ผู้เขียน หัวข้อ: ประวัตย่อ หลวงปู่ชื่น(หลวงตาชื่น) ติคญาโณ วัดตาอี อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์  (อ่าน 18949 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ninjao

  • ทุติยะ
  • **
  • กระทู้: 12
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
หลวงปู่ชื่น  ติคญาโณ
วัดตาอี อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์
 สงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้เกิดกลียุคทั่วโลก ยิ่งประเทศเล็กประเทศน้อยได้รับผลกระทบมากที่สุด นอกจากข้าวยากหมากแพงแล้ว ประชาชนยังต้องรับกรรมหนักเพราะครอบครัวแตกสลายเนื่องจากความแร้นแค้นยากจนเป็นสาเหตุใหญ่
   ครอบครัวของหลวงปู่ชื่น  ติคญาโณ ซึ่งเป็นชาวกัมพูชาก็ได้รับความรุนแรงของไฟสงครามเช่นเดียวกัน ทำให้ญาติพี่น้องของหลวงปู่ชื่นลับหายตายจากไปหลายคน  ซึ่งประเทศกัมพูชาขณะนั้นร้อนระอุสุด ๆ จนดูโหดร้ายไปทุกอย่าง  ทำให้หลวงปู่ชื่นเกิดความเบื่อหน่ายจึงเดินธุดงค์เข้ามายังแผ่นดินไทยที่มีแต่ความสงบร่มเย็น
   ?หลวงปู่ชื่น นามเดิมชื่อ ชื่น นามสกุล ศรีโสด เกิดเมื่อวันศุกร์ เดือน 11 ปีมะเมีย  ตรงกับปี พ.ศ. 2461  เกิดที่บ้านหินกอง อำเภอหินกอง จังหวัดสวายศรีโสพล  ประเทศกัมพูชา  โยมบิดาชื่อ นายชุบ โยมมารดาชื่อ พิม ศรีโสด  มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน 7 คน คือ นายเรียว, นายโพธิ์, นายบุญ, นายเกิด, หลวงปู่ชื่น, นางยอด และนางยาว ครอบครัวมีอาชีพทำนาทำไร่ตามประสาชาวบ้านในชนบททั่วไปของชาวเขมร
   ชีวิตในวัยเยาว์ของหลวงปู่ชื่น นิสัยท่านเป็นคนใจบุญ มีความสุขุมลุ่มลึก  และมีใจโอบอ้อมอารีชอบเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง  ทั้งยังมีจิตใจเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาตั้งแต่เด็ก ๆ  พออายุได้ 15 ปี ได้ขอบิดามารดาบรรพชาเป็นสามเณร ซึ่งพ่อแม่ไม่ขัดข้อง ท่านจึงได้บวชเป็นสามเณร ณ วัดในหมู่บ้านเกิดของท่าน
   หลังจากบวชเณรได้ระยะหนึ่งพอถึงอายุ 20 ปี หลวงปู่ชื่นก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาโดยได้รับฉายาว่า ?ติคญาโณ? เมื่ออุปสมบทเป็นพระภิกษุโดยสมบูรณ์แล้ว หลวงปู่ชื่นได้ศึกษาบทสวดมนต์และบทสวดปาติโมกข์ ซึ่งใช้เวลาเพียงหนึ่งพรรษาก็สวดพระปาติโมกข์ได้แล้ว นับว่าหาพระที่เก่งเช่นนี้น้อยมาก เพราะการท่องบทพระปาติโมกข์พระบางรูปต้องใช้เวลานานนับ 5 ปี 10 ปี เนื่องจากเป็นบทสวดที่ยาวและยากที่สุดนั่นเอง
   ?หลวงปู่ชื่นสอบนักธรรมชั้นตรีได้ในพรรษาที่ 3 หลังจากนั้นท่านจึงออกเดินธุดงค์ปลงสังขารลัดเลาะไปตามป่าดงพงพี ข้ามเขาลงห้วยในดินแดนประเทศกัมพูชา ทำให้ท่านได้พบกับครูบาอาจารย์ที่เก่ง ๆ อยู่หลายรูป ซึ่งแต่ละอาจารย์ก็ได้ถ่ายทอดวิชาอาคมที่ตนมีอยู่ให้หลวงปู่ชื่นจนหมดสิ้น โดยเฉพาะฤๅษีที่บำเพ็ญพรตอยู่กลางป่าดงดิบได้ถ่ายทอดวิชาขั้นสุดยอดให้หลวงปู่ชื่น เพื่อให้นำไปช่วยเหลือศิษย์ต่อไปอีก?
