด้วยกัน จนตราบเท่าทุกวันนี้ทั้ง ๒ วัด วัดใหญ่นั้นมีนามใหม่เรียกว่า วัดสุวรรณาราม ตามชื่อของสมเด็จสังฆราชองค์นั้น และราษฎรพากันนับถือจึงให้ช่างจีปั้นรูปหล่อสังฆราชทองในเวลาท่านออกมาเมืองเพชรบุรี แล้วหล่อไว้สักการบูชาตราบเท่าจนกาลบัดนี้ รูปสมเด็จเจ้าแตงโมนี้มีเวลาเอาออกแห่งเป็นครั้งคราว

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชวินิจฉัยเกี่ยวกับสมณศักดิ์ของสมเด็จเจ้าแตงโมไว้ในพระราชหัตถเลขาเมื่อเสด็จประพาสมณฑลราชบุรีใน ร.ศ. ๑๒๘ ฉบับที่ ๕ ว่า

"?มีรูปเจ้าอาวาสเดิมซึ่งว่าเป็นผู้ปฏิสังขรณ์นั่งประนมมือถือดอกบัวตูมอยู่รูปหนึ่ง ทำด้วยความตั้งใจจะให้เหมือนฝีมือดีพอใช้

?ตั้งหน้าเรียนพระปริยัติธรรมจนได้เป็นพระราชาคณะ แล้วจึงกลับออกมาปฏิสังขรณ์วัดนี้ บางปากกล่าวว่าภายหลังได้เป็นสมเด็จพระสังฆราช เป็นที่น่าสงสัยอยู่บ้างว่ากลัวจะหลงที่สังฆราช ด้วยตำแหน่งพระครูเมืองเพชรบุรี ๕ อย่างเดียวกันกับเมืองนครศรีธรรมราช เมืองสงขลา เมืองพัทลุง แต่ตามหนังสือเก่า ๆ เขานับว่าเป็นพระราชาคณะทั้งนั้น ชะรอยครู ๕ องค์นี้จะเป็นพระสังฆราชาองค์หนึ่ง เช่น พระพากุลเถรเป็นพระสังฆราชาเมืองสวางคบุรี เพชรบุรีนี้ในเวลานั้นน่าที่พระครูสุวรรณมุนีเป็นสังฆราชา ท่านสมเด็จเจ้าแตงโมนี้จะเป็นพระครูสุวรรณมุนีเสียดอกกระมัง จึงได้ชื่อวัดเพิ่มขึ้นว่า วัดใหญ่สุวรรณาราม ทุกวันนี้พระครูสุวรรณมุนีก็ยังเป็นเจ้าคณะอยู่"

พระยาปริยัติธรรมธาดาได้เขียนบันทึกไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๔ เกี่ยวกับสมเด็จเจ้าแตงโมว่า

 "?ท่านให้หล่อรูปท่านไว้รูปหนึ่ง เรื่องหล่อรูปนี้เล่าว่าช่างปั้นหุ่นแสนยากทำไม่เหมือนได้เลย มาได้ตาแป๊ะหลังโกงคนหนึ่งเป็นช่างปั้นอย่างเอก หล่อเอาเหมือนมิได้เพี้ยนผิด ท่านจึงให้หล่อรูปตาแป๊ะไว้เป็นที่ระลึกด้วย รูปหล่อนั้นนั่งพับเพียบประนมมือถือดอกบัว ๆ นั้นถ้าเป็นของเดิมคงแปลว่านั่งทำพุทธบูชาเวลาไหว้พระ ลักษณะรูปทรงสัณฐานของท่านเป็นสันทัดคนทรงสูง ๆ ปากแหลมอย่างเรียกว่าปากครุฑ ถ้าใครเคยเห็นสมเด็จพระวันรัตแดงวัดสุทัศน์ อาจกล่าวว่ามีลักษณะละม้ายคล้ายคลึงกันได้ ในโบสถ์วัดใหญ่นั้นยังมีของเป็นพยานสำคัญอยู่อีกสิ่งหนึ่ง คือฝาบาตรมุกซึ่งเจ้าอธิการวัดได้รักษาต่อ ๆ กันมาใส่ตู้กระจกโดยความเคารพนับถือ จารึกชื่อไว้ว่าฝาบาตรของสังฆราชทอง?เมื่อครั้งปฏิสังขรณ์วัดใหญ่นั้น เล่าว่าท่านได้ปฏิสังขรณ์วัดหนองหว้าซึ่งเป็นวัดอยู่ในตำบลชาติภูมิของท่านด้วย บานประตูวัดหนองหว้านั้นก็สลักเสลาลวดลายวิจิตรบรรจง จนบางคนมาเห็นบานประตูวัดสุทัศน์ลายสลักเครือไม้นกเนื้อสลับซับซ้อนกันหลายชั้น ที่วัดใหญ่เป็นลายสลักชั้นเดียว ถึงวัดหนองหว้าก็คงเป็นชั้นเดียว บานประตูวัดสุทัศน์ หนังสือพระราชวิจารณ์กล่าวชัดเจนเสียแล้วว่าเป็นของรัชกาลที่ ๒ ทรงสร้างซึ่งคนทั้งหลายเคยพิศวงว่าเอามาแต่ที่โน่นที่นี่นั้นผิดหมด

พระราชพงศาวดาร แผ่นดินสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๘ กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า

"?จึงเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนพยุหยาตราชลมารคสถลมารค ขึ้นไปนมัสการพระพุทะบาทตามอย่างพระราชประเพณีมาแต่ก่อน แล้วทรงพระกรุณาให้ช่างพนักงานจัดการยกเครื่องบนพระมณฑปพระพุทธบาทขณะนั้น สมเด็จพระสังฆราช ตามเสด็จขึ้นไปช่วยเป็นแม่งานด้วย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระทัยปราโมทย์ยิ่งนัก จึงทรงพระกรุณามอบการทั้งปวงถวายให้สมเด็จพระสังฆราชเป็นแม่งาน แล้วก็เสด็จกลับยังกรุงเทพมหานคร?"

และต่อมาเมื่อครั้งนั้นหลังคาพระมณฑปเป็นหลังคาเหมือนวัดพนัญเชิง อยู่มาสมเด็จเจ้าแตงโม จึงถวายพระพรแก่สมเด็จพระบรมกระษัตราธิราชเจ้าว่าจะล้างหลังคาลงเสียจะทำยอดพระมณฑปขึ้นไว้ สมเด็จพระบรมกระษัตราธิราชเจ้าจึงโปรดให้ขึ้นมาดูแล แต่โบราณมามีต้นไม้ต้น ๑ ใหญ่ประมาณ ๓ อ้อม มีดอกเท่าฝาบาตร ครั้นเพลาเช้าเพลาเย็นบาน กลางวันตูม เมื่อจะบานนั้นหันหน้าดอกเข้าไปข้างพระมณฑปทุกเพลา มีสัณฐานดอกนั้นเหมือนดอกทานตะวัน ครั้นเมื่อสมเด็จพระเจ้าแตงโมทำมณฑปขึ้นไป ว่าต้นไม้นั้นกีดทรงพระมณฑปอยู่ จึงฟันต้นไม้นั้นเสีย แต่วันนั้นไป ท่านสมเด็จพระเจ้าแตงโมก็ตั้งแต่ลงโลหิตไปจนเท่าวันตาย

สมเด็จเจ้าแตงโมถึงแก่มรณภาพปีใดไม่ปรากฏหลักฐาน แต่ชีวประวัติและผลงานของท่านในจังหวัดเพชรบุรีที่วัดใหญ่สุวรรณารามและวัดหนองหว้า รู้จักกันแพร่หลายมาแต่โบราณ (ปรากฏในพระราชหัตถเลขาของรัชกาลที่ ๕ และของบุคคลอื่น ๆ) จนถึงปัจจุบัน นับเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์และศิลปกรรมเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นที่เชิดชูชื่อเสียงของวัดใหญ่สุวรรณารามและจังหวัดเพชรบุรีอีกทางหนึ่งด้วย

"มีเจ้านาย ข้าราชการ พ่อค้า ชาวต่างประเทศ เมื่อไปเที่ยวเมืองเพชรบุรี ได้ไปชมศาลาการเปรียญ และรูปสมเด็จเจ้าแตงโมมิได้ขาด"  ปัจจุบันมีเจ้านาย ข้าราชการ นักวิชาการ นิสิตนักศึกษา นักเรียน ตลอดจนประชาชนทั่วไปทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศได้ไปชมโบราณวัตถุโบราณสถานที่วัดใหญ่สุวรรณารามมิได้ขาดเช่นกัน 


597
ประวัติพระเขมธัมโม

วัดป่าสันติธรรม ประเทศอังกฤษ



 ธรรมลีลา ปีที่ 3 ฉบับที่ 33 สิงหาคม 2003

รายงานพิเศษ : ศิษย์หลวงพ่อชา ?พระเขมธัมโม? เผยแพร่ธรรมในเรือนจำ จนได้รับเครื่องราชฯอังกฤษ

โดย ธรรมสิกขา

เนื่องในวโรกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระราชินี อลิซาเบ็ธที่ 2 เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.ที่ ผ่านมา ?พระเขมธัมโม? เจ้าอาวาสวัดป่าสันติธรรม ที่ประเทศอังกฤษ ได้รับ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันมีเกียรติแห่งจักรวรรดิอังกฤษ จากสมเด็จพระราชินีอลิซาเบ็ธที่ 2 เนื่อง จากเป็นพระภิกษุที่ได้ทำคุณประโยชน์ ด้านการสอนพระพุทธศาสนา และปฏิบัติธรรมให้แก่นักโทษ ในสหราชอาณาจักรเป็นระยะเวลากว่า 26 ปี นับเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนารูปแรกที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จากสมเด็จพระราชินีอลิซาเบ็ธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร

พระเขมธัมโม เป็นชาวอังกฤษโดย กำเนิด เกิดเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ.2487 ท่านได้ใช้ชีวิตทางโลกอยู่หลายปี และได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยตนเอง จนกระทั่งเกิดความรู้สึกสนใจ มากยิ่งขึ้น ดังนั้นในปี 2514 ท่านจึงได้ออกเดินทางเพื่อแสวงบุญไปยังดินแดนที่พุทธศาสนาเคยรุ่งเรืองหลายแห่ง อาทิ อิหร่าน ปากีสถาน อาฟกานิสถาน และอินเดีย ท่านได้เดินทางไปสักการะสังเวชนียสถานในอินเดีย ก่อนที่จะเดินทางเข้าสู่ประเทศ ไทย และในเดือนธันวาคม ปี 2514 นี้เองที่ท่านได้ตัดสินใจเข้าบรรพชาเป็น สามเณร ที่วัดมหาธาตุ กทม อยู่วัดมหาธาตุได้เพียง 1 เดือน จึงเดินทางไปศึกษาธรรมยังวัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ซึ่งมี พระโพธิญาณเถร หรือหลวงพ่อชา สุภัทโท ที่ได้ชื่อว่าเป็นพระสายปฏิบัติรูปสำคัญรูปหนึ่ง เป็นเจ้าอาวาสอยู่ในเวลานั้น ต่อมาปี 2515 ก่อนวันวิสาขบูชาเพียงไม่กี่วัน ท่านจึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุโดยมีหลวงพ่อชาเป็นพระอุปัชฌาย์

ตลอดเวลา 5 ปีที่พระเขมธัมโมอยู่ ศึกษาและปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อชานั้น พระเขมธัมโมให้ความเคารพรักและศรัทธาในคำสอนและวัตรปฏิบัติของหลวงพ่อชามาก ดังนั้น เมื่อท่านเดินทางกลับไปประเทศอังกฤษ ในปี 2520 ท่านจึงได้นิมนต์ หลวงพ่อชาไปกับท่านด้วย ครั้นหลวงพ่อชากลับเมืองไทยแล้ว ไม่นานนักพระเขมธัมโม ก็ได้ก่อตั้งวัดเล็กๆขึ้นแห่งหนึ่งที่เกาะไวท์ ในรูปแบบวัดป่าที่สงบ เรียบง่าย ซึ่งต่อมาได้ชื่อว่า ?วัดป่าสันติธรรม? ซึ่งเป็นสาขาที่ 158 ของวัดหนองป่าพง ดำเนินการเผยแผ่ หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเรื่อยมา จนกระทั่งปี 2527 ได้รับนิมนต์จากกลุ่มชาวพุทธผู้สนใจในการปฏิบัติวิปัสสนาให้ไปถ่ายทอดความรู้อยู่หลายเดือน และได้ย้ายไปจำพรรษาที่แบนเนอร์ฮิลล์ ใกล้เมืองเคนิเวอร์ธ ที่นี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งสมาคมพุทธธรรมขึ้น และในปี 2530 สมาคมพุทธธรรมก็ได้รวบรวมเงินจากการบริจาคไปซื้อกระท่อมไม้ในชนบท ซึ่งอยู่ใกล้ๆวัดป่าสันติธรรม เพื่อเป็นที่พักรับรองพระอาคันตุกะ และผู้สนใจที่เดินทางมาปฏิบัติธรรมกันเป็นจำนวนมาก

ส่วนภารกิจที่สร้างชื่อเสียงให้กับพระเขมธัมโมก็คือ การจัดตั้งองค์กรที่ชื่อว่า?องคุลิมาล? ขึ้น มีสำนักงานอยู่ที่วัดป่าสันติธรรม มีวัตถุ ประสงค์เพื่อเข้าไปให้ความรู้ทางพระพุทธศาสนา รวมทั้งการฝึกหัดปฏิบัติธรรมแก่ผู้ต้องขังในเรือนจำ ซึ่งในเริ่มแรก พระเขมธัมโมประสบปัญหามาก เนื่องจากทุกเรือนจำต่างปฏิเสธที่จะให้เข้าไปสอน เพราะเห็นว่าไม่น่าจะมีประโยชน์และคงไม่สามารถจะช่วยเหลืออะไรผู้ต้องขังได้ อีกอย่างหนึ่งคือ ที่ผ่านมาไม่เคยมีพระรูปใดเข้าไปสอนในเรือนจำเลย

พระเขมธัมโมได้เพียรพยายามขอร้องชี้แจงถึงเหตุผลว่าการปฏิบัติธรรมนั้นจะช่วยลดปัญหาทางด้านจิตใจของผู้ต้องขังได้มาก อันจะเป็นประโยชน์ต่อตัวผู้ต้องขังเอง รวมทั้งเรือนจำที่จะไม่ต้องมาคอยตามแก้ปัญหาที่เกิดจากสภาพความกดดันทางจิตใจของผู้ต้องหา พระเขมธัมโมได้พยายามต่อรองกับเรือนจำขอทดลองสอนกัมมัฏฐาน เป็นเวลา 1 สัปดาห์ ให้กับผู้ต้องหา 34 คน ซึ่งในที่สุดก็มีเรือนจำ แห่งหนึ่งตกลงที่จะให้ท่านเข้าไปทดลองสอนดู ปรากฏผลว่า ผู้ต้องหามีสภาพจิตใจที่ดีขึ้นมาก ดังนั้น ทางเรือนจำจึงเปิดโอกาสให้ท่านได้เข้าไปสอนอย่างเต็มที่ รวมทั้งเรือนจำแห่งอื่นๆที่ทราบข่าวต่างก็นิมนต์ให้ท่านไปสอนด้วยเช่นกัน จนปัจจุบัน มีเรือนจำถึง 2 ใน 3 ของเรือนจำทั้งหมด ในประเทศอังกฤษ ซึ่งท่านได้เข้าไปสอน และมีทีมงานอาสาสมัครทั้งพระและฆราวาสประมาณ 40 คนช่วยกันอีกแรงหนึ่ง องค์กรนี้มีบทบาทหน้าที่ ดังนี้คือ

1  แนะนำและจัดหาทีมงานเข้าไปช่วยเหลือทันทีที่ได้รับการติดต่อ

2  ให้คำปรึกษาในปัญหาต่างๆอย่างชัดเจน และประสานกับเจ้าหน้าที่ขององค์กรที่เป็นอนุสาวนาจารย์ รวมทั้งกับอนุสาวนาจารย์ในเรือนจำ

3  ให้คำแนะนำปรึกษากับผู้ต้องขังหลังได้รับการปลดปล่อย เพื่อช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจ

การปฏิบัติตนตามธรรมวินัยอย่างเคร่งครัดในแบบพระป่า รวมถึงวัตรปฏิบัติอันงดงาม ทำให้พระเขมธัมโม เป็นที่เคารพศรัทธาของสาธุชนเป็นอย่างมาก จนทำให้วัดป่าสันติธรรมเติบโตขยายตัวมากขึ้น

ปัจจุบันพระเขมธัมโม อายุ 59 ปี พรรษา 32 ท่านยังคงให้การอบรมบ่มธรรมและฝึกฝนปฏิบัติสมาธิภาวนาให้กับสาธุชนผู้สนใจ ทางธรรม ทุกวันจันทร์ และวันศุกร์ ในช่วงเย็น และใน พรรษานี้มีภิกษุ 3 รูป สามเณร 3 รูป และแม่ชี 3 รูป จำพรรษาอยู่ ณ วัดป่าสันติธรรมแห่งนี้


598
บารมีหลวงปู่ ศุข

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

599
เบี้ยแก้




            " เบี้ยแก้ "เป็นวัตถุมงคลชนิดหนึ่งที่มีมานานแล้ว   ถือว่ากันว่าเป็นวัตถุมงคลที่มีค่ามากมายมหาศาล    เพราะมี
พุทธคุณ  สรรพคุณ  หลายด้าน  เช่น

   ด้านคงกระพัน
   สามารถป้องกันศาสตราวุธได้มากมายหลายชนิด  เช่น มีด  ไม้  ของแหลม  แต่สมัยก่อนนั้นยังไม่มีปืน  ซึ่งภายหลัง 
หลังจากที่มีอาวุธปืนใช้แล้ว  มีผู้ทดลองไปใช้  ปรากฏว่าสามารถป้องกันอาวุธปืนได้  แต่ต้องไม่อยู่ในระยะประชิด  หรือไม่ใช่
ระยะ "เผาขน"
   
   ด้านแคล้วคลาด
   แบ่งเป็นเรื่องของการแคล้วคลาดจากอันตรายต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็นอุบัตเหตุ  หรือเรื่องของการถูกทำร้าย  แคล้วคลาด
จากสิ่งที่ชั่วร้ายต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวิญญาณ  เรื่องของคุณไสย  ภูติผีปีศาจ
   ผู้ที่มี " เบี้ยแก้ "   จะไม่มีทางตายโหงด้วยอุบัติเหตุ
   ผู้ที่มี " เบี้ยแก้ "   จะไม่ถูกผี  ปีศาจ  หรือวิญญาณชั่วร้ายหลอกหลอน
   ผู้ที่มี " เบี้ยแก้ "   จะไม่ถูกคุณไสย  หรือพลังงานที่ชั่วร้ายทำร้าย  อย่างแน่นอน
   ผู้ที่มี " เบี้ยแก้ "   จะปลอดภภัยจากอันตรายทุกอย่างทุกประการ
   
   ด้านร้ายกลับเป็นดี
   ผู้ที่มี " เบี้ยแก้ " ไว้บูชา  ไม่ว่าจะเป็นของครูบาอาจารย์ท่านใดก็ตาม  จะมีคุณสมบัติในเรื่องช่วยให้เรื่องร้ายๆ  หรือ
เรื่องที่ไม่ดีต่างๆ  ให้กลับกลายเป็นเรื่องที่ดี  อย่างไม่น่าเชื่อ  ซึ่งเป็นจุดสำคัญของคำว่า " เบี้ยแก้ "  ที่มีความหมายว่า  แก้ในสิ่ง
ที่ไม่ดี  ให้กลับเป็นดีขึ้นได้

   ด้านการ "บรรเทาโรคต่างๆ"
   ผู้ที่เป็นโรคต่างๆ  ทั้งที่ร้ายแรงและไม่ร้ายแรง  " เบี้ยแก้ "  สามารถ "บรรเทา" ให้ดีขึ้นในระดับหนึ่ง  ซึ่งหลายคน
ก็พอใจในอาการที่ดีขึ้น
   แต่ต้องเรียนชี้แจงว่า  เรื่องนี้เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล  ซึ่งหมายความว่าทุกคนอาจจะได้รับผลจาก " เบี้ยแก้ " ไม่
เหมือนกัน  บางคนอาการดีขึ้น  บางคนก็หาย  หรือบางทีก็ไม่หายเลย
   แต่ที่แน่ๆ  จะดีขึ้นกว่าเก่าแน่นอน....แต่จะดีขึ้นมากหรือน้อยนั้น  ขึ้นอยู่กับปัจจัย  และองค์ประกอบหลายอย่าง
   จึงขอแนะนำว่า  ผู้ที่จะนำ " เบี้ยแก้ " ไปใช้ในเรื่องของการบรรเทาโรคภัยได้เจ็บนั้น  ขอให้เป็นผู้ที่หมดหนทางการ
รักษา  โรคที่ฉุกเฉิน  หรือรักษาที่ไหนไม่หาย  เป็นโรคเริ้อรังที่ทรมาน  หรือหมดโอกาสในทางแพทย์แผนปัจจุบันแล้วเท่านั้น
   เบี้ยแก้ ไม่ใช่แร่วิเศษ  ที่สามารถจะช่วยให้ท่านหายได้  ตามใจ....ที่ปรารถนา
   ขอเน้นว่า......หากเป็นโรคภัยไข้เจ็บแล้ว  ท่านควรไปหาแพทย์แผนปัจจุบันก่อน  เพราะแผนปัจจุบันนั้นมีเครื่องมือ
อุปกรณ์  และยาที่ทันสมัยมากกว่า  มีการตรวจหาสาเหตุ  และวิเคราะห์โรคด้วย
   แต่ถ้าทางแผนปัจจุบันไม่รับ  หรือหมดหนทางที่จะเยียวยา  หรือหมดโอกาสแล้ว  ลองใช้ " เบี้ยแก้ " ดู  ก็ไม่น่าจะ
เป็นเรื่องที่เสียหาย  เพราะถ้าเป็นขนาดนี้แล้ว  รักษาก็ตาย  ไม่รักษาก็ (อาจ) ตาย  จึงเป็นทางเลือกสุดท้ายที่น่าลอง ใช่หรือไม่ ?
   โรคภัยไข้เจ็บที่ "แร่ปรอท" สามารถช่วยได้มีมากมาย  หากโรคนั้นไม่เกี่ยวกับ "กรรม" ที่เคยทำไว้ในอดีต  แต่การที่จะ
ดีขึ้นนั้น  ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ  ดังนี้
   1. ระยะเวลาที่เป็นโรค  ต้องดูด้วยว่าโรคที่เป็นนั้น  เป็นมานานแค่ไหน ?  ถ้าเป็นมานาน  จะใช้แร่ปรอทรักษาให้หาย
หรือให้ดีขึ้นอย่างรวดเร็วทันใจคงไม่ได้  ต้องใข้เวลารักษาพอสมควรกกับโรคที่เป็น
   2. อาการของโรค  ถ้าเป็นโรคที่มีอาการหนักมาก  หรือบริเวณที่เป็นค่อนข้างมาก  จะให้หายหรือดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทันใจก็คงไม่ได้เช่นกัน  ต้องใจเย็นๆ  จะบรรเทาขึ้นทีละน้อยๆ จนเป็นที่พอใจ
   3. ความสมดุลย์ของแร่กับโรค   ถ้าเป็นโรคที่มีอาการหนักมาก   หรือบริเวณที่เป็นค่อนข้างมาก   เช่น  อัมพฤกษ์
อัมพาตทั้งซีก ฯลฯ  จะใช้แร่แค่ชิ้นเล็กๆ คงไม่ได้ผลมาก  ต้องใช้จำนวนเนื้อแร่ให้มากตามไปด้วย


600
ท่านสาธุชน พุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้เป็นวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๓๓ เป็นอันว่า ในระหว่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท คงจะทราบว่าตะวันออกกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อ่าวเปอร์เซีย กำลังจะเกิดสงครามจากอิรักกับหลายประเทศร่วมกัน คือ อิรัก ฝ่ายหนึ่ง กับหลายประเทศฝ่ายหนึ่ง ถ้าจะเปรียบเทียบกัน คล้ายๆ กับสงครามโลกครั้งที่ ๒ คือ เยอรมัน กับอิตาลี ญี่ปุ่นฝ่าย หนึ่ง อเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส อีกหลายประเทศร่วมกัน แต่ทว่าสงครามนี้จะเกิดหรือไม่เกิด อันนี้ก็ทราบไม่ได้เหมือนกัน เพราะว่า ต่างคนต่างก็ตั้งท่า ต่างคนต่างก็เตรียมพร้อม ที่จะลงมือซึ่งกันและกันและคำพยากรณ์ ก็จะไม่พยากรณ์ว่าจะ มีสงครามหรือไม่ แต่ทว่ามีหนังสือเล่มหนึ่ง เขาให้ชื่อว่า นอสตราดามุส เขาพยากรณ์ไว้ล่วงหน้า ถึง ๒,๐๐๐ ปีโดยเฉพาะ อย่างยิ่งปีนี้ ค.ศ.๑๙๙๐ จะเป็นปีเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๓ แล้วสงครามโลกครั้งที่ ๓ นี่จะเป็นสงครามที่มีความร้ายแรงมาก แต่ความจริง หนังสือนี่อาตมาก็ไม่ได้อ่าน เขาให้มาเหมือนกัน อ่านผ่านไปนิดเดียว แล้วก็เขาบอกว่าประเทศอเมริกา อาจจะถูกระเบิดนิวเคลียร์ แล้วก็จะมีเหตุการณ์ร้ายต่างๆ เกิดขึ้น

        รวมความแล้ว เป็นสงครามทำลายศาสนา ในระหว่างศาสนากับศาสนาคือ ศาสนาคริสต์กับศาสนาอิสลาม เขาว่าอย่างนั้นนะ ตามที่หนังสือว่า หรือ ตามที่คนบอก อาตมาก็ไม่ได้อ่านชัด ทีนี้เรื่องของดามุส ดามุสเขาพูดไว้ จะแน่นอนขนาดไหน ก็เป็นเรื่องของเขา สำหรับพวกเราบรรดาท่านพุทธบริษัท ในฐานะที่เป็น ศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นลูกของพระพุทธเจ้าเราก็มา ดูคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าบ้าง

        พระพุทธเจ้า ทรงพยากรณ์ไว้กับ พระอานนท์ว่า อานันทะดูกรอานนท์ ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี จะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง จะมีการรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน ฝนเหล็กจะตกลงจากอากาศ จะเผาผลาญประชาชน และบุคคลให้พินาศจะมีการล้มตายซึ่งกันและกันเป็นอันมาก  แต่ว่า อานันทะ ดูกรอานนท์ ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี จะถือว่าเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงนักยังหาไม่ได้

        ทั้งนี้ ก็เพราะว่า หลังกึ่งพุทธกาลไปแล้ว อานันทะ ดูกรอานนท์ จะมีความร้ายแรงมากกว่าก่อนกึ่งพุทธกาลมาก ยักษ์นอกศาสนาจะรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน ยักษ์นอกพุทธศาสนานั่นหมายถึง คนที่ไม่ได้เคารพพระพุทธศาสนา จะรบราฆ่าฟัน ซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายจะล้มตาย ฝ่ายละมากๆ สมณะ ชี พราหมณ์จะล้มตาย จะตายไปฝ่ายละครึ่ง จึงจะเลิกรากัน สำหรับประเทศที่นับถือพุทธศาสนาจะมีภัยเหมือนกัน แต่ไม่ร้ายแรงนัก นี่เป็นคำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

        เป็นอันว่า ท่านดามุสคนนี้ ก็พยากรณ์ไว้ตรง แต่เขาบอกว่า ค.ศ.๒๐๐๐ โลกจะสลาย แต่ว่าพระพุทธเจ้าของเราบอกว่า โลก ยังไม่สลาย พระพุทธศาสนา จะทรงอยู่ได้ ตลอด ๕,๐๐๐ ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทรงพยากรณ์ ไว้ที่ พระธาตุดอยกิตติ ครั้งหนึ่งทรงตรัสว่า

        "ชี้ว่าเขตประเทศนี้ ต่อไปจะเป็นประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก จะสามารถทรงพระพุทธศาสนาครบ ๕,๐๐๐ ปี" นี่หมาย ถึงประเทศไทย

        เป็นอันว่า สงครามจะเกิดขึ้นที่ดามุสบอก ก็หมายถึงสงครามซีกตะวันตก หมายถึงอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส และประเทศอื่นๆ กับตะวันออกกลาง สงครามจริงๆ ยังคงไม่ถึงประเทศไทย

        ทีนี้เรามาย้อนรอยถอยหลังกันก่อนว่า ตามที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติตรัสรู้ว่า ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี จะมี การรบราฆ่าฟัน ซึ่งกันและกัน ฝนเหล็กจะตกลงจากอากาศ ไฟจะลุกจากอากาศ ก็เป็นความจริง ในขณะนั้นปรากฏว่า ลูกปืนกลจากอากาศบ้าง ลูกระเบิดจากอากาศบ้าง ลูกระเบิดเพลิงบ้าง ทิ้งจากอากาศ ประเทศไทยเรา ก็พลอยยับเยิน ไม่น้อยเหมือนกัน เล่นเอาตู้รถไฟ ต้องไปขี่กัน ที่บางกอกน้อย ทั้งๆ ที่ตู้มันหนัก แต่แรงของระเบิด ดันตู้รถไฟจนไปขี่กัน ตึกบ้านเรือนโรงลำบากมาก

        แต่ว่าสงครามนั้น เป็นเหตุบันดาลอย่างหนึ่ง นั่นคือว่า สร้างความทุกข์ บรรดาท่านพุทธบริษัท คำว่า สงคราม นี่ อาตมา ผู้พูดเอง ก็ยังรู้สึกหวาดเสียวอยู่ เพราะว่า เคยอยู่ในระหว่างสงคราม ขณะนั้นอยู่กรุงเทพฯ แสงไฟฟ้าก็ใช้อะไรไม่ได้ ต้องใช้ตะเกียง ตะเกียงน้ำมันก๊าดไม่มีจะใช้ น้ำมันโซล่าก็หาไม่ได้ ต้องใช้น้ำมันหมู หรือน้ำมันมะพร้าวมาทำตะเกียง ของทุก อย่าง ของกินของใช้ต้องปันส่วน เพราะหาไม่ได้ จะได้ก็ของจากญี่ปุ่น เวลานั้นของเรามีน้อย เวลานี้โรงงานมีมาก แต่ก็ไม่ แน่นัก เพราะระเบิดจากอากาศก็ดีจรวดก็ดี หรือว่าระเบิดจากภาคพื้นดินก็ดี อาจจะเกิดกับโรงงานต่างๆ ในประเทศไทยได้ ถ้าสงครามเขา เกิดขึ้น

        หากว่าท่านจะถามว่า ทำไมสงครามเกิดขึ้นที่ตะวันออกกลางแล้วจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับประเทศไทย ทำไมไทยจึงต้องหวาด ระแวง ความจริงไม่ได้พูดให้ระแวง พูดให้ทราบ ตามความจริง หรือ ตามความรู้สึก นึกคิด ถ้าเรื่องนี้ผิด ก็ต้องขออภัยด้วย เพราะว่าเป็นการคาดคะเน มากกว่าอย่างอื่น คิดว่าถ้าสงครามเกิดขึ้น ระหว่างสงครามศาสนา ก็จงอย่าลืมว่า ศาสนาที่อยู่ ระหว่างสงคราม ก็มีอยู่ในประเทศไทยทั้ง ๒ ศาสนา ถ้าเขารบกัน แต่เพียงภายนอกก็ดี แต่บังเอิญ คนที่นับถือศาสนานั้นๆ ทั้ง ๒ ศาสนาเกิดทะเลาะ วิวาท รบราฆ่าฟันกันในเขตของเรา เขตของเราก็ต้องยับเยิบไป เหมือนกับสนามหญ้ากับสุนัข ๒ ฝ่ายกัดกัน สนามหญ้าก็แหลก ถ้าบังเอิญเขารบกัน ก็ไม่เป็นไร ดีไม่ดีเขาจะชวนเรารบ เราจะรบหรือไม่รบ เขาก็จะรบหรือ ว่าเราไม่รบ เขาก็ไม่รบ แต่เขายึด เรายอมให้เขายึดไหม ในส่วนต่างๆ ส่วนใดส่วนหนึ่งของประเทศไทย

        สำหรับความนึกคิด ในเวลานี้ ไม่ใช่หมอดูนะ ไม่ใช่พยากรณ์ ตามหลักวิทยาศาสตร์ หรือหลักอะไรทั้งหมด เป็นแต่การคาดคะเนว่า เหตุการณ์จะต้องเกิดขึ้น อาการต่าง ๆ ที่ปรากฏในปัจจุบันจะฟูขึ้น เพราะรับการสนับสนุนเรื่องการเงิน กำลังอาวุธจากที่อื่น จากนั้นเหล่าทหารตำรวจของเรา ก็ต้องเคลื่อนกำลังเข้าไปรักษาเขต ทีนี้เขตต่อเขต เขตยันเขต เขตที่เขาก่อขึ้นเป็นเขตในประเทศไทย และเขตต่อไปข้างหน้า ก็เป็นเขตที่เขาพวกเดียวกัน อะไรมันจะเกิดขึ้นบ้าง ลองวาดภาพกันดู ถ้ามันเกิดจริงๆ ตามเขาว่านะ อันนี้ไม่ได้รับรองว่า มันจะเกิดจริงหรือไม่

        ถ้าเกิดจริงส่วนประเทศไทย ทุกจุดทุกภาค ก็มีบุคคลที่ถือ ศาสนาตรงกันข้าม กับพระพุทธศาสนา ก็มีกำลังสูงขึ้น ที่เขาโต้กันที่เชียงใหม่ อภิปรายก่อนหน้าที่จะพูดนี้ไม่ถึงเดือน เขาโต้กันถึงหลักสูตรการศึกษาว่า

        หลักสูตรพระพุทธศาสนา ถูกลดลงไป หลักสูตรศาสนาอื่น เข้ามาแทน อย่างนี้ก็ต้องมีอาการ น่าคิดว่า เขาวางแผนล่วงหน้าไว้ไกลมาก หรือว่าเป็นการวางแผนล่วงหน้าไว้ก่อน โดยเฉพาะระยะใกล้ก็ได้

        ก็เป็นอันว่า ในเมื่อสงครามใหญ่เกิดขึ้น ทางด้านตะวันออกกลาง ทีนี้ เศษสงครามมันก็อาจจะเข้ามาถึงประเทศไทย ต่อไปก็เป็นการเดาอีก ขอเดานะ ไม่ได้พูดตรงๆ จะหาว่าดูผิดก็ไม่ได้ เดามันผิดได้ ขอเดาว่า ถ้าสงครามเกิดขึ้นอย่างนั้นจริงๆ แต่ความจริงเวลานี้ ยังไม่มีใครจะให้เกิด เวลาที่พูดนี่นะ วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๓๓ แต่กว่าหนังสือนี่จะออกถึงเดือนมีนาคม ถ้าสงครามเกิดก็เกิดแล้ว ไม่เกิดก็ไม่เกิด ในระหว่างนี้ต่างคนต่างมองต่างคนต่างพูด แสดงเรื่องการเมือง เอาเหตุผลต่างๆ มาหักล้างกัน ก็ไม่แน่นักว่ามันจะเกิด ก็อยากจะบนบานศาลกล่าวว่ามันไม่เกิดนั่นแหละเป็นการดี แต่ทว่าพระดำรัสของ องค์สมเด็จพระชินสีห์ ไม่เคยผิด แต่ว่าท่านไม่ได้บอก พ.ศ.

        เป็นอันว่าประเทศไทยก็จะถูกหาง หรือท้ายฝน ละอองฝนจากสงคราม ก็เป็นอันว่าเราถูกละอองฝน ดินแดนเราก็จะไม่เสีย แต่ว่าชีวิตคนอาจจะเสียไปบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งที่น่าห่วง ก็คือ ของกินของใช้ ราคามันจะแพงมาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเราต้องใช้น้ำมัน โรงงานต่างๆ ต้องใช้น้ำมัน ในเมื่อสงครามเกิดขึ้น ในเขตของบ่อน้ำมัน เราจะมีโอกาสซื้อน้ำมันได้หรือเปล่าก็ยังไม่แน่

        ท่านดามุส ท่านบอกว่า อำนาจของฝ่ายน้ำมัน มีอำนาจมาก สามารถเอาอาวุธ ใส่ในท้องปลา ไปยิงที่ไหนก็ได้ นั่นหมายถึง เรือดำน้ำ ถ้าเราส่งเรือไปซื้อของในเขตใดเขตหนึ่ง ซึ่งเป็นเขตของศัตรูของเขาเรือดำน้ำของเขา ก็อาจจะยิงเรือพาณิชย์ ของเราก็ได้ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ คนที่พบระหว่างสงคราม จะมีความรู้สึก หนาวๆ ร้อนๆ แต่ว่า ขอยืนยัน บรรดาท่าน พุทธบริษัทว่า สิ่งที่เราไม่ต้องกลัวอย่างหนึ่งคือ เขาประกาศบอกว่า การสงครามนี้เขาจะใช้อาวุธเคมีบ้าง จะใช้นิวเคลียร์บ้าง จะใช้นิวตรอนบ้าง อาวุธทั้งหลายเหล่านี้ น่ากลัวจริงๆ แต่สำหรับความรูสึกของผู้พูด ไม่มีความรู้สึกกลัวเลย  เพราะว่าพระพุทธเจ้ามีความศักดิ์สิทธิ์ ของๆ ท่าน ทุกชิ้นที่ผลิตออกมา ท่านบอกว่า กันรังสีต่างๆ ได้หมด รังสีต่างๆ จะไม่สามารถกระทบกาย หรือทรัพย์สินบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่มีของของท่านได้ ที่ท่านทำให้นะ

        ก็เป็นอันว่า ท่านยืนยันมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๑ และท่านทำทุกครั้ง ท่านก็ยืนยันทุกครั้งว่า เกี่ยวกับรังสีต่างๆ ไม่ต้องกลัวเลย รังสีจะไม่เข้าใกล้บุคคลที่มีของที่ท่านทำให้ของนั้นอยู่ไหน ก็หาเอาเองก็แล้วกัน ของนั้นจะขอบอกเป็นนัยๆ เอาตรงๆ เลย ก็ได้คือ พุทธานุสสติ นั่นคือนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ และก็ภาวนาไว้ว่า พุทโธ เวลาหายใจเข้านึกว่า พุท เวลาหาย ใจออกนึกถึง โธ ก่อนจะออกจากบ้าน ตื่นขึ้นมาใหม่ๆ บูชาพระก่อน ภาวนาว่า พุทโธ ก่อนอธิษฐานขอความปลอดภัยก่อน จะไปก็เสกน้ำลาย ด้วยกำลังของพุทโธสัก ๓ ครั้ง แล้วก็เดินออกจากบ้านไป หรืออยู่บ้านก็ได้ ภัยอันตรายจะไม่มีแก่ท่าน หรือว่าถ้าทำอย่างนั้น ยังไม่เกิดความมั่นใจ ก็เอาของที่องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงทำไว้ติดกับร่างกาย แต่ต้องอาราธนาทุกวัน ว่า นะโม ตัสสะฯ 3 ครั้ง แล้วก็ว่า พุทโธ เหมือนกัน และก็อธิษฐานให้ปลอดภัย อย่างนี้จะปลอดภัยจากรังสีต่างๆ แม้แต่สะเก็ดระเบิด หรือว่ากระสุนปืนของข้าศึก ก็จะไม่มีอันตรายกับท่าน ถ้าท่านทั้งหลายมี พุทธานุสสติ เป็นกำลังใจ

        ทีนี้เรามาคุยกันต่อไปนี่มันเรื่องคุยนะ ถ้าบังเอิญเวลานี้มีอิรักตั้งท่ายัน อิรักปรากฏว่า ประกาศว่ามีคน ๑๘ ล้าน แต่ทว่า อิรัก อิรักอิหร่านนี่รบกันมาประมาณ ๘ ปี พออเมริกาส่งกำลังเข้ามาในอ่าวเปอร์เซีย อิรักอิหร่านดีกันฉิบ พื้นที่ของอิหร่านที่อิรัก ยึดได้ ก็พันตารางไมล์ก็ตาม คืนให้หมดปล่อยเชลยให้หมด เวลานี้ศัตรูกับศัตรู อิรักกับอิหร่านเป็นมิตรกัน อิหร่านก็เข้ากับอิรัก ไม่เห็นด้วยที่อเมริกา จะเอาวัฒนธรรมของเธอ มาใช้ในตะวันออกกลาง เขาถือว่า ผิดกฏของพระศาสนานี่ป็นอันว่า อิรักก็มีเพื่อน เข้าอีกหนึ่งประเทศ คือ อิหร่าน อิหร่านนี่ก็ไม่ใช่เล่นเหมือนกัน หนักเหมือนกัน แล้วต่อมาอย่าลืมว่า สายเลือด ที่ร่วมกันมา เขาอาจจะไม่ทิ้งกันนั่นคือศาสนา คนที่นับถือศาสนาร่วมกัน อาจจะร่วมมือกันภายหลัง อย่างนี้สงครามใหญ่จะ เกิดขึ้น ซึ่งตรงกับคำพยากรณ์ของพระท่าน

        ในปีที่ญวนแตกอเมริกาหนีกลับบ้าน ปีนั้นก็ถามพระท่านว่า หลังจากนี้จะมีอะไรบ้าง สงครามใหญ่จะเกิดขึ้นไหม ท่านบอกว่า คำว่าสงครามโลก ยังไม่เกิด คำว่าสงครามโลกนั่นหมายถึงว่า ทั้งโลกแบ่งกันเป็น ๒ พวก ร่วมกันทั้งหมด แล้วก็ตีกันในระหว่างฝ่ายต่อฝ่าย คือตีกันรบกันอย่างนี้เรียกว่า สงครามโลก  แต่สงครามครั้งที่จะเกิดทางด้านตะวันออกกลาง ท่านบอกตรงว่า จะเกิดที่ด้านตะวันออกกลาง เขายังไม่เรียกว่าสงครามโลก เขาเรียกว่าสงครามใหญ่ สงครามใหญ่คราวนี้จะ มีความร้ายแรงไม่น้อย ร้ายแรงกว่าสงครามโลกครั้งที่ ๒ แต่ว่าท่านก็ไม่ได้บอกอย่างดามุสว่า ถึงแม้อเมริกาอาจจะถูกนิวเคลียร์ ท่านไม่ได้บอกไว้ คือไม่ได้ถาม

        รวมความว่าคำพยากรณ์ของท่านที่พยากรณ์ว่าจะเกิดที่ตะวันออกกลางก็ตรงแล้ว เวลานี้ตะวันออกกลางจะมีสงคราม อย่างน้อยที่สุดก็เป็นสงครามเศรษฐกิจ เริ่มบีบรัดกันขึ้นมาการถูกบีบนี่ บรรดาท่านผู้ฟังและท่านผู้อ่าน สมัยเยอรมันก็ดี ญี่ปุ่นก็ดี อิตาลีก็ดี ที่ต้องประกาศเป็นสงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็เพราะว่า การถูกบีบคั้นจากโลกตะวันตกหรือหลายๆ ประเทศ ที่เรียกกัน ว่า สันนิบาตชาติ ในเวลานั้นทั้ง ๓ ประเทศ ลาออกจากสันนิบาตชาติ สันนิบาตชาติ ต่างคนต่างบีบคั้นต่างๆ หาทางกลั่นแกล้ง ถ้าไม่รบก็อดตายมีความจำเป็นต้องรบ หมายถึงว่า ยอมเสี่ยง ยอมเสี่ยงการเสียอิรภาพ การเสียประเทศจะต้อง เป็นเมืองขึ้นเขากับความตาย ทีนี้การรบความตายมันก็เกิด แต่เกิดเฉพาะบุคคลบางกลุ่มที่เป็นทหาร และบุคคลที่อยู่ใกล้จุดยุทธศาสตร์ที่ถูกระเบิด คนนอกนั้นจะไม่ตาย ถ้าไม่รบ ความอดเกิดขึ้น มันจะตายทั้งประเทศ เขาต้องตัดสินใจรบ เรื่อง สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ มีฉันใด เวลานี้อิรักกับอิหร่าน กำลังจับมือกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศาสนามุสลิมเขาเป็นศาสนาที่มีความรักกันมาก

        อย่างตอนใต้ประเทศไทย คราวนั้นฟังข่าวจากทางโทรทัศน์ จากท่านพันเอกณรงค์ กิตติขจร ท่านบอกว่า ใครล่ะ พันเอกกัดดาฟี มั้ง ถ้าพูดชื่อผิด ขออภัยด้วย ท่านเคยไปเจรจากัน บอกว่า อย่ามายุ่งกับประเทศไทยเลย แต่เขาบอกว่า รัฐบาลไม่ได้ยุ่งด้วย แต่ที่ยุ่งนั้นเป็นเรื่องของศาสนา ที่จะให้มีการแบ่งแยกประเทศไทย ออกเป็นของมุสลิมส่วนหนึ่ง ของไทยส่วนหนึ่ง เขาหวัง ๔ จังหวัด แต่ความจริงถ้าเขายึด ๔ จังหวัดได้ เขาจะเอาอีก ๘ จังหวัด ถ้า ๘ จังหวัดได้ เขาจะเอาอีก ๑๖ จังหวัด ผลที่สุดเขาต้องการยึดทั้งหมดทั้งประเทศไทย ความพอใจของคนไม่มีฉันใด บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ถ้าสงครามเกิดขึ้น ถ้าเราจำเป็น ต้องเสียดินแดน เรื่องเสียเฉพาะน่ะ ไม่มีแน่นอน มันต้องเสียกันเรื่อยไป เวลานี้เรา ก็ไม่มีพอที่จะเสียแล้ว แต่ที่พูดนี่ ก็ไม่ได้หมายความว่า สงครามจะเกิดจริง สมมติว่า ถ้ามันจะเกิดทีนี้เรื่องของศาสนา ก็จะเกิดขึ้นที่พูดนี่ไม่ได้ยุให้คน ๒ ศาสนาทะเลาะกันนะ เป็นแต่เพียงว่าท่านณรงค์ท่านบอกว่า ท่านไปพูดกับประธานาธิบดีของเขา ประธานาธิบดีของเขาก็บอกว่า รัฐบาลไม่ได้ยุ่งเป็นเรื่องของศาสนา ทีนี้ศาสนาจะเอาเงินมาจากไหน ก็ทราบไม่ได้เหมือนกัน

        รวมความว่า หันมาคุยกันในประเทศไทย ถ้าสงครามเกิดขึ้นจริงๆ เราจะเป็นอย่างไร ประการแรก เรายังพูดถึงศาสนาก่อน ถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ เราจะหนักเรื่อง น้ำมัน นิดหน่อย แต่ว่าน้ำมันในประเทศไทย ถ้าเร่งรัดจริงๆ จะเหลือใช้ เพราะอะไร เพราะว่าน้ำมันในประเทศไทยนี่มีมาก  การเจาะ บรรดาท่านผู้อ่านและท่านผู้ฟัง ที่พูดนี่ก็ขอเดา คิดว่าท่านที่เจาะเขาคงจะเจาะไม่ถึงเพดานจริงๆ ของน้ำมัน รวมความว่า ถังน้ำมันถังใหญ่จริงๆ น่ะ เราจะพูดตามความเป็นจริงแล้ว ประเทศจีน เขาก็มีน้ำมันเขาอยู่สูงกว่าเรา ประเทศพม่าก็มีน้ำมัน อินโดนีเซียก็มีน้ำมัน แล้วก็ไทยล่ะอยู่กลางทำไมจะไม่มีน้ำมัน

        ทีนี้เวลานี้การเจาะน้ำมัน การดูดน้ำมันเขาว่าได้น้อย แต่ความรู้สึกของผู้พูด หรือตามข่าวหนังสือพิมพ์ เขาบอกว่าความจริงประมาณน้ำมันที่ได้ มันมากกว่าข่าวที่เขาแจ้งมา ข้อนี้จะเท็จจริงประการใดก็ไม่ทราบ สุดแล้วแต่หนังสือพิมพ์ แต่เขาบอกว่าเขาแจ้งได้น้อย ก็ยังมีอีกหลายหลุมที่เขาเจาะพบแล้ว เขาบอกว่าไม่พอกับเชิงพาณิชย์ จึงไม่ยอมดูดขึ้นมา นี่ก็เป็นลีลาของพ่อค้าเป็นของธรรมดา ถ้ากำไรน้อยเขาจะไม่เอา หรือจะมาพูดกันอีกทีหนึ่ง

        เวลานี้ทราบว่า คนไทยศึกษาเรื่องวิชาการเจาะน้ำมันมาได้ดีแล้ว มีความชำนาญพอแล้ว แล้วก็กำลังจะเจาะก่อน หนังสือจะออกคงจะเจาะแล้วละมั้ง เจาะก๊าซที่สงขลาใกล้ๆ กับบ่อเดิม จะเอาก๊าซมารวมกัน เข้ากับท่อเดียวกัน ขึ้นมาใช้จะได้มีปริมาณสูง ถ้าบังเอิญท่าน หรือนายทุนท่านใดท่านหนึ่ง ในพื้นที่ ที่ไม่มีสัญญาประมูลกับบริษัทต่างๆ แต่น้ำมันมีมาก   ปริมาณของประเทศไทยนี่ ถ้าจะลองเจาะอย่างต่างประเทศเขา เอาที่ใดที่หนึ่งก็ได้สักที่หนึ่ง ที่พูดนี่เป็นการสมมติกันนะ จะเชื่อหรือไม่สมควรเชื่อ

        เพราะความรู้สึกว่ามีอยู่ว่าการเจาะที่แล้วมา เขาเจาะกันยังไม่ถึงฝาผนังหรือเพดาน ของถังน้ำมัน ซึ่งมันเป็น ถังใหญ่คลุมจักรวาล มันเป็นทะเลอีกชั้นหนึ่งต่างหาก คือเป็นทะเลน้ำมันจริงๆ ประเทศไทยตั้งอยู่เหนือทะเล น้ำมันจีน ก็เช่นเดียวกันแล้วก็พม่าก็เหมือนกัน อินโดนีเซียก็เหมือนกัน มาเลเซียก็เหมือนกัน บรูไนก็เหมือนกัน มันเป็นถังถังเดียวกัน ถ้าบังเอิญ เราจะเจาะอย่างอังกฤษ ที่เขาบอกว่า อังกฤษเจาะที่ทะเลเหนือ เจาะลง ไปลึกลงไปใต้ดินถึง ๖  กิโลเมตร ก็ได้น้ำมันขึ้นมาเพียงพอ

        แต่ประเทศไทยเราสำรวจแล้วว่า ที่ใดที่หนึ่งมีน้ำมันพอที่จะเจาะได้ ก็ลองเจาะสัก ๖ กิโลเมตร จะมีผลเป็นประการใดเรื่อง นี้ก็ลองถามท่านผู้รู้ท่านหนึ่ง ท่านมีความชำนาญในด้านนี้มาก ก็เรียกว่าดร.สรรพศาสตร์ ท่านดร.สรรพศาสตร์ ท่านบอกว่า ถ้าเจาะลงไปถึง ๖ กิโลเมตร ในถังน้ำมันที่มีพื้นแผ่นดินหนา หมายความว่า หลังถังน่ะลึกลงไป เจาะลงไปแค่ ๓ กิโลเมตร จะถึงผิวถังน้ำมัน หรือหลังคาน้ำมัน ถ้าเจาะถึง ๖ กิโลเมตร ไอ้ท่อที่เจาะลงไปนั้น จะจมไปในตัวถังน้ำมัน บ่อน้ำมันจริงๆ ครึ่งกิโลเมตร ถ้าเจาะในที่ตื้น ที่บางจุดอยู่ไม่ไกลกรุงเทพนัก ในที่นี้ถ้าเจาะถึง ๖ กิโลเมตร ท่อจะจมลงไปในเขตของน้ำมัน ประมาณ ๖ กิโลเมตร ถามว่า ดร.สรรพศาสตร์ ถ้าเราจะดูดใช้อย่างปัจจุบันนี่ ถ้าทำอย่างนั้นจะใช้ได้สักกี่ปี ท่านบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เอา ๓๐ เท่าของปัจจุบันใช้ไป ๕,๐๐๐ ปี น้ำมันยังไม่หมด ปริมาณยังไม่ลด

        นี่แหละบรรดาท่านผู้อ่านและท่านผู้ฟัง ถ้าบังเอิญท่านดร.สรรพศาสตร์ ท่านพยากรณ์ตามความรู้ของท่าน ถ้าตรงตามนี้ประเทศไทยเราก็ไม่จน อย่างอื่นจะไม่มีก็ไม่เป็นไร ไฟของเรามีน้ำมันเราก็ถูก อุตสาหกรรมของเราลงทุนถูก เพราะน้ำมันถูก เราจะขายต่างชาติได้ดี ระยะนั้นประเทศไทยเราจะรวย

        เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เราคุยกันมาวันนี้ก็ป่วย แต่เกรงว่าเล่มที่ ๑๘ นี่จะไม่ครบ ทำไปแล้ว บ้างตามสมควร แต่ไม่แน่ใจ ว่าจะครบหรือไม่ครบ ก็ลุกขึ้นมาทำหันไปดูเวลาเหลือเวลาประมาณนาทีเศษ ก็ขอเตือนบรรดาญาติโยม พุทธบริษัท ซึ่งเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ว่า จงอย่าหวั่นไหว ต่อสงคราม ขอยืนยันว่า ถึงแม้ว่าสงครามจะเกิด ก็จริงแหล่แต่ทว่าเราจะไม่ตายเพราะสงครามโลก เราจะไม่อดตายเพราะสงครามโลก และนักเกษตรศาสตร์ก็ดี นักเกษตรศาสตร์นี่จะมีโชคดีมากคือจะรวย ข้าวจะแพง พวกที่เลี้ยงสัตว์ก็ดี ราคาจะแพง จะรวยทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าไม่มีความประมาท บรรดาท่านพุทธบริษัท ประเทศไทยจะมีแต่ความอุดมสมบูรณ์


602
ท่านคือดร.ไมตรี บุญสูง
คนวงการพระเครื่องและคนภาคใต้รู้จักท่านดี
ดร.ไมตรีท่านผู้นี้แหละศิษย์ฆราวาสแถวหน้าอีกท่านในสายเขาอ้อ
เป็นลูกศิษย์อาจารย์ชุม ไชยคีรีผู้โด่งดังจากผู้ร่วมสร้างพระเสด็จกลับ
ท่านดร.ไมตรีได้มาขอสักยันต์กับหลวงพ่อเปิ่น
แต่น่าเสียดายท่านได้ออกวาจาไปแล้วว่าวางเข็มไม่สักให้ผู้ใดแล้ว
ท่านดร.ได้แต่เก็บความต้องการไว้ในใจตลอดมาจนวัหนึ่งหลวงพ่อท่านเห็นความตั้งใจอันแน่วแน่
จึงรับดร.ไมตรีเป็นลูกบุญธรรม และทำการสักยันต์สร้อยสังวาลย์ให้
นับว่าเป็นรอยสักสุดท้ายของตำนานเสือเผ่นอันโด่งดัง
ซึ่งการรับดร.ไมตรท่านเป็นลูกบุญธรรมนั่นเป็นการไม่ผิดสัจจะแต่อย่างใดเพราะท่านเอยวาจาว่าจะไม่สักยันต์ให้ศิษยืคนใดแต่ดร.ไมตรีเป็นลูกก็ไม่ได้ผิดข้อตกลงอันใด

603
 ปัจจุบันนี้อะไรๆก็เปลี่ยนไป สังคมก็เปลี่ยนไป จิตใจมนุษย์ก็เปลี่ยนตาม
แต่สิ่งหนึ่งที่มิเคยเปลี่ยนคือคำว่าศิษย์กับอาจารย์
วันนี้ตัวผู้เขียนเองได้นั่งนึกย้อนไปถึงเรื่องราวต่างๆนานาที่ผ่านเข้ามาในชีวิตในการเป็นนักข่าวผ่านสงครามทั้งในและนอกประเทศมามากมายหลายสนามรบ
ก็มีเพียงรอยสักยันต์และพระเครื่องของหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อยุธยา
เป็นเครื่องเตือนใจเสมอมา
สมัยก่อนเมื่อ50ปีที่แล้วพระเกจิที่ขึ้นชื่อลือชาก็มีไม่กี่ท่าน
แบ่งเป็นตามภูมิภาค ภาคเหนือก็หลวงปู่แหวน ครูบาศรีวิชัย
ภาคกลางก็อาจเป็นสายลุ่มแม่น้ำนครชัยศรี หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม หลวงพ่อเพิ่ม
วัดกลางบางแก้ว หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ
ภาคใต้ก็มีหลายท่านไม่จะเป็นสายเข้าอ้อ สายหลวงปู่ทวด(อาจารย์ทิม อาจารย์นอง)
สายอีสานก็มีมากมายนับไม่ถ้วนเรียกได้ว่าทุกภาคมีเพชรเม็ดงามกันทุกที่แตกต่างกันไป
หลังจากสิ้นบุญหลวพ่อจง ผมก็ไปพึ่งหลวงพ่อสุด วัดกาหลง
ที่ตี๋ใหญ่เคยไปพึ่งบารมีแต่ผมไม่เคยเห็นตี๋ใหญ่เลย
เคยไปเฝ้าทำข่าวก็ล้มเหลวทุกครั้ง เคยถามหลวงพ่อท่านว่าตี๋ใหญ่มีอะไรดี
ท่านตอบผมว่า มันไม่มีอะไรดีหรอก ของที่มันได้ก็เหมือนที่ข้าให้เองนั้นแหละ
แต่ที่มันอาจจะมีมากกว่าใครๆก็คือความเชื่อ มัรเชื่อในครูบาอาจารย์มาก
วิชาที่มันร่ำเรียนก็หัดท่องจำเอาจนขึ้นใจหมั่นฝึกบ่อยๆก็เก่งเองก็เหมือนมีดที่ได้รับการลับอยู่บ่อยๆเพียงแต่มันใช้มีดไปในทางที่ผิดไปปล้นจี้เขา
กรรมมันเลยตามทัน ก็คงเป็นที่ประจักษ์กันอยู่แล้วว่าตี๋ใหญ่เสียชีวิตอย่างไร
ก็เพราะตี๋ใหญ่เองกลับมาหาหลวงพ่อสุด
เพื่อมาขอของดีที่ทำหลุดหายไปเมื่อหนีตำรวจครั้งสุดท้าย
แต่หลวงพ่อท่านรู้ล่วงหน้าว่าต้องมาขอของอีกท่านกลัวว่ามันจไม่จบไม่สิ้น
เพราะความเป็นพระเจ้าคนมาขอความช่วยเหลือยังไงก็ต้องช่วย
ก็คงเหมือนหลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระเพชรเม็ดง
มอีกเม็ดหนึ่งที่ใครมาขอให้ท่านสักยันต์ในสมัยก่อน ก็สักให้ทุกรายไป
จนเกิดเรื่องการลองของกันจนตาย (จะเล่ารายละเอียดในช่วงหน้า)
กลับมาเรื่องตี๋ใหญ่อีกครั้งหนึ่ง
เมือมาหาหลวงพ่อไม่พบตี๋ใหญ่จึงออกจากวัดไปโดยไม่เหลียวใจว่าจะเกิดเรื่องแต่ตัวหลวงพ่อท่านรู้อยู่แล้วว่ากรรมของมันตามมาเอาคืนแล้ว
ตำรวจได้ซุ่มดักรออยู่แล้วจากการให้เบาะแสของลูกน้องตี๋ใหญ่คนหนึ่ง
การยิงตอบโต้กันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับจอมโจรชื่อดังได้เกิดขึ้นตัวผู้เขียนเองเสียดายที่ไม่ได้เก็บภาพไว้ทันเพราะกว่าจะรู้ข่าวก็จบเรื่องเสีย
เพราะสมัยนั้นไม่มีมือถือเทคโนโลยีที่ทันสมัย
พอไปถึงที่เกิดเหตุก็ได้ไปสอบถามจากชาวบ้านได้ความว่าตัวตี๋ใหญ่เอวมิได้เกรงกลัวตำรวจเลยกลับยิงตอบโต้เหมือนจะรู้ว่าวันนี้เป็นวันตัดสินชะตาตัวเอง
กระสุนปลิวไปปลิวมายังกับสงครามย่อยๆแต่ไม่มีลูกใดเลยที่ถูกตัวตี๋ใหญ่
จนเวลาผ่านไปพอสมควรเหตุการณ์ทุกอย่างก็ปิดฉากลง สิ้นสุดตำนานอันลือลั่น
จอมโจรจอมขมังเวทย์ ยุคนั่นเลยเป็นยุคที่นักเลงหัวไม้ทั้งน้อยใหญ่
มือปืนทั่วสารทิศ วิ่งเข้าหาหลวงพ่อสุด วัดกาหลง เป็นแถว
ท่านจึงตัดสิ้นใจเลิกสักยันต์ คงเหลือไว้เพียงวัดถุมงคล เพียงน้อยชิ้น
เพราะแม้แต่วัตถุมงคลของท่าน
ตัวท่านเองก็มิอยากสร้างเพราะกลัวคนจะนำไปใช่ในทางที่ผิด
ส่วนใหญ่ที่เราเห็นๆกันศิษย์สร้างให้ทั้งนั้น
ตัวผู้เขียนอยู่รับใช้ท่านจนวาระสุดท้าย
หลังจากนั้นตัวผู้เขียนเองก็ได้ไปพบกับหลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ
ไม่ใช่จากใครที่ไหนหรอก แต่เป็นข่าวดังบนหน้าหนังสือพิมพ์ในสมัยนั้น
พาดหัวข่าว "กลุ่มวัยรุ่นคึกคนองลองของกันกลางทุ่ง เสียบดับสวนทวารคาที่ "
เหตูเกิดเพราะได้มีวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งย่านบางพระ นั่งดื่มสุรากัน
เกิดคุยโวโอ้อวดถึงอาจารย์ที่ตัวเองไปสักยันต์ว่าเหนียวแค่ไหน
วัยรุ่นอีกคนก็ไปสักกับอีกอาจารย์หนึ่งมาย่านนั้นก็เกิดความหมั่นไส้
เมื่อโดนท้าเข้ามากๆก็เกิดการลองของขึ้นมา
หยิบขวดเหล้าทำปากฉลามแทงไปที่หน้าอกเต็มแรงเสือขาดกระจุยเห็นลายเสือเผ่นอันโด่งดัง
เมื่อเจ้าตัวก่อเหตุได้ใจว่าตัวเองหนังเหนียวเลยท้าขึ้นอีก
ความโกรธทวีความรุนแรงขึ้น
ชักมีกฟันหญ้ายาวศอกว่าฟันไปที่หลังล้มลงตามแรงมืองานนี้คาดว่าไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต
เจ้าตัวดียังลุกขึ้นมามองหน้ากวนประสาทล้อเลียน ถึงครูบาอาจารย์ฝั่งตรงข้าม
เอาละสิเล่นถึงครูใครจะยอม พวกล่อไม้ไผ่ด้ามแหลม ดึงแขนขาเสียบสวนทวาร
***ตัวร้ายร้องลั่นทุ่งด้วยความเจ็บปวด เลือดพุ่งกระจายไปทั่ว
จบตำนานสยอง***หนุ่มหน้ามนคนชอบลองของ จะสมน้ำหน้าก็กระไรอยู่คนตายไปแล้ว
คนสักยันต์หรือคนมีครูอย่างเราๆเขาไม่ทำกันอย่างนี้หรอกมันเป็นการดูถูกครูบาอาจารย์
เรื่องยังไม่จบแค่นั่นเดือดร้อนถึงหลวงพ่อเปิ่น
ซึ่ง***ตัวการหนังเหนียวเรื่องนี้เป็นบุคคลที่มาสักยันต์กับท่าน
ผู้เขียนเองไม่อยากใช้คำว่าศิษย์กับบุคคลประเภทนี้
ทางตำรวจได้มาขอร้องว่าให้หลวงพ่อเลิกทำการสักยันต์เพราะคนที่รับการสักยันต์บางบุคคลได้ไปทำการผิดกฎหมาย
เกเร หลวงพ่อท่านตอนแรกก็ยังมิได้ตัดสินใจเลิก เพียงแต่ตอบไปว่า
ศิษย์ของท่านมีมามายนับไม่ถ้วนมิสามารถควบคุมได้ทุกคน
และคนที่มาสักยันต์เขามาขอความช่วยเหลือ
ความเป็นพระจะปฎิเสธยังไงละ...เพียงไม่นานก็มีพระผู้ใหญ่มาบีบท่านให้เลิก
ก็เลยปิดตำนานเข็มสักอันลือลั่นของลุ่มแม่น้ำนครชัยศรีคลเหลือเพียงแต่พระลูกวัดที่คอยเป็นลูกมือท่านช่วยสักยันต์ให้และให้ท่านคอยเป่ากำกับอีกครั้งหนึ่ง

ตัวผู้เขียนได้เข้าไปหาท่านก็ตอนท่านเลิกสักยันต์แล้วตอนนั้นก็มีท่านเจ้าสัวชื่อดังของภูเก็ตทราบข่าวความดังของหลวงพ่อท่าน
เข้าไปหาพร้อมๆกับตัวผู้เขียนเองท่านคือดร.ไมตรี บุญสูง
คนวงการพระเครื่องและคนภาคใต้รู้จักท่านดี
ดร.ไมตรีท่านผู้นี้แหละศิษย์ฆราวาสแถวหน้าอีกท่านในสายเขาอ้อ
เป็นลูกศิษย์อาจารย์ชุม ไชยคีรีผู้โด่งดังจากผู้ร่วมสร้างพระเสด็จกลับ
ท่านดร.ไมตรีได้มาขอสักยันต์กับหลวงพ่อเปิ่น
แต่น่าเสียดายท่านได้ออกวาจาไปแล้วว่าวางเข็มไม่สักให้ผู้ใดแล้ว
ท่านดร.ได้แต่เก็บความต้องการไว้ในใจตลอดมาจนวัหนึ่งหลวงพ่อท่านเห็นความตั้งใจอันแน่วแน่
จึงรับดร.ไมตรีเป็นลูกบุญธรรม และทำการสักยันต์สร้อยสังวาลย์ให้
นับว่าเป็นรอยสักสุดท้ายของตำนานเสือเผ่นอันโด่งดัง
ซึ่งการรับดร.ไมตรท่านเป็นลูกบุญธรรมนั่นเป็นการไม่ผิดสัจจะแต่อย่างใดเพราะท่านเอยวาจาว่าจะไม่สักยันต์ให้ศิษยืคนใดแต่ดร.ไมตรีเป็นลูกก็ไม่ได้ผิดข้อตกลงอันใด
เป็นความอันชาญฉลาดของหลวงพ่อท่านที่สามารถแก้ปัญหาไปได้
ตัวผู้เขียนเองก็พยายามขอร่วมแจมด้วยแต่บารมีไม่ถึงเลยได้แค่ลายสักยันต์ของอาจารย์ญาไป
แต่ท่านก็เมตตาเป่ากำกับให้ทุกครั้ง
ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าถึงจะไม่ได้รับการสักยันต์จากท่านแต่ถ้าเราระลึกถึงและมีจิตศรัทธา
ก็เหมือนกัน ตัวผู้เขียนได้ทำการสักเสือเผ่นไว้ที่หน้าอก มีเก้ายอดแปคทิศ
ตบท้ายด้วยหมูทองแดง
ประสบการณ์ที่เกี่ยวกับการสักยันต์ของท่านนั้นก็มากมายเหลือเกินแต่ครั้งที่จำได้เสมอไม่เคยลืม
พึงเข้าใจว่าของแรงเป็นอย่างนี้เอง
ก็ตอนที่ตัวผู้เขียนถูกลูกหลงจากการทำข่าวพฤษภาทมิฬ
คนที่อยู่ในเหตุการณืวันนั้นคงทราบโดยเฉพาะนักข่าวอย่างเราๆ เป็นตายเท่ากัน
กระสุนโดนเข้าเต็มอก ไม่ใช่ดอกเล็กๆนะ เอ็ม16เม็ดเท่าดินสอแท่งใหญ่
ตัวกระเด็นไปไกลมากคิดว่าไม่รอดแน่แล้ว วันนั้นพระติดตัวก็มีแค่หลวงพ่อจง
หลวงพ่อสุด หลวงพ่อเปิ่น และลายสักยันต์หลวงพ่อเปิ่น
เพื่อนร่วมชะตากรรมเล่าให้ฟังว่า ตัวผู้เขียนไม่ได้แค่โดนนัดเดียว
เพราะดูจากกระเป๋ากล้ง และเสื้อกั๊กที่ใส่รูไม่ต่ำกว่าห้านัด
เห็นกระเด็นไปไกลมากไม่นึกว่าจะรอดทุกคนนอนก้มลงกับพื้นเสียงร้องดังลั่น
คนตกใจกันทั่วตัวเพื่อนผู้เขียนเองกว่าจะลุกขึ้นตามหาเจอก็เกือบครึ่งชั่วโมง
โดนหิวไปอยู่ข้างริมถนน ข้าวของแตกหักเสียหายไปหมด รอดมาได้
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
คุณครูบาอาจารย์โดยแท้ที่รอดมาได้สิ่งศักสิทธิ์เวลาท่านช่วยก็มาช่วยตอนที่เราเดือดร้อนจริงๆและ***จำพวกชอบลองของ
ของขึ้นแบบคิดไปเองเลิกเถอะหลานๆเอ๋ย!!
เป็นการดูถูกครูบาอาจารยืชีวิตมันจะไม่เจริญเอานะ ตัวเราเองนั่นแหละรู้ดี
อย่าสร้างกระแสความนิยมของขึ้นหรือการลองของเลย
ตัวหลวงพ่อท่านเองก็เคยพูดต่อหน้าศิษย์นับพันเลย ว่า
พวกของขึ้นมันจิตอ่อนคิดไปเอง ความศักสิทธิ์เกิดจากความศรัทธา
และความเชื่อมั่น ครูบาอาจารย์ก็จะคุ้มครองเอง
เด็กๆสมัยนี้คงไม่เคยได้ยินคำนี้เพราะคงไม่ทันหลวงพ่อ
ลองเอาคำถามนี้ไปถามหลวงพ่อแล วัดพระทรง หรือหลวงพ่อ
ที่สักยันต์ชั้นแนวหน้าคนไหนดูก็ได้ ว่าของขึ้นเป็นอย่างไร
แต่ตัวผู้เขียนเองไม่ปฎิเสธว่าไม่มีเลยทีเดียว
แม้แต่ตัวผู้เขียนเองก็เคยของขึ้นเมื่อได้ไปสักยันต์กับอาจารย์เสือ
ก่อนหน้านี้ผู้เขียนเคยเล่าเรื่องท่านไปบางส่วน
ตัวผู้เขียนได้ไปทำการสักยันต์พาลีกับท่าน
ตัวลูกศิษย์อาจารย์เสือท่านเตือนว่าสักของพวกลิงพวกหนุมาณจากอาจารย์เสือไประวังหน่อยนะเดี๋ยวจะมีเรื่องมีราวรับน้องกันเสียก่อน
ตัวผู้เขียนเองก็แก่คราวลุงแล้วจะให้ไปรับน้องสถาบันไหน
เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงนั่งทานข้าวต้มกับลูกน้อง
โดนมือดีข้างโต๊ะทะเลาะกันมีของแถมโยนขวดมาโดนศรีษะดังเปรี้ยง ของขึ้นเลย
พึ่งเคยเป็นครั้งแรกในชีวิต
ตอนฟุบตัวลงไปเหมือนคนกึ่งหลับกึ่งตื่นแต่เห็นตัวเราเองไปลุยกับวัยรุ่นกลุ่มใหญ่อย่างลืมอายุ
ลูกน้องเล่าให้ฟังว่าตัวผู้เขียนเมื่อโดนขวดล้มลงไปแล้วก็ลุกขึ้นหน้าตาดุดันร้องเสียงกระโฉกโหกหาก
พ่มตัวกระโดดปล้ำตะลุ่มบอนอย่างไม่เกรงกลัวเรียกได้ว่า5ต่อ1
พวกวัยรุ่นทั้งรุ่มทั้งต่อย
แต่ก็สู้แบบไม่รู้สึกเหนื่อยจนพวกวัยรุ่นวิ่งหนีเตลิดไปรู้สึกอีกทีก็หน้าบวมแต่ไม่ยักมีเลือดแต่บวมมากๆดูหน้าตากันไม่ออกเลย
ลูกน้องรีบวิ่งมาดูบอกคำเดียวว่าต้องเย็บแต่
ตัวผู้เขียนเองแค่นำผ้าเย็นมาลูบหน้าสักพักก็ยุบเองสร้าความประหลาดใจให้ลูกน้องมาก
ว่าอายุอานามก็ขนาดนี้แล้วเอาแรงมาจากไหน ตัวผู้เขียนก็ได้แต่ยิ้มและบอกว่า
ของดีเขาไม่ให้อวดกัน พวกขี้อวดไปไม่รอดหลอก
นั้นถือประสบการณ์ของชายวัยใกล้ปลดเกษียณ ที่ทำให้เด็กรุ่นลูกเห็น
กลับไปคราวนี้ได้พูดคุยกับเรื่องนี้กับท่านอาจารย์เสือ
ท่านบอกว่าครูของสายท่านแรงมากนะอย่าได้ล้อเล่น
การที่โดนคราวนี้ท่านเตือนให้มีสติ ทำอะไรให้ครองสติเอาไว้
พวกกินเหล้าเมายาไม่มีสติครูบาอาจารย์ท่านไม่ชอบหลอก
ท่านขึ้นให้เห็นว่ามีอยู่จริงให้รักษาเอาไว้ให้ศรัทธาและเชื่อ
อย่าเอาไปใช้อย่างไม่มีความคิด พอถึงเวลาเข้าจริงๆแล้วใครจะมาช่วยเรา
ถ้าตัวเราเอาไปลองของจนไม่เหลืออะไรแล้ว
แล้วทำไมตอนสักยันต์ถึงไม่ขึ้นเหมือนท่านอาจารย์อื่นๆละ..เป็นคำถามที่ผู้เขียนถามเพราะความอยากรู้

ท่านตอบว่าก็อย่างที่พูดนั่นแหละขึ้นซะตอนนี้แล้วเอาเข้าจริงอย่างที่เอ็งไปเจอแล้วใครจะช่วย
เออจริง !! ซุปเปอร์แมนไม่ได้บินมาช่วยเราทุกวัน
ถ้าวันหนึ่งเรามัวแต่ลองของเพราะความอยากรู้เอาอขาจริงคงลำบาก
แต่โดยส่วนตัวของผู้เขียนคิดว่าท่านอาจารย์เสือไม่อยากทำให้ของขึ้นทั้งๆบางทีมีศิษย์มาให้ปลุกก็ขึ้นบ่อยๆ
อาจเป็นเพราะท่านไม่อยากให้เกิดความคึกคะนองได้ใจ
ตัวผู้เขียนเคยเขียนประวัติท่านลงในคอลัมน์พระเครื่องเล่มหนึ่งนานมาแล้วเมื่อ5-6ปีก่อนตอนท่านอยู่คลองถม

ท่านอาจารย์เสือถึงจะมีอายุน้อยกว่าตัวผู้เขียนแต่ความนับถือของผู้เขียนเองมิได้น้อยตามอายุเลย
เพราะชื่อเสียงของท่าน และความที่ท่านเป็นคนตรง พูดจริงทำจริง
มิเคยมีประวัติที่เสียหายอันใด เรียนมาจากพระอาจารย์จริง
เรียนจากท่านไหนมามีหลักฐานเป็นภาพถ่าย ตำราทุกท่าน มิได้โคมลอยขึ้นมา
การที่เป็นอาจารย์ทางสายนี้ได้ต้องรู้ทุกด้าน รู่เรื่องราวที่สืบทอดกันมา
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีที่มาและที่ไป มีครูถึงมีศิษย์
ไม่ใช่เอายันต์ใครมาและบอกว่าเป็นของตัวเอง
ตัวท่านอาจารย์เสือไม่เคยพูดว่าท่านเป็นผู้วิเศษเลยท่านจะเรียกตัวเองว่าศิษย์มีครู
เราเป้นแค่ผู้มีวิชา วิชาเกิดจากการเรียนรู้ ต้องมีครู
ถึงเรียนมาจากหนังสือก็เป็นครูเหมือนกัน ตัวเราเอง
ที่ทำของเสกของได้ดีก็เพราะครูบาอาจารย์ท่านมาช่วยเราเกิดมาตัวเปล่ามิได้มีอะไรติดตัวมา
ท่านเป็นคนถ่อมตัวมาก คมในฝัก เป็นคนเก็บตัวไม่ค่อยชอบพบปะผู้คน
มีความเป็นส่วนตัวสูง พระเกจิอาจารย์ที่เก่งๆก็เป็นแบบนี้หลายท่าน
ท่านเคยพูดกับผู้เขียนหลายครั้งว่าอยากจะหยุดสักยันต์
เพราะธุรกิจทางบ้านเยอะมากไม่มีเวลาดูแลทั่วถึง
ไหนจะกิจของสงฆ์ที่มาให้ช่วยสร้างพระ ปลุกเสกวัตถุมงคล
แค่นี้วันๆก็ไม่พักผ่อนแล้ว
เดี๋ยวนี้ใครจะพบท่านต้องนัดล่วงหน้าไม่อย่างงั้นส่วนใหญ่อด
ท่านอาจารย์เสือมักพูดกับศิษย์ทุกคนเสมอๆว่าเอาของดีเราเก็บไว้บูชาเมื่อเราไม่อยู่หรือไม่มีเวลาช่วยแล้ว
ยังมีของๆเราไว้ช่วยเหลือ จะไม่โดนใครหลอกลวง
มีลูกศิษย์ท่านหนึ่งทำกิจการโดนคู่แข่งกลั่นแกล้ง ทั้งคดีฟ้องร้อง
ส่งคนมาข่มขู่แถมร้ายสุดโดนทำของใส่ มาหาอาจารย์เสือตามคำแนะนำของเพื่อน
ท่านไม่พูดอะไรมากมอบวัวธนูตัวเล็กไปตัวหนึ่งและแนะนำวิธีใช่ให้แล้วบอกไม่ต้องห่วงอะไรพ่อวัวบูชาเขาดีๆยึดติดเข้าไว้ให้มากๆ
ทุกอย่างจะสมหวัง ปรากฎว่า
ผ่านไปอาทิตย์หนึ่งศิษย์คนนี้กลับมาพร้อมบายศรีชุดใหญ่มาถวายให่อาจารยืเสือบอกทุกอย่างสำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อคดีความชนะ
คนที่ส่งมาทำร้ายก็เกิดอุบัติเหตุปางตาย
ของที่ถูกส่งมาได้ข่าวว่าอาจารย์ผู้กระทำเป็นบ้าเป็นบอไป
เป็นเรื่องที่หน้าประหลาดมากสำหรับวัวธนูของท่านถ้าใครได้ไปหาท่านจะเห็นวัวธนูที่ท่านบูชาอยู่เรียงรายคอยเป็นกำแพงกั้นผู้ที่ไม่หวังดีมาทำร้ายอาจารย์และยังสามารถให้โชคให้ลาภแก่ศิษย์ได้
มีศิษย์ท่านหนึ่งเปิดร้านค้าTattoo บริเวรใกล้เคียง รถที่ซื้อมาป้ายแดงหาย
มาขอความช่วยเหลือท่านอาจารย์เสือ
ท่านให้บอกลองบนพ่อวัวดูสิท่านเก่งนักเรื่องนี้ เพียงแค่เดือนเดียว
รถกลับมาจอดในสภาพเดิมป้ายยังแดงอยู่ทั้งๆในใจเจ้าของคิดว่าปานนี้คงข้ามฝากไปชายแดนหรือไม่ก็เป็นอะไหล่ไปแล้ว
ต้องกลับมาแก้บนพ่อวัวยกใหญ่
หลายๆท่านไปหาอาจารย์เสือมักถูกพ่อกุมารทั้งหลายที่ท่านเลี้ยงอยูแกล้งประจำบางคนโดนจี้เอว
โดนสะกิตหลังจนตกใจกันเป็นแถว
ท่านอาจารย์เสือบอกว่ากุมารของฉันเลี้ยงมาเป็น30ปีเลี้ยง
ทุกองค์ก็แรงๆทั้งนั่นละนะซนจนห้ามไม่อยู่บางคนโดนเข้าฝันให้ซื้อขนม
น้ำแดงมาฝาก บางคนบนอะไรก็ได้อย่างรวดเร็ว
ของดีๆท่านมีเยอะมากเรียกได้ว่าอยากได้อะไรบนได้ทุกอย่าง
...ท่านที่เดือดร้อนร้องมาขอความช่วยเหลือดู
ส่วนตัวผู้เขียนเองเมื่อปลายปีบนขอรถประจำตำแหน่งสักคัน
ก็สมหวังอย่างหน้าประหลาดใจแก้บนกันยกใหญ่
ช่วงเร็วๆนี้ท่านอาจารย์เสืออาจต้องไปที่เขมรบ่อยครั้งเพื่อไปทำธุระ
ยังไงท่านใดต้องการไปพบท่านกรุณาโทรล่วงหน้านัดท่านด้วย ส่วนศิษย์พี่
ๆน้องๆทั้งหลายอย่าลืมนะครับทุกวันพฤหัสเราครอบครูกันทุกอาทิตย์เพื่อความเป็นศิริมงคล
ขออโหสิกรรมในสิ่งที่เราทำผิดไปกับครูบาอาจารย์ บุหรี้ พวงมาลัย เงินพานครู19
บาทเท่าเดิม
ส่วนตัวผู้เขียนตอนนี้รับงานนอกเขียนเรื่องพระเกจิอาจารย์หลายๆท่านลงหนังสือพระเล่มหนึ่งอยู่
ข่าววงในหลายๆเรื่องจะมาเล่าสู่กันฟัง มีหลายท่านถามเรื่อง จตุคามรามเทพ
คือใครทำไมดังนัก เห็นแขวนกันองค์เท่าจานบิน จะเล่าให้ฟังในคราวหน้า
แต่ผู้เขียนเตือนไว้นิดหนึ่งว่ามีบุคคลเข้ามาทำเป็นธุรกิจในสายจตุคามมากขึ้น
รุ่นไหนที่แพงไปวัตถุประสงค์ไม่ชัดเจนก็เลี่ยงๆนะโยม แล้วเจอกัน
ศิษย์สายเข็มทองอาจารย์หนุ่ม วัดบางแวก จรัญ13 ไหว้ครูใหญ่ วันที่29มิถุนายนนะ
พร้อมเพรียงกัน หลวงพ่อบุญสิงห์ วักกลางดาวคะนองเดือนหน้า
จำวันที่ไม่ได้ใครรู้บอกหน่อย
ชอบเรื่องฝังเหล็กไหลแท้จะมาบอกคราวหน้าว่าที่ไหนของจริงอย่าไปฝังมั่วๆนะจะเตือย
เหล็กไหลปลอมฝังไปเป็นสนิมขั้นตายเลยนะท่าน เจอกันครามหน้า สามเณรใจสิงห์


604
คัดลอกจาก http://www.buddhaamulet.com/gaji/nerng_don.asp

ประวัติ

หลวงพ่อเงิน เป็นบุตรคนที่ ๔ ของโยมบิดาชื่อพรหม ซึ่งเป็นแพทย์โบราณ ส่วนมารดานั้นชื่อกรอง ได้อุบัติขึ้นเมื่อวันอังคาร ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๑๐ พ.ศ. ๒๔๓๓ ณ ที่บ้านตำบลโคกยายหอม จังหวัดนครปฐม พออายุได้ประมาณ ๑๓ ขวบ ได้บรรพชาเป็นสามเณร บางท่านว่าท่านไปศึกษาและอยู่กับพระอธิการชุ่ม วัดท่ามะเดื่อซึ่งเกี่ยวข้องเป็นญาติทางฝ่ายบิดา ครั้นเมื่อท่านอายุครบ ๒๐ ปี ได้อุปสมบทที่วัดดอนยายหอม โดยมีพระปลัดฮวย เป็นพระอุปัชฌาย์ ตั้งฉายาหลังบวชให้ว่า "...จนทสุวณโณ..." หลวงพ่อเงินตั้งแต่ท่านบวชขยันท่องมนต์ทั้ง ๗ ตำนาน ๑๒ ตำนาน ตลอดจรพระปาฏิโมกข์ท่านก็ว่าได้

อาจารย์พุทธาคมของท่านที่สำคัญ คือ พ่อพรหม บิดาของท่าน นอกจากนั้นยังได้ศึกษาเพิ่มเติมกับพระอธิการชุ่ม วัดท่ามะเดื่อ ต่อมาในราวปี พ.ศ. ๒๔๕๙ พระปลัดฮวย วัดดอนยายหอม ได้แต่งตั้งให้ท่านเป็นรองเจ้าอาวาส ครั้นพระปลัดฮวยมรณภาพแล้ว หลวงพ่อเงินจึงได้เป็นสมภารปกครองวัดเรื่อยมา อนึ่งหลวงพ่อเงินท่านเป็นพระที่ปฏิบัติเคร่งในพระธรรมวินัย มีชาวบ้านเคารพเลื่อมใสท่านมาก ท่านได้พัฒนาวัดดอนยายหอม และสนับสนุนในการสร้างถาวรวัตถุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน สุขศาลา การประปา ไฟฟ้า ฯลฯ กระทั่งชาวนครปฐมสดุดียกย่อง ท่านว่าเป็นผู้นำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ดอนยายหอม อย่างแท้จริง

หลวงพ่อเงิน หรือ พระราชธรรมมาภรณ์ ในอดีตที่ท่านมีชีวิตอยู่นั้น พุทธศาสนิกชนทั้งใกล้ และไกลนครปฐม ต่างพากันสดุดีและขนานนามท่านว่า "...เทพเจ้าแห่งดอนยายหอม..." ดังยกอุทาหรณ์คุณงามความดีบางอย่าง มาสนับสนุนคำกล่าวข้างต้นคือ

หลวงพ่อเป็นผู้นำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ดอนยายหอม

หลวงพ่อเป็นที่รักเคารพอย่างสูงส่งของชาวตำบลดอนยายหอม

หลวงพ่อท่านช่วยปกป้องคุ้มครองภัย และช่วยให้ชาวดอนยายหอมพ้น จากความหายนะ หรือภัยร้ายจากโจรที่เข้ามาทำลายทรัพย์สิน ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๗๗ ขณะที่ข้างในนากำลังสุกและชาวบ้านได้เก็บเกี่ยวอย่างชุลมุน เสือหยด เสือพาน เสือเซียน และเสือฟุ้งทั้ง ๔ คนจากถิ่นอื่นได้ร่วมใจกันบุกปล้นชาวบ้านตำบลดอนยายหอมกว่า ๒๐ ครอบครัว เรื่องนี้ได้รู้ถึงหลวงพ่อเงินวัดดอนยายหอม ท่านได้กำชับชาวตำบลดอนยายหอมว่า "...พวกโจรพวกนี้ได้ใจจะกลับมาปล้นใหม่อีกใน ๖-๗ วันข้างหน้า..." พวกชาวบ้านเมื่อได้ยินหลวงพ่อกล่าวเช่นนั้นจึงเตรียม ปืน ผา หน้าไม้ และรวมกำลังสามัคคีเพื่อป้องกันภัยที่จะเกิดขึ้น พอถึงวันที่ ๗ ตามคำบอกเล่าของหลวงพ่อเงิน ปรากฏว่าพวกโจรได้หวนกลับมาทำการปล้นอีกจริงๆ และครั้งนี้พวกโจรเสียท่า ถูกชาวบ้านดอนยายหอมจับ และรุมซ้อมโจรเสียสะบักสะบอม จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ชื่อเสียงของหลวงพ่อเงินยิ่งขจรขจายไปทั่วทิศ

กิตติคุณหลวงพ่อเงินยังมีอีกมากมายหลายสิบเรื่อง ซึ่งจะไม่ขอกล่าวถีง

ปัจจุบันวัตถุมงคลเหรียญหลวงพ่อเงินรุ่นแรก ได้รับความนิยมทั่วเมือง นครปฐม และกรุงเทพฯ

ที่มา... หนังสือของ คุณ สามารถ คงสัตย์


605
ดร.ไมตรี บุญสูง

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

606
ชื่อและนามสกุลนี้เป็นที่รู้จักกันดีของคนในวงการพระเครื่องตลอดเวลาที่ผ่านมาท่านมักจะได้รับเชิญให้ไปเป็นประธานจัดสร้างวัตถุมงคลหลายครั้ง รวมทั้งได้ช่วยวัดสร้างพระมาจนนับไม่ถ้วน โดยได้พูดไว้อย่างน่าคิดว่า "เพื่อต้องการจะช่วยวัดสร้างเสนาสนะหรือ บูรณะปฏิสังขรณ์สิ่งต่างๆ ภายในวัดนั่นเอง โดยไม่ได้หวังผลประโยชน์ใดๆงานบางแห่งคณะกรรมการที่สร้างพระแล้วมีผลประโยชน์แอบแฝง ไม่โปร่งใส มีพุทธพาณิชย์เข้ามาเกี่ยวข้อง หากทราบก็จะถอยออกมาทันที" ส่วนเหตุผลที่ได้รับเชิญให้เป็นประธาน คณะกรรมการ รวมทั้งนั่งปลุกเสกวัตถุมงคลนั้น ดร.ไมตรี บอกว่า น่าจะมาจากหลายฝ่ายได้ยินกิตติศัพท์มาว่า เป็นคนหนึ่งที่ได้ศึกษา วิชาไสยศาสตร์มาจาก พระอาจารย์นำ ชินวโร (นำ แก้วจันทร์) วัดดอนศาลาอ.ควนขนุนจ.พัทลุงโดยบิดาของท่านก็เป็นอาจารย์ที่เก่งกล้าทางไสยศาสตร์ทำให้พระอาจารย์นำมีโอกาสศึกษาวิชาทางไสยศาสตร์เบื้องต้นตั้งแต่เป็นเด็ก
นอกจากนี้แล้วพ่อยังได้บอกให้พระอาจารย์นำ นำไปฝากให้ศึกษา วิชาเวทมนตร์คาถากับ พระอาจารย์ทองเฒ่า วัดเขาอ้อ ซึ่งเป็นผู้มีชื่อเสียงมากในสมัยนั้น มาถึงวันนี้ก็ไม่กลัววิชาไสยศาสตร์นี้จะสูญหายไปไหน เพราะได้ถ่ายทอดไว้ให้กับลูกชายทั้งหมดแล้ว อย่างไรก็ตาม ถ้าได้เป็นประธานสร้างพระเครื่องที่ไหน ก็จะต้องใช้คาถาประจำใน ระหว่างประกอบพิธีดังกล่าวด้วย แต่ถ้าถามว่าเป็น คาถาอะไรนั้น ดร.ไมตรี สามารถบอกได้ แต่เพียงว่าเป็น คาถาที่ปลุกเสกให้วัตถุมงคล มีความเข้มขลัง มีบางคนถามเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ว่ามีจริงไหม ดร.ไมตรี ยืนยันว่า มีจริงเพราะมีประสบการณ์มากับตัวเอง จะให้อธิบายให้ฟังก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถบอกเล่า ให้ทุกคนได้เข้าใจอย่างถ่องแท้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ในความรู้สึกตลอดมาอยากจะบอกว่า พุทธคุณในองค์พระเครื่องต่างๆ มีจริง โดยจะเกิดกับคนที่แขวนพระที่มีความศรัทธาและจิตก็ต้องเป็นหนึ่งเดียว สำหรับความหมายของคำว่า "เอกัคตา" นั้น ดร.ไมตรี อธิบายให้ฟังว่า เอกัคตา คือ จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียว หรือเอกัคตาจิต หรือ "จิตรวม" หรือ "ได้ฌาน" เป็นขกณิกะสมาธิ พอลุกออกจากการนั่งสมาธิไม่ทันไร สมาธิก็หมดตามไปด้วย หมดเวทนา หรือทุตยฌาน ขณะนั้นถือว่าจิตใจก็ไม่ได้มีอารมณ์อื่นใดอีกเลย หมายความว่าไม่ได้คำนึงถึง รูป เสียง กลิ่น รส หรือการสัมผัสถูกต้องแต่ประการใดทั้งสิ้น แน่วแน่เอาแต่อารมณ์ที่เพ่งอย่างเดียวเท่านั้น จึงได้ชื่อว่า เอกัคตาจะสามารถเผาหรือข่มกามฉันทนิวรณ์ได้ วิชาเหล่านี้หากใครนำเอาไปทำเล่นไม่จริงจังก็จะไม่ดีต่อตัวเอง ทำอะไรก็จะมีแต่ความทุกข์เรื่อยไป
"วิชาไสยศาสตร์นี้ใครรับแล้วต้องมีสัจจะ ต้องทำจริงๆ ใครผิดสัจจะต่อครูบาอาจารย์ ทำอะไรก็จะผิดหมด เรื่องแบบนี้หากเราไปพูดให้ใครฟัง บางคนเชื่อก็แล้วไป แต่บางคนเขาไม่เชื่อในสิ่งที่เราพูด เขาจะหาว่าเราบ้าก็ได้ หรืออาจถูกมองว่าเราเป็นคนงมงายไปเลยก็มี ตรงนี้จึงอยากให้มองเป็นเรื่องของ ความเชื่อส่วนบุคคลจะดีกว่า ใครที่เคยแขวนพระเครื่องแล้วมีประสบการณ์ตรงนี้เขาจะเข้าใจได้ และรู้อยู่แก่ใจว่าเขาไปเจออะไรบ้าง ชีวิต หน้าที่การงานเขาดีขึ้นไหม เราจะเห็นว่าคนที่แคล้วคลาดจากการรอดตาย ทางอุบัติเหตุมากมายก็มีทางเป็นไปได้ว่าเกิดจากพุทธคุณของพระนั่นเอง" นี่คือความเชื่อเกี่ยวกับพุทธคุณจากพระเครื่องของ ดร.ไมตรี
ดร.ไมตรี กล่าวว่า การแขวนพระ ก็เพื่อให้เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจมากกว่า เมื่อแขวนแล้วมีความศรัทธา พลังปาฏิหาริย์ก็จะเกิดขึ้นมาเอง
นอกจากเป็นคนเชื่อในเรื่องของปาฏิหาริย์แล้ว ดร.ไมตรี ยังในกฎแห่งกรรม ใครทำดีก็ย่อมได้ดี ใครทำชั่วก็ย่อมได้ชั่ว แล้วยังเชื่อว่าชาตินี้มีจริง ชาติหน้าก็ต้องมีจริง ซึ่งผลของ การกระทำจะเกิดให้เห็นได้ทั้งชาตินี้และชาติหน้า เช่นเดียวกับคนเราที่เกิดมาได้ก็ด้วยกรรม ตัวเราก็คือกรรม เกิดมาก็ต้องมาชดใช้กรรม และคนเราก็จากไปด้วยกรรม ส่วนคนที่จะมีกรรมดีหรือกรรมชั่วก็เลือกกันเอาเอง ตรงนี้ไม่มีใครบังคับได้ เมื่อมีชีวิตอยู่เราจะสร้างกรรมดีหรือกรรมชั่วเท่านั้นเอง
"ชาติหน้าใครเกิดในภพภูมิที่ดีก็ต้องสร้างบุญกุศลไว้ให้มาก เพื่อจะได้เกิดในภพที่เป็นมนุษย์ แต่ถ้าใครไม่ทำบุญก็ต้องไปเกิดในภพที่เป็นอมนุษย์ ประกอบด้วยกิเลสตัณหา คนเราจะไปในภพภูมิที่ดีได้ก็อยู่ ที่การปฏิบัติจริงๆ ศีล ๕ ต้องครบ และต้องมีหิริโอตตัปปะ ละอายต่อบาป แล้วยังต้องมี พรหมวิหาร ๔ เป็นหลักธรรมสำหรับทุกคน เป็นหลักธรรมประจำใจที่จะช่วยให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างประเสริฐและบริสุทธิ์ หลักธรรมนี้ได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มนุษย์เรามีแค่นี้ก็เป็นมนุษย์ที่ประเสริฐแล้ว" ดร.ไมตรี กล่าวทิ้งท้าย


607
พระครูเกษมธรรมนันท์ (แช่ม ฐานุสฺสโก)
วัดดอนยายหอม
ตำบลดอนยายหอม อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม

ชื่อเดิม :
  แช่ม อินทนชิตจุ้ย
 
ชาตะ
 วันพุธที่ ๖ มีนาคม ๒๔๔๙ ตรงกับวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะเมีย ที่บ้านหมู่ที่ ๑ ตำบลดอนยายหอม อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม เป็นบุตรคนที่ ๓ ของนายเนียม และนางอ่ำ อินทนชิตจุ้ย
 
อุปสมบท :
 ที่อุโบสถวัดดอนยายหอม ในวันศุกร์ที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๖ ปีเถาะ โดยมีพระครูอุตตรการบดี (สุข) วัดห้วยจรเข้ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูทักษิณานุกิจ (เงิน) วัดดอนยายหอม เป็นพระกรรมวาจารย์ และพระครูวินัยธร (ใย) วัดบางช้างใต้ เป็นพระอนุศาสนาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า "ฐานุสฺสโก"
 
การศึกษา :
 ในด้านพระปริยัติธรรม หลวงพ่อแช่ม สอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอก ปี พ.ศ. ๒๔๘๖ จากนั้นได้หันมาศึกษาด้านการปฎิบัติ โดยได้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐาน และพระเวทวิทยาคมต่างๆจากหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงพ่อรุ่ง วัดดอนยายหอม หลวงพ่อคง วัดบางกะพร้อม และพระครูอุตตรการบดี (สุข) วัดห้วยจรเข้
 
สมณศักดิ์ :   
 - ปี พ.ศ. ๒๕๐๖   เป็นพระครูฐานานุกรมของพระราชธรรมาภรณ์ (เงิน) ในตำแหน่งพระครูปลัดแช่ม
 
 
 - ปี พ.ศ. ๒๕๑๒   เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะชั้นโท ฝ่ายวิปัสสนา ที่ พระครูเกษมธรรมานันท์
 
 
 - ปี พ.ศ. ๒๕๑๖   เป็นพระอุปัชฌาย์
 
 
 - ปี พ.ศ. ๒๕๒๐   เป็นเจ้าอาวาสวัดดอนยายหอม
 
 
 - ปี พ.ศ. ๒๕๒๔   ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นเอก วิปัสสนา พัดพุฒตาลขาว ในราชทินนามเดิม
 
ผลงานด้านการพัฒนา :
 สมัยที่หลวงพ่อเงินยังมีชีวิตอยู่ หลวงพ่อแช่มเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง สำคัญของหลวงพ่อเงินในการพัฒนาสร้างสรรค์สาธารณประโยชน์ต่างๆ มากมาย เมื่อหลวงพ่อเงินมรณภาพไปในปี พ.ศ. ๒๕๑๙ หลวงพ่อแช่ม ได้สืบทอดเจตนารมณ์ของหลวงพ่อเงินต่อไป
 
 
 ๑. การบูรณปฎิสังขรณ์เสนาสนะ กุฎิสงฆ์ และถาวรวัตถุต่างๆในวัดดอนยายหอม
 
 
 ๒. เป็นประธานอุปถัมภ์ในการสร้างวัดตะแบกโพรงสามัคคีธรรมที่อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
 
 
 ๓. สร้างโรงเรียนหลวงพ่อแช่มอุปถัมภ์ (ฉิมเกตุ อ่อนอุทิศ) ที่ตำบลคลองจินดา อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม
 
 
 ๔. สร้างตึกคนไข้ ๔ ชั้น ที่โรงพยาบาลศูนย์นครปฐม อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม
 
 
 ๕. จัดหาทุนสร้างหอประชุมอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม
 
ชื่อเสียงกิตติคุณ :
 เชื่อกันว่าหลวงพ่อแช่มสำเร็จเตโชกสิณตั้งแต่พรรษายังน้อย บางคนเชื่อว่าท่านสำเร็จฌานอภิญญามีพลังจิตเข้มขลัง ปรากฏการณ์ที่ทำให้ชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ก็คือ สามารถอธิษฐานจิตปลุกเสกจนน้ำมนต์เทไม่ออก วัตถุมงคลต่างๆที่ท่านอธิษฐานจิตปลุกเสก มีพุทธคุณครบเครื่องทุกๆด้าน แต่ที่โดดเด่นที่สุดคือ เมตตามหานิยม ปัจจุบันวัตถุมงคลชุดสำคัญๆของท่านเริ่มเป็นที่นิยมและสะสมกันมากขึ้น นอกจากพระเครื่องและวัตถุมงคลต่างๆแล้ว น้ำพระพุทธมนต์ แป้งเจิม มงคลสวมคอ การผูกหุ่นพยนต์ และสาริกาลิ้นทอง เป็นวิชาเฉพาะตัวที่หลวงพ่อทำได้ขลังยิ่งนัก
 
มรณภาพ :
 วันพฤหัสบดีที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ รวมสิริมายุได้ ๘๗ ปี พรรษา ๖๗
 

608
พระครูธรรมานุกูล (ภู จนฺทเกสโร)

วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม กรุงเทพฯ

โดย ไตรภาคี

คัดลอกจาก http://www.soonphra.com/geji/poo/index.html

ประวัติ วัดอินทรวิหาร
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?

เดิมชื่อ วัดอินทาราม หรือ วัดบางขุนพรหมนอก ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าผู้ใดเป็นคนสร้าง แต่มีเรื่องเล่ากันว่า เจ้าอินทร์ หรือ อินทะวงศ์ มีศักดิ์เป็นน้าชายของเจ้าน้อยเขียวเมืองเวียงจันทร์ เป็นผู้ปฏิสังขรณ์ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ธิดาของเจ้าอินทะ คนหนึ่งมีนามว่า เจ้าทองสุก กับเจ้าน้อยเขียว ได้เป็นพระสนมของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

ในสมัยนั้น เมืองเวียงจันทร์ยังเป็นเมืองขึ้นของกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้ทรงพระราชทานที่ดิน แถบที่ตั้งวัดอินทรฯ ในปัจจุบัน ให้เป็นที่อยู่ของชาวเวียงจันทร์ เจ้าอินทร์ได้นิมนต์ท่านเจ้าคุณพระอรัญญิก ซึ่งมีเชื้อสายชาวเวียงจันทร์ มาปกครองวัด

มูลเหตุการเปลี่ยนชื่อ
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๓ พระองค์เจ้าอินทร์ในกรมพระราชวังบวรมหาศักดิ์พลเสพย์ ได้บูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถส่วนการเปลี่ยนชื่อเพราะเนื่องจากชื่อวัด ไปตรงกับวัดอินทาราม (ใต้) ฝั่งธนบุรี จึงได้เปลี่ยนเป็น วัดอินทราวิหาร เพื่อไม่ให้ซ้ำกัน ในสมัยรัชกาลที่ ๖

พระพุทธรูปที่สำคัญ ของวัดอินทรวิหาร
๑. พระประธาน ในพระอุโบสถ

๒. พระศรีสุคต อังคีรสศากยมุนี

๓. พระศรีอริยเมตไตรย์ หรือ หลวงพ่อโต

ความสัมพันธ์ของ เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) กับหลวงปู่ภู
พระศรีอริยเมตไตรย์เป็นพระพุทธยืนอุ้มบาตร สูงใหญ่ที่สุดในเมืองไทย ซึ่งท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ได้เริ่มต้นสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ และหลวงปู่ภู เป็นผู้ดำเนินงานก่อสร้างต่อจนแล้วเสร็จ

ปกติ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านมักจะสร้างพระพุทธรูปที่ใหญ่โต สมกับชื่อเพื่อเป็นพุทธบูชา (อุเทสิกเจดีย์) ไว้เป็นที่สักการะบูชา และปริศนาธรรมควบคู่ไปด้วยตามประวัติท่านสร้างไว้หลายแห่งเช่น

๑. ที่วัดสะตือ จังหวัดอยุธยา ได้สร้างพระนอน มีความหมายว่า ท่านได้เกิดที่นั่น ต้องนอนแบเบาะก่อน

๒. ที่วัดเกศไชโย สร้างพระพุทธรูปปางนั่งหมายถึงท่านหัดนั่ง ณ ที่นั้น

๓. ที่วัดอินทรวิหาร สร้างพระศรีอริยเมตไตรย์ (พระยืนอุ้มบาตร) หมายถึงท่านหัดยืน ณ ที่นั้น

ในขณะที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ดำเนินงานก่อสร้างหลวงพ่อโต ท่านก็ได้หลวงปู่ภู เป็นกำลังสำคัญ เพราะท่านเจ้าประคุณสมเด็จสร้างพระโต ไปได้เพียงครึ่งองค์ก็สิ้นชีพตักษัยเสียก่อน ตามหลักฐานขณะนั้นหลวงปู่ภูอายุได้ ๔๓ ปี พรรษาที่ ๒๓ นับว่าชราภาพมากแล้ว

ความสัมพันธ์ของเจ้าประคุณสมเด็จโตกับวัดอินทรวิหาร
เมื่อเยาว์วัยท่านเจ้าพระคุณสมเด็จ (โต) ได้เป็นศิษย์ของท่านเจ้าคุณอรัญญิก (แก้ว) ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสอยู่ในสมัยนั้นตามหลักฐาน ท่านเจ้าคุณธรรมถาวร (ช่วง) มีความใกล้ชิดกับเจ้าประคุณสมเด็จดี ได้เคยกล่าวกับพระยาทิพโกษาฯ ว่าถ้าอยากรู้ประวัติของท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ก็ไปดูภาพฝาผนังโบสถ์ที่วัดอินทรฯ ได้

นอกจากนี้ในสมัยที่หลวงปู่ภูยังมีชีวิตอยู่ท่านได้สั่งกำชับ และสอนลูกศิษย์ทุกคนห้ามมิให้ขึ้นไปบนพระโต เนื่องจากเจ้าประคุณสมเด็จได้บรรจุของดีไว้ภายในฐาน ถ้าใครขึ้นไปจะเป็นอัปมงคลแก่ตัวเอง ส่วนของดีนั้นเข้าใจว่าอาจจะเป็นพระเครื่องสมเด็จก็ได้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าซักถามหลวงปู่ว่า ภายในบรรจุอะไรไว้ เพราะตลอดระยะเวลา ที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ดำเนินงานก่อสร้างหลวงพ่อโตและบรรจุของศักดิ์สิทธิ์ หลวงปู่ได้รู้เห็นโดยตลอด ถ้าของที่บรรจุไว้ไม่ใช่ของสูงท่านคงไม่กำชับลูกศิษย์ลูกหาของท่านเป็นแน่

เอาละครับตอนนี้ข้าพเจ้าขอนำท่านผู้อ่านได้มารู้จักกับชีวประวัติของพระครูธรรมานุกูล
พระครูธรรมานุกูล นามเดิมชื่อว่า ภู เกิดที่หมู่บ้านตำบลวังหิน อำเภอเมือง จังหวัดตาก ในปี พ.ศ. ๒๓๗๓ ตรงกับปีขาลโดยบิดามีนามว่า นายคง โยมมารดามีนามว่า นางอยู่ พออายุได้ ๙ขวบ บิดามารดาได้พาไปบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดท่าคอย ได้ศึกษาเล่าเรียกอักขระสมัย (ภาษาขอม) และหนังสือไทย กับท่านอาจารย์ วัดท่าแคจนกระทั่งอายุได้ ๒๑ ปี จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในปี พ.ศ. ๒๓๙๔ ณ พัทธสีมา วัดท่าคอย โดยมี พระอาจารย์อ้น วัดท่าคอย เป็นพระอุปัชฌาย์พระอาจารย์คำ วัดท่าแค เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์คำ วัดท่าแค เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์มา วัดน้ำหัด เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายานามทางพระว่า "จนฺทสโร"

เมื่อบวชแล้วได้จำพรรษาอยู่ สำนักวัดท่าแคชั่วระยะหนึ่งก็ได้ออกเดินธุดงค์ จากจังหวัดตากมาพร้อมกับพระพี่ชาย คือ หลวงปู่ใหญ่

สำหรับวัดท่าแค ในสมัยที่หลวงปู่ภูจำพรรษาอยู่ นั้นยังเป็นวัดเล็กๆ เข้าใจว่าโบสถ์ยังไม่ได้สร้างท่านจึงได้มาอุปสมบท ที่วัดท่าคอยแล้วกลับไปจำพรรษาอยู่ที่วัดเดิมอีก ปัจจุบันวัดท่าแคนี้ตั้งอยู่ตรงเชิงสะพานกิตติขจรฝั่งตัวจังหวัดตากตำบล เชียงเงิน อำเภอเมือง ปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็นวัดชนะสงคราม

ในสมัยที่หลวงปู่ภูเดิมธุดงค์มากรุงเทพฯ ครั้งแรก ท่านได้เล่าให้ศิษย์ใกล้ชิดฟังว่า ได้มาปักกลดอยู่ ณ บริเวณที่ตั้งวังบางขุนพรหม (ธนาคารแห่งประเทศไทย) สมัยนั้นพื้นที่บริเวณนั้นยังเป็นป่ารกร้างว่างเปล่าและเปลี่ยวมาก มีแต่ต้นรังต้นตาลที่ขึ้นระเกะระกะไปหมด นอกจากนี้ยังมีทางเกวียนทางเท้าเป็นช่องเล็กๆ พอเดินไปได้เท่านั้น ท่านได้มาปักกลดอยู่บริเวณชายแม่น้ำเจ้าพระยา พอตกกลางคืนได้นิมิตฝันไปว่า ได้มีคนนำเอาตราแผ่นดินมามอบถวายให้ท่าน ๓ ดวง เมื่อท่านตื่นขึ้นมาก็ได้พิจารณาถึงนิมิตนั้นพอจะทราบว่า ท่านเองจะมีอายุยืนยาวถึง ๑๐๓ ปีเศษ

การเดินธุดงค์ของหลวงปู่นับตั้งแต่เดินทางออกมาจากวัดท่าแคเข้าจำพรรษาที่วัดในกรุงเทพฯ สันนิษฐานจากคำบอกเล่าของท่านที่ได้เล่าให้ศิษย์ใกล้ชิดฟังว่า ได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดสระเกศฯ ได้ช่วยชีวิตรักษาคนป่วย เป็นอหิวาตกโรคไว้ ๖ คนซึ่งยุคนั้นถือว่าอหิวาตกโรคร้ายแรงมาก ยังไม่มียาจะรักษาถ้าใครเป็นมีหวังตายลูกเดียว และในปี พ.ศ. ๒๔๑๖ ซึ่งเป็นปีที่อหิวาตกโรคระบาดหนัก จนเป็นที่กล่าวขวัญเรียกกันจนติดปากว่า "ปีระกาห่าใหญ่"

ต่อมาท่านได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัดสามปลื้ม ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นวัดจักรวรรดิ์ราชาวาสและได้ย้ายไปจำพรรษาอยู่ วัดโมลีโลกยาราม (วัดท้ายตลาด) ตามลำดับ

กาลต่อมาได้ย้ายไปจำพรรษาอยู่ที่วัดอินทาราม ซึ่งในสมัยนั้นยังใช้ชื่อวัดบางขุนพรหมนอก ในปี พ.ศ. ๒๔๓๒ และได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๔ ส่วนสมณศักดิ์ที่หลวงปู่ได้รับไม่ปรากฏหลักฐานว่าได้รับตำแหน่งในปีใด เข้าใจว่าได้รับก่อนปี พ.ศ. ๒๔๖๓ เพราะตามหลักฐาน ศิลาจารึกเกี่ยวกับการสร้าง พระศรีอริยเมตไตรย์ มีข้อความตอนหนึ่งกล่าวไว้ว่า

ถึง พ.ศ. ๒๔๖๓ ท่านพระครูธรรมานุกูล (ภู) ผู้ชราภาพอายุ ๙๑ ปี พรรษาที่ ๗๐ ได้ยกเป็นกิตติมศักดิ์อยู่ในวัดอินทรวิหาร ท่านจึงได้มอบฉันทะ ให้พระครูสังฆบริบาล ปฏิสังขรณ์ต่อมาจนสำเร็จ

ท่านได้มรณภาพลงเมื่อ วันเสาร์ที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ ตรงกับวันขึ้น ๑๓ ค่ำเดือน ๖ ปีระกา เวลา ๐๑.๑๕ น. รวมสิริอายุได้ ๑๐๔ ปี ๘๓ พรรษา นับว่าท่านได้ยกเป็นพระครูกิตติมศักดิ์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๖๓ จนถึงวันมรณภาพเป็นเวลา ๑๓ ปี

จากบันทึก จริยาวัตร ของหลวงปู่ภู
จริยาวัตรซึ่งลูกศิษย์รุ่นสุดท้ายที่ได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้ท่าน จนถึงบั้นปลายชีวิตได้บันทึกเรื่องราวของหลวงปู่ภูไว้โดยละเอียดเกี่ยวกับการเดินทางธุดงค์ และการสร้างอิทธิวัตถุมงคลต่างๆ ของท่านไว้สมบูรณ์ที่สุด ผมจะขอนำมากล่าวไว้เพื่อเป็นเกียรติประวัติแด่ท่าน ณ ที่นี้

การถือธุดงค์เป็นกิจวัตร

สมัยที่หลวงปู่ยังแข็งแรงดี ท่านจะถือธุดงค์วัตรมาโดยตลอด พอออกพรรษา ท่านจะออกรุกขมูลมิได้ขาดท่านเคยเล่าให้ลูกศิษย์ฟังเสมอว่า ได้ร่วมเดินธุดงค์ไปกับท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) เป็นบางครั้งบางคราวบางทีท่านออกธุดงค์ก็มีพระภิกษุติดตามด้วยท่านได้เล่าให้ฟังว่า ถึงเรื่องแปลกๆที่ด้ออกรุกขมูลไปตามป่าเขามากมายหลายเรื่องซึ่งล้วนแล้วแต่ตื่นเต้นน่าอ่านมาก

ผจญจระเข้

ในสมัยที่เดินธุดงค์ มีอยู่คราวหนึ่ง ท่านได้ปักกลดพักอยู่ใกล้บึงใหญ่แห่งหนึ่ง ใกล้บริเวณนั้นมีหมู่บ้านเล็กๆ ที่ชาวบ้านปลูกอาศัยอยู่ ๒-๓ หลัง ขณะนั้นเป็นเวลาใกล้เที่ยงวัน อากาศร้อนอบอ้าว ท่านจึงได้ผลัดผ้า-อาบ และลงสรงน้ำในบึงใหญ่ พอดีชาวบ้านแถบนั้นเห็นเข้า จึงได้ร้องตะโกนบอกท่านว่า "หลวงตาอย่าลงไป มีจระเข้ดุ" แต่ท่านมิได้สนใจ ในคำร้องเตือนของชาวบ้าน ท่านกลับเดินลงสรงน้ำในบึงอย่างสบายใจ ในขณะที่กำลังสรงน้ำอยู่นั้น ท่านได้แลเห็นพรายน้ำเป็นฟองขึ้นเบื้องหน้ามากมายผิดปกติ เมื่อได้เพ็งแลไปจึงได้เห็นหัวจระเข้โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ ห่างจากตัวท่านประมาณ ๓ วา พร้อมกันนั้นเจ้าจระเข้ยักษ์ มันหันหัวมุ่งตรงรี่มาหาท่านแต่ท่านก็มิได้แสดงกิริยาหวาดวิตกแต่ประการใดไม่ กลับยืนสงบตั้งจิตอธิษฐานเจริญภาวนาจนจระเข้ว่ายมาถึงตัวท่าน พร้อมกับเอาปากมาดุนที่สีข้างของท่านทั้งด้านซ้ายและด้านขวา ข้างละ ๓ ครั้ง แล้วก็ว่ายออกไป มิได้ทำร้ายท่าน

เรื่องนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ต่อชาวบ้านที่ยืนดูอยู่บนฝั่ง เมื่อท่านขึ้นจากน้ำชาวบ้านต่างบอกสมัครพรรคพวก เข้าไปกราบนมัสการด้วยความเลื่อมใสศรัทธายิ่งนักและได้ขอของดีจากท่านคือ ตะกรุด ท่านได้บอกกับลูกศิษย์ว่าในขณะที่เผชิญกับจระเข้ ท่านได้เจริญภาวนา อรหัง เท่านั้น

เสือเลียศีรษะ

ท่านได้เล่าให้ฟัง คราวที่เดินธุดงค์รอนแรมไปในป่าใหญ่เพียงองค์เดียวในขณะที่เดินอยู่กลางป่า ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายมากแล้ว พร้อมกับร่างกายเหนื่อยล้า อ่อนเพลียมาก เพราะท่านออกเดินทางตั้งแต่เช้ายังมิได้หยุดพักเลย พอเห็นต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ริมทางเกวียนร่มรื่นดี จึงได้หยุดพักอยู่โคนต้นไม้นั้น บังเอิญเกิดเคลิ้มหลับไป ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ปักกลดเพราะคิดว่าจะนั่งพักสักครู่พอหายเหนื่อยก็จะเดินทางต่อไปในขณะที่กำลังหลับเพลินอยู่นั้น ก็มาสดุ้งตื่นอีกครั้ง เมื่อรู้สึกว่ามีอะไรมาเลียอยู่บนศีรษะของท่าน ท่านจึงได้ผงกศีรษะขึ้นพร้อมกับหันหลังไปดู ก็เห็นเสือลายพาดกลอนขนาดใหญ่ยาวประมาณ ๘ ศอก ยืนผงาดอยู่แต่มิได้ทำร้ายประกานใด พอเจ้าเสือลายพาดกลอน มันรู้ว่าสิ่งที่มันเลียอยู่นั้นรู้สึกตัวตื่นขึ้น มันกลับเดินเลยไปเสียมิได้ทำร้าย ท่านได้เล่าให้ลูกศิษย์ฟังพร้อมกับหัวเราะ หึ หึ ว่า ตอนเสือมันเดินผ่านไป ได้ยินเสียงข้อเท้าของมันดังเผาะๆ ในเวลาเดิน

ผจญงูยักษ์

เนื่องจากการเดินธุดงค์ของท่าน ออกจะแปลกสักหน่อย ตรงที่ไม่ค่อยเลือกเวลา เพราะว่าส่วนมากพระภิกษุองค์อื่นๆ มักจะเดินกันตอนกลางวัน ก่อนตะวันตกดินถึงจะหาสถานที่ปักกลด ส่วนหลวงปู่ภู ท่านมิได้เดินเฉพาะกลางวันเท่านั้น ตอนกลางคืนท่านก็ออกเดินด้วยเพราะท่านเชื่อมั่นในตัวเอง อีกทั้งวิชาอาคมที่ได้ร่ำเรียนมา ท่านก็ถือว่า สามารถคุ้มกายท่านได้

มีอยู่คราวหนึ่ง ท่านได้ออกเดินธุดงค์ในเวลากลางคืน โดยอาศัยแสงจันทร์ เป็นเครื่องส่องนำทาง แต่ก็ไม่สว่างมากนัก พอจะมองเห็นบ้างทั้งนี้ เพื่อจะมุ่งหน้าไปถึงหมู่บ้านตอนเช้า เพื่อรับบิณฑบาต การเดินทางกลางป่าดงดิบรกรุงรังไปด้วยแมกไม้นานาชนิด อีกทั้งเถาวัลย์ระแกะระกะเต็มไปหมด แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อท่านนัก

ในขณะที่ท่านกำลังเดินผ่านสถานที่แห่งหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงซู่ๆ และเสียงใบไม้ดังกรอบแกลบคล้ายเสียงสัตว์เลื้อยคลานผ่านท่านก็หยุดเดิน เพื่อดูให้แน่ว่าเป็นเสียงอะไร พอท่านหยุดเดินเจ้างูยักษ์ก็โผล่หัวออกมาจากดงไม้ ตัวโตเท่าโคนขาและตรงเข้ารัดลำตัวของท่านโดยรอบ ท่านตั้งสติยืนตรงพร้อมกับเอากลดยันไว้มิได้ล้มลง เจ้างูยักษ์ยันพยายามจะฉกกัดใบหน้าของท่าน แต่ท่านได้สติ ยืนนิ่งทำสมาธิจิตเจริญภาวนาอยู่ครู่หนึ่ง เจ้างูใหญ่ตัวนั้นมันก็คลายจากการรัดร่างของท่านแล้วเลื้อยเข้าป่ารกไป มิได้ทำอันตรายแก่ท่าน

อธิษฐานบาตรลอยทวนน้ำ

สำเร็จสุดยอดต้องใช้เวลา ปฏิบัติวิชาละ ๑๐ ปี จะเสกน้ำมนต์ให้เดือดได้ ต้องเรียนถึง ๑๑ ปี เต็มฉะนั้นการศึกษาวิชาอาคมของท่าน กว่าจะสำเร็จจะต้องใช้เวลาถึง ๗๑ ปีเต็ม

กิจวัตรประจำวัน

ตลอดระยะเวลาที่หลวงปู่ภูมีชีวิตอยู่ ท่านมิได้ใช้เวลาให้ว่างเปล่า ทุกเวลาของท่านมีค่ามาก มุ่งหน้าปฏิบัติมีพุทธภูมิเป็นที่ตั้ง การร่ำเรียนวิชาอาคมมา ก็เพียงเพื่อช่วยเหลือ ผู้ที่กำลังทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บนับว่าท่านมีเมตตาธรรมสูงส่ง

การที่ท่านมุ่งมั่นเรียนวิชา ดูเมฆ หรือเรียกกันว่า วิชาเมฆฉาย ในพจนานุกรม หมายความว่า "การอธิษฐาน" โดยบริกรรมด้วยมนต์คาถาจนเงาของคนเจ็บลอยขึ้นไปในอวกาศ แล้วพิจารณาดู คนเจ็บนั้นเป็นอะไร

ส่วนวิชากสิณนั้นหมายถึง อารมณ์ที่กำหนดธาตุทั้งสี่ มีปฐวี อาโป เตโช วาโย อัน มีวรรณ ๔ คือ นีล ปีต โลหิต โอกทาต อากาศแสงสว่าง ก็คือ อาโลกกสิณ

ซึ่งวิชาทั้งสอง ที่ท่านได้เพียรพยายามศึกษาเมื่อมุ่งช่วยเหลือมวลมนุษย์ ที่ประสบเคราะห์กรรมเป็นต้น

การบำเพ็ญปฏิบัติของท่านจะเริ่มขึ้นหลังจากท่านได้ฉันจังหันแล้ว คือเวลา ๗.๐๐ น. ตรง ตลอดชีวิตท่านฉันเพียงมื้อเดียว(ถือเอกา)มาโดยตลอด ผลไม้ที่ขาดไม่ได้ คือ กล้วยน้ำว้าท่านบอกว่าเป็นโสมเมืองไทย

ท่านออกบิณฑบาตทุกวัน ซึ่งถือเป็นกิจวัตรของพระสงฆ์ที่พึงปฏิบัติทั้งๆ ที่ท่านไม่จำเป็นจะต้องออกก็ได้ เพราะเจ้าฟ้าสมเด็จกรมพระนครสวรรค์พินิจ ได้จัดอาหารมาถวายทุกวันแต่ท่านก็ได้บอกว่า การออกบิณฑบาตโปรดสัตว์เป็นกิจของสงฆ์

เมื่อท่านฉันจังหันเสร็จแล้ว ก็จะครองผ้าลงโบสถ์และลั่นดานประตู เพื่อมิให้ผู้ใดเข้าไปรบกวนท่าน จะเจริญพุทธมนต์ถึง ๑๔ ผูก วันละ ๗ เที่ยวแล้วจึงนุ่งวิปัสสนากรรมฐานต่อไปจนถึงเที่ยวทุกๆวัน ท่านเคยเล่าให้ศิษย์ใกล้ชิดฟังว่า ขณะที่นั่งกรรมฐานอยู่พอได้เวลาเที่ยง ทางการจะยิงปืนใหญ่ (เพื่อบอกเวลาว่าเที่ยงแล้ว)ในขณะที่ยิงปืนใหญ่ กูหงายหลังทุกทีพอท่านพักได้ชั่วครู่ก็จะบำเพ็ญเจริญภาวนาต่อไปจนถึงตีหนึ่ง จึงจะจำวัด

ถึงแม้ตอนท่านชราภาพ ท่านก็มิได้ขาดจากการลงทำวัตร เว้นแต่ท่านอาพาธหนักจนลุกไม่ไหวท่านก็เจริญวิปัสสนา โดยการนอนภาวนา ซึ่งในพระธรรมวินัยได้กล่าวไว้ เรื่องวิปัสสนากรรมฐานการปฏิบัติด้วยอิริยาบถ ๔ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน ก็ปฏิบัติได้ เป็นต้น

ท่านเคยเปิดก้นให้ลูกศิษย์ดู พร้อมกับถามลักษณะก้นของกูเป็นอย่างไร ลูกศิษย์ก็ตอบว่าก้นหลวงปู่ด้านเหมือนกับก้นของลิง หรือเสน ท่านจึงได้บอกว่า "ปฏิบัติอย่างนี้ ไม่ได้ดี แล้วจะดีเมื่อไหร่ คนที่เป็นอาจารย์เขา "จริง" อย่างเดียวไม่พอต้อง "จัง" ด้วยคือต้องทั้งจริงและจังควบคู่กันไป (ต้องรู้แจ้งแทงตลอด)

หยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า
ในคราวที่ทางการได้สร้างสะพานพระพุทธยอดฟ้าฯ แล้วเสร็จทางการได้จัดงานเฉลิมฉลองได้มีข่าวลือกันหนาหูว่า จะมีการยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นระบบประชาธิปไตยและจะมีการนองเลือด ข่าวนี้ได้ลือกันแพร่สะพัดมาเป็นเวลาแรมเดือน ก่อนที่จะกำหนดงานจนผู้คนแตกตื่นเกรงกลัวกันมาก พอมีงานเฉลิมฉลองสะพานบางคนก็ไม่กล้าออกจากบ้านไปเที่ยง ทางการก็ได้สั่งเตรียมพร้อม เพื่อรับสถานการณ์

ในขณะนั้นศิษย์ใกล้ชิดของหลวงปู่ในใจก็อยากจะไปเที่ยวดูงาน เพราะมีมหรสพการแสดงหลายอย่างแต่ก็ไม่กล้าไป จนกระทั่งเวลา ๖ โมงเย็นจึงได้อาบน้ำอาบท่าเสร็จแล้วก็คลานเข้าไปหาหลวงปู่ นั่งพัดให้ท่านจนหลวงปู่รู้สึกหนาว จึงได้ดุศิษย์ผู้นั้นว่า "หยุด กูไม่ร้อน ต่อไปพวกมึงซิจะร้อน" แต่ศิษย์ผู้นั้นหาได้ฟังไม่ กลับพัดอยู่ต่อไปท่านจึงได้หันมาดุเอาอีก "เอ๊ะอ้ายนี้แปลก วันนี้ทางการบ้านเมืองเขามีงานมีการที่สะพานพุทธฯ มีโขนมีลิเกกันทำไมมึงเป็นหนุ่มเป็นแน่นไม่ไปเที่ยวกันละวะ ดันทุรังนั่งพัดอยู่ได้ กูบอกไม่ร้อน แต่พวกมึงจะร้อนไปดูงานเถอะไป"

ศิษย์ผู้นั้นก็ตอบว่า "ผมไม่ไปละครับผมกลัวเขาลือกันว่าจะมีเรื่อง" เมื่อท่านได้ฟังแล้วก็หัวเราะ พร้อมกับพูดขึ้นว่า "ไป ไป๊ ไปดูงานให้สบายเถอะ ไม่ต้องกลัวและไม่ต้องห่วงกู มึงนับถือกูไหมล่ะ ถ้านับถือกู มึงต้องรีบไปได้แล้ว กูว่าเรื่องที่ว่าไม่มี" ศิษย์ผู้นั้นจึงได้กราบลาท่านออกไป เที่ยวงานฉลองสะพานพุทธฯ

หลังจากที่ศิษย์ผู้นั้นได้ไปเที่ยวงานกลับตอนตีหนึ่งเศษ ท่านยังไม่จำวัดจึงได้เข้ากราบท่าน ท่านก็สอบถามว่า มีการยิงกันตามข่าวลือหรือไม่ ศิษย์ได้เรียนท่านว่า ไม่มีครับ ท่านจึงได้พูดต่อไปว่า "อ้ายคนเดี๋ยวนี้มันพูดกันไปจริง" แล้วท่านก็หยุดนิ่งสักครู่จึงได้พูดต่อไปอีกว่า "เดือน ๗ แรม ๖ ค่ำ เวลาย่ำรุ่งเถอะมึงเอย ตูมเบ้อเร่อทีเดียว" ศิษย์คนนั้นก็สอบถามท่านอีกจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น หรือหลวงปู่ ท่านก็เพียงบอกว่า "มึงคอยดูไป มึงคอยดูไป"

คำกล่าวของหลวงปู่นั้น ต่อมาปรากฏว่า เป็นความจริงตามที่ท่านได้กล่าวไว้ คือได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ เกิดการต่อสู้กันที่วังบางขุนพรหม ในเวลาย่ำรุ่งและยังมีการต่อสู้อีกหลายแห่ง ตรงกับที่ท่านได้พยากรณ์ไว้ว่าเดือน ๗ แรม ๖ ค่ำเวลาย่ำรุ่ง

พอรุ่งเช้าลูกศิษย์ของท่าน ซึ่งรับราชการอยู่ในกองทัพเรือ แต่งตัวเข้าไปรายงานตัว แต่ก็ไม่สามารถจะเข้าไปทำงานได้ จึงกลับมาหาหลวงพ่อเข้าไปกราบนมัสการท่าน ท่านกลับลุกขึ้นไปหยิบจีวรคลุมศีรษะโผล่หน้าออกมา ให้เห็นเพียงนิดเดียว แล้วพูดขึ้นว่า "กูว่าแล้วนะปะไร" พอพูดจบท่านก็หัวเราะ สักครู่หนึ่งน้ำตาท่านได้ไหลซึมออกมาจากเบ้าตา (เข้าใจว่าคงจะสงสารกรมพระนครสวรรค์วรพินิต ซึ่งถูกจับเป็นตัวประกัน ในพระที่นั่งอนันตสมาคม) ท่านนั่งอยู่สักครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า "เออกูได้ทางแล้ว กูได้ทางแล้ว"

บอกใบ้ม้าแข่ง
พูดถึงเรื่องม้าแข่ง ซึ่งผู้คนติดกันชนิดถอดตัวไม่ขึ้น ในสมัยนั้นมีศิษย์ของหลวงปู่ก็ติดม้ากันงอมแงม พอจะถึงวันแข่ง ก็ได้นัดหมายเพื่อนมานั่งปรนนิบัติหลวงปู่ ขณะนั้นเป็นเวลาตอนกลางคืน ซึ่งหลวงปู่กำลังอารมณ์ดีอยู่ ท่านได้พูดขึ้นลอยๆ ว่า "อ้ายคนสมัยนี้ก่อนเวลาตายเขาเอาใส่โกศทอง เขาไม่ได้ใช้หีบไม้ เขาไม่เสียดายเขาใส่โกศทองจริงๆ นะมึงนะ โกศทองจริงนะมึงนะ" ท่านได้พูดซ้ำซากอยู่หลายครั้งหลายหน ศิษย์ที่นั่งอยู่ด้วยก็รู้ว่าท่านบอกใบ้ให้เพราะทุกคนรู้ว่าท่านมีญาณสูงสามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้

พอวันรุ่งขึ้นศิษย์ทั้งสองจึงได้ชวนกันเข้าสนามม้า จ้องดูว่าม้าตัวไหนสีเหลือง ในขณะนั้นได้มีจ๊อกกี้ของคอกพระปฎิพัทธภูบาล ใส่เสื้อสีเหลือง อยู่เพียงคนเดียวจึงได้ทุ่มซื้อแต่ก็ผิดหวังเพราะไม่เข้าหลักชัย พอเที่ยวที่สองก็แทงอีก แต่ไม่เข้าสักตัวเล่นเอาทั้งสองต่างเหงื่อกาฬแตก เพราะหมดเงินและนึกในใจที่หลวงปู่บอกใบ้มาผิดหมด พอเที่ยวที่ ๗ ม้าคอกนี้ก็เข้าแข่งอีก เป็นม้าเทศ แต่ข่าวว่าม้าตัวนี้เจ็บป่วยอีกทั้งตามประวัติไม่เคยชนะเลย พอม้าตัวนี้ลงสนามจึงไม่มีใครสนใจ แม้แต่ศิษย์ทั้งสองก็ไม่สนใจเช่นกัน แม้แต่ชื่อของม้าตัวนั้นก็ไม่สนใจ จนเสร็จสิ้นการแข่งขันม้าตัวนั้นก็ชนะแบบขาดลอย แต่มีชาวจีน ๒ คนที่นั่งอยู่ข้างๆ แทงไว้คนละใบ ถูกวิน ศิษย์ทั้งสองจึงได้ขอดูชื่อม้าตัวนั้น ก็ตกใจ เพราะมันชื่อ "โกลเด็นเอิร์น" ซึ่งแปลว่า "โกศทอง" ตรงกับที่หลวงปู่กล่าวไว้

หลวงปู่ต้องย้ายไปอยู่หลายวัด หวย ก.ข. หวยจับยี่กี เป็นเหตุ

ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ทางการได้อนุญาตให้ประชาชนเล่นหวย กันโดยชอบด้วยกฎหมาย ชาวบ้านต่างมุ่งหน้าเข้าหาพระเกจิอาจารย์ เพื่อขอหวยหวังเสี่ยงโชคตอนนั้นใครๆ ต่างเล่าลือกันว่าหลวงปู่ภูให้หวยแม่น ใครๆ ก็มุ่งหน้ามาขอหวยจากท่าน จนท่านเกิดความรำคาญ ที่ไม่ค่อยได้ปฏิบัติบำเพ็ญธรรมท่านจึงได้หลบไปจำพรรษาที่วัดโมลีฯ วัดสระเกศฯ วัดม่วงแค วัดสามปลื้มฯ บ้าง

ในคราวที่ท่านหลบมาจำพรรษาอยู่ วัดโมลีโลกฯ (ท้ายตลาด) ได้มีชายคนหนึ่งมาขอหวยท่านได้ปฏิเสธชายคนนั้นว่า "ไม่มี" แล้วท่านก็นั่งเจริญภาวนาต่อไป มิได้สนใจชายคนนั้น แต่ชายคนนั้นก็มิได้ละความพยายามนั่งเฝ้ารออยู่ตรงนั้น พอนานเข้าก็พูดขึ้นว่า "หลวงพ่อครับ ผมขอไอ้ที่แน่ๆ สักตัวครับ"

ถึงจะพูดอย่างไรท่านยังคงนิ่งเจริญภาวนาไปเรื่อยๆ ชายคนนั้นก็พูดซ้ำซาก จนท่านรำคาญหรือเกิดขัดใจอะไรไม่ทราบได้ ท่านได้ลุกขึ้นพร้อมกับเตะชายคนนั้น ตกลงไปจากหอไตรพร้อมกับพูดว่า "นี่แนะ ไอ้ที่แน่" ถึงชายคนนั้นจะถูกเตะตกหอไตร แต่ก็มิได้รับอันตรายและคิดเอาเองว่าหลวงปู่ใบ้หวยให้ จึงได้ตีกิริยาอาการของท่านว่าหมายถึง ต.เรือจ้าง ชายคนนั้นรีบกลับไปแทง วันนั้นหวยออก "ต.เรือจ้าง" นับว่าอัศจรรย์มาก

หยั่งรู้อนาคตและอดีต
ในสมัยนั้นข้าราชการส่วนมากนิยมตั้งคอกม้า มีข้าราชการชั้นโท ผู้หนึ่งก็ตั้งคอกม้าขึ้นได้เดินทางมากับเพื่อนเพื่อมาหาหลวงปู่ คิดว่าจะสอบถามท่านถึงการดำเนินงานจะประสบผลสำเร็จหรือไม่ ในขณะที่ทั้งสองเข้าไปกราบหลวงปู่ ยังไม่ทันได้บอกอะไร หลวงปู่กับพูดขึ้นก่อนว่า "ฉิบหายจ๊ะไม่ได้การดอก" แล้วท่านก็นิ่งเงียบ ชายทั้งสองจึงขอให้ท่านลงกะหม่อมให้แล้วกราบลาท่านออกมา ต่อมาอีกไม่นานคอกม้าของชายคนนั้นทุกครั้งที่ลงแข่งจะแพ้ทุก จนต้องเลิกกิจการไป เป็นจริงตามคำทำนายของท่านทุกประการ

มีเมตตาธรรมสูง

ได้มีลูกศิษย์ใกล้ชิดของท่านได้บันทึกคุณธรรมท่านไว้ ดังที่ข้าพเจ้าจะขอนำมาลงไว้ ณ ที่นี้ด้วย

"ก่อนข้าฯ เป็นศิษย์ได้ถวายตัวเป็นลูกรับใช้ปฏิบัติมาตั้งแต่ต้นจนอวสาน ข้าฯ ได้เห็นองค์ท่านช่วยทุกข์แก่สัตว์มนุษย์ทุกรูปวัยไม่แบ่งชั้นวรรณะ เสมอต้นหมดแม้จะเป็นเจ้า หรือขุนนางชั้นสายสะพายทองก็ตาม ตลอดจนยาจนเข็ญใจข้าฯ จึงปลาบปลื้มในองค์ท่านมิรู้หาย ตราบเท่าทุกวันนี้"

เรื่องการรักษาโรค ท่านเชี่ยวชาญมาก แต่ละวันจะมีผู้คนที่เจ็บไข้ไปหาท่าน ให้ช่วยรักษาปัดเป่าจนหายเช่น การรักษาฝีท่านจะถามว่า "จะเอาแตกหรือจะเอายุบ" แล้วท่านจึงรักษาให้ตามประสงค์ แต่ก็เป็นที่อัศจรรย์มากถ้าใครบอกว่าเอาแตกพอท่านรักษาเสร็จ คนไข้พอเดินยังไม่พ้นวัด ฝีจะแตกทันที

มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านป่วยจนไข้ขึ้นสูง เพราะไม่ได้ถ่ายมาหลายวัน หมอที่เป็นศิษย์บอกว่าจะต้องรักษาด้วยการสวนทวาร เพื่อให้ถ่ายจะได้ลดไข้ แต่ท่านก็ไม่ยอมให้สวน กลับบอกให้ลูกศิษย์ให้ไปหามะตูมมาหนึ่งลูก พร้อมกับผ่ามะตูม ท่านจึงตักมะตูมฉันไป ๓ ช้อน ส่วนที่เหลือให้ลูกศิษย์กิน พอเวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง ท่านก็ลุกไปถ่ายอุจจาระไข้จึงลดลง พอลูกศิษย์เห็นดังนั้นก็เกิดวิตกเพราะตนกินมะตูมผลนั้นไปมากกว่าหลวงปู่ แต่ปรากฏว่าศิษย์ผู้นั้นกับท้องผูกไปสามวัน ท่านได้พูดกับลูกศิษย์ว่า "ของทุกอย่างขึ้นอยู่กับการกำหนดจังหวะและเวลา"

ทดสอบหมอ

มีอยู่คราวหนึ่ง ขณะนั้นท่านอารมณ์ดี จึงได้พูดกับศิษย์ว่า "เขาว่ามึงเป็นหมอหรือ" ศิษย์คนนั้นเป็นนายแพทย์ได้ตอบท่านว่า "พอมีความรู้"ท่านก็ถามต่อไปว่า "มึงตรวจลมกูได้ไหม" ศิษย์ก็ตอบว่า "ได้" ท่านจึงนอนลงพิงหมอนขวานแล้วบอกให้ศิษย์ตรวจลม หมอคนนั้นได้เอามือจับชีพจรด้ายซ้ายแต่ไม่พบ เพื่อจับเหนือสะดือก็ไม่พบจนเวลาล่วงไปประมาณ ๒๐ นาที ก็ยังตรวจไม่พบ ท่านจึงสะบัดมือพร้อมกับพูดว่า "ยังไง มึงตรวจลมกูได้ไหม" ศิษย์ก็ตอบว่าตรวจไม่พบ ท่านจึงบอกว่า

"ยังงั้นมึงก็หมอลากข้าง นี่แหละเขาเรียกว่าลมกองละเอียด เขาทำให้เดินตามผิวหนังเท่านั้น มันยากหรือง่ายวะ"

หลวงปู่ภูมีเมตตาสูง

แม้แต่สัตว์ทุกชนิดยังไม่เกรงกลัว แต่ละตัวเชื่องมาก ในสมัยท่านมีชีวิตอยู่ จะมีอีกาบินมาเกาะต้นพิกุล ตอนเช้าพอท่านฉันจังหันเสร็จ มันก็จะบินมาเกาที่หน้าต่างกุฏิท่านจะปั้นข้าวสุกเสกแล้วยื่นให้มันกิน พอมันคาบข้าวสุกปั้นก้อนนั้น ท่านจะเอามือตบหัวมันเบาๆ แล้วมันก็จะบินออกไป เป็นเช่นนั้นอยู่ประจำ

ที่กุฏิของท่านจะมีไก่วัดมาอยู่บริเวณหน้ากุฏิท่านจำนวนมาก วันหนึ่งขณะที่ท่านเดินมาหน้ากุฏิ ยืนดูลูกไก่ที่เพิ่งออกจากไข่ใหม่ๆ ท่านให้ศิษย์เอาข้าวสารมา ๑ กำมือ พร้อมกับโปรยให้ลูกไก่กิน และยืนดูอยู่สักครู่แล้วจึงออกเดินพร้อมกับพูดว่า "กูไปละนะ กุ๊กๆ" ลูกไก่กลับวิ่งตามท่าน เมื่อท่านเห็นดังนั้นจึงพูดว่า "เจ้ามาตามกูทำไมไปอยู่กับแม่มึง" ลูกไก่ถึงได้วิ่งกลับไปอยู่กับแม่ไก่



[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

609
คลิกเมาส์ที่ใดก็ได้ในเฟรมนี้เพื่อเรียกเมนูด่วน


หลวงพ่อจง พุทธสโร

วัดหน้าต่างนอก

ตอนที่ ๙

เรื่องราวเกี่ยวกับปาฏิหาริย์ของวัตถุมงคลของหลวงพ่อจงได้เกิดประสบการณ์ให้เห็นเมื่อคราวที่เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่ตลาดบ้านแพน อำเภอเสนา ในคืนวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2529

หลังจากยามท้องถิ่นของตลาดบ้านแพนเคาะแผ่นเหล็กบอกเวลา 24.00 น. ผ่านไปเพียงชั่วครู่เดียวก็มีเสียงตะโกนขึ้นจากผู้คนที่มีบ้านเรือนอยู่ในซอยบางปูว่า "ไฟไหม้ ๆๆ" จากเสียงตะโกนนั้นเองได้สร้างความโกลาหลขึ้นโดยทั่วไป ในขณะเดียวกันที่เปลวไฟลุกขึ้นอย่างโชติช่วงนั้น เสียงปะทุจากเชื้อเพลิงก็ดังเปรี๊ยะ ๆ ติดต่อกันมิได้ขาดระยะ เพราะย่านนั้นเป็นเรือนไม้เก่า ๆ ย่อมเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี กว่าจะสกัดให้เปลวไฟสงบลงได้ก็เมื่อเวลาใกล้ฟ้าสางแล้ว จากการสำรวจความเสียหายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็ปรากฏว่ามีบ้านเรือนเสียหายทั้งสิ้น 46 หลัง ค่าเสียหายประมาณ 50 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นการสูญเสียจากไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่สุดของตลาดบ้านแพน

เมื่อทุกอย่างสงบเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่ามีบ้านเรือนจำนวนหนึ่งรอดพ้นจากความพินาศไปได้ ทั้ง ๆ ที่บ้านเหล่านั้นอยู่ติดกับบ้านหลังอื่น ๆ ที่ถูกไฟเผาผลาญไปหมดแล้ว

คุณแก้ว ขมคิ้ว เจ้าของร้านขายของชำและอาหารกระป๋องที่ชื่อร้าน "แก้ว" ตั้งอยู่บ้านเลขที่ ก. 437/2 ตรงข้ามตลาดสดเทศบาลเมืองเสนา ในบ้านของคุณแก้วนอกจากจะมีภาพแววหางกระยางของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ นครสวรรค์แล้ว คุณแก้วยังเป็นผู้ที่มีความศรัทธาเชื่อมั่นในหลวงพ่อจงยิ่งนัก ดังจะเห็นได้จากการที่คุณแก้วห้อยเหรียญหลวงพ่อจงรุ่นหยดน้ำเนื้อเงินลงถม อยู่ที่คอเป็นประจำเพียงเหรียญเดียว ทั้ง ๆ ที่คุณแก้วก็เป็นนักนิยมพระ และมีพระเครื่องอื่น ๆ จำนวนไม่น้อย แต่คุณแก้วก็ห้อยเหรียญหลวงพ่อจงเพียงเหรียญเดียว

"เหรียญหลวงพ่อจงนั้นเมตตามหานิยมและแคล้วคลาดดีนัก ห้อยเพียงเหรียญเดียวก็พอ"

และความเชื่อในเรื่องนี้ก็ปรากฏเป็นจริงขึ้นเมื่อเกิดเหตุไฟไหม้ครั้งนี้ ดังรายละเอียดที่คุณแก้วได้เล่าให้ฟัง คือ...

หลังจากที่คุณแก้วเข้านอนได้สักพักใหญ่ ๆ ก็ต้องตกใจตื่นเมื่อได้ยินเสียงเอะอะอึกทึกที่ข้างบ้านพร้อมกับมีเสียงตะโกนว่า "ไฟไหม้ ๆๆ" คุณแก้วจึงรีบถลันออกไปดูที่หน้าต่างด้านหลังบ้าน ก็ได้เห็นเปลวไฟกำลังลุกฮือขึ้นที่บ้านไม้หลังหนึ่งซึ่งอยู่ติดกับด้านหลังบ้าน เมื่อเห็นภัยกำลังจะมาถึงตัว คุณแก้วจึงรีบเก็บข้าวของสำคัญที่มีค่าเพื่อหนีไฟเสียก่อน ด้วยอารามตกใจภรรยาของคุณแก้วจึงหยิบโน่นคว้านี่ที่เป็นของจำเป็นและมีค่าพอที่จะหยิบฉวยได้ใส่ห่อผ้าเพื่อจำได้นำติดตัวหนีไฟไปด้วย

ส่วนคุณแก้วนั้นก็ย้อนกลับไปดูทิศทางของไฟอีกครั้งหนึ่ง ก็พบว่าในช่วงเวลา 2 - 3 นาทีนั่นเอง บ้านไม้หลังที่เป็นต้นเพลิงก็ถูกไฟไหม้จนท่วมหลังคา

คุณแก้วคิดว่าคราวนี้บ้านของเขาคงไม่อาจพ้นภัยได้แน่ จึงย้อนกลับเข้าไปในห้องช่วยภรรยาเก็บข้าวของต่าง ๆ ที่พอจะหยิบฉวยได้ทันใส่ห่อผ้า เพื่อรีบพากันหนีไฟออกจากบ้าน แต่ด้วยสัญชาตญาณของคนไทย เมื่อมีภัยถึงตัวก็ย่อมจะต้องระลึกถึงคุณพระคุณเจ้าเป็นที่พึ่ง คุณแก้วจึงหันหน้ากลับไปยังห้องนอนพร้อมกับยกมือขึ้นพนมรำลึกถึงคุณพระรัตนตรัย อันมีหลวงพ่อจงและหลวงพ่อปานเป็นที่สุด ตลอดจนบุพการีทั้งหลายที่ได้ล่วงลับไปแล้ว ขอให้คุ้มครองตนเองและครอบครัว พร้อมทั้งทรัพย์สินให้พ้นจากภัยพิบัติครั้งนี้ด้วยเถิด

เมื่อได้รำลึกถึงคุณพระคุณเจ้าเสร็จแล้ว คุณแก้วและภรรยาจึงรีบลงมาจากห้องนอนซึ่งอยู่ชั้นบน ขณะนั้นเองเปลวไฟก็ลามเลียเข้ามาทางหน้าต่างชั้นบนด้านหลังบ้าน ความรุนแรงของไฟลุกลามมาถึงบันไดที่จะลงสู่ชั้นล่าง ทั้งคุณแก้วและภรรยาจึงรีบวิ่งฝ่าเปลวไฟลงสู่ชั้นล่าง พอลงมาถึงชั้นล่างได้ คุณแก้วจึงรีบเปิดประตูเหล็กหน้าร้านให้ภรรยาซึ่งถือห่อของมีค่าอยู่หลบออกไปก่อนเพื่อนำสิ่งของเหล่านั้นไปฝากบ้านญาติ ส่วนคุณแก้วก็ตามออกมาภายหลัง

ในช่วงเวลาอันฉุกละหุกนั้นเองทั้งคุณแก้วและภรรยาก็มิได้คำนึงถึงทรัพย์สินและสินค้าที่อยู่ในร้านปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม ขอเพียงแต่ตนเองรอดชีวิตออกไปได้ก็พอแล้ว เมื่อทั้งคู่ออกมาพ้นบ้านแล้ว คุณแก้วก็จัดการปิดประตูเหล็กทันที เพื่อป้องกันบรรดานักฉวยโอกาสทั้งหลาย ในขณะที่ปิดประตูเหล็กลงนั้น คุณแก้วก็ได้พบว่ามีกระแสลมโชยมาเป็นระลอกใหญ่ กระแสลมนั้นพัดมาจากทางด้านหลังของคุณแก้ว และความแรงของลมได้พัดพาเอากระแสเปลวไฟย้อนกลับไปยังทิศทางตรงข้าม

เหตุการณ์ดังว่านั้นคุณแก้วก็ยังมิได้สนใจมากนัก เร่งให้ภรรยารีบหนีไปก่อน ส่วนตนเองจะได้คอยดูแลร้านและช่วยเหลือกันดับไฟเท่าที่จะทำได้จากนั้นคุณแก้วก็ไปช่วยเขาถือสายดับเพลิงจากรถดับเพลิงของเทศบาลที่จอดอยู่ในบริเวณนั้น

ในขณะที่ช่วยเขาดับเพลิงอยู่นั้น คุณแก้วก็ได้สังเกตเห็นว่ารังสีของเปลวไฟได้ผ่านพ้นบ้านตนเองไปแล้ว จึงได้แต่ช่วยกันดับไฟอยู่จนกระทั่งไฟสงบเอาเมื่อตอนใกล้สาง

หลังจากนั้นคุณแก้วก็เข้าไปสำรวจความเสียหายในบ้านของตนเอง ก็ปรากฎว่าฝาบ้านด้านข้างถูกไฟลามเลียจนดำไปหมด ส่วนด้านหลังบ้านซึ่งอยู่ติดกับบ้านต้นเพลิงถูกเปลวไฟเผาเสียหายเล็กน้อย ทั้งทรัพย์สินและสินค้ามิได้เสียหายเลย ทุกอย่างยังอยู่ในสภาพเดิม แม้แต่น้ำจากท่อดับเพลิงก็มิได้เข้ามาทำให้สิ่งใดในบ้านเปียกชื้นเลย ครั้งเมื่อทุกอย่างคงอยู่ในสภาพเดิม

คุณแก้วก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนนอนได้ถอดสร้อยคอทองคำซึ่งห้อยเหรียญหลวงพ่อจงรุ่นหยดน้ำเนื้อเงินลงถมวางไว้ที่หัวนอน แต่ในขณะนั้นไม่มีเสียแล้ว ทำให้เกิดใจเสียขึ้นมาทันที เพราะเป็นวัตถุมงคลเพียงอย่างเดียวที่ตนเองห้อยติดตัวเป็นประจำ ยังไม่รู้ว่าถูกผู้คนหยิบฉวยหรือตกหายในระหว่างฉุกละหุกเสียที่ไหน จึงได้แต่อธิษฐานในว่า "ถ้าบารมีของหลวงพ่อจงคุ้มครองลูกอยู่ก็ขออย่าให้ของนั้นสูญหายไปไหน จงได้คุ้มครองลูกตลอดไปด้วยเถิด"

เมื่อคุณแก้วได้พบกับภรรยาหลังจากที่ทุกอย่างสงบลงแล้ว จึงสอบถามเรื่องสร้อยคอที่แขวนเหรียญหลวงพ่อจงอยู่ซึ่งภรรยาของคุณแก้วก็ไม่สามารถให้คำตอบที่กระจ่างได้ เพราะความสับสนในคืนนั้น จนกระทั่งในเวลาต่อมา คุณแก้วและภรรยาก็ช่วยกันจัดข้าวของต่าง ๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ให้เข้าที่ และเมื่อแก้ห่อผ้าที่ห่อข้าวของต่าง ๆ หนีไฟนั้นออก ก็ได้พบสร้อยคอเส้นนั้นซุกอยู่ในหอผ้านั้นเอง ทำให้คุณแก้วมีความปีติเป็นอย่างยิ่ง





610
คลิกเมาส์ที่ใดก็ได้ในเฟรมนี้เพื่อเรียกเมนูด่วน


หลวงพ่อจง พุทธสโร

วัดหน้าต่างนอก

ตอนที่ ๘

เมื่ออรุณทอแสงจับขอบฟ้าวันที่ 24 มกราคม 2508 ทุกคนผู้เป็นศิษย์ใครบ้างจะรู้ว่า วันนี้แล้วสัญญาณแห่งความวิปโยคจะเริ่มขึ้น ตอนสายมีข่าวว่าหลวงพ่ออาพาธด้วยโรคอัมพาตหมดความรู้สึกทางซีกขวาไปแถบหนึ่ง ได้แพร่สะพัดไปสู่บรรดาศิษย์ทั้งหลายและแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วปานกระแสลมกล้า ตอนสายวันนั้นที่กุฎีหลวงพ่อคราคร่ำไปด้วยผู้มาเยี่ยมอาการอาพาธของหลวงพ่อ ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิตสาเหตุของการอาพาธครั้งนี้มีอยู่ว่า

เมื่อเวลาประมาณ 06.00 น. เช้าวันที่ 24 มกราคม หลวงพ่อเข้าสุขาตามเวลาปกติ ขณะเสร็จกิจแล้วท่านลุกขึ้นมากุฎีไม่ได้ เพราะซีกกายข้างขวาของท่านหมดความรู้สึก นายขัน และพระเพ็ง ขนติโก ผู้ปฏิบัติหลวงพ่อเห็นว่า ท่านสุขานานเกินควร จึงตามเข้าไปเปิดประตูสุขาพบว่าหลวงพ่อกำลังพยายามจะทรงกายลุกขึ้น จึงช่วยพยุงท่านมายังเตียงนอน สังเกตเห็นว่าปากข้างขวาของท่านเบี้ยวผิดปกติ ได้ยินเสียงหลวงพ่ออุทานว่า

"เขาเอาเราแน่ละคราวนี้ เขายึดเราหมดแล้ว"

เสมือนหนึ่งหลวงพ่อทราบว่า กายนครของท่านจะต้องประสบภาวะขั้นสุดยอดของกฏธรรมดาในอนาคตอันใกล้นี้ ปัจฉิมอุทานของหลวงพ่อคราวนี้ ทำให้ทุกคนใจหายวาบหนักใจในอาพาธของหลวงพ่อเป็นอย่างยิ่ง เพราะแต่ไหนแต่ไรมาหลวงพ่อไม่เคยอุทานเช่นนี้เลย ทุกคนซ่อนความทุกข์ใจไว้ภายใน เฝ้าปรนนิบัติพยาบาลท่านเป็นอย่างดี ระยะ 7 วันแรก หลวงพ่อพูดได้เกือบปกติ ฟังชัด เมื่อล่วง 7 วันแล้วเสียงของท่านเริ่มน้อยลง แหบเครือลงโดยลำดับ เพราะความชราแห่งสังขารอันเก่าแก่ยาวนานถึง 99 ปี ประกอบกับฉันอาหารได้น้อยด้วย

ต่อมาคณะศิษย์มีหลวงพ่อนิลเป็นประธาน ได้พร้อมใจกันมอบให้นายแพทย์สถานีอนามัยชั้นหนึ่งวัดโพธิ อำเภอบางบาล ร่วมด้วย นายประทิน อัมพานนท์ สถานีอนามัยพระขาว เป็นผู้ถวายการรักษาท่าน ในระยะนี้อาการของท่านทรงอยู่และดีขึ้นเล็กน้อย ด้วยความเอาใจใส่และความสามารถของแพทย์ ทุกคนภาวนาว่าแม้หลวงพ่อจะไม่หายขาดก็ขอให้พอทุเลาพอนั่งได้ก็ยังดี เพราะโรคนี้ใคร ๆ ก็รู้ว่า เป็นโรคที่รักษาให้หายขาดได้ยาก

วันแล้ววันเล่าผ่านไป อาการของหลวงพ่อเริ่มทรุดลง พูดไม่ได้ยินเสียง หายใจไม่สะดวก มีเสมหะมาก สังเกตว่าหลวงพ่อมีทุกขเวทนาอย่างหนัก แต่เสียงครวญครางอย่างสามัญชนมิได้มีรอดจากปากให้ใครได้ยินเลย เมื่อท่านเจ็บปวดก็เป็นเพียงแสดงอาการส่ายหน้าไปมาให้เป็นที่สังเกตว่าท่านไม่สบายเท่านั้น หลวงพ่อมีใจแท้อยู่เหนือเวทนาทั้งปวง ไม่หวั่นไหว ใช้อธิวาสขันตีที่ท่านมีอยู่เป็นปกตินิสัย ข่มความทุกข์ทรมานอันเกิดจากอาพาธกล้าได้อย่างน่าสรรเสริญยิ่ง

หลวงพ่อใช้ธรรมโอสถรักษาใจของท่านเองให้มั่นคงแจ่มใส ในยามที่ร่างกายเจ็บไข้ ได้นิมนต์พระมหาแสวง ฐิติสมฺปนฺโน ป.ธ. 5 วัดสันติการาม มาสวดสาธยาย ทวัตติงสาการ โพชฌงคปริตร อุณหิสวิชัย คาถาพระพุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณ อยู่เป็นนิจ แสดงว่า อาพาธนั้นจะชนะท่านได้ก็เพียงภายนอกเท่านั้น แต่ภายในอาพาธจะกล้ำกลายท่านไม่ได้เลย

ระยะที่หลวงพ่ออาพาธหนัก บรรดาศิษย์และผู้ที่เคารพนับถือทั้งใกล้และไกลไปมาเยี่ยมเยือน สดับตรับฟังอาการอยู่ทุกวันอย่างแน่นขนัดทุกคนมีใจตรงกันอยู่จุดเดียว คือ สนองพระคุณหลวงพ่อให้สมกับที่ท่านได้บำเพ็ญประโยชน์เป็นบุรพการีแก่ทุกคนมานานแสนนาน บางท่านแนะนำให้นำพาหลวงพ่อไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลสงฆ์บ้าง โรงพยาบาลอื่น ๆ บ้าง บรรดาศิษย์ขอขอบพระคุณในความปรารถนาดีของท่านเหล่านั้น แต่ไม่สามารถทำได้ เพราะเสียงส่วนใหญ่เห็นว่า หลวงพ่อชราภาพมากแล้วและอาการอาพาธก็หนัก ถ้าพาท่านเดินทางไปอาจเป็นการกระทบกระเทือนบอบช้ำ จนเป็นเหตุให้ท่านถึงมรณภาพเสียกลางทางก็อาจเป็นได้ จึงตกลงกันว่าขอให้หลวงพ่อได้หลับตาจากไปในท่ามกลางการสนองพระคุณของญาติและศิษย์ บนสยนาสนะที่หลวงพ่อเคยอาศัย ในท่ามกลางสถานวิเวกอันน่าอภิรมย์ด้วยดวงจิตอันสงบเถิด

แล้ววาระแห่งความโศกสลดก็มาถึง วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2508 ค่ำลงแล้ว ดวงจันทร์ใกล้วันมาฆะปุรณมีทอแสงจ้าแจ่มใส คล้ายเป็นประทีปส่องทางให้ท่านได้เดินทางไกลไปสู่สุคติภพอันสงบ ตอนหัวค่ำดูเหมือนหลวงพ่อจะมีอาการทุเลากว่าเวลาอื่นที่ผ่านมา ไม่มีวี่แววว่าอาการจะทรุดหนักลงเลย บรรดาผู้ที่นั่งเฝ้าอาการอยู่ดูอุ่นใจขึ้น ถวายยาประจำตามปกติแล้ว ก็ผลัดเปลี่ยนกันเข้าประคองท่าน พัดวีถวายเท่าที่สามารถจะทำได้ แม้ว่าหลวงพ่อจะผ่ายผอมจนผิดตา แต่ก็มีรัศมีอิ่มเอิบใบหน้ายิ้มแย้ม แสดงถึงความเมตตาอยู่เป็นนิจ

เวลาล่วงไป เสียงนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืน พระจันทร์โคจรขึ้นสู่วันใหม่ ดิถีแห่งวันมาฆปุรณมี วันจาตุรงคสันนิบาตแห่งพระพุทธศาสนาเริ่มขึ้นแล้ว หลวงพ่อหลับตานิ่งสนิท นาน ๆ จึงจะหายใจยาวสักครั้งเงียบสงัด ทุกคนเฝ้าอาการอยู่ด้วยหัวใจอันหดหู่ แสนห่วง ไม่มีใครปริปากหนึ่งนาฬิกาผ่านไป หลวงพ่อสงบไม่ไหวติง จับชีพจรดูยังเต้นอยู่แต่ช้าและลึกลงทุกขณะ เมื่อเข็มนาฬิกาบอกเวลา 01.55 น. ของวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2508 หลวงพ่อก็จากพวกเราไปด้วยอาการอันสงบ ปราศจากอาการกระวนกระวายโดยสิ้นเชิง ท่ามกลางความโศกเศร้าอาดูร พิลาปรำพันของญาติและศิษย์ทั้งหลาย สิริประมวลอายุได้ 93 ปี 10 เดือน กับ 17 วัน ครองสมณเพศมาโดยตลอด 72 พรรษานับแต่เริ่มอาพาธมาจนถึงวาระสุดท้ายรวม 24 วัน

หลวงพ่อถึงมรณภาพในวันมาฆะปุรณมี มาฆฤกษ์ วันจาตุรงคสันนิบาตแห่งพระพุทธศาสนา เป็นสัญลักษณ์ว่า หลวงพ่อจากไปดีแล้ว ไปประเสริฐแล้ว ขอให้ดวงวิญญาณอันเปี่ยมไปด้วยความดีงาม สงบบริสุทธิ์ด้วยสีลาทิคุณในพระพุทธศาสนายาวนานถึง 72 พรรษาของหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูงสุด จงไปสู่สัคคาลัย ได้สถิติอยู่ด้วยปรมสันติสุขในวิสุทธิวิมานเถิด



ภาคผนวก

บารมีทางวิทยาคมหลวงพ่อจงให้หวยแม่นได้มีการเล่าบอกกล่าวกันว่า...

หลวงพ่อเมี้ยน เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ ตำบลกบเจา อำเภอบางบาล จังหวัดอยุธยา (ได้มรณภาพไปแล้ว) ท่านได้ศึกษาวิชาการประสานกระดูกและการรักษาโรคภัยต่าง ๆ มาจากหลวงพ่อเมี้ยน วัดพระเชตุพน ฯ หรือ วัดโพธิ์ ท่าเตียน จนสามารถใช้วิชานี้สงเคราะห์ผู้คนทั่วไปได้ แต่เมื่อท่านได้ครองเป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ กบเจา ก็มีความเลื่อมใสในวิชากัมมัฏฐานตามแนวทางของหลวงพ่อจง และเมื่อได้ศึกษาต่อไปจึงได้ทราบว่าหลวงพ่อจงนั้นมีฌานพิเศษที่สามารถล่วงรู้เหตุการณ์เบื้องหน้าได้ ก็เลยอยากลองเรียนวิชานี้ จึงได้ตัดสินใจที่จะไปลองสอบถามดู แต่การถามเหตุการณ์เบื้องหน้านั้นไม่มีอะไรที่จะพิสูจน์ได้แน่นอนเท่ากับการขอหวย เพราะการให้หวยนั้นจะเท็จจริงประการใดก็รู้กันได้ในไม่กี่วัน

เมื่อตกลงใจดังนั้นในวันต่อมาหลวงพ่อเมี้ยนจึงได้เดินทางไปพบหลวงพ่อจงที่วัดหน้าต่างนอก เมื่อได้พบหลวงพ่อจง จึงได้เข้าไปนมัสการและสนทนาสอบถามท่านถึงเรื่องต่าง ๆ แล้วจึงวกเข้าสู่เรื่องที่ท่านต้องการทราบ

"หลวงพ่อ เรื่องการให้หวยนั้นทำได้จริง ๆ หรือขอรับ"

หลวงพ่อเมี้ยนถามขึ้น

"จ้ะ เขามีจริง ๆ" หลวงพ่อจงตอบสั้น ๆ

"ผมอยากจะขอลองดู" หลวงพ่อเมี้ยนกล่าวต่อ

"จะลองดูก็ได้ รอเดี๋ยวนะ" หลวงพ่อจงตอบ แล้วท่านก็ลุกออกจากอาสนะที่รับแขก เดินหายเข้าไปในกุฎิใหม่เพียงชั่วครู่ แล้วก็เดินออกมาพร้อมกับกระดาษแผ่นเล็ก ๆ แผ่นหนึ่ง ท่านส่งกระดาษแผ่นนั้นให้กับหลวงพ่อเมี้ยน หลวงพ่อเมี้ยนรับกระดาษแผ่นนั้นไว้แล้วก็มิได้เปิดดูเพียงแต่ยัดลงไว้ในย่ามและอยู่คุยกับหลวงพ่อจงอีกสักครู่หนึ่งก็ลากลับ

หลังจากที่หลวงพ่อเมี้ยนเอากระดาษแผ่นนั้นใส่ย่ามและเดินกลับวัดแล้วก็เหมือนกับมีอะไรมาดลใจให้ท่านมิได้นึกถึงกระดาษแผ่นนี้อีกเลย เมื่อกลับมาถึงวัดโพธิ์ กบเจา ท่านก็ได้แต่ทำกิจอื่น ๆ มิได้นึกถึงเรื่องราวที่ไปขอหวยหลวงพ่อจงมา จนกระทั่งเย็นวันหวยออก (ในสมัยนั้นหวยออกตอนเย็น) พอท่านได้ทราบว่าหวยออกเลขอะไรแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าหลวงพ่อจงได้ให้กระดาษมาแผ่นหนึ่งในวันที่ท่านไปขอหวย จึงไปค้นหากระดาษแผ่นนั้นในย่าม เมื่อพบและคลี่กระดาษนั้นออกดูก็ปรากฏว่ามีเลขสามตัวเขียนเรียงกันอยู่ และที่น่าประหลาดยิ่งนักก็คือเลขทั้งสามตัวนั้นตรงกับเลขท้ายรางวัลที่หนึ่งมิได้ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย

เมื่อเป็นเช่นนั้นหลวงพ่อเมี้ยนก็แน่ใจว่าหลวงพ่อจงมีญาณพิเศษในการรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าอยู่จริง แต่ก็ยังอยากจะลองให้หายสงสัย ในวันรุ่งขึ้นจึงเดินทางไปหาหลวงพ่อจงแต่เช้า เพื่อจะทดลองท่านอีก เมื่อไปถึงหลวงพ่อจงก็ถามว่า

"รวยไหม"

"ไม่ได้แทงเลยขอรับ เพราะพอได้ไปแล้วก็ลืม" หลวงพ่อเมี้ยนตอบ

"จะขอใหม่ใช่ไหม" ท่านหยั่งรู้ใจหลวงพ่อเมี้ยนโดยที่หลวงพ่อเมี้ยนยังไม่ทันบอก

"อยากลองใหม่ขอรับ" หลวงพ่อเมี้ยนตอบ

"รอเดี๋ยว จะไปเอามาให้" หลวงพ่อจงตอบพร้อมกับลุกเข้าไปในกุฎิใหญ่เหมือนครั้งที่แล้ว เพียงชั่วครูก็ออกมาพร้อมกับกระดาษแผ่นหนึ่งและส่งให้หลวงพ่อเมี้ยน เมื่อหลวงพ่อเมี้ยนได้รับกระดาษแผ่นนั้นแล้วก็ขอลากลับ และนับตั้งแต่วันนั้นหลวงพ่อเมี้ยนก็มิได้ใส่ใจกับเรื่องกระดาษที่หลวงพ่อจงให้มาอีกเลย จนกระทั่งหวยออกไปแล้ว จึงนึกขึ้นได้ว่าหลวงพ่อจงให้กระดาษมาแผ่นหนึ่ง จึงไปค้นในย่ามก็พบกระดาษแผ่นนั้น พอเปิดออกมาดู หลวงพ่อเมี้ยนกลับมีความประหลาดใจยิ่งขึ้นกว่าครั้งก่อน เพราะครั้งนี้หลวงพ่อจงเขียนเลขมาให้สองแถว แถวแรกเป็นเลขสามตัว แถวที่สองเป็นเลขสองตัว และปรากฏว่าเลขสามตัวนั้นก็ตรงกับเลขท้ายรางวัลที่ 1 ส่วนเลขสองตัวของหวยงวดนั้นมิได้ผิดเพี้ยนเลย คือเลขรางวัลออกอย่างไร ตัวเลขที่หลวงพ่อจงให้มาก็เป็นอย่างนั้น

เมื่อผลออกมาว่าหวยที่หลวงพ่อจงเขียนใส่กระดาษให้หลวงพ่อเมี้ยนมานั้น เป็นเลขที่ตรงกับเลขท้ายสามตัวของรางวัลที่ 1 และตรงกับรางวัลเลขท้ายสองตัว โดยมิได้ผิดเพี้ยน ทำให้หลวงพ่อเมี้ยนเชื่อแน่ว่า วิชาการให้หวยของหลวงพ่อจงนั้นเป็นของแท้จริงยิ่งนัก แต่ก็อยากจะลองอีกเป็นครั้งที่สามเพื่อให้แน่แก่ใจ ดังนั้นในตอนเช้ามืดของวันต่อมา หลวงพ่อเมี้ยนจึงได้เดินทางมาที่วัดหน้าต่างนอกอีกครั้งหนึ่ง เมื่อมาถึงและได้พบหลวงพ่อจงแล้วนั้น ท่านก็ได้ถามหลวงพ่อเมี้ยนเหมือนครั้งก่อนว่า

"รวยไหมล่ะ"

"ไม่ได้แทงเลยขอรับ เพราะลืมเสียสนิท" หลวงพ่อเมี้ยนตอบท่านไปอย่างนั้น แล้วก็พูดกับหลวงพ่อจงต่อไปว่า

"อยากจะลองอีกครั้ง"

"ได้จ้ะ คราวนี้ยากหน่อยนะ" หลวงพ่อจงพูดกับหลวงพ่อเมี้ยนอย่างนั้น เมื่อพูดจบหลวงพ่อจงก็เดินหายเข้าไปในกุฏิใหญ่เหมือนครั้งก่อน ๆ แต่คราวนี้ท่านหายเข้าไปในนั้นนานพอสมควร จึงได้ออกมาจากกุฏิใหญ่ แล้วก็บอกกับหลวงพ่อเมี้ยนว่า "หยิบเอาเองอยู่ที่นั่น" ท่านพูดพร้อมกับชี้มือไปที่ศีรษะของโครงกระดูกตาเอี่ยม ซึ่งแขวนติดอยู่กับฝากุฏิ หลวงพ่อเมี้ยนจึงเดินไปที่โครงกระดูกนั้น ก็เห็นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ พับสอดไว้ตรงด้านหลังกะโหลกศีรษะ หลวงพ่อเมี้ยนหยิบกระดาษแผ่นนั้นออกมาแล้วก็เอาใส่ไว้ในย่าม โดยมิได้เปิดดูว่าในกระดาษแผ่นนั้นเขียนอะไรไว้บ้าง จากนั้นหลวงพ่อเมี้ยนได้อยู่คุยกับหลวงพ่อจงอีกครู่หนึ่งจึงได้ลากลับ

เมื่อกลับไปถึงวัดโพธิ์ กบเจา หลวงพ่อเมี้ยนก็กระทำกิจต่าง ๆ ตามปกติ แล้วก็ลืมเรื่องราวที่ไปขอหวยมาจากหลวงพ่อจงเสียสิ้น จนหลังจากวันหวยออกจึงนึกขึ้นได้ว่าหลวงพ่อให้กระดาษมาแผ่นหนึ่ง ซึ่งท่านได้เอาใส่ย่ามไว้ หลวงพ่อเมี้ยนได้รีบขึ้นไปบนกุฏิและค้นหากระดาษแผ่นนั้นในย่าม ซึ่งปรากฏว่ายังอยู่ในสภาพเดิมทุกประการ หลวงพ่อเมี้ยนจึงรีบคลี่ออกดูก็พบว่าในกระดาษแผ่นนั้นมีลายมือของหลวงพ่อจงเขียนตัวเลขเรียงกันไว้หกตัว และสิ่งที่ทำให้หลวงพ่อเมี้ยนบังเกิดความศรัทธาในหลวงพ่อจงทวีคูณก็คือ ตัวเลขทั้งหกตัวในกระดาษแผ่นนั้น ตรงกับเลขสลากรางวัลที่ 1 ในงวดนั้นทุกตัวเรียบกันไปตั้งแต่ต้นจนตัวสุดท้าย (สมัยนั้นสลากกินแบ่งรัฐบาลก็มีเลขหกตัว)

สิ่งที่ประจักษ์อยู่กับตาในเวลานั้น ทำให้หลวงพ่อเมี้ยนเชื่อมั่นยิ่งนัก ว่าวิชาการให้หวยหรือการล่วงรู้เหตุการณ์ภายหน้าของหลวงพ่อจงนั้นล้ำเลิศนัก เพราะท่านได้เห็นแจ้งมากับตาถึงสามครั้งสามหน ครั้นวันรุ่งขึ้นหลวงพ่อเมี้ยนจึงเดินทางไปที่วัดหน้าต่างนอกอีกครั้งหนึ่ง หลวงพ่อจงท่านก็ถามขึ้นเหมือนดั่งรู้ความในใจของหลวงพ่อเมี้ยนว่า

"อยากจะลองเรียนดูหรือ"

"ขอรับ" หลวงพ่อเมี้ยนตอบรับ แต่ในใจนึกก็เกิดความปิติที่หลวงพ่อจงได้ล่วงรู้ความตั้งใจที่ท่านเองมิได้บอกกล่าว

"รอเย็น ๆ นะ" หลวงพ่อจงพูด เพราะขณะนั้นมีผู้คนอีกมากมายที่รอพบท่านอยู่

เมื่อหลวงพ่อจงว่างจากการรับแขก ในตอนพลบค่ำ หลวงพ่อเมี้ยนจึงได้เข้าพบ หลวงพ่อจงได้พาหลวงพ่อเมี้ยนเข้าไปในกุฏิใหญ่ แล้วให้หลวงพ่อเมี้ยนนั่งลงตรงหน้าโครงกระดูกตาเอี่ยม ณ ที่นั้นเองหลวงพ่อจงก็เริ่มสอนให้หลวงพ่อเมี้ยนเรียนวิชาให้หวยหรือการล่วงรู้เหตุการณ์เบื้องหน้า

หลวงพ่อจงเริ่มสอนด้วยการให้หลวงพ่อเมี้ยนนั่งสมาธินำจิตเข้าอสุภกัมมัฏฐาน เพ่งจิตเข้าสู่โครงกระดูกตาเอี่ยมแล้วภาวนา "อะระหัง" ทุกลมหายใจเข้าออก เมื่อหลวงพ่อเมี้ยนนั่งกัมมัฏฐานได้สักครู่หนึ่งหลวงพ่อจงก็ถามว่า

"ติดตาไหม"

"ไม่ติดขอรับ" หลวงพ่อเมี้ยนตอบ

"งั้นลองใหม่" หลวงพ่อจงพูดต่อไป เมื่อหลวงพ่อเมี้ยนเข้ากัมมัฏฐานสักครู่หนึ่ง หลวงพ่อจงก็ถามอีกว่า

"ติดตาหรือยัง"

"ยังขอรับ" หลวงพ่อเมี้ยนตอบ

"งั้นตามมานี่" หลวงพ่อจงบอกให้หลวงพ่อเมี้ยนลุกออกมาจากหน้าโครงกระดูกตาเอี่ยม เดินตาม่านเข้าไปยังหน้าพระพุทธรูปซึ่งตั้งประดิษฐานอยู่ในกุฏิใหญ่ แล้วก็ให้หลวงพ่อเมี้ยนนั่งเข้ากัมมัฏฐานที่หน้าพระพุทธรูปนั้น เมื่อหลวงพ่อเมี้ยนเข้ากัมมัฏฐานได้สักครู่หนึ่ง หลวงพ่อจงก็ถามว่า "คราวนี้ติดตาไหม"

"ติดตาแล้วขอรับ" หลวงพ่อเมี้ยนตอบ

"งั้นเริ่มต้นใหม่นะ" หลวงพ่อจงบอกต่อไป "เมื่อติดตาแล้วก็ทำจิตให้สูงขึ้น เหมือนกับเราขึ้นไปอยู่บนยอดไม้ ย่อมมองเห็นโคนต้นไม้นั่นแหละ"

นับตั้งแต่ที่หลวงพ่อจงพูดว่า "ทำจิตให้สูงขึ้น เหมือนกับที่เราขึ้นไปอยู่บนยอดไม้ย่อมมองเห็นโคนต้นไม้นั้น" หลวงพ่อเมี้ยนก็เริ่มฝึกปฏิบัติต่อไป จนกระทั่งนิมิตเห็นตัวเลขลอยขึ้นทีละตัว ๆ จนกระทั่งครบหกตัว แล้วตัวเลขทั้งหกนั้นจากเดิมที่เป็นสีขาวก็จะกลับกลายเป็นสีทองสุกสกาว ในขณะนั้นเองหลวงพ่อจงก็ถามว่า

"เห็นแล้วใช่ไหม"

"เห็นแล้วขอรับ" หลวงพ่อเมี้ยนตอบ

"นั่นแหละเป็นของที่เราเห็นได้ แต่มันเป็นกิเลส เป็นลาภจร ไม่ควรนำไปบอกใคร" หลวงพ่อจงสอนเป็นอนุสติ

"ขอรับ" หลวงพ่อเมี้ยนรับคำ

พอรุ่งเช้า หลวงพ่อเมี้ยนก็เข้าไปลาหลวงพ่อจงแต่เช้าตรู่ เมื่อตอนที่ลานั้นหลวงพ่อจงก็สั่งกำชับอีกว่า "พูดไม่รู้ รู้ไม่พูด"

เมื่อกลับไปถึงวัดโพธิ์ กบเจา แล้ว หลวงพ่อเมี้ยนก็ฝึกปฏิบัติตลอดมา จนกระทั่งจิตเข้าสมาธิได้รวดเร็ว เห็นตัวเลขได้ในเวลาไม่นานนักและปรากฏว่าตัวเลขที่เห็นนั้นตรงกับเลขรางวัลที่ 1 ทุกครั้ง

หลวงพ่อจงนั้นท่านมีอุบายในการทดสอบจิตใจคนแยบยลนัก ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อบอกตัวเลขให้ทีไร พอหวยออกแล้วก็ต้องถามทุกทีไปว่า "รวยไหม" เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง และท่านยังได้ทดสอบคนเป็นขั้นเป็นตอน คือครั้งแรกให้ไปเพียงสามตัวก่อน ซึ่งเป็นเลขที่ตรงกับเลขท้ายรางวัลที่ 1 พอหลวงพ่อเมี้ยนสงบจิตใจได้ไม่เกิดความโลภ มิได้นำเลขนั้นไปแทงหวย ท่านก็ให้ครั้งที่สอง ซึ่งเป็นเลขท้ายรางวัลที่ 1 และเลขท้ายสองตัว ซึ่งถ้านำไปแทงหวยก็จะได้เงินมากขึ้น แต่เมื่อให้ไปสองครั้งแล้วหลวงพ่อเมี้ยนก็ยังไม่บังเกิดความโลภในจิต ท่านจึงได้ให้ครั้งที่สาม ซึ่งเป็นเลขรางวัลที่ 1 ถ้านำไปแทงถูกก็จะได้รางวัลเป็นเงินหลายแสนบาท (ในสมัยนั้น) ซึ่งหลวงพ่อเมี้ยนก็ผ่านการทดสอบจิตใจที่เกี่ยวกับความอยากหรือกิเลสไปได้ ถ้าหากในครั้งนั้นหลวงพ่อเมี้ยนได้ตัวเลขแล้วเอาไปแทงหวย หลวงพ่อจงก็คงไม่บอกในครั้งต่อ ๆ มา และในครั้งที่สามหรือครั้งสุดท้ายนั้น หลวงพ่อจงได้บอกว่า "คราวนี้ยากหน่อยนะ" แล้วเอากระดาษไปสอดไว้ที่โครงกระดูกตาเอี่ยม และให้หลวงพ่อเมี้ยนไปหยิบเอา ท่านก็คงจะหมายเอาว่า หลวงพ่อเมี้ยนมีจิตใจที่เข็มแข็งพอที่จะเรียนวิชาแขนงนี้ได้หรือไม่ เพราะการฝึกฝนวิชานี้ต้องเริ่มต้นที่การพิจารณาโครงกระดูกก่อน เมื่อหลวงพ่อเมี้ยนผ่านการทดสอบจิตใจในเบื้องต้นแล้ว จึงได้รับการสอนวิชาการให้หวยหรือการล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า





611
หลวงพ่อจง พุทธสโร

วัดหน้าต่างนอก

ตอนที่ ๗

กล่าวกันทางด้านสุขภาพ หลวงพ่อจงมีสุขภาพอนามัยดีเลิศ โรคที่มีบ้างก็แค่หวัดธรรมดา กิจวัตรการฉันของท่านก็เช่นเดียวกับสงฆ์อื่นเปลี่ยนแต่เป็นว่าตอนเช้าหกโมง ท่านฉันข้าวต้มหมูชามขนาดกลางชามหนึ่ง น้ำชากาแฟไม่ฉันเลย ส่วนน้ำดื่มชอบน้ำต้มธรรมดา ๆ เท่านั้น อย่างอื่นไม่ดื่มเลย เคยติดยานัตถุ์และบุหรี่อยู่ 4 - 5 ปี แต่ต่อมาเห็นว่าเป็นเครื่องทำให้รำคาญรุงรัง เพราะต้องเอาติดย่ามไปด้วย ทำให้มีห่วง ท่านเลยตัดสินใจเลิก เป็นการตัดกังวล มีผู้ถามว่า ของสองสิ่งเป็นยาเสพติดมีฤทธิ์ชะงัด เลิกกับมันยากนัก มีคนอยากเลิก เลิกไม่ได้ ท่านมีวิธีขมังอย่างไร หลวงพ่อเพียงตอบยิ้ม ๆ

"...ตั้งใจอดจริง ก็ต้องทิ้งมันได้... ไม่มีอะไรในโลก ซึ่งเราตั้งใจทำและทำจริงแล้วจะทำไม่ได้ ทำได้ดีหรือไม่ สุดแต่กรรมและวาสนา หรือที่เรียกว่า แล้วแต่พระพรหมลิขิตไว้ประจวบเหมาะอย่างไรนั่นเอง..."

อย่างไรก็ดี เวลาเข้านอนของท่าน กลับไม่เป็นเวลาแน่นอนเสมอไป เว้นแต่อยู่ที่วัดของท่าน แต่ก็อีกนั่นแหละ หากมีผู้ไปเยี่ยมนมัสการ ท่านก็มักไม่ชอบที่จะจะหนีเข้านอนในเวลาราวสี่ทุ่มอันเป็นเวลาปกติ เพราะท่านชอบรับแขก และเกรงใจว่าเขาอุตส่าห์ไปหา ก็ควรต้อนรับคุยกันให้เขาได้รับสิ่งที่ต้องการสมปรารถนา จวบจนวัยย่าง 90 เป็นต้นมา ลูกศิษย์ลูกหาเกรงกันว่าสุขภาพของท่านจะร่วงโรยเกินไป จึงมักจะรู้ว่าไม่ควรรบกวนท่านเกินเวลากำหนดเข้าจำวัด

ก่อนนอน หลวงพ่อจงมักชอบเล่นกับแมว อุ้มมันตบหัวลูบหลังมันอยู่ราวสิบนาที จากนั้นศิษย์ทุบน่องทุบหลังอีกราวสิบถึงสิบห้านาทีเป็นอย่างมากจึงนอนหลับไปเลย วิธีนอนของท่านก็แปลก ตอนแรกจะนอนแบบก้มหลังโก้งโค้งพร้อมด้วยมีผ้าคลุมตลอดองค์ เป็นเช่นนี้ตลอดไป แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง แต่ก็จะกลับมาอยู่ในลักษณะนี้ จนถึงเวลาตื่นราวตีสี่ จากนั้นก็กระทำกิจวัตร คือปัดกวาดทั่วตลอดวัดด้วยตนเอง เสร็จก็พอดีได้เวลาเคาะระฆัง เรียกเป็นสัญญาณทำวัตรสงฆ์ร่วมด้วยภิกษุลูกวัด อย่างนี้เป็นนิจ



วิธีใช้พระเวทย์ปลุกเสกเตือนอาคม (กับ) นับถือบูชาพระในวิธีถูกต้อง

บรรดาเรื่องราวเกี่ยวกับการแสดงออกซึ่งพลังพิสดารกลายเป็นคำเลื่องลือนับถือในอานุภาพนาประการ ของหลวงพ่อจงอย่างไรก็ตามที เมื่อมีบุคคลเชื่อ บุคคลผู้ปราศจากเชื่อก็คงต้องมีควบคู่กันไป ดุจมีดำต้องมีขาวไม่มีปัญหา และจะวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างไรก็ปราศจากข้อพิสูจน์อำนาจลึกลับที่ (อาจ) มีขึ้นจริง ในเหล่าคนผู้ไม่ศรัทธาก็ไม่เชื่อเป็นธรรมดา

เมื่อราวปลายปีพ.ศ.2506 ได้มีผู้ร่วมแสดงความคิดเห็นขึ้นว่า หลวงพ่อจงก็มีอายุมากแล้ว เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดาจะต้องมีมาสู่ท่าน และขณะนั้นท่านก็มักมีกิจเป็นห่วงอย่างเดียว คือประสงค์จะสร้างเขื่อนกั้นน้ำบริเวณริมหน้าวัดหน้าต่างใน ด้านนอกของวัดหน้าต่างนอกของท่าน กับบูรณปฏิสังขรณ์โบสถ์ที่เกือบใช้การไม่ได้ให้มีสภาพดีขึ้นจนใช้การได้ไปก่อน โดยมิใช่คิดสร้างใหม่เป็นเงินล้านอย่างเขาอื่น กับสร้างหอระฆังให้มีสภาพโอ่อ่าขึ้น เพราะสิ่งเหล่านี้บ้างบกพร่อง บ้างมิมีโอกาสสร้างไว้ก่อน ทั้งที่เป็นเรื่องภายในวัดของท่าน มัวแต่ใช้เวลาไปวุ่นวายช่วยธุรกิจของผู้อื่น และที่สำคัญที่สุดไม่กล้าและไม่พึงใจจะออกปากรบกวนชวนเชิญใครให้เขาทำบุญ เพราะถือว่าการทำบุญไม่ต้องเชิญชวน มันแล้วแต่จิตใจของผู้จะทำด้วยศรัทธาแค่ไหน โดยความนึกคิดของเขาเองเป็นสำคัญ จึงพากันเสมอข้อคิดเห็นว่า สมควรสร้างรูปเป็นรูปปั้นของท่านขึ้น และสร้างหนังสือประวัติของท่านขึ้น เขียนทุกสิ่งเกี่ยวกับท่านด้วยความเที่ยงธรรมและเป็นข้อเท็จจริง ทั้งสองสิ่งนี้สืบไปเบื้องหน้า หากใครเขานับถือเคารพมีศรัทธาตัวท่านจริงจังมิเสื่อมคลาย เขาก็จะได้หาไปไว้บูชาสักการะแทนตัวจริงของท่าน ซึ่งเงินรายได้เหล่านั้นก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่อาจรวบรวมสมทบเข้าเป็นกองทุนดำเนินการสร้างสรรค์งานสามประการ เขื่อนกั้นน้ำ บูรณปฏิสังขรณ์โบสถ์สร้างหอระฆังให้สำเร็จบริบูรณ์ลุล่วงผลตามปรารถนาของหลวงพ่อจงซึ่งท่านมีประสงค์ต้องการกระทำอย่างแรงกล้าก่อนมรณภาพ และสิ่งนี้แม้ท่านมิได้แสดงเป็นห่วง... แต่แน่ละท่านไม่ชอบรบกวนใคร ท่านคงจะคิดถึงมันและมันอาจเป็นอารมณ์รบกวนท่านในเฮีอกท้ายของลมปราณมรณะบ้างก็ได้ ฉะนั้นความสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้จนเป็นผลสำเร็จ แม้หลวงพ่อจงจะสถิตอยู่ในภพใด แม้นวิญญาณของท่านรับทราบถึงบรรดา เจตนาดีที่มีผู้ต่อท่านกระทำต่อท่านเพื่อท่านในปัจจุบัน อนาคต ทั้งที่ไม่มีท่านเป็นตัวตนอยู่ วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของท่านก็คงจะประสบปิติสุขเกษมสันต์สำราญอย่างอเนกอนันต์กาล

เคยมีผู้ทำหนังสืออย่างย่อ ๆ แจกเป็นที่ระลึกในงานพิธีศพของท่านแต่ก็พิมพ์จำนวนจำกัดและแจกจ่ายไปหมดสิ้น ไม่พอกับจำนวนนับหมื่นแสนที่ต้องการทราบประวัติละเอียด และต้องการได้ไว้ เป็นเครื่องรำลึกบูชาคุณของท่านที่มีต่อสรรพสัตว์ไม่เลือกหน้า เพราะทุกคนยังรำลึกถึงพระเดชพระคุณของท่านมิมีวันลืมเลือนโดยง่าย

สำหรับรูปปั้น เคยมีศิลปินรับอาสาไปสร้าง เขาคือ ชาญ สารพุทธิ อาจารย์ศิลปชั้นเอกจากเพาะช่าง

หลวงพ่อจง พอใจรูปปั้นนั้นมาก เพราะเคยมีผู้ปั้นไปให้ท่านดู ท่านดูไปดูมาแล้วหัวร่อ บอกว่าไม่เหมือนไม่รู้ใคร คนอื่นไม่รู้จักหรือแม้ที่รู้จัก ก็คงจะยิ่งฉงนกันมาก... แต่เมื่อเป็นรูป โดย ชาญ สารพุทธิปั้น ท่านบอกว่า นี่เอง... จึงจะเป็นอาตมาได้อย่างคล้ายคลึงพอดูได้...

จากนั้น ท่านได้ทำพิธีปลุกเสกรูปปั้นของท่านแทบทุกเช้าค่ำเวลาทำวัตรในเมื่อมีโอกาสเวลาไม่ต้องเดินทางไปที่อื่นใด และต่อมา ท่านได้ปลุกเสกเถ้าธูปเทียน ดอกไม้บูชาแห้ง และผมปลงของท่าน รวมส่งให้ศิลปินชาญ เพื่อใช้ผสมผงสร้างรูปปั้นอีกมาก หากใครผู้ใดมีรูปปั้นของท่านไว้บูชาและอาราธนาถูกวิธี จะบันดาลให้บังเกิดผลในอานุภาพศักดิ์สิทธิ์มหาศาลเป็นอัศจรรย์ อาทิ

เป็นมหาเมตตา มหานิยม มหาลาภ คงกระพันชาตรีและแคล้วคลาด

สะบัด "ปัด" อัคคี ป้องกันฟืนไฟรังควานและระงับดับจิต ตลอดจนความร้อนอกใจนานาประการปราศจากศัตรูผู้คิดบีฑาทำร้าย

สำหรับพิธีบูชาหลวงพ่อจง คือ ใช้ธูปเจ็ดดอก เทียน และดอกไม้หอม กระทำบูชา อธิษฐานรำลึกถึงหลวงพ่อจง อาราธนาขอให้ท่านแผ่อิทธิบารมีปกป้องบังเกิดคุณตามเจตจำนง ซึ่งอธิษฐาน หมั่นทำเช่นนี้จะไม่ผิดหวัง มักได้ผลดีมาก

บรรดาเครื่องรางของขลังของหลวงพ่อจงมีมากชนิด ท่านสร้างและปลุกเสกไว้เป็นจำนวนมาก แต่ก็มักหมดสิ้นไปโดยรวดเร็ว เพราะมีผู้แสวงหากันไว้มาก เพียงท่านเดินทางเข้ากรุงเทพฯ หรือ ต่างจังหวัดในเวลาวันสองวัน เครื่องรางของขลังซึ่งบรรดาศิษย์และผู้ติดตามเอาติดไปมักไม่ใคร่พอจ่ายแจกประชาชนทุกแห่ง เพราะพอรู้ว่าหลวงพ่อจงไปอยู่ที่ใด มักจะแห่กันเข้าหานมัสการอย่างคับคั่งเสมอไป

ต่อไปนี้เป็นคำเฉลยอรรถาธิบายวิธีอาราธนาปลุกเสกอธิษฐาน การใช้เครื่องรางของขลังต่าง ๆ (ซึ่งเวลานี้ของแท้หายากอยู่เหมือนกัน แต่ที่มีอยู่แล้วก็มีเป็นจำนวนแสน ๆ ล้าน ๆ)...แต่อย่างไรก็ดี ก็ใช้ได้กับรูปปั้นและรูปบูชาด้วย... ให้สวดภาวนาอธิษฐานดังนี้

ตั้ง นะโมสามจบ

พุทธัง สรณัง คัจฉามิ

ธรรมมัง สรณัง คัจฉามิ

สังฆัง สรณัง คัจฉามิ

ต่อจากนี้ สวดบทอิติปิโส อีกสามจบ แล้วจึงตั้งบทว่า

พุทธัง อาราธนานัง

ธรรมมัง อาราธนานัง

สังฆัง อาราธนานัง

จึงอธิษฐานดังนี้ ต่อไป

ขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์เจ้า และหลวงพ่อจง (พุทธสโร)... และถ้ามีเสื้อยันต์ ตะกรุดโทน ตะกรุดชุด 16 ดอก และของอื่น ๆ ให้ระบุชื่อของนั้น ๆ เวลารำลึกใช้

จงดลบันดาลให้ข้าพระพุทธเจ้า จงประสบความเป็นผู้คงกระพันชาตรี แคล้วคลาดจากมหาอำนาจร้ายสรรพโพยภัยภยันอันตรายไม่ให้เข้าใกล้ทำร้าย และจงบังเกิดเป็นมหาเสน่ห์ มหานิยม จิตคิดเมตตาจากจิตใจผู้อื่นพึงมีต่อข้าพระพุทธเจ้า โดยอำนาจบารมีของพระคุณเจ้าที่ข้าพระพุทธเจ้าน้อมรำลึกบูชาโดยบริสุทธิ์ใจ ขออาราธนาจงดลบันดาลให้บังเกิดผลเป็นไปดังอธิษฐาน โดยพลันทันที

หากมีเหตุฉุกเฉิน ให้รีบอธิษฐานภาวนา ดังนี้

พุทธังรักษา ธัมมังรักษา สังฆังรักษา พระบิดารักษา พระมารดารักษา พระอินทร์รักษา พระพรหมรักษา พระครูบาอาจารย์รักษา อิมังอังคพัน ธนังอธิถามิ

แล้วปลุกเสกต่อไป ดังนี้

อิติสุคโต อุสุวิหิสุ พุทธะสังมิ มออุ อุกันหะเนหะ อุตะธัง โธอุตะ ธังอะตะ หังระอะ อะนะปัสสะ

(ภาวนาทบทวน ตั้งแต่ 3 ถึง 7 จบ)

การใช้คำอธิษฐานภาวนาบทปลุกเสก ต้องจำให้แม่นยำคล่องแคล่วตึ้งจิตคิดรำลึกถึงพระบารมีคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และท่านอาจารย์หลวงพ่อจงโดยแน่วแน่

หากใช้ตะกรุดโทน (มหารูดมงคลชาตรี) หรือใช้ตะกรุดชุด 16 ดอกติดตัวไป เมื่อจะเข้าโรมรันรบประจัญบาน ให้เอามือรูดพระตะกรุดไว้เบื้องหน้าสะดือ จะแคล้วคลาดคงทนต่อปืนผาหน้าไม้ สรรพสาตราวุธ แหลนหลาว หอกดาบ ขวากหนาม ของแหลมของคมทุกชนิด แต่ยามคิดหนีศัตรู ให้รูดพระตะกรุดไว้เบื้องหลัง จะแคล้วคลาดอันตราย ไม่มีผู้ติดตามทำร้าย หรือไม่ขัดขวาง แม้จะไล่ติดตามก็ให้มีเหตุไล่ไม่ได้ไล่ไม่ทัน

แต่ถ้าจะใช้เข้าหาเจ้านายผู้ใหญ่ ท้าวพระยาผู้มีอำนาจบารมียิ่งใหญ่ให้รูปพระตะกรุดทั้งสองประเภทที่มีอยู่อย่างใดอย่างหนึ่ง รูดไปเบื้องขวาตน ถ้าเข้าหาท้าวพระยากษัตริย์หรือนางผู้สูงศักดิ์ ให้รูดไปเบื้องซ้าย

ถ้าจะทำการแข่งขัน แข่งเรือ แข่งม้า วัวควาย วิ่งแข่ง ตอนจะเริ่มออกแข่งขัน ให้ภาวนารูดพระตะกรุดไว้ใต้สะดือ แลเมื่อสามารถออกเลยล้ำหน้าเขาไปแล้ว จึงรูดพระตะกรุดกลับไปไว้เบื้องหลัง คู่แข่งขันจะไม่มีโอกาสไล่ตามทัน

ผู้ใดหมั่นบูชาหลวงพ่อจง (พุทธสโร) และบรรดาเครื่องรางของขลังซึ่งตนมีศรัทธาเลื่อมใสเชื่อมั่นในพระคุณอิทธิบารมีของท่าน ซึ่งมีได้แก่

เสื้อพระยันต์ราชสีห์มหาอำนาจ (สีแดง) คงกระพันชาตรี

พระเครื่อง ทุ่งเศรษฐี (ดำใหญ่ และ แดงเล็ก)

พระยันต์มหาอำนาจ (มหานิยมแคล้วคลาด)

พระตะกรุดชุด 16 ดอก (แคล้วคลาด คงกระพัน เมตตา มหานิยม มหาเสน่ห์ มหาลาภ)

ธนบัตรขวัญถุง (เรียกเงินตราไหลมาเทมาหา)

พระตะกรุดโทน (เช่นเดียวกับพระตะกรุดชุด 16 ดอก

แต่มีอิทธิบารมีแก่กล้าทางคงกระพัน ค่าพันตำลึงทอง)

รูปปั้น (หล่อ) ของหลวงพ่อจงเอง

พระยันต์ต่าง ๆ เขียนลงบนผืนผ้าขาว

เหรียญกลมรูปหลวงพ่อจง (สำหรับเด็ก)

รักยม (เมตตา มหานิยม มหาเสน่ห์)

ยันต์พระฉิม (มหาลาภ ค้าขายเป็นมหานิยม)

โดยเฉพาะ พระยันต์ พระตะกรุด หากใช้ในการเดินทางและบังเกิดเมื่อยล้า หรือเกรงว่าจะเหน็ดเหนื่อยจะปลุกเสกภาวนาป้องกันเสียก่อนก็ได้ โดยทำพิธีภาวนาอธิษฐานปลุกดังข้างต้นแล้ว ให้ยกมืออธิษฐานเสกซ้ำต่อไปอีกว่า

เสกขาธัมมา อเสกขาธัมมา เนวเสกขาธัมมา ธัมมาเสกขาธัมมา จากนี้เอามือลูบแข้งขามือและร่างกายให้ทั่ว ให้คิดเชื่อว่าต่อไปนี้ตัวเราเดินวิ่งเท่าไร ๆ เป็นไม่มีเมื่อย ไม่มีเหนื่อยอีกแล้วอย่างเด็ดขาด เพราะพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์และท่านอริยสงฆ์หลวงพ่อจงท่านดลใจประสิทธิพรประเสริฐป้องกันแก่ตัวเราได้แล้ว จึงกราบสามครั้งบนพื้นธรณีลงไป

สำหรับการปลุกเสกเครื่องรางของขลังทุกชนิด ควรกระทำทุกเช้าค่ำ โดยวิธีตั้งบทสวด ดังนี้

คือจุด ธูป เทียน บูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และหลวงพ่อจง (พุทธสโร) เสียก่อน

จากนั้น ตั้งนะโม สามจบ (กราบ) จึงปลุกเสกด้วยพระคาถาว่า

พุทโธ พุทธัสสะ อิทธิฤทธิ์

พุทธะ นิมิตตัง

การปลุกเสกนี้ จะทำให้บังเกิดอิทธิบารมีเข้มขลังเพิ่มขึ้นทับทวีทั้งจะดลบันดาลสุขแก่ผู้เป็นเจ้าของ กระทำการบูชาตลอดนิจกาล มิว่าจะมีประสงค์ปรารถนาสิ่งใด ก็จะมักได้สมปรารถนาไม่เคลื่อนคลายไม่หลุดจากมือ

เห็นสมควรแจ้งรายนามพระมหาตะกรุดชุด 16 ดอกไว้แต่ละดอกเพื่อความรู้อันสมบูรณ์ของท่านผู้ศรัทธา ดังนี้

1. เกราะเพชร

2. พรหมสี่หน้า

3. มหานิยม

4. คงกระพัน

5. ป้องกันเขี้ยวงา

6. เมตตา

7. แคล้วคลาด

8. ปกป้องภัยจากผี "คุณ"

9. ปกป้องปัด "สะบัด" อัคคีพ่าย

10. มหาอุด (สรรพอาวุธไม่ระคายผิว)

11. ป้องกันภัย ขีปณาวุธนานา

12. เดินทางไกลไม่เหนื่อยไม่เมื่อย

13. กระทู้เจ็ดแบก

14. ปกป้องภัยจากฟ้าผ่า

15. นะจังงัง บังตาผู้อื่น

16. มหารูดวาระสุดท้าย


612
หลวงพ่อจง พุทธสโร

วัดหน้าต่างนอก

ตอนที่ ๖

หลวงพ่อจง มีปณิธานดำรงอัตตะของชีวิตบรรพชิตของท่านด้วยอาการเคร่งต่อศีล

นอกจากพลังจิตของท่านเหี้ยมฮึกต่อ ทมะ คือ สามารถต่อการคุมจิตของตนไว้ใต้อำนาจ มิให้กระดิกกระโดดออกนอกทาง ที่เคร่งมากที่สุด คือ มั่นอยู่ในพรหมวิหารสี่ และใช้มากหนักไปในทางเมตตาแต่กรุณา มุทิตา อุเบกขา ก็มีครบครัน นอกจากนี้ ท่านยึดมั่นในหลักจาคะ สมัครใจเสียสละเพื่อผู้อื่นเท่าที่สามารถทำได้ตามที่กล่าวถึงมาตอนต้น ๆ แล้วประการสำคัญก็คือ เป็นผู้ดำรงสัจจะ และต้องการอบรมคนทุกคนให้เป็นผู้มีสัจจะ ไม่พูดปดมดเท็จ

ดังนั้น ทั้งที่ท่านโกรธใครยากที่สุด ทว่าหากเป็นในเรื่องการกล่าวคำเท็จ ท่านมักมีอามรณ์เผลอโกรธเหมือนกัน เป็นแต่สามารถระงับได้รวดเร็ว มิปล่อยให้ไฟโกรธครอบงำอารมณ์เป็นนายเหนือการบังคับพลังจิตของท่าน จนต้องตกเป็นทาสของมันให้กระทำการก่อเหตุเภทภัยขึ้น

หลวงพ่อจงมีเกียรติคุณเป็นที่นิยมกว้างขวางจริงจังในคุณแห่งวิทยาคม เมตตา เป็นอันดับแรก ต่อไปก็เป็นคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดมหานิยม และน้ำมนต์ของท่านขึ้นชื่อลือชาว่า สามารถสะเดาะเคราะห์ ความอับโชคได้ผลประสิทธิมาก ด้วยประการฉะนี้ วัดหน้าต่างนอกจึงปรากฏมีทหาร ตำรวจ ข้าราชการ และประชาชนแทบทุกจังหวัดเดินทางไปมานมัสการขอรดน้ำมนต์จากท่านไม่ขาดสาย โดยเฉพาะเมื่อครั้งที่มีงานฉลององค์พระประธานในโบสถ์ ปรากฏว่าได้มีประชาชนจากทั่วทุกทิศเป็นจำนวนร่วมแสนคน ไปร่วมพิธี ณ วัดหน้าต่างนอกตลอดทั้งเจ็ดวันเจ็ดคืน และได้ร่วมบริจาคเงินอย่างมากมาย ซึ่งต่อมา พระประธานในพระอุโบสถวัดหน้าต่างนอก ที่หลวงพ่อจงเป็นประธานสร้างนั้น ก็ได้รับพระราชทานพระราชลัญจกรนามจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ พระบรมราชินีนาถว่า "พระสัพพัญญู" เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 อันเป็นวันหลังจากที่หลวงพ่อจงได้ถูกคัดเลือกนิมนต์ไปร่วมกระทำพิธีถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าย่า ของสมเด็จพระบรมราชินี พร้อมด้วยพระเถรานุเถระ สำคัญและล้วนมีเกียรติคุณสูง

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชอัธยาศัยโปรดในความมีบุคลิกพิเศษ เต็มไปด้วยสง่าราศีของหลวงพ่อจงไม่น้อย และได้ทรงมีพระราชปฏิสันถารด้วยพระราชอัธยาศัยเป็นอันดีบ่อยครั้ง ในที่สุดทรงมีพระราชเสาวนีย์ขอรับเป็นองค์โยมอุปัฏฐานของวัดหน้าต่างนอก แต่ตราบกระทั่งหลวงพ่อจงมรณภาพ ไม่เคยทำเรื่องรบกวนพระราชหฤทัยเลย เคยมีผู้แนะให้ขอพระราชทานเงินสร้างเขื่อนกั้นน้ำและหอระฆัง กับปฏิสังขรณ์โบสถ์ของวัดหน้าต่างในซึ่งชำรุดมาก จนทำสังฆกิจมิได้ ซึ่งเป็นอุปสรรคไม่สะดวกแก่การสัญจรทั้งของวัดหน้าต่างนอกและวัดหน้าต่างใน หลวงพ่อจงได้ปฏิเสธว่า ไม่ควรรบกวนพระราชอัธยาศัยในการนั้น เพราะท่านที่ทรงสำแดงพระเมตตารับเป็นองค์อุปัฏฐาก ก็นับว่าเป็นนิมิตมงคลแก่ท่านและวัดมากอยู่แล้ว เรื่องของวัด วัดก็ควรทำเอง เพราะเรื่องสร้างเขื่อนนี้ต้องค่อยทำค่อยไป ประชาชนทั่วไปก็ร่วมมืออยู่แล้ว คงทำสำเร็จจนได้ในวันหนึ่ง



หลวงพ่อจงเป็นผู้มีอัธยาศัยปกติไม่ชอบรบกวนจุกจิกต่อน้ำใจใคร ไม่เคยบิณฑบาตขอร้องอะไรต่ออะไรจากใคร โดยมากมักมีผู้ไปนมัสการท่าน แล้วมองตรวจหรือสอบถามเพื่อช่วยเหลือทำบุญแก่ท่านเอง เช่น รู้ว่าท่านขาดเหลืออะไร มีอันใด ทำให้ท่านมีความไม่สะดวกเป็นความอึดอัดต่างก็จัดหาถวาย แต่ถ้าหากจะถามท่านว่า ท่านจะต้องการสิ่งนี้สิ่งนั้นไหม ท่านจะปฏิเสธทันทีว่า ยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้ หรือ รอไปก่อนดีกว่า หรือ ไม่เป็นไรหรอก อาตมายังไม่ปรารถนา

บรรดาพระราชวงศ์ พ่อค้าเศรษฐี ข้าราชการทุกประเภทโดยทั่วไปส่วนมากที่เคารพสักการะศรัทธาต่อท่าน ต่างมักพากันไปมาหานมัสการและคอยสอดส่องอุปการะท่านเสมอ อาทิ พระองค์ชายอนุสรณ์ พระองค์ใหญ่เฉลิมเขตต์ พระองค์เจ้าเฉลิมพล พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ น.อ.ประสงค์ สุชีวะ ฯลฯ

หลวงพ่อจงเป็นผู้มักน้อยมีสันโดษมาแต่เล็ก ดังนั้นเมื่อดำเนินตามแนวพุทธวิธีตามพระธรรมคำสอน ท่านจึงสามารถสำเร็จในฌานสมาบัติได้โดยมิยาก

ชีวิตวัยเด็ก นอกจากช่วยพ่อแม่เลี้ยงควาย ดูแลบ้านและน้องแล้ว หลวงพ่อจงมิเคยทำงานหนักเบาสิ่งใด เพราะมีลักษณะคล้ายเป็นคนพิการ ตาก็ฝ้าฟาง หูก็ตึง แต่เป็นการอัศจรรย์ นับแต่เข้าเป็นพระภิกษุแล้ว ความพิการต่าง ๆ หายไปเป็นปลิดทิ้ง อวัยวะทุกสิ่งแจ่มใส อายุ 92 ปี ยังอ่านหนังสือได้โดยมิต้องใช้แว่น และยังสามารถสนเข็มได้ด้วยตนเอง ยกเว้นหูซึ่งมีประสาทชา ต้องพูดกับท่านดังหน่อย



หลวงพ่อจงเป็นผู้เคร่งครัดต่อการรักษาความสะอาด มีจิตใจเป็นผู้มีความละเอียดรอบคอบ บริเวณในวัดนอกวัด หากท่านอยู่ไม่ไปไหนจะต้องทำการปัดกวาดขัดเกลาด้วยตนเองเสมอ และไม่ชอบใช้ใครทำ หากใครจะช่วยทำก็ให้มาทำเองด้วยความสมัครใจของเขา ทั้ง ๆ ที่ท่านมีศิษย์ไม่ต่ำกว่าห้าคนอยู่ประจำเสมอ

ตั้งแต่วัดหน้าต่างนอกเคยมีงานพิธีใด ๆ มา มีผู้มาร่วมชุมนุมสมทบการกุศล ชมงานวัด ไม่เคยมีสักครั้งเดียวที่จะเกิดเรื่องทะเลาะวิวาท แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง ได้มีทหารยศนายสิบผู้หนึ่ง เกิดอาการมึนเมาครองสติไม่อยู่ ได้อาละวาดไล่ตีผู้คนและชักปืนยิงวุ่นวาย มีผู้ไปนิมนต์หลวงพ่อจงขอให้ไปห้ามระงับเหตุ ท่านหัวร่อ พลางบอกว่าไม่ต้องห้ามเดี๋ยวก็หยุดไปเอง หากอาละวาดจนหยุดไม่ได้ ก็เห็นจะต้องตาย

มันช่างเป็นความอัศจรรย์อะไรเช่นนั้น หลวงพ่อจงพูดขาดคำไปไม่ถึงสิบนาที มีคนวิ่งกระหืดกระหอบไปแจ้งท่านว่า นายสิบทหารผู้นั้นตายเสียแล้ว โดยอยู่อยู่ก็อวดศักดาเอาปืนจ่อขมับตนเอง อวดใครต่อใครว่าเป็นผู้ศักดาอาคมขลัง ปืนยิงไม่เข้า

และอีกครั้งหนึ่ง มีนายทหารชั้นร้อยโทผ่านศึกอินโดจีน เป็นคนพิการขาขาด ได้ไปขออาศัยอยู่ด้วย หลวงพ่อจงก็ไว้วางใจ มอบให้เป็นผู้เก็บรักษาเงินของวัด อยู่มาสองปีเศษ เงินของวัดก็สูญหายไปเรื่อย ๆ มากบ้างน้อยบ้าง แต่หลวงพ่อจงก็ไม่เคยเป็นห่วงเอาธุระซักไซ้ดูว่าอย่างไร สืบมาไม่นาน หลวงพ่อจงได้เงินมาหมื่นเศษก็มอบให้ไว้อีก โดยบอกว่าเงินนี่จะเอาไว้ทำโบสถ์ให้รักษาไว้ให้ดีหน่อย

ต่อมาถึงเวลาต้องการใช้เงิน คนผู้นั้น กลับตอบปฏิเสธว่าเงินไม่มีเสียแล้ว หลวงพ่อจงกล่าวซักว่า ...ก็ให้เก็บไว้บอกว่าจะเอาทำโบสถ์ ทำไมว่าเงินไม่มี พูดเป็นคนเสียสตินี่...

อีกสี่วันต่อมา บุรุษพิการขาขาดผู้นั้นได้กลายเป็นคนบ้า บ้าขนาดหนัก และมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงเจ็ดวันก็เกิดมีอาการคลุ้มคลั่งขนาดตรีทูตจนป่วยเป็นไข้อย่างแรงถึงเสียชีวิต

หลวงพ่อจงมีกิตติคุณอีกทางหนึ่งในการใช้น้ำมนต์ น้ำมันมนต์ของท่าน ท่านสร้างเองโดยหุงเดือดแล้วบริกรรมด้วยอาคมขลัง แล้วเอามือคนไปจนได้ที่ น้ำมันนี้มีสรรพคุณกินแก้ปวดท้อง หยอดยาแก้เจ็บ ตาแดง ตาต้อ ทานวดแก้เมื่อยขบ



ในชีวิตของท่าน ท่านต้องปฏิบัติกิจโดยพิถีพิถันและต้องไปร่วมพิธีใหญ่ ๆ ของทางราชการ และของผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่อยู่อย่างไม่ขาดสาย ไม่ว่าในการปลุกเสกอาคมสร้างของขลังในชมรมบรรดาเกจิอาจารย์หรืองานหลวง เช่น พิธีพุทธาภิเษกเหรียญและรูป อดีตสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ พิธีพุทธาภิเษกพระเครื่อง 25 พุทธศตวรรษ ตลอดจนถึงพิธีพุทธาภิเษกครั้งหลังสุดในชีวิต 94 ปีของท่าน คือพิธีพุทธาภิเษกสร้างเหรียญพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ปัจจุบันกับร่วมในพระราชพิธีฉลองพระชนมายุครบสามรอบ ณ วัดราชบพิธ นี่ย่อมเป็นเครื่องสำแดงว่า มิว่าในสังคมชั้นใดเอกชน หรือว่าวงราชการชั้นสูงสุดแค่ไหน หลวงพ่อจงถูกยอมรับนับถือเป็นยอดอริยสงฆ์ผู้ทรงคุณวุฒิ คุณธรรมสูงสุดผู้หนึ่ง

ประการสำคัญ ในชีวิตท่าน หลวงพ่อจงมิเคยมีอารมณ์หลง อยากได้นั่นได้นี่เป็นสมบัติ นอกจากกระทำไปตามหน้าที่ เช่น สร้างกุฏิซึ่งเก่าคับแคบ มีน้อยให้มากขึ้นที่วัดหน้าต่างนอกตามอัตภาพ สร้างศาลาการเปรียญ สร้างโรงเรียนตามที่ทางราชการ อำเภอ จังหวัดนิมนต์พึ่งขอความร่วมมือจากบารมีของท่าน แต่อย่างไรก็ดี สิ่งของของวัดท่าน เช่น ตะเกียงเจ้าพายุ (สมัยนั้นยังไม่มีผู้ถวายเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแก่วัด) หากวัดอื่นยากจนกว่าไปขอใช้ ท่านก็ให้ไป ศาลาวัดบางหลังที่ควรเอาไว้ใช้ แต่มีผู้มาบอกว่าจะขอรื้อเอาไม้ไปทำโรงเรียน ช่วยเด็กไม่มีโรงเรียนจะนั่งเรียน ท่านก็อุทิศให้ไปอย่างยิ้มแย้มเต็มใจ ท่านได้พัดวิเศษอันสูงค่ายิ่ง เพราะเป็นของพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ พระบรมราชินีนาถ เมื่อมีผู้มาขอยืมไปใช้เพราะเห็นว่าสวยสุดสง่า แต่แล้วไม่เอาคืนให้ มีผู้อาสาไปเอาคืน ท่านก็เพียงครางหึหึในลำคอ พลางก็ห้ามว่า เมื่อคนอื่นเขาพอใจจะเป็นเจ้าของเอาไว้ครองเป็นสมบัติของเขายิ่งกว่าเรา เราอุทิศให้เขาไปเสียให้สมใจ ก็มิเห็นจะเป็นไรไป

พฤติการณ์กรณีวาจาสิทธิ์ ของหลวงพ่อจงมีผู้พูดถึงกันมาก และ ปรากฏมีผู้ศรัทธาเชื่อกันว่า ท่านมีวาจาดุจดังพระร่วงอะไรทำนองนั้น แต่ท่านก็ไม่เคยว่ากล่าวใครสักกี่ราย แม้แต่การให้พรท่านก็มักให้แต่ในแนวทางสงฆ์ มีการสวดมนต์ภาวนาประพรมน้ำมนต์ ไม่เคยกล่าวคำอวยพรให้ใครอย่างใดในแบบสังคม


613
หลวงพ่อศุขลงตะกรุดสามกษัตริย์เรื่องของไสยศาสตร์ อิทธิปาฏิหาริย์ต่าง ๆ มีมาช้านานแล้ว เป็นเรื่องที่ไม่สามารถให้เหตุผลได้ว่า เป็นไปได้หรือไม่จริงหรือไม่จริงเพียงไร แม้ปัจจุบันวิทยาศาสตร์ จะก้าวไปไกลถึงต่างโลกต่างด้าวแล้ว ก็ ยังไม่มีใครมาอธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับอิทธิปาฏิหาริย์ ไสยศาสตร์ให้เรารู้เรื่องแจ่มชัดได้

เรื่องของไสยศาสตร์นี้ มิใช่จะเชื่อกันเฉพาะประเทศทางแถบบ้านเราแม้ฝรั่งเองก็มีอยู่ไม่น้อย จะเห็นได้จากเรื่องราวต่าง ๆ ที่ปรากฏในหนังสือและภาพยนตร์ของเขา ทั้งเรื่องของอดีตและปัจจุบัน

ในประวัติศาสตร์พงศาวดารและเกร็ดต่าง ๆ ของไทยเราองค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชาสามารถ จะเป็นในทางการรบหรือในทางอื่นใดมักจะมีพระอาจารย์ที่มีวิชาแก่กล้าอาคมขลังควบคู่ไปด้วยเสมอ

แม้แต่ชีวิตละครตัวเอก ๆ ในวรรณคดีไทย จะเป็นขุนช้างขุนแผน พระอภัยมณี รามเกียรติ เกจิอาจารย์จะเข้ามามีบทบาทอยู่มากมายพอสมควร

ในปจจุบัน เรามีอาจารย์ที่ทรงคุณวิเศษเป็นที่พึ่งอยู่มาก อย่างน้อยก็ได้ที่พึ่งทางใจเป็นปฐม ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่และที่ถึงแก่มรณภาพไปแล้ว เช่น หลวงปู่ทวด วัดช้างให้ ปัตตานี หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ เพชรบุรี พระครูบาศรีวิชัย เชียงใหม่ ฯลฯ

ในบรรดาคณาจารย์ดังกล่าว ผู้ที่เรามีความประสงค์อย่างยิ่งที่จะกล่าวถึงด้วยความเคารพและนับถืออย่างสูงสุด คู่ไปกับเสด็จพ่อกรมหลวงชุมพรฯ คือ พระคุณเจ้าหลวงพ่อวัดมะขามเฒ่าพระอาจารย์เอกของศิษย์เอกกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์

หลวงพ่อวัดมะขามเฒ่า นามเดิมว่า ศุข สมณศักดิ์เป็นพระครูวิมลคุณากรจากหนังสือบางเล่มกล่าวว่า หลวงพ่อเป็นชาวสุพรรณ แต่ก็ยังมีอีกหลายเล่มรวมทั้งหนังสือป้อมปราการ ฉบับที่ 6 ประจำวันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม 2517 เรื่องพระประวัติอภินิหารพระเครื่องหลวงพ่อศุข วัดมะขามเฒ่า กรมหลวงชุมพรฯ รวบรวมโดย บุรี รัตนา ยืนยันว่าหลวงพ่อเป็นชาวอำเภอสิงห์ จังหวัดชัยนาท ในหนังสือเล่มนี้อธิบายว่า ตรงปากคลอง อำเภอวัดสิงห์ซึ่งแม่น้ำเจ้าพระยากับท่าจีนมาพบกัน ทางฝั่งเจ้าพระยาเป็นที่ตั้งของวัดปากคลองมะขามเฒ่าและบ้านของท่านอยู่ทางด้านใต้ของวัดนี้

บิดาของหลวงพ่อชื่อ น่วม มารดาชื่อทองดี เกศเวชสุริยา มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 9 คน หลวงพ่อเป็นลูกชายคนโต เมื่ออายุได้ 7 ขวบ ได้เป็นเด็กวัดมะขามเฒ่า เรียนหนังขอมและไทยได้ชัดเจน จนอายุ 18 ปี หลวงพ่อหรือนัยหนึ่ง "หนุ่มศุข" พบรักและได้อยู่กินกับสาวสวยชื่อ สมบูรณ์ เป็นชาวบางเขน กรุงเทพฯ มีบุตรชาย 1 คน ชื่อสอน เมื่อหนุ่มศุขหรือพ่อศุขอายุ 20 ปีบริบูรณ์ก็บวช จนมรณภาพในปี พ.ศ. 2466

เมื่อปฐมวัยเด็กชายศุขชอบกระโดดน้ำ มักว่าน้ำเกาะเรือโยงเล่นเหมือน ๆ กับเด็กชาย ลูกแม่น้ำคนอื่น ๆ จนมารดาทำโทษไม่ให้ขึ้นจากท่าน้ำ จะเป็นด้วยโกรธหรือน้อยใจมารดา ก็ไม่ทราบได้เด็กชายศุขเกาะเรือโยงขออาศัยเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ทิ้งความรักความห่วงใยของมารดาไว้เบื้องหลัง

จากเด็กชายศุขมาเป็นพระภิกษุศุข ผู้พร้อมด้วยศีลาจริยวัตรอันงดงาม ท่านเดินทางกลับบ้านวัดสิงห์ พบมารดาซึ่งป่วยเรื้อรังมานาน ทั้งคู่ต่างดีใจอย่างเหลือล้นเมื่อได้พบกัน โยมมารดาของท่านหน้าตาแช่มชื่น ท่านก็เต็มตื้นอิ่มเอิบทั้งคู่ต่างก็ปราโมทย์สุขสบายใจ

ต่อจากนั้นท่านมิได้ทิ้งมารดาและชาววัดสิงห์ไปไหนอีกเลย คงจำพรรษาอยู่ในวิหารเก่าแก่ทรุดโทรม ของวัดอู่ทอง ปากคลอง มะขามเฒ่า (อีกนัยหนึ่ง คือ วัดมะขามเฒ่า) นั่นเอง จนกระทั่งเสด็จพ่อกรมหลวงชุมพรฯ เสด็จดั้นด้นมาพบท่านในวันหนึ่ง

เสด็จพ่อกรมหลวงชุมพรฯ ทรงเลื่อมใสในไสยศาสตร์อยู่ก่อนแล้ว เมื่อพระองค์เจ้าวิบูลพรรณ ได้ถวายพระเครื่องซึ่งนับถือกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์เป็นยอดตกทอดมาตั้งแต่วังหน้าแด่พระองค์ หลังจากทรงทดสอบความศักดิ์สิทธิ์ของพระเครื่องและได้ทอดพระเนตรเห็นคุณานุภาพแล้ว จึงทรงเลื่อมใสในเรื่องไสยศาสตร์ยิ่งขึ้น ต่อจากนั้นได้เสด็จไปตามที่ต่าง ๆ เพื่อเสาะหาพระอาจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษเพื่อทรงขอศึกษาวิชาการทางด้านนี้

ครั้งหนึ่งเสด็จแปรพระราชฐานภาคเหนือกลับทางเรือล่องตามแม่น้ำเจ้าพระยาแยกออกจากท่าจีนที่ชัยนาทลงมาเรื่อย ๆ จนเข้าเขตวัดมะขามเฒ่าเรือเกิดติดขัดอยู่ตรงนั้น โดยหาสาเหตุมิได้รับสั่งให้ชะลอเรือและจอดที่ท่าวัดมะขามเฒ่านั่นเอง ที่นั่นได้ทอดพระเนตรเห็นหลวงพ่อศุขเสกหัวปลีให้เป็นกระต่าย เสด็จพ่อกรมหลวงชุมพรฯ ได้ทรงปรึกษาไต่ถามหลวงพ่อศุข ก็ทูลถึงวิธีการเสกให้ทรงทราบ มิได้ปดบังและหลังจากที่หลวงพ่อศุขได้ เสกหัวปลีให้เป็นกระต่ายแล้วยังได้เสกพลทหาร ของเสด็จพ่อกรมหลวงชุมพรฯ (หลังจากเจ้าตัวยินยอมให้เสกแล้ว) เป็นจระเข้ให้ทอดพระเนตรอีกด้วย

เมื่อเสด็จพ่อกรมหลวงชุมพรฯ ทอดพระเนตรเห็นอิทธิปาฎิหาริย์อันสูงสุดของหลวงพ่อศุขก็ทรงนมัสการด้วยความคารวะอย่างบริสุทธิ์ใจฝากองค์เป็นลูกศิษย์แต่นั้นเป็นต้นมา

หลวงพ่อศุข หรือนัยหนึ่งหลวงพ่อวัดมะขามเฒ่านั้น เล่ากันว่า ท่านสำเร็จธาตุ ทั้ง 4 คือ ปฐวี อาโป วาโย และเตโช สามารถจะเสกอะไรให้เป็นอะไรก็ได้ทั้งสิ้นอีกทั้งการล่องหน หายตัว กำบังกาย ระเบิดน้ำ สะเดาะโซ่ตรวนก็เชี่ยวชาญ วิชามายาศาสตร์อีกมากมายเล่าก็จัดเจน ตัวอย่างที่ยกมา กล่าวอ้างนั้นเพียงน้อยนิดอิทธิฤทธิ์ของท่านยังมีอีกมากนัก

หลวงพ่อศุขลงตะกรุดสามกษัตริย์ให้เสด็จพ่อฯ

การที่หลวงพ่อศุขพระอาจารย์ของเสด็จพ่อฯ กระทำพิธีลงตะกรุดสามกษัตริย์ให้เสด็จพ่อฯ จางวางถึกเล่าให้ฟังว่า

เมื่อเสด็จพ่อฯ ไปถึงวัดมะขามเฒ่าเป็นเวลา 12.00 น.เศษ หลวงพ่อศุขได้เชิญเสด็จพ่อฯ เสด็จขึ้นประทับบนกุฏิได้สนทนากันอยู่พักหนึ่งแล้ว หลวงพ่อศุขก็พูดกับเสด็จพ่อฯ ว่า

"วิชาอาคมต่าง ๆ อาตมาภาพก็ได้ประสิทธิ์ประสาทให้พระองค์ไว้มากแล้วแต่ยังขาดของสําคัญอีกสิ่งหนึ่งซึ่งพระองค์จะขาดเสียมิได้จะต้องติดไว้กับพระองค์เสมอเป็นของวิเศษมีอภินิหารมาก จะปรารถนาสิ่งใดได้ทุกประการ อาตมาได้ตระเตรียมสิ่งของที่จะทำให้พระองค์แล้วซึ่งมีแผ่นโลหะ คือเงินหนัก 1 บาท นากหนัก 1 บาท ทองคำหนัก 1 บาท ทั้งสามสิ่งนี้เรียกว่า "สามกษัตริย์" สามารถแก้อาถรรพณ์ต่าง ๆ ได้ เมื่อลงเป็นตะกรุดแล้วเอาด้ายสายสิญจน์มาเสกแล้วควั่นร้อยผูกเอวหรือคล้องคอก็ได้ ของสิ่งนี้แหละจะได้ทำถวายพระองค์เดี๋ยวนี้"

เมื่อหลวงพ่อศุขพูดจบ เสด็จพ่อฯ ก็ก้มกราบทันที แล้วตรัสว่า

"เป็นพระคุณอย่างสูงที่ท่านอาจารย์ได้กรุณาต่อหม่อมฉัน"

หลวงพ่อศุขหันหน้ามายิ้มแล้วพูดว่า

"รอเดี๋ยวเข้าที่บูชาก่อน"

พูดแล้วก็เดินเข้าห้องจุดธูปเทียน ลมพัดควันกลบออกมาข้างนอก สักครู่หนึ่งแล้วเรียกเสด็จพ่อฯ เข้าไปในห้อง พักหนึ่งหลวงพ่อศุขเดินออกมาในมือถือเหล็กจารกับแผ่นโลหะ และ ด้ายควั่นสีขาวจุดเทียนลงจากกุฎิ เสด็จพ่อฯ ก็เสด็จตามลงมา มีจางวางถึกและทหารคนสนิทเดินตามมาด้วย หลวงพ่อเดินออกไปถึงศาลาน้ำหน้าวัดแล้วหันมาบอกกับเสด็จพ่อฯ ว่า

"พระองค์รออยู่ที่นี่ เดี๋ยวอาตมาจะระเบิดน้ำลงไปทำตะกรุดที่กลางแม่น้ำเดี๋ยวนี้"

เสด็จพ่อฯ เห็นพระอาจารย์สั่งเช่นนั้น ก็มิได้ตรัสอย่างไร เสด็จพ่อฯ และบริวารยืนตรงศาลาท่าน้ำ มองไปข้างหน้าเห็นแต่น้ำท่วมขาวนองเต็มตลิ่ง หลวงพ่อถือเทียนเล่มใหญ่ที่จุดไฟลุกแดง เดินลงจากบันไดศาลาท่าน้ำจมมิดลงไปในแม่น้ำ ทำให้จางวางถึกและเสด็จพ่อฯ ที่เห็นอยู่นั้นพากันตะลึงงันทั่วทุกคน และไม่มีใครพูดว่าประการใด ทุกคนหันมามอง เสด็จพ่อฯ ที่ทรงยืนทอดพระเนตรอยู่ แล้วหันกลับไปกลางแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว ทุกคนยืนรอหลวงพ่อทำพิธีอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ หลวงพ่อศุขก็โผล่ศีรษะพ้นน้ำ เดินขึ้นจากบันไดศาลาท่าน้ำ ถือเทียนจุดลุกแดงโร่ผ้าสงบจีวรหาได้เปียกน้ำไม่ หลวงพ่อศุขหันมาสั่งเสด็จพ่อฯ ให้ขึ้นไปบนกุฏิแล้วตัวท่านเดินถือเทียนนำหน้าเสด็จพ่อฯ และบริวารเดินตามขึ้นไปบนกุฎิแล้วหลวงพ่อก็เดินเข้าไปในห้องบูชาเอาเทียนปักไว้ตรงหน้าที่บูชาจุดธูปเทียนบูชาแล้ว ออกมานั่งตรงอาสนะตรงกับเสด็จพ่อฯ แล้วหลวงพ่อก็ส่งตะกรุดสามกษัตริย์ให้เสด็จพ่อฯ พร้อมกับบอกว่า

"เก็บไว้ให้ดี ไปไหนก็ให้เอาติดตัวไปด้วยเก็บรักษาให้ดี ของสิ่งนี้ทำให้เสด็จในกรมฯ พระองค์เดียวเท่านั้น"

เสด็จพ่อฯ ทรงรับตะกรุด จากหลวงพ่อศุขแล้วก้มลงกราบแล้วตรัสถามว่า

"ท่านอาจารย์ ตะกรุดนี้เวลานำติดตัวไปมีห้ามอะไรบ้าง"

หลวงพ่อศุขตอบว่า

"ไม่มีข้อห้ามอะไร ทองคำตกอยู่ที่ไหนก็เป็นทองคำอยู่นั่นแหละ"

ต่อมาก็มีการสนทนาอีกเล็กน้อยหลวงพ่อก็เอาพระเครื่ององค์เล็กดำ ๆ มาแจกบริวารของเสด็จพ่อฯ แล้วก็ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้เสด็จพ่อฯ และบริวารทั่วทุกคน เป็นเวลา 15.30 น.เศษ เสด็จพ่อฯ ก็ขอลา เสด็จลงเรือกลับในวันนั้นเอง

นายเทียบ อุทัยเวช เล่าว่าตะกรุดสามกษัตริย์นี้ เสด็จพ่อฯ ไม่เคยเอาออกห่างจากพระองค์เลย เคยเห็นเสด็จพ่อฯ นำติดพระองค์เสมอมา ตะกรุดสามกษัตริย์นี้ไปตกอยู่กับหม่อมเจ้ารังสิยากร ที่ทราบได้ก็เพราะเวลาก่อนเสด็จพ่อฯ จะสิ้นพระชนม์พระองค์ทรงหยิบตะกรุดสามกษัตริย์ออกจากที่คาดไว้มอบให้แก่หม่อมและรับสั่งว่า

"เอาเก็บไว้ให้เจ้าตุ่น"

ตุ่นนั้น คือ หม่อมเจ้ารังสิยากรโอรสของเสด็จพ่อนั่นเอง

ที่มา : หนังสือที่ระลึกในการสร้างพระตำหนักเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ณ บริเวณหาดทรายรี จ.ชุมพร : นายประมวล สาครพันธุ์ รวบรวม
ให้เสด็จพ่อฯ

614
หลวงปู่ศุข

วัดปากคลองมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท

(ที่มา : หนังสือ PRECIOUS VOL.1 )   



นามเดิม :- ศุข นามสกุล เกษเวช (ต่อมาลูกหลานได้ใช้ เกษเวชสุริยา ก็มี)

เกิดเมื่อวันจันทร์ เดือน ๔ ขึ้น ๘ ค่ำ ปีวอก พ.ศ. ๒๓๙๐ ที่บ้านมะขามเฒ่า ( เรียกกันในสมัยนั้น ปัจจุบันเรียก บ้านปากคลอง ) ตำบลมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท

โยมบิดา - มารดา :- ชื่อ นายน่วม และนางทองดี ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลมะขามเฒ่า

มีบุตรและธิดา ด้วยกัน ๙ คน

๑. หลวงปู่ศุข

๒. นางอ่ำ

๓. นายรุ่ง

๔. นางไข่

๕. นายสิน

๖ .นายมี

๗. นางขำ

๘. นายพลอย

๙ .หลวงพ่อปลื้ม

ปัจจุบันยังมีลูกหลานของท่านอยู่ที่บ้านใต้วัดมะขามเฒ่าอีกหลายคน หรือแม้แต่ร้านค้าขายภายในบริเวณวัดเองก็ยังมี

หลวงปู่นั้น ท่านมีลุงคนหนึ่งชื่อ แฟง ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลบางเขน จังหวัดพระนคร ( ในสมัยนั้น ) มีอาชีพ ทำสวน ไม่มีบุตรหรือธิดา จึงได้มาขอหลานจากโยมบิดามารดาหลวงปู่ศุขไปเลี้ยง โยมท่านก็อนุญาตให้เลือกเอา ลุงแฟงก็เลือกเอาคนโต หรือ เรียกว่าคนหัวปี คือ หลวงปูศุข เข้าใจว่าขณะนั้นอายุประมาณ ๑๐ ขวบ เมื่อหลวงปู่ศุขไปอยู่กับลุงแฟง เจริญเติบโตที่ตำบลบางเขน

เมื่อหลวงปู่ฯ อยู่ในวัยฉกรรจ์ ท่านได้เดินทางเข้ามากรุงเทพฯ ทำมาหากินค้าขายเล็กๆ น้อยๆ โดยยึดลำคลองบางเขน ซึ่งมีปากคลองเชื่อมกับแม่น้ำเจ้าพระยาตอนใต้จังหวัดนนทบุรีลงมา ปัจจุบันอยู่ข้างทางเข้าวัดทางหลวง เป็นที่ทำมาหากิน

คลองบางเขนนี้ทอดขึ้นไปเชื่อมกับคลองรังสิต เมื่อก่อนนี้เป็นเส้นทางหลักในการคมนาคมทางน้ำที่สำคัญและกว้างขวางเป็นอย่างมาก เมื่อการคมนาคมทางบกเจริญขึ้น การสัญจรทางน้ำก็หมดความสำคัญลง ปัจจุบันคงจะตื้นเขินไปแล้วก็ได้ เพราะขาดการทะนุบำรุงเท่าที่ควร

หลวงปู่ฯ ท่านทำมาหากินอยู่ในคลองบางเขนอยู่ระยะหนึ่ง จนอายุได้ ๑๘ ปี ได้ภรรยาชื่อ นางสมบูรณ์ และเกิดบุตรชายคนหนึ่งชื่อ สอน เกศเวชสุริยา

หลวงปู่ฯ ท่านครองเพศฆราวาสอยู่ไม่นาน พออายุท่านครบ ๒๒ ปี ท่านได้ลาไปอุปสมบท ณ วัดโพธิ์บางเขนหรือปัจจุบันชื่อว่า วัดโพธิ์ทองล่าง ซึ่งอยู่ปากคลองบางเขนตอนล่าง ส่วนวัดโพธิ์ทองบน อยู่ตอนเหนือของปากคลองบางเขน ตอนบนบริเวณจังหวัดปทุมธานี

อุปสมบท :-

การอุปสมบทของหลวงปู่ศุขนั้น ท่านได้อุปสมบทเมื่ออายุได้ ๒๒ ปี ที่วัดโพธิ์บางเขน ( ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นวัดโพธิ์ทองล่าง ) โดยมี พระครูเชย จนฺทสิริ วัดโพธิ์บางเขน เป็น พระอุปัชฌาย์ พระถายมเป็นพระคู่สวด การอุปสมบทนี้มีลุงแฟงเป็นผู้อุปการะทั้งสิ้น ส่วนโยมบิดามารดาไม่ได้มาร่วมพิธีด้วย เพราะการเดินทางสมัยนั้นลำบากมาก จากชัยนาทถึงกรุงเทพฯ ก็กินเวลาอย่างน้อย ๒ ถึง ๓ วัน จึงจะถึง

พระอุปัชฌาย์ของท่านชื่อ หลวงพ่อเชย จันทสิริ อดีตท่านเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ทองล่าง ซึ่งเป็นพระสงฆ์ฝ่ายรามัญที่ถือเคร่งในวัตรปฏิบัติและพระธรรมวินัยเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลวงพ่อเชยท่านยังเป็นอาจารย์ทางฝ่ายวิปัสสนาธุระมีความรู้และความชำนาญรู้แจ้งแทงตลอด อีกทั้งทางด้านวิทยาคมก็แก่กล้าเป็นยิ่งนัก หลวงปู่ฯ ท่านได้รับถ่ายทอดวิชาความรู้จากอุปัชฌาย์ของท่านมาพร้อมกับอาจารย์เปิง วัดชินวนาราม และหลวงปู่เฒ่า วัดหงษ์ จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นศิษย์ในสายหลวงพ่อเชย วัดโพธิ์ทองล่างเหมือนกัน

เมื่อได้อุปสมบทแล้วอยู่กับพระอุปัชฌาย์ เพื่อศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยพอสมควรแล้ว ท่านก็ได้ออกเดินธุดงค์หาที่สงบฝึกวิปัสสนากัมมัฏฐาน และวิชาอาคมต่าง ๆ จากสำนักที่มีชื่อเสี่ยงโด่งดังในสมัยนั้นจนชำนาญดีแล้ว จึงกราบลาอาจารย์กลับบ้านเกิดของท่าน โดยมาพักอยู่ที่วัดร้างแห่งหนึ่งข้างหมู่บ้านของท่าน ชื่อวัดอู่ทอง ปัจจุบันนี้เรียกว่า วัดปากคลอง ชาวบ้านแถวนั้นมีความศรัทธาเลื่อมใสจึงนิมนต์ให้ท่านจำพรรษาอยู่ที่นั้น เพื่อที่ว่าจะได้สร้างวัดขึ้นมาใหม่ ดังนั้นท่านจึงได้อยู่ ณ ที่นั้นมาจนท่านมรณภาพ ในระหว่างที่ท่านมีชีวิตอยู่นั้น ได้เริ่มพัฒนาในท้องถิ่นให้เจริญรุ่งเรืองด้วยจากวัดร้างที่ไม่มีอะไรเลย จนถึง พุทธาวาส ธรรมาวาส และสังฆาวาส เป็นวัดที่สมบูรณ์แบบจนถึงทุกวันนี้ ยังมีพระอุโบสถและมณฑป ปรากฏให้เห็นอยู่ ส่วนการอบรมสั่งสอนนั้นท่านได้แนะแนวการประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ให้เห็นคุณและโทษของผลการปฏิบัติตนในทางที่ดีหรือไม่ดีอย่างไร จนประชาชนแถวนั้นมีความประพฤติดีมีศีลธรรมเป็นส่วนมาก

หลวงปู่ฯ ท่านเพลินอยู่ในธรรมเสียหลายปี จนกระทั่งมารดาท่านที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ได้ชราภาพลงตามอายุขัย และความเจ็บไข้มาเยือนอยู่บ่อยครั้ง ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยในบิดามารดาของท่านจึงได้เดินทางกลับสู่ภูมิลำเนาเดิม และได้อยู่จำพรรษาปีแรกๆ ที่วัดอู่ทองปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่โบราณที่อยู่ลึกเข้าไปในคลองมะขามเฒ่า หรือบริเวณต้นแม่น้ำท่าจีนในปัจจุบัน แต่ทว่าสภาพของวัดอู่ทองขณะนั้นได้เกิดการชำรุดทรุดโทรมลงตามสภาพ เกินกว่าที่จะบูรณปฏิสังขรณ์ให้กลับคืนมาสู่สภาพที่ดีได้ต่อไป ท่านจึงได้ขยับขยายออกมาที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และได้สร้างกุฏิขึ้นครั้งแรกหนึ่งหลังพอเป็นที่อยู่อาศัยไปพลางก่อน

สืบต่อมามารดาของหลวงปู่ๆ ได้ถึงแก่กรรมและได้จัดการฌาปนกิจศพ และในงานนี้เอง หลวงปู่ฯ ท่านได้สร้างวัตถุมงคลในรูปพระพิมพ์สี่เหลี่ยมซุ้มรัศมีออกแจกเป็นของที่ระลึกเป็นครั้งแรก เมื่อผู้ที่ได้รับแจกพระเครื่องจากท่านไปได้ปรากฏอภินิหารทางอยู่ยงคงกระพัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกันเขี้ยวงา คือสุนัขกันไม่เข้า ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่บังเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพราะบ้านนอกอย่างในชนบทสมัยก่อนนั้นไม่ค่อยจะมีรั้วรอบขอบชิดเสียเป็นส่วนใหญ่ ก็ได้อาศัยสุนัขที่เลี้ยงไว้เป็นยามเฝ้าบ้าน ฉะนั้นการที่จะแวะเวียนไปบ้านหนึ่งบ้านใดนั้นจะต้องระวังเรื่องสุนัขลอบกัดให้ดี มิฉะนั้นท่านจะถูกสุนัขกัดเอาง่ายๆ พระของหลวงปู่ฯ จึงมีชื่อเรื่องสุนัขกันไม่เข้า เป็นปฐมเหตุก่อน จึงบังเกิดความนิยมไปขอท่านมาแขวนคอบุตรหลานเพื่อกันเขี้ยวงาและภยันตรายต่างๆ สมัยก่อนพระวัดปากคลอง เนื้อตะกั่ว จะมีแขวนอยู่ในคอเด็กในท้องถิ่นเกือบจะทุกคน แล้วถ้าจะไปขอพรหลวงปู่ศุข ท่านมักจะถามว่า ?เอ็งมีลูกกี่คน?? ท่านจะให้ครบทุกคน

กิตติศัพท์ในความขลังประสิทธิในพระพิมพ์สี่เหลี่ยมของท่านจึงค่อยๆ เผยแพร่จากปากหนึ่งไปสู่อีกปากหนึ่ง ในเวลาไม่ช้าไม่นาน คุณวิเศษของท่านจึงค่อยๆ โด่งดังขจรขจายไปทั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาอันเป็นเส้นทางคมนาคมสายหลัก การขนส่งสินค้า ตลอดจาการทำมาค้าขาย จะขึ้นล่องจะต้องอาศัยสายน้ำเจ้าพระยาเพียงแห่งเดี่ยวเท่านั้น เพราะในสมัยนั้นถนนหนทางทางบกยังทุรกันดาร พอตกเพลาพลบค่ำพ่อค้าแม่ขายเรือเล็กเรือใหญ่จะมาอาศัยนอนค้างแรมที่แพหน้าวัดของท่าน เพื่ออาศัยบารมีของท่านช่วยป้องกันขโมยขโจรที่จะมาประทุษร้ายต่อเลือดเนื้อชีวิตและทรัพย์สิน ถ้าจะเปรียบไปแล้วหน้าวัดของท่านจึงเป็นเสมือนหนึ่งเป็นชุมทางที่สำคัญนี่ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่ช่วยเสริมส่งให้เกียรติคุณของท่านแผ่ขยายไปทั่วทุกภาคของประเทศ ชื่อเสียงของท่านจึงเป็นที่รู้จักกันดี ?หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า?

เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯฝากตัวเป็นศิษย์ :-

อนึ่ง มีผู้กล่าวว่าท่านมีวิชาอาคมเวทย์มนต์เก่งมาก สามารถเสกใบไม้ให้เป็นตัวต่อ ตัวแตน เสกหัวปลีให้เป็นกระต่าย เสกก้านกล้วยให้เป็นงูได้ และเรื่องอภินิหารของขลัง คงกระพันชาตรี มีอีกมากมาย อาจจะเป็นด้วย บุญกุศลของหลวงปู่ศุข กับ เสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระบิดาแห่งราชนาวี ซึ่งเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ นับลำดับราชสกุลวงศ์เป็นพระองค์ที่ ๒๘ และเป็นพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ที่ ๑ ในเจ้าจอมมารดาโหมด ธิดาพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) ได้สร้างสมกันมาแต่ชาติปางก่อน ดลบันดาลให้เสด็จในกรมฯ ซึ่งทรงศรัทธาเลื่อมใสในทางมหาพุทธาคมอยู่แล้วได้เสด็จประพาสไปในภาคเหนือ จึงเป็นเหตุให้หลวงปู่ศุขและพระองค์ท่านได้พบกัน และเป็นที่ต้องอัธยาศัยซึ่งกันและกัน จึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์ ? อาจารย์ เพื่อจักได้ศึกษาทางมหาพุทธาคม และปรากฏว่า พระองค์เป็นศิษย์ที่มีความรู้ความสามารถได้ศึกษาแตกฉานจนกระทั่งหลวงพ่อเองก็หมดความรู้ จึงได้ให้เสด็จในกรมฯ ไปศึกษาเคล็ดวิชากับหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จังหวัดพิจิตรต่อ ดังเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วนั้นและได้วาดภาพพุทธประวัติด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง ที่อุโบสถด้านในหน้าอุโบสถ ซึ่งปรากฏจนทุกวันนี้ หลวงปู่ศุข ท่านมีเมตตามากจึงมีศิษย์เป็นอันมากที่มาเรียนวิชาเหล่านี้ ท่านได้รับสมณศักดิ์ เป็นพระครูวิมลคุณากร และเป็นเจ้าคณะแขวง ( ปัจจุบันเรียกว่าเจ้าคณะอำเภอ ) เป็นองค์แรกของอำเภอวัดสิงห์ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเมื่อใด

เมื่อหลวงปู่ศุข ท่านมีลูกศิษย์อย่างเสด็จในกรมฯ จึงเป็นกำลังสำคัญให้ท่านสามารถที่สร้างวัดปากคลองมะขามเฒ่าให้เสร็จสมบูรณ์ ถาวรวัตถุทางพุทธศาสนาที่คงเหลือเป็นประจักษ์พยานในปัจจุบันนี้ก็คือ ภาพเขียนฝีมือเสด็จในกรมฯ บนฝาผนังพระอุโบสถ วัดปากคลองมะขามเฒ่า ที่ยังรักษาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ และเป็นภาพเขียนฝีมือเสด็จในกรมฯ บนฝาผนังพระอุโบสถ วัดปากคลองมะขามเฒ่า ที่ยังรักษาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ และเป็นภาพเขียนสีน้ำที่ทางกรมศิลป์ยกย่องว่าเสด็จในกรมฯ ทรงฝีมือในการเขียนภาพเป็นอย่างมาก และทรงสอดแทรกอารมณ์ขันในภาพพระพุทธเจ้าชนะมาร ในกระแสน้ำที่พระแม่ธรณีบีบมวยผมทำให้เกิดอุทกธาราหลากไหลพัดพาเอาทัพพระยามารไปนั้น พระองค์ท่านเขียนเป็นภาพลิงใส่นาฬิกาและหนีบขวดวิสกี้กำลังเดินตุปัดตุเป๋ไปเลย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฤาษีปัญจวัคคีเมื่อเห็นเจ้าชายสิทธัตถะเลิกทรมานการหันมากินอาหาร ก็นึกว่าพระองค์คงจะถ้อถอยละความเพียรแล้ว จึงพากันผละหนีพระองค์ไปนั้น เสด็จในกรมฯ ท่านเขียนใบหน้าของฤาษีปัญจวัคคี โดยสอดอารมณ์ที่ยิ้มเยาะเย้ยหยันอย่างไม่อะไรไยดีต่อพระองค์ เน้นความรู้สึกได้เด่นชัดมาก

ฝีมือของเสด็จในกรมฯ อีกชิ้นหนึ่งก็คือภาพเขียนสีน้ำมันเป็นรูปหลวงปู่ศุขยืนเต็มตัวและถือไม้เท้า ภาพนี้เขียนขึ้นในขณะที่หลวงปู่มีอายุมากแล้วจึงต้องเดินสามขา

ศิลปวัตถุในพุทธศาสนาที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า นอกจากพระอุโบสถแล้วยังมีมณฑปจตุรมุขประดิษฐ์บานรอยพระพุทธบาท ประตูทั้ง ๔ บานนั้นแกะด้วยไม้สัก แกะลวดลายลึกถึงสามชั้น เคยมีคนสมคบกันเอาบานประตูมณฑปจตุรมุขออกขาย เอาลงมากรุงเทพฯ เตรียมใส่เรือกระแชงในคลองมหานาคเพื่อออกต่างประเทศ ด้วยดวงวิญญาณในหลวงปู่ศุขท่านผูกพันอยู่กับศาสนาวัตถุที่ท่านสร้างเอาไว้ในบวรพุทธศาสนา ท่านจึงเข้าประทับทรงจากหิ้งบูชาจังหวัดนครสวรรค์ รับเอาท่านแม่ทัพที่นครสวรรค์ (ขออภัยผู้เขียนจำชื่อท่านไม่ได้) และมารับเอาท่านนายอำเภอประจำจังหวัดชัยนาทในขณะนั้น คือ คุณสุธี โอบอ้อม แล้วนั่งรถเข้ากรุงเทพฯ ร่างทรงหลวงปู่ฯ ได้พาคณะลดเลี้ยวเข้าครอกเข้าซอยจนมาถึงเรือกระแชงที่บรรทุกบานประตูมณฑปเตรียมขนออกนอกได้อย่างทันท่วงที ยึดเอาบานประตูทั้ง ๔ บาน คืนกลับไป ขณะนั้นยังคงเก็บรักษาไว้ที่วัดป่าพานิชวนาราม อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท และยังไม่ได้ส่งคืนวัดปากคลองมะขามเฒ่า เพราะเหตุอะไรนั้น ชาวจังหวัดชัยนาทเขาทราบกันดี

ปัจจุบันชาวจังหวัดชัยนาทผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใส ได้ร่วมกันสร้างรูปหุ่นขี้ผึ้งไว้ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า เพื่อจะได้ทำการสักการบูชาโดยทั่วกัน กรมทหารเรือเห็นความสำคัญ จึงได้ทำการบูรณะซ่อมแซมมณฑป เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๕ ทำให้ประชาชนทั้งใกล้และไกลต่างจังหวัด หลั่งไหลมาสักการะบูชาทุก ๆ วันมิได้ขาด วัดปากคลองมะขามเฒ่า จึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของจังหวัดชัยนาทต่อไป

เรื่องทรงเจ้าเข้าผีนี้ จะไม่เชื่อก็ไม่ได้ แต่ที่ทรงจริงๆ นั้นมันมีน้อย อย่างในกรณีดวงวิญญาณหลวงปู่ศุขประทับทรงแล้วซอกแซกลงมาจากนครสวรรค์ถึงกรุงเทพฯ เกือบ ๓๐๐ กม. แล้วยังพาคณะเข้าครอกตรอกซอยจนถึงเรือกระแชงที่จอดลอยลำอยู่ในคลองมหานาคนั้นมันเป็นการเดินทางที่สลับวับซ้อนและวกวนน่าดู แต่ร่างทรงก็พาคณะไปจนพบและยึดบานประตูกลับคืนมาได้นั้น มันเป็นเหตุการณ์อันมหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง และบานประตูมณฑปทั้ง ๔ บานดังกล่าวแล้วนั้น ทั้งเสด็จในกรมฯ และหลวงปู่ศุขได้ช่วยกันสร้างเป็นชิ้นสุดท้าย ระบุปี พ.ศ. ๒๔๖๕ อยู่ที่ซุ้มหน้ามณฑปอีกด้วย

ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์นอกจากจะถูกอัธยาศัยกันเป็นยิ่งนัก จักเดินทางไปมาหาสู่กันเสมอแล้ว ถ้าเสด็จในกรมฯ ติดราชการงานเมือง หลวงปู่ก็จะลงมาหา โดยเสด็จในกรมฯ ได้สร้างกุฏิอาจารย์ไว้กลางสระที่วังนางเลิ้ง ซึ่งเต็มไปด้วยดอกบัววิคตอเรีย มีใบกลมใหญ่ขนาดถาด และรู้สึกว่ากลางใบจะมีหนามคมด้วย อันนี้ได้รับคำบอกเล่าจากลุงผล ท่าแร่ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ติดสอยห้อยตามหลวงปู่ฯ มาแต่เล็ก ท่านเป็นชาวอุตรดิตถ์หรือพิษณุโลกจำได้ไม่ถนัดนัก หลวงปู่ศุขท่านขอพ่อแม่มาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม เมื่อสิ้นบุญหลวงปู่ฯ ท่านก็เลยลงหลักปักฐานได้ภริยาอยู่ที่ตำบลท่าแร่ อำเภอวัดสิงห์ ชัยนาท เลยเรียกกันติดปากว่า ลุงผล ท่าแร่

แต่อย่างไรก็ตาม ภายในกำหนด ๑ ปี หลวงปู่ศุขท่านจะต้องลงมากรุงเทพฯ ๑ ครั้งเป็นอย่างน้อย เพราะเสด็จในกรมท่านจะกระทำพิธีไหว้ครูราวๆ เดือนเมษายน งานจะจัดเป็น ๓ วัน วันแรกไหว้ครูกระบี่กระบอง วันที่สองไหว้ครูหมอยาแผนโบราณ และวันที่สามจะไหว้ครูทางวิทยายุทธ์พุทธาคมและไสยศาสตร์ จัดเป็นงานใหญ่มีมหรสพสมโภชทุกคืนกับมีการแจกพระเครื่องรางของขลังจากหลวงปู่ศุขอีกด้วย แต่ในระยะหลังๆ หลวงปู่ศุขท่านมีอายุมากแล้วสุขภาพไม่ค่อยจะสมบูรณ์เท่าใดนัก ท่านจึงไม่ค่อยจะได้ลงมา

จากการที่ผู้เขียนได้เคยศึกษาตำราอักขระเลขยันต์จากอาจารย์ท่านมหาโพธิ์ วัดคลองมอญ อำเภอวัดสิงห์ ชัยนาท ผู้สืบสายมาจากท่านใบฎีกายัง วัดหนองน้อย อำเภอวัดสิงห์ ชัยนาท ซึ่งเป็นฐานาในหลวงปู่ศุข และเป็นลูกศิษย์เอกของหลวงปู่ศุขรูปหนึ่ง ตำราอักขระเลขยันต์ซึ่งคุณหมอสำนวน ปาลวัฒน์วิไชย แห่งโรงพยาบาลประจำจังหวัดชัยนาท ซึ่งท่านได้ใช้เวลาค้นคว้าและรวบรวมพระเครื่องในหลวงปู่ศุข ตลอดจนประวัติและเรื่องราวของท่านตลอดมาเป็นเวลาหลายสิบปี ได้นำออกมาตีพิมพ์เผยแพร่เป็นหนังสือรวมเล่มขนาดหนานั้น ได้ตีพิมพ์ตำราอักขระเลขยันต์ของหลวงปู่ศุขที่สอนให้กับลูกศิษย์ของท่างลงไปด้วย และบางตอนบางหน้ายังเป็นลายมือของหลวงปู่อีกด้วย นับว่าเป็นการเปิดหูเปิดตาสำหรับผู้ที่สนใจจริงๆ แต่ทว่าในตำราอักขระเลขยันต์ของท่านนั้นเป็นความรู้ขั้นพื้นฐานทั่วๆ ไป ซึ่งมีอยู่ในตำรามหาพุทธาคมที่เราได้ร่ำเรียนกันอยู่ในปัจจุบันนี้ อย่างเช่นการเรียนสูตรสนธ์จากคัมภีร์รัตนมาลา ในพระอิติปิโส ๕๖ พระคาถาห้องพระพุทธคุณ ลงเป็นยันต์เกราะเพชรหรือตาข่ายเพชร ยันต์พระไตรสรณาคมน์ตลอดจนคัมภีร์นะ ๑๐๘ และ นะพินธุ หรือ นะปฐมกัลป์ หรือ นะโมพุทธายะใหญ่ และยันต์ประจำตัวของท่านที่ท่านใช้อยู่เป็นประจำก็คือ ตัวพุทธมวันโลก ที่ท่านใช้จารลงที่หลังพระพิมพ์สี่เหลี่ยมของท่าน นอกจากนั้นยังลงด้วยยันต์สามลง มะ อะ อุ ที่ขมวดยันต์ลงหลังรูปถ่ายของท่าน เรียกว่า ยันต์เพชรหลีกน้อย นอกจากนั้นท่านจะนิยมหนุนหรือล้อมด้วยธาตุทั้ง ๔ คือ นะ มะ พะ ทะ

อนึ่งการที่ท่านทำพระเครื่องรางของขลังได้ประสิทธิมีฤทธิ์มีเดชทั้งๆ ที่ใช้อักษรเลขยันต์พื้นๆ นั้น เป็นเพราะอำนาจจิตที่ท่านได้ฝึกฝนมานั้นกล้าแกร่งยิ่งนัก โดยเฉพาะกสิณธาตุทั้ง ๔ มี ดิน น้ำ ไฟ ลม นั้นเป็นพื้นฐานที่สำคัญ เป็นบ่อเกิดแห่งอำนาจอิทธิฤทธิ์ทางใจเลยทีเดียว สำหรับการสำเร็จวิชาชั้นสูงเรียกว่า มายาการ คือความเชื่อถือ และการปฏิบัติ ที่มุ่งหมายให้เกิดผล ด้วยการใช้พลัง หรืออำนาจเหนือธรรมชาติ เช่น ของขลัง พิธีกรรม หรือหลีกลี้ลับ บังคับให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ เช่น ท่านเสกใบมะขามให้เป็นตัวต่อตัวแตน เสกหัวปลีให้เป็นกระต่าย ตลอดจน การผูกหุ่นพยนต์ด้วยฟางข้าว เสกคนให้เป็นจระเข้ เป็นต้น มันเป็นมายาการชั้นสูง คือการบังคับให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ แท้ที่จริงแล้วใบมะขามก็คงเป็นใบมะขาม หัวปลีก็คงเป็นหัวปลี และหุ่นฟางก็คงเป็นหุ่นฟางเหมือนเดิม เว้นแต่ด้วยอำนาจจิตของท่านทำให้เราเห็นไปเอง

จากหนังสือ ?พระกฐินพระราชทาน สมาคมศิษย์อนงคาราม ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ เรื่องพระใบมะขาม? ท่านผู้เขียนอดีตเป็นพระมหา มีหน้าที่ไปอุปัฏฐากหลวงปู่ศุข ขณะที่อาราธนาท่านมาปลุกเสกพระชัยวัฒน์ และพระปรกใบมะขาม (พ.ศ. ๒๔๕๙) ได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า

?เมื่อข้าพเจ้าไปอุปัฏฐากหลวงพ่อแล้ว มีชาวบ้านชาววัดมาขอให้หลวงพ่อลงกระหม่อมบ้าง ลงตะกรุดพิสมรบ้าง โดยยื่นแผ่นเงิน ทอง นาก ให้ลงคาถา บางคนขอเมตตา บางคนขอการค้าขาย หลวงพ่อให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ลง

ข้าพเจ้าถามว่าการค้าขาย จะให้ลงว่ากระไร?

หลวงพ่อบอกว่า ?นะชาลิติ?

บางคนขอเมตตา ข้าพเจ้าถามว่า จะให้ลงว่ากระไร?

หลวงพ่อพูดติดตลกว่า ?เมตยายไม่เอาหรือ เอาแต่เมตตาเท่านั้นหรือ??

คนขอจึงบอกขอเมตตาอย่างเดียว ข้าพเจ้าถามว่า จะให้ลงว่ากระไร?

ท่านบอกว่า ?นะเมตตา โมกรุณา พุทธปราณี ธายินดี ยะเอ็นดู?

ข้าพเจ้าจึงบอกว่า ?หลวงพ่อครับ ผมไม่มีความขลัง ลงไปก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไร?

หลวงพ่อบอกว่า ?มันอยู่ที่ผมเสกเป่านะคุณมหา?

ข้อนี้ยืนยันว่าเป็นความจริง เพราะระหว่างนั่นข้าพเจ้าให้หลวงพ่อลงกระหม่อม แล้วท่านเสกเป่าไปที่ศีรษะตั้งหลายครั้ง เมื่อท่านเป่าที่กระหม่อมที่ไร ข้าพเจ้าขนลุกชันทั่วทั้งตัวทุกครั้ง ทั้งที่ข้าพเจ้าฝืนใจไม่ให้ขนลุกก็ลุกซู่ทุกครั้งที่ท่านเป่า ข้อนี้เป็นมหัศจรรย์จริงๆ ข้าพเจ้าคิดว่าจะเป็นแต่ข้าพเจ้าคนเดียว ไปสอบถามภิกษุอุปัฏฐากรูปอื่นๆ ก็ได้รับคำตอบเช่นเดียวกัน ข้อนี้ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า ?ท่านสำเร็จสมถะภาวนาแน่ๆ?

อนึ่ง ท่านเป็นพระที่น่าเคารพนับถือ สำรวมในศีลเป็นอย่างดี ไม่ใคร่พูดจา นั่งสงบอารมณ์เฉยๆ ไม่ถามอะไร ท่านก็ไม่ตอบไม่พูด บางอย่างข้าพเจ้าถามหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ตอบเลี่ยงไปทางอื่น เช่น ?เขาว่าหลวงพ่อเสกใบไม้เป็นต่อ และเสกผ้าเช็ดหน้าเป็นกระต่ายได้ และแสดงให้กรมหลวงชุมพรฯ เห็นจนยอมเป็นศิษย์?

หลวงพ่อตอบข้าพเจ้าว่า ?ลวงโลก? แล้วท่านก็นิ่งไม่ตอบว่าอะไรอีก

หลวงพ่อพูดต่อไปว่า ?เวลานี้กรมหลวงชุมพรฯ ไปต่างประเทศ (เข้าใจว่าไปรับเรือพระร่วง) ถ้าอยู่ก็ต้องมาหาท่าน และปรนนิบัติท่านจนท่านกลับวัด และว่ากรมหลวงชุมพรฯนี้ตกทะเลไม่ตาย แม้จะมีสัตว์ร้ายก็ไม่ทำอันตรายได้?

หลวงพ่ออยู่ที่กุฏิสมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม) พุทธสรมหาเถรเป็นเวลาสิบวันเศษ ได้ทราบว่าสมเด็จเรียนวิทยาคมกับหลวงพ่ออีกด้วย

มรณภาพ :-

ท่านมรณภาพเมื่อ เดือน ๑ ปีกุน พ.ศ. ๒๔๖๖ ไม่ปรากฏวันที่ที่แน่นอน คำนวณอายุได้ ๗๖ ปี วันสวดพระพุทธมนต์ทำศพอยู่ ๗ วัน ๗ คืน จึงประชุมเพลิง

อนึ่ง การที่เราคนรุ่นหลังจักเขียนเรื่องราวและวัตรปฏิบัติของหลวงปู่ศุข ซึ่งท่านมรณภาพล่วงไปแล้วกว่าครึ่งศตวรรษให้ได้ใกล้เคียงกับความจริงนั้น นับว่าเป็นเรื่องที่ยากมากๆ อาศัยหลักฐานทางเอกสารที่หลงเหลืออยู่บ้าง จากการไต่ถามบรรดาลูกศิษย์ลูกหาของท่านซึ่งส่วนมากจักล้มหายตายจากกันไปเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น การที่ท่านได้รับรู้จากการเขียนของ ?ท่านมหา? ซึ่งเคยอุปัฏฐากหลวงปู่ ดังกล่าวแล้วนั้นคงจักทำให้ท่านมองเห็นสภาพของหลวงปู่ศุข ได้ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด


615
ใช่ครับ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

616
ตอนที่ ๕

ในยุคสมัยไล่ไล่กัน มีพระเกจิที่มีศรัทธาเคารพเลื่อมใสในอิทธิบารมีของท่าน ยุคเดียวกับหลวงพ่อจงรุ่นราวคราวเดียวกันหลายองค์และแต่ละองค์มักได้รับนิมนต์ไปกระทำพิธีสงฆ์ เผยแพร่ธรรมบรรณาการในสถานที่ต่าง ๆ เกือบทั่วประเทศ มีหลวงโอภาสี (มรณภาพแล้ว) หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก หลวงพ่อเดิม วัดหนองบัว พิจิตร หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง สมุทรปราการ หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย สมุทรปราการ หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงพ่อฟ้อน ลพบุรี ฯลฯ ซึ่งท่านเหล่านี้มีสมญาเป็นวลียกย่องจากบุคคลทั่วประเทศว่าเป็นเกจิอาจารย์ชั้นบรมครู

แต่ในกลุ่มนี้ ดูเหมือนหลวงพ่อจงจะเป็นผู้ได้จาริกเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ไปตะวันตกตะวันออกถี่และบ่อยหนยิ่งกว่าองค์อื่น เพราะท่านมีปณิธานแน่วแน่อยู่ว่า ได้รับนิมนต์มาเป็นต้องไป ไม่ว่าใกล้หรือไกล ท่านไม่เคยบ่นเบื่อหน่าย หรือบ่นว่าด้วยความรำคาญใจว่าถูกรบกวน ทั้งไม่เคยรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยขบในการเดินทาง และต้องไปกระทำพิธีใดตามคำอาราธนาที่เขามีปรารถนานิมนต์ท่านไป



หลวงพ่อจงขึ้นชื่อว่า เป็นอริยสงฆ์ผู้เปี่ยมด้วยสง่าราศีมาก ผิวพรรณวรรณะของท่านผ่องใส ดวงหน้าผุดผ่องด้วยละอองเลือด และเมลืองเรื่อไปด้วยรัศมีแห่งพระ แห่งความเมตตาฉายกราดอยู่ตลอดเวลา สายตาของท่านมองทุกคนไม่ว่ายากดีมีจน ผู้องอาจมีสง่าหรือผู้อาภัพหม่นหมอง ท่านมองทุกคนด้วยสายตาของมิตรผู้พร้อมจะเข้าช่วย และโดยมากผู้ที่วิงวอนขอให้ท่านช่วยปลดเปลื้องทุกข์ แม้ท่านเองต้องเสียสละเพียงไร ท่านก็ไม่เคยทำให้ผู้ขอผิดหวัง นอกจากสิ่งที่ท่านไม่มีและไม่อาจแสวงหาให้ได้หรือหมดหนทางช่วยเพราะผิดศีลผิดธรรม

ยิ่งกว่านั้น ท่านเป็นผู้มีอัธยาศัยอ่อนโยน พอใจในความอะลุ้มอล่วยไม่ต้องการให้ใครทะเลาะเบาะแว้งวิวาทแก่งแย่งชิงดีกันในทางผิดศีลธรรม หลวงพ่อจงถือว่าเป็นภารกิจอันหนักอึ้งซึ่งท่านจะต้องแบกไว้เสมอ แม้ว่าบางครั้งท่านจะต้องลำบากยากกาย เพื่อเสียสละในการเข้าโอบอุ้มช่วยคนทำถูก สิ่งที่ท่านหมั่นกระทำไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยก็คือ พอใจเกลี้ยกล่อมให้โอวาทแก่ผู้ประสบทุกข์ร้อนด้วยการแนะแนวทางที่ชอบที่ควรให้เอาไปมั่นประพฤติปฏิบัติ ท่านเป็นผู้มีภูมิปฏิภาณสูงส่ง สามารถรอบรู้จิตใจผู้ที่เข้าหาท่าน และรู้ว่าท่านพูดอย่างไรจึงจะเป็นที่สบอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดของเขาประกอบกับท่านมีความรู้ในการดูลักษณะคนเป็นอย่างเยี่ยมยอด เพียงแต่เห็นดวงหน้า ท่าทางเดินเหินยืนนั่ง และพูดจาฟังน้ำเสียง ท่านก็จะหยั่งทราบได้ทันทีว่าบุคคลผู้นั้นมีสภาพฐานะเป็นอย่างไร และควรจะยึดถืออาชีพเป็นหลักธำรงชีวิตอย่างไรจึงจะมีฐานะมั่นคงสถาวรตามสมควรแก่อัตภาพ บุคคลนับเรือนหมื่นแสนที่ได้รับคำชี้แจงแนะนำจากหลวงพ่อจง แล้วเชื่อถือเอาไปปฏิบัติตามไม่ทอดทิ้ง ปรากฏว่าบุคคลเหล่านั้นมีอาชีพหลักแหล่งเป็นหลักฐานทำมาหากินคล่อง มีความสุขกายสบายใจตามอัตภาพอันสมควร



เกี่ยวกับเรื่องรางของขลัง ซึ่งท่านปลุกเสกเวทย์วิทยาคม กระทำภาวนาด้วยบุญฤทธิ์อธิษฐานอันเป็นพลังจิตแกร่งกล้าในแนวที่ให้ความนิยมกันมากนั้น ส่วนมาก แรก ๆ ท่านก็ใช้แนวทางความรู้อันดีที่เรียนมาจากท่านพระครูโพธิ เจ้าอาวาสวัดหน้าต่างในผู้เป็นปรมาจารย์องค์แรกของท่าน แต่ต่อมาเมื่อท่านได้ศึกษารอบรู้ในหลักการอันเป็นกฎเกณฑ์ของผู้จะไต่เต้าเข้าหาความสำเร็จในอภิญญาอันเป็นพุทธวิธีชั้นสูงสุด จากนั้นมาท่านก็ใช้ความรอบรู้อันเกิดจากภูมิปฏิภาณของผู้ใกล้เป็นสัพพัญญูเยี่ยงท่านผู้เป็นองค์อรหันต์แต่โบราณกาลมานั้น เข้าบำเพ็ญธรรมกิจเพื่อให้บรรลุผลในทางอิทธิบารมีจนสามารถอาจดลบันดาลให้ผลดีตามความต้องการของบุคคลที่เป็นคนดีสมมโนรสปรารถนา และดังนั้นก็พูดได้ว่าวิทยาอาคมของท่านมิใช่ในแนวทางไสยศาสตร์

หลวงพ่อจงเมื่อให้สิ่งของปลุกเสกของท่านแก่ผู้ใด ท่านจะต้องบอกเตือนสติด้วยการให้คติเสมอว่า ขอให้รักษาตัวรักษาใจไว้ให้จงดี ศีลธรรมอย่าลืม หากหมั่นบูชาพระ รำลึกถึงพระและหมั่นศรัทธาปฏิบัติพระธรรมคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่เป็นนิจแล้ว ยากนักจะมีโพยภัยเหล่าใดเบียดเบียนบีฑาราวี ขอให้ท่องไว้ในใจเสมอว่า เวรย่อมมีขึ้นเฉพาะเมื่อได้มีการก่อเวร มีหนี้ก็หนีไม่พ้นจะต้องชดใช้เขาในเวลาหนึ่ง... คนเราไม่ทำบาปพึงไว้ใจได้ว่าต้องมีมีบาปใดติดตามสนองปองผลาญ จงหมั่นแจกจ่ายเมตตาอย่าให้ขาดสาย คงต้องได้กุศลแรงกว่ากุศลอื่นใดหลายเท่านัก



มีเรื่องเล่าลือกันมากเรื่องหนึ่งว่า

ครั้งหนึ่ง ณ ตำบลบางช้าง ได้มีพระเกจิอาจารย์หลวงพ่อโอภาสี หลวงพ่อแช่ม หลวงพ่อปาน หลวงพ่อจีม ท่านพระอาจารย์ฟ้อน หลวงพ่อเดิม หลวงพ่อเงิน และหลวงพ่อจง ได้รับกิจนิมนต์ไปร่วมพิธีสงฆ์ร่วมกันในงานพิธีนั้นเจ้าของบ้านเขาได้เอาไม่ไผ่มาจักตอกสลับเป็นฉัตรเจ็ดชั้นรูปลักษณะคล้ายเจดีย์ยอดสูงมีความสูงราวสักสองวาเห็นจะได้ และเจ้าของผู้เป็นเข้าพิธีได้อาราธนาขอให้เหล่าเกจิอาจารย์ปีนขึ้นไปบนยอดฉัตร โดยถือว่าเป็นเทพเจ้าแห่งสวรรค์มาประทานพระให้กับเจ้าของบ้าน อันนี้จะเป็นกิจของสงฆ์หรือไม่อย่างไร เมื่อเขาอาราธนานิมนต์พระเกจิเหล่านั้นท่านก็มีอาการอีหลักอีเหลื่อ แต่บางองค์เห็นว่าจะกระทำมิได้เพราะไม่ไผ่สานถักเป็นรูปฉัตรสูงตั้งสองวานั้น และมีลักษณะแบบบาง ตามรูร่องที่ทำไว้ให้เหยียบก็ไม่มั่นคง อาจงอหักเรือล้มลงมามีอันตรายได้โดยง่าย พระหลายรูปจึงปฏิเสธ

จะมีก็หลวงพ่อเดิม เห็นว่าควรรับนิมนต์ไม่ควรขัดอัธยาศัยเจ้าของบ้าน ซึ่งขณะนั้นทั้งหลวงพ่อเดิมและหลวงพ่อจงต่างมีชื่อโด่งดังในทางคล้ายคลึงกัน หลวงพ่อเดิมได้ปรึกษาหลวงพ่อจงว่า หากท่านเห็นด้วย เราทั้งสองควรรับนิมนต์เป็นผู้เทนพระรูปอื่นเสียด้วยก็จะดี จะได้เสร็จกิจไป เพราะเคยได้ยินว่าท่านก็มีพลังจิตในทางทำตัวเบาเป็นเยี่ยม... พลางก็ชี้ฉัตรด้านข้างเป็นสัญญาณว่าให้หลวงพ่อจงไปที่นั่น ส่วนหลวงพ่อเดิมเองยึดเอาฉัตรที่ตั้งตรงหน้า ตั้งท่าป่ายปืนขึ้นไป อันฉัตรที่สร้างด้วยไผ่สานนี้ ไม่มีที่เกาะจับ แม้จะสอดเท้าเข้ารูที่เว้นเป็นช่องไว้ก็จะสอดเข้าได้เพียงปลายนิ้วเท้าเท่านั้น

ฝ่ายหลวงพ่อจงไม่ว่ากระไร ท่านหัวร่อหึหึ แล้วออกเดินดุ่มไปหาฉัตรที่ห่างออกไปราวสามวาทันทีหลวงพ่อเดิมสอดปลายเท้าเข้าไปที่รูสำหรับเหยียบ มือเพียงแตะฉัตรก้าวอย่างแผ่วเบาปราดขึ้นไป ท่ามกลางสายตาผู้คนรอบ ๆ ชะเง้อมองอย่างตื่นเต้น พลางปรายตามองดูหลวงพ่อจง แต่แล้วก็ต้องตะลึงเพราะพอหลวงพ่อเดิมขึ้นไปได้ราวห้าศอก หลวงพ่อจงก็ขึ้นไปยืนคร่อมยอดฉัตรซะแล้ว



เรื่องราวเกี่ยวกับความเก่งกาจ แผลง ๆ ซึ่งบุคคลและสงฆ์อื่นยากจะทำได้ ยังมีเรื่องพิลึกพิลั่นมาเล่าลือสืบเนื่องกันอีกมากหลายกระทงความ อย่างกับอีกครั้งหนึ่งท่านไปปัตตานี และสงขลาตามคำอาราธนานิมนต์ให้ไปประกอบพิธีมงคลทางพุทธศาสนา ได้มีคนนอกศาสนา สติไม่ใคร่เรียบร้อย มักชอบตลบตะแลงลิ้น พ่นหาว่าพระสงฆ์ไทยไม่ดีจริงไม่เก่งจริง กล่าวท้าทายกระทำวุ่นวายหลายครั้งหลายคราต่อภิกษุสงฆ์ไทยหลายองค์ และวันที่เขาจะเจอดีก็มาถึงเมื่อหลวงพ่อจงต้องเดินทางผ่านสวนยางพาราของเขาไป เห็นมีไฟป่าลุกไม้อย่างรุนแรงแล้วลามเข้าหาสวนยางของเขา เขาผู้นั้นได้ร้องเอ็ดตะโรและคร่ำครวญต่าง ๆ นานาว่าฉิบหายแล้ว ฉิบหายแน่. หลวงพ่อจงเห็นเป็นการน่าเวทนา จึงพูดขึ้นว่า ไม่ฉิบหายน่า พูดแล้วท่านก็ปีนขึ้นไปบนยอดกอไผ่จีนที่ขึ้นอยู่ข้างทาง เอายอดไผ่มาอมในปาก สะบัดไปแล้วร้อง ดับ...ดับ...ดับ...ดับ...ซึ่งอีกสิบนาทีต่อมา ไฟป่าก็ดับโดยอัศจรรย์ ทำคนนอกศาสนาคนนั้นเกิดอาการตะลึงจังงัง และแต่นั้นมาก็ไม่กล้ากระทำวุ่นวายท้าทายใครต่อใครในพุทธศาสนาอย่างคนปากพล่อยสามหาวอีก พร้อมทั้งมีจิตใจหันไปเคารพศรัทธาเลื่อมใสต่อภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่งสืบไปในระยะหลังของชีวิต

เคยมีผู้สงสัย แคลงใจหลายข้อกระทงความต่อคำเลื่องลือต่าง ๆ ที่ออกจะเชื่อยากว่า เรื่องราวเหล่านี้ที่เขาเล่าลือกันมาจะเป็นความจริงเพียงใด

หลวงพ่อจงกล่าวตอบด้วยอาการสำรวมมีนัยว่า เรื่องของอารมณ์อย่างนี้ อริยสงฆ์ไม่พึงถือเป็นกิจ แต่อาตมาจะเคยทำอะไรมาบ้าง ถ้าเป็นเรื่องนานแล้ว ก็ไม่ได้สนใจจดจำเอาไว้ เพราะต้องใช้เวลาปฏิบัติกิจของสงฆ์หนักเหนื่อยอยู่เป็นอันมาก ทำชั่วชีวิตก็ยังคงทำไปไม่ได้เท่าไร ส่วนผู้อื่นจะพูดกล่าวขวัญถึงอาตมาทำนองไหนอย่างไร อาตมาไม่ถือสาโกรธเขาดอกนะ



สมควรกล่าวขวัญถึงอัธยาศัยและอารมณ์กับการปฏิบัติตามความรู้สึกนึกคิดของหลวงพ่อจงอีกสักหน่อย เพราะท่านเป็นสงฆ์ประเภทที่มีผู้กล่าวขนานสัญลักษณ์เป็นวลีได้เต็มภาคภูมิว่า ท่านคืออริยสงฆ์จริงแท้แห่งพุทธสาวกในพระพุทธศาสนา แต่อย่างไรก็ดี เรื่องราวความเป็นมาเมื่ออดีตของท่านเต็มไปด้วยเรื่องราวขานไขมากเรื่อง ส่วนมากก็เป็นกรณียกย่องเชิดชูว่า ท่านทรงอิทธิบารมีแก่กล้าไปในทางอิทธิปาฏิหาริย์พิลึกพิลั่น จริงหรือเท็จยากจะพิสูจน์ เพราะตามความเป็นจริงของข้อเท็จจริงอยู่ที่ว่า มีเรื่องต่าง ๆ ซึ่งเมื่อผู้ใดเอาไปซักไซ้หาคำตอบจากท่าน ท่านไม่ใช่นักพูดและไม่มีนิสัยเป็นผู้ชอบโอ้อวด ทั้งไม่ชอบข่มขู่ใครทั้งทางกาย วาจา ใจ ท่านก็มักตอบปฏิเสธในท่วงท่าแบบเดียวกับเรื่องหลวงพ่อเดิมดังกล่าวเป็นนิจ

อนึ่งในประการสำคัญก็คือ ระหว่างอายุ 30 ถึง 70 เศษ ท่านไปไหนมาไหนก็มักมีแต่ศิษย์เล็ก ๆ ไม่ใคร่สนใจอะไรติดตามรับใช้ปรนนิบัติ จวบจนอายุ 80 เศษ จึงมีชนชั้นมีอายุติดตามเพราะเห็นกันว่ามีวัยชรามาก กลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุบังเอิญขึ้น ด้วยประการฉะนี้ นอกจากมีผู้รู้เห็นเองบ้าง ฟังจากคำเลื่องลือบ้าง กล่าวขวัญถึงท่านในทางที่เป็นความอัศจรรย์ของสมรรถภาพ หรือ อิทธิบารมีจึงเป็นเรื่องค้นหาประจักษ์หลักฐานยาก ผู้ได้ยินได้ฟังมาพูดมาร่ำลือกันนั่นแหละ หนทางที่ดี จะต้องวินิจฉัยรับผิดชอบต่อเรื่องราวที่นำเอามาพูดสู่กันฟัง... แต่อย่างไรก็ตาม มีข้อรับรองซึ่งสาธุชนพึงเชื่อมั่นได้แน่นอนอย่างหนึ่งก็คือ ในชีวิตของหลวงพ่อจง หากสิ่งใดเป็นความประพฤตินอกรีดนอกรอย ไร้ศีลสัจธรรม หลวงพ่อจงท่านจะต้องนำตนพ้นหนี มิยินยอมนำพาข้องแวะด้วยอย่างเด็ดขาด ในชีวิตของท่าน น้อยหนหรือพูดได้ว่า ...ไม่มีเสียเลย... คือไม่มีใครผู้ใดจะสามารถย้อมอารมณ์ให้บังเกิดอาการรังเกียจหรือโกรธเคืองท่าน จากพฤติการณ์ทั้งทาง กาย วาจา ใจของท่าน

แต่มันก็แปลก ความเชื่อและความตื่นของคนเรานี้ช่างมีอานุภาพกังวานก้องไกล กรณีร่ำลือเกี่ยวกับหลวงพ่อจง แม้ท่านจะยิ่งปฏิเสธในปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ผู้คนก็ยิ่งเอาไปร่ำลือกันหนักเข้า มีสภาพดุจดั่งเอาน้ำมันราดบนกองไฟปานนั้นอุดมทัศนะและสัจธรรม


617
หลวงพ่อจง พุทธสโร

วัดหน้าต่างนอก

ตอนที่ ๔

ปกติหลวงพ่อจงไปไหนท่านชอบไปองค์เดียว จนตอนระยะวัยสูงมีสภาพของคนชรา ไม่น่าวางใจว่าอาจไปเกิดพลั้งเผลอมีอุบัติเหตุ ผู้เจตนาดีและศิษย์ผู้ภักดีจึงต้องติดตามท่านไปด้วยสองสามคน เพื่อคอยดูแลและรับใช้ถวายปรนนิบัติท่าน

หลวงพ่อจงเป็นภิกษุผู้ปราศจากละโมบในลาภสักการ ยศศักดิ์ทั้งปวง ท่านพอใจสภาพที่เป็นเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอกเท่านั้น ต่อมามีผู้คิดสนับสนุนให้ท่านมียศทางสมณะศักดิ์ ท่านก็ห้ามปรามไม่ยินยอมให้ทำเรื่องราวเสนอขึ้นไปตามระเบียบ ซึ่งเมื่อไม่มีเรื่องเสนอตามแบบของทางราชการ ก็ไม่มีการให้สมณศักดิ์ แทนที่ท่านจะสนใจเพราะมีผู้หมั่นไปกระตุ้นและหว่านล้อม ท่านกลับหัวร่อแล้วพูดว่า

"ไม่น่าสนใจเรื่องนี้ เพราะยศ ตำแหน่ง บรรดาศักดิ์ เป็นเรื่องของโลก อาตมาไม่ใยดีในทางนี้ เมื่อเป็นภิกษุและได้ศึกษาพระธรรม มีความรู้ในธรรม หมั่นปฏิบัติธรรมได้เป็นนิจ ได้รับความสงบทางใจ ได้มีช่องทางให้ผู้อื่นมีโอกาสพิจารณาปฏิบัติได้ด้วยดี อย่างนี้ก็ควรเป็นสิ่งพึงใจของสมณะสงฆ์แล้ว เพราะพวกเรานี้ ที่มาบวชก็เพราะมุ่งเสียสละทางตัณหาโลกามิส ได้ตัดใจตัดโลกไว้เบื้องหลัง เพื่อเข้าแสวงหาวิถีทางให้รอดพ้นจากทุกข์ทรมาน ใครทั้งหลายเคารพกราบไหว้เรา เพราะรู้ว่าเราเป็นผู้พยายามสละกิเลสอันเป็นมารชั่วร้ายเจ้าของ โทสะ โลภะ โมหะ และ ราคะ ความทะยานอยากทั้งผอง ซึ่งแม้เราตัดไม่ออกหมด แต่กิเลสสงฆ์ถึงอย่างไรก็ต้องบางเบากว่าปุถุชนฆราวาส เราก็จึงต้องบำเพ็ญแนวทางตามความรู้ของพระธรรมให้เขาเห็น เช่น เรามุ่งมาเป็นนักเสียสละ เราก็ต้องเสียสละทุกสิ่ง เท่าที่จะพึงกระทำได้ หากเราไม่ประพฤติกระทำ คำว่าสงฆ์ หรืออริยสงฆ์ก็จะหมดความหมายลงทุกวัน... แต่นี่ก็มิจำเป็นต้องเป็นความคิดที่ถูกเสมอไป การกระทำตามระเบียบที่มีวางไว้เป็นปทัสถานนั้นเป็นไม่ผิด แต่การที่อาตมาไม่นิยมมีสมณะศักดิ์ประดับกาย ก็เป็นเอกสิทธิ์และความพอใจตามอัตภาพของอาตมา ไม่มีอะไรเป็นผิดดอก"

ความเป็นผู้ถือสันโดษ ถือความสงบทางโลกเป็นสรณะยิ่งใหญ่ของหลวงพ่อจง ท่านแสดงแน่วแน่มั่นคงไม่มีบิดเบือนทำบ้างไม่ทำบ้าง ท่านกระทำเป็นอาจิณ ในถุงย่ามของท่านนอกจากมีเหล็กจาน สำหรับประกอบกิจกรรมสุดแต่จะมีผู้นมัสการในด้านวิทยาคมแล้ว ก็ช้อนซ้อมสำหรับตักอาหารฉัน นอกนั้นไม่มีแม้แต่หมากยา ไฟขีด ยานัตถุ์ หมากพลูบุหรี่ เพราะท่านไม่เสพย์ติดมัน และไม่ต้องการมัน โรคภัยเจ็บป่วยนั้นก็ไม่มี ซึ่งท่านเคยกล่าวว่า ถ้ามีก็ต้องรู้อาการล่วงหน้า มีโรครักษาเองไม่ได้ ต้องหาหมอ เพราะยังงั้นหยูกยาในย่ามไม่ต้องเตรียมไป แต่เผอิญมีผู้ใจบุญเขาบริจาคถวายข้าวของเงินทองมีราคาติดมา หากใครเกิดโชคดีรู้วี่แววและอาราธนาขอ หลวงพ่อจงจะรีบหยิบยื่นให้ด้วยความยิ้มแย้ม โดยไม่ถามไถ่ว่าเป็นใครมาจากไหน จะเอาไปทำไม เหตุไฉนต้องมาขอของมีราคาอย่างนี้ไปจากท่าน



เรื่องความมีชื่อลือเลื่องโด่งดังในทางวิทยาคม ซึ่งลูกศิษย์เกือบทั่วประเทศมีความเลื่อมใสศรัทธาอย่างแก่กล้า เพราะเชื่อหลวงพ่อจงท่านมีอาคมขลังในทางเมตตา คงกระพันแคล้วคลาด

หลวงพ่อจงได้อรรถาธิบายไขข้อเคลือบแคลงว่า การซึ่งผู้ใดจะยึดมั่นเชื่อถือต่อสิ่งใดเป็นสรณะหรือไม่ แล้วแต่ศรัทธาความเชื่อของจิต จิตบางดวงมีพลังต่ำ บางดวงทรงพลัง จิตทั้งหลายปราศจากระดับอิทธิแห่งพลังเท่าเทียมกัน แต่ถึงกระนั้น จิตเป็นสิ่งที่อาจลดอัตราระดับหรือเพิ่มพูนอิทธิพลังให้สูงส่งมีอำนาจขึ้นได้ คนที่ไม่เชื่อว่ามีผีเพราะเห็นและคิดเห็นขึ้นว่าคนตายแล้วย่อมผุพังเน่าเปื่อยจะกลายเป็นผีไปไม่ได้ คนผู้นั้นไม่มีวันกลัวผี แต่บางคนเชื่อว่ามีผีจริง ผู้นั้นก็ย่อมจะมีพลังจิตอ่อนไหวกลัวผีเสมอไป ก่อนนี้เราไม่เชื่อกันว่ามนุษย์จะเหาะเหินเดินฟ้าได้ นอกจากในนิยาย แต่เราก็สามารถมีจรวดและอากาศยานเข้าไปนอนนั่งดั้นฟ้าได้... ความเชื่อของมนุษย์คือ ขุมกำเนิดซึ่งก่อให้เกิดสิ่งใดที่มนุษย์เชื่อว่ามีได้ให้บังเกิดได้มีได้อยู่เสมอ

มนต์ขลังทำให้เกิดกำลังใจเป็นขุมพลังของจิตไม่มีที่สิ้นสุด ผู้ไม่เคยเชื่อว่าเขาจะทำสิ่งไรได้สำเร็จ เขาก็ยากจะประสบความสำเร็จในชีวิต ความเชื่อคือพลังของโลกและพลังของชีวิตเชื่อหรือไม่ จึงเป็นเรื่องของศรัทธาตัวเดียว หากเชื่อว่าอริยสัจสี่และทางของมรรคแปด เป็นทางเดินไปสู่ความพ้นทุกข์กำจัดต้นตอทุกข์ได้ ก็มีทางเดินไปสู่บั้นปลายของความเชื่อ ถ้าเริ่มขึ้นด้วยความไม่เชื่อ ก็ไม่มีทางพิสูจน์และไม่มีทางเดินไปสู่....



หลวงพ่อจงชอบขึ้นนั่งบนเครื่องบินมาก ในสงครามอินโดจีนจนถึงมหาสงครามโลกครั้งที่สอง หลวงพ่อจงได้นั่งเครื่องบินนับเป็นร้อย ๆ ครั้ง เพราะท่านถูกนิมนต์ไปกระทำพิธีรดน้ำมนต์ ปัดรังควานบ่อยที่สุด ไม่ว่าจะมีการเคลื่อนทัพบก เรือ อากาศ ไปสู่สมรภูมิรบที่ใด ก่อนเดินทัพจะต้องมีพิธีทางศาสนาเป็นมิ่งมงคลบำรุงขวัญทหาร มีการประพรมน้ำพระพุทธมนต์ เจิมอาวุธกับพาหนะและอุปกรณ์รบ บรรดาหลวงพ่อและเกจิอาจารย์อันเป็นที่เคารพศรัทธาในอัจฉริยะความเป็นอริยสงฆ์ต่างจะต้องถูกนิมนต์ไปร่วมกระทำพิธีอยู่อย่างไม่ควรขาด

หลวงพ่อจงเป็นสงฆ์ผู้มีบุคลิกเด่นดวง ลักษณะใบหน้าของท่านอิ่มเอิบ ดวงตาวาววับด้วยแสงเมตตาจิต ใครเห็นท่านจะรู้สึกเคารพรักและบังเกิดศรัทธาในวูบแรก แม้ว่าดวงหน้าท่าทีของท่านจะเฉยเมย แต่ปมเด่นทางเมตตาของท่านโผล่ผลุดดุจเป็นรัศมี รอบกายปรากฏออกมาสะดุดความรู้สึกผู้พบเห็นเอง และยิ่งเมื่อผู้ใดได้เข้าใกล้ชิดด้วยพระคุณท่าน ก็จะประจักษ์ในอัธยาศัยและไมตรีที่ท่านหลั่งโอภาปราศรัยออกมาแล้ว ไม่เคยมีผู้ใดลืมเลือน อัธยาศัยวิเศษของท่านจะเข้าซึมแทรกดวงจิตผู้ใกล้ชิดทันทีอย่างตราตรึงใจ

ทหารน้อยใหญ่ของสามกองทัพ ส่วนมากที่ได้เคยพบเห็นและเข้าหานมัสการหลวงพ่อจงในทุกหนที่ไปกระทำพิธีแจกเสื้อพระยันต์ราชสีห์ตะกรุดโทนจึงพากันเคารพสักการะศรัทธาในท่านมากที่สุด

เฉพาะกองพลทหารม้ายานเกราะสระบุรี ดูเหมือนจะศรัทธาแก่กล้าในอิทธิบารมีของหลวงพ่อจงมากที่สุด ถัดไปก็น่าจะเป็นในกองทัพอากาศ ซึ่งตั้งแต่นานมาแล้ว เริ่มแต่ปี 2475 สมัยปฏิวัติหนแรกบรรดาแม่ทัพนายกองต่างขึ้นชื่อเป็นศิษย์และเป็นผู้ศรัทธาเคารพขึ้นในหลวงพ่อจง อาทิ ท่านจอมพลฟื้นรนภากาศฤทธาคนี พลอากาศเอกนักรบ บิณฑศรี นาวาอากาศเอกประสงค์ สุชีวะ ฯลฯ ท่านที่กล่าวนามเหล่านี้ ตลอดจนทหารเหล่าอื่น ต่างได้รับแจกเสื้อพระ ยันต์ราชสีห์และตะกรุดโทน จากหลวงพ่อจงด้วยมือท่านเองเป็นส่วนมาก

ท่านจอมพลฟื้นได้พบกับประสบการณ์ในสมัยศึกอินโดจีน เมื่อต้องคุมขบวนเครื่องบินรบไปทิ้งระเบิดสะตรึงเต็งและอื่น ๆ อันเป็นฐานทัพสำคัญของฝรั่งเศสยุคนั้นจนไฟลุกไหม้แหลกลาญ ขณะกำลังจะคิดผละจากความเพลิดเพลินเข่นขยี้ข้าศึกจนไม่มีคู่ต่อสู้ และบรรดาเครื่องบินรบที่อยู่ในการดูแลกองนั้นต่างทยอยกลับฐานทัพดอนเมืองแล้วจนหมดสิ้น จู่จู่ก็มีเครื่องบินจากฐานทัพใหญ่ของข้าศึกอันเป็นกองหนุนสามเครื่องจิกหัวโฉบเข้าใส่ รุมกันทักทายเครื่องบินรบของจอมพลฟื้นด้วยกระสุนปืนกลประจำเครื่องอย่างเกรี้ยวกราด

แต่... ยอดเสืออากาศไม่สะดุ้ง คันบังคับถูกดึงเลี้ยวซ้ายกะทันหันดิ่งหัวหลบวูบลงไปราวห้าร้อยเมตร และครั้นแล้วก็ตั้งลำเชิดขึ้นมาใหม่พุ่งเข้าหาเครื่องบินข้าศึกด้านขวามือ ซึ่งเป็นเรือธงบังคับการดุจเหยี่ยวไล่เหยื่อ กระสุนนับร้อยหลายชุดถูกพ่นกรูเกรียวออกไป แค่นั้นเองเครื่องบินของศัตรูผู้ผยอง ก็ม้วนเอียงลำดิ่งพสุธาพร้อมควันดำโขมง

จากนั้นเหยี่ยวฟ้าไทย โผโผนลำขึ้นเบื้องสูงทำทีจะหนีจาก และเครื่องบินของข้าศึกกำลังจะเลี้ยวไล่นั่นเอง เสืออากาศไทยก็บังคับเครื่องบินพุ่งควับลงมาดุจสายฟ้าก็ปานกัน มีเสียงคำรามติดต่อกันอย่างดุดันกระสุนกลที่ยิงเหมือนจับวางเป็นร้อย ๆ พรูพรั่งเข้าตัดกลางลำ เครื่องบินของข้าศึกษาเป็นรูพรุนตลอดถึงแพนหาง ปรากฏเป็นควันดำแล้วก็ดิ่งสู่พสุธาไปอีกลำ

ทันทีทันใดนั้น เครื่องบินลำของข้าศึกถลาหัวฉกจิกลงมาจากเบื้องสูง สาดกระสุนกึกก้องเข้าใส่เครื่องบินของจอมพลฟื้นอย่างเหี้ยมเกรียม แต่เปล่า...เครื่องบินของเสืออากาศไทยไม่ยักมีอันเป็นไปเพราะห่ากระสุนสองสามชุดที่ข้าศึกรัวเข้าใส่ จอมพลฟื้นยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม นึกในใจว่าดีละ เดี๋ยวรู้กัน

ทว่า เมื่อสายตามัจจุราชของจอมเสืออากาศไทยเหลือบแลที่เครื่องวัดน้ำมัน อัตราน้ำมันที่มีอยู่จะไม่พอพาเครื่องบินกลับฐานทัพ ถ้ายังจะบินอยู่อีก

แต่อย่างไรก็ดี ก่อนตีจาก ก็ควรจะมีการอำลากันอย่างไว้ลายเสือจอมพลฟื้นลูบหมับไปที่พระยันต์แดงราชสีห์ พลางดึงตะกรุดมหารูดมงคลชาตรี (โทน) ของหลวงพ่อจง อาราธนาขอความคุ้มครองแคล้วคลาดตามพิธี ด้วยพลังจิตอันมั่นคงแน่วแน่อบอุ่นใจเต็มที่ จากนั้นก็โยกคันบังคับผงกหัวเข้าใส่นกเหล็กของข้าศึกอย่างปราศจากพรั่นพรึงปืนกลหน้าถูกเร่งกระสุนกราดออกไปถี่ยิบ พร้อมกับฝ่ายข้าศึกก็ตอบโต้ด้วยปืนหลังแล้วทำมุมเลี้ยวขวาแสดงท่าจะปรี่เข้าโจมตีใหม่อย่างบ้าบิ่น แต่ทันทีนั้นเองกระสุนอีกชุดหนึ่งของเหยี่ยวฟ้าไทย ก็กระทบเข้าที่แพนหางนกเหล็กของข้าศึกเสียงกราวสนั่นเป็นระยะข้าศึกเปลี่ยนใจเป็นบินหนี ซึ่งเป็นการสมประสงค์ของเสืออากาศไทยยิ่งนัก เพราะหากมีภาวะต้องจำพัวพันกันไป ไม่ถูกยิงหกคะเมนก็ต้องดิ่งนรก เพราะไม่มีฐานทัพจะลงและไม่มีน้ำมันสำหรับเครื่องบินจะพากลับ

เหตุการณ์เหล่านี้ ภายหลังต่อมาเมื่อศึกสงบ ทหารนักบินข้าศึกชาวฝรั่งเศสซึ่งเป็นนักบินผู้ทำการรบกับเครื่องบินของจอมพลฟื้นได้เล่าให้เพื่อนฝูงทหารไทยหลายคนฟังในโอกาสที่นักบินไทยผู้หนึ่งได้ไปราชการที่ไซ่ง่อน โดยเขาบอกว่าการที่ทัพอากาศของเขาต้องพ่ายเสมือนไร้ฝีมือ เป็นเพราะเหตุสองประการ เครื่องบินฝ่ายเขาหย่อนสมรรถภาพและนักบินมีขวัญย่อหย่อน แต่ในประการสำคัญก็คือ มันคล้ายกับมีอุปาทานทำให้ฝ่ายเขามองเห็นเครื่องบินของฝ่ายไทย เป็นสีแดงฉานคล้ายกลุ่มควันแดง ทำให้นักบินพิศวงสงสัยและตกตื่นขวัญเสีย



อนึ่ง โดยเหตุนี้หลวงพ่อจงชอบขึ้นเครื่องบิน ท่านมักถูกนิมนต์จากนายทหารชั้นผู้ใหญ่ในบางโอกาสเสมอ ท่านเคยพูดว่า เมื่อได้เหาะขึ้นเบื้องสูงแล้วหายใจสบาย มองอะไรก็เห็นเป็นธรรมชาติสวยงาม

และได้มีนักบินผู้หนึ่งเล่าว่า ครั้งหนึ่งหลวงพ่อจงได้ขึ้นเครื่องบินสองที่นั่งไปกับจ่าอากาศเอกผู้หนึ่ง ขณะเครื่องบินวนไปทางอยุธยา หลวงพ่ออยากดูวิววัดหน้าต่างนอกของท่านทางอากาศ จึงชี้ทิศทางบอกให้นักบินพาไป เมื่อถึงแล้วนักบินจึงแจ้งให้ทราบ ตอนนั้นเองหลวงพ่อจงนึกสนุกขึ้นมา เพราะมองเห็นวัดของท่านมีขนาดเล็กนิดเดียว จึงกล่าวแก่นักบินว่าจะหยุดสักครู่ได้ไหม นักบินตอบว่า หยุดนั้นเห็นจะไม่ได้เพราะไม่มีสนามลง นอกจากทำได้ก็เพียงแต่เบาเครื่องโฉบลงไปต่ำหน่อย

หลวงพ่อจงหัวเราะหึหึ พูดทำนองปรารภขึ้นว่า เอ๊ะน่าจะได้นะพลางชี้นิ้วไปที่คันบังคับและเครื่องบิน ทันใดนั้นเครื่องบินมีสภาพคล้ายตกหลุมอากาศมหึมา ไม่มีอาการพุ่งไปข้างหน้า แต่หล่นวูบลง นักบินตกใจเป็นอย่างมากและยังคิดไม่ออกว่าจะแก้ไขอย่างไรดี ด้วยไปคิดสงสัยในด้านว่าเครื่องบินอาจมีอุบัติเหตุเครื่องเสีย ในใจก็ให้นึกเป็นห่วงหลวงพ่อจง ครั้นเหลียวมามองดูก็เห็นท่านหลับตาเฉยราวเกือบสิบวินาที ท่านจึงลืมตาขึ้นในขณะที่นักบินก็ง่วนอยู่กับการตรวจดูนั่นนี่หาทางแก้ไขเพื่อความปลอดภัย แล้วก็ได้ยินหลวงพ่อจงพูดยิ้ม ๆ ขึ้นว่า ลงมามากโขพอแล้วเครื่องบินบินต่ำแบบนี้หัวใจมันวูบวาบชอบกล

ท่านพูดสิ้นคำ เครื่องบินก็ครางกระหึ่ม ทรงตัวเคลื่อนลำพุ่งหน้าออกไป พ้นจากภาวะดั่งราวถูกดูดดึงอยู่กลางหลุมอากาศ


618
หลวงพ่อจง พุทธสโร

วัดหน้าต่างนอก

ตอนที่ ๓

และในราวกลางปีพุทธศก 2450 หลวงพ่อจงพร้อมด้วยย่ามสองย่ามยาวศอกเศษ มีเครื่องใช้ไม้สอยที่จำเป็นกับตัวยาประเภทแก้ปวดท้อง บำรุงธาตุ ห้ามเลือด ไม้ขีดไฟ เทียนไข และกระป๋องตักน้ำเล็ก ๆ พร้อมด้วยกลดสำหรับกางนอน ในขณะธุดงค์ได้ออกเดินจาริกด้วยเท้าเปล่า โดยลำพังองค์เดียวจากวัดหน้าต่างนอกมุ่งหน้าไปสู่วัดพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี และที่นี่ท่านก็ได้พระภิกษุผู้มีจิตศรัทธาขอติดตามไปอีกสององค์ จากนั้นเมื่อเดินไปถึงชายแดนลพบุรี ซึ่งเป็นทางออกสู่ดงพญาเย็น ดงพญาไฟ ก็ได้ภิกษุเพิ่มอีกสององค์ร่วมเดินทางไปด้วย รวมเป็นห้าองค์ทั้งหลวงพ่อจง และทั้งห้าองค์ก็ไม่มีศิษย์แม้แต่คนเดียวที่จะติดตามไปรับใช้ปฏิบัติวัฏฐาก

ตั้งแต่สระบุรีเข้าดงพญาเย็น ดงพญาไฟ ต้องใช้เวลาถึงสี่วันกว่าจะผ่านไปได้ เพราะหนทางเดินนั้นขวางกั้นไปด้วยอุปสรรค บางแห่งหนาแน่นไปด้วยดงหญ้าและเถาวัลย์รกทึบ ยิ่งกว่านั้นบางตอนก็ต้องเดินผ่านห้วยลึกและหุบเหว ซึ่งมองหรือสังเกตไม่เห็นได้โดยง่ายว่าเป็นเส้นทางที่ใช้เดิน บางตอนก็ไปออกทางเกวียนและริมน้ำ ซึ่งมีทั้งรอยตีนเสือ ช้าง หมี ที่เป็นรอยใหญ่ ๆ ก่อให้เกิดความหวั่นไหวได้ไม่น้อย แต่พระภิกษุทั้งห้าก็มิได้เกรงกลัว และบางครั้งก็เดินหลงทางบ่อย ๆ บางวันต้องหาทางเดินใหม่ให้เข้าสู่เส้นทางที่ชาวบ้านใช้ถึงสี่ครั้งห้าครั้ง และบางวันเดิน ๆ ไปแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเวลาไหน ก็เป็นอันว่าไม่ได้หยุดหุงหาฉันเพล เพราะบางที่กว่าจะรู้มันเลยเที่ยงไปนานแล้ว รู้จากแสงตะวันที่เผอิญทางเดินไปออกป่าโปร่ง ก็ได้แต่อาศัยฉันผลหมากรากไม้แก้หิวไปพลางบางวันที่ฉันเพลแทนเช้าไปเลยก็มี

และในตอนสายของวันที่สี่ ขณะที่อยู่กลางดงพญาไฟ ก่อนจะถึงจังหวัดนครราชสีมา ภิกษุผู้ร่วมทางได้อาพาธเป็นไข้ป่าอย่างรุนแรง แม้จะช่วยกันถวายยาที่มีติดไปเท่าไรก็ไม่หาย อาการรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว หลวงพ่อจงและพระภิกษุอีกสามองค์ก็ต้องผลัดกันเฝ้าดูแลอาการ เพราะมาด้วยดันจะทิ้งไว้เดียวดายนั้นไม่ได้ ที่สุดก็ต้องเสียเวลาอยู่ในป่า โดยเลือกเอาริมเหวที่มีพื้นราบสูงกว่าแห่งอื่นได้แห่งหนึ่งเป็นที่พำนัก พักรักษาภิกษุผู้อาพาธ จวบจนวันรุ่งขึ้นตอนสาย ภิกษุองค์นั้นมิอาจทนทานพิษไข้ได้ ก็ถึงกับมรณภาพ เมื่อช่วยกันฝังไว้ตามมีตามเกิดแล้ว บ่ายวันนั้นจึงได้เดินทางหลุดรอดจากดงพญาเย็น ดงพญาไฟ ผ่านเขตลพบุรี ย่างเข้าเขตนครสวรรค์



ที่นครสวรรค์ ก็ได้มีพระภิกษุขอร่วมเดินทางไปด้วยอีกรูปหนึ่งรวมจำนวนเป็นห้ารูปเหมือนเดิม เส้นทางเดินระหว่างนครสวรรค์จนถึงพิษณุโลกเป็นพื้นที่ราบป่าโปร่ง ไม่เป็นป่าทึบเหมือนในดงพญาเย็น ดงพญาไฟก็จริง แต่บางแหล่งก็เต็มไปด้วยอสรพิษร้าย โดยเฉพาะตอนที่เป็นบึงบรเพ็ดเวลานี้ มีน้ำท่วมเจิ่งนองเป็นบริเวณกว้าง ท่วมตอนที่เป็นทางรถไฟอยู่นานหลายเดือนในปีหนึ่ง ๆ ตามทางที่เป็นป่าริมน้ำซึ่งต้องเดินผ่าน มีจระเข้อยู่เต็มไปหมดทั้งสองฟากฝั่ง รวมทั้งงูเห่าและงูจงอางเลื้อยเพ่นพ่านให้เห็นอยู่ตลอดระยะทางเดิน เมื่อได้ยินฝีเท้าแม้จะเดินกันอย่างแผ่วเบา แต่สัญชาตญาณระวังภัยและมีสันดานดุโดยกำเนิดของมันตามธรรมชาติ มันต่างชูคอแผ่แม่เบี้ยคุกคามภิกษุทั้งห้ารูปอย่างน่าสยดสยอง แม้จะมีการระมัดระวังกันเป็นอย่างดี เจ้างูจงอางตัวหนึ่งก็ได้ฉกกัดพระภิกษุรูปหนึ่งที่มาจากสระบุรีเข้าจนได้ และพิษร้ายกำเริบจนทนไม่ได้ พระภิกษุองค์นั้นก็ต้องมรณภาพไปอย่างน่าสลดใจ

เมื่อผ่านถึงจังหวัดพิจิตร ที่วัดตะพานหิน ก็ได้มีพระภิกษุอีกรูปหนึ่งขอร่วมทางไปด้วย ฉะนั้นการเดินทางจากพิจิตรมุ่งสู่พิษณุโลก ก็ยังคงมีคณะร่วมทางครบจำนวนห้ารูปตามเดิม แต่จากพิจิตรระหว่างเข้าเขตพิษณุโลก พระภิกษุจากลพบุรีก็ต้องมรณภาพ เสียชีวิตไปอีกรูปหนึ่งขณะเดินข้ามลำธารที่เป็นพงรก โดยถูกจระเข้คาบไปกัดกิน และทิ้งซากศพไว้เพียงครึ่งเดียว

หลวงพ่อจงกับพระภิกษุอีกสามรูปจากพิษณุโลกมุ่งเข้าสู่แม่สอดเดินขึ้นไปเชียงราย โดยหมายเส้นทางเข้าไปแม่ฮ่องสอน และจะเข้าสู่พม่าในด้านที่ตั้งเจดีย์ชะเวดากอง พระภิกษุร่วมเดินทางต่างค่อยมรณภาพไปทีละองค์ด้วยโรคไข้ป่า และบ้างขาดอาหาร เป็นโรคท้องร่วงอย่างแรง (อหิวาต์) จึงคงเหลือเพียงหลวงพ่อจงแต่องค์เดียว ที่ธุดงค์ไปถึงพม่าและได้เข้านมัสการพระเจดีย์ชะเวดากองอย่างที่ตั้งใจเอาไว้

หลวงพ่อจงยอมรับว่าแรก ๆ เมื่อเห็นภิกษุผู้ร่วมเดินทางมีอันเป็นต้องจากกันไปในสภาพที่เรียกว่า ตายจากก็รู้สึกใจคอหดหู่และสลดจิตคิดสังเวช แต่เมื่อได้ทบทวนคิดได้ว่า อันรูปกายเกิดของมนุษย์และปวงสรรพสัตว์ก็มีความตายนี่แลเป็นความเที่ยงแท้ที่ชีวิตกายเกิดทุกรูปนามยังต้องประสบ รูปกายใดมิว่าจะอยู่ในฐานันดรและอยู่ในสภาพมิว่าเยี่ยงใด จะเป็นจอมนับรบผู้เกรียงไกร เป็นจอมมหาราชผู้มีศักดินายิ่งใหญ่ รูปกายเกิดเหล่านี้ก็จะต้องประสบกับมรณะสัญญาเป็นปริโยสานด้วยกันทั้งนั้น มิว่าจะในลักษณะการละม้ายแม้นเหมือน หรือแตกต่างกันในบทบาทเคลื่อนไหวอย่างใดก็ตาม มฤตยูมิยอมยกเว้นหรือแม้แต่จะให้มีการผ่อนผันให้รูปกายใดผัดผ่อนประกันวันตายยืดออกไป

เมื่อปลงตกคิดเห็นสาเหตุความต้องตายเป็นอย่างนี้จิตก็รู้สึกจืดชืดต่อความหวั่นไหวหวาดเสียวแห่งมรณะสัญญาณ มิว่าจะย่างกรายเข้ามาคุกคามในวิธีการเยี่ยงใด ตรงข้ามเมื่อเห็นความตายของผู้อื่น แต่ตนเองยังมิเคยถูกรุกรานให้มีเหตุเภทภัยย่ำยี กลับทำให้บังเกิดเพิ่มพูนอำนาจใจให้ทวีความกล้าแข็งยิ่งขึ้น



ที่พม่า แม้จะพูดจากันไม่รู้เรื่องในตอนแรก ๆ แต่เมื่ออยู่กันไปการใช้ภาษาบุ้ยใบ้บ้าง ใช้ภาษามคธ และภาษาพม่าที่สังเกตจดจำไว้ ก็ทำให้หลวงพ่อจงรู้เรื่องและได้รับความสะดวกในการอยู่ในพม่าเป็นเวลานานหลายเดือนเป็นอย่างดี

ตอนขากลับ หลวงพ่อจงต้องเดินทางเพียงรูปเดียวอย่างโดดเดี่ยวด้วยจิตใจกล้าหาญ ไม่กริ่งเกรงเหตุเภทภัยอย่างใด และได้แวะจำพรรษาที่วัดแห่งหนึ่งที่กำแพงเพชร เพราะคาดคะเนแล้วว่าการเดินทางจะทำไม่ได้รวดเร็วตามกำหนด จึงคิดเห็นสมควรกลับวัดเมื่อรอให้พ้นกำหนดออกพรรษาจะสะดวกกว่า

ทั้งขาไปและขากลับ หลวงพ่อจงได้รับความปลอดภัยอย่างอัศจรรย์แต่ผู้เดียว ส่วนภิกษุผู้ร่วมทาง 7 องค์ถึงแก่มรณภาพไปสิ้น

หลวงพ่อจงเคยพูดว่า ท่านเองก็ไม่รู้ได้เหมือนกันว่าเป็นเพราะเหตุใด ท่านจึงไม่พานพบเหตุร้ายหรือเจ็บปวดแม้แต่เล็กน้อยก็ไม่เคยมี แต่ระหว่างทางเคยเหยียบหินและลื่นลงหลุมเล็กจนเท้าแพลงสักหนสองหน นอกนั้นไม่เคยประสบเหตุการณ์อะไร จิตใจของท่านก็รู้สึกว่ามันเป็นปกติ ไม่เคยซู่ซ่าพลุ่งพล่านหวาดสยองกับการคุกคามของธรรมชาติอันเป็นวิบากทุรกันดาร ไม่เคยกริ่งกลัวต่อความวิเวกวิกาล หรือความอ้างว้างท่ามกลางเสียงสายฝนที่สาดโกรกลอดใบไม้ทึบลงมา สายฟ้าได้ฟาดกราดเกรี้ยวลงมาถึงสองครั้ง กิ่งยางต้นใหญ่ขนาดสองสามคนโอบได้หลุดมาทั้งกิ่งไหม้ดำ แต่ในกรณีนั้น ไม่มีใครผู้ใดเป็นอันตราย กลับพากันหลุดรอดไปได้ จนต่อภายหลังจึงเสียชีพเพราะสัตว์ร้ายขบกัด และพิษไข้ป่า

ระหว่างทางเขตแม่ฮ่องสอน ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อจงท่านกำลังจะกางกลดจำวัดอยู่ใต้เพิงผาหุบเขาแห่งหนึ่ง ก็มีงูจงอางสีเหลือง แวววาวมะเมื่อม พุ่งปราดเข้ามาทางท่านอย่างว่องไว ท่านก็มองจ้องไปที่งูจงอางตัวนั้น รู้สึกระทึกใจอยู่ว่า นี่ถ้าจะตรงเข้าจู่โจมเล่นงานเราแน่ แต่เวรกรรมอย่างนี้เป็นกรรมเก่า หากเคยเป็นคู่ผลาญกันมาก็ยากจะหนีเขาไปรอดพ้น งูตัวนั้นใหญ่ยาวสักสองเมตรเห็นจะได้ มันชูคอพลิกเอียงไปเอียงมาอย่างผยองฤทธิ์ พุ่งปราดผ่านกองไม้ริมธารน้ำอีกสักห้าวาจะถึงตัวหลวงพ่อจง ท่านก็คงมองเพ่งอาการของมันด้วยความสงบ ในใจนึกภาวนาว่า หากไม่เคยมีเวรเก่าต้องชดใช้ ขออย่ามาก่อกรรมสร้างหนี้เวรใหม่ไว้ต่อกันเลย เจ้าจงไปตามทางของเสียเถิด

เมื่อหลวงพ่อจงนึกแผ่กระแสจิตอยู่นั้น งูจงอางได้พุ่งมุ่งสู่กองไม้ ข้ามเข้าหาท่านอย่างปราดเปรียว แต่ในทันทีทันใด ดุจดั่งราวกับถูกเบรกห้ามล้ออย่างแรง มันชะงักพรืดพลางบิดตัวอย่างรุนแรงพลิกคล่ำลงจากกองไม้ ปรากฏว่าตะขาบสีเขียวแก่จนเกือบดำตัวหนึ่งยาวราวสักสองคืบตัวใหญ่แบนสองนิ้วเศษ กำลังขบกัดติดอยู่ตรงสะดือใต้ท้องของมัน เมื่อตอนงูจงอางสะบัดโผนตัวโดยแรงนั้น ตะขาบได้กระเด็นหลุดออกไป ปรากฏว่าตรงสะดือขาดมีก้อนกลมเล็กไหลย้อยเป็นน้ำเขียวจาง ๆ ออกมาจุกอยู่ และการสะบัดอย่างแรงทำให้มันพลิกตัวหล่นลงไปน้ำนอนหงายท้องอยู่ และไม่นานนักก็สิ้นใจตาย ส่วนตะขาบตัวฮีโร่ก็คลานงุ่มง่ามออกจากกองไม้มุ่งเข้าราวป่าข้างหน้า โดยมิได้สนใจจะหันหลังมามองหลวงพ่อจงเป็นการอำลาหรือทวงคุณแม้แต่น้อยบารมี



ภูมิเวทย์ วิทยาคม

เมื่อเป็นบุคคลมีจิตแกล้วกล้าสามารถธำรงตนจนมีสมาธิศีลบริสุทธิ์ปราศจากว่อกแว่กหวั่นไหวในสรรพเหตุอันจักมาสั่นคลอนดวงใจให้ไหวหวาด ไม่ว่าจะเป็นต้นตอก่อภัยมืดสว่าง จากเวรกรรมเก่า หรือจากกรณีแวดล้อมซึ่งจะจู่โจมเข้ามาไม่ว่าในลักษณะการใด จวบแม้กระทั่งสามารถเดินทางโดดเดี่ยวกลับจากพม่าสู่ผืนแผ่นดินไทยด้วยตนเองตามลำพัง

แต่นั้นมาหลวงพ่อจง ก็ทวีความเชื่อมั่นในบำเพ็ญบารมีแสวงสำรวมหาอิทธิบารมีในทางปฏิบัติ กัมมัฏฐานตั้งในแนวทางของสมถะกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน กระทั่งอบรมบ่มฌานสมาบัติให้แก่กล้าทั้งทางกสิณและสมาธิ จนปรากฏว่า หลวงพ่อจงประสบความสำเร็จสมมโนหมายในวิถีซึ่งท่านต้องการเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทาง

ภายหลังต่อมา หลวงพ่อจงได้ชื่อว่าเป็นอริยสงฆ์ผู้บริสุทธิ์ มีพร้อมซึ่งอิทธิบาท แก่กล้าในแนวทางของวิชาแปดประการ อันเรียกขานกันว่า "อภิญญา"

ความเป็นผู้รู้ในธรรมแจ่มกระจ่างและปฏิบัติธรรมได้สม่ำเสมอเป็นนิจสิน มิเคยเบื่อหน่ายท้อถอยของหลวงพ่อจง ย่อมประจักษ์แก่ตาแก่ใจของบุคคลผู้ใกล้ชิดทั่วไปเป็นอย่างดี จนท่านถือเป็นคติพจน์ขึ้นว่า "การสวดมนต์ไหว้พระ เป็นกิจวัตรอันมิควรขาดกระทำ"

หลวงพ่อจงขึ้นชื่อลือเลื่องว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญในทางกสิณ สมาธิ ท่านสามารถหลับตานอนและตื่นเวลาใดก็ทำได้ดั่งใจหมาย ดวงจิตของท่านเปี่ยมด้วยความสันโดษและสงบอย่างแน่วแน่จริงแท้เปี่ยมด้วยความเมตตาพร้อมจะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อส่ำสัตว์ทั้งผองให้ได้ผ่านพ้นทุกข์ภัยทั้งมวลและได้ประสบพบแต่ความสุขสำเร็จประสงค์ หลวงพ่อจงมีแต่ความมุ่งดี หวังดี ปรารถนาดี ต่อชีวิตกายเก่าสม่ำเสมอโดยปราศภยาคติ อันเป็นความลำเอียง ไม่เลือกหน้า ไม่มีจิตคิดเห็นแก่ฐานะความเป็นอยู่ หรือ อำนาจฐานันดรและภาวะสภาพของใครสิ่งใดมาเป็นน้ำหนักถ่วง หรือกดดันให้บังเกิดความโน้มน้าวโอนเอียง มิว่าใครผู้ใดไปหาสู่ ท่านโอภาปราศรัยต้อนรับด้วยความยิ้มแย้มทันทีไม่ต้องให้มีการรีรอหรือผิดหวัง

ไม่มีใครเลยจะสามารถสร้างความรังเกียจความขึงขังให้บังเกิดในน้ำใจหลวงพ่อจงขึ้นได้ ท่านไม่เคยจะพูดจาว่ากล่าวว่าใครผู้ใดไม่ดีเลวร้าย บางครั้งแม้แต่มีใครไปเล่าเรื่องราวของคนไม่ดี กระทำทุราจาร ผิดศีล หรือประพฤติเลวร้ายแสนสาหัสในทางใจ พร้อมด้วยวิพากษ์วิจารณ์ด่าว่ากันตามสันดานอัธยาศัย หลวงพ่อจงก็ไม่ห้ามไม่ให้พูด ใครพูด ใครด่ากัน ก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ไปจนเขาพูดจบเรื่อง แต่ไม่เคยสนับสนุนซ้ำเติมว่าใครดีใครไม่ดี ท่านพูดเป็นกลาง ๆ ว่า

 "เรารู้ว่าใครไม่ดีก็หลีกออกให้ห่าง ใครดีจึงคบหาไปมาสู่กัน ทุก ๆ คน ควรกระทำแต่ความดีมีศีลสัจจธรรม ส่วนคนประพฤติชั่วก็จะต้องได้รับกรรมตามสนอง และเขาเป็นคนน่าสงสาร หากช่วยกันได้ควรช่วยกัน ตามหลักพรหมวิหาร ทำบุญทุกอย่างย่อมได้กุศลสนอง แต่การช่วยผู้มีทุกข์ ช่วยคนคิดผิดให้คิดถูก กลับตนประพฤติชอบนั้นเป็นกุศลอย่างยิ่ง"

ครั้งหนึ่ง มีขโมยเข้าไปขโมยสมบัติของวัด ขโมยแม้กระทั่งโอ่งไหลายมังกร หลวงพ่อจงยังนอนไม่หลับในคืนหนึ่งนั้น ตื่นขึ้นมาเห็นหัวขโมยกำลังช่วยกันหามโอ่งชุลมุนวุ่นวาย ท่าทางเกะกะเก้งก้าง จะเอาไปได้ลำบากอยู่ ท่านเดินเข้าไปหาหัวขโมยพร้อมด้วยให้สติว่า

"ทำไมต้องรีบด่วนขนให้เป็นการยุ่งยากลำบาก การขนโอ่งคราวละหลายใบมันหนัก เอาไปก็เกะกะหาบหามไม่สะดวก ควรขนไปครั้งละใบดีกว่า มันจะไม่ตกแตกและเอาไปใช้ประโยชน์ตามต้องการได้"

พวกหัวขโมยมองหลวงพ่อ นึกว่าท่านจะเอาเรื่อง แต่เห็นท่านพูดยิ้ม ๆ อาวุธอะไรก็ไม่มีติดมือที่จะให้คิดว่าท่านคงจะเล่นงาน พวกหัวขโมยเลยวางโอ่งนั่งยอง ๆ ยกมือไหว้ แล้วเดินหลบหลีกไปโดยพูดว่า

"ถึงท่านจะให้ พวกกระผมก็ไม่ขอเอาไปแล้ว"

อีกเรื่องหนึ่ง เด็กวัดร่วมใจกันขโมยเงินในถุงย่ามไปสามพันบาท เงินจำนวนนั้นมีผู้ศรัทธาถวายเพื่อสร้างโบสถ์ แต่ยังไม่ทันมอบให้ผู้ดูแล ฝ่ายเด็กวัดครั้นเอาไปแล้วเกิดแบ่งไม่ถูกใจกัน เรื่องเลยไปถึงตำรวจ เมื่อตำรวจไปขอถ้อยคำทำคดีจากหลวงพ่อจง ท่านกลับว่าเป็นความบกพร่องของท่านที่เก็บไว้ไม่มิดชิด เด็ก ๆ มันอยากได้และสามารถหยิบฉวยง่าย มันจึงเอาไปตามประสาสันดาน แต่เป็นเรื่องในวัด ขอให้ทางวัดจัดการเองเถอะ ไม่อยากให้เรื่องไปถึงทางบ้านเมือง เพราะเด็กพวกนั้นมันยังอ่อนศึกษา ยังโง่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ไม่งั้นคงไม่เอาของวัดพระดังนี้

พร้อมกันนั้น ท่านเรียกเด็กวัดสองสามคนมาสอนว่า

"ต่อไปการจะทำอะไรจงอย่าให้แตกสามัคคีกัน ร่วมมือกันทำงาน มีรายได้ก็ควรแบ่งสันปันส่วนให้มันยุติธรรม ถ้าแตกสามัคคีก็ต้องมีการอิจฉาแก่งแย่งทะเลาะวิวาทกัน มีแต่ทำให้เสียพวกเสียประโยชน์ ดีไม่ดีจะต้องติดคุกตารางลำบากเสียชื่อตระกูลไม่ควรทำ"


619
คลิกเมาส์ที่ใดก็ได้ในเฟรมนี้เพื่อเรียกเมนูด่วน


หลวงพ่อจง พุทธสโร

วัดหน้าต่างนอก

ตอนที่ ๒

หลวงพ่อจงเป็นผู้มีบุคลิกเหมาะสมหลายประการ เหมาะสมจะเข้าบำเพ็ญบารมีใฝ่หาสัจธรรม อาทิ

เป็นผู้มีสัจจะ คือ ผู้ซื่อตรงต่อตนเองและผู้อื่น มีจิตใจปราศจากความกลับกลอก พูดคำไหนเป็นคำนั้น ตั้งใจทำสิ่งใด ด้นดั้นใช้ความพากเพียรทำไปจนปรากฏผลโดยปราศจากยับยั้ง ไม่มีถอยหน้าถอยหลัง

เป็นผู้เปี่ยมด้วย ทมะ คือ เป็นผู้มีอำนาจใจกล้าแข็ง สามารถยืนหยัดบังคับใจตนเองไว้ในอำนาจการตัดสินปลงใจ ได้อย่างเด็ดขาด

เป็นผู้ซึ่งพร้อมด้วย จาคะ คือ มีดวงจิตสะอาดบริสุทธิ์ พร้อมจะเสียสละได้ทุกเมื่อ มีความกล้าหาญสามารถทุ่มเทแม้แต่ชีวิตเพื่อเลี่ยงเสียแลกกับประโยชน์ยิ่งใหญ่ ซึ่งหากทำไปแล้วผู้อื่นหรือสาธารณประโยชน์จะพึงได้รับจากการเสียสละนั้น ๆ ของท่าน โดยเฉพาะเมื่อแน่ใจว่าการปฏิบัติตามธรรมะของพระพุทธเจ้าย่อมเป็นเครื่องทำให้จิตใจได้รับความสงบหนีพ้นจากทุกข์ได้ ท่านก็มิเห็นแก่ความลำบากเหนื่อยยาก หรือกลัวเกรงสิ่งใด นอกจากตั้งหน้าบำเพ็ญธรรมนั้น ๆ อยู่อย่างสม่ำเสมอ

เป็นผู้มีภูมิปัญญา คือ มีความฉลาดสามารถรู้จักสิ่งใด ทำแล้วเป็นคุณงามความดีมีประโยชน์ต่อตนเอง และกับผู้อื่น ควรไม่ควร เป็นไปได้หรือเป็นไปมิได้ ทั้งเป็นผู้ใช้ความฉลาด บ่มเกลานิสัยทั้งของตนและผู้อื่นอย่างไม่ขาดสาย

เป็นผู้มี ศีล ครบถ้วน ไม่ก่อกรรมสร้างเวรรุกรานรังควานใครให้เดือดร้อน เป็นผู้ใช้ศีลฟอกใจตนเองให้สะอาดประณีตเป็นนิจ แม้แต่คำน้อยไม่เคยตำหนิติเตียนให้ผู้ใดต้องได้รับความสะเทือนใจ เด็กศิษย์วัดขโมยเงินที่เก็บไว้ทำบุญสร้างโบสถ์ ก็ไม่โกรธไม่เอาเรื่อง ตรงข้าม กลับขอร้องมิให้ตำรวจถือผิดเพราะเป็นเรื่องในวัด ส่วนพวกเด็ก ๆ ก็โดนดุเพียงว่า ที่เขาจับพวกเอ็งได้ว่าเป็นคนขโมยเงินของอาตมาไป ก็เพราะเอาไปแล้วไปแบ่งไม่ยุติธรรม อย่าเอาเปรียบ อย่าขัดคอขัดใจกันซิ จะได้ไม่แตกความสามัคคี

เป็นผู้มีสมาธิและฌาน มั่นคงเป็นพื้นฐาน หลวงพ่อจง สามารถบำเพ็ญฌาน และกระทำบำเพ็ญสมาธิได้อย่างสงบทันที แม้ในท่ามกลางเสียงกระจองอแง

เป็นผู้มีสุขภาพดี ฉันเป็นเวลา แม้จะนอนไม่เป็นเวลา แต่สามารถลุกขึ้นปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน ตามกำหนดกฎเกณฑ์สม่ำเสมอ มีอำนาจจิตแข็งขัน จวบจนลุล่วงวัย 94 ปี ในปีสุดท้ายที่มรณะเข้ามาเยือนและพาสังขารของท่านไปสู่ความผุพัง ยังคงมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เมื่อเจ็บหนัก รู้ว่าจะไม่รอด ท่านพูดว่า "คราวนี้เขาเอาเราอยู่แน่ อย่างไรเป็นหนีไม่รอด"... จากนั้นก็รอความตายโดยสงบ ไม่บ่นไม่หวั่นไหวอย่างไรทั้งสิ้น



หลวงพ่อจงท่านเป็นผู้รู้พระปริยัติธรรมตามฐานันดร และตามความต้องการเรียนรู้ให้เข้าใจในพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อใช้ปฏิบัติให้บังเกิดความสงบสุข และบรรลุเข้าสู่วิถีแห่งความพ้นทุกข์ พร้อมด้วยใช้เป็นเครื่องกล่อมเกลาบรรเทาทุกข์ให้แก่ผู้อื่นตามควรแก่ฐานานุรูป เหมาะสมตามกาลเทศะ...ตลอดจนได้เป็นผู้รอบรู้เจนจบในทางวิทยาคม ซึ่งพระอาจารย์โพธิผู้เป็นพระอาจารย์ได้ถ่ายทอดไว้ให้และท่านก็สามารถนำไปใช้ช่วยปลดทุกข์ทางกายทางใจแก่ปวงชนมากหลาย แม้แต่ในมหาสงครามโลกครั้งที่สอง สมรภูมิอินโดจีน และสมรภูมิรบในเกาหลี อิทธิบารมีของหลวงพ่อจง ก็ได้สอดแทรกมีบทบาทช่วยให้เหล่าทหารหาญของชาติไทยทั้งสามกองทัพบังเกิดพลังใจใหญ่หลวง กระทำการรบได้อย่างห้าวหาญ มีชื่อเสียงเกรียงไกรไพศาล เป็นที่หวาดหวั่นยั่นระย่อต่อเหล่าข้าศึกไม่น้อย

เมื่อเผชิญกับการรับรุกบุกเข้าปะทะหมายกวาดล้างของทหารไทย ข้าศึกก็ล้มตายอย่างย่อยยับหรือถอยหนีโดยไม่คิดสู้บ่อยที่สุด...แม้แต่ในวงล้อมของฝูงข้าศึก ที่จอมทัพฝ่ายพันธมิตรคาดหมายว่าอย่างไรเสียกองร้อยทหารไทยคงไม่มีทางรอดเหลือกลับฐานทัพ เพราะคำนวณจากจำนวนทหารข้าศึกที่ล้อมทหารไทยไว้กว่าห้าชั้น ด้วยกำลังรบที่มากกว่าเป็นสิบ ๆ เท่า ไม่มีทางที่จอมทัพฝ่ายพันธมิตรซึ่งทัพไทยร่วมด้วยจะคาดคิดเป็นอย่างอื่นไปได้ และไม่น่าจะเป็นการคาดคะเนที่ผิดไปเลย

แต่...ทหารไทยผู้ห้าวหาญก็สามารถต่อสู้กับข้าศึกษาทั้งทางพื้นดินและหลบระเบิดที่เครื่องบินข้าศึกทิ้งปูพรมลงมาไม่ขาดสาย พร้อมกับต้องบุกฝ่าพายุปืนกลหนักเบาจากวงล้อมห้าชั้นทั้งสี่ทิศ หลุดรอดออกมาได้เกือบครึ่งจำนวน... ทหารไทยเลยถูกลือว่าเป็นกองทัพมัจจุราช กองทัพมหากาฬ กองทัพผี สารพัดจะถูกขนานสมญานาม

มันเป็นการรบในยุทธวิธีตีฝ่าที่ใจห้าวกร้าวแกร่งอย่างอัศจรรย์เหมือนฝัน... จอมทัพพันธมิตรรับรู้ข่าวแสนจะพึงปิติปราโมทย์ด้วยอาการตกตะลึง ต้องสั่นหัวและถามซ้ำเป็นสองสามซ้ำว่า นั่นเป็นรายงานข่าวรับฟังเชื่อได้รึ ? แต่เมื่อเป็นข่าวชัดเจนมีการยืนยันเป็นหลักฐาน จอมทัพพันธมิตรภาคเอเซียก็ต้องเชื่อและอุทานชมลั่น

ถึงขนาดจอมทัพแม๊คอาเธอร์ ขอพบผู้บังคับบัญชากองทัพ เพราะอยากเห็นตัวเหล่ายอดทหารไทยผู้เกรียงไกร และจอมทัพแม๊คอาเธอร์ก็ได้รู้ว่าเลือดไทยทุกคนระอุอ้าวไปด้วยความห้าวเหี้ยมหาญ คิดเชื่อมั่นกันอยู่แต่ว่า ถ้ายิง ต้องยิงให้ถูกข้าศึก แต่ข้าศึกจะยิงไม่ถูก เพราะพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระอริยสงฆ์เจ้า แห่งบวรพุทธศาสนาท่านคุ้มครอง

ธรรมต้องชนะอธรรมไม่มีปัญหา แต่อย่างไรก็ดี ทหารไทยที่รอดตายเกือบครึ่ง ปรากฏว่า ส่วนใหญ่บ้างมีตะกรุดชุด 16 ดอก บ้างมีตะกรุดโทน บ้างก็ใช้เสื้อพระยันต์ราชสีห์สีแดงบ้างมีพระทุ่งเศรษฐีดำใหญ่ของหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก และจำนวนทหารผู้รอดตายเหล่านั้นเชื่อว่าบรรดาเครื่องรางของขลังที่พวกตนมั่นใจในคุณขลังเหล่านี้มีส่วนช่วยชีวิตของตน

ทหารรุ่นศึกอินโดจีน และต่อมาในมหาสงครามโลก จนกระทั่งศึกษาเกาหลี ส่วนมากมีความศรัทธานิยมบูชาสักการะต่อตะกรุดโทน ตะกรุดชุด 16 ดอก และเสื้อยันต์แดงราชสีห์ นำติดตัวเข้าสมรภูมิเพื่อเป็นการบำรุงขวัญ

กองทัพไทยทั้งสามเหล่า ขึ้นชื่อว่าเป็นที่รับรู้ของกองทัพข้าศึก ไม่ว่าครั้งอินโดจีน มหาสงครามโลกครั้งที่สอง หรือสงครามเกาหลี ว่าเป็นทหารหาญที่ทำการรบเก่งกล้าที่สุด ตายและเสียหายน้อยที่สุด เฉพาะขวัญของทหารได้รับการยกย่องว่าเลิศที่สุด

มนต์ขลังและวิทยาคม เป็นเครื่องประสิทธิ์ประสาทให้ผู้ศรัทธาสักการะ แคล้วคลาด ยิงไม่ออก ฟันไม่เข้า ตีไม่แตก และบ้างเป็นมหาลาภ มหาเสน่ห์ มหานิยม ได้จริงจังแค่ไหนเพียงไรหรือไม่ หากจะพิสูจน์กันจริงจัง บางทีอาจจะกระทำได้ยาก เพราะอุปมาดุจดั่งเป็นอิทธิพลหรืออำนาจลึกลับอะไรทำนองนั้น จึงยากจะหาผู้ยืนยันท้าพิสูจน์เป็นผลแตกหัก..แต่อย่างไรก็ตาม ความศรัทธา ความเชื่อมั่นในอิทธิพลบารมี ของความขลังศักดิ์สิทธิ์ในประการเหล่านี้ ก็มีอยู่ในความรู้สึกอย่างมั่นคงของชาวไทย ไม่เลือกชั้น วรรณะ มานานกว่าพัน ๆ ปี...ฉะนั้นใครจะเชื่อหรือไม่ ก็แล้วแต่จิตใจของคนนั้น



ทิพยอำนาจ กับ ความขลัง

สมัยเมื่อเป็นภิกษุในระยะสิบพรรษาแรก เป็นระยะกำลังอยู่ในวัยศึกษาหาความรู้ หลวงพ่อจงเป็นผู้มีมานะพยายาม และกระตือรือร้นใคร่เป็นพหูสูตอยู่เสมอ เมื่อรู้ว่ามีพระอาจารย์ทรงวิทยาคุณดีเด่นในทางใดก็ขวนขวายไปนมัสการขอน้อมยอมเป็นศิษย์ และหลังจากได้รับการถ่ายทอดวิทยาอาคมจากพระอาจารย์โพธิจนชำนาญ ต่อมาท่านเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอก คือหลวงพ่ออินทร์ลาสิกขาบทไปประกอบอาชีพทางฆราวาส ชาวบ้านส่วนมากของตำบลนั้นและใกล้เคียง ซึ่งต่างเริ่มมองเห็นว่า ภิกษุจงเป็นผู้ทรงสมถะ สำรวม พร้อมทั้งมีคุณสมบัติแห่งความเป็นอริยสงฆ์ดีเด่นหลายประการประกอบทั้งเป็นศิษย์เอกของหลวงพ่อโพธิ วัดหน้าต่างใน ซึ่งมีผู้เลื่อมใสศรัทธาในวิทยาคุณของท่านมาก จึงพากันนิมนต์ให้เป็นเจ้าอาวาสเสียที่วัดหน้าต่างนอกแทนพระอธิการอินทร์ (สมัยนั้น ชาวบ้านมีสิทธิมีเสียงเลือกตั้งเจ้าอาวาสได้เอง)

หลวงพ่อจงเมื่อเป็นเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอกแล้ว ก็ได้พยายามปฏิบัติตนตามฐานะ ได้รับยกย่องเขยิบฐานะอย่างเหมาะสม นอกจากบริหารภารกิจอันเป็นของสงฆ์และของวัด อันพึงกระทำตามสิกขาบทเฉพาะที่เกี่ยวกับชาวบ้าน ก็ได้สำแดงจิตอัธยาศัย แผ่ไมตรีโอบเอื้ออารีต่อบุคคลไม่เลือกหน้า ไม่ว่าใคร จะยากดี มีจนหรือเป็นคนถ่อยชั่ว จนขึ้นชื่อว่าพาลชน จะเข้าหาหรือขอร้องให้ช่วยงานกิจธุระหรือจะช่วยทุกข์ หรือนิมนต์ไปโปรดที่ไหน ไม่ว่าหนทางใกล้ไกล ท่านเป็นยอมรับยินดีกระทำธุระปลดเปลื้องบำเพ็ญกรณีให้ผู้ขอได้รับความสมปรารถนา ตามปัญญาของท่านโดยควรแก่ฐานานุรูป และกาลเทศะของผู้ขอเสมอไป ด้วยความเต็มใจยิ้มแย้มแจ่มใส ท่านไม่เคยปฏิเสธหรือผัดผ่อน มิเคยสำแดงกิริยาการอ้ำอึ้งไม่พอใจ หรือขึ้นโกรธกระทำแง่เงื่อนอิดออดอย่างไร และแม้แต่การกินอยู่ (ฉัน) ท่านไม่เคยบ่นไม่เคยพูดว่า อยากฉันโน่นนี่ ถึงเวลาใครถวายอะไรให้ฉัน ก็ฉันจนอิ่มตามความพอใจไม่มีอาการผิดปกติ

ต่อมาราวอายุได้ 30 เศษ ภายหลังจากที่ได้เคยเดินทางบุกดงรกชัฏท่องป่า ข้ามภูเขา ห้วย ละหานเหว ไปกระทำนมัสการบูชารอยพระพุทธบาท และเจดีย์สำคัญทุกแห่งในเมืองไทยแล้ว หลวงพ่อจงได้ยินเขาเล่าว่าประเทศพม่ามีเจดีย์สำคัญสูงใหญ่ คือพระมหาเจดีย์ชะเวดากอง ท่านก็เกิดความกระตือรือร้นใคร่จะได้ไปนมัสการทันที แต่เมื่อได้ปรารภเรื่องนี้ให้ญาติ เพื่อนภิกษุ และสงฆ์ผู้ใหญ่ฟังแล้ว ส่วนมากทักท้วงให้ระงับยับยั้ง มิอยากให้ไป ต่างอ้างเหตุผลว่าทางมันไกลนัก อีกอย่างเป็นเมืองต่างด้าวพูดกันไม่รู้เรื่อง ประการสำคัญคือถนนหนทางที่จะไปก็ไม่มีเป็นเส้นสายแน่นอน นอกจากจะต้องเดินวกเวี้ยวเลี้ยวลัดและมุดลอดไปตามดงทึบ หรือป่าเถาวัลย์ ไม้พุ่มไม้เลื้อยนานาชนิด

ด่านแรกสำคัญที่สุดก็คือจะต้องบุกฝ่าไปในดงพญาเย็น ดงพญาไฟ ซึ่งครั้งกระนั้นรกชัฎ ยามร้อนก็ร้อนจัด ยามเย็นก็เย็นยะเยือก และชื้นแฉะ จนได้รับสมญาขนานนามเป็นดงผีห่า ผู้เดินทางผ่านดงยิ่งใหญ่ทั้งสองซึ่งมีระยะยาวนับเป็นร้อย ๆ กิโลเมตร มีสภาพถูกปกคลุมไปด้วยไม้ใหญ่เป็นดงทึกจนมองไม่เห็นแสงแดด เต็มไปด้วยไม้เลื้อยพัวพันกันเป็นพืด เหมือนแนวกำแพงชั้นแล้วชั้นเล่าไม่มีที่สิ้นสุด นอกจากนี้ก็เต็มไปด้วยหินแหลมหินคม โขดเขา หุบเหวใหญ่น้อย เต็มไปด้วยสรรพสัตว์ร้ายทั้งทวิบาท จตุบาท กับอสรพิษสัตว์เลื้อยคลานร้อยแปดพันอย่าง ซึ่งหากพลั้งเผลอปราศจากระวังพริบตาเดียว ก็เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่า ยิ่งกว่านั้น ในเรื่องหมอเรื่องยา หลวงพ่อจงก็ปราศจากความรู้ ผู้จะเป็นเพื่อนเดินทางไปด้วยก็เช่นกัน ฉะนั้นแม้จะรอดจากเขี้ยวเล็บ สัตว์จตุบาทไหนเลยจะรอดจากโรคภัย โดยเฉพาะจากดงใหญ่มหากาฬ พญาเย็น-พญาไฟ ซึ่งขึ้นชื่อกระฉ่อนว่า เป็นดงผีห่ามหาประลัยไปพ้น

ใครจะชักแม่น้ำทั้งห้ากีดกัน ขัดคออย่างไรก็ไม่เป็นผล... หลวงพ่อจงไม่เถียง ไม่แม้แต่จะเหตุผลใดเข้าหักร้างข้อแย้ง เป็นแต่เพียงหัวเราะ หึ หึ หึ ตีหน้าตาเสมือนมิได้แยแสต่อสรรพสิ่งที่น่ากลัวสยดสยอง ตามคำบอกเล่าเหล่านั้นแม้แต่น้อย คำพูดของท่าน พูดสั้น ๆ ห้วน ๆ ตามนิสัยซึ่งผู้ฟัง ฟังแล้วรู้สึกได้ทันทีว่า ลงพูดยังงั้นเอาช้างฉุดไว้ก็ฉุดไม่อยู่ ท่านว่า "ไม่เป็นไรน่า ทั้งฉันก็ศรัทธาอยากไปจริง ๆ ด้วย"

เมื่อปณิธานมั่นคงไม่เอนเอียงไม่ทรุดต่ำต่อเหตุผลของใคร ในใจท่านแน่วแน่เป็นประการฉะนี้ การทักท้วงทัดทานมิว่าด้วยเหตุผลน่า หวั่นไหวอย่างใด ก็ไม่ทำให้ท่านเอนเอียงย่อท้อถอยหลัง หลวงพ่อจงปักหลักเจตนาของท่านไม่มีแคลนคลอน ตั้งจิตจะไปนมัสการพุทธเจดีย์ชะเวดากอง ไม่ว่าอยู่พม่าหรือมุมใดของโลกก็ต้องไปให้ถึงจนได้ เพื่อกระทำไตรสรณะคมน์สักการะให้สมศรัทธาซึ่งจงใจใฝ่ฝันไว้





620
ไม่ทราบพวกพี่รู้จักหรือเปล่า ถ้ารู้กรุณาช่วยบวกด้วย เห็นว่าได้อยากมาก

621
กรมหลวงชุมพร เขตรอุดมศักดิ์

 

เจอบันทึกนี้ให้เอาคำต่อไปนี้ของกูไปประกาศให้คนรู้ว่า

"กูกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักด์"

ผู้เป็นโอรสของพระปิยมหาราช ขอประกาศให้พวกมึงรับรู้ไว้ว่า

แผ่นดินสยามนี้ บรรพบุรุษ ได้เอาเลือดเอาเนื้อเอาชีวิตแลกไว้

ไอ้อีมันผู้ใด คิดชั่วร้ายทำลายแผ่นดิน ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ฤา กระทำการทุจริต ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อส่วนรวม

จงหยุดการกระทำนั้นเสียโดยเร็ว

ก่อนที่ที่กูจะสั่งทหารผลาญสิ้นทั้งโคตรให้หมดเสนียดของแผ่นดินสยาม

อันเป็นที่รักของกู

ตราบใดที่คำว่า "อาภากร"

ยังยืนหยัดอยู่ในโลก กูจะรักษาผืนแผ่นดินสยามของกู

ลูกหลานทั้งหลาย แผ่นดินใดให้เรากำเนิดมา

มิให้อนาทรร้อนใจ จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้น

แผ่นดินใดที่ให้ซุกหัวนอน ให้ความร่มเย็นเป็นสุข

มิให้อนาทรร้อนใจ จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้น

622
ตี๋ ใหญ่ ก็ สักยันต์ยันต์ตะกร้อ กับหลวงพ่อสุด วัดกาหลง

623
 พระประวัติกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์

 "องค์บิดาแห่งกองทัพเรือ"

 

กำลังรบทางเรือของไทย   มีกำเนิดมาควบคู่กับ การสร้างอาณาจักรไทย ตั้งแต่สมัยสุโขทัย  แต่ในอดีตไม่ได้มี การแบ่งแยกเป็น กองทัพบก หรือกองทัพเรือ ดังเช่นปัจจุบัน  เมื่อยาตราทัพไป ทางบก เพื่อทำสงครามก็เรียกว่า " ทัพบก "    หากเมื่อยาตราทัพ ไปทางเรือ ก็เรียกว่า   " ทัพเรือ " ในอดีต และปัจจุบันทหารเรือ ได้ยกย่อง พล.ร.อ. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ เป็น " องค์บิดาแห่งกองทัพเรือ " ซึ่งนับเป็น การเทิดทูน พระเกียรติคุณ อย่างสูงสุด เนื่องจากพระองค์ ได้ทรงนำความ เจริญรุ่งเรือง มาสู่กองทัพเรือ และ ประเทศชาติ โดยทรงวางรากฐาน การบริหารงานของกองทัพเรือ  ระเบียบวิธีปฏิบัติต่าง ๆ ภายในกองทัพเรือ  จนทำให้ทัพเรือไทย มีความทันสมัย มีมาตรฐาน และ เจริญก้าวหน้า ทัดเทียมกับ อารยะประเทศ มาจวบจนทุกวันนี้ พล.ร.อ.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ทรงมี พระนามเดิมว่า " พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ " เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 28 ใน พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2423 เป็นพระเจ้าลูกยาเธอองค์ที่ 1 ในเจ้าจอมมารดาโหมด ธิดาเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (  วร  บุนนาค  ) ผู้บัญชาการทหารเรือวังหลวง

 

 พล.ร.อ.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพร เขตรอุดมศักดิ์ เป็นเจ้านายพระองค์แรก ที่สำเร็จการศึกษา วิชาการทหารเรือ  จากประเทศอังกฤษ พระองค์ทรงมีจุดประสงค์ อันแรงกล้าที่จะฝึก ให้ทหารเรือไทย เดินเรือทะเลได้อย่างชาวต่างประเทศ และ สามารถทำการรบ ทางเรือได้เนื่องจากในอดีต ประเทศไทย ได้ว่าจ้างชาวต่างชาติ มาเป็นผู้บังคับการเรือ มาโดยตลอด แม้แต่ในคราวที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เสด็จประพาสฯ ยุโรปครั้งแรก ก็ยังได้ว่าจ้าง " กัปตันคัมมิ่ง" และคณะนายทหาร เรืออังกฤษ เป็นผู้เดินเรือ ภายหลังจากที่พล.ร.อ. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ สำเร็จการศึกษา และเข้ารับราชการ ทหารเรือแล้ว พระองค์ได้แก้ไข ปรับปรุงระเบียบการ  ในโรงเรียนนายเรือ ทรงเป็นครูสอนนักเรียนนายเรือ และริเริ่มการใช้ ระบบการปกครองบังคับบัญชา ตามระเบียบ การปกครองในเรือรบ คือการแบ่งให้นักเรียนชั้นสูง บังคับบัญชารองลงมา นอกจากนี้ยังทรงจัดเพิ่ม วิชาสำคัญสำหรับชาวเรือขึ้นเพื่อให้สำเร็จการศึกษา สามารถเดินเรือ ทางไกลในทะเลน้ำลึกได้คือ วิชา ดาราศาสตร์ ตรีโกณมิติ อุทกศาสตร์ การเดินเรือเรขาคณิต พีชคณิต ฯลฯ

 

 ในปี 2462 พระองค์ทรงเป็นผู้บังคับการเรือ โดยนำเรือหลวงพระร่วงจากประเทศอังกฤษ เข้ามายังกรุงเทพมหานคร นับเป็นครั้งแรกที่นายทหารเรือไทย เดินเรือได้ไกลข้ามทวีป ที่สำคัญพระองค์ทรงเป็นหัวเรี่ยวหัวเเรงที่สำคัญ

ที่ทำให้พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ทรงเห็นความสำคัญ และโปรดเกล้าฯ พระราชทาน พระราชวังเดิม ให้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนนายเรือ เมื่อ วันที่  20  พ.ย. 2449 ทำให้กิจการทหารเรือมี รากฐานมั่นคงนับตั้งแต่บัดนั้น

และกองทัพเรือจึงยึดถือ วันดังกล่าวของทุกปีเป็น "วันกองทัพเรือ" จากการที่พระองค์ ทรงเป็นนักยุทธศาสตร์ ที่เล็งเห็นการไกล พระองค์ได้ทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานที่ดินบริเวณอำเภอสัตหีบ เพื่อสร้างเป็นฐานทัพเรือ

เนื่องจากทรงพิจารณาแล้วเห็นว่า อ่าวสัตหีบเป็นอ่าว ที่มีขนาดใหญ่ น้ำลึกเหมาะแก่การฝึกซ้อม ยิงตอร์ปิโดได้และเกาะน้อยใหญ่ ที่รายล้อมรอบสามารถบังคับคลื่นลมได้เป็นอย่างดี อีกทั้งเรือภายนอกเมื่อแล่นผ่าน

พื้นที่ดังกล่าว จะไม่สามารถมองเห็นฐานทัพได้เลย นอกจากพระองค์ ทรงเป็นนักยุทธศาสตร์แล้ว ด้านการแพทย์พระองค์

ทรงศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง และเสด็จไปรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ให้กับประชาชนด้วยพระองค์เอง ไม่ว่าเป็นคนไทยหรือคนจีน จนกระทั่งชาวจีนย่านสำเพ็ง มีความทราบซึ้ง ในพระกรุณาธิคุณ  และได้เรียกพระองค์ท่านว่า "เตี่ย" ซึ่งหมายถึงพ่อ

ทำให้ในเวลาต่อมาทหารเรือได้เรียกพระองค์ว่า "เสด็จเตี่ย" สำหรับในหมู่คนไข้ชาวไทย ที่พระองค์รักษานั้น มักจะเรียกขานนามพระองค์ว่า "หมอพร"

 

พล.อ.ร.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงประชวร และสิ้นพระชนม์ ในขณะที่ประทับอยู่ที่หาดทรายรี ปากน้ำเมืองชุมพร เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2466 เวลา 11.40 น. ยังความโศกเศร้ามาสู่บรรดาทหารเรือยิ่งนัก

 

 

บันทึกของเสด็จใน

กรมหลวงชุมพร เขตรอุดมศักดิ์

 

เจอบันทึกนี้ให้เอาคำต่อไปนี้ของกูไปประกาศให้คนรู้ว่า

"กูกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักด์"

ผู้เป็นโอรสของพระปิยมหาราช ขอประกาศให้พวกมึงรับรู้ไว้ว่า

แผ่นดินสยามนี้ บรรพบุรุษ ได้เอาเลือดเอาเนื้อเอาชีวิตแลกไว้

ไอ้อีมันผู้ใด คิดชั่วร้ายทำลายแผ่นดิน ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ฤา กระทำการทุจริต ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อส่วนรวม

จงหยุดการกระทำนั้นเสียโดยเร็ว

ก่อนที่ที่กูจะสั่งทหารผลาญสิ้นทั้งโคตรให้หมดเสนียดของแผ่นดินสยาม

อันเป็นที่รักของกู

ตราบใดที่คำว่า "อาภากร"

ยังยืนหยัดอยู่ในโลก กูจะรักษาผืนแผ่นดินสยามของกู

ลูกหลานทั้งหลาย แผ่นดินใดให้เรากำเนิดมา

มิให้อนาทรร้อนใจ จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้น

แผ่นดินใดที่ให้ซุกหัวนอน ให้ความร่มเย็นเป็นสุข

มิให้อนาทรร้อนใจ จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้น

 

จากหนังสืออนุสรณ์พระนคร '39

 

   แม้นว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์มาเป็นเวลานานแล้วก็ตาม

แต่พระราชกรณียกิจและคุณงามความดีของพระองค์

ที่ทรงมีต่อประเทศชาตินั้น  ยังคงจารึกไว้ในความทรงจำ

ของปวงชนชาวไทยอยู่อย่างมิลืมเลือน

ความเลื่อมใสศรัทธาของชาวไทยที่มีต่อพระองค์นั้น

จะเห็นได้จากอนุสาวรีย์และศาลของพระองค์ที่มีมากมาย

ทั่วประเทศกว่า  120  แห่ง

624
ผมก็เคยสักกับ อ.หนวด ได้เสือเผ่นที่หน้าอก ได้ฤาษี พระพิศเนส

625
หลวงพ่อจง พุทธสโร

วัดหน้าต่างนอก

**************************************

คัดลอกมาจาก http://www.konmeungbua.com/teacher/teacher_jong/Lungpo_jong2.html

ชาติกำเนิด

หลวงพ่อจง พุทฺธสโร ท่านได้ถือกำเนิดที่ตำบลหน้าไม้ อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในต้นสมัยรัชกาลที่ 5 ของราชวงศ์จักรี ท่านเกิดในวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 4 ปีวอก ซึ่งตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม 2415

นามเดิมของท่านชื่อว่า "จง" ในสมัยนั้นยังไม่มีการใช้นามสกุล เลยยังไม่มีนานสกุลพ่วงท้ายชื่อ เป็นบุตรชายคนโตของ "นายยอด" และ "นางขลิบ" ที่มีอาชีพเป็นชาวนา หลวงพ่อจงท่านมีน้องร่วมอุทรเดียวกันอีก 2 คน คือ "นายนิล" หรือ "พระอธิการนิล" และ "นางปลิก"

ชีวิตในวัยเยาว์ของหลวงพ่อจงท่านอยู่ในฐานะเฉกเช่นผู้อาภัพอับโชค อุดมไปด้วยทุกขโรคา มากกว่าความสุขร่าเริงสดใสเหมือนกับเด็กในวัยเดียวกันทั่วไป

หลวงพ่อจงท่านถูกโรคพยาธิเบียดเบียนมาตั้งแต่เล็ก จึงทำให้มีรูปร่างค่อนข้างจะผอมโซ ไม่แข็งแรง หน้าตาซีดเซียว แถมยังมีอุปนิสัยค่อนข้างขี้อาย เซื่องซึม ขาดความกระตือรือร้น ชอบเก็บตัวอยู่ตามลำพังคนเดียว ไม่ค่อยพูดคุยกับใคร ถามมาคำก็ตอบกลับไปคำ และซ้ำร้ายไปกว่านั้นได้กลายเป็นที่น่าเวทนาสำหรับผู้พบเห็นและรู้จักมักคุ้นก็คือหลวงพ่อจงในวัยเยาว์ท่านมีอาการหูอื้อจนเกือบหนวกรับฟังเสียงต่าง ๆ ไม่ค่อยชัดเจน นัยน์ตาก็ฝ้าฟางมองอะไรแทบไม่เห็น

แต่ด้านของจิตใจท่านกลับเพียรใฝ่หารสพระธรรม ชอบทำบุญตักบาตรในวันธรรมสวนะอยู่เป็นเนืองนิจ โดยให้บิดามารดาหรือญาติพี่น้องพอไปยังวัดหน้าต่างใน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก

เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์
จวบจนกระทั่งอายุของหลวงพ่อจงอายุได้ 12 ปี บิดามารดาของท่านเห็นถึงอุปนิสัยของท่านว่ามีความชอบวัด ติดวัด จึงนำเข้าบรรพชาเป็นสามเณรซะเลย ณ วัดหน้าต่างใน และก็ช่างเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง เพราะปรากฏว่าเมื่อท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรแล้ว โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ที่รุมเร้ามานานแรมปี ไม่ว่าจะเป็นโรคพยาธิ ที่ทำให้เกิดอาการผอมโซ เซื่องซึม หูอื้อ นัยน์ตาฝ้าฟาง ก็ได้หายไปจนหมดสิ้น ท่านกลับกลายเป็นผู้ที่มีสุขภาพพลานามัยดีมาก และท่านก็มีความสุขในสมณเพศนั้น ดุจดั่งเป็นนิมิตหมายให้รู้ว่า หลวงพ่อจงจะต้องครองเพศอยู่ใต้ร่มผ้ากาสาวพัสตร์ไปจนชีวิตจะหาไม่

ในปี พ.ศ. 2435 เมื่ออายุครบบวช โยมบิดามารดาจึงได้จัดพิธีอุปสมบทให้ ณ พัทธสีมาวัดหน้าต่างใน โดยมี หลวงพ่อสุ่น เจ้าอาวาสวัดบางปลาหมอ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์อินทร์ เจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์โพธิ วัดหน้าต่างใน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "พุทฺธสโรภิกขุ"

และหลวงพ่อจงก็ได้พนักจำพรรษาอยู่ ณ วัดหน้าต่างใน ศึกษาพระปริยัติธรรมและธรรมสิกขา พร้อมด้วยฝึกฝนในอักษรสมัยทั้งขอมและไทย จากพระอาจารย์เจ้าอาวาสจนมีความรู้ปราดเปรื่องชำนาญ จนใคร ๆ ก็อดสงสัยมิได้ว่า เอ๊ะ ทำไมหลวงพ่อจง มิยังงมโข่งหรืออุ้ยอ้ายอับปัญญาดุจดั่งที่มีบุคลิกอันอ่อนแอ ส่อสำแดงว่าน่าจะเป็นไปในทางทึบ หรือ อับ

หลวงพ่อจง พลิกความเข้าใจของโยมและวงศ์ญาติให้เป็นการกลับตาลปัตรไปไกลกว่านั้น โดยนอกจากศึกษารู้แจ้งในพระธรรมและภาษาหนังสือจนแตกฉานแล้ว มิช้ามินาน ยังสามารถรับการถ่ายทอดวิทยาการในแขนงว่าด้วยคุณเวทย์วิทยาคมขลัง จากพระอาจารย์โพธิ เจ้าอาวาสวัดหน้าต่างใน ซึ่งท่านเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง มีผู้ศรัทธาเลื่อมใสไพศาลในยุคนั้น มาได้ขนาดว่าหมดสิ้นพุงความรู้ของพระอาจารย์ และก็มิได้หยุดยั้งแค่นั้น หลวงพ่อจงยังได้พากเพียรแสวงหาความรู้ไม่ขาด รู้ว่าที่ไหนมีพระอาจารย์ดี มีผู้เคารพนับถือมาก ในวิชาหรือเจนบจนในวิทยาการหนึ่งวิทยาการใด ท่านเป็นเสาะแสวงหาหนทางนำตนไปนมัสการน้อมยอมเป็นสานุศิษย์ ศึกษาวิชาอย่างไม่มีท้อถอยไม่มีกลัวความลำบาก ในการต้องบุกป่าฝ่าหนามข้ามทุ่งไกล ๆ ซึ่งสมัยนั้นไปไหนต้องใช้พาหนะเท้าย่ำกันเป็นหลัก

ต่อมาจึงได้ไปศึกษาเรียนวิชาปฏิบัติกรรมฐานจากพระอาจารย์หลวงพ่อปั้น เกจิอาจารย์ของวัดพิกุล ซึ่งท่านมีชื่อเสียงกิตติศัพท์โด่งดังมากจนสมญาว่า เป็นพระมหาเถระฝ่ายอรัญญาวาสีผู้ยิ่งใหญ่รูปหนึ่งหมั่นศึกษาและพากเพียรด้วยอิทธิบาทอันแก่กล้าช้านาน

จนในที่สุด "ทั่ง" ถูกฝนลงเป็นเข็มสำเร็จ กาลต่อมา หลวงพ่อจงจึงได้รับขนานนามเป็นผู้เชี่ยวชาญทางเจริญกรรมฐาน ประเภท อสุภปฏิกูล โดยที่ท่านมีบุคลิกภาพเปี่ยมพร้อมสมบูรณ์ สำหรับการปฏิบัติเจริญภาวนา เหมาะสมกับสภาวะนั้นได้ ด้วยปราศจากอารมณ์หวาดหวั่น หวาดไหว เป็นต้น เปี่ยมพร้อมด้วย มีองค์คุณอันเหมาะสมที่เรียกว่า สัปปายะ (สี่) และมี องค์คุณอันเป็นที่ตั้งของความเพียร (ห้า) ที่เรียกว่า ปธานิยังคะ

เมื่อได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมสิกขา และปฏิบัติพระปริยัติธรรมศึกษาพระเวทย์และวิชาการคุณเวทย์วิทยาคม ซึ่งมีความสนใจเป็นพิเศษ เพราะนอกจากมีนิสัยส่วนตัวพอใจแล้ว ยังมีเหตุแวดล้อมจากความรู้สึกชมชื่นและศรัทธาของชาวบ้านชาวเมืองสมัยยุคนั้นให้ความนิยมต่อศาสตร์แขนงนี้ ดังจะเห็นจากมีผู้ถวายความเคารพศรัทธาต่อความเป็นพหูสูต ความยิ่งยงเกรียงไกรในอำนาจฤทธิ์มนต์ขลังของท่านพระครูโพธิ ท่านเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างใน ซึ่งครั้งกระนั้นเป็นต้นสังกัดของหลวงพ่อจงจนล่วงผ่านวันเดือนไปหลายรอบปีนักษัตร ตราบจนพระอาจารย์โพธิได้ถึงมรณภาพไปเพราะโรคภัยเบียดเบียนตามอายุขัยของผู้ชราภาพ ประกอบด้วยหลวงพ่อจง เป็นผู้ขึ้นชื่ออยู่ในความรับรู้ของผู้ใกล้ชิด ทั้งใกล้ไกลตลอดมวลหมู่ผู้สนใจเฝ้าสังเกตว่า ได้รับการถ่ายทอดวิทยาการทางเวทย์วิทยาคมมาจากพระอาจารย์โพธิได้อย่างเต็มภาคภูมิ วุฒิที่พระอาจารย์โพธิมีอยู่ แต่นั้นมาบรรดาชาวบ้านก็ให้ความศรัทธาเชื่อมั่นต่อหลวงพ่อจงอย่างท่วมท้น ทำให้ท่านต้องรับภาระหนักในการทำพิธีรดน้ำมนต์ ใช้เวทย์วิทยาคมกระทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ให้ฤกษ์งามยามดี บำบัดเหตุมิดีกาลีร้ายนานาประการ ตามแต่จะมีผู้มาอาราธนานิมนต์ให้โปรดจึงกระทำให้ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นเงาตามตัว



ในขบวนการใช้อุบายอันแยบคาย อบรมบ่มจิตให้ได้รับความสงบจนบังเกิดเป็นสมาธิและฌาน (สมถะกัมมัฏฐาน หรือเรียกว่าสมถะกรรมฐาน) กับอาการบอรมจนให้ดวงจิตบังเกิดปัญญาที่เรียกว่า วิปัสสนากรรมฐาน (กัมมัฏฐาน) หลวงพ่อจงพอใจชอบใช้ฝึกจิตในแนวทางเรียกว่า อสุภะ

อสุภะ ตามความหมายก็คือ หมายความถึง สิ่งอันเป็นซากของวัตถุหรือซากร่างปราศจากชีวิต อันไร้ความน่าดู ปราศจากความสวยงามตรงข้ามกลับน่ารังเกียจ น่าเบื่อหน่าย และน่าขยะแขยงสะอิดสะเอียน หลวงพ่อจงพอใจใช้วิธีการ เพ่งอสุภะ เป็นแนวทางอบรมบ่มจิต ก็เพราะได้ความคิดว่า มันเป็นการช่วยให้ตนสามารถมองเห็นชัดด้วยตา และบังเกิดความรู้สึกในใจให้คิดสังเวชอย่างซาบซึ้งถึงความจริงในข้อที่ว่าตนและสรรพสัตว์ เมื่อต้องมีอันต้องตายไปแล้วก็ต้องมีสภาพน่าอเนจอนาถไม่น่าดู ไม่น่ารัก แต่น่าชัง น่ารังเกียจ ทุเรศ อุจาดตา ดังนี้ด้วยกันทั้งนั้นและเป็นสิ่งที่ไม่มีใครหนีพ้น ซึ่งจากข้อคิดนี้ จะทำให้ดวงจิตแห้งแล้งหดหู่ ปราศจากความร่านยินดีในรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ ปราศจากความหลงงมงาย คิดว่าร่างกายเป็นสิ่งสวยงาม จะได้เป็นเครื่องบรรเทาอัสมิมานะ คือ ความสำคัญผิด เพ้อเห็นไปว่าร่างกายนั้นมันเป็นตัวตนของเขาของเราจริงแท้ ซึ่งความจริงมันมิใช่ ความจริงมันเป็นเพียง อัตตะปราศจากตัวตน เป็นที่รวมอยู่ของธาตุทั้งห้าชั่วครั้งคราว โดยสภาวะปรุงแต่งแวดล้อม ครั้นถึงกาลเวลาก็แตกดับล่วงลับสลายไป ไม่เป็นเขาไม่เป็นเรา ดังนั้น หลงและโลภในรูปรส กลิ่น เสียง

หลวงพ่อจงชอบเพ่งมอง อสุภะ คือ รูปเน่าเปื่อยของศพที่มีผู้เอามามอบให้ และท่านเก็บไว้ในห้องที่จัดไว้พิเศษโดยเฉพาะอย่างซ่อนเร้น มิให้ประเจิดประเจ้อต่อการรู้เห็นของผู้อื่น ท่านจะใช้เวลายามปลอดและสงัดจากผู้คนเข้าไปในห้องพิเศษพร้อมด้วยดวงเทียนที่มีแสงสว่างเพียงมองเห็น ท่านจะนั่งเฝ้าเพ่งมองดูรูปศพคนตาย ไม่เลือกว่าจะเป็นศพขึ้นอืดจนเป็นน้ำเหลืองหยด มีกลิ่นเหม็น หรือเป็นซากศพแห้งเหี่ยวจนหน้าตาน่าเกลียดเพียงใด ท่านก็จะเฝ้าจ้องมองเพ่งดูอย่างจริงจัง เพ่งมองให้เป็นภาพติดตา จนจำขึ้นใจว่า ศพนั้นท่าทางรูปร่างเป็นอย่างนั้น แห้งเหี่ยวเป็นรอยย่นผิดหน้าตามนุษย์ธรรมดายังงั้นยังงี้ หรือมีน้ำเหลืองหยดเพราะอาการเน่าเปื่อยตรงนั้นตรงนี้ พร้อมกันนั้นก็กระทำจิตใจให้บังเกิดอารมณ์สังเวช ว่ารูปกายที่เกิดมาแล้วก็ต้องถึงวาระมีอันเป็นไปให้เจ็บป่วย ถูกทำร้ายหรือยังเกิดอุบัติเหตุเป็นภัยอันตรายถึงตาย ตายแล้วก็มีอาการน่าอเนจอนาถต่าง ๆ นานา เป็นเช่นนี้เสมอไป ร่างกายหนอ... ชีวิตหนอ... ต่างล้วนเป็นภาพน่าอนาถ น่าสังเวช น่าชิงชัง น่าเบื่อด้วยกันทั้งนั้น

เมื่อมีผู้สงสัยถามว่า ทำดังนี้และปลงอารมณ์ได้ดังนี้แล้ว จะบังเกิดประโยชน์อะไร หลวงพ่อจงให้คำตอบว่าได้ประโยชน์คือ ทำให้ไม่หลงใหลรักตัวตนว่าเป็นตัวตนของเขาของเรา มันเป็นแค่ชีวิตกายเกิดที่ก่อสารรูปขึ้นได้ด้วยสภาวะแวดล้อมของธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ เช้ารวมตัวกัน ความคิดเห็นแก่ตนเอง เอาเปรียบเบียดเบียนผู้อื่น จะหย่อนหายไปจากสันดานโลภโมโทสัน เป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งขัดเกลาสันดานจิตใจ ให้ผ่องใสสะอาด หากมนุษย์อันเป็นตัวสมมติของกาย เกิดไม่หลงนึกแยกประเภทของกายเกิด ว่านั่นเป็นเขา นี่เป็นเรา ดังนี้แล้ว การอยู่ร่วมกันในสังคม บ้านเมือง ตลอดทั่วโลก ก็จะมีแต่ความสงบสุข ไม่ต้องมีการดิ้นรนจองล้างจองผลาญย่ำยีต่อกันและกัน

หลวงพ่อจงเป็นผู้มีกำลังหนุนมั่นคงด้วยการใช้แรงอิทธิบาทสี่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา เข้าปฏิบัติกระทำในกิจการไม่ว่าสิ่งใดที่สนใจ ตลอดจนการท่องบ่นทบทวนวิทยาคมที่พระอาจารย์โพธิ์ประสิทธิ์ประสาทให้ไม่ย่อท้อ ท่านได้พากเพียรกระทำสม่ำเสมออยู่เป็นนิจ ด้วยความมานะแรงกล้า

ยิ่งนานวันนานคืนล่วงไป ภูมิจิตของท่านก็เพิ่มพลังความชำนาญจนเข้าขั้นนับว่าเป็นผู้ได้ฌานสมาบัติขั้นสูงผู้หนึ่ง


626
ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย
     
      ท่านกำเนิดในสกุลแก่นแก้ว บิดาชื่อคำด้วง มารดาชิ่อจันทร์ เพียแก่นท้าว เป็นปู่นับถือพุทธศาสนา เกิดวันพฤหัสบดี เดือนยี่ ปีมะแม ตรงกับวันที่ ๒๐ เดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๑๓ ณ บ้านคำบง ตำบลโขงเจียม อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน ๗ คน ท่านเป็นบุตรคนหัวปี ท่านเป็นคนร่างเล็ก ผิวดำแดง แข็งแรงว่องไว สติปัญญาดีมาแต่กำเนิด ฉลาดเป็นผู้ว่านอนสอนง่าย ได้เรียนอักษรสมัยในสำนักของอา คือ เรียนอักษรไทยน้อย อักษรไทย อักษรธรรม และอักษรขอมอ่านออกเขียนได้ นับว่าท่านเรียนได้รวดเร็ว เพราะ มีความทรงจำดีและขยันหมั่นเพียร ชอบการเล่าเรียน ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรมและปฏิปทา
     
      เมื่อท่านอายุได้ ๑๕ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรในสำนักบ้านคำบง ใครเป็นบรรพชาจารย์ไม่ปรากฏ ครั้นบวชแล้วได้ศึกษาหาความรู้ทางพระศาสนา มีสวดมนต์และสูตรต่างๆ ในสำนักบรรพชาจารย์ จดจำได้รวดเร็ว อาจารย์เมตตาปราณีมาก เพราะเอาใจใส่ในการเรียนดี ประพฤติปฏิบัติเรียบร้อย เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้ เมื่อท่านอายุได้ ๑๗ บิดาขอร้องให้ลาสิกขาเพื่อช่วยการงานทางบ้าน ท่านได้ลาสิกขาออกไปช่วยงานบิดามารดาเต็มความสามารถ
     
      ท่านเล่าว่า เมื่อลาสิกขาไปแล้วยังคิดที่จะบวชอีกอยู่เสมอไม่เคยลืมเลย คงเป็นเพราะอุปนิสัยในทางบวชมาแต่ก่อนหนหนึ่ง อีกอย่างหนึ่ง เพราะติดใจในคำสั่งของยายว่า ?เจ้าต้องบวชให้ยาย เพราะยายก็ได้เลี้ยงเจ้ายาก? คำสั่งของยายนี้คอยสกิดใจอยู่เสมอ
     
      ครั้นอายุท่านได้ ๒๒ ปี ท่านเล่าว่า มีความยากบวชเป็นกำลัง จึงอำลาบิดามารดาบวช ท่านทั้งสองก็อนุมัติตามประสงค์ ท่านได้ศึกษา ในสำนักท่านอาจารย์เสาร์ กันตสีลเถระ วัดเลียบ เมืองอุบล จังหวัดอุบลราชธานี ได้รับอุปสมบทกรรมเป็นภิกษุภาวะในพระพุทธศาสนา ณ วัดศรีทอง(วัดศรีอุบลรัตนาราม) อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี พระอริยกวี (อ่อน) เป็นพระอุปัชฌายะ มี พระครูสีทา ชยเสโน เป็นพระกรรมวาจาย์ และพระครูประจักษ์อุบลคุณ (สุ่ย) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๖ พระอุปัชฌายะขนานนามมคธ ให้ว่า ภูทตฺโต เสร็จอุปสมบทกรรมแล้ว ได้กลับมาสำนักศึกษาวิปัสสนาธุระ กับ พระอาจารย์เสาร์ กันตศีลเถระ ณ วัดเลียบต่อไป
     
      เมื่อแรกอุปสมบท ท่านพำนักอยู่วัดเลียบ เมืองอุบลเป็นปกติ ออกไปอาศัยอยู่วัดบูรพาราม เมืองอุบลบ้าง เป็นครั้งคราว ในระหว่างนั้น ได้ศึกษาข้อปฏิบัติเบื้องต้น อันเป็นส่วนแห่งพระวินัย คือ อาจาระ ความประพฤติมารยาท อาจริยวัตร แล้อุปัชฌายวัตร ปฏิบัติได้เรีบยร้อยดี จนเป็นที่ไว้วางใจของพระอุปัชฌาจารย์ และได้ศึกษาข้อปฏิบัติอบรมจิตใจ คือ เดินจงกลม นั่งสมาธิ สมาทานธุดงควัตร ต่างๆ
     
      ในสมัยต่อมา ได้แสวงหาวิเวก บำเพ็ญสมณธรรมในที่ต่างๆ ตามราวป่า ป่าช้า ป่าชัฎ ที่แจ้ง หุบเขาซอกห้วย ธารเขา เงื้อมเขา ท้องถ้ำ เรือนว่าง ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงบ้าง ฝั่งขวาแม่น้ำโขงบ้าง แล้วลงไปศึกษากับนักปราชญ์ในกรุงเทพฯ จำพรรษาอยู่ที่วัดปทุมวนาราม หมั่นไปสดับธรรมเทศนา กับ เจ้าพระคุณพระอุบาลี (สิริจันทเถระ จันทร์) ๓ พรรษา แล้วออกแสวงหาวิเวกในถิ่นภาคกลาง คือ ถ้ำสาริกา เขาใหญ่ นครนายก ถ้ำไผ่ขวาง เขาพระงาม แล ถ้ำสิงโตห์ ลพบุรี จนได้รับความรู้แจ่มแจ้ง ในพระธรรมวินัย สิ้นความสงสัย ในสัตถุศาสนา จึงกลับมาภาคอีสาน ทำการอบรมสั่งสอน สมถวิปัสสน าแก้สหธรรมิก และอุบาสกอุบาสิกาต่อไป มีผู้เลื่อมใสพอใจปฏิบัติมากขึ้น โดยลำดับ มีศิษยานุศิษย์แพร่หลาย กระจายทั่วภาคอีสาน
     
      ในกาลต่อมา ได้ลงไปพักจำพรรษาที่วัดปทุมวนาราม กรุงเทพฯ อีก ๑ พรรษา แล้วไปเชียงใหม่กับ เจ้าพระคุณอุบาลีฯ (สิริจันทรเถระ จันทร์) จำพรรษาวัดเจดีย์หลวง ๑ พรรษา แล้วออกไปพักตามที่วิเวกต่างๆ ในเขตภาคเหนือหลายแห่ง เพื่อสงเคราะห์สาธุชนในที่นั้นๆ นานถึง ๑๑ ปี จึงได้กลับมา จังหวัดอุบลราชธานี พักจำพรรษาอยู่ที่ วัดโนนนิเวศน์ เพื่ออนุเคระาห์สาธุชนในที่นั้น ๒ พรรษา แล้วมาอยู่ในเขตจังหวัดสกลนคร จำพรรษาที่ วัดป่าบ้านนามน ตำบลตองขอบ อำเภอเมืองสกลนคร (ปัจจุบันคือ อำเภอโคกศรีสุพรรณ) ๓ พรรษา จำพรรษาที่ วัดหนองผือ ตำบลนาใน อำเภอเมืองพรรณานิคม ๕ พรรษา เพื่อสงเคราะห์สาธุชนในถิ่นนั้น มีผู้สนใจในธรรมปฏิบัติ ได้ติดตามศึกษาอบรมจิตใจมากมาย ศิษยานุศิษย์ของท่าน ได้แพร่กระจายไปทั่วทุกภาคของประเทศไทย ยังเกียรติคุณของท่าน ให้ฟุ้งเฟื่องเลื่องลือไป

ธุดงควัตรที่ท่านถือปฏิบัติเป็นอาจิณ ๔ ประการ
     
      ๑.ปังสุกุลิกังคธุดงค์ ถือนุ่งห่มผ้าบังสกุล นับตั้งแต่วันอุปสมบทมาตราบจนกระทั่งถึงวัยชรา จึงได้ผ่อนให้คหบดีจีวรบ้าง เพื่ออนุเคราะห์แก่ผู้ศรัทธานำมาถวาย
      ๒.บิณฑบาติกังคธุดงค์ ถือภิกขาจารยวัตร เที่ยวบิณฑบาตมาฉันเป็นนิตย์ แม้อาพาธ ไปในละแวกบ้านไม่ได้ ก็บิณฑบาตในเขตวัด บนโรงฉัน จนกระทั่งอาพาธ ลุกไม่ได้ในปัจฉิมสมัย จึงงดบิณฑบาต
      ๓.เอกปัตติกังคธุดงค์ ถือฉันในบาต ใช้ภาชนะใบเดียวเป็นนิตย์ จนกระทั่งถึงสมัยอาพาธในปัจฉิมสมัย จึงงด
      ๔.เอกาสนิกังคธุดงค์ ถือฉันหนเดียวเป็นนิตย์ ตลอดเวลา แม้อาพาธหนักในปัจฉิมสมัย ก็มิได้เลิกละ ส่วนธุดงควัตรนอกนี้ ได้ถือปฏิบัติเป็นครั้งคราว ที่นับว่าปฏิบัติได้มาก ก็คือ อรัญญิกกังคธุดงค์ ถืออยู่เสนาสนะป่าห่างบ้านประมาณ ๒๕ เส้น หลีกเร้นอยู่ในที่สงัดตามสมณวิสัย เมื่อถึงวัยชรา จึงอยู่ในเสนาสนะ ป่าห่างจากบ้านพอสมควร ซึ่งพอเหมาะกับกำลัง ที่จะภิกขาจารบิณฑบาต เป็นที่ที่ปราศจากเสียงอื้ออึง ประชาชนเคารพยำเกรง ไม่รบกวน นัยว่า ในสมัยที่ท่านยังแข็งแรง ได้ออกจาริกโดดเดี่ยว แสวงวิเวกไปในป่าดงพงลึก จนสุดวิสัยที่ศิษยานุศิษย์จะติดตามไปถึงได้ก็มี เช่น ในคราวไปอยู่ภาเหนือ เป็นต้น ท่านไปวิเวกบนเขาสูง อันเป็นที่อยู่ของพวกมูเซอร์ ยังชาวมูเซอร์ที่พูดไม่รู้เรื่องกัน ให้บังเกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนาได้
     
      ธรรมโอวาท
     
      คำที่เป็นคติ อันท่านอาจารย์กล่าวอยู่บ่อยๆ ที่เป็นหลักวินิจฉัยความดีที่ทำ
      ด้วยกาย วาจา ใจ แก่ศิษยานุศิษย์ดังนี้
     
      ๑. ดีใดไม่มีโทษ ดีนั้นนับว่าเลิศ
      ๒. ได้สมบัติทั้งปวง ไม่ประเสริฐเท่าได้ตน เพราะตัวตนเป็นที่เกิดแห่งสมบัติทั้งปวง
     
      เมื่อท่านอธิบาย ตจปัญจกกรรมฐาน จบลง มักจะกล่าวเตือนขึ้นเป็นคำกลอนว่า ?แก้ให้ตกเน้อ แก้บ่ตก คาพกเจ้าไว้ แก้บ่ได้ แขวนคอต่องแต่ง แก้บ่พ้น คาก้นย่างยาย คาย่างยาย เวียนตายเวียนเกิด เวียนเอากำเนิดในภพทั้งสาม ภาพทั้งสามเป็นเฮือน เจ้าอยู่? ดังนี้
     
      เมื่อคราวท่านเทศนาสั่งสอนพระภิกษุ ผู้เป็นสานุศิษย์ถือลัทธิฉันเจ ให้เข้าใจทางถูก และ ละเลิกลัทธินั้น ครั้นจบลงแล้ว ได่กล่าวเป็นคติขึ้นว่า ?เหลือแต่เว้าบ่เห็น บ่อนเบาหนัก เดินบ่ไปตามทาง สิถืกดงเสือฮ้าย? ดังนี้แล การบำเพ็ญสมาธิ เอาแต่เพียงเป็นบาทของวิปัสสนา คือ การพิจารณาก็พอแล้ว ส่วนการจะอยู่ในวิหารธรรมนั้น ก็ให้กำหนดรู้ ถ้าใครกลัวตาย เพราะบทบาททางความเพียร ผู้นั้น จะกลับมาตายอีก หลายภพหลายชาติ ไม่อาจนับได้ ส่วนผู้ใดไม่กลัวตาย ผู้นั้นจะตัดภพชาติให้น้อยลง ถึงกับไม่มีภพชาติเหลืออยู่ และผู้นั้นแล จะเป็นผู้ไม่กลับหลังมาหาทุกข์อีก ธรรมะเรียนมาจากธรรมชาติ เห็นความเกิดแปรปรวนของสังขาร ประกอบด้วยไตรลักษณ์ ปัจฉิมโอวาท ของ พระพุทธเจ้าโดยแท้ๆ ถ้าเข้าใจในโอวาทปาฏิโมกข์ ท่านพระอาจารย์มั่นแสดงโดย ยึดหลักธรรมชาติของศีลธรรมทางด้านการปฏิบัติ เพื่อเตือนนักปฏิบัติทั้งหลาย ท่านแสดงเอาแต่ใจความว่า..
     
      การไม่ทำบาปทั้งปวงหนึ่ง การยังกุศล คือ ความฉลาดให้ถึงพร้อมหนึ่ง การชำระจิตใจของตนให้ผ่องแผ้วหนึ่ง......
     
      นี้แล คือ ตำสอนทั้งหลายของพระพุทธเจ้า
      การไม่ทำบาป...ถ้าทางกายไม่ทำ แต่ทางวาจาก็ทำอยู่ ถ้าทางวาจาไม่ทำ แต่ทางใจก็ทำ
      สั่งสมบาปตลอดวัน จนถึงเวลาหลับ พอตื่นจากหลับ ก็เริ่มสั่งสมบาปต่อไป จนถึงขณะหลับอีก เป็นทำนองนี้ โดยมิได้สนใจว่า ตัวทำบาป หรือ สั่งสมบาปเลย แม้กระนั้น ยังหวังใจอยู่ว่า ตนมีศีลธรรม และ คอยแต่เอาความบริสุทธิ์ จากความมีศีลธรรม ที่ยังเหลือแต่ชื่อเท่านั้น ฉะนั้น จึงไม่เจอความบริสุทธิ์ กลับเจอแต่ความเศร้าหมอง ความวุ่นวายในใจตลอดเวลา ทั้งนี้เพราะ ตนแสวงหาสิ่งนั้น ก็ต้องเจอสิ่งนั้น ถ้าไม่เจอสิ่งนั้น จะให้เจออะไรเล่า เพราะเป็นของที่มีอยู่ ในโลกสมมุติอย่างสมบูรณ์
     
      ท่านพระอาจารย์มั่น แสดงโอวาทธรรม ให้ปรากฏไว้ เมื่อครั้งท่านจำพรรษาอยู่ ณ วัดสระประทุม (ปัจจุบัน คือ วัดประทุมวนาราม) กรุงเทพมหานคร ซึ่งปัจจุบัน อาจค้นคว้าหาอ่านได้ไม่ง่ายนัก มีดังนี้
     
      นมตฺถุ สุคตสฺส ปญฺจธฺนกฺขนฺธานิ
     
      ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระสุคต บรมศาสดาศากยะมุนี สัมมาสัมพุทธเจ้า และ พระนวโลกุตตรธรรม ๙ ประการ และพระ อริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้านั้น
     


628
พระครูพิศิษฐ์อรรถการ (คล้าย จนฺทสุวณฺโณ)

พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์

เจ้าอาวาสวัดสวนขันและวัดพระธาตุน้อย



๑. สถานะเดิม

พระครูพิศิษฐ์อรรถการ เดิมชื่อ คล้าย สีนิล เกิดวันที่ 27 มีนาคม 2419 ตรงกับวันอังคาร ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 ปีชวด จ.ศ.1238 ร.ศ.95 ที่บ้านโคกทือ ตำบลช้างกลาง กิ่งอำเภอช้างกลาง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นบุตรของนายอินทร์ นางเหนี่ยว สีนิล มีพี่สาว 1 คน ชื่อนางเพ็ง

ลักษณะนิสัย เป็นคนมีมานะอดทน ขยันหมั่นเพียร อยู่ในโอวาทคำสั่งสอนของบิดามารดาและครูอาจารย์อย่างเคร่งครัด สุภาพ เรียบร้อย ว่านอนสอนง่าย นิสัยอ่อนโยนละมุนละไม จึงเป็นที่รักของบิดามารดา ครูอาจารย์และญาติมิตรเป็นอันมาก

เมื่ออายุ ๑๕ ปี ประสบอุบัติเหตุในการถางป่าทำไร่กระดูกปลายเท้า สามนิ้วแตกละเอียด รักษาไม่หาย ด้วยกำลังใจที่เด็ดเดี่ยว พ่อท่านคล้ายได้ใช้มีดตัดปลายเท้าออกด้วยตัวเอง และใช้ยาพอกจนหายเป็นปกติ

ขาของพ่อท่านคล้ายนั้นเสียข้างหนึ่ง คือ ขาด้านซ้ายขาดตั้งแต่ตาตุ่มลงไป  (เสียตั้งแต่สมัยเด็กๆ โดนต้นไม้ทับที่บ้านญาติของท่านที่ จ.กระบี่ ขาเป็นหนองเลยต้องตัดทิ้ง โดยท่านใช้มีดปาดตาลตัดเอง) ท่านเลยต้องใส่กระบอกไม้ไผ่แทน

พ่อท่านได้บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.2438 (อายุ 19 ปี) บรรพชาที่วัดจันดี ต.หลักช้าง บรรพชาโดยอาจารย์ พระอธิการจันเจ้าอาวาสวัดจันดี (ทุ่งปอน) และพ่อท่านสามารถท่อง พระปาฏิโมกข์จนได้แม่นยำ

เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี จึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ อุทกุกเขปสีมา หรือศาลาน้ำ ได้รับฉายาว่า จนฺทสุวณฺโณ โดยมีพระครูกราย คงคสุวณฺโณ เจ้าอาวาสวัดหาดสูง เป็นพระอุปัชฌาย์ แล้วได้ไปจำพรรษา อยู่ที่วัดทุ่งปอน หรือวัดจันดี

๒. การศึกษา

การศึกษาเบื้องต้น พระครูพิศิษฐ์อรรถการ เริ่มศึกษาเบื้องต้นที่บ้าน โดยบิดาเป็นผู้สอน เรียนวิชาคำนวณ และวิชาอักษรโบราณ จนสามารถอ่านออกเขียนชำนาญ ทั้งหนังสือไทยและหนังสือขอม ต่อมาศึกษาต่อในสำนักนายขำ ที่วัดทุ่งปอน บ้านโคกทือ จนจบหลักสูตร ต่อมาได้ไปฝึกหัดเล่นหนังตะลุงกับนายทองสาก ประกอบกับพ่อท่านคล้ายมีหน้าตาดี น้ำเสียงไพเราะ จึงมีคนติดใจการเล่นหนังตะลุงของท่านมากการศึกษาสมัยอุปสมบท เมื่อบวชเป็นพระสงฆ์ได้ศึกษาพระธรรมวินัย ศึกษาภาษาบาลี (มูลกัจจายนะ) ณ สำนักวัดหน้าพระบรมธาตุฯ โดยมีพระครูกาแก้ว (ศรี) เป็นอาจารย์ ต่อมาได้ศึกษาทางวิปัสสนากัมมัฎฐานที่สำนักวัดสามพัน อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีอาจารย์หนูเจ้าอาวาสเป็นผู้สอน

ผลงานและเกียรติคุณ
สมณศักดิ์

ได้เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรีที่พระครูพิศิษฐ์อรรถการในปี พ.ศ.๒๔๙๘ ต่อมาได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นพิเศษในนามสมณศักดิ์เดิม แต่ประชาชนทั่วไปเรียกท่านตามชื่อเดิมว่า พ่อท่านคล้าย

ตำแหน่ง

- ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสวนขัน ตำบลละอาย อำเภอฉวาง ใน พ.ศ. ๒๔๔๕ จนมรณภาพ

- เป็นเจ้าอาวาสวัดธาตุน้อย ใน พ.ศ.๒๕๐๐ เนื่องจากมีการสร้างถนนผ่านกลางวัดจันดีหรือวัดทุ่งปอน ทำให้วัดถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ประชาชนได้ประชุมตกลงสร้างวัดใหม่ในเนื้อที่ที่แยกออกไป เรียกว่า วัดพระธาตุน้อย และแต่งตั้งให้พระครูพิศิษฐ์อรรถการ เป็นเจ้าอาวาส เมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว วัดนี้ก็เป็นที่ประดิษฐานสรีระของท่านไว้ในโลงแก้ว

๓. ผลงานที่สำคัญ

๓.๑. งานด้านศาสนา

พระครูพิศิษฐ์อรรถการ เป็นผู้นำในการสร้างวัดพระเจดีย์ พระพุทธรูป และร่วมกันในการปฏิสังขรณ์บูรณะศาสนสถานเป็นจำนวนมาก ผลงานสำคัญ ดังเช่น

สร้างวัด พ่อท่านคล้ายเห็นความสำคัญของปูชนียสถาน จึงได้สร้างวัดขึ้นหลายแห่ง ได้แก่ วัดมะปรางงาม ตำบลละอาย อำเภอฉวาง ใน พ.ศ. ๒๔๙๐ ต่อมา พ.ศ. ๒๕๐๐ ทายาทอึ่งค่ายท่าย ถวายที่ดินใกล้ตลาดนาบอน จึงสร้างวัดขึ้นเรียกชื่อตามสมณศักดิ์ว่า วัดพิศิษฐ์อรรถการาม และวัดที่สำคัญที่สุดคือวัดพระธาตุน้อย หรือคนทั่วไปเรียกว่า วัดพ่อท่านคล้าย พระครูพิศิษฐ์อรรถการได้สร้างขึ้นใหม่ และสร้างเจดีย์องค์ใหญ่ไว้เป็นอนุสรณ์ โดยยึดรูปแบบมาจากวัดพระมหาธาตุทั้งหมด การก่อสร้างสำเร็จในปี พ.ศ. ๒๕๑๓

สร้างพระเจดีย์ พ่อท่านคล้ายได้สร้างพระเจดีย์ไว้หลายองค์ ได้แก่ เจดีย์วัดสวนขัน เจดีย์บ้านควรสวรรค์ ตำบลนาแว อำเภอฉวาง เจดีย์วัดยางค้อม อำเภอพิปูน และที่จังหวัดสุราษฏร์ธานี ได้แก่ เจดีย์วัดสวนขันอำเภอพระแสง และเจดีย์หน้าถ้ำขมิ้น บนภูเขาอำเภอนาสาร

๓.๒ งานด้านพัฒนาท้องถิ่น

พ่อท่านคล้าย จัดได้ว่าเป็นนักพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ตลอดชีวิต ทำงานโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ได้เดินทางไปพัฒนาในที่ต่าง ๆ มากมาย สร้างถนน สะพานมากมาย ด้วยเมตตาบารมีและความเคารพศรัทธาของศิษย์และประชาชน ดังเช่น

สร้างถนนเข้าวัดจันดี

ถนนจากตำบลละอายไปพิปูน

ถนนจากวัดสวนขันไปยังสถานีรถไฟคลองจันดี

ถนนจากตำบลละอายไปนาแว

ถนนระหว่างหมู่บ้านในตำบลละอาย

สะพานข้ามคลองคุดด้วนเข้าวัดสวนขัน

สะพานข้ามแม่น้ำตาปีจากตลาดทานพอไปนาแว

สะพานข้ามคลองเสหลา หน้าวัดมะปรางงาม

สะพานข้ามคลองจันดี เป็นต้น

๓.๓ ด้านความมีเมตตาและวาจาสิทธิ์

ศิษย์ยานุศิษย์และประชาชนที่เคารพนับถือ ศรัทธาพ่อท่านคล้ายได้เชื่อถือถึงความศักดิ์สิทธิ์ของวาจา พูดอย่างไรเป็นอย่างนั้น พ่อท่านคล้ายจะพูดจากับทุกคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและแจ่มใสอารมณ์เยือกเย็นอยู่ตลอดเวลา ท่านมักจะให้พรกับทุกคน "ขอให้เป็นสุข เป็นสุข" ผู้ที่เคารพนับถือท่านต่างพากันกลัวคำตำหนิ เพราะผู้ที่ถูกตำหนิทุกรายล้วนแต่พบความวิบัติ คนส่วนมากจึงหวังที่จะได้รับคำอวยพร เพราะคำเหล่านั้นเป็นการพยากรณ์ที่แม่นยำทั้งในทางดีและทางเสื่อมเสีย

คนที่ไปนมัสการหวังที่จะได้วัตถุมงคล บ้างขอน้ำมนต์ ชานหมาก แหวน ผ้ายันต์ เหรียญ รูปหล่อ รูปพิมพ์ ซึ่งพ่อท่านคล้ายก็ได้มีเมตตาให้กับทุกคน ยิ่งชานหมากของท่านหากใครได้รับจากมือท่านเป็นต้องหวงแหนอย่างที่สุด

มรณภาพ

พ่อท่านคล้ายมรณภาพด้วยโรคหืด เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ..ศ. ๒๕๑๓ รวมอายุได้ ๙๖ ปี เมื่อบำเพ็ญกุศลครบ ๑๐๐ วัน จึงได้บรรจุสรีระของท่านไว้ในโลงแก้ว ประดิษฐานอยู่ในองค์พระเจดีย์ในวัดพระธาตุน้อยจนถึงปัจจุบัน

a8a8a8a8a8a8a8a8a8a

ตามประวัติ พ่อท่านคล้าย ท่านมีความเคารพนับถือ พระเกจิอาจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งแม้จะไม่เคยพบเห็นหน้าตากันมาก่อนเลยก็ตาม พระเกจิอาจารย์ท่านนั้นคือ หลวงพ่อเฟื่อง วัดคงคาเลียบ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ตอนที่ หลวงพ่อเฟื่อง มรณภาพ ก็ได้ พ่อท่านคล้าย นี้แหละ เป็นผู้นำอัฐิของ หลวงพ่อเฟื่อง ขึ้นไปบรรจุไว้บน เจดีย์วัดคงคาเลียบ ที่ตั้งตระหง่านสูงเด่นอย่างสวยงามอยู่ริมถนนสายเอเซีย หาดใหญ่-พัทลุง ตราบเท่าทุกวันนี้

629
บ้านผมอยู่หนองแขม  ไม่ทราบว่าไปเอาที่บ้านพี่ได้หรือเปล่า 

631
"

ต้นไม้ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่สามารถนำมาประมวลไว้ ณ ที่นี้ มีต้นไม้ที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ๒๙ พระองค์ โดยต้นไม่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๑ ถึงองค์ที่ ๓ พบในชินกาลมาลีปกรณ์และต้นได้ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๔ ถึงองค์ที่ ๒๙ พบในพุทธวงศ์อันมีความดังต่อไปนี้

๑. พระตัณหังกร
๒. พระเมธังกร
๓. พระสรณังกร
๔. พระที่ปังกร
๕. พระโกณฑ์ญญะ
๖. พระมังคละ
๗. พระสุมนะ
๘. พระเรวตะ
๙. พระโสภิตะ
๑๐. พระอโนมทัสสี
๑๑. พระปทุมะ
๑๒. พระนารทะ
๑๓. พระปทุมุทตระ
๑๔. พระสุเมธะ
๑๕. พระสุชาตะ
๑๖. พระปิยทัสสี
๑๗. พระอัตถทัสสี
๑๘. พระธัมมทัสสี
๑๙. พระสิทธัตถะ
๒๐. พระติสสะ
๒๑. พระปุสสะ
๒๒. พระวิปัสสี
๒๓. พระสิขี
๒๔. พระเวสสภู
๒๕. พระกะกุสันธะ
๒๖. พระโกนาคมนะ
 ไม้สัตตปัณณะ (ตีนเป็ดขาว)
ไม้กิงสุกะ (ทองกวาว)
ไม้ปาตลี (แคฝอย)
ไม้ปิปผลิ (เลียบ)
ไม้สาลกัลยาณี (ขานาง)
ไม้นาคะ (กากะทิง)
ไม้นาคะ (กากะทิง)
ไม้นาคะ (กากะทิง)
ไม้นาคะ (กากะทิง)
ไม้อัชชุนะ (รกฟ้าขาว)
ไม้มหาโสณะ (อ้อยช้าง, คำมอก)
ไม้มหาโสณะ (อ้อยช้าง,คำมอก)
ไม้สลฬะ (สน)
ไม้มหานิมพะ (สะเดาป่า)
ไม้มหาเวฬุ (ไผ่ใหญ่)
ไม้กกุธะ (กุ่ม)
ไม้จัมปกะ (จำปาป่า)
ไม้พิมพชาละ หรือกุรวกะ (มะพลับ,ซ้องแมว)
ไม้กัณณิการะ (กรรณิการ์)
ไม้อสนะ (ประดู่ลาย)
ไม้อาลมกะ (มะขามป้อม)
ไม้ปาตลิ (แคฝอย)
ไม้ปุณฑริกะ (มะม่วงป่า)
ไม้มหาสาละ (สาละใหญ่)
ไม้มหาสิริสะ (ซึกใหญ่)
ไม้อุทุมพระ (มะเดื่อ)
 
๒๗. พระกัสสปะ  ไม้นิโครธ (ไทร,กร่าง)
๒๘. พระโคตมะ คือ พระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน พระพุทธเจ้าพระบรมศาสดาของเราทั้งหลาย  ไม้อัสสตถะ (พระศรีมหาโพธิ) 
๒๙. พระเมตไตรย คือ พระพุทธเจ้าในอนาคตกาลข้างหน้า ไม้นาคะ (กากะทิง) 

632
"มหาบุรุษ ลักษณะ ๓๒ ประการ"

ผู้ที่มีมหาบุรุษลักษณะ เป็นคำที่ใช้เรียกพระพุทธเจ้าเมื่อก่อนตรัสรู้ ลักษณะของมหาบุรุษมี ๓๒ ประการ คือ

๑. มีพระบาทราบเสมอกัน (พระบาท = เท้า)
๒. ลายพื้นพระบาทเป็นจักร (จักร = รูปลอยล้อรถ คือธรรมนำชีวิตไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ดุลล้อนำไป สู่ที่หมาย)
๓. มีส้นพระบาทยาย (ถ้าแบ่ง ๔ ส่วน พระชงฆ์ตั้งอยู่ในส่วนที่ ๓) (พระชงฆ์ = แข้ง)
๔. มีนิ้วยาวเรียว (หมายถึงนิ้วพระหัตถ์และพระบาทด้วย)(นิ้วพระหัตถ์ = นิ้วมือ)
๕. ฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทอ่อนนุ่ม
๖. ฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทมีลายดุจตาข่าย
๗. มีพระบาทเหมือนสังข์คว่ำ อัฐิข้อพระบาทตั้งลอยอยู่หลังพระบาท กลับกลอกได้คล่อง เมื่อทรงดำเนินผิดกว่าสามัญชน (อัฐิ = กระดูก ดำเนิน = เดิน)
๘. พระชงฆ์เรียวดุจแข้งเนื้อทราย
๙. เมื่อยืนตรง พระหัตถ์ทั้งสองลูบจับพระชานุ (พระชานุ = เข่า)
๑๐. มีพระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก (พระคุยหะ = อวัยวะที่ลับ)
๑๑. มีฉวีวรรณดุจสีทอง (ฉวีวรรณ =สีผิวกาย)
๑๒. พระฉวีละเอียด (พระฉวี = ผิว)
๑๓. มีเส้นพระโลมาเฉพาะขุมละเส้น ๆ (พระโลมา = ขน)
๑๔. เส้นพระโลมาดำสนิทเวียนเป็นทักขิณาวัฏ มีปลายงอนขึ้นข้างบน (ทักขิณาวัฏ = วนเลี้ยวทางขวาอย่างเข็มนาฬิกา)
๑๕. พระกายตั้งตรงดุจท้าวมหาพรหม
๑๖. มีพระมังสะอูมเต็มในที่ ๗ แห่ง (คือ หลังพระหัตถ์ทั้ง ๒ และหลังพระบาททั้ง ๒ , พระอังสาทั้ง ๒, กับลำพระศอ) (พระมังสะ = เนื้อ , ชิ้นเนื้อ พระอังสา = บ่า,ไหล่ พระศอ = คอ)
๑๗. มีส่วนพระสรีระกายบริบูรณ์ (ล่ำพี) ดุจกึ่งท่อนหน้าแห่งพญาราชสีห์ (สรีระ = ร่างกาย)
๑๘. พระปฤษฎางค์ราบเต็มเสมอกัน (พระปฤษฎางค์ = ส่วนหลัง,ข้างหลัง)
๑๙. ส่วนพระกายเป็นปริมณฑล ดุลปริมณฑลแห่งต้นไทร(พระกายสูงเท่ากับว่าของพระองค์)(วา = เท่ากับ ๔ ศอก ประมาณ 2 เมตร)
๒๐. มีลำพระศอกกลมงามเสมอตลอด
๒๑. มีเส้นประสาทสำหรับรสพระกระยาหารอันดี
๒๒.มีพระหนุดุจคางแห่งราชสีห์ (โค้งเหมือนวงพระจันทร์)(พระหนุ = คาง)
๒๓.มีพระทนต์ ๔๐ ซี่ (ข้างละ ๒๐ ซี่) (พระทนต์ = ฟัน)
๒๔.มีพระทนต์เรียบเสมอกัน
๒๕.พระทนต์เรียบสนิทมิได้ห่าง
๒๖.เขี้ยวพระทนต์ทั้ง 4 ขาวงามบริสุทธ์
๒๗.พระชิวหาอ่อนและยาว (อาจแผ่ปกพระนลาฏใต้)(พระชิวหา = ลิ้น พระนลาฎ = หน้าผาก)
๒๘.พระสุรเสียงดุจท้าวมหาพรหม ตรัสมีสำเนียงดุจนกการเวก
๒๙.พระเนตรแจ่มใสดุจตาลูกโคเพิ่งคลอด
๓๐.ดวงพระเนตรแจ่มใสดุจตาลูกโคเพิ่งคลอด
๓๑.มีอุณาโลมระหว่างพระโขนง เวียนขวาเป็นทักขิณาวัฏ (อุณาโลม = ขนระหว่างคิ้ว)
๓๒.มีพระเศียรงามบริบูรณ์ดุจประดับด้วยกรอบพระพักตร์ (พระเศียร = ศีรษะ)
 
 

633
เราก็จะเล่าให้ฟังให้หมดเกี่ยวพระเยซู ที่เรารู้เอง ก็ไม่อยากรู้หรอกแต่ดันรู้
ดาวเคราะห์หลายแสนล้านดวงพระเยซูเป็นผู้สร้างและสร้างไปเรื่อยๆแต่พระเยซู
ไม่สามารถมาเกิดตามดาวเคราะห์ได้เพราะพระเยซูจิตอันทรงพระพลังมากเกินจึงไม่
อาจเกิดได้  ท่านมีอย่างหนึ่งไม่เคยมาเป็นพลังงานมหาศาลที่ไม่เคยได้
ใช้จริงคือพลังนิวเคลียร์ดังนั้นดาวเคราะห์ดาวสุดท้ายที่สร้างก็คือโลกเรานี้พระเยซู

จึงต้องใส่พลังนิวเคลียร์ไปด้วยพลังในตัวของพระเยซูจะได้หมดพระเยซูท่านจะได้
มาเกิดและส่วนดาวเคราะห์ที่เป็นบริวาลของโลกอีกหลายดาวพระเยซูสร้างไว้แบบ
นั้นเป็นการลดพลังที่ท่านมี จึงไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ และพระเยซูท่านได้ทิ้งพลังในรูป
พลังพระแม่ดิน พระแม่น้ำ พระแม่ลม พระแม่ไฟไว้ในโลกนี้เป็นพระจิตที่ทรงพลังไว้
ดาวเคราะห์ของเราแตกต่างๆกว่าดาวเคราะห์ตรงอื่นแค่ว่า มีความแค้นและทำลายกัน
เอง เพราะมีพลังนิวเครียร์อยู่ในตัวตนหรืออยู่ในทุกสิ่งเลยเป็นดาวเคราะห์ทีมีนิสัยเช่น
แต่ดาวเคราะห์อีกหมื่นแสนล้านดวงก็ไม่มีนิสัยเช่นนี้ ไม่ทำลายกันหรือคิดร้ายกัน
เพราะมีนิวเคลียร์เป็นหลักจึงมีแต่การคุยและการไม่ทำร้ายกันทั้งผู้อื่นและพวกพ้อง
หรือไม่ทำลายชีวิตนั้นเองคือดูแลกันและพึงพากันได้และมีอายุมากกว่าเราด้วยคือ
หลายร้อยปีนั้นด้วยพระเยซูท่านก็คิดว่าจะให้ผู้ที่มีอำนาจจิตมาสร้างแทนหรือเมื่อถึง

เวลาหนึ่งท่านจิตใช้พลังของท่านหมด ทั้งนั้นในโลกนี้ถ้าใครมีจิตอันบริสุทธิก็จะมี
ฤทธิ์นั้นเองหรือถ้าละทิ้งกายและสังขารและไม่ยึดติดกับความหลงทั้งหลายก็จะได้
สำเร็จอรหันต์นั้นคือได้ความว่างเปล่าที่พระเยซูเคยมีนั้นเองหรือความไม่มีนั้นเอง
ก็จะมีพลังมากแต่ต้องพึงธาตุบางส่วนถ้าจะสร้างหรือสร้างด้วยอำนาจจิดนั้น
แต่ไม่สามารถอะไรที่มีความกว้างมาเกินไปได้เพราะด้วยพระพลังที่จำกัด
แต่พระเยซูก็คิดว่าผู้ที่ถูกเลือกจะทำได้แต่ก็ไม่ได้อีกเพราะการสร้างของพระเยซู
นั้นจิตของพระเยซูสามารถร่วมกับธาตุแห่งการสร้างทั้งสี่ได้ด้วยไม่การทำลายจิต
ดั้งนั้นพระเยซูจึงเป็นผู้สร้างได้ผู้เดี่ยวเพราะเหตุนี้ เราก็เล่าเกี่ยวกับสิ่งที่เรารู้
กับเรื่องพระเยซู คนเราน้อยคนที่จะดูพระเยซูออกถ้าไม่ตั้งใจจิตจริง
ที่เรารู้เราอาจจะเป็นพระบุตรของพระเยซูก็ได้แต่ถ้าได้เห็นรุ้งที่บ้านเกิดพระเยซูก็

แสดงว่าพระเยซูได้กับมาอีกก็เรานั้นเอง จบแล้วเรื่องประหลาดสุดเลย
จริงนะถ้าเราเป็นเพียงพระบุตรพระเยซูเราจะดีใจมาไม่ต้องอะไรที่ยิ่งใหญ่เกินตัว
เราในตอนนี้ชอบแต่ความไม่ยิ่งใหญ่เกินตัวแต่ถ้าเป็นเองคงต้องมีเรื่องที่ควรทำ
อีกมากมายให้ปวดอีกแน่ สุดท้ายก็ไม่ลับได้ฟังหมดเปลือกฟังแล้วดูไม่มีเหตุผล
แต่เป็นสิ่งที่ควรรู้ต้นสายปลายเหตุว่าเพราะอะไรการไม่รู้ไม่ดี ควรรู้ดีกว่า

634
นัท ฮันห์ : อีกประการหนึ่ง เรายังสนใจงานอีกด้านหนึ่ง กล่าวโดยสังเขปก็คืองานนี้ได้แก่ ความเพียรพยายามของเราที่จะช่วยเหลือผู้ประสบเคราะห์จากสงคราม มีเด็ก หญิงหม้าย คนพิการ นักโทษ บางคนเห็นว่างานสงเคราะห์เหล่านี้เป็นความพยายามที่ไม่มีความสำคัญ งานของเราได้รับการตราจากคนพวกหนึ่งว่า เป็นงานที่ไม่ฉลาดนัก และไม่อยู่บนทิศทางของการปลดแอกหรือการปฏิวัติ อุปสรรคในการทำงานของเรา ส่วนมากมีสาเหตุมาจากทัศนคติเช่นว่านี้ บรรดากลุ่มศาสนาและบรรดากลุ่มนักการเมือง มักเพียงแต่มีจุดมุ่งหมายที่จะรักษาเอกลักษณ์แห่งกลุ่มของตนไว้เท่านั้น โดยต้องเผชิญกับการโจมตีจากกลุ่มตรงกันข้ามที่มีความเชื่อต่างกัน ต่างฝ่ายต่างก็มีความกลัวเช่นว่านี้ ทำไมเราจึงไม่มาร่วมกัน และเผชิญกับการคุกคามที่แท้จริงเสียที?

อันที่จริงแล้ว เอกลักษณ์จะสามารถคงความเป็นเอกลักษณ์อยู่ได้ก็ต่อเมื่อ มีสิ่งต่าง ๆ อย่างอื่นที่มาอธิบายเอกลักษณะนั้นในฐานะที่ไม่ใช่เอกลักษณะ ย้อนกลับไปที่ตัวอย่างเกี่ยวกับเอกลักษณะของเก้าอี้ เก้าอี้จะสามารถดำรงความเป็นเก้าอี้อยู่ได้ก็โดยอาศัยส่วนประกอบที่ไม่ใช่เก้าอี้ หากเรามองดูเก้าอี้อย่างพินิจพิเคราะห์แล้ว เราจะสามารถแลเห็นต้นไม้ซึ่งเป็นที่มาของไม้สำหรับทำเก้าอี้ แลเห็นเผ่าพันธุ์ของมนุษยชาติซึ่งช่างไม้ถือกำเนิดขึ้นมา และส่วนอื่น ๆ ของเก้าอี้ก็เป็นในทำนองเดียวกันนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างอัตตาและอนัตตา ก็คือว่าอัตตามีอยู่ได้ก็ต่อเมื่ออนัตตามีอยู่ ในพระสูตรทางพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงอธิบายสิ่งนี้ในลักษณะที่ง่ายมาก พระองค์ตรัสว่า "เพราะสิ่งนี้ สิ่งนีจึงมี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ" ดังนั้น สิ่งทั้งปวงจึงอิงอาศัยซึ่งกันและกันเพื่อการดำรงอยู่ เอกลักษณะของผมกับเอกลักษณะของท่านมาประสานกันก็เพื่อความเป็นไปได้แห่งการดำรงอยู่ ทำไมเราจึงไม่มาร่วมกัน เพื่อแสวงหาหนทางที่จะดำรงรักษาไว้ไม่เพียงแต่เอกลักษณะของผมเท่านั้น หากเอกลักษณะของท่านและคนอื่น ๆ ด้วย?

การต่อต้านการแบ่งแยกพรมแดน การต่อต้านการกำหนดเขตชายแดนตลอดจนการจำกัดขอบเขตโดยทุจริต เป็นภาระกิจที่สำคัญเช่นกัน คนภายในสังคมไม่ควรเพียงแต่งตั้งความปรารถนา ว่าจะเอาชนะปัญหาเหล่านี้เท่านั้น หากต้องเอาชนะปัญหาด้วยลักษณะการดำรงชีวิตภายในชุมชนนั้น ๆ แต่โชคร้ายว่าที่แล้วมาเราไปผูกยึดตัวเองเข้ากับบางสิ่งบางอย่าง เช่น ชาติ ลัทธิ ศาสนา ทั้งเรามีแนวโน้มที่จะคิดว่าสิ่งอื่นทั้งหมด ที่นอกไปจากความยึดถือของคนเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญ หรือไม่เป็นความจริง

ยกตัวอย่างเช่น เรามักได้รับรายงานข่าวที่น่าสะเทือนใจหลายต่อหลายเรื่อง ซึ่งโดยปรกติแล้ว ในตะวันตกไม่มีใครสนใจกันเลย ผู้เป็นแม่คนหนึ่งรู้สึกท้อแท้เมื่อได้ยินลูก ๆ ของหล่อนรบเร้าถามอยู่ทุกเช้าว่า ทำไมซุปในชามจึงมีนิดเดียว หล่อนไม่สามารถทนฟังคำถามนี้ได้ ดังนั้นเย็นวันหนึ่ง หล่อนจึงเทข้าวทั้งหมดที่เหลืออยู่ในกะทะและปรุงซุปอย่างดี แต่เธอได้ใส่ยาพิษลงไปในนั้นด้วย แม่และลูก ๆ กินซุปด้วยกัน และถึงแก่ความตาย แต่แม้กระนั้นในสภาพเช่นว่านี้ เราก็ยังคงถูกบังคับให้จับปืนฆ่าฟันกันเอง ความทุกข์ทนหม่นไหม้ของเวียดนาม ได้ให้บทเรียนอะไรแก่อเมริกาบ้างไหม? มันได้ช่วยให้ชาวอเมริกันหันกลับไปมองดูเงาตนเองอีกครั้งหรือเปล่า? มันช่วยอะไรละหรือ?

เบอร์ริแกน : ผมมีความหวังอยู่บ้าง กระนั้นผมก็ไม่คิดว่าเรามีความรู้อย่างถ่องแท้แล้วในเรื่องที่ท่านพูดมา ผมรู้สึกว่ามีการเปลี่ยนแปลงในขั้นลึกซึ้งหลายประการกำลังเกิดขึ้น ที่นี่บ้าง ที่โน่นบ้าง เพียงแต่ยังไม่ปรากฏเป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณะทั้งในระดับชีวิตทางการเมืองหรือในระด
ับโครงสร้างของชุมชน ด้วยเหตุนี้ เราจึงมีชีวิตอยู่ในโลกที่ครึ่งหลับครึ่งตื่นนั้นนั่นเอง.

พระสันติสุข สฺนติสุโข ?แปล


635
บทสนทนาต่อไปนี้ เป็นการสนทนาระหว่าง ติช นัท ฮันห์ พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนานิกายเซน กับบาทหลวง แดน เบอริแกน นักบวชในพระคริสตศาสนานิกายเยซูอิต ทั้งสองต่างเป็นผู้ที่ได้ต่อสู้และเรียกร้องเพื่อสันติภาพ ความสงบของมวลมนุษย์ โดยยึดหลักทางศาสนธรรมเป็นเกณฑ์ การสนทนาได้กระทำขึ้น ณ สำนักงาน Vietnamese Peace Buddhist Delegation บทสนทนาดังกล่าวเป็นบทหนึ่งในบรรดาหลาย ๆ บทที่รวบรวมตีพิมพ์ในหนังสือ The Raft is not the shore

.... .... .... ....