   หลวงปู่ชื่นเป็นพระเถระที่มีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย  มีศีลจารวัตรที่งดงาม  ชอบบำเพ็ญกุศลเพื่อเสริมสร้างบารมีให้แก่กล้าขึ้น ท่านจะตื่นตั้งแต่ตีสามทำวัตรสวดมนต์  และช่วงค่ำก็เช่นกันท่านจะสวดมนต์มิได้ขาด (นอกจากจะมีกิจนิมนต์และป่วยเท่านั้น)
   ?หลวงปู่ชื่นชอบทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมเป็นที่สุด และให้ความเป็นธรรมแก่ศิษยานุศิษย์เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีของศิษย์ทั้งหลายอีกด้วย ท่านจึงเป็นที่รักเคารพของศิษย์และประชาชนทั่วไปเป็นจำนวนมากในขณะนี้?
ได้อาจารย์เก่งวิชาทุกด้าน

   หลวงปู่ชื่น ติคญาโณ เป็นศิษย์สาย ?เขากุเลน? ซึ่งเป็นศูนย์รวมเวทวิทยาอาคมชั้นสูง ที่เป็นฉบับแท้ดั้งเดิมของเขมรโบราณ อาจารย์องค์แรกของท่านคือ ?หลวงปู่เอื้อย และหลวงปู่ดี สุวรรณดี? สองปรมาจารย์ผู้มีพลังจิตอันลึกล้ำ ทั้งยังมีอิทธิฤทธิ์-ปาฏิหาริย์มากมายเป็นที่เลื่องลือกันมากในประเทศกัมพูชา
   หลวงปู่ชื่นได้มองเห็นกาลไกลไปข้างหน้าว่า ?พรเวทวิทยาคม? ที่ท่านกำลังศึกษาอยู่นี้จะเป็นประโยชน์มากแก่การทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ทั้งยังได้ช่วยเหลือสงเคราะห์ญาติโยมและผู้เดือดร้อนต่าง ๆ ในอนาคตภายหน้าแน่นอน ท่านจึงมุมานะพยายามขยันศึกษาเล่าเรียนวิชาอาคมจนสุดความสามารถ ตลอดจนศึกษาการเจริญวิปัสสนากรรมฐานนั่งสมาธิควบคู่ไปด้วย เพื่อเพิ่มพูนพลังจิตให้แก่กล้าขึ้น
   ?หลวงปู่ชื่นท่านเรียนกรรมฐานควบคู่ไปกับวิชาอาคมจนท่านเรียนรู้ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว โดยมีการทดสอบจากผู้เป็นอาจารย์จนเป็นที่พอใจ  โดยเฉพาะหลวงปู่เอื้อยท่านมีเมตตาถ่ายทอดวิชาและเคล็ดลับต่าง ๆ ให้หลวงปู่ชื่นจนหมดสิ้น  หลวงปู่เอื้อยท่านเป็นพระที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในเขมร  ดังชนิดผู้หลักผู้ใหญ่ในเขมรขณะนั้นยังมอบตัวเป็นศิษย์หลายคน?  ในเวลาต่อมาเมื่อหลวงปู่เอื้อยมรณภาพลง หลวงปู่ชื่นจึงออกเดินธุดงค์บุกป่าฝ่าดงดิบในดินแดนเขมรเพื่อแสวงหาครูบาอาจารย์อีกมากมาย  จนกระทั่งท่านได้พบกับหลวงปู่ดี  สุวรรณดี  บน ?เขากุเลน? ซึ่งท่านเป็นพระผู้มากด้วยอภิญญาญาณชั้นสูง  และเป็นผู้มีพลังจิตอันลึกล้ำมหัศจรรย์เหนือโลกโดยแท้
   ด้วยบุญญาบารมีของหลวงปู่ชื่น ติคญาโณ  ทำให้หลวงปู่ดีรับหลวงปู่ชื่นเป็นศิษย์แล้วจึงพากันออกเดินธุดงค์ไปด้วยกันตามสถานที่ต่าง ๆ ?หลวงปู่ชื่นได้ศึกษากรรมฐานและเวทวิทยาคมกับธาตุทั้ง 4 ตลอดจนเกร็ดเคล็ดลับการสร้าง-การปลุกเสกวัตถุมงคล เครื่องรางต่าง ๆ มากมายจากหลวงปู่ดี ทำให้ท่านมีวิชาติดตัวมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้?