นัท ฮันห์ : ผมคิดว่า การได้มองลึกลงในดวงตาของศาสดาที่แท้พระองค์หนึ่ง มีค่าเสียยิ่งกว่าการศึกษาคัมภีร์ และคำสั่งสอนของพระองค์ตั้งร้อยปี ในตัวของพระองค์ ท่านได้รับแบบอย่างแห่งการตรัสรู้ และแบบอย่างของชีวิตโดยตรง ในขณะที่จากสิ่งอื่น ท่านจะได้รับก็เพียงแต่เงา ซึ่งอาจจะช่วยอะไรท่านได้บ้างเหมือนกัน แต่ไม่ใช่โดยตรงดังที่พระพุทธตรัสว่า "คำสอนของตถาคต เป็นเพียงพ่วงแพ อันช่วยนำเธอข้ามไปสู่อีกฝั่งหนึ่ง หาใช่ความจริงสูงสุดไม่ เธอไม่ควรหลงบูชาอยู่"

เบอร์ริแกน : เออ, ท่านจะมองลงลึกในดวงตาของพระเยซู หรือพระพุทธเจ้าด้วยวิธีการอย่างไร?

นัท ฮันห์ : วิธีการอย่างไร? ไม่มีคำว่าวิธีการหรอก มันคงเหมือนกับถามว่าผมมองดูท่านด้วยวิธีการอย่างไร? ผมมองดูกิ่งไม้ด้วยวิธีการอย่างไร ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ "วิธีการมอง" แต่อยู่ที่ตัวบุคคลผู้ทำการมอง เพราะถ้าหากท่านเอาของสิ่งหนึ่งมาวางไว้ต่อหน้าผู้คน และก็มีคนมากมายพากันมาดูของสิ่งเดียวกันนี้ คนเหล่านั้นกลับเห็นไปคนละอย่าง มันมิได้ขึ้นอยู่แต่เพียงวัตถุที่ท่านนำมาแสดง แต่ขึ้นอยู่กับธรรมชาติและแก่นสารของบุคลผู้มองด้วย ดังนั้นเมื่อท่านได้สัมผัสความจริงโดยตรง ท่านย่อมมีโอกาสมากในการเจาะทะลุถึงตัวความจริง มากกว่าเมื่อท่านมีเพียงภาพปรากฏของความจริงเท่านั้น นั่นเป็นผังเมืองหาใช่ตัวเมืองจริง ๆ ไม่ นั่นเป็นร่มไม้ หาใช่ต้นไม้ไม่ นั่นเป็นคำสอนหาใช่องค์ศาสดาหรือตัวชีวิตไม่ ผู้ที่มีโอกาสมองเห็นลึกลงไปในดวงตาของพระพุทธเจ้าและพระเยซู แต่ไม่สามารถแลเห็นพระพุทธเจ้าหรือพระเยซูนั้น ผมคิดว่าเป็นความสิ้นหวังเลยทีเดียว

เรามีเรื่องราวในวรรณกรรมทางพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก ที่กล่าวถึงผู้คนที่พากันหลั่งไหลมาจากแดนไกล ด้วยความหวังว่า พวกเขาจักได้เห็นพระพุทธเจ้า แต่พวกเขากลับไม่สามารถเห็นพระองค์ ทั้งนี้เนื่องมาจากวิธีการที่พวกเขารับและสนองต่อสิ่งต่าง ๆ ที่พวกเขาได้ประสบในระหว่างทางนั่นเองเป็นเหตุ คนพวกนี้เมื่อพบหญิงผู้ต้องการความช่วยเหลือ แต่เขากลับลนลานที่จะไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ด้วยเหตุนี้ผมจึงกล่าวว่า การที่ท่านจะสามารถเห็นพระพุทธเจ้าหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับตัวท่านเองมากทีเดียว

เบอร์ริแกน : น่าตระหนกใจว่า จะมีทัศนะทำนองนี้มากมายสักเพียงใด ในระหว่างวิถีการดำรงชีวิตวัฒนธรรมและประเพณีที่แตกต่างกันออกไป ทำให้หวนระลึกถึงเหตุการณ์อันระทึกใจในวันพิพากษา ซึ่งกล่าวไว้ในตอนท้ายแห่งพระคัมภีร์ของมัดธายเมื่อองค์พระเยซูตรัสว่า "ขอลาขาด" ต่อคนพวกหนึ่ง เพราะคนพวกนี้ไม่นำข้าวน้ำมาถวายพระองค์ ไม่นำเสื้อผ้ามาถวายพระองค์ และไม่มาเยี่ยมเยียนพระองค์ในคุก คนเหล่านั้นจึงพากันท้วงว่า "ข้าพเจ้าได้กระทำผิดต่อพระองค์เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร" และพระองค์จึงตรัสว่า "เจ้าได้กระทำผิดต่อพี่น้องผู้ยากจนของเรา ช่างเลวทรามเหลือเกิน ขอลาขาดกันที"

นั่นยังเป็นคำถามอันลึกซึ้งสำหรับผมอยู่ดีว่า ท่านประสบกับดวงตาของพระเยซูและของพระพุทธเจ้าได้อย่างไร? บางทีอาจเป็นคำถามของคนไม่ประสีประสา ผมยังคิดว่า หากผู้ใดสามารถหายใจเอาความวิเวกของพระเยซูไว้ในชีวิตได้แล้ว อะไรบางอย่างจะอุบัติขึ้น พระองค์ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ของพระองค์อยู่กับความวิเวก หากเพียงแต่ผู้ใดสามารถเดินทางไปสู่ทะเลทรายพร้อมกับพระองค์ หรืออยู่ในคุกร่วมกับพระองค์ ในระหว่างสัปดาห์อันศักดิ์สิทธิ์ หรือเข้าถึงความเงียบของพระองค์คราวที่อยู่ต่อหน้าของพิเลตและเฮโรด พระองค์ทรงปฏิเสธที่จะตอบคำถามของคนทั้งสอง ซึ่งที่แท้ก็เป็นการตอบในลักษณะหนึ่งนั่นเอง สำหรับผมแล้วดูเหมือนว่าเหตุการณ์นั้นเป็นการประจันหน้ากันอย่างลึกซึ้ง เป็นชั่วขณะซึ่งเลยพ้นไปจากความจำเป็นที่ต้องเจรจาโต้ตอบกันยืดยาว ผมมักระลึกถึงความหมายของพระดังเช่นตัวท่าน หรือท่านเมอร์ตัน หรือพระหนุ่ม ๆ ซึ่งเราได้ยินกิตติศัพท์เกี่ยวกับมรณกรรมของท่านเหล่านั้นอยู่เป็นประจำ ท่านเหล่านี้แหละเป็นบุคคลผู้ได้ประสบกับดวงตาของพระเยซูหรือของพระพุทธเจ้า โดยอาศัยผ่านความรู้ซึ้งถึงความเงียบสงบในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง

นัท ฮันห์ : เมื่อผมกล่าวถึงการมองลึกลงในดวงตาของพระพุทธเจ้านั้น ผมนึกถึงพระพุทธเจ้าในฐานะมนุษย์ผู้หนึ่ง ซึ่งแวดล้อมด้วยบรรยากาศพิเศษ ผมตั้งข้อสังเกตว่า มหาบุรุษทั้งหลายย่อมนำเอาบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์มาพร้อมกับพระองค์ด้วย และเมื่อเราแสวงหาพระองค์ เราย่อมรู้สึกถึงสันติสุข ความรักและความกล้าหาญ

อาจเป็นไปได้ว่า เพียงแต่การปรากฏกายของพระองค์ก็สามารถอธิบายสิ่งนี้ได้ มีภาษิตจีนกล่าวว่า เมื่อคนดีมาจุติ น้ำในแม่น้ำและเหล่าพืชพรรณต้นไม้บนภูเขาในละแวกนั้น ย่อมกลับกลายใสสะอาดขึ้น และเขียวขจีขึ้น นี่เป็นวิธีการที่ชาวจีนพูดถึงเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งกำเนิดขึ้นในเวลาเดียวกับประสูติกาลของผู้มีบุญ

ในพระพุทธศาสนา เราพูดถึง "กรรม" ในฐานะเป็นผล หรือเป็นเหตุ เหตุแห่งกรรมคือตัวผู้กระทำ และผลแห่งกรรมคือสิ่งที่ท่านได้รับอันเป็นผลรวมที่เกิดจาก การกระทำ ความคิด และความเป็นอยู่ทั้งหมดของท่าน ดังนั้นกรรมผลาก็คือผลแห่งกรรมนั่นเอง กรรมผลาประกอบขึ้นด้วยสองส่วน : ส่วนแรกถึงตัวท่านเอง และส่วนที่สองคือสิ่งที่แวดล้อมตัวท่านอยู่ เมื่อท่านมาอยู่ร่วมกับเราสักหนึ่งชั่วโมง ท่านก็นำสิ่งแวดล้อมที่ว่านี้มาด้วย เป็นรัศมีอย่างหนึ่งซึ่งแผ่ออกมาจากตัวท่านเอง เหมือนกับเวลาที่ท่านนำเทียนไขเข้ามาในห้องนี้ แท่งเทียนอยู่ ณ ที่นั้น พร้อมกับแสงสว่างจากเทียนซึ่งท่านนำเข้ามาด้วย

เมื่อเมธีผู้หนึ่งอยู่ ณ ที่นั้น และเราได้นั่งใกล้ท่าน เราจะรู้สึกโปร่งเบา รู้สึกถึงความสงบ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมจึงกล่าวว่า หากท่านได้นั่งใกล้พระเยซู และมองดูดวงตาของท่าน แต่ยังไม่อาจแลเห็นพระองค์จึงนับว่าเป็นความสิ้นหวัง เพราะในกรณีเช่นนี้ ท่านมีโอกาสมากที่จะเห็นพระองค์ ยิ่งกว่าเมื่อท่านอ่านจากคำสอนของพระองค์เสียอีก แน่นอน หากพระองค์มิได้อยู่ ณ ที่นั้น คำสอนของพระองค์ก็เป็นสิ่งดีที่สุดรองลงมา

เมื่อผมได้อ่านหรือถือพระคัมภีร์ ไม่ว่าจะเป็นของพุทธหรือคริสต์ก็ตาม ผมพยายามระลึกอยู่เสมอถึงความจริงที่ว่า เมื่อพระพุทธเจ้าหรือพระเยซูตรัสอะไรออกมา พระองค์ย่อมตรัสสิ่งนั้นกับคนบางคนหรือกับคนบางเหล่า ผมควรเข้าใจถึงสถานการณ์ในขณะที่พระองค์กำลังตรัสอยู่นั้นด้วย เพื่อที่จะเข้าถึงพระองค์ยิ่งไปกว่าเพียงแต่รับเอาคำสอนของพระองค์มาเป็นคำพูดเฉย ๆ ถ้าหากผมมีเรื่องหนึ่งที่เล่าให้ผู้ใหญ่ฟัง ผมย่อมสามารถเล่าเรื่องนั้นให้เด็กฟังได้ด้วยเช่นกัน แต่ผมจะต้องเล่าเรื่องนั้นให้เด็กฟังในลักษณะที่ต่างออกไป ทั้งนี้มิใช่เพราะผมต้องการทำเช่นนั้น แต่เพราะผมกำลังอยู่ต่อหน้าเด็ก ๆ ต่างหาก ดังนั้นเรื่องของผมจึงเป็นไปในลักษณะหนึ่งโดยปริยาย ผมเชื่อว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสหรือสั่งที่พระเยซูตรัสนั้น ยังไม่สำคัญเทียบเท่ากับ "วิธีการ" ที่พระพุทธเจ้าหรือพระเยซูตรัสสิ่งนั้นออกมา หากท่านสามารถจับเคล็ดอันนี้ได้ ท่านก็จะเข้าไปใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้าหรือพระเยซูได้ แต่หากท่านพยายามจะวิเคราะห์ความหมายอันลึกซึ้งของคำต่าง ๆ โดยไม่รู้ถึงลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง ผมคิดว่าท่านจะพลาดอย่างง่ายดายมาก ไม่เพียงแต่พลาดประเด็นเท่านั้น แต่พลาดเรื่องของมนุษย์ไปเลยทีเดียว ผมคิดว่านักเทววิทยามีแนวโน้มที่จะลืมการเข้าถึงด้วยวิธีการนี้ด้วยซ้ำ



636
พุทธทำนาย 16 ประการ
สุบินนิมิตข้อที่ 1 : ภัยธรรมชาติ พระเจ้าปเสนทิโกศล
ทรงสุบินนิมิตเห็นโคล่ำสัน 4 ตัว วิ่งมาจากทิศทั้ง 4
มีลักษณะอาการเกรี้ยวกราด ประดุจจะชนกัน ด้วยความโกรธแค้นกันมานาน พอโคทั้ง 4
วิ่งเข้ามาใกล้กันแล้ว กลับถอยห่างออกจากกันไป ไม่ชนกันเลย
พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น จะเกิดภัยธรรมชาติขึ้น
คือ ฟ้าฝนจะไม่ตกต้องตามฤดูกาล จะมีก้อนเมฆขนาดใหญ่ลอยมาจากทิศทั้ง 4
เหมือนกับฟ้าฝนจะตกลงมาในพื้นปฐพีอย่างหนัก เมื่อก้อนเมฆทั้ง 4
ลอยเข้ามาใกล้กันแล้ว ก็ลอยถอยห่างออกจากกันไป ไม่มีฝนตกลงมาในพื้นปฐพีเลย




สุบินนิมิตข้อที่ 2 : เยาวชนมั่วสุมเสพกาม พระเจ้าปเสนทิโกศล
ทรงสุบินนิมิตเห็นต้นไม้นานาชนิด ยังไม่ใหญ่โตพอที่จะมีดอกมีผล
แต่ต้นไม้นั้นเต็มไปด้วยดอกและผล จนกิ่งก้านสาขาจะรอรับดอกผลนั้นไม่ไหว
พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น
กุมารีที่มีวัยยังไม่สมควรจะมีสามี แต่กุมารีนั้นอยากแต่งงานให้เป็นครอบครัว
เพราะมีความกระสัน ใฝ่ฝันในราคะตัณหา ใจมีความกำเริบในกามคุณ มีความยินดีใน
รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นอย่างมาก
มีความอยากในกามารมณ์แห่งความรักความใคร่
จึงได้แต่งงานกันเมื่ออายุยังวัยเด็ก ถูกต้องตามประเพณีนิยม บางคนมั่วสุมกัน
ไม่มีความละอาย เยี่ยงสัตว์ดิรัจฉาน เมื่อตั้งครรภ์ขึ้นมา
ก็หาวิธีฆ่าลูกในท้องของตัวเอง จึงเป็นบาปกรรมต่อไปในภายภาคหน้ายิ่งนัก
เด็กบางคน ยังมีพ่อแม่เลี้ยงดูอยู่บ้าง เด็กบางคนพ่อแม่เลี้ยงดูไม่ไหว
จึงได้ปล่อยปละละเลยให้หาขอทานกินตามลำพัง เป็นเด็กเร่ร่อนจรจัด ไม่มีพ่อแม่
ไม่มีตระกูล ไม่มีการศึกษา ไม่มีที่พึ่งพาอาศัยในบ้านเรือน
ค่ำที่ไหนนอนที่นั่น อดบ้าง อิ่มบ้าง น่าเวทนายิ่งนัก เหตุการณ์อย่างนี้
จะมีในภายภาคหน้าโน้นใครได้ไปเกิดในยุคนั้น สมัยนั้น
ก็จะต้องเจอเหตุการณ์อย่างนี้แล






สุบินนิมิตข้อที่ 3 : พ่อแม่ต้องเอาใจลูก พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสุบินนิมิต
เห็นฝูงพ่อแม่โคทั้งหลายพากันดูดกิน นมลูกของตัวเอง พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า
อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น พ่อแม่ทั้งหลาย
จะได้อาศัยกินหยาดเหงื่อแรงงานของลูก
อาศัยข้าวปลาอาหารเครื่องอุปโภคบริโภคต่างๆ ที่ลูกแสวงหามาเลี้ยงดู
พร้อมทั้งเงินทอง ก็ต้องแบ่งปันให้พ่อแม่ได้จับจ่ายใช้สอย ในยุคนั้นสมัยนั้น
พ่อแม่ก็ต้องเอาอกเอาใจลูกยิ่งนัก ต้องประจบประแจงปะเหลาะลูกอยู่เสมอ
ถ้าพูดต่อลูกดีๆ ลูกก็แบ่งปันเงินทองให้ได้ใช้บ้าง ถ้าพ่อแม่พูดไม่ดี
ก็จะไม่ได้รับส่วนแบ่งอะไรจากลูกนี้เลย เหตุการณ์อย่างนี้
จะเกิดมีในภายภาคหน้าโน้น





สุบินนิมิตข้อที่ 4 : ผู้อ่อนประสบการณ์บริหารประเทศ พระเจ้าปเสนทิโกศล
ทรงสุบินนิมิตเห็นฝูงคนทั้งหลายพากันจับลูกโคตัวเล็กๆ
เข้ามาเทียมแอกเพื่อลากล้อเกวียน เมื่อลากไปไม่ไหว ก็จะพากันเฆี่ยนตี
พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น
คนทั้งหลายจะพากันนิยมเอาเด็กที่จบปริญญามาใหม่ๆ ไปรับราชการแผ่นดิน
บริหารการพัฒนาประเทศชาติ บ้านเมือง อันเป็นงานที่หนัก
ถึงจะมีความรู้อยู่ก็ตาม แต่เด็กนั้นยังขาดประสบการณ์ ขาดความสามารถ
ขาดความรอบรู้ ขาดความรอบคอบ ในการบริหารเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม
จึงเกิดความผิดพลาด ล่าช้า ไม่ทันต่อเหตุการณ์ ขาดความรับผิดชอบ ขาดดุลการค้า
ทำให้ประเทศชาติเสียหาย ทำให้ถ่วงความเจริญของประเทศชาติ
ทำให้คนดุด่าว่ากล่าวนานาประการ เหตุการณ์อย่างนี้ จะเกิดมีในภายภาคหน้าโน้น





สุบินนิมิตข้อที่ 5 : ความไม่เป็นธรรมในการตัดสินความ พระเจ้าปเสนทิโกศล
ทรงสุบินนิมิตเห็นม้าตัวเดียว หัวเดียว มีสองปาก กินหญ้าได้สองทาง
กินเท่าไรก็ไม่มีความอิ่มพอ พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า
อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น คนผู้มีหน้าที่ตัดสินคดีความต่างๆ
จะใช้อุบายวิธีอันมีเล่ห์เหลี่ยม เพื่อเอาเงินจากคู่กรณีทั้งสอง
เอาทั้งฝ่ายโจทก์ เอาทั้งฝ่ายจำเลย
เพื่อเป็นค่าจ้างรางวัลในการวินิจฉัยคดีความบ้าง เอาค่านั้นบ้าง
เอาค่านี้บ้าง ถ้าไม่ได้ตามความเรียกร้อง ก็จะไม่รับเรื่องที่มาร้องเรียน
ต้องการเท่าไรก็เรียกร้องตามใจชอบ ถ้าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็เรียกร้องเอาน้อย
ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ก็จะเรียกร้องเอาเงินอย่างเต็มที่ แล้วจึงจะมาวินิจฉัยคดี
ตัดสินต่อไป เหตุการณ์อย่างนี้ จะเกิดมีภายภาคหน้าทั่วโลก





สุบินนิมิตข้อที่ 6 : พระธรรมคำสอนถูกเหยียบย่ำ พระเจ้าปเสนทิโกศล
ทรงสุบินนิมิตเห็นมีหมู่มนุษย์ ถือถาดทองคำอันมีค่ามหาศาล
ไปวางไว้สุนัขจิ้งจอกถ่ายอุจจาระถ่ายปัสสาวะใส่ พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า
อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น กลุ่มคนที่โง่เขลาปัญญาทราม
จะเอาพระธรรมคำสอนของเราตถาคต ไปให้ลัทธิต่างๆ เหยียบย่ำทำลาย
แล้วถ่ายทอดลัทธิของเขา เอาคำสอนของเขาที่สกปรกโสโครกด้วยกิเลสตัณหา
มากลบเกลื่อนในคำสอนของเรา แล้วดัดแปลงแก้ไขคำสอนของเรา
ให้เข้ากันกับลัทธิของเขา แล้วประกาศว่า คำสอนของเราตถาคต
เป็นส่วนหนึ่งในลัทธิของเขา ให้คนทั้งหลายมีความเข้าใจผิดว่า
คำสอนของเราเข้ากันได้กับของเขา ถือว่าเป็นอันเดียวกัน
ลัทธิเหล่านั้นก็จะไม่รู้คุณค่าของคำสอนของเราตถาคตแต่อย่างใด
มนุษย์อย่างนี้ก็จะมีในเมื่อเราตถาคตนิพพานไปแล้ว และจะมีลัทธิต่างๆ
มาอวดอ้างว่าเป็นศาสนาเป็นจำนวนมาก





สุบินนิมิตข้อที่ 7 : ผู้มีใจต่ำแอบอ้างสถาบันกษัตริย์ พระเจ้าปเสนทิโกศล
ทรงสุบินนิมิตเห็นชายคนหนึ่ง เอาหนังสือมานั่งฟั่นให้เป็นเชือก อยู่บนม้านั่ง
แล้วมีสุนัขจิ้งจอกคอยกัดกินอยู่ เมื่อฟั่นเชือกเสร็จ
สุนัขจิ้งจอกก็กินหมดทันที พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า
อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น คนผู้มีจิตใจต่ำ ปัญญาทราม จะได้รับสมมุติ
ยกย่องขึ้นเป็นผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ นั่งทำงานอยู่ในพระราชสำนักระดับสูง
อาศัยอำนาจ พระบารมีของพระมหากษัตริย์
ว่าราชการแผ่นดินแทนพระองค์อยู่เนืองนิตย์ โดยมีความโง่เขลาเบาปัญญา
พูดจาขาดความสำรวม กล่าวเปิดเผยความลับต่างๆ ในพระราชสำนัก
ให้หมู่ประชาชนได้รู้ คนลัทธิต่างๆ
ที่ไม่มีความหวังดีต่อพระมหากษัตริย์อยู่แล้ว ได้ยินเข้า จึงนำเอาไปตีแผ่
โฆษณาให้คนอื่นคลายศรัทธา หมดความเคารพในวงศ์พระมหากษัตริย์
และหมดความเชื่อถือในพระราชวงศ์ต่อไป เหตุการณ์อย่างนี้
จะเกิดมีในภายภาคหน้าโน้นคนที่ไม่มีความหวังดีต่อพระมหากษัตริย์
จะเป็นหนอนบ่อนไส้เสียเอง





สุบินนิมิตข้อที่ 8 : ทำบุญเลือกหน้า พระเจ้าปเสนทิโกศล
ทรงสุบินนิมิตเห็นโอ่งน้ำใหญ่และโอ่งน้ำเล็กตั้งอยู่ในที่แห่งเดียวกัน
แล้วมีทคนทั้งหลาย แย่งกันตักน้ำ เทใส่โอ่งน้ำใหญ่ จนล้นเหลือ
ส่วนโอ่งน้ำเล็ก ไม่มีใครตักน้ำใส่เลย พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า
อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น จะมีคนทำบุญโดยเลือกหน้า พระองค์ที่มีอายุมาก
พรรษามาก มียศถาบรรดาศักดิ์ในตำแหน่งต่างๆ
จะมีคนให้ความสนใจจะพากันถวายเครื่องไทยทานเป็นจำนวนมาก ล้วนแล้วแต่ของที่ดีๆ
มีค่า มีราคา ข้าวปลาอาหาร ปิ่นโตเถาขนาดใหญ่ ตั้งต่อหน้า จนเหลือเฟือ
ส่วนพระเล็กเณรน้อยนั่งอยู่รอบข้าง ไม่มีใครคิดถวายอะไรเลย
มีแต่งนั่งดูตาปริบๆ เหตุการณ์อย่างนี้ จะเกิดมีในภายภาคหน้าโน้น



-

สุบินนิมิตข้อที่ 9 : คอรัปชั่นในแผ่นดิน พระเจ้าปเสนทิโกศล
ทรงสุบินนิมิตเห็นสระน้ำขนาดใหญ่ มีน้ำรอบนอกใส่สะอาดเยือกเย็น
ส่วนน้ำในกลางสระขุ่นข้นเป็นโคลนตม แล้วมีสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลาย
พากันแย่งชิงกินน้ำในสระที่ขุ่นข้นเป็นตมนั้น
ส่วนน้ำรอบนอกที่ใสสะอาดเยือกเย็น ไม่มีสัตว์ตัวใดอยากจะกินเลย
พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น คนจะมีความโลภ ความอยาก
ไม่อิ่มพอในเงินทองมากขึ้น การงานที่สะอาด บริสุทธิ์ และสุจริต ไม่อยากทำ
ถือว่า เงินเดือนน้อย ร่ำรวยช้า ไม่พอกับความโลภความอยากของตัวเอง
จึงได้ลงสมัครตัวเข้ามาในสภาสันนิบาต
เพื่อจะมีอำนาจในการบริหารงานและบริหารเงินของแผ่นดินได้อย่างเต็มที่
ใช้อุบายวิธี อันมีเล่ห์เหลี่ยม ทุจริต คิดมิชอบ ในเงินของแผ่นดิน มือใครยาว
สาวได้สาวเอา จะได้เงินมาด้วยวิธีสกปรกอย่างไร
จะไม่มีความละอายแก่ใจตัวเองเลย ขอให้ได้เงินก้อนโตมา ก็เป็นที่พอใจ
ลักษณะนี้จะมีกันทั่วโลก มีทั่วทุกประเทศเขตแดน และจะเพิ่มความรุนแรงขึ้น
จะเกิดความยุ่งเหยิงในสภาสันนิบาตของประเทศนั้นๆ
เพราะการแบ่งสันตำแหน่งในการดูดกินเงินภายในประเทศนั้น ไม่ลงตัว
ผู้นั้นจะได้กินน้อย ผู้นั้นจะได้กินมาก ผู้นั้นจะไม่ได้กินอะไรเลย
สุดท้ายก็เกิดงัดข้อกันเอง เหตุการณ์อย่างนี้ จะเกิดมีในภายภาคหน้าโน้น





สุบินนิมิตข้อที่ 10 : สงสัยในมรรคผลนิพพาน พระเจ้าปเสนทิโกศล
ทรงสุบินนิมิตเห็นหม้อหุงข้าวหม้อเดียวมีความแตกต่างกัน
ข้าวในหม้อซีกหนึ่งสุก ซีกหนึ่งดิบๆ สุกๆ อีกซีกหนึ่งข้าวไม่สุกเลย
พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น
คนในโลกนี้จะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันไป กลุ่มหนึ่งจะมีความเชื่อว่า
เราตถาคตเป็นที่พึ่งที่เคารพจริง พระธรรมคำสอนของเราตถาคตเป็นสวากขาตธรรม
เมื่อนำไปปฏิบัติให้ถึงที่สุดแล้วจะพ้นจากทุกข์ได้จริง
เชื่อว่ามีมรรคผลนิพพานจริง นรกสวรรค์มีจริง
กรรมดีกรรมชั่วให้ผลแก่บุคคลที่กระทำจริง
ตายแล้วเมื่อยังมีกิเลสตัณหาอยู่เชื่อว่าได้มาเกิดใหม่
อีกกลุ่มหนึ่งยังไม่แน่ใจว่า มรรคผลนิพพานในยุคนี้ สมัยนี้ มีจริงหรือไม่
เพราะพระพุทธศาสนาได้ล่วงเลยไปนาน พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
มีความสมบูรณ์อยู่หรือไม่ พระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ในยุคนี้มีจริงหรือไม่ มีแต่ความสงสัยลังเล ไม่แน่ใจ
อีกกลุ่มหนึ่งปฏิเสธว่า มรรคผลนิพพานไม่มีนรกสวรรค์ไม่มี ทำดี
ทำชั่วไม่ให้ผลในภายหน้าชาติหน้า ตายแล้วไม่ได้เกิดใหม่แต่อย่างใด
ในช่วงปลายพุทธศาสนาโน้น คนจะเกิดเป็นมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นผิดมากขึ้นๆ
ดังนี้





สุบินนิมิตข้อที่ 11 : นำพระธรรมมาขายกิน พระเจ้าปเสนทิโกศล
ทรงสุบินนิมิตเห็นคนพวกหนึ่ง เอาแก่นจันทร์แดงที่มีค่าราคาแพง
ไปแลกกับนมเปรี้ยวหม้อเดียว ซึ่งไม่สมค่าราคากันเลย พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า
อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น คนพวกหนึ่ง จะเอาพระธรรมคำสอนของเราตถาคต
ไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินตรา จะเขียนเป็นตำราเพื่อออกจำหน่าย ขายกิน
หารายได้เพื่อเลี้ยงชีวิต เอาพระธรรมคำสอนของเราตถาคต ทำเป็นการแสดง แต่งกลอน
เพื่อผลประโยชน์ในกัณฑ์เทศน์ แสดงธรรมเพื่อเห็นแก่ค่าจ้างรางวัล อันเป็นอามิส
ไม่สมค่าราคากันเลย สิ่งเหล่านี้ จะเกิดขึ้นในช่วงปลายศาสนาของเราตถาคตโน้น





สุบินนิมิตข้อที่ 12 : คนดีถูกขัดขวางรังแก พระเจ้าปเสนทิโกศล
ทรงสุบินนิมิตเห็นน้ำเต้าแห้งเปล่ากลวงใน ตามธรรมดาแล้วจะลอยอยู่บนน้ำ
แต่น้ำเต้าเปล่านั้น กลับดิ่งจมลงในน้ำนั้นเสีย พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า
อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น คนดี มีความรู้ดี มีสติปัญญาดี มีความรอบรู้
มีความฉลาด มีความสามารถ มีทั้งพระและฆราวาส
จะไม่ได้รับความยกย่องเชิดชูในสังคม
จะถูกขัดขวางจากกลุ่มคนพาลสันดานชั่วอยู่ตลอดเวลา ถ้าเป็นฆราวาส
ก็ไม่มีโอกาสได้ทำงานในการบริหารแระเทศชาติบ้านเมือง คนมีความรู้ความสามารถ
มีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีโอกาสได้รับเลือกตั้งเข้ามาในสภาสันนิบาต
หรือได้รับเลือกเข้ามาแล้ว ก็ไม่มีโอกาสได้ทำงานเพื่อประเทศชาติอย่างเต็มที่
จะมีกลุ่มทุจริตคิดมิชอบ เพื่อหวังผลประโยชน์ต่างๆ เบียดสีให้ตกเก้าอี้ไป
ในสายตาของกลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้ จะมองเห็นคนดีๆ ว่าเป็นตัวกาลกิณีของเขา
ไม่ยอมที่จะให้เข้าไปรู้เห็นในความทุจริตคิดมิชอบของตน คนดีๆ
จึงไม่มีในสังคมนี้เลย ถ้าเป็นนักบวช
ก็เป็นในลักษณะนี้เช่นกันท่านองค์ใดมีใจบริสุทธิ์ผุดผ่องในพระธรรมวินัย
มีความรู้ดี ปฏิบัติชอบต่อมรรคผลนิพพาน ท่านเหล่านั้นจะไม่มีใครให้ความสนใจ
ไม่อยากเข้าใกล้ ไม่อยากฟังธรรม
จะมองเห็นว่าเป็นพระคร่ำครึล้าสมัยไม่เกิดศรัทธา
ไม่อยู่ในสายตาของเขาแต่อย่างใด
เพราะใจไม่มีความเคารพเชื่อถือในท่านเหล่านั้น แม้แต่จะแบ่งปันปัจจัยทั้งสี่
ที่มีอยู่อย่างเหลือเฟือ ก็ไม่เต็มใจ ถึงจะถวายให้
ก็นิดหน่อยพอเป็นพิธีเท่านั้น ท่านเหล่านี้จึงมีชีวิตอยู่ด้วยความลำบาก
ใครก็ไม่อยากบวชเป็นพระในลักษณะนี้ ในที่สุด พระดีๆ มีคุณธรรม ก็จะค่อยหมดไปๆ
ในศาสนาของเราตถาคต เรื่องเหล่านี้ จะเกิดมีในภายภาคหน้าโน้น





สุบินนิมิตข้อที่ 13 : คนชั่วเรืองอำนาจ พระเจ้าปเสนทิโกศล
ทรงสุบินนิมิตเห็นก้อนศิลาแท่งทึบ ขนาดใหญ่เท่าเรือ
ลอยอยู่บนผิวน้ำเหมือนกับเรือสำเภาเปล่า ตามธรรมดาแล้ว
ก้อนศิลาย่อมจมอยู่ใต้น้ำ แต่ก้อนศิลานั้นกลับลอยอยู่บนผิวน้ำ
พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น คนพาลสันดานชั่ว
คนทุศีล คนทุธรรม คนขี้โกง คนหัวประจบสอพลอ คนทุจริตคิดมิชอบ
คนไม่มีความละอาย จะได้เป็นที่ยกย่องเชิดชูในสังคม เป็นผู้มีบทบาท มีอำนาจ
มีชื่อเสียงเกียรติยศ มีพวกพ้องบริวารมาก
ถ้าเป็นฆราวาสก็จะมีแต่ผู้เชิดหน้าชูตา ไปไหนมาไหนมีแต่คนเคารพยำเกรง
มีฝูงชนให้การต้อนรับเอาใจ เรียกว่าเป็นกระจกบานใหญ่
ให้แสงสะท้อนเงาของประเทศนั้นๆ สังคมของประเทศนั้นมีความเจริญหรือเสื่อมลง
ก็ให้ดูกระจกบานใหญ่ที่ตั้งอยู่ในสภา
จะเป็นสื่อบอกประตู้หน้าต่างของสังคมได้เป็นอย่างดี
ประเทศใดมีตัวแทนในลักษณะใด จะรู้ได้ว่าผู้ที่เลือกเขาเข้ามา
ก็เป็นลักษณะอย่างนั้น เขาจะเลือกเอาเกรดเดียวกัน ยี่ห้อเดียวกัน
ถ้าเป็นนักบวช นักพรต ก็เป็นลักษณะนี้ศาสนาจะมีความเจริญขึ้นหรือเสื่อมลง
ก็ขึ้นอยู่กับบริษัททั้งสี่ ลำพังพระอย่างเดียว
จะโดดเด่นขึ้นในท่ามกลางของสังคมนั้นไม่ได้ พระที่จะมีชื่อเสียงโด่งดัง
ก็เพราะญาติโยมนำไปออกข่าวโฆษณา ว่าองค์นั้นมีความขลังอย่างนั้น
องค์นี้มีความศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้ มีอภินิหาร ไปทางไหนก็นำไปออกข่าว
องค์ไหนปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ องค์ไหนเป็นพระอริยเจ้า
ฆราวาสจะเป็นผู้คาดการณ์ให้เอง ในยุคสมัยนั้น
พระอรหันต์จะเกิดจากลูกศิษย์ยกให้เอง ศิษย์แต่ละครู ศิษย์แต่ละสำนัก
จะผลิตจะกำหนดรูปแบบอาจารย์ของตัวเอง ให้เป็นพระอรหันต์ขึ้น
เรื่องข้อวัตรปฏิบัติของอาจารย์ มีความเคร่งครัดอย่างไร
ก็นำไปโฆษณาอย่างหยดย้อย
นี่เองก้อนศิลาแท่งจึงได้ลอยอยู่บนผิวน้ำมีความโดดเด่นเห็นได้อย่างชัดเจน
จึงเป็นธุรกิจในคราบผ้ากาสาวพัสตร์บังหน้า เอาศาสนามาแอบอ้างหากิน
เมื่อช่วงปลายศาสนาโน้น คนจะหมดความเลื่อมใสในศาสนาของเราตถาคต
คนที่มีศรัทธาเบาบางก็จะค่อยจืดจางไป เพราะเห็นความชั่วร้ายในพระยุคนั้นๆ
ผู้ที่มีปัญญาดี มีความมั่นคง มีเหตุมีผล
เขาจะแสวงหาพระที่เป็นพระได้อย่างถูกต้อง เมื่อปลายศาสนาโน้น
เรื่องอย่างนี้จะต้องเกิดขึ้นแน่นอน





สุบินนิมิตข้อที่ 14 : นักบวชหลงลาภยศ พระเจ้าปเสนทิโกศล
ทรงสุบินนิมิตเห็นนางเขียดน้อยไล่กินงูเห่าตัวมหึมา
เมื่อไล่ทันก็กระโดดคาบกลืนกินทันที พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า
อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น นักบวชองค์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง
มีคำพูดเป็นวาทศิลป์ เคยแผ่พังพานในการแสดงธรรม มีบทบาทในสังคม
มีประชาชนให้ความเคารพเชื่อถือเป็นอย่างมาก ได้รับลาภ ยศ สรรเสริญจนลืมตัว
ไม่มีสติ ไม่มีปัญญา รักษาใจไม่มีความฉลาด จึงขาดในการสำรวม ตา หู จมูก ลิ้น
กาย และใจ ปล่อยให้ไปสัมผัสในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
จึงทำให้ใจเกิดอัฏฐารมณ์ คือ อารมณ์แห่งความรักความใคร่ในกามคุณ
มีความกำหนัดย้อมใจ นางเขียดน้อย (สตรี) ได้มองเห็นช่องโหว่
จึงได้วางแผนหว่านล้อมด้วยมารยานานาประการ
มีคำหวานอันหยดย้อยเหมือนน้ำอ้อยน้ำตาล ชโลมหัวใจงูเห่าจนหน้ามือตาลาย
หายใจไม่เต็มปอดอีนางเขียดน้อยได้จังหวะก็กระโดดคาบกลืนกินทันทีเรียบร้อยไป





สุบินนิมิตข้อที่ 15 : แวดล้อมด้วยพระทุศีล พระเจ้าปเสนทิโกศล
ทรงสุบินนิมิตเห็นหงส์สีทองทั้งหลาย ไปห้อมล้อมอีกา อีกาไปไหน
ฝูงหงส์สีทองทั้งหลาย ก็ห้อมล้อมเป็นบริวาร พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า
อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น พระเณรผู้บวชใหม่
ใจยังมีความบริสุทธิ์อยู่ในศีลในธรรม จะห้อมล้อมพระที่ทุศีลทุธรรม
จะยกให้เป็นครูอาจารย์เพื่อเคารพกราบไหว้อย่างเหลือเฟือ อีกาฉลาด
มีเล่ห์เหลี่ยมในการหาอาหารฉันใด พระทุศีลทุธรรมเหล่านี้ก็ฉลาด
มีเล่ห์เหลี่ยมในการหาลาภสักการะได้ฉันนั้น
และแบ่งลาภสักการะให้แก่หงส์เล็กหงส์ใหญ่ได้อย่างทั่วถึง ฝูงหงส์ทั้งหลาย
จึงให้ความสำคัญในอีกาเป็นอย่างมาก ในยุคต่อไปช่วงปลายศาสนาโน้น
การเปลี่ยนไปในสังคมของสมณะก็จะเป็นอย่างนี้ พระที่ทุศีลทุธรรมจะเพิ่มมากขึ้น
พระเณรที่ขาดการศึกษา จะไม่รู้ธรรมวินัย ไม่เข้าใจว่าอะไรควร อะไรไม่ควร
อะไรผิดศีล อะไรผิดธรรม จะไม่รู้หน้าที่ของตน เพียงบวชกันตามประเพณีเท่านั้น
เหตุการณ์อย่างนี้ ก็จะเกิดมีในภายภาคหน้าโน้น





สุบินนิมิตข้อที่ 16 : โค่นล้มราชาธิปไตย พระเจ้าปเสนทิโกศล
ทรงสุบินนิมิตเห็นฝูงแพะทั้งหลายพากันไล่จับเสือมาเป็นอาหาร
พากันเคี้ยวกินอยู่กรอบๆ พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า
อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น ประชาชนทั้งหลาย ไม่พอใจการปกครองแบบราชาธิปไตย
จึงพากันจับกลุ่มเพื่อเรียกร้องต่อต้านการปกครองของพระราชา
ให้ได้มาซึ่งการปกครองแบบประชาธิปไตย ให้พระราชลดบทบาท ลดอำนาจลง
อยู่ในการปกครองภายใต้กฎหมายเท่าเทียมกัน เมื่อพระราชาไม่ยินยอม
ก็พากันปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจ ให้เป็นไปตามความต้องการของประชาชน
ถ้าพระราชชาองค์ใดขัดขืน ก็ลบล้างพระมหากษัตริย์ ผู้เป็นประมุขของประเทศนั้นๆ
พร้อมด้วยพระราชวงศ์ ให้หมดไปจากประเทศชาตินั้นเสีย
มีบางประเทศที่พระราชยินยอมตามคำขอร้องของประชาชน
ยอมลงจากอำนาจเดิมคือราชาธิปไตย ประชาราษฎรในบ้านนั้นเมืองนั้น
ก็จะพากันให้ความเคารพเชื่อถือในองค์พระมหากษัตริย์
พากันยกย่องเชิดชูในพระราชวงศ์นั้นจนสุดชีวิต เพื่อให้เป็นร่มโพธิร่มไทร
เป็นสมมุติเทพ กราบไหว้เทิดทูน ให้เป็นศูนย์รวมน้ำใจของประเทศนั้นๆ
ตลอดไปสินกาลนาน เหตุการณ์อย่างนี้ ก็จะเกิดมีในภายภาคหน้าโน้น

637
พุทธทาส จักอยู่ไป ไม่มีตาย
 แม้ร่างกายจะดับไปไม่ฟังเสียง
 
ร่างกายเป็น ร่างกายไป ไม่ลำเอียง
 นั่นเป็นเพียงสิ่งเปลี่ยนไปในเวลา
 
พุทธทาส คงอยู่ไป ไม่มีตาย
 ถึงดีร้ายก็จะอยู่คู่ศาสนา
 
สมกับมอบ กายใจ รับใช้มา
 ตามบัญชาองค์พระพุทธไม่หยุดเลย
 
พุทธทาส ยังอยู่ไป ไม่มีตาย
 อยู่รับใช้ เพื่อนมนุษย์ไม่หยุดเฉย
 
ด้วยธรรมโฆษณ์ตามที่วางไว้อย่างเคย
 โอ้เพื่อนเอ๋ยมองเห็นไหมอะไรตายฯ
 
แม้ฉันตาย กายลับ ไปหมดแล้ว
 แต่เสียงสั่ง ยังแจ้ว แว่วหูสหาย
 
ว่าเคยพลอดกันอย่างไรไม่เสื่อมคลาย
 ก็เหมือนฉันไม่ตาย กายธรรมยัง
 
ทำกับฉัน อย่างกะฉัน นั้นไม่ตาย
 ยังอยู่กับ ท่านทั้งหลายอย่างหนหลัง
 
มีอะไรมาเขี่ยไค้ ให้กันฟัง
 เหมือนฉันนั่ง ร่วมด้วย ช่วยชี้แจง
 
ทำกับฉัน อย่างกะฉัน ไม่ตายเถิด
 ย่อมจะเกิด ผลสนอง หลายแขนง
 
ทุกวันนัด สนทนา อย่าเลิกแล้ง
 ทำให้แจ้ง ที่สุดได้ เลิกตายกันฯ
 


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

638
ปริญญาทางโลก ที่ท่านได้รับ
๑. พุทธศาสตร์ ดุษฎีบัณฑิต กิตติมศักดิ์ จาก มหาจุฬา ลงกรณ ราชวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๒๒
๒. อักษรศาสตร์ ดุษฎีบัณฑิต กิตติมศักดิ์ สาขา ปรัชญา และ ศาสนา จาก มหาวิทยาลัย ศิลปากร พ.ศ. ๒๕๒๘
๓. ปรัชญา ดุษฎีบัณฑิต กิตติมศักดิ์ สาขา วิชา ศึกษาศาสตร์ จาก มหาวิทยาลัย รามคำแหง พ.ศ. ๒๕๒๘
๔. ศิลปศาสตร์ ดุษฎีบัณฑิต กิตติมศักดิ์ สาขา ปรัชญา จาก มหาวิทยาลัย สงขลา นครินทร์ พ.ศ. ๒๕๒๙
๕. อักษรศาสตร์ ดุษฎีบัณฑิต กิตติมศักดิ์ สาขา ปรัชญา จาก จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๓๐
๖. การศึกษา ดุษฎีบัณฑิต กิตติมศักดิ์ สาขา พัฒนศึกษาศาสตร์ จาก มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ พ.ศ. ๒๕๓๒
๗. ศิลปศาสตร์ ดุษฎีบัณฑิต กิตติมศักดิ์ จาก มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๓๖

ในระดับนานาชาติ ปัจจุบัน ทุกมหาวิทยาลัย ที่มีแผนก สอนวิชา ศาสนาสากล ทั้งในยุโรป และ อเมริกาเหนือ ล้วน ศึกษางานของท่าน หนังสือ ของท่าน กว่า ๑๔๐ เล่ม ได้รับการแปลเป็น ภาษาอังกฤษ, กว่า ๑๕ เล่ม เป็นภาษาฝรั่งเศส, และ อีก ๘ เล่ม เป็น ภาษาเยอรมัน นอกจากนั้น ยังแปลเป็นภาษา จีน อินโดนีเซีย ลาว และ ตากาล็อค อีกด้วย กล่าวได้ว่า ในประวัติศาสตร์ไทย ท่านอาจารย์พุทธทาส มีผลงาน ที่เป็น หนังสือแปล สู่ต่างประเทศ มากที่สุด

๔. ผลงานแห่งชีวิต
ตลอดชีวิต ของ ท่านอาจารย์พุทธทาส ท่านย้ำอยู่เสมอว่า "ธรรมะ คือ หน้าที่" เป็นการทำหน้าที่ เพื่อความอยู่รอด ทั้งทางฝ่ายกาย และฝ่ายวิญญาณ ของมนุษย์ และ ท่าน ได้ทำหน้าที่ ในฐานะ ทาส ผู้ซื่อสัตย์ ของ พระพุทธเจ้า ทุกอณู แห่งลมหายใจ เข้าออก จนแม้วาระสุดท้าย แห่งชีวิต จึงไม่น่าสงสัยเลยว่า ผลงาน ที่ท่าน สร้างสรรค์ ไว้ เพื่อ เป็น มรดก ทางธรรมนั้น จะมีมากมาย สักปานใด ซึ่งจะขอนำมากล่าวเฉพาะ ผลงานหลักๆ ดังนี้ คือ

๑. การจัดตั้ง สถานปฏิบัติธรรม สวนโมกขพลาราม และ สวนโมกข์นานาชาติ
๒. การร่วมกับ คณะธรรมทาน ในการออกหนังสือพิมพ์ "พุทธสาสนา" ราย ๓ เดือน นับเป็นหนังสือพิมพ์ ทาง พระพุทธศาสนา เล่มแรก ของไทย เริ่มตีพิมพ์ เมื่อเดือน พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๗๖ และ ต่อเนื่องมา จนถึง ปัจจุบัน เป็นเวลารวม ๖๑ ปี นับเป็นหนังสือพิมพ์ ทาง พระพุทธศาสนา ที่มีอายุยืนยาวที่สุดของไทย
๓. การพิมพ์หนังสือ ชุด "ธรรมโฆษณ์" ซึ่งเป็นหนังสือที่ รวบรวม พิมพ์ จาก ปาฐกถาธรรม ที่ท่านแสดงไว้ในวาระต่างๆ และ งานหนังสือเล่ม เล่มอื่นๆ ของท่าน โดยแบ่งออก เป็น ๕ หมวด คือ

๑. หมวด "จากพระโอษฐ์" เป็นเรื่องที่ท่าน ค้นคว้า จาก พระไตรปิฎก ฉบับ ภาษา บาลี โดยตรง
๒. หมวด "ปกรณ์พิเศษ" เป็นคำอธิบาย ข้อธรรมะ ที่เป็นหลักวิชา และหลักปฏิบัติ
๓. หมวด "ธรรมเทศนา" เป็นคำบรรยายแบบเทศนา ในเทศกาลต่างๆ
๔. หมวด "ชุมนุมธรรมบรรยาย" เป็นคำขยายความ ข้อธรรมะ เพื่อให้เข้าใจได้อย่างถูกต้อง
๕. หมวด "ปกิณกะ" เป็นการอธิบายข้อธรรมะ เบ็ดเตล็ด ต่างๆ ประกอบ ความเข้าใจ

ปัจจุบัน หนังสือชุดนี้ ได้ตีพิมพ์ เป็นหนังสือ ขนาด ๘ หน้ายก หนาเล่มละ ประมาณ ๕๐๐ หน้า จำนวน ๖๑ เล่ม แล้ว ที่ยังรอการจัดพิมพ์ อีก ประมาณ ร้อยเล่ม
๔. การปาฐกถาธรรม ของท่าน ที่ก่อให้เกิด กระแสการวิพากษ์ วิจารณ์ ทั้งในแง่วิธีการ และ การตีความ พระพุทธศาสนา ของท่าน กระตุ้น ให้ผู้คน กลับมาสนใจธรรมะ กันอย่างลึกซึ้ง แพร่หลาย มากขึ้น ครั้งสำคัญๆ ได้แก่ ปาฐกถาธรรม เรื่อง "ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม" "อภิธรรมคืออะไร" "ปฏิจจสมุปบาท คืออะไร" "จิตว่าง หรือ สุญญตา" "นิพพาน" "การทำงาน คือ การปฏิบัติธรรม" "การศึกษาสุนัขหางด้วน" เป็นต้น

๕. งานประพันธ์ ของท่านเอง เช่น "ตามรอยพระอรหันต์" "ชุมนุมเรื่องสั้น" "ชุมนุมเรื่องยาว" "ชุมนุมข้อคิดอิสระ" "บทประพันธ์ของ สิริวยาส" (เป็นนามปากกา ที่ท่านใช้ ในการเขียน กวีนิพนธ์) เป็นต้น
๖. งานแปลจากภาษาอังกฤษของท่าน เล่มสำคัญ คือ "สูตรของเว่ยหล่าง" "คำสอนของฮวงโป" ทั้งสองเล่ม เป็นพระสูตรที่สำคัญของพุทธศาสนา นิกายเซ็น เป็นต้น

เกี่ยวกับ งานหนังสือนี้ ท่านเคยให้สัมภาษณ์ กับพระประชา ปสนฺนธมฺโม ว่า

"เราได้ทำสิ่งที่มันควรจะทำ ไม่เสียค่าข้าวสุกของผู้อื่นแล้ว เชื่อว่า มันคุ้มค่า อย่างน้อย ผมกล้าพูดได้อย่างหนึ่งว่า เดี๋ยวนี้ ไม่มีใครในประเทศไทย บ่นได้ว่า ไม่มีหนังสือธรรมะอ่าน ก่อนนี้ ได้ยินคนพูดจนติดปาก ว่า ไม่มีหนังสือธรรมะจะอ่าน เราก็ยังติดปาก ไม่มีหนังสือธรรมะจะอ่าน ตอนนี้ บ่นไม่ได้อีกแล้ว"

ท่านอาจารย์ พุทธทาส ได้ละสังขาร กลับคืน สู่ ธรรมชาติ อย่างสงบ ณ สวนโมกขพลาราม เมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๓๖ สิริรวม อายุ ๘๗ ปี นับได้ ๖๗ พรรษา คงเหลือไว้แต่ ผลงาน ที่ ทรง คุณค่า แทนตัวท่าน ให้อนุชน คนรุ่นหลัง ได้ สืบสาน ปณิธาน ของท่าน รับมรดก ความเป็น "พุทธทาส" เพื่อ พุทธทาส จะได้ไม่ตาย ไปจาก พระพุทธศาสนา ดังบทประพันธ์ ของท่าน ที่ว่า

พุทธทาส จักอยู่ไป ไม่มีตาย
 แม้ร่างกายจะดับไปไม่ฟังเสียง
 
ร่างกายเป็น ร่างกายไป ไม่ลำเอียง
 นั่นเป็นเพียงสิ่งเปลี่ยนไปในเวลา
 
พุทธทาส คงอยู่ไป ไม่มีตาย
 ถึงดีร้ายก็จะอยู่คู่ศาสนา
 
สมกับมอบ กายใจ รับใช้มา
 ตามบัญชาองค์พระพุทธไม่หยุดเลย
 
พุทธทาส ยังอยู่ไป ไม่มีตาย
 อยู่รับใช้ เพื่อนมนุษย์ไม่หยุดเฉย
 
ด้วยธรรมโฆษณ์ตามที่วางไว้อย่างเคย
 โอ้เพื่อนเอ๋ยมองเห็นไหมอะไรตายฯ
 
แม้ฉันตาย กายลับ ไปหมดแล้ว
 แต่เสียงสั่ง ยังแจ้ว แว่วหูสหาย
 
ว่าเคยพลอดกันอย่างไรไม่เสื่อมคลาย
 ก็เหมือนฉันไม่ตาย กายธรรมยัง
 
ทำกับฉัน อย่างกะฉัน นั้นไม่ตาย
 ยังอยู่กับ ท่านทั้งหลายอย่างหนหลัง
 
มีอะไรมาเขี่ยไค้ ให้กันฟัง
 เหมือนฉันนั่ง ร่วมด้วย ช่วยชี้แจง
 
ทำกับฉัน อย่างกะฉัน ไม่ตายเถิด
 ย่อมจะเกิด ผลสนอง หลายแขนง
 
ทุกวันนัด สนทนา อย่าเลิกแล้ง
 ทำให้แจ้ง ที่สุดได้ เลิกตายกันฯ
 
  พุทธทาส อินทปัญโญ
 


639
คัดลอกจาก พุทธทาส.คอม - buddhadasa.com

คัดจากหนังสือ พุทธสาสนา ปีที่ ๖๗ เล่ม ๒ พุทธศักราช ๒๕๔๒

๑. กำเนิดแห่งชีวิต ?
 ท่านอาจารย์พุทธทาส มีนามเดิมว่า เงื่อม นามสกุล พานิช เกิดเมื่อ วันอาทิตย์ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะเมีย วันที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ ในสกุลของ พ่อค้าที่ตลาด พุมเรียง ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี บิดา ชื่อ เซี้ยง มารดาชื่อ เคลื่อน มีน้อง สองคน เป็นชาย ชื่อ ยี่เก้ย และ เป็นหญิง ชื่อ กิมซ้อย

บิดาของท่านมีเชื้อสายจีน ประกอบอาชีพหลัก คือ การค้าขาย ของชำ เฉกเช่น ที่ชาวจีน นิยมทำกันทั่วไป แต่อิทธิพลที่ท่านได้รับจากบิดา กลับเป็นเรื่องของความสามารถทางด้านกวี และ ทางด้านช่างไม้ ซึ่งเป็นงาน อดิเรก ที่รักยิ่ง ของบิดา

ส่วนอิทธิพลที่ได้รับจากมารดา คือ ความสนใจ ในการศึกษาธรรมะ อย่างลึกซึ้ง อุปนิสัย ที่เน้น เรื่อง ความประหยัด เรื่องละเอียดละออ ในการใช้จ่าย และการทำทุกสิ่งให้ดีที่สุด และต้องทำให้ดีกว่าครูเสมอ ท่านได้เรียนหนังสือเพียงแค่ชั้น ม.๓ แล้วต้องออกมาค้าขาย แทนบิดา ซึ่งเสียชีวิต

ครั้น อายุครบ ๒๐ ปี ก็ได้บวชเป็นพระ ตาม คตินิยม ของชายไทย ที่วัด โพธาราม ไชยา ได้รับ ฉายา ว่า " อินทปัญโญ" แปลว่า ผู้มีปัญญา อันยิ่งใหญ่ เดิมท่านตั้งใจจะบวชเรียน ตามประเพณีเพียง ๓ เดือน แต่ ความสนใจ ความซาบซึ้ง ความรู้สึก เป็นสุข และสนุก ในการศึกษา และเทศน์ แสดงธรรม ทำให้ท่าน ไม่อยากสึก เล่ากันว่า เจ้าคณะอำเภอ เคยถามท่าน ขณะที่เป็น พระเงื่อม ว่า มีความคิดเห็น อย่างไร ในการใช้ชีวิต ท่านตอบว่า "ผมคิดว่า จะใช้ชีวิต ให้เป็น ประโยชน์ แก่ เพื่อนมนุษย์ให้มากที่สุด" ?"..แต่ถ้า ยี่เก้ย จะบวช ผมก็ต้องสึก ออกไป อยู่บ้าน ค้าขาย" ท่านเจ้าคณะอำเภอ ก็เลยไปคุยกับโยมแม่ของท่านว่า ท่านควรจะ อยู่เป็นพระ ต่อไป ส่วนยี่เก้ย น้อยชาย ของท่าน นั้น ไม่ต้องบวช ก็ได้ เพราะมีชีวิต เหมือน พระอยู่แล้ว คือ เป็นคนมักน้อย สันโดษ การกินอยู่ ก็ เรียบง่าย ตัดผมสั้นเกรียนตลอดเวลา นายยี่เก้ย ก็เลย ไม่ได้บวช ให้พี่ชาย บวช แทน มาตลอด

นาย ยี่เก้ย ต่อมา ก็คือ "ท่านธรรมทาส" ฆราวาสผู้เป็นกำลังหลัก ของ คณะธรรมทาน ในการเผยแผ่ พระพุทธศาสนา ของสวนโมกขพลาราม

๒. อุดมคติแห่งชีวิต
พระเงื่อม ได้เดินทาง มาศึกษาธรรมะต่อ ที่กรุงเทพฯ สอบได้นักธรรมเอก แล้วเรียนภาษาบาลี จนสอบได้ เปรียญ ๓ ประโยค ระหว่างที่เรียน เปรียญธรรม ๔ อยู่นั้น ด้วยความที่ท่านเป็นคนรักการศึกษา ค้นคว้า จากพระไตรปิฎก และศึกษาค้นคว้า ออกไปจากตำรา ถึงเรื่อง การปฏิรูป พระพุทธศาสนา ในประเทศศรีลังกา อินเดียและ การเผยแพร่ พระพุทธศาสนา ในโลก ตะวันตก ทำให้ท่าน รู้สึกขัดแย้ง กับ วิธีการสอนธรรมะ ที่ยึดถือ รูปแบบ ตามระเบียบ แบบแผน มากเกินไป ความย่อหย่อน ในพระวินัยของสงฆ์ ตลอดจน ความเชื่อที่ผิดๆ ของ พุทธศาสนิกชน ในเวลานั้น ทำให้ท่านมีความเชื่อมั่นว่า พระพุทธศาสนาที่สอน ที่ปฏิบัติกัน ในเวลานั้น คลาดเคลื่อน ไปมากจากที่ พระพุทธองค์ ทรงชี้แนะ

ท่านจึงตัดสินใจ หันหลังให้กับการศึกษาของสงฆ์ เวลานั้น กลับไชยา เพื่อศึกษา และทดลองปฏิบัติ ตามแนวทาง ที่ท่านเชื่อมั่น โดยร่วมกับนายธรรมทาส และ คณะธรรมทาน จัดตั้งสถานปฏิบัติธรรม "สวนโมกขพลาราม" ขึ้น เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๕ จากนั้น ท่านได้ศึกษา และปฏิบัติธรรมะ อย่างเข้มข้น จนเชื่อมั่นว่าท่านมาไม่ผิดทางแน่ และได้ประกาศ ใช้ชื่อนาม "พุทธทาส "เพื่อแสดงว่า ให้เห็นถึง อุดมคติสูงสุด ในชีวิตของท่าน

 ?

จากบันทึกของท่าน เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗ เขียนไว้ว่า "...ชีวิตของข้าพเจ้า สละทุกอย่างๆ มุ่งหมายต่อความสุขนี้ และประกาศ เผยแพร่ความสุขนี้ เท่านั้น ไม่มีอะไรดีกว่านี้ในบรรดามีอยู่ใน พุทธศาสนา..."

๓. ปณิธานแห่งชีวิต
อุดมคติ ที่หยั่งรากลึกลงแล้วนี้ ทำให้ท่านสนใจใฝ่หาความรู้ทางธรรมะ ตลอดเวลา ไม่เฉพาะแต่ พระพุทธศาสนา ฝ่ายเถรวาท หรือ หินยาน แต่ครอบคลุม ไปถึงพระพุทธศาสนา แบบ มหายาน และ ศาสนาอื่น เช่น คริสต์ อิสลาม ฮินดู สิกข์ เป็นต้น จากความรอบรู้ ที่กว้างขวาง และลึกซึ้ง นี้เอง ทำให้ท่านสามารถประยุกต์ วิธีการสอน และปฏิบัติธรรมะ ได้อย่างหลากหลาย ให้คนได้เลือกปฏิบัติ ให้สอดคล้อง กับพื้นความรู้ และอุปนิสัยของตนได้ โดยไม่จำกัด ชนชั้น เชื้อชาติและศาสนา เพราะท่านเชื่อว่า มนุษย์ ทุกคน ก็คือ เพื่อน ร่วม เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันหมด ทั้งสิ้น และหัวใจ ของทุกศาสนา ก็เหมือนกันหมด คือ ต้องการ ให้คนพ้นจากความทุกข์ ท่านจึง ได้ตั้ง ปณิธานในชีวิตไว้ ๓ ข้อ คือ

๑. ให้พุทธศาสนิกชน หรือ ศาสนิกแห่งศาสนาใดก็ตาม เข้าถึง ความหมายอันลึกซึ้ง ที่สุดแห่งศาสนาของตน
๒. ทำความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนา
๓. ดึงเพื่อนมนุษย์ให้ออกมาเสียจากวัตถุนิยม

แม้ในความพยายามที่จะทำตามปณิธานนี้ จะทำให้ บางคนไม่เข้าใจท่าน ไม่ชอบท่าน ด่าว่าท่าน หาว่า ท่านจ้วงจาบ พระพุทธศาสนา เป็นเดียรถีย์ เป็นคอมมิวนิสต์ หรือ รับจ้าง คนคริสต์ มาทำลายล้าง พระพุทธศาสนา ก็ตาม แต่ท่านกลับรับฟัง คำวิจารณ์ เหล่านี้ด้วยใจเป็นกลาง ถือเป็นการแลกเปลี่ยนทางความคิด ในเรื่อง เนื้อหา และ หลักการ มากกว่า ที่จะก่อความ ขัดแย้ง ส่วนตัว เพราะท่านมีหลัก ในการทำงานว่า " พุทธบุตร ทุกคน ไม่มี กังวล ในการ รักษา ชื่อเสียง มีกังวล แต่การ ทำความบริสุทธิ์ เท่านั้น เมื่อได้ทำความ บริสุทธิ์ มองเห็นชัดเจนใจอยู่แล้วว่า นี่มันบริสุทธิ์ เป็นธรรมแท้ ใครจะชอบ หรือ ไม่ชอบก็ตาม เราต้องทำด้วยความ พยายาม อย่างสุดชีวิต จะมีชื่อเสียง หรือไม่นั้น อย่า นึกถึง เลยเป็นอันขาด จะกลายเป็น เศร้าหมอง และ หลอกลวง ไปไม่มาก ก็น้อย"

ในที่สุด ท่านก็ได้รับการยอมรับ จากวงการ คณะสงฆ์ไทย วงการศึกษา ของไทย และวงการศึกษาธรรมะของโลก ได้รับการยอมรับให้เป็นเสนาบดีแห่งกองทัพธรรมในยุคหลัง กึ่งพุทธกาล เยี่ยงพระมหากัสสป ในครั้งพุทธกาล

สมณศักดิ์ที่ท่านได้รับ
๑.เป็นพระครูอินทปัญญาจารย์ พ.ศ. ๒๔๘๙
๒. เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่พระอริยนันทมุนี พ.ศ. ๒๔๙๓
๓. เป็นพระราชาคณะชั้นราช ที่ พระราชชัยกวี พ.ศ. ๒๕๐๐
๔. เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ที่ พระเทพวิสุทธิเมธี พ.ศ. ๒๕๑๔
๕.เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ที่ พระธรรมโกศาจารย์ พ.ศ. ๒๕๒๐

แม้ท่านจะมีชื่อ สมณศักดิ์ ตามลำดับ หลายชื่อ แต่ท่านจะใช้ ก็ต่อเมื่อมีความจำเป็น ต้องติดต่อ ทางราชการ เท่านั้น ถ้าเป็นเรื่องอื่นแล้ว ท่านจะใช้ ชื่อว่า "พุทธทาส อินทปัญโญ" เสมอ แสดงให้เห็นถึงความอ่อนน้อม ถ่อมตัว ของท่าน ประการหนึ่ง ชื่อ พุทธทาสนี้ เป็นที่มาแห่งอุดมคติ ของท่านนั่นเอง


640
หลวงพ่อแพ เขมังกโร เป็นชาวจังหวัดสิงห์บุรี ท่านมีนามเดิมว่า "แพ ใจมั่นคง"  เกิดเมื่อวันจันทร์ ที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๔๘ ตรงกับ ขึ้น ๒ ค่ำ เดือนยี่ ปีมะเส็ง ณ บ้านสวนกล้วย เลขที่ ๙๓/๓ หมู่ที่ ๓ ตำบลพิกุลทอง อำเภอท่าช้าง จังหวัดสิงห์บุรี บิดาชื่อ นายเทียน ใจมั่นคง มารดาชื่อ นางหน่าย ใจมั่นคง

เมื่ออายุได้ ๘ เดือน มารดาผู้ให้กำเนิดได้ถึงแก่กรรม ดังนั้น นายบุญ และนางเพียร ขำวิบูลย์ สามี ภรรยา ซึ่งมีศักดิ์เป็นอา ได้ขอเด็กชายน้อยๆ ที่มีอายุเพียง ๘ เดือน จากนายเทียน ใจมั่นคง บิดาผู้บังเกิดเกล้าโดยรับอุปการะเป็นบุตรบุญธรรม

เมื่ออายุได้ ๑๑ ปี บิดามารดาบุญธรรม ได้นำเด็กชายแพไปฝากอยู่วัด กับสำนักอาจารย์ป้อม เพื่อที่จะศึกษาเล่าเรียนตามแบบโบราณนิยม คือ การเรียนภาษาไทยภาษาขอม

นอกจากนั้น ยังได้เรียนหนังสือ มูลบทบรรพกิจ ทางธรรมก็มีพระมาลัยสูตร และยังได้หัดอ่านพระธรรมเจ็ดคัมภีร์ เมื่ออายุได้ ๑๔ ปี บิดามารดาบุญธรรมได้ส่งไปศึกษาต่อที่สำนักวัดอาจารย์ อาจารย์ สม ภิกษุชาวเขมร วัดชนะสงคราม กรุงเทพฯ การศึกษาในกรุงเทพฯขั้นแรกได้เริ่มเรียนหนังสือโบราณท่องสนธิ เรียนมูลกัจจายนสูตร เป็นเวลา ๑ ปี ต่อมา ก็ไปเป็นนักเรียนบาลีไวยากรณ์ ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพฯ

เมื่อศึกษาหาความรู้จนอายุได้ ๑๖ ปี ก็กลับบ้านเกิด เพื่อบรรพชาเป็นสามเณร เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ.๒๔๖๓ ณ วัดพิกุลทอง ตำบลพิกุลทอง อำเภอท่าช้าง จังหวัดสิงห์บุรี โดยมีพระอธิการพันจันทสโร เจ้าอาวาสวัดพิกุลทอง เป็นพระอุปัชฌาย์ครั้นเมื่อบวชเป็นสามเณรแล้วก็ได้เดินทางกลับไปอยู่วัดชนะสงครามตามเดิม และได้ศึกษาบาลีไวยากรณ์ต่อไปอีก จนสอบได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค ตั้งแต่ยังเป็นสามเณร

ในปีพ.ศ.๒๔๖๘ นายเทียน ใจมั่นคง บิดาผู้บังเกิดเกล้าก็ได้ถึงแก่กรรม

โดยความมุมานะพยายาม โดยอาศัยแสงสว่างจากเทียนไขหรือตะเกียง โดยส่วนมากเพราะสาเหตุนี้ นัยน์ตา อันเป็นส่วนสำคัญของสังขาร ก็เกิดอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรง ทุกครั้งที่ตรากตรำอ่านหนังสือมากเกินไปในที่สุด นายแพทย์โรงพยาบาลจุฬาฯ ได้แนะนำ ไม่ให้อ่านหนังสืออีกต่อไป มิฉะนั้น นัยน์ตาอาจพิการได้ ดังนั้นภายหลังจากสอบได้เปรียญธรรม ๔ ประโยคแล้ว การศึกษาด้านพระปริยัติธรรมก็ต้องยุติลง แต่ด้วยความที่เป็นผู้มีใจใฝ่การศึกษา พระภิกษุแพ เขมังกะโร จึงได้ศึกษา และปฏิบัติสมถกัมมัฎฐาน วิปัสสนากัมมัฎฐานในสำนักของพระครูภาวนา วัดเชตุพน จนชำนาญ และดำเนินการสั่งสอนให้แก่ประชาชนทั่วไป

สามเณรเปรียญแพ ขำวิบูลย์ได้ทำการอุปสมบทเมื่ออายุครบ ๒๑ ปีบริบูรณ์ ในวันขึ้น ๖ ค่ำ ปีขาล ตรงกับวันพุธที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๖๙ ณ พระอุโบสถวัดพิกุลทอง โดยมีพระมงคลทิพย์มุนี เจ้าอาวาสวัดจักรวรรดิ์ราชาวาส กรุงเทพฯ เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านพระครูสิทธิเดช วัดชนะสงคราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ท่านเจ้าอธิการอ่อน วัดจำปาทอง เป็นพระอนุสาวนาจารย์

ได้รับฉายาว่า "เขมังกะโร" (แปลว่า ผู้ทำความเกษม) ภายหลังจากอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์แพ เขมังกะโร หรือมหาแพ ก็ได้เดินทางกลับสู่วัดชนะสงคราม เพื่อตั้งใจศึกษาทางด้านพระปริยัติธรรม ให้ได้ในระดับสูงที่สุด เพื่อที่จะได้นำความรู้ ความสามารถที่ได้ฝักใฝ่ศึกษาเล่าเรียนนั้น นำไปสร้างสรรค์ให้เกิดคุณค่า และประโยชน์ต่อชุมชนและพระพุทธศาสนาอย่างเต็มที่ พระภิกษุแพ เขมังกะโร พยายามที่จะศึกษาเล่าเรียนหาความรู้ อ่านหนังสือตำราเรียนอยู่เสมอ

ในปี พ.ศ.๒๔๗๔ อาจารย์หยด พวงมสิต เจ้าอาวาสวัดพิกุลทอง ได้ลาสิกขาบท ทำให้ตำแหน่งว่างลง ชาวบ้านพิกุลทอง และชาวบ้านจำปาทอง จึงนิมนต์ให้พระภิกษุแพมารับเป็นเจ้าอาวาสในเดือน เมษายน พ.ศ.๒๔๗๔ ซึ่งขณะนั้นท่านมีอายุเพียง ๒๖ ปี ต่อมาก็ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงค์ตำแหน่ง ตามหน้าที่การงานต่างๆ ดังนี้

พ.ศ.๒๔๘๒ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เจ้าคณะตำบลถอนสมอ

พ.ศ.๒๔๘๓ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็น พระอุปัชฌายะ

พ.ศ.๒๔๘๔ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เจ้าคณะอำเภอท่าช้าง

พ.ศ.๒๕๒๕ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เจ้าคณะจังหวัดสมณศักดิ์

พ.ศ. ๒๔๘๔ เป็นพระครูสัญญาบัตร ผู้ทำกิจปริยัติธรรมวินัยที่พระคณุศรีพรหมโสภิต

พ.ศ. ๒๕๑๕ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นพิเศษ

พ.ศ. ๒๕๒๑ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่พระสุนทรธรรมภาณี

พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่พระสิงหคณาจารย์

พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้รับพระราชทานเลื่อนชั้นสมณศักดิ์ เป็นกรณีพิเศษ

วันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๕ ในวาระครบ ๖๐ พรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เป็นพระราชาคณะ ชั้นเทพที่พระเทพสิงหบุราจารย์

พ.ศ. ๒๕๓๙ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นกรณีพิเศษ วันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๙ ใน วโรกาสเสด็จครองราชย์ครบ ๕๐ ปี เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่พระธรรมมุนี

นับตั้งแต่พระภิกษุแพ ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดพิกุลทอง ได้บำเพ็ญประโยชน์ภายในวัด และสาธารณประโยชน์ทั่วไป พอสรุปได้ดังนี้ ดำเนินการก่อสร้างถาวรวัตถุภายในวัด ได้แก่ พระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ หอสวดมนต์ หอประชุมกุฎิสงฆ์ หอไตร หอฉัน ศาลาวิปัสสนา โรงฟังธรรม ฌาปนสถาน ศาลาเอนกประสงค์ เขื่อนหน้าวัด ฯลฯ ดำเนินการก่อสร้างสารธรณประโยชน์ เพื่อเป็นการอนุเคราะห์แก่ประชาชนทั่วไป พอสรุปได้ดังนี้

1. เป็นประธานในการก่อสร้างโรงพยาบาลอำเภอท่าช้าง

2. เป็นประธานในการก่อสร้างที่ว่าการอำเภอท่าช้าง

3. เป็นประธานในการก่อสร้างสถานีตำรวจอำเภอท่าช้าง

4. เป็นประธานในการก่อสร้างสถานีอนามัยตำบลพิกุลทอง

5. เป็นประธานในการก่อสร้างโรงเรียนประชาบาลวัดพิกุลทอง

6. เป็นประธานในการหาทุนสมทบในการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ที่อำเภอ อินทร์บุรีและสะพานข้ามแม่น้ำน้อย อำเภอท่าช้าง

ดำเนินการก่อสร้างสาธารณประโยชน์ ให้กับโรงพยาบาลสิงห์บุรี

พ.ศ. ๒๕๒๘ ก่อสร้างอาคารหลวงพ่อแพ ๘๐ ปี เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กสูง ๔ ชั้น มูลค่า ๑๑,๑๐๐,๐๐๐ บาท (สิบเอ็ดล้านหนึ่งแสนบาทถ้วน) สามารถให้บริการผู้ป่วยได้ ๘๙ เตียง พร้อมทั้งจัดตั้งกองทุนเพื่อใช้เป็นค่ายาและเวชภัณฑ์ สำหรับพระภิกษุสามเณรที่อาพาธในโรงพยาบาลสิงห์บุรี เป็นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท (สองแสนบาทถ้วน)

พ.ศ. ๒๕๓๒ ก่อสร้างอาคารเอ็กซเรย์ (อาคารหลวงพ่อแพ ๘๖ ปี) เป็นอาคารคอนกรีต เสริมเหล็ก สูง ๒ ชั้น มูลค่า ๗,๐๐๐,๐๐๐ บาท (เจ็ดล้านบาทถ้วน) ก่อสร้างแล้วเสร็จ และทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๓ พ.ศ. ๒๕๓๕

พ.ศ.๒๕๓๔ ก่อสร้างอาคารหลวงพ่อแพ ๙๐ ปี เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก สูง ๖ ชั้น มูลค่า ๓๕,๐๙๕,๕๕๕ บาท (สามสิบห้าล้านเก้าหมื่นห้าพันห้าร้อยห้าสิบห้าบาทถ้วน) อาคารหลังนี้ได้ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๓๔ เวลา ๐๙.๐๙ น. และเปิดให้บริการ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๗ โดยชั้นที่ ๑ ถึงชั้นที่ ๕ เป็นหอผู้ป่วยสามัญ ชั้นที่ ๖ เป็นหอผู้ป่วยพิเศษ จำนวน๑๕ ห้อง และทางโรงพยาบาลสิงห์บุรีได้กราบทูลเชิญ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอาคารหลวงพ่อแพ ๙๐ ปี เมื่อวันจันทร์ที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ พ.ศ. ๒๕๓๘

พ.ศ. ๒๕๓๘ ก่อสร้างอาคารหลวงพ่อแพ เขมังกโร เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก สูง ๙ ชั้น มูลค่า ๑๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งร้อยยี่สิบล้านบาทถ้วน) ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อ วันที่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ อาคารหลังนี้มีพื้นที่ใช้สอย ๑๑,๔๓๐ ตารางเมตร โดย ชั้นที่ ๑ - ๒ เป็นแผนกบริการผู้ป่วยนอก ชั้นที่ ๓ - ๔ เป็นฝ่ายอำนวยการ ชั้นที่ ๕ - ๙ เป็นห้องผู้ป่วย จำนวน ๖๐ ห้อง ก่อสร้างแล้วเสร็จ และเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๑

พระธรรมมุนี ปัจจุบันมีอายุได้ 95 ปี พรรษา 74 ตลอดชีวิตของหลวงพ่อได้บำเพ็ญสาธารณประโยชน์อย่างเอนกอนันต์ และได้อุทิศเวลาส่วนใหญ่ให้แก่ประชาชนผู้เดือดร้อนหรือตกทุกข์ได้ยากตลอดมาหลวงพ่อแพ เปรียบเสมือนร่มโพธิ์ร่มไทรของประชาชนทั่วไปได้แผ่บารมีช่วยเหลือกิจการต่างๆ

นอกจากด้านศาสนาแล้วยังช่วยเหลือด้านการศึกษาและสาธารณสุขด้วยมีผลงานเป็นที่ประจักษ์มากมายโดยเฉพาะ

ในส่วนของโรงพยาบาลสิงห์บุรีได้รับความอนุเคราะห์จากพระเดชพระคุณหลวงพ่อแพดังจะเห็นได้จากการก่อสร้าง

อาคารหลวงพ่อแพ 80 ปี ,อาคารหลวงพ่อแพ 86 ปี (อาคารเอ็กซเรย์) ,อาคารหลวงพ่อแพ 90 ปี ที่เด่นเป็นสง่า และดูสวยงามภายในโรงพยาบาสิงห์บุรี และปัจจุบันกับอาคารหลวงพ่อแพเขมังกโร ที่สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีก็ด้วยเพราะบุญบารมีของหลวงพ่อแพ ที่ท่านมอบต่อสาธุชนด้วยเมตตาธรรม


641
วัดละหารไร่ จังหวัดระยอง

 

เรียบเรียงจาก http://members.tripod.com/~sidelook/gods/gods1.htm และ http://www.osomchit.com/Resume/PuTim.html

 

หลวงปู่ทิม นามเดิมชื่อทิม นามสกุลงามศรี เกิดที่บ้านหัวทุ่งตาบุตร หมู่ที่ ๒ ตำบลละหารไร่ อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกันเป็นชายทั้ง ๓ คน ท่านเป็นคนที่ ๒ เกิดเมื่อ ปีมะแม วันศุกร์ เดือน ๗ ตรงกับวันที่ ๑๖ เดือน มิถุนายน ๒๔๒๒ เป็นบุตรของนายแจ้ นางอินทร์ งามศรี

หลวงปู่ทิมเป็นหลานของหลวงปู่สังข์ โดยมารดาของท่านเป็นน้องสาวหลวงปู่สังข์ หลวงปู่สังข์นี้เป็นพระปรมาจารย์ผู้เรืองวิชาอาคมอย่างยิ่งในสมัยนั้น หลวงปู่สังข์องค์นี้เป็นผู้ก่อตั้งวัดละหารไร่ขึ้น เป็นพระที่เรืองวิทยาอาคมมาก น้ำลายที่ท่านถมถ้าถูกพื้น ๆ จะแตก เมื่อทางจังหวัดทราบถึงความเก่งกล้าในวิทยาอาคมของท่าน จึงนิมนต์มาอยู่ที่วัดเก๋งจีน และได้สร้างพระเนื้อตะกั่ววัดเก๋งจีนขึ้น ก่อนที่จะไปอยู่วัดเก๋งจีนนั้น หลวงปู่สังข์ได้ทิ้งตำราและวิทยาการต่าง ๆ ไว้ที่วัดละหารไร่ทั้งหมด เพราะท่านไม่หวงแหนในวิชาของท่านแต่อย่างใด ท่านกล่าวว่า "ใครมีปัญญาก็ค้นคว้าเอาเอง" บรรดาตำราและวิทยาการต่าง ๆ หลวงปู่สังข์ได้ทิ้งไว้ที่วัดละหารไร่นี้เองที่หลวงปู่ทิมก็ได้ใช้ศึกษาในเวลาต่อมา

 เมื่อท่านพระครูภาวนาภิรัติหรือหลวงพ่อทิม มีอายุเจริญวัยได้ ๑๗ ปี นายแจ้ผู้เป็นบิดาได้ส่งเสียและนำตัวของหลวงปู่ทิมไปฝากไว้กับท่านพ่อสิงห์ ที่วัดได้เล่าเรียนหนังสือกับท่านพ่อสิงห์พระอาจารย์เป็นเวลาประมาณ ๑ ปี และมีความสามารถเรียนรู้จนเข้าใจเขียนได้อ่านออกดีแล้ว นายแจ้ผู้เป็นบิดาของท่านจึงได้ไปกราบนมัสการท่านพ่อสิงห์ขอตัวหลวงปู่ทิมให้กลับมาอยู่ที่บ้านเช่นเดิมเพราะไม่มีคนช่วย หลวงปู่ทิมจึงได้ลาสิกขาออกมาช่วยพ่อแม่ทำงานและหาเลี้ยงพ่อแม่ตามวิสัยลูกที่ดี ผู้มีความกตัญญูกตเวที รู้จักปฏิบัติพ่อแม่มาด้วยดีตลอด

ในวัยหนุ่มของหลวงปู่ทิมนั้น ท่านเป็นคนคะนองเอาการอยู่ โดยท่านจะเป็นคนไปหาอาหารมาเลี้ยงครอบครัวด้วยการยิงนกตกปลาและออกเที่ยวล่าสัตว์ใหญ่ เพื่อนำไปขาย ซึ่งท่านทำไปด้วยความคึกคะนองประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งคือเพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวของท่าน

จนเมื่อท่านอายุได้ ๑๙ ปี ท่านจึงถูกคัดเลือกเป็นทหารและได้เข้าประจำการที่กรุงเทพฯ เป็นเวลาถึง ๔ ปีเศษ จึงได้รับการปลดปล่อยกลับมาอยู่ที่บ้านตามเดิม และเมื่อกลับมาอยู่บ้านได้ไม่นาน บิดาของท่านจึงได้จัดการอุปสมบทให้เป็นพระภิกษุ

อุปสมบท

หลวงปู่ทิมอุปสมบท เมื่อวันที่ ๗ เดือนมิถุนายน ๒๔๔๙ ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะแม โดยมีพระคุณเจ้าท่านพระครูขาว วัดทับมาเป็นพระอุปัชฌายะ พระอาจารย์เกตุ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์สิงห์ (พระอาจารย์ของท่าน ในขณะที่ท่านได้ศึกษาครั้งแรก) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ณ พัทธสีมา วัดละหารไร่ ได้ฉายาว่า อิสริโก เมื่อท่านบวชเป็นพระภิกษุแล้วท่านก็มาอยู่ที่วัดกับพระอาจารย์สิงห์ได้ ๑ พรรษา ขณะที่ท่านอยู่กับพระอาจารย์สิงห์นั้น ท่านได้ค้นคว้าและศึกษาตำราของหลวงปู่สังข์ทีท่านได้ทิ้งไว้ให้ตามตู้พระไตรปิฎกอย่างตั้งใจ เพราะท่านมีความสนใจในทางปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง

หลวงปู่ทิม อิสริโก นับว่าเป็นพระอาจารย์ที่แปลกกว่าพระอื่น ๆ ในรุ่นเดียวกัน คือ ท่านต้องการฝึกฝนตนเองด้วยการออกไปหาประสบการณ์ด้วยการออกเดินธุดงค์ ซึ่งพระในรุ่นเดียวกันไม่มีใครคิดที่จะออกไปแสวงหาความวิเวกตามป่าเขาลำเนาไพรอย่างท่าน เพราะต้องการศึกษาในทางพระปริยัติธรรมเท่านั้น

เมื่ออยู่ครบพรรษาแล้วท่านก็ได้ขออนุญาตและมนัสการกราบลาอาจารย์ออกธุดงค์ไปหลายจังหวัดเป็นเวลา 3 ปี จากนั้นท่านก็มาพิจารณาว่า ท่านก็ได้ใช้เวลานานพอสมควรแล้ว จึงควรเดินทางกลับมาพักเสียที เมื่อคิดดังนั้น ท่านก็เดินทางกลับมาจังหวัดชลบุรีและท่านก็ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดนามะตูมเป็นเวลา 2 พรรษา ระหว่างนั้นท่านก็ได้เที่ยวร่ำเรียนวิชากับเกจิอาจารย์หลายอาจารย์ด้วยกันรวมทั้งฆราวาส โยมเริ่ม โยมรอด และโยมสาย นอกจากนั้นยังศึกษาตำราซึ่งตกทอดมาจากหลวงปู่สังข์เฒ่า เจ้าอาวาสวัดเก๋งจีนซึ่งเป็นลุงแท้ๆ ของหลวงปู่ทิม เป็นเวลา 2 ปี เศษ และต่อมาท่านจึงกลับมาอยู่ที่วัดละหารไร่หรือ (วัดไร่วารี) ตามเดิมและท่านได้เรียนทางวิปัสสนากรรมฐานกับอาจารย์และอื่น ๆ อีกหลายอาจารย์ด้วยกัน

วัดละหารไร่ เดิมชื่อวัดไร่วารี เพราะมีน้ำอยู่ล้อมรอบ และเป็นที่กันดารมาก ถ้าใครได้หลงเข้าไป เป็นได้หลงป่าไปเลย ซึ่งแม้แต่หลวงปู่เองท่านยังต้องบุกป่าฝ่าดงเข้าไปอยู่ ในสมัยนั้นทางรถก็ยังไม่มี จะมีก็แต่ทางเดินแคบ ๆ เท่านั้น หลวงปู่ท่านจึงต้องพัฒนากันใหญ่ ด้วยความร่วมมือจากญาติโยมในท้องถิ่นนั้น คือได้มีชาวบ้านศรัทธาท่านมากถึงกับบวชเพื่อติดตามปรนนิบัติท่านถึง ๓ คน คือ นายทัต นายเปี่ยม และ นายแหยม ซึ่งทั้ง ๓ คนนี้มีความสนใจในวิชาทางศาสนาเป็นอย่างมาก

เมื่อหลวงปู่ทิมมาอยู่วัดละหารไร่แล้ว ต่อมาคณะสงฆ์ได้มอบหมายให้ท่านเป็น พระอธิการทิม อิสริโก เจ้าอาวาสวัดละหารไร่ ท่านได้ก่อสร้างเสนาสนะ บูรณะซ่อมแซมกุฏิ และอื่น ๆ อีกหลายอย่างพร้อมด้วยญาติโยมทั้งหลายก็มีความเลื่อมใสต่อท่านมาก เพราะท่านเป็นพระที่เคร่งในธรรมะและวินัยเป็นที่น่าเคารพมาก ต่อมาท่านจึงชักชวนบ้านและญาติโยมทั้งหลายได้ก่อสร้างพระอุโบสถขึ้น 1 หลัง ประมาณ 1 ปีเศษ ก็แล้วเสร็จและผูกพัทธสีมาเรียบร้อยในระยะเวลาเพียง 1 ปีเศษเท่านั้น และในปี พ.ศ. ๒๔๘๓  หลวงพ่อทิมได้จัดให้มีการเปิดโรงเรียนขึ้นอย่างเป็นทางการ เพื่อสอนกุลบุตรกุลธิดาของประชาชน โดยใช้ศาลาการเปรียญเป็นสถานที่สอน ต่อมาชาวบ้านเห็นดีด้วยกับการศึกษาจึงร่วมมือกับหลวงพ่อสร้างอาคารเรียนขึ้น ๑ หลัง ตามแบบ ป.๑ ข. โดยใช้เวลาการก่อสร้างเพียง 8 เดือนก็แล้วเสร็จเรียบร้อย ซึ่งปัจจุบันอาคารหลังนี้ชำรุดทรุดโทรมและรื้อถอนไปไม่ได้ใช้แล้ว  ต่อมาท่านก็ชักชวนชาวบ้านช่วยกันพัฒนาก่อสร้างสะพานข้ามคลองอีกหลายแห่ง สร้างหอฉันและศาลาการเปรียญสำเร็จ ด้วยเงินกว่า ๔ ล้านกว่า งานของท่านก็ได้บรรลุถึงความสำเร็จโดยเรียบร้อยทุกประการ

ด้วยผลงานดังกล่าว ในปี ๒๔๗๘ ท่านก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระครูชั้นประทวน ต่อมาในปี ๒๔๙๗ ทางคณะสงฆ์ได้แต่งตั้งให้ท่านเป็นพระครูชั้นสัญญาบัตร และในปี ๒๕๐๗ ท่านได้รับสมณศักดิ์เป็น พระครูภาวนาภิรัติ

ในครั้งแรกท่านไม่ใยดีกับยศตำแหน่งที่ทางการคณะสงฆ์ได้มอบให้ และถูกทางคณะสงฆ์เร่งรัดให้ท่านเดินทางไปรับพัดยศที่จังหวัด ซึ่งท่านก็ไม่ไปรับ จนกระทั่งชาวบ้านรู้ข่าว จำต้องพร้อมในกันจัดขบวนแห่ไปรับพัดยศและตราตั้งมาถวายให้กับท่านถึงวัด ท่านจึงต้องจำยอมรับอย่างเสียมิได้ โดยมีนายสาย แก้วสว่าง ในฐานะเป็นไวยาวัจกรและศิษย์ผู้ใกล้ชิด เป็นผู้นำคณะชาวบ้านไปรับพัดยศมาถวาย

หลวงปู่เป็นพระที่น่าเคารพและบูชาเป็นอย่างยิ่ง ท่านเป็นพระที่ยึดมั่นในพระธรรมและวินัยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นพระมักน้อย สันโดษ ไม่ยินดียินร้ายในรูป เสียง กลิ่น รส ท่านฉันเช้าประมาณ ๗ โมงเช้าและน้ำชาก็เวลา ๔ โมงเย็น ถ้าเลยเวลาหลวงปู่ไม่ยอมฉันแม้แต่น้ำชา ท่านฉันข้าวมื้อเดียวมาประมาณ ๔๗ ปี และ เนื้อ หมู เป็ด ไก่ หรืออาหารคาวทุกชนิด ท่านไม่ยอมฉัน มา ๔๗ ปีแล้ว แม้แต่น้ำปลาก็ไม่ฉัน อาหารที่ท่านฉันเป็น ผัก ถั่ว หรือเส้นแกงร้อน น้ำพริกกับเกลือป่นอย่างนี้อยู่เป็นนิจตลอดมา

 
 หน้ากุฏิที่ท่านใช้รับแขกสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่
 
 

มรณภาพ

ท่านได้มรณภาพด้วยโรคชรา เมื่อเวลา ๒๓.๐๐ น. ของวันที่ ๑๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ ณ หน้าหอสวดมนต์ วัดละหารไร่ หลังจากที่ได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลสมเด็จ ณ ศรีราชา เป็นเวลา ๒๓ วัน คณะศิษย์ได้จัดพิธีศพบำเพ็ญกุศล ณ วัดละหารไร่ หลังจากทำบุญ ๑๐๐ วัน อุทิศส่วนกุศลให้กับหลวงปู่ทิมแล้ว ได้เก็บศพไว้ที่ศาลา ภาวนาภิรัต ศาลาการเปรียญ วัดละหารไร่ จนกระทั่งได้ทำการพระราชทานเพลิงศพท่านไปเมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๒๖

 

ประวัติความเป็นมา วัดละหารไร่

หมู่ที่ ๘ ตำบลหนองละลอก อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง

คัดลอกจาก http://ezthailand.com/Prakruang/PutimAll.html

วัดละหารไร่นี้ ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณ ปี พ.ศ. ๒๓๕๔ เกิดขึ้นโดยหลวงพ่อสังฆ์เฒ่า รองเจ้าอาวาสวัดละหารไร่ ในสมัยนั้น เห็นว่าพื้นที่ทางฝั่งตรงด้านตรงข้ามทางด้านเหนือของวัดละหารใหญ่ มีทำเลดีเหมาะแก่การเพาะปลูกพืชผัก จึงได้เกณฑ์พวกลูกศิษย์ช่วยกันหักร้างถางพงใช้เป็นที่ปลูกพืชผักไว้ขบฉันกินเป็นอาหาร ในฤดูแล้ง ในขั้นแรกได้ทำการสร้างที่พักร่มเงาเอาไว้ เมื่อถึงเลวเข้าพรรษาก็จำพรรษาที่วัดละหารใหญ่ ต่อมามีผู้คนได้ไปทำไร่ในแถบใกล้ ๆ ที่นั้นมากขึ้น และเห็นว่ามีพระสงฆ์อยู่ เมื่อถึงวันพระก็จัดทำภัตตาหารไปถวายเป็นประจำ และต่อ ๆ มาได้มีพระภิกษุไปอยู่เพิ่มมากขึ้น ๆ จึงได้ก่อสร้างกุฎิวิหารขึ้น พระสงฆ์ก็จำพรรษาที่นั่นได้ แล้วตั้งชื่อว่าวัดละหารไร่ ตั้งแต่นั้นมา โดยมีหลวงพ่อสังฆ์เฒ่า ไปเป็นเจ้าอาวาสองค์แรก   

 ด้วยเหตุว่า   การค้นคว้าหาประวัตินั้นลำบากมาก เพราะเป็นเวลาเกือบ ๒๐๐ ปีมาแล้ว จึงได้อาศัยการเล่าสืบต่อกันมาและหลักฐานบางประการที่พอจะสันนิษฐานได้เป็นเรื่องประกอบในขณะที่ก่อตั้งวัดละหารไร่แล้วนั้น หลวงพ่อสังฆ์เฒ่าก็เป็นเจ้าอาวาสวัดละหารไร่ จึงสันนิษฐานว่าเมื่อวัดละหารไร่มีภิกษุที่อาวุโสอยู่บ้างแล้ว หลวงพ่อสังฆ์เฒ่าจึงมอบให้ปกครองกันเอง ซึ่งต่อมาทราบว่าเป็นหลวงพ่อแดงเป็นเจ้าอาวาสวัดละหารไร่ องค์ต่อมาจากหลวงพ่อสังฆ์เฒ่า ส่วนตัวท่านกลังไปเป็นเจ้าอาวาสวัดละหารใหญ่ตามเดิม ต่อจากคุณพ่อเฒ่าจันทร์ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดละหารใหญ่ในสมัยนั้น เหตุการณ์ต่อจากนั้นไม่มีใครทราบโดยละเอียด แต่มีหนังสือบางเล่มอ้างว่า หลังจากหลวงพ่อแดงแล้ว หลวงพ่อองค์ต่อ ๆ มาคือ หลวงพ่อเกิด หลวงพ่อสิงห์ หลวงพ่อจ๋วม เป็นลำดับ หลังจากหลวงพ่อจ๋วมลาสิกขาไปแล้ว ทำให้วัดละหารไร่ไม่มีพระภิกษุจำพรรษาอยู่เลย

642
จากหนังสือ ?งานของแผ่นดิน?
ของนายประมวล รุจนเสรี อธิบดีกรมการปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๐ ? ๒๕๔๒

นอกจากประเทศไทย ได้มีปรากฏการณ์หลายๆ อย่างเกิดขึ้นมากมาย ดังได้กล่าวมาแล้วในตอนก่อนสภาพบ้านเมืองของเรายังมีพฤติการณ์ที่น่าปริวิตกอีกมาก เช่น
- บุตรหลาน ไม่มีความเคารพยำเกรงในบิดามารดาของตนเองของคู่ครอง ทอดทิ้งไม่ดูแลเลี้ยงพ่อแม่ ผู้ใหญ่
- ผู้ปกครองประเทศ ไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม คนดีมีฝีมือไม่ได้รับการยกย่อง สนับสนุนให้ความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่ราชการ คนซื่อสัตย์ เฉลียวฉลาด เฉียบแหลม ไม่ได้รับแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ทางบริหารทางตุลาการ แต่ตรงกันข้ามคนไร้ฝีมือได้รับการยกย่องให้มีหน้าที่การงานสูงใหญ่ กิจการบ้านเมืองเกิดความเสียหาย คนดีมีฝีมือพากันทอดธุระ ปล่อยให้ผู้ที่มีฝีมืออ่อนบริหารบ้านเมืองตามยถากรรม
- นักปกครองผู้โง่เขลา ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ตั้งคนไร้ศีลธรรมเข้ามาทำงานเกี่ยวกับคดี บุคคลนั้นก็จะรับสินบนจากคู่กรณีทั้ง ๒ ฝ่าย


- ตระกูลที่เคยมียศศักดิ์ หรือตระกูลผู้ดีจะตกต่ำ ผู้คนเลวๆ จะได้รับยกย่องเป็นใหญ่เป็นโต มีอำนาจวาสนาในแผ่นดิน
- ผู้หญิงจะประพฤติตัวเลวทราม สำส่อน กินเหล้าเมายา เที่ยวเตร่เอาแต่แต่งตัว ใครมีเงินทองของล่อใจ ก็ไปกับคนนั้น
- บ้านเมืองจะร่วงโรย ไม่มีความอุดมสมบูรณ์
- ผู้ปกครองบ้านเมืองจะไร้คุณธรรม มีแต่อคติในใจ ไม่ปฏิบัติราชการโดยชอบธรรม มุ่งกอบโกยแต่ผลประโยชน์ เห็นแก่เงินเป็นที่สุด มิได้มีน้ำใจเห็นแก่ทุกข์ยากของราษฎรทั้งจะหยาบช้า ทารุณ กดขี่ ขูดรีดเอาแต่ราษฎรทุกวิถีทาง
- ผู้ปกครองบ้านเมือง จะไม่อยู่ในธรรม ผู้คนพลเมืองทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ พ่อค้า คหบดี ชาวไร่ ชาวนา แม้พระสงฆ์องค์เจ้า ก็ไม่ตั้งอยู่ในธรรม เทวดาอารักษ์ทุกหมู่เหล่าพลอยไม่ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อบ้านเมืองปราศจากผู้ตั้งอยู่ในธรรม ลมฟ้าอากาศ ก็เกิดวิปริตแปรปรวน เกิดพายุร้ายแรง ฝนไม่ตกทั่วทุกถิ่น แผ่นดินเดียวกัน บางถิ่นน้ำท่วม บางถิ่นแห้งแล้งบางถิ่นน้ำขาดแคลน
- พระศาสนาจะเสื่อมลง ภิกษุอลัชชีมีมาก อลัชชีเหล่านั้นแสดงธรรมเพราะหวังวัตถุปัจจัย ผู้คนก็เลื่อมใสฟังเทศน์เฉพาะแต่ชอบคำสำเนียงไพเราะ ถวายปัจจัยผู้เทศน์คราวละมากๆ พระภิกษุก็จะเทศน์เอาใจโยมเพื่อหวังปัจจัย
- คนดีตกต่ำ ไม่ได้รับการยกย่อง คนเลวได้เป็นใหญ่เป็นโต ได้รับการยอมรับนับถือ มีคนเอาอย่างการประพฤติปฏิบัติของคนเลว แม้แต่ในฝ่ายพระศาสนา พระสงฆ์ที่ประพฤติเลวทราม ทุศีลอลัชชี ก็ยังได้รับการยกย่อง
- สังคมเสื่อมทรามลงไปเรื่อยๆ ผู้คนเกิดตัณหาราคะจัด และประพฤติตนไปตามอำนาจกิเลส ผู้ชายตกอยู่ในอำนาจของภรรยาซึ่งเป็นสาวรุ่น
- สภาพการณ์ที่ยกมาแสดงไว้ ณ ที่นี้ เป็นสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในประเทศไทยและสภาพการณ์เหล่านี้ มีปรากฏกล่าวไว้ในพระไตรปิฎก เล่มที่๒๗ เอกนิบาตชาดก ขุทกนิกาย ชื่อ ?มหาสุบินชาดก? เล่าเรื่องความฝัน ๑๖ประการ ของพระเจ้าปเสนทิโกศล แห่งกรุงสาวัตถี ที่ทรงพระสุบินนิมิต ๑๖ เรื่องและพระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ไว้ว่า เป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในพระพุทธศาสนาในอนาคตกาลและเหตุการณ์นั้นๆ ก็ได้เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน ในประเทศไทยที่เป็นเมืองพระพุทธศาสนาที่สมบูรณ์แห่งเดียวในโลก เพื่อท่านผู้อ่านจะได้นำพุทธพยากรณ์นี้มาพิจารณาไตร่ตรองถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในแผ่นดินไทย และหาทางแก้ไข พุทธพยากรณ์นี้เป็นคำกลอน ดังนี้

ปางองค์ชินวงศ์พระจอมไตร
อันอาศัยสาวัตถีบุรีสถาน
ภิกษุสงฆ์สองหมื่นเป็นบริวาร
พระสำราญอยู่ในเขตพระเชตุพน
กรุงกษัตริย์ปัตถเวนไปทูลถาม
ด้วยข้อความนิมิตคิดฉงน
อภิวาทเบื้องบาทพระยุคล
แล้วทูลถามแต่ต้นไปจนปลาย
สมเด็จพระชินสีห์โมลีโลก
จึงดับโศกกรุงกษัตริย์ให้เสื่อมหาย
แย้มพระโอษฐ์โชติช่วงวิเชียรพราย
สว่างฉายพระเขี้ยวแก้วแวววาว
สว่างวับจับพระคันธกุฎี
พระรัศมีช่วงเป็นเกลียวสีเขียวขาว
อีกนิลแนมแซมหงส์เป็นวงวาว
ทั้งแดงขาวเหลืองเบญจรงค์พราย
ข่มขี่รัศมีพระสุริยง
จากโอษฐ์องค์งามลออเป็นช่อฉาย
เผยพุทธบรรหารประทานทาย
อันตรายมิได้มีแก่บพิตร
จะได้แก่ศาสนาตถาคต
โดยกำหนดสองพันเศษสังเกตจิต
ราษฎรจะร้อนใจดังไฟพิษ
จะวิปริตทุกอย่างต่างต่างเป็น

643
หลวงพ่อเงิน
วัดหิรัญญาราม (วัดวังตะโก) บางคลาน จ.พิจิตร
 

                  คัดลอกจาก http://www.tumnan.com/father_nerng/history.html

หลวงพ่อเงิน ท่านเกิดเมื่อ วันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๓๕๓ ตรงกับวันศุกร์ เดือน ๑๐ ปีฉลู บิดาชื่อ อู๋ มารดาชื่อ ฟัก ท่านเกิดที่บ้านบางคลาน อำเภอโพธิ์ทะเล จังหวัดพิจิตร บิดาเป็นชาวบางคลาน มารดาเป็นชาวบ้านแสนตอ อำเภอขาณุวรลักษบุรี (แสนตอ) จังหวัดกำแพงเพชร

ตั้งแต่อายุ ๓ ขวบ ได้ไปอยู่กับลุง ชื่อนายช่วง ที่กรุงเทพฯ และได้เข้าเรียนที่ บ้านตองปุ (วัดชนะสงคราม) จังหวัดพระนคร เมื่ออายุได้ ๑๒ (พ.ศ. 2365) ก็ได้บรรพชาเป็นสามเณรได้ศึกษาธรรมวินัย เวทย์วิทยาการต่างๆ จนแตกฉาน พออายุใกล้อุปสมบทท่านได้สึกจากสามเณรและหลังจาก ได้อุปสมบทแล้วได้จำพรรษาอยู่ที่วัดตองปุ (วัดชนะสงคราม) ได้ร่ำเรียนวิปัสสนาอยู่ ๓ พรรษา แล้วมาอยู่วัดคงคาราม (วัดบางคลานใต้) ได้ ๑ พรรษา ขณะนั้นหลวงพ่อพระอุปัชฌาย์ให้เป็นเจ้าอาวาสอยู่ ท่านเป็นพระเรืองวิชา ชอบเล่นแร่ แปลธาตุ แต่หลวงพ่อเงินท่านเคร่ง ธรรมวินัย ชอบความสงบ ท่านจึงได้ย้ายไปอยู่หมู่บ้านวังตะโก ลึกเข้าไปทางลำน้ำเก่า

กล่าวกันว่า....เดิมที่ท่านจากวัดคงคารามไปแล้ว ก็มาปลูกกุฏิด้วยไม่ไผ่มุงหลังคาด้วยแฝกอยู่องค์เดียว และพร้อมกันนั้นได้นำกิ่งโพธิ์มาปักไว้ที่ริมตลิ่ง (หน้าพระอุโบสถ) แล้วอธิษฐานว่าถ้าท้องถิ่นนี้จะเจริญรุ่งเรืองเป็นอารามต่อไป ก็ขอให้โพธิ์ต้นนี้งอกงามแผ่กิ่งก้านสาขาเป็นนิมิตดีต่อไปด้วย และเหตุการณ์ก็เป็นจริงดังอธิษฐานไว้ ซึ่งต่อมาพื้นที่แถบนั้นก็ได้ปรากฏเป็น "วัดวังตะโก" เกิดขึ้น พระอารามแห่งนี้ "หลวงพ่อเงิน" ได้เป็นผู้สร้างไว้เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2377 ต่อมาวัดวังตะโก หรือวัดหิรัญญารามก็เจริญอย่างรวดเร็ว มีผู้คนเคารพนับถือและถวายตัวเป็นศิษย์ ขอมาฟังธรรม ขอเครื่องรางของขลัง และขอให้หลวงพ่อช่วยรักษาโรคให้ ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์และสมณศักดิ์เป็นเจ้าคุณฝ่ายวิปัสสนา

"หลวงพ่อเงิน" นับเป็นพระเกจิอาจารย์ ผู้เลื่องชื่อ ด้านไสยเวทเยี่ยมยอดที่สุดของเมืองพิจิตร จนเมื่อมาอยู่วัดวังตะโดและได้พัฒนาวัดจนรุ่งเรือง เป็นที่รู้จักกันไปทั่วว่า

หลวงพ่อเงินสามารถรู้ผู้มาเยือนด้วยญาณวิเศษได้อย่างมหัศจรรย์ และยังเป็นหมอเชี่ยวชาญในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้แก่ชาวบ้านได้อย่างชะงัดอีกด้วย เคยมีผู้ไปลองดีกับท่าน ท่านก็แอ่นอกให้ยิง แต่กระสุนไม่ยอมออกจากลำกล้อง ความศักดิ์สิทธิ์เยี่ยงอัจฉริยะของ "หลวงพ่อเงิน" บางคลาน นับว่าร่ำลือกันไปไกลมาก จนถึงขนาดเสด็จในกรม "กรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์" ก็ยังเสด็จไปฝากตัวเป็นศิษย์ด้วย

 ผลงานที่สำคัญ

๑. ด้านการก่อสร้าง หลวงพ่อมักเป็นธุระในเรื่องการสร้างถาวรวัตถุ ท่านเป็นนักก่อสร้าง ท่านควบคุมการก่อสร้างด้วยตนเอง ท่านรวบรวมปัจจัยได้จากการสร้างวัตถุมงคล เงินบริจาค สิ่งที่ท่านชอบสร้างอีกอย่างหนึ่งนอกจากโบสถ์ วิหาร ศาลา ก็คือ ศาลาพักร้อนเพื่อคนสัญจรไปมา

๒. ด้านการรักษาโรคด้วยวิชาแพทย์แผนโบราณ หลวงพ่อเงิน เป็นหมอแผนโบราณ ทางด้านการรักษาโรคภัยไข้เจ็บด้วยยาสมุนไพรหรือบางครั้งก็ใช้น้ำมนต์ ซึ่งก็ให้ผลในด้านกำลังใจ ปัจจุบันยังมีตำรายาและสมุดข่อย ของท่านที่เก็บรักษาไว้ที่วัดบางคลาน

๓. เป็นพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงด้านวิปัสสนา เป็นศิษย์รุ่นเดียวกันกับหลวงพ่อศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท ซึ่งท่านได้ แนะนำให้กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ได้มาเรียนวิชาทางวิปัสสนากับหลวงพ่อ รวมทั้งสมเด็จพระสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ก็เสด็จมาประทับที่วัดวังตะโก อยู่หลายวัน เพื่อเรียนทางด้านวิปัสสนา

๔. พระเครื่องหรือพระพิมพ์ หลวงพ่อไม่นิยมสร้างพระเครื่อง เพราะท่านบอกว่า คงกระพันชาตรีเป็นเรื่องเจ็บตัว พระเครื่องรุ่นที่ หลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่จึงมีน้อย และมีพระคุณานุภาพทรงคุณทางแคล้วคลาดคงกระพันชาตรี เมตตามหานิยม พระเครื่องรุ่นที่ท่านจัดสร้างมี

- หลวงพ่อเงินชนิดกลม (ลอยองค์ มี ๒ ชนิด คือ พิมพ์ขี้ตาและพิมพ์นิยม)

- หลวงพ่อเงินชนิดแบนหรือสามเหลี่ยมหน้าจั่ว

- หลวงพ่อเงินชนิดสามเหลี่ยมหน้าจั่วไข่ปลา

- พระเจ้าห้าพระองค์

ท่านมีโรคประจำตัว คือโรคริดสีดวงทวาร ท่านรักษาตัวเองบางครั้งก็หาย บางครั้ง ก็กลับเป็นอีก ท่านเคยกล่าวว่า "คนอื่นร้อยพันรักษาให้หาย แต่ผงเข้าตาตัวเองกลับรักษาไม่ได้" ท่านมรณภาพ เมื่อวันศุกร์ แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะแม ตรงกับ พ.ศ.๒๔๖๒ อายุได้ ๑๐๙ ปี


644
หลวงพ่อดิ่ง (หลวงปู่เอี่ยม)

วัดบางวัว จ.ฉะเชิงเทรา



คัดลอกจาก http://www.buddhaamulet.com/gaji/ding.asp

ประวัติ

หลวงพ่อดิ่ง อุบัติขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๘ มีนาคม ๒๔๒๐ ที่ตำบลบางวัว เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี ได้อุปสมบทและซาบซึ้งในรสของพระธรรม ภายหลังรับสมณศักดิ์เป็นพระครูพิบูลย์คณารักษ์ และได้มรณภาพ วันธรรมสวนะ ขณะที่พระสงฆ์จะทำสังฆกรรมสวดปาติโมกข์ ตรงกับวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๔๙๕ สิริอายุได้ ๗๕ ปี พรรษาที่ ๕๕

บรรดาเหรียญพระคณาจารย์ของจังหวัดต่างๆ นั้น บางจังหวัดสนนราคา เหรียญพระคณาจารย์ยุคเก่าค่อนข้างสูง ถ้าจะจัดลำดับความสำคัญ โดยถือเกณฑ์เฉลี่ยของเหรียญพระคณาจารย์ยุคเก่า เป็นดัชนีในการจัดจะพบว่า ในจังหวัดฉะเชิงเทรา มีเหรียญดัง อีกทั้งสนนราคาเหรียญค่อนข้างสูง อยู่หลายเหรียญ สำหรับที่เด่น และเป็นที่รู้จักแพร่หลาย ในยุทธจักรวงการเหรียญพระคณาจารย์คือ

เหรียญหลวงพ่อโสทร รุ่นปี พ.ศ. ๒๔๖๐

เหรียญหลวงคง วัดซำป่างาม

เหรียญหลวงพ่อดิ่ง วัดอุสภาราม

ทั้ง ๓ เหรียญพระคณาจารย์ดังกล่าว คือ เหรียญยอดนิยมของ จังหวัดฉะเชิงเทรา

ปี พ.ศ. ๒๔๘๑ คณะศิษย์ มรรคทายกวัดและท่านที่เคารพเลื่อมใส หลวงพ่อดิ่ง ได้จัดงานพิธีทำบุญอายุ ๖๐ ปี ถวายหลวงพ่อดิ่งในงานพิธีนี้ หลวงพ่อดิ่ง ท่านได้ปลุกเสกวัตถุมงคลประเภทเหรียญแจกศิษย์มีด้วยกัน ๓ แบบ คือ

เหรียญพระพุทธรูปจำลองพระประธานอุโบสถ

เหรียญรูปไข่ขนาดเล็ก เป็นเนื้อเงินลงยา มีจำนวนน้อย

เหรียญรูปไข่ใหญ่ ทองแดง มีจำนวนประมาณ ๑,๐๐๐ เหรียญ

ที่มา... หนังสือของ คุณ สามารถ คงสัตย์



วัดบางวัว จ.ฉะเชิงเทรา



คัดลอกจาก http://www.buddhaamulet.com/gaji/ding.asp

ประวัติ

หลวงพ่อดิ่ง อุบัติขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๘ มีนาคม ๒๔๒๐ ที่ตำบลบางวัว เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี ได้อุปสมบทและซาบซึ้งในรสของพระธรรม ภายหลังรับสมณศักดิ์เป็นพระครูพิบูลย์คณารักษ์ และได้มรณภาพ วันธรรมสวนะ ขณะที่พระสงฆ์จะทำสังฆกรรมสวดปาติโมกข์ ตรงกับวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๔๙๕ สิริอายุได้ ๗๕ ปี พรรษาที่ ๕๕

บรรดาเหรียญพระคณาจารย์ของจังหวัดต่างๆ นั้น บางจังหวัดสนนราคา เหรียญพระคณาจารย์ยุคเก่าค่อนข้างสูง ถ้าจะจัดลำดับความสำคัญ โดยถือเกณฑ์เฉลี่ยของเหรียญพระคณาจารย์ยุคเก่า เป็นดัชนีในการจัดจะพบว่า ในจังหวัดฉะเชิงเทรา มีเหรียญดัง อีกทั้งสนนราคาเหรียญค่อนข้างสูง อยู่หลายเหรียญ สำหรับที่เด่น และเป็นที่รู้จักแพร่หลาย ในยุทธจักรวงการเหรียญพระคณาจารย์คือ

เหรียญหลวงพ่อโสทร รุ่นปี พ.ศ. ๒๔๖๐

เหรียญหลวงคง วัดซำป่างาม

เหรียญหลวงพ่อดิ่ง วัดอุสภาราม

ทั้ง ๓ เหรียญพระคณาจารย์ดังกล่าว คือ เหรียญยอดนิยมของ จังหวัดฉะเชิงเทรา

ปี พ.ศ. ๒๔๘๑ คณะศิษย์ มรรคทายกวัดและท่านที่เคารพเลื่อมใส หลวงพ่อดิ่ง ได้จัดงานพิธีทำบุญอายุ ๖๐ ปี ถวายหลวงพ่อดิ่งในงานพิธีนี้ หลวงพ่อดิ่ง ท่านได้ปลุกเสกวัตถุมงคลประเภทเหรียญแจกศิษย์มีด้วยกัน ๓ แบบ คือ

เหรียญพระพุทธรูปจำลองพระประธานอุโบสถ

เหรียญรูปไข่ขนาดเล็ก เป็นเนื้อเงินลงยา มีจำนวนน้อย

เหรียญรูปไข่ใหญ่ ทองแดง มีจำนวนประมาณ ๑,๐๐๐ เหรียญ

ที่มา... หนังสือของ คุณ สามารถ คงสัตย์


645
ประวัติหลวงปู่เพิ่ม

คัดลอกจาก http://www.osomchit.com/Resume/PuPerm.html

ประวัติโดยย่อ

ท่านเกิดเมื่อวันศุกร์ ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 3 ปีจอ จุลศักราช 1248 ตรงกับวันที่ 28 มกราคม 2429 ณ ตำบลไทยวาส หมู่ที่ 3 อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม บิดาชื่อเกิด มารดาชื่อวรรณ นามสกุล พงษ์อัมพร

บรรพชา

ท่านบรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ 8 ปี สืบต่อมาจนถึงอายุครบบวช

อุปสมบท

อุปสมบทเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2450 อายุ 21 ปี ณ พัทธสีมาวัดกลางบางแก้ว สมเด็จพระสังฆราช (แพ) ครั้งพระองค์ยังดำรงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระวันรัต วัดสุทัศน์เทพวราราม เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการจอม เจ้าอาวาสวัดตุ๊กตา อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูทักษิณานุกิจ (ผัน) วัดสรรเพชญ์ อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ท่านศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยอยู่ที่วัดกลางบางแก้วตลอดมา

สมณศักดิ์

วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2481 ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส วัดกลางบางแก้ววันที่ 4 ธันวาคม 2482 ได้รับตราตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ ในเขตอำเภอนครชัยศรีวันที่ 8 เมษายน 2483 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะอำเภอนครชัยศรีวันที่ 1 มีนาคม 2489 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ที่พระครูราชทินนามว่า "พระครูพุทธวิถีนายก"วันที่ 5 ธันวาคม 2495 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นเอก ในราชทินนามเดิมวันที่ 5 ธันวาคม 2503 เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญมีราชทินนามว่า "พระพุทธวิถีนายก" ปี พ.ศ. 2520 เนื่องจากความชราภาพมากทางคณะสงฆ์จึงยกขึ้นเป็นกิตติมศักดิ์

มรณภาพ

ท่านมรณภาพเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2526 เวลาใกล้รุ่ง (04.50 น) รวมอายุ 97 ปี 76 พรรษา


646
หลวงพ่อพรหม
วัดช่องแค จังหวัดนครสวรรค์

คัดลอกจาก http://www.osomchit.com/Resume/Prom.html

ประวัติโดยย่อ

ท่านเกิดเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2427 ตรงกับปีระกา ณ หมู่บ้านโก่งธนู บ้านแพรก อำเภอมหาราช จังหวัดอยุธยา บิดาชื่อนายหมี มารดาชื่อนางลอมหรือล้อม นามสกุล โกสะลัง อาชีพทำนา

อุปสมบท

เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2447 ได้รับฉายานามว่า "ถาวโร" ณ วัดปากคลองยาง ตำบลบ้านแพรก อำเภอมหาราช อยุธยา เมื่ออุปสมบทได้ย้ายมาจำพรรษาที่วัดเขียนลาย จังหวัดอยุธยาศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยจนกระทั่งปี พ.ศ. 2457 (10 พรรษา) ออกเดินธุดงค์ถึงภูเขาช่องแค เกิดฝนตกหนักชาวบ้านเชิญท่านหลบพักฝนที่ถ้ำแห่งนั้นขณะพักอยู่คืนแรกได้นิมิตวิญญาณศักดิ์สิทธ์แนะแนวทางปฎิบัติธรรมชั้นสูงให้ท่าน ภายหลังท่านเดินทางกลับจังหวัดอยุธยาก็ขายที่นา ซึ่งเป็นมรดกตกทอดของท่าน แล้วนำมาเงินมาซื้อที่ดินวัดช่องแค โดยปลูกต้นตาลเป็นหลักเขต สร้างกุฏิสงฆ์และหอสวดมนต์ แล้วท่านจำพรรษาเป็นเวลายาวนานถึง 60 ปี (วัดช่องแค)

มรณภาพ

เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2518 สิริอายุ 90 ปี 71 พรรษา หลังจากมรณภาพแล้วศพไม่เน่าเปื่อย ยังพิเศษกว่านั้นคือเส้นผม เล็บ หนวดเคราของหลวงพ่องอกยาว เป็นเรื่องมหัศจรรย์


647
ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย
     
      ท่านกำเนิดในสกุลแก่นแก้ว บิดาชื่อคำด้วง มารดาชิ่อจันทร์ เพียแก่นท้าว เป็นปู่นับถือพุทธศาสนา เกิดวันพฤหัสบดี เดือนยี่ ปีมะแม ตรงกับวันที่ ๒๐ เดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๑๓ ณ บ้านคำบง ตำบลโขงเจียม อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน ๗ คน ท่านเป็นบุตรคนหัวปี ท่านเป็นคนร่างเล็ก ผิวดำแดง แข็งแรงว่องไว สติปัญญาดีมาแต่กำเนิด ฉลาดเป็นผู้ว่านอนสอนง่าย ได้เรียนอักษรสมัยในสำนักของอา คือ เรียนอักษรไทยน้อย อักษรไทย อักษรธรรม และอักษรขอมอ่านออกเขียนได้ นับว่าท่านเรียนได้รวดเร็ว เพราะ มีความทรงจำดีและขยันหมั่นเพียร ชอบการเล่าเรียน ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรมและปฏิปทา
     
      เมื่อท่านอายุได้ ๑๕ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรในสำนักบ้านคำบง ใครเป็นบรรพชาจารย์ไม่ปรากฏ ครั้นบวชแล้วได้ศึกษาหาความรู้ทางพระศาสนา มีสวดมนต์และสูตรต่างๆ ในสำนักบรรพชาจารย์ จดจำได้รวดเร็ว อาจารย์เมตตาปราณีมาก เพราะเอาใจใส่ในการเรียนดี ประพฤติปฏิบัติเรียบร้อย เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้ เมื่อท่านอายุได้ ๑๗ บิดาขอร้องให้ลาสิกขาเพื่อช่วยการงานทางบ้าน ท่านได้ลาสิกขาออกไปช่วยงานบิดามารดาเต็มความสามารถ
     
      ท่านเล่าว่า เมื่อลาสิกขาไปแล้วยังคิดที่จะบวชอีกอยู่เสมอไม่เคยลืมเลย คงเป็นเพราะอุปนิสัยในทางบวชมาแต่ก่อนหนหนึ่ง อีกอย่างหนึ่ง เพราะติดใจในคำสั่งของยายว่า ?เจ้าต้องบวชให้ยาย เพราะยายก็ได้เลี้ยงเจ้ายาก? คำสั่งของยายนี้คอยสกิดใจอยู่เสมอ
     
      ครั้นอายุท่านได้ ๒๒ ปี ท่านเล่าว่า มีความยากบวชเป็นกำลัง จึงอำลาบิดามารดาบวช ท่านทั้งสองก็อนุมัติตามประสงค์ ท่านได้ศึกษา ในสำนักท่านอาจารย์เสาร์ กันตสีลเถระ วัดเลียบ เมืองอุบล จังหวัดอุบลราชธานี ได้รับอุปสมบทกรรมเป็นภิกษุภาวะในพระพุทธศาสนา ณ วัดศรีทอง(วัดศรีอุบลรัตนาราม) อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี พระอริยกวี (อ่อน) เป็นพระอุปัชฌายะ มี พระครูสีทา ชยเสโน เป็นพระกรรมวาจาย์ และพระครูประจักษ์อุบลคุณ (สุ่ย) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๖ พระอุปัชฌายะขนานนามมคธ ให้ว่า ภูทตฺโต เสร็จอุปสมบทกรรมแล้ว ได้กลับมาสำนักศึกษาวิปัสสนาธุระ กับ พระอาจารย์เสาร์ กันตศีลเถระ ณ วัดเลียบต่อไป
     
      เมื่อแรกอุปสมบท ท่านพำนักอยู่วัดเลียบ เมืองอุบลเป็นปกติ ออกไปอาศัยอยู่วัดบูรพาราม เมืองอุบลบ้าง เป็นครั้งคราว ในระหว่างนั้น ได้ศึกษาข้อปฏิบัติเบื้องต้น อันเป็นส่วนแห่งพระวินัย คือ อาจาระ ความประพฤติมารยาท อาจริยวัตร แล้อุปัชฌายวัตร ปฏิบัติได้เรีบยร้อยดี จนเป็นที่ไว้วางใจของพระอุปัชฌาจารย์ และได้ศึกษาข้อปฏิบัติอบรมจิตใจ คือ เดินจงกลม นั่งสมาธิ สมาทานธุดงควัตร ต่างๆ
     
      ในสมัยต่อมา ได้แสวงหาวิเวก บำเพ็ญสมณธรรมในที่ต่างๆ ตามราวป่า ป่าช้า ป่าชัฎ ที่แจ้ง หุบเขาซอกห้วย ธารเขา เงื้อมเขา ท้องถ้ำ เรือนว่าง ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงบ้าง ฝั่งขวาแม่น้ำโขงบ้าง แล้วลงไปศึกษากับนักปราชญ์ในกรุงเทพฯ จำพรรษาอยู่ที่วัดปทุมวนาราม หมั่นไปสดับธรรมเทศนา กับ เจ้าพระคุณพระอุบาลี (สิริจันทเถระ จันทร์) ๓ พรรษา แล้วออกแสวงหาวิเวกในถิ่นภาคกลาง คือ ถ้ำสาริกา เขาใหญ่ นครนายก ถ้ำไผ่ขวาง เขาพระงาม แล ถ้ำสิงโตห์ ลพบุรี จนได้รับความรู้แจ่มแจ้ง ในพระธรรมวินัย สิ้นความสงสัย ในสัตถุศาสนา จึงกลับมาภาคอีสาน ทำการอบรมสั่งสอน สมถวิปัสสน าแก้สหธรรมิก และอุบาสกอุบาสิกาต่อไป มีผู้เลื่อมใสพอใจปฏิบัติมากขึ้น โดยลำดับ มีศิษยานุศิษย์แพร่หลาย กระจายทั่วภาคอีสาน
     
      ในกาลต่อมา ได้ลงไปพักจำพรรษาที่วัดปทุมวนาราม กรุงเทพฯ อีก ๑ พรรษา แล้วไปเชียงใหม่กับ เจ้าพระคุณอุบาลีฯ (สิริจันทรเถระ จันทร์) จำพรรษาวัดเจดีย์หลวง ๑ พรรษา แล้วออกไปพักตามที่วิเวกต่างๆ ในเขตภาคเหนือหลายแห่ง เพื่อสงเคราะห์สาธุชนในที่นั้นๆ นานถึง ๑๑ ปี จึงได้กลับมา จังหวัดอุบลราชธานี พักจำพรรษาอยู่ที่ วัดโนนนิเวศน์ เพื่ออนุเคระาห์สาธุชนในที่นั้น ๒ พรรษา แล้วมาอยู่ในเขตจังหวัดสกลนคร จำพรรษาที่ วัดป่าบ้านนามน ตำบลตองขอบ อำเภอเมืองสกลนคร (ปัจจุบันคือ อำเภอโคกศรีสุพรรณ) ๓ พรรษา จำพรรษาที่ วัดหนองผือ ตำบลนาใน อำเภอเมืองพรรณานิคม ๕ พรรษา เพื่อสงเคราะห์สาธุชนในถิ่นนั้น มีผู้สนใจในธรรมปฏิบัติ ได้ติดตามศึกษาอบรมจิตใจมากมาย ศิษยานุศิษย์ของท่าน ได้แพร่กระจายไปทั่วทุกภาคของประเทศไทย ยังเกียรติคุณของท่าน ให้ฟุ้งเฟื่องเลื่องลือไป

ธุดงควัตรที่ท่านถือปฏิบัติเป็นอาจิณ ๔ ประการ
     
      ๑.ปังสุกุลิกังคธุดงค์ ถือนุ่งห่มผ้าบังสกุล นับตั้งแต่วันอุปสมบทมาตราบจนกระทั่งถึงวัยชรา จึงได้ผ่อนให้คหบดีจีวรบ้าง เพื่ออนุเคราะห์แก่ผู้ศรัทธานำมาถวาย
      ๒.บิณฑบาติกังคธุดงค์ ถือภิกขาจารยวัตร เที่ยวบิณฑบาตมาฉันเป็นนิตย์ แม้อาพาธ ไปในละแวกบ้านไม่ได้ ก็บิณฑบาตในเขตวัด บนโรงฉัน จนกระทั่งอาพาธ ลุกไม่ได้ในปัจฉิมสมัย จึงงดบิณฑบาต
      ๓.เอกปัตติกังคธุดงค์ ถือฉันในบาต ใช้ภาชนะใบเดียวเป็นนิตย์ จนกระทั่งถึงสมัยอาพาธในปัจฉิมสมัย จึงงด
      ๔.เอกาสนิกังคธุดงค์ ถือฉันหนเดียวเป็นนิตย์ ตลอดเวลา แม้อาพาธหนักในปัจฉิมสมัย ก็มิได้เลิกละ ส่วนธุดงควัตรนอกนี้ ได้ถือปฏิบัติเป็นครั้งคราว ที่นับว่าปฏิบัติได้มาก ก็คือ อรัญญิกกังคธุดงค์ ถืออยู่เสนาสนะป่าห่างบ้านประมาณ ๒๕ เส้น หลีกเร้นอยู่ในที่สงัดตามสมณวิสัย เมื่อถึงวัยชรา จึงอยู่ในเสนาสนะ ป่าห่างจากบ้านพอสมควร ซึ่งพอเหมาะกับกำลัง ที่จะภิกขาจารบิณฑบาต เป็นที่ที่ปราศจากเสียงอื้ออึง ประชาชนเคารพยำเกรง ไม่รบกวน นัยว่า ในสมัยที่ท่านยังแข็งแรง ได้ออกจาริกโดดเดี่ยว แสวงวิเวกไปในป่าดงพงลึก จนสุดวิสัยที่ศิษยานุศิษย์จะติดตามไปถึงได้ก็มี เช่น ในคราวไปอยู่ภาเหนือ เป็นต้น ท่านไปวิเวกบนเขาสูง อันเป็นที่อยู่ของพวกมูเซอร์ ยังชาวมูเซอร์ที่พูดไม่รู้เรื่องกัน ให้บังเกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนาได้
     
      ธรรมโอวาท
     
      คำที่เป็นคติ อันท่านอาจารย์กล่าวอยู่บ่อยๆ ที่เป็นหลักวินิจฉัยความดีที่ทำ
      ด้วยกาย วาจา ใจ แก่ศิษยานุศิษย์ดังนี้
     
      ๑. ดีใดไม่มีโทษ ดีนั้นนับว่าเลิศ
      ๒. ได้สมบัติทั้งปวง ไม่ประเสริฐเท่าได้ตน เพราะตัวตนเป็นที่เกิดแห่งสมบัติทั้งปวง
     
      เมื่อท่านอธิบาย ตจปัญจกกรรมฐาน จบลง มักจะกล่าวเตือนขึ้นเป็นคำกลอนว่า ?แก้ให้ตกเน้อ แก้บ่ตก คาพกเจ้าไว้ แก้บ่ได้ แขวนคอต่องแต่ง แก้บ่พ้น คาก้นย่างยาย คาย่างยาย เวียนตายเวียนเกิด เวียนเอากำเนิดในภพทั้งสาม ภาพทั้งสามเป็นเฮือน เจ้าอยู่? ดังนี้
     
      เมื่อคราวท่านเทศนาสั่งสอนพระภิกษุ ผู้เป็นสานุศิษย์ถือลัทธิฉันเจ ให้เข้าใจทางถูก และ ละเลิกลัทธินั้น ครั้นจบลงแล้ว ได่กล่าวเป็นคติขึ้นว่า ?เหลือแต่เว้าบ่เห็น บ่อนเบาหนัก เดินบ่ไปตามทาง สิถืกดงเสือฮ้าย? ดังนี้แล การบำเพ็ญสมาธิ เอาแต่เพียงเป็นบาทของวิปัสสนา คือ การพิจารณาก็พอแล้ว ส่วนการจะอยู่ในวิหารธรรมนั้น ก็ให้กำหนดรู้ ถ้าใครกลัวตาย เพราะบทบาททางความเพียร ผู้นั้น จะกลับมาตายอีก หลายภพหลายชาติ ไม่อาจนับได้ ส่วนผู้ใดไม่กลัวตาย ผู้นั้นจะตัดภพชาติให้น้อยลง ถึงกับไม่มีภพชาติเหลืออยู่ และผู้นั้นแล จะเป็นผู้ไม่กลับหลังมาหาทุกข์อีก ธรรมะเรียนมาจากธรรมชาติ เห็นความเกิดแปรปรวนของสังขาร ประกอบด้วยไตรลักษณ์ ปัจฉิมโอวาท ของ พระพุทธเจ้าโดยแท้ๆ ถ้าเข้าใจในโอวาทปาฏิโมกข์ ท่านพระอาจารย์มั่นแสดงโดย ยึดหลักธรรมชาติของศีลธรรมทางด้านการปฏิบัติ เพื่อเตือนนักปฏิบัติทั้งหลาย ท่านแสดงเอาแต่ใจความว่า..
     
      การไม่ทำบาปทั้งปวงหนึ่ง การยังกุศล คือ ความฉลาดให้ถึงพร้อมหนึ่ง การชำระจิตใจของตนให้ผ่องแผ้วหนึ่ง......
     
      นี้แล คือ ตำสอนทั้งหลายของพระพุทธเจ้า
      การไม่ทำบาป...ถ้าทางกายไม่ทำ แต่ทางวาจาก็ทำอยู่ ถ้าทางวาจาไม่ทำ แต่ทางใจก็ทำ
      สั่งสมบาปตลอดวัน จนถึงเวลาหลับ พอตื่นจากหลับ ก็เริ่มสั่งสมบาปต่อไป จนถึงขณะหลับอีก เป็นทำนองนี้ โดยมิได้สนใจว่า ตัวทำบาป หรือ สั่งสมบาปเลย แม้กระนั้น ยังหวังใจอยู่ว่า ตนมีศีลธรรม และ คอยแต่เอาความบริสุทธิ์ จากความมีศีลธรรม ที่ยังเหลือแต่ชื่อเท่านั้น ฉะนั้น จึงไม่เจอความบริสุทธิ์ กลับเจอแต่ความเศร้าหมอง ความวุ่นวายในใจตลอดเวลา ทั้งนี้เพราะ ตนแสวงหาสิ่งนั้น ก็ต้องเจอสิ่งนั้น ถ้าไม่เจอสิ่งนั้น จะให้เจออะไรเล่า เพราะเป็นของที่มีอยู่ ในโลกสมมุติอย่างสมบูรณ์
     
      ท่านพระอาจารย์มั่น แสดงโอวาทธรรม ให้ปรากฏไว้ เมื่อครั้งท่านจำพรรษาอยู่ ณ วัดสระประทุม (ปัจจุบัน คือ วัดประทุมวนาราม) กรุงเทพมหานคร ซึ่งปัจจุบัน อาจค้นคว้าหาอ่านได้ไม่ง่ายนัก มีดังนี้
     
      นมตฺถุ สุคตสฺส ปญฺจธฺนกฺขนฺธานิ
     
      ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระสุคต บรมศาสดาศากยะมุนี สัมมาสัมพุทธเจ้า และ พระนวโลกุตตรธรรม ๙ ประการ และพระ อริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้านั้น



[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

648
เกจิอาจารย์ภาคเหนือ / หลวงพ่อคง
« เมื่อ: 01 เม.ย. 2550, 02:58:09 »
คัดลอกจาก http://www.buddhaamulet.com/gaji/bangkaporm.asp

ประวัติ

หลวงพ่อคง ท่านเกิดวันอาทิตย์ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๕ ปีฉลู ตรงกับวันที่ ๓ เมษายน ๒๔๐๘ ณ ตำบลบางสำโรง อำเภอบางคณฑี จังหวัดสมุทรสงคราม โยมบิดาชื่อ "...เกตุ จันทร์ประเสริฐ..." โยมมารดาชื่อ "...ทองอยู่..." พออายุได้ ๑๒ ปี บิดามารดาให้บวชเณร เพื่อเล่าเรียนศึกษา ระหว่างเป็นสามเณรสนใจในวิชาเมตตามหานิยม พอใกล้บวชพระได้สึกจากสมเณร และได้ทดลองวิชาเมตตามหานิยมดูว่าจะขลังจริงหรือไม่ โดยเสกสีผึ้งละลายน้ำไปให้หญิงผู้หนึ่งซึ่งอยู่ทางใต้น้ำ ปรากฏว่า เย็นวันนั้น หญิงสาวหอบผ้าหอบผ่อนมาหาท่านถึงบ้าน และร้องไห้จะขออยู่ด้วยให้ได้ ทำให้วุ่นวายชี้แจ้งกันเป็นการใหญ่

ต่อมาท่านก็อุปสมบทในบวรพระพุทธศาสนาสืบมาได้เป็นพระอุปัชฌาย์ และได้รับเกียรติยกย่องว่า ท่านทำวัตถุมงคลทุกอย่างได้ขลัง และศักดิ์สิทธิมีอิทธิฤทธิ์อันมหัศจรรย์เป็นที่ขนานนามยกย่องกัน ทั่วลุ่มแม่น้ำแม่กลอง

หลวงพ่อคง มรณภาพวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๖ สิริอายุ ๗๘ ปี พรรษาที่ ๕๘

เมื่อครั้งอาจารย์เภา ศกุนตะสุต ปรมาจารย์เหรียญผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ยังมีชีวิตอยู่ กระผมเคยสนทนาเรียนถามท่านว่า "...หลวงปู่ศุขวัดมะขามเฒ่า หลวงปู่เฒ่าวัดหนัง หลวงพ่อกลั่นวัดพระญาติ อาจารย์เภาจะเลือกพระเถระองค์ใดว่าท่านเด่นดังมากที่สุด..." อาจารย์เภาตอบว่า "...ฉันขอเลือกหลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม เพราะว่าท่านเป็นหลวงพ่อของฉัน ถึงจะยิงกันฉันก็ไม่กลัว..." จากหลักฐานนี้แสดงให้เห็นว่า อาจารย์เภา ศกุนตะสุต ท่านมีความเชื่อมั่น และเคารพหลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม อยู่เหนือพระเถระองค์อื่นๆ ทั้งหมด นี้เป็นประสบการณ์จากการสนทนากับปรมาจารย์เหรียญ ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องว่าทรงคุณวุฒิทางด้านนี้อย่างแท้จริง

ที่มา... หนังสือของ คุณ สามารถ คงสัตย์


649
เป็นบรรพชิตเล่า ก็จงทำให้เจริญ คืออย่าเกียจอย่าคร้าน การเล่าการเรียน การประพฤติ การปฏิบัติ การสงเคราะห์ตระกูล ชอบด้วยธรรมวินัย อย่าประทุษร้ายตระกูลให้ผิดต่อธรรมวินัย ให้ชอบด้วยพระราชกฤษฎีกากฎหมายบ้านเมืองท่าน สำหรับวันหนึ่งๆ แล้ว ก็อาจได้รับความยอย่องนับถือลือชา มีสักการะสัมมานะเสมอไปตามสมควร พระมหามุนีก็ทรงชี้ชวนให้นิยมชมว่า ตํ เวภัทเธกะรัตโต ว่าท่านผู้นั้น มีราตรีเดียวเจริญ บุคคลใด ถ้าถูกพระอริยเจ้าผู้เป็นอริยนักปราชญ์สรรเสริญแล้ว ก็หวังเถอะว่า คงมีแต่ความสุข ความเจริญทุกวันทุกเวลา หาความทรุดเสื่อม บ่มิได ถ้ายิ่งเป็นผู้เข้าใกล้ไหว้กราบ นมัสการบูชาสักการะ เชื่อมั่นถือมั่นในสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ได้ช่วยกันพร้อมใจกัน นมัสการสักการบูชาพระโตของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) สร้างไว้เป็นฐานเช่นนี้ ผู้บูชาสักการะนมัสการ ก็ได้ชื่อว่ากตัญญูกตเวทีต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน เหตุว่าพระพุทธองค์ทรงตรัสกำชับกับพระอานนท์เถระเจ้าไว้ว่า ผู้ใดเลื่อมใสประสาทะศรัทธา ใคร่บุชาพระตถาคตด้วยความซื่อสัตย์ กตเวที "ปฏิมาโพธิรุกขาถูปาจะชินะธาตุโย จตุราสีติ สหัสสธัมมักขันธาสุเหสิตา" ให้บุคคลนั้นบูชาสักการะนอบน้อม พร้อมด้วยกาย วาจา ใจ ให้ลึกซึ้ง แล้วบูชาซึ่งปฏิมากร ๑ ไม้พระมหาโพธิ์ที่นั่งตรัสรู้ ๑ พระสถูปเจดีย์ที่บรรจุเครื่องพุทธโภคและอุทเทศเจดีย์ที่ทำเทียมไว้ ซึ่งพระสารีริกธาตุของพระศาสดา คือกระดูกของพระพุทธเจ้า ๑ พระคัมภีร์ที่บรรจุพระธรรมขันธ์ แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ๑ วัตถุทั้ง ๕ ประการนี้ เป็นที่สมควรสักการบูชาของผู้ที่มุ่งหมายนับถือ เป็นบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ คือ ทานมัย ๑ ศีลมัย ๑ ภาวนามัย ๑ ทิฏฐุชุมัย ๑ อปัจจายนมัย ๑ ไวยาวัจจมัย ๑ เทศนามัย ๑ ปัตติทานมัย ๑ ปุญญัตตานุโมทนามัย ๑ สะวนมัย ๑ ทั้ง ๑๐ ประการนี้ บังเกิดเป็นที่ตั้งของบุคคลผู้ที่ไหว้นพเคารพบูชา เมื่อทำเข้า บูชาเข้า ฟังเข้า แสดงเข้า ขวนขวายเข้า อ่อนน้อมเข้า ให้ทานเข้า ภาวนาเข้า เห็นตรงเข้า เพราะอาศัยเหตุที่พระเกตุไชโยนี้ ก็เป็นบุญล้ำเลิศประเสริฐวิเศษ เห็นทันตาทันใจก็มี ปรากฏเป็นหลายคนมาแล้ว ถ้าได้สร้างเรื่องราวประวัติของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ให้เรื่องนี้ไว้สำหรับเป็นความรู้ ไว้สำหรับบ้านเรือน สืบบุตรหลานเหลนหลนไปอีกก็ได้ชื่อว่า กตัญญูรู้พระคุณพระพุฒาจารย์ (โต) เหมือนได้นั่งใกล้สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ได้บุญเพราะสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ได้สุขสวัสดีมงคลเพราะสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ได้สดับตรับฟังเพราะสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ได้รู้จักศาสนาแน่นอน เพราะสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) เหตุนี้ ควรแล้วที่สาธุชนทั้งปวง จะช่วยกันสร้างประวัติเรื่องของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ไว้เชิดชูเฉลิมพระเกียรติคุณของท่าน เพราะสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) องค์โน้น เป็นพระควรอัศจรรย์ควรรู้ควรฟัง จรรยา อาการ กิริยา ท่าทาง พูด เจรจาโต้ตอบ ปฏิบัติ ก่อสร้าง แปลกๆ ประหลาดกว่าพระสงฆ์องค์อื่นๆ เทียมหรือเหมือนหรือยิ่งด้วยวุฒิปาฏิหาริย์ต่างๆ ไม่ใคร่จะมีใครรู้จักทั่วแผ่นดินเหมือนสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ไม่ใคร่จะเคยได้ยินเป็นแต่ธรรมดาเรียบๆ ก็พอมีบ้าง

ถ้าท่านได้ช่วยกันสร้างเรื่องประวัติของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ไว้อ่านรู้ดูฟัง สำหรับบ้านเรือน และตู้หนังสือของท่านแล้ว ท่านจะมีอานิสงส์ ทำให้ท่านผ่องแผ้วพ้นราคี จะมีแต่ทางสุขสวัสดี เท่ากับมียันต์ชื่อว่ามหามงคล จะกำจัดอุปทวันตรายแลภัยจัญไรเป็นต้น ไม่มีมายายีบีฑาท่านได้เลย สมด้วยพระบารมีท่านรำพันเฉลยไว้ว่า "สัพพิเรวะสมาเสถะ สัพพิกุพเพถะสัณฑวิง สะตังธัมมะ ภิญญายะ สัพพะทุกขาปะมุจจติ" ดังนี้ มีความว่า ให้บุคคลพึงนั่งใกล้ด้วยสัปปุรุษคนดีพร้อม ๑ ให้บุคคลพึงทำความคุ้นเคยรักใคร่ไต่ถามสนทนาด้วยท่านผู้เป็นสัปปุรุษ คนดี ๑ ได้ฟังคำชี้แจงของสัปปุรุษอย่างแน่นอนก็จะรู้เท่า รู้ธรรม ของสัปปุรุษคนดีพร้อม ย่อมพ้นทุกข์ยากลำบากทั้งปวง

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) องค์โน้น ท่านเป็นสัปปุรุษเที่ยงแท้ผู้หนึ่ง เพราะตั้งแต่ต้นจนปลาย ท่านมิได้เบียฬตนและเบียฬผู้อื่น ให้ได้ความทุกข์ยากลำบากเลยแม้สักคนเดียวตั้งแต่เกิดมาเห็นโลกจนตลอดวันมรณภาพ จนถึงปัจจุบันเดี๋ยวนี้ ก็ยังมีพระโตตั้งไว้ให้เป็นที่ไหว้บูชา แก่บรรดาพุทธศาสนิกชนคนทุกชั้นได้รำพันนับถือไม่รู้วาย ควรที่ท่านทายกทั้งหลายจงพร้อมกันสร้างหนังสือประวัติของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) นั้นไว้คนละเล่มเทอญ

จบบันทึกประวัติของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ฉบับของมหาอำมาตย์ตรีพระยาทิพยโกษา ซึ่งเป็นฉบับที่รวบรวมโดย ม.ล.พระมหาสว่าง เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา ได้รวบรวมขึ้นปี พ.ศ. ๒๔๗๓ ตามคำโคลงตอนท้ายดังนี้

       ประวัติคัดข้อย่อ
 คำขาน
 
สมเด็จพุฒาจารย์
 เจอดไว้
 
โต, นามชื่อเดิมจาน
 จารึก เรื่องมี
 
เชิญอ่านเชิญฟังให้
 ท่องแท้แปลความฯ
 
       ลงมือที่สิบห้า
 กรกฏ
 
วันที่สามกันย์หมด
 แต่งแก้
 
พ.ศ. ล่วงกำหนด
 สองสี่ เจ็ดตรี
 
เดือนหนึ่งมีเศษแท้
 สิบเก้าวันตรงฯ
 

ได้จัดพิมพ์ขึ้นตามข้อความเดิมในต้นฉบับทุกประการ โดยมิได้แก้ไขในเรื่องศักราช วัน เดือน ปี เลย

ขอท่านผู้อ่านจงพิจารณ์ค้นคว้าเปรียบเทียบและตัดสินความถูกต้องเหมาะสมเอาด้วยตนเองต่อไปเทอญ.


650
พระอาจารย์ทองเฒ่า หรือ พ่อท่านทอง ชาวบ้านนิยมเรียกว่า " พ่อท่านเขาอ้อ " เป็นเจ้าอาวาสเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐาน เชื่อกันว่าเป็นอาจารย์ที่เรืองวิทยาคมทางไสยศาสตร์ และแพทย์แผนโบราณ จนเป็นที่เคารพนับถือยำเกรงของคนทั่วไป ตรงศีรษะของท่านมีเส้นผมสีขาวกระจุกหนึ่ง เล่ากันว่าไม่สามารถโกนหรือตัดให้ขาดได้

ในสมัยของ พระอาจารย์ทองเฒ่า สานุศิษย์ของท่านนิยมทำพิธีแช่ว่านยา กินเหนียว กินมัน กันมาก ราวสมัยรัชกาลที่ 5 พระอาจารย์ทองเฒ่า ได้รับแต่งตั้งดำรงสมณะศักดิ์เป็น "พระครูสังฆาพิจารณ์ฉัตรทันต์บรรพต เป็นเจ้าคณะตำบลมะกอกเหนือ และเป็นพระอุปัชฌาด้วย ท่านได้ปรับปรุงวัดให้มีความเจริญขึ้นเป็นอันมาก พระอาจารย์ทองเฒ่า มรณะภาพ เมื่อ พ.ศ.2470 รวมอายุได้ 78 ปี

วัดเขาอ้อ เป็นแหล่งวิทยาคมทางไสยศาสตร์ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาแล้ว ตั้งแต่สมัยโบราณ พระเกจิอาจารย์ผู้สืบต่อวิชาทางไสยศาสตร์ ต่างก็เป็นที่พึ่งที่เคารพศรัทธาของประชาชนทั่วไป เช่น พระอาจารย์ทองเฒ่า พระครูสิทธิยาภิรัต (เอียด) พระอาจารย์นำ แก้วจันทร์ พระอาจารย์ศรีเงิน วัดดอนศาลา พระครูพิพัฒน์สิริธร (อาจารย์คง) วัดบ้านสวน พระอาจารย์ปาน วัดเขาอ้อ และ ที่เป็นฆราวาสที่คนทั่วไปรู้จักกันดีได้แก่ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นต้น



[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

651
ตอนที่ ๑๑



และพระพิมพ์ที่วัดบางขุนพรหมในนั้น เสมียนตราด้วง ขอเอาพิมพ์ของท่านไปพิมพ์ปูนแลผงของเสมียนตราด้วง ทำตามวุฒิของเสมียนตราด้วงเอง ชาวบ้านบางขุนพรหมปฏิบัติอุปฐาก บางทีขึ้นพระบาท หายเข้าไปในเมืองลับแลไม่กลับ คนลือว่าสมเด็จถึงมรณภาพแล้วก็มี ทางราชการเอาโกศขึ้นไป ท่านก็ออกมาจากเมืองลับแล พนักงานคุมโกศต้องเอาโกศเปล่ากลับมาหลายคราว

ครันถึง ณ วันเดือน ๕ ปีวอก จัตวาศก จุลศักราช ๑๒๓๔ ปี เป็นปีที่ ๕ ในรัชกาลที่ ๕ กรุงเทพพระมหานครฯ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ไปดูการก่อพระโตที่วัดบางขุนพรหมใน ก็ไปอาพาธด้วยโรคชราภาพ ๑๕ วัน ก็ถึงมรณภาพ บนศาลาใหญ่วัดบางขุนพรหมใน ในเวลาปัจจุบันสมัยวันนั้น สิริรวมชนมายุ ๘๔ บริบูรณ์ เป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตารามมาได้ ๒๑ ปีบริบูรณ์ รับตำแหน่งที่สมเด็จพระพุฒาจารย์มาได้ ๗ ปีบริบูรณ์ ถ้าจะนับปีทางจันทรคติก็ได้ ๘ ปี นับอายุทางจันทรคติก็ได้ ๘๕ ปี เพราะท่านเกิดปีวอก เดือน ๖ รอบที่ ๗ ถึงวอกรอบที่ ๘ เพียงย่างขึ้นเดือน ๕ ท่านก็ถึงมรณภาพ คิดทดหักเดือน ตามอายุโหราจารย์ ตามสุริยคตินิยม จึงเป็นอายุ ๘๔ ปีบริบูรณ์ ด้วยประการฉะนี้

คำนวณอายุผู้เรียบเรียงเรื่องนี้ได้ ๗ ขวบยังไม่บริบูรณ์ คือหลักเหลือ ๖ ปีกับ ๓ เดือน เวลาที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ยังอยู่นั้น ผู้เรียงเรื่องนี้ยังอยู่กับคุณเฒ่าแก่กลิ่น ในตึกแถวเต๊ง แถบข้างทิศใต้ ทางออกวัดพระเชตุพน ในพระบรมมหาราชวังชั้นใน คุณกลิ่นเฒ่าแก่เคยพาขึ้นไปรับพระราชทานเบี้ยจันทร เบี้ยสูรย์ คือเงินสลึงจากพระราชหัตถ์สมเด็จพระจอมเกล้าฯ ก็สองคราว ได้เคยฟังเทศน์สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ก็สองคราว ได้เคยเข้านมัสการท่านก็สองคราว ท่านผูกมือให้ที่พระที่นั่งทรงธรรม ยังจำได้ว่ามีต้นกาหลงใหญ่ในพระบรมมหาราชวัง

ครั่งเมื่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ถึงมรณภาพ ที่ศาลาใหญ่ ในวัดบางขุนพรหมใน แล้วได้รับพระราชทานน้ำสรงศพ ไตรครอง ผ้าขางเย็บถุง โกศ กลองชนะ อภิรมย์ สนมซ้าย ฝีพาย เรือตั้งบรรทุกศพ เมื่อเจ้านาย ขุนนาง คุณเฒ่าแก่ พวกอุปฐาก พวกอุบาสิกา ประชาชน ชาวบ้านบางขุนพรหม ปวงพระสงฆ์ สรงน้ำสมเด็จเจ้าโตแล้ว สนมก็กระสันตราสังศพ บรรจุในโกศไม้ ๑๒ เสร็จแล้วก็ยกลงมาที่ท่าริมแม่น้ำเจ้าพระยา ฝีพายหลวงพายลงมาตามลำแม่น้ำ เรือตามก็ตามหลายแม่น้ำ ส่งศพกระทั่งถึงหน้าวัดระฆัง ตั้งศพบนฐานเบ็ญจาสองชั้น มีอภิรมย์ ๖ คัน มีกลองชนะ ๒๔ จ่าปี่ จ่ากลองพร้อม มีพระสวดพระอภิธรรม มีเลี้ยงพระ ๓ วัน เป็นของหลวง

วันเมื่อศพสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) มาถึงวัดระฆังวันนั้น ผู้คนมาส่งศพ รับศพ นมัสการศพนั้นแน่นอัด คับคั่ง ทั้งผู้ดี ผู้ไพร่ พลเมืองไทย จีน ลาว มอญ ชาวละคร เขมร พราหมณ์ พระสงฆ์ทุกๆ พระอาราม เด็กวัด เด็กบ้าน แน่นไปเต็มวัดระฆัง พระครูปลัดสัมภิพัฒน์ (ช้าง) คือพระธรรมถาวรราชาคณะ ที่มีอายุ ๘๘ ปี มีตัวอยู่ถึงวันเรียบเรียงประวัติเรื่องนี้ ได้ตักพระพิมพ์แจกชำร่วยแก่บรรดาผู้มาส่งศพ สักการะศพ เคารพศพนั้น แจกทั่วกัน คนละองค์สององค์ ท่านประมาณราว สามหมื่นองค์ที่แจกไป และต่อๆ มาก็แจกเรื่อย จนถึงวันพระราชทานเพลิง และยังมีผู้ขอ และแจกให้อีกหลายปี จนพระหมด ๑๕ กระถางมังกร เดี๋ยวนี้จะหาสักครึ่งก็ไม่มี แต่มีจำเพาะตนๆ และปั้นเหน่งซึ่งเป็นกระดูกหน้าผากของนางนาคพระโขนงนั้น ตกอยู่กับ หม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันทน์ ซึ่งได้เลื่อนขึ้นเป็นพระธรรมเจดีย์ ได้เป็นเสด็จอุปัชฌาย์ของผู้เรียงประวัติเรื่องนี้ ภายหลังเลื่อนขึ้นเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ (ม.จ.ทัศ) ไปครองวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม จึงได้มอบปั้นเหน่งกระดูกหน้าผากนางนาคพระโขนงให้กรรมสิทธิ์ไว้แก่ พระพุทธโฆษาจารย์ (ม.ร.ว.เจริญ) เจ้าอาวาสวัดระฆัง แต่ครั้งดำรงตำแหน่งพระพิมลธรรมนั้น (ได้ยินแว่วๆ ว่า ปั้นเหน่งนั้น สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ได้ถวาย ฯลฯ แล้ว)

และสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ถึงมรณภาพแล้ว

ล่วงมาถึงปีมะเมีย โทศก จุลศักราช ๑๒๙๒ ปี

พุทธศักราชล่วงได้ ๒๔๒๓ ปี

รัตนโกสินทร์ศักราชถึง ๑๔๙ ปี

อายุ รัชกาลที่ ๕ เสวยราชย์ ๔๓ ปี

รัชกาลที่ ๖ " ๑๕ ปี

รัชกาลที่ ๗ " ๖ ปี

คิดแต่ปีวอก จัตวาศก จุลศักราช ๑๒๓๔ ปี มาถึงปีมะเมีย โทศกนี้ จึงรวมแต่ปีมรณภาพนั้นมาถึงปีมะเมียนี้ได้ ๖๑ ปี กับเศษเดือนวันแลฯ (ได้ลงมือเรียบเรียง แต่วันที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๓)

พระธรรมถาวร (ช้าง) บอกว่า คำแนะนำกำชับสอน ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) นั้น ดังนี้

คุณรับเอาฟันฉันไว้ ดียิ่งกว่า ๑๐๐ ชั่ง ๑๐๐๐ ชั่ง คุณจะมีความเจริญเอง

คุณใคร่มีอายุยาว คุณต้องไหว้คนแก่

คุณใคร่ไปสวรรค์ นิพพาน และมีลาภผล คุณหมั่นระลึกถึง

พุทธ พุทธา พุทเธ พุทโธ พุทธํ อรหํ พุทโธ อิติโสภควา นะโมพุทธายะ

ถึงเถรเกษอาจารย์ผุ้วิเศษของเจ้าสามกรมว่าดี ก็ไม่พ้น พุทธะ พุทธา พุทเธ พุทธํ พุทโธ อรหํ พุทโธ

ต่อแต่นี้ไป จะขอกล่าวถึงเรื่องพระโต และเรื่องวัดบางขุนพรหมใน ตำบลบางขุนพรหม พระนครนี้สักเล็กน้อย พอเป็นที่รู้จักกันไว้บ้าง

เดิมวัดบางขุนพรหมในนี้ เป็นวัดเก่าแก่นาน แต่ครั้งกรุงศรีอยุธยายังเป็นราชธานี หรือจะก่อนนั้นก็ไม่แน่ใจ วัดนี้เป็นวีดกลางสวน อยู่ดอนมาก ใครเป็นผู้สร้างก็ไม่ปรากฏนาม หรือชาวสวนแถวนั้นจะพร้อมใจกันสร้างไว้ คนเก่าเจ้าทิฏฐิในการถือวัด ว่าวัดเราวัดเขา ดังเคยได้ยินมา ก็ไม่สู้แน่ใจนัก แต่เป็นวัดเก่าแก่จริง โบสถ์เดิมเป็นเตาเผาปูนกลายๆ มีกุฏิฝากระแชงอ่อน มีศาลาโกรงเกรง แต่ลานวัดกว้างด มีต้นไม้ใหญ่มาก ครึ้มดี มีลมเหนือ ลมตะวันตก ลมตะวันออก พัดโกรก ตรงกรองส่งเข้าสู่โบสถ์และลานวัดเย็นละเอียดดี เมื่อตั้งเป็นราชธานีแล้วในฝั่งนี้ ถึงรัชกาลที่ ๓ กรุงเทพฯ พระองค์เจ้าอินทร์ในพระราชวังบวร ได้ทรงพระศรัทธาปฏิสังขรณ์ เปลี่ยนแปลงทรงโบสถ์ เป็นรูปท้องพระโรงงามมีผึ่งผายอ่าโถง ยาว ๕ ห้อง มีมุข ๒ ข้าง ก่ออิฐถือปูนเสร็จและสร้างศาลา ขุดคลอง เหนือใต้วัด หลังวัด หน้าวัดเป็นเขตคัน ทำกุฏิสงฆ์ ซ่อมถานเรียบร้อย ฉลองแล้วทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงมีพระกระแสรับสั่งว่า ผู้ที่ถวายของตนเข้าเป็นวัดหลวงนั้น จำเพาะเจ้าของเป็นพระยาพานทอง ถ้าเป็นเจ้าต้องได้รับพระราชทานพานทองก่อน จึงถวายวัดเป็นวัดหลวงได้ ซึ่งพระองค์เจ้าอินทร์ก็ยังหาได้รับพระราชทานพานทองไม่ ได้พานทองแล้วจึงควรถวายวัดของเธอเป็นวัดหลวงได้ วัดนี้ก็คงเป็นวัดราษฎร์ วัดเจ้าอินทร์ บางขุนพรหม

ครั้นถึงปีจอ อัฐศก จุลศักราช ๑๑๘๘ ปี มีราชการสงครามกับเจ้าอนุเวียงจันทร์ พระองค์เจ้าอินทร์ เจ้าของวัดบางขุนพรหมนี้ ได้โดยเสด็จกรมพระราชวังบวรฯ ขึ้นไปปราบขบถเมืองเวียงจันทร์ มีชัยชนะกลับมาแล้ว ได้รับพระราชทานพานทองเป็นบำเหน็จความชอบในการสงครามนั้น แล้วพระองค์เจ้าอินทร์จึงทูลเกล้าฯ ถวายวัดนี้เป็นวัดหลวงอีกครั้งหนึ่ง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ตำรวจราชองครักษ์และกรมเมืองมาสำรวจชัยภูมิสถานที่ของวัดนี้ ตลอดถึงทางพระราชดำเนินในการถวายพระกฐินทานด้วย เจ้าพนักงานทำรายงานถวายตลอด แต่ทางพระราชดำเนินนั้นขัดต่อทางราชการหลายประการ เพราะวัดตั้งอยู่กลางสวนทั้ง ๔ ทิศ ไม่สะดวกแก่ราชบริพารที่จะโดยเสด็จ จึงมิได้ทรงรับเข้าบัญชีเป็นวัดหลวง พระองค์เจ้าอินทร์ก็ทรงทอดธุระวัดนั้นเสีย ไม่นำพา วัดก็ชำรุดทรุดโทรมลงอีก และพระองค์เจ้าอินทร์ก็มาสิ้นพระชนม์ไปด้วย จึงท่านพระเสมียนตราด้วง ได้มีศรัทธาสละที่สวนขนัดทางหน้าวัด ตั้งแต่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตลอดขึ้นไปถึงกำแพงวัด แถบหน้าวัดทั้ง ๒ ในปัจจุบันนี้จนจดวัด ถวายเป็นกัลปนาบ้าง เป็นหน้าวัดบ้าง เป็นสมบัติของวัดบางขุนพรหม ด้วยพระเสมียนตราด้วงนิยมนับถือ ฟังคำสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) จึงได้อุทิศที่บ้านที่สวนออกบูชาแก่พระรัตนตรัยในเนื้อที่ๆว่าแล้วนั้น พระเสมียนตราด้วงและสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) จึงได้ช่วยกันปฏิสังขรณ์วัดบางขุนพรหมใน ท่านเสมียนตราด้วงก็ถึงอนิจกรรม สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ก็ถึงมรณภาพ สมภารวัดแลทายกก็ทำโลเลร่องแร่ง ผลประโยชน์ของวัดก็เสื่อมทรามหายไป วัดก็ทรุดโทรมรกเรื้อ ภิกษุที่ประจำในวัดก็ล้วนรุ่มร่ามเลอะเทอะ เป็นกดมะตอทั้งปทัด

ครั้นพระมหานครมาสู่ความสะอาดรุ่งเรืองงาม จึงดลพระราชหฤทัยในรัชกาลที่ ๕ นั้น ให้ทรงสถาปนาพระหมานคร ตัดถนนสัญจรให้โล่งลิ่วตลอดถึงกันหลายชั้นหลายทาง ทะลุถึงกันหมดทุกสายทั้ง ๔ ทิศติดต่อกันไป ทางหน้าวัดบางขุนพรหมก็ถูกตัดถนนด้วย ช่วยเพิ่มพระบารมี ทางริมน้ำก็ถูกแลกเปลี่ยนที่ ทรงสร้างวังลงตรงที่นั้น ๒ วัง ที่ใหม่ของหลวงที่พระราชทานให้แก่วัดบางขุนพรหมนั้นเดี๋ยวนี้ ก็ได้ยินว่าหายไป ไม่ปรากฏแก่วัดบางขุนพรหม และชาวบ้านเหล่านั้น ช่วยกันพยุงวัดนี้มาด้วยผลประโยชน์ส่วนตัวบ้าง ผลประโยชน์ของวัดเกิดในกัลปนาบ้างช่วยกันเสริมสร้างพระโตองค์นี้มานานก็ไม่รู้จักจะแล้วได้ ครั้นมาถึงสมัยรัชกาลที่ ๗ ในปี พ.ศ. ๒๔๗๖ ท่านพระครู เป็นพระธรรมยุติกนิกายมาคิดสถาปนาพระโตองค์นี้เปลี่ยนแปลงเป็นพระยืนห้ามญาติ พอเป็นองค์ขึ้นสมมุติว่าแล้ว นัดไหว้กัน ไม่ช้าเท่าไรก็เกิดวิบัติขึ้นแต่ผู้ต้นคิด เพราะผิดทางกำหนดในบทหนังสือปฐม ก กา ว่าขืนรู้ผู้ใหญ่เครื่องไม่เข้าการ เพราะสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) นั้น ท่านประพฤติกาย วาจา ใจ เป็นผู้ใหญ่แท้ ท่านสร้างพระนั่งตอตะเคียนโปรดยักษ์ พระปางนี้ไม่มีใครๆ สร้างไว้เลย แต่สยามฝ่ายเหนือลงมา ก็หามีผู้สร้างขึ้นไว้ไม่ ท่านจึงคิดตั้งใจแลสร้างไว้ให้ครบ ๑๐๘ ปาง แต่อายุและโอกาสไม่พอแก่ความคิด พระจึงไม่แล้ว ท่านพระครูมาขืนรู้ ท่านจึงไม่เจริญ กลับเป็นคนเสียกล เป็นคนทรุดเสื่อมถึงแก่ต้องโทษทางอาญา ราชภัยบันดาลเป็นเพราะโลภเจตนาเป็นเค้ามูล จึงพินาศวิบากผลปฏิสังขรณ์อำนวยไม่ทัน วิบากของโลภแลความลบหลู่ดูหมิ่นผู้ใหญ่ ขืนรู้ผู้ใหญ่แรงกว่า อำนวยก่อน จึงเป็นทิฐิธรรมเวทนียกรรมแท้ กลับเป็นบุคคลลับลี้ หายชื่อหายหน้าไม่ปรากฏ เหมือนสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านก่อสร้างสิ่งซึ่งเป็นถาวรวัตถุชิ้นใดๆเป็นการเกี่ยวแก่พระพุทธศาสนาแล้ว ท่านไม่มีแยบคาย คนอื่นๆ ตรงต่อพระพุทธศาสนา ตรงต่อพระมหากษัตริย์ ตรงต่อชาติ อาจทำให้ประโยชน์ โสตถิผลให้แก่ชุมชนเป็นอันมาก ดังสำแดงมาแล้วแต่หนหลัง

และวัดบางขุนพรหมในนี้นั้น สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ วัดบวรนิเวศวิหารได้สืบเค้าเงื่อนได้ทราบเหตุการณ์บ้างว่า เดิมพระองค์เจ้าอินทร์ซ่อมแซมก่อสร้างเป็นหลักฐานไว้ก่อน สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น) วัดบวรนิเวศ ได้ขนานนามวัดนี้ให้ชื่อว่า วัดอินทรวิหาร (แปลว่าวัดเจ้าอินทร์) ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๐ นั้นมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ (ถ้าผู้มีทรัพย์มีอำนาจ มีกำลัง มีอานุภาพ ได้มาแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้เป็นพระนั่งบนตอตะเคียน ตามประสงค์ของสมเด็จเจ้าโตได้ และทำยักษ์คุกเข่าฟังพระธรรมเทศนา ได้ลุสำเร็จปฐมมรรค หายดุร้าย ไม่เบียดเบียนมนุษย์ ไม่เบียดเบียนพระภิกษุสงฆ์สามเณรต่อไป ผู้แปลงใหม่ คงมั่งคั่งสมบูรณ์ พูนพิพัฒน์สถาพร ประเทศก็จะรุ่งเรือง ปราศจากวิหิงสาอาฆาต พยาธิก็จะไม่บีฑาเลย)

ข้าพเจ้าผู้เรียบเรียงเรื่องราวของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) นี้ ได้ทรงจำและเสาะสางสืบค้นฉบับกะรุ่งกะริ่ง และได้อาศัยพึ่งพิงท่านผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุเล่ากล่าวสืบๆ มาจนติดอยู่ในสมองของข้าพเจ้า และได้ถือเอาคำของเจ้าคุณพระธรรมถาวร (ช้าง) ผู้มีอายุราว ๘๘ ปีบ้าง อนุมัติดัดแปลงบ้าง ประมาณบ้าง สันนิษฐานบ้าง วิจารณ์บ้าง เทียบศักราชในพงศาวดารบ้าง บรมราชประวัติแห่งสยามบ้าง พอให้สมเหตุสมผล ให้เป็นต้นเป็นปลาย พิจารณาในรูปภาพที่ฝาผนังในโบสถ์วัดอินทรวิหารบ้าง ได้ยกเหตุผลขึ้นกล่าว ใช้ถ้อยคำเวยยากรณ์ เป็นคำพูดตรงๆ แต่คงจะไม่เหมือนสมเด็จพระเป็นแน่ เพราะคนละยุค คนละคราว คนละสมัย และข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าคงไม่ผิดจากความเป็นจริง เพราะข้าพเจ้าใช้คำตามหลัก เป็นคำท้าวคำพระยา คำพระสงฆ์ คำบ้านนอก คำราชการ คำโต้ตอบทั้งปวงนั้น ข้าพเจ้าเขียนเองตามหลักของการแต่งหนังสือ แต่คำทั้งปวงเห็นว่าสมเหตุสมผลแล้วจึงเขียนลง แต่คงไม่คลาดจากความจริง ถ้าว่าไม่ได้ยินกับหู ไม่ได้รู้กับตา มากล่าวเล่าสู่กันฟัง คล้ายกับเล่านิทาน เหมือนเล่าเรื่องศรีธนนชัย เรื่องไกรทอง เรื่องขุนช้างขุนแผน เรื่องอะไรทั้งหมด ที่เรียกว่านิทานแล้ว ธรรมดาต้องมีต่อมีเติม มีตัด ไม่ให้ขัดลิ้นขัดหู แต่ไม่ผิดหลักแห่งความจริง เพราะสิ่งที่จริง มีปรากฏเป็นพยานของคำนั้นๆ ถ้าหากว่าอ่านรูดรูด ฟังรูดรูด ไม่ยึดถือเรื่องราว ก็เห็นมีประโยชน์เล็กน้อย แก่ผู้อ่านผู้ฟังบ้าง คือสอนพูด ถึงเป็นคนโง่ คนบ้านนอก ก็รู้การเมืองได้บ้าง ไม่เซอะซะต่อไป นักโต้ตอบก็จะได้ทราบหลักแห่งถ้อยคำ นักธรรมะก็พอสะกิดให้เข้าใจธรรมะบ้าง นักเชื่อถือก็จะได้แน่นแฟ้นเข้าอีก นักสนุกก็พอเล่าหัวเราะแก้ง่วงเหงา ถ้าจะถือว่าหนังสือแต่งใหม่ก็ดีเหมือนกัน ถ้าท่านเห็นถ่องแท้ว่าผิดพลาด โปรดฆ่ากาแต้มต่อตัดเติมได้ให้ถูกต้องเป็นดี

นี่แหละหนาท่านทานบดีที่มีน้ำใจเลื่อมใสศรัทธาเชื่อถือสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ได้อุตส่าห์มาประชุมกันไหว้กราบสักการะพระเกตุไชโยใหญ่โต ในอำเภอไชโยนี้ทุกปีมา พระพุทธปฏิมากรองค์นี้หนา ก็เป็นพระของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ได้ขอพระบรมราชานุญาตแล้วก่อสร้างไว้ ท่านได้เชิญเทวดาฟ้าเทวดาดินเป็นผู้เฝ้าพิทักษ์รักษาป้องกันภัยอันตราย ไม่ให้มีแก่พระของท่าน ถึงถาวรตั้งมั่นมาถึงปีนี้ได้นานถึง ๖๐ ปีเศษล่วงมา ก็ด้วยอำนาจสัตยาธิษฐานของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ผู้มีสัตย์ มีธรรม ทั้งกอปรกายกรรม วาจีกรรม มโนกรรม เป็นฝ่ายบุญฝ่ายกุศล ทั้งระคนข้องอยู่ในภูมิรู้ ภูมิเมตตา ภูมิกรุณา เอ็นดูแก่อาณาประชาชนนิกร ท่านตั้งใจให้ความสุขอันสุนทร และให้สุขสโมสรแก่นิกรประชาชนทั่วหน้ากัน ท่านหวังจะให้มีแต่ความปรีดิ์เปรมเกษมสันต์สารภิรมย์ ให้สมแก่ที่ประเทศเป็นเขตพระบวรพุทะศาสนารักษาพระรัตนตรัยให้ไพบูลย์ ต่อตั้งศาสนาไว้มิให้เสื่อมสูญ เศร้าหมอง ให้บริสุทธิ์ผุดผ่องสนองพระเดชพระคุณพระพุทธเจ้า อันได้ทรงฟักฟูมใฝ่เฝ้าฝากฝังตั้งพระศาสนาไว้ เป็นของบริสุทธิ์สำหรับพุทธเวไนย พุทธสาวก พุทธมามะกะ พุทธบาท พุทธบิดามารดา แห่งพระพุทธเจ้า จะได้ตรัสไปข้างหน้าในอนาคตกาล นิกรชนจะได้ชวนช่วยกันรักษาศีลบำเพ็ญทาน ทำแต่การบุญ ผู้สละ ผู้บริจาคจะได้เป็นทุนเป็นเสบียงทางผลที่ทำไว้จะมิได้ระเหิดเริศร้างจางจืดชืดเชื้อ หรือยากจนแค้นเต็มเข็ญเป็นไปในภายหน้า จะได้ทวีมีศรัทธากล้าปัญญาแหลมหลักอัครภูมิ วิจารณ์จะเกิดบุญจิตุกามยตาญาณหยั่งรู้หยั่งเห็นพระอริยสัจจะธรรม จะได้นำตนให้ข้ามพ้นจากวัฏฏะสงสารได้ก็ต้องอาศัยกุศลวัตรภูมิ ภูมิรู้ ภูมิปฏิบัติในปัจจุบันชาตินี้เป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้สำเร็จความสุขความดี ความงามตามวาสนาบารมีในกาลภายภาคหน้า เพราะเหตุนี้ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) จึงได้ชะโลชะลอ หล่อศรัทธาปสันนา ของพระพุทธศาสนิกชนไว้ใหญ่อะโข ตั้งพระไว้จะได้ระลึกนึกถึงพระพุทโธได้ง่ายๆ ต่างคนต่างจะได้ไหว้นมัสการบูชาทุกวันทุกเวลาราตรีปีไป จะได้สมดั่งพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเทศนาสั่งสอนไว้แก่พระสารีบุตรอุตตองค์สาวกว่า "อตีตังนานวาคะเมยยะ นัปปฏิกังเข อะนาคะตังยทะตี ตัมปหินันตัง อัปปัตตัญจะอะนาคะตัง ปัจจุบันปันนัญจะโยธัปมัง ตัตถะ ตัตถะวิปัสสะติ อะสังหิรังอะสังกุปปัง ตังวิทธามะนุพรูหะเย อัชเชวะกิจจะมาตับปัง โกชัญญามะระณังสุเว นะหิโนสังคะรันเตนะ มัจจุนา เอวัง วิหาริมาตาปิง อะโหรัตตะมะตันทิตัง ตังเวภัทเทกะรัต สันโตอาจิขะเตมุนีติ" แปลความตามพระคาถาทั้ง ๔ คาถานี้ว่า บุคคลไม่พึงตามไปถึงเหตุการณ์ที่ล่วงไปแล้ว๑ บุคคลไม่พึงหวังจำเพาะเหตุผลข้างหน้า อันยังไม่มาถึง บุคคลใดย่อมเห็นชัดเห็นแน่ว่า ธรรมะ คือ คุณงามความดีในปัจจุบันทันตานี้แล้ว ย่อมทำประโยชน์ในเหตุการณ์นั้นๆเถิด อะสังหิรัง อะสังกุปปัง ไม่พึงย่อหย่อน ไม่พึงคืนคลายเกียจคร้านพึงจำเพาะเจาะจงผลประโยชน์นั้นๆ ให้เจริญตามๆ เป็นลำดับไป พึงทำกิจการงานของตนให้เสร็จสุขสำเร็จเสียในวันนี้ จะเฉี่อยชาราข้อละทิ้งกิจการงานให้นานวันนั้นไม่ได้ โกชัญญามรณังสุเว ใครเล่าจะพึงรู้ว่าความตายจะมาถึงในวันพรุ่งนี้ นะหิโนสังคะรันเตนะ มหาเสเนนะมัจจุนา ความผัดเพี้ยนผ่อนผันของเราทั้งหลายไม่มีต่อด้วยความตายอันมีเสนาใหญ่นั้น คนผู้เห็นภัยมฤตยูราชตามกระชั้นแล้ว ไม่ควรทุเลาวันประกันพรุ่ง ว่าพรุ่งนี้เถอะ มะเรื่องเถอะ เราจึงจะกระทำไม่พึงย่อหย่อนเกียจคร้านอย่างนี้ จะรีบร้อนกระทำเสียให้แล้วจึงอยู่ทำไปทั้งกลางวันและกลางคืน ตังเวภัทเทกะรัตโตติ สันโตอาจิกขะเตมุนี นักปราชญ์ผู้รู้ผู้สงบระงับแล้ว ท่านกล่าวบอกว่า บุคคลผู้หมั่นเพียรกระทำนั้น ว่าเป็นบุคคลมีราตรีเดียวเจริญด้วยประการดังนี้

ถ้าจะอธิบายตามความในพระธรรมเทศนาในพระคาถาที่แปลมาแล้วนี้ ให้เข้าใจตามภาษาชาวบ้าน ต้องอธิบายดังนี้ว่า คำหรือเรื่องหรือสิ่งหรือเหตุการณ์ก็ตาม ถ้ามันล่วงเลยไปเสียแล้ว มันสายไปเสียแล้ว มันบ่ายไปเสียแล้ว เรียกว่าอดีต ล่วงไปแล้ว อย่าให้ไปตามคิดตามหาถึงมัน จะทำความเสียใจให้ ท่านจึงสอนไม่ให้ตามคิด สุภาษิตก็ว่าไว้ว่า อย่าฟื้นสอยหาตะเข็บให้เจ็บใจ อย่าตามคิดถึงมัน ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เสีย และดีกว่า ถึงเรื่องราวเหตุผลข้างหน้า หรือมีคนมีผู้กล่าวมาส่อถึงเหตุผลข้างหน้าว่าเมื่อนั้นเมื่อนั่น จะให้นั่น จะให้นั่นทำนั่นทำนั่นให้ กล่าวอย่างนี้เรียกว่าอนาคตเหตุ ท่านว่าอย่าพึ่งจำนง อย่าหวังใจ อย่าวางใจในการข้างหน้า จะเสียใจอีก จะเหนื่อยเปล่าด้วย เพราะไม่จริงดังว่า สุภาษิตก็ว่า ไม่เห็นน้ำตัดกระบอก ไม่เห็นรอกโก่งกระสุนหน้าไม้ สายกระสุนจะล้า ด้ายกระสุนจะอ่อน คนเราถ้าเชื่อการข้างหน้า ทำไปเพราะหวังและสำคัญมั่นหมายมุ่งหมายว่าจริงใจ ถ้าไปถูกหลอกถูกล่อเข้าจะเสียใจ แห้งใจอ่อนใจ เหนื่อยเปล่า เหตุนี้ ท่านจึงสอนว่า อย่าหวังการข้างหน้า ในปัจจุบันชั่ววันหนึ่งๆ นี่แหละควรพึงกระทำให้เป็นผลประโยชน์ไว้สำหรับเกื้อกูลตน ทำบุญทำกุศลไว้สำหรับตนประจำตัวไว้สม่ำเสมอทุกวัน ทุกเวลา ถึงโดยว่าข้างหน้า ภพหน้า โลกหน้าจะมีหรือไม่มีเราก็ไม่วิตก เพราะเราไม่ทำความผิด ความชั่ว ความบาปไว้ เราไม่เศร้าไม่หมอง เมื่อเราทำตนให้บริสุทธิ์ เรารับจ้างเขาทำงาน ทำตนให้มีคนรักคนนับหน้าถือนาม เราก็ไม่หวาดไม่ไหวต่อการขัดสน เรารับทำให้เขาแล้วตามกำหนด เจ้างานก็ต้องให้ค่าจ้างรางวัลเราตามสัญญา ถ้าเราจะขอรับเงินค่าจ้างล่วงหน้า นายจ้างก็ไม่รังเกียจหยิบให้เราทันทีทันงาน เพราะนายจ้างเชื่อว่าเราหมั่นทำงานของท่านจริงไม่ย่อหย่อนผ่อนผัดวัน ถ้าว่าเป็นงานของเราเอง รีบทำให้แล้ว ไม่ผัดเพี้ยนเปลี่ยนเวลา ก็ยิ่งได้ผลความเจริญ เมื่อการงานเงินของเราพอดี พอแล้ว พอกิน พอใช้ เราก็มีโอกาสมีช่องที่จะแสวงหาคุณงามความดี ทำบุญทำกุศล สวดมนต์ไหว้พระได้ตามสบายใจ เมื่อเราสบายใจไม่มีราคีความขัดข้องหมองใจ ไม่เศร้าหมองใจแล้ว เราก็ยิ่งมีสง่าราศีดีขึ้น เป็นที่ชื่นตาของผู้ที่เราจะไปสู่มาหา ผู้รับก็ไม่กินแหนงรังเกียจรำคาญ เพราะตนของเราบริสุทธิ์ ไม่รบกวนหยิบยืมให้เจ้าของบ้านรำคาญใจ ทำได้ดังนี้แหละจึงตรงต่อพุทธศาสนา ตรงกับคำในภัทธกรัตคาถาว่า ตํ เวภัทเธกะรัตโตติ ว่าคนทำตนให้เป็นที่พึ่งของตนได้ ดังสำแดงมาจึงมีนามกล่าวว่า ผู้นั้นมีราตรี คืนเดียวเจริญ


652
เสือที่อยู่ในบาตรกระโดดกัดหมู

หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย



ข้อมูลจาก เวปพระรัตนตรัย กระดานสนทนาธรรม กระทู้ที่ 01083 โดย คุณ : คนรู้น้อย   17-05-2003

เนื้อความ :

วันนี้กระผมขอนำเรื่องเกี่ยวกับ พระผู้ทรงอภิญญา(จากเค้าโครงเรื่องของนักเขียนหลายท่าน เช่นคุณสุรสีห์ ภูไท ฯลฯ) และเรื่องจากประสบการณ์จริงของนายตำรวจมือปราบผู้หนึ่ง คือท่าน พ.ต.ท.อรรณพ กอวัฒนา (ยศเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๓๕) มาเรียนเสนอ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง คือเรื่องต่างๆ ก็มักจะมีธรรมะแทรกอยู่ เพราะตัวละครแต่ละท่านนั้น ก็ย่อมมีการทำความดี และความชั่ว ก็ขอให้ท่านพิจารณาตามไปด้วยว่า ท่านนั้นๆ ทำความดีด้วยคุณธรรมอะไร หรือทำความชั่วด้วยกิเลสข้อใดบ้าง และเหตุการณ์ต่างๆ นั้นมีความเป็นอนิจจังไม่เที่ยงแท้แน่นอนอย่างไรบ้าง เรียนเชิญติดตามได้แล้วครับ ...
 

เมืองสมุทรปราการ เป็นเมืองสำคัญทางประวัติศาสตร์เมืองหนึ่ง มีวัดพุทธศาสนาอยู่ ๑๐๐ กว่าวัด มีพระคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่หลายสำนัก เท่าที่ผ่านมา พระอาจารย์ผู้เรืองวิทยาคม แก่กล้าด้วยพระเวทย์ ในย่านบางบ่อเห็นจะไม่มีใครเกิน หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ยไปได้ (ความจริง ?เหี้ย? นี่เป็นชื่อของสัตว์เลื้อยคลานพันธุ์หนึ่ง แต่คนนำมาใช้ด่าว่ากัน จึงกลายเป็นคำไม่สุภาพไป) เนื่องจากท่าน ได้ล่วงลับมาเป็นเวลานาน และท่านไม่ได้เล่าถึงชีวิตในอดีตของท่านให้ลูกศิษย์ทราบ ข้อมูลชีวประวัติของท่านจึงมีน้อย ทราบเพียงว่า

ท่านเกิดปี พ.ศ. ๒๓๖๘ ที่ตำบลคลองด่าน ตาเป็นคนจีนชื่อ เขียว ยายเป็นคนไทยชื่อปิ่น โยมพ่อไม่ทราบชื่อ แต่โยมแม่ชื่อตาล เป็นลูกสาวคนโตของยายปิ่น ในตอนเยาว์วัย ท่านได้บรรพชา เป็นสามเณรที่วัดแจ้ง หรือวัดอรุณฯ กรุงเทพฯ เพื่อเรียนหนังสือ ไทย หนังสือขอม มูลกัจจายน์ และหนังสือใหญ่ ต่อมาท่านได้สึกจากเณร มาช่วยพ่อแม่ ประกอบอาชีพ ทำจาก และตัดฟืนไปขายเป็นอาชีพประจำ ท่านเป็นผู้มีนิสัยอดทนหนักเอาเบาสู้ ทำให้พ่อแม่เบาใจมาก

ต่อมาเมื่ออายุครบ ๒๐ ปี ท่านก็ได้บรรพชาอุปสมบทที่วัดอรุณฯ โดยมีพระศรีศากยมุนี เป็นพระอุปัชฌาย์ แล้วก็ได้อยู่ศึกษากับพระอุปัชฌาย์หลายปี ท่านมีความสนใจในทางกรรมฐานเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นท่านได้กราบลามาอยู่ วัดบางเหี้ย ตำบลบางเหี้ย อำเภอบางบ่อ ท่านประพฤติปฏิบัติ เคร่งครัดต่อพระธรรมวินัย เจ้าอาวาสขณะนั้น ได้แต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้ปกครองดูแลพระเณร ออกพรรษาแล้วท่านก็ออกรุกขมูล บุกดงพงป่าเพื่ออบรมสมาธิฝึกกรรมฐาน แสวงหาความรู้วิทยาคมจากสำนักอาจารย์ที่มีชื่อเสียง รู้ว่าอาจารย์ที่ไหนดี ท่านก็บุกไปจนถึงเพื่อขอศึกษาอาคมกับอาจารย์นั้น ท่านสนใจในวิชาไสยศาสตร์ เป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงไม่มีความยากสำหรับท่าน เมื่อมีความชำนาญแคล่วคล่องในเวทย์มนต์ ก็ทำให้เกิดความขลัง ความรู้ความสามารถก็ทวีเป็นเงาตามตัว ต่อมาท่านได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาส ปกครองสงฆ์ดูแลวัด

หลวงพ่อปานฯ กับหลวงพ่อวัดกระบกต้นผึ้ง จังหวัดระยอง (ซึ่งได้พบกันในระหว่างธุดงค์) ได้ชวนกันไปเรียนวิทยาคมการปลุกเสกเสือ จากอาจารย์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งพร้อมกัน (ไม่ทราบชื่อ และสำนักของอาจารย์ท่านนั้น) ขณะที่เรียนอยู่นั้น เมื่อเรียนถึงขั้นทดลองพิสูจน์ดู โดยเอาเสือใส่บาตร หรือในโหลให้เอาไม้พาดไว้ ปลุกเสกจนเสือออกมาจากบาตร หรือจากโหลหายเข้าป่าไป ถ้าใครภาวนาเรียกเสือกลับมาได้ก็จะให้เรียนต่อไป ถ้าเรียกกลับมาไม่ได้ ก็ไม่ให้เรียน

หลวงพ่อปานวัดบางเหี้ย ปลุกเสกเสือออกจากบาตรเข้าป่าไปได้ และเรียกกลับมาได้ ส่วนหลวงพ่อวัดกระบกต้นผึ้ง ปลุกเสกเสือออกมาได้เข้าป่าไปเช่นกัน แต่เรียกเท่าไรๆ ก็ไม่กลับ ก็เป็นอันว่าหลวงพ่อปานเรียนต่อจนสำเร็จองค์เดียว หลวงพ่อวัดกระบกต้นผึ้งก็ต้องพักจากการเรียนเสือ ก็หันมาเรียน สร้าง และปลุกเสกแพะ จนสำเร็จ เมื่อได้วิทยาคมนี้ต่อมาก็มาเป็นอาจารย์ของหลวงพ่ออ่ำ วัดหนองกระบอก จังหวัดระยอง หลวงพ่ออ่ำนี่มีชื่อเสียงมากในการสร้างแพะ จนได้สมญาว่า ?หลวงพ่ออ่ำแพะดัง? และหลวงพ่อวัดกระบกต้นผึ้งนี้ ก็เป็นอาจารย์ของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จังหวัดระยอง ผู้โด่งดังมากในปัจจุบันนี้

นอกจากนี้หลวงพ่อปานฯยังเป็นหัวหน้าสายรุกขมูล และสอนกรรมฐานอันลือชื่อ การออกธุดงควัตร ท่านจะเป็นอาจารย์ควบคุมพระเณร เช่นเดียวกับหลวงพ่อนก วัดสังกะสีซึ่งเป็นคณะธุดงค์อีกสายหนึ่ง ทั้งสองสายมีชื่อเสียงโด่งดังมากในสมัยนั้น หลวงพ่อปานนำพระเป็นร้อยรูป บางปีก็ถึงห้าร้อย พระกรรมฐานสองสายนี้ มีชื่อเสียงมาก่อนกรรมฐานสายอาจารย์เสาร์ อาจารย์มั่น

เนื่องจากหลวงพ่อปานมีอาคมขลัง มีสมาธิจิตเข้มแข็ง เวลาออกรุกขมูลพักปักกลดอยู่ในป่า ตอนกลางคืนเดือนหงายๆ ท่านมักจะลองใจศิษย์ เนรมิตกายให้เป็นงูใหญ่ เลื้อยผ่านหมู่ศิษย์ไปบ้าง ทำเป็นเสือโคร่งเดินผ่านกลดศิษย์ไปบ้าง เป็นที่เลื่องลือไปทั่ว

เนื่องจากหลวงพ่อปานได้ศึกษาวิทยาคม ในการสร้างเสือมาโดยสมบูรณ์แบบ ท่านก็เริ่มสร้างแจกจ่ายให้กับประชาชนแถวย่านบางเหี้ยก่อน ที่วัดจึงต้องต้อนรับประชาชน ที่พากันหลั่งไหลเข้าสู่วัดบางเหี้ยเพื่อรับแจกเสือ ตอนแรกคนแกะเสือก็มีเพียงคนเดียว ต่อมาต้องเพิ่มคนแกะเรื่อยๆ จนถึง ๔ คน และมากกว่านั้น แต่ที่มีฝีมือนั้นมีอยู่ ๔ คน ใครต่อใครก็พากันกล่าวขวัญว่า ?เสือหลวงพ่อปาน? แม้แต่เด็กเล็กๆ ก็ยังรู้จัก และในสมัยนั้นไม่มีใครทำเลียนแบบ สำหรับหลวงพ่อปานวัดบางเหี้ยนั้น ท่านแก่กว่าหลวงพ่อปานวัดบางนมโค ๔๐ ปี และในจังหวัดสมุทรปราการ มีหลวงพ่อปาน วัดบางกระสอบ เป็นพระเกจิอาจารย์ที่ดังมากอีกองค์หนึ่ง หลวงพ่อปานเมื่อออกรุกขมูล พระเณรก็จะนำเอาเสือที่ปลุกเสกแล้วติดไปแจกประชาชนด้วย

ปรากฏว่าเสือของท่านมีประสบการณ์ในทางอำนาจ และคงกระพันยอดเยี่ยม หรือจะใช้ในทางเมตตามหานิยม ค้าขายของก็ได้ผล พ่อค้าแม่ค้ามักจะไปขอเสือหลวงพ่อกันวันละมากๆ ชื่อเสียงเกียรติคุณของท่านจึงแพร่หลายโดยรวดเร็ว ยิ่งมีผู้รู้เห็นพิธีปลุกเสก เสือวิ่งในบาตรเสียงดังกราวๆ ก็ยิ่งทำให้ประชาชนแห่แหนมารับแจกเสือกันไม่ขาดระยะ นอกจากนี้ จีนเฉย (อาแป๊ะเฉย) ซึ่งมีความคุ้นเคยกับหลวงพ่อปาน ถึงกับไปค้างที่วัดเป็นประจำ วันหนึ่งแกก็ไปที่วัดเช่นเคย แต่เอาหมูดิบๆ ไปด้วย เวลาดึกสงัดหลวงพ่อปลุกเสือแกก็เอาหมูแหย่ลงไปในบาตร ปรากฏว่าเสือติดหมูขึ้นมาเป็นระนาว แกยังสงสัยว่าแกจิ้มแรงจนเสือติดหมูออกมา ตอนหลังพอหลวงพ่อปลุกเสกจนเสือวิ่งในบาตร แกก็เอาหมูผูกกับไม้ แล้วชูหมูไว้เหนือบาตร ปรากฏว่าเสือที่อยู่ในบาตรกระโดดกัดหมู เหนือขอบปากบาตร จีนเฉยซึ่งเห็นกับตาตนเองก็นำไปเล่า จนข่าวเสือกระโดดกัดหมู เสือวิ่งในบาตร เสือกระโดดได้ แพร่สะพัดไปราวกับลมพัด ประชาชนต่างก็เห็นเป็นอัศจรรย์

หลวงพ่อกับ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

สมัยก่อนมีแม่น้ำอยู่สายหนึ่ง ซึ่งไหลผ่านป่าดงพงพีมีต้นน้ำอยู่แปดริ้ว มาลงทะเลที่สมุทรปราการ ทุกครั้งที่น้ำทะเลหนุน น้ำเค็มจะทะลักเข้าไปตามแม่น้ำลำคลองต่างๆ ทำให้ชาวบ้านในย่านนั้นได้รับความลำบาก สิ่งที่ไหลขึ้นมาตามน้ำคือตัวเหี้ย ตะกวด และจระเข้ จนต้องมีการทำประตูกั้นน้ำไว้เพื่อมิให้น้ำเค็มจากทะเลไหลขึ้นไปปนกับน้ำจืด และเพื่อป้องกันสัตว์เลื้อยคลานที่มีอยู่ชุกชุม มิให้แพร่หลายไปตามคลองต่างๆ ด้วยเหตุที่มีสัตว์พวกนี้ชุกชุม ชาวบ้านจึงตั้งชื่อหมู่บ้านว่า ?บ้านบางเหี้ย? และคลองบางเหี้ย วัดก็ตั้งชื่อว่า วัดบางเหี้ย มี ๒ วัดคือวัดบางเหี้ยนอก กับวัดบางเหี้ยใน ประตูที่กั้นคลองนั้น มีชื่อเรียกกันปัจจุบันว่า ?ประตูน้ำชลหารวิจิตร? ต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ ประตูน้ำเกิดชำรุด ต้องทำการซ่อมแซมหลายครั้ง เมื่อแล้วเสร็จได้กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จไปที่ตำบลบางเหี้ย จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อที่จะทำพิธีเปิดประตูน้ำใหญ่ที่ตั้งอยู่ในคลองบางเหี้ย ปรากฏว่าทรงประทับอยู่ที่คลองด่านถึง ๓ วัน (ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดฯให้เปลี่ยนชื่อ ตำบลบางเหี้ย เป็น ตำบลคลองด่าน คลองบางเหี้ย เป็นคลองด่าน และอำเภอบางเหี้ย เป็นอำเภอคลองด่าน ) ...

บรรดาชาวบ้านที่อยู่ในแถบถิ่น บางบ่อ บางพลี บางเหี้ย และบริเวณใกล้เคียง เมื่อรู้ข่าวว่าพระเจ้าอยู่หัวฯจะเสด็จมาเปิดประตูน้ำ ต่างก็พากันเตรียมของที่จะถวาย หลวงพ่อปานได้นำเขี้ยวเสือ ที่แกะอย่างสวยงามใส่พาน แล้วให้เด็กป๊อดซึ่งเพิ่งจะมีอายุ ๗-๘ ขวบหน้าตาดี เดินถือพานที่ใส่เขี้ยวเสือแกะเป็นรูปเสือ ตามหลังท่านไปเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ริมคลองด่าน

เมื่อไปถึงที่ประทับของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ หลวงพ่อได้เรียกเอาพานใส่เขี้ยวเสือจากเด็กผู้ติดตาม แต่เด็กคนนั้นบอกกับท่านว่า ?เสือไม่มีแล้ว เพราะมันกระกระโดดน้ำไปในระหว่างทางจนหมดแล้ว? หลวงพ่อปานจึงได้เอาชิ้นหมูที่ทำขึ้นจากดินเหนียว แล้วเสียบกับไม้ แกว่งล่อเอาเสือขึ้นมาจากน้ำต่อหน้าพระพักตร์ พระองค์ทรงตรัสว่า ?พอแล้วหลวงตา? หลังจากนั้นหลวงพ่อได้ถวายเขี้ยวเสือแกะนั้นแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระองค์ทรงพิจารณาชั่วครู่ จึงตรัสถามชื่อพระเถระรูปร่างสูงใหญ่ผู้ปลุกเสกเขี้ยวเสือ หลวงพ่อปาน ทูลว่าท่านชื่อปาน (ติสโร) เป็นเจ้าอาวาสวัดบางเหี้ย

พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ มีรับสั่งกับพระปานว่า ?ได้ยินชื่อเสียง และกิตติคุณมานาน เพิ่งเห็นตัววันนี้? แล้วรับสั่งถามว่า ?ที่แจกเครื่องรางเป็นรูปเสือมีความหมายอย่างไร ??

หลวงพ่อปานทูลตอบว่า ?ได้ไปรุกขมูลธุดงค์ในป่า พบเสือใหญ่หลายครั้ง ได้สังเกตดูเห็นว่า ?เสือ? เป็นสัตว์ปราดเปรียว ฉลาด ว่องไว เฉียบขาด มีตบะ และอำนาจ สามารถที่จะใช้ตาสะกดสัตว์อื่นให้อยู่ในอำนาจได้ คนทั่วไปเรียกผู้ร้ายใจฉกรรจ์ว่า ?ไอ้เสือ? ก็คือเอาความเก่งกาจของเสือมานั่นเอง การที่ทำเครื่องรางรูปเสือ มิใช่จะสนับสนุนให้คนกลายเป็น?อ้ายเสือ? เพียงแต่ต้องการเอาลักษณะของเสือจริงในป่า ที่ปราดเปรียว ว่องไว เฉลียวฉลาด เฉียบขาดมาเป็นตัวอย่างเท่านั้น?

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯทรงพอพระทัยในคำตอบของพระปานยิ่งนัก (ด้วยท่านมิได้ โอ้อวดว่า เครื่องรางของท่านดีเด่น แต่ประการใด) ทรงพระราชทานผ้าไตร และผ้ากราบ (ต่อมาได้พระราชทานสมณศักดิ์ เป็น ?พระครูพิพัฒน์นิโรธกิจ?)

พระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง?เสด็จประพาส มณฑลปราจิณ? ได้เล่าถึงพระปานไว้ว่า ?พระครูปานมาหาด้วย พระครูปานรูปนี้นิยมกันในทางวิปัสสนา และธุดงควัตร มีพระสงฆ์วัดต่างๆ ไปธุดงค์ด้วยสองร้อยสามร้อย แรกลงไปประชุมที่วัดบางเหี้ย มีสัปบุรุษที่ศรัทธาเลื่อมใสช่วยกันเลี้ยง กินน้ำจืดที่มีไว้เกือบจะหมดแล้วก็ออกเดิน ทางที่เดินนั้นลงไปบางปลาสร้อย แล้วจึงเวียนกลับขึ้นไปปราจิณ นครนายก ไปพระบาท แล้วเดินลงมาทางสระบุรี ถ้ามาตามทางรถไฟ แต่ไม่ขึ้นรถไฟ เว้นแต่พระที่เมื่อยล้าเจ็บไข้ ผ่านกรุงเทพฯกลับลงไปบางเหี้ย ออกเดินทางอยู่ในแรมเดือนยี่ กลับไปวัดอยู่ในราวเดือนห้าเดือนหก ประพฤติเป็นอาจิณวัตรเช่นนี้มา ๔๐ ปีแล้ว คุณวิเศษที่คนเลื่อมใสคือ ให้ลงตะกรุด ด้ายผูกข้อมือ รดน้ำมนต์ ที่นิยมกันมากคือ เขี้ยวเสือแกะเป็นรูปเสือ เล็กบ้างใหญ่บ้าง ฝีมือหยาบๆ ข่าวที่ร่ำลือกันว่า เสือนั้นเวลาจะปลุกเสก ต้องใช้หมู ปลุกเสกเป่าไปข้อไร เสือนั้นกระโดดลงไปในเนื้อหมูได้ (น่าจะหมายความว่า พอปลุกเสกได้ที่เสือจะกระโดดกัดเนื้อหมู เป็นอันใช้ได้น่ะครับ) ตัวพระครูเองเห็นจะได้ความลำบาก เหน็ดเหนื่อยในการที่ใครๆ กวนให้ลงโน่นลงนี่ เขาว่าบางทีก็หนีไปอยู่ในป่าช้า ที่พระบาทฯ (สระบุรี) ก็หนีไปอยู่บนเขาโพธิ์ลังกา คนก็ยังตามไปกวนไม่เป็นอันหลับอันนอน แต่บริวารเห็นจะได้ผลประโยชน์ ในการทำอะไรๆ ขาย เวลาแย่งชิงก็ขึ้นไปถึง ๓ บาท ว่า ๖ บาทก็มี ได้รูปเสือนั้นแล้วจึงไปให้พระครูปลุกเสก สังเกตดูอัธยาศัยเป็นคนแก่ใจดีมีกิริยาเรียบร้อย อายุ ๗๐ แล้วยังไม่แก่มาก รูปร่างล่ำสันใหญ่โต เป็นคนพูดน้อย มีคนมาช่วยพูด

จะเห็นว่า ในพระราชนิพนธ์ ?เสด็จประพาสเมืองปราจิณ? ได้เล่าถึง ?พระปาน? อย่างละเอียด สิ่งสำคัญยิ่งก็คือ เครื่องรางเขี้ยวเสือที่ทำเป็นรูปเสือ ในขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่ ราคาเช่าซื้อตัวละ ๑ บาทบ้าง ๓ บาทบ้าง ๖ บาทบ้าง ซึ่งเป็นราคาที่สูงมาก (ในสมัยนั้น กาแฟถ้วยละ ๑ สตางค์ ก๋วยเตี๋ยวชามละ ๓ สตางค์ ข้าวผัดจานละ ๕ สตางค์) หลังจากเสร็จสิ้นพระราชกรณียกิจ ก่อนที่ท่านจะเสด็จกลับเมืองหลวง พระองค์มีรับสั่งกับหลวงพ่อปานว่า ?ฟ้าไปก่อน แล้วให้พระท่านไปทีหลัง? พระราชดำรัสนี้ทำให้ทุกคนพิศวง เพราะไม่เข้าใจความหมาย (ยกเว้นหลวงพ่อฯ) แต่หลังจากนั้นไม่กี่ปี พระองค์ท่านก็เสด็จสวรรคต และต่อจากนั้นไม่ถึงปี หลวงพ่อปานก็มรณภาพลงเช่นกัน จึงสันนิษฐานว่าพระองค์อาจจะรู้ด้วยญาณ ว่าท่านและหลวงพ่อปานคงถึงเวลาที่จะละสังขารแล้ว

บุญญาภินิหารของหลวงพ่อ :

หลวงพ่อปานท่านเป็นผู้มีความเมตตา ปรานี และมีวาจาสิทธิ์ จนเป็นที่ยำเกรงแก่ประชาชนทั่วไป บรรดาลูกศิษย์ของท่านจะพยายามปฏิบัติตนอยู่ในคุณงามความดี เพราะกลัวหลวงพ่อว่าตนไม่ดี แล้วจะไม่ดีตามวาจาสิทธิ์ของท่าน กอรปกับท่านมีเจโตปริยญาน และอนาคตังสญาน

อาทิเช่นครั้งหนึ่งท่านเตรียมจะออกเดินธุดงค์ พร้อมกับพระภิกษุสามเณรจำนวนมากจากวัดต่างๆ พระทั้งหลายจะต้องเข้ามาหาหลวงพ่อ เพื่อรายงานตัวก่อน ถ้าท่านไม่ให้ไปก็ไปไม่ได้ ในครั้งนั้นมีพระอยู่องค์หนึ่ง ชื่อพระผิว หลวงพ่อได้เรียกเข้ามาหา และบอกว่า ?คุณเก็บบาตร เก็บกลด กลับวัดไปเถอะ?

พระผิวเสียใจเป็นอย่างยิ่งถึงกับร้องไห้ หลวงพ่อปานจึงกล่าวกับพระผิวว่า ?อย่าเสียใจไปเลยคุณ กลับไปวัดเถอะ เดินทางไปกับหลวงพ่อมันลำบากมาก องค์อื่นท่านแข็งแรง หลวงพ่อกลัวคุณจะลำบากจึงให้กลับไปก่อน?

พระผิวจึงจำใจกลับ หลังจากพระผิวกลับมาถึงวัดได้ ๒ วันเท่านั้นท่านก็เป็นไข้ทรพิษ และมรณภาพลงในที่สุด การเดินธุดงค์นั้น ท่านมักจะให้ศิษย์ออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อนทุกคราว แต่พอถึงจุดนัดหมาย หลวงพ่อจะไปคอยอยู่ข้างหน้าก่อนเสมอ

หลวงพ่อปานท่านเป็นพระที่เคร่งครัดเอาจริงเอาจัง มีจิตใจกล้าหาญ ผิดว่าผิด ถูกว่าถูก ไม่มีการเอนเอียงไปทางใดเลย การทำกรรมฐาน ท่านให้นั่งพิจารณาธาตุ เพ่งสิ่งต่างๆ เช่น ไฟเทียน น้ำในบาตร ปฐวีธาตุ จนพลังใจแก่กล้ามั่นคง และฝึกสติโดยการให้เดินจงกรม เมื่อฝึกจิตจนได้ที่แล้วท่านจึงจะสอนวิชาเคล็ดลับต่างๆ ให้ มีทั้งอยู่ยงคงกระพัน เมตตามหานิยม และวิชาไสยศาสตร์ต่างๆ ที่เรียนนี้ก็เพื่อรู้ เรียนไว้เพื่อแก้ และเพื่อป้องกันตัว (เวลาออกธุดงค์) ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากในสมัยนั้น ในการไปเดินธุดงค์คราวหนึ่ง ท่านไปได้หินเขียววิเศษ เป็นวัตถุสีเขียว แวววาวมาก โตขนาดเมล็ดถั่วดำ และข้างๆ หินนี้ มีเต่าหินที่สลักด้วยหินทรายสีออกน้ำตาลแดงเล็กน้อย หลวงพ่อปานท่านนิมิตเห็นสิ่งนี้ก่อนท่านจะออกธุดงค์

ของวิเศษนั้น หลวงพ่อปานไม่เคยเปิดเผยกับใคร ท่านนำไปไว้ยังศาลที่ปลูกไว้ภายในบริเวณวัด ที่ศาลนี้มีพระพุทธรูปศิลาศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้วย ใครไปมาผ่านศาลก็จะกราบไหว้พระพุทธรูป และจะเห็นเต่าศิลาตัวนั้น แต่บางคราวเต่านั้นก็หายไป และก็น่าแปลกที่หลวงพ่อปานก็จะไม่อยู่ด้วยทุกครั้ง ทุกคนเข้าใจว่าท่านไปธุดงค์ในป่า แต่ทำไมจะต้องนำเต่าหินนั้นไปด้วยเพราะทั้งหนัก และต้องลำบากดูแลรักษา

เรื่องนี้ใครๆ ไม่สนใจ แต่สามเณรน้อยองค์หนึ่งสนใจ และคอยแอบดูอยู่ ว่าเต่าหายไปไหนใครพามันไป ทั้งๆ ที่หนักมาก สามเณรน้อยนี้มีความพยายามมาก ท่านคอยซ่อนตัวแอบดูเต่าหินนั้น ซึ่งบัดนี้มีดวงตาเป็นหินสีเขียว โดยหลวงพ่อปานท่านลองใส่เข้าไปตรงดวงตาเต่าก็เข้ากันได้พอดี อย่างไรก็ตามความพยายามของสามเณร หลวงพ่อท่านก็ทราบโดยตลอด

ต่อมาเป็นวันข้างแรมเดือนดับ สามเณรก็ยังมาคอยดูอยู่เช่นเคย ทันใดนั้น! เณรน้อยก็ตกตะลึงตัวชาอยู่กับที่ เพราะเต่าหินกำลังเคลื่อนไหวคลานออกจากศาล และลอยไปในอากาศ เรียกว่าเต่าหินเหาะก็ไม่ผิด สามเณรพยายามข่มตาไม่ยอมหลับนอน ทนไว้เพื่อจะได้ดู ตอนเต่าหินกลับมา เวลาล่วงเลยไปจนถึงประมาณตี ๔ เณรน้อยก็ต้องอัศจรรย์ใจอีกครั้ง เพราะเต่าหินนั้นได้เหาะกลับมา และคลานกลับไปอยู่ที่เดิม สามเณรนั้นเดินไปสำรวจเต่าหินดู ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ เป็นหินที่เขาสลักมาจากหินทราย ถ้าไม่ใช่ของกายสิทธิ์จะคลานแล้วลอยไปในอากาศได้อย่างไร หลวงพ่อปานท่านคอยดูความมานะ อดทนตลอดจนปัญญาไหวพริบของสามเณรน้อยลูกศิษย์ท่านอยู่เงียบๆ จากการสังเกตเฝ้าดู เณรน้อยพบว่าเต่าหินนี้จะเหาะไป และกลับตอนตี ๔ ทุกๆ วันแรม ๑๕ ค่ำ

ในที่สุดเณรน้อยก็ตัดสินใจ ท่านครองผ้าอย่างทะมัดทะแมง เตรียมตัวจะไปผจญภัยกับเต่าหิน เมื่อถึงเวลา เต่าหินก็ค่อยๆ คลานลงมาจากศาล สามเณรก็ปราดออกจากที่ซ่อน กระโดดเกาะเต่าหินนั้นไว้ เมื่อเต่าหินค่อยๆ ลอยขึ้นสามเณรก็กอดไว้แน่นด้วยใจระทึกเพราะเกรงจะตกลงไป ในที่สุดก็มาถึงเกาะแห่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นสถานที่แห่งใด มองไปรอบๆ ตัวพบกับแสงสว่างเย็นตาน่ารื่นรมย์ เต่าหินค่อยๆ ลอยต่ำลง เมื่อถึงพื้นดินก็ตรงไปยังป่าไผ่ กินหน่อไผ่อย่างไม่รู้จักอิ่ม สามเณรก็ไม่กล้าลงจากหลังเต่า เพราะเกรงถูกทิ้งไว้ ได้แต่รั้งหักหน่อไม้มาได้หน่อหนึ่ง เพื่อเป็นสักขีพยานว่า ไม่ได้ฝันไป ได้มาอยู่บนเกาะนี้จริงๆ

เต่าหินนั้นกินอยู่พักหนึ่ง ก็เหาะกลับแต่ขณะที่เดินทางนั้น สามเณรไม่สามารถกำหนดจดจำทิศทางได้เลย เมื่อกลับมาที่วัด เต่าหินก็กลับไปประจำที่ ส่วนเณรน้อยก็ถือหน่อไม้เข้ากุฏิไป หลวงพ่อปานท่านพิจารณาแล้ว เห็นว่าเรื่องเต่าหินวิเศษนี้จะไม่เป็นความลับอีกต่อไป ท่านจึงได้นำดวงตาอันเป็นหินสีเขียวสดใสนั้นออกเสีย เพื่อเต่าศิลาจะได้ไม่สามารถเหาะไปเที่ยวได้อีก (ท่านคงพิจารณาแล้วว่า ถ้าเรื่องถูกแพร่งพรายออกไปคงจะเกิดความวุ่นวาย และสามเณรนั้นคงจะทดลองเกาะเต่าไปเที่ยวอีก และอาจเกิดอันตราย กระผมเข้าใจว่า หลวงพ่อท่านสามารถควบคุมเต่าได้ และสามารถเกาะหลังเต่าไปในที่ต่างๆ ได้ ตามที่ท่านปรารถนา) ปัจจุบันเต่าหินตัวนี้ ยังปรากฏอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดใกล้เคียง (เรื่องเต่าหินเหาะได้นี้ ท่านพระครูโกศล ปาสาธิโก ศิษย์ของหลวงพ่อปาน ซึ่งเป็นผู้ทรงอภิญญาเช่นเดียวกัน เป็นผู้เล่าให้ฟัง)

เนื่องจากหลวงพ่อปานฯ เป็นผู้ที่ชอบเรียนรู้อยู่เสมอ ท่านจึงชอบธุดงค์ไปในที่ต่างๆ บางครั้งท่านก็ไปองค์เดียว คราวหนึ่งท่านเดินธุดงค์ไปทางจังหวัดปราจีนบุรี ไปถึงวัดโพธิ์ศรี เมื่อไปถึงวัด ท่านเจ้าอาวาสกำลังขึงกลองเพลอยู่ ท่านเห็นดังนั้นก็ลงมือช่วยเหลือทันที พอเสร็จเรียบร้อย สมภารท่านก็นิมนต์หลวงพ่อปานขึ้นไปคุยกันบนกุฏิ ขณะที่คุยกันอยู่มือของท่านสมภารก็ปั้นลูกดินกลมๆ อยู่ในมือ สักครู่หนึ่งท่านสมภารก็โยนลูกดินนั้นขึ้นไปบนอากาศ กลายเป็นม้าตัวหนึ่ง กับตุ๊กตาอีกตัวหนึ่งไล่จับเหยี่ยวอยู่บนท้องฟ้า

หลวงพ่อปานเห็นดังนั้นท่านก็หัวเราะชอบใจ แต่ไม่ได้พูดอะไร เมื่อท่านลงจากกุฏิของท่านสมภารแล้ว ท่านได้พูดกับพระในวัดนั้นว่า ?โดนลองดีเข้าให้แล้ว? พอพูดจบท่านก็หยิบผ้าสังฆาฏิที่พาดบ่าท่านอยู่ นำมาม้วนแล้วโยนขึ้นไปในอากาศ ปรากฏว่าผ้านั้นได้กลับกลายเป็นกระต่ายหลายตัว วิ่งอยู่ในลานวัด ใครจะจับก็จับไม่ได้ เป็นที่อัศจรรย์แก่ผู้พบเห็น หลังจากนั้นหลวงพ่อปานท่านจะออกเดินธุดงค์ ท่านมักจะมุ่งหน้าไปทาง อำเภอศรีมหาโพธิ์ จังหวัดปราจีนบุรีเสมอ เพราะในย่านนั้นเต็มไปด้วยพระอาจารย์ผู้มีวิชาอาคม ท่านปรารถนาจะเรียนในสิ่งที่ท่านยังไม่รู้ให้เพิ่มพูนยิ่งขึ้น

ท่านพระครูโกศล ปาสาธิโก ท่านเล่าให้ฟังว่า ?หลวงพ่อปาน วัดคลองด่าน ท่านเก่งเรื่องจิต ท่านแสดงฤทธิ์ได้มากมาย ท่านได้เคยเล่าถึงสรรพคุณของเต่าวิเศษที่พาท่านไปในเมืองลับแล ซึ่งเป็นภพซ้อนภพกันอยู่นี่ ได้ไปพบกับสิ่งอัศจรรย์หลายอย่าง พอเป็นคติเตือนใจ ครั้นเมื่อกลับมาจากการท่องเที่ยวครั้งนั้น หลวงพ่อปานได้เคร่งครัดการปฏิบัติกรรมฐานของท่านอย่างหนัก โดยไม่ปล่อยกาลเวลาให้ผ่านพ้นไป ท่านตระหนักดีว่า ชีวิตของท่านนั้นสั้นนัก ควรจะเร่งรีบภาวนา ทำจิตให้มีกำลัง มีสมาธิ และมีปัญญาติดตัวไว้ อุบายธรรมของท่าน ก็คือการพิจารณา สภาวธรรมความจริงแห่งวัฏฏะ เพราะสรรพสิ่งในโลกนี้มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ความทุกข์ความวุ่นวาย เกิดเพราะจิตเข้าไปยึดมั่น จิตปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา การระงับดับเหตุทั้งปวง ย่อมต้องระงับดับที่ใจ เพราะใจเป็นใหญ่ใจเป็นประธาน ท่านมีความมุ่งมั่นในการปฏิบัติ เพื่อพระนิพพานเป็นที่หมาย เพื่อให้พ้นจากวัฏฏะอันหมุนวนไม่รู้จักจบ?