   หลวงปู่ชื่นได้เมตตาเล่าเรื่องราวและประสบการณ์ในการเดินธุดงค์ของท่านให้ฟังว่า ?หลวงปู่ดีท่านนี้เก่งมาก ท่านเชี่ยวชาญพระเวทแทบทุกชนิด  ท่านเคยเสกผ้าให้เป็นนกกระยางได้  และเสกใบไม้ให้เป็นต่อเป็นแตนได้  ทั้งยังรู้ภาษาสัตว์แทบทุกชนิด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านสามารถล่องหนหายตัวและย่นระยะทางได้  ตลอดจนท่านเดินบนผิวน้ำได้อย่างน่าอัศจรรย์อีกด้วย?  หลวงปู่ชื่นเล่าว่า หลวงปู่ดีท่านเคยแสดงให้ดูมาแล้ว  ท่านเห็นกับตามาแล้วจึงกล้ามาเล่าให้ฟัง  ท่านแสดงให้ดูก็เพื่อให้เป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติธรรมสืบต่อกันไปนั่นเอง  ?การเรียนวิชาอาคมจะมีฤทธิ์เข้มขลังได้  ต้องประกอบไปด้วยพลังจิตอันเป็นสมาธิแก่กล้าควบคู่กันไปด้วย? หลวงปู่ชื่นกล่าว
   หลวงปู่ชื่นเป็นพระที่คงแก่เรียนคือท่านชอบศึกษาค้นคว้าตำรับตำราและวิชาการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอักขระเลขยันต์  หรือวิชาอาคมอะไรท่านจะทดลองสร้างทดลองปลุกเสกอยู่เสมอ  เมื่อท่านลองแล้วเห็นว่าดีจริงและใช้ได้ผลดีจริงตามตำรา ท่านก็คัดวิชาวิเศษเหล่านั้นมาสร้างมาปลุกวัตถุมงคลให้บรรดาลูกศิษย์ และลูกหลานท่านให้ได้รับแต่สิ่งที่เป็นมงคลเป็นของวิเศษไว้บูชากัน  จากการคัดเลือกพิจารณาตรวจจากหลวงปู่ชื่นแล้วว่า ?ดีจริง-เห็นผลจริง? จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่วัตถุมงคลของท่านมีประสบการณ์ต่อเนื่องเรื่อยมา จนเป็นที่กล่าวขานร่ำลือจากปากของผู้ที่บูชาวัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่นว่ายอดเยี่ยมอยู่ในชณะนี้
   ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนจึงขอนำท่านทั้งหลายได้รู้จักหลวงปู่ชื่น  เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้มีโอกาสรู้จักหลวงปู่ชื่นอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน และใกล้ชิดหลวงปู่มากขึ้น เพราะลูกศิษย์บางคนอยู่ห่างไกลซึ่งยังไม่มีโอกาสเดินทางมากราบไหว้หลวงปู่  จะด้วยสาเหตุและปัจจัยใด ๆ ก็ตาม  ผู้เขียนขอเป็นสื่อ  ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อเป็นการหยั่งความสามัคคีให้เกิดขึ้นในหมู่ลูกศิษย์ที่มีความเคารพนับถือหลวงปู่  หรือท่านที่มีวัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่นไว้แล้ว  ขอให้รู้ว่าเราทั้งหลายก็เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์องค์เดียวกัน  เพราะมีวัตถุมงคลที่มาจากการปลุกเสกจากหลวงปู่ด้วยกันทั้งนั้น  ทั้งนี้เพื่อช่วยจรรโลงเกียรติคุณของหลวงปู่ชื่นให้แพร่หลายขจรไป  ตลอดยั่งยืนนานต่อไปในภายภาคหน้านั่นเอง

พบสหธรรมิกเก่า   