ก่อนที่หลวงพ่อปานจะมรณภาพนั้น ประชาชนที่มีความเคารพบูชาหลวงพ่อ ได้พร้อมใจกันหล่อรูปท่านขึ้นมาองค์หนึ่ง ขนาดเท่าองค์จริง เพื่อไว้เป็นที่เคารพบูชา เพราะหลวงพ่อไม่ค่อยได้อยู่วัด ท่านมักจะเดินธุดงค์ไปในที่ต่างๆ เป็นประจำ จะได้กราบรูปหล่อแทนตัวท่าน แต่เมื่อหล่อรูปแล้วท่านก็ไม่ค่อยจะเข้าวัด ท่านมักจะปลีกตัวไปจำวัดที่พระปฐมเป็นประจำ การที่ท่านไม่อยากเข้าวัดของท่านนั้น อาจเป็นเพราะท่านรู้ล่วงหน้าว่าถึงคราวจะหมดอายุขัยแล้ว ท่านจึงต้องการความสงบในการพิจารณาธรรม แต่ท่านก็ไม่กล้าพูดกับใครๆ เมื่อญาติโยมอ้อนวอนมากๆ เข้า ท่านก็บ่ายเบี่ยงไปว่า ?เข้าไปไม่ได้ อ้ายดำมันอยู่ ขืนเข้าไปอ้ายดำมันจะเอาตาย? คำว่า ?อ้ายดำ? หมายถึงรูปหล่อของท่านนั่นเอง ปัจจุบันนี้รูปหล่อของท่านก็ยังประดิษฐานอยู่ที่วัดมงคลโคธาวาส (วัดคลองด่าน หรือวัดบางเหี้ย) คืออยู่ที่กุฏิของหลวงพ่อซึ่งได้จัดสร้างขึ้นใหม่ และปรากฏความศักดิ์สิทธิ์มากมาย น้ำมนต์ที่หน้ารูปหล่อของท่านก็มีคนนำไปดื่ม และทองคำเปลวที่รูปหล่อก็มีคนนำไปปิดที่หน้าผาก เพื่อรักษาโรคได้ผลมาแล้วมากมาย

ธรรมะของหลวงพ่อ:

เป็นคำกลอนภาษาขอม ซึ่งท่านเขียนไว้ แปลมาเป็นภาษาไทยโดย ท่านพระครูสาธิตธรรมนารถ วัดราชนิยม จ.ชลบุรี ดังนี้

อิมัสมิง กาเย ...

เกสา ว่า ผม อย่าได้ชื่นชม ว่าผมโสภา

เก้าล้านแสนเส้น ล้วนเป็นอนิจจา อย่าได้สงกา ว่าเป็นแก่นสาร

โลมา คือ ขน งอกทั่วตัวตน ว่าขนสาธารณ์

เก้าโกฏิแสนเส้น มิเป็นแก่นสาร เวลาถึงกาล สาบสูญบรรลัย

นะขา คือ เล็บ ยาวนักมักเจ็บ ว่าเล็บทั้งหลาย

เปื่อยเน่าผุพอง เป็นหนองภายใน คนพาลเอาไว้ ย่อมเป็นกังวล

ทันตา คือ ฟัน สามสิบสองอัน ข้างล่างข้างบน

งอกขึ้นภายหลัง น่าชังเหลือทน หลุดถอนคลอนหล่น ทนทุกขเวทนา

ตะโจ คือ หนัง ห่อหุ้มกายัง เท่าผลพุทรา

หุ้มห่อรอบตัว ทั่วทั้งกายา เมื่อม้วยมรณา แร้งกาจิกกิน

มังสา คือ เนื้อ อย่าได้เอื้อเฟื้อ เนื้อเก้าสิบชิ้น

เน่านองกองเกื้อ อยู่เหนือแผ่นดิน แร้งกาจิกกิน เมื่อสิ้นอาสัญ

นะหารู คือ เอ็น เมื่อเรายังเป็น เอ็นชักไหวหวั่น

เอ็นใหญ่เก้าร้อย เอ็นน้อยเก้าพัน รัดรึงตรึงกัน ผูกพันกายา

อัฐิ คือ กระดูก เอ็นนั้นพันผูก กระดูกนานา

ได้สามร้อยถ้วนล้วนเป็นอนิจจา อย่าได้สงกา ว่าเป็นแก่นสาร

อัฐิมิญชัง กระดูกนั้นยัง มีเยื่อยืดยาน

อยู่ในกระดูก หล่อเลี้ยงสังขาร เวลาถึงกาล สาบสูญบรรลัย

วักกัง คือ ม้าม อยู่แอบแนบข้าง ริมเนื้อหัวใจ

ผู้มีปัญญา จดจำเอาไว้ เร่งคิดให้ได้ ถึงพระอนิจจา

หะทะยัง คือ หัวใจ พระท่านขานไข ว่าใจนานา

ใจขึ้งใจโกรธ ใจโทษโทสา ใจมารแกล้วกล้า ฆ่าสัตว์ทั้งหลาย

ใจมักเสียดส่อ ใจลวงใจล่อ ให้เขาหลงใหล

ใจมืดใจมัว หลงตัวจนตาย ใจดำนี้ไซร้ เหมือนสัตว์เดรัจฉาน

ใจร้ายใจพาล จะจมอยู่นาน ในจตุราบาย

ใจมักทำบุญ ให้คิดถึงคุณศีลทานทั้งหลาย

ให้แล้วให้เล่า ข้าวน้ำมากมาย ให้เร่งขวนขวาย มุ่งหมายทำบุญ

ไหว้พระสวดมนต์ กุศลผลคุณ ใจมักเจือจุน ด้วยใจศรัทธา

ใจนั้นสุภาพ ละอายแก่บาป ใจไม่หยาบช้า

ซื่อสัตย์มั่นคงจำนงเจรจา หาโทษโทสา ไม่มีแก่ตน

ใจดังดวงแก้ว ประเสริฐเลิศแล้ว ส่องโลกโลกา

กุศลผลบุญ ทำไว้นานา เราท่านเกิดมา ไม่เป็นแก่นสาร

ใจถือขันติ เมตตาปรานี ฝูงสัตว์ทุกวัน

เหนี่ยวเอามรรคผล ให้พ้นกันดาร แม้นสิ้นอาสัญ ย่อมพ้นอบาย

ไปสู่พระนิพพานแล ....
 

ในการปฏิบัติของหลวงพ่อปานนั้น ท่านได้กล่าวถึง ทาง ๗ สาย คือ

สายที่ ๑ ทางไปนรก คือ บุคคลผู้มีใจเร่าร้อนไปด้วยกิเลสอยู่ตลอดเวลา

สายที่ ๒ ทางไปเปรตอสุรกาย คือ บุคคลผู้มีโลภะ และประกอบด้วยมิจฉาทิฐิ

สายที่ ๓ ทางไปเดรัจฉาน คือ บุคคลมีโมหะเป็นอกุศลจิต

สายที่ ๔ ทางมามนุษย์ คือ บุคคลผู้มี เบญจศีล

สายที่ ๕ ทางไปเทวดา คือ บุคคลผู้มีเทวธรรม คือ หิริ โอตตัปปะ

สายที่ ๖ ทางไปพรหม คือ บุคคลผู้ได้ฌาน

สายที่ ๗ ทางไปพระนิพพาน คือ บุคคลผู้สิ้นอาสวะกิเลสทั้งมวล

และท่านได้กล่าวถึงพระนิพพาน ไว้ว่า

?พระนิพพาน เป็นอสังขตธรรม ไม่มีธรรม คือ กุศล และอกุศลที่จะ ตกแต่งให้บังเกิดขึ้น และพระนิพพานเป็น อสังขตธาตุ ไม่มีธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่มีธาตุ ๖ และธาตุที่จะประชุมแล้วทรงไว้ และพระนิพพาน คือ ปรมัตถสุข เป็นสุขอย่างยิ่งอย่างเลิศนั่นเอง?

สังขารทั้งหลาย เมื่อเกิดขึ้นแล้วในเบื้องต้น ก็แปรปรวนไปในท่ามกลาง และแตกดับไปในที่สุด หลวงพ่อปานท่านได้มรณภาพลง เมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ (ปีเดียวกับ พระพุทธเจ้าหลวง ทรงสิ้นพระชนม์) เวลา ๕ ทุ่ม ๔๕ นาที เป็นอันสิ้นสุดชีวิตพระอาจารย์ผู้มีฌานสมาธิอันกล้าแข็ง เป็นที่พึ่งของมหาชนมากมาย ....

กระผมขอกราบอาราธนาพระบารมี แห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โปรดอภิบาลรักษา ให้ท่านทั้งหลายมีแต่ความสุข ความเจริญ ยิ่งๆ ขึ้นไป ขอให้ สรรพทุกข์ สรรพโศก สรรพโรค สรรพภัย สรรพเคราะห์ เสนียดจัญไร จงปลาศนาการไปโดยเร็วพลัน และขอให้ท่านทั้งหลาย ได้เข้าถึงพระวิสุทธิธรรม สมความปรารถนาของทุกท่าน....ด้วยเทอญ
 


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

653
http://www.geocities.com/spn_lib/Social_person1.htm

หลวงพ่อปานเป็นชาวบางบ่อ ท่านเกิดที่ตำบลบางเหี้ย จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อปี พ.ศ. 2368 บิดามีเชื้อจีน มารดาเป็นคนไทยชื่อ ตาล อาชีพทำป่าจาก ครอบครัวของท่านอยู่ที่หมู่บ้านโคกเศรษฐี มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 5 คน ท่านเป็นบุตรคนที่ 3

เมื่อตอนเป็นเด็ก บิดามารดาได้นำไปฝากไว้กับท่านเจ้าคุณศรีสากยะบุตร เจ้าอาวาสวัดอรุณ ราชวราราม (วัดแจ้ง) เพื่อให้เรียนหนังสือไทย ต่อมาไม่นานเจ้าคุณได้ให้บรรพชาเป็นสามเณร เมื่ออายุครบบวชจึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดอรุณราชวรารามนั่นเอง ภายหลังได้ย้ายมาจำพรรษาที่วัดบางเหี้ยนอก ปัจจุบัน เรียกว่าวัดมงคลโคธาวาส โดยมีพระที่เป็นสหายสนิทตามมาด้วยองค์หนึ่งชื่อ หลวงพ่อเรือน หลังออกพรรษาท่านและพระเรือนเริ่มออกธุดงค์ไปสถานที่ต่างๆ (ป่าเขา) พรรษาต่อๆ มาเริ่มมากขึ้นจนกระทั่งออกธุดงค์ครั้งละเป็นร้อยรูป

ต่อมาท่านได้ไปเรียนวิปัสสนากับพระอาจารย์ที่วัดสมถะ จังหวัดชลบุรี ด้วยหลวงพ่อปาน เป็นพระภิกษุที่ปฏิบัติธรรมวันัยเคร่งครัด กิจของสงฆ์หลวงพ่อปฏิบัติเป็นประจำทุกวัน อีกประการหนึ่งคือนำ พระสงฆ์ออกบิณฑบาตทุก ๆ เช้า นอกจากเจ็บป่วยไป ไม่แล้วท่านปฏิบัติเป็นประจำทุกวัน อีกประการหนึ่ง คือนำพระสงฆ์สวดมนต์เช้าเย็นที่หอสวดมนต์เป็นประจำทุกวัน และสวดมนต์เป็นคัมภรี์หรือผูกเป็นเล่มเป็นวัน ๆ ไป กระทั่งสวดปฏิโมกข์ เหตุดังนี้ในสมัยนั้น พระลูกวัดของท่านจึงสวดมนต์เก่งมาก

ด้านสาธารณประโยชน์ หลวงพ่อเป็นผู้นำในการสร้างถนนจากคลองด่านไปบางเพรียง ถนนจากวัดมงคลโคธาวาสไปวัดสว่างอารมณ์ ถนนจากวัดมงคลโคธาวาสจรดคลองนางหงษ์ ถนนแต่ละสายปัจจุบันได้พัฒนาเป็นถนนถาวรและใช้สัญจร ไปมาจนถึงทุกวันนี้

ด้านความศักดิ์สิทธิ์อภินิหารของหลวงพ่อนั้น เป็นที่เลื่องลือกันทั่วไป เป็นพระอาจารย์ ที่มีญาณแก่กล้าชื่อเสียงโด่งดังในสมัยรัชกาลที่ 5 เครื่องลางของขลัง ของท่านเป็นที่เลื่อมใสศรัทธามากและสืบ เสาะหากันจนทุกวันนี้ ท่านคร่ำเคร่งทางวิปัสสนามากและ ธุดงค์อยู่เสมอ ด้วยคุณความดีและคุณธรรมอันสูงส่งของหลวงพ่อที่ได้ประกอบขึ้นไว้ แต่ครั้งท่านยังมีชีวิตอยู่ ราษฎรในตำบลใกล้เคียง กระทั่งต่างอำเภอและต่างจังหวัดพากันเคารพนับถือและรำลึก ถึงหลวงพ่ออย่างไม่ เสื่อมคลาย

ด้านสมณศักดิ์ หลวงพ่อปาน ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น "พระครูพิพัฒน์นิโรธกิจ"

ท่านมรณภาพเมื่อ วันที่ 29 สิงหาคม 2453 เวลา 4 ทุ่ม 45 นาที

เมื่อท่านถึงมรณภาพไปแล้วจึงร่วมกันประกอบพิธีนมัสการรูปหล่อของท่าน รูปหล่อดั้งเดิมของท่าน ปัจจุบัน อยู่ที่มณฑปวัดมงคลโคธาวาส อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ


654
ตอนที่ ๑๐



ฝ่ายสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านจึงถามว่า จะให้ฉันเทศน์เรื่องอะไรจ๋า ทนายลืมคำอริยสัจเสีย ไพล่ไปอวดดีเรียนท่านว่า ให้เทศน์เรื่อง ๑๒ นักษัตร สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) แจ้งชัดแล้วว่าเขาลืม และท่านก็ยิ้มแล้วรับว่า ๑๒ นักษัตรนั้นฉันเทศน์ดีนักจ้ะ ไปเรียนท่านเถิดว่า ฉันรับแล้วจ้ะ

ครั้นถึงวันกำหนดการตั้งศพหม่อมเล็ก สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ก็ไปถึงบ้าน ฯพณฯ ท่านขึ้นบนหอ พอสมเด็จเจ้าพระยาออกหน้ามุข ขุนนางเจ้านายที่เข้าฝากตัว แลจีนเถ้าแก่ เจ้สัว เจ้าเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายเหนือมาประชุมในงานนี้มาก สมเด็จพระประสาททายทักปราศรัยบรรดาผู้ที่มา แล้วเข้ากระทำอัญชลี สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) แล้วท่านกล่าวชักชวนบรรดาผู้ที่มานั้นให้ช่วยกันฟังเทศน์แล้ว สมเด็จพระประสาทจุดเทียนธรรมาสน์เบิกธรรมะ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ให้ศีล บอกศักราช ขอเจริญพระเสร็จแล้ว ท่านก็เริ่มเทศน์กล่าวนิกเขปคาถาบทต้นขึ้นว่า มูสิโก อุสโภ พยัคโฆ สะโส นาโค สัปโป อัสโส เอฬโก มักกุโฏ สุนักโข สุกโร สังวัจฉโร ติวุจจเตติ ท่านแปลขึ้นทีเดียวว่า ชวด หนู ฉลู วัว ขาล เสือเถาะ กระต่าย มะโรง งูใหญ่ มะเส็ง งูเล็ก มะเมีย ม้า มะแม แพะ วอก ลิง ระกา ไก่ จอ หมา กุน หมู นี่แหละ เป็นชื่อของปี ๑๒ เป็นสัตว์ ๑๒ ชนิด โลกบัญญัติให้จำง่าย กำหนดงาย ถ้าไม่เอาสัตว์ ๑๒ ชนิดมาขนานปี ก็จะไม่รู้ปี กี่รอบ

ทีนี้สมเด็จเจ้าพระยา แลไปดูทนายผู้ไปนิมนต์ ขึงตาค้อนไปค้อนมา ทำท่าจะเฆี่ยนทนายผู้ไปนิมนต์ ผิดคำสั่งของท่าน สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ชี้แจงอยู่ด้วยเรื่อง ๑๒ นักษัตรง่วนอยู่ ท่านรู้ในกิริยาอาการของสมเด็จเจ้าพระยาว่าไม่พอใจทนายในการเปลี่ยนแปลงคำสั่ง คำบัญชาการ ท่านจึงย้อนเกร็ด กล่าวคำทับ ๑๒ สัตว์ ให้เป็นอริยสัจจธรรมขึ้นว่า ผู้นิมนต์เขาดี มีความฉลาด สามารถจะทราบประโยชน์แห่งการฟังธรรม เขาจึงขยายธรรมออกไปให้กว้างขวาง เขาจึงนิมนต์รูปให้สำแดง ๑๒ นักษัตร ซึ่งเป็นต้นทางพระอริยสัจจ์ พระอริยสัจจ์นี้ล้ำลึกสุขุมมาก ยากที่ผู้ฟังเผินๆ ถ้าจะฟังให้รู้ ให้เข้าใจจริงๆ แล้ว ต้องรู้นามปีที่ตนเกิด ให้แน่ใจก่อนว่าตนเกิดแต่ปีชวด ถึงปีชวด และถึงชวดอีก เป็น ๓ ชวด ๓ หนู รวมเป็นอายุที่ตนเกิดมานั้น คิดรวมได้ ๒๕ ปี เป็นวันที่ ๑ เรียกว่า ปฐมวัย ในปฐมวัยต้นชั้นนี้ กำลังแข็งแรง ใจก็กล้าหาญ ความทะยานก็มาก ความอยากก็กล้า ถ้าเป็นลูกผู้ดีมีเงิน มีหน้าที่ประกอบกิจการงาน มีที่พึ่งพักอิง สถานที่อาศัย ถ้าเป็นลูกพลคนไพร่ไร้ทรัพย์ กับไม่มีที่พึ่งพาอาศัยสนับสนุนค้ำจุน ซ้ำเป็นผู้มีสติปัญญาน้อย ด้อยอ่อนในการเรียนการรู้ คราวนี้ก็ทำหน้าเศร้าสลด เสียใจ แค้นใจตัวเองบ้าง แค้นใจบิดามารดา หาว่าตั้งฐานะไว้ไม่ดี จึงพาเขาลำบาก ตกทุกข์ได้ยากต้องเป็นหนี้เป็นข้า อายุยี่สิบห้าแล้วยังหาชิ้นดีอะไรไม่ได้ คราวนี้ชาติทุกข์ในพระอริยสัจจ์เกิดปรากฏแก่ผู้ได้ทุกข์เพราะชาติ ความเกิดคราวนี้ ยังมีอีก คนหนึ่งเกิดขึ้นในปีฉลู แล้วถึงฉลูอีก แล้วถึงฉลูอีก รวม ๕ รอบ นับไปดูจึงรู้ว่า ๖๐ ปี จึงรู้ตัวว่าแก่ คนในปูนชรา ตาก็มัว หัวก็มึน หูก็ตึง เส้นเอ็นก็ขัด ท้องไส้ก็ฝืด ผะอืดผะอม ทีนี้ความตงิดว่า เรารู้ตงิด แก่ เราชราอายุถึงเท่านี้ๆ เป็นส่วนเข้าใจว่า ชราทุกข์ถึงเราเข้าแล้ว จะกำหนดได้ก็เพราะรู้จักชื่อปีเกิด ถ้าไม่รู้ชื่อปีเกิดก็ไม่รู้ตัวว่าแก่เท่านั้นเอง เพราะใจอันเป็นอัพยากฤตจิต ไม่รู้แก่ ไม่รู้เกิด จะรู้ได้ก็ต้องตนกำหนดหมายไว้จึงรู้ การที่จะกำหนดหมายเล่า ก็ต้องอาศัยจำปีเกิด เดือนเกิด วันเกิดของตนก่อน จึงจะกำหนดทุกข์ให้เข้าใจเป็นลำดับปีไป เหตุนี้จึงกล่าวว่า ๑๒ นักษัตร เป็นต้นทางของพระอริยสัจจ์ ถ้าไม่เดินต้นทางก่อน ก็จะเป็นผู้หลงทาง ไปไม่ถูกที่หมายเท่านั้น แล้วท่านจึงสำแดงพระอริยธรรม ๔ สัจจ์ โดยปริยายพิจิตรพิสดาร

พระอริยสัจจ์ที่ท่านแสดงในครั้งนั้น มีผู้ได้จำนำลงพิมพ์แจกกันอ่านครั้งหนึ่งแล้ว ในประวัติเรื่องนี้จะไม่มีเทศน์ เพราะไม่ประสงค์จะสำแดงพระอริยสัจจ์ ประสงค์จะเขียนแต่ประวัติข้อที่ว่าผู้นิมนต์ลืมคำสั่งสมเด็จเจ้าพระยา ไพล่ไปบอกสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ว่าเทศนา ๑๒ นักษัตร ท่านจึงวิสัชนาตามคำนิมนต์ ครั้นท่านเห็นไม่ชอบกล นายจะลงโทษบ่าวฐานเปลี่ยนแปลงคำสั่งคำบัญชา ท่านจึงมีความกรุณา เทศน์ยกย่องคำผิดของบ่าวขึ้นให้เป็นความดี จึงเทศนาว่า ๑๒ นักษัตร ๑๒ ปีนี้ เป็นต้นทางของพระอริยสัจจ์ ควรบุคคลจะรู้ก่อน รวมความว่า ท่านเทศน์ทุกขสัจจ์แล้ว เทศน์สมุทัยอริยสัจจ์ แล้วเทศน์มรรคอริยสัจจ์ จบลงแล้ว ใจสมเด็จเจ้าพระยาก็ผ่องแผ้ว ไม่โกรธทนายผู้นิมนต์พลาด ทนายคนนั้นรอดไป ไม่ถูกด่า ไม่ถูกเฆี่ยน เป็นอันแล้วไป

ครั้นเข้าฤดูบวชนาค ท่านก็บวชนาคเสมอทุกวัน มีผู้เลื่อมใสนิมนต์สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) นั่งที่พระอุปัชฌาย์ และท่านได้ประทานบรรพชาอุปสมบทแก่หม่อมเจ้าทัส อันเป็นพระบุตรสุดพระองค์ ในพระราชวงศ์ วังกรมหลวงเสนีย์บริรักษ์ ก็ทรงพระผนวชในสำนักสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆัง หม่อมเจ้าพระทัส พระองค์นี้ ภายหลังได้เป็นพระราชาคณะที่หม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันทน์ ภายหลังได้เลื่อนขึ้นเป็นหม่อมเจ้าพระธรรมเจดีย์ เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) พระนคร หม่อมเจ้าพระธรรมเจดีย์ (ทัส) พระองค์นี้ได้ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ผู้เรียบเรียงเรื่องนี้ด้วย ภายหลังทรงเลื่อนจากพระธรรมเจดีย์ ขึ้นเป็นหม่อมเจ้าพระสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดโพธิ์ (เชตุพน) รับพระสุพรรณบัฏในรัชกาลที่ ๕ กรุงเทพพระมหานคร

ครั้นสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ชราภาพมากแล้ว ท่านไปไหนมา เผอิญปวดปัสสาวะ ท่านออกมาปัสสาวะกรรมหลังเก๋งข้างท้าย แล้วโยงโย่โก้งโค้งข้ามพนักเก๋งเรือกลับเข้าไปในเก๋ง พอถึงกลางพระองค์ จำเพาะคนท้ายทั้ง ๔ ออกแรงกระทุ่มแจวพร้อมกันส่งท้ายเข้า สมเด็จท่านยันไม่อยู่เพราะชราภาพมาก เลยล้มลงไปหน้าโขกกระดานเรือปากเจ่อ ท่านก็ไม่โกรธไม่ด่า ท่านอุตส่าห์ขยับลอดศีรษะออกจากเก๋ง เหลียวหลังไปว่ากับคนท้ายว่า พ่อจ๋า พ่ออย่าเข้าใจว่าพ่อมีแรงแต่พ่อคนเดียวหนาจ๋า คนอื่นเขาจะมีแรงยิ่งกว่าพ่อก็คงมีจ๊ะ ว่าแล้วก็ยงโย่กลับเข้าเก๋งไปจำวัดอีก คราวนี้หม่อมราชวงศ์เจริญ บุตรหม่อมเจ้าทัพ ในกรมเทวาฯ เป็นศิษย์นั่งหน้าเก๋งไปด้วยจึงได้ยิน หม่อมราชวงศ์องค์นี้ ภายหลังได้เป็นสามเณร เป็นหม่อมราชวงศ์สามเณรเปรียญ ๖ ประโยค ภายหลังได้อุปสมบทในสำนักหม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันทน์ ภายหลังเลื่อนเป็นพระราชาคณะ ที่พระราชพัทธ เจ้าอาวาสวัดท้ายตลาด ภายหลังเลื่อนเป็นเจ้าอาวาสวัดระฆัง ภายหลังเลื่อนเป็นหม่อมราชวงศ์พระพิมลธรรม ภายหลังเลื่อนเป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดระฆัง รับพระสุพรรณบัฏทุกคราวในรัชกาลที่ ๕

ต่อไปนี้จะได้กลับกล่าวถึงสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) อีกว่า ครั้นถึงปีมะเมีย โทศก จุลศักราช ๑๒๓๒ เป็นปีที่ ๓ ในรัชกาลที่ ๕ กรุงเทพฯ ที่บ้านสมเด็จเจ้าพระยามหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง) มีการประชุมนักปราชญ์ทุกชาติ ทุกภาษา ล้วนเป็นตัวสำคัญๆ รอบรู้การศาสนาของชาตินั้น

สมเด็จเจ้าพระยา ให้ทนายอาราธนาสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ไปแสดงเผยแผ่ความรู้ในสิ่งที่ถูกที่ชอบ ด้วยการโลกการธรรมในพุทธศาสนาอีก๓ษาหนึ่งในชาติของสยามไทย ครั้นสมเด็จพระพุฒาจารย์ ยินคำอาราธนา จึงรับสั่งว่า ฉันยินดีแสดงนักในข้อเข้าใจ ทนายกลับไปกราบเรียนสมเด็จพระประสาทว่า สมเด็จฯ ที่วัดรับแสดงแล้ว ในเรื่องแสดงให้รู้ความผิดถูกทั้งปวงได้

พอถึงวันกำหนด สมเด็จฯ ที่วัดระฆังก็ไปถึง นักปราชญ์ทั้งหลายยอมให้นักปราชญ์ของไทยออกความเห็นก่อนในที่ประชุม ปราชญ์และขุนนางทั้งปวงก็มาฟังประชุมด้วย สมเด็จพระประสาทจึงอาราธนาสมเด็จฯ ที่วัดระฆังขึ้นบัลลังก์ แล้วนิมนต์ให้สำแดงทีเดียว

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ก็ออกวาจาสำแดงขึ้นว่า พิจารณา มหาพิจารณา พิจารณา มหาพิจารณา พิจารณา มหาพิจารณาพิจารณา มหาพิจารณาพิจารณา มหาพิจารณาพิจารณา มหาพิจารณาพิจารณา มหาพิจารณา พึงทุ้มๆ ครางๆ ไปเท่านี้นาน กล่าวพึมพำสองคำนี้สักชั่วโมงหนึ่ง สมเด็จพระประสาทลุกขึ้นจี้ตะโพกสมเด็จฯ ที่วัด แล้วกระซิบเตือนว่า ขยายคำอื่นให้ฟังบ้าง สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ก็เปล่งเสียงดังขึ้นกว่าเดิมอีกชั้นหนึ่ง ขึ้นเสียงว่า พิจารณา มหาพิจารณาพิจารณา มหาพิจารณาพิจารณา มหาพิจารณาพิจารณา มหาพิจารณาพิจารณา มหาพิจารณา ฯลฯ ว่าอยู่นานสักหนึ่งชั่วโมงอีก สมเด็จพระประสาทลุกขึ้นมาจี้ตะโพกสมเด็จฯ ที่วัดอีก ว่าขยายคำอื่นให้เขาฟังรู้บ้างซิ สมเด็จฯ ที่วัดเลยตะโกนดังกว่าครั้งที่สองขึ้นอีกชั้นหนึ่งว่า พิจารณา มหาพิจารณาพิจารณา มหาพิจารณาพิจารณา มหาพิจารณาพิจารณา มหาพิจารณาพิจารณา มหาพิจารณาพิจารณา มหาพิจารณาพิจารณา มหาพิจารณาพิจารณา มหาพิจารณา อธิบายว่า การของโลกก็ดี การของชาติก็ดี การของศาสนาก็ดี กิจที่จะพึงกระทำต่างๆ ในโลกก็ดี กิจควรกระทำสำหรับข้างหน้าก็ดี กิจควรทำให้สิ้นธุระทั้งปัจจุบันและข้างหน้าก็ดี สำเร็จกิจเรียบร้อยดีงามได้ ด้วยกิจพิจารณาเป็นชั้นๆ พิจารณาเป็นเปลาะๆ เข้าไปตั้งแต่หยาบๆ และปูนกลางๆ และชั้นสูง ชั้นละเอียด พิจารณาให้ประณีตละเมียดเข้า จนถึงที่สุดแห่งเรื่อง ถึงที่สุดแห่งอาการ ให้ถึงที่สุดแห่งกรณี ให้ถึงที่สุดแห่งวิธี ให้ถึงที่สุดแห่งประโยชน์ ยืดยาว พิจารณาให้รอบคอบทั่วถึงแล้ว ทุกๆ คนจะรู้จักประโยชน์คุณเกื้อกูลตน ตลอดทั้งเมื่อนี้เมื่อหน้า จะรู้ประโยชน์อย่างยิ่งได้ ก็ต้องอาศัยกิจพิจารณา เลือกฟั้นคั้นหาของดี ของจริงเด่นเห็นชัด ปรากฏแก่คน ก็ด้วยการพิจารณาของคนนั่นเอง ถ้าคนใด สติน้อย ถ่อยปัญญา พิจารณาหาเหตุผล เรื่องราว กิจการงาน ของโลก ของธรรม แต่พื้นๆ ก็รู้ได้พื้นๆ ถ้าพิจารณาด้วยสติปัญญาเป็นอย่างกลาง ก็รู้เพียงชั้นกลาง ถ้าพิจารณาด้วยสติปัญญาอันละเอียดลึกซึ้ง ในข้อนั้นๆ อย่างสูงสุด ไม่หลับหูหลับตา ไม่งมงายแล้ว อาจจะเห็นผลแก่ตน ประจักษ์แท้ แก่ตนเอง ดังปริยายมาทุกประการ จบที

ครั้นจบแล้วท่านลงจากบัลลังก์ ก็ไม่มีนักปราชญ์ชาติอื่นๆ ภาษาอื่นๆ มีแขกแลฝรั่งเป็นต้น ก็ไม่อาจออกปากขัดคอ คัดค้านถ้อยคำของท่านสักคน อัดอั้นตู้หมด สมเด็จเจ้าพระยาก็พยักหน้า ให้หมู่นักปราชญ์ในชาติทั้งหลายที่มาประชุมคราวนั้นให้ขึ้นบัลลังก์ ก็ต่างคนต่างแหยง ไม่อาจนำออกแสดงแถลงในที่ประชุมได้ ถึงต่างคนต่างเตรียมเขียนมาก็จริง แต่คำของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ครอบไปหมด จะยักย้ายโวหาร หรือจะอ้างเอาศาสดาของตนๆ มาแสดงในที่ประชุมเล่า เรื่องของตัวก็ชักจะเก้อ จะต่ำจะขึ้นเหนือความพิจารณาที่สมเด็จฯ ที่วัดระฆังกล่าวนั้นไม่ได้เลย ลงนั่งพยักหน้าเกี่ยงให้กันขึ้นบัลลังก์ ใครก็ไม่อาจขึ้น สมเด็จพระประสาทเองก็ซึมทราบได้ดี เห็นจริงตามปริยายของทางพิจารณา รู้ได้ตามชั้น ตามภูมิ ตามกาล ตามบุคคลที่ยิ่งและหย่อน อ่อนและกล้า จะรู้ได้ก็ด้วยการพิจารณา ถ้าไม่พิจารณา ก็หาความรู้ไม่ได้เลย ถ้าพิจารณาต่ำ หรือน้อยวันพิจารณา หรือน้อยพิจารณา ก็มีความรู้น้อย ห่างความรู้จริงของสมเด็จฯ ที่วัดทุกประการ วันนั้นก็เป็นอันเลิกประชุมปราชญ์ ต่างคนต่างลากลับ

ก็และสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) องค์นี้ พูดธรรมสากัจฉากันในที่สมภารต่างๆ ถ้ามีผู้ถาม ถามขึ้นว่า คำที่เรียกว่า นิพพานๆ นั้น บางคนเป็นนักแปล ก็แปลตามศัพท์ ว่า ดับ บ้าง ออกจากเครื่องร้อยรัด บ้าง แปลว่าเกิดแล้วไม่ตายบ้าง ตายแล้วไม่มาเกิดบ้าง ดับจากกิเลสบ้าง ดับไม่มีเศษเป็นนิรินทพินาสบ้าง เลยไม่บอกถิ่นฐานเป็นทางเดียวกัน จะยังกันและกันให้ได้ความรู้จักพระนิพพานเป็นเงาๆ หรือรู้รางรางบ้างก็ทั้งยาก จึงพากันหารือสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ในเรื่องใคร่รู้จักนิพพาน สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านว่าท่าก็ไม่รู้แห่ง แต่จะช่วยชี้แจงอุปมาเปรียบเทียบให้รู้และเข้าใจเอาเอง ตามเหตุแลผล เทียบเทียมได้บ้างว่า นิพพานจะรู้ได้อย่างไร ท่านอุปไมยด้วยหญิงสองคนพี่น้องจ้องคิดปรารภปรารมภ์อยู่แต่การมีผัว อุตส่าห์อาบน้ำทาขมิ้น นุ่งผ้าใหม่ ผัดหน้า หวีผมแปร้ ก็ประสงค์ความรักให้เกิดกับชายผู้แลเห็น จะได้มาสู่ขอเป็นสามีเท่านั้น ครั้นล่วงมาก็สบโชคสบช่องของคนพี่สาว มีผู้มีชื่อมีหน้ามาขอ ได้ตกลงแต่งงานร่วมห้องร่วมหอกันแล้ว หญิงผู้ที่เป็นนางน้องสาวก็มาเยี่ยม แล้วตั้งหน้าวิงวอนเซ้าซี้ซักถามว่า พี่จ๋า การที่พี่หลับนอนกับผัวนั้น มีรสมีชาติครึกครื้นสนุกสนานชื่นบานเป็นประการใด จงบอกให้ฉันรู้บ้าง นางพี่สาวก็ไม่รู้แห่งจะนำความรื่นรมย์สมสนิทด้วยสามีนั้น ออกมาตีแผ่เปิดเผยให้น้องสาวสม รู้ตาม เห็นตามในความรื่นรมย์แห่งโลกสันนิวาสได้ นางพี่สาวก็ได้แต่บอกว่า น้องมีผัวบ้างน้องจะรู้เอง ไม่ต้องถามเอาเรื่องกับพี่หรอก

ครั้นอยู่มาไม่ช้านาน นางผู้เป็นน้องสาวได้สามีแล้ว ไปหาพี่สาวๆ ถามว่าการหลับนอนรมย์รื่นชื่นใจกับผัว น้องมีความรู้สึกว่าเป็นเช่นไร ลองเล่าบอกออกความให้พี่เข้าใจบ้างซี แม่น้อง นางน้องสาวฉอเลาะตอบพี่สาวทันทีว่า พี่ไม่ต้องเยาะ ไม่ต้องเยาะ และพี่น้องคู่นั้นก็นั่งสำรวล หัวเราะกันตามฐานที่รู้รสสังวาสเสมอกัน ข้ออุปมานี้ฉันใดก็ดี พระโยคาวจรกุลบุตร มีความมุ่งหมายจะออกจากชาติจากภพ เบื่อหน่ายโลกสันนิวาส เห็นว่าเป็นหม้อต้มหรือเรือนอันไฟไหม้ คิดจะออกจะหนีให้พ้น ก็ทำความพยายามแข็งข้อ ถกเขมรจะเผ่นข้ามให้พ้นจากหม้อต้มสัตว์ และเรือนไฟอันไหม้ลุกลาม ก็เตรียมตัวทำศีลให้บริสุทธิ์ ปราศจากโทษเศร้าหมอง ทำสมาธิตั้งใจตรง จงใจทำสัมมะถะกัมมัฏฐาน ทำปัญญาให้เป็นวิปัสสนาญาณอย่างยิ่งยอด ตัดสังโยชน์ให้ขาดเด็ดแล้วด้วยมีดคมกล้า กล่าวคือ โคตรภูญาณ อนุโลมญาณ มรรคญาณ ทำช่องให้เวิ้งว้างเห็นแสงสว่างปรากฏพระโยคาวจรกุลบุตรก็กำหนดดวงจิต จิตวางอารมณ์วางสัญญา วางอุปาทานเครื่องยึดถือ ทำลายเครื่องกั้นทั้ง ๕ ละวางได้ขาด ประกอบองค์ ๕ คือ วิตก วิจารณ์ ปิติ สุข เอกกคตา ฟอกใจ คราวนี้ก็กอปรด้วยวิสุทธิ ๗ เมื่อวิสุทธิ ๗ ประการผุดขึ้นแล้ว พระโยคาวจรกุลบุตรก็มาละวิตก ละวิจารณ์ ละปิติ ละสุข ละเอกกคตา เหลือแต่อุเบกขาญาณ ดำเนินไปอุเบกขาญาณ มีองค์ ๖ ประการ เป็นพื้น มโนธาตุ ก็กลายเป็นอัพยากฤตไม่ติดบุญ ไม่ติดบาป ต่อไป จะยังมีลมหายใจหรือหมดลมหายใจ มโนธาตุก็ตั้งอยู่ตามตำแหน่ง ไม่เข้าสิงในเบญจขันธ์ต่อไป เรียดว่า ธรรมธาตุ บริสุทธิ์จำเพาะตน เรียกว่า พระนิพพาน ท่านผู้ใด ผู้ถึง ท่านรู้กันว่าเป็นเอกันตบรมสุข ไม่ระคนปนด้วยทุกข์ต่อไป ท่านไม่ต้องซักถามเซ้าซี้ เช่นหญิงทั้ง ๒ ดังสำแดงมา (จบสากัจฉา)

(จงตริตรองตามความเรียบเทียบแลกอปรธรรมะต่างๆ ตามความแนะนำมา ก็จะเห็นพระนิพพานได้บ้าง)

ในปลายปีมะเมีย โทศก นี้มา สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ได้มีลายลิขิตแจ้งแก่กรมสังฆการีว่า จะขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตยกเป็นสมเด็จพระราชาคณะกิตติมศักดิ์ ด้วยเหตุชราทุพพลภาพ ไม่สามารถรับราชการเทศน์แลสวดฉันในพระบรมราชวังได้ ได้ทรงพระมหากรุณาโปรดพระราชทานพระบรมราชานุญาตตกเป็นพระมหาเถรกิตติมศักดิ์ และได้ทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาหม่อมเจ้าพระ (ทัส) ในกรมสมเด็จพระราชวังหลัง ขึ้นเป็นพระราชาคณะรองเจ้าอาวาส พระราชทานพระสุพรรณบัฏมีราชทินนามว่า หม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันทน์ มีฐานา ๓ รูป มีนิตยภัตรเดือนละ ๑๖ บาท ค่าข้าวสาร / บาท เป็นผู้ช่วยบัญชาการกิจการวัดระฆังต่อไป

ฝ่ายสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ตั้งแต่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาต ปลดชรายกเป็นสมเด็จพระราชาคณะกิตติมศักดิ์แล้ว ท่านก็คลายอิสริยยศ บริวารยศ แบกตาลิปัดเอง พายเรือบิณฑบาตเอง จนเป็นที่คุ้นเคยกับอีกา กาจับบ่ากินอาหารกับท่าน จนท่านพูดกับกาที่ประตูอนงคลีลา (ประดูดิน) กาตัวหนึ่งบอกว่าจะไปวัดมหาธาตุ กาตัวหนึ่งว่าจะไปท่าเตียน สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ว่า ไปท่าเตียนดีกว่าไปวัดมหาธาตุ เพระคนเขาทิ้งหัวกุ้งหัวปลาหมักหมมไว้มาก ที่วัดมหาธาตุถึงมีโรงครัวก็จริง แต่ทว่าคนเขาเก็บกวาดเสียหมดแล้วจ้ะ

เวลาจำวัดอยู่ในกุฏิของท่านที่วัดระฆังนั้น เจ้าขโมยเจาะพื้นกุฏิล้วงเอาข้างของที่วางเกลื่อนไว้ เจ้าหัวขโมยล้วงไม่ถึง ท่านก็เอาไม้เขี่ยของนั้นๆ เข้าไปให้ใกล้มือขโมย เจ้าขโมยลักเข็นเรือใต้กุฏิ ท่านก็เปิดหน้าต่างสอนขโมยว่า เข็นเบาๆ หน่อยจ้ะ ถ้าดังไป พระท่านได้ยินเข้า ท่านจะตีเอาเจ็บเปล่าจ้ะ เข็นเรือบนแห้งต้องเอาหมอนรองข้างท้ายให้โด่งก่อนจ้ะ ถึงจะกลิ้งสะดวกดี เรือก็ไม่ช้ำไม่รั่วจ้ะ เลยเจ้าขโมยเกรงใจไม่เข็นต่อไป

ครั้นเมื่อนางนาค บ้านพระโขนง เขาตายทั้งกลม ปีศาจของนางนาคกำเริบ เขาลือกันต่อมาว่า ปีศาจนางนาคมาเป็นรูปคน ช่วยผัววิดน้ำเข้านาได้ จนทำให้ชายผู้ผัวมีเมียใหม่ไม่ได้ ปีศาจนางนาคเที่ยวรังควานหลอนหลอก คนเดินเรือในคลองพระโขนงไม่ได้ ตั้งแต่เวลาเย็นตะวันรอนๆ ลงไป ต้องแลเห็นปีศาจนางนาคเดินห่มผ้าสีบ้าง โหนตัวบนต้นโพธิ์ต้นไทรบ้าง พระสงฆ์ในวัดพระโขนงมันก็ล้อเล่น จนกลางคืนพระภิกษุสามเณรต้องนอนรวมกัน ถ้าปลีกไปนอนองค์เดียว เป็นต้องถูกปีศาจนางนาครบกวน จนเสียงกร๊อกแกร๊กอื่นๆ ก็เหมาว่าเป็นปีศาจนางนาคไปหมด พวกหมอผีไปทำเป็นผู้มีวิเศษตั้งพิธีผูกมัดเรียกภูตมัน มันก็เข้ามานั่งแลบลิ้นเหลือกตาเอา เจ้าหมอต้องเจ๊งมันมาหลายคน จนพวกแย่งพวกชิงล้วงลัก ปลอมตัวเป็นนางนาค หลอกลวงเจ้าของบ้าน เจ้าของบ้านกลัวนางนาค เลยมุดหัวเข้ามุ้ง ขโมยเก็บเอาของไปสบาย ค่ำลงก็ต้องล้อมต้องนั่งกองกันยันรุ่งก็มี

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านรู้เหตุปีศาจนางนาคกำเริบเหลือมือหมอ ท่านจึงลงไปค้างที่วัดมหาบุศ ในคลองพระโขนง พอค่ำท่านก็ไปนั่งอยู่ปากหลุม แล้วท่านเรียกนางนาคปีศาจขึ้นมาสนทนากัน ฝ่ายปีศาจนางนาคก็ขึ้นมาพูดจาตกลงกันอย่างไรไม่ทราบ ลงผลท้ายที่สุดท่านได้เจาะเอากระดูกหน้าผากนางนาคที่เขาฝังไว้มาได้ แล้วท่านมานั่งขัดเกลาจนเป็นมัน ท่านนำขึ้นมาวัดระฆัง ท่านลงยันต์เป็นอักษรไว้ตลอด เจาะเป็นปั้นเหน่งคาดเอว ไปไหนท่านก็เอาติดเอวไปด้วย ปีศาจในพระโขนงก็หายกำเริบซาลง เมื่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ม.ร.ว. เจริญ) ยังเป็นสามเณรอยู่ในกุฏิ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) นางนาคได้ออกมารบกวน ม.ร.ว.เณรๆ ก็ฟ้องสมเด็จฯ ว่า สีกามากวนเขาเจ้าข้า สีกามากวนเขา สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านร้องว่า นางนาคเอ๊ย อย่ารบกวนคุณเณรซี ปีศาจนั้นก็สงบไป นานๆ จึงออกมารบกวน ครั้นท่านชรามากแล้ว ท่านจึงมอบปั้นเหน่งกระดูกหน้าผากนางนาค ประทานไว้กับหม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันทน์ มอบหม่อมราชวงศ์สามเณรเจริญให้ไปอยู่กับหม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันทน์ด้วย นานๆ นางนาคออกมาหยอกเย้าหม่อมราชวงศ์สามเณรเจริญ หม่อมราชวงศ์สามเณรเจริญต้องร้องฟ้องหม่อมเจ้าพระพุทธบาทฯ ๆ ต้องทรงกริ้วนางนาคว่า เป็นผู้หญิงยิงเรืออย่ามารบกวน คุณเณรจะดูหนังสือหนังหา เสร็จกริ้วแล้วก็เงียบไป (เรื่องนี้สำหรับเจ้านายหม่อมราชวงศ์วังหลังเล่าให้ฟัง)

ส่วนสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ตั้งแต่ปลดภาระการวัดการสอน ให้หม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันทน์แล้ว ส่วนตัวท่านก็ไปตามสบาย กับรีบทำพระพิมพ์ ดูให้คนโขลกปูนเพชรและนั่งพิมพ์ไป บางทีก็ไปเยี่ยมป่าช้าวัดสระเกศ เช้าก็บิณฑบาต ได้อะไรก็ฉันไปพลาง บางทีเที่ยวสะพายบาตรไป ใครใส่เวลาไหน ท่านก็ฉันฉลองศรัทธาเวลานั้น บางทีก็ไปนั่งในโลหะปราสาทวัดราชนัดดาราม ไปคุยกับหลวงพ่อรัต วัดเทพธิดารามบ้าง แล้วถูกคอ บางทีไปดูช่างเขียนประวัติของท่านที่ผนังโบสถ์วัดบางขุนพรหมใน ดูให้ช่างก่อๆ พระโต ก่อขึ้นไปถึงพระโสณี (ตะโพก) ถึงหน้าขึ้นพระบาท ก็ขึ้นนมัสการพระพุทธบาทเสมอทุกปี จนพวกลพบุรี สระบุรีนับถือ เอาน้ำล้างเท้าท่านไปเก็บไว้รักษาฝีดาษดีนัก จนตลอดมาถึงพระโตวัดเกตุไชโยก็ศักดิ์สิทธิ์ ในการรดน้ำมนต์รักษาฝีดาษดี ชาวเมืองอ่างทองนับถือมากจนตราบเท่าทุกวันนี้

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ขึ้นนมัสการพระพุทธบาทคราวใด เป็นต้องมีไตรไปพาดที่หัวนาคตีนกระได แล้วนิมนต์พระชัดบังสุกุลโยมผู้หญิงของท่านที่เมืองพิจิตรทุกคราว ว่านิมนต์บังสุกุลโยมฉันด้วยจ้ะ พระจ๋า แล้วเลยไปนมัสการพระฉาย เขามันฑกบรรพตด้วย จนกระเหรี่ยงดงนับถือมากเข้าปฏิบัติ ท่านไปกับอาจารย์วัดครุฑ อาจารย์อื่นๆ บ้าง กลับมาแล้วก็มาจำวัดสบายอยู่ ณ วัดบางขุนพรหมในเป็นนิตยกาล


655
ตอนที่ ๙



มีรายหนึ่ง นิมนต์ท่านเจ้าคู่นี้ไปเทศน์ ท่านก็ใส่กัน เป็นต้นว่า สมเด็จเจ้าโต ท่านเทศน์บอกสัปปรุสว่า รูปไปเทศน์กลางทุ่งนา ยังมีหมาตัวหนึ่ง เจ้าของเขาเรียกว่าอ้ายถึก อ้ายถึกมันแฮ้ใส่อาตมา อาตมาไม่มีอะไรจะสู้อ้ายถึก หมา มีแต่หุบบานๆ สู้มันจ๊ะ หุบบานไม่ใช่อื่นหยาบคายหนาจ๋า คือฉันเอาร่มนี่เอง กางบานแล้วหุบเข้าจ๊ะ หุบบานๆ แล้วหมาหนี

ครั้งหนึ่ง เข้าบิณฑบาตเวรในหระบรมมหาราชวัง พอถึงตรงบันทรง เสื่อกระจูดลื่นแทบขะมำ แต่ท่านหลักดี มีสติสัมปชัญญะมาก ท่านผสมก้มลงจับมุมเสื่อ เต้นตามเสื่อตุ้บตั้บไป สมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงทำพระสุรเสียง โอ่ะ โห่ะๆ ๆ เจ้าคุณหลักดี เจ้าคุณหลักดี ทรงชมฯ

ครั้งหนึ่ง ไปเทศน์บ้านขุนนางผู้หนึ่ง พอบอกศักราชแล้วคุยขึ้นว่า วันนี้เสียงคล่องเทศน์กุมารก็ได้ ขุนนางผู้นั้นเลยให้เทศน์ทำนองกุมาร ข่าวว่าเพราะดี (หญิงชอบ ครั้งหนึ่งเขานิมนต์ไปเทศน์ที่ศาลาบ้านหม้อ อ.บางตะนาวศรี กัณฑ์ชูชก ท่านไปถึงยามสาม เขาไปนอนกันหมด ท่านไปถึงให้คนแจวตีกลองตูมๆ ขึ้นแล้ว ท่านเทศน์ชูชกไปองค์เดียว ชาวบ้านต้องลุกขึ้นมาฟังท่านยันรุ่ง

ครั้งหนึ่งไปเทศน์ที่บ้านขุนนางที่อยู่ริมน้ำ เขาตั้งธรรมาสน์เทศน์ ยังไม่มา ท่านจอดเรือถือคัมภีร์ขึ้นธรรมาสน์เทศน์ว่า อด อด อด อดๆ อยู่นาน แล้วลงธรรมาสน์ไป

ครั้งหนึ่ง ไปทอดกฐินทางอ่างทอง ไปจอดนอนท้ายเกาะใหญ่ ท่านจำวัดบนโบสถ์วัดท่าซุง คนเรือนอนหลับหมด ขโมยล้วงเอาเครื่องกฐินไปหมด ท่านดีใจยิ้มแต้ แล้วกลับลงมา ชาวบ้านถามว่า ท่านทอดแล้วหรือ ท่านตอบว่าทอดแล้วจ้ะ แบ่งบุญให้ด้วย แล้วท่านเลยซื้อหม้อบางตะนาวศรีบรรทุกเต็มละ ใครถามว่าเจ้าคุณซื้อหม้อไปทำไมมาก ท่านตอบว่า ไปแจกชาวบางกอกจ๊ะ แล้วแจวลัดเข้าคลองบางลำภู ไปออกคลองโอ่งอ่าง คลองสะพานหิน เลยออกไปแม่น้ำ แล้วขึ้นวัดระฆัง วันนั้น หวยออก ม หันหุนเชิด คนคอยหวยถูกกันมาก แต่กินหู้หมด ท่านแจกหม้อหมดลำ ถ้าบ้านไหนนิมนต์เทศน์ท่านรับ กำหนดเวลาไม่ได้ ที่แห่งหนึ่ง เจ้าของเขาหลับแล้ว ท่านไปนั่งเทศน์ที่ประตูบ้านก็มี หัวบันไดบ้านก็มีฯ

อนึ่งการบิณฑบาตไม่ขาด ท่านชอบไปจอดเรือในคลองบางนกแขวก พวกเข้ารีตมาก แล้วท่านออกบิณฑบาตตอนเช้า พวกเข้ารีตเข้าใจว่ามาขอทาน เขาใส่ข้าวสาร หมูดิบ ท่านก็มานั่งเคี้ยวข้าวสาร กับหมูดิบ

บางทีไปเทศน์ทางคลองบางนกแขวก ท่านนอนจำวัด หลับไป พอบ่ายสองโมงตื่น ท่านถามคนแจวเรือว่าเพลหรือยัง เขาเรียนว่าเพลแล้วขอรับ ท่านถามว่าเพลที่ไหนจ๊ะ เขาเรียนว่าเพลที่วัดล่างขอรับกระผม

ท่านอ้อนวอนเขาว่า พ่อคุ้น พ่ออย่าเห็นกับเหน็ดกับเหนื่อย พ่อช่วยพาฉันไปฉันเพลที่วัดตีกลองเพลสักหน่อยเถอะจ๊ะ นึกว่าช่วยชีวิตฉันไว้ คนเรือแจวกลับลงไปอีก สามคุ้งน้ำถึงวัดที่ตีกลอง ท่านขึ้นไปขออนุญาตสมภารเจ้าวัด สมภารยอมปูเสื่อที่หอฉันใกล้กับกลอง แล้วคนเรือยกสำรับกับข้าวขึ้นไปประเคนท่าน ท่านก็ฉัน สมภารมาคอยดูแล พระเด็กๆแอบดู เจ้าพวกเด็กวัด ก็กรูเกรียวมาห้อมล้อม บ้างตะโกนกันว่า พระกินข้าวเย็นโว้ย เด็กบางคนเกรียวเข้าไปบอกผู้ใหญ่ถึงบ้าน เขาพากันออกมา บ้างมีส้มขนมกับข้าวลูกไม้ ก็ออกมาถวายเป็นอันมาก ฉันไม่หวาดไม่ไหว เลยเลี้ยงเด็กเลี้ยงคนเรืออิ่มแต้ตามกัน

(บางทีท่านอาจเห็นในตติยคัณฐีฎีกา แก้โภชนะมีบาลีว่า "อัญญตฺร รตฺติยา มาภุญชติ" แปลว่า ให้เจ้าภิกษุขบฉันในเวลากาล ตั้งแต่เห็นดวงอาทิตย์ขึ้น จนถึงดวงอาทิตย์ตก ยังเห็นดวง เรียกว่ากาล ถ้าค่ำคืน เรียกว่าวิกาล ฉันกลางวันนี้ เป็นบัญญัติเพิ่มเติม เมื่อครั้งแผ่นดินพระพิมลธรรม ในกรุงศรีอยุธยายังเป็นราชธานีอยู่)

อนึ่งจรรยาอาการของสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พระองค์นี้ ประพฤติอ่อนน้อมยำเกรงผู้ใหญ่ และพระสงฆ์ ถ้าแบกพระคัมภีร์เรียน สามเณรแบกคัมภีร์เรียน หากท่านไปพบกลางถนนหนทาง ท่านเป็นต้องหมอบก้มลงเคารพ ถ้าพระเณรไม่ทันพิจารณา สำคัญว่าท่านก้มตนเคารพตน และก้มตอบเคารพตอบท่าน ทีนั้นเถอะไม่ต้องไปกัน ต่างคนต่างหมอบกันแต้อยู่นั่นเอง

ตั้งแต่ท่านรับสมณศักดิ์เป็นที่พระธรรมกิตติ จนกระทั่งเป็นพระเทพกวี ได้มีความผิดครั้งหนึ่ง เมื่อเทศน์ถึงตั้งกรุงกบิลพัสดุ์ และตั้งวงศ์สักยราช ในพระปฐมโพธิ ปริจเฉทที่ ๑ นั้น แต่ในสมัยใช่กาลจะเทศน์พระปฐมโพธิปริจเฉทที่ ๑ ไม่ใช่กลางเดือน ๖ ท่านก็นำไปเทศน์ถวายว่า เมื่อตั้งกรุงกบิลพัสดุ์แล้ว จึงนำบุตรกษัตริย์ในวงศ์เดียวกันมาเสก แต่กษัตริย์องค์แรกได้นำพระขนิษฐานารีมาอภิเษก ตามลัทธิคติของพวกพราหมณ์ที่พากันนิยมว่าแต่งงานกันเองไม่เสียวงศ์ จนเป็นโลกยบัญญัติสืบมาช้านาน จนถึงกษัตริย์โอกากะวงศ์รัชกาลที่ ๑ รวมพี่น้อง ๗ องค์ เจ้าชาย ๓ เจ้าหญิง ๓ ออกจากเมืองพระราชบิดามาตั้งเป็นราชธานี ขนานนามว่ากรุงกบิลพัสดุ์ ตามบัญญัติของกบิลฤๅษี ต่อนี้ไปก็แต่งงานราชาภิเษก พี่เอาน้อง น้องเอาพี่ เอากันเรื่อยไม่ว่ากัน เห็นตามพราหมณ์เขาถือมั่นว่าอะสมภินนะวงศ์ ไม่แตกพี่แตกน้อง แน่นแฟ้นดี บริสุทธิ์ไม่เจือไพร่ คราวนี้เลียนอย่างมาถึงประเทศใกล้เคียงมัชฌิมประเทศก็พลอยเอาอย่างกันสืบๆ มา จนถึงสยามประเทศก็เอาอย่าง เอาพี่เอาน้องขึ้นราชาภิเษกและสมรสกันเป็นธรรมเนียมมา

สมเด็จพระจอมเกล้าฯ ไม่พอพระราชหฤทัย ไล่ลงธรรมาสน์ไป ไป ไป ไปให้พ้นพระราชอาณาจักร ไม่ให้อยู่ในดินแดนของฟ้า ไปให้พ้น พระเทพกวีออกจากวัง เข้าไปนอนในโบสถ์วัดระฆังออกไม่ได้นาน ใช้บิณฑบาตบนโบสถ์ ลงดินไม่ได้ เกรงผิดพระบรมราชโองการ ครั้งถึงคราวถวายพระกฐิน เสด็จมาพบเข้ารับสั่งว่า อ้าวไล่แล้วไม่ให้อยู่ในราชอาณาจักรสยาม ทำไมยังขืนอยู่อีกล่ะ ขอถวายพระพร อาตมาภาพไม่ได้อยู่ในพระราชอาณาจักร อาตมาภาพอาศัยอยู่ในพุทธจักร ตั้งแต่วันที่มีพระราชโองการ อาตมาภาพไม่ได้ลงดินของมหาบพิตรเลย ก็กินข้าวที่ไหน ไปถานที่ไหน ขอถวายพระพร บิณฑบาตบนโบสถ์นี้ฉัน ถานในกระโถน เทวดาคนนำไปลอยน้ำ

รับสั่งว่า โบสถ์นี้ไม่ใช่อาณาจักรสยามหรือ ถวายพระพรว่า โบสถ์เป็นวิสุงคาม เป็นส่วนหนึ่งจากพระราชอาณาจักร กษัตริย์ไม่มีอำนาจขับไล่ได้ ขอถวายพระพร

ลงท้าย ขอโทษฯ แล้ว ทรงถวายกฐิน

ครั้นเสร็จการกฐินแล้ว รับสั่งว่า อยู่ในพระราชอาณาจักรสยามได้ แต่วันนี้เป็นต้นไป

(เหตุนี้แหละ ทำให้พระเทพกวี คิดถวายอดิเรก ทั้งเป็นคราวหมดรุ่นพระผู้ใหญ่ด้วย)

ครั้นเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์แล้ว ท่านก็ยิ่งเป็นตลกมากขึ้น คอยไหวพริบในราชการแจจัดขึ้น ยิ่งกว่าเป็นพระเทพกวี ดูเหมือนคอยแนะนำเป็นปุโรหิตทางอ้อม

ครั้งหนึ่งไปสวดมนต์ที่วังกรมเทวาฯ วังเหนือวัดระฆัง พอพายเรือไปถึงท้ายวัง เกิดพายุใหญ่ ฝนตกห่าใหญ่ เม็ดฝนโตโต คลื่นก็จัด ละลอกก็จัด สมเด็จพระพุฒาจารย์เอาโอต้นเถามาใบหนึ่ง แล้วจุดเทียนติดปากโอแล้วลอยลงไป บอกพระให้คอยดูด้วยว่าเทียนจะดับเมื่อใด พระธรรมถาวรเล่าว่า เวลานั้นท่านเป็นที่พระครูสังฆวิชัย ได้เป็นผู้ตั้งตาคอยตามดู แลเห็นเป็นแต่โอโคลงไปโคลงมา เทียนก็ติดลุกแวบวาบไปจนสุดสายตาเลยหน้าวัดระฆังก็ยังไม่ดับ

และท่านเข้าบ้านแขก บ้านจีน สวนใหญ่ๆ เดินได้สบายไม่ต้องเกรงสุนัขที่เขาเลี้ยงนอนขวางทาง ท่านต้องก้มให้สุนัข แล้วยกมือขอทางเจ้าสุนัข ว่าขอดิฉันไปสักทีเถิดจ๊ะ แล้วก้มหลีกไป ไม่ข้ามสุนัข จะดุเท่าดุอย่างไร จะเป็นสุนัขฝรั่งหรือสุนัขไหหลำก็ไม่แห้ ไม่เห่าท่าน นอนดูท่านทำแต่ตาปริบๆ มองๆ เท่านั้น โดยสุนัขที่ปากเปราะๆ ก็ไม่เห่า ไม่ห้ามท่าน

ครั้งหนึ่ง สมโภชพระราชวังบนเขามไหสวรรค์ เมืองเพชรบุรี สังฆการีวางฎีกาท่านไปเรือญวน ๔ แจว ออกทางปากน้ำบ้านแหลม เวลานั้นทะเลเป็นบ้า คลื่นลมจัดมาก ชาวบ้านอ่าวบ้านแหลมช่วยกันร้องห้ามว่า เจ้าประคุณอย่าออกไป จะล่มตาย ท่านตอบไปว่า ไปจ๊ะ ไปจ๊ะ ท่านออกยืนหน้าเก๋ง เอาพัชนีใบตาลโบกแหวกลมหน้าเรือ ลูกคลื่นโตกว่าเรือท่านมาก บังเรือมิด แต่ทางหน้าเรือคลื่นไม่มี ลมก็แหวกทางเท่ากับแจวในลำท้องร่อง น้ำเรียบแต่น้ำข้างๆกระเซ็นบ้าง เพราะคลื่นเข้าข้างเรือทั้งสองโตเป็นตลิ่งทีเดียว พระธรรมถาวรเล่าว่า เวลานั้นท่านเป้นพระครูปลัดไปกับท่านด้วย ได้เห็นน่าอัศจรรย์ ใจท่านหายๆ ดูไม่รู้จะคิดเกาะเกี่ยวอะไร สมเด็จพระพุฒาจารย์ท่านยืนโบกพัดเฉย คนก็แจวเฉยเป็นปกติ จนเข้าปากน้ำเมืองเพชร ท่านจึงเข้าเก๋งเอนกาย ชาวปากอ่าวเมืองเพชรเกรงบารมีสมเด็จท่านมาก ยกมือท่วมๆ หัว สรรเสริญคุณสมบัติของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ตลอดจนเจ้าขุนนางที่ตามเสด็จคราวนั้นว่า เจ้าพระคุณสำคัญมาก แจวฝ่าคลื่นลมกลางทะเลมาได้ตลอดปลอดโปร่งปราศจากอุทอันตราย

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ว่างราชการและว่างเทศนา ท่านก็อุตส่าห์ให้คนโขลกปูนเพชรผสมผงและเผาลาน โขลกกระดาษว่าวเขียนยันต์อาคมต่างๆ โขลกปนกันไป จัดสร้างเป็นพระพิมพ์ผง

ในปีฉลู สัปตศก ๑๒๒๗ ปีนั้นเอง สมเด็จพระปวเรนทราเมศร์มหิศเรศร์รังสรรค์ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ในพระบวรราชวัง (วังหน้า) เสด็จสวรรคต ในพระที่นั่งอิศเรศร์ ณ วัน?. เดือนยี่ เป็นปีที่ ๑๕ ในรัชกาลที่ ๔ เถลิงราชย์ ได้อุปราชาภิเศก ๑๔ ปี กับ ๓ เดือน พระชนม์ ๕๗ กับ ๔ เดือน ประกอบโกศตั้งบนพระเบญจา ในพระที่นั่งอิศเรศร์ ฯ นั้น

สมเด็จพระจอมเกล้าฯ เสด็จบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทานในพระบวรศพ แต่พอเสด็จถึงพระทวารพระที่นั่งนั้น พวกพระสวดพระอภิธรรม ๘ รูปท่านตกใจ เกรงพระบรมเดชานุภาพ ท่านลุกวิ่งหนีเข้าแอบในพระวิสูตร (ม่าน) ที่กั้นพระโกศ ทรงทราบแล้วกริ้วใหญ่ แหว ๆ ว่า ดูซิ ดูซิ ดูถูกข้า มาเห็นข้าเป็นเสือ เป็นยักษ์ เอาไว้ไม่ได้ ต้องให้มันสึกให้หมด รับสั่งแล้วทรงพระอักษรถึงสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ส่งให้พระธรรมเสนา (เนียม) นำลายพระราชหัตถ์เลขามาถวายสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆัง ครั้นสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) รับจากสังฆการีมาอ่านดูแล้ว ท่านก็จุดธูป ๓ ดอก แล้วจี้ที่กระดาษว่างๆ ลายพระหัตถ์นั้น ๓ รู แล้วส่งให้พระธรรมเสนานำมาถวายคืนในเวลานั้น ฯ

ครั้นพระธรรมเสนาทูลเกล้าถวาย ทรงทอดพระเนตรเห็นรูกระดาษไหม้ไม่ลามถึงตัวหนังสือ ก็ทรงทราบธรรมปฤษณา จึงรับสั่งว่า อ้อ ท่านให้เราดับราคะ โทษะ โมหะ อันเป็นไฟ ๓ กอง งดที งดที เอาเถอะๆ ถวายท่าน พระธรรมเสนาไปเอาตัวพระสวดมานั่งประจำที่ให้หมด แล้วทรงแนะนำสั่งสอนระเบียบจรรยาในหน้าพระที่นั่ง ให้พระรู้ระเบียบรับเสด็จแต่นั้นมาจนถึงทุกวันนี้ฯ

ครั้นถึงเดือน ๑๑-๑๒ ลอยกระทงหลวง เสด็จลงประทับบนพระที่นั่งชลังคะพิมาณ (ตำหนักแพ) พร้อมด้วยฝ่ายในเป็นอันมาก สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) แจวเรือข้ามฟากฝ่าริ้วเข้ามา เจ้ากรมเรือตั้งจับเรือแหกทุ่น รับสั่งถามว่าเรือใคร เจ้ากรมกราบบังคมทูลพระกรุณาว่า เรือสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) รับสั่งว่า เอาเข้ามานี่ ครั้นเจ้ากรมเรือ ดั้ง นำเรือสมเด็จฯ เข้าไปถวาย นิมนต์ให้นั่งแล้วรับสั่งว่าไปไหน ทูลขอถวายพระพร ตั้งใจมาเฝ้า ทำไมถึงเป็นสมเด็จเจ้าแล้ว เหตุใดต้องแจวเรือเอง เสียเกียรติยศแผ่นดิน ทูล ขอถวายพระพร อาตมภาพทราบว่า เจ้าชีวิตเสวยน้ำเหล้า สมเด็จเจ้าก็ต้องแจวเรือ อ้อ จริง จริง การกินเหล้าเป็นโทษ เป็นมูลเหตุให้เสื่อมเสียเกียรติยศแผ่นดินใหญ่โตทีเดียว ตั้งแต่วันนี้ไป โยมจะถวายพระคุณเจ้า จักไม่กินเหล้าอีกแล้ว สมเด็จพระพุฒาจารย์เลย ยถาสัพพี ถวายอติเรก ถวายพระพรลา รับสั่งให้ฝีพายเรือดั้งไปส่งถึงวัดระฆัง

เรื่องราวที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) กระทำ และเกี่ยวข้องกับสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยาม ตามที่มีผู้เล่าบอกออกความให้ฟังนั้นหลายร้อยเรื่อง ได้เลือกคัดจดลงแต่เรื่องที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านผู้ฟัง จะเป็นหิตานุหิตสารประโยชน์แก่บุคคลชั้นหลังๆ ที่นับถือสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) และจะได้ประกอบเกียรติคุณของท่านไว้ให้เป็นที่ระลึกของคนชั้นหลังๆ จะยกขึ้นเล่าให้เป็นเรื่องหลักฐานบ้าง พอเป็นความดำริตามภูมิรู้ภูมิเรียน ภูมิปัญญาของสุตวาชน สุตะถามะชน ธัมมฑังสิกชน เพื่อผู้แสดงความรู้ ใครเป็นพหูสูตร ออกความเห็นเทียบเคียงคัดขึ้นเจรจาโต้ตอบกัน บุคคลที่ใคร่แสดงตนว่าช่างพูด ถ้าหากว่าอ่านหนังสือน้อยเรื่อง หรืออ่านแล้วไม่จำ หรือจำแล้วไม่ตริตรองตาม หรือ ตริตรองแล้วแต่ไม่วิจารณ์ วิจารณ์มีบ้าง แต่ไม่มีญาณเครื่องรู้ผุดขึ้น ก็เป็นพหูสูตไม่ได้ เพราะขาดไร้เครื่องรู้ไม่ดูตำรา เหตุนี้ท่านจึงยกย่องบำรุงตำราไว้มาก สำหรับเป็น เครื่องรู้ เครื่องเห็น เครื่องเทียบ เครื่องทาน เครื่องเรียนต่างๆ ไว้เป็นปริยัติศาสนา แต่เรื่องของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) องค์นี้ไม่มีกวีใดจะเรียบเรียงให้เป็นเรื่องราวเลย เป็นแต่เล่าสู่กันฟัง พอหัวเราะแก้รำคาญ คนละคำสองคำ แต่ไม่ใคร่ตลอดเรื่องสักคนเดียว ข้าพเจ้าจึงอุตริอุตส่าห์สืบสาวราวเรื่องของท่านรวบรวมไว้ แล้วนั่งเรียงเป็นตัวร่างเสียคราวหนึ่ง ตรวจสอบอ่านทวนไปมาก็อีกคราวหนึ่ง อ่านทานแล้วขึ้นตัวหมึก นึกรวบรัดเรื่องราวของท่านไว้อีกคราวหนึ่ง กินเวลาช้านานราวๆ สองเดือน ยังจะต้องเสนอเรื่องนี้ต่อเจ้านายใหญ่ๆ ให้ทรงตรวจอีกก็หลายวัน จะต้องขออนุญาตสมุห์กรมพระนครบาลก็อีกหลายวัน ต้องพิมพ์จ้างอีกก็หลายสิบบาท กลายเวลาด้วย

จะขอรวบรัดตัดความเบ็ดเตล็ดของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ออกเสียบ้าง จะบรรยายเรียบเรียงไว้ แต่ข้อที่ควรอ่าน ควรฟัง ควรดำริ เป็นคติปัญญาบ้าง แห่งละอัน พันละน้อยต่อข้อความหลัง ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระปรเมนทร์มหามงกุฎ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ นั้น สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านได้ประพฤติคุณงามความดี ดำรงตบะเดชะชื่อเสียงกระเดื่องเฟื่องฟุ้งมาในราชสำนักก็หลายประการ ในสงฆ์สำนักก็หลายประการ จนท่านมีคนนับถือลือชาปรากฏ ตลอดสิ้นแผ่นดินรัชกาลที่ ๔ เมื่อ ณ วันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีมะโรง สัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๒๓๐ เวลายาม ๑ กับ ๑ บาท สิริพระชนม์ ๖๔ เสวยราชสมบัติได้ ๑๗ ปี กับ ๖ เดือน ๑๔ วัน อายุสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ได้ ๘๑ ปี รับตำแหน่งสมเด็จพระพุฒาจารย์มาได้ ๔ ปี สิ้นรัชกาลที่ ๔ นี้

ครั้นถึงรัชกาลที่ ๕ คือ สมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นเถลิงราไชยสุริยสมบัติ เป็นบรมกษัตริย์ครอบครองสยามรัฐอาณาจักร ในเดือน ๑๒ แรม ๑๒ ค่ำ วันพุธ ปีมะโรง ศกนั้น พึ่งเจริญพระชนมายุได้ ๑๕ ปี ๗ เดือน ๙ วัน

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านจุดเทียนเล่มใหญ่ เข้าไปในบ้านสมเด็จเจ้าพระยามหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง) คือ สมเด็จพระประสาท ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) เอาคัมภีร์หนีบรักแร้ ตาลปัตรทำหางเสือ จุดเทียนเล่มใหญ่เข้าไปที่บ้าน สมเด็จพระประสาทในเวลากลางวันแสกแสก เดินรอบบ้านสมเด็จพระประสาท (คลองสาร) สมเด็จพระประสาทอาราธนาขึ้นบนหอนั่งแล้วว่า โยมไม่สู้มืดนักดอกเจ้าคุณ อนึ่งโยมนี้มีใจแน่นแฟ้นในพระพุทธศาสนาแน่นอนมั่นคงเสมอ อนึ่งโยมทะนุบำรุงแผ่นดินโดยเที่ยงธรรม และตั้งใจประคับประคองสนองพระเดชพระคุณโดยตรง โดยสุจริต คิดถึงชาติและศาสนา พระมหากษัตริย์เป็นที่ตั้งตรงอยู่เป็นนิตย์ ขอเจ้าคุณอย่าปริวิตกให้ยิ่งกว่าเหตุ นิมนต์กลับได้

ครั้งหนึ่งหม่อมชั้นเล็ก ตัวโปรดของสมเด็จพระประสาทถึงอนิจกรรมลง สมเด็จพระประสาทรักหม่อมชั้นมาก ถึงกับโสกาไม่ค่อยสร่าง จึงใช้ทนายให้ไปอาราธนาสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆัง ไปเทศน์ดับโศก ให้ท่านฟัง ทนายก็ไปอาราธนาว่า ฯพณฯ หัวเจ้าท่านให้อาราธนาพระเดชพระคุณ ไปแสดงธรรมแก้โศก ให้ ฯพณฯ ท่านฟังขอรับกระผมในวันนี้ เพลแล้วขอรับกระผม

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) รับว่า จ๊ะ เรื่องเทศน์แก้โศกนั้น ฉันยินดีเทศน์นักจ๊ะ ฉันจะไปจ๊ะ ครั้นถึงเวลา สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ก็ลงเรือกราบสี ไปถึงบ้านสมเด็จเจ้าพระยามหาศรีสุริยวงศ์นั่งที่บัญญัติพาสน์

ฝ่ายสมเด็จเจ้าพระยาฯ ก็ออกรับสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ปฏิสัณฐานแล้วจุดเทียน สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ขึ้นธรรมาสน์ ให้ศีลบอกศักราชแล้วถวายพร แล้วเริ่มนักเขปบทเป็นทำนองเส้นเหล้าในกัณฑ์ชูชกว่า "ตะทากาลิงคะรัฏเฐ ทุนนะวิฏฐะพราหมณวาสี ชูชโกนามพราหมโณ ฯลฯ ตัสสอทาสิ" แปลความว่า "ตะฑากาเล ในกาลเมื่อสมเด็จพระบรม สองหน่อชินวงศ์วิศนุเวทฯ ว่าความพระคลัง ที่สมเด็จพระประสาทแต่งขึ้นนั้น พอกล่าวถึงกำเนิดชูชกของท่านว่า ผูกขึ้นใหม่ ขบขันคมสันมากกว่าความพระคลัง เพราะแหล่นอกแบบ ต้องขำอยู่เอง และแลเห็นความเป็นจริงเสียด้วย คราวนี้สมเด็จพระประสาทก็ยิ้มแป้น พวกหม่อมๆ เหล่านั้น และคนผู้ใหญ่ ผู้หญิง ผู้เด็ก ทนาย ข้าราชการ ฟังเป็นอันมาก ก็พากันยิ้มแป้นทุกคน พอถึงแหล่ขอทาน แหล่ทวงทอง แหล่พานาง คราวนี้ถึงกับหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง ถึงกับเยี่ยวรดเยี่ยวราดก็มีบ้าง ส่วนสมเด็จเจ้าพระยาก็หัวเราะ ถึงกับออกวาจาว่าสนุกดีจริง ขุนนางและทนายหน้าหอ พนักงานเหล่านั้น ลืมเกรองสมเด็จพระประสาท สมเด็จพระประสาทก็ลืมโศกถึงหม่อมเล็ก ตั้งกองหัวเราะกิ๊กก๊ากไปทั้งบ้าน เทศน์ไปถึงแหล่ยิง แหล่เชิญ แหล่นำทาง แหล่จบ ก็จบกัน ลงท้ายเหนื่อยไปตามๆ กัน รุ่งขึ้นที่บ้านนั้นก็พูดลือกันแต่ชูชก สมเด็จเทศน์ ฝ่ายสมเด็จพระประสาทก็ลืมโศก ชักคุยแต่เรื่องความชูชกตรงนั้นผู้นั้นๆ แต่ง ไม่มีใครร้องไห้ถึงหม่อมเล็กมานาน

ครั้นล่วงมาอีกปีหนึ่ง สมเด็จพระประสาท จัดการปลงศพหม่อมเล็ก จึงใช้ให้ทนายไปนิมนต์สมเด็จฯ มาเทศนาอริยสัจหน้าศพ ทนายไปถึงสมเด็จฯ ที่วัด แล้วก็กราบเรียนว่า ฯพณฯ ให้อาราธนาพระเดชพระคุณไปแสดงธรรมหน้าศพพรุ่งนี้ เพลแล้ว ขอรับกระผม


656
(หลวงปู่โต๊ะ)

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

657
ตอนที่ ๘



สมเด็จพระพุฒาจารย์ ท่านเห็นเสือมีอำนาจดุมาก ท่านจึงบอกว่า เสือเขาจะธุระฉันคนเดียวดอกจ้ะ ฉันจะพูดจาขอทุเลาเสือสักคืนในที่นี้ ครั้นแล้วท่านก็ลง ส่งเกวียน ส่งคนให้ไปคอยอยู่ข้างหน้า ท่านก็นอนขวางทางเสือเสีย เสือก็นั่งเฝ้าท่านคืนหนึ่ง เสือก็ไปไหนไม่ได้ จะไปไล่คนอื่นก็ไปไม่ได้ ต้องเฝ้ายามสมเด็จยันรุ่ง ครั้นเวลาเช้า ท่านเชิญเสือให้กลับไป แล้วท่านลาเสือว่า ฉันลาก่อนจ้ะ เพราะมีราชกิจใช้ให้ไปจ้ะ ว่าแล้วท่านก็เดินตามเกวียนไปทันกัน แล้วท่านเล่าให้พระครูปลัดฟัง (พระครูปลัดคือพระธรรมถาวร เดี๋ยวนี้) พวกครัวก็หุงต้มเลี้ยงท่าน เลี้ยงกันเสร็จแล้ว ก็นิมนต์สมเด็จขึ้นเกวียนคนลาก ท่านไม่ชอบวัวควายเทียมเกวียน

ครั้นไปถึงเมืองพระตบอง ข้าหลวงฝ่ายสยามบอกการเข้าไปถึงกรมเมืองเมืองเขมร กรมเมืองทราบแล้ว นำความทูลนักองค์ด้วง เจ้าเมืองเขมรฯ ทรงทราบ แล้วสั่งคนนำแคร่ ออกไปรับสมเด็จเข้าไปถึงในวัง กระทำความเคารพ ปฏิสันฐาน ปราศรัยปรนนิบัติแก่สมเด็จเป็นอันดี แล้วรับสั่งให้จัดการเลี้ยงดูข้าหลวง และผู้คนที่เชิญสมเด็จมานั้น แล้วจัดที่พักที่อยู่ให้ตามสมควร ครั้นเวลาเช้า จัดแจงตั้งธรรมาสน์ บอกกล่าวพระยาพระเขมร แล้วเจ้านายฝ่ายเขมรตลอด พ่อค้าคฤหบดีเขมร ให้มาฟังธรรมของสมเด็จจอมปราชญ์สยาม สมเด็จพระเจ้ากรุงสยาม รับสั่งโปรดให้สมเด็จพระพุฒาจารย์มาโปรดเขมร เขมรทั้งหลายต่างยินดีเต็มใจ พร้อมใจกันมาฟังเทศนาสมเด็จทุกตัวคน

คั้นเพลแล้ว ก็อาราธนาให้ขึ้นเทศน์ สมเด็จก็เลือกเฟ้นหาธรรมะนำมายกขึ้นแสดง ชี้แจงและแปลแก้ไขเป็นภาษเขมร ให้พวกเขมรเข้าใจต่อตลอดมา ถึงพระมหากรุณาธิคุณของกรุงสยามด้วย เชื่อมกับศาสนปศาสน์ และพระรัฐปศาสน์ให้กลมเกลียวกลืนกัน เทศน์ให้ยึดโยงหยั่งถึงกัน ชักเอาเหตุผลตามชาดกต่างๆ พระสูตรต่างๆ ทางพระวินัยต่างๆ อานิสงส์สันติภาพ และอานิสงส์สามัคคีธรรม นำมาปรุงเป็นเทศนากัณฑ์หนึ่ง ครั้นจบลงแล้ว นักองค์จันทร์มารดานักองค์ด้วง ได้สละราชบุตร ราชธิดา บูชาธรรม และสักการะด้วยแก้วแหวนเงินทอง ผ้าผ่อน และขัชกะโภชาหาร ประการต่างๆ เขมรนอกนั้นก็เลื่อมใส เห็นจริงตามเทศนาของสมเด็จทุกคน แลต่างก็เกิดความเลื่อมใสในองค์เจ้าประคุณสมเด็จ

สมเด็จพระพุฒาจารย์ จึงได้ฝากนางธิดา กุมารีไว้กับมารดา เจ้านักองค์ด้วง รับมาแต่เจ้าชายกุมารคนเดียว นักองค์ด้วงเจ้าเมืองเขมรจึงจัดการส่งสมเด็จ มีเกวียนส่งเข้ามาจนถึงเมืองตราด เจ้าเมืองตราดจัดเกวียนส่งมาถึงเมืองจันทบุรี เจ้าเมืองจันทบุรีจัดเรือใบ เรือเสาส่งเข้ามาถึงกรุงเทพพระมหานคร จอดหน้าวัดระฆังทีเดียว

ครั้นรุ่งเช้า สมเด็จพระพุฒาจารย์จึงเข้าในพระบรมมหาราชวัง เสด็จออกรับและทรงสดับรายงาน การที่ไปและการที่ถึง และเจ้าเขมรยินดีรับรองเลื่อมใส ได้เทศน์โปรดด้วยข้อนั้น นำข้อนั้นเทียบข้อนั้น ให้เจ้าเขมรเข้าใจด้วยนัยอย่างนั้น ลงมติอย่างนั้นตลอดเสนาเขมรทั่วกัน เขมรบูชาธรรมพลีบรรณาการมาอย่างนั้นเท่านั้น ของเท่านั้นๆ ให้ทรงถวายโดยละเอียดทุกประการ

สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงทราบรายงานของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) บรรยายถวาย เป็นที่พอพระราชหฤทัยยิ่งนัก ทรงนิยมชมเชยความสามารถของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) จึงทรงยินดีถวายเครื่องกัณฑ์ที่ได้มานั้น จงเป็นสรรพสิทธิของเจ้าคุณทั้งหมด ทั้งทรงปวารณาว่าเจ้าคุณประสงค์สิ่งอะไร พอที่โยมจะอนุญาตได้ โยมก็จะถวาย แล้วก็เสด็จขึ้น สมเด็จพระพุฒาจารย์ก็กลับวัดระฆัง

ครั้นหายเหนี่อยสองสามวัน จึงเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง เสด็จออกรับสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ขอถวายพระพร ขอพระบรมราชานุญาตที่ดินที่วัดเกตุไชโยเท่านั้นว่า ขอพระราชานุญาตสร้างพระใหญ่นั่งหน้าตัก ๘ ว่า ไว้ในอำเภอไชโย ขอให้ทรงพระกรุณารับสั่งเจ้าเมือง กรมการวัด ให้มีพระราชลัญจกรประทับ รับสั่งว่าดีแล้ว จึงเป็นแบบอย่างที่ต้องขอพระบรมราชานุญาตก่อน ต้องมีบัตรพระราชลัญจกรอนุญาตแล้วจึงเป็นวิสุงคาม ทรงพระกรุณาโปรดมีใบพระบรมราชานุญาต ประทับตราแผ่นดิน ถวายสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) เลยตราพระราชบัญญัติวิสุงคามสีมาต่อไปในคราวนั้นเป็นลำดับกันมา

สมเด็จจึงจำหน่ายเครื่องกัณฑ์เทศน์จากเมืองเขมรลงเป็นอิฐเป็นปูน เป็นทราย เป็นค่าแรงคนงาน เป็นทุนรองงาน ขึ้นไปจัดการสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ณ ที่ริมวัดเกตุไชโย เจ้าเมืองกรมการก็มารางวัดที่ตามที่มีท้องตราบังคับ ราชบุรุษทั้งปวงให้สมเด็จนำชี้ที่ สมเด็จก็ชี้หมดทั้งวัด และชี้ที่สร้างพระวิหารวัดเกตุ สำหรับคลุมองค์พระ และชี้ที่ฐานสุกะชี ชี้ที่สร้างองค์พระ ราชบุรุษก็วัดตามประสงค์ ชี้ที่โบสถ์ด้วย ชี้ที่อุปจารทั้งหมดด้วย รวมเนื้อที่วัดเกตุไชโยมีประมาณแจ้งอยู่ในบัญชีหรดารของหลวงเสร็จแล้ว

เมื่อกำลังสร้างพระใหญ่องค์นี้ พระยานิกรบดินทร์ และอำมาตย์ราชตระกูลราษฎร พ่อค้าแม่ค้า คฤหบดี และสมเด็จพระจอมเกล้า สมเด็จพระปิ่นเกล้า และแขก ฝรั่ง เขมร ลาว มอญ จีน ก็ได้เข้าส่วนด้วยมากบ้างน้อยบ้าง สร้างอยู่นานเกือบสามปีจึงสำเร็จ จึงได้ถวายวัดไชโยเป็นวัดหลวง พระราชทานนามว่า วัดเกตุไชโย แปลว่า พระธงชัย วัดธงไชย อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง มีอธิบายว่า รถต้องมีธงที่งอนรถ เป็นที่ปรากฏประเทศเมืองหลวงว่า ราชรัฐต้องมีธงทุกประเทศ ทุกชาติ ทุกภาษา พระศาสนาก็ควรมีธงประกาศให้เทวดา มนุษย์ รู้ว่าประเทศนี้นับถือพระพุทธศาสนา จึงสมมติพระพุทธรูปองค์ใหญ่นี้เป็นประดุจดังธงไชย ให้ปลิวไปปลิวมาปรากฏทั่วกัน เหตุนั้น เทพยดาผู้มีฤทธิ์ จึงเข้าสถิตในองค์พระปฏิมากร จึงได้ศักดิ์สิทธิ์ลือขจรทั่วนานาทิศาภาคย์ คนหมู่มากเส้นสรวงบวงบน ให้คุ้มกันรักษา ช่วยทุกข์ร้อนยากจน บางคนบางคราวก็ได้สมมาตร์ปรารถนา จึงมีผู้สักการบูชามิได้ขาด เป็นด้วยอำนาจสัจจาธิษฐานของสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าทุกพระองค์ ทรงปณิธานไว้อย่างหนึ่ง เป็นไปด้วยความสัจความจริงที่ดีที่แท้ ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านแน่วแน่อยู่ในเมตตากรุณา หวังว่าจะให้เป็นประโยชน์แลความสุขสวัสดิมงคลแก่ปัจฉิมชนิกชน แต่บรรดา(ที่นับถือพระพุทธศาสนา ได้บูชาได้หยั่งน้ำใจแน่วแน่ลงไปถึงคุณพระพุทธเจ้าว่า มีพระคุณแก่สัตว์โลกพ้นประมาณ พระจึงบันดาลเปล่งแสงออกด้วยอำนาจเทวดารักษา แสดงอิทธิฤทธิ์ออกรับเส้นสรวงบวงบนของคนที่ตั้งใจมาจริง จึงให้สำเร็จประโยชน์สมคิดทุกสิ่งทุกประการ

แหละในระหว่างการสร้างพระนั้น ท่านได้ขึ้นไปดูแลกิจการต่างๆ อยู่เสมอ ได้ตั้งพระสมุห์ไว้องค์หนึ่ง ชื่อพระสมุห์จั่น พระสมุห์จั่นได้เล่าให้ใครๆ ฟังอยู่เสมอว่า ได้ถามสมเด็จดูว่า พระโพธิสัตว์นั้นจะรู้จักได้อย่างไร สมเด็จก็ชูแขนของท่านว่า จงคลำดูแขนขรัวโต ครั้นพระสมุห์และใครๆ คลำแขนก็เห็นเป็นกระดูกท่านเดียว

ครั้งหนึ่งท่านตั้งขรัวตาขุนเณรเป็นพระวัดชีปะขาว เป็นที่พระอุปัชฌาย์ เมื่อแห่จากวัดมาวัดเกตุไชโยแล้ว นั่งพร้อมกันบนอาสน์สงฆ์ สมเด็จเจ้าโต อุ้มไตรเข้าไปกระแทกลงที่ตักขรัวตาขุนเณรแล้วออกวาจาว่า ฉันให้ท่านเป็นอุปัชฌาย์หนาจ๋า พระอื่นก็เศกชยันโตโพธิยาฯ

ขรัวตาทองวัดเกตุไชโยเล่าว่า ท่านได้ทันเห็นสมเด็จ ฝังตุ่มใหญ่ไว้เหนือพระโตแล้วเอาเงินใส่ไว้ ๑ บาท เอากระเบื้องหน้าวัดปิดหลุมไว้ ครั้งหนึ่งท่านขึ้นไปตรวจงานที่วัดเกตุไชโย ท่านป่าวร้องชาวบ้านมาช่วยกันทำบุญเลี้ยงพระบนศาลา ท่านแจกทานของท่านคนละเหรียญฬศ ๑ ในรัชกาลที่ ๔ กับผ้าขาวคนละฝ่ามือจนทั่วกันหมดทุกคน ครั้นตอนสุดที่พระแล้วท่านขึ้นไปที่วัดเกตุไชโย สัปปรุสเอาแคร่คานหามลงไปรับท่าน ครั้นท่านนั่งมาบนแคร่แล้ว สองมือเหนี่ยวแคร่ไว้แน่น ปากก็ว่าไปไม่หยุด หมาเขาดีๆ จ้ะ อย่าให้เขาตกหนาจ๊ะ เขาเป็นของหลวงหนาจ๊ะ

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านทำแปลกๆ ทำขันๆ พูดแปลกๆ พูดขันๆ แต่พูดทำแล้ว แล้วไม่ยักซ้ำร่ำไป ได้ปรากฏทันตาเห็น ทันหู ได้ยินแต้วๆ แว่วๆ อยู่จนทุกวันนี้ เมื่อการสร้างพระเสร็จถวายเป็นวัดหลวงแล้ว ทรงรับเข้าทะเบียนแล้ว ท่านอยู่ในกรุงเทพก็ไม่มีเวลาว่างเปล่าสักวันเดียว มีผู้คนไปมาหาสู่ไม่ขาดสาย จนท่านต้องนำปัสสาวะสาดกุฏิบ้าง เอาทาหัวบ้างจนหัวเหลือง ต้องมาพักผ่อนอารมณ์ในป่าช้าผีดิบวัดสระเกษ เป็นที่สำราญของท่านมาก จนพวกวัดสระเกษหล่อรูปท่านไว้ปรากฏจนทุกวันนี้ กุฏิเก่าเขาสร้างถวายท่านหลังหนึ่ง ท่านเขียนภาษิตไว้ในกุฏินี้บทหนึ่งยาวมาก จำได้บ้าง ๒ วรรค ท่านว่า "อย่าอวดกล้ากับผี อย่าอวดดีกับความตาย" บางวันก็ไปผ่อนอารมณ์อยู่ในวัดบางขุนพรหม มีคนแถบนั้นนิยมนับถือท่านมาก บางรายถวายที่สวนเข้าเป็นที่วัดก็มาก เต็มไปทั้ง ๔ ทิศ ทางตะวันตกถึงแม่น้ำ ซึ่งเป็นวัดทั้ง ๒ อยู่ในบัดนี้ ฝั่งเหนือจดคลอง ตะวันออกก็เป็นพรมแดนกับบ้านพาน บ้านหล่อ พระนคร เป็นวัดกลางสวน ท่านจึงสร้างพระ คิดจะสร้างพระปางโปรดยักษ์ตนหนึ่งในป่าไม้ตะเคียน ท่านคิดจะทำพระนั่งบนตอไม้ตะเคียนใหญ่ ท่านจึงเตรียมอิฐ ปูน ทราย ช่างก่อ แต่เป็นการไม่เร่ง ท่านก่อตอไม้นี้ขึ้นก่อน แล้วก่อขาพระเป็นลำดับขึ้นไป อนุมานดูราวๆ ปีเถาะ นพศก จุลศักราช ๑๒๒๙ ปี ทำพระพิมพ์ ๓ ชนิด สามชั้นนั้น ๘๔๐๐๐ องค์ ทำด้วยผลบ้าง ลานจานเผาบ้าง กระดาษว่าวเขียนยันต์เผาบ้าง ปูนบ้าง น้ำมันบ้าง ชันบ้าง ปูนแดงบ้าง น้ำลายบ้าง เสลดบ้าง เมื่อเข้าไปมองดูคนตำ คนโขลก มีจาม มีไอขึ้นมา ท่านก็ บอกว่าเอาใส่เข้าลงด้วย เอาใส่เข้าลงด้วย แล้วว่าดีนักจ้ะ ดีนักจ้ะ เสร็จแล้วตำผสมปูนเพ็ชร กลางคืนก็นั่งภาวนาไปกดพิมพ์ไป ตั้งแต่ยังเป็นพระเทพกระวี จนเป็นพระพุฒาจารย์ พระยังไม่แล้ว ยังอีก ๘ หมื่น ๔ พัน ที่สาม กับที่สี่

ครั้นถึงปีมะโรง สัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๒๓๐ ปี ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๑๑ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เวลายามกับ ๑ บาท นาฬิกา สมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคต พระชนมายุศม์ได้ ๖๔ พรรษา เถลิงถวัลยราชได้ ๑๗๖ เดือน กับ ๑๔ วัน เวลานั้นอายุสมเด็จได้ ๘๑ ปี เป็นสมเด็จมาได้ ๓ ปีเศษ

เมื่อสมเด็จทราบแน่ว่า สมเด็จพระจอมเกล้าสวรรคตแล้ว ท่านเดินร้องไห้รอบวัด เดินบ่นไปด้วยร้องไห้ไปด้วยว่า สิ้นสนุกแล้วๆ ครั้งนี้ๆ สิ้นสนุกแล้ว เดินร้องไห้โฮๆ รอบวัดระฆัง ดังจนใครๆ ได้ยิน ครั้นสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นเถลิงถวัลยราชสืบสันตติวงศ์แล้ว สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) จึงทำพระพิมพ์ ๕ ชั้น ๗ ชั้น ๙ ชั้น ขึ้นอีก ตั้งใจจะถวายสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ พิมพ์แล้วครั้งก่อนนั้น ได้แอบบรรจุไว้ในพระเกตุไชโยหมด แล้วพิมพ์พระ ๕ ชั้น ๗ ชั้น ๙ ชั้น รวมกันให้ได้ ๘๔๐๐๐ เท่ากับพระธรรมขันธ์ กำลังพิมพ์อยู่ วิธีกระทำเช่นครั้งก่อน แปลกแต่เสกข้าวในบาตร์ใส่ด้วย จานหนังสือใส่บาตร์ไปด้วย ไปบิณฑบาตร์ก็จานหนังสือไปด้วย แล้วทำผงลงตัวเขียนยันต์ ตำปูนเพ็ชรพิมพ์ไปทุกวันๆ กลางวันไปก่อเท้าพระวัดบางขุนพรหม เจริญทิวาวิหารธรรมด้วย ดูช่างเขียนออกแบบกะส่วนให้ช่างเขียนๆ ประวัติของท่านขึ้น ที่ผ่านมาแล้วแต่ต้นจนจบตลอด จนท่านนมัสการพระพุทธบาท ตั้งแต่เป็นพระมหาโตมา จนเป็นพระพุฒาจารย์ (โต) ก็ยังขึ้นพระพุทธบาทตามฤดูเสมอ เมื่อครั้งทูลกระหม่อมพระ คือสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงผนวชอยู่วัดถมอราย (ราชาธิวาส) ยังทรงซักถามพระมหาโตว่า ท่านเชื่อพระบาทลพบุรีเป็นของแท้หรือ พระมหาโตทูลว่า เป็นเจดีย์ที่น่าประหลาด เป็นที่ไม่ขาดสักการะ

ครั้นเมื่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ยังเป็นมหาโต ในแผ่นดินพระนั่งเกล้า ทูลกระหม่อมพระยังเป็นพระราชาคณะเจ้าอาวาสวัดถมอราย ได้นิมนต์พระมหาโตไปสนทนาด้วยเป็นทางที่จะชวนเข้าหมู่ รับสั่งถามว่า มีบุรุษสองคน เป็นเพื่อนเดินทางมาด้วยกัน คนทั้งสองเดินมาพบไหมเข้า จึงทิ้งปอที่แบกมาเสีย เอาไหมไป อีกคนหนึ่งไม่เอา คงแบกเอาปอไป ท่านจะเห็นว่าคนแบกปอดีหรือคนแบกไหมดี

มหาโตทูลเฉลยไปอีกทางหนึ่งว่า ยังมีกระต่ายสองตัว ขาวตัวหนึ่ง ดำตัวหนึ่ง เป็นเพื่อนร่วมหากินกันมาช้านาน วันหนึ่งกระต่ายสองตัวเที่ยวและเล็มหญ้ากิน แต่กระต่ายขาวเห็นหญ้าอ่อนๆ ฝั่งฟากโน้นมีชุม จึงว่ายน้ำข้ามฟากไปหากินฝั่งข้างโน้น กระต่ายดำไม่ยอมไป ทนกินอยู่ฝั่งเดียว แต่นั้นมา กระต่ายขาวก็ข้ามน้ำไปหาหญ้าอ่อนกินฝั่งข้างโน้นอยู่เรื่อย วันหนึ่งขณะที่กระต่ายขาวกำลังว่ายน้ำข้ามฟาก บังเกิดลมพัดจัด มีคลื่นปั่นป่วน กระแสน้ำเชี่ยวกราก พัดพาเอากระต่ายขาวไป จะเข้าฝั่งไหนก็ไม่ได้ เลยจมน้ำตายในที่สุด ส่วนกระต่ายดำก็ยังเที่ยวหากินอยู่ได้ไม่ตาย ฝ่าธุลีพระบาทลองทำนายว่ากระต่ายตัวไหนดี

(ทั้งสองเรื่อง นัยอันนี้ เชิญออกความเห็นเอาเอง)

เมื่อในแผ่นดินสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ยายคุ้น ท้าวแฟง เก็บตลาดเอาผลกำไรได้มาก แกรู้ว่าในหลวงทรงโปรดผู้ทำบุญสร้างวัด แกจึงสร้างวัดด้วยเงินรายได้ของแก สร้างเป็นวัดที่ในตรอกแฟง พระนคร ครั้นสร้างวัดแล้ว แกทูลขอพระราชทานนาม ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานนามว่า วัดคณิกาผล แกจึงนิมนต์มหาโตไปเทศน์ฉลอง มหาโตเทศน์ว่า เจ้าภาพคิดเพื่อเหตุเช่นนี้ ทำด้วยผลทุนรอนอย่างนี้ย่อมได้อานิสงส์สลึงเฟื้อง เช่นตากับยาย ฝังเงินเฟื้องไว้ที่ศิลารองหน้าบันได เงินสลึงเฟื้องหนีไปเข้าคลังเศรษฐี ไปติดอยู่กับเงินก้อนใหญ่ของเศรษฐี ตาจึงขุดตามรอยที่เงินหนีเข้าไปจนถึงบ้านเศรษฐี เศรษฐีจึงห้ามมิให้ขุด ตาก็จะขุดให้ได้ อ้างว่าจะขุดตามเงินอ้ายน้อยไปหาอ้ายใหญ่ เศรษฐีจึงถามว่า อ้ายน้อยคืออะไร ตาก็บอกว่า อ้ายน้อยคือเงินที่เทวดาให้ผมสลึงเฟื้อง เศรษฐีมั่นใจว่า เงินในคลังมีแต่ก้อนใหญ่ๆ ทั้งนั้น เงินย่อยหามีไม่ จึงท้าตาว่า ถ้าขุดตามได้เงินสลึงเฟื้อง เราจะทำขวัญให้ตา หนักเท่าตัว ถ้าขุดตามไม่ได้จะเอาเรื่องกับตา ฐานเป็นคนร้ายบุกรุก ตาก็ยินยอม เลยขุดต่อไปได้พบเงินสลึงเฟื้อง คลานเข้าไปกอดกับเงินก้อนใหญ่ของเศรษฐีอยู่ เศรษฐีก็ยอมให้ตาปรับตามที่ตกลงกันไว้ ครั้นเอาตัวตาขึ้นชั่ง ก็ได้น้ำหนักเพียงแค่สลึงเฟื้อง ตามที่เทวดาเคยชั่งให้ ด้วยผลบุญที่ทำไว้น้อย ตั้งมูลไว้ผิดฐาน ดังเจ้าของวัดนี้สร้างลงไปจนแล้ว เป็นการดี แต่ฐานบุญไม่ถูกบุญใหญ่ ผลจึงใหญ่ไปไม่ได้ คงได้สลึงเฟื้องของเศษบุญเท่านั้น

เจ้าของวัดขัดใจโกรธหน้าแดง แกเกือบจะด่าเสียอีก แต่เกรองเป็นหมิ่นประมาท แกประเคนเครื่องกัณฑ์ กระแทกๆ กังกุกกักใหญ่ แกก็ขึ้นไปเชิญเสด็จทูลกระหม่อมพระมาประทานธรรมบอกอานิสงค์บ้างต่ออีกกัณฑ์ ทูลกระหม่อมทรงแสดงถึงจิตของบุคคล ที่ทำกุศลว่า ถ้าทำด้วยจิตผ่องใสไม่ขุ่นมัว จะได้ผลมาก ถ้าทำด้วยจิตขุ่นมัวย่อมได้ผลน้อย ดังเช่นสร้างวัดนี้ ด้วยเรื่องขุ่นมัวทั้งนั้น แต่ท่านหาโตท่านชักนิทานเรื่องทุกคะตะบุรุษที่เคยทำกุศลเศร้าหมองไว้แต่ปุเรชาติ ครั้นมาชาตินี้ ได้อัตตภาพเป็นมนุษย์เหมือนเขา แต่ยากจนจึงได้ไปอ้อนวอนขอเงินเทวดาที่ต้นไม้ใหญ่ เทวดารำคาญจึงชั่งตัวบุรุษนั้นแล้วให้เงินตามน้ำหนัก ครั้นจะให้น้อยก็จะว่าแกล้งให้ ครั้นจะให้มากก็ไม่เห็นมีบุญคุณควรจะได้มาก เทวดาจึงชั่งตัวให้เขาจะได้สิ้นธุระต่อว่าต่อขาน ชั่งให้ตามน้ำหนักตัว เป็นอันหมดแง่ที่จะค้อนติงต่อว่า เรื่องนี้ในฎีกาพระอภิธรรมพระฎีกาจารย์ท่านแต่งไว้ทำฉากให้พระมหาโตตัดสินบุญรายนี้ ว่าได้ผลแห่งบุญจะอำนวยเพียงเล็กน้อย คือท่าน แบ่งผลบุญเป็น ๘ ส่วน คงได้ผลแต่ ๓ ส่วน เหมือนเงิน ๑ บาท แปดเฟื้อง โว่งเว้าหายไปเสีย ๕ เฟื้อง คือ ๕ ส่วน คงได้แต่ ๓ ส่วน นี่ยังดีนักทีเดียว ถ้าเป็นความเห็นของข้าพเจ้าแล้ว คงจะตัดสินให้ได้บุญเพียงสองไพเท่านั้น ในการสร้างวัดด้วยวิธีคิดในใจไว้แต่เดิมเท่านี้ มีดีเท่านี้ เอวัง ก็มี

(เทศน์ ๒ กัณฑ์นี้ ควรผู้สดับคิดวินิจฉัยเอาเอง)

อนึ่งในแผ่นดินสมเด็จพระจอมเกล้า สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) แต่เมื่อครั้งยังเป็นพระเทพกระวี ได้เคยเทศน์คู่กับพระพิมลธรรม (ถึก) วัดพระเชตุพนเสมอ เป็นคู่เทศน์ที่เผ็ดร้อนถึงอกถึงใจคนฟัง จนความทราบถึงพระกรรณสมเด็จพระจอมเกล้า ทรงนิมนต์เจ้าคุณทั้ง ๒ เข้าไปเทศน์ในพระบรมมหาราชวังครั้งหนึ่ง สมเด็จพระจอมเกล้าทรงติดเงินพระราชทานให้สลึงเฟื้อง พระเทพกระวีไหวทัน หันมาบอกพระพิมลธรรมว่า เจ้าถึกจ๋า เจ้าถึก เจ้าถึกรู้หรือยังฯ พระพิมลธรรมถามว่า จะให้รู้อะไรอีหนาฯ อ้าว ท่านเจ้าถึกยังไม่รู้ตัว โง่จริงๆ แฮะ ฯ ท่านเจ้าถึกถามรุกใหญ่ว่า จะให้รู้อะไรอีก นอกคอกเปล่าๆ พระเทพกระวีว่า จะนอกคอกทำไม เรามาเทศน์กันวันนี้ ในวังมิใช่หรือฯ รับว่า ในวังนั่นซีฯ ก็ในวัง ในคอก ในกำแพงด้วยซ้ำรู้ไหมหละฯ รู้อะไรนะฯ จงรู้เถิด จะบอกให้ว่า ท่านเจ้าถึกนั้น หัวล้านมีศรี ฝ่ายพระเทพกระวีนั้นหัวเหลือง สมเด็จพระบรมบพิตร จึงทรงติดให้สลึงเฟื้อง รู้ไหมฯ พอหมดคำ ก็ ฮาครืนแน่นคึกบนพระที่นั่ง เลยให้รางวัลองค์ละ ๑๐ บาท พ่อจงเอาเงินนี้มาแบ่ง จงจัดแจงให้เข้าใจ พ่อถึกหัวล้าน พ่อโตหัวเหลือง เป็นหัวละเฟื้องสองไพฯ ได้อีกฮา ได้องค์ละ ๑๐ บาท คราวนี้เจ้าจอมคิกคักกันเซ็งแซ่ คุณเฒ่าคุณแก่ยิงเหงือกยิงฟัน อ้าปากกันหวอไปหมด สมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน ก็ทรงพระสรวล แล้วถวายธรรมเทศนาปุจฉา วิสัชนาสืบไปจนจบฯ

ครั้งหนึ่งเมื่อยังเป็นพระเทพกระวี ได้เข้าไปฉันบนพระที่นั่งแล้วยถาจบ สมเด็จพระจอมเกล้า ทรงสัพยอกว่า ทำไมจึงไปให้เปรตเสียหมด คนผู้ที่ทำจะไม่ให้บ้างหรือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ยถาใหม่ว่า ยถา วาริ วหา ปุราปริม ปุเรนฺติสาครํ เอว เมวอิโตทินนํ ทายกานํ ทายิกานํ สพฺเพสํ อุปกปฺปติ รับสั่งว่า ยถาอุตตริ สัพพีอุตตรอย แล้งทรงรางวัล ๖ บาท สมเด็จเข้าวังทีใด อะไรมิอะไรก็ขยายให้เป็นที่พอพระราชหฤทัย ได้รางวัลทุกคราวฯ

การจะนิมนต์ สมเด็จไปเทศน์ ถ้ากำหนดเวลาท่านไม่รับ ถ้าไม่กำหนดเวลาท่านรับทุกแห่ง ตามแต่ท่านจะไปถึง คราวหนึ่งเขานิมนต์ท่านไปเทศน์ที่วัดหนึ่งในคลองมอญ สมเด็จไปถึงแต่เช้า เจ้าภาพเลยต้องจัดให้มีเทศน์พิเศษขึ้นอีกกัณฑ์หนึ่ง เพราะกำหนดเอาไว้ว่า จะมีเทศน์คู่ ตอนฉันเพลแล้ว เมื่อสมเด็จไปถึงก่อนเวลา เลยต้องนิมนต์ให้เทศน์เป็นพิเศษเสียก่อนกัณฑ์หนึ่ง พอ ๔ โมงกว่า พระพิมลธรรม (ถึก) คู่เทศน์ก็ไปถึง สมเด็จก็หยุดลง ฉันเพล ครั้นฉันแล้วก็ขึ้นเทศน์ สมเด็จถามท่านเจ้าถึก ท่านเจ้าถึกติด เลยนิ่ง สมเด็จบอกกล่าวสัปปรุสว่า ดูนะดูเถิดจ๊ะ ท่านเจ้าถึกเขาอิจฉาฉัน เขาเห็นฉันเทศน์ ๒ กัณฑ์ เขาเทศน์ยังมิได้สักกัณฑ์ เขาจึงอิจฉาฉัน ฉันถามเขา เขาจึงไม่พูด ถามไม่ตอบ นั่งอม?. ได้ยินว่าทายกเขาจัดเครื่องกัณฑ์ให้ท่านเจ้าถึก ได้เท่ากับ ๒ กัณฑ์ เครื่องเท่ากันแล้ว ท่านเจ้าถึก จึงถามบ้างว่า เจ้าคุณ โทโสเป็นกิเลสสำคัญ พาเอาเจ้าของต้องเสียทรัพย์ เสียชื่อเสียงเงินทอง เสียน้องเสียพี่ เสียที่เสียทาง เสียอย่างเสียธรรมเนียม เสียเหลี่ยมเสียแต้ม เพราะลุแก่อำนาจโทโส ให้คุณให้ทุกข์แก่เจ้าของมากนัก ก็ลักษณะแรก โทโสจะเกิดขึ้น เกิดตรงที่ไหนก่อนนะขอรับ ขอให้แก้ให้ขาว

สมเด็จนั่งหลับ กรนเสียด้วย ทำเป็นไม่ได้ยินคำถาม ท่านเจ้าถึกก็ถามซ้ำอีก ๒-๓ ครั้ง สมเด็จก็นั่งเฉย ท่านเจ้าถึกชักฉิว ตวาดแหวออกมาว่า ถามแล้วไม่ฟัง นั่งหลับใน ท่านเจ้าถึกตวาดซ้ำไป สมเด็จตกใจตื่น แล้วด่าออกไปด้วยว่า อ้ายเปรต อ้ายกาก อ้ายห่า อ้ายถึกกวนคนหลับฯ

ท่านเจ้าถึกมีพื้นฉิวอยู่ก่อนแล้ว ครั้นถูกด่าเสียเกียรติในที่ประชุมชนเช่นนั้น ก็ชักโกรธ ชักฉิว ลืมสังวร จึงจับกระโถนปามาตรงสมเด็จ สมเด็จนั่งภาวนากันตัวอยู่ กระโถนไพล่ไปโดนเสาศาลา กระโถนแตกเปรี้ยงดัง สมเด็จเทศน์ผสมซ้ำ แก้ลักษณะโทโสว่า สัปปรุสดูซิ เห็นไหมๆ เจ้าคุณพิมลธรรมองค์นี้ ท่านดีแต่ชอบคำเพราะๆ แต่พอได้ยินเสียงด่า ก็เกิดโทโสโอหัง เพราะ อนิฐารมณ์ รูปร่างที่ไม่อยากจะดู มากระทบนัยน์ตา เวียงที่ไม่น่าฟังมากระทบหู กลิ่นที่ไม่น่าดมมากระทบจมูก รสที่ไม่น่ากินมากระทบลิ้น สัมผัสความกระทบถูก มากระทบถึงกาย ความคิดที่ไม่สมคิดผิดหมายมากระทบใจ ให้เป็นมูลมารับ เกิดสัมผัสชาเวทนาขึ้นภายใน สำรวมไม่ทันจึงดันออกข้างนอก ให้คนอื่นเขารู้ว่าโกรธ ดังเช่นเจ้าคุณพิมลธรรม เป็นตัวอย่าง ถ้าเขายอท่านว่า พระเดชพระคุณแล้วท่านยิ้ม พอเขาด่าก็โกรธ โทโสเกิดในทวาร ๖ เพราะถูกกระทบกระเทือนสิ่งที่เป็นอนิฐารมณ์ไม่พอใจ ก็เกิดโกรธ แต่โทโสก็ไม่มีอำนาจกดขี่เจ้าของเลย เว้นแต่เจ้าของโง่ เผลอสติ เช่นพระพิมลธรรมถึกนี้ โทโสจึงกดขี่ได้ ถ้าฉลาดแล้ว ระวังตั้งสติไม่พลุ่มพล่าม โทโสเป็นสหชาติเกิดกับด้วยจิต ไม่ได้ติดอยู่กับใจ ถึงเป็นรากเหง้าเค้ามูลก็จริง แต่เจ้าของไม่นำพา หรือคอยห้ามปรามข่มขู่ไว้ โทโสก็ไม่เกิดขึ้นได้ เปรียบเช่นพืชพันธุ์เครื่องเพาะปลูก เจ้าของอย่าเอาไปดอง อย่าเอาไปแช่ อย่าเอาไปหมักในที่ฉำแฉะแล้ว เครื่องพืชพันธุ์ เพาะปลูกทั้งปวงไม่ถูกขึ้นแล้วงอกไม่ได้ โทโสก็เช่นกัน ถ้าไม่รับให้กระทบถูกแล้ว โทโสก็ไม่เกิดขึ้นได้ ดูแต่ท่านเจ้าถึกเป็นตัวอย่าง ตัวท่านเป็นเพศพระ ครั้นท่านขาดสังวรท่านก็กลายเป็นพระ กระโถนเลยพลอยแตกโพละ เพราะโทโสของท่าน ท่านรับรองยึดถือทำให้มูลแฉะชื้น จงจำไว้ทุกคนเทอญ



658
พระเดชพระคุณ เจ้าคุณพระราชสังวราภิมณฑ์ (หลวงปู่โต๊ะ อินทสุวณฺโณ มหาเถระ) ท่านเป็นชาวบ้านในคลองบางน้อย ต.บางพรหม อ.บางคณฑี จ.สมุทรสงคราม เกิดเมื่อวันอังคาร ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีกุน ตรงกับวันที่ ๒๗ มีนาคม พ.ศ.๒๔๓๐ เป็นบุตรของ นายลอย และ นางทับ รัตนคอน มีพี่น้องด้วยกันเพียงสองคน คือตัวท่านเองกับน้องชายของท่าน ชื่อนายเฉื่อย ซึ่งได้ถึงแก่กรรมก่อนหลวงปู่นานแล้ว

เมื่อท่านอายุได้ ๑๓ ขวบ บิดามารดาของท่านก็ได้ถึงแก่กรรม พระภิกษุแก้ว วัดเกาะแก้ว ซึ่งเป็นญาติกันก็ได้นำท่านมาฝากเรียนหนังสือกับพระอธิการสุข เจ้าอาวาสวัดประดูฉิมพลีในเวลานั้น

เมื่อท่านอายุได้ ๑๗ ปี ก็ได้บรรพชาเป็นสามเณร ท่านบรรพชาได้เพียงคืนเดียวพระอธิการก็ได้มรณภาพ นาย คล้าย และ นางพันธ์ ผู้เป็นพี่ชายและพี่สะใภ้ของพระอธิการสุข ได้รับหน้าที่อุปการะสามเณรโต๊ะ จนกระทั่งได้ทำการอุปสมบท เมื่ออายุได้ ๒๐ ปี ณ วัดประดู่ฉิมพลี เมื่อวันอังคาร เดือน ๘ ขึ้น ๗ ค่ำ ปีมะแม ตรงกับวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๕๐ เวลา ๑๕.๓๐ น. โดยมี หลวงพ่อแสง วัดปากน้ำภาษีเจริญ เป็นพระอุปัชฌาย์, หลวงพ่อผ่อง วัดนวลนรดิศ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ หลวงพ่อเชย วัดกำแพงเป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาตามพระพุทธศาสนาว่า ?อินทสุวณโณ?

เมื่อท่านอุปสมบทแล้วนาย คล้ายและนางพันธ์ ได้ถวายตัวเป็นโยมอุปัฏฐากหลวงปู่ตลอดมา

เมื่อตอนที่พระอธิการสุขได้มรณภาพลง พระอธิการคำ ซึ่งเป็นบุตรของนาย คล้ายและนางพันธ์ ก็ได้รับภาระหน้าที่เป็นเจ้าอาวาส วัดประดู่ฉิมพลี สืบต่อพระอธิการสุข

ครั้นต่อมา พระอธิการคำได้ลาสิกขา หลวงปู่โต๊ะ จึงรับภาระหน้าที่เป็นเจ้าอาวาส วัดประดู่ฉิมพลี สืบต่อมาเมื่อท่านอายุได้ ๒๖ ปี จนถึงวันมรณภาพของท่าน เมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๒๔ เวลา ๙.๕๕ น. สิริชนมายุ ๙๔ ปี รวมเวลาในการครองตำแหน่งเจ้าอาวาสจนท่านมรณภาพนี้ถึง ๖๘ ปี

ปัจจุบัน ท่านพระครูวิโรจน์ กิตติคุณ ได้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสสืบต่อมา

ตำแหน่งในทางคณะสงฆ์

หลวงปู่ท่านบริหารงานวัดด้วยความเที่ยงธรรมสม่ำเสมอประกอบด้วย เมตตาธรรมอนุเคราะห์ให้ได้รับความร่มเย็นทั่วหน้าทางคณะสงฆ์จึงได้พร้อมใจ ถวายสมณะศักดิ์ให้แก่ท่านเป็นลำดับ ดังนี้

พ.ศ. 2455     เป็นเจ้าอาวาสวัดประดู่ฉิมพลี

เป็นพระใบฏีกาฐานานุกรมของพระอุดรคณารักษ์ วัดพระเชตุพนฯ 

พ.ศ. 2457     เป็นพระครูสังฆวิชิต ฐานานุกรมของ สมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) วัดมหาธาตุ

พ.ศ. 2463     เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรีที่พระครูวิริยกิตติ

พ.ศ. 2497     เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโทในราชทินนามเดิม

พ.ศ. 2499     เป็นเจ้าคณะตำบลวัดท่าพระ

พ.ศ. 2506     เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอกในราชทินนามเดิม

พ.ศ. 2511     เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นพิเศษในราชทินนามเดิม

พ.ศ. 2516    เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ "พระสังวรวิมลเถร"

พ.ศ. 2521     เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ "พระราชสังวราภิมณฑ์"

หลวงปู่โต๊ะ ท่านเป็นผู้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณาต่อพระภิกษุสามเณรที่ท่านปกครอง รวมทั้งชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงวัดและบุคคลอื่น ๆ โดยทั่วไป

ท่านได้บำเพ็ญตนอยู่ในสมณะเพศด้วยความอุตสาหะ พากเพียร ในกิจวัตรของพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัดตลอดมา จึงเป็นที่รัก และเคารพศรัทธาเลื่อมใสเป็นที่เชื่อถือของทุก ๆ คนที่รู้จักท่าน

ในระหว่างที่หลวงปู่ได้บวชอยู่ที่วัดประดู่ฉิมพลีนั้น หลวงปู่ได้ศึกษาเพิ่มเติมที่วัดโพธิ์ท่าเตียน จนกระทั่งทางวัดประดู่ฉิมพลี ได้มาอาราธนาท่านเป็นเจ้าอาวาส โดยทางวัดได้จัดพิธีแห่อย่างใหญ่โตมโหฬารด้วย

หลวงปู่โต๊ะท่านได้ศึกษาเล่าเรียนทั้งทางปริยัติธรรม และ ทางด้านวิปัสสนากัมมัฏฐาน ตั้งแต่ท่านยังเป็นเด็กวัด มีพระอาจารย์เก่งกล้าสามารถที่ไหนท่านก็จะขอเรียนวิชาด้วยเสมอ

ท่านได้เรียนวิชาวิปัสสนากัมมัฏฐาน กับพระอาจารย์พรหม ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสสอนวิปัสสนากัมมัฏฐานอยู่ที่วัดประดู่ฉิมพลีนั่นเอง

เมื่อพระอาจารย์พรหมได้มรณภาพ หลวงปู่โต๊ะก็ได้ไปศึกษาวิชาเพิ่มเติมต่อจาก พระอาจารย์รุ่ง วัดท่ากระบือ จ.สมุทรสาคร ซึ่งหลวงปู่โต๊ะท่านมีความชื่นชม และเคารพนับถือในความเก่งกล้าสามารถของหลวงพ่อรุ่ง เป็นอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ หลวงปู่โต๊ะ ยังได้ไปเรียนวิชาอาคมกับหลวงพ่อเนียม วัดน้อย อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี ก่อนหน้าที่หลวงพ่อเนียมจะมรณภาพในอีก ๒ - ๓ ปีต่อมา จึงนับได้ว่า หลวงปู่โต๊ะ ท่านเป็นผู้มีวิชาอาคม เวทมนต์คาถา แก่กล้ามากผู้หนึ่ง ซึ่งความเชี่ยวชาญในหลายสาขา ก็ว่าได้

เมื่อครั้งที่หลวงปู่โต๊ะ เริ่มได้รับนิมนต์เข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษกใหม่ๆ นั้น ท่านได้เล่าให้ลูกศิษย์ของท่านฟังว่า เวลาที่ท่านจับสายสิญจน์ในพิธี ท่านจะรู้ได้ทันทีว่า ในพิธีนั้น มีพระอาจารย์องค์ไหนเก่ง หลังจากนั้นหลวงปู่โต๊ะก็จะติดตามไปขอเรียนวิชา และศึกษาเพิ่มเติมจากพระอาจารย์องค์นั้น

ในช่วงที่หลวงปู่อายุไม่ถึง ๘๐ ปี นั้น ท่านเป็นพระที่ค่อนข้างจะเข้าหาพบลำบากมาก เนื่องจากหลวงปู่ไม่ชอบความอึกทึกครึกโครม เพราะหลวงปู่เป็นพระฝ่ายวิปัสสนากัมมัฏฐาน ที่เรียกว่า "พระป่า" ท่านจึงชอบที่จะเก็บตัวอยู่อย่างเงียบๆภายในกุฏิ

ผู้คนเริ่มรู้จักหลวงปู่โต๊ะจริงๆ ตอนที่ท่านมีอายุ ๗๗ - ๗๘ ปี ในช่วงนั้นท่านได้รับกิจนิมนต์ไปร่วมในพิธีพุทธาภิเษกบ่อยมาก เวลาที่ท่านไปถึงในงานพิธีฯท่านจะตรงเข้าไปกราบพระประธานก่อนเสมอ แล้วท่านจะขึ้นนั่งปรกทันที เมื่อช่วงพัก หลวงปู่มักจะถามว่า ?มีพระเปลี่ยนฉันหรือเปล่าจ๊ะ? ถ้าญาติโยมตอบว่า ?นิมนต์หลวงปู่ตามสบาย? หลวงปู่ก็จะขึ้นนั่งปรกต่อ และจะนั่งต่อไปจนเสร็จพิธี ท่านจะปฏิบัติเช่นนี้ต่อเนื่องกันเสมอมาทุกพิธี จนเป็นที่รู้กันในบรรดาพระคณาจารย์และถวายเกียรติให้หลวงปู่เป็นประธานในพิธีนั่งปรกบริกรรมเสมอ เวลาท่านนั่งปรกแต่ละพิธี จะใช้เวลา ๓ ถึง ๔ ชั่วโมง บางทีไปนั่ง ๓ ถึง ๔ วัดในวันเดียวกันก็มี พอเข้าพิธีก็จะนั่งหลับตานิ่งไม่ขยับเขยื้อน หรือเปลี่ยนอิริยาบถใดๆ ทั้งสิ้น ท่านจะนั่งตัวตรง หลังไม่ติดพนักธรรมาสน์ เดินลมหายใจอย่างสม่ำเสมอ

ประวัติการสร้างพระเครื่องของพระราชสังวราภิมณฑ์ (หลวงปู่โต๊ะ)

เกี่ยวกับประวัติในการสร้างพระเครื่องของหลวงปู่โต๊ะนั้น พระเครื่องชุดแรกสุดของท่าน จะมีทั้งหมด ๑๓ พิมพ์ด้วยกัน เช่น พระสมเด็จสามชั้น พิมพ์ขาโต๊ะ, พระสมเด็จพิมพ์เจ็ดชั้น และ พระสมเด็จสามชั้นพิมพ์หูบายศรี เป็นต้น

พระเครื่องทั้ง ๑๓ พิมพ์นี้ หลวงปู่โต๊ะได้ลงมือสร้างด้วยความตั่งใจ และปรารถนาจะให้ขลังเป็นพิเศษ โดยพยายามเสาะหาวัตถุดันเป็นมงคลและอาถรรพ์เวทย์ต่างๆ ที่มีความขลังความศักดิ์สิทธิ์มาทำ และกดพิมพ์ด้วยมือของท่านเองเป็นส่วนใหญ่ เพราะหลวงปู่ได้ผู้ช่วยทำงานซึ่งเป็นอาสาสมัคร อันประกอบด้วยพระเณร และฆราวาสมาจากวัดพลับ บางกอกใหญ่ คอยแนะนำส่วนผสมและวิธีการสร้างพระเครื่องต่างๆ

ผงพุทธคุณที่หลวงปู่ได้เสาะหามาผสมในการสร้างพระเครื่องชุดแรกนี้ มีผงวิเศษที่จัดเป็นแม่เชื้อของผงทั้งหมดโดยในยุคที่หลวงปู่ออกธุดงค์บ่อยๆ นั้น หลวงปู่ได้เคยไปธุดงค์ด้วยกันกับหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และหลวงพ่ออีกองค์หนึ่งซึ่งจำชื่อและความเป็นมาไม่ชัดเจน

เมื่อท่านได้กลับมาที่วัดประดู่ฉิมพลีแล้ว ท่านทั้งสามก็ได้ทบทวนวิชาที่ได้เล่าเรียนกันมา ก็ได้ผลลัพธ์ออกมาคล้ายกัน ต่างจึงตกลงที่จะเขียนสูตรผงนั้น โดยใช้ดินสอพองมาละลายน้ำมนต์แล้วปั้นเป็นแท่งเหมือนกับชอล์ก แล้วเอาใบตำลึงมาตำ คั้นน้ำมาทาแท่งดินสอพองเวลาจับจะได้ไม่ติดมือ จากนั้นก็จะลงมือเขียนตามอักขระเลขยันต์ จากปถมัง ตรีสิงเห อิทธิเจ และมหาราช ว่าไปจนครบสูตร จะเว้นไม่ได้ หากขาดไปวันหนึ่งก็ต้องเอาผงที่เขียนไว้แล้วมารวมกัน แล้วเขียนขึ้นมาใหม่ทำทุกวันต่อเนื่องกันไปจนครบสูตร

เมื่อเขียนเสร็จได้เท่าไร ต่างองค์ต่างก็จะแบ่งขึ้นมาเป็นสามกอง โดยต่างองค์ก็จะมอบให้แก่กันองค์ละกอง แล้วจึงเอาผงทั้งหมดมาผสมรวมกัน ผงที่สร้างขึ้นมานี้ ก็จะเป็นสีขาวเรื่อๆ เล็กน้อย นวลละเอียด มีพุทธคุณทางเมตตา และทางด้านอื่นๆ อีกสูงมาก ผงวิเศษที่สร้างขึ้นมานี้ก็คือ ผงวิเศษหรือที่ลูกศิษย์ของท่านได้เรียกกันว่าเป็นผง อิทธิเจ

ส่วนผสมผงทั้งหมดที่ได้มานั้น มีของวัดพลับมากที่สุดซึ่งเป็นพระวัดพลับที่ชำรุด และแตกหักจากคราวกรุแตก นอกจากนี้ ยังได้มวลสารสำคัญคือผงจากพระสมเด็จ วัดระฆังฯ ธนบุรีจำนวนเล็กน้อย ซึ่งเป็นของฆราวาสบ้านอยู่ใกล้กับวัดระฆังฯ

วิธีการแช่พระเครื่องในตุ่มน้ำมนต์ของหลวงปู่โต๊ะ

ด้วยความประสงค์ที่จะให้พระเครื่องของท่านมีความขลัง และดูน่าบูชา ท่านจะเอาพระเครื่องเหล่านี้ไปแช่น้ำมนต์ในตุ่มมังกร ซึ่งตั้งอยู่ในโบสถ์ และปลุกเสกตลอดพรรษา

วิธีการแช่พระเครื่องในตุ่มน้ำมนต์ของหลวงปู่โต๊ะนั้น ลูกศิษย์หลวงปู่ท่านหนึ่งได้เล่าให้ฟังว่า ตุ่มมังกรที่ใช้ใส่น้ำมนต์นั้น มีอยู่ด้วยกันหลายใบมีขนาดแตกต่างกัน เล็กบ้างใหญ่บ้าง บางตุ่มก็จะมีดิน มีทรายปะปนอยู่ด้วย และในระหว่างนั้น ถ้าหากว่ามีใครเอาพวงมาลัยดอกไม้สดมาถวายแด่หลวงปู ท่านก็จะเอาพวงมาวัยนั้น ใส่ลงไปในตุ่มมังกรน้ำมนต์นั้นด้วย เป็นการหมักเอาดอกไม้สดปนอยู่ในน้ำมนต์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สีสันขององค์พระแตกต่างกันออกไป

หลวงปู่จะตั้งจิตอธิษฐาน ปลุกเสกภาวนา พระเครื่องที่แช่น้ำมนต์ในตุ่มมังกร ไปเรื่อยๆ ตลอดพรรษา เมื่อออกพรรษาแล้วหลวงปู่ก็จะเอาพระเครื่องที่แช่ในน้ำมนต์จนได้ที่แล้วนั้น ออกมาแจกจ่ายแก่ลูกศิษย์ลูกหา และผู้ที่ไปหาท่านในตอนนั้น ถ้าหากพระเครื่องแช่ไว้นานกว่านั้น พระจะติดกันเป็นก้อน

คราบต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนองค์พระจึงไม่เหมือนกัน บางตุ่มที่ใส่น้ำมนต์ใหม่ๆ น้ำยังใสอยู่ องค์พระที่แช่ไว้ คราบจะออกขาวเล็กน้อย ถ้าหากเป็นตุ่มเก่า ที่แช่น้ำมนต์มาก่อนนานเป็นพรรษา คราบน้ำมนต์ก็จะตกตะกอนมีคราบจับเกาะเป็นปื้น มีสีน้ำตาลหรือสีสนิมชัดขึ้น เรื่องของคราบน้ำมนต์ที่เกาะบนองค์พระ จึงมีความแตกต่างกันไป

ในการกดพิมพ์สร้างพระเครื่องของหลวงปู่โต๊ะนั้น ท่านจะกดพิมพ์ไปเรื่อยๆ เมื่อมีเวลาว่าง หลวงปู่จะทำด้วยความเพลิดเพลิน สบายใจ และทำด้วยใจรักยิ่ง หลวงปู่จะกดพิมพ์พระสลับกันไปทั้ง ๑๓ พิมพ์ โดยไม่ได้เจาะจงว่า จะทำพิมพ์นั้นจำนวนเท่านี้ พิมพ์นี้จำนวนเท่านั้น และพระทั้งหมด ๑๓ พิมพ์ ทำไว้จำนวนเท่าไร หลวงปู่ก็ไม่ได้กำหนดไว้เป็นหลักฐาน ท่านเพียงแต่บอกว่า ได้ลงมือสร้างพระมาตั้งแต่ตอนที่ท่านอายุได้ ๓๐ ปีเศษๆ

หลวงปู่ยังบอกด้วยว่า มีพระเณร และฆราวาสจากวัดพลับมาช่วยเห็นกำลังสำคัญในการสร้างพระเครื่องรุ่นแรกนี้ ตั้งแต่เริ่มต้น รวมทั้งการแกะบล็อกแม่พิมพ์พระเครื่องชุดแรกนี้ด้วย

มีลูกศิษย์เคยถามหลวงปู่ว่าบล็อกแม่พิมพ์พระ ๑๓ พิมพ์นี้ ใครเป็นผู้แกะแบบพิมพ์ หลวงปู่บอกว่า ตัวท่านเองก็จำไม่ได้แน่นอน เพราะเป็นเวลาผ่านมานานแล้ว ท่านจำได้แต่เพียงว่า บล็อกแม่พิมพ์ของพระสมเด็จ พิมพ์ขาโต๊ะ นั้น ท่านได้มาจากฆราวาสผู้หนึ่ง ซึ่งฆราวาสผู้นี้ได้ไปพบบล็อกแม่พิมพ์อันนี้เข้าโดยบังเอิญ ที่บนขื่อหรือบนเพดานของหลวงพ่อโบสถ์น้อย วัดอัมรินทราราม บางกอกน้อย ธนบุรี

หลังจากที่หลวงปู่โต๊ะ ได้ใช้บล็อกแม่พิมพ์อันนี้ กดพิมพ์พระสมเด็จขาโต๊ะได้จำนวนหนึ่ง ไม่นานนัก (ไม่กี่ร้อยองค์) หลวงพ่อโชติ วัดตะโน ได้มาขอยืมบล็อกแม่พิมพ์นี้ไปจากหลวงปู่โต๊ะ ต่อมาบล็อกแม่พิมพ์อันนี้ก็ได้หายไป นับเป็นเรื่องที่น่าเสียดายออย่างยิ่ง

หลวงปู่จะทำพระเครื่องชุดแรกนี้ ร่วมกับอาสาสมัครจากวัดพลับ จนหลวงปู่มีความชำนาญ และเข้าใจวิธีการสร้างพระทุกอย่างทุกขั้นตอนได้ดีแล้ว หลังจากนั้นหลวงปู่จะกดพิมพ์พระด้วยมือของท่านเองมาโดยตลอด และได้พิมพ์สร้างพระเครื่องชุดแรกนี้มาเรื่อยๆ ทั้ง ๑๓ พิมพ์ สลับกันไป สร้างไปแจกไป ไม่หวงแหนเลย ใครมาหาท่านในช่วงนั้น ท่านก็จะแจกพระเครื่องให้เสมอ

จวบจนกระทั่งประมาณปี พ.ศ.๒๔๙๐ กว่า ในวันหนึ่ง หลวงปู่ได้รับนิมนต์ไปฉันเพลที่ตลาดพลู ไปพบกับหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ

หลวงสด ได้ถามหลวงปู่โต๊ะว่า ผงพุทธคุณที่ได้สร้างกันขึ้นมานั้น ได้เอาไปทำอะไรบ้าง หลวงปู่ตอบว่า ได้เอาไปสร้างพระเครื่องแล้ว และก็ได้แจกจ่ายพระเครื่องนั้นให้กับลูกศิษย์ตลอดเวลาที่ผ่านมา

หลวงพ่อสด จึงได้บอกกับหลวงปู่โต๊ะว่า อย่านำผงไปสร้างพระแจกหมดเสียก่อน ให้รอท่านด้วย ท่านจะสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม จะได้ขอผงมาสร้างพระแจกบ้าง

หลังจากนั้นมา หลวงปู่โต๊ะ จึงได้เพลามือในการแจกพระเครื่องรุ่นแรก ๑๓ พิมพ์ของท่าน พร้อมกับแบ่ง ผงพุทธคุณ จำนวนหนึ่ง ให้กับหลวงพ่อสด เพื่อเอาไปสร้างพระผงของขวัญ จนเป็นที่โด่งดังในเวลาต่อมา

ในตอนนั้น ถ้าหากหลวงปู่โต๊ะไม่ได้รับการบอกกล่าวจากหลวงพ่อสดหลวงปู่ก็คงจะแจกพระเครื่องของท่านไปจนหมด ไม่เหลือมาให้ได้แจกกับศิษย์รุ่นหลังๆ ยังมีโอกาสได้รับพระจากมือของหลงวงปู่โดยตรงอีกจำนวนมากมายหลายท่านด้วยกัน

อย่างไรก็ตาม พระเครื่องรุ่นแรกนี้ หลวงปู่ก็ได้แจกไปจนหมดสิ้นแล้วมิได้เหลือให้แจกกันอีก ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๑๒ เป็นต้นมา

นอกจากพระเครื่องขุดแรก ๑๓ พิมพ์นี้แล้ว หลวงปู่ยังได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดทำ พระกลีบบัวเนื้อเมฆพัด, พระสมเด็จพิมพ์ห้าชั้น, พระสมเด็จพิมพ์คะแนน และพระสมเด็จเนื้อผงผสมชานหมากก่อนปี ๒๕๐๐ อีกด้วย

หลังจากปี ๒๕๐๐ ไปแล้ว หากมีการสร้างพระเครื่องของหลวงปู่ ทั้งของวัดหรือนอกวัดก็ตาม ลูกศิษย์และฆราวาสที่มีความเคารพนับถือ และศรัทธาในตัวหลวงปู่ จะเป็นผู้ขออนุญาตจากหลวงปู่ แล้วจัดทำและสร้างมาถวายให้ทั้งนั้น แต่หลวงปู่ท่านก็ตั้งใจปลุกเสกให้อย่างเต็มที่ ดังเราจะเห็นได้จากความนิยมของวงการพระเครื่อง ที่ได้ให้ความสนใจในพระปิดตาจัมโบ้, พระปิดตารุ่นปลดหนี้, พระปิดตาจัมโบ้รุ่นสอง และพิมพ์อื่นๆ อีกหลายพิมพ์ด้วยกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระเครื่องรุ่นหลังๆ นี้พระปิดตาเกือบทุกพิมพ์ต่างก็ได้รับความนิยมอย่างสูง ทั้งราคาเช่าหาก็จัดว่าไม่แพงจนเกินไป แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่า พระปิดตาทุกๆ พิมพ์นั้น ทางวัดได้จำหน่ายไปหมดสิ้นแล้ว จะเหลือก็แต่จำนวนเพียงเล็กน้อยที่ท่านพระครูวิโรจน์กิตติคุณ เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน ท่านได้เก็บรักษาเอาไว้เพื่อตอบแทนสมนาคุณ แก่ผู้ที่มาร่วมเป็นกรรมการบำเพ็ญกุศล เป็นเจ้าภาพคล้ายวันมรณภาพของหลวงปู่โต๊ะ วันที่ ๕ มีนาคมของทุกปีเท่านั้น

สำหรับท่านที่ยังไม่เคยไปกราบไหว้หลวงปู่โต๊ะ ผู้เขียนก็อยากจะขอแนะนำให้ท่านลองแวะไปนมัสการดูสักครั้ง ท่านจะได้มีโอกาสสักการะ บูชารูปหล่อของหลวงปู่ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเททองหล่อไว้ และจะได้กราบไหว้หุ่นขี้ผึ้งของหลวงปู่โต๊ะเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตัวท่านเองด้วย

 (บทความนี้ได้คัดลอกมาจากหนังสือที่จัดทำโดย คุณ ประสิทธิ์ ปริชาน จึงขอขอบคุณมา ณ ที่นี้)


659
ตอนที่ ๗



เรื่องเทศน์ถวายและเฉลยพระปัญหาถวายสมเด็จเจ้าฟ้ามหามาลา กรมหมื่นบำราบปรปักษ์ ตามที่เรียบเรียงไว้นี้ ได้ฟังมาจากสำนักพระปรีชาเฉลิม (แก้ว) เจ้าคุณพระปรีชาเฉลิม (แก้ว) ได้ฟังมาจากเจ้าคุณปรีชาเฉลิม (เกษ) พระปรีชาเฉลิม (เกษ)เป็นเปรียญ ๖ ประโยค อยู่วัดอรุณราชวราราม ได้เป็นพระรับสัพพี จึงได้ยินเทศนาถวายของเจ้าคุณธรรมกิตติ (โต) ภายหลังเลื่อนขึ้นเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)

ต่อแต่นั้นมา ท่านก็มีชื่อเสียงในทางเทศน์ ตัดทอนธรรมะให้ผู้ฟังเข้าใจง่าย ไม่ต้องเสียเวลาไตร่ตรองสำนวน เพราะเทศน์อย่างคำไทยตรงๆ จะเอาข้อธรรมอะไรแสดง ก็ง่ายต่อผู้ฟังดังประสงค์ อย่างที่ถวายในวังสมเด็จเจ้าฟ้ามหามาลา ผู้ฟังชมว่าดี เกิดโอชะในธรรมสวนะได้ง่าย โลกนิยมเทศน์อย่างนี้มาก พระธรรมกิตติแสดงธรรมตามภาษาชาวบ้าน ถือเอาความเข้าใจของผู้ฟังเป็นเกณฑ์ ไม่ต้องร้อยกรอง

ครั้นถึงปีชวด ฉศก จุลศักราช ๑๑๒๖ ปี ได้ถูกนิมนต์เทศน์หน้าพระที่นั่ง พอเข้าไปถึง พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จออก จึงปราศรัยสัพยอก "ว่าไงเจ้าคุณ เขาพากันชมว่าเทศน์ดีนักนี่ วันนี้ต้องลองดู" พระธรรมกิตติ (โต) ถวายพระพรว่า "ผู้ที่ไม่มีความรู้เหตุผลในธรรม ครั้นเขาฟังรู้ เขาก็ชมว่าดี ขอถวายพระพร" พระองค์ทรงพระสรวล แล้วทรงถามว่า "ได้ยินข่าวเขาว่า เจ้าคุณบอกหวยเขาถูกกัน จริงหรือ" ทูลว่า "ขอถวายพระพร อาตมภาพได้อุปสมบทมา ไม่เคยออกวาจาว่าหวยจะออก ด กวางเหมงตรงๆ เหมือนดังบอก ด กวางเหมงแด่สมเด็จพระบรมบพิตร์พระราชสมภารเจ้าอย่างวันนี้ ไม่ได้เคยบอกแก่ใครเลย" ได้ทรงฟังแล้วทรงพระสรวลอีก แล้วทรงจุดเทียน พระธรรมกิตติจับตาลปัดแฉกขึ้นธรรมาสน์ เมื่ออาราธนาแล้ว ก็ถวายศีลแล้วถวายศักราช พอถึงปีชวด ท่านก็ย้ำ "ฉศก ฉศก ฉศก ฉศก" สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กำลังทรงพระอักษรอยู่ ได้ทรงฟังปีชวด ฉศก ย้ำๆ อยู่นาน ก็เงยพระพักตรขึ้นพนมหัตถ์รับว่า "ถูกแล้ว ชอบแล้ว เจ้าคุณ" แต่ก่อนกาลที่ล่วงมาแล้ว เดิมเลข ๖ ท้ายศักราช เขียนและอ่านต่อๆ มาว่า "ฉ้อศก" นั้นไม่ถูก แล้วรับสั่งกรมราชเลขาให้ตราพระราชบัญญัติออกประกาศเป็นใบปลิวให้รู้ทั่วกัน ทั่วพระราชอาณาจักรว่า "ตั้งแต่ปีชวด ฉศก เหมือนศกนี้มีเลข ๖ เป็นเศษด้วย ไม่ให้เขียนและอ่านว่า ฉ้อศก อย่าเขียนตัว อ เคียง ไม้ให้เขียนไม้โท ลงไปเป็นอันขาด ให้เขียน ฉ เฉยๆ ก็พอ ถ้าเขียนและอ่านว่า ฉ้อศกอีก จะต้องว่าผู้นั้นผิดและฝ่าฝืน" กรมราชเลขาก็บันทึกและออกประกาศทราบทั่วกัน และนิมนต์ท่านเทศน์ต่อไป

พระธรรมกิตติก็ตั้งคัมภีร์ บอกศักราชต่อจนจบ ถวายพรแล้วเดินคาถาจุณณียบท อันมีมาในพราหมณ์สังยุตตนิกายปาฏิกวรรคนั้น แปลถวายว่า ยังมีพราหมณ์ผู้หนึ่งแกนั่งคิดว่า "สมณํ โคตมํ อุปสงฺกมิตฺวา อิมํ ปณฺหํ ปุจฉามิ อหํ" กูจะเข้าไปหาพระสมณโคดมแล้ว กูจะถามปัญหากับเจ้าสมณะโคดมดูสักหน่อย "สีสณฺหาตฺวา ปารุปนํนิวาเสตวา คามโตนิกฺขมิตฺวา เชตวน มหาวิการภิมุโข อคมาสิ" แปลว่า โสพฺราหฺมโณ พราหมณ์ผู้นั้น คิดฉะนี้แล้ว แกจึงลงอาบน้ำดำเกล้า โสพฺเภ ในห้วยแล้ว แกออกจากบ้านแก แกตั้งหน้าตรงไป พระเชตวันมหาวิหาร ถึงแล้วแกจึงตั้งข้อถามขึ้นต้น แกเรียกกระตุกให้รู้ตัวขึ้นก่อนว่า "โภ โคตม นี่แนะพระโคดม ครั้นท่านว่ามาถึงคำว่า "นี่แน่ พระโคดม" เท่านี้แล้ว ก็กล่าวว่า คำถามของพราหมณ์และคำเฉลยของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นมีอยู่เป็นประการใด สมเด็จพระบรมบพิตร์เจ้าได้ทรงตรวจตราตริตรองแล้ว ก็ได้ทรงทราบแล้วทุกประการ ดังรับประทานวิสัชชนามา ก็สมควรแก่เวลาแต่เพียงนี้ เอวํ ก็มีด้วยประการดังนี้ ขอถวายพระพร พอยถาสัพพีแล้ว ก็ทรงพระสรวลตบพระหัตถ์ว่า "เทศน์เก่ง จริง พวกพราหมณ์ที่เขาถือตัวว่าเขารู้มาก เขาแก่มาก เขาไม่ไคร่ยอมเคารพพระพุทธเจ้านัก เขามาคุยๆ ถาม พอแก้รำคาญ ต่อนานๆ เขาก็เชื่อในธรรม เขาก็สำเร็จเป็นพระโสดา ที่ความดำริห์ของพราหมณ์ผู้เจ้าทิฏฐิทั้งหลายเขาวางโตทุกคน เจ้าคุณแปล อหํ ว่า กู นั้น ชอบแท้ทางความดีจริงๆ รางวัลก็ได้รับพระราชทานรางวัล ๑๖ บาท เติมท้องกัณฑ์ ๒๐ บาท รวมเป็น ๓๖ บาท (เรื่อง ฉศก เรื่องถวายเทศน์อย่างที่เรียบเรียงมานี้ พระปรีชาเฉลิม (แก้ว) เคยเล่าให้ฟังเป็นพื้นจำมีอยู่บ้าง ซึ่งได้สืบถามพระธรรมถาวรอีกท่านก็รับว่า จริง แต่เทศน์ว่าอย่างไรนั้น ลืมไป พระธรรมถาวรว่า แต่ความคิดของพราหมณ์ใช้คำว่า กู กู นี้ ยังจำได้ เจ้าคุณธรรมถาวรเลยบอกต่อไปว่า วันที่ถวายเทศน์ ฉศก นี้ และถวาย ด กวางเหมง ไว้ก่อนขึ้นเทศน์นั้นว่า วันนั้นหวยจำเพาะออก ด กวางเหมง จริงอย่างที่ท่านแก้พระราชกระทู้ว่า ไม่เคยบอกตัวตรงๆ กับใครๆ เหมือนดังบอกสมเด็จพระบรมบพิตรวันนี้ ครั้นถึงเดือน ๑๑ ขึ้น ๑๔ ค่ำ ปีชวด ศกนี้เอง ทรงพระมหากรุณาโปรดเลื่อนสมณศักดิ์พระธรรมกิตติ (โต) ขึ้นเป็นพระเทพกวี ราชาคณะผู้ใหญ่ ในตำแหน่งสูง มีนิตยภัตร ๒๘ บาท ค่าข้าว ๑ บาท

สิ้นข้อความในประวัติที่เจ้าของท่านเขียนไว้ในฉากที่ ๕ ในฝาผนังโบสถ์วัดอินทรวิหาร ที่ได้คิดวิจารณ์ อนุมานแสวงหาเหตุผลต้นปลาย ตรวจราชประวัติและราชพงศาวดาร ประกอบกับรูปภาพในฉากนี้ ก็สิ้นข้อความในเพียงนี้

ในประวัติของสมเด็จโต ท่านให้ช่างเขียนๆ วัดระฆัง เขียนรูปบ้านพระยาโหรา รูปเสมียนตราด้วง รูปสมเด็จพระสังฆราช (นาค) รูปพระเทพกวี (โต) รูปวัดอินทรวิหาร รูปวัดกัลยาณมิตร รูปเด็กแบกคัมภีร์ ในงานฉลองวัดทั้ง ๒ และรูปป่าพระพุทธบาท รูปป่าพระฉาย รูปพระอาจารย์เสม รูปพระอาจารย์รุกขมูล รูปเมืองเขมร รูปเสือที่ทางไปเมืองเขมร รูปจ้างเขมร ตั้งแต่ฉากที่ ๑ ถึง ฉากที่ ๑๓ ? ๑๔ จะได้สันนิษฐานเป็นเรื่องดังต่อไปนี้

ครั้นออกพรรษาในปีชวด ศกนั้นแล้ว พระเทพกระวี (โต) จึงลงมาจัดการกวาดล้างกุฏิใหญ่ ๕ ห้อง ข้างคลองคูวัดระฆังข้างใต้ แล้วบอกบุญแก่บรรดาผู้ที่มาสันนิบาต ให้ช่วยการทำบุญขึ้นกุฏิ ได้เผดียงสงฆ์ลงสวดมนต์ทั้งวัดที่กุฏินั้น ค่ำวันนั้นมีมหรสพฉลองผู้ที่ศรัทธานับถือ ลือไปถึงไหน ก็ได้มาช่วยงานถึงนั่น บรรดาผู้ที่มานั้นต่างก็หาเลี้ยงกันเอง งานที่ทำคราวนั้นเป็นงานใหญ่มาก เลี้ยงพระถึง ๕๐๐ องค์ ผู้คนต่างนำสำรับคาวหวาน เครื่องไทยทานมาถวายพระเทพกระวีแน่นวัดแน่นวา ครั้นการเลี้ยงพระเลี้ยงคนสำเร็จเรียบร้อย ท่านลงแจกด้ายถักผูกข้อมือคนละเส้น แล้วท่านบอกว่า "ดีนักจ้ะ ลองดูจ้ะ ตามประสงค์"

ครั้นพระเทพกระวี (โต) ขึ้นอยู่บนกุฏิ ๕ ห้องแล้ว ผู้คนก็มาละเล้าละลุมเพื่อจับหวยทุกวัน ครั้นนั้นพระยาโหราธิบดี ทำบุญฉลองสัญญาบัตร พระเทพกวีก็ได้ไปสวดมนต์ไปฉัน ครั้นพระยาโหราธิบดี และเสมียนตราด้วง ปฏิสังขรณ์วัดบางขุนพรหม (วัดอินทรวิหาร) สมเด็จพระสังฆราช (นาค) พระเทพกวีก็ได้ไปเทศน์ไปฉันการฉลองวัด เมื่อท่านพระยานิกรบดินทร์สร้างวัดกัลยาณมิตรแล้วก็มีการฉลอง สมเด็จพระสังฆราช (นาค) พระเทพกระวี (โต) ก็ได้ไปฉัน คราวพระยานิกรบดินทร์สร้างโบสถ์วัดเกตุไชโย พระเทพกระวี (โต) ก็ได้ไปเป็นแม่งานฉลองโบสถ์ มีการมหรสพใหญ่ตามภาษาชาวบ้านนอก อำเภอไชโยนั้น มีพระสงฆ์ผู้ใหญ่ในกรุงเทพฯ ได้ขึ้นไปช่วยงานฉลองโบสถ์วัดเกตุไชโยนั้นมากท่านด้วยกัน

ครั้นกาลล่วงมา สมเด็จพระวันรัต วัดมหาธาตุ ถึงมรณภาพแล้ว สมเด็จพระวันรัต เซ่ง วัดอรุณ เป็นเจ้าคณะกลาง ครั้งนั้นพระอันดับในวัดระฆังทะเลาะกัน และฝ่ายหนึ่งได้ตีฝ่ายหนึ่งศีรษะแตก ฝ่ายศีรษะแตกได้เข้าฟ้องพระเทพกระวี เจ้าอาวาสๆ ก็ชี้หน้าว่า "คุณตีเขาก่อน" พระองค์หัวแตกเถียงว่า "ผมไม่ได้ทำอะไร องค์นั้นตีกระผม" พระเทพกระวีว่า "ก็เธอตีเขาก่อน เขาก็ต้องตีเธอบ้าง" พระนั้นก็เถียงว่า "เจ้าคุณเห็นหรือ" พระเทพกระวีเถียงว่า "ถึงฉันไม่ได้เห็นก็จริง แต่ฉันรู้อยู่นานแล้วว่า คุณตีเขาก่อน คุณอย่าเถียงฉันเลย" พระองค์ศีรษะแตกเสียใจมาก จึงได้อุตส่าห์เดินลงไปวัดอรุณ เข้าอุทธรณ์ต่อสมเด็จพระวันรัต (เซ่ง) เจ้าคณะกลาง

ส่วนสมเด็จพระวันรัต (เซ่ง) จึงเรียกตัวพระเทพกระวี (โต) ไปชำระตามคำอุทธรณ์ พระเทพกระวี (โต) ก็โต้คำอุทธรณ์และตอบสมเด็จพระวันรัตว่า "ผมรู้ดีกว่าเจ้าคุณอีก เจ้าคุณได้แต่รู้ว่า เห็นเขาหัวแตกเท่านั้น ไม่รู้ถึงเหตุในกาลเดิมมูลกรณี ผมรู้ดีว่า คุณองค์นั้นได้ตีคุณองค์นั้นก่อน และเขาบ่ห่อนจะรู้สึกตัว เขามามัวแต่ถือหัว หัวเขาจึงแตก"

สมเด็จพระวันรัต (เซ่ง) ฟังๆ ก็นึกแปลก แยกวินิจฉัยก็ไม่ออก กลับจะเป็นคนถือเอาแต่คำบอก จึงย้อนถามว่า "เจ้าคุณเห็นอย่างไร จึงรู้ได้ว่า พระองค์นี้ตีพระองค์นั้นก่อน แจ้งให้ฉันฟังสักหน่อย ให้แลเห็นบ้าง จะได้ช่วยกันระงับอธิกรณ์"

พระเทพกระวีว่า "พระเดชพระคุณจะมีวิจารณ์ยกขึ้นพิจารณาแล้ว กระผมก็เต็มใจ อ้างอิงพยานถวาย" พระวันรัตว่า "เอาเถอะ ผมจะตั้งใจฟังเจ้าคุณชี้พยานอ้างอิงมา" พระเทพกระวีจึงว่า "ผมทราบตามพุทธฎีกา บอกให้ผมทราบว่า นหิเวรา นิวปสัมมันติ ว่า เวรต่อเวร ย่อมเป็นเวรกันร่ำไป ถ้าจะระงับเสียด้วยไม่ตอบเวร เวรย่อมระงับ นี่แหละ พระพุทธเจ้าบอกผมเป็นพยาน กระผมว่า เวรต่อเวร มันจึงทำกันได้ ผมเห็นตามคำพระพุทธเจ้าบอกผมเท่านี้ ผมจึงวิจารณ์พิจารณากล้ากล่าวได้ว่า คุณตีเขาก่อน"

สมเด็จพระวันรัต (เซ่ง) ชักงงใหญ่ จะเถียงก็ไม่ขึ้น เพราะท่านอ้างพุทธภาษิต จึงล้มเข้าหาพระเทพกระวี (โต) ว่า "ถ้ากระนั้น เจ้าคุณต้องระงับอธิกรณ์ เรื่องนี้ว่า ใครเป็นผู้ผิด ผู้ถูกโทษจะตกกับผู้ใด แล้วแต่เจ้าคุณจะตัดสินเถิด" พระเทพกระวีมัดคำพระวันรัตว่า "พระเดชพระคุณอนุญาตตามใจผม ผมจะชี้โทษคุณให้ยินยอมพร้อมใจกันทั้งคู่ความ ทั้งพิพากษาให้อธิกรณ์ระงับได้ ให้เวรระงับด้วย" สมเด็จพระวันรัตก็อนุญาต

พระเทพกระวี (โต) ก็ประเล้าประโลมโน้มน้าวกล่าวธัมมิกถา พรรณนาอานิสงค์ของผู้ระงับเวร พรรณนาโทษของผู้ต่อเวร ให้โจทก์จำเลยสลดจิต คิดเห็นบาปบุญคุณโทษ ปราโมทย์เข้าหากัน ท่านจึงแก้ห่อผ้าไตรออกกับเงินอีกสามตำลึง ทำขวัญองค์ที่ศีรษะแตก แยกบทชี้เป็นสามสถาน ผู้ตีตอบเอาเป็นหมดเวร จักไม่ตีใครต่อไป ถ้าขืนไปตีใครอีก จะลงโทษว่าเป็นผู้ก่อเวร ฝืนต่อพระบวรพุทธศาสนา มีโทษหนักฐานละเมิด

ผู้ที่ถูกตีก็ระงับใจไม่อาฆาต ไม่มุ่งร้ายต่อก่อเวรอีก "ถ้าขืนคดในใจทำหน้าไหว้ หลังหลอก เอาฉันเป็นผู้ปกครอง หรือขืนฟ้องร้องกันต่อไป ว่าฉันเอนเอียงไม่เที่ยงธรรมแล้ว จะต้องโทษฐานบังอาจหาโทษผู้ใหญ่ โดยหาความผิดมิได้ ทั้งจะเป็นเสี้ยนหนามต่อพระบวรพุทธศาสนา เป็นโทษใหญ่ร้อนถึงรัฐบาล จะต้องลงอาญาตามรบิลเมืองฯ"

"ฝ่ายฉันเป็นคนผิด เอาแต่ธุระอื่น ไม่สอดส่องดูแลลูกวัด ไม่คอยชี้แจงสั่งสอนอันเตวาสิก สัทธิวาหาริก ให้รู้ธรรมรู้วินัย จึงลงโทษตามพระวินัยว่าไม่ควรย่อมเป็นโทษแท้ ขอคดีเรื่องนี้จงเลิกระงับไปตามวินัยนี้" พระฐานะที่นั่งฟังทั้งมหาบาเรียนและพระอันดับพระคู่ความ ก็สาธุการเห็นดีพร้อมกันอย่างเย็นใจ พระวันรัต (เซ่ง) ก็เห็นดี สงบเรื่องลงเท่านี้ฯ

ครั้งหนึ่งพระวัดระฆัง เต้นด่าท้าทายกันขึ้นอีกคู่ พระเทพกระวี (โต) ท่านเอกเขนกนั่งอยู่นอกกุฏิท่าน ท่านแลเห็นเข้า ทั้งได้ยินพระทะเลาะกันด้วย จึงลุกเข้าไปในกุฏิ จัดดอกไม้ธูปเทียนใส่พาน รีบเดินเข้าไปในระหว่างวิวาท ทรุดองค์ลงนั่งคุกเข่าไปถวายดอกไม้ธูปเทียนพระคู่นั้น แล้วอ้อนวอนฝากตัวว่า "พ่อเจ้าประคุณ พ่อจงคุ้มครองฉันด้วย ฉันฝากตัวกับพ่อด้วย ฉันเห็นจริงแล้วว่า พ่อเก่งเหลือเกิน เก่งพอได้ เก่งแท้แท้ พ่อเจ้าประคุณ ลูกฝากตัวด้วย" เลยพระคู่นั้นเลิกทะเลาะกัน มาคุกเข่ากราบพระเทพกระวีๆ ก็คุกเข่ากราบตอบพระ กราบกันอยู่นั่น หมอบกันอยู่นั่นนานฯ

ครั้งหนึ่งสมเด็จพระยามหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง) นิมนต์เข้าไปเทศน์ที่จวน สมเด็จเจ้าพระยาจุดเทียน พระเทพกระวีขึ้นธรรมมาสน์ ครั้นรับศีลเสร็จแล้ว พวกหัวเมืองเข้ามาหาสมเด็จเจ้าพระยา หมอบกันเป็นแถว ส่วนตัวเจ้าพระยานั้นเอกเขนกรินน้ำชาไขว่ห้างกำลังพระเทศน์ พระเทพกวีเลยเทศน์ว่า "สัมมามัวรินกินน้ำชา มิจฉาหมอบก้มประนมมือ" สมเด็จเจ้าพระยาบาดหูลุกเข้าเรือน ส่วนพระเทพกระวีก็ลงจากธรรมาสน์กลับวัดระฆัง ข่าวว่าตึงกันไปนาน

ครั้นสมเด็จพระวันรัต (เซ่ง) ถึงมรณภาพแล้ว พระเทพกระวีต้องเป็นผู้ใหญ่นั่งหน้า ครั้งหนึ่งเมื่อมีกิจการฉลองสวดมนต์ในพระบรมมหาราชวัง พระเทพกระวีเป็นผู้ชักนำพระราชาคณะอ่อนๆ ลงมา ครั้นสวดเสร็จแล้วยถา พระรับสัพพีแล้วสวดคาถาโมทนาจบแล้ว พระเทพกวี (โต) จึงถวายอติเรกขึ้นองค์เดียวว่าดังนี้

อติเรกวสฺสตํ ชีวตุ อติเรกวสฺสตํ ชีวตุ อติเรกวสฺสตํ ชีวตุ ทีฆายุโก โหตุ อโรโคโหตุ สุขิโต โหตุ มหาราชา สิทฺธิกิจจํ สิทฺธิกมฺมํ สิทฺธิลาโภ ชโย นิจฺจํ มหาราชสํ ส ภวตุ สพฺพทา ขอถวายพระพร ดังนี้

สมเด็จพระจอมเกล้าทรงโปรดมาก รับสั่งถามว่า แก้ลัดตัดเติมจะได้บ้างไหม พระเทพกระวี (โต) ถวายพระพรว่า อาตมาภาพได้เปยยาลไว้ในตัวบทคาถา สำหรับสมเด็จบรมพิตรพระราชสมภารเจ้าจะได้ทรงตรอกลง ตามพระบรมราชอัธยาศัยแล้ว สมเด็จพระจอมเกล้าทรงตรอกซ้ำลงตรง ฑีฆายุ อีกบันทัดหนึ่ง ทรงตรอกลงที่หน้าศัพท์ มหาราชสฺส เป็น ปรเมนทรมหาราชวรสฺส นอกนั้นคงไว้ตามคำพระเทพกระวี (โต)ทุกคำ แล้วตราพระราชบัญญัติประกาศไปทุกๆ พระอาราม ให้เป็นขนบธรรมเนียมต้องให้พระราชาคณะผู้นั่งหน้าถวายคาถาอติเรกนี้ก่อน จึงรับ ภาวตุสัพฯ จึงถวายพระพรลา ออกจากพระที่นั่งได้ ตลอดจนการพระเมรุ การถวายพระกฐินทานตามพระอารามหลวง ต้องมีพระราชาคณะถวายอติเรกนี้ทุกคราวที่พระราชดำเนิน จึงเป็นราชประเพณีสืบมาจนทุกวันนี้แล

ครั้นถึงปีฉลู สัปตศก จุลศักราช ๑๒๒๗ ปี สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงสถาปนาพระเทพกระวี (โต) ขึ้นเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ รับหิรัญบัตรมีฐานา ๑๐ มีนิตยภัตร ๓๒ บาท ค่าข้าวสาร ๑ บาทต่อเดือน สมเด็จฯ มีชนมายุ ๗๘ พรรษา ๕๖ ได้เป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ ในปีโสกันต์ สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง โสกันต์คราวนี้มีเทศน์กัณฑ์เขาไกรลาส รวมที่ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นราชาคณะ เป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ เป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังมาได้ ๑๕ ปี จึงได้เป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ ในปีฉลู สัปตศก จุลศักราช ๑๒๒๗ เป็นปีที่ ๑๕ ในรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงเทพมหานครแล

ครั้งหนึ่งมีราชการโสกันต์ สังฆการีวางฎีกาว่าย่ำรุ่งถึง แล้วถวายพระพร ถวายชัยมงคลคาถา พระฤกษ์โสกันต์ วางฎีกาสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ครั้นได้เวลาย่ำรุ่งตรง ท่านก็มาถึง พระมหาปราสาทยังไม่เปิดพระทวาร สมเด็จพระพุฒาจารย์ก็มานั่งอยู่บนบันไดพระมหาปราสาทชั้นบน แล้วท่านก็สวดชัยมงคลคาถาชยันโตโพธิยาลั่นอยู่องค์เดียว สามจบแล้ว ท่านก็ไปฉันข้าวต้มที่ทิมสงฆ์ แล้วท่านก็ไปพักจำวัดในโรงม้าต้น ในพระบรมมหาราชวัง ครั้นเวลาสามโมงเช้า เสด็จออกจวนพระฤกษ์ สังฆการีประจุ พระราชาคณะประจำที่หมด ยังขาดแต่สมเด็จพระพุฒาจารย์องค์เดียว เที่ยวตามหากันลั่นไปหมด สมเด็จพระจอมเกล้าทรงกริ้วใหญ่ พวกทนายเลือกสนใจใน บอกต่อๆ กันเข้าไปว่าได้เห็นสมเด็จหายเข้าไปในโรงม้าต้น พวกสังฆการี เข้าไปค้นคว้าอาองค์ท่านมาได้ ช่วยกันรุนก้นดันส่งเข้าไปในพระทวาร ครั้นทอดรพะเนตร์เห็น ก็กริ้วแหว รับสั่งว่า "ถอดๆ ไม่ระวังรั้วงานราชการ เป็นขุนนางไม่ได้ แฉกคืนๆ เร็วๆ เอาชยันโตทีเดียว" ขรัวโตก็เดินชยันโตจนถึงอาสนสงฆ์ ลงเข้าแถวสวด พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงคีบพระเมาฬี พระบรมวงศานุวงศ์ก็คีบ และคีบ แลโกน เป็นลำดับไป ครั้นเสร็จแล้ว ทรงประเคน อังคาสพระสงฆ์ แล้วเสด็จเข้าในพระฉาก

ขรัวโตฉันแล้วก็นั่งนิ่ง เสด็จออกเร่งให้ยถา ขรัวโตก็ยถา แต่ไม่ตั้งตาลิปัด เวลานั้นพระธุระมาก มัวหันพระพักตร์ไปรับสั่งราชกิจอื่นๆ พระพุฒาจารย์ (โต) ก็เดินดุ่มๆ รีบออกไปลงเรือข้ามฟาก พอแปรพักตร์ไปรับสั่งอติเรก จะรีบฯ พระราชาคณะรองๆลงมา ก็ไม่มีใครกล้า นิ่งงันกันไปหมด รับสั่งถามว่า "อ้าว สมเด็จหายไปไหน" เขาทูลว่า "ท่านกลับไปแล้ว" "อ้าวพัดยังอยู่ ชรอยจะทำใจน้อยไม่เอาพัดไป เร็ว เอาพัดไปส่ง เอาตัวมาถวายอติเรกก่อน" สังฆการีรีบออกเรือตามร้องเรียก "เจ้าคุณขอรับ นิมนต์กลับมาก่อน มาเอาพัดแฉก" ท่านร้องตอบมาว่า "พ่อจะมาตั้งสมเด็จกลางแม่น้ำได้หรือ" สังฆการีว่า "รับสั่งให้หา" ท่านก็ข้ามกลับมา เข้าทางประตูต้นสน ดุ่มๆ ขึ้นมาบนพระปราสาท แล้วรับสั่งให้ถวายอติเรกเร็วๆ ฯ ทูลว่า ขอถวายพระพร ถวายไม่ได้ฯ" รับสั่งถามว่า "ทำไมถวายไม่ได้ฯ" ทูลว่า "ขอถวายพระพร เหตุพระราชบัญญัติตราไว้ว่า ให้พระราชาคณะถวายอติเรก บัดนี้ อาตมาภาพกลายเป็นพระอันดับแล้ว จึงไม่ควรถวายอติเรก ขอถวายพระพรฯ" รับสั่งว่า "อ้อ จริงๆ เอาสิ ตั้งกันใหม่" กรมวังออกหมายตั้งสมเด็จ บอกวิเสศเลี้ยงพระอีก สังฆการีวางฎีกา เอาพระชุดนี้ก็ได้ วิเสศทำไม่ทัน ก็ทำแต่น้อย ก็ได้เพียง ๕ องค์ ศุภรัตน์เตรียมผ้าไตรตั้ง และพระไตร พระชยันโต แล้วเสด็จ พวกสังฆการีวางฎีกาพระชุดโสกันต์กำหนดเวลา เลยกลับไม่ได้

ครั้นเวลา ๕ โมง เสด็จออกทรงประเคน พระฉันแล้ว (ประกาศตั้งสมเด็จ) ทรงประเคนหิรัญบัตร ประเคนไตร บาตร ตาลิปัด ย่าม พระชยันโต คราวนี้สมเด็จยกไตรแพรครอง กลับเข้ามาอนุโมทนาแล้วถวายอติเรก ถวายพระพรลา เป็นอันเสร็จการไปคราวหนึ่งฯ

ครั้งหนึ่ง เข้าไปฉันในพระบรมราชวัง ได้ทรงประเคนไตรแพร ท่านก็นำไตรแพรนั้น เช็ดปาก เช็ดมือ ยุ่งไปหมด รับสั่งทักว่า "ไตรเขาดีดี เอาไปเช็ดเปรอะหมด" ท่านตอบว่า "อะไรถวายได้ ผ้าเช็ดมือถวายไม่ได้ อาตามภาพก็ต้องเอาผ้าไตรของอาตมาเอง เช็ดอาตมาเอง เป็นอันได้ บริโภคของทายกแล้ว ไม่เป็นสัทธาเทยสินิบาตฯ

ครั้งหนึ่งเข้าไปฉันในพระบรมมหาราชวังอีก ถวายเงินองค์ละ ๒๐ บาท สมเด็จทำดีใจ รวบเงินใส่ย่ามกราว ทรงทักว่า "อ้าว พระจับเงินได้หรือ" "ขอถวายพระพร เงิน พระจับไม่ได้ แต่ขรัวโตชอบ" เรื่องแผลงๆ ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) องค์นี้ตั้งแต่เป็นพระธรรมกิตติ มาจนเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ ต่อหน้าพระที่นั่งเสมอมา แต่ก็ทรงอภัย ซ้ำพระราชทานรางวัลอีกด้วย ถึงวันรวบเงินนี้ ก็รางวัลอีก ๓๐ บาท รวบใส่ย่ามทันที ครั้นหิ้วคอนย่ามออกมา คนนั้นล้วงบ้าง คนนี้ล้วงบ้าง จนหมดย่าม ท่านคุยพึมว่า "วันนี้รวยใหญ่ ๆ" ฯ

ครั้นคราวหนึ่ง นักองค์ด้วง เจ้าแผ่นดินเขมร กลุ้มพระหฤทัย มีใบบอกเข้ามากราบบังคมทูลพระกรุณาให้ทรงทราบ จึงมีพระบรมราชโองการ โปรดให้เผดียงสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ให้ออกไปแสดงธรรมโปรดนักองค์ด้วง ณ เมืองเขมร คราวนี้สมเด็จพระพุฒาจารย์ ถึงกับบ่นที่วัดระฆังว่า สมเด็จพระนั่งเกล้าก็ไม่ใช่โง่ แต่ว่าใช้ขรัวโตไม่ได้ สมเด็จพระจอมเกล้าฉลาดว่องไว กลับมาได้ใช้ขรัวโตฯ

ครั้นถึงวันกำหนด ท่านก็พาพระฐานา ๔ รูป ไปลงเรือสยามูปสดัมภ์ เจ้าพนักงานไปส่งถึงเมืองจันทบุรี แล้วขึ้นเกวียนไปทางเมืองตราด ไปถึงหมู่บ้านใหญ่แห่งหนึ่ง แขวงเมืองตราดนั้น เป็นตำบลที่มีเสือชุมมาก มันเผ่นเข้าขวางหน้าเกวียน เวลารอนๆ จวนค่ำ คนนำทางหน้าเกวียนสมเด็จ จดพลองเล่นตีกับเสือ เจ้าเสือแยกเขี้ยว หื้อใส่ รุกขนาบ คนถือพลองถอยหลังทุกที จนถึงหน้าเกวียนสมเด็จ คนหน้าเกวียนยกเท้ายันคนถือพลองไว้ไม่ให้ถอยฯ

660
ตอนที่ ๖



ครั้นเจ้าภาพอังคาสถวายอาหารบิณฑบาต พระสงฆ์ทำภัตกิจเสร็จแล้ว ก็ถวายไทยทานเป็นอันมากมายหนักหนา พระภิกษุโตก็รับของถวายเป็นก่ายกองสุดจะพรรณา ครั้นเสร็จแล้วพระสงฆ์อนุโมทนา เจ้าภาพจัดการเลี้ยงกัน เสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกกระบี่ก็รำกระบี่กระบองราวี พวกมวยก็คลุกคลีเป็นคู่คู่ พวกเพลงก็ร้องสู้กันเซ็งแซ่ พวกกลองยาวของพม่าก็บุ้มบ้ำรำถวาย คนดูก็เดินกรายชายตามองจ้องที่ต้องใจ สมโภชพระบวชใหม่ถึงห้าโมงเย็น ครั้นเย็นแล้ว ท่านเจ้าเมืองทั้ง ๕ จัดกระบวนพระ กระบวนแห่ แห่พระเข้าไปเจริญพุทธมนต์เย็นที่จวน สมโภชพระบวชใหม่

ครั้นถึงแล้ว พระสงฆ์นั่งบนอาสนะถวายน้ำร้อนน้ำตาลเภสัชหมากพลูบุหรี่เป็นที่สำราญ ผู้ว่าการเมืองจุดเทียนหลวงบูชา หลวงนาวาว่าที่กรมการอาราธนาศีล แล้วอาราธนาพระปริตต์ สวดธรรมจักรต่อกับ ๑๒ ตำนาน จบแล้วพระสงฆ์ก็กลับ ก็จัดการเลี้ยงกันจนเรียบร้อยก็จุดไฟ มีการสมโภชต่อไปเป็นที่สนุกสนานคึกครื้นรื่นเริงทั่วหน้ากัน

เวลาเช้าพระสงฆ์มาสวดมนต์ฉันเช้าแล้ว ก็ถวายเครื่องไทยทานต่างๆเป็นอันมาก พระสงฆ์รับแล้วอนุโมทนาทานเสร็จแล้วก็กลับ พราหมณ์ ๓ คนเข้าที่โอมอ่านอ่านพระศุลีเทวะราชประสิทธิ์ เบิกแว่นอุณาโลม แล้วตีพิณพาทย์ ฆ้องกลอง เป่าแตร เป่าสังข์ แกว่งบัณเฑาะว์ เคาะกรับ เละเวียนเทียน ๗ รอบ สมโภชพระภิกษุโตผู้บวชใหม่ เป็นอันเสร็จพิธี ดีงามทุกสิ่งทุกประการ

(เรียบเรียงแก้ไขพรรณนาตามเค้ารูปภาพที่เจ้าของท่านให้ช่างเขียนๆ ไว้ที่ฝาผนังโบสถ์ด้านสกัด เป็นประวัติการบวชพระของท่าน ก็จบลงเพียงเท่านี้)

(ต่อไปนี้จะได้บรรยายประวัติในรูปภาพที่ฝาผนังโบสถ์ วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม ฝ่ายทักษิณแห่งพระอุโบสถวัดนั้น เป็นฉากที่ ๕ ต่อไป ในฉากที่ ๕ นั้น ท่านให้ช่างเขียนรูปพระสังฆราชมี เขียนรูปท่านเข้าไปไหว้ลา เขียนรูปวัดระฆัง เขียนรูปเรียนหนังสือ เขียนรูปพระบรมมหาราชวัง และรูปพระบวรราชวัง รูปฉันในบ้านตระกูลต่างๆ รูปพระสังฆราชนาค สันนิษฐานตามเค้าเหตุผล เรียงตามลำดับดังนี้)

ครั้นรุ่งขึ้นเป็นวันแรมสองค่ำ เดือนหก ศกนั้น ท่านพระยาพิษณุโลกให้ส่งสมเด็จพระวันรัตและพระภิกษุโตกับพระอาจารย์แก้วกลับกรุงเทพฯ ได้ขอทุเลากับสมเด็จพระวันรัตว่า "เกล้าฯ ขอทุเลาให้หายเหนื่อยสัก ๒ วัน และสั่งกิจการ ต่อวันแรม ๔ ค่ำ เดือนหก จึงจะไปหาพระคุณเจ้า" สมเด็จพระวันรัตว่า "ตามใจเจ้าคุณเถิด" ครั้นตกลงกันแล้ว พระยาพิษณุโลกก็ทำรายงานเรื่องอุปสมบทตราพระกระแสร์รับสั่ง มอบให้เสมียนตราด้วงน้อมเกล้าถวายแล้วส่งเจ้าเมืองทั้ง ๔ กลับพร้อมทั้งผู้คน สั่งยกกระบัตรและกรมการใหญ่น้อยให้ทำหน้าที่ แล้วจัดเรือแจว ๖ แจว มีฝีพาย เรือครัวไปส่งพระในกรุงเทพฯ ในวันแรม ๔ ค่ำ เดือนนั้น

ครั้นแรม ๔ ค่ำ ศกนั้น พระยาพิษณุโลกได้อาราธนาสมเด็จพระวันรัต พระอาจารย์แก้ว พระภิกษุโตบวชใหม่เข้าไปฉันในจวน เลี้ยงข้าหลวงเสมียนตรา ฝีพาย พราหมณ์ เสร็จแล้วก็ลงเรือล่องลงมาเป็น ๕ ลำด้วยกัน

วันแรม ๖ ค่ำ ศกนั้น ครั้นถึงวัดนิพพานาราม สมเด็จพระวันรัต พระอาจารย์แก้วได้พาพระภิกษุโต พระยาพิษณุโลก พระโหราธิบดี เสมียนตราด้วง เฝ้าสมเด็จพระสังฆราชเจ้าพร้อมกัน กราบเรียนให้ทราบพอสมควร สมเด็จพระสังฆราชเจ้าจึงมอบให้เป็นหน้าที่ของสมเด็จพระวันรัตเป็นอาจารย์สอนและบอกคัมภีร์พระปริยัติธรรมต่อไป ด้วยพระดำรัส "การสอนการบอกจงเป็นภาระของสมเด็จฯ ด้วยข้าพเจ้าชรามากแล้ว ลมก็กล้า อาหารก็น้อย จำวัดไม่ใคร่หลับ บอกหนังสือก็ออกจะพลาดๆ ผิดๆ" รับสั่งให้พระครูฐานาจัดกุฏิให้ภิกษุโตอาศัยต่อไปในคณะตำหนัก วัดนิพพานารามแต่วันนั้นมา

บรรดาสัปปุรุษ สีกา ผู้หลักผู้ใหญ่ที่เลื่อมใสคุ้นเคยกับพระภิกษุโตแต่ครั้งเป็นสามเณร ครั้นทราบว่าอุปสมบทแล้ว ต่างก็พากันมาเยี่ยมเยียนปวารณาตัว ความอัตคัดขัดข้องไม่มีแก่ภิกษุโตเลย ฟุ่มเฟือยสง่าโอ่อ่าองอาจผึ่งผายเสมอๆ มา

ครั้นเข้าพรรษาปีนั้น จึงได้ข้ามไปเรียนคัมภีร์กับสมเด็จพระวันรัตเสมอๆ มา ก็มีความรู้แตกฉานลึกซึ้งในธรรมวินัยไตรปิฎกไม่ติดขัด ทั้งท่านก็ปฏิบัติตรงต่อพระธรรมวินัย มีความเคารพยำเกรงต้อผู้ใหญ่ ปฏิบัตินอบน้อมยอมตนให้สม่ำเสมอไป จึงเป็นเหตุให้อำมาตย์ราชเสนา คฤหบดี คฤหปตานี คุณท้าว คุณแก่ คุณแม่ คุณนาย คุณชาย คุณหญิง ผู้คุ้นเคยไปมาหาสู่อาราธนาให้แสดงธรรมตลอดไตรมาสบ้าง พิเศษบ้าง เทศน์มหาชาติบ้าง สวดมนต์เย็น ฉันเช้าในงานมงคลต่างๆ เกิดอดิเรกลาภเสมอๆ มิได้ขาด ทั้งพระโหราธิบดี เสมียนตราด้วง พระวิเชียร ขุนพรหม ปลัดนุท ขรัวยายโหง เสมียนบุญ ทั้ง ๗ ท่านนี้ ได้เป็นอุปัฏฐากประจำที่ไว้วางใจ

ครั้นเห็นว่างราชกิจควรเข้าเฝ้าถวายพระราชกุศล จึงหารือด้วยพระโหราธิบดี พระวิเชียร เสมียนตราด้วง ทั้งหมดเห็นดีด้วย จึงพร้อมกันเข้าเฝ้าถวาย ณ พระราชวังเดิม สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เสด็จออกทรงรับพระราชกุศล ถวายเป็นองค์อุปัฏฐาก ท่านก็รุ่งเรืองในกรุงเทพฯ แต่นั้นมา

ครั้นลุปีขาล อัฐศก จุลศักราช ๑๑๖๘ ปี พระภิกษุโตมีอายุ ๓๐ ปี มีพรรษาได้ ๑๐ อันเป็นปีที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ได้รับพระราชทานพระบวรราชอิศรศักดิ์สูงขึ้น เมื่อเสร็จอุปราชาภิเศกแล้ว ท่านได้เข้าเฝ้าถวายพระพรชัยมงคล จึงได้ทรงโปรดพระราชทานเรือพระที่นั่งกราบเป็นเรือสี ถวายแก่พระภิกษุโต โปรดรับสั่งว่า "เอาไว้สำกรับไปเทศน์โปรดญาติโยม" ทั้งยังทรงตั้งให้เป็น "มหาโต" ด้วย แต่นั้นมาทุกคนจึงเรียกท่านมหาโตทั่วทั้งแผ่นดิน หากมีราชกิจกุศลในวังหน้า หรือการงานเล็กน้อยแล้ว พระมหาโตเป็นต้องถูกราชการด้วยองค์หนึ่ง

(๒ ปีล่วงมา สมเด็จพระสังฆราชมีชราภาพ ถึงมรณะล่วงไปแล้ว ยังหามีสมเด็จพระสังฆราชครองวัดนิพพานารามไม่) ปีมะเส็งเอกศก จุลศักราช ๑๑๗๑ ปี กรมพระราชวังบวรเสด็จขึ้นเถลิงราชย์เป็นพระเจ้าแผ่นดิน จึงทรงพระมหากรุณาโปรดยกพระปัญญาวิสารเถร (พระชินวร) วัดถมอรายขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ทรงพระราชทานนามวัดนิพพานารามเสียใหม่ว่า "วัดมหาธาตุ" สมเด็จพระสังฆราชได้ลงมาประทับอยู่ที่วัดมหาธาตุด้วย พระมหาโตจึงร่วมอุโบสถสังฆกรรมกับสมเด็จพระสังฆราชถึง ๒ พระองค์ คือสมเด็จพระสังฆราชมี สมเด็จพระสังฆราชนาค (จึงได้ให้ช่างเขียนเป็นรูปพระสังฆราชไว้ ๒ พระองค์ ตามที่ท่านได้ผ่านพบมา) ในศกนี้ พระมหาโตมีพรรษา ๑๒ ในแผ่นดินพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ กรุงเทพฯ พระมหาโตทำสง่าโอ่โถงภาคภูมิมาก เทศนาวาจากล้าหาญองอาจ เพราะเชี่ยวชาญรอบรู้พระไตรปิฎกแตกฉาน ทั้งยังเป็นพระของพระเจ้าแผ่นดิน อันพระองค์ทรงเป็นอุปัฏฐากอีกด้วย อดิเรกลาภก็มีทวีคูณ ลูกศิษย์ลูกหามากมาย ชื่อเสียงโด่งดังกึกก้องตลอดกรุง

ลุปีฉลู นพศก จุลศักราช ๑๑๗๙ ปี ทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าให้สร้างพระตำหนักใหม่ในวัดมหาธาตุ เพราะทูลกระหม่อมฝ้าพระองค์ใหญ่จะทรงพระผนวชเป็นสามเณร ครั้นทรงพระผนวชแล้วก็เสด็จมาประทับอยู่ พระมหาโตก็ได้เข้าเป็นพระพี่เลี้ยงและได้เป็นครูสอนอักขระขอม ตลอดจนถึงคัมภีร์มูลกัจจายน์ เมื่อสมเด็จพระสังฆราชมีกิจ พระมหาโตก็ได้อธิบายขยายความแทน เป็นเหตุให้ทรงสนิทคุ้นเคยกันแต่นั้นมา

ครั้นทูลกระหม่อมเณรทรงลาสิกขานิวัติกลับพระราชวังแล้ว ก็ทรงทำสักการะแก่พระมหาโตยิ่งขึ้น พระมหาโตเลยกว้างขวางยิ่งใหญ่ รู้จักคุณท้าวคุณนางฝ่ายใน ทั้งจ้าวนายฝ่ายนอกมากมาย บ้านขุนนางก็แยะ เมื่อมีงานต้องนิมนต์พระมหาโตมิได้ขาด

จุลศักราช ๑๑๘๖ ปีวอก ฉศก วันพุธ เดือน ๘ ขึ้น ๑๒ ค่ำทูลกระหม่อมองค์ใหญ่ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ เสด็จขึ้นไปประทับวัดถมอราย (เปลี่ยนเป็นวัดราชาธิวาส) ภายหลังเสด็จกลับมาประทับ ณ ตำหนักเดิมวัดมหาธาตุ พระมหาโตก็ได้เป็นผู้บอกธรรมวินัยและพระปริยัติธรรมอีก เป็นเหตุให้ทรงคุ้นเคยกันมากขึ้นเพราะมีอัธยาศัยตรงกัน

ในศกนี้ สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เสด็จสวรรคต ในวันพฤหัสบดีเดือน ๘ แรม ๑๑ ค่ำ ปีวอก ฉศก จุลศักราช ๑๑๘๖ เสด็จขึ้นเถลิงราชย์ได้ ๑๔ ปี ๑๐ เดือน ศิริพระชนมายุได้ ๕๖ พระพรรษา

ปีนี้พระมหาโตอายุได้ ๔๙ พรรษา ๒๘ พระชนมายุทูลกระหม่อมได้ ๒๑ พระพรรษา

พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นเถลิงราชย์เปลี่ยนเป็นรัชกาลที่ ๓ ในปีนั้น วันนั้น

ลุจุลศักราช ๑๑๘๘ ปีจอ อัฐศก สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าให้เผดียงทูลกระหม่อมพระองค์ใหญ่ ให้ทรงแปลพระปริยัติธรรม ๓ วัน ก็ทรงแปลได้หมด แล้วให้พระมหาโตแปลแก้รำคาญหูเสียบ้าง ท่านเข้าแปลถวาย วันหนึ่งแปลไปได้สักลานกว่า ผู้กำกับการสอบถือพัดยศเข้ามา ท่านก็เลยม้วนหนังสือ ถวายกราบลามาข้างนอกพระราชวัง ใครถามว่า "ได้แล้วหรือขอรับ คุณมหา" ท่านรับคำว่า "ได้แล้วจ้ะ"

ปีฉลู เอกศก จุลศักราช ๑๑๙๑ ทูลกระหม่อมองค์ใหญ่ไม่สำราญพระหฤทัยในวัดมหาธาตุ จึงทรงกลับมาประทับ ณ พระตำหนักเดิม วัดถมอราย

ในศกนี้ พระมหาโตมีอายุ ๕๔ ปี พรรษา ๓๒ ยังรอรักอยู่วัดมหาธาตุ มีผู้บอกข่าวว่าโยมผู้หญิงอยู่ทางเหนือป่วยหนัก ท่านขี่เรือเสาขึ้นไป พร้อมนำเรือสีไปด้วย เพื่อจะพายอวดโยมของท่าน แต่โยมก็ถึงแก่อนิจกรรมเสียก่อน ท่านก็ทำฌาปนกิจเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงแบ่งทรัพย์มรดกของโยมแก่บรรดาญาติและหลานๆ ทั่วกัน แล้วที่ยังเหลือเป็นเงินทองก็นำมาถึงอำเภอป่าโมกข์ จังหวัดอ่างทอง ณ ที่วัดขุนอินทร์ประมูล ท่านก็เอาทรัพย์นั้นออกสร้างพระนอนไว้ มีลักษณะงดงามองค์หนึ่งยาวมาก สร้างอยู่หลายปีจึงสำเร็จ ต่อนั้นท่านก็เป็นพระสงบ มีจิตแน่วแน่ต่อญาณคติ มีวิถีจิตแน่วแน่ไปในโลกกุตรภูมิ ไม่ฟุ้งซ่านโอ่อ่า เจียมตัวเจียมตน เทศน์ได้ปัจจัยมาสร้างพระนอนนั้นจนหมด ท่านทำซอมซ่อเงียบๆ สงบปากเสียงมา ๒๕ ปี ตลอดรัชสมัยของแผ่นดินพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

ครั้นถึงปีกุน ยังเป็นโทศก จุลศักราช ๑๒๑๒ ปี วันพุธ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือนห้า เวลาค่ำ ๘ ทุ่ม ๕ บาท สมเด็จพระนั่งเกล้าเสด็จสวรรคต ศิริพระชนมายุได้ ๖๓ พรรษา กับ ๑๑ วัน ดำรงอยู่ในราชสมบัติ ๒๕ ปี ๗ เดือน ๒๓ วัน พระมหาโต อายุได้ ๖๔ ปี ๔๒ พรรษา พวกข้าราชการได้ทูลอัญเชิญเสด็จทูลกระหม่อม พระราชาคณะ วัดบวรนิเวศน์วรวิหาร ให้เสด็จนิวัติออกเถลิงราชย์ พระมหาโตเลยออกธุดงค์หนีหายไปหลายเดือน ครั้นทรงระลึกได้ จึงรับสั่งให้หาตัวมหาโตก็ไม่พบ ทรงกริ้วสังฆการี รับสั่งว่า "ท่านเหาะก็ไม่ได้ ดำดินก็ไม่ได้ แหกกำแพงจักรวาลหนีก็ยังไปไม่ได้" จึงรับสั่งพระญาณโพธิออกติดตามก็ไม่พบ รับสั่งว่า "ฉันจะตามเอง" ครั้นถึงเดือนเจ็ดปีนั้น มีกระแสร์รับสั่งถึงเจ้าเมือง ฝ่ายใต้ ฝ่ายเหนือ ตะวันตก ตะวันออก ทั่วพระราชอาณาจักร จับพระมหาโตส่งมายังเมืองหลวงให้ได้ ให้เจ้าคณะเหนือ กลาง ใต้ ตก ออก ออกค้นหามหาโต เลยสนุกกันใหญ่ ทั้งฝ่ายพุทธจักร อาณาจักร แม้จะมีท้องตรารับสั่งเร่งรัดอย่างไรก็ยังเงียบอยู่ เจ้าเมือง เจ้าหมู่ฝ่ายพระร่วมใจกันจับพระอาคันตุกะทุกองค์ส่งยังศาลากลาง คราวนี้พระมหาโตลองวิชาเปลี่ยนหน้า ทำให้คนรู้จักกลับจำไม่ได้ เห็นเป็นพระองค์อื่น ปล่อยท่านไปก็มี (อาคมชนิดนี้ พระอาจารย์เจ้าเรียกว่า นารายณ์แปลงรูป) ต่อมาท่านพิจารณาเห็นว่า นายด่าน นายตำบล เจ้าเมือง กรรมการ จับพระไปอดเช้าบ้าง เพลบ้าง ตากแดดตากฝน ได้รับความลำบาก ทำทุกข์ทำยากแก่พระสงฆ์คงไม่ดีแน่ จึงแสดงตนให้กำนันบ้านไผ่รู้จัก จึงส่งตัวมายังศาลากลาง เจ้าเมืองมีใบบอกมายังกระทรวงธรรมการ๐ บอกส่งไปวัดโพธิเชตุพนฯ พระญาณโพธิขึ้นไปดูตัวก็จำได้ แล้วคุมตัวลงมาเฝ้า ณ พระที่นั่งอมรินทรท่ามกลางขุนนางข้าราชการ ครั้นเห็นพระญาณโพธินำพระมหาโตเข้าเฝ้า จึงมีพระดำรัสว่า "เป็นสมัยของฉันปกครองแผ่นดิน ท่านต้องช่วยฉันพยุงพระบวรพุทธศาสนาด้วยกัน" แล้วมีพระบรมราชโองการให้กรมสังฆการี วางฎีกา ตั้งพระราชาคณะตามธรรมเนียม พระมหาโตก็เข้าไปตามฎีกานิมนต์ จึงทรงถวายสัญญาบัตรตาลิปัตแฉกหักทองขวาง ด้ามงา เป็นพระราชาคณะ ที่พระธรรมกิตติ เจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม มีฐานานุกรม ๓ องค์ มีนิตยภัตรเดือนละ ๔ ตำลึง ๑ บาท ทั้งค่าข้าวสาร เมื่อออกจากพระบรมราชวังแล้ว ท่านแบกพัดไปเอง ถึงบางขุนพรหมและบางลำภู บอกลาพวกสัปปุรุษที่เคยนับถือ มีเสมียนตราด้วง และพระยาโหราธิบดีเก่า และผู้อื่นอีกมาก แล้วท่านก็กลับมาวัดมหาธาตุ ลาพระสงฆ์ทั้งปวง ลงเรือกราบสีที่ได้รับพระราชทานมาแต่พระพุทธเลิศหล้า ข้ามไปกับเด็กช้างผู้เป็นหลาน ท่านถือบาตร ผ้าไตรและบริขาร ไปบอกพระวัดระฆังว่า "จ้าวชีวิต ทรงตั้งฉันเป็นพระธรรมกิตติ มาเฝ้าวัดระฆังนี่จ้ะ" ท่านแบกตาละปัตพัดแฉก สพายถุงย่ามสัญญาบัตร ไปเก้ๆ กังๆ พะรุงพะรัง พวกพระนึกขบขัน จะช่วยท่านถือ เจ้าคุณธรรมกิตติก็ไม่ยอม พระเลยสนุกตามมุงดูกันแน่น แห่กันเป็นพรวนเข้าไปแน่นในโบสถ์ บางองค์ก็จัดโน่นทำนี้ ต้มน้ำบ้าง ตักน้ำถวายบ้าง ตะบันหมากบ้าง กิตติศัพท์เกรียวกราวตลอดกรุง คนนั้นมาเยี่ยม คนนั้นก็มาดู เลื่อมใสในจรรยาบ้าง เลื่อมในในยศศักดิ์บ้าง ท่านทำขบขันมาก ดูสนุกเป็นมหรสพโรงใหญ่ทีเดียว บางคนชอบหวยก็เอาไปแทงหวย ขลังเข้าทุกๆ วัน คนก็ยิ่งเอาไปแทงหวยถูกกันมากรายยิ่งขึ้น เลยไม่ขาดคนไปมาหาสู่ บางคนก็ว่าท่านบ้า บางคนก็ตอบว่า "เมื่อขรัวโตบ้า พากันนิยม ชมว่าขรัวโตเป็นคนดี ยามนี้ขรัวโตเป็นคนดี พูดกันบ่นอู้อี้ว่าขรัวโตบ้า" บางวันเขานิมนต์ไปเทศน์ เมื่อจบท่านบอกว่า "เอวํ พังกุ้ย" บ้าง บางวันก็บอกว่า "เอวํ กังสือ" บางวันก็บอกว่า "เอวํ หุนหัน" เล่ากันต่อๆ มาว่า ท่านเทศน์ไม่เว้นแต่ละวัน ครั้งหนึ่ง ที่วังเจ้าฟ้ามหามาลา กรมหมื่นบำราบปรปักษ์ มีเทศน์ ไตรมาส ๓ วันยก พระพิมลธรรม (อ้น) ถวายเทศน์ พระธรรมกิตติเป็นผู้รับสัพพี พระพิมลธรรมถวายเทศน์เรื่องปฐมสมโพธิ ปริเฉทลักขณะปริวัตร ความว่า "กาลเทวินทร์ดาบสร้องไห้ เสียใจว่า ตนจะตายไปก่อน ไม่ทันเห็นพระสิทธาตถ์ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ซ้ำจะต้องเกิดในอสัญญีภพเสียอีก เพราะผลของอรูปสมาบัติเนวะสัญญานาสัญญายะตะนะฌานในปัจจุบันชาติ" วันที่ ๓ ก็มาถวายอีก พระธรรมกิตติ (โต) ก็ไปรับสัพพีอีก เจ้าฟ้ามหามาลาฯ ทรงรับสั่งถามพระพิมลธรรมว่า "พระคุณเจ้า ฌานโลกีย์นี้ได้ยินว่าเสื่อมได้มิใช่หรือ" พระพิมลธรรมรับว่า "ถวายพระพร เสื่อมได้" ทรงรับสั่งรุกอีกว่า "เสื่อมก็ได้ ทำไมกาลเทวินทร์ไม่ทำให้เสื่อมเสียก่อน บำเพ็ญแต่กามาวจรฌาน ถึงตายก่อนสิทธาตถ์ ก็พอไปเกิดอยู่ในรูปพรหม หรือ ฉกามาพจรชั้นหนึ่งชั้นใด ก็พอจะได้ เหตุใดไม่ทำญาณของตนให้เสื่อม ต้องมานั่งร้องไห้เสียน้ำตาอยู่ทำไม" คราวนี้พระพิมลธรรมอั้นตู้ ไม่สามารถแก้ไขออกให้แจ้งได้ ส่วนพระธรรมกิตติ (โต) เป็นพระรับสัพพี เห็นพระพิมลธรรมเฉย ไม่เฉลยข้อปัญหานั้น จึงออกเสียงเรอดัง "เออ" แล้วบ่นว่า "เราหนอช่างกระไร วัดระฆังอยู่ใกล้ๆ ตรงวังข้ามฟาก เหตุใดไม่ข้ามฟาก ต้องมาฝืนร่างกายทนลำบากจนดึกดื่น ๒ วัน ๓ คืน ดังนี้" แล้วท่านก็นั่งนิ่ง สมเด็จเจ้าฟ้ามหามาลาฯ ก็ทรงจุดเทียน พระพิมลธรรมก็ขึ้นถวายเทศน์จบ ลงจากธรรมาสน์แล้ว สมเด็จเจ้าฟ้ามหามาลาฯ ก็ประเคนเครื่องไทยธรรม พระพิมลธรรมยะถา พระธรรมกิตติรับสัพพี พระพิมลธรรม ถวายพระพรลา เมื่อถึงกำหนดเทศน์อีก พระธรรมกิตติก็ได้รับฎีกาอันเป็นลายพระหัตถ์ของสมเด็จเจ้าฟ้ามหามาลาฯ นิมนต์เทศน์ต่อจากพระพิมลธรรม ท่านเต็มใจรับและบอกมหาดเล็กให้ไปกราบทูลให้ทรงทราบ

ครั้นวัน ๗ ค่ำ เวลา ๓ ทุ่ม พระธรรมกิตติก็ไปถึงท้องพระโรง สมเด็จเจ้าฟ้ามหามาลาฯ เสด็จออก ทรงเคารพปราศรัย แล้วจุดเทียน พระธรรมกิตติขึ้นธรรมาสน์ถวายศีล ถวายศักราช ถวายพระพร แล้วจึงเดินคาถาที่ผูกขึ้นว่า

ววิมลธมฺมสฺส ฯลฯ กสฺมาโส วิโสจตีติ

อธิบายความว่า "มหาบพิตรเจ้า มีพระปุจฉา แก่เจ้าคุณพระพิมลธรรมว่า เหตุไฉน กาลเทวินทร์จึงร้องไห้ ควรทำฌานของตนให้เสื่อม ดีกว่านั่งร้องไห้" ดังนี้ ข้อนี้อาตมาภาพ ผู้มีสติปัญญาทราม หากได้รับพระอภัยโทษ โปรดอนุญาตให้แสดง ต่อข้อปุจฉา อาตมาจำต้องแก้ต่างเจ้าคุณพระพิมลธรรม ดังมีข้อความตามพระบาลีที่มีมาในพระปุคคลบัญญัติ มีอรรถกถาฎีกา แก้ไว้พร้อมตามพระคัมภีร์ว่า

กุปฺธมฺโม อกุปฺปธมฺโม

ท่านแสดงตามคัมภีร์เสียพักหนึ่ง ว่าด้วยฌานโลกีย์เสื่อมได้ในคนที่ควรเสื่อม ไม่เสื่อมได้ในคนที่ไม่ควรเสื่อม ฌานก็เสื่อมไม่ได้ตามบาฬี แล้วอธิบายซ้ำว่า ธรรมดา ฌานโลกีย์เสื่อมได้เร็วก็จริงอยู่ แต่บุคคลผู้เป็นเจ้าของฌานมีความกระหายต่อเหตุการณ์ อารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจเป็นของใหม่ ของเก่าก็ยังอาลัย สละทอดทิ้งเสียไม่ได้ เพราะเคยเสวยสุขคุ้นเคยกันมานาน ของเก่าคือฌานที่ตนอาศัยสงบอารมณ์ ก็เห็นมีคุณดีอยู่ ของใหม่ตามข่าวบอกเล่ากันต่อมา และคนที่ควรเชื่อได้ ชี้แจงอย่างถี่ถ้วนว่าของใหม่ดีอย่างนั้นๆ แต่อาลัยของเก่าก็มาก จึงทิ้งไม่ได้ ทำไปไม่ได้ จะยึดสองฝ่ายก็ไม่ได้ เพราะของใหม่ไม่คุ้นกัน ไม่เคยเห็นใจกัน ผะอืดผะอมมาก เสียดายของรักก็มี เสียดายของใหม่ คือรู้แน่ว่าพระสิทธาตถ์จะตรัสเป็นพระพุทธเจ้าก็มี แต่แกเสียใจว่าจะตายไปเสียก่อน และเห็นว่าพรหมโลกอยู่ในเงื้อมมือแน่นอน แต่คุณของการพบพระพุทธเจ้านั้นจะทำประโยชน์สุขสมบัติอะไร กาลเทวินทร์ยังไม่รู้ จึงไม่อาจทำฌานให้เสื่อม ทั้งเป็นบุคคลที่เป็นอุปธรรม ยังไม่เป็นคนที่ควรเสื่อมจากคุณธรรมที่ตนได้ ตนถึงด้วย เปรียบเสมือนคนที่ป่วยไข้อยู่ จะกระทำกระปรี้กระเปร่าแข็งแรงคึกคัก กินข้าว กินน้ำอร่อยอย่างคนธรรมดาดีดีนั้นไม่ได้ คนที่ดีดี ผิวพรรณผุดผ่อง จะมารยาทำป่วยไข้ จะนั่งห่มผ้าคลุมกรอมซอมซ่อ พูดกระร่อกระแร่เป็นคนไข้ก็ทำไม่ได้ ทำให้คนอื่นแลเห็นรู้แน่ว่า คนที่ทำเป็นไข้นั้น เป็นไข้มารยา ไข้ไม่จริง คนในเห็นคนนอกเป็นสุขสบาย ก็ออกมาเป็นคนนอกไม่ได้ เหตาลัยความคุ้นเคยข้างในอยู่มาก คนนอกเห็นคนในนวยนาฏน้ำนวลผ่องใสด้วยผ้านุ่งห่ม แต่ไม่อาจเป็นคนในกับเขา เพราะเป็นห่วงอาลัยของข้างนอก จะไปเที่ยวชั่วคราวนั้นได้ แต่จะไปอยู่ทีเดียวนั้นไม่ได้ เพราะไม่ไว้วางใจว่าเหตุการณ์ข้างใน จะดีหรือเลวยังไม่แน่ใจ แต่เป็นกระหายอยู่เท่านั้น คนที่มีความสุขสบายอยู่ด้วยเพศบวชมาช้านาน แต่แลเห็นคนที่ไม่บวชเที่ยวเตร่ กินนอน ดู ฟัง เล่นหัวสบาย ไม่มีเครื่องขีดคั่นอะไร บางคราวชาววัดบางคนเห็นดี แต่ไม่อาจออกไป เพราะถ้าออกไปไม่เหมือนเช่นเขา หรือเลวทรามกว่าเขา จะทุกข์ตรมระบมทวีมาก จะเดือดร้อนยิ่งใหญ่มาก ก็เป็นแต่นึกสนุกไม่ออกไปทำอย่างเขา เพราะอาลัยความสุขในการบวชค้ำใจอยู่ ออกไปไม่ได้ เป็นแต่ทำเอะอะฮึดฮัดไปตามเพลง คนที่ยังไม่เคยบวชนั้น เห็นว่าผู้บวชสบายไม่ต้องกังวลอะไร กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็เที่ยวตามสบาย ไม่ต้องเหงื่อไหลไคลย้อย ไม่ต้องแสวงหาอาหาร มีคนเลี้ยงคนเชิญน่าสบาย คนที่ไม่บวชคิดเห็นดีไปเพ้อๆ เท่านั้น เลยนั่งดูกันไปดูกันมา เพราะยังไม่ถึงคราวจะบวช หรือยังไม่ถึงคราวจะสึก ก็ยังสึกและยังบวชไม่ได้นั่นเอง ข้ออุปมาทั้งหลายดังถวายวิสัชนามานี้ ก็มีอุปมัยเปรียบเทียบด้วยฌานทั้ง ๙ ประการ ที่เป็นธรรมเสื่อมได้เร็วก็จริง แต่ยังไม่ถึงคราวเสื่อม ก็ยังเสื่อมไม่ได้ กาลเทวินทร์ดาบสก็เปรียบดังชาววัด ชาวบ้าน ชาวนอก ชาวใน ต่างเห็นของกันและกัน ไม่อาจแสร้งให้ฌานเสื่อม ที่ตรงแกร้องไห้นั้น อาตมาภาพเข้าใจว่า แกร้องไห้เสียดายขันธ์ เพราะแกกล่าวโดยอันยังไม่รู้เท่าทันขันธ์ ว่ามันเป็นสภาพแปรปรวน แตกดังเป็นธรรมดาของมันเอง แต่เวลานั้น โลกยึดถือขันธ์มาช้านาน ที่กาลเทวินทร์เจริญอรูปฌานจนสำเร็จ ก็เพราะคิดรักษาขันธ์ เพื่อมิให้ขันธ์พลันแตกสลายทำลาย จึงพยายามได้สำเร็จความปรารถนาและเสียดายหน้าตา ถ้าชีวิตของแกอยู่มาอีก ๓๖ ปี แกจะได้เจ้าบรรจบประสบคุยกับหมู่พุทธบริษัท และหมู่พระประยูรญาติ และหมู่พุทธมามกะผู้นับถือ แกจะพลอยมีชื่อยกตัวเป็นครูอย่างดีกว่าที่แล้วมา แต่พระอรรถกถาจารย์ท่านไม่ว่าอย่างขรัวโต เห็นท่านว่าเพียงกาลเทวินทร์เสียใจว่าจะตายเสียก่อนเท่านั้น ไม่ทันพระสิทธาตถ์เป็นพระพุทธเจ้าเท่านี้