   หลังจากหลวงปู่ชื่นธุดงค์ไปในที่ต่าง ๆ มากมาย  จนกระทั่งท่านเดินทางไปจำพรรษาอยู่ที่วัดนาราก อำเภอครบุรี  จังหวัดนครราชสีมา ท่านอยู่ได้ 5 พรรษาจึงได้เดินธุดงค์ต่อเรื่อยไปจวบจนอายุท่านมากขึ้น กำลังวังชาถดถอย ท่านจึงอยู่กับที่ระยะหนึ่ง ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2524 หลวงปู่ชื่นได้รับนิมนต์เดินทางไปปลุกเสกวัตถุมงคลที่วัดแห่งหนึ่งใน เขตจังหวัดบุรีรัมย์ งานนั้นหลวงปู่นิล อนุตโร เจ้าอาวาสวัดตาอีรูปปัจจุบันซึ่งเคยเป็น ?สหธรรมิก? (เพื่อน) เก่าก่อนกันมาก็ได้รับนิมนต์จากทางเจ้าภาพให้เป็นพระคู่สวดเช่นกัน
   หลังจากพระทุกองค์เสด็จจากกิจนิมนต์แล้ว  ทางเจ้าภาพได้จัดถวายอาหารเพลให้ฉัน  หลวงปู่นิลกับหลวงปู่ชื่นนั่งฉันในวงเดียวกัน  หลวงปู่นิลหันมองพระที่นั่งอยู่ข้างตัว  ท่านคิดในใจว่าคล้ายเคยเห็นกันมาก่อน  แต่ท่านยังจำไม่ได้ว่าเคยเห็นกันที่ไหน เพราะความที่จากกันมานานหลายสิบปีทำให้ท่านทั้งสองแทบจำกันไม่ได้  หลวงปู่นิลได้แต่คิดในใจว่าพระองค์นี้ทำไมช่างเหมือนหลวงปู่ชื่นเสียเหลือเกิน  จนอดใจไม่ไหวจึงเอ่ยถามไปว่า
   ?หลวงพ่อท่านอยู่วัดไหน ชื่ออะไร?
   หลวงปู่ชื่นตอบกลับไปทันที
   ?อาตมาชื่อชื่น เป็นพระธุดงค์ยังไม่มีวัดจำพรรษา?
   หลวงปู่นิลนั่งคิดตั้งนานที่แท้ก็ใช่หลวงปู่ชื่นจริง ๆ ด้วย  เมื่อท่านทั้งสองได้นั่งสนทนากันแล้วหลวงปู่นิลจึงได้ออกปากนิมนต์หลวงปู่ชื่นให้มาจำพรรษาอยู่ด้วยกันที่วัดตาอี  ประกอบกับช่วงนั้นหลวงปู่ชื่นมีอายุมากแล้วและชาวบ้านตาอีก็ได้นิมนต์ท่านไว้ไม่ให้เดินธุดงค์อีก  นับตั้งแต่นั้นมาหลวงปู่ชื่นจึงได้อยู่จำพรรษาที่วัดตาอีเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้

เพชรเริ่มทอแสง
   หลังจากหลวงปู่ชื่นมาอยู่วัดตาอีแล้วท่านได้เก็บตัวเงียบอยู่แต่ภายในกุฏิหลังเล็ก ๆ เหมือนพระหลวงตาแก่ ๆ ธรรมดา  แทบไม่มีใครรู้เลยว่าท่านเป็นพระที่มี ?พลังจิต? และมีอาคมเข้มขลังมาก จนกระทั่งกลางปี พ.ศ. 2542 หลวงปู่ชื่นได้สร้างวัตถุมงคลออกมา 2-3 รุ่น  ผลปรากฏว่าผู้ที่นำวัตถุมงคลของท่านไปบูชาต่างมีประสบการณ์ต่าง ๆ นานามากมาย  จากปากต่อปากทำให้วัตถุมงคลที่ท่านบรรจุพลังจิตเวทวิทยาคมที่มี ?พลังมหัศจรรย์? ความวิเศษขลัง ยับยั้งภัยพาล  อาถรรพณ์จัญไร ขจัดสรรพทุกข์ สรรพโรค สรรพภัยที่มีอานุภาพ  ทั้งเมตตามหานิยม มหาโชค มหาลาภ ค้าขายดีเยี่ยม คุ้มครองป้องกัน ทำให้ชื่อเสียงหลวงปู่ชื่นดังขึ้นมาเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วไปมากขึ้นเป็นลำดับ  จากปากผู้ที่ได้บูชาวัตถุมงคลของท่านไปบูชาส่วนใหญ่ยอมรับว่าวัตถุมงคลของท่านดีเยี่ยมจริง ๆ ใช้แล้วได้ผลดีเกินคาด  ส่วนสาเหตุที่ท่านยอมเปิดตัวและจัดสร้างวัตถุมงคลออกมาเป็นทางการเนื่องจาก ท่านกำลังก่อสร้างอุโบสถซึ่งขาดปัจจัยอยู่อีกมาก  อีกประการหนึ่งหลวงปู่เคยบอกไว้ว่า
   ?ถึงเวลาที่ครูบาอาจารย์ท่านให้เปิดตัวแล้ว เพื่อนำความรู้เวทวิทยาคมที่ได้ร่ำเรียนมาสงเคราะห์พุทธศาสนิกชน และจัดสร้างถาวรวัตถุเพื่อการพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป?

เสกหินลงสระกลายเป็นงูยักษ์
   เมื่อครั้งที่หลวงปู่ชื่นมาอยู่ที่วัดตาอีใหม่ ๆ นั้น  ท่านได้เร่งทำความเพียรปฏิบัติธรรมจนพลังจิตแก่กล้า ด้วยท่านเป็นพระที่รักสันโดษชอบเก็บตัวเงียบ ๆ อยู่แต่ภายในกุฏิ  ชาวบ้านจึงคิดว่าท่านเป็นหลวงตาแก่ ๆ ไม่มีอะไร  เป็นพระธรรมดาไม่มีวิชาอาคมอันใด
   ต่อมาทางวัดได้ขุดสระใหม่ ทางเจ้าอาวาสจึงประกาศบอกชาวบ้านว่า ?ห้ามลงอาบน้ำในสระ? เพราะสระน้ำแห่งนี้พระเณรต้องใช้ดื่มกิน แต่ชาวบ้านขาดความเกรงใจท่าน ตกเย็นทั้งหนุ่มสาวพากันลงว่ายน้ำเล่นในสระอย่างสนุกสนาน บ้างก็นำผ้ามาซักทำให้ฟองแฟ๊บที่ซักลอยเต็มคุ้งสระ บอกแล้วก็เฉย เตือนแล้วก็ไม่หยุด
   หลวงปู่ชื่นจึงใช้ไม้ตายเพื่อให้รู้จักที่ต่ำที่สูง  และที่ควรมิควรกันบ้าง ท่านจึงนำก้อนหินมาสองก้อน แล้วเสกด้วยคาถาอาคมจากนั้นท่านโยนลงไปในสระน้ำ
   ?สามวันต่อมาพวกที่ชอบลงเล่นน้ำในสระภายในวัดต่างก็ตกใจแตกตื่นขึ้นตลิ่งกันแทบไม่ทัน เพราะเห็นพญางูยักษ์สองตัวว่ายน้ำไปมาในสระให้เห็นกับตากันจะจะ   ชาวบ้านตาอีเห็นกันทั้งหมู่บ้าน?
   เรื่องนี้เป็นที่เลื่องลือกันมากในอำเภอบ้านกรวด  ถ้าหากใครมีโอกาสได้ไปที่วัดตาอีลองสอบถามชาวบ้านดูก็ได้  และจากวันนั้นเป็นต้นมาจนกระทั่งถึงวันนี้ก็ไม่มีใครกล้าลงไปเล่นน้ำในสระที่วัดตาอีกันอีกเลย...
หลวงปู่ชื่น ติคญาโณ วัดตาอี จ.บุรีรัมย์ ยอดพระเกจิอาจารย์สายเขมรที่มีสายพระเวทย์สุดเข้มขลังเปี่ยมไปด้วยเมตตาบารมี มีพลังจิตญานขั้นสูง หลวงปู่ท่านเป็นพระสงฆ์ สายวิปัสนากรรมฐาน ถือธุดงค์เป็นวัตร ท่านเป็นหนึ่งในศิษย์สายเขากุเลนซึ่งเป็นสถานที่ ในการเจริญวิปัสสนากรรรมฐานและพระเวทย์วิทยาคมขั้นสูง และยังเคยฝากตัวเป็นศิษย์เล่าเรียนวิชาอาคมจากหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่าอีกด้วย ซึ่งข้อมูลนี้น้อยคนที่จะรู้จัก วัตถุมงคลที่หลวงปู่ได้ทำการอธิฐานจิตปลุกเสก ล้วนแล้วแต่แรง เห็นผล และสร้างประสบการณ์ให้กับผู้ใช้บูชามากมาย โดยเฉพาะทางมหาเสน่ห์ เมตตา-มหานิยม โชคลาภ ค้าขาย วัตถุมงคลของท่านหลายรายการที่สร้างออกมาแล้วสร้างประสบการณ์ใช้กับผู้ใช้บูชามากเป็นที่กล่าวขานกัน เช่น กุมารทองดูดรก(พรายขอดทรัพย์) พระปิดตามหาลาภลอยองค์ฝังตะกรุดทองคำ ฝังแร่  ที่มีประสบการณ์สูงทางด้าน โชคลาภ ค้าขาย และ ขุนแผนขุนแผนนาคเกี้ยว ของท่านก็เป็นที่นิยมสูง ถึงแม้หลวงปู่ท่านจะมรณะภาพไปแล้วแต่ก็ยังมีผู้คนเสาะแสวงหาวัตถุมงคลของท่านอยู่ไม่ขาด เพราะว่าใช้แล้ว