661
ตอนที่ ๕



สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงฯ พระองค์นั้น ทรงพระเกษมสันต์โสมนัสยิ่งนัก จึงเสด็จตรงเข้าจับมือสามเณรโตแล้วจูงให้มานั่งพระเก้าอี้เคียงพระองค์ แล้วทรงถามว่าอายุเท่าไรฯ ทูลว่า ขอถวายพระพรอายุได้ ๑๘ เต็มในเดือนนี้ฯ ทรงถามว่า เกิดปีอะไรฯ ทูลว่า ขอถวายพระพรเกิดปีวอกอัฐศกฯ รับสั่งถามว่า บ้านเกิดอยู่ที่ไหนฯ ทูลว่าขอถวายพระพรฯ บ้านเดิมอยู่ใต้เมืองกำแพงเพชร แล้วย้ายลงมาตั้งบ้านอยู่เหนือเมืองพิจิตร ขอถวายพระพรฯ รับสั่งถามว่า โยมผู้ชายชื่ออะไรฯ ทูลว่า ขอถวายพระพร ไม่รู้จักฯ รับสั่งถามว่า โยมผู้หญิงชื่ออะไรฯ ทูลว่า ขอถวายพระพร ชื่อแม่งุดฯ รับสั่งถามว่า ทำไมโยมผู้หญิงไม่บอกตัวโยมผู้ชายให้เจ้ากูรู้จักบ้างหรือฯ ทูลว่า โยมผู้หญิงเป็นแต่กระซิบบอกว่าเจ้าของรัดประคดนี้เป็นเจ้าคุณแม่ทัพขอถวายพระพร

ครั้นทรงได้ฟัง ตระหนักพระหฤทัยแล้ว ทรงพระปราโมทย์เอ็นดูสามเณรยิ่งขึ้น จึงทรงรับสั่งทึกทักว่า แน่ะ คุณโหรา เณรองค์นี้ ฟ้าจะทึกเอาเป็นพระโหรานำช้างเผือกเข้ามาถวาย จงเป็นเณรของฟ้าต่อไป ฟ้าจะเป็นผู้อุปถัมภ์บำรุงเอง แต่พระโหราต้องเป็นผู้ช่วยเลี้ยงช่วยสอนแทนฟ้า ทั้งพระวิเชียรและเสมียนตราด้วง ช่วยฟ้าบำรุงเณร เณรก็อย่าสึกเลยไม่ต้องอนาทรอะไร ฟ้าขอบใจพระโหรามากทีเดียว แต่พระโหราอย่าทอดธุระทิ้งเณรช่วยเลี้ยง ช่วยสอนต่างหูต่างตาช่วยดูแลให้ดีด้วย และเห็นจะต้องย้ายเณรให้มาอยู่กับสมเด็จพระสังฆราชมี จะได้ใกล้ๆ กับฟ้า ให้อยู่วัดนิพพานารามจะดี (วัดนิพพานาราม คือวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์เดี๋ยวนี้)

ครั้นรับสั่งแล้ว จึงทรงพระอักษรเป็นลายพระราชหัตถเลขามอบสามเณรโตแก่สมเด็จพระสังฆราช (มี) แล้วส่งลายพระราชหัตถเลขานั้นมอบพระโหราธิบดีให้นำไปถวาย พระโหราธิบดีน้อมเศียรคำนับรับมาแล้วกราบถวายบังคมลา ทั้งพระวิเชียรและเสมียนตราด้วง สามเณรโตก็ถวายพระพรลา แล้วก็เสด็จขึ้น

ฝ่ายขุนนางทั้ง ๓ ก็พาสามเณรลงเรือแจวข้ามฟากมาขึ้นท่าวัดมหานิพพานารามตามคำสั่ง พาเณรเดินขึ้นบนตำหนักสมเด็จพระสังฆราช (มี) ครั้นพบแล้วต่างถวายนมัสการ พระโหราธิบดีก็ทูลถวายลายพระราชหัตถเลขาแก่สมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ คลี่ลายพระหัตถออกอ่านดูรู้ความในพระกระแสรับสั่งนั้นแล้ว จึงรับสั่งให้พระครูใบฎีกาไปหาตัวพระอาจารย์แก้ว วัดบางลำภูบน ซึ่งเป็นเจ้าของสามเณรเดิมนั้นขึ้นมาเฝ้า ครั้นพระอาจารย์แก้วมาถึงแล้วจึงรับสั่งให้อ่านพระราชหัตถ์เลขา พระอาจารย์แก้วอ่านแล้วทราบว่าพระยุพราชนิยมก็มีความชื่นชอบ อนุญาตถวายเณรให้เป็นเณรอยู่วัดนิพพานารามต่อไป ได้รับนิสัยแต่สมเด็จพระสังฆราชด้วยแต่วันนั้นมา

สามเณรโตนั้นก็อุตส่าห์ทำวัตรปฏิบัติแก่สมเด็จพระสังฆราชเจ้า และเข้าเรียนคัมภีร์พระปริยัติธรรม จนทราบสันธวิธีของสมเด็จพระสังฆราชเจ้าจนชำนิชำนาญดี และเรียนกับพระอาจารย์เสมวัดนิพพานารามอีกอาจารย์หนึ่งด้วย

ครั้นถึงเดือน ๖ ปีมะเส็ง นพศก จุลศักราช ๑๑๕๙ เป็นปีที่ ๑๖ ในรัชกาลที่ ๑ กรุงเทพพระมหานครฯ จึงสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ทรงพระคำนวณปีเกิดของสามเณรโต เป็นกำหนดครบ ๒๑ ปีบริบูรณ์ ควรอุปสมบทได้แล้ว จึงรับสั่งให้พระโหราธิบดีกับเสมียนตราด้วงมาเฝ้า แล้วทรงรับสั่งโปรดว่า พระโหราฯต้องไปบวชสามเณรโตแทนฟ้า ต้องบวชที่วัดตะไกร เมืองพิษณุโลก แล้วทรงมอบกิจการทั้งปวงแก่พระโหราธิบดี พร้อมทั้งเงินที่จะใช้สอย ๔๐๐ บาท ทั้งเครื่องบริกขารพร้อม และรับสั่งให้ทำขวัญนาค เวียนเทียนแต่งตัวนาคอย่างแบบนาคหลวง การซู่ซ่าแห่แหนนั้นอนุญาตตามใจญาติโยมและตามคติชาวเมือง แล้วรับสั่งให้เสมียนตราด้วงแต่งท้องตราบัวแก้วขึ้นไปวางให้เจ้าเมืองพิษณุโลก ให้เจ้าเมืองเป็นธุระช่วยการบวชนาคสามเณรโต ให้เรียบร้อยดีงาม ตลอดทั้งการเลี้ยงพระเลี้ยงคน ให้อิ่มหนำสำราญทั่วถึงกัน กับทั้งให้ขอแรงเจ้าเมืองกำแพงเพชร เจ้าเมืองพิจิตร เจ้าเมืองพิชัยและเจ้าเมืองไชยนามบุรี ให้มาช่วยกันดูแลการงาน ให้เจ้าเมืองพิษณุโลกจัดการงานในบ้านในจวนนั้นให้เรียบร้อยและให้ได้บวชภายในข้างขึ้นเดือน ๖ ปีนี้ แล้วแต่จะสะดวกด้วยกันทั้งฝ่ายญาติโยมของเณร

รับสั่งให้สังฆการีในพระราชวังบวรวางฎีกาอาราธนาสมเด็จพระวันรัต วัดระฆังให้ขึ้นไปบวชนาคที่วัดตะไกร ให้ขึ้นไปแต่ข้างขึ้นอ่อนๆ ให้สำเร็จกิจบรรพชาอุปสมบทภายในกลางเดือน ให้ไปนัดหมายการงานต่อเจ้าเมืองพิษณุโลกพร้อมด้วยญาติโยมของเณร และตามเห็นดีของเจ้าเมืองด้วย

พระโหราธิบดี เสมียนตราด้วง รับพระกระแสรับสั่งแล้วถวายบังคมลาออกมาจัดกิจการตามรับสั่งทุกประการ

ฝ่ายข้างญาติโยมของสามเณรโต ทราบพระกระแสร์รับสั่งแล้ว จึงจัดเตรียมเข้าของไว้พร้อมสรรพ แล้วไปนิมนต์ท่านพระอาจารย์แก้ววัดบางลำพูบนให้เป็นพระกรรมวาจาจารย์ รับขึ้นไปพร้อมด้วยตน แล้วนิมนต์ท่านเจ้าอธิการวัดตะไกรเป็นอนุสาวนาจารย์ จะเป็นวัดไหนก็แล้วแต่สมเด็จพระอุปัชฌาย์จะกำหนดให้ และเผดียงพระสงฆ์อันดับ ๒๕ รูป ในวัดตะไกรบ้าง วัดที่ใกล้เคียงบ้าง ให้คอยฟังกำหนดวันที่สมเด็จพระอุปัชฌาย์จะกำหนดให้

ฝ่ายพระโหราธิบดี เสมียนตราด้วง จึงจัดเรือญวนใหญ่ ๖ แจว ๑ ลำ เรือญวนใหญ่ ๘ แจว ๑ ลำ, เรือครัว ๑ ลำ คนแจวพร้อม และจัดหาผ้าไตรคู่สวดอุปัชฌาย์ จัดเทียนอุปัชฌาย์คู่สวด จัดเครื่องทำขวัญนาคพร้อมผ้ายก ตาลอมพอก แว่น เทียน ขันถม ผ้าคลุม บายศรี เสร็จแล้ว เอาเรือ ๖ แจว ไปรับสมเด็จพระวันรัต ลาเณรจากสมเด็จพระสังฆราช แล้วนำมาลงเรือ ๖ แจว ส่วนพระโหราธิบดี เสมียนตราด้วง ไปลงเรือ ๘ แจว

เรือสมเด็จพระวันรัตและสามเณรโต เรือพระโหราธิบดี เสมียนตราด้วง ออกเรือแจวขึ้นไปทางแม่น้ำเจ้าพระยา ตามกันเป็นแถวขึ้นไปรอนแรมค้างคืนตามหนทางล่วงเวลา ๒ คืน ๒ วัน ก็ถึงเมืองพิษณุโลก ตรงจอดที่ที่หน้าจวนพระยาพิษณุโลก เสมียนตราด้วงจึงขึ้นไปเรียนท่านผู้ว่าราชการเมืองให้เตรียมตัวรับท้องตราบัวแก้ว และรับรองเจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัตวัดระฆังตามพระกระแสรับสั่ง

ครั้นท่านพระยาพิษณุโลกทราบแล้ว จึงจัดการรับท้องตราก่อน เสมียนตราด้วงจึงเชิญท้องตราบัวแก้วขึ้นไปบนจวน เชิญท้องตราตั้งไว้ตามที่เคยรับมาแต่กาลก่อน เมื่อเจ้าเมือง ยกกระบัตร กรมการมาประชุมพร้อมกันแล้ว เสมียนตราด้วงจึงแกะครั่งประจำถุงตรา เปิดซองออกอ่านท้องตรา ให้เจ้าเมือง ยกกระบัตร กรมการฟัง ทราบพระประสงค์ และพระกระแสร์รับสั่งตลอดเรื่องแล้ว เจ้าเมืองกรมการน้อมคำนับถวายบังคมพร้อมกันแล้ว เสมียนตราด้วงจึงวางไว้บนพานถมบนโต๊ะแล้วคุกเข่าถวายบังคม ภายหลังแล้วจึงคำนับท่านเจ้าเมือง ไหว้ยกกระบัตร กรมการทั่วไป ตามฐานันดรแลอายุ ท่านเจ้าเมืองจึงลงไปอาราธนาสมเด็จพระวันรัต และสามเณรโตขึ้นพักบนหอนั่งบนจวน กระทำความคำนับต้อนรับเชื้อเชิญตามขนบธรรมเนียม โดยเรียบร้อยเป็นอันดี ผู้ว่าราชการจึงสั่งหลวงจ่าเมือง หลวงศุภมาตรา ๒ นาย ให้ออกไปบอกข่าวท่านสมภารวัดตะไกรให้ทราบว่า สมเด็จพระวันรัตวัดระฆัง มาถึงตามรับสั่งแล้ว ให้ท่านสมภารจัดเสนาศ์ปูอาศนะให้พร้อมไว้ ขาดแคลนอะไร หลวงจ่าเมือง หลวงศุภมาตรา ต้องช่วยท่านสมภาร สั่งหลวงแพ่ง หลวงวิจารณ์ ให้จัดที่พักคนเรือและนำเรือเข้าโรงเรือ เอาใจใส่ดูแลรักษาเหตุการณ์ทั่วไป สั่งขุนสรเลขให้ขอแรงกำนันที่ใกล้ๆ ช่วยยกสำรับเลี้ยงพระเลี้ยงคนในตอนพรุ่งนี้ จนตลอดงาน สั่งพระยายกกระบัตรให้มีตราเรียกเจ้าเมืองทั้ง ๔ ให้มาถึงปะรืนนี้ สั่งหลวงจู๊ให้ขอกำลังเลี้ยงฝีพายบางกอก สั่งรองวิจารณ์ รองจ่าเมือง ให้นัดประชุมกำนันในวันปะรืนนี้ สั่งรองศุภมาตราให้เขียนใบเชิญพ่อค้าคฤหบดี ครั้นเวลาเย็นเห็นว่าที่วัดจัดการเรียบร้อยแล้ว จึงอาราธนาสมเด็จพระวันรัต ออกไปพักผ่อนอิริยาบถที่วัด สบายกว่าพักบ้านตามวิสัยพระ ส่วนท่านเจ้าเมืองพร้อมด้วยเสมียนติดตามส่งสมเด็จพระวันรัต ณ วัดตะไกร และนัดหมายสามเณรโตให้นัดญาติโยมพร้อมหาฤากันใน ๒ วันนี้

ครั้นท่านเจ้าเมืองมาส่งสมเด็จพระวันรัตที่วัดตะไกรถึงแล้ว ได้ตรวจตราเห็นว่าเพียงพอถูกต้องแล้ว จึงสั่งกรรมการ ๒ นายให้อยู่ที่วัดคอยระวังปฏิบัติ และให้กำนันตำบลนี้คอยดูแลระวังพวกเรือญาติโยมของสามเณรโต อย่าให้มีเหตุการณ์ได้ ครั้นสั่งเสียเสร็จแล้วจึงนมัสการลาสมเด็จพระวันรัต นัดหมายกับท่านว่า อีก ๒ หรือ ๓ วัน จึงจะออกมาให้พร้อม จะได้นัดหมายการงานให้รู้กัน แล้วนมัสการลามาจัดแจงการเลี้ยงดุที่บ้านอีก ท่านเจ้าเมืองได้สั่งให้หลวงชำนาญคดีจัดห้องนอนบนจวนให้ข้าหลวงและเสมียนตราพักให้เป็นที่สำราญ สั่งในบ้านหุงต้มเลี้ยงคนเลี้ยงแขกเลี้ยงกรรมการที่มีหน้าที่ทำงานในวันพรุ่งนี้ ต่อไปติดกันไปในการเลี้ยง

(สิ้นใจความในรูปภาพประวัติเขียนไว้ในฉากที่ ๓ เท่านั้น ในประวัติที่ฝาผนังโบสถ์เป็นฉากที่ ๔ เจ้าของท่านให้เขียนไว้ดังนี้ เขียนรูปสมเด็จพระวันรัต เขียนรูปอาจารย์แก้ว เขียนรูปวัดตะไกร เขียนบ้านเจ้าเมือง เขียนคนมาช่วยงานทั้งทางบกทางน้ำ เขียนพวกกระบวนแห่นาค เขียนรูปท่านนิวัติออกเป็นเจ้านาค เขียนพวกเต้นรำทำท่าต่างๆ เขียนคนพายเรือน้ำเป็นคลื่น จึงอนุมานสันนิษฐานใคร่ครวญกอรปเหตุกอรปผลเข้าได้ความดังนี้)

ครั้นล่วงมาอีก ๓ วัน เจ้าเมืองกำแพงเพชร์ ๑ เจ้าเมืองพิจิตร ๑ เจ้าเมือง ไชยนาทบุรี ๑ เจ้าเมืองพิชัย ๑ พ่อค้าคฤหบดี กำนันในตำบลเมืองพิษณุโลก กรมการเมืองพิษณุโลกทั้งสิ้น มาประชุมพร้อมกันที่จวนท่านเจ้าเมืองพิษณุโลก ท่านเจ้าเมืองพิษณุโลกจึงได้พาคนทั้งปวงออกไปประชุมที่ศาลาใหญ่วัดตะไกร โดยอาราธนาสมเด็จพระวันรัต ให้ลงมาประชุมร่วมด้วยพร้อมทั้งตาผลนางงุด และคณะญาติของสามเณรโต ครั้นเข้าในที่ประชุมเรียบร้อยแล้ว ท่านเจ้าเมืองพิษณุโลกจึงขอความตกลงที่แม่งุดเจ้าของนาคหลวงนั้นก่อน ว่าการบวชนาคหลวงครั้งนี้ มีพระกระแสร์รับสั่งโปรดเกล้าให้เจ้าเมือง กรมการอำเภอ เจ้าภาษี นายอากร คฤหบดี ทั้งปวงนี้เป็นผู้ช่วยสนับสนุนการจนตลอดแล้วโดยเรียบร้อย แต่รับสั่งให้อนุมัติตามเจ้าของนาคหลวง ก็ฝ่ายแม่งุดเป็นมารดาจะคิดอ่านอย่างไรขอให้แจ้งมา ฝ่ายบ้านเมืองจะเป็นผู้ช่วยอำนวยการทั้งสิ้น

ฝ่ายนางงุดจึงเรียนท่านเจ้าเมืองพิษณุโลกว่า ดิฉันกะไว้ว่าจะบวชแต่เช้า บวชแล้วเลี้ยงเช้าทั้ง ๒๙ รูป เลี้ยงเพลอีก ๒๙ รูป ดิฉันจะตั้งโรงครัวที่วัดนี้ ดิฉันใคร่จะมีพิณพาทย์ กลองแขกตีกระบี่กระบอง มีแห่นาค มีแห่พระใหม่ มีการสมโภชฉลองพระใหม่ ดิฉันใคร่จะนิมนต์ท่านพระครูวัดใหญ่ที่เมืองพิจิตร ๑ ท่านพระครูที่สัดเมืองไชยนาท ๑ มาสวดมนต์ฉันเช้าในการฉลองพระใหม่ มีการทำขวัญเวียนเทียน มีการสมโภชพระใหม่ มีการมหรสพด้วยเจ้าค่ะ ท่านเจ้าเมืองพิษณุโลก ก็รับที่จะจัดทำตามทุกประการ

ท่านเจ้าเมืองพิษณุโลก หันเข้าขอประทานมติ ต่อสมเด็จพระวันรัต ต่อไปว่าเมื่อวันไหนจะสะดวกในรูปการเช่นนี้ สมเด็จพระวันรัตตอบว่า โครงการที่ร่างรูปเช่นนี้เป็นหน้าที่ที่เจ้าคุณจะดำริห์และสั่งการจะนานวันสักหน่อยข้าเจ้าคิดเห็นเหมาะว่าวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเส็ง นพศกนี้ เป็นวันนิวัติสามเณรออกมาเป็นเจ้านาค สามโมงเย็นวันนั้นห้อมล้อมอุปสัมปทาเปกข์เข้าไปทำขวัญในจวน ให้นอนค้างในจวน เช้ามืดจัดขบวนแล้วแห่มา วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เวลา ๑ โมงเช้า บวชเสร็จ ๒ โมงเช้า พระฉัน มีมหรสพเรื่อยไปวันยังค่ำ พอ ๕ โมงเย็นจัดกระบวนแห่พระใหม่ เข้าไปในจวนเจ้าคุณ เริ่มการสวดมนต์ธรรมจักร์ต่อ ๑๓ ตำนาน ตามแบบหลวง แล้วรุ่งเช้าฉัน ฉันแล้วเลี้ยงกัน มีเวียนเทียน แล้วมีการเล่นกันไปวันยังค่ำอีกค่ำลงเสร็จการ เจ้าเมืองรับเถรวาทว่า สาธุ เอาละ

ครั้นท่านเจ้าเมืองพิษณุโลก หารือด้วยสมเด็จพระวันรัต ลงมติกำหนดการกำหนดวันเป็นที่มั่นคงแล้ว จึงประกาศให้บรรดาที่มาประชุมกันรู้แน่ว่า วันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ เป็นวันทำขวัญ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เป็นวันบวชเช้า ตามโครงการบวชนาคหลวงคราวนี้มีรายการอย่างนั้นๆ ท่านทั้งหลายทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อย จงได้กำหนดไว้ทุกคน และขอเชิญไปฟังคำสั่งที่แน่นอนที่จวนอีกครั้ง แล้วท่านเจ้าเมืองพิษณุโลกก็นมัสการลาสมเด็จพระวันรัตและพระสงฆ์ทั้งปวง นำเจ้าเมืองทั้ง ๔ กับบรรดาที่มาประชุมกันสู่จวน ท่านเจ้าเมืองพิษณุโลกจึงแสดงสุนทรกถาชะลอเกียรติคุณของทางพระรัฏฐะปสาสน์ ปลุกน้ำใจข้าราชการ และราษฎรทั้งปวงให้มีความเอื้อเฟื้อต่อพระกุศลอันนี้ พอเป็นที่พร้อมใจกันแล้ว จึงสั่งกิจการทั้งปวงและแบ่งหน้าที่ทุกแห่งตำแหน่งการ ทั้งทางที่วัดและจัดที่บ้าน ตลอดการปรุงปลูกมุงบังบุดาษปูปัดจัดตั้งแบกหามยกขน และขอแรงมาช่วยเพิ่มพระบารมีกุศลตามมีตามได้ตามสติกำลังความสามารถจงทุกกำนัน เป็นต้นว่าของเลี้ยงกันเข้าโรงครัวถั่วผัก มัจฉมังสากระยาการตาลโตนด ตาลทราย หมาก มะพร้าว ข้างเหนียว ข้าวสาร เจ้าภาษีนายอากรขุนตำบลช่วยกันให้แข็งแรง พวกที่ไม่มีจะให้มีแต่ตีเป่าเต้นรำทำท่าพิณพาทย์กลองแขก กระบี่กระบอง ชกมวย มวยปล้ำ ใครมีอะไรมาช่วยกันให้พร้อม ทั้งของข้าวนำมาเข้าโรงครัว แต่ ณ วันขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๖ เป็นต้นไป จนถึงขึ้น ๑๓ ค่ำ สิ้นกำหนดส่งจะลงบัญชีขาด การโยธาเล่าให้เรียบร้อยแล้วเสร็จ ในวันขึ้น ๑๓ ค่ำเหมือนกัน ฝ่ายท่านเจ้าเมืองทั้ง ๔ จงนำฎีกาสวดมนต์ฉันเช้า ไปวางฎีกาอาราธนาพระครูจังหวัดทั้ง ๔ มาสวดมนต์พระธรรมจักรและ ๑๒ ตำนาน ในการสมโภชพระบวชใหม่ที่จวนนี้ ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ รุ่งขึ้นวันแรม ๑ ค่ำเดือนนี้ ศกนี้ นิมนต์ฉัน เจ้าเมืองทั้ง ๔ ต้องนำบอกงานแก่ผู้มีชื่อในจังหวัดของเมืองนั้นๆ จงทั่วหน้า

ถ้าหากว่าผู้ที่จะมาช่วยงานในการนี้ ติดขัดมาไม่สดวก ขอเจ้าเมืองจงเป็นธุระส่งแลรับให้ไปมาจงสะดวกทุกย่านบ้านบึงบาง ขอให้เจ้าเมืองมอบเมืองแก่ยกกระบัตรกรมการ ให้กำนันเป็นธุระเฝ้าบ้านเฝ้าควายเฝ้าเกวียน แก่บรรดาผู้ที่จะมาในงานนี้ แต่ ณ วันขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือนนี้ศกนี้ ท่านเจ้าเมืองทั้ง ๔ จงมาถึงให้พร้อมกัน คำสั่งดังกล่าวนี้จงอย่าขาดเหลือได้ กิจการทั้งวัดทั้งบ้านทั้งใกล้ทั้งไกล ขอให้ยกกระบัตรเป็นพนักงานตรวจตรา แนะนำตักเตือน ต่อว่าเร่งรัดจเรทั่วไปจนตลอดงานนี้ หลวงจ่าเมือง รองจ่าเมือง เป็นหน้าที่พนักงานตรวจตราอาวุธ การทะเลาะวิวาทอย่าให้มีในการนี้ หลวงแพ่ง รองแพ่ง เป็นหน้าที่รับแขกคนเชิญนั่ง หลวงวิจารณ์ รองวิจารณ์เป็นพนักงานจัดการเลี้ยงน้ำร้อนน้ำชาทั้งพระทั้งแขกคนที่จะมาจะไป หลวงชำนาญ รองชำนาญเป็นพนักงานหมากพลูยาสูบ ทั้งพระทั้งแขกทั้งคนเตรียมเครื่องด้วย หลวงศุภมาตรา รองศุภมาตราเป็นพนักงานจัดการหน้าฉากทุกอย่าง ทั้งการพระการแขก ขุนสรเลข เป็นเสมียนจดนามผู้นำของมา จดทั้งบ้านเมืองอำเภอ หมู่บ้านให้ละเอียด ทั้งมากทั้งน้อย พระธำรงผู้คุมต้องเป็นพนักงานปลูกปรุงมุงบังบุดาษ เสมียนทนายดูเลี้ยง หลวงจ่าเมือง ต้องจัดหาตะเกียงจุดไฟทั่วไป ขัดข้องต้องบอกข้าพเจ้า ช่วยกันให้เต็มฝีมือด้วยกัน สั่งการเสร็จแล้ว สั่งแขกที่เชิญมากลับไปสั่ง ส่งเจ้าเมืองทั้ง ๔ กลับขึ้นบ้านเมือง

ส่วนผู้ว่าราชการเมืองพร้อมด้วยพระโหราธิบดี เสมียนตราด้วง คิดการจัดไทยทานถวายพระ จัดซึ้อผ้ายี่โป้ไว้สำหรับสำร่วยการมหรสพทั้งปวง ขอแรงภรรยากรมการเป็นแม่ครัว ท่านผู้หญิงเป็นผู้อำนวยการครัว พระยกกระบัตรเป็นพนักงานเลี้ยงพระเลี้ยงคนด้วย พวกผู้หญิงลูกหลานพี่น้องกรมการ ขอแรงเย็บบายศรีเจียนหมากจีบพลู มวนยาควั่นเทียน ตำโขลกขนมจีน ทำน้ำยาเลี้ยงกัน ครั้นท่านผู้ว่าราชการเมืองจัดการสั่งการเสร็จสรรพแล้วพักผ่อนพูดจากับท่านเสมียน ท่านพระโหราธิบดีตามผาสุขสำราญคอยเวลา

ตั้งแต่วันที่กำหนดส่งของเข้าครัว อาหารก็ไหลเรื่อยมาแต่ขึ้น ๘ ค่ำ จนถึง ๑๓ ค่ำ ท่านเจ้าเมืองส่งไปครัวทางวัดบ้าง เข้าครัวบ้านบ้าง คนทำกิจการงานได้บริโภคอิ่มหนำตลอดถึงกรมการและลูกเมีย กำนันและลูกบ้านที่ยังค้างอยู่ก็ได้บริโภคอิ่มหนำทั่วหน้ากัน นายอากรสุราก็ส่งสุรามาเลี้ยงกันสำราญใจ ต่างก็ชมเชยบารมีพ่อเณร และชมอำนาจเจ้าคุณผู้ว่าราชการเมือง และชมเชยพระยุพราชกุศลกัลยาณวัตรของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าพระองค์นี้ เป็นที่สนุกสนานทั่วกัน

(ถามว่า เรื่องนี้ทำไมผู้เรียบเรียงจึงเรียงความได้ละเอียด ตอบว่าเสมียนด้วง พระโหรา ได้เห็นได้รู้ นำมาเล่าสืบๆ มา)

ครั้นรุ่งขึ้น ณ วันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือนหก ปีมะเส็ง นพศก จุลศักราช ๑๑๕๙ ปี เวลาเช้า เจ้าเมืองทั้ง ๔ ก็มาถึง พระครูจังหวัดก็มาถึง ผู้มีชื่อที่มาช่วยกิจการอุปสมบทนี้ก็มาถึงทั้งใกล้ไกล ท่านเจ้าเมืองพิษณุโลกก็ยิ้มแย้มทักทายต้อนรับ พระยกกระบัตร ก็ดูแลเลี้ยงดูเชื้อเชิญให้รับประทานทั่วถึงกัน ตลอดพวกมหรสพ ฝีพาย ทั้งเรือพระ เรือเจ้าเมือง เรือคฤหบดี ก็เรียกเชิญเลี้ยงดูอิ่มหนำทุกเวลา

ครั้นเวลาเที่ยงแล้ว ท่านผู้ว่าราชการเมืองพิษณุโลก พร้อมด้วยเจ้าเมืองทั้ง ๔ และพระโหราธิบดี เสมียนตราด้วง กับทั้งพวกกระบวนแห่ก็เตรียมออกไปรับนาคที่วัด สมเด็จพระวันรัตก็ให้สามเณรโตลาสิกขาบท นิวัติออกเป็นนาค ท่านสมภารวัดตะไกรก็สั่งพระให้โกนผมเจ้านาคแล้ว พระโหราก็แต่งตัวเจ้านาค นำเครื่องผ้ายกออกมาจากหีบ เสื้อกรุยเชิงมีดอกพราวออกแล้ว นุ่งจีบโจงหางโหง ชักพก แล้วติดผ้าหน้าเรียกว่าเชิงงอน ที่ภาษาชะวาเรียกว่าซ่าโปะ แล้วคาดเข็มขัดทองประดับเพชร สอดแหวนเพชร ถือพัชนีด้ามสั้น สรวมเสริดยอดประดับพลอยทับทิมแลมรกตที่คำสามัญเรียกว่าตะลอมพอกทรงเครื่อง แต่งตัวเสร็จแล้ว ท่านผู้ว่าราชการก็นำนาค พระโหราธิบดี เสมียนตราด้วง เดินแซงข้างนาค ญาติโยมตามหลังเป็นลำดับลงไป พวกกระบวนแห่ก็เต้นรำตามกันมา ตามเจ้าคุณพระยาพิษณุโลกนำนาคเข้ามาทำขวัญที่จวนเมื่อเวลาบ่าย ๓ โมงเย็น วันขึ้น ๑๔ ค่ำเดือน ๖ ศกนั้น

ครั้นถึงจวนเจ้าเมืองก็นำนาคเข้าโรงพิธีที่จัดไว้บนหอนั่ง แล้วเรียงรายเจ้าเมือง กรมการ เจ้าบ้านคหบดี เจ้าภาษีนายอากร ราษฎรสูงอายุ และญาติโยมของเจ้านาค พระโหราธิบดีเรียกคนเชิญขวัญ ที่นำไปแต่กรุงเทพทั้งพราหมณ์พรหมบุตรชุดหนึ่งขึ้นมาจากเรือ แล้วเข้านั่งทำขวัญๆ แล้วเวียนเทียน พิณพาทย์ก็บรรเลงตามเพลงกระ, กรม กราว เชิด ไปเสร็จแล้วจัดการเลี้ยงเย็น ค่ำลงจุดไฟแล้วมีการเต้นรำร้องเพลงสนุกจริง

ครั้นเวลาย่ำรุ่ง ท่านผู้ว่าราชการเมืองพิษณุโลก พร้อมด้วยเจ้าเมืองทั้ง ๔ แลกรมการผู้ใหญ่ผู้น้อย พ่อค้าแม่ค้า เจ้าภาษีนายอากร อำเภอ กำนัน พันทนายบ้าน ขุนตำบล พระธำมะรงค์ผู้คุม ผู้ใหญ่มาพร้อมกันที่หน้าจวน จึงจัดกระบวนแห่ เป็น ๗ ตอน ตอน ๑ พวกกระบี่กระบอง ตอน ๒ พวกชกมวยมวยปล้ำ ตอน ๓ กลองยาว ตอน ๔ เทียนอุปัชฌาย์ ไตรบาตร์ ไตรอุปัชฌาย์ ตอน ๕ เจ้าเมืองทั้ง ๕ กรรมการเสมียนตราข้าหลวง ตอน ๖ ญาติมิตรคนช่วยงานถือของถวายอันดับ ตอน ๗ พวกเพลงพวกเต้นรำต่างๆ เป็นแถวยืดไป แห่แหนห้อมล้อมเป็นขบวนเดินมา จนถึงเขตกำแพงวัดตะไกรผ่อนๆ กันเดินเข้าไป ตั้งชุมนุมเป็นกองๆ แต่พวกกลองยาวพวกขบวนถือเทียน ถือไตรบาตร์บริขารของถวายพระนั้นเวียนโบสถ์ไปด้วย พวกพิณพาทย์ กลองแขกนั่งตีที่ศาลาหน้าโบสถ์ ครบสามรอบแล้ว เจ้านาควันทาสีมาเจ้าเมืองทั้ง ๔ แวดล้อม พระโหราเป็นผู้คุมและสอน แล้วขึ้นโบสถ์สาก็ทิ้งทานเปลื้องเครื่องที่แต่งแห่มา ผลัดเป็นยกพื้นขาว ผ้ากรองทองห่มสไบเฉียง เปลื้องเสื้อกรุยออกถอดตะลอมพอก ถอดแหวนแลสร้อยส่งให้เสมียนตราๆ รับบรรจุลงหีบลั่นกุญแจมอบเจ้าเมืองทั้ง ๕ เป็นผู้รักษา แล้วโยมญาติช่วยกันจูงช่วยกันรุมเข้าโบสถ์ พระโหราธิบดีนำเข้าวันทาพระประธาน แล้วมานั่งคอยพระสงฆ์ ฝ่ายพระสงฆ์ ๒๙ รูป มีสมเด็จพระวันรัตเป็นปรานที่พระอุปัชฌาย์ ลงโบสถ์พร้อมกันแล้ว นางงุดจึงยื่นผ้าไตรบวชส่งให้นาคๆ น้อมคำนับรับเอาเข้ามาในท่ามกลางสงฆ์ พวกกรมการยกเทียนอุปัชฌาย์ ไตรอุปัชฌาย์พร้อมด้วยกรวยหมาก เข้ามาส่งให้เจ้านาคถวายอุปัชฌาย์ แล้วให้เจ้านาคยืนขึ้นวันทาอ้อนวอนขอบรรพชาเป็นภาษาบาฬี (ตามวิธีบวชพระมหานิกาย) ครั้นเสร็จเรียนกัมมัษฐาน แล้วออกไปครองผ้าเข้ามาถวายเทียน ผ้าไตร แก่พระกรรมวาจา แล้วยืนขึ้นประทานวิงวอนขอพระสรณาคมน์ นั่งลงรับพระสรณาคมน์เสร็จ รับศีล ๑๐ ประการเป็นเณรแล้วเข้ามายืนขอนิสสัยพระอุปัชฌาย์ สำเร็จเป็นภิกษุในเพลา ๓๒ ชั้น คือ ๗ นาฬิกาเช้า วันพุธขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเส็ง นพศก จุลศักราช ๑๑๕๙ ปี ประชุมสงฆ์ ๒๘ รูป เป็นคณะปักกะตัดตะในพัทธสีมาของวัดตะไกร เมืองพิษณุโลก สมเด็จพระวันรัต วัดระฆังโฆสิตาราม ธนบุรี เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์แก้ว วัดบางลำภูบน เป็นกัมมาวาจา พระอธิการวัดตะไกร เมืองพิษณุโลกเป็นอนุสาวะนะ ครั้นเสร็จการอุปสมบทแล้ว พระสงฆ์ทั้งปวงออกจากโบสถ์ ลงมาฉันเช้าที่ศาลาวัดตะไกรพร้อมกันทั้งภิกษุโตด้วย

662
ประวัติ

หลวงพ่อเงิน เป็นบุตรคนที่ ๔ ของโยมบิดาชื่อพรหม ซึ่งเป็นแพทย์โบราณ ส่วนมารดานั้นชื่อกรอง ได้อุบัติขึ้นเมื่อวันอังคาร ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๑๐ พ.ศ. ๒๔๓๓ ณ ที่บ้านตำบลโคกยายหอม จังหวัดนครปฐม พออายุได้ประมาณ ๑๓ ขวบ ได้บรรพชาเป็นสามเณร บางท่านว่าท่านไปศึกษาและอยู่กับพระอธิการชุ่ม วัดท่ามะเดื่อซึ่งเกี่ยวข้องเป็นญาติทางฝ่ายบิดา ครั้นเมื่อท่านอายุครบ ๒๐ ปี ได้อุปสมบทที่วัดดอนยายหอม โดยมีพระปลัดฮวย เป็นพระอุปัชฌาย์ ตั้งฉายาหลังบวชให้ว่า "...จนทสุวณโณ..." หลวงพ่อเงินตั้งแต่ท่านบวชขยันท่องมนต์ทั้ง ๗ ตำนาน ๑๒ ตำนาน ตลอดจรพระปาฏิโมกข์ท่านก็ว่าได้

อาจารย์พุทธาคมของท่านที่สำคัญ คือ พ่อพรหม บิดาของท่าน นอกจากนั้นยังได้ศึกษาเพิ่มเติมกับพระอธิการชุ่ม วัดท่ามะเดื่อ ต่อมาในราวปี พ.ศ. ๒๔๕๙ พระปลัดฮวย วัดดอนยายหอม ได้แต่งตั้งให้ท่านเป็นรองเจ้าอาวาส ครั้นพระปลัดฮวยมรณภาพแล้ว หลวงพ่อเงินจึงได้เป็นสมภารปกครองวัดเรื่อยมา อนึ่งหลวงพ่อเงินท่านเป็นพระที่ปฏิบัติเคร่งในพระธรรมวินัย มีชาวบ้านเคารพเลื่อมใสท่านมาก ท่านได้พัฒนาวัดดอนยายหอม และสนับสนุนในการสร้างถาวรวัตถุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน สุขศาลา การประปา ไฟฟ้า ฯลฯ กระทั่งชาวนครปฐมสดุดียกย่อง ท่านว่าเป็นผู้นำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ดอนยายหอม อย่างแท้จริง

หลวงพ่อเงิน หรือ พระราชธรรมมาภรณ์ ในอดีตที่ท่านมีชีวิตอยู่นั้น พุทธศาสนิกชนทั้งใกล้ และไกลนครปฐม ต่างพากันสดุดีและขนานนามท่านว่า "...เทพเจ้าแห่งดอนยายหอม..." ดังยกอุทาหรณ์คุณงามความดีบางอย่าง มาสนับสนุนคำกล่าวข้างต้นคือ

หลวงพ่อเป็นผู้นำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ดอนยายหอม

หลวงพ่อเป็นที่รักเคารพอย่างสูงส่งของชาวตำบลดอนยายหอม

หลวงพ่อท่านช่วยปกป้องคุ้มครองภัย และช่วยให้ชาวดอนยายหอมพ้น จากความหายนะ หรือภัยร้ายจากโจรที่เข้ามาทำลายทรัพย์สิน ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๗๗ ขณะที่ข้างในนากำลังสุกและชาวบ้านได้เก็บเกี่ยวอย่างชุลมุน เสือหยด เสือพาน เสือเซียน และเสือฟุ้งทั้ง ๔ คนจากถิ่นอื่นได้ร่วมใจกันบุกปล้นชาวบ้านตำบลดอนยายหอมกว่า ๒๐ ครอบครัว เรื่องนี้ได้รู้ถึงหลวงพ่อเงินวัดดอนยายหอม ท่านได้กำชับชาวตำบลดอนยายหอมว่า "...พวกโจรพวกนี้ได้ใจจะกลับมาปล้นใหม่อีกใน ๖-๗ วันข้างหน้า..." พวกชาวบ้านเมื่อได้ยินหลวงพ่อกล่าวเช่นนั้นจึงเตรียม ปืน ผา หน้าไม้ และรวมกำลังสามัคคีเพื่อป้องกันภัยที่จะเกิดขึ้น พอถึงวันที่ ๗ ตามคำบอกเล่าของหลวงพ่อเงิน ปรากฏว่าพวกโจรได้หวนกลับมาทำการปล้นอีกจริงๆ และครั้งนี้พวกโจรเสียท่า ถูกชาวบ้านดอนยายหอมจับ และรุมซ้อมโจรเสียสะบักสะบอม จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ชื่อเสียงของหลวงพ่อเงินยิ่งขจรขจายไปทั่วทิศ

กิตติคุณหลวงพ่อเงินยังมีอีกมากมายหลายสิบเรื่อง ซึ่งจะไม่ขอกล่าวถีง

ปัจจุบันวัตถุมงคลเหรียญหลวงพ่อเงินรุ่นแรก ได้รับความนิยมทั่วเมือง นครปฐม และกรุงเทพฯ

ที่มา... หนังสือของ คุณ สามารถ คงสัตย์


663
หลวงพ่อ คูณ ปริสุทฺโธ
วัดบ้านไร่ ตำบล กุดพิมาน อำเภอ ด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา...


ประวัติ

หลวงพ่อคูณ ถือกำเนิดที่บ้านไร่ ม.6 ต.กุดพิมาน อ.อ่านขุนทด จ.นครราชสีมา ในครอบครัวของชาวไร่ชาวนาที่อยู่ห่างไกลความเจริญ  บิดาชื่อ นายบุญ ฉัตรพลกรัง มารดาชือ นางทองขาว ฉัตรพลกรัง เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2466 (บางตำราว่าวันที่ ๔ ตุลาคม) ตรงกับวันแรม 10 ค่ำ เดือน 10 ปีกุน เป็นบุตรชายคนหัวปี มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๓ คน คือ

๑ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ
๒ นายคำมั่ง แจ้งแสงใส
๓ นางทองหล่อ เพ็ญจันทร์

มารดาคือ นางทองขาว เล่าให้เพื่อนบ้านฟังว่า ก่อนตั้งครรภ์ กลางดึกของคืนวันหนึ่งเวลาประมาณตี ๓ นางได้ฝันเห็นเทพองค์หนึ่ง มีกายเรืองแสงงดงาม ลอยลงมาจากสวรรค์ มาที่บ้านของนางและกล่าวว่า...

เจ้าและสามีเป็นผู้มีศีลธรรม เมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งปวง ประกอบการงานอาชีพด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ทั้งยังสร้างคุณงาม ความดีมาตลอดหลายชาติ เราขอำนวยพรให้เจ้า และครอบครัวมีแต่ความสุขสวัสดิ์ตลอดไป

และเทพองค์นั้นยังได้มอบดวงแก้วใสสะอาดสุกว่างให้แก่นางด้วย

"ดวงมณีนี้ เจ้าจงรับไปและรักษาให้ดีต่อไปภายหน้า จะได้เป็นพระพุทธสาวกหน่อเนื้อพระชินวร เพื่อสืบพระพุทธศาสนา เป็นเนื้อนาบุญ ที่พึ่งของสัตว์โลกทั้งปวง"

การศึกษา

เนื่องด้วยบุรพกรรมและสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้แน่นอน บิดามารดาของหลวงพ่อคูณ ได้เสียชีวิตลงในขณะที่ลูกทั้ง ๓ คน ยังเป็นเด็ก หลวงพ่อคูณกับน้อง ๆ จึงอยู่ในความอุปการะของน้าสาว สมัยที่หลวงพ่อคูณอยู่ในวัยเยาว์ ๖-๗ ขวบ ได้เข้าเรียนหนังสือ กับพระอาจารย์เชื่อม วิรโธ พระอาจารย์ฉาย และพระอาจารย์หลี ทั้งภาษาไทย และภาษาขอม ที่วัดบ้านไร่ สถานการศึกษาแห่งเดียวในหมู่บ้าน มิได้มีโรงเรียนทำการสอนเช่นในสมัยปัจจุบัน นอกจากเรียนภาษาไทยและขอมแล้ว พระอาจารย์ทั้ง ๓ ยังมีเมตตาอบรมสั่งสอนวิชา คาถาอาคม เพื่อป้องกันอันตรายต่าง ๆ ให้แก่หลวงพ่อคูณด้วย นับว่าหลวงพ่อคูณรู้วิชาไสยศาสตร์มาแต่เยาว์วัย

อุปสมบท

หลวงพ่อคูณอุปสมบท เมื่ออายุได้ 21 ปี ณ พัทธสีมาวัดถนนหักใหญ่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๘๗ (หนังสือบางแห่งว่า ปี ๒๔๘๖) ตรงกับวันศุกร์ เดือน 6 ปีวอก โดยพระครูวิจารย์ดีกิจ อดีตเจ้าคณะอำเภอด่านขุนทด เป็นพระอุปัชฌาย์ พระกรรมวาจาจารย์ คือพระอาจารย์สุข วัดโคกรักษ์ หลวงพ่อคูณได้รับฉายาว่า ปริสุทโธ

หลังจากที่หลวงพ่อคูณอุปสมบทเป็นพระภิกษุเรียบร้อยแล้ว ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อแดง วัดบ้านหนองโพธิ์

ต.สำนักตะคร้อ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา  (บางตำรากล่าวว่าเมื่อบรรพชาแล้วได้เล่าเรียนกับหลวงพ่อคง ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดถนนหักใหญ่ก่อน แล้ว หลวงพ่อคงจึงนำไปฝากกับหลวงพ่อแดง)

หลวงพ่อแดง เป็นพระนักปฏิบัติทางด้านคันถธุระ และวิปัสสนาธุระ อย่างเคร่งครัด และทั้งเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เรืองวิทยาคมเป็นอย่างยิ่ง จนเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้คนและลูกศิษย์เป็นอย่างมาก

หลวงพ่อคูณตั้งใจร่ำเรียนพระธรรมวินัย ตามรอยพระพุทธองค์ ที่ตรัสไว้ว่า...

" เทว เม ภิกขเว วิชชา ภาคิยา"

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิชานั้นมีอยู่ ๒ อย่าง คือ

๑ สมถะ ความสงบระงับแห่งจิตที่ปราศจากกิเลสอาสวะทั้งปวง

๒ วิปัสสนา ความเห็นแจ้งซึ่งธรรมเบื้องสูงอันสุขุมลุ่มลึก ในทางพุทธศาสนาและจงเดินตามหนทางนั้นเถิด...

หลวงพ่อคูณ ได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อแดงมานานพอสมควร หลวงพ่อแดงจึงพาหลวงพ่อคูณไปฝากตัวเป็น ลูกศิษย์หลวงพ่อคง พุทธสโร ซึ่งหลวงพ่อทั้งสองรูปนี้ เป็นเพื่อนกันต่างให้ความเคารพซึ่งกันและกัน เมื่อมีโอกาสได้พบปะ มักแลกเปลี่ยนธรรมะ ตลอดจนวิชาอาคมแก่กันเสมอ

หลวงพ่อคง พุทธฺสโร เป็นพระอาจารย์ผู้ทรงคุณทั้งทางธรรม และทางไสยเวทย์ และได้อบรมสั่งสอนให้กับหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ ด้วยความรักใคร่มิได้ปิดบังอำพราง โดยการให้การศึกษาพระธรรมควบคู่กับการปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน น้นเรื่องการมี "สติ" ระลึกรู้ พิจารณาอารมณ์ต่าง ๆ ที่มากระทบและให้เกิดความรู้เท่าทัน ในอารมณ์นั้น เช่น เมื่อเกิดอารมณ์ "หลง" ท่านให้พิจารณาว่า...

"อนิจจัง ไม่เที่ยง
ทุกขัง เป็นความทุกข์
อนัตตา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของเขา สักแต่ว่าเป็นรูป เป็นนาม จึงมิใช่ของเราและของเขา?

และท่านจึงให้แนวทางพิจารณา 5 ประการ คือ

พิจารณาว่า ความเกิดเป็นเรื่องธรรมดา หาล่วงความเกิดนี้ได้
พิจารณาว่า ความแก่เป็นเรื่องธรรมดา หาล่วงความแก่นี้ได้
พิจารณาว่า ความเจ็บเป็นเรื่องธรรมดา หาล่วงความเจ็บนี้ได้
พิจารณาว่า ความตายเป็นเรื่องธรรมดา หาล่วงความตายนี้ได้
พิจารณาว่า เรามีกรรมเป็นเรื่องธรรมดา เรามีกรรมเป็นของตนเอง เรากระทำความดี จักได้ดี เรากระทำความชั่ว จักได้ชั่ว"

ส่วนพระกัมฏฐานนั้น หลวงพ่อคงได้สอนให้ใช้หมวดอนุสติ โดยดึงเอาวิธีกำหนด ?ความตาย? เป็นอารมณ์ เรียกว่า ?มรณัสสติ? เพื่อให้ เกิดความรู้เท่าทัน ไม่หลงในในอารมณ์ รูป รส กลิ่น เสียง ไม่ประมาทในความโลภ ความโกรธ และความหลง กำหนดลมหายใจเข้าออกทำจิตให้เกิด สัมมาสมาธิ เรียกว่า ?อานาปานสติ?

เวลาล่วงเลยนานพอสมควร กระทั่งหลวงพ่อคงเห็นว่า ลูกศิษย์ของตนมีความรอบรู้ชำนาญการปฏิบัติธรรมดีแล้ว จึงแนะนำให้ออกธุดงค์จาริกไปตามป่าเขาลำเนาไพร ฝึกปฏิบัติธรรมเบื้องสูงต่อไป แรก ๆ หลวงพ่อคูณก็ธุดงค์ จาริกอยู่ในเขตจังหวัดนครราชสีมา จากนั้นจึงจาริกออกไปไกล ๆ กระทั่งถึงประเทศลาว และประเทศเขมร มุ่งเข้าสู่ป่าลึก เพื่อทำความเพียรให้เกิดสติปัญญา เพื่อการหลุดพ้น จากกิเลส ตัณหา และอุปทานทั้งปวง

สู่มาตุภูมิ

หลังจากที่พิจารณาเห็นสมควรแก่การปฏิบัติแล้ว หลวงพ่อคูณจึงออกเดินทางจากประเทศเขมรสู่ประเทศไทย เดินข้ามเขตด้านจังหวัดสุรินทร์ สู่จังหวัดนครราชสีมา กลับบ้านเกิดที่บ้านไร่ จากนั้นจึงเริ่มดำเนินการก่อสร้างถาวรวัตถุทาง พระพุทธศาสนา โดยเริ่มสร้างอุโบสถ พ.ศ.๒๔๙๖ โดยชาวบ้านได้ช่วยกันเข้าป่าตัดไม้ ซึ่งในสมัยก่อนมีอยู่มาก การตัดไม้ในสมัยนั้น ไม่ค่อยสะดวกนัก เพราะไม่มีเครื่องจักร ไม่มีถนน กว่าจะได้ไม้ที่เลื่อยแปรสภาพสำเร็จแล้ว ต้องเผชิญกับการขนย้ายที่ยากลำบาก โดยอาศัยโคเทียมเกวียนบ้าง ใช้แรงงานคนลากจูง บนทางที่แสนทุรกันดาร เนื่องจากถนนทางเกวียนนั้นเป็นดินทรายเสียส่วนใหญ่ เมื่อต้องรับน้ำหนักมากก็มักทำให้ล้อเกวียนจมลงในทราย การชักจูงไม้แต่ละเที่ยวจึงต้องใช้เวลาถึง 3-4 วัน

แต่กระนั้นหลวงพ่อก็สามารถนำชาวบ้านช่วยกันสร้างพระอุโบสถจนสำเร็จ (ปัจจุบันได้รื้อลงแล้ว และก่อสร้างหลังใหม่แทน) นอกจากสร้างพระอุโบสถแล้ว หลวงพ่อยังสร้างโรงเรียน กุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ รวมทั้งขุดสระน้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภค ยังความสะดวกสบาย และความเจริญในบ้านไร่ยิ่งนัก แม้ปัจจุบันจะไม่ได้เห็นสิ่งดังกล่าว เนื่องจากหลวงพ่อได้เปลี่ยนสิ่งก่อสร้างดังกล่าวทั้งหมด มาเป็นปูนเป็นอิฐให้สวยงามและทนทานยิ่งขึ้น

นอกจากการก่อสร้างอุโบสถแล้ว หลวงพ่อคูณยังสร้างกุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ ขุดสระน้ำไว้เพื่อุปโภคและบริโภค และที่สำคัญยังสร้างโรงเรียนไว้เพื่อเด็กบ้านไร่อีกด้วย นอกเหนือจากนั้น หลวงพ่อยังได้สร้างโรงพยาบาล โรงเรียน ตลอดจนบริจาคเงินทองเพื่อช่วยเหลือสาธารณะสุขต่างๆ

สร้างวัตถุมงคล

หลวงพ่อคูณสร้างวัตถุมงคลมาตั้งแต่บวชแล้ว ๗ พรรษา โดยเริ่มทำวัตถุมงคล ซึ่งเป็นตะกรุดโทน ตะกรุดทองคำ เพื่อฝังที่ใต้ท้องแขน ณ วัดบ้านไร่ ราว พ.ศ.๒๔๙๓

?ใครขอ กูก็ให้ ไม่เลือกยากดีมีจน? เป็นคำกล่าวของท่าน เนื่องจากวัตถุมงคลของหลวงพ่อได้ชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ เมื่อมีผู้ถามว่า หลวงพ่อแจกให้กับคนไม่ดีเป็นโจรผู้ร้ายอย่างนี้หลวงพ่อไม่บาปหรือ

?กูจะไปรู้หรือว่ามันเป็นใคร ถ้ามันเป็นโจร เมื่อมันได้รับประโยชน์จากของที่กูแจก มันคงคิดได้ว่า เป็นเพราะพระศาสนา มันจะได้เข้ามาสนใจปฏิบัติธรรม?.?

?ถ้ามีใจอยู่กับ ?พุทโธ? ให้เป็นกลางๆ ไม่สอดส่ายไปไหน นั่นหมายความว่า ใจเป็นสมาธิ จะช่วยปกป้องคุ้มครองเราได้ดียิ่ง? ยิ่งกว่ามีวัตถุมงคลใดๆ ในโลก?

การปลุกเสกวัตถุมงคลของหลวงพ่อคูณ หลวงพ่อคูณจะใช้คาถาไม่กีบท

หัวใจพระคาถามีว่า

มะอะอุ
นะมะพะธะ
นโมพุทธายะ
พุทโธ และยานะ

แต่ในการปลุกเสก หลวงพ่อคูณจะใช้วิธี อนุโลมปฏิโลม (การต่อตามและย้อนลำดับ) เรียกว่า คาบพระคาถา

เมื่อนำหัวใจธาตุ ๔ คือ นะมะพะธะ มาใช้ หลวงพ่อคูณจะภาวนาด้วยจิตอันเป็นหนึ่ง(สมาธิ) ให้อักขระทั้ง ๔ นี้ เป็น ๑๖ อักขระ ดังนี้

นะ มะ พะ ธะ
มะ พะ ธะ นะ
พะ ธะ นะ มะ
ธะ นะ มะ พะ

ระยะเวลาการปลุกเสกของท่านใช้เวลาไม่มากนัก ขึ้นอยู่กับอารมณ์จิต ท่านเคยปรารภว่าเมื่อจะปลุกเสกวัตถุใด ใจต้องเป็นสมาธิ เมื่อใจมีสมาธิ ปลุกเสกสิ่งใดก็ขลัง ระยะเวลาหนึ่งนาทีก็ดีแล้ว แต่หากใจไม่เกิดสมาธิ ปลุกเสกทั้งคืนทั้งวันก็ไม่มีผล อย่างนี้สู้ไปทำอย่างอื่นดีกว่า

ท่านั่งยอง

หลวงพ่อให้เหตุผลว่า เป็นท่าที่สบายที่สุด อีกทั้งเป็นลักษณะของคนเตรียมพร้อมที่ลุกเดินไปไหนมาไหนได้ทันที จะหยิบจับอะไรก็ง่ายและสะดวกในการทำงาน

การบำเพ็ญประโยชน์ต่อสาธารณะ

หลวงพ่อคูณได้จัดสร้างโรงพยาบาลถึง 3 หลัง ตลอดจนโรงเรียน และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ ยังได้บริจาคเงินทองเพื่อช่วยเหลือสาธารณะสุขต่างๆ ทุกๆวัน แต่ละเดือนเป็นจำนวนหลายแสนบาท

"หลวงพ่อเป็นคนยากจนมาโดยกำเนิด จึงอยากคิดช่วยเหลือคนอื่น การนำเงินออกไปช่วยคนอื่น ก็จะมีคนบริจาคเรื่อยๆ ถ้าเก็บไว้จะทำให้ตนตาบอด ใจก็บอดอีกด้วย จึงอยากช่วยคนอื่นอยู่เรื่อยไป วันใดไม่มีคนมาขอเงิน ก็ไม่ค่อยสบายใจ?

ข้อห้าม ข้อควรปฏิบัติ

หลวงพ่อคูณสั่งว่า เมื่อมีพระเครื่องของหลวงพ่อคูณติดตัว ให้ภาวนา "พุทโธ" ทำจิตให้เป็นสมาธิแน่วแน่ ละเว้นถ้อยคำด่าทอ ค่าพ่อแม่ตน และพ่อแม่บุคคลอื่น และอย่าผิดสามีหรือภรรยาผู้อื่น ให้สวยมนต์ก่อนเข้านอนทุกคืน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด และหวงพ่อคูณย้ำว่า "ถ้ามีใจอยู่กับ พุทโธ ให้เป็นกลาง ๆ ไม่สอดส่ายไปที่ไหน นั่นหมายความว่า ใจเป็นสมาธิ จะช่วยปกป้องคุ้มครองเราได้ดียิ่ง...ยิ่งกว่ามีวัตถุมงคลใด ๆ ในโลก"

คาถาที่หลวงพ่อคูณใช้บริกรรมเวลานั่งสมาธิ

เวลาหายใจเข้า ให้บริกรรมว่า ตาย

เวลาหายใจออก ให้บริกรรมว่า แน่

เป็นตายแน่... ตายแน่... ตายแน่ไปเรื่อย ๆ จะรู้สึกสบาย จิตสงบ


664
ตอนที่ ๔



ตาผลและนางงุดก็ดีใจ กราบไหว้แล้วมอบหมายฝากฝังทุกสิ่งอัน แล้วถวายกับปิยะจรรหรรมัจฉะมังสาหารทั้งปวงแล้ว พระสมุห์ของท่านก็เรียกคนมายกถ่ายทันที แล้วจัดห้องหับให้พักอาศัยสำราญ ตาผลและนางงุดก็ยกบริขารของสามเณรเข้าบันจุจัดปูอาศน์ เรียบเรียงตั้งไว้ตามตำแหน่งแห่งที่ แล้วออกมากราบลาท่านพระครูลงไปพักในเรือ ค้างคืนคอยปรนนิบัติสามเณรดูลาดเลา การอยู่การขบฉันบิณบาตรยาตรา เห็นว่าสะดวกดีไม่คับแค้นเดือดร้อน พอเป็นที่ไว้วางใจได้แล้ว จึงขึ้นนมัสการลาท่านพระครูกลับมายังบ้าน ณ แขวงเมืองพิจิตร

ตั้งแต่สามเณรโตได้เข้าสู่สำนักท่านพระครูวัดเมืองไชยนาทบุรีแล้ว เป็นปรกติก็หมั่นทำกรณียกิจตามหน้าที่และอนุโลมตามข้อกติกาไม่ฝ่าฝืนชะอ้อนอ่อนน้อมต่อพระลูกวัดมิให้ขัดอัชฌาสัย เพื่อนศิษย์เพื่อนเณรเหล่านั้นก็ประนีประนอมพร้อมหน้าไม่ไว้ท่า ไม่ถือตัว ไม่หัวสูง อดเอาเบาสู้ ระงับไม่หาเหตุแข่งดีกว่าเพื่อนไม่ส่อเสียดสอพลอพร่อย เรียบร้อยหงิบเสงี่ยมเจียมตัว หมั่นเอาใจใส่รับใช้ปฏิบัติท่านพระครูระแวดระวังหน้าหลัง ท่านมีกิจธุระจะไปไหน ก็จัดการสิ่งของที่จะต้องเอาไป ไม่เกี่ยงงอนเพื่อนศิษย์ เวลาท่านจะกลับ ก็รับรองเก็บงำสม่ำเสมอตลอดมา ครั้นถึงเวลาเรียนก็เข้าเรียน ถึงคราวฟังก็ฟัง ตั้งสติสัมปชัญญะ สำเหนียกสำเนาเสมอ เรียนแล้วจดจำตกแต้มกำหนดกฎหมาย กลางคืนก็เข้ารับโอวาทปริยายของท่านพระครู สิ่งใดที่ไม่รู้ก็ถาม รู้เท่าไม่ถึงความก็ซัก ที่ตรงไหนขัดข้องไม่ต้องกันก็หารือ ตามบาฬีที่มีมาในพระคัมภีร์นั้นๆ ถ้าบทไหนบาฐไหนเป็นนิรุติ ไม่ชอบด้วยเหตุผลไม่เข้ากัน เธอก็ยังไม่ลงมติไม่ถือเอาความคิดเห็นความรู้ของตนเป็นประมาณ ตั้งใจวิจารณ์จนเห็นถ่องแท้แน่นอนตามพระบาฬี ในธรรมบททีปะนี ทศะชาติ (๑๐ชาติ) สารตถ์ สามนต์ ฎีการโยชนาคัณฐี ในคัมภีร์พระไตรปิฎกธรรมนั้น ทุกสันทุกเวลาเรียนแปลเป็นภาษาลาวบ้าง แปลเป็นภาษาเขมรบ้าง แปลเป็นภาษาพม่าบ้างตามเวลา ครั้นล่วงมาได้ ๓ ปีเรียนจนถึงแปดปั้นบาฬี สามเณรโตไม่มีอุปสรรคกีดกั้น ไม่มีอาการเจ็บป่วยไข้สะดวกดีทุกเวลาทั้งไม่เบื่อไม่หน่าย นิยมอยู่แต่ที่จะหาความจริงซึ่งยังบกพร่องภูมิปัญญาอยู่ร่ำไป

ครั้นถึงเดือน ๑๒ ปีฉลู เบญจศก จุลศักราช ๑๑๕๕ สามเณรโตมีความกระหายใคร่จะล่องลงมาร่ำเรียนในสำนักราชบัณฑิตนักปราชญ์หลวงบ้าง ใคร่จะเข้าสู่สำนักพระเถระเจ้าผู้สูงศักดิ์อรรคฐานในกรุงเทพพระมหานครโดยความเต็มใจ

ครั้งสามเณรโต อายุได้ ๑๘ ปีย่าง ปลงใจแน่วแน่แล้วในการที่จะละถิ่นฐาน ญาติโยมได้จะทนทานในการอนาถาในกรุงเทพฯ ได้แน่ใจแล้ว จึงได้กราบกรานท่านพระครูจังหวัดบรรยายแถลงยกย่องพิทยาคุณและความรู้ของท่านพระครูเมืองไชยนาทบุรี พอเป็นที่ปลื้มปราโมทย์ปราศจากความลบหลู่ดูหมิ่น ด้วยระเบียบถ้อยคำอันดีพอสมควรแล้ว ขอลาว่าเกล้ากระผมขอถวายนมัสการลาฝ่าท้าวเพื่อจะลงไปสู่สำนักราชบัณฑิตย์ ผู้สูงศักดิ์อรรคฐานให้เป็นการเชิดชูเกียรติคุณของฝ่าท้าวให้แพร่หลายในกรุงเทพฯ ขอบารมีฝ่าท้าวจงกรุณาส่งเกล้ากระผมให้ถึงญาติโยม ณ แขวงเมืองพิจิตรด้วย

ฝ่ายท่านพระครูเจ้าคณะเมืองไชยนาทบุรีได้ฟัง ซึ่งมีความพอใจอยู่แล้วในการที่จะแสวงหาศิษย์ที่ดีมีสาระทะแกล้วกล้าองค์อาจ ฉลาดเฉลียวรอบรู้คัมภีร์ คิดจะส่งศิษย์อย่างดีเข้ากรุงเทพฯ เพื่อช่วยเผยแพร่ให้ความรู้และความดีของท่านนั้นโด่งดังปรากฏแพร่หลายไปในกรุงเทพฯ อนึ่งสามเณรองค์นี้ก็เป็นคนดี มีความรู้กอร์ปด้วยคติสติปัญญา ความเพียรก็กล้าไม่งอนง้อท้อถอยเลย หัวใจก็จดจ่ออยู่แต่การเล่าเรียนหาความรู้ดูฟังตั้งใจจริง ไม่เป็นคนโว่งมซมเซา พอจะเข้าเทียบเทียมเมธีที่กรุงเทพพระมหานครได้ ท่านพระครูเห็นสมควรจะอนุญาตได้ ท่านจึงกล่าวเถระวาทสุนทรกถา เป็นทางปลูกผูกอาลัยแก่สามเณรพอสมควรแล้ว ท่านก็ออกวาจาอนุญาตว่า "ดีแล้ว นิมนต์เถอะจ้ะ" เราขอรอผลัดจัดการส่งสัก ๓ วัน เพื่อเตรียมตัวเตรียมการส่งให้เป็นที่เรียบร้อยตามระเบียบแบบธรรมเนียมการ สามเณรก็กราบถวายนมัสการลามายังกุฏิที่อยู่ แล้วก็จัดการตระเตรียมเก็บสรรพสิ่งเครื่องอุปโภคต่างๆ ส่งคืนเข้าที่ตามเดิม คัมภีร์ที่ยังเรียนค้างอยู่ก็ทำใบยืมๆ ไปเรียนต่อไป สิ่งของที่เหลือบริโภคอุปโภคแล้ว ก็แบ่งปันถวายเพื่อนสามเณรที่อยู่ที่เคยเป็นเพื่อนกันไว้ใช้สรอยพอเป็นทางผูกอาลัยทำไมตรี

ครั้นเวลารุ่งเช้าแล้ว สามเณรโตก็ออกพายเรือสามปั้นบิณฑบาตไปถึงบ้านที่สุดเหนือน้ำและใต้น้ำ สามเณรก็บอกกล่าวล่ำลาแก่ญาติโยมอุปฐากและที่ปวารณาและผู้ที่มีวิสาสะทั่วหน้ากันทั้งสองฝั่ง ที่อยู่บ้านดอนขึ้นไปก็บอกลาฝากขึ้นไปทั่วกัน

ฝ่ายเจ้าพวกเด็กๆ ลูกศิษย์วัดทั้งปวงรู้ว่าหลวงพี่เณรของเขาจะลงไปอยู่บางกอก พวกเด็กทั้งหลายก็พากันเสียดาย ใจเขาหาย เขาทำได้แต่หน้าแห้ง ทำตาแดงๆ เหตุเขามีความคุ้นเคยรักใคร่อาลัยหลวงพี่สามเณรโต เขาเคยกินอยู่สำราญด้วยอาหารเกิดทวีขึ้น เพราะอำนาจบารมีศีลธรรมของสามเณรโต จนเข้าของแปลกประหลาดเหลือเฟือเอื้อเอาใจเขามาช้านานประมาณ ๓ ปีล่วงมา

ฝ่ายแม่รุ่นสาวๆ คราวกันกับพ่อเณร ซึ่งมีใจโอนเอนไปข้างฝ่ายรัก ก็ทำอึกอักผะอืดผะอมกระอักกระอ่วนรัญจวนใจ ด้วยพ่อเณรเธอจะไปอยู่ไกลถึงบางน้ำบางกอก ต่างก็อั้นอันอ้นจนใจไม่อาจออกวาจาห้ามปรามเพราะความอาย รักก็รักเสียดายก็เสียดาย ทั้งความยึดถือมุ่งหมายก็ยังมีอยู่มั่นคงจงใจ ทั้งเกรงผู้หลักผู้ใหญ่จะล่วงรู้ดูแคลน แสนกระดากทำกระเดื่องชำเลืองโฉมพ่อเณรโต แอบโผล่หน้าต่างตามมองแลรอดสอดตามช่องรั้วหัวบ้านแลจนลับนัยน์ตา เสียวซ่านถึงโสกาเช็ดน้ำตาอยู่ก็มี

ฝ่ายพวกเด็กๆ พอกลับถึงวัด เขาก็ตะโกนบอกเพื่อนกันว่า ต่อแต่วันนี้พวกเราจะอดกันละโว้ยๆ

ครั้นพระเณรฉันเช้าแล้ว ท่านพระครูเจ้าคณะจังหวัดจึงเรียกพระปลัดพระสมุห์มาสั่งการว่า แนะพระปลัดจ๋า พรุ่งนี้เธอต้องสั่งเลขวัด ให้เขาจัดเรือเก๋ง ๔ แจว คนแจวประจำพร้อมและจัดเสบียงทางไกลให้พร้อมมูลด้วย ให้พอเลี้ยงกันทั้งเวลาไปและมาด้วย ส่วนเธอและพระสมุห์ช่วยพาสามเณรโตเข้าไปส่งให้ถึงญาติโยมเณร ณ เมืองพิจิตรในวันรุ่งพรุ่งนี้แทนตัวดิฉันด้วย พรุ่งนี้มารับจดหมายส่งของฉันก่อน

ฝ่ายพระปลัด ๑ พระสมุห์ ๑ รับเถระบัญชาแล้วออกมาเรียกร้องกะเกณฑ์เลขวัดสั่งให้จัดเรือจัดเสบียงให้พร้อมทั้งเครื่องต้มเครื่องแกง หม้อน้อยหม้อใหญ่ กระทะ ข้าวเหนียว น้ำตาล มาขามเปียก พริกสด พริกแห้ง หอมกระเทียม ขิง ข่า กระทือ พริกไท ให้พร้อมไว้ เวลาเที่ยงมาแล้วจอดไว้ที่ท่าวัดนี้ตามที่ท่านพระครูสั่ง

ครั้นรุ่งขึ้นวันที่ ๓ พระปลัดฉันเช้าแล้วเข้าหาท่านพระครู รับจดหมายแล้วกราบลาออกมา แล้วนัดหมายพระสมุห์และนัดสามเณรโตว่าเที่ยงแล้วลงเรือพร้อมกัน ครั้นถึงเวลาฉันเพลแล้ว ขอแรงศิษย์วัดและเพื่อนเณร ๒-๓ คน ช่วยขนขนบบริขารหีบ ตะกร้า กระเช้า กระบุงที่บรรจุของสามเณรโตลงท่าวัดพร้อมกัน สามเณรโตก็เข้าไปสักการวันทาลาท่านพระครูด้วยความเคารพ

ส่วนท่านพระครูก็ประสิทธิ์ประสาทพรให้วัฒนาถาวรภิญโญภาวะยิ่ง ให้สัมฤทธิ์สมความมุ่งหมาย จงทุกสิ่งทุกประการเทอญ

ครั้นเวลาเที่ยงทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พระปลัด พระสมุห์ และสามเณรโต พร้อมคนแจวเรือก็ลงเรือ ได้เวลาบ่ายโมงก็ออกเรือทางแม่น้ำ บ่ายหัวเรือไปเมืองพอจิตรในวันนั้น

ครั้นแจวมา ๒ คืนก็ถึงท่าบ้านสามเณรโต ฝ่ายตาผล ยายลา นางงุด เห็นเรือเป็นเก๋งมาจอดท่าหน้าบ้าน ต่างก็ออกมาดู รู้ว่าท่านปลัด ท่านสมุห์และสามเณรโตมา ก็ดีใจลงไปในเรือต้อนรับและนิมนต์ขึ้นเรือน แล้วขึ้นมาปูอาศน์ ตักน้ำเย็น ต้มน้ำร้อน จัดเภสัชเพลายาสูบใส่พานแล้ว ครั้นพระปลัด พระสมุห์ สามเณรขึ้นมาอาราธนาที่หอนั่ง ประเคนหมาก น้ำ ยาสูบ แล้วก็กราบ

ครั้นพระปลัดเห็นเจ้าบ้านนั่งปรกติเรียบราบแล้วจึงปฏิสันฐาน และนำจดหมาย ของท่านพระครูเมืองไชยนาทบุรี ส่งให้ตาผลๆ รับมาอ่านได้ทราบความตลอดแล้วด้วยความพอใจ เมื่อสนทนาเสร็จจึงพาพระปลัด พระสมุห์และสามเณรออกไปยังวัดใหญ่ เมืองพิจิตรทราบ

ครั้นท่านพระครูอ่านดูรู้ข้อความตลอดแล้ว ก็เห็นดี เห็นชอบด้วย ตกลงก็เห็นดีเห็นงามด้วยกันทั้งครูอาจารย์และคณะยาติโยมพร้อมใจกันหมด ครั้นได้เวลา พระปลัด พระสมุห์ ตาผลและนางงุดก็ลาท่านพระครูใหญ่กลับมาบ้าน แล้วก็จัดแจงอาหารเลี้ยงพระเลี้ยงเณร และคนแจวเรือจนอิ่มหนำสำราญแล้วทั้ง ๓ เวลา ส่วนพระปลัดและพระสมุห์เมื่อได้ทำสิ่งที่ได้รับมอบหมายมาเสร็จและสมควรแก่เวลา ก็ลาเจ้าล้านๆ ก็จัดการส่งพระปลัดและพระสมุห์ให้กลับไปยังวัดเมืองไชยนาทบุรี

ส่วนทางบ้านเมื่อได้กำหนด นางงุดก็จัดเรือจัดคนจัดลำเลียงสเบียงอาหารจัดของแจกให้ของฝากชาวกรุงเทพฯ ทั้งของถวาย ของกำนัลท่านผู้ใหญ่ในกรุงเทพฯ ลงบรรทุกในเรือเรียบร้อยเสร็จแล้ว ก็เกณฑ์ตาผลให้เป็นผู้นำพร้อมด้วยคนแจวส่งสามเณรไปกรุงเทพฯ แต่ต้องให้แวะนมัสการบูชาพระพุทธชิณราชในวันกลางเดือน ๑๒ นี้ก่อน และพ่อต้องอ้อนวอนขอหลวงพ่อชิณราชให้ช่วยคุ้มครองกำกับรักษาส่งพ่อเณรอย่าให้มีเหตุการณ์ และอย่าให้ป่วยไข้ได้เจ็บอย่าให้มีภัยอันตราย ตั้งแต่วันนี้จนตราบเท่าจนเฒ่าจนแก่ และขอให้เณรร่ำเรียนลุสำเร็จจงทุกสิ่งทุกประการ กับขอบารมีหลวงพ่อชิณราชช่วยปกป้องกันศัตรูหมู่อันธพาล อย่าผจญและอย่าเบียดเบียนพ่อเณรได้ ขอพ่อจงแวะไหว้บูชาอ้อนวอนว่าตามคำสั่งข้านี้อย่าหลงลืมเลย

ฝ่ายตาผลรับคำลูกสาวแล้ว ก็ลงเรือออกเรือจากท่าหน้าบ้าน และให้แจวออกทางแม่น้ำพิษณุโลก ล่องมาหลายเพลาก็มาถึงวัดพระชิณราชในวันขึ้น ๑๔ เดือน ๑๒ ปีฉลู เบญจศก จุลศักราช ๑๑๕๕ ปีนั้น

ครั้น ณ วันที่ ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒ ศกนั้น ตาผลนิมนต์สามเณรโตขึ้นไปโบสถ์พระชินราช เดินปทักษิณรอบแล้ว เข้านมัสการทำสักการะบูชา สามเณรยืนขึ้นวันทาแล้วตั้งสักการะ โดยสักกัจจะเคารพแก่พระพุทธชิณราช ตาผลจึงพร่ำพรรณาถวายเณรแก่พระชิณราชและวิงวอนขอฝาก ขอความคุ้มครองป้องกัน ขอให้พระพุทธชิณราชบันดาลดลส่งเสริมแก่สามเณรตามคำนางงุดโยมของเณรสั่งมาทุกประการ

ครั้นทำการเคารพสักการบูชาแก่พระพุทธชิณราชเสร็จแล้ว ก็กราบลาพาสามเณรโตมาลงเรือแจวล่องมา ๒ คืนก็ถึงหน้าท่าวัดบางลำภูบน กรุงเทพฯ ตอนเวลาเช้า ๒ โมง แรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีฉลู เบญจศก จุลศักราช ๑๑๕๕ เป็นปีที่ ๑๒ ในรัชกาลที่ ๑ กรุงเทพพระมหานคร

ตาผลชาวเมืองกำแพงเพชร ซึ่งถอยลงมาตั้งถิ่นฐานภูมิลำเนาอยู่เหนือเมืองพิจิตรได้นำสามเณรโตผู้หลานอันเป็นลูกของนางงุดลูกสาว สามเณรโตนั้นมีอายุย่างเข้า ๑๘ ปี ตาผลผู้เป็นตา จึงได้นำพาสามเณรโตขึ้นไปมอบถวายพระอาจารย์แก้ววัดบางลำภูบน พระนคร ตาผลได้เล่าถึงการเรียนของสามเณรโตจนกระทั่งถึงท่านพระครูจังหวัดเมืองเหนือทั้ง ๒ อาราม มีความเห็นชอบพร้อมกันที่จะให้ลงมากรุงเทพ เกล้ากระผมจึงได้นำสามเณรโตมาสู่ยังสำนักของหลวงพ่อ เพื่อหลวงพ่อจะได้ทำนุบำรุงชี้ช่องนำทาง ให้สามเณรดำเนินหาคุณงามความดีมีความรู้ยิ่งในพระมหานครสืบไป

ฝ่ายพระอาจารย์แก้วทราบพฤติการณ์ ตามที่ตาผลเล่า ก็เกิดความเชื่อ และเลื่อมใสในสามเณรโต และมีความเห็นพ้องด้วยกับท่านพระครูทั้ง ๒ จังหวัด สมจริงดังที่พยากรณ์ไว้แต่ยังนอนแบเบาะ และได้รับเป็นลูกไว้ จึงนึกขึ้นได้ถึงเงินที่ได้ลั่นวาจาว่าจะจ้างแม่มันเลี้ยงปีละ ๑๐๐ บาท ๓ ปีหย่านมเป็นเงินค่าจ้าง ๓๐๐ บาท จึงให้ศิษย์ที่เป็นไวยาวัจจกรหยิบเงินมา ๓๐๐ บาท ส่งมอบให้ตาผลเพื่อฝากไปใช้ให้นางงุดเป็นค่าน้ำนมข้าวป้อน ๓ ปี เงิน ๓๐๐ บาท

ตาผลน้อมคำรับเอาเงิน ๓๐๐ บาท มากำไว้สักครู่ เมื่อจวนจะลากลับ จึงพร่ำพรรณนามอบฝากเณรโดยอเนกประการ แล้วถวายเงิน ๓๐๐ บาทนั้นคืนหลวงพ่อแก้ว แล้วถวายอีก ๑๐๐ บาทเป็นค่าบำรุงเณรสืบไป แล้วก็ลาท่านอาจารย์แก้วไปเยี่ยมญาติพี่น้อง ณ บางขุนพรหมต่อไป

ฝ่ายพระอาจารย์แก้ว จึงจัดห้องหับให้สามเณรอยู่บนหมู่คณะวัดบางลำพูบนวันนั้นมา เวลาเช้าก็ลุกขึ้นบิณฑบาตร และสำรับกับข้าวของฉันในคณะอาจารย์แก้วนั้นอุดมล้นเหลือไม่บกพร่อง ทั้งบารมีศีลและธรรมที่สามเณรโตประพฤติดี ก็บันดาลให้มีผู้ขึ้นถวายเช้าและเพลและที่ปวารณาก็กลายเป็นโภชนะสับบายของโยคะบุคคลทุกเวลา

ฝ่ายพระอาจารย์แก้วเมื่อเห็นเวลาฤกษ์ดีแล้ว จึงได้นำสามเณรโตไปฝากพระโหราธิบดี, พระวิเชียร กรมราชบัณฑิต ให้ช่วยแนะนำสั่งสอนสามเณรให้มีความรู้ดีในคัมภีร์ พระปริยัติธรรมทั้ง ๓ ปิฎก พระโหราธิบดี, พระวิเชียรก็รับและสอนตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

พระโหราธิบดี พระวิเชียร อยู่บ้านหลังวัดบางบำภูบน เสมียนตราด้วงบ้านบางขุนพรหม ท่านขุนพรหมเสนา บ้านบางขุนพรหม ปลัดกรมนุท บ้านบางลำภูบน เสมียนบุญและพระกระแสร ทั้ง ๗ ท่านนี้เป็นคนมั่งคั่งหลักฐานทั้งมีศรัทธาความเชื่อมั่นในบวรพุทธศาสนา เมื่อได้เห็นจรรยาอาการของสามเณรโต และความประพฤติดี หมั่นเรียนเพียรมาก ปากคอลิ้นคางคล่องแคล่วไม่ขัดเขินเคร่งครัดดี รูปร่างกายก็ผึ่งผายองอาจ ดูอาการมิได้น้อมไปทางกามคุณ มรรยาทเณรก็ละมุนละม่อม เมื่อร่ำเรียนธรรมะในคัมภีร์ไหนก็เอาใจใส่ไต่ถามให้รู้ลักษณะ จะเดินประโยคอะไร ก็ถูกต้องตามในรูปประโยคแบบอย่าง ถูกใจอาจารย์มากกว่าผิด ท่านทั้ง ๗ คนดั่งออกนามมานี้พร้อมกันเข้าเป็นโยมอุปฐากช่วยกันอุปถัมภ์บำรุง หมั่นไปมาหาสู่ที่สัดบางลำพูเสมอ และสัปปรุษอื่นๆ ต่างก็เลื่อมใสใส่บาตร์อย่างบริบูรณ์ บางคนก็นิมนต์แสดงธรรมเทศนา ถึงฤดูหน้าเทศน์มหาชาติตามวัดแถวนั้น คนก็ชอบนิมนต์สามเณรโตเทศน์ หิมพานบ้าง เทศน์ทานกัณฑ์บ้าง เทศน์วันประเวศน์บ้าง เทศน์ชูชกบ้าง เทศน์จุลพนบ้าง เทศน์มหาพนบ้าง เทศน์กุมารบรรพบ้าง เทศน์มัทรีบ้าง เทศน์สักกะบรรพบ้าง เทศน์มหาราชบ้าง เทศน์ฉกษัตริย์บ้าง เทศน์นครกัณฑ์บ้าง ตกลงเทศน์ได้ถูกต้องทั้ง ๑๓ กัณฑ์ ทำเสียงเล็กแหลมก็ได้ ทำเสียงหวานแจ่มใสก็ได้ ทำเสียงโฮกฮากก็ได้ กลเม็ดมหาพนและแหล่สระแหล่ราชสีห์ ว่ากลเม็ดแพรวพราว ที่หยุดที่ไป ที่หายใจขึ้นลงเข้าออกสนิททุกอย่างทุกกัณฑ์ กระแสเสียงเสนาะน่าฟังทุกกัณฑ์ ทำนองเป็นหมดไม่ว่ากัณฑ์อะไรเทศน์ได้ทุกกัณฑ์ จังหวะก็ดีเสมอ แต่สามเณรโตมิได้มัวเมาหลงใหลในการรวยเรื่องเทศนามหาชาติ และมิได้มัวเมาหลงใหลด้วยอุปัฏฐากมาก เอาใจใส่แต่การเรียนการปฏิบัติทางเพลิดเพลินเจริญสมณธรรมเป็นเบื้องหน้า จึงได้เป็นที่รักที่นับถือของท่านโหราธิบดี, พระวิเชียร, เสมียนตราด้วง, ปลัดกรมนุท, ขุนพรหมเสนา, และท่านขรัวยายโหง, เสมียนบุญ, พระกระแสร, ท่านยายง้วน และใครต่อใครอีกเป็นอันมากจนจดไม่ไหว

ครั้นถึงเดือนห้า ปีขาล ฉศก จุลศักราช ๑๑๕๖ เป็นปีที่ ๑๓ ในรัชกาลที่ ๑ กรุงเทพพระมหานครฯ พระชนมายุกาลแห่งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ย่างขึ้นได้ ๒๘ พรพรรษาโดยจันทรคตินิยม อายุสามเณรโตก็ได้ ๑๘ ปีบริบูรณ์ในเดือน ๕ ศกนั้น

จึงท่านพระโหราธิบดี, พระวิเชียร, เสมียนตราด้วง ได้พิจารณาเห็นกิริยาท่าทาง และจรรยาอาการสติปัญญาอย่างเยี่ยมแปลกกว่าที่เคยได้เห็นมาแต่ก่อน ทั้งมีรัดประคดหนามขนุนคาดด้วย จะทักถามและพยากรณ์เองก็ใช่เหตุ จึงปรึกษาเห็นตกลงพร้อมกันว่าควรจะนำเข้าถวายตัวแด่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรให้ได้ทรงทอดพระเนตร อนึ่งพระองค์ท่านก็ทรงโปรดพระและเณรที่ร่ำเรียนรู้ในธรรมทั้ง ๒ คือ คัณถธุระและวิปัสสนาธุระ บางทีพ่อเณรมีวาสนาดีก็อาจจะเป็นพระหลวง เณรหลวงก็ได้ ครั้นท่านขุนนางทั้ง ๓ ปฤกษาตกลงเห็นพร้อมใจกันแล้ว จึงแนะนำให้สามเณรโตให้รู้ตัวว่า จะนำเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ในวันเดือน ๕ ขึ้น ๕ ค่ำ ศกนี้เป็นแน่

ฝ่ายสามเณรรู้ตัวแล้ว จึงเตรียมตัวสุผ้าย้อมผ้า และสุย้อมรัดประคดหนามขนุนของโยมผู้หญิงให้มานั้น ซึ่งโยมผู้หญิงกระซิบสั่งสอนเป็นความลับกำกับมาด้วย ฟอกย้อมรัดประคดสายนั้นจนใหม่เอี่ยมดี

ครั้นถึงวันกำหนด จึงพระโหราธิบดี, พระวิเชียร, และเสมียนตราด้วงได้ออกมาที่วัดบางลำภู เรียนกับท่านอาจารย์แก้ว ให้รู้ว่าจะพาสามเณรโต เข้าเฝ้าถวายตัวแด่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรฯ พระอาจารย์แก้วก็อนุมัติตามใจแล้วท่านจึงเรียกสามเณรโต มาซ้ำร่ำสอนทางขนบธรรมเนียมเดินนั่ง พูดจากับจ้าวใหญ่นายโตใช้ถ้อยคำอย่างนั้นๆ เมื่อจะทรงถามอะไรมาก็ให้มีสติระวังระไว พูดมากเป็นขี้เมาก็ใช้ไม่ได้ พูดน้อยจนต้องซักต่อก็ใช้ไม่ได้ ไม่พูดก็ใช้ไม่ได้ พูดเข้าตัวก็ใช้ไม่ได้ จงระวังตั้งสติสัมปชัญญะไว้ในถ้อยคำของตน เมื่อพูดอย่าจ้องหน้าตรงพระพักตร์ เมื่อพูดอย่าเมินเหม่ไปทางอื่น ตั้งอกตั้งใจเพ็ดทูลให้เหมาะถ้อยเหมาะคำ ให้ชัดถ้อยชัดคำ อย่าหัวเราะ อย่าตกใจ อย่ากลัว อย่ากล้า จงทำหน้าให้ดี อย่ามีความสะทกสะท้าน จงไปห่มผ้าครองจีวรให้เรียบร้อย ไปกับคุณพระเดี๋ยวนี้

สามเณรโตน้อมคำนับรับเถโรวาทใส่เกล้าแล้ว ไปห้องครองผ้า คาดรัดประคดเสร็จแล้ว จุดธูปเทียนอาราธนาพระบริกรรมภาวนาประมาณอึดใจหนึ่ง แล้วก็ออกเดินมาหาพระโหราธิบดี พระวิเชียร เสมียนตราด้วง ท่านทั้ง ๓ จึงนมัสการลาพระอาจารย์แก้ว แล้วพาสามเณรโตลงเรือแหวด ๔ แจว คนแจวก็ล่องลงมาจอดที่ท่าตำหนักแพหน้าพระราชวังเดิม แล้วนำพาสามเณรขึ้นไปบนท้องพระโรงในพระราชวังเดิม ณ ฝั่งธนบุรีใต้วัดระฆังนั้น

ฝ่ายพนักงานหน้าท้องพระโรง นำความขึ้นกราบทูลว่า พระโหราธิบดี พาสามเณรมาเฝ้า จึงเสด็จออกท้องพระโรง ทรงปราศรัยทักถามพระโหราธิบดี พระวิเชียร และเสมียนตราด้วงแล้ว ได้ทรงสดับคำพระโหราธิบดีกราบทูลเสนอคุณสมบัติของสามเณรขึ้นก่อน เพื่อให้ทรงทราบ

จึงทอดพระเนตรสามเณรโต ทรงเห็นสามเณรโตเปล่งปลั่งรังสีรัศมีกายออกงามมีราษี เหตุด้วยกำลังอำนาจศีละคุณ สมาธิคุณ ปัญญาคุณหากอบรมสมกับผ้ากาสาวพัตร์ และมีรัดประคดหนามขนุน อย่างของขุนนางนายตำรวจใหญ่ คาดเป็นบริขารมาด้วย

665
นามเดิม :- ศุข นามสกุล เกษเวช (ต่อมาลูกหลานได้ใช้ เกษเวชสุริยา ก็มี)

เกิดเมื่อวันจันทร์ เดือน ๔ ขึ้น ๘ ค่ำ ปีวอก พ.ศ. ๒๓๙๐ ที่บ้านมะขามเฒ่า ( เรียกกันในสมัยนั้น ปัจจุบันเรียก บ้านปากคลอง ) ตำบลมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท

โยมบิดา - มารดา :- ชื่อ นายน่วม และนางทองดี ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลมะขามเฒ่า

มีบุตรและธิดา ด้วยกัน ๙ คน

๑. หลวงปู่ศุข

๒. นางอ่ำ

๓. นายรุ่ง

๔. นางไข่

๕. นายสิน

๖ .นายมี

๗. นางขำ

๘. นายพลอย

๙ .หลวงพ่อปลื้ม

ปัจจุบันยังมีลูกหลานของท่านอยู่ที่บ้านใต้วัดมะขามเฒ่าอีกหลายคน หรือแม้แต่ร้านค้าขายภายในบริเวณวัดเองก็ยังมี

หลวงปู่นั้น ท่านมีลุงคนหนึ่งชื่อ แฟง ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลบางเขน จังหวัดพระนคร ( ในสมัยนั้น ) มีอาชีพ ทำสวน ไม่มีบุตรหรือธิดา จึงได้มาขอหลานจากโยมบิดามารดาหลวงปู่ศุขไปเลี้ยง โยมท่านก็อนุญาตให้เลือกเอา ลุงแฟงก็เลือกเอาคนโต หรือ เรียกว่าคนหัวปี คือ หลวงปูศุข เข้าใจว่าขณะนั้นอายุประมาณ ๑๐ ขวบ เมื่อหลวงปู่ศุขไปอยู่กับลุงแฟง เจริญเติบโตที่ตำบลบางเขน

เมื่อหลวงปู่ฯ อยู่ในวัยฉกรรจ์ ท่านได้เดินทางเข้ามากรุงเทพฯ ทำมาหากินค้าขายเล็กๆ น้อยๆ โดยยึดลำคลองบางเขน ซึ่งมีปากคลองเชื่อมกับแม่น้ำเจ้าพระยาตอนใต้จังหวัดนนทบุรีลงมา ปัจจุบันอยู่ข้างทางเข้าวัดทางหลวง เป็นที่ทำมาหากิน

คลองบางเขนนี้ทอดขึ้นไปเชื่อมกับคลองรังสิต เมื่อก่อนนี้เป็นเส้นทางหลักในการคมนาคมทางน้ำที่สำคัญและกว้างขวางเป็นอย่างมาก เมื่อการคมนาคมทางบกเจริญขึ้น การสัญจรทางน้ำก็หมดความสำคัญลง ปัจจุบันคงจะตื้นเขินไปแล้วก็ได้ เพราะขาดการทะนุบำรุงเท่าที่ควร

หลวงปู่ฯ ท่านทำมาหากินอยู่ในคลองบางเขนอยู่ระยะหนึ่ง จนอายุได้ ๑๘ ปี ได้ภรรยาชื่อ นางสมบูรณ์ และเกิดบุตรชายคนหนึ่งชื่อ สอน เกศเวชสุริยา

หลวงปู่ฯ ท่านครองเพศฆราวาสอยู่ไม่นาน พออายุท่านครบ ๒๒ ปี ท่านได้ลาไปอุปสมบท ณ วัดโพธิ์บางเขนหรือปัจจุบันชื่อว่า วัดโพธิ์ทองล่าง ซึ่งอยู่ปากคลองบางเขนตอนล่าง ส่วนวัดโพธิ์ทองบน อยู่ตอนเหนือของปากคลองบางเขน ตอนบนบริเวณจังหวัดปทุมธานี

อุปสมบท :-

การอุปสมบทของหลวงปู่ศุขนั้น ท่านได้อุปสมบทเมื่ออายุได้ ๒๒ ปี ที่วัดโพธิ์บางเขน ( ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นวัดโพธิ์ทองล่าง ) โดยมี พระครูเชย จนฺทสิริ วัดโพธิ์บางเขน เป็น พระอุปัชฌาย์ พระถายมเป็นพระคู่สวด การอุปสมบทนี้มีลุงแฟงเป็นผู้อุปการะทั้งสิ้น ส่วนโยมบิดามารดาไม่ได้มาร่วมพิธีด้วย เพราะการเดินทางสมัยนั้นลำบากมาก จากชัยนาทถึงกรุงเทพฯ ก็กินเวลาอย่างน้อย ๒ ถึง ๓ วัน จึงจะถึง

พระอุปัชฌาย์ของท่านชื่อ หลวงพ่อเชย จันทสิริ อดีตท่านเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ทองล่าง ซึ่งเป็นพระสงฆ์ฝ่ายรามัญที่ถือเคร่งในวัตรปฏิบัติและพระธรรมวินัยเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลวงพ่อเชยท่านยังเป็นอาจารย์ทางฝ่ายวิปัสสนาธุระมีความรู้และความชำนาญรู้แจ้งแทงตลอด อีกทั้งทางด้านวิทยาคมก็แก่กล้าเป็นยิ่งนัก หลวงปู่ฯ ท่านได้รับถ่ายทอดวิชาความรู้จากอุปัชฌาย์ของท่านมาพร้อมกับอาจารย์เปิง วัดชินวนาราม และหลวงปู่เฒ่า วัดหงษ์ จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นศิษย์ในสายหลวงพ่อเชย วัดโพธิ์ทองล่างเหมือนกัน

เมื่อได้อุปสมบทแล้วอยู่กับพระอุปัชฌาย์ เพื่อศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยพอสมควรแล้ว ท่านก็ได้ออกเดินธุดงค์หาที่สงบฝึกวิปัสสนากัมมัฏฐาน และวิชาอาคมต่าง ๆ จากสำนักที่มีชื่อเสี่ยงโด่งดังในสมัยนั้นจนชำนาญดีแล้ว จึงกราบลาอาจารย์กลับบ้านเกิดของท่าน โดยมาพักอยู่ที่วัดร้างแห่งหนึ่งข้างหมู่บ้านของท่าน ชื่อวัดอู่ทอง ปัจจุบันนี้เรียกว่า วัดปากคลอง ชาวบ้านแถวนั้นมีความศรัทธาเลื่อมใสจึงนิมนต์ให้ท่านจำพรรษาอยู่ที่นั้น เพื่อที่ว่าจะได้สร้างวัดขึ้นมาใหม่ ดังนั้นท่านจึงได้อยู่ ณ ที่นั้นมาจนท่านมรณภาพ ในระหว่างที่ท่านมีชีวิตอยู่นั้น ได้เริ่มพัฒนาในท้องถิ่นให้เจริญรุ่งเรืองด้วยจากวัดร้างที่ไม่มีอะไรเลย จนถึง พุทธาวาส ธรรมาวาส และสังฆาวาส เป็นวัดที่สมบูรณ์แบบจนถึงทุกวันนี้ ยังมีพระอุโบสถและมณฑป ปรากฏให้เห็นอยู่ ส่วนการอบรมสั่งสอนนั้นท่านได้แนะแนวการประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ให้เห็นคุณและโทษของผลการปฏิบัติตนในทางที่ดีหรือไม่ดีอย่างไร จนประชาชนแถวนั้นมีความประพฤติดีมีศีลธรรมเป็นส่วนมาก

หลวงปู่ฯ ท่านเพลินอยู่ในธรรมเสียหลายปี จนกระทั่งมารดาท่านที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ได้ชราภาพลงตามอายุขัย และความเจ็บไข้มาเยือนอยู่บ่อยครั้ง ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยในบิดามารดาของท่านจึงได้เดินทางกลับสู่ภูมิลำเนาเดิม และได้อยู่จำพรรษาปีแรกๆ ที่วัดอู่ทองปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่โบราณที่อยู่ลึกเข้าไปในคลองมะขามเฒ่า หรือบริเวณต้นแม่น้ำท่าจีนในปัจจุบัน แต่ทว่าสภาพของวัดอู่ทองขณะนั้นได้เกิดการชำรุดทรุดโทรมลงตามสภาพ เกินกว่าที่จะบูรณปฏิสังขรณ์ให้กลับคืนมาสู่สภาพที่ดีได้ต่อไป ท่านจึงได้ขยับขยายออกมาที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และได้สร้างกุฏิขึ้นครั้งแรกหนึ่งหลังพอเป็นที่อยู่อาศัยไปพลางก่อน

สืบต่อมามารดาของหลวงปู่ๆ ได้ถึงแก่กรรมและได้จัดการฌาปนกิจศพ และในงานนี้เอง หลวงปู่ฯ ท่านได้สร้างวัตถุมงคลในรูปพระพิมพ์สี่เหลี่ยมซุ้มรัศมีออกแจกเป็นของที่ระลึกเป็นครั้งแรก เมื่อผู้ที่ได้รับแจกพระเครื่องจากท่านไปได้ปรากฏอภินิหารทางอยู่ยงคงกระพัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกันเขี้ยวงา คือสุนัขกันไม่เข้า ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่บังเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพราะบ้านนอกอย่างในชนบทสมัยก่อนนั้นไม่ค่อยจะมีรั้วรอบขอบชิดเสียเป็นส่วนใหญ่ ก็ได้อาศัยสุนัขที่เลี้ยงไว้เป็นยามเฝ้าบ้าน ฉะนั้นการที่จะแวะเวียนไปบ้านหนึ่งบ้านใดนั้นจะต้องระวังเรื่องสุนัขลอบกัดให้ดี มิฉะนั้นท่านจะถูกสุนัขกัดเอาง่ายๆ พระของหลวงปู่ฯ จึงมีชื่อเรื่องสุนัขกันไม่เข้า เป็นปฐมเหตุก่อน จึงบังเกิดความนิยมไปขอท่านมาแขวนคอบุตรหลานเพื่อกันเขี้ยวงาและภยันตรายต่างๆ สมัยก่อนพระวัดปากคลอง เนื้อตะกั่ว จะมีแขวนอยู่ในคอเด็กในท้องถิ่นเกือบจะทุกคน แล้วถ้าจะไปขอพรหลวงปู่ศุข ท่านมักจะถามว่า ?เอ็งมีลูกกี่คน?? ท่านจะให้ครบทุกคน

กิตติศัพท์ในความขลังประสิทธิในพระพิมพ์สี่เหลี่ยมของท่านจึงค่อยๆ เผยแพร่จากปากหนึ่งไปสู่อีกปากหนึ่ง ในเวลาไม่ช้าไม่นาน คุณวิเศษของท่านจึงค่อยๆ โด่งดังขจรขจายไปทั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาอันเป็นเส้นทางคมนาคมสายหลัก การขนส่งสินค้า ตลอดจาการทำมาค้าขาย จะขึ้นล่องจะต้องอาศัยสายน้ำเจ้าพระยาเพียงแห่งเดี่ยวเท่านั้น เพราะในสมัยนั้นถนนหนทางทางบกยังทุรกันดาร พอตกเพลาพลบค่ำพ่อค้าแม่ขายเรือเล็กเรือใหญ่จะมาอาศัยนอนค้างแรมที่แพหน้าวัดของท่าน เพื่ออาศัยบารมีของท่านช่วยป้องกันขโมยขโจรที่จะมาประทุษร้ายต่อเลือดเนื้อชีวิตและทรัพย์สิน ถ้าจะเปรียบไปแล้วหน้าวัดของท่านจึงเป็นเสมือนหนึ่งเป็นชุมทางที่สำคัญนี่ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่ช่วยเสริมส่งให้เกียรติคุณของท่านแผ่ขยายไปทั่วทุกภาคของประเทศ ชื่อเสียงของท่านจึงเป็นที่รู้จักกันดี ?หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า?

เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯฝากตัวเป็นศิษย์ :-

อนึ่ง มีผู้กล่าวว่าท่านมีวิชาอาคมเวทย์มนต์เก่งมาก สามารถเสกใบไม้ให้เป็นตัวต่อ ตัวแตน เสกหัวปลีให้เป็นกระต่าย เสกก้านกล้วยให้เป็นงูได้ และเรื่องอภินิหารของขลัง คงกระพันชาตรี มีอีกมากมาย อาจจะเป็นด้วย บุญกุศลของหลวงปู่ศุข กับ เสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระบิดาแห่งราชนาวี ซึ่งเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ นับลำดับราชสกุลวงศ์เป็นพระองค์ที่ ๒๘ และเป็นพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ที่ ๑ ในเจ้าจอมมารดาโหมด ธิดาพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) ได้สร้างสมกันมาแต่ชาติปางก่อน ดลบันดาลให้เสด็จในกรมฯ ซึ่งทรงศรัทธาเลื่อมใสในทางมหาพุทธาคมอยู่แล้วได้เสด็จประพาสไปในภาคเหนือ จึงเป็นเหตุให้หลวงปู่ศุขและพระองค์ท่านได้พบกัน และเป็นที่ต้องอัธยาศัยซึ่งกันและกัน จึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์ ? อาจารย์ เพื่อจักได้ศึกษาทางมหาพุทธาคม และปรากฏว่า พระองค์เป็นศิษย์ที่มีความรู้ความสามารถได้ศึกษาแตกฉานจนกระทั่งหลวงพ่อเองก็หมดความรู้ จึงได้ให้เสด็จในกรมฯ ไปศึกษาเคล็ดวิชากับหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จังหวัดพิจิตรต่อ ดังเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วนั้นและได้วาดภาพพุทธประวัติด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง ที่อุโบสถด้านในหน้าอุโบสถ ซึ่งปรากฏจนทุกวันนี้ หลวงปู่ศุข ท่านมีเมตตามากจึงมีศิษย์เป็นอันมากที่มาเรียนวิชาเหล่านี้ ท่านได้รับสมณศักดิ์ เป็นพระครูวิมลคุณากร และเป็นเจ้าคณะแขวง ( ปัจจุบันเรียกว่าเจ้าคณะอำเภอ ) เป็นองค์แรกของอำเภอวัดสิงห์ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเมื่อใด

เมื่อหลวงปู่ศุข ท่านมีลูกศิษย์อย่างเสด็จในกรมฯ จึงเป็นกำลังสำคัญให้ท่านสามารถที่สร้างวัดปากคลองมะขามเฒ่าให้เสร็จสมบูรณ์ ถาวรวัตถุทางพุทธศาสนาที่คงเหลือเป็นประจักษ์พยานในปัจจุบันนี้ก็คือ ภาพเขียนฝีมือเสด็จในกรมฯ บนฝาผนังพระอุโบสถ วัดปากคลองมะขามเฒ่า ที่ยังรักษาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ และเป็นภาพเขียนฝีมือเสด็จในกรมฯ บนฝาผนังพระอุโบสถ วัดปากคลองมะขามเฒ่า ที่ยังรักษาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ และเป็นภาพเขียนสีน้ำที่ทางกรมศิลป์ยกย่องว่าเสด็จในกรมฯ ทรงฝีมือในการเขียนภาพเป็นอย่างมาก และทรงสอดแทรกอารมณ์ขันในภาพพระพุทธเจ้าชนะมาร ในกระแสน้ำที่พระแม่ธรณีบีบมวยผมทำให้เกิดอุทกธาราหลากไหลพัดพาเอาทัพพระยามารไปนั้น พระองค์ท่านเขียนเป็นภาพลิงใส่นาฬิกาและหนีบขวดวิสกี้กำลังเดินตุปัดตุเป๋ไปเลย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฤาษีปัญจวัคคีเมื่อเห็นเจ้าชายสิทธัตถะเลิกทรมานการหันมากินอาหาร ก็นึกว่าพระองค์คงจะถ้อถอยละความเพียรแล้ว จึงพากันผละหนีพระองค์ไปนั้น เสด็จในกรมฯ ท่านเขียนใบหน้าของฤาษีปัญจวัคคี โดยสอดอารมณ์ที่ยิ้มเยาะเย้ยหยันอย่างไม่อะไรไยดีต่อพระองค์ เน้นความรู้สึกได้เด่นชัดมาก

ฝีมือของเสด็จในกรมฯ อีกชิ้นหนึ่งก็คือภาพเขียนสีน้ำมันเป็นรูปหลวงปู่ศุขยืนเต็มตัวและถือไม้เท้า ภาพนี้เขียนขึ้นในขณะที่หลวงปู่มีอายุมากแล้วจึงต้องเดินสามขา

ศิลปวัตถุในพุทธศาสนาที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า นอกจากพระอุโบสถแล้วยังมีมณฑปจตุรมุขประดิษฐ์บานรอยพระพุทธบาท ประตูทั้ง ๔ บานนั้นแกะด้วยไม้สัก แกะลวดลายลึกถึงสามชั้น เคยมีคนสมคบกันเอาบานประตูมณฑปจตุรมุขออกขาย เอาลงมากรุงเทพฯ เตรียมใส่เรือกระแชงในคลองมหานาคเพื่อออกต่างประเทศ ด้วยดวงวิญญาณในหลวงปู่ศุขท่านผูกพันอยู่กับศาสนาวัตถุที่ท่านสร้างเอาไว้ในบวรพุทธศาสนา ท่านจึงเข้าประทับทรงจากหิ้งบูชาจังหวัดนครสวรรค์ รับเอาท่านแม่ทัพที่นครสวรรค์ (ขออภัยผู้เขียนจำชื่อท่านไม่ได้) และมารับเอาท่านนายอำเภอประจำจังหวัดชัยนาทในขณะนั้น คือ คุณสุธี โอบอ้อม แล้วนั่งรถเข้ากรุงเทพฯ ร่างทรงหลวงปู่ฯ ได้พาคณะลดเลี้ยวเข้าครอกเข้าซอยจนมาถึงเรือกระแชงที่บรรทุกบานประตูมณฑปเตรียมขนออกนอกได้อย่างทันท่วงที ยึดเอาบานประตูทั้ง ๔ บาน คืนกลับไป ขณะนั้นยังคงเก็บรักษาไว้ที่วัดป่าพานิชวนาราม อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท และยังไม่ได้ส่งคืนวัดปากคลองมะขามเฒ่า เพราะเหตุอะไรนั้น ชาวจังหวัดชัยนาทเขาทราบกันดี

ปัจจุบันชาวจังหวัดชัยนาทผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใส ได้ร่วมกันสร้างรูปหุ่นขี้ผึ้งไว้ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า เพื่อจะได้ทำการสักการบูชาโดยทั่วกัน กรมทหารเรือเห็นความสำคัญ จึงได้ทำการบูรณะซ่อมแซมมณฑป เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๕ ทำให้ประชาชนทั้งใกล้และไกลต่างจังหวัด หลั่งไหลมาสักการะบูชาทุก ๆ วันมิได้ขาด วัดปากคลองมะขามเฒ่า จึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของจังหวัดชัยนาทต่อไป

เรื่องทรงเจ้าเข้าผีนี้ จะไม่เชื่อก็ไม่ได้ แต่ที่ทรงจริงๆ นั้นมันมีน้อย อย่างในกรณีดวงวิญญาณหลวงปู่ศุขประทับทรงแล้วซอกแซกลงมาจากนครสวรรค์ถึงกรุงเทพฯ เกือบ ๓๐๐ กม. แล้วยังพาคณะเข้าครอกตรอกซอยจนถึงเรือกระแชงที่จอดลอยลำอยู่ในคลองมหานาคนั้นมันเป็นการเดินทางที่สลับวับซ้อนและวกวนน่าดู แต่ร่างทรงก็พาคณะไปจนพบและยึดบานประตูกลับคืนมาได้นั้น มันเป็นเหตุการณ์อันมหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง และบานประตูมณฑปทั้ง ๔ บานดังกล่าวแล้วนั้น ทั้งเสด็จในกรมฯ และหลวงปู่ศุขได้ช่วยกันสร้างเป็นชิ้นสุดท้าย ระบุปี พ.ศ. ๒๔๖๕ อยู่ที่ซุ้มหน้ามณฑปอีกด้วย

ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์นอกจากจะถูกอัธยาศัยกันเป็นยิ่งนัก จักเดินทางไปมาหาสู่กันเสมอแล้ว ถ้าเสด็จในกรมฯ ติดราชการงานเมือง หลวงปู่ก็จะลงมาหา โดยเสด็จในกรมฯ ได้สร้างกุฏิอาจารย์ไว้กลางสระที่วังนางเลิ้ง ซึ่งเต็มไปด้วยดอกบัววิคตอเรีย มีใบกลมใหญ่ขนาดถาด และรู้สึกว่ากลางใบจะมีหนามคมด้วย อันนี้ได้รับคำบอกเล่าจากลุงผล ท่าแร่ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ติดสอยห้อยตามหลวงปู่ฯ มาแต่เล็ก ท่านเป็นชาวอุตรดิตถ์หรือพิษณุโลกจำได้ไม่ถนัดนัก หลวงปู่ศุขท่านขอพ่อแม่มาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม เมื่อสิ้นบุญหลวงปู่ฯ ท่านก็เลยลงหลักปักฐานได้ภริยาอยู่ที่ตำบลท่าแร่ อำเภอวัดสิงห์ ชัยนาท เลยเรียกกันติดปากว่า ลุงผล ท่าแร่

แต่อย่างไรก็ตาม ภายในกำหนด ๑ ปี หลวงปู่ศุขท่านจะต้องลงมากรุงเทพฯ ๑ ครั้งเป็นอย่างน้อย เพราะเสด็จในกรมท่านจะกระทำพิธีไหว้ครูราวๆ เดือนเมษายน งานจะจัดเป็น ๓ วัน วันแรกไหว้ครูกระบี่กระบอง วันที่สองไหว้ครูหมอยาแผนโบราณ และวันที่สามจะไหว้ครูทางวิทยายุทธ์พุทธาคมและไสยศาสตร์ จัดเป็นงานใหญ่มีมหรสพสมโภชทุกคืนกับมีการแจกพระเครื่องรางของขลังจากหลวงปู่ศุขอีกด้วย แต่ในระยะหลังๆ หลวงปู่ศุขท่านมีอายุมากแล้วสุขภาพไม่ค่อยจะสมบูรณ์เท่าใดนัก ท่านจึงไม่ค่อยจะได้ลงมา

จากการที่ผู้เขียนได้เคยศึกษาตำราอักขระเลขยันต์จากอาจารย์ท่านมหาโพธิ์ วัดคลองมอญ อำเภอวัดสิงห์ ชัยนาท ผู้สืบสายมาจากท่านใบฎีกายัง วัดหนองน้อย อำเภอวัดสิงห์ ชัยนาท ซึ่งเป็นฐานาในหลวงปู่ศุข และเป็นลูกศิษย์เอกของหลวงปู่ศุขรูปหนึ่ง ตำราอักขระเลขยันต์ซึ่งคุณหมอสำนวน ปาลวัฒน์วิไชย แห่งโรงพยาบาลประจำจังหวัดชัยนาท ซึ่งท่านได้ใช้เวลาค้นคว้าและรวบรวมพระเครื่องในหลวงปู่ศุข ตลอดจนประวัติและเรื่องราวของท่านตลอดมาเป็นเวลาหลายสิบปี ได้นำออกมาตีพิมพ์เผยแพร่เป็นหนังสือรวมเล่มขนาดหนานั้น ได้ตีพิมพ์ตำราอักขระเลขยันต์ของหลวงปู่ศุขที่สอนให้กับลูกศิษย์ของท่างลงไปด้วย และบางตอนบางหน้ายังเป็นลายมือของหลวงปู่อีกด้วย นับว่าเป็นการเปิดหูเปิดตาสำหรับผู้ที่สนใจจริงๆ แต่ทว่าในตำราอักขระเลขยันต์ของท่านนั้นเป็นความรู้ขั้นพื้นฐานทั่วๆ ไป ซึ่งมีอยู่ในตำรามหาพุทธาคมที่เราได้ร่ำเรียนกันอยู่ในปัจจุบันนี้ อย่างเช่นการเรียนสูตรสนธ์จากคัมภีร์รัตนมาลา ในพระอิติปิโส ๕๖ พระคาถาห้องพระพุทธคุณ ลงเป็นยันต์เกราะเพชรหรือตาข่ายเพชร ยันต์พระไตรสรณาคมน์ตลอดจนคัมภีร์นะ ๑๐๘ และ นะพินธุ หรือ นะปฐมกัลป์ หรือ นะโมพุทธายะใหญ่ และยันต์ประจำตัวของท่านที่ท่านใช้อยู่เป็นประจำก็คือ ตัวพุทธมวันโลก ที่ท่านใช้จารลงที่หลังพระพิมพ์สี่เหลี่ยมของท่าน นอกจากนั้นยังลงด้วยยันต์สามลง มะ อะ อุ ที่ขมวดยันต์ลงหลังรูปถ่ายของท่าน เรียกว่า ยันต์เพชรหลีกน้อย นอกจากนั้นท่านจะนิยมหนุนหรือล้อมด้วยธาตุทั้ง ๔ คือ นะ มะ พะ ทะ

อนึ่งการที่ท่านทำพระเครื่องรางของขลังได้ประสิทธิมีฤทธิ์มีเดชทั้งๆ ที่ใช้อักษรเลขยันต์พื้นๆ นั้น เป็นเพราะอำนาจจิตที่ท่านได้ฝึกฝนมานั้นกล้าแกร่งยิ่งนัก โดยเฉพาะกสิณธาตุทั้ง ๔ มี ดิน น้ำ ไฟ ลม นั้นเป็นพื้นฐานที่สำคัญ เป็นบ่อเกิดแห่งอำนาจอิทธิฤทธิ์ทางใจเลยทีเดียว สำหรับการสำเร็จวิชาชั้นสูงเรียกว่า มายาการ คือความเชื่อถือ และการปฏิบัติ ที่มุ่งหมายให้เกิดผล ด้วยการใช้พลัง หรืออำนาจเหนือธรรมชาติ เช่น ของขลัง พิธีกรรม หรือหลีกลี้ลับ บังคับให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ เช่น ท่านเสกใบมะขามให้เป็นตัวต่อตัวแตน เสกหัวปลีให้เป็นกระต่าย ตลอดจน การผูกหุ่นพยนต์ด้วยฟางข้าว เสกคนให้เป็นจระเข้ เป็นต้น มันเป็นมายาการชั้นสูง คือการบังคับให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ แท้ที่จริงแล้วใบมะขามก็คงเป็นใบมะขาม หัวปลีก็คงเป็นหัวปลี และหุ่นฟางก็คงเป็นหุ่นฟางเหมือนเดิม เว้นแต่ด้วยอำนาจจิตของท่านทำให้เราเห็นไปเอง

จากหนังสือ ?พระกฐินพระราชทาน สมาคมศิษย์อนงคาราม ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ เรื่องพระใบมะขาม? ท่านผู้เขียนอดีตเป็นพระมหา มีหน้าที่ไปอุปัฏฐากหลวงปู่ศุข ขณะที่อาราธนาท่านมาปลุกเสกพระชัยวัฒน์ และพระปรกใบมะขาม (พ.ศ. ๒๔๕๙) ได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า

?เมื่อข้าพเจ้าไปอุปัฏฐากหลวงพ่อแล้ว มีชาวบ้านชาววัดมาขอให้หลวงพ่อลงกระหม่อมบ้าง ลงตะกรุดพิสมรบ้าง โดยยื่นแผ่นเงิน ทอง นาก ให้ลงคาถา บางคนขอเมตตา บางคนขอการค้าขาย หลวงพ่อให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ลง

ข้าพเจ้าถามว่าการค้าขาย จะให้ลงว่ากระไร?

หลวงพ่อบอกว่า ?นะชาลิติ?

บางคนขอเมตตา ข้าพเจ้าถามว่า จะให้ลงว่ากระไร?

หลวงพ่อพูดติดตลกว่า ?เมตยายไม่เอาหรือ เอาแต่เมตตาเท่านั้นหรือ??

คนขอจึงบอกขอเมตตาอย่างเดียว ข้าพเจ้าถามว่า จะให้ลงว่ากระไร?

ท่านบอกว่า ?นะเมตตา โมกรุณา พุทธปราณี ธายินดี ยะเอ็นดู?

ข้าพเจ้าจึงบอกว่า ?หลวงพ่อครับ ผมไม่มีความขลัง ลงไปก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไร?

หลวงพ่อบอกว่า ?มันอยู่ที่ผมเสกเป่านะคุณมหา?

ข้อนี้ยืนยันว่าเป็นความจริง เพราะระหว่างนั่นข้าพเจ้าให้หลวงพ่อลงกระหม่อม แล้วท่านเสกเป่าไปที่ศีรษะตั้งหลายครั้ง เมื่อท่านเป่าที่กระหม่อมที่ไร ข้าพเจ้าขนลุกชันทั่วทั้งตัวทุกครั้ง ทั้งที่ข้าพเจ้าฝืนใจไม่ให้ขนลุกก็ลุกซู่ทุกครั้งที่ท่านเป่า ข้อนี้เป็นมหัศจรรย์จริงๆ ข้าพเจ้าคิดว่าจะเป็นแต่ข้าพเจ้าคนเดียว ไปสอบถามภิกษุอุปัฏฐากรูปอื่นๆ ก็ได้รับคำตอบเช่นเดียวกัน ข้อนี้ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า ?ท่านสำเร็จสมถะภาวนาแน่ๆ?

อนึ่ง ท่านเป็นพระที่น่าเคารพนับถือ สำรวมในศีลเป็นอย่างดี ไม่ใคร่พูดจา นั่งสงบอารมณ์เฉยๆ ไม่ถามอะไร ท่านก็ไม่ตอบไม่พูด บางอย่างข้าพเจ้าถามหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ตอบเลี่ยงไปทางอื่น เช่น ?เขาว่าหลวงพ่อเสกใบไม้เป็นต่อ และเสกผ้าเช็ดหน้าเป็นกระต่ายได้ และแสดงให้กรมหลวงชุมพรฯ เห็นจนยอมเป็นศิษย์?

หลวงพ่อตอบข้าพเจ้าว่า ?ลวงโลก? แล้วท่านก็นิ่งไม่ตอบว่าอะไรอีก

หลวงพ่อพูดต่อไปว่า ?เวลานี้กรมหลวงชุมพรฯ ไปต่างประเทศ (เข้าใจว่าไปรับเรือพระร่วง) ถ้าอยู่ก็ต้องมาหาท่าน และปรนนิบัติท่านจนท่านกลับวัด และว่ากรมหลวงชุมพรฯนี้ตกทะเลไม่ตาย แม้จะมีสัตว์ร้ายก็ไม่ทำอันตรายได้?

หลวงพ่ออยู่ที่กุฏิสมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม) พุทธสรมหาเถรเป็นเวลาสิบวันเศษ ได้ทราบว่าสมเด็จเรียนวิทยาคมกับหลวงพ่ออีกด้วย

มรณภาพ :-

ท่านมรณภาพเมื่อ เดือน ๑ ปีกุน พ.ศ. ๒๔๖๖ ไม่ปรากฏวันที่ที่แน่นอน คำนวณอายุได้ ๗๖ ปี วันสวดพระพุทธมนต์ทำศพอยู่ ๗ วัน ๗ คืน จึงประชุมเพลิง

อนึ่ง การที่เราคนรุ่นหลังจักเขียนเรื่องราวและวัตรปฏิบัติของหลวงปู่ศุข ซึ่งท่านมรณภาพล่วงไปแล้วกว่าครึ่งศตวรรษให้ได้ใกล้เคียงกับความจริงนั้น นับว่าเป็นเรื่องที่ยากมากๆ อาศัยหลักฐานทางเอกสารที่หลงเหลืออยู่บ้าง จากการไต่ถามบรรดาลูกศิษย์ลูกหาของท่านซึ่งส่วนมากจักล้มหายตายจากกันไปเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น การที่ท่านได้รับรู้จากการเขียนของ ?ท่านมหา? ซึ่งเคยอุปัฏฐากหลวงปู่ ดังกล่าวแล้วนั้นคงจักทำให้ท่านมองเห็นสภาพของหลวงปู่ศุข ได้ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด


666
ตอนที่ ๓



เมื่อตาผล ยายลา นางงุดจะล่องลงมาค้าขาย ก็ต้องออกไปล่ำลารดน้ำมนต์รับน้ำมาพรมสินค้า และพรมเรือ พรมคนแจว พรมบ้านเรือน เพื่อให้พ้นภัยอันตรายให้ซื้อง่ายขายคล่อง เวลาตาผลนางงุดกลับ ก็ต้องขึ้นสักการะท่านพระครู จึงบันดาลให้มีผู้นิยมรักแรงเข็งขอบไปทั้งเมืองเหนือเมืองใต้ มีคนเกรงใจเชื่อหน้าถือตา เมื่อจะค้าก็ไม่ต้องลงทุนได้ผ่อนทรัพย์ออกไปหมุนหาดอกเบี้ย และปัวเปียเข้าหุ้นกับพ่อค้าใหญ่ๆ ก็ได้กำรงอกงาม ตามประวัติการแห่งพาณิชยกรรม ร่ำมาด้วยประการดังนี้

(เรียบเรียงตามเค้ารูปภาพในฉากที่หนึ่ง คงได้ความเพียงนี้)

เรื่องที่ว่า ตาผล ยายลา นางงุด ค้าขายเกิดหนุนพูลเถา ได้กำไรมั่งมี ถึงกับย้ายถิ่นฐานภูมิลำเนาเดิมมาตั้งหลักฐานอยู่ในแขวงเมืองพิจิตรนั้น เรียงความตามเค้ารูปภาพในฝาผนังเป็นฉากที่ ๒ เจ้าของท่านเขียนเป็นรูปเมืองพิจิตร เขียนรูปเจ้าเมืองพิจิตรกำลังมีงาน เขียนรูปวัดใหญ่ในเมืองพิจิตร เขียนรูปท่านพระครูใหญ่ เขียนรูปสามเณรโตเรียนหนังสือ เขียนรูปสามเณรโตทดลองวิชาที่เรียนจากท่านพระครูใหญ่วัดใหญ่ เขียนบ้านเรือน ตาผล ยายลา นางงุด เขียนหนูโต ๗ ขวบ พิจารณาแล้วลงสันนิษฐาน อนุมานแปลออกจากใบ้ในรูปภาพประวัติฉากที่ ๒ ของท่าน คงได้เรื่องได้ความ ดังจะเล่าสู่กันฟังดังนี้

ครั้นถึงปีขาล จัตวาศก จุลศักราช ๑๑๔๔ แผ่นดินพระเจ้ากรุงธนบุรีสิ้นอำนาจแล้ว เป็นปีที่สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ได้ขึ้นเถลิงถวัลราชย์ปราบดาภิเษกเปลี่ยนเป็นปฐมบรมจักรีพระองค์แรก และย้ายพระมหานครมาข้างฝั่งตะวันออกแห่งกรุงธนบุรี ตรงหัวแหลมระหว่างวัดโพธิและวัดสลัก เป็นวัดเก่ามากทั้ง ๒ วัด เป็นคราวผลัดแผ่นดินใหม่ ทรงขนานนามพระนครใหม่ว่า กรุงเทพพระมหานครฯลฯ พระบรมราชนามาภิไธยว่า สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ กรุงเทพฯ ทรงตั้งเจ้าพระยาสุรสีห์น้องชาย เป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ามหาสุรสีหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ทรงตั้งมเหสีเดิม เป็นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ทรงตั้งสมเด็จพระจ้าหลานเธอเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์เทเวศร์ ขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าภคิเณยราชกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ฝ่ายพระราชวังหลังรับพระราชบัญชา

ฝ่ายหนูโตบุตรชายของนางงุดเมืองพิจิตรนั้น มีชนมายุได้ ๗ ขวบ ครั้นการบ้านเมืองสงบเรียบร้อยเป็นปกติแล้ว นางงุดจึงได้นำหนูโต อายุ ๗ ขวบ นั้นเข้าไปถวายท่านพระครูใหญ่ เมืองพิจิตร ให้เป็นศิษย์เรียนหนังสือไทย หนังสือขอมและกิริยามารยาท และขนบธรรมเนียมการวัด การบ้านการเมือง การโยธา การเรือน การค้าขาย เลขวิธี การของผู้อยู่ การของผู้ไป การรับการส่ง การที่เจ้าจะใช้นายจะวาน การไว้ท่าวางทาง ทำท่วงทำทีสำหรับผู้ลากมากดี ในสำนักนี้ ท่านพระครูใหญ่วัดใหญ่นั้น

ครั้นถึงปีวอก สัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๑๕๐ อายุหนูโตได้ ๑๓ ขวบ เป็นคราวที่จะทำการโกนจุกแล้ว ตาผล นางงุดจึงรับเข้าพักอยู่ที่บ้าน เพื่อระวังเหตุการณ์ แล้วจึงจัดบ้านช่องค้ำจุนหนุนเตาหม้อ ก่อเตาไฟ ซ่อมบันได เตรียมเครื่องครัวพร้อมกำหนดวันฤกษ์งามยามดี หนีกาฬกิณีตามวิธีโหราจารย์บุราณประเพณีได้วันดีแล้ว ในเดือน ๖ ข้างขึ้น จึงเผดียงท่านพระครูใหญ่พระอาจารย์พระเจ้าอธิการวัด พระฐานา พระที่เป็นญาติและพระที่เป็นมิตรรวม ๑๑ รูป กำหนดวันเวลาแล้วเผดียงสวดมนต์ฉันเช้า และเชิญท่านเจ้าเมืองกรมการผู้ใหญ่ พ่อค้าแม่ค้า คฤหบดี คฤหปตานี เจ้าภาษี นายอากร อำเภอ กำนัน พันทะนายบ้าน นายกองขุนตำบล และคณะญาติผู้ใหญ่ผู้น้อยรอบคอบแล้ว จัดกระจายใบบัวบรรจุขนมของกิจและผลาผลกับปิยจรรหรรมัจฉมังสาหาร เป็นเครื่องไทยทาน ถวายแถมพกตอนเช้า ผ้าไตรจีวรถวายตอนเย็น หาเสภามาขับตลอดกลางคืน หาละครสมโภชในตอนทำขวัญ แล้วบุดาษมุงบัง ปู ปัด จัดตั้งพร้อมทุกสิ่งทุกประการ

ครั้นถึงวันกำหนด พระสงฆ์มา แขกก็มา จัดบุคคลที่สมควรรับรองเชื้อเชิญนั่งลุกตามขนบธรรมเนียมอย่างชาวเหนือในเวลานั้น เริ่มการสวดมนต์ตั้งหม้อเต้าน้ำสังข์มังมี มีดโกนด้ามสามกษัตริย์ บัตรบายศรีมีพร้อมในโรงพิธีบนหอนั่งเป็นที่เอิกเกริก สวดมนต์พระสงฆ์แล้วก็จัดแจงเลี้ยงดูกันอิ่มหนำสำราญ พอตกพลบค่ำ ก็จุดตามประทีปโคมไฟสว่างมีเสภารำต่อไป

ครั้นเวลาเช้าวันรุ่งขึ้น พระสงฆ์มาพร้อมตามเวลา แขกที่เชิญมานั่งพร้อมตามกำหนดนัด นำหนูโตออกจากเรือน มานั่งในโรงพิธีที่หอนั่ง ฟังพระสงฆ์สวดชัยมงคลคาถาแล้วได้เวลากำหนดฤกษ์ พระสวดชะยันโต ท่านเจ้าเมืองหยิบกรรไกรยกกระบัตรแหวกจุกผูกสามรอบเรียกว่าไตรสิงขร พระสวดถึง (ปัลลังเกสีเส) ท่านเจ้าเมืองลงกรรไกรคีบจุกขาดออกทั้งสามจอบแล้วโกนด้วยมีดด้ามนาค ด้ามเงิน ด้ามทอง เรียกว่ามีดสามกษัตริย์

ถามว่า เหตุไฉนจึงทำกันอย่างนี้

ตอบ เดิมเป็นทางมาตามคัมภีร์ไสยศาสตร์ก่อน

ภายหลังพราหมณ์นำมาเชื่อมกับพุทธศาสตร์ (แต่ผู้เรียบเรียงมีความเห็นว่า ท่านบุราณคณาจารย์คงจะคิดเห็นตามศัพท์ว่า สัพเพเต อันตรายา ฯลฯ ชะรอยท่านจะแปลคำว่า เต ว่า ๓ ท่านจะไม่แปลคำ เต ว่า เหล่านั้น จึงทำ ๓ แหยม เป็นปอยๆ )

ครั้นพนักงานโกนผมที่ศีรษะหนูโตหมดแล้วจึงอุ้มหนูโตออกไปนั่งเตียงเบญจา ท่านเจ้าเมืองรดน้ำมนต์ด้วยสังข์ก่อน แล้วบรรดาแขกที่เชิญมาและคณะญาติมิตรก็ช่วยรดน้ำหลั่นกันลงไป เสร็จการรดน้ำแล้วก็อุ้มหนูโตเข้าเรือนจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าต่อไป

ฝ่ายพนักงานยกสำรับก็ยกมา พวกใส่บาตรก็ใส่ไป เสร็จแล้วก็ยกประเคนพระ พระลงมือฉัน ครั้นพระเสร็จจากภัตตกิจแล้ว เจ้าของงานก็จัดแจงถวายเครื่องไทยทานตามที่จัดไว้และเพิ่มเติมค่าจตุปัจจัยตามควร พระอนุโมทนาแล้วกลับไป

ฝ่ายเจ้างานก็จัดแจงเลี้ยงดูปูเสื่อกันเสร็จ แล้วจึงตั้งระเบียบบายศรี แว่นเวียนแวดล้อมญาติมิตรคนเชิญขวัญก็มานั่ง จึงอุ้มหนูโตออกมานั่งกลางหอนั่งให้คอยฟังคนเชิญขวัญร่ำรำพรรณ พรรณาสิ้นวาระ ๓ จบแล้ว ก็ออกเทียน แว่นที่มีรูปหอยออกก่อน เวียนเป็นทักษิณาวัฏ ๓ รอบแล้ว ผู้อวยพรก็รับมาเศกวิศณุเวทย์มนตราคมน์ เป่าลมแล้วระบายควันดับเทียนนั้นเป่าควันให้กุมารได้รับสัมผัส แล้วผจงผลัดผ้าหุ้มคลุมบายศรี หยิบเครื่องพลี มีกุ้งพล่าและปลายำ สิ่งละคำคุกเข่าป้อน เปิดมะพร้าวอ่อน ช้อนตักน้ำนำให้ซด จุณจันทน์บทกระแจะเจิมเสกส่งเสริมสวัสดี ตามพิธีไสยศาสตร์ พวกพิณพาทย์บรรเลงเพลงครื้นเครงโครม เสียงส่งสำเนียงโห่สนั่น เมื่อทำขวัญกุมารโตเป็นทะโหราดิเรก เป็นเอ้เอกอึกกระธึก ที่ระลึกทั่วไปสำหรับให้เป็นตัวอย่างคนลางบางในภายหลัง จะได้ฟังเป็นการดี ครั้นทำพิธีทำขวัญแล้ว เป็นที่แผ้วผ่องภิญโญ กุมารโตจึงส่งผ้าให้มารดารับไว้ เก็บเข้าไปในเรือนพลัน พวกลงขันยื่นเงินตราให้เสื้อผ้าตามฐานะ ไม่เกณฑ์กะเป็นอัตราเคยมีมาแต่โบราณ

ครั้นการนั้นเสร็จแล้ว โดยสะดวกเรียบร้อยทุกประการ พวกละครรำก็โหมโรงเล่นไปวันหนึ่งจึงเลิกงาน แล้วเลี้ยงดูกันสำราญในเวลาเย็นอีกคราวหนึ่ง ครั้นล่วงมาอีก ๗ วัน นางงุดจึงนำกุมารโตบุตรออกไปมอบถวายท่านพระครูวัดใหญ่ในเมืองพิจิตรอีก แล้วให้ท่านสอนสามเณรสิกขา นาสะนังคะให้รู้ข้อปฏิบัติในวัตรทางสามเณรภูมิต่อไป

ครั้นถึงเดือน ๘ ปีวอกนั้นเอง นางงุดมารดาและคณาญาติใหญ่น้อย ได้จัดบริขารไตรจีวรและย้อมรัดประคดของบิดาที่ได้กำชัดมอบหมายไว้แต่เดิมนั้นเป็นองคะพันธบริขารพร้อมทั้งบาตรโอตะลุ่ม เสื่อมุ้งน้ำมันมะพร้าวตะเกียง กับเครื่องถวายพระอุปัชฌาย์และถวายพระอันดับอีก ๔ องค์ แล้วพากันออกไปที่วัด อาราธนาท่านพระครูให้ประทานบรรพชาแก่กุมารโตและขอสงฆ์นั่งปรกอีก ๔ องค์ รวมเป็น ๕ ทั้งพระอุปัชฌาย์ลงโบสถ์ พระครูก็อนุมัติตามทุกประการ

ครั้นสามเณรโตได้บรรพชาเสร็จแล้ว ก็ตั้งใจเคร่งครัด เกรงต่อพระพุทธอาญา อุตสาห์เอาใจใส่ปรนนิบัติพระอุปัชฌาย์ทุกวันวาร อุตสาห์กิจการงานในหน้าที่ อุตสาห์เล่าเรียนคัมภีร์มูละกัจจายนะปกรณ์ เป็นต้นว่าเล่าสูตรจบเล่าโจทย์จบจำได้แม่นยำดี เรียนบาลีไวยากรณ์ ตั้งแต่สนธิ นาม และษมาส ตัทธิต อุณณาท กริต การก และสนธิพาละวะการ สัททะสาร สันททะพินธุ์ สัททะสาลินี คัมภีร์มูลทั้งสิ้นจบสิ้นบริบูรณ์แม่นยำจำได้ดี ถึงเวลาค่ำราตรีก็จุดประทีปถวายพระอุปัชฌาย์นวดบาทาบีบแข้งขานวดเฟ้น หมั่นไต่ถามสอบทานในการที่เรียนเพียรหาความตามภาษาเด็ก ถามเล็กถามน้อยค่อยๆออเซาะพูดจาประจ๋อประแจ๋ กระจุ๋มกระจิ๋มยิ้มย่องเป็นที่ต้องใจในท่านพระครุอุปัชฌาย์ ท่านเกิดเมตตากรุณาแนะนำธรรมปริยาย ท่านต้องขยายเวทย์มนต์ดลคาถาสำหรับ แรด หมี เสือ สาง ช้าง ม้า มะหิงษา โคกระทิงเถื่อนที่ดุร้าย จระเข้เหราว่ายวนเวียนไม่เข้าใกล้ สุนัขป่า สุนัขไน สุนัขบ้าน อัทธพาล คนเก่งกาจฉกรรจ์เป่าไปให้งงงันยืนจังงัง ตั้งฐานภาวนาบริกรรมทำศูนย์ตรงนี้ฯ ตั้งสติไว้เบื้องหน้าแห่งวิถีจิตต์อย่างนี้ๆ ท่านบอกกะละเม็ดวิธีสอนสามเณรให้ชำนิชำนาญ รอบรู้ในวิทยาคุณคาถามหานิยม เกิดเป็นมหาเสน่ห์ทั่วไป สามเณรโตก็อุตสาห์ร่ำเรียนได้ในอาคมต่างๆ หลายอย่างหลายประการ ออกป่าเข้าบ้านทดลองวิชาความรู้ ในวันโกนวันพระที่ว่างเรียนมูละปกรณ์แล้ว ก็ต้องทดลองวิชาเบ็ดเตล็ดเป็นนิตยกาล จนคล่องแคล่วชำนิชำนาญใช้ได้ดังประสงค์ทุกอย่าง

ครั้นถึงปีจอ โทศก จุลศักราช ๑๑๕๒ อายุสามเณรโตได้ ๑๕ ปี บวชเป็นเณรได้ ๓ พรรษา เล่าเรียนคัมภีร์มูละกัจจายนะปกรณ์จบ เข้าใจไวยากรณ์ รู้สัมพันธ์บริบูรณ์ ครั้นถึงเดือน ๑๒ ปีจอ โทศกนั้น สามเณรโตเกิดกระสันใคร่เรียนคัมภีร์พระปริยัติศาสนาต่อไป

ฝ่ายท่านพระครูได้ฟังคำสามเณรโต เข้ามาร้องขอเรียนคัมภีร์พระปริยัติธรรม อีกท่านก็อั้นอกอึกอักอีก ด้วยคัมภีร์พระปริยัติได้กระจัดกระจายตกเรี่ยเสียหายป่นปี้มาก แต่ครั้งพม่าเข้ามาตีกรุง ซ้ำสังฆราชเรือง เผยอตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าแผ่นดิน ทำให้สมบัติของวัดวาอารามเสียหายหมดอีกเป็นคำรบ ๒ ซ้ำร้ายพวกผู้ร้ายเข้าปล้นพระพุทธศาสนาคว้าเอาพระคัมภีร์ปริยัติ สำหรับวัดนี้ไปจนหมดสิ้นเป็นคำรบ ๓ และวัดแถบนี้ก็หาตำราหยิบยืมกันยาก ถึงจะมีบ้างก็เล็กน้อยสักวัดละผูกสองผูก ก็จะไม่พอแก่สติปัญญาของออสามเณรโต จะเป็นทางกระดักกระเดิก ครั้นกูจะปิดบังเณรเพื่อหน่วงเหนี่ยวชักนำไปทางอื่นก็จะเป็นโทษมากถึงอเวจี ควรกูจะต้องชี้ช่องนำมรรคาจึงจะชอบด้วยพระพุทธศาสนาตามแบบพระอรหันตาขีณาสพแต่ก่อนๆ ท่านได้กุลบุตรที่ดีมีสติปัญญาวิสาระทะแกล้วกล้า สามารถจะทำกิจพระศาสนาได้ตลอด ท่านก็มิได้ทิ้งทอดหวงห้ามกักขังไว้ ท่านย่อมส่งกุลบุตรนั้นๆไปสู่สำนักพระมหาเถระเจ้าซึ่งเชี่ยวชาญต่อๆ ไปเป็นลำดับจนตลอดกุลบุตรนั้นๆ ลุล่วงสำเร็จกิจตามประสงค์ทุกๆพระองค์มา ก็กาลนี้สามเณรโตเธอก็มีปรีชาว่องไว มีอุปนิสัยยินดีต่อพระบวรพุทธศาสนามากอยู่ ไม่ควรตัวกูเป็นอุปัชฌาย์อาจารย์จะทานทัดขัดไว้

ครั้นท่านดำริเห็นแจ่มแจ้งน้ำใจที่ถูกต้องตามคลองพระพุทธศาสนานิกมณฑลฉะนี้แล้ว ท่านจึงมีเถระบัญชาแก่สามเณรโตดังนี้

เออแน่ะ สามเณรโต ตัวกูนี้มีคัมภีร์มูล กูชอบและกูสอนกุลบุตรได้ตลอดทุกคัมภีร์ แต่กูก็มีแต่คัมภีร์มูลครบครัน เหตุว่ากูรักกูนิยม กูรวบรวมรักษาไว้ ถึงว่าจะขาดเรี่ยเสียหายกระจัดกระจายไป ก็จัดงานซ่อมแซมขึ้นไว้จึงเป็นแบบแผนพร้อมเพรียงอยู่ เพราะกูมีนิสัยรู้แต่เรื่องมูลและไวยากรณ์เท่านั้น แต่คัมภีร์ปริยัติธรรมนั้นเป็นของสุดวิสัยกู กูไม่ได้สะสมตำรับตำราไม่มีคัมภีร์ฎีกาอะไรไว้เลย ในตู้หอไตรเล่าก็มีแต่หอและตู้อยู่เปล่าๆ ถ้าหากว่ากูจะเที่ยวยืมมาแต่อารามอื่นๆ มาบอกมาสอนเธอได้บ้าง แต่กูไม่ใคร่จะไว้ใจตัวกู ก็คงบอกได้แต่ก็คงไม่ดี เพราะกูไม่สู้ชำนาญในคัมภีร์พระปริยัตินัก จะกักเธอไว้ ก็จะพาเธอโง่งมงายไปด้วย เพราะครูโง่ลูกศิษย์ก็ต้องโง่ตาม กูเองก็เป็นเพราะเหตุนี้จึงได้ยอมโง่ แต่ครั้นมาถึงเธอเข้าจะทำให้เธอโง่ตามนั้นไม่ควรแก่กู และว่าถ้าเธอมีศรัทธาอุตสาหะใคร่แท้ในทางเรียนคัมภีร์พระปริยัติศาสนาแน่นอนแล้ว กูจะบอกหนทางให้ กูจะแนะนำไปถึงท่านพระครูวัดเมืองไชยนาท ท่านพระครูเจ้าคณะพระองค์นี้ดีมาก ทั้งท่านก็คงแก่เรียน ทั้งเป็นผู้เอาใจใส่หมั่นตรวจตราสอบสวนศัพท์แสงถ้อยคำบาบาทพระศาสนาเสมอ ทั้งบอกพระบอกเณรเสมอ จึงเรียกว่ามีความรู้กว้างขวางทางคัมภีร์พระพุทธศาสนา อรรถฎีกาก็มีมาก ทั้งท่านเอาใจใส่ตรวจตรารวบรวมหนังสือไว้มาก ถึงนักปราชญ์ในกรุง ท่านก็ไม่หวั่นหวาดสยดสยอง

ถ้าเธอมีความอุตส่าห์จริงๆ เธอก็พยายามหาหนทางไปเรียนกับท่านให้ได้เธอจะรู้ธรรมดีทีเดียว

ฝ่ายสามเณรโตได้สดับคำแนะนำของท่านพระครูผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ดั่งนั้นเธอยิ่งมีกระสันเกิดกระหายใจใคร่เรียนรู้ จึงกราบลาท่านพระครู เลยเข้าไปบ้านอ้อนวอนมารดาและคุณตาโดยอเนกประการ เพื่อจำให้นำไปถวายฝากมอบกับท่านครูจังหวัด วัดเมืองไชยนาทบุรี

ฝ่ายคุณตาผล นางงุดโยมผู้หญิง ฝังสามเณรโตมาออดแอดอ้อนวอนก็คิดสงสารไม่อาจขัดขวางห้ามปรามได้ จึงได้รับคำสามเณรว่าจะนำจะพาไปฝากให้ ขอรอให้จัดเรือจัดคนขัดเสบียงอาการก่อนสัก ๒ วัน จะพาไป สามเณรโตได้ฟังก็ดีใจกลับมาสู่อารามเดิม

ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเย็นๆ นางงุด ตาผลจึงออกไปกราบเรียนบอกความประสงค์สามเณรโตแก่ท่านพระครูสัดใหญ่ทุกประการ แล้วขอลาพาเณรไปส่งตามใจในวันรุ่งเช้าพรุ่งนี้ ท่านพระครูก็ยินดีอนุญาตตามประสงค์ ทั้ง ๒ ผู้ใหญ่นั้นก็ลากลับมาบ้านจัดเรือจัดคนจัดเสบียงอาการไว้พร้อมเสร็จจบริบูรณ์ ครั้นได้เวลารุ่งเช้าสามทเณรโตเข้าไปฉันที่บ้าน ครั้นฉันเช้าแล้วก็ลงเรือแขวออกไปทางแม่น้ำไชยนาทบุรี

(สิ้นข้อความในรูปภาพประวัติสมเด็จโตที่ฝาผนังฉากที่ ๒)

ทีนี้จะได้แปลจากรูปภาพที่ฝาผนังโบสถ์วัดอินทรวิหาร สมเด็จโต ท่านให้ช่างเขียนประวัติของท่าน เมื่อท่านได้ผ่านมาเรียนพระปริยัติธรรมในสำนัก ท่านพระครูหัวเมืองไชยนาทบุรี เจ้าของท่านเขียนไว้ดังนี้

เขียนท่าวัดเมืองไชยนาทบุรี เขียนเรือท่านจอดอยู่ที่ท่าวัด เขียนจรเข้ชึ้นทางหัวเรือของท่าน เขียนคนหัวเรือของท่านนอนหลับ เขียนคนที่สองตกใจตื่นลุกขึ้นโยงโย่ฉุดคนหัวให้ถอยเข้ามาเพื่อให้พ้นปากจรเข้ เขียนคนแจวคนที่สามนั่งไขว่ห้างหัวเราะ เขียนคนบนบ้าน ๓ คน แม่ลูกยายเหนี่ยวรั้งกันขึ้นบ้านเรือน กระโตงกระเตงกระต่องกระแต่งเพื่อหนีจรเข้ เขียนตาผลนายเรือออกมายืนตัวแข็งอยู่ที่อุดเรือ เขียนรูปสามเณรโตเรียนคัมภีร์กับท่านพระครูจังหวัด วัดเมืองไชยนาทบุรี

ผู้เรียบเรียงจึงอนุมาน สันนิษฐานตามลักษณะพร้อมกับเหตุผลแล้วแปลเป็นเรื่อง ความดังนี้

ครั้นคนแจว แจวเรือเป็ดมาสุดระยะทาง ๒ คืนก็ถึงท่าเรือวัดเมืองไชยนาทบุรี จึงได้จอดเรือเข้าที่ท่าในเวลากลางคืน คนแจวเรือจอดเรือเรียบร้อยแล้ว จึงอาบน้ำดำเกล้าแล้วพักนอนในเรือทั้ง ๓ คน

ครั้นเวลารุ่งเช้าสว่างแล้ว เจ้าจระเข้ใหญ่ในน่านน้ำท่านั้น ก็ขึ้นเสือกตัวมาตรงหัวเรือเป็ดของตาผลนั้น คนบนเรือริมตลิ่ง ๓ คน แม่ลูกหญิงผู้ใหญ่ลงอาบน้ำหน้าบันไดแต่เช้า ครั้นเห็นจระเข้ขึ้นจะคาบคนนอนหลับที่หัวเรือใหญ่ จึงพากันตกใจกลัว แล้วร้องบอกกล่าวกันโวยวายขึ้น คนแจวที่ ๒ นอนถัดเข้ามา ได้ยินเสียงคนบนบ้านเรือนนั้นร้องเอะอะโวยวายจึงตกใจตื่นขึ้น เห็นจระเข้ขึ้นที่ตรงหัวเรือลุกขึ้นโยงโย่จับบั้นเอวคนนอนหลับหัสเรือ เพื่อจะให้พ้นจากปากจะเข้ ส่วนคนแจวเรือคนที่ ๓ ก็ตื่นขึ้นนั่งไขว่ห้างหัวเราะ คนบนบ้านที่กำลังหนีจระเข้ขึ้นบันไดผ้าผ่อนหลุดลุ่ยล่อนจ้อน ลูกเด็กหญิงเหนี่ยวขาแม่ นางแม่เหนี่ยวขายาย ยายผ้าลุ่ยหมด ก้าวขาต่อไปก็ก้าวไม่ออก ตาผลอยู่ในเรือก็โผล่ออกมายืนดูอยู่หน้าเรืออุดเฉย จะว่าอย่างไรก็ไม่ว่าดูชอบกล

ฝ่ายสามเณรโตก็ลุกขึ้นนั่งภาวนาอยู่ในประทุนเรือ จระเข้ขึ้นมาแล้วก็อ้าปากไม่ออกจมก็ไม่ลง และไม่วาดไม่ฟาดหางทั้งนั้น ดูอาการอ่อนมาก คนบนบ้านก็งง คนในเรือก็งันอยู่ท่าเดียว

ครั้นเวลาเช้า โยมของสามเณรโต ก็จัดแจงหุงต้มอาหารอยู่ตอนท้ายเรือเป็ดนั้น ครั้นได้เวลาก็จัดแจงเลี้ยงดูกัน ถวายอาหารให้เณรขบฉันเสร็จแล้วพอถึงเวลา ๓ โมงเช้า ก็พาเณรขึ้นจากเรือ เณรเดินหน้า ตาผลตามเณร นางงุดโยมผู้หญิงพากันเดินตามเป็นแถว ขึ้นกุฏิท่านพระครู ครั้นถึงท่านพระครูแล้วต่างคนต่างปูผ้าลงกราบกันเป็นแถว เณรก็ยืนวันทาแล้วลงกราบท่านพระครูแล้วนั่ง

ฝ่ายท่านพระครูเจ้าวัดเมืองไชยนาทบุรี จึงมีปฏิสัณฐานปราศรัยไต่ถามถึงเหตุการณ์ที่มา ถามถึงบ้านช่อง และถามความประสงค์

ฝ่ายตาผลจึงกราบเรียนท่านว่า เณรหลานชายของเกล้ากระผม บวชอยู่ในสำนักท่านพระครูใหญ่ เจ้าคณะวัดใหญ่ ในเมืองพิจิตร ได้ร่ำเรียนบาลีไวยากรณ์ทั้ง ๕ คัมภีร์จบแล้ว เณรใคร่จะเรียนคัมภีร์ใหญ่ต่อไป จึงขอเรียนที่ท่านพระครูวัดใหญ่ แต่ท่านไม่เต็มใจสอนเณรและท่านพระครูวัดใหญ่ได้แนะนำเณรให้ได้มาสู่สำนักพระเดชพระคุณเพื่อเล่าเรียนคัมภีร์ใหญ่กับพระเดชพระคุณแล้วจะมีความรู้ดีกว่าเรียนกับท่านๆ แนะนำมาดังนี้ เณรดีใจเต็มใจใคร่เรียนในสำนักของพระเดชพระคุณ เณรจึงมารบเร้าเกล้ากระผมและมารดาเณร ขอร้องให้เกล้ากระผมเป็นผู้นำมาสู่สำนักพระเดชพระคุณ ในวันนี้เกล้ากระผมพร้อมด้วยมารดาเณร ขอถวายเณรให้เป็นศิษย์เรียนพระคัมภีร์กับพระเดชพระคุณต่อไป

ครั้นกล่าวสุดถ้อยคำแล้วจึงบอกให้เณรถวายดอกไม้ธูปเทียนต่อท่านพระครู ฝ่ายท่านพระครูผู้รู้พระปริยัติธรรมเมืองไชยนาทบุรี จึงรับเครื่องสักการะแล้ว พิจารณาดูเณรก็รู้ด้วยการพินิจพิจารณาว่า สามเณรนี้มีวาสนาบารมีธรรมประจำอยู่ สรรพอวัยวะก็สมบูรณ์โตพร้อมไม่บกพร่องต้องตามลักษณะ ท่านก็ออกวาจาว่า รูปจะช่วยแนะนำเสี้ยมสอนให้มีความรู้ในคัมภีร์ต่างๆ ตามวัยและภูมิของสามเณรดังที่โยมทั้ง ๒ ได้อุตส่าห์มาทางไกล ไม่เป็นไร รูปจะช่วยให้สมดังปรารถนาทุกประการ


667
ตอนที่ ๒



ฝ่ายเจ้าพระยาจักรีนั้น ครั้นส่งเสด็จแล้ว จึงจัดกองทัพออกติดตามสกัดจับพม่าตีรุกหลังพม่าแตกฉานเป็นหลายทัพ จับได้รี้พลช้างม้าเป็นอันมาก ทั้งตัวเจ้าพระยาจักรีเองก็ยกทัพหนุนไปด้วย จนถึงเมืองกำแพงเพชร แล้วจัดการพิทักษ์รักษาเมืองโดยกวดขัน ส่วนตัวท่านเจ้าพระยาเองก็ออกขี่ม้าสำรวจตรวจตรากองทัพน้อยๆทั่วไป เพราะใส่ใจต่อหน้าที่ราชการจนพม่าไม่กล้าหาญชิงเอาเมืองเหนือใต้ ต้องหนีออกไปทางด่านชั้นนอก พ้นเขตแดนสยาม กองทัพไทยไล่จับพม่าที่ล้าหลังได้ไว้เป็นกำลังราชการเป็นอันมาก ทัพอะแซหวุ่นกี้ล่าทัพออกพ้นประเทศอาณาเขตสยามในคราวนี้ตามกำหนดมีว่าเดือน ๗ ปีมะแม สัปตศก จุลศักราช ๑๑๓๗ ปี

ครั้งนั้นเจ้าพระยาจักรี ตั้งทัพอยู่ ณ เมืองกำแพงเพชร เวลาเช้าวันหนึ่งออกลาดตระเวนกองทัพทั้งปวงเพื่อบัญชาการ และชักม้าวกลัดเพื่อตัดทาง ม้าก็เลยพาท่านเข้าป่าฝ่าพงจำเพาะมายังบ้านปลายนาใต้เมืองกำแพงเพชร เป็นเวลาเย็น จึงแลเห็นโรงหนึ่งตั้งอยู่ปลายทุ่งนา เจ้าคุณแม่ทัพผู้นั้นจึงได้ชักม้าไปถึงโรงนั้นไม่เห็นมีคนผู้ใหญ่อยู่ได้ เห็นแต่หญิงสาวตนหนึ่งเดินออกมา เจ้าคุณแม่ทัพผู้นั้นจึงบอกแก่นางสาวคนนั้นว่า ข้ากระหายน้ำ เจ้าจงตักน้ำมาให้ข้ากินสักขันเถิด นางสาวคนนั้นจึงวิ่งด่วนเข้าไปในห้อง หยิบได้ขันล้างหน้าใบหนึ่งแล้วจ้วงตักน้ำในหม้อกลั่น แล้วล้วงไปหักดอกบัวหลวงในหนองน้อยข้างโรงนั่นสองสามดอก แล้วฉีกกลีบเด็ดเอาแต่เกสรบัวโรยลงไปในขันน้ำนั้นจนเต็ม แล้วนำส่งให้บนหลังม้า เจ้าคุณทัพรับเอามาเป่าเกสรเพื่อแหวกหาช่องน้ำแล้วต้องเอาริมฝีปากเบื้องบนเม้มเกสรไว้ แล้วดูดดื่มน้ำจนหมดขันด้วยอยากกระหายน้ำ ครั้นดื่มน้ำหมดแล้ว เจ้าคุณแม่ทัพจึงถามนางสาวคนนั้นว่า เราอยากกระหายน้ำสู้อุตสาห์บากหน้ามาขอน้ำเจ้ากิน เหตุไฉนจึงแกล้งเราเอาเกสรบัวโรยลงส่งให้เรากินน้ำของเจ้าลำบากนัก เจ้าแกล้งทำเล่นแก่เราหรือ

นางสาวคนนั้นตอบว่า "ดิฉันจะได้คิดแกล้งท่านนั้นก็หาไม่ ที่ดิฉันเอาเกสรบัวโรยลงในขันน้ำให้เต็มนั้น เพราะดิฉันเห็นว่า ผากแดดแผดลมเหนื่อยมา และกระหายน้ำด้วย ก็เพื่อป้องกันเสียซึ่งอันตรายแห่งท่าน เพื่อจะกันสำลักน้ำและสะอึกน้ำ และกันจุกแน่นแห่งท่านผู้ดื่มน้ำของดิฉัน ถ้าท่านไม่มีอันตรายในการดื่มน้ำแล้ว น้ำจะได้ทำประโยชน์แก้กระหายแห่งท่าน ดิฉันจะพลอยได้ประโยชน์เพราะให้น้ำแก่ท่าน ท่านสมปรารถนาแล้วก็จะเป็นบุญแก่ดิฉัน เหตุนี้ดิฉันจึงโรยเกษร" เจ้าคุณแม่ทัพฟังคำนางสาวตอบอย่างไพเราะอ่อนหวาน ถ้อยคำที่ให้การมานั้นก็พอฟัง จึงลงมาจากหลังม้าแล้วถามว่า "ตัวของเจ้าก็เป็นสาวเต็มเนื้อแล้ว มีใครๆมาหมั้นหมายผูกสมัครรักใคร่เจ้าบ้างหรือยัง" นางสาวบอกว่า "ยังไม่เห็นมีใครๆ มารักใคร่หมั้นหมายดิฉัน และดิฉันก็ยังไม่ได้ไปเที่ยวบอกใครว่าเป็นสาว มัวแต่หลบซ่อนตัวอยู่ ด้วยบ้านเมืองเกิดยุ่งนุ่งถุงมานานจนกาลบัดนี้ จึงมิได้มีใครเห็นว่าดิฉันเป็นสาว" เจ้าคุณทัพว่า "ถ้ากระนั้นเราเองเป็นผู้ที่ได้มกเห็นเจ้าเป็นสาวก่อนคน เจ้าต้องยอมตกลงเป็นคู่รักของเรา เราจะต้องเป็นคู่ร่วมรักของเจ้าสืบไป เจ้าจะพร้อมใจยินยอมเป็นคู้รักของเราโดยสุจริตหรือว่าประการใด"

นางสาวตอบว่า "การที่ท่านจะมาเป็นคู่รักของดิฉันนั้น ก็เป็นพระเดชพระคุณยิ่งอยู่แล้ว แต่ทว่าการจะมีผัวมีเมียกันตามประเพณีนั้น ดิฉันไม่ทราบเรื่อง จะว่าประการใดแก่ท่านก็ไม่มีอะไรจะว่า เรื่องการผัวการเมียนั้น ท่านต้องเจรจากับผู้ใหญ่ขึงจะทราบการ" เจ้าคุณแม่ทัพถามว่า "ผู้ใหญ่ของเจ้าไปไหน" นางสาวตอบว่า "ไปรดน้ำถั่วจวนจะกลับแล้ว" เจ้าคุณแม่ทัพขยับเดินเข้าให้ใกล้ นางสาวไพล่วิ่งปรู๋ออกแอบที่หลังโรงเลยไม่เข้าหา ท่านเจ้าคุณแม่ทัพก็ต้องนั่งเฝ้าโรงคอยท่าบิดามารดาของนางสาวต่อไป จนเกือบตะวันตกดินจวนค่ำ

ฝ่ายตาผล ยายลา กลับมาถึงโรงแล้ว เจ้าคุณแม่ทัพได้เห็นแล้ว จึงยกมือขึ้นไหว้ตายายก็น้อมตัวก้มลงไหว้ตอบ ท่านเจ้าคุณแม่ทัพก็ก้มลงไหว้ให้ต่ำลงไปอีก ตายายก็หมอบลงไปไหว้อีก ท่านเจ้าคุณแม่ทัพก็หมอบไว้อยู่อย่างนั้น ต่างคนต่างหมอยตัวกันอยู่นั่น ทั้งสองฝ่าย ฝ่ายยายแกเป็นคนปากเร็ว แกนึกขันและประหลาดใจแกจึงเปิดปากถามออกไปก่อนว่า "นี่เป็นขุนนางมาแต่บางน้ำบางกอก เหตุไฉนจึงมาหมอบกราบไหว้ข้าเจ้า เป็นชาวบ้านนอกเป็นชาวทุ่งชาวป่า เป็นคนยากจน ท่านจะมาหมอบไหว้ข้าเจ้าทำไม" เจ้าคุณแม่ทัพบอกว่า "ฉันมาสมัครเข้ามาเป็นลูกเขยท่านทั้งสอง จ้ะข้ะ"

ยายถามว่า "ท่านเห็นดีงามอย่างไร เห็นลูกสาวฉันเป็นอย่างไร ท่านจึงจะมายอมตัวเป็นลูกเขยเล่า" เจ้าคุณแม่ทัพว่า "ฉันเห็นบุตรสาวท่านดีแล้ว พอใจแล้ว จึงเข้ามาอ่อนน้อมยอมตัวเป็นลูกเขยท่าน" ท่านเจ้าคุณแม่ทัพเล่าถึงกาลแรกมาขอน้ำและนางเอาเกสรบัวโรยลงและได้ต่อว่า นางได้โต้ตอบถ้อยคำน่าฟังน่านับถือ จึงทำให้เกิดความรักปราณีขึ้น และตั้งใจจะเลี้ยงดูจริงๆ จึงต้องทนอยู่คอยท่า เพื่อจะแสดงความเคารพและขอเป็นเขย ขอให้แม่พ่อมีเมตตากรุณาเห็นแก่ไมตรีที่ได้มาอ่อนน้อมพูดจาโดยเต็มใจจริงๆ ตามวาจาที่ว่ามานี้ทุกอย่าง "ขอพ่อแม่ได้โปรดอนุญาตยกนางสาวลูกนั้นให้เป็นสิทธิ์แก่ฉันในวันนี้" ยายตาแกร้องขึ้นด้วยความตกใจว่า "โอตายจริง ข้าเจ้าเป็นคนยากจนข่นแค้นและต่ำศักดิ์ ทั้งผ้าผ่อนที่หลับที่นอนก็เหม็นตืดเหม็นสาบ ทั้งเครื่องเย่าเครื่องเรือนก็ขัดขวาง ทั้งถ้วยชามรามไหทีดีงามก็ไม่มี ฉิบหายป่นปี้แต่ครั้นบ้านเมืองเกิดยุ่งนุงนังหลายครั้งหลายครามาแลตัวนางหนูเล่าก็ยังไม่เป็นภาษา ทั้งจริตกิริยาก็ยังป่าเถื่อน ไม่เหมือนชาวใต้ จะใฝ่สูงเกินศักดิ์เกินสมควรไปละกระมังพ่อคุณ"

เจ้าคุณแม่ทัพว่า "ข้อนั้นพ่อแม่อย่ามีความวิตกหวาดกลัวอะไรเลย ข้อสำคัญก็คือ แม่พ่อยกให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่ฉันเด็ดขาดแล้ว ต่อไปเป็นหน้าที่ของฉันฝ่ายเดียว ตามที่แม่พ่อยกขึ้นเป็นทางปรารมภ์นั้น เป็นธุระของฉันหมดทุกอย่าง ขอแต่ว่าอย่าเกี่ยงงอนขัดขวางดิฉันเลย"

ยายลา ตาผล ขอทุเลาถามเจ้าตัวว่า "มันอยากมีผัวหรืออย่างไรไม่ทราบ" แล้วก็ออกไปตามหาที่หลังโรง ตายายพูดกับลูกสาว ลูกสาวพูดกับพ่อกับแม่ได้ยินแต่กระจู๋กระจี๋กระเส่าๆ กระซิบกระซาบอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็กลับมา แล้วนั่งลงถามว่า "ในเวลานี้ท่านก็มาแต่ตัวกับม้าตัวหนึ่ง ถ้าหากว่าดิฉันทั้งสองพร้อมใจยกอีงุดลูกสาวฉันให้เป็นเมียท่าน ท่านจะจัดการประการใดแก่ดิฉันเพื่อให้เป็นมงคล จงว่าให้ดิฉันฟังก่อนเถิดเจ้าข้ะ"

เจ้าคุณแม่ทัพถอดแหวนออกจากนิ้วแล้วบอกว่า "แหวนวงนี้มีราคาสูง ถ้าว่าท่านบิดามารดายินยอมพร้อมใจ ยกแม่งุดให้เป็นเมียเป็นสิทธิ์แก่ฉันแล้ว ฉันจะยกแหวนวงนี้ ตีราคาทำสัญญาให้ไว้เป็นสินถ่าย ๒๐ ชั่ง คิดเป็นทุนเป็นค่าของหมั้นขันหมากผ้าไหว้อยู่ใน ๒๐ ชั่ง ทั้งค่าเครื่องเย่าเครื่องเรือนเบี้ยเลี้ยงค่าเลี้ยงค่าดู ค่าเครื่องเส้นวักตั๊กแตนเสร็จในราคา ๒๐ ชั่ง ด้วยแหวนวงนี้" สองตายายได้ฟังดีใจ เต็มใจ พร้อมใจ ตกลงยกลูกสาวให้ตามปรารถนา เจ้าคุณแม่ทัพก็จัดแจงยืมพานปากกระจับทองเหลืองมาแล้วเขียนสัญญาถ่ายแหวนแล้วเอาใบตองรองก้นพานแล้ววางแหวนที่ว่านั้นลงบนใบตองรองในพาน เชิญเข้าไปคุกเข่าส่งให้ตายายๆ ก็ให้ศีลให้พร เป็นต้นว่า ขอให้พ่อมีความเจริญด้วยลาภยศ ให้เป็นเจ้าคนนายคนเถิด แล้วจัดแจงหุงข้าว ต้มแกง พล่ายำ ตำน้ำพริก ต้มผัก เผาปลา เทียบสำรับตามป่าๆ แล้วเชิญให้อาบน้ำทาดินสีพอง ยายตาก็อาบน้ำ ลูกสาวก็อาบน้ำ ตาตักน้ำให้ม้ากิน พาไปเลี้ยงให้กินหญ้า ครั้นเจ้าคุณแม่ทัพอาบน้ำทาดินสีพองแล้ว ลูกสาวทาขมิ้นแล้ว ยายก็ยกสำรับปูเสื่อลำแพน แล้วเอาผ้าขาวม้าปูบนเสื่อลำแพน ยายเชิญเจ้าคุณแม่ทัพให้รับประทานอาหาร

ยายตาก็รับประทานพร้อมกัน นางงุดนั้นให้กินภายหลัง ครั้นรับประทานอาหารแล้วต่างคนนั่งสั่งสนทนากัน ครั้นเวลา ๔ ทุ่ม จึงพาลูกสาวออกมารดนำรดท่า เสร็จแล้วก็ส่งมอบหมายฝากฝังตามธรรมเนียมของชาวเมืองกำแพงเพชรอันเคยทำพิธีมาแต่ก่อน

ส่วนเจ้าคุณแม่ทัพรับตัวแล้ว ก็หลับนอนอยู่ด้วยนางงุดในกระท่อมโรงนาจนรุ่งสางสว่างฟ้าแล้ว ตื่นขึ้นอาบน้ำ รับประทานอาหารแล้วก็ลาตายายขึ้นม้ามาบัญชาการที่กองทัพ พอเวลาค่ำสั่งการเสร็จสรรพแล้ว ห่อเงิน ๒๐ ชั่งมาสู่โรงบ้านปลายนาถ่ายแหวนคืนสัญญาแล้วก็หลับนอน เช้ากลับค่ำไป เป็นนิยมมาดังนี้ แม่ทัพนายกองทั้งปวงจะได้ล่วงรู้และร่ำลือให้อื้อฉาวก็เป็นอันว่าหามิได้ แต่บุตรชายของเจ้าคุณแม่ทัพซึ่งนอนอยู่ในค่ายมีอายุ ๘ ขวบโดยปี จะรู้ก็เข้าใจว่าไปดูแลตรวจตราบัญชาการ แต่เป็นดังนี้นานประมาณเดือนเศษ ตามสังเกตรู้ว่านางงุดตั้งครรภ์ ต่อแต่นั้นก็เพียงแต่ไปมาถามข่าว

ครั้นมีท้องตราหากองทัพกลับ เจ้าคุณแม่ทัพก็ไปล่ำลาและสั่งสอนกำชับกำชาโดยนานับประการ จนนางเข้าใจราชการตลอดรับคำทุกประมาร แล้วท่านก็คุมทัพกลับกรุงธนบุรี

ครั้นนางงุดได้แต่งงานแล้ว เมื่อเดือนแปด ปีมะแม สัปตศก แล้วก็ตั้งครรภ์ เมื่อครรภ์ยังอ่อนๆอยู่นั้น นางงุดไปปรึกษาหารือด้วย ตาผล ยายลา ผู้เป็นบิดามารดาว่าจะคิดการขึ้นล่องค้าขายกรุงธนบุรีและเมืองเหนือนั้น ครั้นคนทั้งสามปรึกษาตกลงเห็นชอบพร้อมใจกันแล้ว คนทั้งสามจึงได้รวบรวมเงินต้นทุนที่ได้ไว้ ปันส่วนออกเป็นค่าเรือ ค่าสินค้า ค่ารองสินค้า ค่าจ้างคน ค่าซ่อมแซมอุดยาเรือ มั่นคงเรียบร้อยแล้ว จึงละโรงนานั้นเสีย ส่วนนาและไร่ผักก็ให้เขาเช่าเสียแล้ว พากันลงอยู่ในเรือใหญ่ จัดการซื้อสินค้าบรรทุกเรือนั้นเต็มระวาง

ครั้นถึงกำหนดล่องกรุงธนบุรี จึงเรียกคนแจวออกเรือ ล่องลงมาถึงบ้านบางขุนพรหม ฝั่งตะวันออกแห่งกรุงธนบุรีแล้ว เข้าจอดเรืออาศัยท่าหน้าบ้านนายทอง นางเพียน บางขุนพรหม เป็นคนเคยอยู่เมืองเหนือแต่ก่อน และนายทองนางเพียนได้ลงมาอยู่บางขุนพรหม ครั้นตาผลจัดการจอดเรือเรียบร้อยแล้ว จึงผ่อนสินค้าขายส่งจนหมดลำ จึงจัดซื้อสินค้าบางกอกและสินค้าเมืองปักษ์ใต้ บรรทุกเรือตามระวางแล้ว พอถึงวันกำหนดจึงแจวกลับขึ้นไปปากน้ำโพจำหน่ายในตลาดเมืองเหนือ ตั้งแต่เมืองนครสวรรค์ขึ้นไป จนถึงเมืองกำแพงเพชร ครั้นคนทั้งสามซื้อและขายหมดเสร็จแล้วก็กลับบรรทุกสินค้าเมืองเหนือกลับล่องเรือลงมาจอดท่าหน้าบ้านนายทอง นางเพียน บางขุนพรหม ค้าขายโดยนิยมดังนี้ ล่วงวันและราตรีมาถึงเก้าเดือน ได้กำไรมากพอแก่การปลูกเรือนแล้ว จึงเหมาช่างไม้ให้ปลูกเป็นเรือนแพสองหลังแฝด มีชานสำหรับผึ่งแดดพร้อมทั้งครัวไฟ บันไดเรือนบันไดน้ำ จำนองที่ดินลงในถิ่นบางขุนพรหมเหนือบ้านนายทอง นางเพียนขึ้นไปสัก ๔ ว่าเศษ เพื่อเหตุจะได้อาศัยคลอดลูกและใช้ผูกพักผ่อนหย่อนสินค้า เห็นเป็นการสะดวกดีที่สุด

ครั้นถึง ณ วันพุธ เดือนหก ปีวอก อัฏฐศก จุลศักราช ๑๑๓๘ (พ.ศ. ๒๓๑๙) นางงุดปั่นป่วนครรภ์เป็นสำคัญรู้กันว่าจะคลอดบุตร จึงจัดแจงห้องนางงุดให้เป็นที่คลอดบุตรโดยฉับไว บนเรือนที่ปลูกใหม่บางขุนพรหมนั้น ครั้นได้ฤกษ์งามยามดี นางงุดก็คลอดบุตรเป็นชายที่ล่ำสัน หมู่ญาติมิตรก็ได้มาพร้อมกันช่วยอภิบาลบำรุงรักษาพยาบาล

ครั้นบุตรนั้นเจริญวัฒนาการประมาณได้สักเดือนเศษ ญาติมิตรพากันมาสังเกต ตรวจตราจับต้อง ประคองทารกน้อยขึ้นเชยชม บางคนคลำถูกกระดูกแขนเห็นเป็นแกนกระดูกท่อนเดียวกัน ก็พากันเฉลียวใจโจทย์กันไปโจทย์กันมา ครั้นช้อนทารกขึ้นนอนบนขาเพื่อจะอาบน้ำจึงพากันเห็นปานดำที่กลางหลังอยู่หนึ่งดวง ต่างคนต่างก็ทักท้วงกันไปทายกันมาพูดไปต่างๆ นานาเป็นวาจาต่ำบ้างสูงบ้างเป็นความเห็นของคนหมู่มาก ทักทายหลายประการ จึงทำความรำคาญให้แก่นางงุดไม่สบายใจ เกรงไปว่าวาสนาตัวน้อย จะไม่สามารถคอยเลี้ยงลูกคนนี้ยาก นางงุดถึงออกปากอ้อนวอนบิดา นายทองและนางเพียน ให้ช่วยสืบเสาะดูให้รู้ว่าพระสงฆ์องค์เจ้ารูปใดอยู่วัดไหนที่อย่างดีมีอยู่บ้างในแถวนี้ เห็นพระสงฆ์ที่ดี มีศีลธรรมวิชาภูมิรู้ปฏิบัติเคร่งครัดอยู่ในวัดใด ขอได้ช่วยพาบุตรไปถวายเป็นลูกท่านองค์นั้นในวัดนั้นด้วยเถิด

นายทอง นางเพียนจึ่งพากันนิ่งนึกตรึกตราไปทุกวัน ในแถบนั้นจึงคิดถึงหลวงพ่อแก้ว วัดบางลำพูบน จึงบอกแก่นายผลว่า หลวงพ่ออาจารย์แก้ววัดบางลำพูบนนี้ท่านดีจริง ดีทุกสิ่งตามที่กล่าวมานั้น ทั้งเป็นพระสำคัญเคร่งครัด ปริยัติ ปฏิบัติก็ดี วิชาก็ดี มีผู้คนไปมานับถือขึ้นท่านมากถ้าพวกเราไปออกปากฝากถวายเจ้าหนูแก่ท่าน เห็นท่านจะไม่ขัดข้อง เพราะท่านมีอัธยาศัยกว้างขวางดี เมื่อคนทั้ง ๔ นิ่งปฤกษาหารือตกลงเห็นพร้อมใจกันแล้ว จึงได้พากันลงเรือช่วยกันแจวล่องมาวัดบางลำพูบนเมื่อเวลาบ่าย ๔ โมงเย็น ถึงแล้วก็พากันขึ้นวัด นางงุดอุ้มเบาะลูกอ่อนพาไปนอนแบเบาะไว้มุมโบสถ์วัดบางลำพู ตอนข้างใต้หน้ากุฏิพระอาจารย์แก้ว แล้วนายทองนางเพียน จึงไปเที่ยวตามหาพระอาจารย์แก้ว เวลาเย็นนั้นท่านพระอาจารย์แก้วเคยลงกระทำกิจกวาดลานวัดทุกๆ วันเป็นนิรันดรมิได้ขาด

นายทอง นางเพียน มาหาพบหลวงพ่อ กำลังกวาดลานข้างตอนเหนืออยู่ นายทอง นางเพียนจึงทรุดตัวลงนั่งยองยอง ยกมือทั้งสองขึ้นประนมไหว้ แล้วออกวาจาปราสรัยบอกความตามที่ตนประสงค์มาทุกประการ ฝ่ายหลวงพ่ออาจารย์แก้ว ฟังคำทำนายนางเพียนแล้วตรวจนิ้วมือ ดูรู้ฤกษ์ยามตามตำรา ท่านจึงพิงกวาดไว้ที่ง่ามต้นไม้แล้วก็มาขึ้นกุฏิ ออกนั่งที่สำหรับรับแขกบ้านทันที

ตาผล นางงุด ก็ประคองบุตรน้อยขึ้นกุฏิ เข้ากราบกรานพระอาจารย์แก้ว แล้วจึงกล่าวคำว่า กระผมเป็นตาของอ้ายหนูน้อย อีแม่มันนั้นเป็นลุกสาวของกระผมๆ กับอีแม่มันมีความยินยอมพร้อมใจกันยกอ้ายหนูน้อยถวายหลวงพ่อเป็นสิทธิขาดแต่วันนี้ ขอหลวงพ่อได้โปรดปรานีโปรดอนุเคราะห์ รับอ้ายเจ้าหนูน้อยเป็นลูกของหลวงพ่อด้วยเถิดภ่ะค่ะ ครั้นกล่าวคำเช่นนั้นแล้ว จึงพร้อมกันอุ้มเบาะทารกขึ้นวางบนตักหลวงพ่อพระอาจารย์แก้ว แล้วก็ถอยมานั่งอยู่ห่างตามที่นั่งอยู่เดิมนั้น

ฝ่ายพระอาจารย์แก้ว ตั้งใจรับเด็กอ่อนไว้แล้ว ท่านก็ตรวจตราพิจารณาดู ท่านก็รู้ด้วยการพิจารณา รู้ว่าเด็กคนนี้มีปัญญาสามารถทั้งเฉลียวฉลาดในการร่ำเรียนทั้งประกอบด้วยความเพียรและความอดทน ทั้งจะเป็นบุคคลที่เปรื่องปราชญ์อาจหาญ ทั้งจะเป็นคนที่เชี่ยวชาญวิทยาคม ทั้งจะมีแต่คนนิยมฤๅชาปรากฏ ทั้งจะเป็นคนกอรปด้วยอิสริยศบริวารยศมาก ทั้งจะเป็นคนประหลาดแปลกกว่าคน ทั้งจะเจริญทฤฆชนม์มีอายุยืนนาน ครั้นพระอาจารย์แก้วตรวจวิจารณ์ชะตาราศีแล้ว จึงผูกข้อมือเสกเป่าเข้าปากนวดนาบด้วยนิ้วของท่าน เพื่อรักษาเหตุการณ์ตาลทราง หละ ละลอก ทรพิศม์ ไม่ให้มีฤทธิมารบกวนแก่กุมารน้อยต่อไป แล้วท่านก็ฝากให้นางงุดช่วยเลี้ยง กว่าจะได้สามขวบเป็นค่าจ้างค่าน้ำนมข้าวป้อนเสร็จปีละ ๑๐๐ บาท แล้วท่านก็ประกาศสั่งซ้ำว่า อย่าให้มารดากินของขมและของเผ็ดร้อน และของบูดแฉะเกรงขีระรสธาราจะเสีย แล้วท่านก็กำชับสั่งนายผลให้เอาใจใส่ระไวระวังคอยเตือน อย่าให้นางแม่มันเล่นเล่อเหม่อประมาท คอยขู่ตวาดนางแม่มันอย่าให้กินของแสลงตามที่เราห้ามจงทำตามทุกประการ

ฝ่ายตาผล นางงุด พนมมือรับปฏิญาณแล้วกราบกรานลา รับเบาะลูกน้อยมาแล้วลงกุฏิ พากันมาลงเรือปู้แหระ ช่วยกันแจวแชะแชะมาจนถึงเรือใหญ่ท่าหน้าบ้านบางขุนพรหมแล้วก็รออยู่พอหายเหนื่อย จนอายุเด็กเจริญขึ้นได้ ๓ เดือน จึงหาฤกษ์โกนผมไฟในเดือน ๙ ปีวอก ฉศกนั้น ครั้นกำหนดวันฤกษ์แล้วจึงนายผลออกไปวัดบางลำพูบน นิมนต์ท่านพระอาจารย์แก้ว แล้วขอเผดียงสงฆ์อีก ๔ รูป รวมเป็น ๕ รูป เข้ามาเจริญพระปริตรพุทธมนต์ในเวลาเย็น รุ่งขึ้นฤกษ์โกนผมไฟ แล้วนิมนต์รับอาหารบิณฑบาตร

ครั้นนายผลทราบว่า พระอาจารย์ทราบแล้วจึงนมัสการลากลับมา เที่ยวบอกงานและจัดหาเครื่องบูชา เครื่องใช้สอย โตกถาดภาชนะ ทั้งเครื่องบุดาดอาสนะพร้อมแม่ครัว เมื่อถึงวันกำหนด พระสงฆ์มาพร้อม จึงเผดียงขึ้นสู่โรงพิธีบนเรือนแพที่ปลูกใหม่นั้น แล้วพระสงฆ์ก็เริ่มการสวดมนต์ ครั้นสวดมนต์แล้ว พระสงฆ์กลับแล้วจึงจัดการเลี้ยงดูกัน

ครั้นรุ่งเช้าพระสงฆ์มาพร้อมนั่งอาสน์ จึงนำเด็กออกมาฟังพระสวดมนต์ พระสงฆ์สวดชัยมงคลคาถาแล้วโกนผมไฟกันไปเรื่อย แล้วจัดอาหารบิณบาตรอังคาสแก่พระสงฆ์แล้ว พระสงฆ์ทำภัตกิจ อนุโมทนาแล้วกลับ จึงจัดการประพรมเย่าเรือนจุณเจิมเรือและเรือนเสร็จ

ครั้นจัดการทำบุญให้ทานเสร็จแล้ว พักผ่อนพอหายเหนื่อยจึงจัดสรรพสินค้าเมืองปักษ์ใต้ได้เต็มระวางแล้วจึงออกเรือไปเมืองเหนือ จำหน่ายสินค้า ก็จัดรองสินค้าเมืองเหนือมาจำหน่ายในบางกอก กระทำพานิชกรรมสัมมาอาชีวะอย่างนี้เสมอมา ก็บันดาลผลให้เกิดหมุนภูลเถามั่งคั่งสมบูรณ์ขึ้นหลายสิบเท่า พ่อค้าแม่ค้าทั้งปวงก็รู้จักมักคุ้นมากขึ้นเป็นลำดับมา ตาผล ยายลา นางงุด จึงได้ละถิ่นถานทางเมืองกำแพงเพชรเสียลงมาจับจองจำนองหาที่ดินเหนือเมืองพิจิตรปลูกคฤหาสถานตระหง่านงามตามวิสัยมีเรือนอยู่ หอนั่ง ครัวไฟ บันไดเรือน บันไดน้ำ โรงสี โรงกระเดื่อง โรงพักสินค้า โรงเรือน รั้วล้อมบ้าน ประตูหน้าบ้าน ประตูหลังบ้าน ได้ทำบุญให้ทานที่วัดใหญ่ในเมืองพิจิตรนั้น จึงได้มีความชอบชิดสนิทกับท่านพระครูใหญ่ วัดใหญ่นั้น มีธุระปะปังอันใดก็ได้สังสรรค์ไปมา ทายกแจกฎีกาไม่ว่าการอะไร มาถึงแล้วไม่ผลัก ยินดีรักในการทำบุญการกุศล เลยเป็นบุคคลมีหน้าปรากฏในเมืองพิจิตรสืบไป

ท่านพระครูใหญ่วัดใหญ่ในเมืองพิจิตรนั้นท่านองค์นี้ดีมากในทางความรู้วิชาอาคมก็ขลังมาก วิชาฝ่ายนักเลงต่างๆ พอใช้ เป็นที่เคารพยำเกรองของหมู่นักเลงขยั้นเกรองกลัวท่านมาก ท่านพระครูใหญ่วัดใหญ่พระองค์นี้ เชี่ยวชาญชำนาญรอบรู้ในคัมภีร์มูลประกรณ์ทั้ง ๕ คัมภีร์หามีผู้เปรียบเทียบเท่าท่านในเมืองนั้นในคราวนั้นมิได้ ใช่แต่เท่านั้นท่านขลังในอาคมทางอยู่ยงคงกระพันชาตรีทางภูตทางผีทางปีศาจก็เก่งพร้อม ห้ามเสือห้ามจรเข้ ห้ามสัตว์ร้ายก็ได้ เสกเป่าให้คนและสัตว์ร้ายอ่อนเพลียเสียกำลัง ยืนงงนั่งจังงังก็ทำได้ พระสงฆ์ในเมืองพิจิตรเกรองกลัวท่านมากตลอดแขวงตลอดคุ้ม ไม่มีวัดไหนล่วงบัญญัติกัตติกสัญญาณาบัติเลย ทั้งเจ้าเมืองกรมการก็ยำเกรมขามท่านพระครูวัดใหญ่มาก ใช่แต่เท่านั้น ท่านกอรปด้วยเมตตากรุณาอนุกูล สัปปุรุส อุบาสิกา สานุศิษย์ มิตรญาติ สงเคราะห์อนุเคราะห์ อารีอารอบทั่วไป มีอัธยาศัยกว้างขวาง เผื่อแผ่เอื้อเฟื้อเกื้อกูลคนที่ ควรสงเคราะห์ ไม่จำเพาะบุคคล ข่มขี่ขัดเกลากิเลสด้วยไม่โลภโมห์โทสันต์ ขันติธรรมก็พอใช้ วินัยก็พอชม มีผู้นิยมสู่หามาไปมิได้ขาด ทั้งฉลาดในข้อปฏิสัณฐาน การวัดก็จัดจ้านเอาใจใส่ การปฏิสังขรก็เข้าใจปะติประต่อก่อปรุงถาวร วัตถุกรรมแนะนำภิกษุสามเณรและอุบาสกอุบาสิกา ให้รู้จัดกิจถือพระพุทธศาสนาให้กอรปด้วยประสาทะศรัทธามั่นคง จำนงแน่ในพระรัตนตรัยหมั่นเอาใจใส่สอนศิษย์ให้รู้ทางประโยชน์ดี


668
ความนำ

คำปรารภและอนุมานสันนิษฐานว่าประวัติเรื่องความเป็นไปของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ครั้งในรัชกาลที่ ๔ กรุงเทพฯ นั้น มีความเป็นมาประการใด เพราะเจ้าพระคุณองค์นี้ เป็นที่ฤๅชาปรากฏ เกียรติศักดิ์เกียรติคุณเกียรติยศ ขจรขจายไปหลายทิศหลายแคว มหาชนพากันสรรเสริญออกเซ็งแซร่กึกก้องสาธุการ บางคนก็บ่นร่ำรำพรรณ ประสานขานประกาศกรุ่นกล่าวถึงบุญคุณสมบัติ จริยสมบัติของท่านเป็นนิตยกาลนานมา ทุกทิวาราตรีมิรู้มีความจืดจาง

อนึ่ง พระพุทธรูปของท่านที่สร้างไว้ในวัดเกตุไชโย ใหญ่ก็ใหญ่ โตก็โต วัดหน้าตักกว้างถึงแปดวาเศษนิ้ว เป็นพระก่อที่สูงลิ่ว เป็นพระนั่งที่ศักดิ์สิทธิ์ ดูรุ่งเรืองกระเดื่องฤทธิ์มหิศรเดชานุภาพ พระองค์นี้เป็นที่ทราบทั่วกันตลอดประเทศแล้วว่า เป็นพระที่มีคุณพิเศษสามารถอาจจะดลบันดาลดับระงับทุกข์ภัยไข้ป่วยช่วยป้องกันอันตรายได้ จึงดลอกดลใจให้ประชาชนคนเป็นอันมาก หากมาอภิวิวันทนาการ สักการบูชาพลีกรรม บรรณาการเส้นสรวงบวงบล บางคนมาเผดียงเสี่ยงสัตย์อธิษฐาน ก็อาจสำเร็จสมปณิธานที่มุ่งมาตร์ปรารถนา จึงเป็นเหตุให้มีสวะนะเจตนาแก่มหาชนจำนวนมากว่าร้อยคน คิดใคร่รู้ประวัติของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆังโฆษิตาราม บ้างก็คืบเที่ยวสืบถามความเป็นไปแต่หลังๆ แต่คราครั้งดั้งเดิมเริ่มแรก ต้นสกุลวงศ์เทือกเถาเหล่ากอ พงษ์พันธุ์ พวกพ้อง พื้นภูมิฐาน บ้านช่อง ข้องแขว แควจังหวัด เป็นบัญญัติของสมเด็จนั้นเป็นประการใด

นานมาแล้วจะถามใครๆ ไม่ได้ความ หามีใครตอบตรงคำถามให้ถ่องแท้ จึงได้พากันตรงแร่เข้ามาหา นายพร้อม สุดดีพงศ์ อ้อนวอนให้รีบลงมากรุงเทพฯ ให้ช่วยเข้าสู่เสพย์ษมาคม ถามเงื่อนเค้าเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) จึงนายพร้อม สุดดีพงศ์ ตลาดไชโย เมืองอ่างทอง จึงได้รีบล่องลงมาสู่หา ท่านพระมหาสว่าง วัดสระเกษ นมัสการแล้วยกเหตุขึ้นไต่ถาม ตามเนื้อความที่ชนหมู่มากอยากจะรู้ จะดูจะฟังเรื่องราวแต่คราวครั้งต้นเดิมวงษ์สกุล ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) นั้นเป็นฉันใด ขอพระคุณได้สำแดงให้แจ้งด้วย

ที่นั้นมหาสว่าง ฟังนายพร้อมเผดียงถาม จึงพากันข้ามฟากไปวัดระฆัง ขึ้นยังกุฏิเจ้าคุณพระธรรมถาวร (ช้าง) อันเป็นผู้เฒ่าสูงอายุศม์ ๘๘ ปี ในบัดนี้ยังมีองค์อยู่ ทั้งเป็นผู้ใกล้ชิด ทั้งเป็นศิษย์ทันรู้เห็น ทั้งเคยเป็นพระครูถานาของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆัง เคยอยู่ตั้งแต่เล็กๆ เมื่อเป็นเด็กเป็นชั้นเหลน

นายพร้อมจึงประเคนสักการะ ถวายเจ้าคุณพระธรรมถาวรแล้วจึงได้ไถ่ถามตามเนื้อความที่ประสงค์

ฝ่ายเจ้าคุณพระธรรมถาวร ท่านจึงได้อนุสรณ์คำนึงนึกไปถึงเรื่องความ แต่หนหลัง ท่านได้นั่งเล่าให้ฟังหลายสิบเรื่อง ล้วนแต่เป็นเรื่องที่น่าควรคิดพิศวงมาก ลงท้ายท่านบอกว่า อันญาติวงศ์พงษ์พันธ์ ภูมิฐานบ้านเดิมนั้น เจ้าของท่านได้ให้ช่างเขียนเขียนไว้ที่ผนังโบสถ์วัดอินทรวิหาร บ้านบางขุนพรหม พระนคร ล้วนแต่เป็นเค้าเงื่อนตามที่สมเด็จเจ้าโตได้ผ่านพบทั้งนั้น ท่านเจ้าของบอกใบ้สำคัญด้วยกิริยาของรูปภาพ ขอจงไปทราบเอาที่โบสถ์วัดอินทรวิหารนั้นเถิด

ครั้น ม.ล. พระมหาสว่าง เสนีวงศ์ กับนายพร้อม สุดดีพงศ์ ฟังพระธรรมถาวรบอกเล่าและแนะนำจำจดมาทุกประการแล้วจึงนมัสการลาเจ้าคุณพระธรรมถาวรกลับข้ามฟากจากวัดระฆัง รุ่งขึ้นวันที่ ๑๖ กรกฎาคา พ.ศ. ๒๔๗๓ จึงขึ้นไปหารท่านพระครูสังฆรักษ์เจ้าอธิการ วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม แล้วขออนุญาตดูภาพเรื่องราวของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ตามคำแนะนำของเจ้าคุณพระธรรมถาวรวัดระฆังบอกให้ดูทุกประการ

ส่วนท่านพระครูสังฆรักษ์ เจ้าอธิการก็มีความเต็มใจ ท่านนำพาลงไปในโบสถ์พร้อมกันแล้ว เปิดหน้าต่างประตูให้ดูได้ตามปรารถนา

นายพร้อมจึงดูรูปภาพ ช่วยกันพินิจพิจารณา ตั้งแต่ฉากที่ ๑ จนถึงฉากที่ ๑๒ นายพร้อมออกจะเต็มตรอง เห็นว่ายากลำบากที่จะขบปัญหาในภาพต่างๆ ให้เห็นความกระจ่างแจ่มแจ้งได้ นายพร้อมชักจะงันงอท้อน้ำใจไม่ใคร่จะจดลงทำยืนงงเป็นงันงันไป

ม.ล.พระมหาสว่าง รู้ในอัธยาศัยของนายพร้อมว่าแปลรูปภาพไม่ออก บอกเป็นเนื้อความเล่าแก่ใครไม่ได้ นายพร้อมอึดอัดตันใจสุดคาดคะเนทำท่าจะรวนเรสละละการจดจำ ม.ล.พระมหาสว่างจึงแนะนำให้นายพร้อมอุตสาห์จดทำเอาไปทั้งหมดทุกตัวภาพ ไม่เป็นไร คงจะได้ทราบสิ้นทุกอย่าง คงไม่เหลวคว้างเหลือปัญญานัก ฉันจะช่วยดุ่มเดาดักให้เด่นเด็ดจงได้ ฉันจะคิดค้นรัชสมัยและพระบรมราชประวัติและราชพงศาวดาร เทียบนิยาย นิทานตำนานต่างๆ ตามที่ผู้เฒ่าผู้แก่บอกเล่าสืบกันมา เรื่องนี้คงสมมาตร์ปรารถนาอย่าวิตก ฉันจะเรียบเรียงและสาธกยกเหตุผลให้เป็นเบื้องต้นและเบื้องปลายให้สมความมุ่งหมายใคร่รู้ ในเรื่องประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์

แต่ข้อสำคัญเกรงว่าจะช้ากินเวลาหลายสิบวัน เปรียบเช่นกับช่างไม้ทำช่อฟ้า จำต้องนานเวลาเปลืองหน้าไม้ ช่างต้องบั่นทอนผ่อนไปจนถึงแงงอนกนก ของที่ต้องการเปรียบเทียบเท่าที่ตำนานของสมเด็จนี้ กว่าจะเรียงความถูกตามที่ร่างข้อต่อตัดถ้อยคำที่เขินขัด ก็ต้องขุดคัดตัดทอนทิ้ง หรือความขาดไม่พาดพิงพูดไม่ถูกแท้ ก็ตกแต้มแถมแก้แปลให้สอดคล้องต้องกับความจริง สืบหาสิ่งที่เป็นหลักมาพักพิงไม่ให้ผิด สืบผสมให้กรมติดเป็นเนื้อเดียว ไม่พลำพลาด ถึงจะเปลืองกระดาษเปลืองเวลา ฉันไม่ว่าไม่เสียดาย หมายจะเสาะค้นขวนขวายหาเรื่องมาประกอบให้ จะได้สมคิดติดใจมหาชน จะได้ทราบเรื่องเบื้องตนและเบื้องปลาย โดยประวัติปริยายทุกประการ

นายพร้อม สุดดีพงศ์ ได้ฟังคำบริหารอาษาของ ม.ล. พระมหาสว่างรับแข็งแรง จึงเข้มขมัดจัดแจงจดเพียรเขียนคัดบอกเป็นตัวหนังสือมาพร้อม ทุกด้านภาพในฝาผนังทั้ง ๑๒ ฉาก แล้วก็ละพากันกลับมายังวัดสระเกษ ต่อแต่วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ศกนี้มา พระมหาสว่างก็ตั้งหน้าตรวจตราเสาะสืบหาและไต่ถาม ได้เนื้อความนำจดลงคนพงศาวดาร รัชกาลราชประวัติบั่นทอนตัดให้รัดกุม ไม่เดาสุ่มมีเหตุพอความไม่ต่อใช้วิจารณ์ เป็นพยานอ้างตัวเองไปตามเพลงของเรื่องราวที่สืบสาวเรียงเขียนลงเอาที่ตรงต่อประโยชน์ ไม่อุโฆษป่าวร้องใคร ไม่หมิ่นให้ธรเณนทร์ โดยความเห็นจึงกล้าเล่า ดังจะกล่าวให้ฟังดังนี้

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านให้ช่างเขียน เขียนเรื่องของท่านไว้ในฝาผนังโบสถ์วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม ดังนี้ เขียนเมืองกำแพงเพชรเป็นเมืองว่างว่างไม่มีคน มีแต่ขุนนางขี่ม้าออก เขียนวัดบางลำพูบนผนังติดกับเมืองกำแพงเพชร เขียนบางขุนพรหม เขียนรูปเด็กอ่อนนอนหงายแบเบาะอยู่มุมโบสถ์วัดบางลำพู เขียนรูปนางงุดกกลูก เขียนรูปตาผลว่าพระผล เขียนรูปอาจารย์แก้ววัดบางลำพูกำลังกวาดลานวัด เขียนรูปนายทอง นางเพ็ชร นั่งยองยอง ยกมือทั้งสองไหว้พระอาจารย์แก้ว เขียนรูปพระอาจารย์แก้วกำลังพูดกับตาผลบนกุฏิ เขียนรูปเรือเหนือจอดที่ท่าบางขุนพรหม จึงต้องขอโอกาสแก่ท่านผู้อ่านผู้ฟัง ด้วยข้าพเจ้าตรวจดูภาพทราบได้ตามพิจารณาและคาดคะเนสันนิษฐาน แปลจากรูปภาพบนนั้นคงได้ใจความตามเหตุผลต้นปลายของสมเด็จพระพุฒาจารย์ )โต) วัดระฆัง ดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

แต่ครั้งเดิมเริ่มแรก ต้นวงศ์สกุลของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) องค์นี้ ตั้ง คฤหสถานภูมิสำเนา สืบวงศ์พงศ์เผ่าพืชพันธุ์พวกพ้อง เป็นพี่เป็นน้องต่อแนวเนื่องกันมาแต่ครั้งบุราณนานมา ณ แถบแถวที่ใกล้ใต้เมืองกำแพงเพชร เป็นชนชาวกำแพงเพชรมาช้านาน ครั้นถึงปีระกา สัปตศก จุลศักราช ๑๑๒๗ ปี (พ.ศ. ๒๓๐๒) จึงพระเจ้าแผ่นดินอังวะภุกามประเทศ ยกพลพยุหประเวสน์สู่พระราชอาณาเขตร์ประเทศยามนี้กองทัพพม่ามาราวี ตีหัวเมืองเอกโทตรีจัตวา ไล่รุกเข้ามาทุกทิศทุกทาง ทั้งบกทั้งเรือทั้งปากใต้ฝ่ายเมืองเหนือและทางตะวันตก เว้นไว้แต่ทิศตะวันออก หัวเมืองชั้นนอก ชั้นกลาง ชั้นโท ต่อรบต้านทานพม่าไม่ไหว ก็ต้องล่าร้างหลบหนี้ ซ่อนเร้นเอาตัวรอด ราษฎรก็พากันทอดทิ้งภูมิสถานบ้านเรือน เหลี่ยมลี้หนีหายพลัดพรากกระจายไป คนละทิศคนละทางห่างห่างวันกัน ในปีระกาศกนั้นจำเพาะพระยาตาก (สิน) เจ้าเมืองกำแพงเพชรกี้หาได้อยู่ดูแลรักษาเมืองไม่ มีราชการเข้าไปรับสัญญาบัตร เลื่อนที่เป็นพระยาวชิรปราการ แล้วยังมิได้กลับมา พอทราบข่าวศึกพม่า เสนาบดีให้รอรับพม่าอยู่ในกรุงนั้น ครั้นทัพหน้าพม่ารุกเข้ามาถึงกรุง พระยาวชิรปราการก็ต้องกุมพลรบพุ่ง ต้านทานรบรับทัพพม่า พม่าเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยานั้นไว้ กองทัพพม่ามาล้อมกรุงเก่าคราวนั้นเกือบสามปี

ครั้นถึงปีกุนนพศก จุลศักราช ๑๒๒๙ (พ.ศ. ๒๓๑๐) ถึง ณ วันอังคารเดือนห้า แรมเก้าค่ำ เวลาบ่าย ๓ โมงเย็น พม่าจึงนำปืนใหญ่เข้าระดมยิงพระมหานคร พระมหานครก็แตก เสียแก่พม่าในวันอังคาร เดือนห้า ขึ้นเก้าค่ำ ปีกุนศกนั้น

ฝ่ายพระยาวชิรปราการเจ้าเมืองกำแพงเพชร ได้ถือพล ๕๐๐๐ ช่วยป้องกันพระมหานคร ครั้นเห็นว่าชาตากรุงขาด ไม่สามารถจะต่อสู้พม่าได้ ก็พาพล ๕๐๐๐ นั้น ฝ่าฟันหนีออกไปทางทิศตะวันออก ข้ามไปทางพเนียดคล้องช้าง เดินทางไปเข้าเขตเมืองนครนายก แล้วข้ามฟากไปแย่งเอาเมืองจันทบุรี ตีได้แล้วก็เข้าตั้งมั่นบำรุงพลพาหนะละเลียงเสบียงอาหาร สรรพศาสตราวุธยุทธภัณฑ์ไว้พร้อมมูลบริบูรณ์เรียบร้อยแล้ว ก็ตั้งตัวเป็นเจ้า ชาวเมืองเรียกว่าพระเจ้าตาก ตั้งอยู่เมืองจันทบุรีก๊กหนึ่งในคราวนั้น

ครั้นถึงปีชวด สัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๑๓๐ ปี (พ.ศ. ๒๓๑๑) พระเจ้าตาก (สิน) ได้ยกพลโยธิแสนยากรเป็นกองทัพ เข้าบุกบั่นรบทัพพม่าตั้งแต่เมืองปาใต้ฝ่ายตะวันตกวกเข้าตีกองทัพพม่ามาถึงกรุงเก่า กองทัพพม่าสู้มิได้ก็แตกฉานล่าถอยขึ้นไปทางหัวเมืองฝ่ายเหนือ แล้วก็เข้าชิงเอากรุงเก่าคืนจากเงื้อมมือพม่าข้าศึกได้แล้ว ลอยขบวนลงมาตั้งราชธานีที่เมืองธนบุรี ตำบลที่วัดมะกอกนอก เหนือคลองบางกอกใหญ่ ใต้คลองคูวัดระฆังโฆษิตาราม ทรงขนานนามเมืองว่ากรุงธนบุรี พระนามาภิธัยว่า พระเจ้ากรุงธนบุรี แต่ปีชวดศกนั้นมา

จึงหลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี ออกไปตั้งคฤหสถานบ้านเรือนครอบครองทรัพย์สมบัติอยู่ ณ บ้านอัมพวา แขวงเมืองสมุทรสงคราม ได้เข้ามาพร้อมด้วยเอกะและน้องแลบุตรทั้ง ๔ เข้ามารับราชการในพระเจ้ากรุงธนบุรีๆ ได้ตั้งให้หลวงยกกระบัตรเป็นที่พระราชวรินทร์ เจ้ากรมพระตำรวจนอกขวา ถือศักดินา ๑๖ๆๆ ไร่ จึงตั้งคฤหสถานบ้านเรือนอยู่เหนือพระราชวังหลวง ใต้วัดบางหว้าใหญ่ (คือวัดระฆังในบัดนี้) ในปีชวดศกนั้นเอง พระเจ้ากรุงธนบุรี พระราชทานเกียรติยศเป็นแม่ทัพถืออาญาสิทธิ์ ยกทัพขึ้นไปปราบเจ้าพิมายมีชัยชำนะกลับลงมา ทรงพระกรุณาเลื่อนขึ้นเป็นที่พระยาอภัยรณฤทธิ์ จางวางกรมพระตำรวจซ้าย ทรงศักดินา ๓๐๐๐ ไร่ ครั้นถึงปีขาลโทศก ๑๑๓๒ ปี (พ.ศ.๒๓๑๓) พระเจ้ากรุงธนบุรีรับสั่งให้พระยาอภัยรณฤทธิ์ ถืออาญาสิทธิ์เป็นแม่ทัพยกกองทัพไปปราบเจ้าพระฝาง เมืองสวางคบุรี ตีกองทัพเจ้าพระฝางแตก จับตัวเจ้าพระฝางได้ พร้อมทั้งช้างพังเผือกกับลูกดำ จับตัวพรรคพวกและช้างลงมาถวาย ส่วนพระยาอภัยรณฤทธิ์รั้งหลังเพื่อจัดการบ้านเมืองฝ่ายเหนือป่าวร้องให้อาณาประชาราษฎรที่แตกฉานซ่านเซ็น ให้รวมเข้ามาเป็นหมวดหมู่ตั้งอยู่ดังเก่า ตามภูมิลำเนาเดิมของตน ที่ขัดขวางยากจนก็แจกจ่ายให้ปันพอเป็นกำลังสำหรับตั้งตัวต่อไปภายหน้า เมื่อขณะนี้เองชาวเมืองเหนือจึงได้พากันนิยมสวามิภักดีต่อท่านพระยาอภัยรณฤทธิ์ รักใคร่สนิทแต่คราวนั้นเป็นต้นเป็นเดิมมา เมื่อกองทัพกลับแล้ว พวกราษฎรเมืองเหนือบางครัว จึงได้พากันมาอยู่ในกรุงเก่าบ้าง เมืองอ่างทองบ้าง เมืองปทุมบ้าง เมืองนนทบุรีบ้าง เมืองพระประแดงบ้าง ในกรุงธนบุรีบ้าง ในบางขุนพรหมบ้าง ต่างจับจองจำนองที่ดินซื้อหา ตามกำลังและวาสนาของตนๆ เป็นต้นเหตุ ที่มีผู้คนคับขันขึ้นทั้งในกรุงและหัวเมืองแน่นหนาขึ้นกว่าแต่ก่อนเป็นลำดับมา

ส่วนพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงเลื่อนที่ให้พระยาอภัยรณฤทธิ์ขึ้นเป็นพระยายมราชเสนาบดีที่จตุสดมภ์ กรมพระนครบาล ทรงศักดินา ๑๐๐๐๐ ไร่ พรรษายุกาลได้ ๓๔ ปี ในปลายปีขาลศกนั้นเอง พระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงพระกรุณาโปรดเลื่อนที่เจ้าพระยายมราชขึ้นเป็นเจ้าพระยาจักรี ที่สมุหนายก อรรคมหาเสนาบดี กระทรวงมหาดไทย ทรงศักดินา ๑๐๐๐๐ ไร่

ครั้นถึงปีเถาะตรีศก จุลศักราช ๑๑๓๓ ปี (พ.ศ. ๒๓๑๔) พระเจ้ากรุงธนบุรีมีรับสั่งโปรดเกล้าให้เจ้าพระยาจักรีเป็นแม่ทัพถืออาชญาสิทธิ์ต่างพระองค์ ยกกองทัพใหญ่ออกไปปราบปรามเมืองเขมรกัมพูชาประเทศก็มีชัยชนะเรียบร้อยกลับมา ได้รับพระราชทานรางวัลพิเศษ

ครั้นถึงปีมะเมีย ฉศก จุลศักราช ๑๑๓๖ ปี (พ.ศ. ๒๓๑๗) มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาจักรีเป็นแม่ทัพถืออาญาสิทธิ์ ยกกองทัพใหญ่ขึ้นไปล้อมเมืองเชียงใหม่ที่พม่ารักษาอยู่นั้น พม่าซึ่งรักษาเมืองเชียงใหม่ ได้ความอดอยากยากแค้นเข้า ก็พากันละทิ้งเมืองเชียงใหม่เสียแล้วหนีไปสิ้น ก็ได้เมืองเชียงใหม่โดยสะดวกง่ายดาย ในปลายปีมะเมีย ฉศกนั้นเอง อะแซหวุ่นกี้ แม่ทัพพม่าอายุ ๗๒ ปี เป็นเสนาบดีผู้ใหญ่ในพระเจ้ามังระกรุงอังวะ ครั้งนั้นพระเจ้าอังวะมีพระโองการรับสั่งให้อะแซหวุ่นกี้ถืออาญาสิทธิ์ยกทัพใหญ่ เดินกองทัพเข้ามาถึงด่านเมืองตาก แล้วให้พม่าล่ามถามนายด่านว่า พระยาเสืออยู่รักษาเมืองหรือไม่ นายด่านตอบว่าพระยาเสือไม่อยู่ยังไม่กลับ

อะแซหวุ่นกี้จึงหยุดกองทัพหน้าไว้นอกด่าน แล้วประกาศว่าให้เจ้าเมืองเขากลับมารักษาเมืองเสียก่อน จึงจะยกเข้าตีด่าน เลยเข้าตีเมืองพิษณุโลกทีเดียว (เขียนตามพงศาวดารพม่า)

สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงทราบข่าวข้าศึก จึงกรีฑาทัพหลวงขึ้นไปรักษาเมืองพระพิษณุโลกไว้ แล้วให้หากองทัพกลับจากเมืองเชียงใหม่ ครั้นเจ้าพระยาสุรสีห์ทราบว่ากองทัพมาอยู่ปลายด่านเมืองตาก และทราบว่าพระเจ้าอยู่หัวเสด็จกรีฑาทัพหลวงขึ้นมาประทับอยู่เพื่อป้องกันรักษาเมืองพิษณุโลกด้วย จึงรีบยกกองทัพกลับ ครั้นถึงเมืองพิษณุโลกแล้วเข้าเฝ้าถวายบังคม เจ้าพระยาจักรีอยู่จัดการเมืองเชียงใหม่เรียบร้อยแล้ว ได้เลยตั้งข้าหลวงไปพูดจาปลอบโยนชี้แจงแนะนำเจ้าเมืองแพร่ เจ้าเมืองน่าน เจ้าเมืองลำปาง เจ้าเมืองลำพูน เป็นต้นเหล่านี้ ยอมสวามิภักดิ์ต่อกรุงเทพฯ ขอพึ่งพระบารมีโพธิสมภารเป็นข้าขอบขัณฑสีมาสืบไปตลอดกาลนาน เจ้าพระยาจักรีจึงได้เลิกทัพพาเจ้าลาวและพระยาลาวทั้งปวง ลงมาถึงเมืองพิษณุโลก เข้าเฝ้ากราบบังคมทูลพร้อมกัน ณ เมืองพิษณุโลกนั้น

สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงพระโสมนัสนัก จึงพระราชทานฐานันดรศักดิ์จ้าวลาว พระยาลาวทั้งปวงนั้น ให้กลับขึ้นไปรักษาเมืองดังเก่า แล้วจึงพระราชทานรางวัลเป็นอันมากแก่เจ้าพระยาสุรสีห์นั้นได้ออกไปรักษาด่านหน้าเมืองตากโดยแข็งแรงกวดขันมั่นคงทุกประการ

ฝ่ายอะแซหวุ่นกี้แม่ทัพใหญ่พม่า ทราบว่าเจ้าพระยาเสือกลับมาแล้ว ออกมารักษาด่านอยู่ จึงสั่งให้มังเรยางู แม่ทัพพม่าเข้าตีด่าน ฝ่ายทหารรักษาด่านต้านทานทหารพม่าไม่ไหวก็ร่นเข้ามา กองทัพพม่าก็ตีรุกเข้าไปแล้วตั้งค่ายมั่นลงภายในด่านถึง ๓๐ ค่าย

ฝ่ายเจ้าพระยาจีกรีทราบว่า กองทัพเจ้าพระยาสุรสีห์เสียด่านร่นเข้ามา จึงกราบบังคมทูลรับอาสาช่วยเจ้าพระยาสุรสีห์ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมีพระโองการรับสั่งว่า "ข้าก็อยากเห็นความคิดสติปัญญาของเจ้าและฝีมือของเจ้าว่าจะเข้มแข็งสักเพียงใด ข้าจะขอดูด้วย จงรีบออกไปช่วยสุรสีห์เถิด"

เจ้าพระยาจักรีกราบถวายบังคมลา ออกมาจัดขบวนทัพพร้อมสรรพ์ แล้วยกออกไปถึงค่ายเจ้าพระยาสุรสีห์ แล้วจึงเจรจาว่า "เจ้าถึงแม้ว่าจะเป็นขุนนางผู้ใหญ่ก็จริงอยู่ แต่เจ้าเป็นขุนนางบ้านนอก อะแซหวุ่นกี้แม่ทัพพม่านั้น เขาเป็นเสนาบดีผู้ใหญ่อยู่ในเมืองหลวงพม่า ทั้งเขากอรปด้วยความคิด สติปัญญาเยี่ยมยิ่งอยู่ ความรู้ก็พอตัว พี่จะรบเอง" ต่อแต่นั้นมา เจ้าพระยาจักรีก็จัดทัพออกรุกรับรบพุ่งกับกองทัพอะแซหวุ่นกี้เป็นหลายครั้ง ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ ล่วงวันและเวลาช้านานมา จนถึงเดือนห้าเดือนหก ปีมะแม สัปตศก จุลศักราช ๑๑๓๗ ปี (พ.ศ. ๒๓๑๘) เป็นปีที่ ๘ ในรัชสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี

ฝ่ายอะแซหวุ่นกี้แม่ทัพพม่า ก็คิดขยาดระอิดระอา ทั้งทางเมืองพม่าก็ชักจะวุ่นวายขึ้น ทั้งเสบียงอาหารก็บกพร่องจวนเจียนไม่พอจ่าย จึงคิดเพทุบายถามว่า "ใครผู้ใดออกมาเป็นแม่ทัพใหญ่บัญชาการ" ทหารไทยบอกไปว่า เจ้าพระยาจักรีเป็นแม่ทัพ อะแซหวุ่นกี้จึงประกาศหย่าทัพ ขอดูตัวแม่ทัพไทย

เวลานั้นสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เสด็จทอดพระเนตรอยู่ในค่ายนั้นด้วย ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นกิริยาท่าทางสุภาพองอาจ และท่วงทีรูปโฉมของเจ้าพระยาจักรีเมื่อออกยืนทัพรับอะแซหวุ่นกี้คราวนั้น สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงพระเกษมสันต์โสมนัสปราโมทย์ถึงกับออกพระโอษฐรับสั่งชมว่า "งามเป็นเจ้าพระยากษัตริย์ศึกเจียวหนอ" แต่นั้นมานามอันนี้ จึงเป็นนามที่แม่ทัพนายกองแลทหารทั้งปวง พากันนิยมเรียกว่า เจ้าพระยากษัตริย์ศึกแต่คราวนั้นมา ในกองทัพพม่าก็พลอยเรียกว่า เจ้าพระยากษัตริย์ศึก ตลอดไปจนถึงทางราชการฝ่ายพม่า ก็ได้จดหมายเหตุลงพงศาวดารไว้ว่า เจ้าพระยากษัตริย์ศึกเป็นแม่ทัพฝ่ายไทย ได้รบกับอะแซหวุ่นกี้แม่ทัพพม่าที่เมืองพระพิษณุโลก เมื่อปีมะเส็งถึงปีมะแม สัปตศก จุลศักราช ๑๑๓๗ ปี ครั้นเมื่อทอดพระเนตรแลทรงชมเชยแล้ว ก็ยาตรากระบวนออกยืนม้าหน้าพลเสนา ณ สนามกลางหน้าค่ายทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายอะแซหวุ่นกี้ ก็จัดกระบวนแต่งตัวเต็มที่อย่างจอมโยธา ออกยืนอยู่หน้ากระบวน ณ กลางสนาม หน้าค่ายทั้งสองฝ่ายเช่นเดียวกัน (ตอนดูตัวนี้ความพิสดารมีแจ้งอยู่ในพระราชพงศาวดาร) ครั้นอะแซหวุ่นกี้ ได้เห็นเจรจาชมเชย พูดจาประเปรยตามชั้นเชิงพิชัยสงคราม แล้วก็นัดรบต่อไป แต่อะแซหวุ่นกี้คิดจะล่าทัพถอยกลับกรุงอังวะเป็นอย่างมากกว่าจะคิดแข็งใจรบเอาเมืองพิษณุโลก แต่แตกแล้วก็ร่นถอยล่าไปออกทางด่านพระเจดีย์ ๓ องค์ทำกิริยาท่าทางเหมือนจะไปชิงเอาเมืองกำแพงเพชร ทำให้ฝ่ายไทยต้องแบงออกเป็นหลายกองติดตามพม่า ก้าวสกัดหน้าตีวกหลังตามเชิงกลยุทธ ฝ่ายสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ก็เสด็จกลับเข้ากรุงธนบุรี ป้องกันพระราชธานีต่อไป

669
คัดลอกจาก http://www.watpaknam.org/history_sod.htm

             ชาติภูมิ

            นามเดิม สด นามสกุล มีแก้วน้อย ฉายา จนฺทสโร ชาตะ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๒๗ ตรงกับวันศุกร์ แรม ๖ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีวอก ฉศก จุลศักราช ๑๒๔๖ ณ บ้านสองพี่น้อง ตำบลสองพี่น้อง อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี บิดาชื่อนายเงิน มารดาชื่อนางสุดใจ อาชีพทำการค้าข้าว มีพี่น้อง ๕ คน

          การศึกษา

            เริ่มเรียนหนังสือกับพระภิกษุผู้เป็นน้าชาย ณ วัดสองพี่น้อง แล้วมาอยู่ ณ วัดบางปลา อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม ในความปกครองของพระอาจารย์ทรัพย์ ปรากฏว่าเป็นผู้สามารถเรียน อ่านภาษาขอมได้อย่างคล่องแคล่ว เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว ได้กลับไปช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพค้าข้าว ด้วยความวิริยะอุตสาหะ เพื่อสร้างฐานะให้มั่นคง

          เนกขัม

            เมื่ออายุได้ ๑๙ ปี เกิดความเบื่อหน่ายในเพศแห่งฆราวาสวิสัย แต่ไม่อาจปลีกตัวออกไปได้ โดยมีความห่วงใย ฐานะและความเป็นอยู่ของมารดาและพี่น้อง ได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอเราอย่าได้ตายไปก่อน ขอให้ได้บวช เสียก่อน เมื่อบวชแล้วจะไม่ลาลิกขา ขอบวชไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ แล้วได้ขะมักเขม้นทำงานสะสมทรัพย์เพื่อให้มารดาและพี่น้องเลี้ยงชีพไปจนตลอดชีวิต

          อุปสมบท

            เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ ต้นเดือน ๘ ท่านมีอายุได้ ๒๒ ปี ได้อุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดสองพี่น้อง อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี มีฉายาว่า จนฺทสโร โดยมี

            พระอาจารดี วัดประตูสาร อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นพระอุปัชฌาย์

            พระครูวินยานุโยค (เหนี่ยง อินฺทโชโต) วัดสองพี่น้อง อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี พระกรรมวาจาจารย์

            พระอาจารย์ โหน่ง อินฺทสุวณฺโณ วัดสองพี่น้อง อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นพระอนุสาวนาจารย์

            เมืออุปสมบทแล้วได้จำพรรษาอยู่ที่วัดสองพี่น้อง ๑ พรรษา ปวารณาพรรษาแล้วได้ยายมาจำพรรษา ณ วัดพระเชตุพลวิมลมังคลาราม กรุงเทพมหานคร เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรม ได้เอาใจการศึกษาเป็นอย่างดี โดยกลางคืนเรียนที่วัดพระเชตุพนฯ กลางวันได้ไปเรียนในสำนักเรียน วัดอรุณราชวราราม วัดมหาธาตุฯ วัดสุทัศนเทพวราราม วัดจักรวรรติราชาวาส ตามแต่โอกาสจะอำนวยจนมีความแตกฉานในภาษาบาลี และคัมภีร์พระไตรปิฎกเป็นอย่างดี เมื่อได้ศึกษาคันถธุระจนเป็นที่พอใจแล้ว ได้ศึกษาวิปัสสนาธุระกับพระวิปัสสนาจารย์เหล่านี้คือ

พระมงคลทิพยมุนี วัดจักวรรดิราชาวาส กรุงเทพมหานคร

พระอาจารย์ดี วัดประตูสาร อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี

พระอาจารย์โหน่ง อินฺสุวณฺโณ วัดสองพี่น้อง อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี

พระอาจารย์เนียม วัดน้อย จังหวัดสุพรรณบุรี

พระสังวรานุวงษ์ วัดราชสิทธาราม กรุงเทพมหานคร

พระครูญาณวิรัติ (โป๊ะ) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรุงเทพมหานคร

พระอาจารย์สิงห์ วัดละครทำ กรุงเทพมหานคร

พระอาจารย์ปลื้ม วัดเขาใหญ่ อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี

            เมื่อได้ศึกษาภาวนาวิธีจนมีความรู้ความเข้าใจ ทั้งจากพระอาจารย์ทั้งจากพระไตรปิฎกและคัมภีร์ต่างๆ มีวิสุทธิมรรคเป็นต้น ได้แสวงหาที่หลีกเร้นมีความวิเวก เป็นสัปปายะต่อการปฏิบัติธรรมดังนั้น ในพรรษาที่ ๑๑ จึงได้กราบลาเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เข้ม) อธิบดีสงฆ์วัดพระเชตุพนฯ เพื่อไปจำพรรษา ณ วัดโบสถ์บน ตำบลคูเวียง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี

          บำเพ็ญเพียร

            วันเพ็ญกลางเดือน ๑๐ ได้เข้าไปในพระอุโบสถตั้งแต่เวลาเย็นได้ตั้งสัจจอธิษฐานว่า

            " ถ้าเรานั่งลงไปครั้งนี้ ไม่เห็นธรรมพี่พระพุทธเจ้าต้องการ เป็นอันไม่ลุกจากที่นี้จนหมดชีวิต"

            เมื่อตั้งจิตมั่นคงแน่วแน่แล้วได้ระลึกถึงพุทธคุณเป็นที่พึ่งว่า ขอพระองค์ได้ทรงกรุณาโปรดข้าพระพุทธเจ้า ทรงประทานธรรมที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้อย่างน้อยที่สุดที่พระองค์ได้ทรงรู้แล้วแก่ข้าพระพุทธเจ้า ถ้าข้าพระพุทธเจ้ารู้ธรรมของพระองค์แล้วเป็นโทษแก่พระศาสนาของพระองค์ ขอพระองค์อย่าทรงพระราชทานเลย ถ้าเป็นคุณแก่พระศาสนาของพระองค์แล้วโปรดพระราชทานแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขอรับเป็นทนายศาสนาในศาสนาของพระองค์จนตลอดชีวิต

            ได้เริ่มบำเพ็ญเพียรแต่ก็มีมารผจญคือ มดที่ไต่ไปมาก่อความรำคาญต่อการบำเพ็ญกิจภาวนาจึงเอานำมันก๊าดและปลายนิ้วขีดดวงรอบล้อมตัว พอทำได้ครึ่งหนึ่งเกิดความละอายใจว่า ชีวิตเรายังสละได้จะกลัวอะไรกับมด แล้วเลิกอุบายป้องกัน บำเพ็ญกิจภาวนาเรื่อยไป ได้เริ่มเห็นฝังของจริงของพระพุทธเจ้า (คือธรรมกายโคตรภู)ในระหว่างมัชฌิมยามกับปัจฉิมยามติดต่อกัน ท่านได้รำพึงว่า ธรรมเป็นของลึกถึงเพียงนี้ ใครจะไปคิดคาดคะเนเอาได้ พ้นวิสัยของความ ตรึก นึก คิด ถ้ายัง ตรึก นึก คิด อยู่ก็เข้าไม่ถึง ที่จะเข้าให้ถึง ต้องทำให้รู้ตรึก รู้นึก รู้คิด นั้นหยุดเป็นจุดเดียวกัน แต่พอหยุดก็ดับ แต่พอดับแล้วเกิด ถ้าไม่ดับแล้วไม่เกิด ตรองดูเถิดท่านทั้งหลาย นี้เป็นของจริง หัวต่อมีอยู่ตรงนี้ ถ้าไม่ถูกส่วนก็ไม่มี ไม่เป็นเด็ดขาด

            รำพึงอย่างนี้สักครู่ใหญ่เกรงว่า ความมี ความเป็นนั้น จะเลือนไปเสียจึงเข้าที่ (ดำรงสมาธิมั่น) ต่อไปจนปัจฉิมยามในขณะดำรงสมาธิมั่นอยู่อย่างนั่น เห็นวัดบางปลา ปรากฏขึ้นในนิมิต จึงเกิดญาณทัสนนะขึ้นว่า ธรรมที่รู้ว่าได้ยากนั้น ในวัดบางปลานี้ จะต้องมีผู้รู้เห็นได้อย่างแน่นอน ออกพรรษาแล้วได้ไปสอนที่วัดบางปลา ๔ เดือน มีพระทำเป็น (ได้ธรรมกาย) ๔ รูป คฤหัสถ์ ๔ คน นี้เป็นที่มาแห่ง "ธรรมกาย" คำว่า ธรรมกาย นี้ มีพระบาลีรับรองว่า " ตถาคตสฺส วาเสฏฺฐ เอตํ ธมฺมกาโยติวจนํ ดูกรวาเสฏฐะธรรมกายนี้เป็นชื่อของตถาคต" และมีพระบาลีปรากฏในอัคคัญสูตร ปาฏิกวรรคทีฆนิกาย พระสุตตันตปิฎก รับรองว่า ตถาคตสฺส เหตํ วาเสฏฐา อธิวจนํ ธมฺมกาโย อิติปิ ดูกรทวาชะ เพราะว่าธรรมกายนั้นเป็นชื่อของตถาคต"

          สนองพระบัญชา

            พ.ศ. ๒๔๕๙ ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ โดยฉันทานุมัติของคณะสงฆ์ ซึ่งมีสมเด็จพระวันรัต (เผื่อน ติสฺสทตฺตเถร) เป็นประธาน ทั้งนี้โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้บูรณะปฏิสังขรณ์เสนาสนะและถาวรวัตถุในวัด ซึ่งขณะนั้นอยู่ในสภาพที่ชำรุดทรุดโทรมกึ่งวัดร้าง

            ในเบื้องต้น ท่านได้ประชุมพระภิกษุ สามเณร ทั้งหมดในวัดแล้วให้โอวาทว่า " เจ้าคณะอำเภอส่งมาเพื่อให้รักษาวัด และปกครอง ตักเตือนว่ากล่าวผู้อยู่อาศัย โดยพระธรรมวินัย อันจะให้วัดเจริญได้ต้องอาศัยความพร้อมเพรียงและเห็นอกเห็นใจกัน จึงจะทำความเจริญได้ ถิ่นนี้ไม่คุ้นเคยกับใครเลย มาอยู่นี้เท่ากับถูกปล่อยโดยไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปพึ่งใครเพราะต่างไม่รู้จักกัน แต่มั่นใจว่า ธรรมที่พวกเราปฏิบัติตรงต่อพระพุทธโอวาท จะประกาศความราบรื่นและรุ่งเรืองให้แก่ผู้มีความประพฤติเป็นสัมมาปฏิบัติ ธรรมวินัยเหล่านั้น จะกำจัดอธรรมให้สูญสิ้นไป พวกเราบวชกันมาคนละมากๆ ปี ปฏิบัติธรรมเข้าขั้นไหน มีพระปาฏิโมกข์เรียบร้อยอย่างไร ทุกคนทราบความจริงของตนได้ ถ้าเป็นไปตามแนวพระธรรมวินัยก็น่าสรรเสริญ ถ้าผิดพระธรรมวินัย น่าเศร้าใจ เพราะตนเองก็ติเตียนตนเองได้เคยพบมาบ้าง แม้บวชมาตั้งนานนับเป็นสิบๆ ปีก็ไม่มีภูมิจะสอนผู้อื่นจะเป็นที่พึ่งของศาสนาก็ไม่ได้ ได้แต่อาศัยศาสนาอย่างเดียว ไม่ทำประโยชน์ให้เกิดแก่ตนเองและแก่ท่าน ซ้ำร้ายยังทำให้พระศาสนาเศร้าหมองอีกด้วย บวชอยู่อย่างนี้ก็เหมือนตัวเสฉวน จะได้ประโยชน์อะไรในการบวช ในการอยู่วัด ฉันมาอยู่วัดปากน้ำจะพยายามตั้งใจประพฤติให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย พวกพระเก่าๆ จะร่วมกันก็ได้ หรือจะไม่ร่วมด้วยก็ได้แล้วแต่อัธยาศัย ฉันจะไม่รบกวนด้วยอาการใดๆ เพราะถือว่า ทุกคนรู้สึกผิดชอบด้วยตนเองดีแล้ว ถ้าไม่ร่วมใจก็อย่าได้ขัดขวาง ฉันก็จะไม่ขัดขวางผู้ไม่ร่วมมือเหมือนกัน ต่างคนต่างอยู่ แต่ต้องช่วยกันรักษาระเบียบของวัด คนจะเข้าจะออกต้องบอกให้รู้ ที่มาแล้วไม่เกี่ยวข้อง เพราะยังไม่อยู่ในหน้าที่ จะพยายามรักษาเมื่ออยู่ในหน้าที่"

            หลวงพ่อได้เริ่มปรับปรุงวัดปากน้ำ จากวัดที่มีสภาพกึ่งวัดร้างมาเป็นวัดที่เป็นที่เจริญศรัทธาของประชาชนโดยลำดับ ทั้งในด้านการปฏิบัติธรรม ในด้านการศึกษาพระปริยัติธรรม ในด้านการก่อสร้างปฏิสังขรณ์เสนาสนะและถาวรวัตถุในวัด ในด้านการอุปถัมภ์ด้วยอาหารบิณฑบาต ซึ่งนับว่าเป็นสัปปายะอย่างต่อผู้ใคร่ศึกษาและสัมมาปฏิบัติโดยทั่วไป

          จริยาวัตร

            นำพระภิกษุ สามเณร ลงทำวัตร สวดมนต์ในพระอุโบสถทุกวัน ทั้งเช้าและเย็นพร้อมทั้งได้ให้โอวาทสั่งสอนด้วย วันพระ และวันอาทิตย์ ลงแสดงธรรม - ฟังธรรม ในพระอุโบสถเป็นนิจ บำเพ็ญกิจภาวนาในสถานที่ซึ่งจัดไว้เป็นการเฉพาะ เป็นกิจวัตรประจำวัตร และจัดพระภิกษุ สามเณร แม่ชีผู้ได้ธรรมกาย ผลัดเปลี่ยนวาระทำกิจภาวนา สถานที่บำเพ็ญภาวนานี้ห้ามบุคคลภายนอกเข้าไปโดดเด็ดขาด ทุกวันพฤหัสบดี เวลา ๑๔.๐๐ น. ลงสั่งสอนการนั่งสมาธิภาวนาแก่พระภิกษุ สามเณร แม่ชี และประชาชนทั่วไป พระภาวนาโกศลเถระ (ธีระ ธมฺมธโร ป.ธ.๔) เป็นผู้ดำเนินการแทนท่าน เมื่อพระภาวนาโกศลเถระ มรณภาพลง พระภาวนาโกศลเถระ (วีระ คณุตฺตโม) เป็นพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระต่อมา อนึ่ง เฉพาะเวลาเย็นทุกวันได้มอบหมายให้แม่ชีญาณี ศิริโวหาร เป็นผู้สอนภาวนา ที่ศาลาการเปรียญ ไม่นิยมออกนอกวัด นอกจากมีกิจจำเป็นจริงๆ และได้ปฏิญญาว่า จะไม่ไปค้างแรมที่ไหนไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากเป็นห่วงการบำเพ็ญกิจภาวนา

          ด้านการศึกษา

            หลวงพ่อ ถือว่า การศึกษาเป็นเรื่องใหญ่ และต้องมาก่อนเรื่องอื่น การสร้างคนเป็นงานยิ่งใหญ่ เมื่อสร้างคนได้แล้ว สิ่งอื่นๆ ตามมาเอง คนที่ไร้การศึกษาเป็นคนที่รกชาติ ดังนั้น จึงจัดสร้างโรงเรียนราษฎร์ขึ้นในวัดเพื่อการศึกษาของเยาวชน ต่อมาได้ย้ายโรงเรียนไปอยู่วัดขุนจันทร์ อีกทั้งได้ส่งเสริมการศึกษาพระปริยัติธรรมของคณะสงฆ์ โดยสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมภาวนานุสนธิ์ขึ้นในปี พ.ศ.๒๔๙๓ โดยมี ฯพณฯ ท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีเป็นผู้วางศิลาฤกษ์

          การสร้างสาธารณูปการ

            ถึงแม้ว่า การสร้างคนเป็นงานหลัก กระนั้น ก็มิได้ละเลยงานก่อสร้างปฏิสังขรณ์เสนาสนะและถาวรวัตถุเลยทีเดียว จึงได้จัดสร้าง กุฏิ ๒ แถว ๒ ชั้น ชั้นบนเป็นไม้ ชั้นล่างก่ออิฐถือปูน โรงเรียนพระปริยัติธรรมภาวนานุสนธิ์ เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก  ๓ ชั้น พร้อมอุปกรณ์ การศึกษาครบชุด ศาลาโรงฉัน พอเหมาะแก่ พระภิกษุ สามเณร ๕๐๐ รูป ฉันภัตตาหารเช้า - เพล กุฏิมงคลจันทสร เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก ๒ ชั้น กุฏิบวรเทพมุนี เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก ๓ ชั้น เสนาสนะหลังเล็กๆ ซึ่งเป็นสัปปายะ ต่อผู้ใคร่ศึกษาและปฏิบัติธรรม ทั้งนี้ อยู่ในความควบคุมดูแลของพระครูปลัดณรงค์ ฐิตญาโณ ป.ธ.๔

          การอุปถัมภ์อาหารบิณฑบาต

            อาหารสัปปายะ เป็นปัจจัยสำคัญยิ่งต่อการศึกษาและการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อมองเห็นการขาดแคลนอาหารบิณฑบาตของพระภิกษุ สามเณร ซึ่งมีอยู่เป็นประจำจึงคิดแก้ไข ด้วยการเลี้งพระภิกษุ สามเณรทั้งวัด ทั้งเวลาเช้า และเพล โดยท่านรับภาระเองทั้งสิ้น ท่านปรารภว่า "กินคนเดียวกินไม่พอกิน กินหลายคนกินไม่หมด" จึงจัดตั้งโรงครัวขึ้นเพื่ออุปการะพระภิกษุ สามเณร และผู้ปฏิบัติธรรม โดยเริ่มดำเนินการเลี้ยงพระมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๕๙ จนถึงปัจจุบัน โดยมีอุบาสิกาท้วม หุตานุกรม เป็นหัวหน้าโรงครัวในยุคแรกตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๒ เป็นต้นมา แม่ชีธัญญาณี สุดเกษ ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าโรงครัวสืบต่อมา

          การปกครอง

            หลวงพ่อได้แบ่งการปกครองออกเป็นส่วนๆ โดยมอบให้ ท่านหลวงพ่อ เป็นผู้ปกครองดูแลพระภิกษุ พระครูปัญญาภิรัติ (ถวิล ธมฺมาภิรโต) ปกครองดูแลเด็กวัด พระครูพิพัฒนธรรมคณี (ธนิต อุปคุตฺโต) ปกครองสามเณร อุบาสิกาไข่ ชัยพานิช อุบาสิกท้วม หุตานุกรม ปกครองดูแลแม่ชี

          ความกตัญญูกตเวที

            หลวงพ่อเป็นผู้หนักในกตัญญูกตเวทิตาธรรม ท่านได้รับโยมมารดาผู้ชรามาอยู่วัดวัดปากน้ำด้วย โดยสร้างที่อยู่อาศัยและอุปถัมภ์ด้วยเครื่องเลี้ยงชีวิตเป็นอย่างดี แม้คนอื่นก็เหมือนกัน ท่านย่อมอนุเคราะห์ตามฐานะ ในสมัยที่ท่านเรียนหนังสือ ท่านได้รับความอุปถัมภ์เรื่องอาหารบิณฑบาตจากอุบาสิกานวม ซึ่งเป็นแม่ค้าขายข้าวแกงเป็นประจำทุกวัน ต่อมาแม่ค้าผู้นี้ทุพพลภาพลงเพราะชราขาดผู้อุปการะ ท่านได้รับตัวมาอยู่วัดปากน้ำ ได้อุปการะทุกวิถีทาง เมื่อสิ้นชีวิตก็ได้จัดการฌาปนกิจศพให้ โดยท่านกล่าวว่า เมื่อเราอดอยาก อุบสิกานวมได้อุปการะเรา ครั้นอุบาสิกนวมยากจนลง เราได้ช่วยอุปถัมภ์ ที่สุดต่อทีสุดมาพบกัน จึงเป็นกุศลอันยากที่จะหาได้ง่ายๆ

          สมณะศักดิ์

พ.ศ. ๒๔๕๙ เป็นพระสมุห์ ฐานานุกรมในพระศากยยุตติวงศ์

พ.ศ. ๒๔๖๔ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ที่ พระครูสมณธรรมสมาทาน

พ.ศ. ๒๔๙๐ เป็นพระอุปัชฌาย์

พ.ศ. ๒๔๙๒ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ พระภาวนาโกศลเถร

พ.ศ. ๒๔๙๔ ได้รับพระราชทานพัดยศเทียบเปรียญ

พ.ศ. ๒๔๙๘ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช  ที่ พระมงคลราชมุนี

พ.ศ. ๒๕๐๐ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ  ที่ พระมงคลเทพมุนี

          คำปรารภ

            พ.ศ. ๒๔๙๘ หลวงพ่อได้ประชุมบรรดาศิษยานุศิษย์ แล้วได้ปรารภว่าอีก ๕ ปี ท่านจะไม่อยู่แล้วขอฝากวัดด้วย จงควบคุมดูแลให้เป็นไป ทั้งการศึกษาพระปริยัติ การบำเพ็ญกิจภาวนา การก่อสร้างปฏิสังขรณ์เสนาสนะและถาวรวัตถุในวัด

          อาพาธ

            หลังจากที่ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ ที่ พระมงคลเทพมุนีแล้ว เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ เป็นต้นมา ได้อาพาธเกี่ยวกับความดันโลหิตสูง ท่านปรารภว่า เจ็บคราวนี้ไม่หายไม่มียารักษา เพราะยาที่มีอยู่ไม่ถึงโรค กรรมบังไว้เป็นเรื่องแก้ไขไม่ได้ ท่านมิได้แสดงอาการหวาดหวั่นท้อแท้แต่ประการใด คงมุ่งแต่ทำกิจภาวนาและควบคุมการบำเพ็ญกิจภาวนาของพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ด้วยตัวท่านเอง กิจภาวนานี้เป็นงานที่หลวงพ่อห่วงมาก และได้สั่งสอนว่างานที่เคยทำไว้อย่างไร อย่าได้ทิ้ง จงพยายามทำต่อไปและจงเลี้ยงพระภิกษุ สามเณร ดังที่เคยทำมา

          มรณภาพ

            หลวงพ่อมรณภาพ เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๒ เวลา ๑๕.๐๕ น. ตรงกับวันอังคาร แรม ๑๑ ค่ำ เดือนยี่ ปีกุน สัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๓๒๐ ณ ตึกมงคลจันทสร วัดปากน้ำ แขวงปากคลอง เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร สิริอายุ ๗๕ ปี พรรษา ๕๓รูปํ ชีรติ มจฺจานํ นามโคตตํ น ชีรติ

          คติธรรม

เห็นใดฤามาตรแม้น                        ธรรมกาย

จำสนิทนิมิตหมาย                        มั่นแท้

คิดทำเถิดหญิง-ชาย                        ชูช่วย ตนแฮ

รู้ยิ่งเบญจขันธ์แท้                        แต่ล้วนอจิรัง

รักษ์ร่างพอสร่างร้าย                        รอดตน

ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล                        ผ่องแผ้ว

เลอเลิศล่วงกุศล                        ใดอื่น

เชิญท่านถือเอาแก้ว                        ก่องหล้าเรืองสกล

ด้วยความหมั่น มั่นใจ ไม่ประมาท

รักษาอาตม์ ข่มใจ ไว้เป็นศรี

ผู้ฉลาด อาจตั้งหลัก พำนักดี

อันห้วงน้ำไม่มี มารังควาน

เกิดมาว่าจะมาหาแก้ว พบแล้วไม่กำ จะเกิดมาทำไม

อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หลอกมันก็ลวง ทำให้จิตมันเป็นห่วงเป็นใย

เลิกอยากลาหยอก รีบออกจากกาม เดินตามขันธ์สามเรื่อยไป

เสร็จกิจสิบหก ไม่ตกกันดาร เรียกว่า "นิพพาน" ก็ได้

ประกอบเหตุ สังเกตผล ทนเอาเถิด ประเสริฐนัก

ไม่หยุดไม่ถึงพระ ตัวหยุดนี่แหละเป็นตัวสำเร็จ

ผลไม้ดกนกชุม น้ำเย็นปลาชอบอาศัย


670
เกจิอาจารย์ภาคเหนือ / หลวงพ่อปาน
« เมื่อ: 01 เม.ย. 2550, 02:16:39 »
วัดบางนมโคนี้ สร้างขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรไม่ปรากฏ บางท่านก็ว่ามีในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เดินชื่อวัดนมโค ครั้นเมื่อ พ.ศ. 2310 ในคราวที่ควันแห่งศึกสงครามกำลังรุมล้อมกรุงศรีอยุธยา พม่าข้าศึกได้มาตั้งค่ายหนึ่งขึ้นที่ตำบลสีกุก ห่างจากวัดบางนมโค ซึ่งย่านวัดบางนมโคนี้มีการเลี้ยงวัวมากกว่าที่อื่นพม่า ก็ได้ถือโอกาสมากวาดต้อนเอา วัว ควาย จากย่านบางนมโคไปเป็นเสบียงเลี้ยงกองทัพ

ในที่สุดกรุงศรีอยุธยาก็เสียแก่พม่า บ้านเมืองระส่ำระสาย วัดบางนมโคจึงทรุดโทรมไปบ้างตามกาลเวลา ต่อมาก็ได้มีการซ่อมแซมขึ้นใหม่ ก็ยังมีการเลี้ยงโคกันอยู่อีกมากมาย ชาวบ้านจึงเรียกติดปากว่า วัดบางนมโคอาณาเขตของวัดบางนมโค

วัดบางนมโคมีเนื้อที่ทั้งหมด 24 ไร่ 21 วา 3 งาน ทิศตะวันออกจดที่ดินเลขที่ 163 ทางสาธารณะประโยชน์ทิศตะวันตกจดที่มีการครอบครองแม่น้ำปลายนา ทิศเหนือจดที่ดินเลขที่ 134 มีการครอบครองแม่น้ำเก่าปลายนา ทิศใต้จดที่ดินเลขที่ 162, 163, 165 ทางสาธารณะประโยชน์

ลำดับเจ้าอาวาสวัดบางนมโค
เจ้าอาวาสวัดบางนมโค จะมีกี่รูปไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด เริ่มจะมีการบันทึกเป็นหลักฐานก็ตั้งแต่

1. เจ้าอธิการคล้าย

2. พระอธิการเย็น สุนทรวงษ์ มรณภาพ ปี พ.ศ. 2478

3. ท่านพระครูวิหารกิจจานุการ (ปาน) โสนันโท รับตำแหน่งเจ้าอาวาสตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 มีโอกาสได้เป็นเจ้าอาวาสได้เพียง 2 ปี ก็มรณภาพลงเมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2480

4. พระอธิการเล็ก เกสโร

5. พระอธิการเจิม เกสโร

6. พระมหาวีระ ถาวโร (ฤาษีลิงดำ)

7. พระอาจารย์อำไพ อุปเสโน

8. พระครูวิหารกิจจานุยุต (อุไร กิตติสาร) ได้รับการอาราธนามาเป็นเจ้าอาวาสตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 จนถึงปัจจุบัน

ในเมื่อไหนๆ จะคุยกันถึงเรื่องพระเครื่องหลวงพ่อปานแล้ว เราก็จะคุยกันนานๆ แบบถึงกึ๋นพอสมควรไปเลย เผื่อท่านที่กำลังที่จะศึกษา หรือหาพระหลวงพ่อป่านไว้ใช้ซักองค์ ท่านจะได้นำความรู้เล็กๆ น้อยๆ ของผมนำไปประกอบการพิจารณาการเล่นได้บ้างไม่มากก็น้อย

เมื่อพูดถึงพระเครื่องหลวงพ่อปานแล้ว นับได้ว่าจากอดีตไม่เคยมีพระคณาจารย์รูปใดสร้างพระเครื่องพิมพ์ที่แปลก! ผมขออนุญาตใช้คำว่า "แปลก"ครับ ท่านผู้อ่าน จะแปลกยังไง เราจะค่อยๆ ว่ากันไปเรื่อยๆ

? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?

ประวัติ พระครูวิหารกิจจานุการ

? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?

ชาติภูมิของหลวงพ่อป่าน ท่านได้ถือกำเนิดที่ย่านวัดบางนมโค เมื่อวันที่ 16กรกฎาคม 2418 โยมบิดาชื่อ อาจ โยมมารดาชื่อ อิ่ม นามสกุล สุทธาวงศ์ โดยอาชีพทางครองครัว คือ ทำนา

สาเหตุที่โยมบิดาขนานนามท่านว่า "ปาน" เนื่องจากท่านมีสัญลักษณ์ประจำตัวคือปานแดงอยู่ที่นิ้วก้อยมือซ้ายตั้งแต่โคนนิ้วถึงปลายนิ้วคล้ายปลอกนิ้ว

? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?

หลวงพ่อปานในวัยเด็ก
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?

พระมหาวีระ ถาวโร หรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านได้เล่าไว้ในหนังสือประวัติหลวงพ่อปานว่า

"...ท่าน (หลวงพ่อปาน) บอกว่า สมัยท่านเป็นเด็กอายุสัก 3-4 ขวบ ท่านวิ่งเล่นใต้ถุนบ้าน หลวงพ่อปานท่านเป็นคนบางนมโค และเป็นคนตำบลนั้น ไม่ใช่คนที่อื่น เป็นคนที่มีฐานะค่อนข้างจะมั่งคั่งอยู่สักหน่อย สมัยนั้นเขามีทาสกันที่บ้านท่านก็มีทาส ท่านบอกว่า ท่านวิ่งเล่นอยู่ใต้ถุนบ้านย่าของท่าน ก็ปรากฏว่าย่าของท่านกำลังป่วยหนัก ใกล้จะตาย เวลานั้นก็เห็นจะเป็นเวลาบ่ายสัก 2-3 โมงกว่า ท่านว่าอย่างนั้นโดยประมาณ

คนทุกคนเขามาเยี่ยมย่า พ่อแม่ของท่านก็ไป เมื่อคนทุกคนขึ้นไปแล้วท่านบอก เห็นร้องดังๆ บอก แม่แม่ อรหันนะ อรหัน ภาวนาไว้ อรหัน พระอรหัน จะช่วยแม่ ก็ร้องกันเสียงดังๆ ท่านอยู่ใต้ถุน ท่านยืนฟังเขาว่าอรหันกันทำไม พอท่านสงสัยก็ย่องขึ้นไปที่หน้าบันไดชานเรือนพอท่านขึ้นไปแล้วก็ปรากฏว่า ผู้อยู่เขาเอาปากกรอกไปที่ข้างหูของคุณย่าท่าน บอกแม่ แม่อรหันนะ อรหัน แต่ว่าพอผู้ใหญ่เขามองเห็นท่านเข้าไป เขาก็ไล่ท่านไปเขาจะหาว่า ไอ้เจ้าเด็กมันรุ่มร่าม ท่านก็เลยไปเล่นใต้ถุนบ้านอื่น พอมาถึงตอนเย็นเวลากินข้าว ท่านแม่ก็ป่าวหมู่เทวฤทธิ์คือ เรียกลูกกินข้าว

เมื่อทุกคนมาพร้อมกันแล้วท่านแม่ก็จัดกับข้าวมาวางกลาง สำหรับตัวท่านเองเป็นเด็ก เขาเอาข้าวใส่จานมาให้แล้วเอาแกงเผ็ด ท่านบอกว่า ไอ้แกงฉู่ฉี่แห้ง ท่านชอบ เขาใส่มาให้เรียกว่า ไม่ต้องหยิบกับข้าว กินแบบประเภทข้าวราดแกง

เวลาที่ท่านกินเข้าไปแล้วมานั่งนึกว่า กับข้าวมันอร่อยถูกใจ ก็เกิดความชุ่มชื่น พอจิตมันนึกขึ้นได้ว่าเอาบอกอรหัง อรหัง นึกถึงคำว่า อรหัง ขึ้นมาได้ ท่านก็เลยปลื้มใจอย่างไรชอบกล เลยเปล่งวาจาออกมาดังๆ ว่า อรหัง อรหัง ว่า 2- 3 คำ

ท่านแม่ที่มองตาแป๋วลุกพรวดจับชามข้าวที่ท่านถืออยู่วางไว้ จับตัวท่านวางปังออกไปนอกชาน แล้วร้องตะโกนสุดเสียง "เอ้า มึงจะตายโหง ตายห่าก็ตายคนเดียว มันจะมาว่าอรหังที่นี่ได้รึ? คำว่า อรหัง พุทโธ นี่คนเขาจะตายเท่านั้นแหละเขาว่ากัน นี่ดันมาว่า อรหังที่นี่ ทำเป็นลางร้ายให้คนอื่นเขาพลอยตายด้วย"

ท่านแปลกใจคิดว่า นี่เราว่าดีๆ นี่แม่ดุเสียงเขียวปัด นี่มันเรื่องอะไรกันในเมื่อถูกแม่ดุอย่างนั้น จะขืนว่าอีกก็เกรงไม้เรียว ก็เลยไม่ว่า

พอท่านพูดถึงตอนนี้แล้ว ท่านก็หัวเราะบอกว่า "คุณแม่ฉันน่ะโง่นะ ไม่ได้ฉลาดหรอก อีตอนใหม่นั้น ตอนฉันมาบวชได้แล้ว อรหันหรือพุทโธนี้ ถ้าใครภาวนาไว้ เป็นวาจาที่กล่าวถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า และพระอริยสงฆ์ทั้งหมด ถ้าใครภาวนาคำนี้ได้ตกนรกไม่ได้...แต่ว่าแม่ของฉันนี่ท่านไม่รู้ ก็เป็นโทษเพราะไม่ได้รับการศึกษา แต่ว่าไม่เป็นหรอก ตอนหลังที่ฉันบวชแล้วนี่นะ ฉันกลับใจแม่ของฉันได้ ฉันแนะนำให้ท่านทราบแล้ว เวลาท่านตายท่านก็ยึดพุทโธ อรหันเป็นอารมณ์ แต่ไม่ได้ยึดเวลาตาย ฉันให้ท่านว่าทุกวัน....

สมัยก่อน เมื่อลูกชายมีอายุครบบวช ก็จะทำการอุปสมบท ทางบิดามารดาจะต้องส่งบุตรของตนไปอยู่วัดเพื่อรับการอบรม และท่านขานนาคเป็นเวลาประมาณ 3 เดือน เป็นอย่างน้อยท่านเองมีความสงสัยในใจว่า เหตุไฉนสตรีเพศจึงดึงดูดบุรุษเพศมากมายนัก ทำให้หลงใหลใฝ่ฝัน ตัวท่านเองก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงมาก่อน จึงคิดว่าจะหาวิธีลองของจริงดูว่าเป็นอย่างไรถ้าดีจริงบวชครบพรรษาจะสึกออกมา ถ้าไม่เป็นจริงตามวิสัยโลกก็จะไม่สึก

ที่บ้านของท่านมีคนรับใช้อยู่คนหนึ่ง เรียกกันว่า ทาส ชื่อว่า พี่เขียว อายุประมาณ 25 ปี ตอนกลางวันอยู่ด้วยกันสองคน ท่านเกิดสงสัยเนื้อผู้หญิงขึ้นมา บอกว่าตั้งแต่เกิดมานอกจากเนื้อแม่กับเนื้อพี่แล้ว ไม่เคยจับเนื้อใคร ท่านคิดว่าเนื้อผู้หญิงมันดียังไงผู้ชายถึงได้อยากกันนัก บางทีถึงกับฆ่ากันเลย ก็สงสัยว่าจะบวชแล้วนี่ ถ้ามันดีจริงแล้วก็จะสึก ถ้าไม่ดีก็จะไม่สึกละ

เมื่อคนว่างก็เข้าไปหาพี่เขียว พี่เขียวแกอยู่ในครัวทาส แต่ว่าท่านเรียกพี่ในฐานะที่เขาแก่กว่าตัว ยกมือไหว้บอกว่า "พี่เขียว ขออภัยเถอะ ฉันขอจับเนื้อพี่เขียวดูหน่อยได้ไหมว่า เนื้อผู้หญิงน่ะมันดียังไง เขาถึงชอบกันนัก"

พี่เขียวก็แสนดี อนุญาต ท่านก็เลือกจับเนื้อกล้าม เขาเรียกว่า กล้ามเนื้อที่หน้าอก ผู้หญิงนี้มีกล้ามเนื้อพิเศษอยู่ที่กล้ามเนื้อ 2 กล้ามที่หน้าอก แต่ไม่ได้จับมาหรอก จับตรงนั้น แต่ก็ไม่ได้ลวนลามไปถึงไหน จับๆ แล้วก็มาจับน่อง เอ๊! มันคล้ายกัน บอกพี่เขียวว่านี่มันคล้ายกันนี่ พี่เขียวแกก็บอกว่าเป็นอย่างนั้นมันก็คล้ายกัน แล้วท่านก็ถามพี่เขียวว่า ทำไมผู้ชายเขาถึงชอบเนื้อผู้หญิงนัก ดันไปถามผู้หญิงได้ นี่ว่ากันอย่างเราๆนะ แล้วเขาจะตอบอย่างไร เขาก็บอกไม่รู้เหมือนกัน แล้วท่านก็ยกมือไหว้ขอขมาพี่เขียวบอกว่า "ขอโทษ ที่ขอจับเนื้อนี่ไม่ได้ดูถูกดูหมิ่น อยากจะพิสูจน์เท่านั้นว่ามันดีอย่างไร" เมื่อท่านหมดความสงสัยในใจแล้วก็ตกลงใจว่าจะบวช คราวนี้จะไม่ขอสึกหาลาเพศ ก็สมจริงกังที่ท่านตั้งใจทุกประการ

? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?

สู่ร่มกาสาวพัสตร์
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?

หลังจากที่โยมมารดาบิดาได้นำท่านมาฝากไว้กับหลวงปู่คล้าย ให้ฝึกหัดขานนาคให้คล่องแคล่วแล้ว ท่านก็ได้เข้าอุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดบางนมโค เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2438 ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 5 ปีมะแม โดยมี

หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์จ้อย วัดบ้านแพ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์อุ่ม วัดสุธาโภชน์ เป็นอนุสาวนาจารย์ มีฉายาว่า "โสนันโท"

? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?

หลวงพ่อปานเรียนวิชา
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?

หลังจากที่ได้อุปสมบทแล้วหลวงพ่อปานท่านก็ได้ติดตามพระอุปัชฌาย์คือ หลวงพ่อสุ่น ด้วยความสนใจใคร่ศึกษา เพราะว่าในสมัยนั้นหลวงพ่อสุ่นท่านเป็นพระที่แก่กล้าทางคาถาอาคมและรักษาโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อตามไปเล่าเรียนเป็นศิษย์แล้ว หลวงพ่อสุ่นเห็นลักษณะของหลวงพ่อป่านว่ามีลักษณะดี จะได้เป็นครูบาอาจารย์ต่อไปภายภาคหน้า จึงได้ให้สติหลวงพ่อปานเบื้องต้นในหน่ายกิเลสว่า

1. อย่าอยากรวย อยากมีลาภได้ ทรัพย์มาแล้วดีใจ ตั้งหน้าสะสมทรัพย์

2. เป็นอย่างต้นแล้ว เมื่อทรัพย์หมดก็เป็นเหตุให้เสียใจ

3. อยากมียศฐาบรรดาศักดิ์ ได้ยศมาแล้วปลื้มใจ

4. เมื่อหมดยศไปแล้วก็เสียใจ

5. ได้รับคำสรรเสริญแล้วยินดี

6. มีความสุขความเพลิดเพลินในกามารมณ์

8. เมื่อมีความทุกข์ก็หวั่นไหวท้อแท้ใจ

จากเพศฆราวาสมาสู่เพศบรรพชิตแล้วอย่าหวังรวย ถ้ารวยแล้วไม่ใช่พระ พระต้องรวยด้วยบุญญาบารมี เงินที่ได้มาอย่าติด จงทำสาธารณประโยชน์เสียให้สิ้น เหลือกินเหลือใช้แต่พอเลี้ยงอาตมาอย่าหวังในยศ ถ้าหลีกเลี่ยงไม่รับยศไม่ได้แล้ว ก็อย่าเมายศฐาบรรดาศักดิ์ มันเป็นเครื่องถ่วงกิเลส ยศลาภสรรเสริญ ความสุขในกามารมณ์ มันเป็นตัวกิเลส มันเป็นโลกธรรม ต้องตัดออกให้หมด ถ้าพอใจในสี่สิ่งนี้ก็ไม่ใช่พระ จะพาให้สู่ห้วงนรก จ้องระลึกอยู่เสมอว่า เราบวชเพื่อนิพพาน อย่างที่กล่าวในตอนขออุปสมบทครั้งแรกว่า "นิพพานัสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวังคะ เหตะวา" อันหมายความว่า เราขอรับผ้ากาสาวพัตร์เพื่อให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน

จากนั้นหลวงพ่อสุ่นก็สั่งให้ท่องสวดมนต์ตลอดจนคาถาธาตุทั้งสี่ คือ นะ มะ พะ ทะ ให้ว่า ถอยหลังแล้วเป่าให้กุญแจหลุด ถ้าเจ้าเป่าหลุดแล้วบอกพ่อ จะให้วิชาต่างๆ ให้หมดไม่ปิดบัง

นี่คือการฝึกสมาธิจิตที่หลวงพ่อสุ่นสอนหลวงพ่อปานทางอ้อม คือถ้าจิตไม่มีสมาธิแล้วอย่าหวังเลยว่า ด้วยคาถาเพียงสี่ตัวจะดีกว่าลูกกุญแจได้ หลวงพ่อป่านท่านก็มีความอดทน หมั่นฝึกเป่ากุญแจนานเป็นเดือน เป่าเท่าไหร่ก็ไม่หลุด มาหลุดเอาตอนที่ท่านทำใจสบายเป็นสมาธิ นึกถึงคาถาเป่ากุญแจได้ จึงลุกขึ้นมาเป่ากุญแจ

คราวนี้กุญแจหลุดหมด ทดลองกับลูกอื่นๆ ก็หลุด เพิ่มกุญแจขึ้นเรื่อยๆ จนถึง 40 ดอก แขวนไว้บนราว ก็หลุดหมด แล้วจึงทดลองให้หลวงพ่อสุ่นดูจนพอใจ

หลังจากนั้นหลวงพ่อสุ่นก็สอนวิปัสสนาให้แก่หลวงพ่อปาน ตั้งแต่ชั้นต้นจนถึงที่สุด ด้วยความเมตตา หลวงพ่อ ปานในตอนท้ายว่า เมื่อมีฤทธิ์แล้วอย่าแสดงให้คนอื่นเขาเห็นเป็นการอวดดี จะเป็นโทษตามที่พระพุทธองค์ทรงห้ามไว้

จบจากวิปัสสนาแล้วหลวงพ่อสุ่นยังได้ถ่ายทอดวิชาแพทย์แผนโบราณให้ ซึ่งหลวงพ่อปานก็ได้อาศัยใช้ช่วยชีวิตผู้ได้รับทุกข์ทรมานให้หายมามากต่อมาก จนท่านได้ชื่อว่าเป็น "พระหมอ"

หลวงพ่อสุ่นสอนว่า "การเป็นหมอนั้น บังคับไม่ได้ให้คนตายไม่ได้หมอเป็นเพียงช่วยระงับทุกข์เวทนาเท่านั้น"

จากนั้นหลวงพ่อสุ่นก็ถ่ายทอดกสิณต่างๆ ให้หลวงพ่อปานจนกระทั่งสิ้นความรู้

? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?

องค์อาจารย์ของหลวงพ่อปาน
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?

การเรียนวิชาของหลวงพ่อปานนั้น พอจะรวบรวมได้ดังนี้

เรียนวิชาวิปัสสนากรรมฐานและวิชาแพทย์ จากหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ

เรียนวิชาปริยัติธรรมที่วัดเจ้าเจ็ดกับพระอาจารย์จีน ด้วยเหตุที่หลวงพ่อสุ่นท่านได้ถ่ายทอดวิชาต่างๆ ให้จนหมดสิ้นแล้ว ท่านจึงแนะนำให้มาเรียนปริยัติธรรมที่วัดเจ้าเจ็ด กับพระอาจารย์จีน

จากปากคำของชาวบ้านแถบวัดเจ้าเจ็ด และผู้ที่เคยไปเรียนกับพระอาจารย์จีนได้ให้ปากคำตรงกันว่า พระอาจารย์จีนเป็นคนโมโหร้าย เวลาโมโหแล้วยั้งไม่อยู่ ปากว่ามือถึง

ดังนั้น เวลาสอนใคร ถ้าลูกศิษย์ทำไม่ถูกต้องตามใจที่สอนไปแล้ว กลัวว่าจะไปทำร้ายลูกศิษย์เข้า ท่านจึงได้สร้างกรงใหญ่ขึ้นสำหรับขังตัวท่านเองเวลาสอนหนังสือ โดยให้ลูกศิษย์เป็นคนใส่กุญแจขังแล้วเก็บกุญแจไว้

เวลาสอนหนังสือลูกศิษย์คนใดไม่ตั้งใจเรียนหรือตอบคำถามไม่ถูกต้องทำให้อาจารย์จีน ท่านก็จะโมโหโกรธาเอามือจับลูกกรงเหล็กเขย่าจนลูกศิษย์ที่เรียนตกใจขวัญหนีดีฝ่อ แต่พอท่านคลายโทสะลงแล้ว ท่านก็กลายเป็นพระอาจารย์จีนรูปเดิม

หลวงพ่อปานท่านมีความมานะพยายามเป็นที่ตั้ง ท่านต้องพายเรือมาเรียนหนังสือที่วัดเจ้าเจ็ดทุกวัน เวลาพายเรือไปเรียนท่านก็จะท่องพระปาฏิโมกข์ และบนเรียนที่อาจารย์สอนจนขึ้นใจ พอเวลาเรียน อาจารย์ถามอะไรก็ตอบได้ถูกต้อง เป็นที่พอใจแก่อาจารย์ยิ่ง

ในที่สุดพระอาจารย์จีนก็สิ้นความรู้ที่จะสอนให้ท่านท่านจึงหยุดเรียนและเตรียมตัว สำหรับที่จะหาสำนักเรียนใหม่ หลวงพ่อปั้น วัดพิกุลโสกันต์ตามคำบอกเล่าของพระภิกษุเลี่ยมว่า หลวงพ่อปานได้เรียนรู้วิชามาหลายอย่างเคยพิมพ์คาถาออกแจกด้วย

เมื่อเห็นว่าพระอาจารย์จีนไม่มีความรู้ที่จะสอนได้อีกต่อไป ท่านจึงคิดเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ เพราะเป็นแหล่งรวมวิชาต่างๆ ท่านจึงได้ไปเรียนให้โยมมารดาของท่านได้รับทราบว่า จะขอลาไปศึกษาต่อที่กรุงเทพฯ เพราะว่าที่นี่หาอาจารย์สอนไม่ได้อีกแล้ว

โยมมารดาท่านเป็นห่วงว่าท่านเป็นบุตรคนเล็กที่มีอยู่ นอกนั้นออกเรือนไปหมดแล้ว อีกทั้งไม่ญาติโยมทางกรุงเทพฯ จึงขอร้องไม่ให้ไป ท่านจึงลากลับวัดด้วยความเด็ดเดี่ยว ท่านตัดสินใจนำจีวรแพรที่โยมมารดาถวายไว้นำไปขายได้เงินแปดสิบบาท แล้วตัดสินใจเข้ากรุงเทพฯ โดยไม่บอกให้โยมมารดารู้ จะให้รู้ก็กลัวจากลงเรือไปแล้ว จึงเข้าไปกราบนมัสการ หลวงปู่คล้าย(เจ้าอาวาสวัดบางนมโคสมัยนั้น)ว่าจะไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ หลวงปู่คล้าย จึงแนะนำให้ไปเรียนกับ พระอาจารย์เจิ่น สำนักวัดสระเกศ โดยมอบเงินช่วยเหลือไปอีกจำนวนหนึ่งเพื่อเป็นทุนในการศึกษาเล่าเรียน

ตลอดเวลาท่านจำพรรษาอยู่กับพระอาจารย์เจิ่น ท่านได้พยายามหาความรู้เพิ่มเติม ในด้านคันถะธุระและวิปัสสนาธุระ ตลอดจนพระปริยัติธรรมเพิ่มเติม ซึ่งต่อมาเมื่อท่านกลับมาวัดบางนมโค ปรากฏว่าท่านเป็นพระธรรมกถึกที่เทศนาได้เพราะจับใจ และดึงดูดศรัทธายิ่งนัก

นอกจากวัดสระเกศแล้ว ท่านยังได้มาเรียนเพิ่มเติมที่วัดสังเวช และที่อื่น จนมีความรู้ทางด้านแพทย์แผนโบราณแตกฉานอีกด้วย

จากข้อความในหนังสือ อนุสรณ์ครบ 101 ปี หลวงพ่อปาน เขียนไว้ว่า

"หลวงพ่อปานเคยเล่าให้ฟังว่าระหว่างอยู่ที่วัดสระเกศนั้น อัดคัตมากบิณฑบาตบางครั้งก็พอฉัน บางครั้งก็ไม่พอ ได้แต่ข้าวเปล่าๆ จ้องเด็ดยอดกระถินมาจิ้มน้ำปลา น้ำพริก ฉันแทบทุกวัน แต่ท่านก็อดทน ด้วยรับการอบรมเป็นปฐมมาจากพระอุปัชฌาย์คือ หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ ท่านว่าอยู่กรุงเทพฯ 3 ปี ได้ฉันกระยาสารทเพียงครั้งเดียว โดยนางเฟือง คนกรุงเทพฯ นำมาถวาย ได้รับนิมนต์ไปบังสุกุลครั้งหนึ่งได้ปัจจัยมาหนึ่งสลึง เจ้าหน้าที่สังฆการีก็มาเก็บเอาไปเสียเลยไม่ได้ใช้เงินที่ติดตัวไป ท่านก็ใช้จ่ายไปในการศึกษาจนเกือบหมด ท่านเหลือไว้หนึ่งบาท เอาไว้ใช้เมื่อมีความจำเป็นสุดยอดเท่านั้น

ด้วยความอดทนของท่าน ในปีสุดท้ายที่ท่านจะกลับวัดบางนมโคนั้นเอง คืนหนึ่งท่านได้ยินเสียงคนเคาะหน้ากุฏิ ท่านเปิดออกไปก็เจอเทวดามาบอกหวยแล้วเขียนให้ดู แล้วย้ำว่าจำได้ไหม ท่านก็ตอบว่าจำได้

ท่านนอนคิดจนนอนไม่หลับ พอรุ่งเช้าแทนที่ท่านจะแทงหวย ท่านกลับเห็นว่า นั่นไม่ใช่กิจของสงฆ์ตามที่หลวงพ่อสุ่นได้อบรมไว้ ท่านก็ไม่แทง ปรากฏว่าวันนั้นหวยออกตรงตามที่เทวดาบอกถ้าท่านแทงหวย ก็คงจะรวยหลาย

ท่านอาจารย์แจง ฆราวาสชาวสวรรคโลก จากบันทึกของท่านฤาษีลิงดำว่า ท่านอาจารย์แจง เป็นฆราวาสสวรรคโลก ได้เดินทางล่องลงมาทางใต้ ถึงวัดบางนมโค มาเลื่อมใสในปฏิปทาของหลวงพ่อปาน จึงได้สอนให้รู้ถึงวิธีการปลุกเสกพระ และวิธีสร้างพระตามตำรา ซึ่งเป็นของพระร่วงเจ้าได้รับการสืบทอดมาจากอาจารย์ซึ่งเขียนไว้ว่า

"ข้าพเจ้าได้รักษาตำราของพระอาจารย์ไว้แล้วก็ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระอาจารย์ทุกอย่าง วิชาต่างๆ มีผลดีทุกประการ ถ้าบุคคลใดได้พบแล้วจะนำไปใช้ให้บูชาพระอาจารย์ของท่านแต่มิได้ระบุว่าเป็นใคร"

ท่านอาจารย์แจงได้นิมนต์หลวงพ่อปานไปในโบสถ์ตามลำพัง เพื่อถ่ายทอดวิชา ซึ่งนอกจากวิชาการปลุกเสกพระ และทำพระแล้ว ยังได้ มหายันต์ เกราะเพชร ซึ่งท่านก็ได้ใช้ยันต์เกราะเพชรนี้สงเคราะห์ผู้คนได้มากมาย

หลวงพ่อเนียมวัดน้อย อ.บางปลาม้า สุพรรณบุรี จากหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน บันทึกโดยท่านฤาษีลิงดำเขียนไว้ว่า "หลวงพ่อปานนิยมพระกัมมัฏฐาน หมายความว่า สิ่งที่ท่านต้องการที่สุด และปรารถนาที่สุดคือ พระกัมมัฏฐาน เรื่องพระกัมมัฏฐานนี้เป็นชีวิตจิตใจของหลวงพ่อปานจริงๆ ท่านเทิดทูนพระกัมมัฏฐานมาก ทั้งๆ ที่ทรงสมาบัติอยู่แล้ว ความอิ่ม ความเบื่อ ความพอใจในพระกัมมัฏฐานของท่านก็ไม่มี ท่านก็มีการทุรนทุราย ปรารถนาจะเรียนพระกัมมัฏฐานให้มันดีกว่านั้น

สมัยนั้นพระที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากเป็นพิเศษในสมัยนั้นนะ สายอื่นฉันไม่ทราบก็มีหลวงพ่อเนียม วัดน้อย อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี สมัยนั้นเรือยนต์มันก็ไม่มี ถ้าจะไปก็ต้องไปเรือแจว ถ้าไปเรือ แต่ทว่าทางเดินสะดวกกว่าเดินลัดทุ่งลัดนาลัดป่าไป ป่าก็เป็นป่าพงส่วนใหญ่ ท่านก็ใช้วิธีธุดงค์

สมัยนั้นวิธีธุดงค์เป็นวิธีที่สะดวกที่สุด เรียนกว่า ใกล้ค่ำที่ไหนปักกลดที่นั่น ชาวบ้านเขาเลี้ยงตอนเช้า ฉันอิ่มแล้วก็ไปกัน พระธุดงค์ฉันเวลาเดียว

ท่านบอกว่า เวลาที่ถึงวัดน้อยเขาร่ำลือกันว่า หลวงพ่อเนียมนี่เก่งมาก ท่านก็เข้าไปหาหลวงพ่อเนียม เข้าไปหานะไม่รู้จักหลวงพ่อเนียมหรอก ความจริงท่านก็คิดว่าหลวงพ่อเนียมท่านจะเป็นเหมือนหลวงพ่อองค์อื่นๆ ที่ท่านมีชื่อเสียงมาก นุ่งสบง จีวร เป็นปริมณฑล แล้วก็มักจะนั่งเฉยๆ ดีไม่ดีหลับตาปี๋ ก็หลับขยิบๆ เรียกว่าหลับไม่สนิทล่ะ คือ แกล้งหลับตาทำเคร่ง

ที่นี้เวลาหลวงพ่อปานไปหาหลวงพ่อเนียม ก็ไปโดนดีเข้า เข้าไปแล้วเจอะหลวงพ่อเนียมที่ไหน ความจริงหลวงพ่อเนียมก็เดินคว้างๆ อยู่กลางวัดนั่นแหละ มีผ้าอาบน้ำ 1 ผืน ที่ชาวบ้านเขาเรียกว่า ผ้าอาบน้ำฝน สีเหลือง ผ้าอีกผืนแบบเดียวกันคล้องคอเดินไปรอบวัด

หลวงพ่อปานก็บอกว่า เมื่อท่านเห็นนะ ก็ไม่รู้หลวงพ่อเนียนเห็นพระแก่ๆ ผอมๆ นุ่งผ้าลอยชายผืนหนึ่งเข้าไปถึงก็กราบๆ

หลวงพ่อปานบอกว่า "เกล้ากระผมมาจากเมืองกรุงเก่าขอรับกระผมจะมานมัสการหลวงพ่อ ขอเรียนพระกัมมัฏฐาน" หลวงพ่อเนียมก็ทำท่าเป็นโมโห บอกว่า ไม่มีวิชาอะไรจะสอนพร้อมทั้งกล่าวขับไล่ไสส่งออกจากวัด หลวงพ่อปานก็นั่งทนฟังอยู่ ในที่สุดเห็นท่าจะไม่ได้เรื่องก็เลี้ยวหาพระในวัด ไปขออาศัยนอน แล้วก็ถามว่า พระองค์นั้นน่ะชื่ออะไร พระท่านก็บอกว่า องค์นี้แหละชื่อ หลวงพ่อเนียมล่ะ

พอวันรุ่งขึ้น หลวงพ่อปานก็เข้าไปหา ก็ถูกด่าว่าอีกอย่างหนัก ท่านยืนยันจะเรียนให้ได้ หลวงพ่อเนียมเลยสั่งว่า 2 ทุ่ม ให้นุ่งสบงจีวรคาดสังฆาฎิไปหาในกุฏิ

พอตอนกลางคืน หลวงพ่อปานเข้าไปหาท่าน ปรากฏว่ารูปร่างท่านผิดไปมาก ผิวดำ ผอมเกร็งแบบเก่า ไม่มีทางนุ่งสบงจีวรพาดสังฆาฏิเหลืองอร่ามผิวกายสมบูรณ์ร่างกายก็สมบูรณ์หน้าตาอิ่มเอิบ รัศมีกายผ่องใส่ สวยบอกไม่ถูก

หลวงพ่อปานตรงเข้าไปกราบ 3 ครั้งแล้วก็นั่งมอง ท่านก็นั่งมองยิ้มๆ แล้วท่านก็ถามว่า "แปลกใจรึคุณ" หลวงพ่อป่านก็ยกมือนมัสบอกว่า "แปลกใจขอรับหลวงพ่อรูปร่างไม่เหมือนตอนกลางวัน" ท่านก็บอกว่า "รูปร่างน่ะคุณมันเป็นอนัตตา หาความเที่ยงแท้ไม่ได้ มันจะอ้วนเราก็ห้ามไม่ได้มันไม่มีอะไรห้ามได้เลยที่คุณ พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนอนิจจัง เห็นไหม ไปเจอตัวอนิจจังเข้าแล้วซิ"

หลวงพ่อปานบอกว่า ตอนนี้ล่ะเริ่มสอนกัมมัฏฐาน อธิบายไพเราะจับใจฟังง่ายจริงๆ พูดได้ซึ้งใจทุกอย่าง เวลาท่านพูดคล้ายๆ ว่าจะบรรลุพระอรหันตผลไปพร้อมๆ ท่าน ท่านสอนได้ดีมาก พอสอนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็บอกให้ไปพักที่กุฏิอีกหลังหนึ่ง ซึ่งอยู่ใกล้กับกุฏิของท่าน แล้วเวลาทำกัมมัฏฐานกลางคืน หลวงพ่อปานวางอารมณ์ผิดท่านจะร้องบอกไปทันที บอก "คุณปานเอ๊ย คุณปาน นั่นคุณวางอารมณ์ผิดแล้วตั้งอารมณ์เสียใหม่มันถึงจะใช้ได้"

นี่หลวงพ่อปานบอกว่า ท่านมีเจโตปริยญาณแจ่มใสมาก ท่านเรียนพระกัมมัฏฐานอยู่กับหลวงพ่อเนียม 3เดือน แล้วจึงกลับก่อนหลวงพ่อปานจะกลับ หลวงพ่อเนียมก็บอกว่า

"ถ้าข้าตายนะ หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน เขาแทนข้าได้ ถ้ามีอะไรสงสัยก็ไปถาม หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน"

หลวงพ่อปานได้เรียนคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าเมื่อช่วงตอนปลายของชีวิต คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้านี้ท่านไปเรียนกับ ครูผึ้ง ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ตอนนั้น ครูผึ้ง เป็นฆราวาส อายุ 99 ปี เพราะได้ข่าวว่าครูผึ้งเป็นคนพิเศษ เวลาขอทานมาขอให้คนละ 1 บาท สมัยนั้นเงิน 1 บาท มีค่ามาก เงิน 100 บาท 200 บาท สามารถสร้างบ้านได้ 2 หลัง มีครัวได้ 1 หลัง เวลาทำบุญแกจะช่วยรายละ 100 บาท ไม่ใช่เงินเล็กน้อย

เมื่อทราบข่าว หลวงพ่อจึงไปขอเรียนกับแก คาถาปัจเจพุทธเจ้านี้เรียกว่า คาถาแก้จน ท่านได้เรียนมาและพิมพ์แจกเป็นทานแก่สาธุชนนำไปปฏิบัติและมีผลดีจบสืบทอดกันมาจนทุกวันนี้

? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?

กลับมาตุภูมิ
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?

หลังจากที่หลวงพ่อปานได้เสร็จสิ้นการเรียนจากกรุงเทพฯ แล้วท่านก็หวนคิดถึงโยมมารดาที่ท่านจากมาถึง3 ปี จึงเดินทางกลับวัดบางนมโค พร้อมกับความรู้ที่ได้รับมา

ท่านได้ระลึกถึงว่า การเล่าเรียนของท่านที่ลำบากมาก จึงอยากจะจัดสอนหนังสือแก่พระภิกษุสามเณรและบุตรธิดาชาวบางนมโค ให้มีความรู้ จึงนิมนต์พระภิกษุเกี้ยว ที่อยู่สำนักเดียวกับท่านมาด้วย เพื่อจัดสอนหนังสือเมื่อมาถึงแล้วท่านก็นำมากราบนมัสการหลวงปูคล้าย และได้ไปหาโยมมารดาให้ได้ชมบุญ

? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?

อุปนิสัยและปฏิปทาของหลวงพ่อปาน
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?

จากปากคำของผู้ทราบเคยอยู่ใกล้ชิดกับท่าน และเรื่องเล่าสืบต่อกันมาพอจะอนุมานได้ดังนี้

จากบันทึกของท่านหลวงพ่อฤาษีลิงดำ บันทึกไว้ว่า "หลวงพ่อปานท่านมีลักษณะของชายชาตรีที่มีผิวพรรณขาวละเอียด ลักษณะสมส่วนเสียงดังกังวานไพเราะมีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสชวนให้ศรัทธาปสาทะเป็นอย่างยิ่ง ดวงตาบ่งบอกถึงความเมตตาปรานีในสัตว์โลกทั้งหลาย ต้อนรับผู้คนที่มาหาไม่เลือกเศรษฐี ผู้ดี ไพร่ ใครไปก็ไต่ถาม ว่ากันว่าถ้าหลวงพ่อพูดจากับผู้ใดแล้วนั้น มักจะจับจิตจับใจที่ใจชั่วมั่วเมามาก็กลับตัว แม้แต่ผู้นับถือคริสต์ศาสนาก็ยังหันมานับถือพระพุทธศาสนา"

ตลอดเวลาท่านจะไม่แสดงทีท่าว่าเหน็ดเหนื่อยหรือทำให้ผู้ที่มาหาเสื่อมศรัทธาเลย วันหนึ่งๆ จะมีคนมาหาท่าน เพื่อขอความช่วยเหลือนับเป็นจำนวนร้อยๆ คน ไหนจะให้รดน้ำมนต์ไหนจะต้องพ่น ไหนจะขอยา ไหนจะมาปรึกษาถึงเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ บางคนก็เรียกว่า หลวงพ่อบางคนเรียกว่าหลวงปู่บ้าง เป็นเราๆท่านๆน่ากลัวจะนั่งไม่ทน เพราะตั้งแต่เพลจนกระทั่งถึงเวลาประมาณ 4 หรือ 5 ทุ่ม นั่นแหละท่านถึงจะพักผ่อน และเป็นอย่างนี้อยู่ประจำทุกวัน จนกระทั่งท่านมรณภาพ

"ท่านไม่ยินดียินร้ายในทางโลกธรรมแต่ประการใด คงปฏิบัติธรรมเหมือนพระแก่ๆ รูปหนึ่งที่ไม่ต้องการยศบรรดาศักดิ์หรือชื่อเสียงดีเด่นแต่อย่างใด ท่านคงหวังแต่ทำหน้าที่ให้ความสุขสบายแก่พระสงฆ์และชาวบ้านทั่วไปตามกำลังความสามารถเท่านั้น

ด้วยความไม่ติดอยู่ในยศฐาบรรดาศักดิ์ ท่านจึงได้ปฏิเสธตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบางนมโค กล่าวคือ เมื่อหลวงปู่คล้ายเจ้าอาวาสวัดบางนมโครูปก่อนมรณภาพลง ทายกทายิกาพระภิกษุสงฆ์ได้พร้อมใจกันอาราธนาท่านขึ้นครองวัดบางนมโคแทน ท่านก็ไม่รับท่านให้เหตุผลว่า ท่านหน่ายเสียแล้วจากกิเลสอันจะมาเป็นเครื่องขวางกั้นทางพระนิพพาน กลับแนะนำท่านสมภารเย็น ซึ่งเวลานั้นเป็นพระลูกวัดธรรมดาขึ้นรับตำแหน่งแทน ส่วนท่านขอเป็นพระลูกวัดต่อไปอย่างเดิม

ด้วยความที่ท่านได้เสริมสร้างความเจริญให้แก่ท้องถิ่นบางนมโคและสถานที่อื่นๆ มากมาย โดยไม่ได้หวังจะได้รับยศฐาบรรดาศักดิ์ตอบแทนแม้ว่าจะมีเชื่อพระวงศ์ชั้นสูง จะมาเป็นลูกศิษย์ของท่านอยู่มากมายก็ตาม

ในที่สุดความดีของท่าน ทางฝ่ายบ้านเมืองจึงตอบแทนความเป็นผู้เสียสละของท่านด้วยการมอบถวายสมณศักดิ์ให้แก่ท่านเป็นที่ "พระครูวิหารกิจจานุการ" ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2474 โดยมี

1. พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัติ

2. พระวรวงศ์เธอ กรมพระนครสวรรค์ศักดิ์พินิจ

3. หม่อมเจ้าโฆษิต

4. หม่อมเจ้านภากาศ

5. ท้าววรจันทร์

ข้าราชการและบรรดาสานุศิษย์ของท่านได้นำพัดยศพระราชทานมาให้ท่านถึงที่วัด โดยนำไปมอบให้ท่านในพระอุโบสถ ตามพระบรมราชโองการท่านกลางคณะสงฆ์และชาวบ้านต่างแซ่ซ้องสาธุการกันถ้วนหน้า

แต่หลวงพ่อปานเองท่านก็วางเฉยด้วยอุเบกขา และแม้จะได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นที่พระครูวิหารกิจจานุการแล้ว ท่านเองก็ยังคงเป็นหลวงพ่อปานรูปเดิม ปฏิบัติกิจวัตรอย่างที่แล้วๆ มา แต่ผู้ที่ยินดีที่สุดกลับเป็นบรรดาศิษยานุศิษย์

? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?

หลวงพ่อปานรักษาโรค
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?

ในเรื่องการรักษาโรคช่วยชีวิตคนของหลวงพ่อปาน เป็นที่เลื่องลือมากในสมัยนั้น ผู้คนต่างแห่กันมาที่วัดจนแน่นขนัด จนไม่มีที่รับรองแขกเพียงพอ

วิชาการรักษาโรคและวิชาการบางอย่างที่หลวงพ่อปานสำเร็จและนำมาช่วยเหลือผู้ได้รับทุกข์ เท่าที่เกิดปาฏิหาริย์และได้รับการบันทึกไว้มีมากมาย ตัวอย่างเช่น รักษาโรคด้วยน้ำมนต์ โรคที่ท่านรักษาด้วยน้ำมนต์ เรียกว่าโรคภายใน เช่น บางคนถูกของ ถูกคุณ ถูกเขากระทำมา โรคที่เกิดจากกรรมเวร ถูกผีสิง เป็นต้น บางครั้งก็ต้องแป้งเสกควบคู่ด้วย

ในตอนเพล ขณะที่ท่านพักผ่อนท่านจะทำการเสกน้ำมนต์เตรียมไว้ล่วงหน้า เพื่อเวลาอาบจะได้สะดวก และท่านได้ใช้เวลาในการอาบนั้นบริกรรมเสกเป่าเฉพาะรายอีกด้วย

น้ำมนต์ของท่านนี้ศักดิ์สิทธิ์นักและกรรมวิธีในการรักษาโรคด้วยน้ำมนต์ แบ่งออกเป็น 3 ช่วยระยะ คือ

ช่วงแรก ท่านจะเรียกคนไข้มาหาแล้วถามชื่อเสียงเรียงนาม ถามอาการแล้วยื่นหมากให้คำหนึ่ง คาถาที่ใช้เสกหมากนี้ท่านบอกผู้ใกล้ชิดว่า ใช้ดังนี้จะขลังหรือไม่อยู่ที่จิตของผู้ทำ

"ตั้ง นะโม 3 จบ แล้วว่า โสทาย นะโม พุทธายะ ลัมอิทังโล นันโทเทติ ยาทาโลเทตีติ"

เมื่อคนไข้ได้รับหมากเสกแล้วให้เคี้ยวให้แหลก บ้วนน้ำหมากทิ้งเสียสามที กลืนลงคอไป ให้คนไข้สังเกตุดูว่าหมากนั้นมีรสอะไร แล้วบอกหลวงพ่อปาน จากนั้นก็จะทำการรักษาตามวิธีของท่าน

หลวงพ่อปานท่านบอกว่า รสหมากนั้นบอกโรคได้ดังนี้

รสเปรี้ยว แสดงว่าต้องเสนียดที่อยู่อาศัย เข้ามาเกี่ยวข้อง คือมีของต้องห้ามอยู่กับบ้าน เช่น มีไม้ไผ่ผูกส่วนต้นสาวนปลายอยู่ในบ้าน มีตออยู่ใต้ถุนบ้าน ที่เรียกว่า ปลูกเรือนคล่อมตอ หรืออย่างอื่น ต้องจัดการเรื่องนี้เสียก่อนแล้วจึงรักษาหาย ส่วนมากแล้วหลวงพ่อปานจะใช้ญาณดูแล้วบอกว่ามีอย่างไหนบ้าง ให้แก้เสียก่อน

รสหวาน แสดงว่าต้องแรงสินบนอย่างใดอย่างหนึ่ง คนไข้หรือคนในบ้านบนไว้ต้องนึกให้ออกว่า ตนเคยบนบานศาลกล่าวอะไรบ้าง ถ้านึกได้ผู้ป่วยไข้จะต้องเอาดอกไม้ธูปเทียนไปจุดบูชากลางแจ้ง ขอทำการแก้บนให้ถูกต้องในภายหน้าต่อไป

เมื่อกลับมาหาท่าน ท่านจะรดน้ำมนต์ให้ รดแล้วจะต้องให้กินหมากเสกอีกว่า หมดสิ้นหรือยัง ถ้าไม่มีรสหวานก็หมดแล้ว ถ้ายังหวานอยู่ก็ต้องนึกดูก็ต้องแก้บนอีก แล้วจึงรักษาหาย

รสขม แสดงว่าต้องคุณคน คือถูกของที่มีผู้ใช้เดียรัจฉานวิชานำมาไว้ในตัว เช่น ในท้องมีตะปูบ้าง มีเข็มเย็บผ้าบ้าง ไม้กลัดผูกกากบาทบ้าง ด้ายตราสังข์มัดศพ เปลวหมูบ้าง หนังสัตว์บ้าง

ของเหล่านี้จะทำให้คนไข้เจ็บปวดเสียดแทงในร่างกายเป็นที่ทรมานนัก คนไข้ประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็นหญิง ที่เป็นชายมีน้อย โดยมากพวกนี้มักจะรับจ้างทำร้ายผู้อื่น หรือไม่ก็ปล่อยไปตามยถากรรม ถูกใครก็เจ็บไป ทำร้ายใครไม่ได้ก็กลับมาเข้าตัวเอง เคยมีแขกผู้หนึ่งถูกของของตัวเอง หลวงพ่อปานท่านแก้ให้แล้วขอสัญญา ให้เลิกอาชีพนี้เสีย

คนไข้ประเภทนี้ หลวงพ่อท่านจะเสกน้ำมนต์พิเศษใส่กระป๋องน้ำ เพื่อให้คนที่แช่เท้าทั้งสองข้างไว้ เพื่อเวลารดน้ำมนต์ ของที่อยู่ในตัวจะได้หลุดออกมาทางเท้าอยู่ในกระป๋องน้ำมนต์

มีอาการยันหมาก มึนงงศีรษะเวียนศีรษะ อย่างนี้หลวงพ่อท่านว่าถูกคุณผี คือมีอาการใช้ผีมาเข้าสิง คนไข้นั้นจะสำแดงอาการกิริยาผิดปกติ ถ้าผียังสิงอยู่ จะไม่ยอมกินหมากเสกหลวงพ่อ ต้องใช้อำนาจจิตบังคับให้กิน ถ้าผีแกล้งออกไปชั่วระยะ คนไข้จะยอมกินหมากแล้วมีอาการยันหมาก ผีประเภทนี้ เป็นผีตายโหง ที่มีผู้มีวิชานำวิญญาณมาใช้ทำอันตรายคนทำให้เสียสติเพ้อคลั่ง เสียคน เป็นต้น

คนไข้ประเภทนี้ หลวงพ่อปานท่านจะทำน้ำมนต์พิเศษจากพระดินเผาของท่านเอง ซึ่งท่านมักจะใส่ในกระเป๋าอังสะของท่านอยู่เสมอ เพื่อทำน้ำมนต์ให้คนไข้อาบ และใช้มีดหมอของท่านกดกลางศีรษะ และรดน้ำมนต์คนไข้นั้นเรื่อยไปจนกว่าผีจะออก ถ้าดิ้นรนก็ต้องมีคนมาช่วยจับและรดน้ำมนต์ในระหว่างที่ท่านกดมีดหมอและบริกรรมอยู่

คนไข้ประเภทนี้เมื่อหายแล้วจะจำอะไรไม่ได้เลย และท่านมักจะให้สายสิญจน์มงคล ไว้คล้องคอกันถูกกระทำซ้ำ อีกทุกรายมีอาการร้อนหูร้อนหน้า แสดงว่าร้ายแรงมาก ถึงขนาดที่ถูกน้ำมันผีพราย ประเภทนี้จะอาการป้ำๆ เป๋อๆ ๆ คุ้มดีคุ้มร้าย ชาวบ้านเรียกว่า ลมเพลมพัด ขาดสติ ปวดศีรษะบ่อยๆ

คนไข้ชนิดนี้ท่านจะให้แช่เท้าในกระป๋องด้วยเหมือนกับที่ถูกคุณคน เมื่อเวลารดน้ำมนต์นั้น น้ำมันพรายจะซึมออกมา เป็นฝ้าน้ำมันลอยอยู่ในน้ำให้เห็น

หลวงพ่อบอกว่า คนไข้ประเภทนี้หายยาก เพราะว่าน้ำมันซึมอยู่ในร่างกาย ต้องมารักษาบ่อยๆ เป็นเวลาติดต่อกันนานๆ จนกว่าจะหมดน้ำมันพรายและท่านมักจะสั่งห้ามกินน้ำมันสัตว์ เพราะจะไปเพิ่มน้ำมันให้กับน้ำมันพราย

หมากเสกของท่านนี้ ถ้ากินแล้วร้อนลึกเข้าไปในทรวงอก ท่านว่าเป็นโรคฝีในท้อง วัณโรค ประเภทนี้นอกจากรดน้ำมนต์แล้ว ยังต้องกินยาคุณพระควบไปด้วยอีกทางหนึ่ง เป็นการขับถ่ายพิษร้าย ออกจากร่างกาย

? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?

รักษาโรคด้วยยาพระพุทธคุณ
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?

นอกจากน้ำมนต์แล้ว ท่านยังมียาคุณพระพุทธคุณให้กินอีกด้วย ยานี้มีสรรพคุณแก้โรคได้ทุกชนิด แล้วแต่ชนิดของโรค คือยานี้เป็นยาอธิษฐานของหลวงพ่อปาน นอกจากจะรักษาโรคแล้ว ยังเป็นยาที่หลวงพ่อปานให้กินเวลาท่านรดน้ำมนต์แก้ถูกกระทำไปแล้ว ยาของท่าน ท่านจะบอกกับผู้ใกล้ชิดว่า ตำรับยานี้เป็นของหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ องค์อุปัชฌาย์ของท่านมอบให้ท่านเป็นทายาทแทนเมื่อหลวงพ่อสุ่นล่วงลับไปแล้ว มี 2 ขนาน (คัดมาจากหนังสืออนุสรณ์ 100 ปี หลวงพ่อปาน)

? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?

พระคาถา
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?

(ว่า "นะโม ฯลฯ " ๓ จบ )

พระคาถาบทนำ ว่าครั้งเดียว

พุทธะ มะอะอุ นะโมพุทธายะ

พระคาถาพระปัจเจกะโพธิ์

ว่า ๓ จบ หรือ ๕ จบ หรือ ๗ จบ หรือ ๙ จบ ก็ได้ แต่ต้องสม่ำเสมอ จึงจะเกิดผล

" วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มาณี มามะ พุทธัสสะ สวาโหม "

คาถามหาพิทักษ์
จิตติ วิตัง นะกรึง คะรัง

ใช้ภาวนาขณะใส่กุญแจ ปิดหีบ ปิดตู้ ปิดประตูหน้าต่างฯ

คาถา มหาลาภ

นะมามีมา มะหาลาภา อิติพุทธัสสะ สุวัณณังวา ระชะตังวา ธะนังวา พึซังวา อัตถังวา ปัตถังวาเอหิ เอหิ อาคัจเฉยยะ อิติมึมา นะมามิหัง

ใช้สวดภาวนาก่อนนอน ๓ จบ และตื่นนอนเช้า ๓ จบ เป็นการเรียกทรัพย์เรียกลาภ

พระคาถา ๓ บทนี้ เป็นคาถาที่ศักดิ์สิทธิ์มาก หากผู้ใดนำไปใช้จะเกิดโชคลาภมั่งมีเงินทองอย่างมหัศจรรย์


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

671
หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด

คัดลอกจาก http://www.manager.co.th

สมเด็จเจ้าพะโคะหรือหลวงพ่อทวด เป็นที่รู้จักของชาวไทยทุกภูมิภาคในฐานะพระศักดิ์สิทธิ์ที่มีอิทธิปาฏิหาริย์และอภิญญาแก่กล้าจนได้สมญาว่า "หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด" ประวัติอันพิสดารของท่านมีเล่าสืบกันมาไม่รู้จบสิ้น ยิ่งนานวันยิ่งซับซ้อนและขยายวงกว้างออกไปกลายเป็นความเชื่อความศรัทธาอย่างฝังใจ

หลวงพ่อทวดเป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงๆ เรื่องราวต่อไปนี้ผู้เขียนได้รวบรวมจากหนังสืออ้างอิงหลายเล่มทั้งที่เป็นตำนานหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หนังสือและเอกสารต่างๆ พอจะให้ท่านผู้อ่านได้ทราบว่า หลวงพ่อทวดคือใคร เกิดในสมัยใดและได้สร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติและพระศาสนาไว้อย่างไรบ้าง เพื่อเป็นคติเตือนใจแก่อนุชนรุ่นหลังสืบไป

ทารกอัศจรรย์

เมื่อประมาณสี่ร้อยปีที่ผ่านมาในตอนปลายรัชสมัยของพระมหาธรรมราชา แห่งกรุงศรีอยุธยา ณ หมู่บ้านสวนจันทร์ ตำบลชุมพล เมืองจะทิ้งพระตรงกับวันศุกร์ เดือนสี่ ปีมะโรง พุทธศักราช 2125 ได้มีทารกเพศชายผู้หนึ่งถือกำเนิดจากครอบครัวเล็กๆ ฐานะยากจนแร้นแค้น แต่มีจิตอันเป็นกุศล ชอบทำบุญสุนทานยึดมั่นในศีลธรรมอันดี ปราศจากการเบียดเบียนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ทารกน้อยผู้นี้มีนายว่า "ปู"  เป็นบุตรของนายหู นางจันทร์ ในขณะเยาว์วัย ทารกผู้นั้นยังความอัศจรรย์ให้แก่บิดามารดาตลอดจนญาติพี่น้องทั้งหลาย ด้วยอยู่มาวันหนึ่งมีงูตระบองสลาตัวใหญ่มาขดพันอยู่รอบเปลที่ทารกน้อยนอนหลับอยู่ และงูใหญ่ตัวนั้นไม่ยอมให้ใครเข้ามาใกล้เปลที่ทารกน้อยนอนอยู่เลย จนกระทั่งบิดามารดาของเด็กเกิดความสงสัยว่า พญางูตัวนั้นน่าจะเป็นเทพยดาแปลงมาเพื่อให้เห็นเป็นอัศจรรย์ในบารมีของลูกเราเป็นแน่แท้ จึงรีบหาข้าวตอกดอกไม้และธูปเทียนมาบูชาสักการะ งูใหญ่จึงคลายลำตัวออกจากเปลน้อย เลื้อยหายไป ต่อมาเมื่อพญางูจากไปแล้ว บิดามารดาทั้งญาติต่างพากันมาที่เปลด้วยความห่วงใยทารก ก็ปรากฏว่าเด็กชายปูยังคงนอนหลับอยู่เป็นปกติ แต่เหนือทรวงอกของทารกกลับมีดวงแก้วดวงหนึ่งมีแสงรุ่งเรืองเป็นรัศมีหลากสี ตาหู นางจันทร์จึงเก็บรักษาไว้ นับแต่บัดนั้นฐานะความเป็นอยู่การทำมาหากินก็จำเริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับอยู่สุขสบายตลอดมา

สามีราโม

เมื่อกาลล่วงมานานจนเด็กชายปูอายุได้เจ็ดขวบ บิดาได้นำไปฝากสมภารจวง วัดกุฏิหลวง (วัดดีหลวง) เพื่อให้เล่าเรียนหนังสือเด็กชายปูมีความเฉลียวฉลาดมาก สามารถเรียนหนังสือขอมและไทยได้อย่างรวดเร็ว ครั้นอายุได้ 15 ปี ก็บรรพชาเป็นสามเณรและบิดาได้มอบแก้ววิเศษไว้เป็นของประจำตัว ต่อมาสามเณรปูได้ไปศึกษาต่อกับสมเด็จพระชินเสน ที่วัดสีหยัง (สีคูยัง) ครั้นอายุครบอุปสมบทจึงได้เดินทางไปศึกษาต่อที่นครศรีธรรมราช ณ สำนักพระมหาเถระปิยทัสสี ได้ทำการอุปสมบทมีฉายาว่า "ราโม ธมฺมิโก" แต่คนทั่วไปเรียกท่านว่า  "เจ้าสามีราม"  หรือ "เจ้าสามีราโม" เจ้าสามีรามได้ศึกษาอยู่ที่วัดท่าแพ วัดสีมาเมือง และวัดอื่นๆ อีกหลายวัด เมื่อเห็นว่าการศึกษาที่นครศรีธรรมราชเพียงพอแล้วจึงขอโดยสารเรือสำเภาเดินทางไปกรุงศรีอยุธยา ขณะเดินทางถึงเมืองชุมพร เกิดคลื่นทะเลปั่นป่วน เรือไม่สามารถแล่นฝ่าคลื่นลมไปได้ต้องทอดสมออยู่ถึงเจ็ดวัน ทำให้เสบียงอาหารและน้ำหมดบรรดาลูกเรือตั้งข้อสงสัยว่าการที่เกิดเหตุอาเพศในครั้งนี้เพราะเจ้าสามีราม จึงตกลงใจให้ส่งเจ้าสามีรามขึ้นเกาะและได้นิมนต์ให้เจ้าสามีรามลงเรือมาด ขณะที่นั่งอยู่ในเรือมาดนั้น ท่านได้ห้อยเท้าแช่ลงไปในทะเลก็บังเกิดอัศจรรย์น้ำทะเลบริเวณนั้นเป็นประกายแวววาวโชติช่วง

เจ้าสามีรามจึงบอกให้ลูกเรือตักน้ำขึ้นมาดื่มก็รู้สึกว่าเป็นน้ำจืด จึงช่วยกันตักไว้จนเพียงพอ นายสำเภาจึงนิมนต์ให้ท่านขึ้นสำเภาอีก และตั้งแต่นั้นมาเจ้าสามีรามก็เป็นชีต้นหรืออาจารย์สืบมา

เมื่อถึงกรุงศรีอยุธยา ก็ได้ไปพำนักอยู่ที่วัดแค ศึกษาธรรมะที่ วัดลุมพลีนาวาส ต่อมาได้ไปพำนักอยู่ที่วัดของสมเด็จพระสังฆราช ได้ศึกษาธรรมและภาษาบาลี ณ ที่นั้นจนเชี่ยวชาญจึงทูลลาสมเด็จพระสังฆราชไปจำพรรษาที่วัดราชนุวาส เมื่อประมาณ พ.ศ. 2149 ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระเอกาทศรถ

รบด้วยปัญญา

กระทั่งวันหนึ่งถึงกาลเวลาที่ชื่อเสียงของหลวงพ่อทวดหรือเจ้าสามีรามจะระบือลือลั่นไปทั่วกรุงสยาม จึงได้มีเหตุพิสดารอุบัติขึ้นในรัชสมัยของพระเอกาทศรถ กล่าวคือ สมัยนั้นพระเจ้าวัฏฏะคามินี แห่งประเทศลังกา ซึ่งเคยเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรแหลมทองทางภาคใต้ คิดแก้มือด้วยการท้าพนันแปลธรรมะ และต้องการจะแผ่พระบรมเดชานุภาพมาทางแหลมทอง ใคร่จะได้กรุงศรีอยุธยามาเป็นประเทศราช แต่พระองค์ไม่ปรารถนาให้เกิดศึกสงครามเสียชีวิตแก่ประชาชนทั้งสองฝ่าย จึงทรงวางแผนการเมืองด้วยสันติวิธี คิดหาทางรวบรัดเอากรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองขึ้นด้วยสติปัญญาเป็นสำคัญ เมื่อคิดได้ดังนั้น พระเจ้ากรุงลังกาจึงมีพระบรมราชโองการสั่งให้พนักงาน ท้องพระคลังเบิกจ่ายทองคำบริสุทธิ์แล้วให้ช่างทองประจำราชสำนักไปหล่อ ทองคำเหล่านั้นให้เป็นตัวอักษรบาลีเล็กเท่าใบมะขาม ตามพระอภิธรรมทั้งเจ็ดคัมภีร์ จำนวน 84,000 ตัว จากนั้นก็ทรงรับสั่งให้พราหมณ์ผู้เฒ่าอันมีฐานะเทียบเท่าปุโรหิตจำนวนเจ็ดท่านคุมเรืองสำเภาเจ็ดลำบรรทุกเสื้อผ้าแพรพรรณ และของมีค่าออกเดินทางมายังกรุงศรีอยุธยาพร้อมกับปริศนาธรรมของพระองค์

เมื่อพราหมณ์ทั้งเจ็ดเดินทางลุล่วงมาถึงกรุงสยามแล้วก็เข้าเฝ้าถวายพระราชสาส์นของกษัตริย์ตนแก่พระเจ้าเอกาทศรถ มีใจความในพระราชสาส์นว่า

พระเจ้ากรุงลังกาขอท้าให้พระเจ้ากรุงสยามทรงแปลและเรียบเรียงเมล็ดทองคำตามลำดับให้เสร็จภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับพระราชสาส์นนี้เป็นต้นไป ถ้าทรงกระทำไม่สำเร็จตามสัญญาก็จะยึดกรุงศรีอยุธยาให้อยู่ใต้พระบรมเดชานุภาพของพระองค์ และทางกรุงสยามจะต้องส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองอีกทั้งเครื่องราชบรรณาการแก่กรุงลังกาตลอดไปทุกๆ ปีเยี่ยงประเทศราชทั้งหลาย

พระสุบินนิมิต

เมื่อพระเอกาทศรถทรงทราบความ ดังนั้น จึงมีพระบรมราชโองการให้สังฆการีเขียนประกาศนิมนต์พระราชาคณะและพระเถระทั่วพระมหานคร ให้กระทำหน้าที่เรียบเรียงและแปลตัวอักษรทองคำในครั้งนี้ แต่ก็ไม่มีท่านผู้ใดสามารถเรียบเรียงและแปลอักษรทองคำในครั้งนี้ได้จนกาลเวลาลุล่วงผ่านไปได้หกวัน ยังความปริวิตกแก่พระองค์และไพร่ฟ้าประชาชนต่างพากันโจษขานถึงเรื่องนี้ให้อื้ออึงไปหมด

ครั้นราตรีกาลยามหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเข้าพระบรรทมทรงสุบินว่า ได้มีพระยาช้างเผือกลักษณะบริบูรณ์เฉกเช่นพระยาคชสารเชือกหนึ่ง ผายผันมาจากทางทิศตะวันตก เยื้องย่างเข้ามาในพระราชนิเวศน์แล้วก้าวเข้าไปยืนผงาดตระหง่านบนพระแท่นพลางเปล่งเสียงโกญจนาทกึกก้องไปทั่วทั้งสี่ทิศ เสียงที่โกญจนาทด้วยอำนาจของพระยาคชสารเชือกนั้นยังให้พระองค์ทรงสะดุ้งตื่นจากพระบรรทม

รุ่งเช้าเมื่อพระองค์เสด็จออกว่าราชการ ได้ทรงรับสั่งถึงพระสุบินนิมิตประหลาดให้โหรหลวงฟังและได้รับการกราบถวายบังคมทูลว่า เรื่องนี้หมายถึงชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์และพระบรมเดชานุภาพจะแผ่ไพศาลไปทั่วสารทิศเป็นที่เกรงขามแก่อริราชทั้งปวง ทั้งจะมีพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งจากทางทิศตะวันตก มาช่วยขันอาสาแปลและเรียบเรียงตัวอักษรทองคำปริศนาได้สำเร็จ พระเจ้าอยู่หัวได้ฟังดังนั้นจึงค่อยเบาพระทัย และรับสั่งให้ข้าราชบริพารทั้งมวลออกตามหาพระภิกษุรูปนั้นทันที

อักษรเจ็ดตัว

ต่อมาสังฆการีได้พยายามเสาะแสวงหาจนไปพบ "เจ้าสามีราม"  ที่วัดราชานุวาส และเมื่อได้ไต่ถามได้ความว่าท่านมาจากเมืองตะลุง (พัทลุงในปัจจุบัน) เพื่อศึกษาพระธรรมวินัย สังฆการี จึงเล่าความตามเป็นจริงให้เจ้าสามีรามฟังทั้งได้อ้างตอนท้ายว่า "เห็นจะมีท่านองค์เดียวที่ตรงกับพระสุบินของพระเจ้าอยู่หัว จึงใคร่ขอนิมนต์ให้ไปช่วยแก้ไขในเรื่องร้ายดังกล่าวให้กลายเป็นดี ณ โอกาสนี้" ครั้นแล้วเจ้าสามีรามก็ตามสังฆการีไปยังที่ประชุมสงฆ์ ณ ท้องพระโรง พระเจ้าอยู่หัวทรงมีรับสั่งให้พนักงานปูพรมให้ท่านนั่งในที่อันควร พราหมณ์ทั้งเจ็ดคนได้ประมาทเจ้าสามีรามโดยว่า เอาเด็กสอนคลานมาให้แก้ปริศนา เจ้าสามีรามก็แก้คำพราหมณ์ว่า กุมารเมื่ออกมาแต่ครรภ์พระมารดา กี่เดือนกี่วันจึงรู้คว่ำ กี่เดือนกี่วันจึงรู้นั่ง กี่เดือนกี่วันจึงรู้คลาน จะว่ารู้คว่ำแก่ หรือจะว่ารู้นั่งแก่ หรือจะว่ารู้คลานแก่ ทำไมจึงว่าเราจะแก้ปริศนาธรรมมิได้ พราหมณ์ก็นิ่งไปไม่สามารถตอบคำถามท่านได้ จากนั้นจึงรีบนำบาตรใส่อักษรทองคำเข้าไปประเคนแก่เจ้าสามีราม

ท่านรับประเคนมาจากมือพราหมณ์แล้วนั่งสงบจิตอธิษฐานว่า "ขออำนาจคุณบิดามารดาครูบาอาจารย์และอำนาจผลบุญกุศลที่ได้สร้างมาแต่ปางก่อนและอำนาจเทพยดาที่รักษาพระนครตลอดถึงเทวดาอารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ครั้งนี้อาตมาจะแปลพระธรรมช่วยกู้บ้านกู้เมือง ขอให้ช่วยดลบันดาลจิตใจให้สว่างแจ้งขจัดอุปสรรคที่จะมาขัดขวาง ขอให้แปลพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าสำเร็จสมปรารถนาเถิด" ท่านรับประเคนมาจากมือพราหมณ์แล้วนั่งสงบจิตอธิษฐานว่า "ขออำนาจคุณบิดามารดาครูบาอาจารย์และอำนาจผลบุญกุศลที่ได้สร้างมาแต่ปางก่อนและอำนาจเทพยดาที่รักษาพระนครตลอดถึงเทวดาอารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ครั้งนี้อาตมาจะแปลพระธรรมช่วยกู้บ้านกู้เมือง ขอให้ช่วยดลบันดาลจิตใจให้สว่างแจ้งขจัดอุปสรรคที่จะมาขัดขวาง ขอให้แปลพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าสำเร็จสมปรารถนาเถิด"

ครั้นแล้วท่านก็คว่ำบาตรเทอักษรทองคำเริ่มแปลปริศนาธรรมทันที ด้วยอำนาจบุญญาบารมี กฤษดาภินิหารของท่านที่ได้จุติลงมาเป็นพระโพธิสัตว์โปรดสัตว์ในพระพุทธศาสนา กอปรกับโชคชะตาของประเทศชาติที่จะไม่เสื่อมเสียอธิปไตย เดชะบุญญาบารมีในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เทพยาดาทั้งหลายจึงดลบันดาลให้ท่านเรียบเรียงและแปลอักษรจากเมล็ดทองคำ 84,000 ตัว เป็นลำดับโดยสะดวกไม่ติดขัดประการใดเลย

ขณะที่ท่านเรียบเรียงและแปลอักษรไปได้มากแล้ว ปรากฏว่าเมล็ดทองคำตัวอักษรขาดหายไปเจ็ดตัวคือ ตัว สัง วิ ธา ปุ กะ ยะ ปะ ท่านจึงทวงถามเอาที่พราหมณ์ทั้งเจ็ด พราหมณ์ทั้งเจ็ดก็ยอมจำนวน จึงประเคนเมล็ดทองคำที่ตนซ่อนไว้นั้นให้ท่านแต่โดยดี ปรากฏว่าท่านแปลพระไตรปิฎกจากเมล็ดทองคำสำเร็จบริบูรณ์เป็นการชนะพราหมณ์ในเวลาเย็นของวันนั้น

พระราชมุนี

สมเด็จพระเอกาทศรถทรงพระโสมนัสยินดีเป็นที่ยิ่ง ทรงมีรับสั่งถวายราชสมบัติให้แก่เจ้าสามีรามให้ครอง 7 วัน แต่ท่านก็มิได้รับโดยให้เหตุผลว่าท่านเป็นสมณะ พระองค์ก็จนพระทัยแต่พระประสงค์อันแรงกล้าที่จะสนองคุณความดีความชอบอันใหญ่ยิ่งให้แก่ท่านในครั้งนี้ จึงพระราชทานสมณศักดิ์ให้เจ้าสามีรามเป็น "พระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์"  ในเวลานั้น พระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์หรือหลวงพ่อทวดได้ไปจำพรรษาอยู่ ณ วัดราชานุวาส ศึกษาและปฏิบัติธรรมอยู่เป็นเวลาหลายปี ด้วยความสงบร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา

โรคห่าเหือดหาย

ต่อจากนั้น กรุงศรีอยุธยาเกิดโรคห่าระบาดไปทั่วเมือง ประชาราษฎรล้มป่วยเจ็บตายลงเป็นอันมาก ประชาชนพลเมืองเดือดร้อนเป็นยิ่งนัก สมัยนั้นหยูกยาก็ไม่มี นิยมใช้รักษาป้องกันด้วยอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยพระเจ้าอยู่หัวทรงพระวิตกกังวลมากเพราะไม่มีวิธีใดจะช่วยรักษาและป้องกันโรคนี้ได้ ทรงระลึกถึงพระราชมุนีฯ มีรับสั่งให้อำมาตย์ไปนิมนต์ท่านเจ้าเฝ้า ท่านได้ช่วยไว้อีกครั้งโดยรำลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัยและดวงแก้ววิเศษ แล้วทำน้ำพระพุทธมนต์ประพรมแก่ประชาชนทั่วทั้งพระนคร โรคห่าก็หายขาดด้วยอำนาจ คุณความดีและคุณธรรมอันสูงส่ง ทำให้พระเจ้าอยู่หัวทรงเลื่อนสมณศักดิ์ท่านขึ้นเป็นพระสังฆราชมีนามว่า "พระสังฆราชคูรูปาจารย์"  และทรงพอพระราชหฤทัยในองค์ท่านเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับทรงมีรับสั่งว่า "หากสมเด็จเจ้าฯ ประสงค์สิ่งใด หรือจะบูรณะวัดวาอารามใดๆ ข้าพเจ้าจะอุปถัมภ์ทุกประการ"

กลับสู่ถิ่นฐาน

ครั้นกาลเวลาล่วงไปหลายปี สมเด็จเจ้าฯได้เข้าเฝ้า ถวายพระพรทูลลาจะกลับภูมิลำเนาเดิม พระองค์ทรงอาลัยมาก ไม่กล้าทัดทานเพียงแต่ตรัสว่า "สมเด็จอย่าละทิ้งโยม" แล้วเสด็จมาส่งสมเด็จเจ้าฯ จนสิ้นเขตพระนครศรีอยุธยา

ขณะที่ท่านรุกขมูลธุดงค์ สมเด็จเจ้าฯ ได้เผยแผ่ธรรมะไปด้วยตามเส้นทาง ผ่านที่ไหนมีผู้เจ็บป่วยก็ทำการรักษาให้ ตามแนวทางที่ท่านเดินพักแรมที่ใดนั้น ที่นั่นก็เกิดเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์ ประชาชนในถิ่นนั้นได้ทำการเคารพสักการะบูชามาถึงบัดนี้ ได้แก่ที่บ้านโกฏิ อำเภอปากพนัง ที่หัวลำภูใหญ่ อำเภอหัวไทร และอีกหลายแห่ง

สมเด็จเจ้าพะโคะ

ต่อจากนั้น ท่านก็ได้ธุดงค์ไปจนถึงวัดพัทธสิงห์บรรพตพะโคะ อันเป็นจุดหมายปลายทาง ประชาชนต่างซึ่งชื่นชมยินดีแซ่ซ้องสาธุการต้อนรับท่านเป็นการใหญ่ และได้พร้อมกันถวายนามท่านว่า "สมเด็จเจ้าพะโคะ" และเรียกชื่อวัดพัทธสิงห์บรรพตพะโคะว่า "วัดพะโคะ" มาจนบัดนี้ สมเด็จเจ้าฯ เห็นวัดพระโคะเสื่อมโทรมมาก เนื่องจากถูกข้าศึกทำลายโจรกรรม มีสภาพเหมือนวัดร้างสมเด็จเจ้าฯ กับท่านอาจารย์จวง คิดจะบูรณะปฏิสังขรณ์วัดพะโคะ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบ ยินดีและอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง โปรดให้นายช่างผู้ชำนาญ 500 คน และทรงพระราชทานสิ่งของต่างๆ และเงินตราเพื่อการนี้เป็นจำนวนมาก ใช้เวลาประมาณ 3 ปี จึงแล้วเสร็จ สิ่งสำคัญในวัดพะโคะหรือ พระสุวรรณมาลิกเจดีย์ศรีรัตนมหาธาตุ ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุซึ่งพระอรหันต์นามว่าพระมหาอโนมทัสสีได้เป็นผู้เดินทางไปอัญเชิญมาจากประเทศอินเดียสมเด็จเจ้าฯ ได้จำพรรษาเผยแผ่ธรรมที่วัดพะโคะอยู่หลายพรรษา

เหยียบน้ำทะเลจืด

ขณะที่สมเด็จเจ้าฯ จำพรรษาอยู่ ณ วัดพะโคะ ครั้งนี้คาดคะเนว่า ท่านมีอายุกาลถึง 80 ปีเศษ อยู่มาวันหนึ่งท่านถือไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ประจำตัวไม้เท้านี้มีลักษณะคดไปมาเป็น 3 คด ชาวบ้านเรียกว่า "ไม้เท้า 3 คด" ท่านออกจากวัดมุ่งหน้าเดินไปยังชายฝั่งทะเลจีน ขณะที่ท่านเดินพักผ่อนรับอากาศทะเลอยู่นั้น ได้มีเรือโจรสลัดจีนแล่นเลียบชายฝั่งมา พวกโจรจีนเห็นท่านเดินอยู่คิดเห็นว่าท่านเป็นคนประหลาดเพราะท่านครองสมณเพศ พวกโจรจึงแวะเรือเทียบฝั่งจับท่านลงเรือไป เมื่อเรือโจรจีนออกจากฝั่งไม่นาน เหตุมหัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้น คือ เรือลำนั้นแล่นต่อไปไม่ได้ต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่ พวกโจรจีนพยายามแก้ไขจนหมดความสามารถเรือก็ยังไม่เคลื่อน จึงได้จอดเรือนิ่งอยู่ ณ ที่นั้นเป็นเวลาหลายวันหลายคืน ในที่สุดน้ำจืดที่นำมาบริโภคในเรือก็หมดสิ้น จึงขาดน้ำจืดดื่มและหุงต้มอาหารพากันเดือดร้อนกระวนกระวายด้วยกระหายน้ำเป็นอย่างมาก สมเด็จเจ้าฯ ท่านเห็นเหตุการณ์ความเดือดร้อนของพวกโจรถึงขั้นที่สุดแล้ว ท่านจึงเหยียบกราบเรือให้ตะแคงต่ำลงแล้วยื่นเท้าเหยียบลงบนผิวน้ำทะเลทั้งนี้ย่อมไม่พ้นความสังเกตของพวกโจรจีนไปได้

เมื่อท่านยกเท้าขึ้นจากพื้นน้ำทะเลแล้วก็สั่งให้พวกโจรตักน้ำตรงนั้นมาดื่มชิมดู พวกโจรจีนแม้จะไม่เชื่อก็จำเป็นต้องลองเพราะไม่มีทางใดจะช่วยตัวเองได้แล้ว แต่ได้ปรากฏว่าน้ำทะเลเค็มจัดที่ตรงนั้นแปรสภาพเป็นน้ำจืดเป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก พวกโจรจีนได้เห็นประจักษ์ในคุณอภินิหารของท่านเช่นนั้น ก็พากันหวาดเกรงภัยที่จะเกิดแก่พวกเขาต่อไป จึงได้พากันกราบไหว้ขอขมาโทษแล้วนำท่านล่องเรือส่งกลับขึ้นฝั่งต่อไป

เมื่อสมเด็จเจ้าฯ ขึ้นจากเรือเดินกลับวัด ถึงที่แห่งหนึ่งท่านหยุดพักเหนื่อย ได้เอา "ไม้เท้า 3 คด" พิงไว้กับต้นยางสองต้นอันยืนต้นคู่เคียงกัน ต่อมาต้นยางสองต้นนั้นสูงใหญ่ขึ้น ลำต้นและกิ่งก้านสาขาเปลี่ยนไปจากสภาพเดิกกลับคดๆ งอๆ แบบเดียวกับรูปไม้เท้าทั้งสองต้น ประชาชนในถิ่นนั้นเรียกว่าต้นยางไม้เท้า ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งปรากฏอยู่ถึงทุกวันนี้

สมเด็จเจ้าพะโคะหรือหลวงพ่อทวดครองสมณเพศและจำพรรษาอยู่ที่วัดพะโคะ เป็นที่พึ่งของประชาราษฎร์มีความร่มเย็นเป็นสุข ได้ช่วยการเจ็บไข้ได้ทุกข์ บำรุงสุข เทศนาสั่งสอนธรรมของพระพุทธองค์ ประดุจร่มโพธิ์ร่มไทรของปวงพุทธศาสนิกชนตลอดมา

สังขารธรรม

หลังจากนั้นหลายพรรษา สมเด็จเจ้าฯ หายไปจากวัดพะโคะเที่ยวจาริกเผยแผ่ธรรมะไปหลายแห่ง จากหลักฐานทราบว่าท่านได้ไปพำนักที่เมืองไทรบุรี ชาวบ้านเรียกท่านว่า "ท่านลังกา" และได้ไปพำนักที่วัดช้างไห้ ชาวบ้านเรียกท่านว่า "ท่านช้างให้" ดังนี้ ท่านได้สั่งแก่ศิษย์ว่าหากท่านมรณภาพเมื่อใด ขอให้ช่วยกันจัดการหามศพไปทำการฌาปนกิจ ณ วัดช้างให้ด้วย ขณะหามศพพักแรมนั้น ณ ที่ใดน้ำเหลืองไหลลงสู่พื้นดิน ที่ตรงนั้นให้เอาเสาไม้แก่นปักหมายไว้ต่อไปข้างหน้าจะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อยู่มาไม่นานเท่าไร ท่านก็ได้มรณภาพลงด้วยโรคชรา ปวงศาสนิกก็นำพระศพมาไว้ที่วัดช้างให้ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี สถานที่ที่สมเด็จเจ้าฯ เคยพำนักอยู่ หรือไปมา นับได้ดังนี้ วัดกุฎิหลวง วัดสีหยัง วัดเสมาเมือง นครศรีธรรมราช กรุงศรีอยุธยา วัดพะโคะ วัดเกาะใหญ่ วัดในไทรบุรี และวัดช้างให้

ปัจฉิมภาค

สมเด็จเจ้าฯ ในฐานะพระโพธิสัตว์หน่อพระพุทธภูมิ ผู้ทรงศีลวิสุทธิทรงธรรมและปัญญาญาณอันล้ำเลิศ กอปรด้วยกฤษดาภินิหารและปาฏิหาริย์ไม่ว่าท่านจะพำนักอยู่สถานที่ใด ที่นั่นจะเป็นศูนย์กลางในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ไม่ว่าท่านจะจาริกไป ณ ที่ใด ก็จะมีคนกราบไหว้ฟังธรรม หลักการปฏิบัติของท่านเป็นหลักสำคัญของพระโพธิสัตว์คือช่วยเหลือประชาชนและเผยแพร่ธรรมะให้ชาวโลกอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข มีความเคารพเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ สมดังคำว่า "พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ" ตลอดไป



[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

672
ตำนานเครื่องราง ของขลัง


"ตำนานเรื่องราวแห่งความเป็นมาของ รักยม"

รักยมเป็นรูปเด็กแกะด้วยไม้คู่หนึ่ง มีลักษณะเป็นเด็กผมจุกยืนกำหมัดทั้งสองข้าง คล้ายกำลังทำท่าชกมวย ตัวที่ชื่อรักนั้น เกจิอาจารย์แกะ ด้วย ไม้รักซ้อน บางตำราก็ใช้ต้น บางตำราก็ใช้รากที่ชี้ไปทางทิศตะวันออก และต้องเป็นรากที่เรียกว่าตายพราย คือตายเองด้วย ส่วนตัวที่ ชื่อ ยม ก็แกะจากไม้มะยม ใช้ต้นและรากลักษณะเดียวกันกับรากหรือต้นรักซ้อน นั้นแต่มีสีขาว ส่วนตัวที่ทำจากรากรักซ้อนมีสีดำ เมื่ออาจารย์ได้บรรจง
แกะรูปเด็กหัวจุกทั้งสองเสร็จแล้ว ก็จะกระทำพิธีปลุกเสกโดยเอารูปแกะกุมารทั้งสองวางลงในขันสำริด ที่มีน้ำมันหอมหรือน้ำมันจันทร์ใส่เตรียม ไว้ก่อนแล้ว อาจารย์จะต้องทำให้เกิดนิมิตในขณะปลุกเสก คือปลุกจนกระทั่งรูปแกะกุมารทั้งสองนั้นลุกขึ้นเต้น และเล่นกันดุจมีชีวิตวิญญาณ แล้ว จึงเป็นอันใช้ได้ ผู้ที่จะให้เจ้ารักเจ้ายมช่วยเหลือในภารกิจของตน ก็นำรักยมพร้อมทั้งน้ำมันหอมนั้นประจุลงในขวดแก้วเล็กๆ ซึ่งมีขนาดพอดีกับ ตัวของรักยมที่จะลงไปอยู่ด้วยกันได้ทั้งคู่ นำติดตัวในเมื่อจะออกจากบ้านไปทำภารกิจนั้นๆ ครั้นเมื่อกลับเข้าสู่เคหะสถานบ้านเรื่อน ตน ก็นำรักยม เข้าไว้ในที่อันสมควร จัดแจงข้าวปลาอาหารขนมให้รักยมทั้งสองบริโภค ดุจดังเราเลี้ยงเด็กๆ ไว้ในบ้าน การพูดจากับรักยมนั้นก็ต้องพูดเอง และ ตัวผู้ใช้ตอบเอง ที่เรียกว่า "พูดเองเออเอง"แล้วแต่ปรารถนาสิ่งใดๆ ก็ให้กล่าววาจากับเขาขอให้รักยมช่วยในกิจนั้นๆผู้ใช้จะต้องคอยดูน้ำมันหอม ที่ใส่ในขวดรักยมอยู่เสมอ และระวังอย่าให้แห้งได้ เมื่อจวนจะแห้งหรือน้ำมันจันทร์เหลือน้อย จำเป็นต้องเติมมิให้พร่องลงได้ ท่านว่ารักยมจะขึ้น และให้ผลแก่ตัวเจ้าของดีนัก ทั้งน้ำมันจันทร์ในขวดนั้นเล่าก็ใช้ทาคิ้วทาผมเป็นเครื่องสำอางค์ที่จะยังเสน่ห์ให้แก่ผู้ใช้เป็นเอนกประการในขณะ ที่ จะ ไปเอารากรักและรากมะยมมากระทำพิธีแกะนั้น ท่านให้เดินทางออกจากบ้านไปแต่เช้าตรู่ ห้ามพูดกับผู้ใดในขณะนั้นเมื่อถึงต้นรักและมะยมที่ หมายตาเอา ไว้ก่อนแล้วก็ลงมือพลี (ขุดและตัดเอารากมา) โดยพูดว่า เจ้ารัก (ยม) เอ๋ย จงไปอยู่กับพ่อ จงช่วยพ่อให้สำเร็จสมปรารถนาเถิด
"นะมะพะทะอาคัจฉายะ อาคัจฉามิ มานี่มะมามา" เมื่อพลีไม้รักหรือไม้ยมมาได้แล้ว ท่านให้วิ่งกลับบ้าน โดยมิให้เหลียวหลังไปดูต้น ไม้นั้นเป็น อันขาด ครั้นเมื่อถึงบ้านแล้วจึงเอา รากรักซ้อนและรากยมนั้นปิดทองคำแผ่นให้งดงาม แล้วเอาคั่นกลางใจบ้าน พลีมาด้วนคาถา นะ มะ พะ ทะ หยิบมือหนึ่ง ห่อด้วยกระดาษว่าว ตั้งไว้หน้ารากรักและยมพร้อมด้วยสำรับกับข้าวเล็กๆ เป็นการบวงบนแด่วิญญาณของ รักยม กระทำดังนั้นแล้ว พอได้เวลาสมควร (กะว่าจุดธูปหมดดอก) จึงนำไม้นั้นไปมอบให้อาจารย์สร้างรักยมต่อไปมีเรื่องกล่าวถึงความเป็นมาของเจ้ารักยม นี้ตั้งแต่ครั้ง บรมกาลดังนี้ กาลครั้งหนึ่งในราวป่าหิมพานต์อันเป็นที่บำเพ็ญพรตของเหล่าพระฤาษีทั้งหลายผู้มีอายุนับด้วยกัปป์อยู่มาวันหนึ่งพหลปีติฤาษีออก จากอาศรมไปเที่ยวเก็บผลไม้เพื่อขบฉัน ผ่านสระน้ำแห่งหนึ่งอันมีปทุมชาติชูช่ออยู่ดารดาษ พหลปีติฤาษีตั้งใจจะตักน้ำใส่เต้าที่ทำ ด้วยผลน้ำเต้า แห่งป่าหิมพานต์เอาไปไว้บริโภคที่อาศรม ก็เหลือบไปเห็นกุมารน้อยคู่หนึ่งอยู่ในรัตตะอุบล (บัวสายมีสีอันแดง)จึงได้เก็บกุมารน้อยนั้นนำมา เลี้ยงไว้ยังอาศรมของตน ครั้นกาลต่อมาเมื่อกุมารน้อยนั้นเติบใหญ่พหลปีติฤาษีจึงให้ชื่อกุมารน้อยนั้นว่า รัตตะกุมารคนหนึ่ง และยมกะกุมารหนึ่ง พร้อมกันนั้น พหลปีติฤาษีก็ได้ถ่ายทอดวิทยาคมทั้งปวงให้แก่กุมารทั้งสองนั้น เป็นอันดีสมชาติชายชาตรีทุกประการสำหรับรัตตะกุมารนั้น กล่าวว่า เป็นมานพ น้อยมีรูปโฉมงดงาม ส่วนยมกะกุมารนั้นเล่าแม้จะด้อยในทางรูปสมบัติ แต่ก็มีความเชี่ยวชาญ ชำนาญใน ทางกระบวนยุทธ และเวทย์อาคมทั้งปวง เป็นที่ชดเชยกันกับรูปสมบัติแห่งตนนั้นไม่ยิ่งหย่อน อยู่มาเวลาหนึ่งกุมารทั้งสอง ซึ่งบัดนี้เป็นหนุ่มใหญ่ฉกรรจ์เข้า ไป บังคับพระพหลปีติฤาษีผู้มีอุปการะดุจบิดาบังเกิดเกล้า ขอลาเข้าไปยังในบ้านในเมืองเพื่อหาโอกาส ทำราชการหาความดีความชอบใส่ตนต่อไป พหลปีติฤาษีมีความอาลัยยิ่งนัก แต่ด้วยความเป็นผู้นำบำเพ็ญพรตสละโลกียวิสัยจึงตัดความอาลัยรักเสียนั้นได้ แล้วสั่งกำชับแก่กุมารทั้งสอง
ผู้บุตรบุญธรรมนั้นว่ามาตร์แม้นได้เข้ารับราชการงานเมืองเป็นทหารแห่งพระราชา ณ แคว้นใดแล้ว อย่าไปถือว่าตนเป็นผู้มีวิชาเก่งกล้า ทำลาย ชีวิตมุนษย์และสัตว์โดยไม่จำเป็นเป็นอันขาด จงตั้งใจอยู่ในความไม่ประมาท อย่าทำอันตรายแก่ผู้ด้อยกว่าตนรัตตะกุมาร และยมกะกุมาร นพน้อย ก็รับคำพหลปีติฤาษี แล้วออกจากอาศรมของพระผู้มีคุณนั้นไปด้วยใจรันทดยิ่งนักเมื่อมานพน้อยทั้งสองออก จากพหลปีติฤาษีอาศรมไปไม่นาน เท่าใดนัก เขาก็ได้เข้าไปเป็นทหารอาสาอยู่กับพระราชาผู้ครองแคว้นแห่งหนึ่ง ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตประกอบ กับความเป็นผู้มีฝีมือแห่ง ฤาษี บุตรทั้งสองรัตตะกุมารได้ตำแหน่ง ทหารเอกแห่งแคว้น ส่วนยมกะกุมารได้ตำแหน่งที่ปรึกษาราชการงานแผ่นดินแห่งแคว้นในเวลาต่อมาด้วย รัตตะ กุมารนพเป็นผู้ที่มีรูปโฉมสง่างามสมชายชาตรีดังกล่าวแล้ว จึงเป็นที่เสน่ห์หาและหลงใหลแก่ราชธิดาของพระราชาแคว้น นั้นแต่ความรัก ของรัตตะกุมารมานพและเจ้าหญิงมีอุปสรรคความทราบถึงราชบิดาเข้าก็ไม่ทรงพอพระทัย เพราะเจ้าหญิงได้ถูกหมายหมั้นปั้นมือ จากกษัตริย์ ผู้บิดาว่าจะให้อภิเษกสมรสกับเจ้าชายผู้ครองแคว้นอีกแคว้นหนึ่ง ซึ่งเป็นราชตระกูลกษัตริย์เท่าเทียมกันเจ้าหญิงจึงต้องถูกพรากตัวออกไปจาก ราชวังที่พระองค์เคยประทับอยู่ด้วยความเกษมสำราญมาแต่ทรงพระเยาว์รัตตะกุมารทราบเรื่องเข้ามีความแค้นเคืองพระราชาแห่งแคว้นเจ้า เหนือ หัวของตนเป็นอย่างมากและวางแผนการณ์ ที่จะฆ่าเสีย ความทราบถึงยมกะกุมารมานพเข้า ผู้ปรึกษาราชการแคว้นจึงยับยั้ง แผนการณ์ร้าย นั้นได้แล้วกล่าวเตือน ให้รัตตะกุมารมานพถึงคำสั่งของพหล ปีติฤาษีรัตตะกุมารมานพทหารเอกจึงเดินทางเข้าไปพบพหลปีติฤาษี เล่าเรื่องและ ความตั้งใจของตนที่จะฆ่ากษัตริย์ให้ฤาษีฟัง พหลปีติฤาษีกล่าวห้ามและให้โอวาทว่า การทำลายเบียดเบียนชีวิตมุนษย์นั้นเป็นบาปมหันต์เวร จัก ไม่ สิ้นสุด ชาตินี้เราฆ่าเขา ต่อชาติหน้าเวรนั้นจักสนองตอบ เขาต้องฆ่าเราเป็นการตอบแทนบ้าง เป็นอย่างนั้นไม่มีที่สิ้นสุดแต่ความรักทำให้รัตตะ กุมาร ตามืดตามัวเสียแล้ว ด้วยความคั้งแค้น และพิษแห่งความคั่งแค้นและพิษแห่งความเสน่หารัตตะกุมารผู้มีฝีมือ ลืมถ้อยคำของพหล ปีติฤาษี เสียสิ้น เขาเดินทางกลับเข้านคร ลอบเข้าไปในที่บรรทมของกษัตริย์ ใช้ดาบคู่มือทำร้ายพระราชาถึงสิ้นพระชนม์ เมื่อล้างแค้นแก่ผู้ที่พรากดวง ใจ เขาให้หลุดลอยไป แล้วรัตตะกุมารมานพก็กลับไปรับสารภาพผิดกับพหลปีติฤาษี พหลฤาษีเสียใจเป็นอย่างมากที่ศิษย์ของตนละเมิดโอวาทคำ สั่ง สอน รัตตะกุมารมานพผู้โสภาจึงสละเพศฆารวาสวิสัย ขอบวชประพฤตพรหมจรรย์บำเพ็ญพรตอยู่จนกว่าจะสิ้นชีวิตของตน รัตตะฤาษีเป็น ผู้บำเพ็ญพรตมีศีลวัตรอัน เคร่ง ครั้นเมื่อกาลจะสิ้นอายุขัย พหลปีติฤาษีเห็นใจได้ถามว่า รัตตะฤาษีปรารถนาพรอันใด ท่านทหารเอกแห่งแคว้นผู้ พราดรัก จึงตอบไปว่า แม้นไปเกิดในชาติปางใดก็ดี ขอให้มีเสน่ห์เป็นที่รักของคนทั้งปวง ขออย่าให้มีศัตรูด้วยประการใดๆ เลย พหลปีติฤาษี ว่า ท่านเป็นผู้ฆ่าผู้เบียดเบียนอยู่จักยัง ไม่ไปเกิดในมุนษย์โลกได้ทันทีหรอก แต่ด้วยบารมีที่สร้างไว้แต่ปัจจุบันชาติในมัชฌิมวัยคือขณะนี้มีอยู่บ้าง
กรรมจะมีปัจจัยให้เป็นวัตถุสิ่งหนึ่งที่มีชีวิตแต่หามีจิตใจไม่ วัตถุสิ่งนั้นจะมีคุณดั่งคำขอนั้นเถิด กล่าวพรจบ รัตตะฤาษีก็ถึงกาลกริยาและ ณ ที่ตรง อศุภแห่งรัตตะฤาษีนั้นต่อมาก็ได้บังเกิดพืชชนิดหนึ่งขึ้น มีดอกอันซ้อน มีสรรพคุณเป็นที่รักที่ชอบแก่คนทั้งปวงดั่งพรแห่งพหลปีติฤาษี คน ทั้ง หลายเรียกพืชนั้นว่า ต้นรักซ้อน ส่วนยมกะกุมารมานพ ครั้นภายหลังเมื่อย่างเข้าสู่วัยชราก็สละเพศฆราวาสวิสัย ออกบวชและจำศีลภาวนาอยู่ ณ ตรงอาศรมแห่งรัตตะกุมารผู้สหายกำเนิดนั้น จวบจนสิ้นอายุขัย ณ ตรงที่ยมกะกุมารฤาษีอดีตแห่งที่ปรึกษาของพระราชากระทำ กาลกิริยา ดับ ขั้นธ์ลง ไปก็บังเกิดเป็นพันธุ์แห่งผลไม่ชนิดหนึ่งชูช่อส่งผลอยู่เคียงคู่ต้นรักซ้อนนั้น คนทั้งลายเรียกกันว่าต้นยมกะแล้วเพี้ยนกันมาจนเป็น มะยมใน ทุกวันนี้ ด้วยเรื่องราวแห่งความเป็นมาของรักซ้อนและมะยมมีมาด้วยมุขปาฐกดังกล่าวนี้ พระเกจิอาจารย์เจ้าท่านจึงนำส่วนแห่งต้น ไม้ทั้งสอง มาแกะ เป็นรูปกุมาร หมายเอาถือรัตตะกุมารและยมกะกุมารผู้กำเนิดแต่รัตตะอุบล เมื่อใช้ศิลปะการแกเป็นภาพกุมารทั้งสองนั้น แล้ว ก็ให้นาม สั้นๆ ว่า "รักยม" อันคุณภาพของรักยมนั้น ท่านว่า อยู่กับผู้ใดเมื่อบำรุงเลี้ยงเขา ทั้งสองจนดีแล้ว กุมารนั้นก็จะให้คุณเป็นการตอบ แทนแก่เจ้าของ อย่างสมใจ หรือตามแต่ท่านจะปรารถนาเป็นเอนกประการ ความเป็นมาแห่งเจ้ารักยมก็สิ้นประวัติแต่เพียงเท่านี้


673
การเลี้ยงดูกุมารทอง

การเลี้ยงกุมารทองในช่วงแรก โตด้วยมนต์ของอาจารย์วิทยาธรกับของอาจารย์ในเมือง มนุษย์ แต่จะอาศัยบุญของอาจารย์วิทยาธรที่ดูแลควบคุมวิชาพวกนี้เป็นหลัก จะใช้มนต์เลี้ยงจนกระทั่งโตเหมือนเด็กที่ถึงเวลาคลอดออกจากครรภ์มารดา ตอนนี้จึงจะให้ดื่มนม

การให้ดื่มนมมี ๒ ประเภท คือ อาศัยนมมารดากับนมจากวิทยาธร การดื่มนม มารดาก็เหมือนกับการดื่มนมของเด็กทั่วไป นมของวิทยาธรน้ำนมจะไหลออกจากปลายนิ้วมือของวิทยาธร เมื่อกุมารทองดูดน้ำนมก็จะไหลไปเรื่อยๆ ด้วยฤทธิ์ของวิทยาธร พออิ่มแล้ว น้ำนมก็หายไป จะสลับสับเปลี่ยนกันให้ดื่มนมจากแม่บ้าง จากวิทยาธรบ้าง

มารดาของกุมารทองอยู่ได้ด้วยบุญของอาจารย์วิทยาธร ท่านจะให้อาหารทิพย์ กายละเอียดพวกนี้จะมีความเป็นอยู่คล้ายๆ มนุษย์ คือ มีครอบครัว มีลูก มีอะไรสารพัด แม่ลูกอยู่ได้ด้วยบุญของวิทยาธรและมนต์ของวิทยาธรกำกับ

เด็กที่เป็นลูกกรอก รักยม กุมารทอง พวกนี้เมื่อเลี้ยงแล้วก็โตขึ้นเรื่อยๆ แต่ระยะเวลาในการเจริญเติบโตจะช้ากว่าในเมืองมนุษย์ ซึ่งจะมีอายุยาวกว่าของมนุษย์ กุมารทองบางตัวโตเร็ว บางตัวโตช้า เพราะวิบากกรรมไม่เท่ากัน ถ้าตัวไหน ใกล้หมดกรรมจะโตเร็วหรือไม่ก็ไปเกิดเลย ตัวไหนที่โตช้า และเป็นกุมารทองนาน แสดงว่ามีวิบากกรรมมาก

สัมภเวสีเด็กที่ถูกเลี้ยงให้เป็นกุมารทองจะมีนิสัยเหมือนเด็กมนุษย์
คือ ชอบเล่นและซุกซนเหมือนเด็กๆ แต่ถึงแม้จะซุกซนแค่ไหน แต่ก็อยู่ในสายตาของวิทยาธรตลอด เพราะเขามีตาทิพย์

วิธีการเลี้ยง และใช้งานกุมารทอง

วิธีการเลี้ยงกุมารทองก็เหมือนกับการ เลี้ยงเด็ก เลี้ยงลูก พูดง่ายๆ คือ เลี้ยงด้วยการ เซ่นไหว้ ให้กินผลไม้ ให้กินน้ำแดง กินขนม เขาจะกินของละเอียดที่ซ้อนกันอยู่ การใช้งานส่วนใหญ่จะมีวัตถุ ประสงค์เพื่อให้ช่วยเหลือด้านค้าขายบ้าง เฝ้าของ เฝ้าบ้านเป็นหลัก ให้ดูหวย หรือดูดวง เป็นเรื่องรองลงมา เช่น ให้เฝ้าของ เฝ้าบ้าน แม้เจ้าของบ้านไม่อยู่ ก็ทำให้เหมือนมีคนอยู่ในบ้าน จะมีเสียงเด็กวิ่งเล่น หรือบางทีก็แปลงกายเป็นสุนัขดำตัวใหญ่ก็ได้ หรือแปลงกาย เป็นอะไรก็ได้ แต่กุมารทองทำอย่างนี้ไม่ได้ทุกตัว บางตัวแปลงกายได้ บางตัวแปลงไม่ได้ แล้วแต่เชื้อมาก หรือเชื้อน้อย เหมือนกับเราสนใจอะไรมาก ก็จะมีตบะ มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นเป็นพิเศษ

ช่วยเรื่องการค้าขาย กุมารทองจะมีวิธี คือ จะเข้าไปดึงตัวบ้าง ฉุดมือบ้าง กระชากบ้าง แต่เจ้าตัวไม่รู้ตัว จะเหมือนเดินเข้าไปธรรมดา ไปดลใจบ้าง หรือไปกระซิบข้างหู ซึ่งคนที่ถูกกระซิบก็จะไม่ได้ยิน แต่จะเกิดความรู้สึก เอ๊ะ! อยากไปซื้อของร้านนี้ จริงๆ แล้วเรื่องการ ขายของดี หรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับบุญเก่าของเจ้าของ ที่สร้างทานมาพอดีกับจังหวะที่บุญส่งผลเป็นหลัก ซึ่งถ้าทานส่งผลช่วงนั้นจะทำอะไรก็ดีทั้งนั้น ส่วนกุมารทองเป็นเพียงส่วนเสริมนิดหน่อยเท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็รวยทุกวัน บอกให้ช่วยขายที่ให้ได้ ขายนั่นให้ได้นะ ซื้อมา ขายไปพักเดียวก็รวยกว่าบิลเกตต์แล้ว ซึ่งจะขายดีอย่างนั้นทุกครั้งก็ไม่ใช่ จะได้เฉพาะ บางครั้งเท่านั้น

ที่เลี้ยงไว้เฝ้าบ้านก็เช่นเดียวกัน อย่าลืมว่าบุญกรรมที่ทำมาเป็นหลัก แต่กุมารทองเป็นส่วนเสริมนิดหน่อย ขนาดบางทีกุมารทองเฝ้าบ้าน ขโมยยังขึ้นบ้านได้ แสดงว่าคนนั้นมีวิบากกรรมเคยไปลักขโมยของคนอื่น เพราะเป็นวิบากกรรมที่ติดมากับตัว เมื่อถึงเวลาส่งผล อะไรก็กันไม่อยู่



วิธีการติดต่อกับกุมารทอง

วิธีการติดต่อระหว่างผู้เลี้ยงกุมารทองกับกุมารทอง คือ บางทีกุมารทองก็จะมากระซิบข้างหู แต่ไม่เห็นตัว เพียงแต่มีความรู้สึก หรือบางทีถ้าจิตของใครที่อ่อนไหวง่าย กุมารทองก็จะสิงร่างของผู้นั้นได้ง่าย เด็กที่ถูกสิงบ่อยๆ ต้องเป็นเด็กที่มีเชื้อนับถือทางทรงเจ้า เข้าผีมาก่อนในอดีต ถ้าไม่มีเชื้อก็เข้าไม่ได้ พูดง่ายๆ คือ เป็นพวกเดียวกัน และบางทีที่สิงเด็กเล็กมากกว่าเด็กโต หรือเข้าสิงเด็กผู้หญิงมากกว่าเด็กผู้ชาย เพราะจิตอ่อนไหวกว่า แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่แต่อ่อนไหวง่าย และมีเชื้อติดมาจากอดีตก็เข้าสิงง่าย



สังคมของกุมารทอง

เนื่องจากกุมารทองไม่ได้มีตนเดียว มีหลายตนหลายพวก เขาก็จะมีสังคมกุมารทอง เหมือนสังคมมนุษย์ มีการคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน แต่ไม่เหมือนเด็กในเมืองมนุษย์ กุมารทองจะคุยแลกเปลี่ยนวิชากัน ต้องเสกคาถา ร่ายมนตร์อย่างนี้ ว่าคาถาอย่างนี้ จะดลใจคนทำอย่างไร จะเปิดประตู เปิดทีวี ช่วยขายของจะทำอย่างไร ซึ่งมนต์ หรือคาถาเหล่านี้ เรียนมาจากวิทยาธรที่เรียกมาอบรม สอบบทที่ ๑ ทำอย่างนี้ ว่าคาถาอย่างไร อบรมอย่างนี้เรื่อยไป และก็พาไปฝึกงานตามที่ต่างๆ แล้วยังมีการชักชวนพวกพ้องที่เป็นกุมารทอง เหมือนกันบ้าง หรือไม่ได้เป็นกุมารทอง แต่ว่าตายตอนเด็ก ก็ชวนเข้าพวกก็มี

674
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: รัก-ยม
« เมื่อ: 20 มี.ค. 2550, 01:01:43 »
ตำนานเรื่องราวแห่งความเป็นมาของ รักยม"

รักยมเป็นรูปเด็กแกะด้วยไม้คู่หนึ่ง มีลักษณะเป็นเด็กผมจุกยืนกำหมัดทั้งสองข้าง คล้ายกำลังทำท่าชกมวย ตัวที่ชื่อรักนั้น เกจิอาจารย์แกะ ด้วย ไม้รักซ้อน บางตำราก็ใช้ต้น บางตำราก็ใช้รากที่ชี้ไปทางทิศตะวันออก และต้องเป็นรากที่เรียกว่าตายพราย คือตายเองด้วย ส่วนตัวที่ ชื่อ ยม ก็แกะจากไม้มะยม ใช้ต้นและรากลักษณะเดียวกันกับรากหรือต้นรักซ้อน นั้นแต่มีสีขาว ส่วนตัวที่ทำจากรากรักซ้อนมีสีดำ เมื่ออาจารย์ได้บรรจง
แกะรูปเด็กหัวจุกทั้งสองเสร็จแล้ว ก็จะกระทำพิธีปลุกเสกโดยเอารูปแกะกุมารทั้งสองวางลงในขันสำริด ที่มีน้ำมันหอมหรือน้ำมันจันทร์ใส่เตรียม ไว้ก่อนแล้ว อาจารย์จะต้องทำให้เกิดนิมิตในขณะปลุกเสก คือปลุกจนกระทั่งรูปแกะกุมารทั้งสองนั้นลุกขึ้นเต้น และเล่นกันดุจมีชีวิตวิญญาณ แล้ว จึงเป็นอันใช้ได้ ผู้ที่จะให้เจ้ารักเจ้ายมช่วยเหลือในภารกิจของตน ก็นำรักยมพร้อมทั้งน้ำมันหอมนั้นประจุลงในขวดแก้วเล็กๆ ซึ่งมีขนาดพอดีกับ ตัวของรักยมที่จะลงไปอยู่ด้วยกันได้ทั้งคู่ นำติดตัวในเมื่อจะออกจากบ้านไปทำภารกิจนั้นๆ ครั้นเมื่อกลับเข้าสู่เคหะสถานบ้านเรื่อน ตน ก็นำรักยม เข้าไว้ในที่อันสมควร จัดแจงข้าวปลาอาหารขนมให้รักยมทั้งสองบริโภค ดุจดังเราเลี้ยงเด็กๆ ไว้ในบ้าน การพูดจากับรักยมนั้นก็ต้องพูดเอง และ ตัวผู้ใช้ตอบเอง ที่เรียกว่า "พูดเองเออเอง"แล้วแต่ปรารถนาสิ่งใดๆ ก็ให้กล่าววาจากับเขาขอให้รักยมช่วยในกิจนั้นๆผู้ใช้จะต้องคอยดูน้ำมันหอม ที่ใส่ในขวดรักยมอยู่เสมอ และระวังอย่าให้แห้งได้ เมื่อจวนจะแห้งหรือน้ำมันจันทร์เหลือน้อย จำเป็นต้องเติมมิให้พร่องลงได้ ท่านว่ารักยมจะขึ้น และให้ผลแก่ตัวเจ้าของดีนัก ทั้งน้ำมันจันทร์ในขวดนั้นเล่าก็ใช้ทาคิ้วทาผมเป็นเครื่องสำอางค์ที่จะยังเสน่ห์ให้แก่ผู้ใช้เป็นเอนกประการในขณะ ที่ จะ ไปเอารากรักและรากมะยมมากระทำพิธีแกะนั้น ท่านให้เดินทางออกจากบ้านไปแต่เช้าตรู่ ห้ามพูดกับผู้ใดในขณะนั้นเมื่อถึงต้นรักและมะยมที่ หมายตาเอา ไว้ก่อนแล้วก็ลงมือพลี (ขุดและตัดเอารากมา) โดยพูดว่า เจ้ารัก (ยม) เอ๋ย จงไปอยู่กับพ่อ จงช่วยพ่อให้สำเร็จสมปรารถนาเถิด
"นะมะพะทะอาคัจฉายะ อาคัจฉามิ มานี่มะมามา" เมื่อพลีไม้รักหรือไม้ยมมาได้แล้ว ท่านให้วิ่งกลับบ้าน โดยมิให้เหลียวหลังไปดูต้น ไม้นั้นเป็น อันขาด ครั้นเมื่อถึงบ้านแล้วจึงเอา รากรักซ้อนและรากยมนั้นปิดทองคำแผ่นให้งดงาม แล้วเอาคั่นกลางใจบ้าน พลีมาด้วนคาถา นะ มะ พะ ทะ หยิบมือหนึ่ง ห่อด้วยกระดาษว่าว ตั้งไว้หน้ารากรักและยมพร้อมด้วยสำรับกับข้าวเล็กๆ เป็นการบวงบนแด่วิญญาณของ รักยม กระทำดังนั้นแล้ว พอได้เวลาสมควร (กะว่าจุดธูปหมดดอก) จึงนำไม้นั้นไปมอบให้อาจารย์สร้างรักยมต่อไปมีเรื่องกล่าวถึงความเป็นมาของเจ้ารักยม นี้ตั้งแต่ครั้ง บรมกาลดังนี้ กาลครั้งหนึ่งในราวป่าหิมพานต์อันเป็นที่บำเพ็ญพรตของเหล่าพระฤาษีทั้งหลายผู้มีอายุนับด้วยกัปป์อยู่มาวันหนึ่งพหลปีติฤาษีออก จากอาศรมไปเที่ยวเก็บผลไม้เพื่อขบฉัน ผ่านสระน้ำแห่งหนึ่งอันมีปทุมชาติชูช่ออยู่ดารดาษ พหลปีติฤาษีตั้งใจจะตักน้ำใส่เต้าที่ทำ ด้วยผลน้ำเต้า แห่งป่าหิมพานต์เอาไปไว้บริโภคที่อาศรม ก็เหลือบไปเห็นกุมารน้อยคู่หนึ่งอยู่ในรัตตะอุบล (บัวสายมีสีอันแดง)จึงได้เก็บกุมารน้อยนั้นนำมา เลี้ยงไว้ยังอาศรมของตน ครั้นกาลต่อมาเมื่อกุมารน้อยนั้นเติบใหญ่พหลปีติฤาษีจึงให้ชื่อกุมารน้อยนั้นว่า รัตตะกุมารคนหนึ่ง และยมกะกุมารหนึ่ง พร้อมกันนั้น พหลปีติฤาษีก็ได้ถ่ายทอดวิทยาคมทั้งปวงให้แก่กุมารทั้งสองนั้น เป็นอันดีสมชาติชายชาตรีทุกประการสำหรับรัตตะกุมารนั้น กล่าวว่า เป็นมานพ น้อยมีรูปโฉมงดงาม ส่วนยมกะกุมารนั้นเล่าแม้จะด้อยในทางรูปสมบัติ แต่ก็มีความเชี่ยวชาญ ชำนาญใน ทางกระบวนยุทธ และเวทย์อาคมทั้งปวง เป็นที่ชดเชยกันกับรูปสมบัติแห่งตนนั้นไม่ยิ่งหย่อน อยู่มาเวลาหนึ่งกุมารทั้งสอง ซึ่งบัดนี้เป็นหนุ่มใหญ่ฉกรรจ์เข้า ไป บังคับพระพหลปีติฤาษีผู้มีอุปการะดุจบิดาบังเกิดเกล้า ขอลาเข้าไปยังในบ้านในเมืองเพื่อหาโอกาส ทำราชการหาความดีความชอบใส่ตนต่อไป พหลปีติฤาษีมีความอาลัยยิ่งนัก แต่ด้วยความเป็นผู้นำบำเพ็ญพรตสละโลกียวิสัยจึงตัดความอาลัยรักเสียนั้นได้ แล้วสั่งกำชับแก่กุมารทั้งสอง
ผู้บุตรบุญธรรมนั้นว่ามาตร์แม้นได้เข้ารับราชการงานเมืองเป็นทหารแห่งพระราชา ณ แคว้นใดแล้ว อย่าไปถือว่าตนเป็นผู้มีวิชาเก่งกล้า ทำลาย ชีวิตมุนษย์และสัตว์โดยไม่จำเป็นเป็นอันขาด จงตั้งใจอยู่ในความไม่ประมาท อย่าทำอันตรายแก่ผู้ด้อยกว่าตนรัตตะกุมาร และยมกะกุมาร นพน้อย ก็รับคำพหลปีติฤาษี แล้วออกจากอาศรมของพระผู้มีคุณนั้นไปด้วยใจรันทดยิ่งนักเมื่อมานพน้อยทั้งสองออก จากพหลปีติฤาษีอาศรมไปไม่นาน เท่าใดนัก เขาก็ได้เข้าไปเป็นทหารอาสาอยู่กับพระราชาผู้ครองแคว้นแห่งหนึ่ง ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตประกอบ กับความเป็นผู้มีฝีมือแห่ง ฤาษี บุตรทั้งสองรัตตะกุมารได้ตำแหน่ง ทหารเอกแห่งแคว้น ส่วนยมกะกุมารได้ตำแหน่งที่ปรึกษาราชการงานแผ่นดินแห่งแคว้นในเวลาต่อมาด้วย รัตตะ กุมารนพเป็นผู้ที่มีรูปโฉมสง่างามสมชายชาตรีดังกล่าวแล้ว จึงเป็นที่เสน่ห์หาและหลงใหลแก่ราชธิดาของพระราชาแคว้น นั้นแต่ความรัก ของรัตตะกุมารมานพและเจ้าหญิงมีอุปสรรคความทราบถึงราชบิดาเข้าก็ไม่ทรงพอพระทัย เพราะเจ้าหญิงได้ถูกหมายหมั้นปั้นมือ จากกษัตริย์ ผู้บิดาว่าจะให้อภิเษกสมรสกับเจ้าชายผู้ครองแคว้นอีกแคว้นหนึ่ง ซึ่งเป็นราชตระกูลกษัตริย์เท่าเทียมกันเจ้าหญิงจึงต้องถูกพรากตัวออกไปจาก ราชวังที่พระองค์เคยประทับอยู่ด้วยความเกษมสำราญมาแต่ทรงพระเยาว์รัตตะกุมารทราบเรื่องเข้ามีความแค้นเคืองพระราชาแห่งแคว้นเจ้า เหนือ หัวของตนเป็นอย่างมากและวางแผนการณ์ ที่จะฆ่าเสีย ความทราบถึงยมกะกุมารมานพเข้า ผู้ปรึกษาราชการแคว้นจึงยับยั้ง แผนการณ์ร้าย นั้นได้แล้วกล่าวเตือน ให้รัตตะกุมารมานพถึงคำสั่งของพหล ปีติฤาษีรัตตะกุมารมานพทหารเอกจึงเดินทางเข้าไปพบพหลปีติฤาษี เล่าเรื่องและ ความตั้งใจของตนที่จะฆ่ากษัตริย์ให้ฤาษีฟัง พหลปีติฤาษีกล่าวห้ามและให้โอวาทว่า การทำลายเบียดเบียนชีวิตมุนษย์นั้นเป็นบาปมหันต์เวร จัก ไม่ สิ้นสุด ชาตินี้เราฆ่าเขา ต่อชาติหน้าเวรนั้นจักสนองตอบ เขาต้องฆ่าเราเป็นการตอบแทนบ้าง เป็นอย่างนั้นไม่มีที่สิ้นสุดแต่ความรักทำให้รัตตะ กุมาร ตามืดตามัวเสียแล้ว ด้วยความคั้งแค้น และพิษแห่งความคั่งแค้นและพิษแห่งความเสน่หารัตตะกุมารผู้มีฝีมือ ลืมถ้อยคำของพหล ปีติฤาษี เสียสิ้น เขาเดินทางกลับเข้านคร ลอบเข้าไปในที่บรรทมของกษัตริย์ ใช้ดาบคู่มือทำร้ายพระราชาถึงสิ้นพระชนม์ เมื่อล้างแค้นแก่ผู้ที่พรากดวง ใจ เขาให้หลุดลอยไป แล้วรัตตะกุมารมานพก็กลับไปรับสารภาพผิดกับพหลปีติฤาษี พหลฤาษีเสียใจเป็นอย่างมากที่ศิษย์ของตนละเมิดโอวาทคำ สั่ง สอน รัตตะกุมารมานพผู้โสภาจึงสละเพศฆารวาสวิสัย ขอบวชประพฤตพรหมจรรย์บำเพ็ญพรตอยู่จนกว่าจะสิ้นชีวิตของตน รัตตะฤาษีเป็น ผู้บำเพ็ญพรตมีศีลวัตรอัน เคร่ง ครั้นเมื่อกาลจะสิ้นอายุขัย พหลปีติฤาษีเห็นใจได้ถามว่า รัตตะฤาษีปรารถนาพรอันใด ท่านทหารเอกแห่งแคว้นผู้ พราดรัก จึงตอบไปว่า แม้นไปเกิดในชาติปางใดก็ดี ขอให้มีเสน่ห์เป็นที่รักของคนทั้งปวง ขออย่าให้มีศัตรูด้วยประการใดๆ เลย พหลปีติฤาษี ว่า ท่านเป็นผู้ฆ่าผู้เบียดเบียนอยู่จักยัง ไม่ไปเกิดในมุนษย์โลกได้ทันทีหรอก แต่ด้วยบารมีที่สร้างไว้แต่ปัจจุบันชาติในมัชฌิมวัยคือขณะนี้มีอยู่บ้าง
กรรมจะมีปัจจัยให้เป็นวัตถุสิ่งหนึ่งที่มีชีวิตแต่หามีจิตใจไม่ วัตถุสิ่งนั้นจะมีคุณดั่งคำขอนั้นเถิด กล่าวพรจบ รัตตะฤาษีก็ถึงกาลกริยาและ ณ ที่ตรง อศุภแห่งรัตตะฤาษีนั้นต่อมาก็ได้บังเกิดพืชชนิดหนึ่งขึ้น มีดอกอันซ้อน มีสรรพคุณเป็นที่รักที่ชอบแก่คนทั้งปวงดั่งพรแห่งพหลปีติฤาษี คน ทั้ง หลายเรียกพืชนั้นว่า ต้นรักซ้อน ส่วนยมกะกุมารมานพ ครั้นภายหลังเมื่อย่างเข้าสู่วัยชราก็สละเพศฆราวาสวิสัย ออกบวชและจำศีลภาวนาอยู่ ณ ตรงอาศรมแห่งรัตตะกุมารผู้สหายกำเนิดนั้น จวบจนสิ้นอายุขัย ณ ตรงที่ยมกะกุมารฤาษีอดีตแห่งที่ปรึกษาของพระราชากระทำ กาลกิริยา ดับ ขั้นธ์ลง ไปก็บังเกิดเป็นพันธุ์แห่งผลไม่ชนิดหนึ่งชูช่อส่งผลอยู่เคียงคู่ต้นรักซ้อนนั้น คนทั้งลายเรียกกันว่าต้นยมกะแล้วเพี้ยนกันมาจนเป็น มะยมใน ทุกวันนี้ ด้วยเรื่องราวแห่งความเป็นมาของรักซ้อนและมะยมมีมาด้วยมุขปาฐกดังกล่าวนี้ พระเกจิอาจารย์เจ้าท่านจึงนำส่วนแห่งต้น ไม้ทั้งสอง มาแกะ เป็นรูปกุมาร หมายเอาถือรัตตะกุมารและยมกะกุมารผู้กำเนิดแต่รัตตะอุบล เมื่อใช้ศิลปะการแกเป็นภาพกุมารทั้งสองนั้น แล้ว ก็ให้นาม สั้นๆ ว่า "รักยม" อันคุณภาพของรักยมนั้น ท่านว่า อยู่กับผู้ใดเมื่อบำรุงเลี้ยงเขา ทั้งสองจนดีแล้ว กุมารนั้นก็จะให้คุณเป็นการตอบ แทนแก่เจ้าของ อย่างสมใจ หรือตามแต่ท่านจะปรารถนาเป็นเอนกประการ ความเป็นมาแห่งเจ้ารักยมก็สิ้นประวัติแต่เพียงเท่านี้


675
น่าจะเป็น หนุมาณเชิญธง  เพระเวลาที่พระรามไห้หนุมาณไปทำศึก ก็ชนะทุกครั้งไป แล้วก็เชิญธงเพื่อประกาศถึงชัยชนะ
       

เอวัง ม๊ด้วยประการฉะนี้ก็

676
สูตรการสร้างยาจินดามณี

เมื่อกล่าวถึงผงยาจินดามณี ต่างก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่า เป็นสูตรการสร้างวัตถุมงคล ที่ส่งให้ชื่อเสียง
ของวัดกลางบางแก้ว โดยเฉพาะหลวงปู่บุญโด่งดังขจรขจาย อุปเท่ห์การใช้ยาจินดามณีนั้นมีคุณครอบ
จักรวาล แม้แตาสามารถฉุดกระชากจิตวิญญาณที่ใกล้จะดับสูญ ให้กลับฟื้นคืนสติขึ้นมาสั่งเสียข้อความต่างๆ
แก่ญาติโยมได้ สูตรการสร้างยาจินดามณีนี้ เป็นของเก่าแก่ดั่งเดิมสืบทอดมาหลายชั่วอายุคนแล้ว สำหรับ
หลวงปู่บุญนั้นท่านก็ได้รับสืบต่อมาจากพระปลัดทอง ซึ่งเป็นอุปัชฌาย์อาจารย์ของท่าน

กรรมวิธีการสร้างนั้น ประกอบด้วยพิธีกรรมและเครื่องยาแยกเป็นสองส่วน ส่วนที่เป็นเครื่องยานั้น
ตำรับโบราณได้พรรณาเอาไว้อย่างกว้างๆ ตามตำราว่า

"จินดามณีโอสถอันพิลาส" ประกอบดอกคลาด ดอกจันทร์เกสรบุษบัน เปราะหอม กำยานโกฐสอ
โกฐเขมา ทองน้ำประสาน เปลือกกุมชลธาร กรุงเขมาเท่ากัน ผสมแล้วตำบดพิมเสน ชะมดน้ำผึ้ง รวงรัน
กฤษณา น้ำมะนาว น้ำมะเขือขื่นคั้นผสมยาเข้าด้วยกัน บดปั้นตากกินเป็นยาวาสนาเลิศล้ำตำราในโลกแผ่นดิน
อุปเท่ห์กล่าวไว้ ผู้ใดได้กินจะสวัสดิโสภิณกว่าคนทั้งหลาย พัสดุเงินทองจักพูนกูลนองกว่าโลกหญิงชาย
นำมาบูชาอหิวาต์ก็มิวาย ระงับอันตรายทั้งสี่กิริยาโทษหนักเท่าหนัก มาตรแม้นประจักษ์ถึงกาลมรณา
ถ้าแม้นใครกินซึ่งยาวาสนากลับน้อยถอยคลาเคลื่อนคลายหายเอย

นอกจากนี้ยังได้แยกเครื่องยาไว้อย่างละเอียดว่า สมุนไพชนิดใดจะเอาส่วนไหนประกอบกับอะไร
บดเป็นผงละเอียด เคล้ากับตัวประสานสมุนไพรนั้นมีมากมายหลายชนิด แยกออกเป็นสันส่วนว่า ส่วนไหน
ใช้เท่าใด และให้ลงหรือเสกด้วยคาถาอย่างไรบ้าง เมื่อปลุกเสกเครื่องยาแต่ละส่วนตามคาถาที่กำกับแล้ว
ก็เอาเครื่องยามาผสมกับมีคาถาฤาษีประสมยาประกอบไว้อีกโสดหนึ่ง ในเรื่องสัดส่วนของสมุนไพรตลอดจน
สมุนไพรนอกจากที่ได้กล่าวไว้ในเบื้องต้นนั้น และพระคาถากำกับการเสกสมุนไพรมากมายหลายบท

จากนั้นท่านได้แจกแจงรายละเอียดเอาไว้ในส่วนการลงลูกหินและแม่หิน ซึ่งจะใช้บดยาว่า
"แม่หินต้องลงอักขระเลขยันต์อีกแบบหนึ่งและมีคาถาประกอบขณะบดยา"

การจัดพิธีท่านให้เลือกเอาวันเพ็ญขึ้น ๒๕ ค่ำกลางเดือน ๑๒ ซึ่งหากปีใดได้ราชาฤกษ์หรือเพชรฤกษ์
จัดว่าดีเยี่ยมให้จัดเครื่องสังเวยเทวดาบัตรพลีต่างๆ รวมทั้งราชวัตร ฉัตรธงภายในพระอุโบสถ และมีสายสิญจน์
รอบพระอุโบสถแต่ละทิศให้ลงยันต์ประจำทิศด้วยผ้าแดง ด้านหน้าพระอุโบสถแต่ละทิศ ให้ลงยันต์ตรีนิสิงเห
และยันต์จินดามณีประกอบไว้เป็นพิเศษด้วย เมื่อได้ฤกษ์ให้ชุมนุมเทวดา แล้วให้พระภิกษุและฆราวาส
ที่ร่วมพิธีพร้อมกัน โดยเฉพาะฆราวาสนั้น หากเป็นหญิงให้ใช้สาวพรหมจารีย์ ซึ่งรักษาศีลอุโบสถ (ศีล ๘)
มาแล้ว ๓ วัน ส่วนชายก็ให้รักษาศีลอุโปสถเช่นกัน

ผู้ร่วมพิธีปั้นเม็ดยา หรือกดพิมพ์พระจะต้องภาวนาพระคาถาไปด้วย ไม่ว่าเม็ดยา หรือพระพิมพ์ที่ปั้น
และกดเสร็จแล้วจะต้องนำไปปลุกเสกด้วยมนต์ขลังอีกอย่างน้อย ๗ เสาร์ ๗ อังคาร

การสร้างยาจินดามณีนี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ยาวาสนา" ซึ่งมิใช่มีเฉพาะตำหรับของวัดกลางบางแก้ว
เท่านั้น วัดอื่นก็มีสร้างกัน เช่น วัดปากครองบางครก อ.บ้านแหลม จ. เพชรบุรี ก็มีการสร้างในสมัยของ
หลวงพ่อโศก (พระครูอโศกธรรมสาร) เกจิอาจารย์ผู้พระเดื่องนาม ในการสร้างปลัดขิก พระขรรค์และ
ผ้ายันต์ราชสีห์เส้นคู่ ตำหรับการสร้างผงยาจินดามณีของวัดปากคลองบางครกนี้ ก็มีกรรมวิธีการสร้างและ
อุปเท่ห์การใช้อย่างเดียวกันกับของวัดกลางบางแก้ว ผู้เขียนเข้าใจว่าคงเป็นตำราที่สืบทอดแตกแยกกัน
ออกไป เมื่อได้พูดถึสูตรผงยาจินดาตรีของทั้ง ๒ สำนักแล้ว ก็อยากจะนำอุปเท่ห์การใช้มาเขียนลงไว้
อย่างชัดเจน โดยขอกล่าวถึงอุปเท่ห์การใช้ยาจินดามณีตำหรับวัดกลางบางแก้วก่อน

ใครได้รับประทานยาจินดามณีแล้วจะบันดาลให้เกิดศิริสวัสดีและลาภผล หากบูชาเอาไว้จะป้องกัน
และรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ แม้แต่อหิวาตกโรคผู้ใดมีไว้จะปราศจากอันตรายใดๆ ในทุกอิริยาบถผู้ใดต้อง
โทษทัณฑ์ก็จะบรรเทาเบาบางลงได้ ผู้ใดป่วยหนักแม้แทบจะสิ้นชีวิต หากได้รับประทานอาจินดามณีแล้ว
ก็จักรอดตายฟื้นหายจากโรคนั้นสำหรับวิธีการใช้ยาขอยกเอามาเพียงบางส่วนดังนี้

ถ้าใช้รักษาอหิวาตกโรคให้เอายอดทับทิมต้มผสมกับกานพลูและน้ำปูนใส แล้วฝนเม็ดยาใส่ลงไป
ดื่มรับประทานหายจากโรคแล

แก้โรคเสมหะดีขึ้น(คนป่วยถ้าเสมหะตีขึ้นแล้ว มักจะไม่รอด) ให้ใช้ดีหมีผสมน้ำร้อน แล้วใส่ยาจินดามณี
ผสมลงไปรับประทาน

ถ้าเกิดคดีความขึ้นโรงขึ้นศาล ให้เอายาใส่น้ำเสกด้วย "เอกัง จินดามณีมันตัง" เป็นเมตตามหานิยม
แล้วเอาน้ำประพรมศรีษะ เอาเม็ดยาอมไว้ตลอดเวลา จะชนะความทั้งสิ้นแล

หากจะให้ปัญญาดี ให้เสกด้วยพระคาถาต่อไปนี้ ๓ คาบ
"ตะโตโส ปัณฑิโต ปิหิโส อัตถะ ทัสสีมะโหสะ โถ" แล้วอมยาจะท่องมนต์คาถาสารพัดวิชา จำได้สิ้น
ที่หลงลืมก็จะระลึกได้อุปเท่ห์การใช้ผงยาจินดามณี ของวัดกลางบางแก้วนี้ยังมีอีกมาก เอาไว้กล่าวถึงใน
บทเฉพาะเกี่ยวกับพระคาถาอาคมของหลวงปู่บุญ

สิทธิการิยะ จะกล่าวถึงสรรพคุณวิเศษของยาจินดามณี ตำหรับวัดปากคลองบางครก (อันที่จริง
ก็ตำรับเดียวกันนั่นแหละครับ เพียงแต่แตกแยกออกไปเท่านั้น)

แก้โรคในจักษุ ๖ แก้ในจมูก ๓ ประการในลิ้น ๖ ประการ ในฟันในท้อง ๔ ประการ แก้ไขบั้นปลาย
ก็ได้แก้ลมมหาสดมภ์ แก้ลมราชยักษ์กุมภัณฑ์ยักษ์ แก้อ่อนเปลี้ยเพลียใจ คลื่นไส้เอาเจียรเป็นยาครรภ์
รักษา แก้หัวพิษ หัวกาฬ ละลอกน้ำ ละลอกไฟ

ผิวเป็นอัมพฤก อัมพาต ตายไปทั้งตัวก็ดีฝ่ายซ้ายขวาก็ดี ตีนมือ คาง ขากรรไกร ก็ดีหาสมประดี
ไม่ได้ไซร้ ให้เอาหญ้าฝรั่ง พิมเสนทองคำ บดด้วยยาละลายกรองลงไปได้สติลืมตามีน้ำตาไหล น้ำลายยืด
แล้วหายแล ถ้าคนไข้บีบมือเหมือนจะออกคำ แต่ออกมิได้ให้เอาดีหมีก็ได้ถ้าไม่มีดีงูก็ได้ ต้มน้ำให้ละลาย
ประมาณครึ่งถ้วยพริก ใส่เหล้าครึ่งให้กินเถิดถึงเสลดหางวัวตีขึ้นก็จับกลับหาย หายมากแล้ว

ถ้าผู้บ่าวสาว ชักดิ้นงักงอ หมดสติตีนมือเกร็ง มีมายาต่างๆ เหมือนผีสิงก็ดีกัดฟันหน้าเบี้ยว ให้เอาพิมเสน
มาบดด้วยยาใส่ฝิ่นรำหัส ให้ต้มน้ำขิงทุบ เอาน้ำอุ่นเยี่ยวหนูให้กิน ถ้ามิฟังให้เอาหัวหอม ๓-๔ หัวตำ คั้นน้ำ
บดยาให้กิน แก้กำหนัดกามราคะขึ้น เป็นลมเบื้อนสูงสงบและเลือดระดูทำพิษให้เอาเสนียด คำฝอยต้ม

แก้สวิงสวาย หน้ามืดตาลาย กระวนกระวายเป็นทุกข์ระส่ำทรวง หัวใจเต้นดังตีปลาเหงื่อกาฬแตก
บดยาใส่น้ำดอกไม้สด น้ำมะลิ บังหลวง กระดังงาก็ได้ ทั้งกินทั้งดมหายใจแลแก้ร้อนใน น้ำดอกไม้เทศ
แก้ทราง ละลายน้ำพ่น ชะโลมตัวหายแล

แก้เลือดตก น้ำมะขามเปียกครึ่งชามแกงแซกเหลือตัวผู้ แก้ลมบ้าหมู น้ำมะนาว แก้ไอมะนาวแทรกเกลือ

ตกลงป่วง ลงราก โรคห่า ละลายน้ำยา ด้วยน้ำฝนกินให้อิ่มหายพลัน ถ้ามิฟังเอาเปลือกมะม่วง ๓
เปลือก ต้มใส่ปูนน้อยหนึ่ง ต้ม ๓ เอา ๑ ละลายกินเถิดหาย

แก้บิดมูกเลือด ขมิ้นข้น ๓ แว่น ทายาฝิ่นหรือขี้ยากรอบงโรยลงปิ้งไฟเกรียม บดด้วยน้ำปูนใสใส่ยา
๑ เม็ดกิน ๓ ที หายดีนัก แก้จุกเสียดแน่นเฟ้อใช้น้ำขิงต้ม

แก้โรค อุปทม ทุเลาวสา มุตกิต มุตฆาต ยักน้ำกระสายธาตุ ๔ ต้ม ให้ถ่ายใช้เกลือหนัก ๑ ชั่ง
ธาตุหนักก็เพิ่มขึ้น ใบมะขามต้มเป็นกระสาย

องคชาติปวดแสบในลำปัสสาวะ เมื่อปัสสาวะเป็นกำลังบานไม่รู้โรยขาว ทั้งห้าต้นแทรกสารส้ม
รำหัสละลายยากินเถิดหาย มักหนักถ่วงท้องน้อย บางครั้งมีแน่นให้เอาใบมะดัน ๙ ใบลงด้วยนวหรคุณต้ม
แทรกสารส้มกินหาย เมื่อทุเลาแล้วแต่งยาชื่อกษัยองคสุตรกินเสียหายแล

แก้หัวพิษ หัวกาฬ หัวละลอก ใช้น้ำครำฝนยาทาใช้น้ำขี้เถ้าดินเผาไฟก็ได้ใบมหากาฬตำก็ได้

แก้บาดทะยัก เอาผักปราบตำใส่ปูน น้ำมะนาวบีบลงในยานี้ทาหาย ถ้าชักกระตุกแล้วให้รีบทาเถิด
ยักยาอื่นตายแล

อนึ่งทารกแรกเกิด ให้เอายาฝนกับน้ำผึ้งรวงแล้วหยอดให้ทารกนั้นกิน ๓ วันแรกเสียงจะดีนักแล
เลี้ยงง่ายปัญญาดีแล

ถ้าให้มีปัญญาพาที ให้เสกด้วยพระคาถานี้ ๓ จบ แล้วอมยาไว้จะเล่าบ่นมนต์คาถาสารพัดวิชาจำได้สิ้น
ที่เลือกลืมหลงก็นจะรำลึกได้แล

ให้เสกด้วยมนต์มหาจินดาติดตัวไปเป็นเสน่ห์บังเกิดลาภผลที่ตนปรารถนาแล

ให้เสกด้วย พัสสมิงกิเนนโตฯ สู้ความชนะ

ให้เสกด้วย เอกจินดา มณีมนตํ ติดตนไปเป็นมหานิยมภาวนา อุอากะสะ ทำการไร่นามิเหนื่อยแล

ให้ภาวนาด้วยบท ยันทุนนิมิตตัง จบหนึ่งเอายาติดตัวไว้กลัวลางนิมิตร้ายแล

อมยาแล้วนั่งเหนือลมภาวนา อิตถีจิตตํ ปิยํ มะมะ รักและหลงเรา จากไปมิได้แล

เมื่อจะเดินทางไปสารทิศ เข้าหายเจ้านายผู้ใหญ่ ใช้ยานี้แช่น้ำใช้น้ำนั้นสระหัวอมยา แล้วภาวนา
สัตถาเทวมนุสสานัง พุทโธ ภควาติ ๗ คาบผู้ใหญ่ เจ้านายหายโกรธ ช่วยเหลือเราทุกทางเลย

ถ้าเผชิญด้วยหมู่ศัตรูหมู่ร้าย ให้อมยาแล้วภาวนาพามานา อุกะสะนะทุ ๘ คาบ ชนะศัตรู ศัตรูทำร้าย
มิได้ แคล้วคลาดสารพัดแล

เอายาติดตัวไปป้องกันสรรพโรคภ้ย ป้องกันเสนียดจัญไร กันย่ำยีด้วยคุณไสย คุณผี คุณคน สารพัด
พิษ ผิดสำแดง เมื่อต้องยาเบื่อมา เอารากมะปรางหนึ่ง หัวนุมานกระทบแท่งหนึ่ง ฝนทำน้ำกระสาย หรือ
เอาแต่อย่างหนึ่งก็ได้กินเถิดมิเป็นไรอย่าประมาทเลย เคยแก้ยาสั่งมาแล้ว ถ้าติดตัวไปมิต้องเราแล

ให้มีติดตัวถึงราวอับจนจะได้ใช้ ตามืด หูมืด ใช้ได้ทุกเมื่อ มีอำนาจวิเศษคุณมากตีค่าไว้ถึง ๘ ชั่งทองแล

ที่ต้องเอาเกล็ดและฝอยของยาจินดามณีหรือยาวาสนาตำรับวัดปากคลองบางครก อ.บ้านแหลม
จ.เพชรบุรี มาลงไว้เสียยืดยาว ก็เพราะว่าต้องการให้ผู้อ่านเทียบเคียงกันดูว่าทั้งตัวยาและอุปเท่ห์การใช้นั้น
มีส่วนเหมือนและคล้ายคลึงกันมากซึ่งก็ไม่ใช้เรื่องแปลก เพราะสูตรดั่งเดิมของการสร้างยาจินดามณีนั้น
เป็นศัตรูเก่าแก่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เพียงแต่แตกสาขาออกไปหลายสาย โดยเฉพาะสายวัดกลางบางแก้วนั้น
ได้สืบทอดมาแต่ท่านเจ้าคุณวัดราชนัดดาที่มามีชื่อเสียงแพร่หลายกว่าสายอื่นนั้น ก็คงเนื่องจากตบะบารมี
ของหลวงปู่บุญท่านสูงส่งและแก่กล้ากว่าเท่านั้นเอง แต่ก็ใช้ว่าสูตรยาจินดามณีของสำนักอื่นไม่มีหรือมี
แต่จะด้อยสรรพคุณกว่าก็หาไม่ เพราะอันพระเถราจารย์เจ้าในยุคเก่าๆ นั้น ท่านเชี่ยวชาญเข้มขลังไม่แพ้กัน
หรอกครับ แต่ละท่านต่างก็ยกย่องซึ่งกันและกัน แต่มาชั้นหลังรุ่นพวกเราเหล่าลูกศิษย์ชักจะมีคติถือครูบา
อาจารย์ถือสำนัก แบ่งพรรคแบ่งพวกกันเสียแล้ว ผู้เขียนไม่เห็นด้วยเลยครับ อย่างไรเสียก็ควรจะช่วยกัน
รักและอนุรักษ์ของเก่าแก่ดั่งเดิมเอาไว้เถอะครับ แม้จะต่างวัด ต่างสำนักกันก็อย่าได้มองข้ามหรือดูแคลน
กันนักเลย

สำหรับอุปเทห์ใช้และคาถาที่กำกับยาจินดามณีตำหรับวัดกลางบางแก้ว ขอให้พลิกไปบทถัดไปนะครับ
มีบันทึกเอาไว้เฉพาะแล้ว



677
ขอแสดงความเสียใจกับท่านพระอาจารย์นัน :'( :'( :'( :'( :'( :'( :'( :'( :'(

678
อิจฉาจัง

680
ครับผม

681
เก่งทุกรูป

682
มีมหาอำนาถ

683
สุด ยอด เลยครับ

684
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: รัก-ยม
« เมื่อ: 06 มี.ค. 2550, 10:45:26 »
"ตำนานเรื่องราวแห่งความเป็นมาของ รักยม"

รักยมเป็นรูปเด็กแกะด้วยไม้คู่หนึ่ง มีลักษณะเป็นเด็กผมจุกยืนกำหมัดทั้งสองข้าง คล้ายกำลังทำท่าชกมวย ตัวที่ชื่อรักนั้น เกจิอาจารย์แกะ ด้วย ไม้รักซ้อน บางตำราก็ใช้ต้น บางตำราก็ใช้รากที่ชี้ไปทางทิศตะวันออก และต้องเป็นรากที่เรียกว่าตายพราย คือตายเองด้วย ส่วนตัวที่ ชื่อ ยม ก็แกะจากไม้มะยม ใช้ต้นและรากลักษณะเดียวกันกับรากหรือต้นรักซ้อน นั้นแต่มีสีขาว ส่วนตัวที่ทำจากรากรักซ้อนมีสีดำ เมื่ออาจารย์ได้บรรจง
แกะรูปเด็กหัวจุกทั้งสองเสร็จแล้ว ก็จะกระทำพิธีปลุกเสกโดยเอารูปแกะกุมารทั้งสองวางลงในขันสำริด ที่มีน้ำมันหอมหรือน้ำมันจันทร์ใส่เตรียม ไว้ก่อนแล้ว อาจารย์จะต้องทำให้เกิดนิมิตในขณะปลุกเสก คือปลุกจนกระทั่งรูปแกะกุมารทั้งสองนั้นลุกขึ้นเต้น และเล่นกันดุจมีชีวิตวิญญาณ แล้ว จึงเป็นอันใช้ได้ ผู้ที่จะให้เจ้ารักเจ้ายมช่วยเหลือในภารกิจของตน ก็นำรักยมพร้อมทั้งน้ำมันหอมนั้นประจุลงในขวดแก้วเล็กๆ ซึ่งมีขนาดพอดีกับ ตัวของรักยมที่จะลงไปอยู่ด้วยกันได้ทั้งคู่ นำติดตัวในเมื่อจะออกจากบ้านไปทำภารกิจนั้นๆ ครั้นเมื่อกลับเข้าสู่เคหะสถานบ้านเรื่อน ตน ก็นำรักยม เข้าไว้ในที่อันสมควร จัดแจงข้าวปลาอาหารขนมให้รักยมทั้งสองบริโภค ดุจดังเราเลี้ยงเด็กๆ ไว้ในบ้าน การพูดจากับรักยมนั้นก็ต้องพูดเอง และ ตัวผู้ใช้ตอบเอง ที่เรียกว่า "พูดเองเออเอง"แล้วแต่ปรารถนาสิ่งใดๆ ก็ให้กล่าววาจากับเขาขอให้รักยมช่วยในกิจนั้นๆผู้ใช้จะต้องคอยดูน้ำมันหอม ที่ใส่ในขวดรักยมอยู่เสมอ และระวังอย่าให้แห้งได้ เมื่อจวนจะแห้งหรือน้ำมันจันทร์เหลือน้อย จำเป็นต้องเติมมิให้พร่องลงได้ ท่านว่ารักยมจะขึ้น และให้ผลแก่ตัวเจ้าของดีนัก ทั้งน้ำมันจันทร์ในขวดนั้นเล่าก็ใช้ทาคิ้วทาผมเป็นเครื่องสำอางค์ที่จะยังเสน่ห์ให้แก่ผู้ใช้เป็นเอนกประการในขณะ ที่ จะ ไปเอารากรักและรากมะยมมากระทำพิธีแกะนั้น ท่านให้เดินทางออกจากบ้านไปแต่เช้าตรู่ ห้ามพูดกับผู้ใดในขณะนั้นเมื่อถึงต้นรักและมะยมที่ หมายตาเอา ไว้ก่อนแล้วก็ลงมือพลี (ขุดและตัดเอารากมา) โดยพูดว่า เจ้ารัก (ยม) เอ๋ย จงไปอยู่กับพ่อ จงช่วยพ่อให้สำเร็จสมปรารถนาเถิด
"นะมะพะทะอาคัจฉายะ อาคัจฉามิ มานี่มะมามา" เมื่อพลีไม้รักหรือไม้ยมมาได้แล้ว ท่านให้วิ่งกลับบ้าน โดยมิให้เหลียวหลังไปดูต้น ไม้นั้นเป็น อันขาด ครั้นเมื่อถึงบ้านแล้วจึงเอา รากรักซ้อนและรากยมนั้นปิดทองคำแผ่นให้งดงาม แล้วเอาคั่นกลางใจบ้าน พลีมาด้วนคาถา นะ มะ พะ ทะ หยิบมือหนึ่ง ห่อด้วยกระดาษว่าว ตั้งไว้หน้ารากรักและยมพร้อมด้วยสำรับกับข้าวเล็กๆ เป็นการบวงบนแด่วิญญาณของ รักยม กระทำดังนั้นแล้ว พอได้เวลาสมควร (กะว่าจุดธูปหมดดอก) จึงนำไม้นั้นไปมอบให้อาจารย์สร้างรักยมต่อไปมีเรื่องกล่าวถึงความเป็นมาของเจ้ารักยม นี้ตั้งแต่ครั้ง บรมกาลดังนี้ กาลครั้งหนึ่งในราวป่าหิมพานต์อันเป็นที่บำเพ็ญพรตของเหล่าพระฤาษีทั้งหลายผู้มีอายุนับด้วยกัปป์อยู่มาวันหนึ่งพหลปีติฤาษีออก จากอาศรมไปเที่ยวเก็บผลไม้เพื่อขบฉัน ผ่านสระน้ำแห่งหนึ่งอันมีปทุมชาติชูช่ออยู่ดารดาษ พหลปีติฤาษีตั้งใจจะตักน้ำใส่เต้าที่ทำ ด้วยผลน้ำเต้า แห่งป่าหิมพานต์เอาไปไว้บริโภคที่อาศรม ก็เหลือบไปเห็นกุมารน้อยคู่หนึ่งอยู่ในรัตตะอุบล (บัวสายมีสีอันแดง)จึงได้เก็บกุมารน้อยนั้นนำมา เลี้ยงไว้ยังอาศรมของตน ครั้นกาลต่อมาเมื่อกุมารน้อยนั้นเติบใหญ่พหลปีติฤาษีจึงให้ชื่อกุมารน้อยนั้นว่า รัตตะกุมารคนหนึ่ง และยมกะกุมารหนึ่ง พร้อมกันนั้น พหลปีติฤาษีก็ได้ถ่ายทอดวิทยาคมทั้งปวงให้แก่กุมารทั้งสองนั้น เป็นอันดีสมชาติชายชาตรีทุกประการสำหรับรัตตะกุมารนั้น กล่าวว่า เป็นมานพ น้อยมีรูปโฉมงดงาม ส่วนยมกะกุมารนั้นเล่าแม้จะด้อยในทางรูปสมบัติ แต่ก็มีความเชี่ยวชาญ ชำนาญใน ทางกระบวนยุทธ และเวทย์อาคมทั้งปวง เป็นที่ชดเชยกันกับรูปสมบัติแห่งตนนั้นไม่ยิ่งหย่อน อยู่มาเวลาหนึ่งกุมารทั้งสอง ซึ่งบัดนี้เป็นหนุ่มใหญ่ฉกรรจ์เข้า ไป บังคับพระพหลปีติฤาษีผู้มีอุปการะดุจบิดาบังเกิดเกล้า ขอลาเข้าไปยังในบ้านในเมืองเพื่อหาโอกาส ทำราชการหาความดีความชอบใส่ตนต่อไป พหลปีติฤาษีมีความอาลัยยิ่งนัก แต่ด้วยความเป็นผู้นำบำเพ็ญพรตสละโลกียวิสัยจึงตัดความอาลัยรักเสียนั้นได้ แล้วสั่งกำชับแก่กุมารทั้งสอง
ผู้บุตรบุญธรรมนั้นว่ามาตร์แม้นได้เข้ารับราชการงานเมืองเป็นทหารแห่งพระราชา ณ แคว้นใดแล้ว อย่าไปถือว่าตนเป็นผู้มีวิชาเก่งกล้า ทำลาย ชีวิตมุนษย์และสัตว์โดยไม่จำเป็นเป็นอันขาด จงตั้งใจอยู่ในความไม่ประมาท อย่าทำอันตรายแก่ผู้ด้อยกว่าตนรัตตะกุมาร และยมกะกุมาร นพน้อย ก็รับคำพหลปีติฤาษี แล้วออกจากอาศรมของพระผู้มีคุณนั้นไปด้วยใจรันทดยิ่งนักเมื่อมานพน้อยทั้งสองออก จากพหลปีติฤาษีอาศรมไปไม่นาน เท่าใดนัก เขาก็ได้เข้าไปเป็นทหารอาสาอยู่กับพระราชาผู้ครองแคว้นแห่งหนึ่ง ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตประกอบ กับความเป็นผู้มีฝีมือแห่ง ฤาษี บุตรทั้งสองรัตตะกุมารได้ตำแหน่ง ทหารเอกแห่งแคว้น ส่วนยมกะกุมารได้ตำแหน่งที่ปรึกษาราชการงานแผ่นดินแห่งแคว้นในเวลาต่อมาด้วย รัตตะ กุมารนพเป็นผู้ที่มีรูปโฉมสง่างามสมชายชาตรีดังกล่าวแล้ว จึงเป็นที่เสน่ห์หาและหลงใหลแก่ราชธิดาของพระราชาแคว้น นั้นแต่ความรัก ของรัตตะกุมารมานพและเจ้าหญิงมีอุปสรรคความทราบถึงราชบิดาเข้าก็ไม่ทรงพอพระทัย เพราะเจ้าหญิงได้ถูกหมายหมั้นปั้นมือ จากกษัตริย์ ผู้บิดาว่าจะให้อภิเษกสมรสกับเจ้าชายผู้ครองแคว้นอีกแคว้นหนึ่ง ซึ่งเป็นราชตระกูลกษัตริย์เท่าเทียมกันเจ้าหญิงจึงต้องถูกพรากตัวออกไปจาก ราชวังที่พระองค์เคยประทับอยู่ด้วยความเกษมสำราญมาแต่ทรงพระเยาว์รัตตะกุมารทราบเรื่องเข้ามีความแค้นเคืองพระราชาแห่งแคว้นเจ้า เหนือ หัวของตนเป็นอย่างมากและวางแผนการณ์ ที่จะฆ่าเสีย ความทราบถึงยมกะกุมารมานพเข้า ผู้ปรึกษาราชการแคว้นจึงยับยั้ง แผนการณ์ร้าย นั้นได้แล้วกล่าวเตือน ให้รัตตะกุมารมานพถึงคำสั่งของพหล ปีติฤาษีรัตตะกุมารมานพทหารเอกจึงเดินทางเข้าไปพบพหลปีติฤาษี เล่าเรื่องและ ความตั้งใจของตนที่จะฆ่ากษัตริย์ให้ฤาษีฟัง พหลปีติฤาษีกล่าวห้ามและให้โอวาทว่า การทำลายเบียดเบียนชีวิตมุนษย์นั้นเป็นบาปมหันต์เวร จัก ไม่ สิ้นสุด ชาตินี้เราฆ่าเขา ต่อชาติหน้าเวรนั้นจักสนองตอบ เขาต้องฆ่าเราเป็นการตอบแทนบ้าง เป็นอย่างนั้นไม่มีที่สิ้นสุดแต่ความรักทำให้รัตตะ กุมาร ตามืดตามัวเสียแล้ว ด้วยความคั้งแค้น และพิษแห่งความคั่งแค้นและพิษแห่งความเสน่หารัตตะกุมารผู้มีฝีมือ ลืมถ้อยคำของพหล ปีติฤาษี เสียสิ้น เขาเดินทางกลับเข้านคร ลอบเข้าไปในที่บรรทมของกษัตริย์ ใช้ดาบคู่มือทำร้ายพระราชาถึงสิ้นพระชนม์ เมื่อล้างแค้นแก่ผู้ที่พรากดวง ใจ เขาให้หลุดลอยไป แล้วรัตตะกุมารมานพก็กลับไปรับสารภาพผิดกับพหลปีติฤาษี พหลฤาษีเสียใจเป็นอย่างมากที่ศิษย์ของตนละเมิดโอวาทคำ สั่ง สอน รัตตะกุมารมานพผู้โสภาจึงสละเพศฆารวาสวิสัย ขอบวชประพฤตพรหมจรรย์บำเพ็ญพรตอยู่จนกว่าจะสิ้นชีวิตของตน รัตตะฤาษีเป็น ผู้บำเพ็ญพรตมีศีลวัตรอัน เคร่ง ครั้นเมื่อกาลจะสิ้นอายุขัย พหลปีติฤาษีเห็นใจได้ถามว่า รัตตะฤาษีปรารถนาพรอันใด ท่านทหารเอกแห่งแคว้นผู้ พราดรัก จึงตอบไปว่า แม้นไปเกิดในชาติปางใดก็ดี ขอให้มีเสน่ห์เป็นที่รักของคนทั้งปวง ขออย่าให้มีศัตรูด้วยประการใดๆ เลย พหลปีติฤาษี ว่า ท่านเป็นผู้ฆ่าผู้เบียดเบียนอยู่จักยัง ไม่ไปเกิดในมุนษย์โลกได้ทันทีหรอก แต่ด้วยบารมีที่สร้างไว้แต่ปัจจุบันชาติในมัชฌิมวัยคือขณะนี้มีอยู่บ้าง
กรรมจะมีปัจจัยให้เป็นวัตถุสิ่งหนึ่งที่มีชีวิตแต่หามีจิตใจไม่ วัตถุสิ่งนั้นจะมีคุณดั่งคำขอนั้นเถิด กล่าวพรจบ รัตตะฤาษีก็ถึงกาลกริยาและ ณ ที่ตรง อศุภแห่งรัตตะฤาษีนั้นต่อมาก็ได้บังเกิดพืชชนิดหนึ่งขึ้น มีดอกอันซ้อน มีสรรพคุณเป็นที่รักที่ชอบแก่คนทั้งปวงดั่งพรแห่งพหลปีติฤาษี คน ทั้ง หลายเรียกพืชนั้นว่า ต้นรักซ้อน ส่วนยมกะกุมารมานพ ครั้นภายหลังเมื่อย่างเข้าสู่วัยชราก็สละเพศฆราวาสวิสัย ออกบวชและจำศีลภาวนาอยู่ ณ ตรงอาศรมแห่งรัตตะกุมารผู้สหายกำเนิดนั้น จวบจนสิ้นอายุขัย ณ ตรงที่ยมกะกุมารฤาษีอดีตแห่งที่ปรึกษาของพระราชากระทำ กาลกิริยา ดับ ขั้นธ์ลง ไปก็บังเกิดเป็นพันธุ์แห่งผลไม่ชนิดหนึ่งชูช่อส่งผลอยู่เคียงคู่ต้นรักซ้อนนั้น คนทั้งลายเรียกกันว่าต้นยมกะแล้วเพี้ยนกันมาจนเป็น มะยมใน ทุกวันนี้ ด้วยเรื่องราวแห่งความเป็นมาของรักซ้อนและมะยมมีมาด้วยมุขปาฐกดังกล่าวนี้ พระเกจิอาจารย์เจ้าท่านจึงนำส่วนแห่งต้น ไม้ทั้งสอง มาแกะ เป็นรูปกุมาร หมายเอาถือรัตตะกุมารและยมกะกุมารผู้กำเนิดแต่รัตตะอุบล เมื่อใช้ศิลปะการแกเป็นภาพกุมารทั้งสองนั้น แล้ว ก็ให้นาม สั้นๆ ว่า "รักยม" อันคุณภาพของรักยมนั้น ท่านว่า อยู่กับผู้ใดเมื่อบำรุงเลี้ยงเขา ทั้งสองจนดีแล้ว กุมารนั้นก็จะให้คุณเป็นการตอบ แทนแก่เจ้าของ อย่างสมใจ หรือตามแต่ท่านจะปรารถนาเป็นเอนกประการ ความเป็นมาแห่งเจ้ารักยมก็สิ้นประวัติแต่เพียงเท่านี้




688
ผมก็มี

690
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: คาถา108
« เมื่อ: 03 มี.ค. 2550, 03:36:34 »
หมวดเมตตา ความรักและสิริมงคล
คาถาเมตตามหานิยม
นะเมตตา โมกรุณา พุทธปราณี ธายินดี ยะเอ็นดู นะโมพุทธายะ นะมะอะอุ
(ใช้ภาวนาคาถาก่อนออกจากบ้าน จะทำให้คนที่พบเจอมีความรู้สึกที่ดี การติดต่อใดๆก็จะราบรื่นไม่ติดขัด)

ดังหรือของอีกสำนักหนึ่งว่าสั้นๆ นี้
เมตตา คุณะณัง อะระหัง เมตตา



 
 


คาถาเจ้านายเมตตา
ปัญจะมังสิระสังขาตัง นาหาย นะกาโร โหติ สัมภะโว อิสวาสุ
(ให้สวดท่องภาวนา ๓ จบ ก่อนออกจากบ้าน แล้วเจ้านายจะเมตตา)



 
 


คาถาขุนแผน
เอหิมะมะ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ
(ใช้ท่องกับของใช้ส่วนตัวอะไรก็ได้แล้วจะทำให้มีเสน่ห์เป็นที่หลงไหล)



 
 


คาถาเอ็นดู
วิชชาจะระณะสัมปันโน อิติปิโสภะคะวา
ปิยะเทวะมนุสสานัง ปิโยพรหมานะ มุตตะโม
ปิโยนาคะ สุปัณณานัง
ปิณินทะริยัง นะมามิหัง
นะเมตตา โมกรุณา พุทปรานี ธายินดี ยะเอ็นดู
(ให้ท่องคาถาก่อนไปพบผู้หลักผู้ใหญ่เพื่อให้เกิดความรักใคร่เอ็นดู)



 
 


คาถาคนนิยม
เอหิสาลิกา ยังยัง พุทธัง อาคัจฉาหิ สาลิกาถิง กะระณัง ตาวังคาวา
เอหิมะมะ สุวะโปตะโก อะยัง ราชา สุวัณณะวัณณา สาลิกานัง มะโหสะโต ปิยังมะมะ
(ใช้สวดภาวนาเมื่อต้องการติดต่อเจรจาในเรื่องสำคัญ ค้าขาย เพื่อให้คนนิยมชมชอบ)



 
 


คาถาสมัครงาน
พุทธัสสาหัง นิยยาเทมิ สะริรัญ ชีวิตัญวิทัง
นะโมมิตตามนุสสาจะ นะเมตตา โมกรุณา
(ใช้ท่องก่อนออกจากบ้านไปสัมภาษณ์หรือสมัครงานจะทำให้มีเสน่ห์เป็นที่ประทับใจ)



 
 


คาถาค้าขายดี
โอมอิติพุททัตสะ สุวันนัง วารัชชะคัง วามะนีวาวัตตัง วาพัพพะยัน ละเอหิคาคัชวันติ
(ให้เอาใบไม้แช่น้ำใส่ขันไว้แล้วสวดภาวนา เลร็จแล้วนำน้ำไปประพรมให้ทั่วร้าน จะทำให้ขายคล่อง)
หรืออีกคาถาหนึ่งก็ว่ากันว่าทำให้ทำมาค้าขึ้นเหมือนกันคือ

อิติปิโสภะคะวา สัมมาสัมพุทโธ อิติปิโสภะคะวา พุทโธภะคะวา     อิติปิโสภะคะวา พุทโธภะคะวา

และอีกคาถาหนึ่งสำหรับพ่อค้า แม่ค้าที่นิยมเสกเป่า ๓ จบ กับสินค้าเหมือนกันคือ

พุทธัง  พะหุชะนานัง เอหิจิตตัง เอหิมะนุสสานัง เอหิลาภัง เอหิเมตตา
ชมภูทีเป มะนุสสานัง อิตถิโย ปุริโส จิตตัง พันธังเอหิ



 
 


คาถาสาริกาลิ้นทอง
พุทธา อะเนนา มะลิยา สุสังคะเยมิ
พุทธา อิริมะลิยา สุสังคะเยมิ
พุทธา อิรปะโย เคมะคุณนะ ปักเขสะเมมะมิ
อุนาโลมา ปันนะ วิชายะเต
(ใช้สวดภาวนาหากต้องการให้คนรักใคร่ พูดจาเป็นเสน่ห์ ตอนท่องถึงคำว่า มิ ก็ให้แตะที่ลิ้นด้วยทุกครั้ง)



 
 


คาถาการเจรจา
นะโมพุทธายะ มะอะอุ ยะธาพุทโมนะ อุอะอะ อิสวาสุ สัพพะทัสสะ อะสังวิสุ โลปุสะพุภะ
(ใช้ภาวนากับน้ำล้างหน้าตอนเช้าก่อนออกจากบ้านไปติดต่อเจรจาเรื่องสำคัญ จะทำให้สำเร็จในสิ่งที่หวังไว้)



 
 


คาถาอัญเชิญพระเครื่อง
พุทธัง อาราธนานัง รักษา ธัมมัง อารธนานัง รักษา สังฆัง อาราธนานัง รักษา
(ใช้สวดภาวนากับพระเครื่องก่อนออกจากบ้าน พระจะคุ้มครองเป็นสิริมงคลกับตัวเอง)



 
 


คาถาอุปถัมภ์
อิติปาระมิตาติงสา อิติสัพพัญมาคะตา อิติโพธิ มนุปปัตโต อิติปิโส จะตมะโน
นะเมตตา โมกรุณา พุทปรานี ธายินดี ยะเอ็นดู ยะหันตวา ธามัวเมา พุทพาเอา นะโมพุทธายะ
(ใช้ท่องก่อนออกจากบ้าน จะทำให้เจ้านายสงสาร ช่วยเหลืออุปถ้มภ์ดี)



 
 


คาถารักแท้
โอมนะโมพุทธายะ พุทธัง สะระติ ธัมมัง สะระติ สังฆัง สะระติ
จิตตังสะมาเรมะมะเอทิ เอหิชัยยะ เอหิสัพเพชะนา พะหูชะนา เอหิ
(ให้บริกรรมคาถานี้กับลูกอมแล้วอมขณะที่คุยกับคนที่เรารัก จะทำให้เขาคนนั้นเกิดความรักจริงจังขึ้นมา)



 
 


คาถามัดใจ
พุทธัง รัตตะนัง ธัมมัง รัตตะนัง สังฆัง รัตตะนัง  นะผูก โมมัด พุทรัด ธารึง ยะกรึงคะเร โอมสวาหะ
(ใช้สวดภาวนาก่อนนอน ทำให้คนรักคิดถึง)



 
 


คาถามนต์รัก
โอม นะ ปะ โร รันนะขุเภติ
พุทธัง สะระติ จิตตัง สมาคะมา
ธัมมัง สะระติ จิตตัง สมาคะมา
สังฆัง สะระติ จิตตัง สมาคะมา
(ใช้ภาวนากับดอกไม้ก่อนที่จะส่งให้กับคนรัก เมื่อเขาหรือเธอสูดดมดอกไม้ก็จะรักเราตอบ)



 
 


คาถาใจอ่อน
ปัญจะมังสิระสังชาตัง นะอตใจ นะกาโร โหติ สัมภะโว
ตรีนิกัตวานะ นะ การัง ปัญจะสัมภะวัง
(ใช้ท่องก่อนที่จะพบเจรจากับคนที่เป็นเจ้าหนี้หรือใครก็ตาม จะทำให้ได้รับการผ่อนปรน ใจอ่อนได้ทุกที)



 
 


คาถาผูกใจคน
โอมนะโมพุทธะ นะ มะ อะ อุ เอหิชัยยะ เอหิสัพเพชะนา พะหูชะนา เอหิ
(ใช้สวดเมื่อต้องการให้คนทั่วไปรักใคร่ยินดี ใช้เสกกับแป้งหรือน้ำหอมก็ได้)



 
 


คาถามหาเสน่ห์
จันโทอะภกันตะโร
ปิติ ปิโย เทวะมนุสสานัง
อิตภิโยปุริ โส
มะ อะ อุ อุ มะ อะ อิสวาสุ อิกะวิติ
(ให้ภาวนาคาถานี้ ๓ จบก่อนออกไปพบคน จะทำให้คนที่ต้องไปพบเกิดความรักใคร่)



 
 

หมวดป้องกันภัยต่างๆ
คาถาป้องกันผี
นะโมพุทธายะ มะพะ ทะนะ ภะ กะ สะ จะ
สัพเพทวาปีสาเจวะ อาฬะวะกาทะโยปิยะ
ขัคคัง ตาละปัตตัง ทิสวา สัพเพยักขา
ปะลายันติ สักกัสสะ วะชิราวุธัง
เวสสุวัณณัสสะ คะธาวุธัง
อะฬะวะกัสสะ ทุสาวุธัง
ยะมะนัสสะ นะยะนาวุธัง
อิเมทิสวา สัพเพยักขา ปะลายันติ
(ใช้สวดภาวนาเมื่อเกิดความกลัวผีขึ้นมา วิญญาณจะไม่มารบกวนเข้าใกล้)



 
 


คาถาป้องกันผีพราย
ตานังเลนัง สัพพะปาณีนัง เลนังตานัง สัพพะปาณีนัง
(ใช้สวดภาวนาเพื่อให้ปลอดภัยจากการรบกวนของวิญญาณ ภูตผีต่างๆ หรือภาวนากับน้ำนำไปพรมกับคนที่คิดว่าจะถูกวิญญาณสิงสู่)



 
 


คาถาป้องกันงู
ปะถะมังพันธุ กังชาตัง ทุติยังทัณฑะ เมวะจะ
ตะติยังเภทะกัญเจวะ จะตุตถังอังกุ สัมภะวัง
ปัญจะมังสิระสังชาตัง นะงู นะกาโร โหติสัมภะโว
(ใช้ภาวนาเมื่อต้องเข้าป่า ที่รก หรือแม้แต่เมื่อขณะพบเจองู จะทำให้คุณปลอดภัย)



 
 


คาถากันสุนัข
นะโมพุทธายะ นะมะอะอุ อิสวาสุ อุอะมะ
(ใช้ท่องแล้วเป่าเบาๆ เวลาเจอสุนัขดุ)



 
 


คาถาป้องกันตัว
ปัญจะมัง สิระสังชาตัง นะกาโร โหติ สัมภะโว
พินธุ ทัณฑะ เภทะ อังกุ สิริ นะโมพุทธายะ
(ใช้ท่องภาวนาเป่าใส่มือ แล้วตบมือดังๆ จะทำให้ปลอดภัยจากอันตรายไม่ว่าคนหรือสัตว์)



 
 


คาถาคงกระพัน
อะสังวิสุ โลปุสะภุพะ
สังวิทาปุกะยะปะ นะโมพุทธายะ มะอะอุ อะระหัง
(ใช้ท่องกับพระเครื่องและวัตถุมงคลและนำติดตัวไว้เพื่อป้องกันตัว คุ้มครอง)



 
 


คาถาป้องกันภัยพิบัติ
ระตะนัตตะ ยังปุเชมิ คุณะวันตา นะราปิจะ
เตโสตตะมา นุภาเวนะ ปุญญานิ ปะกะตานิเม
(ใช้สวดภาวนาก่อนเดินทางหรือกระทำการใดๆที่อาจเกิดอันตราย จะช่วยให้ปลอดภัยจากภัยพิบัติต่างๆ)



 
 


คาถาสกัดโจรผู้ร้าย
เจโรอัตนะรถา ยิควา ภูมิยัง
จักขุมัง ปรมานู ภัควโต อิทธิยา อัตตะโน
สิริเร มังสัง จักขะ อวสุสตุ
อวะสุสเต สริเว มังสัง โลหัตตัง
(ใช้ท่องเพื่อให้ปลอดจากโจรผู้ร้าย)



 
 


คาถาคับข้น
พุทโธเมสะระณัง เลนัง
ตาณังชีวิตัง ปะริยันตะ
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
นะปิดหู โมปิดตา พุทมิเห็น
ธาดลซ่อนไว้ ยะหายไป
(ใช้ท่องบริกรรมเมื่อตกอยู่ในยามคับขัน ศัตรูหรือคนที่ไม่ประสงค์ดีจะมองไม่เห็น)



 
 


คาถาหนังเหนียว
สุกิตติมา สุภาจาโร สุสีละวา สุปากะโต อัสสะสิมา วะเจธะโร เกสะ โรวา อะสัมภิโต
(ใช้สวดภาวนาคาถานี้กับน้ำมันทาถูร่างกายจะทำให้อาการฟกช้ำหายเร็ว หรือก่อนออกศึกใดๆ จะทำให้หนังเหนียวไม่บาดเจ็บง่าย)



 
 


คาถาต่อสู้
นะกาโรปะถะมังฌานัง
โมกาโรทุติยาฌานัง
พุทกาโร ตะติยฌานัง
ธากาโร จะตุตถังฌานัง
ยะกาโร ปัญจะมังฌานัง
ปัญจะอักขระรานิ ชาตานิ นะโมพุทธายะ ลักขะนัง
(ใช้สวดภาวนาเมื่อต้องเผชิญหน้าศัตรูหรือกำลังจะต้องต่อสู้ เพื่อให้พ้นจากอันตราย)



 
 


คาถารอด
นะรา นะระ หิตังเทวัง นะระเทเรหิปูชิตัง นะรานัง กะมะปังเกหิ นะมามิสุคะตังชินัง
(ใช้สวดภาวนาเมื่อสถานการณ์ไม่ค่อยดีเช่น รู้สึกว่ามีคนสะกดรอยตาม ถูกปองร้าย อันตรายกำลังเข้าใกล้ก็ให้ท่องคาถานี้เพื่อให้รอดพ้นอันตรายได้อย่างไม่คาดฝัน)



 
 


คาถากำบัง
ปะถะมังพินธุกังชาตัง ตรีนิกัตวา นะนะ การังปัญจะสัมภะวัง
นะรา นะระ หิตังเทวัง นะระ เทเวหิปูชิตัง นะรานัง กามะปิเกหิ นะมามิสุคะตังชินัง
(ใช้สวดภาวนาเพื่อหลบศัตรู หรือคนที่กำลังคิดปองร้าย ทำให้ฝ่ายตรงข้ามมองไม่เห็นหรือคลาดสายตาไปได้)



 
 


คาถาแคล้วคลาด
พุทธาอะนุนามะริยาสุขังเขยเย
พุทธาอะนินาสุหะลาลิสังเขยเย
พุทธาริโยเคมะกุลักขะกัปปะเก
วันทามิเตสุระนะรักกะเมสะเม
(ให้ท่องคาถานี้ ๓ จบเวลาต้องการให้แคล้วคลาดในสิ่งใดๆที่อาจเป็นอันตราย หรือเสี่ยง เช่นก่อนเดินทางไกลหรือขึ้นเครื่องบิน)



 
 


คาถากันปืน
นะอุ เออัด อุทธังพะลังเสยยัด
อะอัดนะ นัดมัดอัด อุทธะอุตตัมปิ
อุตตะรัง อุสุอัสสะปะปิ ภะคะวา
อิติปิผิดนะอุทธัง อัทโธ โมโทอัดธังอุด
พุทอุทธัง อัทโธ ชาโธอุทธัง อัดยะมิให้ออก
นะผิดกาโรโหติ สัมภะโว
(ใช้สวดภาวนาตอนที่สถานการณ์คับขัน เพื่อให้แคล้วคลาดจากอาวุธปืน)



 
 


คาถาแก้ศัตรู
พุทธัง บังจักขุ ปะติลิยะติสูญญัง
จิตตะวิภัตติ สังชาตัง
อะโหสะกัง มหาสูญญัง ปรมัตถะสูญญัง
ธัมมัง บังจักขุ ปะติลิยะ ติสูญญัง
จิตตะวิภัตติ สังชาตัง
อะโหสะกัง มหาสูญญัง ปรมัตถะสูญญัง
สังฆัง บังจักขุ ปะติลิยะ ติสูญญัง
จิตตะวิภัตติ สังชาตัง
อะโหสะกัง มหาสูญญัง ปรมัตถะสูญญัง
(ใช้ภาวนาเวลาที่กำลังถูกคนปองร้าย ให้ท่องคาถากับมือแล้วเอามือนั้นมาแตะที่หน้าผาก ว่ากันว่าจะทำให้รอดพ้นไปได้)



 
 


คาถาข่มศัตรู
ตะโต โพธิสัตโต ราชะสิงโหวะมหิทธิโก
อะระหัง ตะมัตทังปะกาเสนโต
ราชะสิงโห สัตถาอาหะ นะโมพุทธายะ นะมามิสุคะตังชินัง
(ใช้บริกรรมคาถาเมื่อจะต้องไปเจอศัตรู จะทำให้ศัตรูเกรงกลัว - ท่อง ๓ จบแล้วกระทืบเท้าดังๆ ก่อนออกจากบ้านเหมือนกับพิธีตัดไม้ข่มนาม)



 
 


คาถาขับไล่สิ่งชั่วร้าย
มะโทรัง อะตะระโร เวสะวะโน นะหากปิ ปิสาคะตาวาโหมิ
มหายักขะ เทพะอนุตะรัง เทพะดา เทพะเอรักขัง ยังยังอิติ เวสะวะนัน
ภูตัง มหาลักชามะนง มะภูอารักขะ นะพุททิมะมัตตะนัง กาลปะติทิศา
สัพเพยักขา ปะลายัตตะนิ
(ใช้ท่องกับน้ำบริสุทธิ์แล้วนำมาประพรมให้ทั่วสถานที่นั้นๆ จะช่วยแก้อาถรรพ์ต่างๆ ณ ที่นั้นได้)



 
 


คาถาแก้พิษ
อะสัง วิสุโล ปุสะพุภะ สะทะวิปิ ปะสะอุ มะ อะ อุ อาปามะจุปะ ทีมะสัง อังขุ นะโมพุทธายะ
(ใช้ภาวนาคาถานี้กับเครื่องสมุนไพร <ขิง พลู ไพลตำรวมกัน> แล้วทาบริเวณที่เป็นผื่นแดงโดยไม่รู้สาเหตุจะทำให้บรรเทาได้)



 
 


คาถาแก้อาคม
นะโมพุทธายะ
นะรา นะระ รัตตัง ญานัง
นะรา นะระ รัตตัง หิตัง
นะรา นะระ รัตตังเขมัง วิปัสสิตัง นะมามิหัง
(ใช้สวดภาวนากับน้ำแล้วนำมาดื่มและอาบ ถ้าหากรู้สึกว่าร่างกายจิดใจไม่เป็นปรกติ กระวนกระวายวซึ่งอาจจะถูกของ)



 
 


คาถากันไฟและขโมย
ปัญจะมาเล ชิเนนาโถ ปัตโตสัมโพ ธิมตตะมัง อรหังพุทโธ อิติปิโสภะคะวา
(ใช้สวดภาวนากับทราย ๗ จบด้วยกัน แล้วนำไปโปรยรอบบ้าน จะปลอดจากอัคคีภัยและขโมยโจร)



 
 

หมวดโชคลาภ ชีวิตประจำวัน และทั่วไป
คาถาพืชผล
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต
อภิวัน ทิยะ ปูเชตะวา
เอเตนะ จาปิ สัจเจนะ
ปวุตตา พืชชาติโย
ปัพพัณณา จาปรัณณาจะ
วิรูหันตุ
(ใช้ท่องภาวนาขณะที่ปลูกต้นไม้ หว่านพืชผล เพื่อให้เติบโตงอกงามเร็วและปลอดจากแมลงหรือภัยอื่นๆ)



 
 


คาถารักษาไข้
โพชฌังโค สติสังขาโต ธัมมานัง วิจโย ตถา วิริยัมปิติ บัสสัทธิ
โพชฌังคา จ ตถา ปเร สมาธุ เปกขโพชฌังคา สัตเต เต สัพพทัสสินา
มุนินา สัมมะทักขาตา ภาวนา พหูลีกะตา สังวัตตันติ อภิญญายะ นิพพานะยะ จะโพธิยา
(ใช้ภาวนาเมื่อเวลาที่ไม่สบายกับยาที่ใช้ทานอยู่จะช่วยให้หายป่วย หายเจ็บไข้ได้เร็วขึ้น)



 
 


คาถาชนะมาร
นะโม พุทธายะ โมคคัลลานัญ จะมหาเถโร อิทธิมันโต อานุภาเวนะ เชยยะสิทธิเม
(ใช้สวดภาวนาเพื่อให้เอาชนะจากคนไม่ดีได้)



 
 


คาถาโชคลาภ ๑
นะโมพุทธายะ นะมะ พะทะ จะ ภะ กะ สะ นะ อุ อุ นะ
เตชะสุเนนะ มะภูจะนาวิเวอิติ นะยะปะรังยุตเต
(ใช้ภาวนากับกระเป๋าสตางค์ จะทำให้ไม่ขัดสน)



 
 


คาถาโชคลาภ ๒
นะโมพุทธายะ สัพพะสิเนหา จะปูชิโต สัพพะโกรธาวินาสสันตุ
อะเสสะโต เมตตากรุณายัง ทะยะวิสา โสปิยามะนา โปเม สัพพะโลกัสสมิง
(ใช้ภาวนาเพื่อให้เกิดโชคลาภ อาจจะใช้เสกกับน้ำแล้วใช้ล้างหน้าก็ได้)



 
 


คาถาโชคลาภ ๓
โพธิ มะหิสะกะ อิถิพุนะ อิถิสัตโต อิถีวาโย
เอหิ มะ มะ นะกาโร โหติ สัมภะโว
(เป็นอีกคาถาหนึ่งที่ใช้สวดภาวนาเพื่อให้เกิดโชคลาภแบบฟลุ้คๆขึ้นมาได้ เอามาเสกกับน้ำแล้วแตะหน้าผาก)



 
 


คาถาร่ำรวย
ธะนัง โภคัง ทุสะ มะนิ นะนัง โภคัง ทุสะ มะนิ อุมิ อะมิ มะหิสุตัง สนะพุทธัง
อะ สุ นะ อะ นะ มะ พะ ทะ จะ ภะ กะ สะ
(ใช้ภาวนากับน้ำแล้วนำเอามาพรมให้ทั่วร้าน หรือบ้านจะนำทาซึ่งเงินทองไม่ขาดสาย)



 
 


คาถามหาลาภ
นะมามีมา มะหาลาภา อิติพุทธัสสะ สุวัณณังวา ระชะตังวา มะณีวา ธะนังวา พีชังวา อัตถังวา ปัตถังวา เอหิ เอหิ อาคัจเฉยยะ อิติมีมา นะมามิหัง
(ให้สวดภาวนาก่อนนอน ๓ จบและตอนเช้าอีก ๓ จบ จะเรียกทรัพย์ โชคลาภให้มีได้อย่างน่าอัศจรรย์)



 
 


คาถาสะเดาะเคราะห์
นะโมเม โรเตโข สัพพะเทวานัง
สัพพะพุทธา นุภาเวนะ สัพพะธัมมา นุภาเวนะ สัพพะสังฆา นุภาเวนะ
พระเคราะหะ จะเทวะดา สุริยัง วันทัง ปะมุญจะกะ สะสิภูมโบ จะเทวานัง
พุทโธ ลามัง ถะวิสสะติ ชีโว สุโก จะ มหาลาถัง สัพพะทุกขัง วินาสสันติ
(กราบ ๓ ครั้งแล้วกล่าวว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ สวดอย่างนี้ ๗ วัน)



 
 


คาถาคลอดลูกง่าย
ยโตหัง ภคินี อริยายะ
ชาติยา ชาโต นาภิชา นามิ
สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา
โวโรเปตา เตนะ สัจเจนะ
โสตภิเต โหตุ โสตภิ คัพภัสสะ
(ใช้ภาวนาแล้วลูบที่ครรภ์มารดาเพื่อให้คลอดลูกง่าย)



 
 


คาถาเสกขี้ผึ้ง
มทุจิตตัง สุวามุปขัง
ทิตสวานิมามัง ปิยังมะมะ
เมตตา ชิวหายะมะ ทุรัง
ทะตวาจาจัง สุตทังสุตตะวา
สัพเพชะนาพะ หุชะนาอิตถีชะนา
สัมมะนุนะ พรามมะนา นุนะ
ปะสังสันติ
(ใช้ภาวนากับขี้ผึ้งหรือลิปสติก จะทำให้คนรักเชื่อฟัง)



 
 


คาถาแก้ฝ้นร้าย
ยันทุนนิมัตตัง อวมังคลัญจะ
โยจามะนาโป สกุณัสสะสัทโธ
ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง
พุทธานุภาเวนะ วินาสเมนตุ
ยันทุนนิมัตตัง อวมังคลัญจะ
โยจามะนาโป สกุณัสสะสัทโธ
ปาปัคคะโท ทุสสุปินัง อะกันตัง
ธรรมานุภาเวนะ วินาสเมนตุ
ยันทุนนิมัตตัง อวมังคลัญจะ
โยจามะนาโป สกุณัสสะสัทโธ
ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง
สังฆานุภาเวนะ วินาสเมนตุ
(ใช้ภาวนาตอนเช้าตรู่กับน้ำลูบหน้าเพื่อแก้ฝ้นร้าย)



 
 


คาถาปลุกใจ
ปัจจะมัง สิระสัง ชาตัง นะอดทน นะกาโร โหติสัมภะโว
นะรานะระหิตัง เทวัง นะระเทเวหิจชิงตัง นะรานังกามะปังเกหิ
นะมามิสุคะตังนัง กัณหะ เนหะ
(ใช้ท่องเมื่อต้องเผชิญกับความห่อเหี่ยว หมดกำลังใจ จะได้ช่วยเพิ่มพลังให้มีกำลังใจและกายต่อสู้กับปัญหาต่างๆ)



 
 


คาถาคดีความ
อิติปิโสภะคะวา อรหังสัมมา สัมพุทโธ อรหังเต โน
โสตาปะติ ภะลัง อะนาตามิ พะลังเตโช วิทะเตเชยยะ
เชยยะ สัพพะศัตรู วินาสสันติ
(ใช้ภาวนาหากเมื่อมีเรื่องต้องขึ้นโรงขึ้นศาล โดยเขียนชื่อคู่คดีลงบนกระดาษแล้วนำไปเผาทิ้ง ทำทุกวัน คู่ความจะถอนฟ้อง)


 
 


คาถาลงน้ำ
ยันทุนนิมิตตัง อวมังคลัญจะ โยจามะนาโป
สกุณัสสะสัทโธ ปาปัคกะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง
พุทธานุภาเวนะ วินาสเมนตุ
ยันทุนนิมิตตัง อวมังคลัญจะ
โยจามะนาโป สกุณัสสะสัทโธ
ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง
ธรรมานุภาเวนะ วินาสเมนตุ
ยันทุนนิมิตตัง อวมังคลัญจะ
โยจามะนาโป สกุณัสสะสัทโธ
ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง
สังฆานุภาเวนะ วินาสเมนตุ
โอมชำระ มหาชำระ
นัทธีสะคะระชำระประสิทธิเม
(ใช้ภาวนาเวลาจะลงน้ำไม่ว่าเป็นคลองหรือทะเล เพื่อป้องกันอันตรายจากสัตว์มีพิษต่างๆ)



 
 


คาถานักมวย
นะโม พุทธายะ นะธนู นะกาโรโหติ สัมภะโว
ปะถะมังพินธุกังชาตัง นะรา นะวะ หิตังเทวัง
นะระเทเวหิปูชิตัง นะรานัง กามะปังเกหิ
นะมามิสุคะตังชิตัง จะ ภะ กะ สะ
(ใช้สวดภาวนากับน้ำแล้วดื่มก่อนขึ้นชกจะทำให้มีชัยชนะ)



 
 


คาถาหมัดหนัก
โสภะคะวา  อะทิสะมานิ อุเทยยัง คัจฉันตัพพัง
สังลารัง ปะระมัง สุขัง นะลัพภะติ
มหาสูญโญ จะสัมภะโต สังสาเร อานังคัจฉันติ
(ใช้ภาวนาเมื่อต้องการให้หมัดหนัก ไม่ใช่นักมวยก็ใช้ได้)



 
 


คาถาฤทธิ์เดช
นะรา นะรา หิตังเทวัง
นะราเทเวหิปูชิตัง
นะรานัง กามะปังเกหิ
นะมามิสุคะตังชินัง กะยะพุตัง
(ใช้สวดภาวนาเวลาที่ต้องเข้าไปในสถานที่มีอันตราย เพื่อให้รอดพ้นจากภัยต่างๆ)



 
 


คาถาเดินทางไกล
มะติ ยาเต มะเต ยาติ
มาเต ถินา นะนา ถิเต
มะนา เนสา มะสา เนนา
มะสา จะติ มะติ จะสา
มะติยาโน มะโนยาติ มะโนติตัง
มะตังติโน มะตังปาลัง
มะลังปาตัง มะลังจะติ มะติจะลัง
(ใช้ภาวนาก่อนออกเดินทางไกลจะช่วยให้ปลอดภัยและสำเร็จในจุดมุ่งหมายปลายทาง)



 
 


คาถาขับรถ
เมตตัญ จะ สัพพโล กัสสะมิง มานะ สัมภาวะเย อะปะริมานัง
(ใช้ภาวนาเพื่อให้ปลอดภัยจากอุบัติเหตุ ไม่หลับใน)



 
 

 

 
 

 


691
แล้วเจอกันครับ

693
บทความ บทกวี / ตอบ: ข้อห้ามทางกาละ
« เมื่อ: 03 มี.ค. 2550, 12:03:30 »
 คุณธรรมของผู้ยิ่งใหญ่?..
ผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้
ให้กำเนิด โดยมิอ้างเป็นเจ้าของ
บำรุงเลี้ยง โดยมิถือเป็นบุญคุณ
เกื้อกูล โดยมิก้าวก่าย
ไม่นำความยิ่งใหญ่ ไปแทรกแซงขู่เข็ญบังคับใคร

เมื่อได้รับการเทิดทูน ท่านไม่ทะนงตน
เมื่อได้รับการทักท้วง ท่านไม่ท้อแท้
เมื่อกิจการงานอันยิ่งใหญ่สำเร็จลง
ท่านถอนตัวจากไป??.!!!!!