พุทธคุณครอบจักรวาล เห็นผลทันที เมื่อลูกศิษย์ใช้บูชา ทำให้ชื่อเสียงหลวงปู่ชื่นดังขึ้นมาเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วไป ในประเทศ และ ต่างประเทศ มากขึ้นเป็นลำดับ  จากปากผู้ที่ได้บูชาวัตถุมงคลของท่านไปบูชาส่วนใหญ่ยอมรับว่าวัตถุมงคลของท่านดีเยี่ยมจริง ๆ ใช้แล้วได้ผลดีเกินคาด?ขุนแผนนาคเกี้ยว และ พระปิดตาตามหาลาภลอยองค์ฝังตะกรุดทองคำ ฝังแร่ เป็น ผนงานชิ้นเอกที่ หลวงปู่ ตั้งใจ สร้างไว้ให้ลูกศิษย์ใช้บูชา เพื่อให้มีโชคมีลาภ คุ้มครองป้องกัน?บูชาแล้วไม่จนมีแต่ รวย?รวย?รวย?

ออฟไลน์ ninjao

  • ทุติยะ
  • **
  • กระทู้: 12
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
กุมารทองคือเครื่องรางชนิดหนึ่งที่มีวิญญานของเด็กสิงสถิตอยู่ กุมารทองนี้ให้ได้ทั้งโชคลาภ ความร่ำรวย เมตตา มหานิยม  และยังเป็นมหาเสน่ห์ได้อีกด้วย
กำเนิดกุมารทอง
       กุมารทองนั้นเป็นของขลังที่มีมาตั้งแต่โบราณกาล  สืบทอดกันมาหลายร้อยปี ดั่งที่เห็นชัดก็ยุคขุนแผนครับตำนานกุมารทองจากวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนนั้นได้กล่าวถึงกำเนิดของกุมารทองไว้ตอนหนึ่งว่า ขุนแผนจับได้ว่านางบัวคลี่เมียของตนคิดวางยาพิษเพื่อจะฆ่าตน จึงได้ลงมือฆ่านางบัวคลี่ แล้วจึงผ่าท้องของนางเพื่อเอาบุตรชายภายในท้องนั้นมาทำเป็นกุมารทอง  โดยทำพิธีในย่างศพเด็กและปิดทองคำเปลวจนกระทั่งกลายเป็นกุมารทองแล้วใส่ห่อผ้าไว้ไปไหนพาไปด้วย  กุมารทองจัดได้ว่าสำคัญกับขุนแผนมาก เป็นผู้ที่คอยช่วยเหลือขุนแผนอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากว่ากุมารทองนั้นก็คือลูกคนหนึ่งของขุนแผนนั่นเอง
   ตำนานกุมารทองเพชรฆาต
          กุมารทองนั้นมี 2 ประเภทคือ กุมารทองประเภทแรกนั้นจะมีความดุร้ายอยู่มาก มีฤทธิ์ทางด้านทำร้ายศัตรู แบ่งได้เป็น 4 ชนิดด้วยกัน คือ 1.เพชรมั่น 2.เพชรดับ 3.เพชรคง 4.เพชรสูญ  กุมารทั้ง 4 ชนิดนี้ เรียกโดยรวมว่า "เพชรภูติงาน" หรือ "เพชรปราบ" มีไว้สังหารหรือทำร้ายศัตรูโดยเฉพาะ  ตามตำรากล่าวไว้ว่าการสร้างกุมารทองชนิดนี้จะใช้การอัญเชิญของพวกผีตายโหงหรือปีศาจให้มาสถิตอยู่ในหุ่นกุมารทอง ซึ่งแต่ละชนิดนั้นจะมีวิธีการทำร้ายศัตรูที่ต่างกันไป กุมารทองเพชรสูญจะมีฤทธิ์ในการทำให้คนกลายเป็นบ้า กุมารทองเพชรคงและเพชรมั่นนั้นจะดีในทางด้านเฝ้าบ้านเรือนด้วยการฆ่าคนแปลกหน้าที่มาบุกรุกบ้าน  สิ่งที่ปราบกุมารทองเพชรมั่นได้นั้นได้แก่วัวธนูที่ทำจากไม้ไผ่หามผี แต่กุมารทองเพชรคงจะมีฤทธิ์สูงกว่ากุมารทองเพชรมั่นเพราะสามารถเอาชนะได้หรือแม้กระทั่งที่ทำจากครั่ง สิ่งที่เดียวที่จะหยุดได้คือวัวธนูทองแดง ยิ่งไปกว่านั้นกุมารทองเพชรคงยังมีอำนาจในการไล่ตามศัตรูได้ในขณะที่กุมารทองเพชรมั่นจะอยู่แต่ภายในอาณาเขตบ้านเท่านั้น  กุมารทองเพชรดับเป็นเพชรฆาตเลือดเย็นที่สามารถหักคอศัตรูอย่างรวดเร็วฉับพลันเหมือนนักฆ่ามืออาชีพมีไว้สำหรับปลิดชีวิตศัตรูโดยเฉพาะ กุมารทองจำพวกนี้ยังคงนิยมอยู่ในเฉพาะนักไสยเวทย์มนต์ดำที่เก่งกล้าหรือแถบเขมรและอิสลาม ไม่ได้นิยมในหมู่นักสะสมเครื่องรางทั่วไป กุมารทองโชคลาภเมตตามหานิยม
     กุมารทองอีกประเภทหนึ่งนั้นมีไว้เฝ้าบ้าน เรียกลูกค้า เป็นเมตตามหานิยม ไม่มีชื่อเรียกโดยเฉพาะ  โดยทั่วไปนั้นผู้บูชาจะตั้งชื่อเอง  โดยจะตั้งชื่อที่เป็นมงคล เรียกทรัพย์ต่างๆ  กุมารทองชนิดนี้จะไม่มีความดุร้ายสามารถเลี้ยงกันได้ทุกคนไม่มีอันตรายเหมือนอย่างกุมารทองทองชนิดข้างต้น กุมารทองด้านเมตตาที่สร้างโดยอาจารย์รุ่นเก่าที่ขึ้นชื่อว่าขลังได้แก่หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม ซึ่งถือเป็นกุมารทอง ยอดนิยมอันดับหนึ่ง กุมารทองของท่านรุนแรกๆ ราคานับแสนบาท แต่ปัจจุบันนี้คือหลวงพ่อแย้มซึ่งเป็นศิษย์เอกของหลวงพ่อเต๋ ก็เรียนวิชาสร้างกุมารครบเม็ดกระบวนความ ศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน  กุมารทองทางเมตตานี้จะมีความศักดิ์สิทธิ์ในด้านของการเฝ้าบ้าน เรียกลูกค้าเข้าร้าน ช่วยค้าขายดี ช่วยเรือกนาไร่สวนให้มีผลิตผลดี
ชนิดต่างๆของกุมารทอง
1.กุมารทองมหาภูติ สร้างจากวัสดุอาถรรพณ์ เช่น กระดูก ผงพรายกุมาร น้ำมันพราย หรือแม้แต่พวกลูกกรอก สิ่งเหล่านี้เชื่อว่าเป็นธาตุอาถรรพณ์ที่มีวิญญาณอยู่ในตัวของมันเอง นำมาประกอบเป็นรูปกุมารทอง แล้วปลุกเสกหนุนธาตุ หนุนอาการขึ้น บางทีก็อาจใช้วิญญาณของเจ้าของวัตถุอาถรรพณ์ที่ทำการสะกดนั้นเลย  กุมารทองชนิดนี้นิยมเลี้ยงกันในหมู่ของอาจารย์หมอไสยศาสตร์ที่มีวิชาอาคมสูงเท่านั้น เพราะกุมารทองชนิดนี้มีอันตรายหากเลี้ยงไม่ดี คุมของไม่อยู่แล้วนั้น จะย้อนเข้าสู่ตนเองจนถึงแก่ชีวิต หรือกลายเป็นคนวิกลจริตได้เลย  แต่หากได้รับการสลายธาตุและปลุกเสกโดยพระสงฆ์ผู้มีพลังบารมีคุณวิเศษ คุมธาตุคุมพลัง กำกับไว้ดีแล้วจะเป็นฤทธิ์ทางภูติคุฯ ช่วยเหลือผู้คนได้ดี มีแต่คุณ