694
ธรรมะ / ตอบ: ที่ลับไม่มีในโลก
« เมื่อ: 03 มี.ค. 2550, 12:02:52 »
ในอดีตกาล ณ กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ (ผู้ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า) บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ เจริญวัยแล้วได้เป็นหัวหน้ามาณพ ๕๐๐ คน เล่าเรียนศิลปะในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ในนครนั้น

              ท่านอาจารย์มีธิดาที่กำลังเจริญวัย คิดจะทดลองศีลของมาณพเหล่านั้น แล้วจักให้ธิดาแก่มาณพผู้สมบูรณ์ด้วยศีลเท่านั้น คิดแล้วก็เรียกมาณพทั้งหลายมาแล้วกล่าวว่า ธิดาของเราเจริญวัยแล้ว เราจะทำการวิวาหมงคลแก่เธอ ควรจะได้ผ้าและเครื่องประดับ เมื่อพวกญาติไม่เห็น พวกเธอจงลักเอาผ้าและเครื่องประดับมา ผ้าและเครื่องประดับที่ใครๆ ไม่เห็นเท่านั้น เราจึงรับเอา ผ้าและเครื่องประดับที่ใครๆ เห็นแล้วเอามา เราจะไม่รับ พวกมาณพก็รับคำ เมื่อพวกญาติไม่ทันเห็น ก็นำเอาผ้าและเครื่องประดับทั้งหลายมา อาจารย์ก็วางสิ่งของที่พวกมาณพนำมาไว้เป็นพวกๆ พระโพธิสัตว์ไม่นำอะไรมาเลย อาจารย์จึงถามถึงสาเหตุ พระโพธิสัตว์ตอบว่า

              ชื่อว่าที่ลับ ย่อมไม่มีแก่ผู้กระทำบาปกรรม ต้นไม้ที่เกิดในป่าก็ยังมีคนเห็น คนพาลย่อมสำคัญบาปกรรมนั้นว่าเป็นความลับ

              ข้าพเจ้าย่อมไม่เห็นที่ลับ หรือแม้ที่ว่างเปล่าก็ไม่มี ในที่ใดว่างเปล่า ที่นั้นก็ย่อมไม่ว่างเปล่าจากตัวข้าพเจ้า

              อาจารย์เลื่อมใสพระโพธิสัตว์จึงกล่าวว่า ในเรือนของเราไม่มีทรัพย์สินอะไร แต่เรามีความประสงค์จะให้ธิดาของเราแก่ผู้ที่สมบูรณ์ด้วยศีล เมื่อจะทดลองมาณพเหล่านี้ จึงได้ทำอย่างนี้ ธิดาของเราเหมาะสมกับท่านเท่านั้น แล้วประดับตกแต่งธิดา มอบให้แก่พระโพธิสัตว์ แล้วบอกพวกมาณพให้นำสิ่งของที่นำมาแล้วกลับคืนไป
                                                                   (อรรถกถาสีลวีมังสชาดก จตุกกนิบาต)

              ประเด็นที่ควรกล่าวถึงมีดังนี้
             ๑. ไม่มีที่ลับสำหรับการทำบาป แม้คนอื่นไม่เห็นแต่ผู้ทำย่อมรู้เห็น และกรรมชั่วนั้นจะถูกบันทึกไว้ในจิตใต้สำนึกของตน ไม่มีวันลบเลือนหายไป จนกว่าบาปกรรมนั้นจะให้ผลหรือกลายเป็นอโหสิกรรม

             ๒. คนตระหนี่ย่อมหวงแหนทรัพย์ พิจารณาแล้วพิจารณาอีก ที่สุดมักไม่ยอมใช้ทรัพย์ของตน ฉันใด ผู้มีปัญญาย่อมประหยัดบาป พิจารณาแล้วพิจารณาอีก ที่สุดมักไม่ยอมทำบาป ฉันนั้น

              ๓. คนที่มีศีลใครๆ ก็อยากคบหาด้วย เช่น พ่อแม่ก็อยากให้ลูกได้คู่ครองเป็นคนดีมีศีลธรรม นายจ้างก็อยากได้ลูกจ้างที่มีศีลธรรม

              ๔. ศีลไม่ใช่ใบปริญญา ไม่ใช่สิ่งที่สามารถรู้เห็นได้ด้วยการใช้ตาดูหูฟังอย่างผิวเผิน การที่จะดูว่าผู้ใดมีศีลหรือไม่ ต้องใช้ปัญญาและใช้เวลานาน ในเรื่องนี้อาจารย์จึงต้องใช้อุบายเพื่อตรวจสอบศีลของลูกศิษย์

695
ธรรมะ / ตอบ: อานิสงส์
« เมื่อ: 02 มี.ค. 2550, 11:59:46 »
อานิสงส์สร้างสะพาน

......วันหนึ่งพระกปิลัตเถระ อธิษฐานให้น้ำในมหาสมุทรแข็งกระด้างเดินไปมาได้สะดวกพระภิกษุ
สงฆ์เห็นฤทธานุภาพของท่าน เลื่อมใสในธรรมคำสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งนัก เพราะสามารถ
บันดาลให้ผู้ประพฤติปฏิบัติให้บรรลุกฤษฎาภินิหารต่าง ๆ กำลังปรารภเรื่องพระกปิลัตเถระอยู่
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จมาประทับเหนืออาสนะ ทรงดำรัสถามทราบเรื่องแล้ว
ตรัสพระธรรมเทศนาว่า ? ?อตีเต กาเล? ในอดีตกาลครั้งศาสนา พระกุกกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระกปิลัตเถระ เกิดในตระกูลคนเข็ญใจ มีอาชีพในทางรับจ้างพอเลี้ยงอัตภาพให้เป็นอยู่ไปวันหนึ่ง ๆ
ได้เห็นทางโคจนบิณฑบาตของภิกษุสงฆ์ มีเปียกความชื้นแฉะจึงนำทรัพย์ที่ตนรวบรวมไว้เพียงเล็ก
น้อยมาสร้างทางถวายให้เป็นทานแก่พระผู้เป็นเจ้า ?กลํ กตฺวา? ครั้นบุรุษเข็ญใจนั้นใกล้จะถึงแก่ความ
ตาย ก็เกิดอัศจรรย์นิมิตเป็นมหามงคล คือเห็นสะพานเงินสะพานทองทอดลงมาแต่เทวโลก จะรับบุรุษ
เข็ญใจนั้นให้ขึ้นไปสู่สวรรค์บุรุษเข็ญใจจึงพูดว่าประเดี๋ยวจะขึ้นไป คำที่กล่าวนั้นก็ปรากฏแก่คนทั้ง
หลาย อยู่มาประมาณครู่หนึ่งก็ถึงอนิจกรรมทำลายขันธ์ ขณะนั้นเสียงดุริยางค์ดนตรีก็ดังสนั่นหวั่นไหว
ก้องเวหา ประชาชนต่างก็ได้ยินเสียงทิพย์ดนตรี อันเทพนิมิตให้เกิดมีทุกถ้วนหน้าส่วนบุรุษเข็ญใจนั้น
ครั้นทำลายขันธ์แล้วก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เสวยทิพย์สมบัติอันมโหฬารประกอบไปด้วยแก้ว
๗ ประการ ตลอดมาจนถึงศาสนาพระตถาคตนี้ เทพบุตรองค์นั้นจึงจุติจากวิมานลงมาเกิดเป็นมนุษย์
ออกมาบวชในพุทธศาสนาบำเพ็ญเพียรได้สำเร็จพระอรหัตตผล ประกอบไปด้วยวิชชาและอภิญญา จึง
บันดาลน้ำในมหาสมุทรแข็งกระด้างราวกับว่าพื้นปฐมพี ด้วยอานิสงส์ที่ได้สร้างสะพาน แต่ครั้งศาสนา
แห่งพระกุกกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มาแสดงวิบากผลให้ปรากฏแก่ท่าน พระมหากปิลัตเถระ



696
ธรรมะ / ตอบ: อานิสงส์
« เมื่อ: 02 มี.ค. 2550, 11:57:04 »
20 อานิสงส์รักษาศีล

......พ่อค้าสำเภา ได้ไปค้าขายหัวเมืองต่าง ๆ ในท้องมหาสมุทรอยู่มาวันหนึ่งเกิด
มรสุมพายุพัดอันแรงกล้า จนพวกพ่อค้าสำเภาหมดปัญญาแก้ไขได้คิดทอดอาลัยตามแต่บุญกรรม หัว
หน้าพ่อค้าสำเภาเรียกมาพร้อมกัน ๕๐๐ คน ให้สมาทานศีลเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวไปในชาติหน้ากันเถิด
เมื่อสมาทานศีลจบแล้ว เรือสำเภาก็แตก จมลงในมหาสมุทรนั้น พ่อค้า ๕๐๐ คน ถึงแก่ความตายพร้อม
กันหมดด้วยอำนาจรักษาศีลด้วยความตั้งใจเพียงชั่วครู่เท่านั้น ก็ไปเกิดในสวรรค์มีวิมานทองเป็นที่อยู่
ตลอดทั้ง ๕๐๐ คน


697
ธรรมะ / ตอบ: อานิสงส์
« เมื่อ: 02 มี.ค. 2550, 11:54:37 »
อานิสงส์กฐินทาน

......ในครั้งศาสนาพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า มาอุบัติในโลก มีบุรุษเข็ญใจไร้ญาติพี่น้องทั้งทรัพย์
สินเงินทองก็ขาดแคลนอาศัยเลี้ยงชีพอยู่ในเมืองพาราณสี ไปหาสิริธรรมมหาเศรษฐีมีทรัพย์
๘๐ โกฏิ แล้ววิงวอนขออยู่เป็นลูกจ้าง ท่านเศรษฐีมีความสงสารจึงถามว่ามีความรู้อะไรบ้าง บุรุษเข็ญ
ใจบอกว่า ข้าพเจ้าไม่มีความรู้อะไรเลย มีแต่กำลังกายเท่านั้นท่านเศรษฐีกล่าวว่าถ้าเช่นนั้นเจ้าจง
ไปรักษาหญ้าเราจะให้ข้าววันละหม้อ

ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา บุรุษก็รักษาหญ้าจนมีชื่อว่า ติณณปาละ อยู่มาวันหนึ่ง ติณณปาละมาคิดว่าตัวเรานี้ ในชาติปางก่อนคงจะไม่ได้ทำบุญกุศลอันใดไว้เลย มาถึงชาติ นี้เราจึงได้ลำบากยากแค้น แม้แต่อาหารจะรับประทานไปวันหนึ่งๆ ก็ทั้งยาก แต่นี้ต่อไปเราจะต้องขวนขวายให้ทานทุก ๆ วัน เมื่อมีความตั้งใจอย่างนี้แล้ว ก็แบ่งอาหารออกเป็น ๒ ส่วน ๆ หนึ่ง ถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ อีกส่วนหนึ่งไว้บริโภคเองทำอย่างนี้มาตลอดทุก ๆ วันมิได้ขาดด้วยอำนาจบุญกุศล ที่ติณณปาละทำนั้น ก็ทราบไปถึงสิริธรรมเศรษฐีผู้เป็นนายจ้างจึงสั่งให้เพิ่มอาหารขึ้นอีกเป็น ๓ ส่วน
ติณณปาละก็แบ่งออกไปอีกเป็น ๓ ส่วน ส่วนหนึ่งถวายภิกษุสามเณรอีกส่วนหนึ่งให้แก่ยาจก อีกส่วน
ตนเก็บไว้บริโภค ทำอยู่อย่างนี้เป็นลำดับมา

จนถึงฤดูออกพรรษาประชาชนและท่านสิริธรรมเศรษฐีได้พากันทำกฐินทานเพื่อจะถวายแก่ภิกษุสงส์ ผู้อยู่จำพรรษาด้านไตรมาส สามเดือน ติณณปาละได้ทราบ ข่าวดังนี้แล้วก็เข้าไปหาสิริธรรมเศรษฐีถามถึง
อานิสงส์ผลของกฐินทานว่าการถวายทานอย่างนี้ คงจะมี ผลเป็นอันมาก เพราะประชาชนไม่นิ่งนอนใจ ช่วยกันหลายคนเศรษฐีบอกถึงคุณานุภาพ ของกฐินทานโดยละเอียดจนติณณปาละเกิดศรัทธาแก่กล้า ก็ถามว่าอีกเมื่อไรจะถึงกำหนดถวาย เศรษฐีบอกว่าอีก ๗ วัน

ติณณปาละก็กลับไปสู่ที่อยู่ของตนก็คิดว่าจะนำของไปเห็นวัตถุทานก็ไม่มี เห็นอยู่แต่ผ้านุ่งผืน
เดียวเท่านั้นที่จะนำเข้าเป็นส่วนกฐินทานได้ เมื่อจะเปลื้องผ้าออกทาน ตัวกิเลสคือความตระหนี่เหนียว
แน่นก็มากั้นไว้ถ้าสละผ้าผืนนั้นแล้วเราจะไหนนุ่ง มีอยู่ผืนเดียวเท่านี้ ผลที่สุดก็ตัดสินใจเด็ดขาดว่าเรา
จะต้องถวายแน่ ก็เปลื้องผ้ามาทำการซักฟอกและย้อมด้วยน้ำฝาดตนเองก็เอาใบไม้มานุ่ง ป้องกันความ
อายเท่านั้น แล้วรีบนำผ้าไปหาเศรษฐี มอบอนุโมทนาผ้านั้นเข้าเป็นส่วนบริวารของกฐินนั้น เศรษฐีก็รับ
อนุโมทนานำผืนของติณณปาละเข้าเป็นส่วนผ้าบริวาร ซึ่งยังขาดอยู่ผืนหนึ่งแล้วนำไปถวายแก่พระภิกษุ
สงฆ์

เสียงโกลาหลก็บังเกิดขึ้นในขณะนั้นด้วยเสียงสาธุการของเทวดาทั่วทั้งอากาศและปฐพี พระมหากษัตริย์ได้ทรงสดับเสียงนั้นแล้ว ก็ตกพระทัยกลัวว่าจะมีมรณภัยมาถึงพระองค์รับสั่งให้หาปุโรหิต
แล้วตรัสถามถึงเหตุโกลาหลอื้ออึงนั้น ในครั้งนั้นมีเทวดาองค์หนึ่งที่รักษาอยู่เศวตฉัตรจึงกล่าวว่า ดูกร
มหาบพิตรเสียงโกลาหลอื้ออึ้งนั้น มิใช่ว่าจะมีภัยมาถึงพระองค์นั้นเป็นเสียงของเทวดาทั้งหลายในหมื่น
โลกธาตุได้สาธุการส่วนบุญของติณณปาละเป็นคนเข็ญใจ รักษาไร่หญ้าของเศรษฐี ได้เปลื้องผ้านุ่งของ
ตนออกมาเข้าส่วนกฐินทาน พระองค์อย่าตกพระทัยไปเลย พระราชาทรงทราบเช่นนั้นก็ทรงปีติยินดี รับ
สั่งให้หาติณณปาละพร้อมทั้งส่งผ้าสาฏกคูหนึ่ง ราคาผืนละหนึ่งแสนกหาปณะไปพระราชทาน นาย
ติณณปาละก็นุ่งสาฎกเข้าเฝ้าพระราชา ครั้นพระราชาทรงขอซื้อส่วนกุศลด้วยทรัพย์มีประมาณพันหนึ่ง
จนทวีขึ้นเป็นลำดับจนถึงแสนกหาปณะ ติณณปาละ ก็ไม่ขายให้ตามพระประสงค์ได้จึงกราบทูล จะ
ทรงซื้อด้วยทรัพย์นั้นไม่ได้ พระเจ้าข้าถ้าหากพระองค์จะอนุโมทนาส่วนบุญนี้ได้อยู่
พระเจ้าข้า พระราชามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งให้คนดีฆ้องร้องประกาศตลอดทั้งพระนครแล้วพระราช
ทาน ช้าง ม้า โค กระบือ ข้าทาส ชายหญิงอย่างละหนึ่งร้อย บูชาแก่ติณณปาละเป็นอันมาก แล้วตั้งไว้
ในตำแหน่งเศรษฐีส่วนพ่อค้าคฤหบดีเศรษฐี ก็พากันสละทรัพย์เป็นจำนวนมากออกบูชาคุณติณณปาละ
เป็นสมบัติมากมาย ที่ติณณปาละได้แล้วก็ด้วยบุญกุศลเจตนาอันแรงกล้า จึงเป็นผลสำเร็จให้ผลทันตา
เห็นในปัจจุบันชาติ ครั้นติณณปาละทำกิริยาตายแล้ว ก็ไปเกิดในดาวดึงส์สวรรค์

ครั้นถึงพระศาสนาของพระศรีอริยเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัส ติณณปาละเทวบุตร ก็จะจุติลงมาอุบัติเป็นราชโอรส แห่งนครมัณฑาลวดี ครั้นต่อมาเสวยราชสมบัติแทนพระราชบิดา อยู่ ๔ หมื่นปีแล้วออกบวชเป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา สำเร็จพระอรหันต์องค์หนึ่งของพระศรีอริยเมตไตรย์ มีนามว่าติณณปาละเถระ ดังนี้เป็นต้น ตสฺมา สาธโว เมื่อสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลายที่ทราบรู้เหตุรู้
ผลของการถวายผ้ากฐินทานว่ามีอานิสงส์อย่างไรแล้วก็ขออย่าให้ท่านทั้งหลายจงอย่าเป็นผู้ประมาท ใน
เมื่อถึงคราวกาลสมัยที่จะถวายก็ควรจะถวายก็ควรทำจะเป็น ของมากน้อยอย่างไรไม่สำคัญ สำคัญอยู่
ว่าให้ทำและทำด้วยศรัทธาอย่างจริงจัง แล้วตั้งความปรารถนาของตนไว้ด้วยดี มิใช่ว่าทำเห็นแต่หน้าหา
ความศรัทธามิได้ ทรัพย์ที่เราสละไปก็จะไม่ได้ผลเต็มที่ ถ้าเราทำด้วยความเต็มใจแล้วถึงแม้จะน้อยก็
ย่อมมีอานิสงส์มากดังเรื่องติณณปาละ

698
ธรรมะ / ตอบ: อานิสงส์
« เมื่อ: 02 มี.ค. 2550, 11:52:05 »
อานิสงส์สร้างเวจกุฏี (ห้องน้ำ)

.....ใจความว่า พระศาสดาได้เสด็จประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร แห่งกรุงสาวัตถี
มีมาณพคนหนึ่งเป็นช่างทองทำการขายทองรูปพรรณอยู่ในกรุงสาวัตถีนั้น จนมั่งมีโภค
ทรัพย์สมบัติมากอยู่มาวันหนึ่งมาณพนั้นมาคิดว่า เราค้าขายทองก็มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ
ทรัพย์ที่หามาได้โดยยาก ก็ไม่อยากจะให้สูญหายไปโดยเร็ว ตริตรองหาวิธีที่จะเก็บทรัพย์ให้ได้อยู่นาน
ก็ไม่พบวิธีที่จะป้องกันความเสื่อมเสียของทรัพย์ได้ เพราะว่าทรัพย์เป็นของกลางเป็นเครื่องอาศัยของคน
ทุกคน สุดแล้วแต่ใครจะขยันหมั่นเพียรหามาได้เท่านั้น ถึงแม้จะหามาได้มากก็ดี ถ้าขาดปัญญาเป็น
เครื่องรักษาทรัพย์แล้วทรัพย์นั้นก็ไม่คงทนอยู่ได้ แม้จะอยู่ได้ตลอดไปตนเองก็มีชีวิตยืนนานที่จะบริโภค
ต่อไปไม่ได้เพราะความตายย่อมมาพรากตนให้หนีไปเสียจากทรัพย์เมื่อสิ้นชีพแล้วทรัพย์เหล่านั้น ก็ไม่
ติดตามตนไปปล่อยไว้ให้คนอื่นเขาใช้สอยอย่างสบาย เห็นมีอยู่แต่อย่างเดียวเท่านั้น ที่จะติดตามตัวไป
ในอนาคต คือฝังทรัพย์ไว้ในพุทธศาสนาเมื่อคิดเช่นนี้แล้วก็คิดดูว่าจะทำอะไร สิ่งอื่น ๆ ก็มีผู้ทำไว้หมด
แล้ว ก็เห็นแต่เวจกุฎีเท่านั้นที่ยังไม่มีใครทำเลย

เมื่อคิดเช่นนี้แล้วจึงได้สร้างขึ้นเมื่อสำเร็จแล้วยังได้สร้างโรงไฟ แลที่สำหรับอาบน้ำอีกด้วย
เมื่อเสร็จสรรพดีแล้ว ก็ทำการฉลองอย่างมโหฬารและมอบถวายแก่ ภิกษุสงฆ์
มีพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเป็นประธานแล้วตั้งปฏิธานความปรารถนาว่าข้าแต่ท่านผู้
เจริญ เมื่อข้าพเจ้ายังไม่ถึงพระนิพพานตราบใด ขึ้นชื่อว่าความทุกข์อันเกิดแต่โรคต่าง ๆ อย่าได้มาแผ้ว
พานต่อข้าพเจ้าเลย อิมินาทาเนน ด้วยอำนาจผลทานนี้พระสารีบุตรก็อนุโมทนาว่า ขอให้ความ
ปรารถนาจงเป็นผลสำเร็จเถิดมาณพนั้นเป็นผู้ไม่ประมาทผลทาน ให้สมาทานศีลครั้นทำกาลกิริยาตาย
ไปแล้วไปเกิดบนสวรรค์เทวโลก มีสมบัติวิมานทอง มีเทพอัปสรเป็นยศบริวาร อยู่มาวันหนึ่งภิกษุทั้ง
หลายนั่งสนทนา ถึงมาณพผู้นั้นอยู่พระศาสดาเสด็จมาถึงในที่นั้นแล้วตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายเธอ
นั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบ

พระองค์ทรงแสดงธรรมเทศนา แก่ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย
นรชนทั้งหลายเกิดมาได้พบพระพุทธเจ้าและในขณะที่พุทธศาสนายังประดิษฐานอยู่
จะเป็นผู้เศร้าโศกในอบายภูมิ เป็นจำนวนมากมาณพที่เป็นช่างทองนี้ได้พบทั้ง
สองประการแล้วไม่เป็นผู้ประมาท ได้สร้างเวจกุฎีถวายบูชาพระรัตนตรัยด้วยศรัทธาเลื่อมใส ได้เสวย
สุขในสุคติโกลสวรรค์ และเป็นปัจจัยให้ถึงซึ่งพระนิพพาน แม้ในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าทรงพระ
นามว่าตัณหังกร เราตถาคตก็เคยสร้างเวจกุฎี และที่สำหรับอาบแก่พระภิกษุสามเณรได้ตั้ง
สัตยธิษฐานว่า ขอให้ข้าพระองค์ได้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์หนึ่ง ในอนาคตกาล ด้วยผลแห่งอานิงส์
ที่ข้าพระองค์ได้สร้างเวจกุฎีให้เป็นสาธารณะทานนี้ ตถาคตครั้นทำลายขันธ์แล้วก็ไปบังเกิดสวรรค์เสวย
ทิพย์สมบัติอยู่ชั้นดุสิตครั้นจุติจากชาตินั้นแล้ว ได้ท่องเที่ยงอยู่สังสารวัฎฎ์จนบารมีเต็มเปี่ยมแล้วจึงตรัส
เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือตถาคตนี้เอง ก็สมดังคำปรารถนาในครากาลครั้งโน้นทุกประการ เมื่อจบ
พระธรรมเทศนาจบลงแล้วชนทั้งหลายเป็นอันมากได้ดวงตาเห็นธรรม ต่างก็รื่นเริงบันเทิงใจในเวจกุฎี
เป็นยิ่งนัก

 :017: :053:

699
ธรรมะ / ตอบ: อานิสงส์
« เมื่อ: 02 มี.ค. 2550, 11:49:47 »
อานิสงส์สร้างกุฎีวิหาร

......ในกาลครั้งนั้น สมเด็จพระบรมศาสดา เสด็จประทับอยู่ ณ ลัฏฐิวันสวนตาลหนุ่ม พระองค์เที่ยว
โปรดเวไนยสัตว์ให้ได้มรรค ๔ ผล ๔ ในครั้งนั้นพระเจ้าพิมพิสาร ได้ครองราชสมบัติที่กรุงราชคฤห์ก็มี
จิตศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า แล้วก่อสร้างกุฎีวิหารในพระราชอุทยานเวฬุวัน สวนป่าไม้ไผ่ ให้
เป็นวัดแรกในพุทธศาสนาถวายแก่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าพร้อมกับภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป พร้อมกับถวาย
ภัตตาหารเป็นสังฆทานสมเด็จพระบรมศาสดา พร้อมกับภิกษุสงฆ์เสร็จภัตตากิจแล้ว พระเจ้าพิมพิสาร
ทูลถามว่า ภนฺเต ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญสาธุชนทั้งหลายมีใจศรัทธา ปสันนาการ เลื่อมใสมาก่อสร้างกุฎี
วิหารถวายเป็นสังฆทานนั้น จะได้ผลานิสงส์เป็นประการใด ขอให้พระองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนา
ให้ข้าพุทธเจ้า พร้อมบริษัททั้งหลายให้รู้แจ้งเห็นจริงด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า องค์สมเด็จพระบรมศาสดา
ทรงแสดงพระธรรมเทศนาว่า ดูกรมหาบพิตรพระราชสมภาร บุคคลผู้ใดมีจิตศรัทธาเลื่อมใสพระ
รัตนตรัยแล้วก่อสร้างกุฎีวิหารศาลาคูหาน้อยใหญ่ ถวายเป็นทาน จะประกอบด้วยผลอานิสงส์มาก เป็น
อเนกประการนับได้ถึง ๔๐ กัลป์

พระองค์ทรงนำอดีตนิทานมาเทศนาต่อไปว่า อดีต ในอดีตกาลล่วงมา
แล้ว พระพุทธเจ้ายังมิได้อุบัติบังเกิดในโลกยังศูนย์เหล่าอยู่สิ้นกาลช้านานในระหว่างนั้นพระปัจเจกโพธิ
เจ้าทั้งหลายก็ได้บังเกิดตรัสรู้ในโลกนี้ เมื่อพระปัจเจกโพธิเจ้าก็อาศัยในป่าหิมพานต์ อยู่มาวันหนึ่งมี
ความปรารถนาเพื่อจะมาใกล้หมู่บ้านอันเป็นว่านแคว้นกาสิกราชมาอาศัยอยู่ในราวป่าแห่งหนึ่งแถบใกล้
บ้านนั้นมีนายช้างคนหนึ่งอยู่ในหมู่บ้านนั้น ก็ไปป่ากับลูกชายของตน เพื่อจะตัดไม้มาขายกินเลี้ยงชีพ
ตามเคย ก็แลเห็นพระปัจเจกโพธิเจ้านั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ พ่อลูกสองคนก็เข้าไปใกล้น้อมกายถวาย
นมัสการแล้ว ทูลถามว่าข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าจะไปไหน จึงมาอยู่ในสถานที่นี้ พระปัจเจกโพธิจึงตอบว่า
ดูกรอาวุโส บัดนี้จวนจะเข้าพรรษาแล้ว อาตมาเที่ยวแสวงหากุฏีวิหาร ที่จะจำพรรษา นายช่างก็อาราธนา
ให้อยู่จำพรรษาในที่นี้พระปัจเจกโพธิ ทรงรับด้วยการดุษณียภาพสองคนพ่อลูกก็ดีใจ จึงขออาราธนา
พระผู้เป็นเจ้าเข้าไปสู่เรือน ถวายบิณฑบาตทานแก่พระปัจเจกโพธิสองคนพ่อลูกก็เที่ยวตัดไม้แก่นมาทำ
สร้างกุฎีวิหารที่ริมสระโบกขรณีใหญ่ และทำที่จงกรมเสร็จแล้วขออาราธนา พระผู้เป็นเจ้าจงอยู่ให้เป็น
สุขเถิดพระเจ้าข้า

ครั้นพระปัจเจกโพธิได้รับนิมนต์แล้ว สองคนพ่อลูกตั้งปฏิธานความปรารถนา ขอให้
ข้าพเจ้าพ้นจากทุกข์ยากไร้เข็ญใจ และขอให้ข้าพเจ้าทั้งสองนี้ได้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพผู้ประเสริฐองค์
หนึ่งเถิด พระปัจเจกโพธิก็รับอนุโมทนาซึ่งบุญ นายช่างสองคนพ่อลูกอยู่จนสิ้นอายุขัยแล้วก็ทำกาลกริริ
ยาตายไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มีวิมานทองเป็นที่รองรับ และเทพอัปสรแวดล้อมเป็นบริวาร
เสวยทิพย์สมบัติอยู่ในสวรรค์สิ้นกาลช้านานจุติจากสวรรค์นั้นแล้วก็ไปบังเกิดเป็นราชบุตรของ
พระเจ้าสุโรธิบรมกษัตริย์ในเมืองมิถิลามหานคร ทรงพระนามว่ามหาปนาทกุมาร ๆ เจริญวัยขึ้นได้
เสวยราชสมบัติ เป็นพระยาจักรพรรดิราช ด้วยอานิสงส์ที่ได้สร้างกุฎีวิหารถวายเป็นทานแก่
พระปัจเจกโพธิ ครั้นตายจากชาติเป็นพระยามหาปนาทแล้ว ก็เวียนว่ายตายเกิดในมนุษย์สมบัติสวรรค์
สมบัติ แล้วก็มาเกิดเป็นเศรษฐีมีทรัพย์ ๘๐ โกฎิอยู่ในภัททิยนคร ชื่อว่า ภัททชิ ก็ได้ปราสาท ๓ หลัง อยู่
ใน ๓ ฤดู ครั้นเจริญวัยได้บวชในศาสนาสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ในศาสนาของตถาคตดังนี้แล ส่วน
เทพบุตรองค์พ่อนั้น ยังเสวยทิพย์สมบัติอยู่ในสวรรค์ช้านานจนถึงศาสนาพระศรีอริยเมตไตรย์ลงมาตรัส
สัพพัญญู เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในมนุษย์โลก ได้จุติลงมาปฏิสนธิในครรภ์ พระอัครมเหสีสมเด็จ
พระเจ้ากรุงเกตุมวดี ทรงพระนามว่าสังขกุมาร ครั้นเจริญวัยแล้วก็ขึ้นครองราชย์สมบัติ ทรงพระนาม
ว่าสมเด็จพระเจ้าสังขจักรบรมกษัตริย์ มีทวีปน้อยใหญ่เป็นบริวาร พระองค์จึงได้สละราชสมบัติบ้าน
เมืองออกไปบรรพชา ในสำนักพระศรีอริยเมตไตรย์ กับทั้งบริวาร ๑ โกฎิ ก็ได้ถึงอรหันต์ได้เป็นอัคร
สาวกเบื้องขวา ทรงพระนามอโสกเถระ ก็ด้วยอานิสงส์ได้สร้างกุฎีให้เป็นทานนั้นแล อันเป็นบุญให้ถึง
ความสุข ๓ ประการ คือ มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ


700
ธรรมะ / ตอบ: อานิสงส์
« เมื่อ: 02 มี.ค. 2550, 11:47:31 »
09 อานิสงส์สร้างศาลาโรงธรรม

...อนาถปิณฑิกเศรษฐี ได้สร้างอารามเชตวันมหาวิหารถวายแก่ พระศาสดา และสาวกทั้งหลาย
อยู่มาวันหนึ่งพระสาวกก็ปรารภกันว่าอนาถปิณฑิกเศรษฐี มีจิตศรัทธา
สร้างวัดวาอารามทั้งหลายถวายเป็นทานแก่พระพุทธเจ้า กับทั้งเป็นผู้เลี้ยงคุ้มครองรักษาพระศาสดาจะ
เป็นประโยชน์อย่างไรหนอ สมเด็จพระพุทธเจ้าได้ทรงทราบโดยพระญาณของพระองค์แล้วเสด็จมา ใน
ที่พระสงฆ์ประชุมนั้น แล้วทรงถามดูกรภิกษุทั้งหลายได้ประชุมกันด้วยเรื่องอะไร ภิกษุมีพระอานนท์
เป็นต้น ก็กราบทูลว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ได้ปรึกษากันด้วยเรื่องอนาถปิณฑิกเศรษฐี ได้ก่อสร้าง
อาคามถวายพระพุทธเจ้าจะเป็นประโยชน์ จะได้อานิสงส์แก่ท่านอย่างไรพระพุทธเจ้าข้า

องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าได้ตรัสพระธรรมเทศนาว่า ในกาลครั้งหนึ่งมีพระเจ้าสุทัสน์ได้เสวยราชสมบัติเป็น
กษัตริย์ในเมืองสุทัสน์นคร ในครั้งศาสนาของพระพุทธเจ้าปิยทัสสีได้สร้างอารามเป็นทานแก่พระพุทธ
เจ้าปิยทัสสี แล้วตั้งปณิธาน ความปรารถนาว่า ขอให้ข้าพเจ้าได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเถิด เมื่อ
สิ้นชีพตามอายุขัยแล้วก็ได้บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต เสวยสมบัติทิพย์มีนางฟ้าเทพอัปสรแสนหนึ่งเป็น
บริวาร มีวิมานทองสูง ๔๕ โยชน์ มีอายุยืนนานได้พันปีทิพย์ ครั้นจุติก็มาเกิดเป็นบุตรพยากาวิตะ
กษัตริย์ ในเมืองเสถะนคร ชื่อว่ารามวัตติกุมาร ครั้นเจริญวัยแล้วได้ดาบกายสิทธิ์ มีวชิราเพชรช้างแก้ว
ม้าแก้ว วัวแก้ว ปราสาทแก้ว เกิดขึ้นด้วยบุญกุศลราศี ที่ได้ก่อสร้างอารามศาลาให้เป็นทาน ครั้นได้ละ
จากอัตตภาพนั้น ก็ได้เสริมสร้างบารมีจนมาเกิดเป็นองค์พระตถาคตในกาลบัดนี้เมื่อพระบรมศาสดาได้
แสดงพระธรรมเทศนาจบลงแล้วเหล่าภิกษุทั้งหลายก็ได้สำเร็จพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระ
อนาคามีและพระอรหันตปฏิสัมภิทาญาณ

701
ธรรมะ / ตอบ: อานิสงส์
« เมื่อ: 02 มี.ค. 2550, 11:44:13 »
08 อานิสงส์บวช

...บวชนี้ย่อมมีผลานิสงส์อย่างมากมาย องค์สมเด็จพระบรมศาสดา ตรัสเทนาอานิสงส์แห่งการ
บรรพชาอุปสมบทไว้โดยอเนกประการว่า ทาสสฺส อานนฺท ดูกรอานนท์ บุคคลใดมีศรัทธาบรรพชา
ทาสกรรมกรให้เป็นสามเณร หรือสามเณร มีอานิสงส์ ๔ กัล์ป บวชเป็นภิกษุหรือภิกษุณี มีอานิสงส์
๘ กัล์ป และถ้าอุปสมบทจะได้รับอานิสงส์ ๑๖ กัล์ป หากอุปสมบทได้อานิสงส์ ๓๒ กัล์ป ถ้า
อุปสมบทตนเองในพระพุทธศาสนา ด้วยศรัทธาเลื่อมใสจะได้อานิสงส์ถึง ๖๔ กัล์ป บุคคลใดได้
บรรพชาบุตรตนก็ดี บุตรของผู้อื่นก็ดี ก็จะไม่ไปสู่อบายภูมิแล้วพระองค์ตรัสอีกว่าดูกรอานนท์ดังจะ
เห็นได้จากหญิงผู้หนึ่ง เขามีบุตรอยู่คนเดียว บุตรชายเขาขอไปบวชมารดาก็ไม่ให้บวชบุตรชายจึงหนีไป
บวช อยู่มาวันหนึ่งมารดาของสามเณรนั้นออกจากบ้านไปแต่เช้า เพื่อจักแสวงหาฟืน มารดาสามเณร
ครั้นหาฟืนได้พอสมควรแล้วก็กลับบ้าน พอมาถึงระหว่างทางได้พักอยู่โคนต้นไม้ใหญ่ แล้วลงนอนพัก
ผ่อนก็หลับไป ได้นิมิตรฝันไปว่ามีพระยายมราชมาถามว่า ดูกรผู้หญิง เธอได้กระทำบุญหรือว่าไม่ได้
กระทำเลย มารดาของสามเณรนั้นตอบว่าข้าแต่เจ้า ดิฉันไม่ได้กระทำบุญอย่างไรเลย พระยายมราช
ทราบแล้ว ก็จับเอาผู้หญิงนั้นไปใส่นรกทันที ได้และเห็นไฟนรกลุกโพรงก็ถามพระยายมราชว่า อันไฟ
แดงนั้นเป็นอย่างไร พระยายมราชว่า อันไฟแดงนั้นเป็นไฟนรก ผู้หญิงจึงบอกว่าเหมือนกับผ้าจีวรของ
ลูกชายของข้าพเจ้าอันได้บวชเป็นสามเณรนั้นแล พระยายมราชจึงกล่าวว่าดูกรผู้หญิง ลูกชายของเธอยัง
ได้บวชหรือนางก็ตอบว่าลูกชายยังได้บวชเป็นสามเณรอยู่พระยายมราชได้ยินคำของนางดังนั้นแล้ว จึง
นำนางมาคืนไว้เดิมเสีย เหตุอันนี้ก็เพราะบุญของลูกชายตนได้บวชเป็นสามเณร ในพุทธศาสนาไปกั้น
ไว้ในนรกได้ ครั้นนางตื่นขึ้นมาก็ตกใจกลัวรีบกลับบ้าน ตั้งแต่นั้นนางก็เลื่อมใสในพุทธศาสนา เฝ้า
ปฏิบัติสามเณรลูกชายของตน มิได้ขาดจนนางได้ตายไปตามอายุขัยก็ไปบังเกิดในสวรรค์ดั้งนี้ เป็นต้น

702
ธรรมะ / ตอบ: อานิสงส์
« เมื่อ: 02 มี.ค. 2550, 11:42:06 »
07 อานิสงส์ถวายเครื่องเถราภิเษก

...ในกาลครั้งนั้นองค์สมเด็จพุทธเจ้า เสด็จประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร พร้อมภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป
ในกาลครั้งนั้น พระเจ้าปัสเสนทิโกศล พร้อมด้วยมหาอำมาตย์ทั้งหลาย ได้นำเครื่องสักการะทั้งหลาย
เข้าไปสู่พระเชตะวันมหาวิหารถวายอภิวาท แด่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่งแล้วทูลถามว่า ภนฺเต ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญอันบุคคลใดกระทำสักการะบูชาสรงเถราภิเษก
แก่สงฆ์ ด้วยใจเลื่อมใสศรัทธาจะได้ผลอานิสงส์เป็นอย่างไรพระเจ้าข้า องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสว่า ดูกรมหาราช บุคคลใด มีความเชื่อในคุณพระรัตนตรัยทั้ง ๓ ประการในเมื่อปรารถนาอันใด
ก็จะสมความมุ่งมาตรปรารถนา ทุกประการ การทำเถราภิเษกนี้ได้ทำกันสืบ ๆ มาในครั้งพุทธเจ้าก่อน ๆ

... แล้วพระองค์ทรงแสดงสืบต่อไปว่า ในกาลครั้งนั้นเป็นสมัยครั้งศาสนาของพุทธเจ้าเมธังกร ยังมี
พระยาพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่าวิชัยยะ ได้เสวยสมบัติในเมืองสารนครประกอบไปด้วยทศพิธราช
ธรรม ๑๐ ประการ มีเถระองค์หนึ่งชื่อว่าอุสสาเป็นอันเตวาสิกแห่งพุทธเจ้าเมธังกร
พระยาวิชัยยะได้ทอดพระเนตรเห็นพระมหาเถระเข้ามาในเมือง พระยาวิชัยยะก็มีใจศรัทธาเลื่อมใสใน
อิริยาบถ ของพระมหาเถระเจ้าเสร็จไปต้อนรับนิมนต์ให้ไปสู่ปราสาทของพระองค์ แล้วก็จัดแจงสรง
เถราภิเษกด้วยน้ำหอม เสร็จแล้วถวายภัตตาหารตั้งความปรารถนาว่า ปวงชนทั้งหลายที่อยู่ในขอบเขต
ขัณฑเสมา ขอจงตั้งอยู่ในโอวาทคำสอนของพระองค์ทุกเมื่อ และขอให้ข้าพระองค์ได้พ้นจากทุกข์ภัย
เวร ข้าศึกศัตรูทั้งหลายด้วยบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้กระทำไว้ในอนาคตกาลโน้นเทอญ พระมหาเถระเจ้าก็
ได้อนุโมทนาแห่งพระยาวิชัยยะ แล้วถวายพระพรทิพย์ ๑๐ ประการ ลากลับไปสู่สำนักแห่งพระมหา
เถระเจ้า พระยาวิชัยยะได้รับพร แห่งพระมหาเถระแล้วมีจิตยินดีรื่นเริงบันเทิงใจ ต่อบุญกุศลของพระ
องค์ที่ทรงกระทำไว้ ครั้นจุติจากโลกแล้วก็ไปอุบัติ อยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตพิภพ มีวิมานทองสูง
๒๒ โยชน์มีนางเทพอัปสรแสนหนึ่งเป็นบริวาร ครั้นสิ้นชีพเทวบุตรแล้ว ได้ไปเกิดเป็นเจ้าพระสิริตะ
เสริมสร้างบารมีให้แก่กล้าขึ้นไป ได้มาเกิดเป็นองค์พระตถาคตเดี๋ยวนี้แล


703
ธรรมะ / ตอบ: อานิสงส์
« เมื่อ: 02 มี.ค. 2550, 11:39:45 »
06 อานิสงส์ถวายอัฏฐะบริขาร

.....ในกาลครั้งหนึ่ง องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อพระองค์เสด็จอาศัยกรุงสาวัตถี อันเป็นที่
โคจรบิณฑบาต เสด็จประทับอยู่ในบุพพารามวิหาร ณ ป่าเชตวันในกาลครั้งหนึ่งมีมหาเศรษฐีผู้หนึ่งอยู่
ในบ้านสถาน ชื่อว่า หะโตสะเศรษฐีปลูกโรงมณฑปไว้หน้าเรือนของตน และทำสร้างแปลงอัฏฐะ
บริหาร ๘ ประการเป็นต้นว่า ผ้าจีวร สบง สังฆาฏิ บาตรและผ้ากรองน้ำ คิลานเภสัช และขวานสิ่ว
เสื่อสาดอาสนะ ครบเครื่องอัฏฐะ แล้วทำการมหรสพอันยิ่งใหญ่ประจบครบ ๗ วัน แล้วจึงนำกอง
อัฏฐะเข้าไปสู่ป่าเชตวัน ณ บุพพรามวิหารอันเป็นที่ประทับแห่งองค์สมเด็จพระพุทธเจ้า ถวายบิณฑบาต
และอัฏฐะแก่พระพุทธองค์กับทั้งพระภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป เสร็จจากการภัตตากิจแล้วก็กราบทูลถามถึง
องค์ผู้เจริญ อันบุคคลที่มีจิตศรัทธาประสันนาการ มาสร้างอัฏฐะ บริขาร ๘ ประการให้เป็นทาน จะได้
อานิสงส์อย่างไรพระเจ้าข้า

องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเทศนาว่า ดูกรเศรษฐีบุคคลใดที่มีใจ
ศรัทธาเลื่อมใสมาก่อสร้างบริการ ๘ ประการ ถวายเป็นทานก็จะได้อานิสงส์ ๓๖ กัล์ป บุคคลผู้นั้นจะไม่
ไปสู่อบายภูมิได้ ๑๐๐ ชาติ จะได้เสวยสมบัติในชั้นสวรรค์ภายหลังจะได้พระนิพพานสมบัติ อันสิ้นภพ
สิ้นชาติสิ้นทุกข์สิ้นภัยไม่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร การถวายทานด้วยเครื่องอัฏฐะบริขารนี้เป็น
เยี่ยงอย่างประเพณีแห่งพระบรมโพธิสัตว์สืบ ๆ กันมา พระพุทธองค์จึงนำอดีตนิทานมาเทศนาว่า
ดูกรเศรษฐีในอดีตกาลล่วงมาแล้ว ในครั้งพระบรมโพธิสัตว์บำเพ็ญพระบารมีบริบูรณ์ ได้ตรัสรู้
ปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ ทรงพระนามว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาโปรดเวไนยบรรพ
สัตว์ ให้ตั้งอยู่ในทางสวรรค์และทางนิพพาน ครั้งนั้นยังมีบุรุษเข็ญใจเลี้ยงชีวิตด้วยความลำบากไปเที่ยว
เก็บผักหักฟืนมาขายเลี้ยงชีวิตอยู่มาวันหนึ่งไปเห็นพระปัจเจกโพธิองค์หนึ่ง อยู่ในป่า ก็มีจิตศรัทธา
เลื่อมใสในพระปัจเจกโพธิเข้าไปถวายอภิวาท แล้วแบกเอามัดฟืนและผักกับมาขายได้เงินพอสมควร
แล้วจึงนำไปซื้อผ้าแพรมาทำเป็นผ้าสบง จีวรสังฆาฏิบาตรครบเครื่องอัฎฐะแล้วจึงนำเข้าไปถวายแก่
พระปัจเจกโพธิเจ้า แล้วจึงตั้งปฏิธานด้วยเดชะบุญแห่งข้าพเจ้าได้ทำทานในครั้งนี้ ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจาก
ความเข็ญใจได้ยาก เหมือนดั่งชาตินี้และเมื่อข้าพเจ้าได้ท่องเที่ยวอยู่ในวัฏฏสงสารตราบใดขอให้ข้าพเจ้า
บริบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติ ให้ได้จำแนกแจกทานแก่ท่านผู้มีศีล และคนยาจกวณิพกคนขอทุกทั่วหน้า
และขอให้ข้าพเจ้าได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมโพธิญาณครั้นปรารถนาแล้วก็กลับไปสู่บ้านเรือนของตน
ขวนขวายหาเลี้ยงมารดาตราบเท่าสิ้นอายุ ก็ไปบังเกิดสวรรค์ชั้นดุสิต มีวิมานทองสูง ๒๘ โยชน์ มีนาง
ฟ้าเทพอัปสร ๕๐๐ เป็นบริวาร ครั้นจุติจากตุสิตพิภพแล้ว มาถือกำเนิดในตระกูล สากยะเสตะราชกรุง
สาวัตถี บริบูรณ์ด้วยโภคสมบัติ ครั้นเจริญวัยขึ้นก็ได้เสวยราชสมบัติแทนบิดา ทรงพระนามว่าสมเด็จ
พระยาปัสเสนทิโกศลในกาลบัดนี้ ครั้นจบพระธรรมเทศนาแล้ว หะโตสะเศรษฐีได้ทูลลาไปสู่เรือนของ
ตนครั้นเมื่อสิ้นอายุขัยแล้วก็ไปบังเกิดในดุสิต เสวยทิพย์สมบัติ มีวิมานทองสูง ๒๐ โยชน์ มีเทพอัปสร
๓ หมื่น เป็นบริวาร


704
ธรรมะ / ตอบ: อานิสงส์
« เมื่อ: 02 มี.ค. 2550, 11:37:43 »
05 อานิสงส์ถวายต้นกัลปพฤกษ์

.....สมัยนั้นพระบรมศาสดาเสด็จประทับอยู่ ณ เชตะวันมหาวิหารในกรุงสาวัตถี ในทางที่โคจร
บิณฑบาตนั้นมีกะฏุมพีผู้หนึ่ง ชื่อว่า ติสสมาณพ เป็นผู้มีจิตเลื่อมใสพร้อมกับภรรยาของตน ช่วยกันทำ
ต้นกัลปพฤกษ์และมีบริขาร ๘ ประการเป็นต้นว่ามีสบง จีวรและของควรเคี้ยวควรฉัน นำมาแขวนห้อย
ไว้ตามต้นผ้ากัลปพฤกษ์ นั้น แล้วนำไปถวายแก่องค์สมเด็จพระศาสดา แล้วก็กราบทูลถามว่า
ภนฺเต ภควา ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า บุคคลทั้งหลายที่มีจิตใจเลื่อมใสศรัทธามาสร้างต้นกัลปพฤกษ์
ถวายบูชาแก่พระพุทธเจ้ามีอานิสงส์เป็นอย่างไรบ้าง พระพุทธเจ้าข้า

..... องค์สมเด็จพระมุนีนาถพระศาสดาจึงทรงตรัสพระธรรมเทศนาว่าดูกรติสสะบุคคลทั้งหลายผู้ใด
มีใจศรัทธามาก่อสร้างกัปปรุกขัง ยังต้นกัลปพฤกษ์ ถวายบูชาคุณพระรัตนตรัยทั้งสามประการนี้แล้ว
จะเป็นผู้มีอานิสงส์มากึง ๑๖ กัล์ป และบุคคลผู้กระทำนั้น ครั้นสิ้นชีพไปแล้วก็จะไปเกิดบนสวรรค์
ครั้นจุติจากสวรรค์แล้ว ก็จะมาเกิดในมนุษย์โลกนี้จะครองสมบัติพระจักรพรรดิราชในบ้านน้อยเมืองใหญ่
ถึง ๒๘ ชาติ ครั้นเมื่อ ติสสมาณพกับภรรยา ได้ฟังพระธรรมเทศนาอานิสงส์อย่างนี้จบลงแล้ว
ก็เกิดโสมนัสยินดีเป็นอย่างยิ่ง แล้วกราบทูลลาต่อองค์พระผู้มีพระภาคเจ้ากลับไปสู่บ้านเรือนของตน
ครั้นติสสะมาณพอยู่จนสิ้นอายุ ตายแล้วก็ไปเกิดเป็นเทพบุตรอยู่บนดาวดึงส์เทวโลกสถานมีวิมานสูง
๗ โยชน์ มีนางอัปสรหนึ่งหมื่นเป็นบริวาร ก็ด้วยอานิสงส์แห่งการถวายต้นกัลปพฤกษ์มีบริขาร ๘ ประการ
ดั้งนี้เป็นต้น


705
ธรรมะ / ตอบ: อานิสงส์
« เมื่อ: 02 มี.ค. 2550, 11:35:44 »
อานิสงส์ถวายปราสาทผึ้ง

.....ในกาลครั้งหนึ่งนั้นองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับอยู่กรุงสาวัตถี เป็นที่โคจร
บิณฑบาตพระองค์ประทับอยู่ในบุพพารามวิหาร ทรงขวนขวายแต่ที่จะรื้อเวไนยสัพพะสัตว์ทั้งปวง ให้
ออกจากสังสารวัฎตรัสพระสัทธรรมเทศนาโปรดสัตว์ ให้ได้มรรคสี่ ผลสี่ ประดิษฐานในพระนิพพาน
อันเกษมสุขนิราศภัย

.....ในกาลครั้งนั้น ยังปัสเสนะทิโกสะโลราชา อยู่มาในวันเพ็ญแห่งเดือนสามบรม
กษัตริย์ก็ตรัสสั่งให้เสวกามาตย์สร้างปราสาทผึ้ง แล้วเสนามาตย์ก็จัดแจงสร้างตามรับสั่งเสร็จแล้ว
สมเด็จพระเจ้าปัสเสนทิโกศลราชบพิตรก็เอานักสนม นางกำนัลในบรรพษัททั้งหลาย มีพราหมณ์
คหบดีเป็นต้นก็แห่แวดล้อมปราสาทดอกผึ้งเสด็จออกไปจากกรุงสาวัตถี ณ เวลาเช้าไปสู่บุพพาราม
วิหาร อันเป็นสำนักองค์สมเด็จพระผู้ทรงพระภาค ถวายบูชาธุปประทีปดอกไม้คันธะรสของหอมแล้ว
ก็ถวายมธุปุปผํปาสาทํยังปราสาทดอกผึ้ง แล้วก็สถิตอยู่ในที่ควรข้างหนึ่งแล้วจึงกราบทูลว่า
?ภนฺเต ภควา? ข้าแต่พระพุทธอันประเสริฐ อุดมด้วยพระบวรสมันตญาณพระพุทธเจ้าข้า บุคคลผู้มี
ศรัทธามาก่อสร้างมธุปปฺผํปาสาทํยังปราสาทดอกผึ้ง ให้เป็นทานจะมีอานิสงส์ดั่งลือพระพุทธเจ้าข้า

.... ครั้งนั้นองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสพระสัทธรรมเทศนาว่า ดูกรมหาบพิตรราชสมภาร
บุคคลผู้มีศรัทธามาก่อสร้างมธุปปฺผังให้ทานก็จะได้อานิสงส์ 8 กัล์ป ท่านจะได้สำเร็จวิบูลย์สุขสมบัติไพศาล
อันจะเป็นประจักษ์ในปัจจุบันนี้ผู้ให้ทานย่อมเป็นที่รักแก่คนทั้งหลาย เป็นผู้มีมิตรสหายมากกิตติศัพท์
ความสรรเสริญลือกระฉ่อนไปทั่วทิศานุทิศกล้าหาญในสมาคมไม่ครั่นคร้าม ผู้นั้นประกอบไปด้วย
ปัญญามีสติสัมปชัญญะ ไม่ฟั่นเฟือนเมื่อสิ้นชีพแล้วจะได้ไปอุบัติสุคติบนสวรรค์ ท่านย่อมมีผลทั้งใน
ภพนี้ และภพหน้านำกุศลสมบัติให้มีโภคะบริบูรณ์เป็นที่พึ่งของปวงสัตว์ผู้เข้าไปสำนักของท่านก็
บริบูรณ์ เพราะอานิสงส์ที่ถวายปราสาทดอกผึ้งนั้นและโดยมีเหตุอ้างอยู่ในเมื่อครั้งศาสนาของพระพุทธ
เจ้านามว่าวิปัสสีกุฎมพีผู้หนึ่ง ได้ถวายปราสาทผึ้งแก่พระพุทธเจ้าวิปัสสีแล้วจึงตั้งปณิธาน ความปรารภ
ว่าให้ข้าพเจ้าได้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งเถิด ครั้นสิ้นชีพแล้วก็ได้ไปอุบัติขึ้นบนสวรรค์ ในชั้นดาวดึงส์
มีวิมานสูงได้ 12 โยชน์ มีนางฟ้าเทพอัปสรกัลป์หมื่นหนึ่ง ครั้นจุติจากชั้นฟ้าที่นั้นแล้วก็ได้มาอุบัติใน
สาคคะยา พราหมณ์มหาศาลผู้มีข้าวของถึง 80 โกฏิ ทรงพระนามว่าคะวัมปัตติกุมาร ครั้นเจริญใหญ่
ขึ้นมาบิดาก็ได้อภิเษก แล้วมอบทรัพย์สมบัติให้ครอง ครั้นถึงสมัยพระบรมศาสดาจารย์ของเรา ออก
ไปบรรพชา ท่านก็ออกไปบรรพชาด้วยเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งศาสนาพุทธเจ้าของเรา ด้วยอานิสงส์
ท่านได้สร้างมธุปูปฺผังปาสาทดอกผึ้งให้เป็นทานนั้นแล

706
ธรรมะ / ตอบ: อานิสงส์
« เมื่อ: 02 มี.ค. 2550, 11:33:57 »
03 อานิสงส์กรวดน้ำ

ในครั้งหนึ่ง องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับอยู่ ณ เชตะวันมหาวิหาร พร้อมด้วย
ภิกษุสงฆ์ มีพราหมณ์ผู้หนึ่งอยู่ในเมืองสาวัตถีนั้น มีทรัพย์สมบัติอยู่ 80 โกฎิ พราหมณ์ผู้นั้นมีบุตรชาย
อยู่คนหนึ่ง เป็นที่รักมากเพราะมีบุตรคนเดียว พอบุตรชายมีอายุได้ประมาณ 17 ปี ก็เกิดโรคาพยาธิมา
เบียดเบียน ก็ถึงซึ่งความตายไป พราหมณ์ผู้เป็นพ่อและแม่ บังเกิดความทุกขเวทยาโทมนัสเศร้าโศก
เสียใจ เพราะอาลัยรักในบุตรที่ตายไปอย่างยิ่ง จึงให้สั่งคนใช้ที่เป็นบริวาร นำเอาศพไปเผาในป่าช้า
และสั่งให้ปลูกศาลาขึ้นหนึ่งหลัง มีเสื่อสาดอาสนะ แล้วจัดทาสคนหนึ่งไปคอยปฏิบัติรักษาอยู่ในป่าช้า
นั้น เพื่อจะได้ส่งข้าวน้ำอาหารเข้าและเย็นให้แก่ลูกชายของตนทุก ๆ วันมิได้ขาด ทำเหมือนกับบุตรชาย
ของตนมีชีวิตอยู่ ทาสผู้นั้นก็ทำตามคำสั่งอยู่เสมอมิได้ขาดเลยสักวันเดียว

อยู่มาวันหนึ่ง บังเอิญฝนตกหนักมากน้ำก็ท่วมหนทางที่จะไปนั้นทาสผู้นั้นจะข้ามไปก็ไม่ได้จึงกลับมา
ในระหว่างทางพบพระภิกษุรูปหนึ่งมาบิณฑบาตก็เลยเอาอาหารนั้นใส่บาตรให้เป็นทานแก่พระภิกษุ
แล้วก็กรวดน้ำอุทิศส่วนบุญนั้นส่งให้แก่ผู้ตาย ลูกชายที่ตายไปนั้นมานิมิตฝันให้พราหมณ์ผู้เป็นพ่อว่า
ข้าพเจ้าได้ตายไปนานแล้วไม่เคยได้กินข้าวเลยสักวันเดียว เพิ่งจะมาได้กินข้าวแต่วันนี้วันเดียวเท่านั้น

ครั้นพราหมณ์ผู้เป็นพ่อได้นิมิตฝันอย่างนี้ก็ใช้ให้คนไปตามทาสผู้ไปคอยเฝ้าปฏิบัติมาไถ่ถามดู
ทาสผู้นั้นก็ตอบว่าข้าพเจ้าไปส่งข้าวทุก ๆ วัน แต่วันนี้ข้าพเจ้าไปไม่ได้ฝนตกหนัก น้ำท่วม
ก็กลับมาพบพระภิกษุรูปหนึ่งมาบิณฑบาต

ข้าพเจ้าก็เลยเอาข้าวนั้นใส่บาตร แก่ภิกษุรูปนั้น แล้วอุทิศส่วนบุญนี้ไปให้บุตรของท่าน บุตรของท่านก็
คงจะได้กินข้าวแต่วันนี้วันเดียวดังนี้แล ครั้นพราหมณ์ได้ฟังดังนั้นแล้วก็คิดว่าเราจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
เสียก่อน จะทูลถามพระพุทธเจ้าว่าเป็นอย่างไร พราหมณ์ก็ถือดอกไม้ธูปเทียนของหอมเข้าไปสู่สำนัก
พระพุทธเจ้าแล้วบูชาเครื่องสักการะนั้น แล้วนั่งที่สมควรแก่ตน ได้กราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ข้าแต่
องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า คนหญิงชายทั้งหลายในโลกนั้นครั้นเขาตายไปปรโลกแล้วผู้อยู่ภายหลัง
ได้แต่งข้าทาสชายหญิงให้ไปปฏิบัติแล้วปลูกศาลาไว้ให้ เอาเสื่อสาดอาสนะช้างม้าวัวควายไปในป่าชั้น
นั้น จะเป็นอานิสงส์แก่ผู้ภายไปนั้นหรือไม่ พระพุทธเจ้าข้า

องค์สมเด็จพระบรมศาสดา ตรัสพระธรรมเทศนาว่า ดูกรพราหมณ์จะให้เป็นอานิสงส์แก่ผู้ตายนั้น
ควรถวายสังฆทานให้แก่พระภิกษุสงฆ์สามเณร ตรวจน้ำอุทิศส่วนบุญกุศลที่ตนได้กระทำนั้นให้แก่ผู้ตาย
จึงจะเป็นผลอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ไพศาลผู้ที่ตายไปแล้วนั้นครั้นได้รับส่วนอุทิศอันให้แล้วก็จะพ้นทุกข์
ทั้งมวลนั้นได้อย่างแน่แท้

ครั้นพราหมณ์ได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้วก็ชื่นชมยินดีอย่างมาก แล้วทูลอาราธนาพระพุทธเจ้ากับทั้ง
พระภิกษุสงฆ์ไปสู่บ้านเรือนของตน เพื่อฉันภัตตาหารครั้นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้ากับพระภิกษุสงฆ์ ฉัน
ภัตตาหารเสร็จ ได้ถวายปัจจัย 4 มี จีวร เป็นต้น แล้วตรวดน้ำอุทิศส่วนบุญไปให้แก่ลูกชายของตน องค์
สมเด็จพระพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาว่า ดูกรพราหมณ์ตั้งแต่นี้ต่อไปอย่าได้ไปปฏิบัติ อยู่ในป่าช้านั้นอีกเลย
ท่านจงรักษาศีลภาวนาอย่าได้ขาด บุตรของท่านก็จะได้พ้นทุกข์ ขึ้นไปเสวยสุขอยู่ในสวรรค์ชั้น
ดาวดึงส์ พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาจบลงแล้ว บุตรชายของพราหมณ์ผู้ตายไปแล้วนั้นก็พ้นจากเปรตวิสัย
ได้ไปอุบัติบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มีวิมานทองสูง 12 โยชน์ มีนางฟ้าเทพอัปสรพันหนึ่งเป็นบริวาร
พราหมณ์ผู้เป็นบิดาก็ตั้งอยู่ในศีล 5 ศีล 8 ตราบเท่าสิ้นชีวิตแล้วได้ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มี
ปราสาททองและเทพกัญญาหนึ่งหมื่นเป็นบริวาร ดังนี้เป็นต้น


707
ธรรมะ / ตอบ: อานิสงส์
« เมื่อ: 02 มี.ค. 2550, 11:30:40 »
02 อานิสงส์ปัญญาบารมี

ในสมัยหนึ่งองค์สมเด็จพระบรมศาสดา เสด็จประทับอยู่บนแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ชั้น
ดาวดึงส์เทวสถาน ท้าวอมรินทราธิราช ได้ทูลถามถึงธรรมอันประเสริฐ ที่จะสามารถอำนวยมรรคผล
ให้แก่ผู้ประพฤติปฏิบัติ ขจัดเสียซึ่งภัยอันตราย ที่เกิดขึ้นจากหมู่มนุษย์ และสัตว์ดิรัจฉานทั้งหลายให้
พ่ายแพ้ไปด้วย อำนาจอานุภาพ ที่ได้ประพฤติปฏิบัติท่องบ่นสาธยายทรงจำไว้ ซึ่งธรรมจะมีอยู่หรือ
พระพุทธเจ้าข้า สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูกรมหาราช ธรรมที่ยังผู้ปฏิบัติให้ประสบสุขเช่นนั้น
มีอยู่ท้าวอมรินทราธิราชจึงทูลถามต่อไปว่าธรรมนี้ชื่ออะไร พระพุทธเจ้าข้าพระบรมครูจึงตรัสว่า
พระธรรมนี้ชื่อว่าปัญญาบารมี

ท้าวอมรินทราธิราช ทูลอาราธนาให้พระองค์ทรงแสดงพระสัทธรรมนี้
พระบรมศาสดาทรงแสดงซึ่งปัญญาบารมี ที่พระองค์ได้เคยสร้างมาแล้วในอนันตะชาติว่าปัญญาบารมี
30 ทัศนี้ เป็นยอดแห่งธรรมที่พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ทรงบำเพ็ญมาแล้วอย่างเต็มเปี่ยม จึงได้ตรัส
เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า บุคคลใดได้เขียนไว้สักการบูชาก็ดี ได้สดับฟังทุกวันก็ดี ผู้นั้นจะเป็น
ผู้มีสมบัติข้าวของมาก ผู้ใดได้ท่องบ่นทรงจำไว้สาธยายทุกวัน ผู้นั้นจะพ้นจากภัยอันตรายทั้งปวง
ปรารถนาสิ่งใดก็จะสำเร็จดังความมุ่งหมาย เป็นที่รักแก่เทวดาและมนุษย์ ทั้งปวง เทวดาย่อมให้พรและ
ตามรักษาบุคคลนั้น ผู้ใดได้ประพฤติบารมี 30 ทัศนี้ ให้บังเกิดมีแก่ตนย่อมประสบสมบัติ 3 ประการคือ
มนุษย์สมบัติสวรรค์สมบัตินิพพานสมบัติแม้จะปรารถนาเป็นพุทธภูมิ ปัจเจกภูมิ สาวกภูมิอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จะสำเร็จ
พระอรหันตสัมมสัมพุทธเจ้าทรงแสดงปัญญาบารมีจบลงแล้ว ท้าวอมรินทราธิราช
แสดงตนเป็นอุบาสก น้อมเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีพ เหล่าเทวดาทั้งหลายได้บรรลุมรรคผล
เป็นอันมาก


708
 23- 30 อีก๗ชั้วโมง

709
ธรรมะ / มาสร้างบุญบารมีกันเถอะ
« เมื่อ: 01 มี.ค. 2550, 11:45:04 »
1. นั่งสมาธิอย่างน้อยวันละ15นาที (หรือเดินจงกรมก็ได้) อานิสงส์---เพื่อสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดขึ้นทั้งภพนี้และภพหน้า เพื่อจิตใจที่สว่างผ่อนปรนจากกิเลส ปล่อยวางได้ง่าย จิตจะรู้วิธีแก้ปัญหาชีวิตโดยอัตโนมัติ ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองไม่มีวันอับจน ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพกายและจิตแข็งแรง เจ้ากรรมนายเวรและญาติมิตรที่ล่วงลับจะได้บุญกุศล
 
 
 
2. สวดมนต์ด้วยพระคาถาต่างๆอย่างน้อยวันละครั้งก่อนนอน อานิสงส์---เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ชีวิตหน้าที่การงาน เจริญก้าวหน้า เงินทองไหลมาเทมา แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง จิตจะเป็นสมาธิได้เร็ว แนะนำพระคาถาพาหุงมหากา,   พระคาถาชินบัญชร, พระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก เป็นต้น เมื่อสวดเสร็จต้องแผ่เมตตาทุกครั้ง
 
 
 
3. ถวายยารักษาโรคให้วัด, ออกเงินค่ารักษาให้พระตามโรงพยาบาลสงฆ์ อานิสงส์---ก่อให้เกิดสุขภาพร่มเย็นทั้งครอบครัว โรคที่ไม่หายจะทุเลา สุขภาพกายจิตแข็งแรง อายุยืน ทั้งภพนี้และภพหน้า ถ้าป่วยก็จะไม่ขาดแคลนการรักษา
 
 
 
4. ทำบุญตักบาตรทุกเช้า อานิสงส์---ได้ช่วยเหลือศาสนาต่อไปทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ขาดแคลนอาหาร ตายไปไม่หิวโหยอยู่ในภพที่ไม่ขาดแคลน ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์
 
 
 
5. ทำหนังสือหรือสื่อต่างๆเกี่ยวกับธรรมะแจกฟรีแก่ผู้คนเป็นธรรมทาน อานิสงส์---เพราะธรรมทานชนะการให้ทานทั้งปวง ผู้ให้ธรรมจึงสว่างไปด้วยลาภ ยศ สุขสรรเสริญ ปัญญา และบุญบารมีอย่างท่วมท้น เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้ ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองอย่างไม่คาดฝัน
 
 
 
6. สร้างพระถวายวัด อานิสงส์---ผ่อนปรนหนี้กรรมให้บางเบา ให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง ครอบครัวเป็นสุข ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนาตลอดไป
 
 
 
7. แบ่งเวลาชีวิตไปบวชชีพรามณ์หรือบวชพระอย่างน้อย9วันขึ้นไป อานิสงส์---ได้ตอบแทนคุณพ่อแม่อย่างเต็มที่ ผ่อนปรนหนี้กรรมอุทิศผลบุญให้ญาติมิตรและเจ้ากรรมนายเวร สร้างปัจจัยไปสู่นิพพานในภพต่อๆไป ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนา จิตเป็นกุศล
 
 
 
8. บริจาคเลือดหรือร่างกาย อานิสงส์---ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพแข็งแรง ช่วยต่ออายุ ต่อไปจะมีผู้คอยช่วยเหลือไม่ให้ตกทุกข์ได้ยาก เทพยดาปกปักรักษา ได้เกิดมามีร่างกายที่งดงามในภพหน้า ส่วนภพนี้ก็จะมีราศีผุดผ่อง
 
 
 
9. ปล่อยปลาที่ซื้อมาจากตลาดรวมทั้งปล่อยสัตว์ไถ่ชีวิตสัตว์ต่างๆ อานิสงส์---ช่วยต่ออายุ ขจัดอุปสรรคในชีวิต ชดใช้หนี้กรรมให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยกินเข้าไป ให้ทำมาค้าขึ้น หน้าที่การงานคล่องตัวไม่ติดขัด ชีวิตที่ผิดหวังจะค่อยๆฟื้นคืนสภาพที่สดใส เป็นอิสระ
 
 
 
10. ให้ทุนการศึกษา, บริจาคหนังสือหรือสื่อการเรียนต่างๆ, อาสาสอนหนังสือ อานิสงส์---ทำให้มีสติปัญญาดี ในภพต่อๆไปจะฉลาดเฉลียวมีปัญญา ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนอย่างรอบรู้สติปัญญาสมบูรณ์พร้อม
 
 
 
11. ให้เงินขอทาน, ให้เงินคนที่เดือดร้อน (ไม่ใช่การให้ยืม) อานิสงส์---ทำให้เกิดลาภไม่ขาดสายทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ตกทุกข์ได้ยาก เกิดมาชาติหน้าจะร่ำรวยและไม่มีหนี้สิน ความยากจนในชาตินี้จะทุเลาลง จะได้เงินทองกลับมาอย่างไม่คาดฝัน
 
 
 
12. รักษาศีล 5 หรือศีล 8  อานิสงส์---ไม่ต้องไปเกิดเป็นเปรตหรือสัตว์นรก ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐครบบริบูรณ์ ชีวิตเจริญรุ่งเรือง กรรมเวรจะไม่ถาโถม ภัยอันตรายไม่ย่างกราย เทวดานางฟ้าปกปักรักษา
 
 
 
ทั้ง 12  ข้อนี้เป็นเพียงตัวอย่างบุญที่ยกขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงอานิสงส์ที่ท่านพึงจะได้รับ จงเร่งทำบุญเสียแต่วันนี้ เพราะเมื่อท่านล่วงลับ ท่านไม่สามารถสร้างบุญได้อีกจนกว่าจะได้เกิด หากท่านไม่มีบุญมาหนุนนำ แรงกรรมอาจดึงให้ท่านไปสู่ภพเดรัจฉาน ภพเปรต ภพสัตว์นรกที่ไม่อาจสร้างบุญสร้างกุศลได้ ต่อให้ญาติโยมทำบุญอุทิศให้ก็อาจไม่ได้รับบุญ ดังนั้นท่านจงพึ่งตนเองด้วยการสร้างสมบุญบารมีซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ท่านจะนำติดตัวไปได้ทุกภพทุกชาติเสียแต่วันนี้ด้วยเทอญ **ส่งต่อก็ได้บุญค่ะ การให้ธรรมเป็นทานชนะการให้ทั้งปวง**
 

710
ธรรมะ / มงคล ๘ ประการ
« เมื่อ: 01 มี.ค. 2550, 11:40:17 »
มงคล ๘ ประการ

 

มงคล ๘ ประการ หรือที่เรียนกันสั้นๆ ว่า มงคล ๘ เป็นมงคลที่พุทธศาสนิกชนถือว่าเป็นมงคลภายนอก ไม่มีปรากฏในหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นที่ยอมรับประพฤติปฏิบัติกันอย่างแพร่หลาย

มงคล ๘ ประการแบ่งแยกได้เป็น ๒ กลุ่ม คือ สิ่งที่ถือว่าเป็นมงคล และสิ่งของที่ใช้เป็นสัญลักษณ์ของมงคล

สิ่งที่ถือว่าเป็นมงคล ๘ ประการ

๑. ใบเงิน  ๒. ใบทอง  ๓. ใบนาค  ๔. ใบพรหมจรรย์  ๕. หญ้าแพรก ๖. ฝักส้มป่อย  ๗. ผิวมะกรูด ๘. ใบมะตูม

 

เหตุที่ถือว่า ใบไม้และผิวของผลไม้ ๘ อย่างเป็นมงคลเพราะถือว่า                       

ใบเงิน ใบทอง ใบนาค หมายถึง ความมั่งคั่ง

ใบพรหมจรรย์ หมายถึง ความบริสุทธิ์สะอาด

หญ้าแพรก หมายถึง ความเจริญงอกงามรวดเร็ว

ฝักส้มป่อย หมายถึง การล้างโรคภัย

ผิวมะกรูด หมายถึง ทำให้สะอาด

ใบมะตูม หมายถึง เทพพรของพระเป็นเจ้าของศาสนาพราหมณ์ทั้งสาม คือ พระศิวะ พระนารายณ์ และพระพรหม

 

 

เหตุที่จะอ้างว่าสิ่งของทั้ง ๘ ถือเป็นสัญลักษณ์ของมงคลในศาสนาพราหมณ์ มีดังนี้

กรอบหน้า พจนานุกรมฉบับราชบัณทิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ อธิบายว่า 

?น. เครื่องประดับหน้าผากเป็นรูปกระจัง?

สิ่งที่ถือว่าเป็นมงคล ๘ ประการจะมีปรากฏในหม้อหรือขันเทพมนต์ของพราหมณ์ หรือในหม้อในขันและในบาตรพระพุทธมนต์ที่เกี่ยวกับพิธีทางศาสนาโดยทั่วไป สิ่งของที่ใช้เป็นสัญลักษณ์ของมงคล ๘ ประการ ซึ่งมีประวัติผูกพันกับคติประเพณีของพราหมณ์รามวงศ์นำมาเผยแพร่ ได้แก่

๑.กรอบหน้า ๒. ตะบอง (คทา ) ๓. สังข์ ๔. จักร ๕. ธงชัย (ธงชาย) ๖. ขอช้าง ๗. โคอุสภะ ๘. หม้อน้ำ

สิ่งของที่ใช้เป็นสัญลักษณ์ของมงคล ๘ อย่างนี้ กล่าวกันว่ามีประวัติผูกพันกับคติประเพณีของพราหมณ์รามวงศ์นำมาเผยแพร่ ซึ่งมีชี่อเป็นภาษาบาลีว่า อัฎฐพิธมงคล ซึ่งแปลว่ามงคล ๘ ประการนั่นเอง




เหตุที่ กรอบหน้า เป็นสัญลักษณ์ของมงคล หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ทรงอธิบายว่า ?เครื่องประดับหัวอันเป็นหลักของกาย?  ส่วนคำโบราณของเก่าอธิบายพอเก็บความได้ว่า ?กรอบหน้ามีความสัมพันธ์กับหญ้าแพรกและสายสิญจน์?

กล่าวคือ หญ้าแพรกที่ถือว่าเป็นใบไม้มงคลอย่างหนึ่งนั้นมีกำเนิดมาจากบัลลังก์อาสน์ของพระนารายณ์ซึ่งบรรทมหลับอยู่เหนือ หลังพญานาคที่ขดตัวเป็นวงเป็นแท่นบัลลังก์ เมื่อพระนารายณ์เสด็จลงมาช่วยมนุษย์แล้วก็จะเสด็จกลับไปบรรทม ณ แท่นบัลลังก์พญานาคเป็นเวลานานมากๆ นานมากจนกระทั่งปรากฏว่า หนวดของพญานาคได้เจริญงอกงามและยาวขึ้นเรื่อยๆ เมื่อยาวมากก็หลุดลอยไปตามกระแสน้ำ บ้างก็มาติดอยู่ตามชายฝั่งทะเล แล้วกลายเป็นหญ้าแพรก ภายหลังมนุษย์รวมเหตุที่มาของหญ้าแพรก เกิดความศรัทธาว่าเป็นมงคล จึงเอามาทำเป็นมงคลบ้าง สายสิญจน์บ้าง ถักทำเป็นครอบหน้าสวมศีรษะบ้าง ซึ่งในเวลาต่อมามงคลและสายสิญจน์ได้ถูกเปลี่ยนจากหญ้าแพรกเป็นด้ายดิบในปัจจุบัน รวมทั้งกรอบหน้าก็ได้เปลี่ยนจากหญ้าแพรกมาเป็นสิ่งอื่นจนถึงเป็นโลหะเช่นในปัจจุบัน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของมงคลสิ่งหนึ่ง




 

ตะบอง หรือคทา หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ทรงอธิบายว่า ?เป็นศาตราวุธอย่างหนึ่งของพระนารายณ์เป็นเจ้า? ตำราโบราณอธิบายเก็บความได้ว่า ?ตะบองเดิมเป็น เทพวราวุธของพระพรหม ทำจากเถาวัลย์บนยอดเขาพระสุเมรุ พระนารายณ์ได้เสด็จไปพบเข้า จึงถอนเอามาด้วยพละกำลังอันแรงกล้า แล้วบิดให้เถาวัลย์นั้นเข้ารวมกันจนเป็นเกลียว แล้วถวายพระพรหมเพื่อทรงใช้เป็นเทพวราวุธคู่พระหัตถ์ ต่อมาพระพรหมถวายแด่พระอิศวร ตะบองนี้มีอานุภาพมากเป็นที่หวั่นเกรงของหมู่ยักษ์และภูตผีปิศาจ? เรื่องตะบองศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ถูกจำลองมาทำด้วยใบลานหรือใบตาลเป็นรูปแบนๆ เรียกว่า ?ตะบองเพชร? ตรงปลายทำเป็นหงอน ซึ่งความจริงเป็นรูปพรหมสี่หน้า แต่ทำพอเป็นเลาๆ จึงไม่เห็นชัด ในเวลาโกนจุกเด็กๆ พราหมณ์จะให้เด็กถือตะบองดังกล่าวนี้ไว้เพื่อป้องกันสรรพภัยพิบัติ และช่วยให้เกิดสิริมงคล และในพระราชพิธีตรุษสมัยก่อน ผู้ฟังสวดภาณยักษ์ จะได้รับแจกตะบองเพชร  (ใบลาน) ให้ถือกันด้วย




 

สังข์  ในคำโคลงเป็น ศรีสังข์ หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ทรงอธิบายว่า เป็นศาตราวุธของพระนารายณ์เช่นเดียว กับตะบอง ในตำราของเก่าเล่าว่า

?ในปฐมกัลป์ โลกของเรายังว่างเปล่าอยู่ พระอิศวรได้ทรงสร้างสรรพสิ่งต่างๆ ขึ้นมาอีกจนครบถ้วน แล้วก็ทรงพระราชดำริจะสร้างคัมภีร์พระเวทขึ้นไว้คู่กับโลก จึงทรงมีเทวบัญชาให้พระพรหมสร้างขึ้น เมื่อพระพรหมสร้างเสร็จแล้วก็นำไปถวายพระอิศวรแต่ขณะเสด็จมาเกิดความร้อนพระวรกายและบังเอิญผ่านมหาสมุทร พระพรหมจึงหยุดสรงน้ำ โดยวางพระคัมภีร์ไว้ ณ ริมฝั่งมหาสมุทร ขณะเดียวกัน มีพรหมอีกคู่หนึ่งเป็นคู่อาฆาตกันได้จุติจากพรหมโลกลงมาเกิดเป็นยักษ์หอยสังข์มีชื่อว่า ?สังขอสูร? สิงสถิตอยู่ในแถบมหาสมุทรแห่งนั้น เห็นคัมภีร์พระเวท จึงแอบขโมยเอามากลืนเข้าไปไว้ในท้อง

แล้วลงไปนอนกบดานนิ่งอยู่ใต้ท้องมหาสมุทร พระพรหมเสด็จขึ้นจากน้ำไม่เห็นคัมภีร์พระเวท ตกพระทัยรีบเสด็จไปเฝ้าพระอิศวร กราบทูลให้ทรงทราบ พระอิศวรทรงทราบด้วยพระญาณจึงมีเทวบัญชาให้พระนารายณ์ลงไปปราบและนำคัมภีร์พระเวทคืนมา พระนารายณ์รับโองการแล้ว เสด็จลงไปปราบสังขอสูรโดยอวตารหรือแปลงองค์เป็นปลากรายทอง(มัสยาวตาร)ทรงปราบสังขอสูรได้แล้วแหกอกล้วงเอาพระเวทกลับคืนไปถวายพระอิศวร พระอิศวรจึงสาปว่า ถ้าผู้ใดจะทำการมงคลให้ใช้สังข์เป็นเครื่องหลั่งน้ำมนต์เป็นการประสาทพรจะทำให้เกิดสวัสดิมงคล พวกเป่าสังข์ให้เกิดเสียงดังก็จะเกิดสวัสดิมงคลจนกระทั่งสิ้นเสียงสังข์?

สังข์ หรือ หอยสังข์จึงถือกันว่าเป็นสัญลักษณ์ของมงคล เพราะจุติมาจากพรหมโลก เคยเป็นที่เก็บพระเวท และ ต้องพระหัตถ์พระนารายณ์มาแล้ว




 

จักร เป็นเทพวราวุธของพระอิศวรมีรูปเป็นวงกลม อย่างวงล้อและมีแฉกโดยรอบ ๙ แฉก เวียนไปทางขวาเป็น ทักษิณาวัตร ซึ่งหม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ทรงอธิบายว่า เป็นศาตราวุธของพระนารายณ์ ตำราเก่าเล่าความเป็นมาและความศักดิ์สิทธิ์ของ ?จักร? ไว้เป็นใจความว่า

?พระอิศวรทรงสร้างเทวดานพเคราะห์ขึ้น ๙ องค์ คือ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระเสาร์ พระพฤหัสบดี พระราหู พระศุกร์ และพระเกตุ ให้อยู่ในวิมาน ๙ วิมาน มีหน้าที่ตระเวนรอบจักรราศี ซึ่งแบ่งออกเป็น ๑๒ ราศี โดยเทวดานพเคราะห์ทั้ง ๙ องค์ หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไปตามลำดับนับตั้งแต่พระอาทิตย์ไปจนพระเกตุ และเทวดานพเคราะห์นั้นอาจบันดาลให้มนุษย์ประสบผลดีผลชั่วได้ ดังนั้นจึงถือว่าเป็นจักราวุธของพระอิศวร และถูกจำลองมาเป็นจักรมี ๙ แฉก แยกตามลำดับดาวนพเคราะห์ เช่น แฉกที่ ๑ พระอาทิตย์ แฉกที่ ๒ พระจันทร์ เรียงลำดับไป ดังนั้นผู้ที่ต้องการบำบัดทุกข์ภัยที่เกิดขึ้น จึงประกอบพิธีกรรมบวงสรวงเทวดา และนำจักร ๙ แฉกซึ่งถือว่าเป็นเทพวราวุธของพระอิศวร จัดเป็นสิ่งมงคล แทนเทวดาทั้ง ๙ เข้าร่วมในพิธีกรรม?




 

ธงชัย หรือธงชาย เหตุที่เรียกว่า ?ธงชัย? หมายถึง ธงอันจะนำมาซึ่งชัยชนะ เป็นธงที่นำกองทัพ ส่วนที่เรียกว่า ธงชาย นั้นเพราะรูปลักษณะเป็น ธงสามเหลี่ยม มีชายห้อยลงมาเป็น ๓ ชาย ชายหนึ่งหมายถึงพระอิศวร ชายหนึ่งหมายถึง พระนารายณ์ และอีกชายหนึ่งหมายถึงพระพรหม ธงดังกล่าวนี้เป็นธงนำกองทัพเทวดา ยกออกไปรบยักษ์ และได้ชัยชนะเป็นประจำ ธงชายจึงมาเป็นธงชัย ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปทรงของธงชัยไปบ้าง ดังธงชัยประจำกองทัพ กองพัน ธงประจำองค์พระมหากษัตริย์ในการเสด็จพระราชดำเนินขบวนพยุหยาตรา ธงชัย หรือ ธงชาย จึงเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งอันเป็นมงคลประการหนึ่ง




 

ขอช้าง เป็น เทพวราวุธของพระพิฆเณศวร ซึ่งเป็นโอรสของพระอิศวร ขอช้างได้รับความนับถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งมงคลนั้น ตำราเล่าว่า ?ในป่าหิมพานต์ ครั้งหนึ่งเกิดมีช้างพลายเชือกหนึ่งชื่อ เอกทันต์ เป็นช้างที่ดุร้ายมีฤทธิ์มากเที่ยวสร้างความเดือดร้อนให้เทวดาและมนุษย์จนอยู่ไม่เป็นสุข ไม่มีใครปราบได้ พระอิศวรจึงทรงมีบัญชาให้พระนารายณ์ลงมาปราบ ช้างเอกทันต์พยายามหลบหนีเพราะรู้ตัวดีว่าสู้ไม่ได้ พระนารายณ์ตามไปจนพบ และทรงใช้บ่วงบาศคล้องเอาช้างเอกทันต์ไว้ได้ แต่เกิดปัญหาว่าบริเวณที่จับช้างได้นั้น เป็นทุ่งกว้างโล่ง ไม่มีต้นไม้หาที่ผูกช้างไม่ได้ ในที่สุดจึงทรงปักตรีศูลอันเป็นเทพศาตราวุธลงไปในดิน แล้วตรัสสั่งให้เทพศาตราวุธนั้นเป็นต้นไม้ใหญ่ ทันใดนั้นเทพศาตราวุธก็กลายเป็นต้นมะตูมใหญ่ จึงทรงผูกช้างไว้กับต้นมะตูมทรมานจนช้างคลายพยศ แล้วเสด็จขึ้นทรงพร้อมกับหักกิ่งมะตูมอันเป็นหนามมาทำเป็นขอช้าง บังคับนำช้างไปเฝ้าพระอิศวร และต่อมา พระนารายณ์ก็ทรงมอบขอช้างนั้นแก่พระพิฆเณศวร เป็นเทพอาวุธประจำพระองค์ดังกล่าวแล้ว ดังนั้นไม้มะตูมจึงถือว่าเป็นมงคล มักจะนำใบมะตูมใส่ลงไปในน้ำมนต์หรือรดน้ำมนต์แล้วก็เอาใบมะตูมทัดหู ด้วยถือว่าเป็นสิริมงคลเหมือนกับขอช้าง?




 

โคอุสภะ บางแห่งเรียกว่า โคอุสภราช เป็นพาหนะของพระอิศวร ดังนั้นเมื่อจะทำการมงคลใดๆ จึงนิยมเอามูลโคมาเจิมที่หน้าผากเพื่อให้เกิดสิริมงคล แต่เมื่อประเพณีดังกล่าวแพร่มาถึงเมืองไทยได้เปลี่ยนแปลงมูลโคเป็นแป้งกระแจะละลายในน้ำหอมแทน เหตุที่เจิมตรงหน้าผาก ก็เพราะเชื่อว่าที่หน้าผากนั้นเป็นที่อยู่ของสิริประจำตัวมนุษย์ทุกคน หรือบางท่านกล่าวว่าตรงหน้าผากเป็นที่สถิตของดวงตาที่ ๓ ของพระอิศวร จึงเจิมตรงนั้นให้เป็นสิริมงคลหรือเป็นสัญลักษณ์ของมงคลอย่างหนึ่ง




 

หม้อน้ำ ถือกันว่า พระอุมาซึ่งเป็นมเหสีพระอิศวร ทรงเลี้ยงโลกมาด้วยน้ำนมจากพระถันยุคล จึงจำลองมาเป็นหม้อน้ำมนต์ หรือครอบน้ำมนต์ มีน้ำเต็ม บางแห่งเรียกว่าเต้าน้ำมนต์ และใน หม้อน้ำมนต์ หรือครอบน้ำมนต์ แม้บาตรน้ำมนต์ก็มักจะใส่สิ่งอันเป็นมงคล คือ ใบทอง ใบเงิน ใบนาค ใบพรหมจรรย์ ฝักส้มป่อย หญ้าแพรก ผิวมะกรูด และใบมะตูม หรือจะใช้ดอกบัว ลอยแทนก็ได้ จะลอย ๕ ดอก ๓ ดอก หรือดอกเดียวก็ได้ตามขนาดของที่บรรจุน้ำมนต์ การใช้ดอกบัวลอยเป็นอีกคติหนึ่ง คือ สมมุติว่าน้ำนั้นได้มาจากสระโบกขรณี หม้อน้ำมนต์ถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งสิ่งอันเป็นสิริมงคลอย่างยิ่งอย่างหนึ่ง ดังจะเห็นได้ว่าการทำบุญส่วนใหญ่มักจะมีหม้อน้ำมนต์ หรือครอบน้ำมนต์ตั้งอยู่ด้วยเสมอ ไทยเราสมัยโบราณ มักจะมีหม้อใส่น้ำเต็มตั้งไว้หน้าพระในห้องพระเสมอ และนำน้ำนั้นมาล้างหน้า โดยถือว่าเป็นน้ำมนต์เพราะก่อนนอนคนไทยมักจะสวดมนต์ไหว้พระเสมอ

เรื่องมงคล ๘ ประการ เป็นคติความเชื่ออันเกิดจากศาสนาพราหมณ์ แต่ยังเป็นความเชื่อที่พุทธศาสนิกชนนิยมนับถืออยู่ และถือว่าจะบันดาลให้ตนมีความสุข


712
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: คาถา108
« เมื่อ: 01 มี.ค. 2550, 10:52:12 »
"พระ คาถา อิติปิโส ๘ ทิศ"
ตั้ง นะโม ฯ 3 จบ


1. อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา
บทนี้ชื่อกระทู้ 7 แบก ประจำอยู่ทิศ บูรพา (ทิศ ตะวันออก )
 
2. ติ หัง จะ โต โร ถิ นัง
บทนี้ชื่อว่าแสนฝนห่า ประจำอยู่ทิศอาคเณย์ (ทิศตะวันออกเฉียงใต้ )
 
3. ปิ สัม ระ โล ปุ สัต พุท บทนี้ชื่อนารายณ์เกลื่อนสมุทรประจำอยู่ทิศทักษิณ (ทิศใต้)
 
4. โส มา ณะ กะ ริ ถา โธ
บทนี้ชื่อนารายณ์ถอดจักร ประจำอยู่ทิศหรดี (ทิศตะวันตกเฉียงใต้)
 
5. ภะ สัม สัม วิ สะ เท ภะ
บทนี้ชื่อนารายณ์ขว้างจักร ตรึงไตรภพ ประจำอยู่ทิศประจิม (ทิศตะวันตก)
 
6. คะ พุท ปัน ทู ทัม วะ คะ
บทนี้ชื่อนารายณ์ พลิกแผ่นดินประจำอยู่ทิศพายัพ (ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ)
 
7. วา โธ โน อะ มะ มะ วา
บทนี้ชื่อ ตวาดฟ้าป่าหิมพานต์ประจำอยู่ทิศอุดร (ทิศเหนือ)
 
8. อะ วิช สุ นุต สา นุ ติ
บทนี้ชื่อ นารายณ์แปลงรูปประจำอยู่ทิศ อีสาน (ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ)
 


สิทธิการิยะ อุปเท่ห์พระอิติปิโส 8 ทิศนี้ มีอาณุภาพมากหลาย
ป้องกันได้สารพัดตามใจปรารถนา พระอาจารณ์เจ้ากล่าวไว้ว่า
ฝอยท่วมหลังช้างแล มีอุปเทห์มากมายเหลือจะพรรณนา จะกล่าวไว้ย่อๆดังนี้

แม้นจะยาตราไปทางสารทิศใด ให้ภาวนาพระคาถาประจำทิศ ตามทิศที่จะไปนั้น
หรือทำน้ำมนต์ลูบหน้า หรือ ประพรมพาหนะ ที่จะไปนั้น
จะปราศจากอุปสรรคอันตรายทั้งปวงไม่มีมารบกวนเลย
ป้องกันได้สารพัดแม้ว่าทิศที่จะไปนั้นจะต้องผีหลวง หรือ หลาวเหล็ก ก็ดี
( ทิศที่ร้ายตามตำราโหราศาสตร์ )
คุ้มกันได้สิ้น ไปสงครามก็จะมีชัยชนะ
ไปทำมาค้าขายก็จะกำไร เจริญรุ่งเรือง บังเกิดลาถผลพูนทวี
จะลงเป็นประเจียดป้องกันศาสตราอาวุธก็ได้
ทั้งเป็นเสน่ห์แก่ฝูงชนทั่วไป เขียนบูชาไว้กับบ้านเรือน
ป้องกันภัยอันตรายได้ทุกอย่าง
ถ้าจะไปนอนกลางป่าให้เสกก้อนดินไปวางไว้ตามทิศ
เมื่อจะวางทิศไหนให้เสกด้วยคาถาประจำทิศนั้นอีก ทิศล่ะ 8 จบ
กันสารพัด สัตว์ร้าย เปรีบประดุจมีกำแพงแก้วไว้คุ้มกันตนไว้ถึง 7 ชั้น
ถึงแม้จะถูกข้าศึกโจรผู้ร้ายล้อมไว้ก็ดี จะหักออกทางทิศไหน
ให้ภาวนา คาถาประจำทิศนั้นเถิด แล้วค่อยหักออกมา
จะแคล้วคลาดจากอันตรายทั้งสิ้น
พระคาถา บทนี้มีอิทธิฤทธิ์มากมายสุดที่จะกล่าวได้

"คาถา พุทธะมังคะละ"
หรือ พุทธะมังคะละคาถา ใช้สวดทุกวันเพื่อความเป็น ศิริมงคล
ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต พรหมรังสี )

สัมพุทโธ ทิปะทัง เสฎโฐ นิสินโน เจวะ มัชฌิเม
โกณฑัญโญ ปุพพะภาเค จะ อาคเณยเย จะ กัสสะโป
สารีปุตโต จะ ทักขิเณ หะระติเย อุปาลิ จะ
ปัจฉิเมปิ จะ อานันโท พายัพเพ จะ ควัมปะติ
โมคคัลลาโน จะ อุตตาเร อีสาเนปิ จะ ราหุโล
อิเม โข มังคะลา พุทธา สัพเพ อิธะ ปะติฎฐิตา
วันทิตา เต จะ อัมเหหิ สักกาเรหิ จะ ปูชิโต
เอเตสัง อานุภาเวนะ สัพพะโสถี ภะวันตุโน

อิจเจวะ มัจ จันตะ นะ มัส สะ เนยยัง
นะมัสสะมาโน ระตะนัตตะยังยัง
ปุญญาภิสันทัง วิปุลัง อาลัตถัง
ตัสสานุภาเวนะ หะตันตะราโย

"คาถา เมตตา"
พระคาถา ของ หลวงพ่อแช่ม
วัดฉลอง ภูเก็ต
พระอรหัง สุคโต ภควา น เมตตาจิต
ท่องไว้เป็นมงคลแก่ชีวิต
ใครเห็น ใครรัก คนนิยมชื่นชอบ

"คาถา มหาลาถ"

ทำให้ร่ำรวย มีความสุขความเจริญ
ของหลวงพ่อ ปาน วัดบางโคนม อ.เสนา จ. อยุธยา
ว่าพระคาถา ดังนี้
พุทธะ มะอะอุ นะโมพุทธายะ ( ว่า 1 เที่ยว )
" วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา
วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มาณี มามะ พุทธัสสะ สะวาโหม "
( ว่า 3 - 5 - 7 - 9 เที่ยว )
ผู้ใช้คาถา ต้องอยู่ในศีลธรรม ควรใส่บาตร
อย่างน้อยวันล่ะ 1 องค์ เว้นสุรา , ลักทรัพย์

"คาถา บูชา (ค้าขาย)"
ตั้ง นะโม ฯ 3 จบ แล้วว่าดังนี้
ปิโยเทวะ มนุษย์สานัง
ปิโยพรหมมา นะมุตตะโม
ปิโยนาคะ สุปันนานัง
ปิณินทียัง นะมามิหัง
นะโมพุทธายะ
นะวนนะเวียน นะสถิตย์นะเสถียร
เอหิมามา นะเวียนนะแวะ
นะไปทางเวียน นะเวียนมาหา
เอหิมามาปิยังมะมะ นะโมพุทธายะ

คาถานี้ใช้กับการค้าขาย หากท่องบ่อยๆ
จะทำให้ค้าเจริญรุ่งเรื่อง

"คาถา บูชาหลวงปู่ทวด"
สมเด็จ หลวงพ่อทวด เหยียบน้ำทะเลจืด
วัดช้างไห้ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัด ปัตตานี
ว่าดังนี้
" นโมโพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา "

จัดดอกไม่ธูปเทียนบูชาคุรพระศรีรัตนตรัย และคุณบิดามารดา
คุณครูบา อาจารย์แล้ว ว่า นะโมฯ 3 จบ
แล้วนำพระเครื่องหลวงพ่อทวด อย่างใดอย่างหนึ่งที่มีอยู่
เข้าพนมมือเหนือหน้าอก สงบจิตบริกรรมพระคาถา
มากน้อยเท่าใดก็ได้ ตามปรารถนา เลือกปลุกเสก
ใน วันเสาร์ - วันอังคาร ? วันพฤหัสบดี

"คาถา คงกระพัน"
อิติปิโสภะคะวานะเพชรคงข้างซ้ายโมเพชรคงข้างขวา
ธาเพชรคงข้างหลังเพชรหุนเพชรหันเพชรผันเพชรสู้
เพชรอยู่อย่าไปไหนพุทธังหินทั้งสามพันก้อนตะบอง
ทั้งสามพันท่อนฟันกูบ่มิเข้าปืนนั้นเล่ายิงกูบ่มิออก
ปราบหมู่มนุษย์ทั้งสี่ทวีปรึกลือรึกลืออะนิอะนิมะ
หิละตังสะนะพุทธังอะสุนอะนิพุทธังคงเนื้อธัมมัง
คงหนังสังฆังคงกระดูกสังขะนุริมะธนาอะทนๆ
มะทานๆอะอึๆ

คาถา นี้เมื่อใช้จะอยู่ยงคงกระพัน ฟัน แทง ไม่เข้า

คาถา ถอนพิษคุณไสย์"
สะมุหะเนยยะ สะมุหะคะติ สะมุหะคะโต สีมาคะตัง
พัทธะ เสมายัง สะมุหะนิตัพโพ เอวัง เอหิ นะเคลื่อน
โมคลอน พุทถอน ธาเลื่อน ยะเลื่อนหลุดลอย

คาถานี้ ใช้เสกน้ำมนต์อาบ ลูบไล้ตามร่างกาย ป้องกันการกระทำทั้งคุณผี
คุณคน คุณยาแฝด ฝังรูปฝังรอย ออกสิ้นทุกประการ
นับว่าเป็นยอดคาถาที่เกี่ยวกับการถอดการถอนโดยแท้ วิเศษนักอธิษฐานใช้เอาเถิด

คาถา หัวใจพระยาปลาไหลเผือก"
วิ เว สุ เว อะ ยะ เวย ยะ เส เพ เส วะเส ตะ อะ เส

คาถานี้ ท่านให้เสกน้ำลูบตัว เนื้อตัวจะลื่นเหมือนปลาไหล
จับตัวไม่อยู่ มัดรัดรึงด้วยโซ่ตรวนเชือกมิอยู่เลย กับทั้งแคล้วคลาด
คงทนต่อหอกดาบปืนผาหน้าไม้อีกด้วย ประสิทธิ์นักแล

"คาถา นารายณ์คลายจักร"
โส มา นะ คะ ริ ถา โธ หรือ "โล ปุ สุ สะ วิ ภุ สัง ภะ อะ"

คาถานี้ ใช้เสกปูนสูญฝี เสกน้ำมนต์ให้หญิงมีครรภ์ดื่มคลอดลูกง่าย
เสกแป้งพอกถอนพิษคุณไสย ผีเข้าไล่ผีออกดีนักแล

"คาถา พระมหาอุปคุต (ผูกผี)"
อุปะคุตโต จะ มะหาเถโร อุปะคุตตัง จะ มะหาเถรัง พันธะเวระ
พันธานุภาเวนะ อิมัง กายะพันธะนัง อะธิฏฐามิ

คาถานี้ ใช้เสกด้ายสายสิญจน์ผูกผีที่เข้าสิงร่างคน
หากจะปล่อยให้ใช้คาถานารายณ์คลายจักร ผีจึงจะออกขลังนักแล

"คาถา ดับไฟนรก"
เถโร โมคคลัลาโน นะระกัตตัง โลหะกุมภี ทิสะวา อัคคิปัตติ กัมปะติ

คาถานี้ ให้ใช้คาถาบทนี้ เสกเป่าคนที่ถูกน้ำร้อน หรือไฟลวก
แก้และถอนพิษไฟหายสิ้นไม่ร้อนไม่พอง หากใครถือขลังๆ
ก็จะสามารถเอามือล้วงลงในกาน้ำร้อนเดือดๆ ได้สบายไม่รู้สึกร้อน

"คาถา หัวใจพระสังคหะ"
จิ เจ รุ นิ อิ สะ เย นะ วิกรึงคะเร

คาถานี้ เสกตรึงคาถาอื่นๆซึ่งเราภาวนาไว้แล้วเกรงว่าจะไม่ขลังให้ขลังขึ้น
หรือจะใช้ภาวนา เมื่อตกอยู่ในท่ามกลางภยันครายก็วิเศษนัก
อยู่ยงคงกระพัน หอก ดาบ เขี้ยว งา อาวุธทั้งปวงใช้ได้ผลจริง ประเสริฐนักแล

"คำอาราธนาพระเครื่อง"
พุทธัง อาราธะนานัง ธัมมัง อาราธะนานัง สังฆัง อาราธะนานัง
พุธธัง ประสิทธิ เม ธัมมัง ประสิทธิ เม สังฆัง ประสิทธิ เม

คาถานี้ เมื่อท่านจะนำสร้อยพระหรือพระเครื่องติดตัวไปนอกบ้าน
หรือเดินทางไปต่างถิ่นต่างแดน หรือถอดสร้อยพระเก็บไว้
ก่อนจะนำมาสวมอีกทีต้องกล่าวคำอาราธนาดังกล่าวนี้
เพื่อเชื่อเชิญให้พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ
ติดตามไปคุ้มครองภยันตรายให้กับตน ให้ว่าคำอาราธนา 3 ครั้ง

"คาถา หัวใจพระฉิมพะลี"
นะชาลีติ ชาลีตินะ ลีตินะชา ตินะชาลี

คาถานี้ ใช้เสกแป้งหรือน้ำมันลูบไล้ตามร่างกายหรือใบหน้า
ทำให้คนเห็นคนรัก ใครเห็นใครชม มีเสน่ห์ มหานิยมวิเศษนักแล

"คาถา นะ จัง งัง"
อะ วา คะ ภะ โส ปิ ติ อิ (อิ ติ ปิ โส ภะ คะ วา อะ)

คาถานี้ ถ้าเข้าผจญภยันตรายท่ากลางศัตรูหรือในสมรภูมิสนามรบ
ให้ภาวนาคาถาบทนี้ ข้าศึกศัตรูหมู่ปัจจามิตรเห็นหน้าเรา
จังงังหมดมิสามารถกระทำร้ายเราได้เด็ดขาด วิเศษขลังมากแล

คาถา ป้องกันถูกคุณ"
พุทธังกันนะ กันนะพุทธัง ธัมมังกันนะ กันนะธัมมัง
สังฆังกันนะ กันนะสังฆัง

คาถานี้ ใช้ภาวนาก่อนนอน หรือเวลาเดินผ่านป่าช้า ผ่านบ้านผีปอบ
ผีโพง ผีกระสือ เพื่อมิให้ มาสิงหรือใกล้ตัวเราได้ วิเศษนักแล

"คาถา มหาอุด"
อุทธัง อัทโธ นะโมพุทธายะ

คาถานี้ ภาวนาป้องกันอาวุปืน ยิงไม่ออก
หรือออกแต่ไม่ถูกตัวเลยดีนักแล

"คาถา แก้ผีปีศาจเข้า"
นะเคลื่อน โมคลาย พุทหาย ธาแก้ ยะสูญหาย บัดนี้

คาถานี้ เวลาจะแก้ ให้เสกคาถาบทนี้
พร้อมกับคลายเส้นด้ายที่ผูกคนผีเข้าออก
ผีปีศาจก็จะออกตามประสงค์ วิเศษนักแล

"คาถา ผูกมัดปีศาจ"
นะผูก โมมัด พุทรัด ธารึง ยะกรึงเอาไว

คาถาบทนี้ ใช้เวลาถ้ามีผีเข้าคน หรือผีปอบ
ผีกระสือมาสิงร่างคนไข้คนป่วย
ให้กลั้นใจเอาหัวแม่มือ วนไปรอบหัวแม่เท้า
ภาวนาคาถาบทนี้ไปด้วยผีที่เข้าสิงจะทนอยู่มิได้เลย

หรือจะมัดไว้ ถามทัก เฆี่ยนตีก่อนก็ได้
แล้วค่อยปล่อยมันไป วิเศษนักแล
เวลามัดผูกผี ท่านให้เสกด้ายมงคล 3 เส้น
ผูกข้อมือข้อเท้าคนที่ถูกผีเข้านั้นไว้

"คาถา หัวใจสุนัข"
อิ มา อา กิ

คาถาบทนี้ ภาวนาเวลาผ่านบ้านที่มีหมาดุๆ
ไม่เห่าเลยและไม่กัดด้วยเคยใช้มาแล้ววิเศษนัก

"คาถา พระเจ้า 5 พระองค์"
นะ โม พุท ธา ยะ

คาถาบทนี้ ภาวนาก่อนนอน ก่อนออกเดินทางจากบ้าน
หรือเข้าในที่คับขัน
เผชิญหน้ากับ ศัตรู ป้องกันภัยอันตรายได้สารพัด วิเศษนักแล

"คาถา คัด/ห้ามเลือด"
วะ โร วะ รัญ ญู วะ ระ โท วะ รา หะ โร
คาถาบทนี้ ใช้เสกเป่าบาดแผลสดที่มีเลือดกำลังออก
ให้หยุดทันที วิเศษนักแล

"คาถา ประสานบาตร"
จัต ตา โร ปัต เต ยะ ถา เอโก ตะถา อะ ธิฏ ฐา หิ

คาถาบทนี้ ใช้เสกเป่าแผล ต่อกระดูกหัก
ให้หายเจ็บหายหัก ประสิทธิ์วิเศษนัก

"คาถา หัวใจหนุมาน"
หะ นุ มา นะ (ภาวนา 3 หน)

คาถาบทนี้ ป้องกันศัตรูปองร้าย ไม่กล้าทำอะไรเราดีนักแล

"คาถา หัวใจกาสลัก (แม่หลงลูก)"

จะ ภะ กะ สะ (ภาวนา 3 หน)

คาถาบทนี้ เสกแป้งผัดหน้า เป็นเมตตามหานิยมดีนักแล

" คาถา หัวใจอิติปิโส "
อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ

คาถาบทนี้ ภาวนาก่อนออกเดินทาง คุ้มครองป้องกัน
ศัตรูมิกล้าทำร้ายเรา เป็นเสน่ห์มหานิยม

อนึ่งถ้าน้ำร้อนลวก ไฟไหม้ ใช้คาถาบทนี้เสกเป่า 3 จบ ไม่ร้อน ไม่พองเลย

คาถาพระสีวลี

ถ้าเพื่อนๆคนไหน อยากมีโชคลาภ
ขอแนะนำให้สวดคาถาบูชาพระสีวลี
เพราะเป็นคาถาเจริญโชคลาภ
สวดครั้งละ 14 จบ


สีวะลี จะ มะหาเถโร เทวะตา นะระปูชิโต
โสระโห ปัจจะยาทิมหิ สีวะลี จะมะหาเถโร
ยักขาเทวา ภิปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิมหิ
อะหัง วันทา-มีตังสะทา สีวะลีเถรัสสะเอตัง
โสตถิลาภัง ภะวันตุเม

713
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / คาถา108
« เมื่อ: 01 มี.ค. 2550, 10:47:32 »

เรียกอาคมเข้าร่าง

เอหิคาถังปิยังกาโย ทิศาปาโมกขังจาริยัง เอหิพุทธานุภาเวนะ เอหิธัมมรานุภาเวนะ เอหิสังฆานุภาเวนะ กูจะสูบพระคาถาทั้งปวงขึ้นไว้ในคอ กูจะยอพระคาถาทั้งปวงขึ้นไว้เหนืออก กูจะยกพระคาถาทั้งปวงขึ้นไว้เหนือเกศ พระครูกู เธอจึงให้กูเป็นเอกกว่าคนทั้งหลาย เอหิคลาย ๆ ปิยังมะมะ

พุทธังสรหิโสมาเรสะระ เอหิมาเรมาระ อาคัจฉายะ อาคัจฉาหิ ธัมมัง สรหิโสมาเรสะระ เอหิมาเรมาระ อาคัจฉายะ อาคัจฉาหิ

สังฆังสรหิโสมาเรสะระ เอหิมาเรมาระ อาคัจฉะยะ อาคัจฉาหิ

กะ ขะ คะ ฆะ งะ จะ ฉะ ชะ ฌะ ญะ

ฏะ ฐะ ฑะ ฒะ ณะ ตะ ถะ ธะ ทะ นะ

ปะ ผะ พะ ภะ มะ ยะ ละ ระ อะ สะ หะ ฬะ อัง

ทรง อะ ทรงอา ทรงอิ ทรงอี ทรงอุ ทรงอู ทรงเอ ทรงโอ ทรงเอา ทรงอัง ทรงอะ ทรงนะโมพุทธายะ ทรงอักขระ ๔๑ ตัว โอกาเสติฎฐาหิ ติฏฐติ

ตั้งธาตุ

เอหิ ปฐวี พรหมา เอหิอาโปอินทรา

เอหิ เตโช นารายะ เอหิวาโย อิสรา

นะอิเพชชคง อะระหัง สุคะโต ภควา

โมติ พุทธะสัง อะระหัง สุคะโต ภควา

พุทธปิอิสวาสุ อะระหัง สุคะโต ภะคะวา

ธาโส มะอะอุ อะระหัง สุคะโต ภะคะวา

ยะภะอุอะมะ อะระหัง สุคะโต ภะคะวา


รวมพระคาถาอาคม

บทสวดยอดพระกัณฑ์ไตรปิฏก (1)

เปิดกรุได้ที่เมืองสวรรคโลก มีคำกล่าวในหนังสือว่าผู้ใดมีไว้ประจำบ้านเรือน มีอานิสงส์ยิ่งกว่าได้สร้างพระเจดีย์ทองคำสูงเทียมเทวโลก ถ้าผู้ใดสวดมนต์ภาวนาทุกค่ำเช้าแล้วผู้นั้นจะไม่ตกอบายภูมิ แม้ว่าได้บูชาไว้กับบ้านเรือนก็ป้องกันอันตรายต่างๆ จะภาวนาคาถาอื่นสัก ๑๐๐ ปี อานิสงส์ก้ไม่เท่าภาวนาพระคาถานี้ครั้งหนึ่ง ถึงแม้ว่า อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ที่มีอิทธิฤทธิ์จะเนรมิตรแผ่นอิฐเป็นทองคำก่อเป็นพระเจดีย์ ตั้งแต่มนุษย์โลกสูงขึ้นไปจนถึงพรหมโลก อานิสงส์ก็ยังไม่เท่าภาวนายอดพระกัณฑ์ไตรปิฏกนี้ และมีคำอธิบายคุณความดีไว้ในต้นฉบับเดิมนั้นอีกหลายประการฯ

๑. อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง วัจจะโส ภะคะวาฯ อิติปิโส ภะคะวา สัมมาสัมพุทโธ วัจจะโส ภะคะวาฯ อิติปิโส ภะคะวา วิชชาจะระณะสัมปันโน วัจจะโส ภะคะวาฯ อิติปิโส ภะคะวา สุคะโต วัจจะโส ภะคะวาฯ อิติปิโส ภะคะวา โลกะวิทู วัจจะโส ภะคะวาฯ

๒. อะระหันตังสะระณังคัจฉามิ อะระหันตัง สิระสา นะมามิ สัมมาสัมพุทธังสะระณังคัจฉามิ สัมมาสัมพุทธัง สิระสา นะมามิ วิชชาจะระณะสัมปันนังสะระณังคัจฉามิ วิชชาจะระณะสัมปันนัง สิระสา นะมามิ สุคะตังสะระณังคัจฉามิ สุคะตัง สิระสา นะมามิ โลกะวิทังสะระณังคัจฉามิ โลกะวิทัง สิระสา นะมามิ

๓. อิติปิโส ภะคะวา อะนุตตะโร วัจจะโส ภะคะวาฯ อิติปิโส ภะคะวา ปุริสะธัมมะสาระถิ วัจจะโส ภะคะวาฯ อิติปิโส ภะคะวา สัตถาเทวะมะนุสสานัง วัจจะโส ภะคะวาฯ อิติปิโส ภะคะวา พุทโธ วัจจะโส ภะคะวาฯ

๔. อะนุตตะรังสะระณังคัจฉามิ อะนุตตะรัง สิระสา นะมามิ ปุริสะธัมมะสาระถิ สะระณังคัจฉามิ ปุริสะธัมมะสาระถิ สิระสา นะมามิ สัตถาเทวะมุสสานัง สะระณัง คัจฉามิ สัตถาเทวะมนุสสานัง สิระสา นะมามิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ พุทธัง สิระสา นะมามิ

๕. อิติปิโส ภะคะวา รูปักขันโธ อะนิจจะลักขะณะปาระมี จะ สัมปันโน อิติปิโส ภะคะวาฯ อิติปิโส ภะคะวา เวทะนาขันโธ อะนิจจะลักขะณะปาระมี จะ สัมปันโน อิติปิโส ภะคะวาฯ อิติปิโส ภะคะวา สัญญาขันโธ อะนิจจะลักขะณะปาระมี จะ สัมปันโน อิติปิโส ภะคะวาฯ อิติปิโส ภะคะวา สังขาระขันโธ อะนิจจะลักขะณะปาระมี จะ สัมปันโน อิติปิโส ภะคะวาฯ อิติปิโส ภะคะวา วิญญาณะขันโธ อะนิจจะลักขะณะปาระมี จะ สัมปันโน อิติปิโสภะคะวาฯ

๖. อิติปิโส ภะคะวา ปะฐะวีจักกะวาฬะจาตุมะหาราชิกา ตาวะติงสาธาตุสัมมาทิยานะสัมปันโนฯ อิติปิโส ภะคะวา เตโชจักกะวาฬะจาตุมะหาราชิกา ตาวะติงสา ธาตุสัมมาทิยานะสัมปันโนฯ อิติปิโส ภะคะวา วาโยจักกะวาฬะจาตุมะหาราชิกา ตาวะติงสา ธาตุสัมมาธิยานะสัมปันโนฯ อิติปิโส ภะคะวา อาโปจักกะวาฬะจาตุมะหาราชิกา ตาวะติงสา ธาตุสัมมาทิยานะสัมปันโนฯ อิติปิโส ภะคะวา อากาสะจักกะวาฬะจาตุมะหาราชิกา ตะวะติงสา ธาตุสัมมาทิยสนะสัมปันนโนฯ

๗. อิติปิโส ภะคะวา ยามา ธาตุสัมมาทิยานะสัมปันโนฯ อิติปิโส ภะคะวา ตุสิตา ธาตุสัมมาทิยานะสัมปันโนฯ อิติปิโส ภะคะวา นิมมานะระติ ธาตุสัมมาทิยานะสัมปันโนฯ อิติปิโส ภะคะวา กามาวะจะระ ธาตุสัมมาทิยานะสัมปันโนฯ อิติปิโส ภะคะวา รูปะวะจะระ ธาตุสัมมาทิยานะสัมปันโนฯ


พระคาถาชินบัญชร







ชะยาสะนากะตา พุทธา
 เชตะวา มารัง สะวาหะนัง
 
จะตุสัจจาสะภัง ระสัง
 เย ปิวิงสุ นะราสะภา
 
ตัณหังกะราทะโย พุทธา
 อัฎฐะวีสะติ นายะกา
 
สัพเพ ปะติฎฐิตา มัยหัง
 มัตถะเก เต มุนิสสะรา
 
สีเส ปะติฎฐิโต มัยหัง
 พุทโธ ธัมโม ทะวิโรจะเน
 
สังโฆ ปะติฎฐิโต มัยหัง
 อุเร สัพพะคุณากะโร
 
หะทะเย เม อะนุรุทโธ
 สารีปุตโต จะ ทักขิเณ
 
โกณฑัญโญ ปิฎฐิภาคัสมิง
 โมคคัลลาโน จะ วามะเก
 
ทักขิเณ สะวะเน มัยหัง
 อาสุง อานันทะราหุโล
 
กัสสะโป จะ มะหานาโม
 อุภาสุง วามะโสตะเก
 
เกสะโต ปิฎฐิภาคัสมิง
 สุริโย วะปะภังกะโร
 
นิสินโน สิรสัมปันโน
 โสภิโต มุนิปุงคะโว
 
กุมาระกัสสะโป เถโร
 มะเหสี จิตตะวาทะโก
 
โส มัยหัง วะทะเน นิจจัง
 ปะติฎฐาสิ คุณากะโร
 
ปุณโณ อังคุลิมาโล จะ
 อุปาลี นันทะสีวะลี
 
เถรา ปัญจะ อิเม ชาตา
 นะลาเต ตีละกา มะมะ
 
เสสาสีติ มะหาเถรา
 วิชิตา ชินะสาวะกา
 
เอเตสีติ มะหาเถรา
 ชิตะวันโต ชิโนระสา
 
ชะลันตา สีละเตเชนะ
 อังคะมังเคสุ สัณฐิตา
 
ระตะนัง ปุระโต อาสิ
 ทักขิเณ เมตตะสุตตะกัง
 
ธะชัคคัง ปัจฉะโต อาสิ
 วาเม อังคุลิมาละกัง
 
ขันธะโมระ ปะริตตัญจะ
 อาฎานาฎิยะสุตตะกัง
 
อากาเส ฉะทะนัง อาสิ
 เสสา ปาการะสัณฐิตา
 
ชินา นานาวะระสังยุตตา
 สัตตัปปาการะลังกะตา
 
วาตะปิตตาทิสัญชาตา
 พาหิรัชฌัตตุปัททะวา
 
อะเสสา วินะยัง ยันตุ
 อะนัตตะชินะเตชะสา
 
วะสะโต เม สิกิจเจนะ
 สะทา สัมพุทธะปัญชะเร
 
ชินะปัญชะระมัชฌัมหิ
 วิหะรันตัง มะหีตะเล
 
สัทธา ปาเลนตุ มัง สัพเพ
 เต มะหาปุริสาสะภา
 
อิจเจวะมันโต สุคุตโต สุรักโข
 ชินานุภาเวนะ ชิตุปัททะโว
 
ธัมมานุภาเวนะ ชิตาริสังโค
 สังฆานุภาเวนะ ชิตันตะราโย
 
สัทธัมมานุภาวะปาลิโต
 จะรามิ ชินะปัญชะเรติฯ
 


 

คาถารักแท้
โอมนะโมพุทธายะ พุทธัง สะระติ ธัมมัง สะระติ สังฆัง สะระติ
จิตตังสะมาเรมะมะเอทิ เอหิชัยยะ เอหิสัพเพชะนา พะหูชะนา เอหิ
(ให้บริกรรมคาถานี้กับลูกอมแล้วอมขณะที่คุยกับคนที่เรารัก จะทำให้เขาคนนั้นเกิดความรักจริงจังขึ้นมา)

คาถาปลุกใจ
ปัจจะมัง สิระสัง ชาตัง นะอดทน นะกาโร โหติสัมภะโว
นะรานะระหิตัง เทวัง นะระเทเวหิจชิงตัง นะรานังกามะปังเกหิ
นะมามิสุคะตังนัง กัณหะ เนหะ
(ใช้ท่องเมื่อต้องเผชิญกับความห่อเหี่ยว หมดกำลังใจ
จะได้ช่วยเพิ่มพลังให้มีกำลังใจและกายต่อสู้กับปัญหาต่างๆ)

คาถาปลุกพระ(ขุนแผน)
ตั้งจิตให้นิ่งก่อนอาราธนา
สุนะโมโล มะยังภันเต นะโมพุทธายะ มะอะอุ อุอะมะ โลโมนะสุ มะอะอุ สุนะโมโล

คาถานะจังงังมหาเมตตา

นะจังงัง สะกดใจคน คาถาบทนี้ต้องจุดธูป 9 ดอกขณะท่องคาถา เเล้วเสกเป่าไส่เครื่องแป้งหอม
นำมาผัดหน้าทาตัวเพื่อไห้เป็นมงคล เพื่อไห้ดลบันดาลด้านเสน่เมตตา ให้คนรักคนหลง
ให้คนนิยมชมชอบในยามเเรกเห็น หรือจะเสกไส่น้ำ ไส่ขนมหวาน ให้คนที่หมายปองดื่มกิน ก็ดีนัก
นะหลง นะไหล
นะจับจิต นะจับใจ
พิสมัยในมหานะ ระจุติ
ปฏิสนธิ บังเกิดเป็นนะ
อาคัจฉายะ อาคัจฉาหิ
ติวัตตัพโพ
เอหิจิตตัง ปิยะมะมะ

คาถามหาละลวย คาถาเก่าแก่

นะมหาละลวย
ท่องคาถานี้ 5 จบเสกเป่าใส่เครื้อ่งดื่ทน้ำหรือขนมหวาน ให้คนที่ถูกเอ่ยชื่อในคาถานี้กิน
คนโบราณเชื่อถือกันนักว่า เมื่อเขาหรือเธอ กลับบ้านเเล้ว ในใจจะมีเเ่ใบหน้าคุณลอยวนเวียนอยู่ตลอดเวลา
ในใจจะโหยหามิเป็นอันอยุ่นิ่งได้ ต้องการหาทางกลับมาพบหน้าคุณอีกครา
นะ ละลวย หันตะวา
โม เมามัว
พุท พาตัว (ชื่อคนที่คุณรัก)มาหาหู
ทา สมสู่
ยะ อยู่ด้วยกันจนตาย
นา สังสิโม สังสิโมนา
สิโมนาสัง โฆนาสังสิ

มหาละลวย(ฉบับขุนแผน)
โอม ละลวย มหาละลวย ชายเห็นชายงวย หญิงเห็นหญิงหลง มึ...งเห็นหน้ากูก็ให้งวยงงหลงใจรัก จะ ภะ กะ สะ
ทั้งฝูงชนมาพะวักพะวงหลงรักใคร่ จะ ภะ กะ สะ กูจะมารำลึกถึง เจ้าไทยก็ลืมสวาทรัก จะภะ กะ สะ
กูจะคิดสาวแท้ๆ ก็มาลืมทั้งแม่ทั้งพ่อ จะ ภะ กะ สะ พะวักภวังค์ให้จิตมันคลุ้มคลั่งตะลึงหลง จะภะ กะ สะ
โอมพระพายเจ้าอ๋ย จงชักนำอีนั่นมา จะภะกะสะ หาละลวยงวยงงจงใจรักกูแห่งกู จะ ภะ กะ สะ
ช้างอยู่ในป่าหลงรักกู กูก็มาลืมลม จะ ภะ กะ สะ ผมอยู่ในหัวก็มาลืมเกล้า จะ ภะ กะ สะ
ข้าวอยู่ในคอก็มาลืมกลืน สะอึกสะอื้นมาหากู จะ ภะ กะ สะ คิดถึงกูทนอยู่มิได้ อาคัจฉายะ อาคัจฉาหิ
อาคัจฉาหิ อาคัจฉายะ

บูชาพระสยามเทวาธิราช

ธูป ๙ ดอก ตั้งนะโม ๓ จบ

พระสยามิน ทะโร วะโร อัตตัง พุทธังสังมิ อิติ อรหัง
วะรังพุทโธ นะโมพุทธายะ ปิโยเทวา มนุสานัง
ปิโย พรหมานะ นุตตะโม ปินัน ทวิยังนะมามิหัง
ศิริประสุประตินาถ

อธิฐานตามความประสงค์ ของผู้บูชา

"คาถาบูชาฤาษีตาไฟ"
พระฤาษีองค์นี้ก็มี 3 ตา เช่นเดียวกัน ท่านมีอำนาจและมหิทธิฤทธิ์มากมาย
จนกระทั่งไม่มีใครกล้าแหยม ตาที่ 3 ของท่านที่อยู่บนหน้าผาก
เช่นเดียวกับพระอิศวร (ศิวะ) ท่านก็จะหลับสนิทตลอดเวลา
ถ้าหากว่าเผลอเผยอเปลือกตาที่ 3 นั้นออก ลืมขึ้นมาในครั้งใดก็ครั้งนั้นแหละ
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของท่านก็ต้องมอดไหม้กลายเป็นจุลมหาจุลลงไปในที่สุด
ด้วยประกายไฟอันแรงกล้าจากสายตาที่ 3 ของท่าน
แต่ในด้านอุปนิสัยของพระฤาษีตาไฟนี้ ท่านมีนิสัยดุมาก เสียงดัง
แต่ส่วนภายในนั้นสิ ไม่มีใครที่จะใจดีเหมือนกัน
ท่านชอบช่วยเหลือผู้อื่น ชอบเสริมสร้างในด้านทานบารมี พูดกันง่าย ๆ
ก็จะเข้าทำนองที่ว่า ปากร้ายใจดี หากใครประสงค์ที่จะให้ท่านช่วยเหลืออะไร
ก็ควรที่จะใช้ดอกไม้ธูปเทียนเคารพบูชาสักการะต่อท่าน
แล้วจะบนบานอย่างไร ก็จงตั้งใจบอกกับท่านไปตามตรงสิ่งที่ไม่ผิดวิสัย
ไม่เหลือวิสัย ท่านก็อาจที่จะต้องช่วยให้เราสำเร็จผลนั้น ๆ ได้
ด้วยความเอื้ออารีของท่าน จึงได้รับฉายาใหม่ว่า "พระฤาษีเนตรอัคคี


714
บทความ บทกวี / ตอบ: ฮวงจุ้ย
« เมื่อ: 01 มี.ค. 2550, 03:51:26 »


- ตำนาน ฮวงจุ้ย
การจัดฮวงซุ้ยในประเทศจีนนั้นมีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง เป็นที่เชื่อกันว่าซินแสดั้งเดิมที่เป็นผู้ค้นพบ ฮวงจุ้ย คือ อาจารย์หยางยุนซัง อาจารย์หยางได้เขียนตำราเก่าแก่ไว้
และตำรานี้ก็ได้รับการอนุรักษ์และศึกษากันต่อๆ มาจนถึงปัจจุบันนี้ อาจารย์หยางเป็นพระอาจารย์ที่ปรึกษาภายในพระราชวังขององค์จักรพรรดิ์ไฮชาง (ค.ศ.888)
และตำราของอาจารย์หยางนี้เองที่เป็นตำราสำคัญซึ่งผู้ประกอบพิธี ฮวงจุ้ย ไดรับการถ่ายทอดกันต่อ ๆ มา ตำราเล่มนี้เน้นความสำคัญเรื่องรูปร่างลักษณะของภูเขา
ทิศทางการไหลของสายน้ำ ที่สำคัญก็คือเรื่องของทำเลที่ตั้ง และต้องเข้าใจในอิทธิพลของมังกรสวรรค์ซึ่งชาวจีนเชื่อกันว่าเป็นองค์เทพเจ้าบนสรวงสวรรค์
ตำรา ฮวงจุ้ย เก่าแก่อันลือชื่อของอาจารย์หยางมีอยู่ทั้งหมดสามเล่มซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการบรรยายถึงแนวปฏิบัติเกี่ยวกับ ฮวงจุ้ย ในแง่ของการอุปมาอุปมัยไปถึงมังกรหลากสี
ตำราเล่มแรกคือ ?ฮั่นหลุงชิง? (Han Lung Ching) ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับ ?ศิลปะของการปลุกมังกร? (The Art of Rousing the Dragon) ตำราเล่มที่สองคือ
?ชิงหนางโอชิ? (Ching Nang Ao Chih) ซึ่งบรรยายถึงหลักในการพิจารณาทำเลที่ตั้งอันเป็นถ้ำของมังกร และตำราเล่มสุดท้ายคือ ?อ้ายหลุงชิง? (I Lung Ching)
ตำราเล่มนี้ได้รับการแปลเป็นหนังสือชื่อ ?The Canons Approxinmating Dragons? (ข้อบัญญัติลักษณะของมังกร) ภายในตำราจะบอกถึงหลักการ
และเทคนิคในการค้นหามังกรในบริเวณที่ไม่มีมังกรปรากฏตัวอย่างแจ่มชัด

การดู ฮวงจุ้ย ในสมัยก่อนนั้น การด ูฮวงจุ้ย จะกระทำกันเฉพาะองค์จักรพรรดิและพวกเจ้านายชั้นสูงในจีนเท่านั้น พระราชวัง สุสาน และที่ทำการของรัฐมักจะก่อสร้าง
ให้สอดคล้องกับหลักวิธีการของ ฮวงจุ้ย อย่างเคร่งครัด ชนชั้นปกครองในจีนมักจะทุ่มเทความพยายามในการคัดเลือกสถานที่เป็นสุสานฝังศพของบรรพบุรุษ
(มักจุถือกันว่าเป็นที่พำนักของหยิน) พอ ๆ กับการเลือกสถานที่ก่อสร้างบ้านของตน (มักจะเรียกกันว่าเป็นที่พำนักของหยาง)
เรื่องนี้มีบันทึกทางประวัติศาสตร์เป็นเครื่องพิสูจน์ได้การออกแบบสุสานในสมัยราชวงศ์หมิงที่อยู่รอบนอกเมืองปักกิ่งทางตะวันตกเฉียงเหนือเป็นตัวอย่างที่ดี
เกี่ยวกับการปฏิบัติตาม ฮวงจุ้ย ในสุสาน และแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นศรัทธาอย่างแรงกล้าของราชสำนักจีนที่มีต่อ ฮวงจุ้ย ชื่อของภูเขาที่แวดล้อม
สุสานราชวงศ์หมิงก็เป็นคำที่สะท้อนมาจากตำราง ฮวงจุ้ย ดังนั้น ภูเขาทางทิศตะวันออกจึงมีชื่อว่ามังกรเขียว ส่วนภูเขาทางทิศตะวันตกมีชื่อว่าเสือขาว

- ฮวงจุ้ย ร้านค้า
การกำหนดรูปแบบของร้านค้าและร้านอาหารนั้น สิ่งสำคัญที่สุดทาง ฮวงจุ้ย ที่ดีก็คือ การดึงดูดลูกค้าเข้าร้านได้สำเร็จ และเสียงระรัวอย่างมีความสุขของเครื่องคิดเงิน
อันแสดงให้เห็นถึงการดำเนินธุรกิจที่เป็นไปด้วยดี ร้านค้าที่จะดึงลูกค้าเข้าร้านได้ดีเช่นนี้ สิ่งสำคัญประการแรกก็คือ จะต้องมีการออกแบบภายในให้มีลักษณะเชิญชวน
ให้เข้าร้านการจัดเรียงสินค้าภายในจะต้องกำหนดให้ตัวพนักงานขายที่เป็นคนต้อนรับลูกค้าหันหน้าเข้าหาประตู สินค้าจะต้องจัดเรียงในลักษณะเชื้อเชิญ
ให้ลูกค้ามองเห็นได้ถนัดตาภายในร้านควรติดไฟให้สว่างไสวเพื่อดึงดูดให้พลังชี่ไหลเวียนเข้าร้านได้ดี การติดกระจกมาก ๆ ก็นับว่าเป็นเรื่องดี เพราะเป็นสัญลักษณ์
ที่แสดงถึงสินค้าและการอำนวยความสะดวกที่ ?เพิ่มมากาขึ้นเป็นสองเท่า? อันหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ ความโอ่โถง และความรุ่งเรืองในปัจจุบันนี้ เจ้าของร้านค้าย่อย
หลายคนพบว่า การตั้งตู้ปลา หรือน้ำพุเล็ก ๆ เอาไว้ ก็จะช่วยให้การค้าขายดีขึ้นเจ้าของร้าน โดยเฉพาะร้านที่มีอ่างปลาคาร์พราคาแพงหรือ ?ปลาสวยงาม? อื่น ๆ
มักจะดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่น ทั้งนี้เพราะเหตุผลสองประการ ประการแรกคือ ความเป็นมงคลทาง ฮวงจุ้ย เพราะมีน้ำเข้ามาเกี่ยวข้อง ประการที่สองคือ เป็นการแสดงถึง
?ความสด? ของร้านขายอาหารทะเลร้านอาหารจีนสมัยใหม่จะไม่ใช้สีแดงและสีทองช่วยในการตกแต่งอีกต่อไปแล้วและอีกหลายร้านก็ไม่ใช้รูปมังกรเกี่ยวกระหวัดเช่น
ที่เคยเห็นตามร้านอาหารจีนแบบเก่า แต่ร้านอาหารเหล่านี้จะเปลี่ยนมาใช้สีทาภายในสีอ่อน ๆ ร้านรูปสี่เหลี่ยม โต๊ะทานอาหารทรงกลม และจัดเรียงโต๊ะไม่ให้แน่นเกินไป
เพื่อให้พลังชี่ไหลเวียนภายในร้านได้สะดวกเครื่องคิดเงินเฟอร์นิเจอร์ชิ้นสำคัญที่สุดในร้านหรือร้านอาหารก็คือ เครื่องคิดเงินนั่นเอง การจัดวางตำแหน่งเครื่องคิดเงิน
สามารถบันดาลให้เกิดโชคลาภอย่างมหันต์ หรือทำให้เกิดความหายนะได้ ดังนั้น การจัดวางเครื่องคิดเงินจะต้องกระทำด้วยความระมัดระวังมากที่สุดทั้งนี้เพราะ
เครื่องคิดเงิน เป็นอาณาบริเวณที่ ?เงินทอง? หลั่งไหลเข้ามายังเจ้าของกิจการ ยิ่งตั้งอยู่ในที่เป็นมงคลมากเท่าใด ก็จะยิ่งทำให้ ?เงินทอง? หลั่งไหลเข้ามามากขึ้นเท่านั้น
- ประการแรก พนักงานแคชเชียร์จะต้องนั่งในตำแหน่งที่มองเห็นบริเวณประตูทางเข้าได้ถนัดตา และคงไม่ต้องย้ำอีกกว่า แคชเชียร์จะต้องไม่หันหลังเข้าประตู
เครื่องคิดเงินจะต้อง ไม่ หันตรงเข้าหาประตูหน้า แต่ควรจะหันทำมุมกับประตูหน้า
- ประการที่สอง แคชเชียร์และเครื่องคิดเงินจะต้อง ไม่ อยู่ใต้คานที่ยื่นออกมา เพราะจะทำให้เกิดปัยหาและอาการปวดศีรษะ
- ประการที่สาม จะต้อง ไม่ มีมุมหรือขอบแหลมใด ๆ พุ่งเข้าหาเครื่องคิดเงินเป็นอันขาด เพราะจะทำให้เกิดโชคร้ายและความไม่มั่นคงผลดีจากเครื่องคิดเลข
ที่บังเกิดขึ้นกับการดำเนินธุรกิจนั้น สามารถจะเพิ่มพูนขึ้นได้ด้วยวิธีการหลายวิธีด้วยกัน และนักธุรกิจทั้งหลายมักจะนำมาใช้ได้เสมอ ๆ
โดยการปฏิบัติตามคำแนะนำในตำราโวงจุ้ยที่ดูเหมือนว่าจะก่อให้เกิดผลดีอย่างยอดเยี่ยมมาแล้วในหลาย ๆ กรณีประการแรก การติดกระจกต้านข้างหรือด้านหลัง
เครื่องคิดเลขจะทำให้เกิดมงคลอย่างมาก เพราะกระจกนี้จะช่วยสะท้อนภาพการดำเนินธุรกิจ และเป็นสัญลักษณ์ถึงเงินรายได้ประจำวันเพิ่มเข้ามามากขึ้นเป็นสองเท่าด้วย
ประการที่สอง แขวนกระดิ่งลมเอาไว้เหนือเครื่องคิดเลขเพื่อกระตุ้นพลังชี่ให้แรงขึ้น อันจะทำให้การค้าขายได้รับผลดีมากขึ้นไปด้วย และถ้ากระดิ่งลมทำมาจากหลอดไม้กลวง
ก็จะยิ่งดีมากขึ้น เนื่องจากทำให้เกิดพลังชี่อันเป็นมงคลขึ้นอย่างมากมายและแข็งแรงประการที่สาม ให้วางแจกันแก้วเจียระไนซึ่งพันด้วยริบบิ้นสีแดงเอาไว้ข้าง ๆ เครื่องคิดเงิน
ก็จะเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความราบรื่นในการประกอบธุรกิจการค้า เอื้ออำนวยความปรารถนาดีในอันที่จะทำให้ลูกค้าพึงพอใจ และกลับมาใช้บริการอีกในครั้งต่อ ๆ ไป
- ประการที่สี่ ผู้เชี่ยวชาญ ฮวงจุ้ย บางคนจะสนับสนุนในแขวนขลุ่ยไม้ไผ่ที่พันด้วยริบบิ้นแดง เอาไว้เหนือเครื่องคิดเงิน เพราะเหมือนกับเป็นการนำทางให้พลังชี่ไหลเวียนขึ้นข้างบน
อันหมายถึงมีลูกค้าเข้ามาอุดหนุนเพิ่มมากขึ้น แต่ตัวขลุ่ยจะต้องไม่หันขึ้นขึ้นด้านบน เพราะจะทำให้พลังชี่ไหลเวียนลงด้านล่าง และจะทำให้การค้าขายตกต่ำลงด้วย

การตกแต่งภายในบริษัท
ในปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฮ่องกงนั้น มีความเชื่อว่า ฮวงจุ้ย ที่ดีเป็นความจำเป็นอย่างหนึ่งในการแข่งขันกันทางด้านการประกอบธุรกิจ และที่มองเห็นได้ชัดเจนก็คือ
การตกแต่งภายในสำนักงาน การจัดตกแต่งภายในมักจะต้องอาศัยคำปรึกษาจากนัก ฮวงจุ้ย เกี่ยวกับหลักพื้นฐานที่จำเป็นในการออกแบบ เท่าที่ข้าพเจ้าทราบก็คือ
บริษัทหรือธนาคารต่างประเทศหรือที่เป็นนานาชาติเช่น รอธชายด์ ซิตี้แบ้งค์ เชสหรือแม้กระทั่งวอลสตรีทเจอร์นัล เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ตอ้งปรึกษากับนัก ฮวงจุ้ย ทุกครั้ง
ที่มีการเปลี่ยนแปลงโต๊ะทำงานอขงพนักงาน เพราะนั่นเหมายถึงการออกแบบสำนักงานใหม่นั่นเอง

รูปแบบการจัดสำนักงาน
การจัด ฮวงจุ้ย ภายในสำนักงานจะต้องเริ่มต้นตั้งแต่การำหนดแปลนของสำนักงาน โดยเฉพาะเรื่องตกแหน่งและการหันทิศทางห้องทำงานของนักธุรกิจหรือหัวหน้าใหญ่
ซึ่งอาจจะเป็นประธานบริษัทผู้อำนวยการจัดการ ผู้บริหารระดับสูง หรือตำแหน่งใหญ่อื่น ๆ ทั่วไป ถ้าหากคนคนนั้นมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าคนสำคัญแล้ว ฮวงจุ้ย
ห้องทำงานของเขาจะมีอิทธิพลอย่างสูงต่อการประกอบธุรกิจหรือการดำเนนงานของบริษัทผู้เป็นหัวหน้าจะต้องนั่งทำงานในตำแหน่งที่เป็นมงคลมากที่สุดและเป็นตำแหน่ง
ที่เหมาะในการสั่งงานมากที่สุดด้วย เพราะอำนาจและการบริหารเป็นเรื่องสำคัญในการทำธุรกิจ ซึ่งในตำรา ฮวงจุ้ย กำหนดให้ตั้งอยู่ในมุมที่ห่างจากทางเข้าสำนักงานมากที่สุด
เพราะการจัดห้องทำงานของหัวหน้าให้อยู่ในมุมที่ตรงข้ามเป็นแนวเฉียงจากทางเข้า (ดูภาพประกอบ) จะทำให้หัวหน้าสามารถควบคุมงานได้สูงสุด มีสมาธิมากที่สุด
และมีโชคดีมากที่สุดด้วย การบริหารงานของหัวหน้าคนนี้จะไม่เกิดปัญหา มีการตัดสินใจที่ดี และเป็นลางดีสำหรับโชคชะตาของบริษัทด้วยนอกจากนี้แล้ว ?มุมตรงข้าม?
ยังเป็นบริเวณที่มีสมรรถภาพในการเจริญเติบโตสูงด้วย และยังเป็นบริเวณที่พลังชี่มีความสมดุลดีมาก ถ้าบริเวณดังกล่าวภายในสำนักงานไม่ใช่ห้องทำงานของหัวหน้า
คนที่ได้ทำงานในที่นั้นจะได้รับโชคดีนั้นจะเกี่ยวข้องกับความเจริญรุ่งเรื่องของบริษัทหรือไม่ก็ตามการกำหนดมุมภายในสำนักงานไม่ควรสร้างความยุ่งยากด้วย
นั่นคือโต๊ะเลขานุการและโต๊ะพนักงานบริษัทที่อยู่ด้านนอก ไม่ควรจะตั้งในแนวที่จะมาสกัดกั้นการไหลเวียนของพลังชี่ พูดง่าย ๆ ก็คือ ไม่ควรมีโต๊ะของพนักงานคนใด
ตั้งขวางทางเดินที่จะนำไปยังประตูห้องทำงานของหัวหน้า

นั่งทำงานหันหน้าเข้าหาประตูเสมอ
ข้าพเจ้าเคยรู้จักสตรีนักธุรกิจเก่งกาจคนหนึ่งที่ต้องเผชิญปัญหาภายในบริษัทของเธอไม่มีวันสิ้นสุด ฮวงจุ้ย ภายในสำนักงานของเธอ ?ผิดลักษณะ? อยู่หลายแห่ง
แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือเธอนั่งหันหลังให้ประตูห้องทำงาน เมื่อสองปีที่ผ่านมา เธอต้องประสบกับปัญหาเรื่องทุจริตของพนักงานที่มักจะทำกันลับหลัง มีการขโมยความคิด
แย่งลูกค้า และเมื่อไม่นานมานี้เองที่ถึงกับขโมยเงินของเธอด้วย เรื่องทั้งหลายแหล่นี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นลับหลังทั้งสิ้น อันส่อให้เห็นว่าลักษณะการนั่งหันหลังเข้าหาประตูนั้น
จะการเปิดโอกาสให้เกิดเรื่องฉ้อโกงและทุจริตได้ ดังนั้น ห้องทำงานส่วนตัวของผู้จัดการ จะต้องวางโต๊ะให้อยู่ในมุมตรงข้างที่เฉียงกับประตู เพื่อให้สามารถควบคุม
สถานการณ์ตรงทางเข้าได้ ไม่ควรวางโต๊ะให้ชิดผนัง เพื่อให้พลังชี่ไหลเวียนไปรอบ ๆ ในขณะที่นั่งทำงาน ควรระวังอย่าให้มีหน้าต่างกระจกอยู่ด้านหลังโต๊ะด้วย
เพราะการนั่งทำงานในที่เช่นนี้จะหมายถึงการขาดสิ่งเกื้อหนุน ขาดการป้องกันด้านหลัง อันเป็นการเปิดโอกาสให้คนอื่น ๆ ?ลอบกัด? คุณได้
ห้องทำงานของผู้จัดการที่ประกอบไปด้วยทิวทัศน์ก็จัดเป็นที่ที่ดีมาก ๆ แต่อย่างไรก็ตาม พึงระวังว่า ภาพทิวทัศน์บางแห่งอาจจะเป็นแหล่งความชั่วร้ายได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้น
จึงควรตรวจสอบอย่างพิถีพิถันเกี่ยวกับภาพทิวทัศน์ของตึก อาคาร และภูมิประเทศที่มองเห็นได้จากภายในสำนักงาน ทิวทัศน์ที่นำแสงแดดจัดยามบ่ายเข้ามา
ก็นับว่าเป็น ฮวงจุ้ย ที่ไม่ดีอีกเช่นกันถ้ามีมุมแหลมยื่นเข้ามาที่สำนักงาน ก็ควรปิดม่านกั้นภาพเหล่านั้นเสีย รวมทั้งกั้นแสงแดดอันแรงกล้าด้วย การแขวนลูกแก้วเจียระไน
หลายเหลี่ยม ที่หาซื้อได้ตามร้านเครื่องไฟฟ้าทั่วไป จะช่วยแก้ไขเรื่องแสงแดดจัดได้ดี เพราะลูกแก้วจะเปลี่ยนแสงแดดให้กลายเป็นแสงสีรุ้งอันสร้างพลังชี่อันอีงามให้เกิดขึ้น
ภายในสำนักงานจะเป็นการดีสำหรับสำนักงาน ถ้าภาพภายนอกเป็นภูเขาที่อยู่ไกลประกอบกับภูมิประเทศที่สวยงาม และถ้ามีทิวทัศน์ของน้ำประกอบกับพืชพันธุ์เขียวชอุ่มอยู่ด้านนอก
ก็ควรจะใช้กระจกสะท้อนภาพอันเป็นมงคลเหล่านี้เข้ามาไว้ในสำนักงานด้วยเพื่อทำให้ฮวงจุ้ยในสำนักงานยอดเยี่ยมขึ้นการจัดสำนักงานที่ดีควรจะยึดตามกฎเกณฑ์ ฮวงจุ้ย
นั่นคือโต๊ะทำงานไม่ควรให้พนักงานหันหลังเข้าหาประตูทางเข้า ถ้าเป็นไปได้แล้วละก็ ทุกคนควรจะมองเห็นภาพตรงประตูทางเข้าได้ดี ถึงแม้ว่าภายในสำนักงานจะมีประตู
หนีไฟก็ตาม แต่ทุกคนก็ไม่ควรจะหันหลังให้ประตูทางเข้าอยู่ดี เพราะจะทำให้เกิดความไม่ลงรอย ไม่ซื่อสัตย์ และทำให้เกิดอารมณ์เสียขึ้นภายในสำนักงาน อันจะนำไปสู่การลอบกัด และการทะเลาวิวาทกันอย่างรุนแรง อีกทั้งโต๊ะทำงานก็ไม่ควรจะตั้งอยู่ใกล้ประตูมากจนเกินไปนัก เพราะจะกระตุ้นให้เกิดการขาดงาน และไม่ตั้งใจทำงานด้วย
ส่วนการจัดโต๊ะทำงานแบบในห้องเรียนโดยกำหนดให้หัวหน้าหันหน้าเข้าหาพนักงานก็ไม่ดีเช่นกัน เพราะจะทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกันอย่างรุนแรง ที่ใดก็ตามที่ทำมีปัญหา
ความไม่กลมกลืนเกิดขึ้น ตำราฮวงจุ้ยแนะว่าให้จัดดอกไม้ ต้นไม้ แก้วเจียระไน (อาจเป็นแจกันหรือที่ทับกระดาษ ฯลฯ) วางเอาไว้ในตำแหน่งนั้น ๆ เพราะจะช่วย ?ลดความรุนแรง?
ของบรรยากาศที่เต็มไปด้วยอิทธิพลของหยินได้ การจัดโต๊ะทำงานซึ่งเป็นที่นิยมกันมากก็คือ การจัดโต๊ะพนักงานตามการจัดเรียงแบบปากัว โดยเฉพาะที่จัดกันในสำนักงานเล็ก ๆ
นั่นก็คือโต๊ะทำงานจะตั้งอยู่ในแนวเฉียงคล้าย ๆ กับแต่ละด้านของปากัวการจัดเรียงเช่นนี้จะทำให้เกิดความปรองดองกันขึ้นในหมู่พวกพนักงานด้วยกัน และนำพาความโชคดี
มาให้บริษัทและธุรกิจที่กำลังดำเนินอยู่ด้วยถ้าโต๊ะทำงานตั้งอยู่ในแนวจู่โจมของระเบียงทางเดินเส้นตรง (ดังแสดงในภาพ) หรืออยู่ในแนวของความชั่วร้ายอื่น ๆ จำพวกมุมยื่น
เสาเหลี่ยมหรือหันเข้าประตูห้องน้ำ ก็ควรใช้ต้นไม้ในการกำจัดพลังชี่อันชั่วร้ายออกไปทางแก้อื่น ๆ ที่มีประสิทธิภาพดีก็คือ การใช้แก้วเจียระไนกระดิ่งลม กระถางดอกไม้และ
ตู้ปลาที่มีปลาทองว่ายวน สำนักงานที่มีสิ่งของตามฮวงจุ้ยที่งดงามเช่นนี้ มักจะก่อให้เกิดบรรยากาศในการทำงานที่เป็นสุข อันจะชักพาและกระตุ้นให้เกิดการไหลเวียนของ
พลังชี่แห่งความดีงามและความแข็งแรงเข้ามาด้วย

อาคารพาณิชย์
ฮวงจุ้ย ที่ดีสำหรับอาคารพาณิชย์จะมีแนวปฏิบัติที่คล้ายคลึงกับการจัด ฮวงจุ้ย ของบ้าน อพาร์ตเมนต์ และเรือนแถว ที่ได้กล่าวมาแล้วในบทต้น ๆ การกำหนดศูนย์การค้าก
็จำเป็นต้องหา ?มังกรเขียว? และ ?เสือขาว? เช่นกัน จากนั้นจึงกำหนดบริเวณที่จะมีพลังชี่เกิดขึ้นมากที่สุด
หลักสำคัญก็คือ ที่ดินทางซ้ายของตัวอาคารจะถูกกำหนดเป็นมังกร ซึ่งจะต้องมีระดับสูงกว่าที่ดินทางขวาที่กำหนดเป็นเสือขาวเล็กน้อย ผู้เชี่ยวชาญ ฮวงจุ้ย บางคนจะให้
รายละเอียดที่มากขึ้นว่า สัญลักษณ์ของมังกรและเสือนั้นหมายถึงความสูงและสีสันของตัวอาคารทางซ้ายและทางขวาของที่ดินที่กำลังประเมิน
ถ้าเป็นที่ดินสำหรับสร้างศูนย์การค้า ให้มองรอบ ๆ ไปยังอาคารใกล้เคียง แล้วกำหนดอาคารที่เด่นที่สุดในบริเวณนั้น เพื่อดูว่าอาคารเหล่านั้นมีความกลมกลืนกับธรรมชาติ
หรือไม่ มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ในอาคารเหล่านั้นหรือเปล่า มีภูมิประเทศอันก่อให้เกิดความสมดุลของหยินกับหยางตลอดหรือเพียงครึ่งเดียว ถนนหนทางและทางเดินเท้าอัน
ประกอบไปด้วยทางเดินข้างถนนและขั้นขอบทางนั้น เชื่อมโยงกันในลักษณะที่กลมกลืนหรือเปล่า มีต้นไม้และแสงไฟพอเพียงสำหรับสร้าง ?พื้นที่แห่งลมหายใจ? ได้หรือเปล่า ?
ถ้าบริเวณและอาคารใกล้เคียงมีความสมดุลกันดี ลำดับต่อไปก็ให้สังเกตดูว่ามีเนินเขาและทางน้ำอยู่ใกล้ ๆ หรือเปล่า ถ้ามีให้ตรวจดูว่าตึกของคุณนั้นหันหน้าไปทางน้ำและหันหลัง
ให้ภูเขาหรือไม่ เพราะลักษณะเช่นนี้จะเป็นการเสริมสมรรถภาพของฮวงจุ้ยให้กับอาคารนั้น ๆในอีกทางหนึ่ง ตัวตึกไม่ควรจะหันไปภูเขาเพราะจะทำให้โชคดีถูกสกัดกั้น
ในทำนองเดียวกัน ถ้าทางน้ำทางด้านหลัง จะหมายถึงว่าผู้พำนักจะมองเห็นโอกาสแต่ไม่สามารถจะไขว่คว้าโอกาสนั้น ๆ เอาไว้ได้ทั้งนี้เพราะสายน้ำที่ไหลผ่าน
ด้านข้างหรือด้านหลังของตัวอาคารจะไม่นำพาพลังชี่ที่ช่วยเสริมความสำเร็จมาให้ ดังนั้นลำน้ำจะต้องไหลผ่านประตูหน้าของอาคารทำเลอันเป็นมงคลมากที่สุดก็คือทำเล
ที่มีแม่น้ำไหลวนเวียนอย่างช้า ๆ ซึ่งเป็นประโยชน์มากในการเพิ่มพลังชี่ของตัวอาคารด้วยการมีภาพทิวทัศน์ของแม่น้ำรวมอยู่กับแปลนของอาคาร ถ้าตึกของคุณอยู่ใกล้แม่น้ำ
คุณควรปรึกษากับนัก ฮวงจุ้ย ผู้เชี่ยวชาญให้ช่วยคำนวณหาสื่อที่ดีที่สุดในการเก็บรักษาผลดีอันเกิดขึ้นจากน้ำเอาไว้

สร้างความกลมกลืนกับอาคารที่มีอยู่
การจัด ฮวงจุ้ย จะต้องประกอบกับรูปทรงและรูปแบบของสิ่งที่เกิดขึ้นตามสภาพแวดล้อม อาคารเพียงหลังเดียวนั้นไม่อาจจะประเมินถึงลักษณะที่ดีในตัวของมันเองได้ดังนั้น
การออกแบบอาคารพาณิชย์หรือการกำหนดภายในอาคารว่าที่ใดควรเป็นสำนักงาน ที่ใดควรเป็นร้านค้า และที่ใดควรเป็นโชว์รูมนั้น จำต้องอาศัยการตรวจสอบดูว่าอาคารที่กำลัง
ประเมินนั้น ๆ เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและสิ่งก่อสร้างจากฝีมือมนุษย์เพียงใด
ประการแรก ไม่ควรสร้างอาคารพาณิชย์แต่ละชุดให้มีระดับความสูง รูปทรง ขนาด และรูปแบบที่แตกต่างกัน เพราะทำให้มองเห็นถึงความไม่ต่อเนื่องกัน และที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือ
จะเกิดความไม่กลมกลืนกันจากมุมที่ยื่นเข้าหากันและกัน อีกทั้งเส้นมุมตึกจะ ?กระทบ? ซึ่งกันและกันด้วย ลักษณะความไม่สมดุลเช่นนี้จัดเป็นฮวงจุ้ยที่ไม่ดีซึ่งอาจจะพบเห็นได้ในตัวเมือง
บางแห่ง แต่โชคดีที่ผลร้ายจากภูมิประเทศ่ลักษณะนี้อาจจะถูกลบล้างลงไปได้ด้วยการปลูกต้นไม้ใหญ่อันทำให้ผลร้ายที่เกิดขึ้นจากความไม่สมดุลนั้นกระจายออกไปเมื่อยามที่ใบลไม้
แกว่งไกวตามแรงลม การจัดฮวงจุ้ยเช่นนี้เกิดขึ้นหลายแห่งในกรุงกัวลาลัมเปอร์
ประการที่สอง ไม่ควรสร้างอาคารให้มีระดับความสูงแตกต่างกันเพราะแสดงถึงความไม่สมดุลกันราวกับว่า ?มีบางสิ่งบางอย่างขาดหายไป? คนช่างสงสัยอาจจะกล่าวว่า
การออกแบบอาคารต่างระดับเช่นนี้เหมือนกับบันไดที่ขึ้นไปสู่ข้างบนซึ่งน่าจะเป็นลางดีสำหรับผู้อยู่อาศัย แต่ผู้เชี่ยวชาญฮวงจุ้ยกล่าวว่า บันไดไม่ได้มีไว้ขึ้นเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
เพราะบันไดใช้เป็นทางลงได้ด้วยเช่นกันประการที่สาม อาคารที่สร้างอยู่ใกล้กัน โดยเฉพาะที่เป็นตึกแถว ควรจะมีสัดส่วนเดียวกัน นั่นคือมีด้านหน้าร้านเท่ากัน มีชั้นความสูงเท่ากัน และจะต้องมีความยาวเท่ากันด้วย สัดส่วนที่กลมกลืนกันดีมักจะทำให้เกิด ฮวงจุ้ย ที่ดี และเป็นลางดีสำหรับธุรกิจการค้าในแต่ละร้านด้วย ดังนั้นถ้าคุณเป็นเจ้าของห้องแถวในอาคารพาณิชย์
คุณจะต้องระวังอย่างยิ่งไม่แบ่งหน้าร้านออกเป็นสองส่วน ราวกับว่าทำการค้าสองประเภท ถ้าคุณแบ่งหน้าร้านเช่นนี้จะทำให้หน้าร้านของคุณแคบกว่าร้านข้างเคียง ซึ่งทำให้เกิดผลร้าย
กับคุณเอง ในทำนองเดียวกันถ้าหากร้านแถวนั้นใช้ห้องแถวสองห้องทำการค้าเพื่อขยายด้านหน้าให้กว้างขึ้น การทำเช่นนี้จะก่อให้เกิดผลร้ายสำหรับคุณ แต่กลับเกิดผลดีกับร้านนั้นๆ
เนื่องจากร้านของคุณจะแคบกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับร้านใกล้เคียงในการกำหนดตึกแถวเมื่อต้องการจะเช่าตึกเพื่อทำการค้าขายจะต้องตรวจสอบร้านค้าใกล้เคียงด้วยเช่นกัน
ไม่เพียงดุแต่ว่าร้านค้าของคุณนั้นเข้ากันได้เท่านั้น แต่จะต้องไม่มีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้นจาก ฮวงจุ้ย หรือการค้าขายของร้านค้าใกล้เคียงด้วยประการที่สี่ อาคารพาณิชย์ไม่ควรก่อให้เกิดพลัง
ซาชี่อันร้ายกาจ หรือลูกศรพิษพุ่งตรงไปยังตึกข้างเคียง เพราะจะทำให้ร้านนั้น ?ตอบโต้? กลับมาโดยที่คุณไม่รู้ตัว เนื่องจากการใช้กระจกปากัวซึ่งจะสะท้อนพลังชี่อันชั่วร้ายกลับเข้าหาร้าน
ของคุณเอง มุมแหลมและแนวหลังคาที่ยื่นออกมาก็จะทำให้เกิดการสะท้อนกลับ รวมทั้งกระจกที่สะท้อนแสงไปยังร้านใกล้เคียงด้วย ถ้ากระจกไม่สะท้อนแสง ก็จะไม่ทำให้เกิดพลังซาชี่และ
ถือว่าใช้ได้ *ไม่ควร?ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะตั้งอาคารสำนักงานภายในอาคารที่มีการเดินทางพุ่งตรงเข้ามา เรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นกับร้านค้าที่อยู่ในศูนย์การค้าด้วยเช่นกัน ทั้งนี้
เพราะพลังชี่อันร้ายกาจที่เกิดขึ้นจากทางแยกเช่นนี้จะรุนแรง กระทบกระเทือน และมักจะมีพิษสงมากมายมหาศาล อันทำให้เกิดโชคร้าย ลักษณะเช่นนี้ไดแสดงเอาไว้ในภาพ
ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ จะมีอาคารสำนักงานใหญ่ของธนาคารอาหรับมาเลเชี่ยน ในจาลาน ราชจูลัน ซึ่งมองผิวเผินแล้วเหมือนกับว่าจะหันหน้าไปทางสามแยก แต่ถ้าพิจารณากันอย่างละเอียด
แล้วจะพบว่าไม่ใช่ ที่จริงแล้วตัวอาคารทั้งหมดหันทางไปยังทิศทางที่ไม่ใช่ทางแยกประกอบกับกระจกของตัวอาคารไม่ใช่กระจกสะท้อนแสง แต่กลับเป็นกระจกที่สะท้อนความงดงาม
ของท้องฟ้าสีน้ำเงิน ดังนั้นจึงเป็นลักษณะของ ฮวงจุ้ย ที่ดีต่อผู้อยู่ภายในอาคาร (ถ้าหากว่าไม่มีลักษณะอื่น ๆ เกิดความไม่กลมกลืนกันเสียก่อน) จึงดูราวกับว่าพนักงานกำลังทำงานอยู่บนท้องฟ้า
และห้องจำนวนมากดูคล้ายกับขยายใหญ่โตขึ้นด้วยจากคำแนะนำที่กล่าวมาแล้ว คงทำให้เห็นชัดแล้วว่าสิ่งที่ทำให้เกิด ฮวงจุ้ย ที่ดีก็คือความกลมกลืนนั่นเอง กลมกลืนในรูปทรง รูปแบบ
และขนาด และรวมไปถึงความกลมกลืนของสีสันและวัสดุที่ใช้ด้วยดังนั้น ในการประเมินศูนย์การค้าจะต้องดูความกลมกลืนทั้งหมดของการออกแบบด้วย อาคารศูนย์การค้าเขต 10
ของกัวลาลัมเปอร์จะมี ฮวงจุ้ย ที่ดี เพราะอาคารทั้งหมดได้รับการออกแบบที่ไม่ก่อให้เกิดผลร้ายกับบริเวณใกล้เคียง ตัวอาคารนั้นมีส่วนโค้งอย่างงดงาม ประตูทางเข้าก็มีขนาดใหญ่
กว้างขวาง และแม้กระทั่งทางขับรถเข้ามายังศูนย์การค้าไปจนถึงที่จอดรถก็กว้างขวาง และเปิดกว้างเพื่อให้พลังชี่อันดีงามไหลเวียนอย่างนุ่มนวลเข้าไปยังอาคาร บริเวณภายในศูนย์การค้า
มีการแบ่งร้านค้าต่าง ๆ ให้มีความกลมกลืนกันตามลักษณะการมองแบบ ฮวงจุ้ย ไม่มีร้านค้าใดที่มองดูคับแคบน่าอึดอัด พลังชี่ไหลเวียนอย่างนุ่มนวลจากช้นหนึ่งไปยังอีกชั้นหนึ่ง
และบันไดเลื่อนก็ไม่ได้หันหน้าตรงไปยังประตูของศูนย์การค้าด้วย

การกำหนดตัวอาคาร
ข้อแนะนำที่พอสรุปได้เกี่ยวกับการกำหนดตัวอาคาร มีดังต่อไปนี้ ถ้าให้ดีเยี่ยมแล้ว ที่ดินและอาคารที่อยู่ด้านซ้ายของประตูหน้าควรจะสูงกว่าที่ดินหรืออาคารที่อยู่ด้านขวา
ทางเข้าด้านตัวอาคาไม่ควรหันตรงไปทางสามแยกทางเข้าด้านหน้าตัวอาคารไม่ควรหันหน้าไปทางเนินเขา พื้นที่สูง หรืออาคารที่ขนาดและความสูงไม่ได้สัดส่วนกัน
ถ้ามีลำน้ำหรือแม่น้ำอยู่ใกล้ ให้หันประตูหน้าไปทางลำน้ำนั้นถ้าจะให้ดี ด้านหลังของอาคารควรจะมีเนินเขาหรืออาคารที่สูงกว่ารองรับไว้

หลีกเลี่ยง อาคารที่หันไปทางสะพานลอยที่ตีโค้งเข้าหา หรือมีลักษณะเหมือนกับจะ ?ตัด? เขามาในตัวอาคารเพื่อให้เจ้าของกิจการประสบกับความสำเร็จและความรุ่งเรืองถ้าเป็นไปได้
หลังจากที่ไดพิจารณาปฏิบัติตามคำแนะนำดังกล่าวแล้วตัวอาคารควรจะได้รับการำหนดให้สอดคล้องกับดวงชะตาของเจ้าของคนสำคัญ หรือคนที่มีตำแหน่งสูงสุด โดยการตรวจสอบ
ทิศทางที่ ?ดีที่สุด? ของเจ้าของกิจการ แล้วประตูด้านหน้าอาคารควรจะอยู่ในทิศทางนั้นด้วย รวมทั้งห้องทำงานส่วนตัวในสำนักงานภายในอาคารก็ควรจะหันไปางด้านนั้นเช่นกัน

ผู้เชี่ยวชาญฮวงจุ้ยบางคนจะกำหนดทิศทางของตัวอาคารให้สอดคล้องกับปีที่ก่อตั้งบริษัท ที่เป็นเจ้าของอาคา ส่วนข้องปฏิบัติอื่น ๆ ให้ทำตามคำแนะนำจากฮวงจุ้ยเกี่ยวกับเรื่องทิศทาง
ซึ่งได้กำหนดให้ทิศใต้เป็นทิศที่ดีที่สุด ส่วนทิศตะวันตกเฉียงเหนือและทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นทิศที่อัปมงคล เพราะเชื่อว่าจะทำให้เกิดโชคร้าย
โดยทั่วไปแล้วคนจีนเชื่อกันว่าทิศแห่งโชคดีและโชคร้ายนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปปีต่อปี และคนที่ต้องการจะทราบถึงตำแหน่งทิศทางที่ดี ก็ควรจะดูจาก ?ตงชุ? (Tong Shu) ประจำปี
ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับทิศทางที่เป็นมงคล หรือไม่ก็ศึกษาจาก ?ตำราอี้จิง? ซึ่งจะมีรายละเอียดเกี่ยวกับทิศทางเหมาะสม

ลูกศรพิษ
การสร้างอาคารพาณิชย์ก็เหมือนกับการปลูกบ้านหรืออพาร์ตเมนต์ที่จำเป็นต้องตรวจสอบภูมิประเทศโดยรอบเพื่อค้นหาลูกศรพิษเสมอเพราะลูกศรพิษเหล่านี้จะทำให้เกิดพลังซาชี่
ซึ่งนำพาความโชคร้ายมาให้อาจจะทำให้ธุรกิจต้องอับปางลง เกิดปัญหาเรื่องการเงินรั่วไหล และประสบกับความยุ่งยากทางธุรกิจอีกนานับปการเราจะต้องตรวจอะไรบ้าง ?
อาคารหรือวัตถุใดที่จะมาทำร้ายอาคารของเราแบบนี้ ? สิ่งที่แตกต่างกับฮวงจุ้ยของบ้านคือ ตัวบ้านจะมีขนาดเล็กกว่าตัวอาคารพาณิชย์ โรงงานหรือตึกใหญ่ วัตถุจำพวกเสาธง
เสาไฟ ต้นไม้ ฯลฯ ซึ่งมักจะทำลายฮวงจุ้ยของบ้านอย่างรุนแรงนั้น จะไม่มีอำนาจร้ายแรงพอกับอาคารใหญ่ เว้นเสียแต่ว่าวัตถุเหล่านี้หันตรงเข้าหาประตูหน้าหรือทางเข้าด้านหน้าของ
อาคารเท่านั้นสิ่งที่จะเข้าทำร้ายตัวอาคารมักจะเป็นรูปแบบและแนวสันของหลังคาที่ลาดชันหรือยื่นออกมา (ดังในภาพ) โดยเฉพาะพวกหลังคารูปสามเหลี่ยม ยิ่งเส้นเหล่านี้แหลมและ
ใหญ่มากเท่าใด มันก็ยิ่งมีสมรรถภาพในการทำให้เกิดโชคร้ายได้รุนแรงน่ากลัวมากขึ้นเท่านั้นในทำนองเดียวกัน มุมตึกจากบริเวณใกล้เคียงก็เป็นอันตรายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะมุมที่ ?กระทบ?
เข้าที่ด้านหน้าหรือที่ป้ายชื่อบริษัทมีตึกใหญ่แห่งหนึ่งในเมืองซาอัซ อลาม ซึ่งตั้งอยู่บนถนนไฮเวย์ที่จะไปเมืองกลาง (Klang)
ตึกหลังนี้มีการจัดวางที่ทำให้ด้านข้างของมันส่งลูกศรพิษอันร้ายกาจข้ามถนนไปกระทบกับด้านบนของโรงงาน UMW ที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเมืองซาอัซ อลาม ในช่วงกลางของ
ทศวรรษที่แปดสิบ ผลกระทบจากลูกศรพิษยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น และทำลายโรงงาน UMW อย่างยับเยินปัจจุบันนี้ ผู้ที่สนใจอาจจะขับรถไปดู ?ลูกศรพิษ? ด้วยตนเองก็ได้ เพราะมัน
ยังคมมองเห็นได้จากถนนไฮเวย์ แต่พลังร้ายของมันถูกลบล้างให้หมกสิ้นไปด้วยการปลูกต้นไม้ใบหนาเอาไว้ คอยสกัดกั้นพลังซาชี่ไม่ให้พุ่งเข้ามาหาโรงงาน UMWบางทีอาจจะมีวัตถุอื่น
ซุ่มซ่อนอยู่ใกล้ อันอาจจะทำให้เกิดพลังชี่อันร้ายกาจได้โดยที่เจ้าของบ้านไม่ทันได้เฉลียวใจเลย อย่างเช่นสิ่งที่ชาวมาเลเซียควรจะต้องระมัดระวังก็คือปืนใหญ่โบราณที่ติดตั้งไว้นอกอาคารเพื่อ
ความสวยงาม ปืนใหญ่เหล่านี้จะนำโชคร้ายสู่เพื่อนบ้านใกล้เคียงเคยมีปืนใหญ่หันเข้าหาอาคารเอตะนะ ในจาลาน ราชจูลัน ปืนใหญ่ไม่มีผลกระทบต่ออาคารทั้งหลัง แต่คนในอาคารที่อยู่
ในระยะวิถีกระสุน? คือขึ้นไปถึงชั้นห้า ต้องประสบกับโชคร้ายอันเป็นผลจากปืนใหญ่ ถ้าหากว่าไม่มีการป้องกันเอาไว้ก่อน อย่างไรก็ตาม มีเสียงเล่าลือกันว่าปืนใหญ่กระบอกนี้ถูกนำมาติดตั้ง
เพื่อลบล้างเครื่องหมายกากบาท (X) อันเกิดขึ้นจากบันไดเลื่อนภายในตัวอาคารเอตะนะที่ไปมีผลต่อธุรกิจของอาคารฝั่งตรงข้าง วัตถุอื่นจำพวกรูปปั้นเหล็กแกะสลัก ก็อาจจะเป็นสัญลักษณ์
ของพลังแห่งความชั่วร้ายได้เช่นกัน ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องระมัดระวังวัตถุเหล่านี้ให้ดี วัตถุแหลมคมใด ๆ หรือมีลักษณะคล้ายปืน?หรือขอบเหลี่ยมต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ไม่ดีทั้งสิ้น


715
บทความ บทกวี / ฮวงจุ้ย
« เมื่อ: 01 มี.ค. 2550, 03:41:45 »
   
 
   

 

การเลือกคอนโดฯ
 

 

 คอนโดรูปตัวแอล
- หากจะเลือกซื้อห้องชุดในคอนโดที่เป็นรูปตัวแอล ควรเลือกห้องที่อยู่ทางด้านฐานของตัวแอลจึง
จะดี แต่ถ้าสามารถหลีกเลี่ยงได้ก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะอาคารรูปตัว แอลเป็นลักษณะที่ปราศจาก
พลังงานแห่งโชคลาภ
 

 

 คอนโดรูปตัวยู
- คอนโดที่มีรูปทรงคล้ายตัวยู ก็ถือว่าเป็นลักษณะที่ไม่ให้คุณนัก แต่ถ้าจำเป็นต้องเข้าอยู่อาศัย
ขอให้พยายามเลือกห้องที่อยู่ทางด้านส่วนฐานของตัวยู อย่าเลือกห้องที่อยู่ทางฝั่งปีกทั้งสอง
 

 

 ตึกไร้บารมี
ตึกแถวหรือคอนโดที่ตั้งอยู่โดดๆ กลางพื้นที่ว่างไม่มีตึกอาคารอื่นๆ มาตั้ง อยู่ใกล้เคียงอาจดูดี
เพราะไม่มีตึกอื่นบาบดบังทิศทางลมและทัศนียภาพ
- แต่ความจริงแล้วอาคารสูงในลักษณะดังกล่าวบ่งบอกถึงลักษณะแห่งความไร้อำนาจบารมี
ผู้เข้าอยู่อาศัยจะได้รับพลังแห่งความโดดเดี่ยว ทำสิ่งใดมักมิได้รับความสนับสนุนและร่วมมือ
อย่างที่ควร
 

 

 ความสูงของตึกข้างเคียง
- ถ้ามีคอนโดหรือตึกแถวอยู่แวดล้อม ต้องสังเกตด้วยว่าความสูงของตึก อาคารในบริเวณข้างเคียง
นั้นเป็นอย่างไรบ้าง
- ตึกข้างหลังหากสูงกว่าตึกของเราถือว่าดี เพราะเปรียบเสมือนมีภูเขาสูง ด้านหลังเป็นที่พึ่งพิง
- ตึกทางด้านซ้าย-ขวาที่ขนาบตึกของเราอยู่ ควรมีความสูงเท่ากัน เพื่อเปรียบเสมือนมีผู้คุ้มกัน
เมื่อเข้าอยู่อาศัยแล้ว จะทำสิ่งใดก็ประสพความสำเร็จ ตึกทางซ้ายหากมีความสูงกว่าตึกทางขวา
ก็มิเป็นไร แต่ถ้าตึกขวามือสูงกว่าถือว่าไม่ดี
 

 

 คอนโดหลายอาคาร
- คอนโดมิเนียมบางแห่งเป็นอาคารหลายหลังอยู่ในบริเวณเดียวกันและมีความสูงเท่าๆ กันหมด
การเลือกซื้อห้องชุดขอให้เลือกคอนโดหลังที่อยู่ ตรงกลาง โดยมีอาคารหลังอื่นๆ ขนาบข้างเป็น
บริวาร
- หากไม่สามารถเลือกหลังกลางได้ ให้เลือกหลังใดก็ได้ที่อาคารอื่นๆ ขนาบ ข้างเสมือนบริวาร
ควรหลีกเลี่ยงหลังแรกสุดกับท้ายสุด
 

 

 รูปทรงคอนโด
- ถ้าไม่สามารถหารูปทรงคอนโดที่เหมาะสมกับธาตุกำเนิดได้ก็ขอให้เลือกคอนโดรูปสี่เหลี่ยม
ผืนผ้า ซึ่งเป็นรูปทรงของอาคารสูงทั่วๆ ไป นั้นเอง
- ข้อสำคัญคือ อย่าเลือกคอนโดรูปทรงแปลกๆ แม้ว่าจะดูสวยหรือทันสมัยเพียงใดก็ตามแต่
รูปทรงแปลกๆนั้นล้วนแต่มิใช่ลักษณะที่ให้โชคลาภแต่ อย่างใด
- หลีกเลี่ยงรูปทรงเว้าๆ แหว่งๆ รูปทรง 6 เหลี่ยม 8 เหลี่ยม เหมาะกับ สถานที่ราชการหรือ
โรงแรม ตัวอาคารควรเต็มทุกเหลี่ยมทุกมุม เพื่อให้ เกิดความมั่นคงและสงบสุขในการอยู่อาศัย
 

 

 ห้องเสียเงิน
- หลีกเลี่ยงการเลือกซื้อหรือเข้าอยู่อาศัยในห้องที่อยู่ในแนวหันหน้าเข้ารับ ลิฟท์หรือบันไดขึ้น-ลง
ห้องในลักษณะนั้นจะส่งผลให้ผู้อยู่อาศัยมีแต่เรื่อง เสียเงินทอง แม้ว่าจะหาได้มากก็หมดเปลือง
มากตามไปด้วย
 
 
 

 ห้องมั่นคง
- ถ้าเลือกห้องที่อยู่ตำแหน่งกลางตัวอาคารได้จะเป็นมงคลดีในด้านความมั่นคงต่อเรื่องเงินทอง
อาชีพการงานและสภาพความเป็นอยู่ หากแถวหนึ่งมีห้องจำนวน 10 ห้อง ก็ควรเลือกอยู่ห้องที่ 5
และ 6 ถ้ามี 8 ห้องใน 1 แถว ห้องที่ดีคือ ห้องที่4 >และ 5 เป็นต้น
 

 

 ห้องมงคล
- ห้องที่อยู่อาศัยแล้วจะมีแต่ความสุขความเจริญยิ่งขึ้น คือ ห้องที่หันหน้า ออกไปทางด้านหน้า
อาคาร คือประตูของห้องตั้งอยู่ในแนวทางเดียวกับประตูทางเข้าอาคารนั่นเอง
- ผู้ที่เลือกห้องซึ่งมีประตูหันไปด้านหลังอาคารหรือทางด้านข้างจะไม่ได้รับโชคลาภและความสุข
สงบนักในการอยู่อาศัย เพราะมิได้รับพลังงานที่ดี ซึ่งจะเข้ามาทางด้านหน้า
 

 

 ห้องอับโชค
- หลายท่านชอบเลือกห้องมุมซึ่งดูสงบและเป็นส่วนตัวดี ไม่มีผู้คนเดิน ผ่านหน้าห้องมากมาย
ให้รำคาญใจ แต่ที่แท้แล้วห้องมุมสุดของช่องทาง เดินเป็นห้องที่มิได้ให้โชคลาภใดๆ เลย เข้าอยู่
อาศัยแล้วมีแต่จะพบอุปสรรค และอาภัพโชคร่ำไป (หากมีช่องหน้าต่างใหญ่ๆ อยู่ที่ผนังสุดทางเดินก็พอช่วยบรรเทาอุปสรรคได้ แต ่ก็ยังไม่ดีนัก )
 
การดูฮวงจุ้ยภายในห้องชุด
 
   

 ลักษณะอับโชค
 - ประตูห้องไม่ควรอยู่ตรงกันพอดีกับห้องฝั่งตรงข้าม
 - อย่าเลือกห้องที่อยู่มุมสุดทางเดิน
 - อย่าเลือกห้องที่อยู่ใกล้ช่องทางทิ้งขยะ
 - ประตูห้องหันหน้ารับลิฟท์หรือบันไดถือว่าไม่ดี
 - เปิดประตูเข้าไปไม่ควรเห็นห้องน้ำอยู่ทางหน้าห้อง
 - ห้องครัวหรือเคาน์เตอร์ทำครัว ไม่ควรอยู่ค่อนมาทางด้านหน้าห้อง
 - ประตูห้องน้ำหันชนกับประตูห้องนอนหรือปลายเตียงถือว่าไม่ดี
 - ตำแหน่งที่ตั้งเครื่องเตาและกระทะไม่ควรอยู่ใกล้กับก๊อกน้ำ
 - ห้องนอนไม่มีหน้าต่างไม่ได้
 - อย่าเลือกห้องที่อยู่ฝั่งปีกด้านใดด้านหนึ่งของตัวอาคาร
 - อย่าเลือกห้องที่ยื่นลอยอยู่ในอากาศโดยไม่ได้อยู่บนตัวอาคารที่ก่อสร้างมีฐานยึดอยู่กับพื้นดิน
 - มุมทำครัวไม่ควรอยู่หน้าห้องน้ำ
 - หลีกเลี่ยงห้องที่อยู่ใต้แท๊งก์น้ำขนาดใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ชั้นบนของห้องนั้น
 - เปิดประตูห้องเข้าไปไม่ควรเห็นเตียงตั้งโดดเด่นรับตาคน ให้หาม่านหรือตู้มาตั้งบังตาเสีย
 

 ลักษณะส่งเสริมโชคลาภ
 - ประตูห้องหันหน้าออกไปในทิศทางเดียวกับประตูใหญ่เข้าตัวอาคาร
 - ห้องน้ำอยู่ทางส่วนด้านหลังของห้อง
 - เป็นห้องที่อยู่กลางๆ ของแถวเดียวกัน มีห้องบริวารซ้ายขวาขนาบด้วย
 - มีม่านหรือฉากหรือตู้-ชั้น กั้นบริเวณต่างๆ ให้เป็นสัดส่วน ในกรณีที่ เป็นห้องเดียวมิใช่ห้องชุด
 - กั้นส่วนที่เป็นมุมครัวและเตียง อย่าให้มองเห็น ได้ถนัดชัดเจนทุกๆ มุมในห้อง
 - ปลูกต้นไม้ใส่กระถางไว้ที่ระเบียง
 - มีส่วนของหน้าต่างอยู่พอเพียงและสมดุลกับขนาดของห้อง
 - บริเวณหรือมุมทำครัวอยู่ส่วนด้านหลังของห้อง มิใช่ด้านหน้า
 - มองจากหน้าต่างออกไปเห็นวิว ทิวทํสน์ที่ดี มิใช่มองเห็นทุ่งรกร้าง สุสาน วัด หรือโรงพยาบาล
 


 ห้องครัว
 - มุมที่จัดแต่งเป็นมุมทำครัวควรอยู่ด้านหลังของห้อง อย่าจัดวางในส่วน ด้านหน้าห้อง เมื่อเปิด
  ประตูเข้ามาแล้วเห็นมุมครัวเลยถือว่าไม่ดี ทำให้สุขภาพอ่อนแอ เงินทองรั่วไหลได้ง่าย
 - หากไม่สามารถโยกย้ายได้จริงๆ ก็อาจหาฉากหรือชั้นมาตั้งเพื่อกั้นบังตาไว้เป็นการแก้เคล็ด
 - ตั้งวางเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ไว้ชิดผนังด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อให้เกิดความมั่นคงในฐานะการเงิน
  และอาชีพการงาน อย่าตั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ไว้บนโต๊ะที่โล่งว่าง
 - มุมที่จัดวางเตาและกระทะต่างๆ ไม่ควรชิดผนังห้องน้ำ ลักษณะเช่นนั้นจะบั่นทอนสุขภาพ
  และมีผลกระทบต่อเรื่องเงินทองด้วยเช่นกัน
 - ซิงก์ล้างจานอย่าจัดวางให้ชิดกับเตาไฟหรือที่ปรุงอาหารซึ่งเป็นไฟ จะทำให้ทรัพย์สินเงินทอง
  มีปัญหา ความสัมพันธ์ระหว่างคู่รักสามี-ภรรยาก็จะกระทบกระทั่งกันจนร้าวฉานได้ในที่สุด
 
ขึ้นบน  up                      หน้าแรก ฮวงจุ้ย
 

716
 การเล่นพระเครื่อง ถือว่าเป็นการสะสมสิ่งที่มีคุณค่ายิ่ง สำหรับ
ไว้กราบไหว้บูชาและใช้เป็นเครื่องป้องกันภัยภยันตรายต่างๆ และ
ผู้ที่สนใจถึงขั้นสุดยอดแล้ว ท่านผู้นั้นจะเป็นผู้มีความสันโดษ เป็น
ผู้สุขุมรอบคอบ มีเหตุผล และใช้ความรู้ความมั่นใจ ตัดสินใจด้วย
ความแน่แน่ เป็นผู้ที่เยือกเย็นมองเห็นชีวิตว่าเป็นอย่างไร ไม่เอะอะ
โวยวายเมื่อผิดพลาด

ท่านพึงระลึกไว้เสมอว่า ความรู้นั้นมีการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มพูนใหม่ๆ
อยู่เสมอแม้แต่พระเครื่องเองก็มีของใหม่ของดี เพิ่มเติมออกมาใหม่เสมอ
ที่จะเป็นนักเลงพระจะต้องเป็นผู้ที่มีความสนใจ ศึกษาดูจากของจริง อ่านจาก
ตำราต่างๆ ที่มีการรวบรวมอย่างถูกต้อง ซึ่งจะช่วยท่านได้อย่างมากมาย
การที่ท่านรู้จักของจริงนั้น จะเป็นสิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้ว่าในวันหนึ่งข้างหน้า
ท่านจะพบและได้สิ่งนั้นในราคาไม่แพงนัก




บัญญัติ ๑๐ ประการของนักเลงพระ มีดังนี้


๑. ใจเย็น ผู้ที่เล่นพระควรจะเป็นผู้ที่ใจเย็นไม่งกอยากได้ของๆ เขา จนมองไม่เห็นว่าอะไรไม่สมควร การรีบร้อนจนเกินไป บางทีอาจมีการผิดพลาดได้ง่าย การเป็นผู้รู้อะไรไม่ควรนั้นนักเลงพระจะต้องมีอยู่ในใจ


๒. เล่นซื่อ นักเลงพระควรมีคุณธรรมประจำใจ ไม่โกหกเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นจนเกินไป ของแท้ควรบอกว่าแท้ การเอาของเทียมไปหลอกว่าแท้นั้น ไม่กี่วันก็จะต้องมีผู้รู้จนได้ เพราะของจริงนั้นย่อมเป็นของจริงอยู่ตลอดไป


๓. มือถือ นักเลงพระที่ดีจะต้องมีความรู้ ดูเป็นรู้ราคาของนั้นดีเลว มีราคาค่างวดเพียงไร เมื่อเห็นต้องบอกได้ว่าพระนั้นอยู่ในขั้นหรืออยู่ในระดับใด มีความรู้พอไม่เป็นเหยื่อของนักหลอกลวงได้ง่ายๆ


๔. ตรึงราคา จงรู้ว่าของแท้นั้นมีราคาค่างวดอย่างไร ของที่ดีของที่สวย เมื่อจะปล่อยก็จงสืบให้รู้ว่าราคามีอย่างไร และในการบูชาก็จงสู้ให้ถึงราคา จงจำไว้ว่า ของที่สวยของที่แท้และงดงามนั้นราคาจะสูงและนับวันราคาจะสูงขึ้นเรื่อยๆ


๕. ไม่บ้าลม นักเล่นที่ดีจงเล่นด้วยตา เล่นด้วยความมีสติรอบคอบรู้ถึงสภาพความเป็นจริงถึงอายุ สมัยและชั้นของพระ อย่าฟังคนขายเพ้อพกโกหกปั้นน้ำเป็นตัวหลอกลวงยัดเยียดของที่ไม่ถึงให้


๖. อย่านิยมถ้าสงสัย การบูชาพระจงต้องรู้ถึงเนื้อของพระ รู้ถึงสมัยของพระและจะต้องศึกษาดูของเก๊และของที่ทำออกมาใหม่ๆ อยู่เสมอ พระใดที่สงสัยแล้วควรจะตัดใจเสียทันที เพราะเท่าที่เคยผ่านมา พระเก๊นั้นเราจะรู้ทันทีเมื่อแรกเห็น หากเรากลับเปลี่ยนใจมาจับมักจะพลาดเสมอ


๗. คิดหนทางไกลดีกว่าใกล้ การเล่นพระเราเล่นเพื่อความสุขใจ มิใช้เล่นเพื่อเป็นอาชีพ เราเล่นเพื่อรู้จักคุ้นเคยกัน ฉะนั้นบางครั้งก็มีควรจะมีการผ่อนสั้นผ่อนยาวให้กันบ้าง การที่ยอมเสียเปรียบให้กันและกันบ้างเล็กๆ น้อยๆ นั้นควรมีอยู่เสมอ การเล่นนั้นไม่แน่นักว่าใครจะได้เปรียบกัน ตราบใดที่เรายังสนใจอยู่นั้น เราก็ยังมีโอกาสได้ของดีอยู่เสมอ


๘. หัวอ่อนไม่ถือตัว พึ่งระลึกไว้เสมอว่าไม่มีใครรู้จักพระทุกอย่างหมด แต่ผู้ที่เล่นมาก่อน ผู้ที่เคยเดินทางรู้มากก็เห็นมาก ย่อมีภาษีดีกว่า ฉะนั้นเมื่อเราไม่รู้ควรจะปรึกษาหาความรู้จากท่านเหล่านั้น โดยตีตัวเสมอศิษย์ ไม่อวดดีจนเขาเขม่นไม่อยากให้คำแนะนำ


๙. กล้าไม่กลัวถ้าของแท้ ในชีวิตของการเล่นพระ ท่านจะมีโอกาสเสมอที่จะพบของแท้ ของสวย เมื่อท่านพบจงตัดสินใจแลกเปลี่ยน หรือบูชา แม้ว่าราคาจะสูงก็ตาม แต่ของนั้นจะมีราคาสูงยิ่งขึ้นอีกเมื่อเวลาผ่านไป ฉะนั้นจงตัดสินใจกล้าสู้ แล้วท่านจะมีของแท้ไว้ใช้กับตัว


๑๐. ใจแน่วแน่ถ้าจับผิด นักเลงทุกคนมีโอกาสจับผิดอยู่เสมอ เมื่อท่านจับผิดไม่ควรเอะอะโวยวายหรือเสียใจ เพราะของที่ท่านชอบนั้น ก็ยังมีผู้อื่นที่รู้น้อยกว่าท่านชอบอยู่เช่นกัน ไม่ว่าวันใดก็วันหนึ่งท่านย่อมมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนไป


จากข้อคิดทั้ง ๑๐ ประการข้างต้น คงจะให้แนวความคิดแก่ท่านที่สนใจไม่มากก็น้อย ถ้าเราคิดว่าชีวิตคือการต่อสู้แล้ว การเป็นนักเลงพระเครื่องท่านมีโอกาสได้ต่อสู้อย่างเต็มที่ ท่านจะต้องใช้ความรู้ สติปัญญา ความรอบคอบสุขุม และสามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ เก็งใจผู้อื่นถูกต้อง นอกจากนั้นท่านจะต้องมีหลักประจำใจ พึงระลึกไว้ว่า ของดีจะอยู่กับคนดีเท่านั้น แล้วท่านจงปฏิบัติตามแนวทางที่เสนอแนะ หวังว่าท่านคงจะได้ของดีไว้กับตัว

717
บทความ บทกวี / ตายแล้วไปไหน
« เมื่อ: 01 มี.ค. 2550, 03:21:49 »
สิ่งที่คนกลัวเหมือนกันและไม่อยากพบเจอกับตน เพียงแค่นึกถึงก็ให้รู้สึกสะดุ้งตกใจ สิ่งนั้นคือความตาย จริงอยู่อาจมีบางคนที่ไม่กลัวตายก็มี เช่น ถูกโรคภัยเบียดเบียนทนทุกขเวทนาต่อไปไม่ไหวเกิดเบื่อหน่ายในชีวิตและสังขารก็อยากตาย คนที่กล้าเข้าประจัญบานกับภัยไม่กลัวอันตราย เช่น ผู้ที่เข้าสงครามหรือเล่นเกมท้าความตายต่างๆ ผู้ที่ยึดมั่นในหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติและในศาสนาบางศาสนาที่ผู้นับถือเชื่อว่าหากตายเพื่อศาสนาหรือพระเจ้าของเขาแล้วจะได้บุญ หรือผู้ที่กลัวว่าสิ่งที่ตนรักและบูชาจะเป็นอันตรายเหล่านี้ เมื่อมีเหตุสะเทือนใจเกิดขึ้นขณะใด ขณะนั้นอาจสละชีวิตได้ ไม่เป็นผู้กลัวตายเลย แต่ถ้าไม่มีเหตุสะเทือนใจมากระตุ้นก็อาจกลัวตายได้เหมือนกัน เป็นอันว่าเกิดเป็นคนจะพ้นจากความหวาดสะดุ้งกลัวต่อความตายเสียทีเดียวไม่ได้ จะกลัวมากกลัวน้อยก็สุดแต่กำลังใจที่เคยฝึกกันมาแตกต่างกัน และเหตุสะเทือนใจมากน้อยเพียงไหน การจะหาผู้ไม่กลัวตายเลยนั้นคงยาก ถ้าคนไม่กลัวตายสำหรับคนขลาดที่ไม่กล้าต่อสู้กับความลำบากเดือดร้อนในชีวิตก็อาจฆ่าตัวตายกันหมด ความกลัวตายดูเหมือนจะไม่เป็นมาแต่กำเนิด ไม่เหมือนอย่างเรื่องหิวข้าวหิวอาหาร ซึ่งพอเกิดมาร้องแว้ก็เริ่มรู้จักกินเป็นแล้ว เด็กที่ยังไม่เดียงสาจะไม่กลัวความตายเลย จะเกิดกลัวก็ต่อเมื่อมีปัญญารู้คิดขึ้นมาบ้างแล้ว สัตว์ชั้นต่ำอาจมองดูเพื่อนที่ตายไปโดยไม่หวาดสะดุ้งกลัว เช่น ไส้เดือน กิ้งกือ แต่สัตว์ชั้นสูง เช่น ช้าง ม้า เมื่อเห็นความตายมาสู่พวกของตัวก็ตระหนกตกใจกลัวได้ เป็นอันว่าสัตว์ที่รู้คิดบ้างแล้วย่อมรู้สึกกลัวตาย
 
ความตายเป็นของลึกลับสำหรับคนเป็น คนที่เคยอยู่ร่วมกัน เห็นอยู่หลัดๆ เมื่อมาพลัดพรากตายจากไป เราก็อาลัยและใจหาย รู้สึกว่าความคุ้นเคยที่มีอยู่เกี่ยวกับความเป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ สามี หรือภรรยา ต้องมาขาดสะบั้น ไม่มีวันได้พบกันอีก เมื่อหวนระลึกถึงอดีตที่ผู้ตายได้เคยพูดคุย ได้เคยช่วยเหลือเกื้อกูลกันอย่างนั้นอย่างนี้ ต่อไปนี้ไม่มีอีกแล้ว หากผู้ที่ไม่เคยฝึกจิตระลึกถึงความตายมาก่อน จะเกิดโทมนัสเสียใจอย่างมาก เป็นความเศร้าเจือด้วยความอาลัยอาวรณ์คนึงหา โดยไม่รู้ว่าผู้ตายไปอยู่ ณ แห่งหนใด สุขทุกข์อย่างใดไม่ปรากฏ ยิ่งผูกพันใกล้ชิดกับผู้ตายมากเพียงใด ความเศร้าโศกจะมากเพียงนั้น
 
ตายแล้วเกิดหรือไม่
 
ในครั้งพุทธกาลเคยมีคนไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า สัตว์ที่ตายแล้วจะเกิดอีกหรือไม่ พระองค์ไม่ทรงตอบว่าตายแล้วเกิดหรือสูญ เพราะในยุคนั้นความเห็นของคนเกี่ยวกับเรื่องความตายมี ๒ จำพวก คือ พวกหนึ่งเห็นว่าตายแล้วเกิด เรียกว่า สัสสตทิฏฐิ อีกพวกหนึ่งเห็นว่าตายแล้วสูญ เรียกว่า อุจเฉททิฏฐิหากพระองค์ตรัสอย่างใดอย่างหนึ่งก็จะไปพ้องกับลัทธิความเชื่อของฝ่ายนั้นๆ ไป แต่พระองค์จะตรัสเป็นกลางๆ ว่า จะเกิดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย หากมีปัจจัยเป็นเหตุให้เกิดก็ต้องเกิด ถ้าหมดเหตุปัจจัยก็ไม่เกิด ส่วนผู้ที่ตายแล้วไม่ต้องเกิดอีก เพราะได้เข้าถึงสภาวะที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดอีก ได้แก่พระอรหันต์จำพวกเดียวเท่านั้น นอกนั้นต้องเกิดใหม่ทั้งหมด ส่วนจะไปเกิดเป็นอะไรค่อยมาว่ากันในตอนท้ายเพราะฉะนั้น หากสมมุติว่ามีใครมาด่าว่าเราว่า ขอให้ตายอย่าได้ผุดได้เกิดเลย ก็จงอย่าโกรธเคืองหรือโต้ตอบเขา ให้คิดว่านั่นคือคำให้พรและให้ยกมือสาธุพร้อมกล่าวว่า ขอให้เป็นจริงเถอะ เพราะผู้ที่ตายแล้วไม่เกิดมีบุคคลจำพวกเดียว คือ พระอรหันต์
 
เหตุแห่งการตาย สาเหตุที่ทำให้ตายมีประเด็นใหญ่ๆ อยู่ ๔ ประการ คือ
 
๑. ตายเพราะสิ้นอายุ (อายุกขยมรณะ) ในสมัยครั้งพุทธกาล อายุขัยของคนในยุคนั้น คือ ๑๐๐ ปี มาปัจจุบันนี้ล่วงมาได้ ๒๕ ศตวรรษ คือ ๒,๕๐๐ กว่าปี อายุจึงลดลงมาอีก ๒๕ ปี ฉะนั้นอายุขัยของคนปัจจุบันนี้จึงมีแค่ ๗๕ ปี วิธีคำนวณคือนับแต่ปีพุทธปรินิพพานมา ๑๐๐ ปี (๑ ศตวรรษ) ลดไป ๑ ปี เพราะฉะนั้นเมื่อเวลาล่วงไป ๒๕ ศตวรรษ จึงเท่ากับ ๒๕ ปี ใครที่ตายในช่วงอายุ ๗๔ หรือ ๗๕ ปี ถือว่าตายเพราะสิ้นอายุขัย แต่ถ้าใครอยู่เกินไปกว่านั้นจัดว่าเป็นบุญ
 
๒. ตายเพราะสิ้นกรรม (กัมมักขยมรณะ) ผู้ที่จะไปเกิดในภพภูมิใด จะดีเลวหรือประณีตอย่างไร กรรมที่แต่ละคนสร้างเป็นผู้ลิขิตให้เป็นไปอย่างเช่น การจะมีสิทธิ์มาเกิดเป็นมนุษย์อย่างน้อยต้องเคยมีศีล ๕ หรือกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการมาก่อน และเมื่อเกิดมาเป็นคนแล้วยังแตกต่างกันด้วยรูปร่าง ผิวพรรณ ฐานะ ตระกูล อุปนิสัย อายุสั้นหรืออายุยืนเป็นต้น เพราะสัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีกรรมเป็นของตน จะต้องเป็นผู้รับผลของกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ใครทำกรรมอันใดไว้ จะดีหรือชั่วก็ตามต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น การที่ตายเมื่อยังไม่ถึงวัยอันควรเป็นเพราะกรรมฝ่ายกุศลที่ส่งให้เขาเกิดมาเป็นคนนั้นหมดไปเหมือนคำพูดที่ว่า สิ้นบุญหรือหมดบุญนั่นแหละ
 
๓. ตายเพราะสิ้นทั้งอายุและกรรม (อุกบัลขยมรณะ) คนที่มีอายุบางคนร่างกายยังแข็งแรงดีและไม่มีโรคภัยประจำตัว แต่พอถึงคราวตายก็ตายไปเฉยๆ เหมือนว่าหลับแล้วไปเลยไม่ตื่น อย่างนี้ก็เข้าลักษณะนี้ คือหมดทั้งอายุและกรรม
 
๔. ตายเพราะถูกกรรมตัดรอนหรืออุบัติเหตุ (อุปัจเฉทกกรรมขยมรณะ) ปัจจุบันคนที่ตายเพราะเหตุนี้มีมาก มีทั้งตายเดี่ยวและตายหมู่ อันเนื่องจากอุบัติเหตุต่างๆ รวมทั้งโรคภัยที่รักษาไม่หายด้วยเป็นที่น่าเสียดายว่าเขายังไม่ถึงวัยอันควรต้องตาย แต่มาตายไปเสียก่อน เกี่ยวกับเรื่องนี้ในทางพระพุทธศาสนาได้กล่าวถึงสาเหตุไว้ว่า "บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นสตรีก็ตาม เป็นบุรุษก็ตาม เป็นผู้มักทำสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วงไป เป็นคนเหี้ยมโหด มีมือเปื้อนเลือด หมกมุ่นในการประหัตประหาร ไม่เอ็นดูเหล่าสัตว์มีชีวิต เขาตายไปจะเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก เพราะกรรมนั้น หากตายไปยังไม่เข้าถึงอบาย เกิดมาก็จะเป็นคนมีอายุสั้น คนที่เกิดมามีอายุสั้นเพราะผลแห่งปาณาติบาต"
 
ปัจจัยนำให้ไปเกิด ตามที่กล่าวข้างต้นว่า คนที่ตายแล้วเกิดก็มี ไม่เกิดก็มี แต่ที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะผู้ที่ต้องเกิดอีกว่ามีสาเหตุมาจากอะไร ในทางพุทธศาสนาได้กล่าวถึงสาเหตุไว้ ๓ ประการ คือ
 
๑. กัมมัง เขตตัง มีกรรม คือการกระทำทางกาย วาจา และใจ เป็นเสมือนเนื้อนาหรือดินไว้เพาะพืชพันธุ์ต่างๆ
 
๒. วิญญาณัง พีชัง มีวิญญาณ คือความรู้สึกนึกคิด เสวยอารมณ์ต่างๆ ที่เรียกว่า จิตหรือใจ เปรียบเสมือนเมล็ดหรือหน่อพืช
 
๓. ตัณหา สิเนหัง กิเลสทั้งหลายมีตัณหาเป็นต้น เปรียบเหมือนยางเหนียวที่อยู่ในเมล็ดพืชนั้น
 
การที่เมล็ดพืชจะงอกใหม่ได้ ปัจจัยสำคัญอันหนึ่งคือ ยางเหนียวที่มีอยู่ในเมล็ดพืชนั้น ได้แก่ ตัณหา หรือกิเลสทั้งหลาย เมื่อมีกิเลสตัณหาจึงสร้างกรรมซึ่งเป็นเสมือนเนื้อนาที่มีธาตุอินทรีย์อุดมสมบูรณ์ให้พืชพันธุ์ต่างๆ งอกงามต่อไป เพราะฉะนั้น การตัดยางเหนียวคือตัณหาออกเสียได้ คือการตัดต้นเหตุของการเกิดได้โดยแท้จริง เพราะเหตุนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเป็นปฐมพุทธพจน์ หลังจากตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณใหม่ๆ ว่า "เราเมื่อแสวงหาช่างผู้ทำเรือนคืออัตภาพ เมื่อไม่พบได้ท่องเที่ยวไปแล้ว สิ้นสงสาร นับด้วยชาติมิใช่น้อย ความเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์
 
ดูกรช่างผู้ทำเรือน คือ อัตภาพ เราพบท่านแล้ว ท่านจะทำเรือน คืออัตภาพของเราอีกไม่ได้ โครงบ้านของท่านทั้งหมด เราทำลายแล้วยอดแห่งเรือนคืออวิชชาเรารื้อแล้ว จิตของเราถึงพระนิพพานแล้วเพราะเราได้บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นตัณหาทั้งหลายแล้ว"
 
นิมิตปรากฏก่อนตาย
 
ก่อนที่จะถึงวาระสุดท้ายของชีวิต จิตที่เรียกว่าจุติจิตหรือตายนั้น จะมีอาสันนกรรม คือ กรรมที่ทำในเวลาจวนเจียนใกล้ตายมาปรากฏ ถ้าเป็นฝ่ายกุศลก็ไปสู่สุคติ ถ้าเป็นอกุศลก็ไปทุคติ ท่านอุปมาอาสันนกรรมเหมือนโค แม้จะทุพพลภาพ แต่อยู่ใกล้ประตูคอก เมื่อเจ้าของโคเปิดประตูคอก โคตัวนั้นก็ออกได้ก่อนตัวอื่น คตินี้คนไทยได้ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาแต่โบราณว่า เมื่อเห็นปูชนียบุคคลของตนเช่น พ่อ แม่ ป่วยหนัก ท่าจะไม่รอดแน่ ลูกหลานก็จะหาดอกไม้ ธูป เทียน มาใส่ไว้ในซองมือแล้วบอกเตือนสติให้ท่านนึกถึงบุญกุศลคุณความดีที่เคยสร้าง หรือให้ภาวนาว่า อรหังๆ หรือ พุทโธๆ แล้วแต่กรณี แต่ปัจจุบันนี้ คนส่วนมากมักตายในห้องไอซียู ไม่ได้อยู่ท่ามกลางหมู่ญาติ แต่อยู่ท่ามกลางแพทย์และพยาบาล ซึ่งไม่ได้รู้จักมักคุ้นกันมาก่อนและไม่ได้บอกทางสวรรค์ให้ บุคคลเหล่านี้เพียงแต่คอยดูแลช่วยปั๊มหัวใจให้ออกซิเจนหรืออื่นๆ ตามวิธีรักษาของเขา ก็ไม่แน่ใจว่าผู้ที่ตายเช่นนี้จะมีสติระลึกถึงกรรมที่เป็นฝ่ายกุศลได้หรือไม่ โดยอารมณ์ของคนที่ใกล้จะตายจะมีนิมิตมาปรากฏทางมโนทวาร ๓ อย่าง ดังนี้
 
๑. กรรมารมณ์ เคยทำกรรมอะไรมาเป็นประจำ ทั้งดีหรือไม่ดี จิตก็จะเหนี่ยวนึกเอาสิ่งนั้นเป็นอารมณ์ หรือจะเรียกว่าอาสันนกรรม คือกรรมที่จวนเจียนใกล้ตายกำลังให้ผลก็ได้ ภาษาพระท่านเรียกวิถีจิตตอนนี้ว่า มรณาสันนชวนะ คือกระแสจิตที่แล่นไปสู่ความตาย
 
๒. กรรมนิมิตตารมณ์ เมื่อจิตไปยึดเกาะกรรมใดมาเป็นอารมณ์แล้วจะเกิดนิมิตหรือภาพเกี่ยวกับกรรมนั้นให้เห็นทางมโนทวารในลำดับต่อมา เช่น เคยฆ่าคน ฆ่าสัตว์หรือทรมานสัตว์ ภาพเหล่านั้นจะมาปรากฏหรืออาจจะเห็นคนหรือสัตว์ที่ถูกฆ่าเหล่านั้นมาทวงเอาชีวิตไป ส่วนกรรมดี เช่นเคยทำบุญ ให้ทาน รักษาศีลหรือฟังธรรม เป็นต้น ภาพเหล่านั้นจะมาปรากฏทำให้จิตแช่มชื่นเบิกบานแจ่มใส
 
๓. คตินิมิตตารมณ์ ลำดับจิตขั้นตอนนี้จะเห็นคติ คือ ภพหรือภูมิที่จะไปเกิดว่าจะไปสู่สุคติหรือทุคติ อาจจะเห็นเป็นรูปวิมาน เป็นนรก เป็นเหว เป็นไฟนรก เป็นต้น ซึ่งผู้ที่เคยอยู่ใกล้ชิดคนตายจะเคยเห็นอาการของคนใกล้จะตายแตกต่างกัน ตามอารมณ์ที่ปรากฏแก่จิต ผู้จะตายในขณะนั้นๆ บางคนแสดงถึงความทุกข์ทรมาน หวาดกลัว ประหวั่นพรั่นพรึงให้ปรากฏก่อนจิตจะดับ บางคนก็ตายด้วยอาการอันสงบใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
 
อารมณ์ทั้ง ๓ นี้ จะเกิดทางมโนทวาร คือ เฉพาะทางใจของผู้ที่ใกล้จะตายเท่านั้น บุคคลอื่นจะไม่เห็นนิมิตที่ปรากฏทางใจของเขา เช่น ในครั้งพุทธกาล ท่านธรรมิกอุบาสกก่อนจะดับจิตฟังพระสวดมหาสติปัฎฐานสูตรอยู่ นิมิตตารมณ์ที่ปรากฏแก่ท่าน คือ เทวดานำราชรถมารอรับท่านไปสู่วิมานสวรรค์ ท่านเกรงว่าจะรบกวนพิธีที่พระกำลังเจริญพระพุทธมนต์อยู่จึงห้ามเทวดาว่า หยุดก่อนๆ พวกลูกๆ ของท่านเข้าใจว่าพ่อตัวเองคงจะเพ้อ พระยังสวดไม่จบจะให้หยุดทำไม ธรรมิกอุบาสกบอกว่า พ่อไม่ได้เพ้อ แต่เป็นเพราะเทวดาเอาราชรถมารอรับพ่ออยู่ พ่อจึงห้ามไว้รอให้พระสวดจบก่อนแล้วจึงค่อยไปแล้วชี้ให้ลูกดูราชรถที่จอดรออยู่บนอากาศ พวกลูกไม่เห็น ท่านจึงให้ลูกโยนพวงมาลัยไปบนอากาศ พวงมาลัยนั้นไปคล้องที่ปลายงอนราชรถแขวนอยู่บนอากาศอย่างนั้นพวกลูก ๆ จึงเชื่อ
 
เมื่อตายแล้วเกิดทันทีหรือล่องลอยเป็นสัมภเวสีหาที่เกิดอยู่
 
ตามความรู้สึกของคนทั่วไปมักเชื่อว่า คนที่ตายแล้ววิญญาณออกจากร่างและวิญญาณนั้นจะล่องลอยไป เพื่อแสวงหาที่เกิดใหม่ ในระหว่างนี้เรียกว่าเป็นสัมภเวสี ต่อเมื่อเวลาล่วงไปได้ ๗ วัน จึงจะได้เกิด ตามความเชื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าจะว่ากันตามหลักพุทธศาสนาแล้ว ช่องว่างระหว่างจุติจิตกับปฏิสนธิจิตนั้น เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ตามธรรมชาติของวิถีจิตมันเป็นเช่นนั้น จึงเท่ากับว่าคนที่ตายแล้วจะต้องเกิดทันที ส่วนจะเกิดเป็นอะไรนั้นขึ้นอยู่กับกรรมที่จะเป็นชนกกรรมอยู่ในจุติจิตจะชักนำไปเกิด ส่วนคำว่า สัมภเวสี นั้น แปลว่า ผู้แสวงหาภพ หมายถึง สัตว์ที่รอคอยการปฏิสนธิอันแน่นอน โดยเฉพาะคือ บุคคลและสัตว์ทั่วไป จนถึงพระอนาคามีบุคคลเป็นที่สุด โดยมีคำอธิบายเป็น ๒ นัย ดังนี้
 
๑. หมายเอาคน สัตว์ เทวดา เป็นต้น จนถึงพระอนาคามี ซึ่งท่านเหล่านี้ยังต้องเกิดอีกจะน้อยหรือนานเพียงไหนขึ้นอยู่กับการละกิเลสที่แต่ละคนละได้เพียงไร
 
๒. หมายเอาสัตว์ที่ตายแล้ว ไปเกิดในภูมิใดภูมิหนึ่ง เช่น เป็นสัตว์นรกเสวยวิบากกรรมจนครบแล้ว กำลังรอคอยการเกิดใหม่ เช่น จะไปเกิดเป็นสัตว์ แต่ยังไม่ถึงฤดูที่สัตว์เหล่านั้นผสมพันธุ์ ปฏิสนธิวิญญาณดวงนั้นก็ยังไม่เกิด จนกว่าจะได้ปัจจัยพร้อมมูลจึงได้เกิด
 
ลักษณะกำเนิดของสัตว์
 
ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์โดยทั่วไป เมื่อตายหรือละสังขารจากอัตภาพนั้นๆ แล้ว หากมีปัจจัยที่จะต้องเกิดก็ต้องไปเกิดในภพใดภพหนึ่งในกำเนิดทั้ง ๔ คือ
 
๑. ชลาพุชะ เกิดในครรภ์ เช่น คนหรือสัตว์บางประเภท
 
๒. อัณฑชะ เกิดในไข่ เช่น ไก่ นก เป็ด เป็นต้น
 
๓. สังเสทชะ เกิดในของสกปรก เช่น หนอนบางชนิด
 
๔. โอปปาติกะ เกิดโดยผุดขึ้นเป็นตัวตนเลย เช่น เทวดา สัตว์นรก เปรต อสุรกาย หรือ พรหม เป็นต้น
 
ภูมิที่จะไปเกิด
 
คราวนี้มาถึงประเด็นสำคัญของคำถามที่ว่า ตายแล้วไปไหน หากไม่ตอบเล่นสำนวนเหมือนที่พูดกันว่า "ตายแล้วก็ไปวัดนะซี" ก็ต้องขอยกเอาพระพุทธพจน์ที่ตรัสเกี่ยวกับการเกิดของสัตว์มาอ้าง ดังนี้ "ภิกษุทั้งหลาย สัตว์บางจำพวกในโลกนี้ย่อมเกิดในครรภ์ บางจำพวกทำกรรมลามก ย่อมเกิดในนรก บางจำพวกทำกรรมดีแล้ว ย่อมเกิดในเทวโลก ส่วนผู้ไม่มีอาสวะ ย่อมปรินิพพาน" ดังจะขอแยกประเภทของภพภูมิใหญ่ๆ ที่สัตว์จะไปเกิดให้เห็นชัดๆ คือ
 
๑. นรก ไปเกิดเพราะอำนาจของโทสะ
 
๒. เปรตและอสุรกาย ไปเกิดเพราะอำนาจของโลภะ
 
๓. สัตว์เดรัจฉาน ไปเกิดเพราะอำนาจของโมหะ
 
๔. มนุษย์ ไปเกิดเพราะรักษาศีล ๕ และกุศลกรรมบถ ๑๐
 
๕. เทวดา ไปเกิดเพราะมหากุศลจิต ๘ ดวง อันประกอบด้วย หิริ และโอตตัปปะ เป็นต้น เช่น การบริจาคทาน การฟังธรรม หรือการสร้างสิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์ เป็นต้น
 
๖. พรหม ไปเกิดเพราะการเจริญฌาน ในอารมณ์ของกรรมฐาน ๔๐ มีการเพ่งกสิณ เป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นอารมณ์
 
การที่จะทราบว่าคนที่ตายจากอัตภาพนี้ไปเกิดในภูมิไหนนั้น จึงขึ้นอยู่กับชนกกรรมในขณะจุติจิต เช่น จิตประกอบด้วยโทสะก็ไปนรก ประกอบด้วยโลภะก็ไปเป็นเปรต อสุรกาย เป็นต้น โดยมีพุทธพจน์รองรับเกี่ยวกับวาระจิตขณะจุติจิตเกิดขึ้นว่า จิตเต สังกิลิฏเฐทุคคติ ปาฏิกังขา เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นที่หวังได้ และจิตเต อสังกิลิฏเฐ สุคคติ ปาฏิกังขา เมื่อจิตไม่เศร้าหมอง สุคติภพเป็นที่หวังได้ เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญจึงอยู่ที่ก่อนจะตายว่าจิตเศร้าหมองหรือผ่องใส จึงไม่แน่นอนเสมอไปว่า คนที่สร้างกรรมดีมาจะไปสู่สุคติ หรือคนที่สร้างกรรมชั่วจะไปทุคติสถานเดียว ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับวาระจิตก่อนจะดับเป็นเกณฑ์ว่า เศร้าหมองหรือผ่องใส ถึงกระนั้น คนที่สร้างกรรมดีมามากแม้จะตายด้วยจิตที่เศร้าหมองแล้วไปทุคติ ก็อาจไปเสวยทุกข์ไม่นาน ผลแห่งกรรมดีย่อมให้ผลเป็นสุคติภพในภายหลัง และหลักความจริงอีกอย่างหนึ่งคือว่า เมื่อจิตเคยเสพคุ้นคุณความดีอย่างใดมาตลอดชั่วชีวิตก็อาจเป็นแรงชักนำไปในทางดีหรือปิดกั้นอกุศลอื่นๆ มิให้เกิดขึ้นได้ ส่วนผู้ที่สร้างความชั่วพึงทราบในทางตรงข้าม
 
ทำไมคนตายจึงไม่มาบอกญาติที่อยู่ข้างหลังว่าอยู่ในภพภูมิไหน สุขหรือทุกข์อย่างไร
 
ทุกคนย่อมมีบรรพบุรุษคือ ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ หรือแม่ ที่ท่านเสียชีวิตไปแล้ว แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ทำไมท่านเหล่านั้นจึงไม่มาบอกลูกหลานว่า ขณะนี้เป็นอยู่อย่างไร สุขหรือทุกข์เพียงไหน โดยมากไปแล้วไปเลยไม่ย้อนกลับมาบอกลูกหลานหรือบางท่านอาจเคยฝันเห็นญาติคนนั้นคนนี้ว่า ท่านเป็นอยู่อย่างนี้ๆ ได้พูดคุยกันอย่างนี้ แต่ก็ไม่มีหลักฐานที่พอจะยืนยันให้เชื่อถืออย่างแน่ชัดว่าเป็นจริงอย่างนั้นหรือไม่ อาจเป็นเพราะผู้ฝันนั้นมีจิตกระหวัดถึงใครเป็นพิเศษจนฝังลึกในห้วงจิตใต้สำนึก พอหลับแล้วสัญญาคือความจำในจิตใต้สำนึกนั้น จึงแสดงออกมาเป็นความฝัน ในเรื่องนี้พึงเทียบเคียงกับความฝันว่าได้เห็นภาพสถานที่ที่เคยเล่นหรือเคยเห็นเมื่อตอนวัยเด็กว่าได้ไปเดินหรือวิ่งเล่นตรงโน้นตรงนี้ ทั้งๆ ที่ความจริงสถานที่นั้นเป็นภาพเดิมซึ่งไม่มีอยู่แล้ว เปลี่ยนแปลงใหม่หมดไปตามกาลเวลา แล้วทำไมเราจึงฝันเห็นภาพเก่าๆ อยู่
 
อนึ่ง คนที่ตายไปหากเกิดเป็นคนหรือสัตว์เดรัจฉานจะมาบอกญาติที่อยู่ข้างหลังได้อย่างไร เนื่องจากสัญญาขันธ์ คือความจำในอดีตชาติมันดับไปแล้ว จึงทำให้ระลึกไม่ได้ แต่มีข้อยกเว้นสำหรับบางคนที่จำอดีตชาติบางตอนของตนได้ หรือผู้ที่ได้บรรลุบุพเพนิวาสนานุสสติญาณ คือระลึกชาติหนหลังได้ เช่น พระพุทธเจ้า เป็นต้น เมื่อกล่าวถึงคนโดยทั่วไป อย่าว่าแต่ระลึกชาติหนหลังเลย ขอเพียงแค่ให้ระลึกเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันของตนที่ผ่านมาเมื่อตอนเช้าของวันนี้ว่า ได้ทำอะไร ได้พูดกับใครว่าอย่างไร พูดไปกี่คำ ได้กินข้าวไปกี่คำ หรือได้เดินไปกี่ก้าว เป็นต้น คงไม่มีใครไปจดจำได้หมดเป็นแน่ เพราะขาดมนสิการ คือความตั้งใจด้วยเหตุที่สติยังมีไม่สมบูรณ์นั่นเอง หากผู้ตายไปเกิดเป็นสัตว์นรกในภูมินี้จะมีแต่ทุกข์ทรมานไม่มีเวลาช่วงว่างให้คิดถึงหรือไปหาใครได้ง่ายๆ แม้แต่ในโลกมนุษย์หากใครถูกจับกุมคุมขัง ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่งแม้ผู้ถูกจับนั้นจะอ้อนวอนผู้จับว่าขอให้ปล่อยตัวไปชั่วคราวเพื่อไปเยี่ยมญาติหรือบอกลาญาติก่อนเช่นนี้ คงไม่มีใครอนุญาตให้แน่ หรือถ้าไปเกิดในสุคติภูมิ เช่น เป็นเทวดา ภูมินี้เขาจะอิ่มเอมกับความสุขที่เป็นทิพย์ทุกอย่างเพลิดเพลินอยู่กับความสุขนั้นอย่าว่าแต่เทวดาเลย ลองนึกถึงตัวเราเองเป็นเกณฑ์ก่อนก็ได้ว่า คราใดที่เรากำลังรู้สึกดื่มด่ำกับความสุขอย่างใดอย่างหนึ่งมากเหลือล้น ในขณะนั้นเราจะคิดถึงคนโน้น อยากไปเยี่ยมคนนี้บ้างไหม ท่านเปรียบคนที่ไปเกิดเป็นเทวดาเหมือนบุรุษผู้หนึ่งเดินไปตกบ่ออุจจาระและเปื้อนอุจจาระไปทั้งตัว แล้วมีคนมาช่วยเขาให้ขึ้นจากบ่อนั้นพาไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายจนสะอาดดีแล้ว มีเสื้อผ้าใหม่สวยงามราคาแพงให้สวมใส่แล้วพากันแห่แหนให้อยู่บนปราสาทอันสวยงาม มีอาหารอันประณีตให้บริโภค พร้อมมีหญิงสาวสวยหลายนางมาคอยปรนนิบัติพัดวีรับใช้ หากจะถามชายผู้นั้นว่า อยากลงไปแช่อยู่ในบ่ออุจจาระเหมือนเดิมไหม ชายผู้นั้นคงตอบไม่อยากไปเป็นแน่ เพราะเขากำลังเพลิดเพลินอยู่กับความสุข อุปมานี้ฉันใดพวกเทวดาทั้งหลายเขาก็รู้สึกฉันนั้น คือ เทวดาชั้นสูงจะรู้สึกรังเกียจและเหม็นสาปกลิ่นมนุษย์ที่สร้างแต่บาปอกุศลกันเป็นส่วนใหญ่ไม่ต้องการเข้าใกล้ ข้อนี้จะเห็นตัวอย่างที่พวกเทวดามาทูลถามปัญหากับพระพุทธเจ้าต้องเป็นเวลาหลังเที่ยงคืนไปแล้วเท่านั้น และจัดเป็นพุทธกิจหนึ่งในพุทธกิจ ๕ คือ แก้ปัญหาเทวดาด้วย ทั้งนี้เพราะเทวดาต้องรอให้มนุษย์หลับกันหมดก่อน ไม่มาพลุกพล่านให้เป็นที่เหม็นสาบของพวกเขานั่นเอง
 
การสื่อสารที่ไม่เข้าใจระหว่างมนุษย์กับอทิสสมานกาย
 
ผู้เกิดเป็นมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉานเท่านั้นที่มีกายหยาบ นอกนั้นเป็นกายละเอียดหมด เช่นเปรต อสุรกาย เทวดา หรือพรหม เป็นต้น เราไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเนื้อ แต่สัมผัสรู้ได้ทางใจ คือปัญญา ฉะนั้นการที่พวกอทิสสมานกายเหล่านั้นจะสื่อสารกับพวกมนุษย์จึงไม่ง่าย เพราะอยู่กันคนละมิติ แต่เขาสามารถสื่อสารให้มนุษย์ได้รู้ในสิ่งที่เขาต้องการเป็น ๓ ลักษณะ คือ ทางรูป ทางเสียง และทางกลิ่น คนโบราณเชื่อว่า สุนัขมันมีประสาทสัมผัสพิเศษที่สามารถรับรู้จิตวิญญาณของ อมนุษย์หรือผีได้ โดยสังเกตจากการเห่าหอนในยามค่ำคืน ดึกสงัด บางทีมันหอนรับกันเป็นช่วงๆ ชวนน่าขนลุก และจำเพาะช่วงเวลาที่มีคนตายในละแวกนั้นด้วย ขอเสนอแนะว่าหากผู้ใดถูกผีหลอกไม่ควรตกใจหรือตื่นเต้นจนขวัญหนีดีฝ่อ ให้คิดว่าผู้ที่มาแสดงอาการต่างๆ หรือผีที่มาหลอกนั้น เขาอาจจะเป็นบรรพบุรุษหรือญาติมิตรของเรา เขากำลังมีความทุกข์เดือดร้อนต้องการความช่วยเหลือด้วยการทำบุญอุทิศให้เขา จึงมาบอกให้รู้ แต่การสื่อสารมันคนละมิติกัน หากใครประสบเข้าจังๆ คงต้องวิ่งหนีไม่ก็สลบหรือถึงกับช็อกไปเลยก็ได้ ทางที่ดีควรตั้งสติ รวบรวมกำลังใจให้เข้มแข็งไว้แล้วลองสื่อสารไต่ถามกันดูว่าเป็นใครมาจากไหน ต้องการอะไร อาจจะได้ความรู้ใหม่ๆ ซึ่งน้อยคนนักที่จะได้พบเจอมาเล่าสู่ให้ผู้อื่นได้ฟังบ้าง ถ้าจะว่ากันตามความจริงแล้วเรื่องกลัวผีนี้ จิตของเราเองนั่นแหละสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเองว่าผีต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นผีจริงๆ เลยสักครั้งเดียว โดยความกลัวผีนี้เราปลูกฝังกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว
 
ความต่างแห่งกาลเวลาระหว่างมนุษยโลกกับเทวโลก
 
มีเรื่องเล่าว่า ในครั้งพุทธกาลมีเทพธิดาตนหนึ่ง ซึ่งเป็นมเหสีของท้าวมาลาภารีเทพบุตรอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เช้าวันหนึ่งท้าวมาลาภารีเทพบุตรชวนเหล่ามเหสีออกไปชมสวน ในระหว่างเดินชมสวนอยู่นั้น เทพธิดาตนนั้นต้องการไปเกิดเป็นคน จึงจุติคือตายจากความเป็นเทพธิดาไปเกิดเป็นมนุษย์ในตระกูลเศรษฐีตระกูลหนึ่งในกรุงสาวัตถี พอเติบโตรู้ความ นางระลึกชาติหนหลังได้ว่าเคยเกิดเป็นเทพธิดาตนนั้น จึงปรารถนาที่จะไปเกิดเป็นมเหสีของท้าวมาลาภารีเทพบุตรอีก เวลาทำบุญทุกครั้งก็อธิษฐานจิตว่าขอให้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นนั้นอีก นางจึงได้ชื่อว่า ปติปูชิกา แปลว่า หญิงผู้บูชาสามี พอนางอายุได้ ๑๖ ปี จึงแต่งงานและมีลูกหลานหลายคน นางใฝ่ในการสร้างกุศลและอธิษฐานจิตเช่นนั้นอยู่เนืองๆ พออายุได้ ๖๐ ปี นางจึงสิ้นชีพแล้วไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์สมปรารถนา ระหว่างนั้นเป็นเวลาเที่ยงวันของสวรรค์ชั้นนั้น ท้าวมาลาภารีเทพบุตรยังไม่กลับจากการเดินชมสวนพอเห็นเทพธิดาที่ชื่อ ปติปูชิการนี้เดินไปหา พระองค์จึงถามว่า เมื่อเช้าเธอไปไหนมา นางจึงตอบตามความจริงว่าไปเกิดเป็นมนุษย์ มีอายุได้ ๖๐ ปี ท้าวมาลาภารีเทพบุตรจึงถามต่อไปว่า ตอนนี้มนุษย์เป็นอยู่กันด้วยความไม่ประมาทในชีวิตหรือไม่ นางตอบว่า มนุษย์ทุกวันนี้เป็นอยู่กันด้วยความประมาทมัวเมาเป็นอย่างยิ่ง อายุน้อยก็สำคัญว่าอายุยืน ไม่ใส่ใจในการสร้างกุศล พอท้าวมาลาภารีเทพบุตรได้ทราบข่าวเช่นนี้จึงเกิดความสังเวชสลดในเป็นอย่างมาก จึงชวนกันกลับวิมาน จากเรื่องที่กล่าวมานี้จะเห็นว่าเพียงครึ่งวันของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เท่ากับเมืองมนุษย์ ๕๐-๖๐ปีทีเดียว และจะขอนำเอาอายุของสวรรค์ ๖ ชั้น ว่าแต่ละชั้นมีอายุเทียบเท่าเมืองมนุษย์เท่าไหร่ ลดหลั่นกันอย่างไรมาให้ทราบ ดังนี้
 
๕๐๐ ปีทิพย์ เป็นประมาณอายุของเทวดาสวรรค์ชั้นจาตุมมหาราชิกา ประมาณ ๙,๐๐๐,๐๐๐ ปี ด้วยการคำนวณแห่งปีมนุษย์
 
๑,๐๐๐ ปีทิพย์ เป็นประมาณอายุของเทวสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ประมาณ ๔ เท่า จาก ๙,๐๐๐,๐๐๐ ปี ด้วยการคำนวณแห่งปีมนุษย์ จึงเท่ากับ ๓๖,๐๐๐,๐๐๐ ปี
 
๒,๐๐๐ ปีทิพย์ เป็นประมาณอายุของเทวดาสวรรค์ชั้นยามา ประมาณ ๔ เท่า จาก ๓๖,๐๐๐,๐๐๐ ปี ด้วยการคำนวณแห่งปีมนุษย์ จึงเท่ากับ ๑๔๔,๐๐๐,๐๐๐ ปี
 
๔,๐๐๐ ปีทิพย์ เป็นประมาณอายุของเทวดาสวรรค์ชั้นดุสิต ประมาณ ๔ เท่า จาก ๑๔๔,๐๐๐,๐๐๐ ปี ด้วยการคำนวณแห่งปีมนุษย์ จึงเท่ากับ ๕๗๖,๐๐๐,๐๐๐ ปี
 
๘,๐๐๐ ปีทิพย์ เป็นประมาณอายุของเทดาสวรรค์ชั้นนิมมานรดี ประมาณ ๔ เท่า จาก ๕๗๖,๐๐๐,๐๐๐ ปี ด้วยการคำนวณแห่งปีมนุษย์ จึงเท่ากับ ๒,๓๐๔,๐๐๐,๐๐๐ ปี
 
๑๖,๐๐๐ ปีทิพย์ เป็นประมาณอายุของเทวดาสวรรค์ชั้น ปรนิมมิตวสวัสตี ประมาณ ๔ เท่า จาก ๒,๓๐๔,๐๐๐,๐๐๐ ปี ด้วยการคำนวณแห่งปีมนุษย์ จึงเท่ากับ ๙,๒๑๖,๐๐๐,๐๐๐ ปี
 
เพราะฉะนั้นหากใครมีญาติที่ตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมญาติคนนั้นคนนี้จึงไม่มาบอกว่ากำลังเกิดเป็นอะไรอยู่ เพราะผู้ที่กำลังดื่มด่ำกับความสุขไม่คิดถึงใครง่ายๆ หรอก และอีกอย่างหนึ่งอายุของเขายาวนานกว่าเรามาก เพียงเขาไปอยู่แค่ ๑ วัน พวกเราก็คงไม่เหลืออยู่รอให้ใครมาบอกแล้ว บางทีอาจไปเจอกันบนนั้นหรือไม่ก็ไปอยู่เป็นเพื่อนกับพระเทวทัตก็เป็นได้
 
บุญที่ญาติทำอุทิศผู้ตายจะได้รับหรือไม่
 
เมื่อมีบุคคลในครอบครัวตายโดยเฉพาะถ้าผู้นั้นเป็นปูชนียบุคคลของเขา เช่นเป็น พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา หรือยาย ย่อมสร้างความเศร้าโศกเสียใจแก่ลูกหลาน ผู้อยู่เบื้องหลังเป็นอย่างมาก โดยญาติของผู้ตายนั้นจะขวนขวายสร้างกุศลอย่างเต็มที่ตามประเพณีนิยมปฏิบัติของท้องถิ่นนั้นๆ ทั้งนี้ก็เพื่อหวังจะอุทิศส่วนกุศลผลบุญให้กับผู้ตาย แม้จะไม่ทราบว่าผลบุญที่ทำอุทิศให้ไปนั้นผู้ตายจะได้รับหรือเปล่าแต่ญาติก็เต็มใจทำ หากไม่ได้ทำตามประเพณีงานศพให้ผู้ตาย จะเป็นด้วยเหตุใดก็ตาม ญาติจะรู้สึกไม่สบายใจ และต้องหาโอกาสทำบุญให้ในภายหลังจนได้ นี่คือความเชื่อของชาวพุทธไทยโดยทั่วไป และมีคนอีกจำนวนไม่น้อยเหมือนกัน ที่ชอบคิดว่าบุญที่ญาติทำอุทิศให้ผู้ตายไปนั้นจะถึงผู้ตายหรือไม่ และจะทราบได้อย่างไรว่าผู้ตายได้รับแล้ว ปัญหานี้ทำความเข้าใจได้ไม่ยากเลยคือ ต้องคำนึงถึงความจริงอย่างหนึ่งว่า การที่เราจะมอบของอะไรแก่ใครผู้รับต้องอยู่ในฐานะที่จะมารับได้ ไม่ใช่ไปอยู่ในถิ่นกันดารไม่มีโอกาสติดต่อกับบุคคลภายนอกเลยแล้วเราส่งของไปให้เขา เช่นนี้นอกจากผู้รับจะไม่ได้รับสิ่งของแล้ว โอกาสที่ของนั้นจะสูญหายยังมีมากอีกด้วย คราวนี้ย้อนมากล่าวถึงผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว หากผู้นั้นไปเกิดเป็นเทวดา เทวดาก็มีอาหารอันเป็นทิพย์ของเขา ไปเกิดเป็นสัตว์นรกเขาก็มีความทุกข์ทรมานหรือบริโภคเลือดเนื้อกันเองเป็นอาหารถ้าไปเกิดเป็นช้าง ม้า วัว ควาย หรือแม้กระทั่งเป็นคน เขาก็มีอาหารของเขาโดยเฉพาะทั้งนั้นรวมความคือ ผลบุญที่ญาติอุทิศส่งไปนั้นไม่ถึงผู้รับ เพราะผู้รับไม่อยู่ในวิสัยที่จะรับได้ แต่ตำราท่านกล่าวไว้ว่า ผู้ที่ตายแล้วไปเกิดเป็น ปรทัตตูปชีวีเปรต ประเภทเดียวเท่านั้นที่จะมีโอกาสได้รับส่วนบุญที่ญาติอุทิศส่งไปให้ เพราะเปรตประเภทนี้ เป็นอยู่ได้เพราะผลบุญที่ผู้อื่นให้นอกนั้นหมดสิทธิ์ เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้อาจทำให้หลายท่านเกิดความท้อแท้หรือหมดกำลังใจในการทำบุญ ประเด็นนี้มีคำอธิบายว่า สมมติว่า เราเตรียมอาหารไว้คอยต้อนรับแขก แต่บังเอิญว่าแขกไม่มาตามนัด อาหารนั้นย่อมตกเป็นของเราผู้เป็นเจ้าของอยู่ดี การทำบุญก็เช่นกัน เมื่ออุทิศให้ใครไปแล้ว แต่ไม่มีใครรับ บุญก็คงอยู่กับผู้ให้นั่นเอง หรือหากมีผู้รับก็ใช่ว่าบุญนั้นจะหมดไปจากผู้ให้ก็หามิได้ ท่านเปรียบเหมือนกับการต่อเทียนจากเล่มหนึ่งไปอีกหลายๆ เล่ม มีแต่เพิ่มแสงสว่างมากขึ้น โดยเทียนเล่มเดิมหาได้มอดแสงดับลงไปไม่ ขอให้ทำความเข้าใจง่ายๆ เกี่ยวกับการให้ส่วนบุญนี้ว่า องค์ประกอบที่สำคัญอันหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะมีผู้ให้แล้ว ผู้รับจะต้องได้อนุโมทนาส่วนบุญนั้นเป็นสำคัญจึงจะสำเร็จประโยชน์การให้และการรับส่วนบุญ
 
ทำบุญสูญเปล่าจริงหรือ
 
สิ่งที่ชาวพุทธส่วนใหญ่เชื่อมั่นอยู่อย่างหนึ่งว่าให้ผลเป็นความสุข คือ บุญ ทั้งๆ ที่ไม่เคยพบตัวบุญจริงๆ ว่าเป็นอย่างไร แต่เพราะเชื่อตามพุทธพจน์ที่ว่า "ภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่ากลัวบุญเลย คำว่า บุญนี้ เป็นชื่อของความสุข" และว่า "บุญ เป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายในโลกหน้า" แต่ก็ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยเหมือนกันที่ยังมีความลังเล สงสัยเกี่ยวกับเรื่องผลของบาปบุญว่าอาจจะไม่มีจริงก็ได้เพราะเห็นคนที่ทำชั่วบางคนกลับได้ดีมีสุข ส่วนคนที่ทำดีมาเกือบชั่วชีวิตยังต้องลำบากอยู่ เลยเกิดความท้อแท้ในการสร้างบุญ ต้องขอทำความเข้าใจว่าอย่ามองเรื่องผลบุญให้เป็นเหมือนกับการซื้อขายสินค้า ที่เมื่อจ่ายเงินไปก็ต้องได้สินค้ามา อย่างที่กล่าวตอนต้นว่า บุญเป็นชื่อของความสุข เป็นนามธรรมไม่ใช่เป็นวัตถุโดยขณะที่ทำบุญหรือสร้างความดีต่างๆ จิตของผู้ทำจะรู้สึกปลอดโปร่ง ปราศจากความเห็นแก่ตัว ไม่มีอกุศลแทรกอยู่ในจิต นี่คือตัวบุญหากทำบุญด้วยกิเลสหรือหวังผลตอบแทน ไม่จัดเป็นบุญแท้ ส่วนบุญที่แท้คือการทำบุญเพื่อบุญหรือทำดีเพื่อความดี มิใช่หวังอะไรอื่น ส่วนการจะได้วัตถุหรือเกียรติอย่างใดอย่างหนึ่งตามมา ภายหลังจากการทำบุญนั้น นั่นคือบริวารของบุญอีกอย่างหนึ่งต้องไม่ลืมในเรื่องของกฎแห่งกรรมที่มันจะให้ผลไปตามลำดับของกรรมหนักหรือเบาด้วย สำหรับกรรมฝ่ายดี ท่านกล่าวว่า หากผู้ใดได้ถวายอาหารแก่พระอรหันต์ผู้ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติใหม่ๆ จะได้เห็นอานิสงส์ตามปรารถนาในปัจจุบันชาตินี้ทีเดียวดังตัวอย่างครั้งพุทธกาลที่ชาวนาผู้หนึ่งถวายอาหารแก่พระอรหันต์ซึ่งเพิ่งออกจากสมาบัติใหม่ๆ แล้วไปไถนา ขี้ไถได้กลายเป็นทองคำมาแล้ว บุญเหมือนของหอม บาปเหมือนของเหม็น โดยมากบาปมักจะให้ผลเร็วกว่าบุญ เพราะทำด้วยจิตที่เป็นอกุศลอย่างแรงกล้า อย่างน้อยก็ให้ผลเป็นความเศร้าหมองของจิตในขณะที่ทำแล้ว เพราะฉะนั้นในทางพุทธศาสนา ท่านจึงกล่าวว่าความชั่วไม่ทำเสียเลยดีกว่า และมีคำกลอนสอนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า
 
อย่าดูหมิ่นบาปกรรมจำนวนน้อย
จักไม่คอยตามต้องสนองผล
แม้ตุ่มน้ำเปิดหงายรับสายชล
ย่อมเต็มล้นด้วยอุทกที่ตกลง
 
อันคนโง่สั่งสมบ่มบาปบ่อย
ทีละน้อยทำไปด้วยใหลหลง
ย่อมเต็มด้วยบาปนั้นเป็นมั่นคง
บาปย่อมส่งสู่นรกตกต่ำพลัน
 
ผลแห่งการกระทำกรรมดีชั่วหรือบุญบาปนั้น มีแน่นอน ไม่สูญหายไปไหน ตัวอย่างที่พอพิสูจน์ได้กับตัวของเราเองเช่น เมื่อย้อนคิดถึงบาปที่เคยทำ จะรู้สึกผิด ไม่สบายใจ จิตเศร้าหมอง แต่ถ้าคิดถึงกุศล คุณความดีที่เคยสร้างขึ้นมาครั้งไร ทำให้จิตใจเบิกบานแจ่มใส แช่มชื่น โสมนัส สิ่งนี้คือหลักฐานที่ยืนยันได้ว่า ผลแห่งบาปบุญนั้นมีจริงแน่ พระพุทธศาสนาจะเน้นหนักให้ศาสนิกหมั่นสร้างบุญกุศลไว้เนืองๆ เพราะอย่างน้อยจะได้ความอุ่นใจ ๔ ประการ คือ
 
๑. ถ้าโลกหน้าไม่มีอยู่จริง ผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วมีจริง เป็นฐานะที่เป็นไปได้ว่า หลังจากตายไปแล้ว ตนจะยังเกิดในสุคติโลกสวรรค์
 
๒. ถ้าโลกหน้าไม่มีอยู่จริง ผลแห่งการทำดีทำชั่วไม่มี ในปัจจุบันเราก็สามารถรักษาตนให้เป็นคนไม่มีเวร ไม่มีภัย ไม่เบียดเบียนกัน ไม่มีทุกข์มีแต่ความสุข
 
๓. ถ้าบาปที่บุคคลทำชื่อว่าเป็นอันทำเมื่อเราไม่ได้คิดบาปหรือทำบาปกับใครๆ ไหนเลยบาปจะมาพ้องพานเราผู้ไม่ได้ทำบาป
 
๔. ถ้าบาปที่คนทำชื่อว่าไม่เป็นบาป เราพิจารณาเห็นความบริสุทธิ์ของตนทั้ง ๒ ทาง คือสบายใจได้ ไม่ว่าผลบาปจะมีหรือไม่ก็ตาม เมื่อเราไม่ทำบาปอะไร ก็ไม่ต้องเดือดร้อนใจ
 
ผู้ทำบุญไว้แล้ว ย่อมบันเทิงในโลกทั้งสอง คือบันเทิงทั้งในโลกนี้ และเมื่อละโลกนี้ไปแล้ว ย่อมบันเทิงด้วยเช่นกัน ในโลกนี้ก็บันเทิงว่าเราได้ทำบุญไว้แล้ว ไปสู่สุคติยอมบันเทิงยิ่งขึ้น
 
บุญเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายผู้บำเพ็ญบุญทั้งในโลกนี้และในโลกอื่น
 
สหายเป็นมิตรของคนผู้มีความต้องการเกิดขึ้นบ่อยๆ บุญทั้งหลายที่ตนทำเอง บุญนั้นจะเป็นมิตรในภพหน้า
 
การสั่งสมบุญนำสุขมาให้ ญาติและมิตรสหาย ผู้มีใจดีทั้งหลายย่อมยินดีกับบุรุษผู้จากไปเสียนานแล้วกลับมาโดยสวัสดิภาพ แต่ที่ไกลฉันใด แม้บุญทั้งหลายย่อมรับรอง ผู้มีบุญอันทำแล้วไปจากโลกนี้สู่โลกหน้า เหมือนญาติทั้งหลายรับรอง ญาติอันเป็นที่รักที่กลับมาแล้วฉันนั้น
 
เตรียมตัวก่อนตาย
 
ความตายเป็นธรรมชาติที่ทุกคนไม่สงสัยว่าตัวเองจะตายหรือไม่ เพราะรู้โดยสัญชาตญาณ และมีบุคคลอื่นตายให้เห็นเป็นประจักษ์พยานอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ส่วนใหญ่มักคาดการณ์รู้ว่าสักวันหนึ่งสภาพนี้ต้องมาถึงลำดับตนบ้าง แต่ที่ทุกคนมักไม่ค่อยคิดถึงความตายของตนเองเท่าใดนัก เป็นเพราะความประมาทมัวเมาในชีวิต ในความไม่มีโรคและในความเป็นหนุ่มสาวของตนเป็นสำคัญ จึงทำให้ลืมนึกถึงความตายเช่นนี้ ถือว่าไม่ดีเลยเป็นความประมาทอย่างยิ่ง ใครเล่าที่จะรู้ว่าความตายจะมาถึงตนในวันพรุ่งนี้ คนที่จะเดินทางไกลเขายังต้องเตรียมเสบียงหรืออุปกรณ์ปัจจัยต่างๆ เพื่อความสะดวกสบายในการเดินทาง แต่การเดินทางของชีวิตไปสู่ปรโลกนั้น สำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ไม่มีใครมาช่วยใครได้ นอกจากตนของแต่ละคนที่จะแสวงหาเกาะอันเป็นที่พึ่ง หรือเสบียงเดินทางไปภพเบื้องหน้าเอง สิ่งนั้นคือ บุญ วิธีการสร้างบุญเมื่อกล่าวโดยย่อมี ๓ คือ ทาน ศีล ภาวนา จงอย่าได้ประมาทในกิจ ๓ อย่างนี้ และใคร่ขอเสนอแนะ อุบายวิธีพิจารณา เพื่อให้มีสติระลึกถึงชีวิตและความตายไว้จะได้ไม่ประมาท เพราะไม่แน่ว่าหลับแล้ว จะได้ตื่นหรือเปล่า โดยอย่างน้อยก่อนหลับนอน ให้สวดมนต์ไหว้พระ เจริญพระกรรมฐานแล้วพิจารณาอภิณหปัจจเวกขณะ ๕ ประการ ดังนี้
 
๑. เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ (ชราธัม โมมหิ ชรัง อนตีโต)
 
๒. เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้ (พยาธิธัมโมมหิ พยาธิอนตีโต)
 
๓. เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ (มรณธัมโมมหิ มรณัง อนตีโต)
 
๔. เราจักต้องพลัดพรากจากของอันเป็นที่รักที่ชอบใจทั้งสิ้น (ปิเยหิ มนาเปหิ นานาภาโว วินา
ภาโว)
 
๕. เราจักทำกรรมใดๆ ไว้ดีก็ตาม ชั่วก็ตามจักต้องรับผลแห่งกรรมนั้นๆ (กัมมัสสโกมหิ กัม
มทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสร โณ ยัง กัมมัง กริสสามิ กลยาณัง วา ปาปกัง
วา ตัสส ทายาโท ภวิสสามิ)
 
อายุของมนุษย์นี้น้อยนัก คนดีไม่พึงดูหมิ่นอายุนั้น พึงรีบประพฤติความดีปานดั่งคนมีศรีษะอันไฟติดทั่วแล้ว เพราะความตายจะไม่มาถึงไม่มี หากผู้ใดได้ตระหนักถึงความจริงแห่งชีวิตหรืออายุตามที่กล่าว จะเกิดความไม่ประมาทแล้วเร่งรีบบำเพ็ญเพียร สร้างเกาะอันเป็นที่พึ่งสำหรับตน เช่นนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ตายแล้วไปไหน
 

718
บทความ บทกวี / ตอบ: กฏแห่งกรรม
« เมื่อ: 01 มี.ค. 2550, 03:18:14 »
พระพุทธองค์ตรัสถึงกฎแห่งกรรม  ว่า? อดีตชาติได้ประกอบแต่กรรมดี จึงเกิดมาเป็นคนที่มียศสูงศักดิ์ และร่ำรวยในโภคทรัพย์ ผู้ใดบำเพ็ญธรรมมาตลอด จะได้บุญวาสนาไปทุกชาติ มนุษย์จงฟังให้ดี ฟังตถาคตกล่าวผลกรรมของไตรภพเป็นเรื่องใหญ่ จงอย่าดูหมิ่นพุทธพจน์ จงฟังผลกรรม ดังต่อไปนี้
ปัจจุบันเป็นขุนนางเพราะเหตุใดชาติก่อนนำทองคำสร้างพระพุทธรูป สิ่งใดที่ได้รับในชาตินี้เพราะชาติก่อนทำไว้        ถวายเครื่องทรงสักการะพระพุทธองค์ทองคำสร้างองค์พระดั่งสร้างตนเอง ครื่องทรงสักการะคืออาภรณ์ประดับกายดังนั้นอย่าคิดว่าเป็นขุนนางนั้นง่าย        หากไม่สร้างบุญก่อกุศลแต่ปางก่อนไว้ไฉนเลยจะได้รับ
มีรถนั่งมีเรือขี่เพราะเหตุใด เพราะชาติก่อนสร้างถนนทำสะพาน
มีเสื้อผ้าแพรพรรณประดับกายเพราะเหตุใด          เพราะชาติก่อนบริจาคเสื้อผ้าให้ผู้ยากจน
มีอาหารกินอิ่มสมบูรณ์เพราะเหตุใด        เพราะชาติก่อนบริจาคข้าวปลาอาหารและน้ำดื่มให้ผู้ยากจน
ที่ไม่มีจะกินจะใส่เพราะเหตุใด                เพราะชาติก่อนไม่เคยบริจาคทานเลยแม้แต่น้อย
มีตึกรามบ้านช่องอยู่เพราะเหตุใด        เพราะชาติก่อนบริจาคข้าวสารช่วยผู้ยากไร้
มีบุญบารมีวาสนาเพราะเหตุใด                เพราะชาติก่อนสร้างวัดสร้างศาลา
มีหน้าตามีบุญหนักศักดิ์ใหญ่เพราะเหตุใด        เพราะชาติก่อนบูชาพระพุทธรูปด้วยดอกไม้ของหอม
มีปัญญามีความปราดเปรื่องเพราะเหตุใด        เพราะชาติก่อนสวดมนต์สรรเสริญพระนามพระพุทธเจ้า
มีภรรยาดีมีมารยาทพร้อมเพราะเหตุใด        เพราะชาติก่อนได้สร้างบุญสร้างกุศลร่วมกัน
สามีภรรยามีอายุยืนยาวเพราะเหตุใด        เพราะชาติก่อนได้แต่งริ้วธงประดับหน้าพระพุทธรูป
มีพ่อแม่อยู่ครบเพราะเหตุใด                เพราะชาติก่อนเห็นอกเห็นใจผู้กำพร้า
ไม่มีพ่อแม่เพราะเหตุใด                เพราะชาติก่อนชอบยิงนกตกปลา
มีลูกหลานแยะเพราะเหตุใด                เพราะชาติก่อนชอบปล่อยนกปล่อยปลา
เลี้ยงลูกไม่รู้จักโตเพราะเหตุใด                เพราะชาติก่อนชอบเจ็บแค้นผู้อื่น
ชาตินี้ไม่มีลูกเพราะเหตุใด                เพราะชาติก่อนข่มเหงรังแกลูกหลานชาวบ้าน
ชาตินี้อายุยืนเพราะเหตุใด                เพราะชาติก่อนชอบซื้อสัตว์ปลดปล่อยชีวิต
ชาตินี้อายุสั้นเพราะเหตุใด                เพราะชาติก่อนชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
ชาตินี้ไม่มีภรรยาเพราะเหตุใด                เพราะชาติก่อนชอบผิดประเวณี ข่มขืนลูกเมียเขา
ชาตินี้เป็นหม้ายเพราะเหตุใด                เพราะชาติก่อนชอบดูหมิ่นดูแคลนสามี
ชาตินี้เป็นทาสเพราะเหตุใด                เพราะชาติก่อนไม่รู้จักบุญคุณคนอื่น
ชาตินี้มีตาดีเพราะเหตุใด                เพราะชาติก่อนซื้อน้ำมันเติมตะเกียงบูชาพระ
ชาตินี้มีตาบอดเพราะเหตุใด                เพราะชาติก่อนชอบอ่านหนังสือลามก
ชาตินี้ปากแหว่งเพราะเหตุใด                เพราะชาติก่อนกล่าวร้ายใส่ความผู้อื่น
ชาตินี้หูหนวกเป็นใบ้เพราะเหตุใด                เพราะชาติก่อนปากร้ายชอบด่าพ่อแม่
ชาตินี้มีหลังค่อมเพราะเหตุใด                เพราะชาติก่อนหัวเราะคนไหว้พระ
ชาตินี้มืองอแขนคดเพราะเหตุใด                เพราะชาติก่อนเคยตีพ่อแม่
ชาตินี้ขาเป๋ตีนแปเพราะเหตุใด                เพราะชาติก่อนทำลายถนนและสะพาน
ชาตินี้เป็นวัวเป็นควายเพราะเหตุใด        เพราะชาติก่อนเป็นหนี้เขาแล้วไม่ใช้คืน
ชาตินี้เป็นหมูเป็นหมาเพราะเหตุใด        เพราะชาติก่อนมีใจคิดหลอกหลวงเขา
ชาตินี้มีโรคมากเพราะเหตุใด                เพราะชาติก่อนดีใจที่เห็นผู้อื่นเคราะห์ร้าย
ชาตินี้สุขภาพดีเพราะเหตุใด                เพราะชาติก่อนบริจาคยารักษาโรคผู้อื่น
ชาตินี้ต้องติดคุกติดตะรางเพราะเหตุใด        เพราะชาติก่อนเห็นคนตกอยู่ในอันตรายแล้วไม่ยอมช่วยเหลือ
ชาตินี้ต้องอดอาหารตายเพราะเหตุใด        เพราะชาติก่อนหัวเราะขอทาน
ชาตินี้ถูกเขาวางยาเบื่อตายเพราะเหตุใด        เพราะชาติก่อนเพราะชาติก่อนเบื่อปลาในคลอง
ชาตินี้โดดเดี่ยวทุกข์ทรมานเพราะเหตุใด        เพราะชาติก่อนใจบาปคิดแต่ทำลายผู้อื่น
ชาตินี้แคระแกนเพราะเหตุใด                เพราะชาติก่อนชอบเหยียดหยามดูแคลนคนรับใช้
ชาตินี้อาเจียนเป็นโลหิตเพราะเหตุใด        เพราะชาติก่อนคอยปลุกปั่นยุแหย่คนอื่นให้แตกแยกกัน
ชาตินี้หูหนวกเพราะเหตุใด                เพราะชาติก่อนฟังธรรมแล้วไม่เชื่อถือ
ชาตินี้เป็นฝีหนองเพราะเหตุใด                เพราะชาติก่อนทารุณสัตว์
ชาตินี้ตัวมีกลิ่นเหม็นเพราะเหตุใด        เพราะชาติก่อนชอบอิจฉาริษยาผู้อื่น
ชาตินี้ต้องแขวนคอตายเพราะเหตุใด        เพราะชาติก่อนทำลายเขาเพื่อประโยชน์ตน
ชาตินี้เป็นหม้ายหรือโดดเดี่ยวเพราะเหตุใด        เพราะชาติก่อนไม่รักลูกรักภรรยา
ชาตินี้ถูกฟ้าผ่าตายเพราะเหตุใด                เพราะชาติก่อนพูดจาเสียดสีผู้ออกบวช
ชาตินี้ถูกสัตว์ร้ายกัดตายเพราะเหตุใด        เพราะชาติก่อนชอบก่อศัตรูคู่อาฆาต
สรรพกรรมที่ก่อไว้กรรมตามสนอง        ต้องตกนรกได้รับทุกข์ทรมานจะโทษใครเล่า
อย่าพูดว่ากฎแห่งกรรมไม่มีใครเห็น        กรรมสนองเร็วก็ตกที่ตัวเองกรรมสนองช้าก็ตกที่ลูกหลาน
ถ้าไม่ศรัทธาพระรัตนตรัย ไม่รีบทำทาน        ก็จงดูบุคคลที่มีวาสนาซิ
เพราะเขาทำบุญไว้ตั้งแต่ชาติก่อน        ชาตินี้บุญจึงตอบสนอง
แม้ปัจจุบันสั่งสมบุญกุศล                บุญนั้นก็จะคุ้มครองถึงบุตรหลาน
หากใครกล่าวร้ายเรื่องกฎแห่งกรรม        ชาติหน้าก็ไม่ได้เกิดเป็นคนอีก ( เกิดอยู่ในอบายภูมิ )
หากเชื่อถือยึดมั่นในกฎแห่งกรรม        ความเจริญมั่งมีศรีสุขก็จะมาเยือนถึงบ้าน
หากใครคอยแนะนำเผยแพร่เรื่องกฎแห่งกรรม        ฆาตเคราะห์ภัยพิบัติจะอยู่ห่างไกลตัว
หากเที่ยวบรรยายเรื่องกฎแห่งกรรม                ทุก ๆ ชาติจะเป็นบุคคลที่มีปัญญาเลิศ
หากใครมั่นสวดมนต์ในเรื่องกฎแห่งกรรม        ชาติหน้าไปถึงไหนก็มีแต่คนนับถือ
หากใครพิมพ์หนังสือเรื่องกฎแห่งกรรมแจก        ชาติหน้าจะมีกายมงคลรุ่งโรจน์
หากจะถามเรื่องกฎแห่งกรรมของชาติก่อน        ควรศึกษาเรื่องราวของพระกัสสปพุทธเจ้าที่มีรัศมีแวววาว
หากจะถามเรื่องเหตุผลของชาติหน้า                ก็ให้ดูพวกที่กล่าวร้ายพระธรรมในเมืองนรก
หากว่าเหตุแห่งกรรมไม่มีการตอบสนอง        ก็ให้อ่านเรื่องพระโมคคัลลาน์ช่วยมารดาในเมืองนรก
หากบุคคลใดก็ตามที่ยึดมั่นในกฎแห่งกรรม        จะได้ไปเกิดในสุขาวดีแดนพุทธเกษตร
เรื่องกฎแห่งกรรมในสามโลกนี้พูดกันไม่จบ        สวรรค์ไม่เคยขาดคนจิตกุศล
ในพระรัตนตรัยเป็นแก้ววิเศษ                รู้จักสละบ้างผลได้รับเหลือคณานับ
เหมือนดั่งสะสมอริยทรัพย์ไว้ในเซฟที่มั่นคง        จะได้รับผลประโยชน์ทุก ๆ ชาติไป
? หากถามเรื่องชาติปางก่อน        ก็ให้ดูผลที่ได้รับในปัจจุบัน
หากจะถามเรื่องชาติหน้า      ก็ให้ดูสิ่งที่กระทำในปัจจุบัน ?

719
บทความ บทกวี / ตอบ: กฏแห่งกรรม
« เมื่อ: 01 มี.ค. 2550, 03:12:42 »
ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับ ?กฎแห่งกรรม?

?กฎแห่งกรรม? คำนี้เป็นคำที่คนไทยทุกคนรู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดี จนเข้าใจว่าเป็นเรื่องพูดกันเล่นๆ ก็มี ยิ่งพูดกันไปนานวันเข้า ความเข้าใจก็ยิ่งบิดเบือน บางคนถึงแม้จะเชื่อแต่ก็ไม่สามารถอธิบายคำถามต่างๆได้ บทเขียนนี้มุ่งเน้นที่จะอธิบายว่ากฎแห่งกรรมคืออะไร ทำหน้าที่อย่างไร ประโยชน์ที่ได้รับภายหลังเข้าใจอย่างถูกต้อง โดยพยายามไม่อ้างอิงตำราและภาษาบาลี เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าใจได้ ถ้าใครไม่มีเวลาอ่านทั้งหมด จะเลือกอ่านเฉพาะหัวข้อที่สนใจก็ได้ แต่ไม่ว่าจะอ่านอย่างไรก็ควรอ่าน เปรียบเทียบปิดท้ายด้วย


1) กรรม

คำว่า กรรม จริงๆแล้วเป็นคำกลางๆ หมายถึง ?การกระทำ? อาจเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ได้ ทุกครั้ง ที่สิ่งมีชีวิตกระทำกรรมโดยเจตนาทั้งทางกาย วาจา ใจ จะมีผลย้อนกลับมาหาผู้กระทำเสมอ ผลที่ย้อนกลับมานี้ก็คือ ?วิบาก? หรือผลของกรรมนั่นเอง พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ได้มาฟรีหรือเสียไปเปล่า เหมือนเช่นกฎ ?conservation of energy and mass? ในฟิสิกส์ ที่ว่า สสารและพลังงานสามารถเปลี่ยนรูปแบบกันได้แต่สุดท้ายแล้วจะไม่มีอะไรสูญหายไปไหน แต่กฏแห่งกรรมนั้นพิเศษยิ่งกว่าคือมีตัวคูณอยู่ด้วยไม่ใช่ว่าทำ 1 ได้ 1ซึ่งตัวคูณนี้ขึ้นอยู่กับ จิต(คุณธรรม) ของผู้กระทำและผู้ถูกกระทำนั่นเอง (ถ้ามีโอกาสผู้เขียนจะเขียนเรื่องพระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ในโอกาสต่อไป)
วิบากนี้เอง เป็นพลังงานอย่างหนึ่งซึ่งเป็นตัวผลักดัน หรือกำหนดให้สิ่งต่างๆเกิดขึ้นได้ พลังงานของ กรรมนั้นไม่สามารถจับต้องได้โดยตรงแต่สามารถรับรู้ได้ด้วยจิต พลังงานอันเกิดจากกรรมนี้จะเกิดขึ้นทุกครั้งที่สิ่งมีชีวิตที่มีจิตกระทำการใดๆโดยเจตนาและจะคอยตามให้ผลไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดแรงส่งของมันเองขึ้นอยู่กับว่าช่วงเวลาไหนกรรมตัวไหนเหมาะสมที่จะส่งผล ซึ่งแม้แต่วิบากของกรรมทั้งกุศลและอกุศลเล็กๆน้อยๆก็ไม่ได้หายไปไหนสุดท้ายแล้วผู้กระทำนั่นเองจะเป็นผู้ได้รับผล ในทางตรงกันข้ามถ้าเรื่องใดไม่มีกรรมมารองรับให้เกิด เรื่องนั้นๆ ก็ยากที่จะเกิดขึ้นได้
กล่าวโดยสรุปแล้วคือสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตคนทุกคนไม่ไช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะตนเองที่ทำให้เรื่องนั้นๆเกิด การที่พวกเราได้มาเกิดเป็นคนก็เพราะกรรมดีที่เคยสั่งสมบุญบารมีส่งให้เรามาเกิดเป็นคน แต่ในสังคมปัจจุบันคนส่วนใหญ่มัวหลงประมาทกับชีวิตไม่ยอมรักษาแม้แต่ศีล 5 ทำให้โอกาสไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่ต่ำกว่าคนนั้นช่างง่ายแสนง่าย


2) ใครเป็นผู้กำหนดกฏแห่งกรรมขึ้นมา

ไม่มีใครสร้างหรือกำหนดกฏนี้ขึ้นมา กฏนี้เป็นกฏของธรรมชาติและไม่ใช่ของศาสนาพุทธ ภายหลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ถึงความจริงของธรรมชาติแล้ว จึงได้นำธรรมะและกฏแห่งกรรมมาพร่ำสอนสรรพชีวิตที่ยังต้องเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารเพื่อประโยชน์สุขของสิ่งมีชีวิตสืบไป เนื่องจากกฏนี้เป็นกฏของธรรมชาติ ดังนั้น ไม่ว่าก่อนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ หรือภายหลังถ้าศาสนาพุทธเสื่อมหายไปจากโลก กฏแห่งกรรมก็จะยังคงดำรงอยู่ไม่สูญหายไปไหน


3)ทำไมจะต้องใส่ใจเรื่องกฏแห่งกรรมด้วย

กฏแห่งกรรมนั้นเป็นความจริงของจักรวาล ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตจะรู้ หรือไม่รู้จักกฎนี้ก็ตาม ย่อมตกอยู่ภายใต้กฎนี้อย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ หากจะเปรียบกับการเล่นเกมส์ ผู้เล่นย่อมต้องรู้กฎ กติกาของเกมส์นั้น เพื่อที่จะได้มีโอกาสชนะและไม่พลาดพลั้งโดนลงโทษ เช่นเดียวกับเกมส์ที่ทุกคนเล่นอยู่ทุกขณะจิตนี้ เป็นเกมแห่งวัฏสงสาร ซึ่งเดิมพันนั้นอาจเป็น ความสุข ? ทุกข์ ชั่วกัปชั่วกัลป์ทีเดียว หรือเปรียบเสมือนบุคคลผู้ถูกผูกตาแน่นหนา(ด้วยอวิชชา) ไม่สามารถเห็นทางข้างหน้าได้ กำลังเดินอย่างไม่รู้จุดหมาย ถ้ามีคนตาดีมาบอกว่าข้างหน้ามีหน้าผา อย่าเดินไป แต่บุรุษผู้ถูกผูกตาไม่เชื่อดึงดันที่จะไป แล้วในที่สุดเดินตกลงไปในเหว เขาจะโทษใครได้เล่า? ในทางตรงกันข้าม ถ้าบุรุษผู้ถูกผูกตายอมเอาผ้าออก(ละมิจฉาทิฐิ) ยอมดูทางข้างหน้าซักนิด(มีสัมมาทิฐิ) อันตรายย่อมไม่เกิด นอกจากจะไม่ตกเหวแล้วเขายังสามารถเดินไปตามทิศทางที่ถูกต้องเพื่อไปสู่จุดหมายอย่างปลอดภัยและมีความสุขได้อีกด้วย



4) การให้ผลของกรรม

กรรมทุกชนิดที่เหล่าสัตว์ทั้งหลายกระทำไม่ว่าจะเล็กจะน้อยอย่างไรก็ตาม ล้วนมีผลกระทบกลับไปหาตัวผู้กระทำแน่นอน ไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงแค่คิดตั้งใจจะทำ ไปจนถึงกรรมหนักที่สุดคือ อนันตริยะกรรม 5 กรรมทุกชนิดส่งผลแน่นอน แต่ขอให้ระลึกไว้ว่า วิบากนั้นก็ตกอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์... อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เช่นกัน นั่นก็คือ การให้ผลกรรมนั้นไม่เที่ยง ไม่มีใครสามารถบังคับได้ว่ากรรมชนิดนี้ต้องให้ผลอย่างนี้อย่างนั้น เวลานี้เวลานั้น และ การให้ผลของกรรมนั้น ไม่ว่าจะดูยาวนานแค่ไหนสุดท้ายแล้วจะต้องดับไป ดังนั้น เมื่อเรามีเจตนาทำกรรมทางใดก็ตาม แน่ใจได้เลยว่าเราได้สร้างเหตุที่จะให้ผลของกรรมย้อนกลับมาหาตัวเองแล้ว ส่วนผล คือจะย้อนมาเมื่อไหร่ อย่างไร เท่าไรนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เราจะไปกำหนดได้
ส่วนการให้ผลของกรรมนั้นจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับที่จิตได้เจตนากระทำไว้ ทำอกุศลด้วยอำนาจ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ก็ส่งผลเป็นทุกข์ ถ้ากระทำกรรมด้วยกุศลก็ส่งผลเป็นสุข (เรื่องความสุขที่แท้จริงนั้นถ้ามีโอกาสจะเขียนถึงในโอกาสต่อไป) ดังนั้น การที่คนหนึ่งไปตีหัวคนอื่นไว้ก็ไม่แน่ว่าจะโดนตีหัวกลับ แต่อาจเป็นโรคปวดหัวเรื้อรังเป็นต้น
เคยสังเกตกันไหมว่าเรื่องบางเรื่องนั้นดูเหมือนจะบังเอิญเสียจริงถ้าองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งคลาดเคลื่อนไปเพียงไม่กี่นาทีหรือวินาทีเรื่องบางเรื่องก็คงไม่เกิดหรือไปเกิดกับคนอื่น ความจริงแล้วเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเลย แต่จำเป็นจะต้องเกิดขึ้น ณ วินาทีนั้นๆ เพราะมันมีเหตุให้เกิดตามนั้น
หลายคนที่ไม่เชื่อกฏแห่งกรรมนั้น อาจมองว่าการไปทำให้คนอื่นทุกข์จะไม่มีผลกรรมย้อนกลับมาหา ตัวเองเพราะคนอื่นก็คือคนอื่น ตัวเราก็คือตัวเรา ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกัน จึงไม่น่าจะมีผลอะไรย้อนกลับมาหาผู้กระทำได้ แต่ความจริงแล้ว จิตเรานั่นเองที่ เกิด ดับอยู่กับตัวเราตลอดเวลาและคอยส่งผลตามที่จิตดวงก่อนหน้าได้กระทำไว้ ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม


5) จะเชื่อได้อย่างไรว่ากฏแห่งกรรมมีจริง

กฎแห่งกรรมนั้นไม่ใช่เรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้เพียงแต่คนเราไม่สนใจและกลัวที่จะรู้ว่ากฎแห่งกรรม และชาติก่อนชาติหน้ามีจริง ทำให้ตู่เอาว่ากฎแห่งกรรมเป็นรื่องพิสูจน์ไม่ได้ เปรียบเสมือนตัวกฎหมาย คนบางคนอาจไม่เคยเห็นตัวกฎหมายเลย แต่ทุกคนย่อมต้องปฏิบัติตาม ไม่ว่าจะเชื่อในกฎหมายหรือไม่ ผู้ปฏิบัติผิดกฎหมายย่อมต้องได้รับโทษ จะอ้างว่าไม่รู้กฎหมายมิได้ เพราะประชาชนทุกคนมีหน้าที่ต้องรู้กฎหมาย กฎแห่งกรรมก็เช่นกัน สิ่งมีชีวิตทุกสิ่งก็ต้องอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม และมีหน้าที่ต้องระลึกรู้ผลลัพธ์ของกฎแห่งกรรมจึงจะไม่ถลำสู่อบายไปมากกว่านี้
วิธีที่จะเห็นกฎแห่งกรรมอย่างง่ายๆ ก็คือการเจริญวิปัสสนา มีสัมมาสติตามรู้กายรู้ใจเนืองๆ ถ้าทำถูกต้องจะเห็นได้ในเวลาไม่นาน ว่าสิ่งต่างๆล้วนเกิดแต่เหตุ ไม่ได้เกิดขึ้นเองลอยๆ รวมทั้งจิตของสิ่งมีชีวิตก็เกิดดับเป็นทอดๆ ตามเหตุปัจจัยที่กระทบก่อนหน้า ถ้าจิตอกุศลเกิดขึ้นผลตามมาก็คือทุกข์
สำหรับผู้ที่เข้าใจกฏแห่งกรรมแล้ว จะเห็นตามจริงว่า ไม่มีอะไร เกิด-ดับโดยบังเอิญทุกสิ่งที่เกิดขึ้นดับไปนั้น ล้วนเป็นไปตามเหตุอันควรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ ตั้งแต่ความหงุดหงิดระหว่างวัน ไปจนถึง เรื่องใหญ่ๆ เช่น การเกิดกับพ่อแม่คนนั้นๆ การเกิดในที่นั้นๆ เรื่องความรัก ซึ่งทำให้คนมีทั้งสุขทุกข์แทบเป็นแทบตาย ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญทั้งสิ้น แต่ล้วนเพราะมีเหตุซึ่งอาจมาจากชาติที่แล้วหรือชาตินี้ องค์ประกอบต่างๆจึงมาประชุมกันในเวลาที่เหมาะสมแล้วเรื่องต่างๆ จึงเกิดขึ้น

แท้จริงแล้ว ความแตกต่างกันอย่างมากของมนุษย์บนโลกก็เป็นข้อพิสูจน์ได้แล้วว่ากฎแห่งกรรมมีจริง บางคนดูเหมือนชีวิตจะเพียบพร้อมไปเสียหมด พบแต่ความสุขสมหวังในชีวิต ในขณะที่คนบางส่วนแทบไม่เคยพบความสุขในชีวิตเลย อะไรเป็นเหตุให้มีความแตกต่างเช่นนี้? ดูเหมือนจะไม่ยุติธรรมเลยถ้าจะบอกว่าเป็นเพราะความบังเอิญ หรือเพราะคนที่พบความสุขนั้นถูกเลือกปฏิบัติโดยอะไรก็ตาม




6) ชาติก่อนกับชาติหน้าไม่ใช่ตัวเราแล้วทำไมจะต้องสนใจกฎแห่งกรรมด้วย & ดูเหมือนจะไม่ยุติธรรมสำหรับคนที่ไม่ได้ทำแต่กลับต้องมารับโทษ

เราจะมาวิเคราะห์ปัญหานี้จาก 2 มุมมอง มุมมองแรก คือมุมมองของคนทั่วๆ ไป ที่คิดว่า ตัวเขาเป็นตัวเป็นตนของเขาอยู่ทุกขณะจิต ในกรณีนี้ เขาก็ยังเป็นเขาอยู่ไม่ว่าชาติที่แล้ว ชาตินี้ หรือชาติหน้า ไม่ว่าเขาจะจำเรื่องที่ผ่านๆมาได้หรือไม่ ลองคิดดูเล่นๆว่า จะมีใครจำตอนที่คลอดออกมาจากท้องคุณแม่ได้หรือไม่ แน่นอนคำตอบก็คือไม่ได้ ดังนั้นจะบอกว่าไม่ได้เกิดมาจากท้องแม่หรือไม่? คนเราจึงไม่ได้ประกอบด้วยแค่ความจำ ฉะนั้นการที่คนเราจำชาติที่แล้วไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าเราไม่เคยผ่านชาติก่อนมา หรือถ้าจะมองย้อนให้สั้นกว่าการเกิดจากท้องแม่ ลองมองความสุข ความทุกข์ใหญ่ๆที่เคยผ่านมาในชีวิตก็ได้ ถ้ามองตามความเป็นจริงแล้วจะพบว่าความสุขความทุกข์ไม่ว่าใหญ่หลวงแค่ไหน ล้วนผ่านมาแล้วผ่านเลยไปตามแต่เหตุปัจจัยทั้งสิ้น สำหรับคนที่เคยผ่านทุกข์ใหญ่ๆมาแล้ว อาจเห็นทุกข์ที่ผ่านมาเป็นเรื่องเล็ก ดังนั้นไม่ว่าใครจะเคยตกนรกขึ้นสวรรค์มาอย่างไร การที่จำความสุข-ทุกข์ที่ผ่านมาไม่ได้ ย่อมไม่ใช่ว่าไม่เคยผ่านจุดนั้นมา ฉะนั้นก็เป็นสิ่งมีชีวิตนั่นแหละ ที่ต้องไปเกิดใหม่ รับผลกรรมที่ได้กระทำไว้ ไม่ว่าจะจำชาติที่แล้วได้หรือไม่ก็ตามที ทุกอย่างจึงยุติธรรมที่สุด

ในมุมมองที่ 2 ซึ่งเป็นคำตอบที่แท้จริงในทางปรมัตถ์ ผู้ปฎิบัติดีปฏิบัติชอบที่เห็นความจริง(ด้วยวิปัสสนา)ย่อมมองเห็นว่าตัวตนเขาไม่มีอยู่จริง ไม่ว่าในขันธ์ไหน ไม่ว่าในชาติที่แล้ว ชาตินี้ ชาติหน้า ก็ไม่มี ?เรา?อยู่ ความทุกข์นั้นมีอยู่จริงแต่ผู้รับทุกข์รวมไปถึงชื่อว่า ?ทุกข์?นั้นเป็นเพียงสมมุติ ทุกอย่างเป็นเพียงการหมุนเวียนของธาตุขันธ์ตามเหตุปัจจัย
ไม่ว่า ?เรา?จะจดจำกรรมที่เคยทำได้หรือไม่ แต่ประเด็นก็คือจิตที่เกิดอยู่ในปัจจุบันนี้ เป็นปัจจัยที่เกิดต่อเนื่องมาจากดวงจิตที่เคยทำกรรมชนิดนั้นๆมา ดวงจิตที่เกิดจากปัจจัยที่เป็นบาปย่อมได้รับทุกข์เป็นผลลัพธ์ สิ่งต่างๆมีเหตุจึงเกิดไม่มีเหตุก็ดับ นี้แลคือความยุติธรรม
สำหรับคนที่หลงมัวเมาทำกรรมชั่วอยู่เป็นนิจ แล้วนึกว่าจะไม่ส่งผลอะไรนั้น เป็นความคิดที่ผิด เพราะกรรมดีที่ส่งให้มาเกิดเป็นมนุษย์ยังไม่หมดต่างหาก เมื่อไรที่กรรมดีที่หนุนให้เป็นมนุษย์หมดลงจะมาสำนึกก็สายไปเสียแล้ว
ข้อสังเกตุ: เป็นเรื่องน่าแปลกที่เวลาคนเรามีความสุขไม่ค่อยมีใครคิดหรือพูดว่า ?ไม่ยุติธรรมเลย ที่เราไม่เคยทำบุญไว้แต่กลับได้รับความสุขเช่นนี้.....? ..........มนุษย์หนอช่างเห็นแก่ตัวเหลือเกิน


7) ทำไมกรรมต้องรอเวลาส่งผล ทำไมไม่ส่งผลต่อหน้าต่อตาคนจะได้รู้ว่ากรรมมีจริง?

การที่กรรมจะให้ผลได้นั้น ต้องรอให้องค์ประกอบและปัจจัยทุกๆอย่างเหมาะสม ซึ่งองค์ประกอบที่เหมาะสมนั้นต้องใช้เวลา ใช่ว่าจะสามารถจัดขึ้นมาได้ง่ายๆ ดังจะเห็นได้ว่าเหตุการณ์บางอย่างอาจเกิดขึ้นเพียงเพื่อให้ผลหลายสิบปีภายหลัง ตัวแปลต่างๆที่จะมีผลต่อการส่งผลของกรรมในโลกก็มีมากมายเกินกว่าจะพรรณนาได้หมด ไม่ว่าจะเป็นความเจริญของโลกในขณะนั้นๆ การพบปะสิ่งมีชีวิตซึ่งเคยทำบุญทำบาปร่วมกันมา รวมทั้งสิ่งแวดล้อมรอบตัวทั้งหมด จะต้องมาประชุมกันในเวลาที่เหมาะสมที่จะให้ผลดังที่สิ่งมีชีวิตนั้นๆสมควรได้รับ ยิ่งไปกว่านั้น การที่กรรมส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตใดๆ มักจะมีผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆเป็นลูกโซ่ที่ร้อยเป็นวงกลมไม่มีหัวไม่มีปลายและสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตต้องได้รับผลตามสมควร ดังนั้น จะเห็นได้ว่า กว่าสิ่งแวดล้อมทุกชนิดจะมาประชุมกันอย่างเหมาะสมต้องใช้เวลาจัด(บางทีก็หลายปีบางทีก็หลายชาติ) ยิ่งไปกว่านั้นภพบางภพก็ไม่เหมาะที่กรรมบางชนิดจะให้ผลอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เรื่องบางเรื่องจึงต้องรอไปก่อนอีก
(ขอให้อ่าน ทำไมทำดีตั้งนานไม่เห็นได้ดี?? กับ เปรียบเทียบปิดท้าย เพิ่มเติม )


8) กรรมเก่า vs. กรรมใหม่

ความเข้าใจเรื่องกรรมนั้นเป็นเรื่องลึกซึ้ง ทุกสิ่งที่เกิดกับเรานั้น เป็นผลมาจากทั้งกรรมเก่าและกรรมใหม่ไม่ใช่ว่าเป็นผลจากกรรมเก่าอย่างเดียวหรือกรรมใหม่ที่เราจำได้อย่างเดียว อย่างเช่น ถ้ารู้ว่าจะไปเมืองหนาวแต่ไม่เตรียมเสื้อผ้าหนาๆ แล้วเกิดไม่สบายขึ้นมา จะมาโทษกรรมเก่าทำให้ไม่สบายไม่ได้ ในลักษณะเดียวกัน คนที่ขี้เกียจเอาแต่นอนทั้งวัน จะมาโทษกรรมเก่าว่าทำให้จนไม่ได้ เพื่อที่จะแสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างกรรมเก่ากับกรรมใหม่จะขอยกตัวอย่าง เช่นบุคคลผู้มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารประเทศแต่กลับตัดสินใจโกงกินประเทศชาติเพื่อความร่ำรวย กรรมเก่าของเขา (ทั้งชาตินี้และชาติผ่านๆมา) เป็นตัวส่งให้เขามาอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจนั้นๆแต่กรรมเก่าไม่ได้กำหนดให้เขาโกง เมื่อเขาตัดสินใจโกงกินไปแล้ว เขาได้ก่อกรรมใหม่ขึ้น ซึ่งอาจส่งผลเฉพาะหน้าให้เขามีเงินมีทองขึ้นมา แต่เขาหารู้ไม่ว่า ผลของการโกงกินนั้น คือความทุกข์ที่ยึดเยื้อยาวนานจนความสุขเล็กๆน้อยๆของความรวยในชาติหนึ่งๆนั้น ไม่มีความหมายใดๆเลย .....ระหว่างความร่ำรวยชาติหนึ่งด้วยการโกง แลกกับการต้องมีชีวิตขัดสน เช่นเกิดในเอธิโอเปียเป็นร้อยๆชาติ หรือการไม่โกงใช้ชีวิตไปเรื่อยๆแต่ไมต้องเกิดในที่กันดาล....จะเลือกทางไหน? นี่เป็นเพียงตัวอย่างคร่าวๆ แท้จริงแล้ว ผลของการกระทำบาปอย่างไม่รู้จักเกรงกลัว ส่งผลร้ายแรงเกินกว่าที่จะคาดคะเนถึงมากมายนัก ดังนั้นคนที่เข้าใจกฏแห่งกรรมอย่างถูกต้อง จะทำปัจจุบันให้ดีที่สุดแต่จะไม่ทุกข์ร้อนถ้าผลออกมาไม่ถูกใจ เพราะกรรมเก่านั้นผ่านมาแล้วจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของเรา มันมีผลต่อเราแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด.....จงทำกรรมปัจจุบันให้ดีที่สุด แล้วกรรมใหม่จะค่อยๆบั่นทอนผลของกรรมเก่าเอง


9) ทำไมทำดีตั้งนานไม่เห็นได้ดี คนเลวบางคนกลับได้ดี

คนเรามักมีนิสัยเข้าข้างตัวเองอยู่เป็นนิจ มองว่าตัวเองทำดีแล้วถูกแล้วเสมอ แต่แท้ที่จริงแล้ว เอาอะไรเป็นตัววัดว่าดีจริงหรือไม่? แต่ละคนต่างมีบัญชีกรรมยาวยิ่งกว่าหางว่าว แต่อยู่ดีๆก็ต้องการให้กรรมดีที่ทำในปัจจุบันแซงหน้าบัญชีกรรมเก่า และแช่งให้กรรมชั่วที่คนอื่นทำในปัจจุบันรีบตามทันเร็วๆ พอไม่เป็นไปตามที่ต้องการ ก็ตัดพ้อต่อว่า หาว่ากฎแห่งกรรมไม่มีจริงบ้าง หาว่าทำดีไม่ได้ดีบ้าง ทั้งๆที่ตัวเองไม่เคยพิจารณาถึงความเลวของตัวเองและความดีของคนอื่นเป็นองค์ประกอบเลย
ที่ว่าคนเลวบางคนกลับได้ดีนั้นก็เช่นกัน ส่วนใหญ่ที่ว่าได้ดีก็คือรวย แต่ความรวยนั้นไม่ใช่ความสุข คนบางคนอาจรวยแต่ไม่มีความสุขก็ได้
จะเอาอะไรเป็นตัววัดว่าคนๆนี้เป็นคนดีจริง? ถ้าจะพูดโดยกว้างๆ คนดีก็คือคนที่ไม่ทำร้ายตัวเองและคนอื่น รวมถึงการลงมือช่วยคนอื่นเมื่อมีโอกาส ตัววัดที่เหมาะสมในขั้นต้นก็คือศีลนั่นเอง ถ้าบุคคลใดเริ่มต้นจากศีล 5 ได้ และดำเนินชีวิตภายใต้พรหมวิหาร 4 ประกอบด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ธรรมอันดีงามต่างๆจะตามมาปรากฏให้เห็นได้ในภายหลัง (เรื่องพรหมวิหาร 4 ถ้ามีโอกาสจะเขียนในโอกาสต่อไป)
อย่างไรก็ตาม ต่อให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นคนดีหรือคนเลวจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสียทีเดียว ที่จะเห็นผลกรรมอย่างเต็มน้ำเต็มเนื้อภายในชาตินั้นๆ ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วว่าปัจจัยต่างๆ ต้องใช้เวลาในการจัดล่วงหน้าพอสมควร และเนื่องจากกฎแห่งกรรมนั้นก็ตกอยู่ภายใต้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เช่นกัน จึงไม่แน่ว่ากรรมที่ทำในชาตินี้จะส่งผลให้เห็นในชาตินี้เลยหรือยังไม่เห็นเต็มน้ำเต็มเนื้อซะทีเดียว คนเราจึงต้องทำกรรมปัจจุบันให้ดีที่สุดอย่างน้อยเพื่อจะช่วยบั่นทอนกรรมชั่วที่ผ่านมา แต่กรรมดีจะส่งผลเมื่อไหร่นั้น ไม่แน่นอน และไม่ใช่เรื่องที่ใครจะสามารถกำหนดได้
สรุปหัวข้อนี้ให้สั้นที่สุดก็คือ เราไม่ต้องไปสนใจคนอื่นว่าเขาได้ดีได้เลวเหมาะสมหรือขัดกับตัวเขาอย่างไรเพราะเรื่องของกรรมนั้นเป็นเรื่องลึกซึ้งเกินกว่าที่จะมาคาดคะเนกันเล่นตามใจอยาก แต่ในที่สุดแล้วขอให้สบายใจได้ว่าสิ่งที่เกิดกับสิ่งมีชีวิตที่มีจิตทุกดวงนั้น เหมาะสมกับจิตดวงนั้นๆ ที่สุดแล้ว
(ขอให้อ่าน เปรียบเทียบปิดท้ายเพิ่มเติม)


10) ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับและหลังความตาย

ชาวไทยมีความเชื่อเกี่ยวกับความตายและชีวิตหลังความตายหลายอย่างแต่ที่น่าเสียดายก็คือความเข้าใจเหล่านี้มักเป็นความเชื่อนอกพุทธศาสนา ไม่ใช่ความรู้ที่ถูกต้องตามหลักพุทธะที่แท้จริง
ความเข้าใจที่มักเชื่อกันว่าเรามีตัวตนอยู่อีกหนึ่งภายในตัวเรา เมื่อเราตาย ตัวตนคือ 'เรา' นี้ก็ล่องลอยไปหาที่อื่นอยู่นี่เป็นความเข้าใจผิดสุดโต่งทางที่หนึ่ง
ในอีกด้านหนึ่ง ความเข้าใจที่คิดว่าตายแล้วสูญ ตายแล้วจบกันก็เป็นความเข้าใจที่ผิดสุดโต่งอีกข้างหนึ่ง
ที่ผิดก็เพราะว่าจิตเป็นของเกิดดับรวดเร็วมากไม่ได้มีตัวตนถาวรอยู่ที่ไหน จิตที่เกิดใหม่ ทั้งในภพเดียวกันหรือข้ามภพ คือหลังตายนั้น ไม่ใช่จิตดวงเดิม แต่เป็นผลสืบเนื่องมาจากจิตที่ดับไปก่อนหน้า เมื่อตายแล้วจิตดวงใหม่ก็ไปสร้างภพสร้างชาติในภพใหม่ทันที ในอีกด้านหนึ่ง ตายแล้วไม่สูญไปเฉยๆแน่นอน เพราะตัวเหตุปัจจัยที่นำ ?เรา? มาเกิดในชาตินี้คืออวิชชายังคงอยู่
จิตที่ไปเกาะในภพใหม่นั้นจะไปเกิดตามอารมณ์ของจิตก่อนเสียชีวิตซึ่งเราจะไม่สามารถไปควบคุมได้แต่จิตเขาเลือกอารมณ์ของเขาเองตามกรรมและความเคยชิน ถ้าเป็นอารมณ์ อกุศลก็ไปทุกขติ ถ้าเป็นอารทณ์กุศลก็ไปสุขติ อย่างนี้เป็นต้น
สำหรับคนที่เจริญวิปัสสนากรรมฐานจะพบความจริงที่น่ากลัวข้อหนึ่งว่าจิตของสัตว์ทั้งหลายเกาะอารมณ์ที่เป็นอกุศลตลอดวัน ถ้าปล่อยใจตามกิเลสไปเรื่อยๆ โอกาสไปเกิดในสุขติภพนั้นยากแสนยาก



11) ประโยชน์ต่อสังคมเมื่อรู้และเข้าใจกฏแห่งกรรมอย่างถูกต้อง

ความเข้าใจกฏแห่งกรรมที่ถูกต้องนั้นเป็นส่วนหนึ่งของสัมมาทิฐิที่ยังประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตอย่างเกินพรรณนา ทำให้คนคนหนึ่งสามารถ พัฒนาศักยภาพตนเอง และพบความสุขในชีวิตทั้งชาตินี้และชาติต่อๆไปได้ ถ้ามองในภาพกว้างการที่คนเข้าใจกฏแห่งกรรมมากขึ้นจะทำให้สังคมร่มเย็นสงบสุขขึ้นอีกเยอะทีเดียว สังคมไทยทุกวันนี้หย่อนด้วยศีลธรรมอย่างน่าใจหาย วิธีจะแก้ปัญหาต่างๆในสังคมไม่ว่าจะเป็นเรื่องคอรัปชั่นไปจนถึงปัญหาการทำแท้งสามารถแก้ไขได้โดยเริ่มต้นที่การปลูกผังความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับกฏแห่งกรรม เนื่องจากพ่อแม่ไม่สามารถเฝ้าลูกตลอดเวลาและตำรวจก็ไม่สามารถเฝ้าโจรตลอดเวลาได้ การขยายความเข้าใจที่ถูกต้อง(สัมมาทิฐิ) ต่อจิตสำนึกของประชาชนจึงเป็นวิธีที่ลัดที่สุดและได้ผลที่สุด ในการแก้ปัญหาต่างๆ การช่วยกันเผยแพร่ความเข้าใจเรื่องกรรมที่ถูกต้องต่อ ลูก พ่อแม่ เพื่อนฯ จึงจะมีประโยชน์ทั้งต่อทั้งสังคมและสัตว์โลกอย่างสูง
ผลของการที่คนแม้เพียงคนเดียวมีความรู้ที่ถูกต้องขึ้นมา ย่อมไม่หายไปไหนและจะยิ่งทำให้สังคมนั้นๆ น่าอยู่ยิ่งขึ้น ยิ่งเปอรเซ็นต์ของคนในสังคมไทยเข้าใจได้อย่างถูกต้องมากขึ้นเท่าใด ก็จะยิ่งเข้าใกล้สังคมในอุดมคติมากขึ้นเท่านั้น



12) เปรียบเทียบปิดท้าย

เพื่อให้เข้าใจ กฎแห่งกรรม ได้ง่ายๆ จะขอยกสโมสรฟุตบอลที่เก่าแก่อย่างเช่น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นตัวอย่าง
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ก่อตั้งตั้งในปี คศ1878 โดยใช้ชื่อว่า Newton Heath LYR ถ้าเรามาดูว่าเมื่อ 127 ปีก่อนกับปีนี้ มีอะไรที่ยังเหมือนเดิมบ้าง คำตอบก็คือไม่มีเลย ทั้ง ชื่อ ผู้บริหาร นักเตะ สนาม คนเชียร์
แต่ทำไมเราจึงเรียกว่าเป็นสโมสรเดิม? ทั้งนี้ ก็เพราะว่าสิ่งที่พวกเขาทำไว้ตลอด 127 ปีก่อน ส่งผลให้เป็นเขาในวันนี้นี่เอง จะบอกว่า Manchester United ในวันนี้เป็นสิ่งเดียวกับเมื่อ 127 ปีก่อนก็ไม่ใช่เพราะไม่มีอะไรเหมือนเดิมซักอย่างเดียว แต่จะบอกว่าเป็นคนละสิ่งกันก็ไม่เชิง เพราะสิ่งที่เขาทำมันส่งผลมาถึงวันนี้
โดยนัยเดียวกัน เวลาคนเราตายแล้วไปเกิดใหม่ จะบอกว่าเป็นคนเดียวกันก็ไม่ใช่เพราะไม่มีอะไรเหมือนเดิมเลย ทั้ง ร่างกาย รูป ความรู้สึก แต่จะบอกว่าเป็นคนละคนก็ไม่เชิงเพราะสิ่งที่เขาทำมาในอดีตนั่นแหละ จะเป็นตัวกำหนดส่งผลให้เขาไปเกิดใหม่เป็นอย่างนั้นๆ (จริงๆแล้ว ไม่ต้องพูดถึงข้ามชาติหรอก ดูภายในชาติเดียวกันนี่แหละ ตอนที่เราเด็กๆ กับตอนนี้มีอะไรเหมือนกันบ้าง?)
กรรมเก่าก็เหมือนสิ่งที่ผู้บริหารชุดก่อนได้ทำไว้ จะบอกว่ามันไม่มีก็ไม่ใช่ เพราะมันส่งผลถึงเราทุกวันนี้แต่จะบอกว่ามันคือทุกสิ่งก็ไม่ใช่ เพราะเหตุปัจจัยบางอย่างเราสามารถควบคุมได้ ก็ควรทำให้ดีที่สุด
การทำกรรมชั่วก็เปรียบได้กับการซื้อนักเตะฝีเท้าไม่ดีเข้าทีม การทำกรรมดีเปรียบเหมือนการซื้อนักเตะฝีเท้าดีเข้าทีม บางคนทำดีแล้วไม่เห็นผลดีก็เพราะว่า นักเตะฝีเท้าดีที่เราใส่เข้าไปในทีมยังไม่สามารถช่วยอะไรได้มาก เพราะมีนักเตะฝีเท้าห่วยคอยฉุดดึงอยู่เยอะ แต่อย่าท้อ ถ้าเราหมั่นเปลี่ยนนักเตะฝีเท้าเลวออกเอา พวกดีใส่เข้าไปเรื่อยๆ ซักวันหนึ่งทีมของเราจะต้องเจิดจ้าขึ้นมาแน่นอน
ในทางตรงกันข้าม บางคนที่เคยทำดีไว้เยอะก็เหมือนมีนักเตะฝีเท้าดีเต็มทีม การที่บางคนกลับมาทำชั่วในชาตินี้แล้วมองไม่เห็นผลทันทีทันใดก็เพราะนักเตะดีๆ คอยช่วยรั้งไว้ แต่ถ้ายังไม่สำนึกตัว ไม่เลิกทำชั่ว พอรู้ตัวอีกทีนักเตะฝีเท้าเลวก็เต็มทีมแล้ว นักเตะดีๆก็ออกจากทีมไปหมด พอหมดฤดูการแล้ว(ตายจากชาตินี้) ต้องตกชั้นแน่นอน(เกิดในภูมิที่ต่ำกว่ามนุษย์) แล้วทีนี้กว่าจะขึ้นมาใหม่ก็ยากเสียแล้ว


สรุป

.......คุณยังไม่ต้องเชื่อทุกสิ่งที่อ่านในนี้...... แต่อย่างน้อย.......ขอให้ลองเข้ามาศึกษาคำสอนของ.....พระพุทธศาสนา รวมทั้ง..... กฎแห่งกรรม..... เมื่อศึกษาด้วยจิตที่เป็นกลางแล้ว.... จะเข้าใจความจริงของธรรมชาติ .....เมื่อไหร่ที่เข้าใจความจริงของธรรมชาติ......จะนึกเสียดายเวลาที่ปล่อยผ่านเลยไปก่อนเข้ามาศึกษา.......
.............การเกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นเสมือนดาบสองคม..... มีประโยชน์อนันต์สำหรับผู้มีปัญญา รู้ว่าอะไรควรไม่ควร.......แต่ก็เป็นโทษมหันต์เช่นกันสำหรับผู้ที่มีมิจฉาทิฐิ...... เพราะมนุษย์นั้นมีศักยภาพที่จะทำตั้งแต่เรื่องดีที่สุด ไปจนถึงเรื่องเลวที่สุด......ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง..... คุณต้องการสุขหรือทุกข์.....ก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณเองแล้ว...
สุดท้ายนี้ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย ช่วยดลบันดาลให้ สัมมาทิฐิ จงบังเกิดกับชนชาวไทยทุกคนด้วยเทอญ

720
บทความ บทกวี / กฏแห่งกรรม
« เมื่อ: 01 มี.ค. 2550, 03:08:35 »
จูฬกัมมวิภังคสูตร(๑๔/๕๗๙)พระพุทธเจ้าตรัสถึงผลของกรรมดีกรรมชั่ว ๗ คู่ ดังนี้

     ๑. ผลการฆ่าสัตว์ ตายไปจะเข้าถึงอบาย หากไม่เข้าถึงอบายถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็มีอายุสั้น ผลการไม่ฆ่าสัตว์ ตายไปจะเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์ หากไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็มีอายุยืน

     ๒. ผลการเบียดเบียนสัตว์ ... ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็มีโรคมาก ผลการไม่เบียดเบียนสัตว์ ... ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ก็มีโรคน้อย

      ๓. ผลการเป็นคนมักโกรธ ... ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็มีผิวพรรณทราม ผลการเป็นคนไม่มักโกรธ ... ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็มีผิวพรรณงาม

      ๔. ผลการริษยาในลาภสักการะของคนอื่น ... ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็มีศักดิ์ต่ำ ผลการไม่ริษยาในลาภสักการะของคนอื่น ... ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็มีศักดิ์สูง

      ๕. ผลการไม่ให้ทาน ... ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็ยากจน ผลการให้ทาน ... ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ก็ร่ำรวย

      ๖. ผลของความกระด้างเย่อหยิ่ง ไม่ไหว้คนที่ควรไหว้ ... ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็เกิดในตระกูลต่ำ ผลของความไม่กระด้างเย่อหยิ่ง ไหว้คนที่ควรไหว้ ... ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็เกิดในตระกูลสูง

      ๗. ผลการไม่เข้าไปหาผู้รู้ ไม่สนใจถามเรื่องบาป บุญ ดี ชั่ว ... ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็โง่เขลา ผลการเข้าไปหาผู้รู้ สนใจถามเรื่องบาป บุญ ดี ชั่ว ... ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็มีปัญญาดี

      ทักขิณาวิภังคสูตร (๑๔/๗๑๑) พระพุทธเจ้าตรัสถึงผลการให้ทานว่า
     ๑. ให้ทานในสัตว์เดรัจฉานได้ผลร้อยเท่า

     ๒. ให้ทานในปุถุชนผู้ทุศีลได้ผลพันเท่า

     ๓. ให้ทานในปุถุชนผู้มีศีลได้ผลแสนเท่า

     ๔. ให้ทานในบุคคลภายนอกผู้ปราศจากความกำหนัดในกามได้ผลแสนโกฏิเท่า

     ๕. ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำโสดาปัตติผลให้แจ้งได้ผล นับประมาณไม่ได้

     ๖. ถ้าให้ทานในพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธะ และพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผลยิ่งไม่อาจนับประมาณได้เลย

      สัปปุริสทานสูตร (๒๒/๑๔๘) พระพุทธเจ้าตรัสถึงทาน ๕ ประการ
     ๑. ทานที่ให้ด้วยศรัทธา ทำให้ร่ำรวยและมีรูปงาม

     ๒. ทานที่ให้โดยเคารพ ทำให้ร่ำรวยและมีบุตร ภรรยา บริวาร ที่เชื่อฟัง

     ๓. ทานที่ให้โดยกาลอันควร ทำให้ร่ำรวยตั้งแต่ปฐมวัย

     ๔. ทานที่ให้ด้วยจิตอนุเคราะห์ ทำให้ร่ำรวยและพอใจใช้ของดีๆ

     ๕. ทานที่ให้โดยไม่กระทบตนและผู้อื่น ทำให้ร่ำรวยและทรัพย์นั้นปลอดภัยจากไฟ น้ำ หรือการแย่งชิงของผู้อื่น

      ทานสูตร (๒๓/๔๙) พระพุทธเจ้าตรัสถึงการให้ทาน ๗ อย่าง
     ๑. การให้ทานด้วยคิดว่า ตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ เมื่อตายแล้วย่อมเกิดในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา

     ๒. การให้ทานด้วยคิดว่า ทานเป็นการดี เมื่อตายแล้วย่อมเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

     ๓. การให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้ เราไม่ควรทำให้เสียประเพณี เมื่อตายแล้วย่อมเกิดในสวรรค์ชั้นยามา

     ๔. การให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากินได้จะไม่ให้ทานแก่สมณะผู้ไม่หุงหา ไม่สมควร เมื่อตายแล้วย่อมเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต

     ๕. การให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทานเหมือนฤษีครั้งก่อน เมื่อตายแล้วย่อมเกิดในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี

     ๖. การให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใส เกิดความปลื้มใจสุขใจ เมื่อตายแล้วย่อมเกิดในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี

     ๗. การให้ทานเพื่อเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เมื่อตายแล้วย่อมเกิด ในพรหมโลก (ชั้นสุทธาวาส) ภายหลังย่อมปรินิพพานในภพนั้นเอง (อรรถกถาอธิบายว่า เขาไม่อาจไปเกิดในพรหมโลกด้วยทาน แต่ด้วยจิตอันประดับด้วยทานนั้น เขาทำฌานและอริยมรรคให้บังเกิด ย่อมเกิดในพรหมโลกด้วยฌาน)

      อรรถกถาธรรมบท ภาค ๔ กล่าวถึงทาน ๔ ประการ คือ
     ๑. ให้ทานด้วยตน ไม่ชักชวนผู้อื่น ย่อมได้โภคสมบัติ ไม่ได้บริวารสมบัติ
     ๒. ชักชวนผู้อื่น ไม่ให้ด้วยตน ย่อมได้บริวารสมบัติ ไม่ได้โภคสมบัติ
     ๓. ไม่ให้ด้วยตน ทั้งไม่ชักชวนผู้อื่น ย่อมไม่ได้โภคสมบัติ ไม่ได้บริวารสมบัติ
     ๔. ให้ด้วยตน ทั้งชักชวนผู้อื่น ย่อมได้ทั้งโภคสมบัติ และบริวารสมบัติ

      อรรถกถากล่าวว่า ทานที่มีผลมากประกอบด้วยองค์ ๓ คือ
     ๑. ผู้รับมีศีลมีคุณธรรม
     ๒. ของที่ให้ได้มาอย่างสุจริต มีประโยชน์และสมควรแก่ผู้รับ
     ๓. มีเจตนาบริสุทธิ์ มีจิตใจที่ยินดี แจ่มใส เบิกบาน ทั้งก่อนให้ ขณะให้ และเมื่อให้แล้ว

      อรรถกถากล่าวว่า ผลแห่งบาปจะมากหรือน้อยขึ้นกับองค์ ๓ คือ
     ๑. ถ้าคน สัตว์ หรือสิ่งของที่ล่วงละเมิด มีความดี ประโยชน์ หรือมูลค่ามาก บาปก็มาก ถ้าความดี ประโยชน์หรือมูลค่าน้อย บาปก็น้อย
     ๒. ถ้าความพยายามมากก็บาปมาก ถ้าความพยายามน้อยก็บาปน้อย
     ๓. ถ้าเหตุจูงใจคือราคะโทสะโมหะมากก็บาปมาก ถ้าราคะโทสะโมหะน้อยก็บาปน้อย

 


721
บทความ บทกวี / ตอบ: World War III
« เมื่อ: 01 มี.ค. 2550, 03:03:00 »
ใน 3 วันแรกจะเกิดสงครามนิวเคลียร์ที่ทวีปเอเซียในประเทศที่เป็นอริต่อกัน ** ภัยธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


1. เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่
2. พายุถล่ม
3. แผ่นดินแยก และแผ่นดินไหว
4. ภูเขาไฟระเบิด
(จังหวัดทางภาคกลาง 2 ลูก, ภาคเหนือตอนล่าง 3 ลูก, อีกทั้งที่จังหวัดราชบุรี / น่าน / แพร่ / อ.ร้องกวาง )
5. คลื่นยักษ์จากทะเล
6. โรคระบาดที่สุดจะเยียวยา ได้แก่ VIRUSTERIA , อหิวาตกโรคสายพันธุ์ใหม่ ผู้ได้รับเชื้อจะเสียชีวิตทันที ภายใน 6 วัน
7. คลื่นเสียงที่รุนแรง ตั้งแต่เกิดมาในชีวิตจะไม่เคยได้ยินเสียงที่ดังขนาดนั้นมาก่อน
8. อดอยากขาดแคลนอาหาร การเตรียมตัว เตรียมปัจจัยเพื่อตนเองและสมาชิกในครอบครัว


1. เตรียมอาหารและน้ำดื่มไว้ที่บ้านอย่างน้อย 3 - 6 เดือน
2. เครื่องนุ่งห่มเพื่อความอบอุ่นของร่างกาย
ได้แก่เสื้อผ้า กระเป๋าน้ำร้อน ผ้าห่ม ฯลฯ เพราะในช่วงเวลานั้นอากาศจะหนาวเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ
3. เครื่องใช้ที่จำเป็น
4. ที่อยู่อาศัย
5. ยารักษาโรค
6. ด่างทับทิมและคาราไมล์ (จำเป็นมาก)
ห้ามกินอาหารที่ไม่ได้ล้างด้วยด่างทับทิม เพราะจะมีทั้งเชื้อโรคและสารกัมมันตรังสี
ส่วนคาราไมล์ จะมีไว้รักษาโรคทางผิวหนังที่ดูเหมือนจะยากต่อการรักษา แต่เมื่อทาคาราไมล์แล้ว จะหายได้อย่างน่าอัศจรรย์
7. ยานพาหนะ เช่น เรือ เสื้อชูชีพ
8. เครื่องช่วยชีวิต
9. แสงสว่าง เช่นเทียน ตะเกียงพายุ (เวลานั้น ท้องฟ้าจะมืดมิด 7 วัน เท่ากับ 1 ราตรี และจะมืดมิดรวม 7 ราตรี หรือ 49 วัน ไฟฟ้าจะดับทั่วโลก)
10. เตรียมสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง


การดูแลตัวเองในช่วงเวลาวิกฤติ


1. ห้ามออกนอกบ้านโดยเด็ดขาด ใครมาเคาะประตูบ้านก็ห้ามเปิด ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นญาติสนิท หรือคนที่เรารู้จักก็ตาม
2. ห้ามตากฝน เพราะในฝนจะมีพิษ ทั้งเชื้อโรค สารเคมีที่มนุษย์สร้าง
3. ห้ามลุยน้ำหรือแช่น้ำนานๆ แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องใช้ด่างทับทิมล้างทุกครั้ง
4. ห้ามเปิดประตูต้อนรับผู้อื่น เพราะช่วงเวลานั้น ประตูมิติของโลกทั้ง 3 ภพจะถูกเปิดเป็นครั้งแรก ผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องผีสาง จิตวิญญาณก็จะได้เห็น คนที่มาเยือน อาจเป็นผีเปรต ผีโขมด ที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรของเราจำแลงมาก็เป็นได้ และห้ามอยากรู้อยากเห็นโดยเด็ดขาด
5. ห้ามกินเนื้อสัตว์ทุกชนิด
6. ห้ามกินผักที่ยังไม่ได้แช่ด่างทับทิม
7. ฝึกการกินน้อย ถ่ายน้อย
8. ระวังอากาศที่หนาวเย็น
9. ระวังสัตว์ร้าย สัตว์มีพิษ เช่น งูพิษ จระเข้
10. ห้ามอยู่ตึกสูงเกิน 3 ชั้น เพราะตึกสูงเกิน 3 ชั้น จะพังทลายราบเป็นหน้ากลอง

 

การเตรียมทางจิตวิญญาณ


1. ชำระกรรมให้เบาบาง ทำได้โดย
1.1 หยุดโลภ โกรธ หลง
1.2 ทำจิตให้สงบ เบิกบาน เพราะวันนั้นจะมีผู้ที่เส้นโลหิตในสมองแตก เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เพราะเสียงที่ดังกึกก้องไปกระตุ้นเส้นเลือดในสมองให้แตก ดังนั้นต้องปล่อยวาง ทำจิตให้เป็นบวก จะช่วยได้มาก
2. มีสำนึกทางจิตวิญญาณ
3. ฝึกการละวาง
4. มีสติรู้ตัวตลอดเวลา
5. ฝึกการทำโมฆกรรม ขออภัยต่อเจ้ากรรมนายเวร หรือผู้ที่เราล่วงละเมิด การดูแลแก่นแท้ยามมีภัย


1. ได้ยินเสียงใด ให้ละวางเสียงนั้น / รู้เห็นสิ่งใด ให้ละวางสิ่งนั้น
ต้องไม่รับรู้ ไม่รับเห็น ไม่รู้ ไม่ชี้ ไม่ว่าจะได้ยินเสียงคนข้างบ้านร้องเพราะกำลังจะตาย หรือได้ยินเสียงใดที่น่าหวาดกลัว ต้องได้ยินแล้วผ่านเลยไป
ถ้าหากละวางไม่ได้ จะเกิดอาการ ?ตายก่อนตาย? (รู้ว่าตนเองจะต้องตายแน่ๆ หรือการตายทั้งเป็น)
2. ยอมรับให้ได้ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต้องมีสติตลอดเวลา
3. อย่าอยู่นิ่งเฉย เพราะจะทำให้เกิดความกลัวมากขึ้น ควรหากิจกรรมทำ เช่น อ่านหนังสือธรรมะ เพื่อให้จิตเป็นบวก เกิดความอิ่มเอิบ
4. สังเกตธรรมชาติก่อนนาทีวิกฤติจะเกิดขึ้น ก่อนเกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ (ระยะ 2 ) จะมีลางบอกเหตุดังนี้


1. ท้องฟ้ามืดมิดผิดปกติ
2. ใบไม้จะพลิกคว่ำพลิกหงายแลดูหดหู่
3. สัตว์ทั้งหลายจะไม่ออกมาปรากฏกายให้เห็น แต่ถ้ามีสัตว์เลี้ยงอยู่ในบ้านจะแลเห็นมันวิ่งลุกลี้ลุกลนผิดปกติ หรือบางตัวจะนอนนิ่งมีน้ำตาซึม



------------------------------------------------------------------

------------------------------------------------------------------

 

ต่อไปนี้เป็นข้อความที่คัดลอกเพียงบางส่วนมาจากเว็บต่าง ๆ ที่มีคนให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้

..............

.........

...

 

ข้อความที่ 8

ผมเองเคยนับถือคริสต์มาก่อน ผมไป Search คำว่า "The 3th world war" ใน yahoo.com ผมพบกันประโยคที่ว่า :

Signs from God. The Messiah comes. We have the end of the World. Signs from God. The Messiah comes. We have the end of the World and already 3th World war.

สังเกตคำว่า The Messiah ให้ดี ***

ผมเพิ่งประจักษ์วันนี้เองว่า ที่ผมได้ยินได้ฟังมาเสมอตลอด 27 ปี ของชีวิตผมที่เป็นคริส (คาทอลิก) นั้น คำว่า "พระเมสสิอาร์" (Messiah)ในคำภีร์ไบเบิล ชื่อไปตรงกันพระศรีอาริยเมตไตร ในพระพุทธศาสนา นั่นเอง แต่เรียกย่อเป็น เมต-ศรีอาร์ ก็เท่านั้นเอง

แต่ก่อนไม่เคยเอะใจมาก่อนเลย ได้ยินได้ฟังว่า พระผู้ไถ่จะมาช่วย บางครั้งใช้คำว่า พระแมสซี แต่ไม่เคยมีใครในโบสถ์พูดให้ฟังเลยว่าพ้องกับพระศรีอาริยเมตไตร หรือ พระศรีอารย์ พระบรมโพธิสัตว์ในพระพุทธศาสนา

คราวนี้ผมเริ่มเชื่อสนิทใจขึ้นแล้วครับ



จากคุณ ผู้เคยนับถือคริสต์ เมื่อวันที่ 7/2/2548 0:03:06





ข้อความที่ 6

โอ...คงอีกอย่างช้าประมาณ 32 ล้านปี อย่างเร็ว 8 ล้านปี มั๊ง ขอคุยด้วยในฐานะคนที่เรียนมาทางวิทยาศาสตร์
1. ตอนต้นศาสนาของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ มนุษย์จะมีอายุขัยต่างกัน เช่น ในยุคของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันคนเราอายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 100 ปี
2. คำนวณเล่น ๆ จาก "หากคนชั่วมากขึ้นทุก 100 ปี คนรุ่นถัดไปอายุขัยลดลง 1 ปีและหากคนดีมาเกิดมีศีลธรรมทุก 100 ปี คนรุ่นถัดไปจะอายุขัยเพิ่มขึ้นหนึ่งปี" นับจากตอนต้นยุคถึงปัจจุบันก็ 2500 ปี อายุขัยลดลงไป 25 ปี อายุขัยที่เหลือของคนขณะนี้เฉลี่ย 75 ปี
3. หากคำนวณตามวัฏจักรอายุขัยของคนนับจากนี้ไปถึงปี พ.ศ. 5000 อายุขัยของคนจะเหลือที่ 50 ปี ซึ่งใช้เวลาอีกประมาณ 2400 กว่า ปี ถึงปีนั้นศีลธรรมแม้แต่ศีลห้าก็จะเสื่อมไปจากใจของมนุษย์ จนล่วงเลยไปถึงอายุขัยเหลือ 10 ปีนั่นหมายถึงต้องนับไปอีก 6600 ปี โลกจะเข้าสู่ยุคเข็ญมนุษย์สมสู่กันเช่นสัตว์ กินกันเองเป็นอาหาร เข่นฆ่ากันเป็นว่าเล่น เกิดความรำเค็ญและภัยธรรมชาตินานาจนเหลือคนเพียงน้อยนิด คนที่พอจะระลึกได้ก็จะหลีกลี้หนีเข้าป่ากินพืชเป็นอาหารไม่เบียดเบียนกัน เริ่มมีศีลธรรม
4. จากนั้นทุก 100 ปี อายุขัยของมนุษย์รุ่นถัดไปจะเพิ่มขึ้น 1 ปี จนกระทั่งอายุยาวนานถึง 200,000 ปี มนุษย์อยู่อย่างสงบทุกข์มีทุกข์น้อยจำนวนมนุษย์ยังไม่มาก การเกิดการตายเป็นไปอย่างเชื่องช้าพูดถึงเรื่องทุกข์เป็นเรื่องไกลตัวมาก คนมีฤทธิ์มีบุญมาเกิดเยอะคำนวณคร่าว ๆ จากวันนี้ถึงวันที่มนุษย์มีอายุขัย 200,000 ปี ใช้เวลา 20 ล้านปี
5. กระนั้นสมเด็จพระศรีอริยเมตตรัย ก็ยังไม่ลงมาตรัสรู้เพราะ คนยุคนั้นไม่รู้การเกิดการตาย ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นกฏไตรลักษณ์รอจนกระทั่งอายุลดลงมาที่ 80,000 ปี ใช้เวลาอีก 12 ล้านปีมนุษย์มีจำนวนมากขึ้นเห็นทุกข์มากขึ้น ท่านถึงจะลงมาประสูติและตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า โดย 40,000 ปีแรก จะครองราชย์เป็นพระมหาจักรพรรดิ จนถึงวันที่ท่านมีอายุ 40000 ปี ก็จะทรงออกผนวชตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณในวันที่ทรงผนวชเผยแผ่พระธรรมคำสอนตลอดสี่หมื่นปีหลัง
6. รวมเวลาจากนี้ไปถึงวันที่พระองค์ประสูติก็เป็นเวลาโดยประมาณ 32 ล้านปีนี่นับแบบเต็มวัฏจักร หากนับแบบรวบรัดเอาแค่จากนี้ไปจนถึงอายุขัย 80,000 ปี ซึ่งไม่นับเอาอายุสูงสุดของมนุษย์จะใช้เวลาประมาณ 8 - 9 ล้านปี ใครที่ยังไม่ไปพระนิพพานชาตินี้ก็ไปรอท่านบนดาวดึงส์ ซึ่งอายุของเทวดาในดาวดึงส์ 36 ล้านปีมนุษย์ พอท่านเสด็จมาประสูติก็ให้รีบมาเกิดในยุคท่านก็ได้


และปีหน้า (พ.ศ.2549) พระศรีอารย์ ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ที่สวรรค์ชั้นดุสิตในตอนนี้ จะลงมาเกิดเป็นมนุษย์ (ท่านลงมาเกิดคราวนี้ ไม่ใช่จะมาเป็นพระพุทธเจ้า เพราะยังไม่ถึงวาระนั้น แต่ครั้งนี้ท่านจะมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยให้ผู้คนรอดพ้นจากเหตุการณ์อันเหลือที่มนุษย์จะรับมือได้ไหวครั้งนี้

ในระยะเวลาไม่นานนัก ( ภายใน 6 ปี )
พระศรีอริยะเมตไตรยจะเปิดเผยพระองค์
เพื่อปลอบประโลมสร้างขวัญกำลังใจให้กับมวลมนุษยชาติ
ที่มีความบอบช้ำทางจิตใจ
ซึ่งในขณะนี้พระองค์ท่านได้เสด็จลงมาบนโลกมนุษย์แล้ว
กำลังเป็นสามเณรในพุทธศาสนา
และพระองค์ได้มาปรากฎที่ประเทศไทยนี่เอง !!
____________________________________________

ทำไมมันดูขัด ๆ กันทั้งบอกว่า ปี 2549 ท่านถึงจะลงมา แล้วยังบอกว่าท่านบวชเป็นสามเณรอยู่แล้วอีกหกปีท่านก็จะเปิดเผยตัวจะให้เชื่อประเด็นไหน แล้วคนที่ชื่อใหญ่ อะไร ที่มาป้วนเปี้ยนแถวนี้เป็นองค์ไหนล่ะ


จากคุณ เหรอ เมื่อวันที่ 6/2/2548 23:37:45


 

ข้อความที่ 7

ความเห็นของผมถึงข้อ 6 และใต้ตรงขีดเส้นครับ

**** บางท่านอาจบอกว่าทำไมเป็นเวลานานจัง ขอบอกว่าไม่นานครับ ถ้าเทียบกับระยะเวลาที่เรียกว่า 1 กัปป์ ****

ส่วนภัยภิบติมีแน่แต่อาจไม่รุนแรงขนาดนั้นในช่วงนี้จนถึงปี พ.ศ. 5000 คนที่มีศีลธรรมอย่างน้อยศีล 5 ประจำใจไม่ต้องกลัวครับ อีกอย่าง หากจะเกิดเหตุขึ้นพระพุทธเจ้าและพระอริยะเจ้าทั้งหลายท่านช่วยโดยไม่ให้เกินกว่ากฏแห่งกรรมที่สัตว์ทั้งหลายพึงได้รับ

จากคุณ เหรอ เมื่อวันที่ 6/2/2548 23:55:36


 

ข้อความที่ 8

ผมเองเคยนับถือคริสต์มาก่อน ผมไป Search คำว่า "The 3th world war" ใน yahoo.com ผมพบกันประโยคที่ว่า :

Signs from God. The Messiah comes. We have the end of the World. Signs from God. The Messiah comes. We have the end of the World and already 3th World war.

สังเกตคำว่า The Messiah ให้ดี ***

ผมเพิ่งประจักษ์วันนี้เองว่า ที่ผมได้ยินได้ฟังมาเสมอตลอด 27 ปี ของชีวิตผมที่เป็นคริส (คาทอลิก) นั้น คำว่า "พระเมสสิอาร์" (Messiah)ในคำภีร์ไบเบิล ชื่อไปตรงกันพระศรีอาริยเมตไตร ในพระพุทธศาสนา นั่นเอง แต่เรียกย่อเป็น เมต-ศรีอาร์ ก็เท่านั้นเอง

แต่ก่อนไม่เคยเอะใจมาก่อนเลย ได้ยินได้ฟังว่า พระผู้ไถ่จะมาช่วย บางครั้งใช้คำว่า พระแมสซี แต่ไม่เคยมีใครในโบสถ์พูดให้ฟังเลยว่าพ้องกับพระศรีอาริยเมตไตร หรือ พระศรีอารย์ พระบรมโพธิสัตว์ในพระพุทธศาสนา

คราวนี้ผมเริ่มเชื่อสนิทใจขึ้นแล้วครับ



ข้อความที่ 9

คนเราเกิดมาก็ต้องตาย เราก็เบื่อขันธ์5 นี้เต็มทีแล้ว เราก็เห็นด้วยกับคุณเหรอนะคะ

จากคุณ กำกวม เมื่อวันที่ 7/2/2548 0:11:43



ลิงค์ของคำทำนายทางคริสต์ ซึ่งตรงกับ พุทธทำนาย

http://www.zevo.de/111.htm

ตัวอย่าง : Signs from God. The Messiah comes. We have the end of the World and already 3th World war. The Mankind faces the Doom and as well the biggest ever experienced Holocaust. Each second Human being ends up in the Pond of Fire. If the Messiah is not coming now (Jesus Christ, Son of God, King of the Jews), God will come as Devil-and Germany brought the entire Mankind into Hell. Owing to the Brandenburger Nazi gate in Berlin every Human will be punished as hard as Adolf Hitler. That means Hell forever:Final Solution (Endl?sung)



ข้อความที่ 11

เข้าใจว่าข้อความข้างบน นอสตราดามุส เป็นผู้ทำนายไว้ครับ ?

จากคุณ ผู้สนับสนุน เมื่อวันที่ 7/2/2548 0:22:23





ข้อความที่ 12

อ่านเจอใน pantip ว่าเกิดจุดดับเมื่อ 16 มกราคม 48.

จากคุณ พ่อมดเฒ่า เมื่อวันที่ 7/2/2548 0:59:20





ข้อความที่ 13

ในคัมภีร์ไบเบิลบอกว่า หลังวันพิพากษาโลก ของพระผู้ช่วยให้รอด จะมีคนเหลือรอดไปสวรรค์เพียงแค่ 144,000 คน (หนึ่งแสนสี่หมื่นสี่พันคนเท่านั้น) ผมคิดว่าพระผู้ช่วยให้รอดก็คงจะเป็นพระศรีอารย์ เพราะในคัมภีร์ทางคริสต์ใช้คำว่า พระเมสสิอา

แล้วพวกเราจะมีใครรอดอยู่ในจำนวนนั้นหรือเปล่าหนอ
แต่ก็ช่างมันเถอะน๊อครับ เกิดมายังไงก็ต้องตายอยู่แล้ว ไหน ๆ จะตายแล้ว ถ้าสละชีวิตเพื่อคนจำนวนมากได้ ก็น่าจะทำนะครับ

แต่คนธรรมดา ๆ อย่างกระผม คงต้องไปแอบหลังท่านผู้ได้อภิญญาให้ช่วยคุ้มกระบาลล่ะกระมังครับ 555

จากคุณ pun เมื่อวันที่ 7/2/2548 1:37:32





ข้อความที่ 14

คัดมาจากหลายที่ เลยมั่วนิดหน่อยครับ

ทางคริสต์ ตอนเด็ก ๆ ผมได้ยินในโบสถ์เรียกว่า พระผู้ช่วยให้รอด หรือ พระเมสซีอาร์ ผมก็ยังไม่เอะใจ ได้ยินใครพูดหลายครั้งก็ยังไม่เอะใจ จนเมื่อผมได้มาสัมผัสในครั้งนี้ ใช่เลยครับ ชัวร์เลยว่าเป็นท่านเดียวกันกับในคัมภีร์ไบเบิล ท่านนอสสตราดามุสไม่ยอมบอกละเอียดเท่านั้นเอง เกรงว่าคริสต์กับพุทธจะตีกันหรือเปล่า

ต่อไปนี้สังเกตคำว่า The Messiah ถ้าอ่านเป็นคำภาษาไทย ก็น่าจะเป็น "เมสสิอา" ใช่ไหมครับ (ซึ่งทางคริสต์หมายถึงพระผู้ช่วยให้รอดครับ ตอบในฐานะเคยเป็นคริสต์มา 27 ปี ครับ) ซึ่งก็คือ พระ เมตรไตรย ซึ่งย่อชื่อเป็น "เมตร" และก็อีกชื่อคือ "ศรีอารย์" ในคำทำนายของนอสสตราดามุสได้รวมคำสองคำนี้เข้าด้วยกัน เลยกลายเป็น "พระเมสสิอา" หรือ "เมตร-ศรีอารย์" "พระศรีอาริยเมตไตร" นั่นเอง ประจักษ์หรือยังครับ (mes=เมตร, siah=ศรีอาร์) ไงครับ!

ลิงค์ของคำทำนายทางคริสต์ ซึ่งตรงกับ พุทธทำนาย

http://www.zevo.de/111.htm

ตัวอย่าง : Signs from God. The Messiah comes. We have the end of the World and already 3th World war. The Mankind faces the Doom and as well the biggest ever experienced Holocaust. Each second Human being ends up in the Pond of Fire. If the Messiah is not coming now (Jesus Christ, Son of God, King of the Jews), God will come as Devil-and Germany brought the entire Mankind into Hell. Owing to the Brandenburger Nazi gate in Berlin every Human will be punished as hard as Adolf Hitler. That means Hell forever:Final Solution (Endl?sung)

จากคุณ ผู้อ่อนหัด เมื่อวันที่ 7/2/2548 2:11:55





ข้อความที่ 15

วันที่ 16 เดือน 1 ปี 2005

16-5 = 11

รหัสหายนะ 11 ก.ย.

วันที่ 6 ก.พ. 48 ที่ผ่านมานี้ จะเป็นวันเลือกตั้งวันสุดท้ายของประเทศไทยหรือเนี่ย!


จากคุณ The last empire เมื่อวันที่ 7/2/2548 2:28:07





ข้อความที่ 16

ทุกอย่างเป็นไปตามกรรม แต่ทุกสิ่งล้วนไม่แน่นอน ทำดีวันนี้เพื่ออนาคตที่ดีครับ
ปล.บุคคลที่มีเมตตาจิต ศีล 5 จะค่อยๆบริสุทธิ์ขึ้นตามกำลังของเมตตาที่มีครับ

จากคุณ wit เมื่อวันที่ 7/2/2548 7:19:46





ข้อความที่ 17

พระศรีย์ฯเป็นพระผู้จะมาตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปครับ คุณผู้ออ่นหัด และท่านที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ต้องเป็นท่านที่อยู่ใน พุทธศาสนามานานมากและตั้งใจบำเพ็ญ อย่างนัก ..พุทธไม่ตีกะใครหรอกนะ มีแต่คนมาตี คริสต์เกิดทีหลังตั้งหลายปี ใบเบิลตอนแรกๆคำสอนก็มีแต่ของคำสอนของพระเจ้า มาช่วงหลังๆนี่ มีคำสอนของทุกลัทธิ และของทุกประเทศ ... หากใบเบลมีความรู้ที่ทำนายไว้แล้ว แต่ก่อนเกิดเหตุอะไรบอกไม่ได้ซักที จะตรงก็ต่อเมื่อเหตุการณ์ผ่านไป หรือ เกิดขึ้นแล้ว ..ดูเหมือนคนแปลต้องการให้ตรงกับเหตุการณ์อะไรก็ได้ทีเกิดขึ้นไปแล้ว.. แต่เอาเถอะยกให้ เพราะยังไงคราวนี้ก็ไม่รอดอยู่แล้ว ...สำนัวาติกันก็เหอะ..

จากคุณ ไม่บอก .. เมื่อวันที่ 7/2/2548 8:34:37





ข้อความที่ 18

แบบทดสอบกำลังใจ..........

จากคุณ รุ่ง เมื่อวันที่ 7/2/2548 11:16:37





ข้อความที่ 19

มีเหตุผล แต่ถ้าคนอย่างผมต้องตาย ก็ขอสละชีวิตตายเพื่อคนอื่นก็แล้วกัน ยกเว้นกรรมมันจะมาถึงก่อนจะได้ทำความดี

จากคุณ Pun เมื่อวันที่ 7/2/2548 17:58:58





ข้อความที่ 20

ไหนบอกว่าสนุกไง อ่านแล้วเครียดจัง จะเป็นจริงมั้ยหนอ

จากคุณ Bajang เมื่อวันที่ 7/2/2548 20:19:24





ข้อความที่ 21

หนุกจริง ๆ ครับ อย่างนี้สิครับ ถึงจะเรียกว่า ชีวิตมีรสชาติ ยิ่งตรงข้อความที่ว่า ทุกคนบนโลกนี้จะได้รับรู้ถึงความรู้สึกกลัวตายโดยไม่ต้องผ่านหน้าจอทีวี!

เว็บของ www.palungjit.com เลิกทำลิงค์ไปที่กระทู้แล้วครับ อาจจะกลัวว่าจะถูกปิดเว็บหรือเปล่า?

ส่วนถ้าท่านเว็บมาสเตอร์เห็นว่ากระทู้นี้จะเป็นภัยแก่เว็บคนเมืองบัว ก็ลบออกได้เลยนะครับ

จากคุณ Pun เมื่อวันที่ 7/2/2548 20:23:58





ข้อความที่ 22

หนุกกิงๆคับ ฮือ โฮๆๆ แง๊...

จากคุณ บอร์ดีการ์ดหน้าเหลี่ยม เมื่อวันที่ 7/2/2548 23:50:12





ข้อความที่ 23

ผมเชื่อนะครับ ยังไงถ้ามีข่าวคืบหน้าที่พอจะบอกได้ก็รบกวนด้วยนะครับ หรือถ้ากรุณาส่งมาที่ e-mail nipparnlert@msn.com ก็ได้นะครับ
ขอบคุณมากครับ

จากคุณ เลิศ เมื่อวันที่ 8/2/2548 3:01:32





ข้อความที่ 24

กก.จัดสร้างระบบเตือนภัย ห่วงแผ่นดินไหวกระทบน้ำในเขื่อนทะลัก

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 2 กุมภาพันธ์ 2548 17:05 น.


นายสมิทธ ธรรมสโรช ประธานคณะกรรมการศึกษาจัดสร้างระบบเตือนภัยล่วงหน้า กล่าวว่าจากกรณีแผ่นดินไหวบนเกาะสุมาตราที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบให้รอยเลื่อนคลองมะรุม และรอยเลื่อนระนองที่พาดผ่านเกาะภูเก็ต มีการเคลื่อนตัว และรอยเลื่อนที่อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรีด้วย ซึ่งหากทั้ง 3 จุดนี้เกิดแผ่นดินไหวก็จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเกาะภูเก็ต เขื่อนศรีนครินทร์และเขื่อนเขาแหลม จังหวัดกาญจนบุรี โดยทาง กฟผ.ได้ออกมายอมรับก่อนหน้านี้แล้วว่า ถ้าเกิดแผ่นดินไหวจริงๆ จะทำให้น้ำทั้ง 2 เขื่อน ไหลทะลักเข้าสู่พื้นที่โดยรอบภายในเวลา 2 ชั่วโมง ซึ่งคณะกรรมการมีความเป็นห่วงในจุดนี้ และกำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด แต่ถ้าหากศูนย์เตือนภัยแห่งชาติที่จัดสร้างขึ้นที่ศูนย์สื่อสารพลเรือน ถนนรัตนาธิเบศร์ ดำเนินการเสร็จสิ้นภายในเดือน มี.ค.นี้ ก็คงจะสามารถเตือนภัยล่วงหน้าในจุดนี้ได้ และจะสามารถแจ้งเตือนไปยังประชาชนผ่านสื่อต่างๆ หอเตือนภัยตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ได้ภายในเวลา 3 นาที

จบ

จากคุณ ผู้ประกาศข่าวหนุ่ม เมื่อวันที่ 8/2/2548 22:21:06



 


ข้อความที่ 25

ข้อมูลทั้งหมดที่ผมนำมาโพสเอาไว้ ผมได้แจ้งแหล่งที่มาไว้เรียบร้อยแล้ว หาอ่านเพิ่มเติมได้ตามที่ผมได้บอกไว้ครับ ส่วนท่านจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละท่านจะตัดสินใจเอาเอง ในความคิดส่วนตัวของผมหากเราตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ตั้งใจปฎิบัติธรรม รักษาศีล หมั่นเจริญภาวนาเอาไว้ ก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร กลับจะเป็นประโยชน์กับตัวเองทั้งในชาตินี้และชาติหน้าครับ

กระผมขอให้ข้อมูลเพิ่มเติม เป็นคาถาช่วยชีวิตซึ่งคัดลอกจากศิลาจารึกในเขตมหาวิหาร ในสวนมฤคทายวัน ซึ่งแปลได้ความดังนี้

"ดูกร, อานนท์ พระตถาคตสงสารสรรพสัตว์ เวลานั้นพลโลกเหลือน้อยเต็มที คำพยากรณ์ของพระตถาคตนี้ ยังให้สัตว์ทั้งหลายตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วเชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่บอกเล่าให้ผู้อื่นรู้กันต่อๆ ไป นับว่าเป็นกรรมแห่งสัตว์ ต่างสิ้นสุดกันตามเวลา ผู้ใดปรารถนาจะได้เห็นหรือทันพบผู้มีบุญ ให้รักษาศีล 5 หนึ่ง เคารพยำเกรงบิดามารดา รู้จักบุญคุณของท่านมีคุณหนึ่ง ให้เจริญภาวนาในพรหมไตรสภาพหนึ่ง คาถาว่าดังนี้

พุทธิทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา นะโมสัพพะราชา ขัตติโย อิติ ปาระมิตา ติงสา อิติ สัพพัญญูมาคะตา

อิติ โพธิ มะ นุปปัตโต อิติปิโส จะเต นะโม

(คาถาบารมี 30 ทัศ)

รู้แล้วอย่าประมาท คนประมาทคือคนที่ตายแล้ว ให้ท่องบทภาวนารักษาศีล ย่อมอยู่รอดปลอดภัยจากภยันตรายภัยพิบัติทั้งปวงเทอญ"

จากคุณ ผู้ประกาศข่าว เมื่อวันที่ 8/2/2548 22:26:05






ข้อความที่ 26

หากใครอยากรู้ว่าพระศรีอาริยะเมตไตรย ที่มาเกิดกายในยุคนี้จะมาทำภาระกิจสิ่งใดในโลกนี้ กระผมขอแนะนำให้ท่านเข้าไปศึกษาดูได้ที่เวปไซต์แห่งนี้ครับhttp://siri.bodhisattva.name/ผู้แต่งหนังสือสิริอาริยะธรรมิกราช ได้บอกข้อความที่น่าสนใจเกี่ยวกับตัวของเขาไว้ดังนี้ครับการที่ผู้เขียนสมมติตนเป็นพระศรีอารย์นี้ ไม่ได้หมายความว่า ผู้เขียนรับรองตนต่อผู้อ่านแล้วว่าผู้เขียนคือพระศรีอารย์ และการที่ผู้เขียนยังไม่รับรองตนว่าเป็นพระศรีอารย์นี้ ก็ใช่ว่า ผู้เขียนจะปฏิเสธว่าผู้เขียนไม่ใช่พระศรีอารย์แน่แท้แล้ว เหตุเพราะว่า ผู้เขียนยังไม่รู้ความจริงเกี่ยวกับตน ยังอยู่ในขั้นตามพิสูจน์ธรรมอยู่ หากพิสูจน์รู้แน่แท้ว่า ผู้เขียนคือพระศรีอารย์ เรื่องราวต่างๆในนิยายนี้ก็จะปรากฏขึ้นได้ตามเป็นจริง เพราะผู้เขียนตั้งใจไว้ว่าจะทำให้ได้อย่างนี้จริงๆ แต่ หากพิสูจน์แล้วว่าผู้เขียนไม่ใช่พระศรีอารย์ เรื่องราวในนิยายนี้ก็จะเป็นแค่เรื่องของความคาดเดาของผู้เขียนเท่านั้น และผู้เขียนก็จะได้เลิกการเขียนนิยายต่อไป เพราะละทิ้งการสมมติตนเป็นพระศรีอารย์ อันเป็นเหตุเกิดนิยายแล้วนั่นเอง..ผังเมืองที่ผู้เขียนเขียนขึ้นมานี้เอง ก็เป็นส่วนประกอบหนึ่งของนิยาย พอให้นิยายดูมีชีวิตชีวา สมจริงมากขึ้นเท่านั้น แต่ก็ไม่อาจนับเป็นที่อ้างอิงได้ว่าต้องเป็นอย่างนี้.... เดิมที ผู้เขียนเลือกหลวงพระบางเป็นที่ตั้งผังเมืองใหม่ ด้วยเหตุผลทางเชื้อสายของผู้เขียน แต่พอมาพิจารณาเหตุปัจจัยอื่นๆประกอบแล้ว คือ ความสะดวกในการทดน้ำเข้าเขื่อน ความเป็นเมืองของชาวพุทธเถรวาท ตำแหน่งที่ขุมทรัพย์พึงปรากฏ เหล่านี้แล้ว จึงเป็นเหตุให้ผู้เขียนย้ายที่ตั้งผังเมืองใหม่มาอยู่ที่ทางตอนเหนือของประเทศไทยแทน เพราะ เป็นกึ่งกลางแดนพุทธเถรวาทในตอนนี้ คือ ไทย-พม่า ทำให้สะดวกในการขนย้ายพุทธบริษัทมาสู่เมืองใหม่ และสะดวกแก่ผู้อพยพตามมาในภายหลังที่เป็นชาวพุทธเถรวาทด้วย ซึ่งโดยมากก็เป็นไทยกับพม่า ...คัดลอกมาจากhttp://siri.bodhisattva.name/s_newcity.htm

จากคุณ คนเพ้อเจ้อ เมื่อวันที่ 8/2/2548 22:39:58


 


ข้อความที่ 27

ผมเข้าไปอ่านแล้วครับ .. ความจริงอ่านมานานแล้วละ ...สนุกดีเป็นนิยาย นะครับอย่าลืม..

จากคุณ q เมื่อวันที่ 9/2/2548 8:18:53

----------------------------------


ข้อความจาก www.palungjit.com

ถึง คุณกระเจียว

ตามที่ผมได้อ่านพบเรื่องที่คุณป้านิภา คงสุข แจ้งเตือนให้ลูกหลานระวังภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในปี 2548 นี้ โดยให้พกพระของหลวงปู่โต พรหมรังษี, หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้, และพระคำข้าวของหลวงพ่อ ฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง ติดตัวไปในขณะเดินทางไปในที่ต่างๆ นั้น

ทำให้ผมนึกอยากจะช่วยให้คนที่ไม่มี ?พระคำข้าว? ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง ได้มีไว้ป้องกันตัวในคราวที่เกิดภัย โดยผมได้เก็บเอาไว้ในสมัยที่หลวงพ่อฤาษีฯ ยังมีชีวิตอยู่โดยได้รับจากมือของท่านเองในตอนที่ไปถวายสังฆทานที่บ้านซอยสายลม จำนวน 40 องค์ ความจริงผมรักและหวงแหนพระคำข้าวชุดนี้มาก เพราะหลวงพ่อฤาษีเคยบอกให้ลูกหลานฟัง อยู่เสมอว่าให้เก็บรักษาเอาไว้ให้ดีต่อไปภายหน้าจะเกิดสงครามใหญ่ จะมีการใช้ระเบิดนิวเคลียร์ในการทำลายล้างกัน และจะมีการใช้อาวุธเชื้อโรคต่างๆ ในการสู้รบทำให้มีผู้คนล้มตายหลายล้านคน

หลวงพ่อฤาษีฯ ยังได้บอกอีกว่า ?พระคำข้าว? ที่ท่านได้ทำนี้ได้อาราธนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ในพระนิพพาน ให้ช่วยป้องกันกัมมันตภาพรังสีนิวเคลียร์ และอาวุธเชื้อโรคต่าง ๆ ที่จะแพร่กระจายไปในที่ต่างๆ ทั่วโลก ต่อไปภายหน้าพระคำข้าวนี้จะเป็นของหายากและมีราคาแพง เหมือนพระสมเด็จวัดระฆังเลยทีเดียว

ผมจึงขอรบกวนคุณกระเจียว แจ้งที่อยู่ที่จะจัดส่ง?พระคำข้าว? ชุดนี้ไปให้ เอาไว้แจกกับผู้ร่วมทำบุญสร้างพระไตรปิฎก กับคุณเวปสโนว์ ตามแต่จะเห็นสมควรด้วยครับ โดยผมจะส่งไปให้ทางไปรษณีย์ EMS ครับ


--------------------------------

เมื่อสิ้นศตวรรษที่ 20 นี้ สนามแม่เหล็กไฟฟ้าของโลกจะมีการเปลี่ยนแปลง สลับสับสนกันอย่างยุ่งเหยิงไฟฟ้าบนโลกจะขัดข้อง การติดต่อสื่อสารรับรู้กันทั่วโลกโดยอิเลคทรอนิค จะใช้การไม่ได้ภัยพิบัติหลายๆ อย่างจะเกิดขึ้น คนที่เคยสนุกสุขสบายจะทนต่อสภาวะนั้นไม่ได้ เดือดร้อนเรื่องที่พัก อาหาร เครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ ผู้คนจะเกิดความเครียด คลุ้มคลั่ง ปั่นป่วนกันไปหมดทั้งโลก >>

>>

ในวันนั้นน้ำ 1 ลิตรจะมีค่ามากกว่าทองคำ 1 กิโลกรัม และอาจจะไม่สามารถแลกซื้อได้ อาหารขาดแคลนมาก นับเป็นภัยอันตรายยิ่งกว่าสงครามใดๆ ภัยนี้จะคุกคามไปทั่วโลก ผู้คนที่ทนต่อสภาวะการณ์ดังกล่าวไม่ได้จะต้องตายไป และประมาณว่าอาจตายกว่า 70 เปอร์เซนต์ทั้งโลก>>

>>

ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์พยายามค้นคว้าว่า จะมีวิธีใดที่จะถนอมอาหารเอาไว้ใช้ได้นานๆ และจะหาที่เก็บที่เหมาะสม เพื่อเผชิญกับวิกฤตการณ์ที่จะเกิดขึ้น>>

>>

สำหรับประเทศไทย จะได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไม่มากนัก เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความเจริญทางด้านจิตวิญญาณสูง ต่อไปมนุษย์ที่เหลืออยู่เกือบทั้งโลกจะต้องมาพึ่งประเทศไทย ซึ่งจะยังคงมีพืชพันธุ์ธัญญาหารและสิ่งแวดล้อมอุดมสมบูรณ์อยู่ และพลเมืองมีเมตตาธรรม>>

>>

หนทางแก้ไขล่วงหน้านั้น นักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ และรัฐบาลต่างๆ ต้องรับรู้ถึงภัยพิบัติครั้งนี้ และหาทางป้องกันแก้ไข ต้องพยายามให้คนที่มีฐานะดีช่วยเหลือคนยากคนจน เป็นการพัฒนาจิตวิญญาณให้ดีขึ้น จิตวิญญาณที่ดีจะช่วยคุ้มครองตัวเราไว้ >>

>>

สำหรับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นหลังจากศตวรรษที่ 20 นี้ขอให้ผู้มีวิชาพลังจักรวาลได้ช่วยกันนั่งสมาธิ อธิษฐาน ขอให้เบื้องบนรับรู้การแก้ปัญหาของเรา และให้ความช่วยเหลือ ซึ่งคงจะได้ผลเหมือนกับหลายๆ ครั้งที่เราได้เคยช่วยกันมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่หรือไฟไหม้ครั้งมโหฬาร การรวมพลังกันอย่างตั้งใจและแน่วแน่ เช่นนี้คงจะช่วยผ่อนคลายวิกฤตการณ์ร้ายครั้งนี้ ให้เบาบางลงไปได้บ้าง>>

>>

( แหล่งที่มา หนังสือพลังจักรวาลรักษาโรค โดยนพนนท์ สำนักพิมพ์เรือนบุญ 10/1 หมู่ 7 ซอยบางกระสอบ 2 ต.บางกระสอบ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ )>>

 

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------

--------------------------------------------------------------------------------------

 

 

<<< ข่าวล่าสุด >>>

ข่าวล่าสุด

--------------------------------------------------------------------------------

ล่าสุด ลูกศิษย์ที่เป็นฆารวาสคนหนึ่งของหลวงปู่สังวาลย์ เขมโก (อดีตเจ้าอาวาสวัดทุ่งสามัคคีธรรม และวัดสังฆทาน) ซึ่งท่านได้มรณภาพไปแล้ว เล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ได้ไปกราบท่านและสนทนาธรรมด้วย หลวงปู่ฯ กล่าวว่า


"เราฝันเห็นน้ำสูงเท่าเสาไฟฟ้าในกรุงเทพฯ จะเกิดขึ้นอีกไม่นาน..."

722
บทความ บทกวี / World War III
« เมื่อ: 01 มี.ค. 2550, 03:00:52 »

เงินทองจะมีประโยชน์อะไร ถ้าหากว่าเราไม่มีโอกาสได้ใช้มัน ไม่มีที่ให้ใช้ และไม่สามารถออกจากบ้านได้

ฯลฯ

 

Believe half of What you see!

อย่าเชื่อทุกสิ่งที่เห็น ได้ิยิน หรือได้อ่าน!

(ให้เชื่อเพียงครึ่งเดียว เพื่อเป็นข้อมูลเท่านั้น)

พุทธทำนาย หลังกึ่งพุทธกาลไปแล้ว ไม่นานจะเกิดเหตุการณ์ฯ

ศิลาจารึกในเขตมหาวิหาร ในสวนมฤคทายวัน ซึ่งแปลได้ความดังนี้
"ดูกร, อานนท์ พระตถาคตสงสารสรรพสัตว์ เวลานั้นพลโลกเหลือน้อยเต็มที คำพยากรณ์ของพระตถาคตนี้ ยังให้สัตว์ทั้งหลายตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วเชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่บอกเล่าให้ผู้อื่นรู้กันต่อๆ ไป นับว่าเป็นกรรมแห่งสัตว์ ต่างสิ้นสุดกันตามเวลา ผู้ใดปรารถนาจะได้เห็นหรือทันพบผู้มีบุญ ให้รักษาศีล 5 หนึ่ง เคารพยำเกรงบิดามารดา รู้จักบุญคุณของท่านมีคุณหนึ่ง ให้เจริญภาวนาในพรหมไตรสภาพหนึ่ง

คาถาว่าดังนี้


พุทธิทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา นะโมสัพพะราชา ขัตติโย อิติ ปาระมิตา ติงสา อิติ สัพพัญญูมาคะตา

อิติ โพธิ มะ นุปปัตโต อิติปิโส จะเต นะโม

(คาถาบารมี 30 ทัศ)


รู้แล้วอย่าประมาท คนประมาทคือคนที่ตายแล้ว ให้ท่องบทภาวนารักษาศีล ย่อมอยู่รอดปลอดภัยจากภยันตรายภัยพิบัติทั้งปวงเทอญ"

เรียน ท่านผู้อ่านที่เคารพ
หากเห็นว่าข้อความต่อไปนี้ไม่เหมาะสมกรุณาลบมันทิ้งไปจากใจของท่านโดยทันที
และหากท่านใดมาอ่านพบข้อความเหล่านี้กรุณาใช้วิจารณญาณในการรับรู้ให้ดี
อย่าเพิ่งเชื่อถือกับข้อความเหล่านี้ และอย่าตื่นตระหนกไปกับข้อความเหล่านี้
เพียงรับรู้ไว้เป็นข้อมูลอันหนึ่งเท่านั้น หรือรับรู้ว่าเป็นนิยายเพ้อเจ้อไร้สาระก็พอ
ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่ !


มีท่านผู้รู้ท่านหนึ่งบอกกับผมว่า ปลายปี พ.ศ.2548 นี้ จะเริ่มเกิดสงครามครั้งยิ่งใหญ่ของโลก ซึ่งจะส่งผลให้มีคนตายจำนวนมหาศาล ส่วนผู้ที่รักษาศีล 5 ขึ้นไปจะรอด และอีก 5 ปีถัดไปน้ำจะท่วมภาคใต้ และจะร้ายแรงมากกว่าซึนามิหลายเท่า ผู้คนที่รอดชีวิตจำต้องเดินทางขึ้นทางเหนือเพื่อให้พ้นภัย โดยระหว่างทางจะพบกับคนนอนตายเกลื่อนกลาดจำนวนมาก

นี่ไม่ได้แช่งนะ!
ใครที่ไม่เคยเข้าวัดก็รีบซะตอนนี้ยังทัน รีบหาของดี วัตถุมงคลติดตัวไว้ แต่ถ้าเป็นคนมีศีลดีอยู่แล้วก็ยิ่งดี และสุดท้ายให้ฝึกนั่งสมาธิ เพราะไม่มีสิ่งใดจะช่วยเราได้นอกจากสมาธิ และผู้ปฏิบัติสมาธิที่ได้อภิญญา เรียกว่าให้อยู่ใกล้คนดีเข้าไว้


และปีหน้า (พ.ศ.2549) พระศรีอารย์ ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ที่สวรรค์ชั้นดุสิตในตอนนี้ จะลงมาเกิดเป็นมนุษย์ (ท่านลงมาเกิดคราวนี้ ไม่ใช่จะมาเป็นพระพุทธเจ้่า เพราะยังไม่ถึงวาระนั้น แต่ครั้งนี้ท่านจะมาเกิดเป็นมนุษย์

[comment : ไม่แน่ตอนนี้ท่านอาจจะมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็ได้ แต่ยังไม่แสดงตัวเท่านั้น] เพื่อช่วยให้ผู้คนรอดพ้นจากเหตุการณ์อันเหลือที่มนุษย์จะรับมือได้ไหวครั้งนี้

เพื่อช่วยให้พ้นจากภัยสงครามครั้งมหึมาที่จะทำให้มีคนตายมหาศาลที่กำลังจะเกิดขึ้น)


นี่ผมก็ได้เปิดเผยคำพูดของท่านผู้รู้ท่านหนึ่ง ซึ่งความจริงลูกศิษย์ท่านคนหนึ่งบอกว่า อย่าไปบอกใครนะ เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราบ้า

แต่กระผมก็อดที่จะบอกท่านไม่ได้

ผมยอมเป็นคนบ้า ถ้าหากว่าความบ้าของผม มันจะสามารถช่วยชีวิตของคนจำนวนมากได้


หากท่านไม่แน่ใจว่าตัวท่านมีความดีพอที่จะรอดพ้นจากมหาภัยพิบัติครั้งนี้ละก็ ขอให้หาของดีติดตัวไว้เป็นดี หรือถ้าหาของดีไม่ได้จริง ๆ ก็จงทำตัวท่านเองให้เป็นคนดี เพื่อความดีจะได้รักษาตัวของท่านเอง


หากท่านไม่เชื่อ ก็จงอย่าเพิ่งปฏิเสธ เช่น เชื้อโรคที่ตาเปล่าของเรามองไม่เห็น แต่เราก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันไม่มี เพราะเรามีเครื่องมือคือกล้องจุลทรรศน์ที่จะส่องเห็นแล้ว ส่วนเรื่องอย่างเช่นสิ่งที่ผมกล่าวไปก่อนหน้า เครื่องมือที่จะเห็นก็มีแล้วคือการปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ แต่อยู่ที่ท่านจะใช้เครื่องมือ หรือรู้วิธีใช้เครื่องมือนั้นอย่างถูกต้องหรือไม่เท่านั้นเอง


ผมเคยอ่านหนังสือที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเขียนไว้ว่าอีกไม่กี่ร้อยปีจะมีพระมหากษัตริย์ท่านหนึ่งเดินทางจากทางเหนือมาบูรณะวัดท่าซุง ซึ่งตอนที่ท่านบอกให้ และขณะนี้ก็ตาม วัดท่าซุงก็ยังเป็นปกติดี ประเทศไทยก็ยังปกติดี

แสดงว่าหลังจากนี้ไม่นานมันต้องมีเหตุการณ์ที่ทำให้วัดท่าซุงร้าง ซึ่งปัจจุบันวัดท่าซุึงยังมีคนไปทำบุญ ถือศีล ปฏิบัติธรรม อยู่ไม่ขาดสาย แต่จะมีเหตุใดเล่าที่ทำให้เป็นวัดร้างได้ นอกจาก..... (อาจจะเกิดสงครามนิวเคลียร์ระหว่างชาติอาหรับและอเมริกา ซึ่งเป็นชนวนให้เกิดอภิมหาสงครามครั้งใหญ่ซึ่งส่งผลกระทบถึงประเทศไทย ก็เป็นได้)


ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่ จงหมั่นทำดี เพื่อรักษาชีวิตรอดเทอญ

 

จาก

ผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม

5 ก.พ.48

 

------------------------------------------------------

-----------------------------------------------------

เรื่องเล่าสนุก ๆ จากคุณเกษม

ในนิมิต ...บอกมาว่า อีกประมาณ 5 ปี จะเกิดเหตุการณ์ดังต่อไปนี้

(ปัจจุบัน ปี พ.ศ. 2548)

แผ่นดินไทยที่สาบสูญบริเวณที่หายถาวรทั้งแผ่นดินนราธิวาส สตูล พังงา ภูเก็ต หมู่เกาะสิมิลัน หมู่เกาะสุรินทร์
หมู่เกาะ ตะรูเตา หมู่เกาะทะเลตรัง ตราด เกาะช้าง
หมู่เกาะทะเลตราด เกาะสมุย เกาะพงัน อ่างทอง ชะอำบริเวณที่เหลือเพียงบางส่วน แต่จะกลายเป็นเกาะเล็กๆเกาะยะลา เกาะปัตตานี เกาะพัทลุง เกาะสิชล-ขนอม
เกาะหัวหิน เกาะหาดทรายรี-ชุมพรบริเวณที่หายเป็นส่วนใหญ่ จะเหลือเพียงบางส่วนยะลา หาดใหญ่ พัทลุง ตรัง สุราษฎร์ธานี
นครศรีธรรมราช ประจวบคีรีขันธ์
เพชรบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร ฉะเชิงเทรา
ชลบุรี ระยอง จันทบุรี สมุทรปราการ อุบลราชธานี
แผ่นดินริมแม่น้ำโขงตลอดแนว กาญจนบุรี
ฯลฯประเทศไทยจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนได้แก่พื้นที่ในส่วนภาคกลางอันเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ
และบริเวณในส่วนของภาคใต้ที่จะถูกแบ่งออกเป็น 2 เกาะใหญ่ๆ
ได้แก่1. บริเวณตั้งแต่ชุมพรฝั่งตะวันตก ท่าแซะ ระนอง
สุราษฎร์ธานีฝั่งตะวันตก บริเวณด้านบนของอำเภอพนม
อ.เทียนชา อ.บ้านนาเดิม นครศรีธรรมราชตอนบน ขนอม2. บริเวณตั้งแต่จังหวัดกระบี่ นครศรีธรรมราช
ที่ต่อแดนกับจังหวัดกระบี่ด้านบน ฉวาง ร่อนพิบุลย์ ชะอวด
จังหวัดตรังด้านตะวันออก จังหวัดพัทลุงด้านตะวันตก หาดใหญ่
จังหวัดยะลา ด้านตะวันตกนอกจากนี้ยังมีเกาะเล็ก เกาะน้อยที่เกิดขึ้นมาใหม่อีกหลายเกาะ
ได้แก่เกาะสัต***บ เกาะยะลา เกาะปัตตานี
เกาะพัทลุง เกาะสิชล-ขนอม
เกาะหัวหิน เกาะหาดทรายรี-ชุมพรบริเวณที่จะกลายเป็นพื้นที่ติดกับทะเลดินแดนที่จะมีอาณาเขตติดกับทะเล ได้แก่
สงขลาทางด้านตะวันตก ยะลาทางด้านตะวันออก
หาดใหญ่ กระบี่ตอนบน ด้านที่ติดกับจังหวัดสุราษฎร์ธานี
และด้านที่ติดกับจังหวัดพังงา
ตอนกลางของจังหวัดสุราษฎร์ธานี
ตั้งแต่ อ.พนม อ.เคียงซา จรดเขตจังหวัดกระบี่
ชุมพรด้านใน ท่าแซะ
ตอนล่างของเมืองประจวบคีรีขันธ์
และถนนเพชรเกษมฝั่งตะวันออกตลอดแนว
ของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ถนนชลบุรี-ปากท่อ ช่วงสมุทรสงคราม และสมุทรสาคร
ตัวเมืองแปดริ้ว บ้านค่ายปลวกแดง จ.ระยอง ตัวเมืองจันทรบุรี
และตลาดท่าใหม่วังน้ำเย็น จรด จ.สระแก้ว
เหนือเขื่อนเขาแหลมด้านตะวันตก
กาญจนบุรี ศรีสะเกษ อุบลราชธานี มุกดาหาร สกลนคร
นครพนม เลย หนองคาย อำนาจเจริญ
บ้านร่มเกล้า จังหวัดพิษณุโลก
อุตรดิตถ์ ด้านที่ติดกับประเทศลาว น่าน ด้านตะวันออกตอนล่าง
บ้านสบเมย จ.แม่ฮ่องสอนที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะกลายเป็นดินแดนชายฝั่งทะเล !ประเทศไทยเป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์
ที่จะได้รับการปกป้อง คุ้มครองรักษาไว้
ซึ่งจะได้รับความบอบช้ำจากมหันตภัยธรรมชาติน้อยที่สุดในโลก
และจะเป็นอู่ข้าวอู่น้ำซึ่งมีความเจริญเป็นศูนย์กลางของโลกต่อไปเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในต่างประเทศเหตุการณ์ในต่างประเทศเกาะฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา
ถูกคลื่นยักษ์ที่มาพร้อมกับพายุไซโคลนกระหน่ำ
ทั้งเกาะจะถูกลบหายไปจากแผนที่โลกพิลิปปินส์ ถูกพายุไซโคลนกระแทก
ก่อนเกิดเหตุจะแลเห็นน้ำทะเลเป็นสีดำหม่นหมอง
บรรยากาศหดหู่ เวิ้งว้าง
ไม่นานนักจะเกิดพายุไซโคลนก่อตัวขึ้น
พายุไซโคลนที่รุนแรง ข้างล่างดูด ข้างบนตี กระแทก
จนกระทั่งเกาะทุกเกาะจมหายลงไปในท้องทะเลไอแลนด์เหนือและใต้ อากาศหนาวจัด
อย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน
ในขนะเดียวกันจะถูกคลื่นยักษ์ซัดกระหน่ำ
ในขณะที่หนาวจัดนั่นเองฮ่องกงถูกทะเลคลั่ง น้ำทะเลสูง
ชินจุงจะหายถาวร
เกาะสนามบินแห่งใหม่
จะถูกคลื่นตีแตกหายไปในทะเล
ในบริเวณแถบนั้นจะเหลือแต่เพียงเกาะเกาลูน
และประเทศจีนบางส่วนเท่านั้นเกาะมาเก๊า เผชิญพายุฝนอย่างหนัก
รวมทั้งคลื่นยักษ์โหมกระหน่ำ
จนกระทั่งเกาะทรุดเอียง น้ำทะเลขึ้นสูง
ยามรุ่งเช้าหลังจากพายุสงบ
จะเหลือเพียงโบสถ์คริสต์แห่งหนึ่งกับบาทหลวง
ที่กำลังสวดมนต์ภาวนาเพียง 3 รูปเท่านั้นนิวซีแลนด์ถูกพายุโซนร้อนถล่ม
ฝนที่ตกลงมาจะมีเม็ดโตเท่าลูกเห็บ
น้ำท่วมสูงแต่เกาะจะไม่สูญหายถาวรสหรัฐอเมริกาจะถูกพายุที่รุนแรงถล่มอย่างหนักหน่วง
พร้อมทั้งเกิด แผ่นดินไหวฉับพลัน 24 ริกเตอร์
เป็นระยะเวลานานถึง 8 ชั่วโมง
ซี่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในโลกนี้
อเมริกาจะถูกแบ่งออกเป็นสองซีก
กลายเป็นเกาะ 2 เกาะ
นิวยอร์กจะทรุดตัวเหลือเพียงบางส่วน
นอกนั้นจะจมหายลงไปในท้องทะเลจนหมดสิ้นตุรกี แผ่นดินไหวอย่างรุนแรง 16 ริกเตอร์คิวบา จมหายลงไปใต้ทะเล
( ห่างจากอเมริกา 10 นาที )
เกาะสิงคโปร์ หายไปจากแผนที่โลก
เนื่องจากถูกพายุไซโคลนกระแทกอย่างหนักอินโดนีเซียถูกพายุไซโคลนกระแทก
จนกระทั่งหายไปจากโลก
เหมือนเช่นที่พิลิปปินส์
จะเหลือเพียงเกาะเล็กๆ
ในส่วนที่เคยเป็นยอดเขาของกรุงจากาต้าเท่านั้นเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ เกิดน้ำท่วมใหญ่
แม่น้ำกลายเป็นทะเล
แผ่นดินซีกตะวันออกจะจมหายไปทั้งหมด
เกาหลีใต้จะจมหายประเทศญี่ปุ่นหายไปจากโลก
ก่อนเกิดเหตุจะมีบรรยากาศเงียบงัน
วังเวง หดหู่เวิ้งว้าง
มนุษย์จะเห็นเหตุการณ์ประหลาด
เมฆสีเทาก้อนใหญ่ 2 ก้อน
ลอยเคลื่อนตัวเข้าหากัน
แล้วชนกันแตกกระจายเป็นฝนเม็ดโตๆ
ใต้ทะเลเกิดคลื่นไซโคลนขยายตัว
พุ่งเข้าหาหมู่เกาะ
จะกระแทกทุกเกาะเหมือนล้อมรั้ว
เกาะทุกเกาะจมหายลงไปในทะเลไต้หวัน เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง
ตอนกลางเกาะถูกแบ่งออกเป็นสองซีก
จากนั้นจะโดนคลื่นยักษ์กระหน่ำซ้ำเติม
เกาะทั้งเกาะจะจมหายไปแผ่นดินที่สาบสูญสหรัฐอเมริกา
( แผ่นดินถูกผ่ากลางหายสาบสูญไปหลายรัฐ
กลายเป็นเกาะ 2 เกาะ )
เม็กซิโก ( บางส่วนจะกลายเป็นเกาะ )
แคนาดา ( จะกลายเป็นหมู่เกาะใหญ่ น้อยมากมาย )
ไต้หวัน ญี่ปุ่น กัวเตมาลา เม็กซิโกซิตี้
เบนนิส ฮอนดูลัส เอลสวาดอร์ นิคารากัว
คอสตาริก้า ไหหลำ แผ่นดินจีนด้านตะวันออก
เซี่ยงไฮ้ มาเก๊า พิลิปินส์ ศรีลังกา ฯลฯวิกฤตการณ์เลวร้ายน่าหวาดหวั่นจะบังเกิดขึ้นทั่วโลก
ความหวาดกลัวไม่จำเป็นจะต้องรับรู้ผ่านหน้าจอทีวี
เพราะมนุษย์ทุกคนบนโลก
จะได้รับรู้รสชาติแห่งความกลัวตายทุกคน !!มนุษย์ที่รอดชีวิตไปได้จะเข้าสู่ยุคใหม่จะมีจิตใจที่ดีงาม
และมีอายุขัยที่ยืนยาวจนน่าประหลาดใจ
มีอารยธรรมเจริญก้าวหน้า
โดยที่มิได้สร้างเทคโนโลยี่ที่ก่อปัญหา
ให้กับโลกมากมายเช่นในปัจจุบัน
นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อสื่อสาร
กับเพื่อนมนุษย์จากต่างดาวได้
ซึ่งแม้แต่ในปัจจุบันบางคนก็ไม่เชื่อว่า
สิ่งเหล่านี้มีอยู่จริงก็ตามประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางของโลก
และเป็นประเทศแรกที่มีผู้สร้างยานอวกาศไปท่องจักรวาลได้
เป็นแห่งเดียวของโลก โดยใช้พลังจิตในการขับเคลื่อน
โดยที่ไม่ได้ใช้เชื้อเพลิงในการเผาไหม้
ให้เกิดพลังงานที่ทำลายสิ่งแวดล้อม
และทรัพยากรธรรมชาติของโลก
ให้เสียหายอย่างเช่นในปัจจุบัน
นอกจากนี้ต่อมไพนีล หรือตาที่ 3 ของมนุษย์
จะถูกฟื้นฟูขึ้นมาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
จนสามารถเข้าถึงสภาวะนิพพานได้ง่ายขึ้นกว่าในอดีตในระยะเวลาไม่นานนัก ( ภายใน 6 ปี )
พระศรีอริยะเมตไตรยจะเปิดเผยพระองค์
เพื่อปลอบประโลมสร้างขวัญกำลังใจให้กับมวลมนุษยชาติ
ที่มีความบอบช้ำทางจิตใจ
ซึ่งในขณะนี้พระองค์ท่านได้เสด็จลงมาบนโลกมนุษย์แล้ว
กำลังเป็นสามเณรในพุทธศาสนา
และพระองค์ได้มาปรากฎที่ประเทศไทยนี่เอง !!รายละเอียดของมหันตภัยที่จะเกิดขึ้นสถานที่แห่งแรกในประเทศไทย
ที่จะได้เผชิญกับลาวาร้อนจากไฟใต้โลก
จะเกิดขึ้นจากทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจังหวัดแรกในภาคอีสาน
ตามรอยต่อของจังหวัดที่ติดกันเป็นแนวยาว
เริ่มแรกจะมีลักษณะเป็นแนวแยกของแผ่นดินคดเคี้ยว
ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ธารโลหะร้อนจะไหลลามแผ่ออกไปเป็นบริเวณกว้าง
ข้ามวันข้ามคืนติดต่อกัน
จากนั้นพายุที่รุนแรงจะนำน้ำมาดับไฟ
ก่อให้เกิดนำท่วมและโรคร้ายที่จะระบาดอย่างรุนแรง
จนสุดที่จะเยียวยาได้
โดยเฉพาะอหิวาตกโรคสายพันธุ์ใหม่
ที่มนุษย์เชื่อว่าได้กำจัดมันจนหมดไปจากโลกนี้แล้ว
แต่หารู้ไม่ว่ามันกำลังฟักตัว
และจะมีฤทธิ์ร้ายแรงกว่าตอนที่ถูกมนุษย์ปราบมันไปตอนนั้นเสียอีก
ซึ่งมันสามารถคร่าชีวิตผู้รับเชื้อได้ในระยะเวลาเพียงวันเดียวเท่านั้น********************************** ท้องฟ้ามืดมิด ฝนจะเริ่มตกหนักทั่วโลกอย่างไม่หยุดยั้ง
น้ำจะเอ่อขึ้นเรื่อยๆ จนเข้าท่วมแผ่นดินในหลายๆ พื้นที่
พายุไซโคลนจะพัดกระหน่ำ
ซึ่งจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 160 กม./ชม.
พัดผ่านกรุงเทพ ผ่านช่องแม่น้ำเจ้าพระยา
ตึกแห่งหนึ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา
ที่อยู่ใกล้กับสะพานกลางเก่ากลางใหม่
ในย่านฝั่งธนบุรีจะพังทลายลงมา
จากการโหมกระหน่ำและความบ้าคลั่งของลมพายุ
มีผู้เสียชีวิตในครั้งนี้มีไม่ต่ำกว่า 600 คนในเวลาหลังจากนั้นไม่นานนัก
ตึกสีขาวที่อยู่ริมแม่น้ำฝั่งตรงข้ามจะพังทลายตามลงมา
ยอดตึกที่พังทลายจะแลเห็นโผล่เหนือน้ำ
ให้เห็นเป็นอนุสรณ์ของคราบน้ำตา
หลังคาบ้านเรือนในบริเวณใกล้เคียงจะปลิวว่อน
เสาไฟฟ้าจะล้มระเนระนาด ด้วยความรุนแรงของลมพายุ****************************** ตึกสูงย่านประตูน้ำ ในกรุงเทพมหานคร
ผนังตึกส่วนหนึ่งจะรูดลงมากองกับพื้น
ด้วยความรุนแรงของลมพายุที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรง
จะสร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือนในบริเวณใกล้เคียง
อย่างเหลือที่จะคณานับ******************************* เทือกเขาตะนาวศรีในเขตจังหวัดราชบุรี จะพังทลายลงมา
เนื่องจากแผ่นดินไหวที่รุนแรง
ซึ่งจะเปิดเผยให้เห็นถึงภูเขาไฟที่ซุกซ่อนอยู่
หลังจากนั้นไม่นานภูเขาไฟลูกแรกในประเทศไทย
จะระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง
เสียงดังกึกก้องกัมปนาทดังมาถึงกรุงเทพ
ธารลาวาจะไหลลงไปยังฝั่งพม่า
ไม่นานนักระเบิดลูกที่สอง และลูกที่สามก็ตามมา
ลูกที่สี่ จะรุนแรงอย่างถึงที่สุด
ซึ่งจะสร้างความอำมหิตให้กับภาคเหนือและภาคอีสานต่อไป******************************** ณ บ้านกุดฉิม อำเภอหนองเรือ จัดหวัดขอนแก่น
จะเกิดภูเขาไฟแห่งที่สองระเบิดขึ้น มีผู้เสียชีวิตประมาณ 500 คน
เกิดแผ่นดินไหว และมีลาวาร้อนจากภูเขาไฟ
ไหลเคลื่อนตัวทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า
เกิดขึ้นที่บ้านโพธิ์ อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย
มีผู้เสียชีวิตร่วมพันคน******************************* เกิดภูเขาไฟระเบิดในจังหวัดกาฬสินธุ์ อย่างกระทันหัน
จนยากที่ผู้คนในบริเวณนั้นจะตั้งตัวทัน
และจะเกิดปรากฎการณ์ที่แปลกประหลาด
มีจำนวนเด็กและผู้หญิงเสียชีวิตมากกว่าผู้ชายจังหวัดตรัง เกาะทุกเกาะจะจมหายไป
เนื่องจากลมพายุที่รุนแรงและทะเลคลั่ง
ที่กลบกลื่นหมู่เกาะให้หลับลึกไปอย่างรวดเร็วสมุทรปราการ จะจมหายลงไปในท้องทะเลครึ่งเมืองอย่างถาวร
เนื่องมาจากลมพายุที่โหมกระหน่ำ
บวกกับน้ำทะเลหนุนสูง น้ำจะท่วมอย่างรวดเร็ว
และมีสายน้ำเปลี่ยนทิศไหลผ่าเมืองอย่างน่าหวาดกลัว
ผู้ที่รับบาดเจ็บจากหายนะในครั้งนี้
จะถูกนำส่งยังโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
ที่อยู่ใกล้กับห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านสำโรง
ซึ่งโรงพยาบาลแห่งนี้จะเป็นประตูต้นทาง
ของกระแสน้ำที่ไหลเปลี่ยนทิศ
แต่ก็เป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุดของเมืองสมุทรปราการเกาะสมุย จะถูกลบหายไปจากแผนที่โลก
เนื่องจากแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง
และเกิดพายุรวมทั้งคลื่นยักษ์ซัดกระหน่ำ
จนกระทั่งเกาะทั้งเกาะจมหายลงไปในท้องทะเล
อย่างไม่มีวันหวนกลับคืน****************************
เกิดแผ่นดินไหวที่ตัวเมืองบุรีรัมย์ เสียชีวิตทันที 53 คน
ผู้บาดเจ็บที่เหลือจะเสียชีวิตอย่างมากมาย
ในระหว่างทางไปโรงพยาบาลเกาะปันหยี จังหวัดพังงา เกิดน้ำท่วมสูง
และพายุที่รุนแรงโหมกระหน่ำ
เกาะหายสาบสูญอย่างถาวร ผู้คนเสียชีวิตทั้งเกาะเขื่อนบางลาง จังหวัดนราธิวาส ถูกคลื่นจากทะเลซัดกระหน่ำ
จนกระทั่งเขื่อนแตก น้ำไหลทะลักเข้าท่วมแผ่นดิน
รวมทั้งน้ำทะเลที่ถาโถมเข้าใส่แผ่นดินอย่างบ้าคลั่ง
จนกระทั่งไม่มีนราธิวาส หลงเหลืออยู่ในแผนที่โลกบ้านหาดเล็ก จังหวัดตราด ถูกคลื่นยักษ์ไซโคลนกระหน่ำ
แผ่นดินหายไม่มีเหลือยะลา ถูกทะเลคลั่งโหมกระหน่ำ น้ำทะเลสูง แผ่นดินหาย
เหลือเพียงเกาะเล็กๆ เท่านั้น ที่จะมีชื่อเรียกใหม่ว่า?เกาะยะลา?จังหวัดสงขลาน้ำท่วมสูง เกาะทุกเกาะจมหาย
จะเหลือเพียงหาดใหญ่บางส่วนที่น้ำจะไม่ท่วมถาวร************************* ชลบุรี ชายฝั่งทะเลบางแสน ถูกคลื่นยักษ์ 4-5 เมตร
ซัดกระหน่ำอย่างรุนแรงจนกระทั่งมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งพังพินาศ
แต่น้ำทะเลจะไม่ท่วมถาวรฉะเชิงเทรา น้ำจะท่วมถึงสองฝั่งบางปะกง จนถึงฐานหลวงพ่อโสธรกระบี่จะถูกพายุพัดกระหน่ำ ผืนดินทางด้านตะวันออกจะหายไป
ชาวประมง ประมาณ 180 คนจะถูกกลืนหายไปในท้องทะเลชุมพร จะเผชิญพายุฝนที่รุนแรง คลื่นจัด น้ำท่วมสูง
ศาลกรมหลวงชุมพรจะเหลือไว้เป็นอนุสรณ์ให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์อุทยานภูริน นางย่อง สิมิลัน จังหวัดพังงา ถูกคลื่นยักษ์ซัดหาย******************************** ภูเก็ต ถูกพายุถล่มอย่างบ้าคลั่ง
จะกระทั่งเกาะทั้งเกาะหายไปจากแผนที่โลก
มีผู้เสียชีวิตทันทีประมาณ 40,000 ? 60,000 คน******************************** นครศรีธรรมราชน้ำท่วมใหญ่ มีผู้เสียชีวิตประมาณ 20,000 คน
พังงา น้ำท่วม แผ่นดินจะถูกกลืนจมหายลงไปในท้องทะเลปัตตานี ฝนตกหนักจนเกิดน้ำท่วมทั้งจังหวัด
แต่ วัดช้างไห้ ของหลวงปู่ทวด จะปลอดภัย
รูปปั้นหลวงปู่ทวดจะแสดงปาฎิหารย์ ลอยน้ำขวางกระแสน้ำเชี่ยว
น้ำจะแห้ง วัดช้างไห้จะกลายเป็นเกาะกลางน้ำเขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์จะพังหลาย กระแสน้ำที่เชี่ยวกราด
จะทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า มีผู้เสียชีวิตทันที่ประมาณ 200 คนเกิดภูเขาไฟระเบิดอย่างกึกก้องกัมปนาถที่จังหวัดอุตรดิตถ์
กาญจนบุรี เขื่อนศรีนครินทร์จะมีปัญหา
น้ำไหลอ้อมเขื่อนท่วมด้านล่างเสียหายบางส่วน
รวมทั้งน้ำท่วมสูงแผ่นดินหายถาวรครึ่งจังหวัด*************************** นครราชสีมา เกิดน้ำท่วมใหญ่เป็นประวัติการณ์
กระแสน้ำจะท่วมสูงจนถึงฐานของอนุเสาวรีย์ย่าโม
****************************** ทุกจังหวัดในประเทศไทยต่างก็ได้รับความบอบช้ำด้วยกันทั้งสิ้น
จะมากน้อยต่างกันไป บริเวณใดที่มีผู้คนมีศีลธรรมอาศัยอยู่
อาจได้รับการปกป้อง บรรเทาภัยพิบัติให้เบาบางลงไปได้บ้างข้อมูลทุกอย่างที่กล่าวมานี้อาจเปลี่ยนแปลงได้
แต่ระดับความรุนแรงจะไม่เปลี่ยนแปลงแน่นอน
ดังเช่นภูเขาไฟที่กล่าวว่าจะเกิดในสถานที่หลายแห่งนั้น
อาจเกิดระเบิดกึกก้องกัมปนาถรวมกันในสถานที่แห่งเดียว
แต่จะมีความรุนแรงมากกว่าปกติ
กล่าวคือ อาจมีลาวาจะพุ่งสู่ท้องฟ้าสูงเป็นพิเศษ
ถึง 6 กิโลเมตร เป็นต้นเหตุการณ์ต่างๆ ที่กล่าวมานั้น
จะมีอยู่วันหนึ่งที่เกิดเหตุการณ์รุนแรงที่สุด
คลื่นพลังมหาศาลจากจักรวาลจะกระแทกลงมายังโลก
เป็นพลังงานที่เกิดจากลมพายุสุริยะ
อันเนื่องมาจากจุดดับบนดวงอาทิตย์จุดที่ 11มนุษย์ทุกคนบนโลก จะได้พบกับเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว
บรรยากาศช่วงแรกๆ จะรู้สึกหดหู่ เวิ้งว้าง ท้องฟ้าจะวังเวงพิกล
หลังจากนั้นไม่นานนักลมจะแรงขึ้น แรงขึ้น เสียงฟ้า เสียงลม
จะแผดเสียงกึกก้องดังที่สุด
ตั้งแต่เกิดมาจะไม่เคยได้ยินเสียงที่ดังขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
มันเป็นเสียงของมัจจะราชที่จะพิพากษาโลกในด้านความเป็นมนุษย์
คนชั่วทุกคนจะถูกประหารชีวิต และจะตายอย่างทรมาน
ไม่เว้นแม้แต่ผู้นำสังคม ผู้นำเศรษฐกิจ ผู้นำลัทธิ ฯลฯ
ส่วนคนดีจะได้รับการยกเว้นเอาไว้
ให้ได้ทำความดีโดยไม่มีอุปสรรคต่อไปเตรียมตัวรับมือภัยธรรมชาติครั้งใหญ่

1. ก่อนการเกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ 15 วัน โลกจะเอียงก้มหัวให้ดวงอาทิตย์มากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้น้ำแข็งจากขั้วโลกเหนือละลาย จะนำไปสู่เป็นคลื่นยักษ์ถาโถมเข้าสู่แผ่นดิน (ปัจจุบันเกิดขึ้นแล้ว)
2. เกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ เป็นเวลา 49 วัน ในระหว่างเดือน ตุลาคม ? พฤศจิกายน
3. ฝนตกครั้งใหญ่ทั่วโลก (ระยะชำระล้าง) เป็นเวลา 7 วัน ** ระยะเวลาการเกิดภัยธรรมชาติที่รุนแรงของโลก จะรวมแล้วมีระยะเวลาทั้งสิ้น 56 วัน**


**

724
ความเชื่อเรื่องเคล็ดและการแก้เคล็ดเป็นวิธีการรักษาอาการเจ็บป่วยและการขอให้สิ่งที่ต้องกระทำบางอย่าง แต่การกระทำเช่นนั้นถูกสั่งห้ามกระทำ เมื่อฝืนกระทำลงไปจึงต้องมีการแก้เคล็ด และการแก้เคล็ดนั้นมีหลายวิธีดังต่อไปนี้

1.ผู้หญิงมีครรภ์ห้ามดูจันทรคราสและสุริยคราส คนแก่มักห้ามผู้หญิงมีครรภ์ดูจันทรคราส เพราะมีความเชื่อว่าทารกในท้องจะเกิดมาพิการ หากหญิงมีครรภ์นั้นต้องการจะดูจันทรคราสจะต้องแก้เคล็ดด้วยการนำเข็มกลัดมากลัดไว้มี่ขอบชายผ้านุ่งหรือกางเกง

2.ผูกดวงการผูกดวงนั้นมีหลายวิธี เช่น บุตรไม่สบายรักษาอย่างไรก็ไม่หายบิดามารดามักทำพิธีผูกดวงของบุตรให้ไปเป็นบุตรของคนอื่น การผูกดวงนั้นทำได้โดยการให้ผู้มาขอผูกดวงเป็นบุตรนำสายสิญจน์ที่เสกด้วยคาถาแล้วมาผูกข้อมือและบอกกล่าวดังๆ ว่าขอรับเป็นบุตรตั้งแต่วันนี้ และพการเจ็บป่วยไม่สบายที่รักษาไม่หายก็ขอให้หายเถิด ซึ่งเป็นการบอกกล่าวให้ทราบเป็นเคล็ดว่าได้เป็นบุตรของคนอื่นแล้ว อาการเจ็บป่วยนั้นจะค่อยๆหายเป็นปกติ

3.เปลี่ยนชื่อ การเปลี่ยนชื่อเป็นอีกวิธีหนึ่งในการแก้เคล็ดการเจ็บป่วยที่รักษาไม่หายหรือการมีชีวิตที่ไม่ค่อยสมหวังทั้งในเรื่องของชีวิตความเป็นอยู่ และการงานอาชีพเพราะพยัญชนะบางตัวที่ประกอบเป็นชื่อเรานั้นเป็นอักษรกาลกิณี บุคคลผู้นั้นจึงมักเจ็บป่วย รักษาไม่หาย หรือมีปัญหาในชีวิตอยู่ตลอด  จึงต้องดูว่าในชื่อของเรานั้นมีตัวอักษรกาลกิณีอยู่ไหม ถ้ามีก็ให้เปลี่ยนชื่อใหม่เสีย มีบุคคลจำนวนมากที่เปลี่ยนชื่อแล้วชีวิตดีขึ้น ความเป็นอยู่ดีขึ้น การเจ็บป่วยเรื้อรังที่รักษามานานปีก็หายเป็นปกตินับว่าเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเหมือนกัน

4.เปลี่ยนที่นอนผู้ใดต้องการมีบุตรชายหรือหญิงจะต้องเปลี่ยนที่นอนอย่านอนซ้ำที่เดิม หากบุตรคนแรกเป็นชาย คนที่สองต้องการให้เป็นผู้หญิงจะต้องเปลี่ยนที่นอนโดยเชื่อกันว่าเป็นการแก้เคล็ดให้ได้บุตรหญิง

5.อมพระหรือแขวนพระ การอมพระหรือแขวนพระ ไว้ด้านหลังขณะที่กำลังถ่ายอุจจาระปัสสาวะนั้น มีความเชื่อว่าจะไม่ทำให้พระซึ่งเป็นเครื่องรางของขลังเสื่อมถอยหรือหมดความขลังได้

6.สุนัขกัดสุนัขที่กัดตนนั้นถ้ารู้ว่าใครเป็นเจ้าของให้นำแผลที่สุนัขกัดนั้นไปให้เจ้าของสุนัขทาเกลือหรือทายาให้เพราะมีความเชื่อว่าแผลจะหายเร็วกว่าปกติ และสุนัขตัวนั้นจะไม่กัดคนนั้นอีกเลย

 

727
ธรรมะ / อานิสงส์
« เมื่อ: 20 ม.ค. 2550, 12:48:04 »
01 อานิสงส์คาถาอุณหิสสวิชัย

ในสมัยหนึ่งพระบรมศาสดาเสด็จประทับอยู่เหนือพระแท่นศิลาอาสน์ภาย
ใต้ต้นปาริกชาติ ณ ดาวดึงสพิภพ ตรัสพระสัทธรรม เทศนา อภิธรรม 7 คัมภีร์ โปรดพุทธมารดา ใน
กาลครั้งหนึ่งนั้นมีเทพบุตรองค์หนึ่ง นามว่าสุปติฏฐิตา ได้เสวยทิพย์สมบัติอยู่ชั้นดาวดึงส์มาช้านาน ก็
อีก 7 วัน จะสิ้นบุญจุติจากดาวดึงส์ ลงไปอุบัติในนรกเสวยทุขเวทนาอยู่ตลอดแสนปี ครั้นสิ้นกรรมใน
นรกนั้นแล้วก็จะไปบังเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน 7 จำพวก เสวย วิบากกรรมอยู่ 500 ชาติ ทุก ๆ จำพวก


ยังมีเทพบุตรองค์หนึ่งชื่อว่า อากาสจารินี ซึ่งเป็นผู้รู้ บุรพกรรมของสุปติฏฐิตาเทพบุตร อาศัยความคุ้นเคย
สนิทสนมกลมเกลียวกันตั้งแต่ครั้งเป็นมนุษย์ เคยได้รักษาอุโบสถศีลด้วยกันในอดีตชาติล่วงมาแล้ว
มองเห็นอกุศลกรรมตามทัน จะสนองผลแก่สหายของตนก็มีจิตปรานีใคร่จะอนุเคราะห์ จึงเข้าไปสู่
สำนักของสุปติฏฐิตาเทพบุตร แล้วก็บอกเหตุที่จะสิ้นอายุภายในอันเร็ว ๆ นี้ ตลอดทั้งที่จะไปเกิดในนรก
ครั้งพ้นจากนรกแล้ว จะต้องไปกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานให้ทราบสิ้นทุกประการ ฝ่ายสุปติฏฐิตาเทพบุตร ได้
ทราบเหตุดังนั้นแล้ว ก็มีความสะดุ้งตกใจกลัว คิดปริวิตก บุพพนิมิต 4 ประการ คือ
ดอกไม้ทิพย์ร่วงโรย ประการหนึ่ง สรีระ ร่างกายมัวหมองไม่ผ่องใส ประการหนึ่ง
ผ้าทิพย์ภูษา เครื่องทรงเศร้าหมองไม่ผ่องใส ประการหนึ่ง ครั้งทรงผ้าสไบเข้าก็ร้อนกระวนกระวายไปประการหนึ่ง
บุพพนิมิตเหล่านี้ก็ปรากฏแก่สุปติฏฐิตาเทพบุตร บุพพนิมิต 4 ประการนี้
ปรากฏแก่เทพบุตรหรือเทพธิดาองค์ใดแล้ว เทพบุตรธิดาองค์นั้น จะต้องจุติจากเทวโลกอย่างแน่นอน


เมื่อ สุปติฏฐิตาเทพบุตร ทราบชัดเจนเช่นนั้นแล้ว ก็ไม่นิ่งนอนใจใคร่จะหาเครื่องป้องกัน จึงเข้าไปสู่
สำนักท้าวอเมรินทราธิราชเจ้า ถวายอภิวาทแล้วกราบทูลเหตุการณ์ให้ทรงทราบ แล้วทูลอ้อนวอนขอ
ชีวิตในสำนักอมรินทร์ โดยอเนกปริยายท้าวเธอตรัสตอบว่า ชื่อว่าความตายนี้เราเห็นผู้ใหญ่ในสรวง
สวรรค์ ก็ไม่อาจห้ามบุพพกรรมอันมีกรรมแรงนี้ได้ เราเห็นอยู่แต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นที่
พึ่งของสัตว์โลกทั่ว 3 ภพ พระองค์เสด็จประทับอยู่ใต้ต้นปาริกชาติ มาเราจะพาเข้าเฝ้ากราบทูล
อาราธนา ให้พระองค์ทรงช่วยเหลือ สุปติฏฐิตาเทพบุตร ถือเครื่องสักการบูชาตามเสด็จท้าว
อมรินทราธิราช เข้าสำนักพระมหามุนีนาถพระศาสดาจารย์แล้ว กราบทูลเหตุการณ์เหล่านั้น ให้พระ
องค์ทรงทราบโดยสิ้นเชิง แล้วพระองค์ทรงแสดงบุพพกรรมของ สุปติฏฐิตาเทพบุตร องค์นี้เกิดเป็น
มนุษย์มีความเห็นผิด เป็นผู้ประมาทตั้งอยู่ในมิจฉาทิฏฐิเป็นพรานฆ่าเนื้อเบื่อปลาเป็นผู้มีใจแข็งกระด้าง
ตบตีบิดามารดาต่อสมณชีพราหมณ์ ไม่ลุกรับนิมนต์ให้อาสนะที่นั่งภิกษุสงฆ์ผู้เข้าไปสู่สำนัก แม้เห็น
แล้วก็ทำเป็นไม่เห็นเสีย ด้วยวิบากผลอกุศลกรรมอันนี้ตามทันเข้า สุปติฏฐิตาเทพบุตรจึงได้ไปเกิดใน
นรกตลอดแสนปี ครั้นพ้นจากนรกขึ้นมาก็จะไปกำเนิดแห่งสัตว์ 7 จำพวก คือเป็นแร้ง เป็นรุ้ง เป็นกา
เป็นเต่า เป็นหนู เป็นสุนัข และเป็นคนหูหนวกตาบอดอย่างละ 500 ชาติ ด้วยอำนาจอกุศลกรรมนั้น
แหละ ขอมหาบพิตรจงทราบด้วยประการฉะนี้


เมื่อท้าวอมรินทร์ทรงทราบแล้ว ก็มีความเมตตาสงสารแก่สุปติฏฐิตาเทพบุตร ยิ่งนัก จึงกราบ
ทูลให้พระองค์ทรงแสดงพระสัจธรรมเทศนาอันจะเป็นที่พึ่งแก่สัตว์โลก ช่วยชีวิตเทพบุตรองค์นี้ไว้ไม่
ให้ตายลงภายใน 7 วันนี้ สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสเทศนาคาถาอุณหิสสวิชัย มีใจความดังต่อไปนี้

อตฺถิ อุณฺหิสฺสวิชโย ธมฺโม โลเก อนุตฺตโร สพฺพสตฺตหิตตฺถาย ตํ ตฺวํ คณฺหาหิ เทวเต ปริวชฺ
เช ราชทณฺเฑ อมนุสฺเสหิ ปาวเก พยคฺเฆ นาเค วิเสภูเต อกาลเรเณน วา สพฺพสฺมา มรณา มุตฺโต
ฐเปตุวา กาลมาริตํ ตสฺเสว อานุภาเวน โหตุ เทโว สุขี สทาสุทฺธสีลํ สมทาย ธมฺมํ สุจริตํ จเร ตสฺ
เสว อานุภาเวน โหตุ เทโว สุขี สทา ลิกฺขิตตํ ปูชํ ธารณํ วาจนํ ครุ ปเรสํ สุตฺวา ตสฺส อายุปวฑฺฒตี
ติ ฯ

เทวเต ดูกรเทวดาทั้งหลาย พระธรรมนี้ชื่อว่าอุณหิสสวิชัย เป็นยอดแห่งพระธรรมทั้งหลายเป็น
ประโยชน์แก่สัตว์ทั้งมวล ท่านจงเอาพระธรรมนี้เป็นที่พึ่ง อุตสาห์สวดบ่นสาธยายทุกเช้าค่ำ ย่อมห้าม
เสียซึ่งภัยทั้งปวง อันจะเกิดขึ้นจากผีปิศาจหมู่พยัคฆะงูใหญ่น้อย และพญาเสนาอำมาตย์ทั้งหลายจะไม่
ตาย ผู้ใดได้เขียนไว้ก็ดี ได้ฟังก็ดี ได้สวดมนต์ภาวนาอยู่ทุกวันก็ดี จะมีอายุยืน เทวเต ดูกรเทวดา ทั้ง
หลายท่านจงมีความสุขเถิด

อนึ่งบุคคลผู้ใดบูชาแก้วทั้ง 3 คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี้เป็นยาอันอุดม ย่อมคุ้ม
ครองผู้นั้นให้พ้นจากทุกข์ภัยพยาธิทั้งปวง ด้วยอำนาจพระอุณหิสสวิชัยนี้ จะรักษาคุ้มครองให้ชีวิตของ
ท่านเจริญสืบต่อไป ท่านจงรักษาไว้ให้มั่นอย่าให้ขาดเถิด เมื่อจบพระสัทธรรมเทศนาลง เทวดาทั้ง
หลายมีท้าวอมรินทร์เป็นประธานได้ดื่มรสแห่งพระสัทธรรมเป็นอันมาก ฝ่าย สุปติฏฐิตาเทพบุตร มีจิต
น้อมไปตามกระแสแห่งพระธรรมเทศนานั้น ได้กลับอัตตภาพใหม่ คือ มีกายอันผ่องใส เป็นเทวบุตร
หนุ่มคืนมาแล้วจะมีอายุยืนตลอดไปถึงพระพุทธพระนามว่า ศรีอริยเมตไตรยลงมาตรัสจึงจะจุติจากเทว
โลกลงมาสู่มนุษย์โลก เป็นพระอรหันตขีณาสวะองค์หนึ่ง ดังนั้นขอพุทธบริษัททั้งหลาย จงสำเนียกไว้
ในใจแล้วประพฤติปฏิบัติในพระคาถา อุณหิสสวิชัย ก็จะสมมโนมัยตามความปรารถนาทุกประการ

728
บทความ บทกวี / กรรม คือ อะไร?
« เมื่อ: 19 ม.ค. 2550, 09:25:11 »
กรรม คือ อะไร?

กรรม แปลว่า กิจการที่คนกระทำ คำว่า ทำ หมายถึง ทั้งทำด้วยกาย อันเรียกว่า กายกรรม ทั้งทำด้วยวาจา อันเรียกว่า วจีกรรม ทั้ง ทำด้วยใจ คือคิด อันเรียกว่า มโนกรรม นั่นคือความหมายของกรรม แต่ว่ากรรม นั้น คือ อะไรกันหละ ?
ลองมาหาคำตอบดีกว่า?

คำว่า "กรรมคืออะไร" จำต้องทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งเข้าไปอีก พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้แปลความได้ว่า
"เรากล่าวเจตนา (ความจงใจ) ว่าเป็นกรรม เพราะคนจงใจ คือมีใจมุ่งแล้ว จึงทำทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ทางใจบ้าง"


ฉะนั้น กรรม คือ กิจที่ที่บุคคลจงใจทำหรือทำด้วยเจตนา ถ้าทำด้วยไม่มีเจตนาไม่เรียกว่า กรรม อย่างเช่นไม่มีเจตนาเหยียบมดตาย ไม่เป็นกรรม คือ ปาณาติบาต ต่อเมื่อเจตนาจะเหยียบให้ตายจึงเป็นกรรม คือ ปาณาติบาต
แต่เมื่อจัดอย่างละเอียด สิ่งที่ทำด้วยไม่มีเจตนา ท่านจัดเป็นกรรมชนิดหนึ่ง เรียกว่า กรรมสักว่าทำ เพราะอาจให้โทษได้เหมือนกัน เหมือนอย่างที่กฎหมายถือว่าผิดในฐานประมาท

กรรมเกี่ยวกับคนเราอย่างไร ?
กรรมเกี่ยวกับคนเรา หรือ คนเรานั่นแหละเกี่ยวกับกรรมอยู่ตลอดเวลา เพราะคนเรานั้นตั้งแต่ตื่นนอนขึ้น จนถึงหลับไปใหม่ ก็มีเจตนาทำอะไรต่างๆ พูดอะไรต่างๆ คิดอะไรต่างๆ อยู่เสมอ โดยปกติไม่มีใครหยุดนิ่งอยู่เฉยๆ ได้ ถึงมือไม่ทำ ปากก็พูด ถึงปากไม่พูด ใจก็คิดถึงเรื่องต่างๆ??

การต่างๆ ที่ทำนี้แหละ เรียกว่า กายกรรม
คำต่างๆ ที่พูดนี่แหละ เรียกว่า วจีกรรม
เรื่องต่างๆ ที่คิดนี่แหละ เรียกว่า มโนกรรม

กรรม นั้น ดี หรือ ไม่ดี กรรมจะดีหรือไม่ดี ก็สุดแต่ผลที่เกิดขึ้นจากกรรมนั้น ๆ ถ้าให้เกิดผลเป็นคุณเกื้อกูลแก่ตนเองและผู้อื่น
ก็เป็นกรรมดี เรียกว่า กุศลกรรม แปลว่า กรรมที่เป็นกิจของคนฉลาด หรือ บุญกรรม กรรมที่เป็นบุญ คือความดีเป็นเครื่องชำระล้างความชั่ว เช่น รักษาศีล ประพฤติธรรมที่คู่กับศีล หรือแม้กิจการที่ดีที่ชอบ ที่เป็นตามที่แสดงมาแล้วที่เป็นสุจริตต่างๆ เช่น การตั้งใจช่วยมารดาบิดาทำการงาน การตั้งใจเรียน
การตั้งใจประพฤติตนให้ดี การช่วยเหลือเกื้อกูลมิตรสหาย การทำสาธารณสงเคราะห์ต่างๆ

ส่วนกรรม ที่ให้เกิดผลเป็นโทษเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นให้เดือดร้อนเป็นกรรมชั่ว ไม่ดี เรียก อกุศลกรรม แปลว่ากรรมที่เป็นกิจของคนไม่ฉลาด บาปกรรม กรรมเป็นบาป เช่น การประพฤติผิดในศีลธรรม ประพฤติทุจริตต่างๆ ที่ตรงกันข้ามกับกุศลกรรม

ตัวอย่างของกรรมดีและกรรมไม่ดี ข้างต้นนั้น กล่าวตามแนวพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าได้ทรงจำแนกแสดงเป็นแนวทางปฏิบัติไว้ชัดเจน เรียกว่า กรรมบถ แปลว่า ทางของกรรม เรียกสั้นๆว่า ทางกรรม ทรงชี้แจงไว้เพียงพอและเข้าใจง่าย ว่าทางไหนดี ทางไหนไม่ดี คือ

กายกรรม (กรรมทางกาย) นั้น ฆ่าเขา 1 ลักของเขา 1 ประพฤติผิดในทางกาม 1 นั้นเป็นอกุศล ไม่ดี ควรเว้นจากการทำอย่างนั้น และการอนุเคราะห์เกื้อกูลเขา 1 เลี้ยงชีพในทางที่ชอบ 1 สังวรในกาม 1 เป็นกุศล เป็นส่วนดี


วจีกรรม (กรรมทางวาจา) นั้น พูดมุสา 1 พูดส่อเสียดเพื่อให้เขาแตกกัน 1 พูดคำหยาบด้วยใจมีโทสะเพื่อให้เขาเจ็บใจ 1 พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล 1 เป็นอกุศล ไม่ดี ควรเว้นจากการพูดอย่างนั้น และการพูดคำจริง 1 พูดสมัครสมาน 1
พูดคำสุภาพระรื่นหูจับใจ 1 พูดมีหลักฐานถูกต้อง ชอบด้วยกาละเทศะ 1 เป็นกุศล เป็นส่วนดี


มโนกรรม (กรรมทางใจ) นั้น คิดเพ่งเล็งอยากได้ของเขามาเป็นของของตนเอง 1 คิดพยาบาทมุ่งร้ายเขา 1 เห็นผิดจากคลองธรรม
เช่น เห็นว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี ทำชั่วไม่ได้ชั่ว 1 เป็นอกุศล ไม่ดี ไม่ควรคิดอย่างนั้น และการคิดเผื่อแผ่ 1
คิดแผ่เมตตาจิตให้เขาอยู่เป็นสุข 1 คิดเห็นชอบตามคลองธรรม เช่น เห็นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว 1 เป็นกุศลเป็นส่วนดี

คนที่เว้นจากทางกรรมที่เป็นอกุศล และดำเนินไปในทางกรรมที่เป็นกุศล จะเรียกว่า ธรรมจารี แปลว่า ผู้ประพฤติธรรม
สมจารี แปลว่า ผู้ประพฤติเรียบร้อยสม่ำเสมอ ความประพฤติดังนี้เรียกว่า ธรรมจริยา หรือ ธรรมจรรยา
สมจริยา หรือ สมจรรยา สมจริยา ดังนี้แหละคือ หลักสมภาพในพุทธศาสนา สมภาพ คือ ความเสมอกันนั้น อาจทำให้เสมอกันได้ในทางที่อาจทำได้ แต่ไม่อาจทำให้เสมอกันได้ในทางที่ไม่อาจจะทำในทางที่ไม่อาจจะทำนั้น เช่น คนเกิดมามีเพศต่างกัน มีรูปร่างสูงดำต่ำขาวต่างกัน เป็นต้น เมื่อเป็นเช่นนี้ใครจะทำให้เสมอกันได้ เช่น ทำให้สูงต่ำเท่ากันหมด แม้ในคนเดียวกันนิ้วทั้ง 5 ก็ไม่เท่ากัน จะทำให้เท่ากันได้อย่างไร สิ่งที่ไม่อาจจะทำให้เท่ากันได้

ถ้าใครไปพยายามจัดทำเข้าก็เหมือนกับ นิทาน เรื่อง เปรตจัดระเบียบ

เรื่องมีอยู่ว่า มีคนเดินทางหลายคน เข้าไปนอนพักอยู่ในศาลา ซึ่งเป็นที่พักของคนเดินทางหลังหนึ่ง เมื่อพากันนอนหลับแล้ว มีเปรตเจ้าระเบียบตนหนึ่งเข้าไปในศาลา เห็นคนนอนอยู่เป็นแถว จึงเข้าไปตรวจดูทางเท้า ก็เห็นเท้าของคนนอนหลับไม่เสมอกัน จึงดึงเท้าของคนเหล่านั้นลงมาให้เสมอกัน ครั้นตรวจดูเท้าเป็นแถวเสมอกันเรียบร้อยดีแล้ว ก็ไปตรวจดูทางด้านศรีษะ เห็นศรีษะของคนเหล่านั้นไม่อยู่ในแถวเสมอกันอีก จึงดึงศรีษะขึ้นมาเสมอกันเป็นแนวเดียวกันทั้งหมด
แล้วย้อนกลับไปตรวจดูทางเท้าอีก ก็เห็นเหลื่อมล้ำไม่เสมอกันอีกก็ดึงเท้าให้เสมอกันใหม่อีก คนก็ไม่เป็นอันได้หลับได้นอนเป็นสุข เพราะต้องถูกดึงเท้าบ้างดึงศรีษะบ้าง ขึ้นๆ ลงๆ ไม่รู้จักแล้ว ทั้งเปรตเจ้าระเบียบนั้น ก็ไม่สามารถจัดให้เสมอกันได้

การจัดให้เสมอกันในทางที่ไม่อาจจะจัดได้เช่นนี้ เป็นการจัดการที่ไม่สำเร็จ รังแต่จะทำให้เกิดความเดือดร้อนวุ่นวาย ไม่สงบสุขอย่างเดียว

ส่วนการจัดการให้เสมอกันในทางที่อาจจัดได้นั้น พระพุทธเจ้าทรงจัดด้วยหลัก สมจริยา นี้ คือ เว้นจากทางกรรมฝ่ายอกุศล แต่ให้ดำเนินในทางกรรมฝ่ายกุศล ตามที่ทรงสั่งสอนไว้

คราวนี้มาพิจารณาดูว่า เมื่อปฏิบัติในสมจริยานั้น เป็นสมภาพอย่างไร สมภาพ แปลว่า ความเสมอกัน คือ ตัวเราเองกับผู้อื่น หรือผู้อื่นกับตัวเราเองเสมอกัน ตัวเราเองรักสุขเกลียดทุกข์ ผู้อื่นก็รักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกัน ตัวเราเองไม่ปรารถนาให้ผู้อื่นมาก่อกรรมที่ไม่ดีแก่เราทุกๆข้อ พอใจแต่จะให้เขามาประกอบกรรมดีแก่เราทั้งนั้น
ถึงผู้อื่นก็เหมือนกัน เขาก็ไม่ประสงค์ให้เราไปก่อกรรมที่ชั่วร้ายแก่เขา ประสงค์แต่จะให้เราไปประกอบกรรมที่ดีแก่เขาทั้งนั้น

เมื่อทั้งเราทั้งเขาต่างมีความชอบและไม่ชอบเสมอกันอยู่เช่นนี้ ทางที่จะให้เกิดสมภาพได้โดยตรงก็คือ ทั้งสองฝ่ายต่างดำเนินเข้าหาจุดที่เสมอกันนี้ คือ งดเว้นจากกรรมที่ชั่วร้าย

ซึ่งต่างก็ไม่ชอบให้ใครมาทำแก่ตนด้วยกันและดำเนินไปในทางกรรมที่ดี ซึ่งเกื้อกูลกัน ที่ต่างก็ชอบจะให้ใครมาทำแก่ตนด้วยกัน เมื่อประพฤติดังนี้ สมภาพที่ถูกต้องจึงเกิดขึ้น และ เป็นสมภาพคือเป็นความเสมอกันจริงๆ และเมื่อมีสมภาพดังนี้ ภราดรภาพคือ ความเป็นพี่น้องกันหรือเป็นญาติที่คุ้นเคยไว้วางใจกันได้ก็เกิดขึ้น

เสรีภาพ คือ ความมีเสรีอันที่จะไปไหน ๆ ได้ ทำอะไรได้โดยไม่ถูกใครเบียดเบียน และ ก็ไม่เบียดเบียนใครด้วย สมจริยาของพระพุทธเจ้าอันยังให้เกิดสมภาพ ภราดรภาพ เสรีภาพ ดังกล่าวมานี้ เป็นธรรมจรรยา

ความประพฤติธรรมประกอบอยู่ด้วยหลักยุติธรรมและศีลธรรมต่างๆ บริบูรณ์ ถ้ามีปัญหา ประพฤติธรรม คือประพฤติอย่างไร ? ก็ตอบได้ว่า ต้องประพฤติธรรมให้สมจริยาดังกล่าวนั่นเอง และเมื่อเข้าใจความดังนี้แล้ว คำว่า สมจริยา ก็จะแปลว่า ความประพฤติเรียบร้อยสม่ำเสมอก็ได้ ความประพฤติสมควรหรือเหมาะสมก็ได้ ความประพฤติโดยสมภาพก็ได้ เป็นคำแปลที่ถูกต้องกับความหมายทั้งนั้น ดังนี้แหละ เป็นธรรมจริยา

ฉะนั้น หลักธรรมจรรยาของพระพุทธเจ้า ก็เป็นหลักที่เป็น แม่บท ของหลักทั้งหลายแห่งความสุขสงบของชุมนุมชนทั่วไป ถ้าไม่อยู่ในแม่บทนี้แล้วก็จะเกิดความสงบสุขไม่ได้ สมภาพ ภราดรภาพ เสรีภาพ ก็จัดมีขึ้นไม่ได้

จะมีได้ก็เช่น เสรีภาพของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และเป็นผู้ที่จัดทำไปนอกแม่บทก็จะเป็นเหมือนเปรตจัดระเบียบดังกล่าวแล้ว ซึ่งต้องจัดกันไม่รู้จักเสร็จ ทั้งเป็นการก่อภัยก่อเวร ก่อศัตรูและความวุ่นวายเดือดร้อน จัดกันไปจนโลกแตกก็ไม่เสร็จ

กรรมตามที่กล่าวมานี้ ที่ชี้ระบุลงไปว่า กรรมคืออะไร และทำอย่างไรเป็นกรรมดี ทำอย่างไรเป็นกรรมไม่ดี เป็นทางกรรมในพระพุทธศาสนา ซึ่งเมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว ก็พอประมวลเป็นหลักใหญ่ๆ ได้เป็น 3 ข้อ คือ

1. พระพุทธศาสนาแสดงว่ามีกรรม ใครทำกรรมดีก็เป็นกุศลกรรมติดตัว ใครทำกรรมชั่วก็เป็นอกุศลกรรมติดตัว

2. พระพุทธศาสนาแสดงว่ามีกรรมวิบาก คือ ผลของกรรม ผลที่ดีเกิดจากกรรมที่ดี ผลที่ชั่วเกิดจากกรรมที่ชั่ว ไม่สับสนกัน เหมือนอย่างผลมะม่วงก็ย่อมเกิดจากต้นมะม่วง ผลขนุนก็ย่อมเกิดจากต้นขนุน หว่านพืชเช่นไรก็ได้ผลเช่นนั้น

3. พระพุทธศาสนาแสดงว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตนเอง คือ ตัวเราเองทุกๆคน เป็นเจ้าของกรรมที่เราทำ และเป็นเจ้าของผลกรรมนั้นๆ ด้วย เมื่อตัวเราเองทำดีก็มีกรรมดีติดตัว และต้องได้รับผลดี เมื่อตัวเราเองทำไม่ดีก็มีกรรมชั่วติดตัว ต้องได้รับผลชั่วไม่ดี จะปัดกรรมที่ตัวเราเองทำ ให้พ้นตัวออกไป และจะปัดผลของกรรมให้พ้นตัวออกไปด้วย หาได้ไม่ ต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อกรรมของตนเอง

เมื่อหลักกรรมของพระพุทธศาสนา มีอยู่ดังนี้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนให้ทุกๆคน หมั่นนึกคิดอยู่เสมอๆ ว่า เรามีกรรมเป็นของตนเอง เป็นกรรมทายาทคือเป็นผู้รับผลของกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่อาศัยเฉพาะ (ตนเป็นคนๆไป) นอกจากนี้ พระพุทธเจ้ายังได้ตรัสไว้ว่า กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เลวและดีต่างๆกัน เป็นต้น


729
บทความ บทกวี / ข้อห้ามทางกาละ
« เมื่อ: 19 ม.ค. 2550, 09:15:04 »
ข้อห้ามทางกาละ


1.ห้ามผิวปากเวลากลางคืนเชื่อว่าจะโดนคุณไสยที่ล่องลอยอยู่

2.ห้ามโพกหัวหรือสวมหมวกในวัดหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เชื่อว่าหัวจะล้าน

3.ห้ามบ้วนน้ำลายลงโถส้วมเชื่อว่าวาจาจะเสื่อม

4.ห้ามนั่งบนขั้นบันไดเพราะผีบ้านผีเรือนไม่ชอบ

5.ห้ามนั่งบนหมอนเชื่อว่าคาถาจะเสื่อม

6.ห้ามเล่าความฝันในขณะทานข้าวเชื่อว่าแม่โพสพท่านไม่ชอบ

7.ห้ามเดินข้ามหนังสือเพราะเชื่อว่าจะเรียนไม่จำ

8.ห้ามนุ่งผ้าเปียกเข้าบ้านเพราะเชื่อว่าผีไม่กลัวและจะทำให้ปวดท้อง

9.ห้ามหญิงมีครรภ์ทำหน้าบึ้งเวลาจะหลับเชื่อกันว่าลูกออกมาจะไม่สวยไม่หล่อ

10.ห้ามดมดอกไม้ที่จะนำไปถวายพระเชื่อกันว่าจมูกจะเป็นไซนัสหรือริดสีดวงจมูก

11.ห้ามหลับเวลาฟังพระเทศเชื่อว่าชาติหน้าจะเกิดเป็นงู

12.ห้ามเอาของคืนเมื่อให้ผู้ใดไปแล้วเชื่อว่าจะเป็นเปรต(นอกจากให้ยืม)

13.ห้ามกวาดขยะกลางคืนเชื่อว่าผีไม่คุ้มและกวาดทรัพย์ออกหมด

14.ห้ามตัดเล็บกลางคืนเชื่อว่าอายุจะสั้น

15.ห้ามลอดไม้ค้ำต้นกล้วยและไม้ค้ำบ้านและห้ามลอดราวผ้าและห้ามลอดใต้แขนคนอื่นเพราะจะทำให้ของเสื่อม

16.อย่าให้ใครข้ามหัวเพราะจะทำให้อาคมเสื่อมและของทุกอย่างเสื่อม

17.ห้ามด่าแม่ผู้อื่นเพราะสาริกาลิ้นทองจะเสื่อม

18.คนสักยันต์ห้ามกินฟักแฟงบวบน้ำเต้าและปลาไม่มีเกล็ดเพราะเชื่อว่าหนังจะไม่เหนียว

19.หากไปในที่สถานที่แปลกๆห้ามทักเมื่อได้ยินเสียงแปลกๆเพราะเชื่อกันว่านั่นคือคุณไสย หรือของไม่ดีหากใครทักจะเข้าตัวทันที

20.ห้ามนอนหันหัวไปทางทิศตะวันตกเพราะเชื่อว่าวิญญาณจะออกจากร่าง(อีกอย่างหนึ่งเป็นทิศที่หันหัวคนที่ตายไปแล้ว)

21.ห้ามขึ้นบ้านวันเสาร์ เผาศพวันศุกร์ โกนจุกวันอังคาร แต่งงานวันพุธ เพราะเป็นอัปมงคล

 
 

731
กเดก้

733
ส่วนใหณ อ. จะสักที่ สีข้าง     เเค้วยคลาด 

734
หลวงพ่อต้อย ก้มี

735
ขอดูรูป

736
เเล้ววันอื่นละ

738
ถ้าเปงหลวงพี่ติ่งต้องเตียมอะไรบ้าง

739
คาถาบูชาพระฤาษี
โอม สรเวโภย ฤษีโภย นะมัห
โอม ตวะ เมวะมาตา จะบิตา ตะวะเมวะ
ตะวะ เมวะพันธุคจะ สะขา ตวะเมวะ
ตะวะ เมวะวิทยา ทรวณัม ตวะเมวะ
ตะวะ เมวะสรวัม มะมะ เทวะ เทวะ

หน้า: [1]