2.กุมารทองที่สร้างจากไม้อาถรรพณ์ อาทิ เช่น ว่านยาต่างๆ ว่านกุมารเป็นต้น ไม้ตายพราย  ไม้ยืนต้นตายพราย ไม้โดนฟ้าผ่าตาย ไม้ตกน้ำมัน ต้นไม้ใหญ่ที่มีรุกขเทวดา หรือไม้ที่มีพลังอำนาจหรือไม้มงคลบางชนิด บางที่อาจใช้ไม้กาฝากก็ได้ การสร้างกุมารทองชนิดนี้จำต้องใช้ความวิริยะอุตสาหะมาก เพราะมีกรรมวิธีที่ยุ่งยากมาก ตั้งแต่การพลีกรรมไม้ การแกะหุ่น การปลุกเสก  ผู้ที่กระทำพิธีจะต้องรักษาศีลอย่างเคร่งครัดจนมั่นใจว่ากายและใจบริสุทธิ์พอ  จึงสามารถทำได้
3.กุมารทอง 9 โกฐิ  เป็นกุมารทองที่มีพละกำลังและอิทธิบารมีมากกว่ากุมารทองทั้งมวลเนื่องจากเป็นเทพของกุมารทอง ผู้เสกต้องมีพลังจิตสูงมากๆ และการเสกจำต้องกระทำกันไม่ต่ำกว่า 3 ปี การสร้างย่อๆคือ ต้องหาโกฐิใส่กระดูกเด็กที่ตายด้วยอาการต่างๆ 9 ประเภทตามตำรา ภายในคืนเดียว  แล้วหลอมตะกั่วเหล่านั้นกับตัวยันต์ตำราบังคับพร้อมกับพญาว่านบางชนิดในฤกษ์ที่แข็งที่สุดคือ ฤกษ์ที่เชื่อกันว่า บรมปู่ขุนแผนเสกกุมารทองในยามนี้ ยามเดือนดับของเดือน 5 นั้นเอง และต้องตรงกับวันเสาร์  จากนั้นจะอุดด้วยผงปถมังโลกีย์กำเนิด อันต้องสร้างโดยผู้มีวิชาจริงๆ ผงนี้เล่าว่าหากตกลงบนตุ๊กตาเด็กก็จะกลายเป็นกุมารทองทันที จากนั้นจึงนำมาเสก ตามตำรากล่าวว่าต้องใช้เวลาเสกถึง 144 เสาร์  144 อังคารตามกำลังของเทพกุมารบนสรวงสวรรค์  กุมารทองชนิดนี้หาคนทำยาก หากมีแล้วนั้นค่าบูชาจะสูงมากนับหมื่นนับแสนทีเดียว ในอดีตมี พระเดชพระคุณหลวงปู่ชื่น ติคญาโณ วัดตาอี สร้างไว้องค์เดียว.....
4. กุมารทองรักยม  แกะจากไม้รักและไม้มะยม  ตามตำนานของรัตตะกุมารและยมกะกุมาร  อันเกิดจากวิชาสายพระฤๅษีโดยเฉพาะ  เป็นการเอาไม้มงคลนามมาแกะเป็นกุมารสององค์แล้วเลี้ยงในน้ำมันจันทร์ หากน้ำมันแห้งเชื่อว่าจะเสื่อมอิทธิฤทธิ์ทันที  อย่างไรก็ตามคนก็นิยมเลี้ยงกัน เนื่องจากเลี้ยงง่าย ไม่ยุ่งยาก ราคาถูกถมเถไป  หาเช่ากันได้ไม่ยาก แต่ที่สร้างไว้ขึ้นชื่อมากที่สุดมี ของหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก หลวงพ่อเคน วัดเขาอีโต้ หลวงพ่อเพิ่ม วัดสามปลื้ม เป็นต้น5.กุมารทองพยนต์ เกิดจากการนำวัตถุอาถรรพณ์บางชนิดมาขึ้นรูปกุมารทอง เช่น ดิน 7,9 ป่าช้า  ผงว่านยา  หรือผงพุทธคุณของพระเกจิ หรือคณาจารย์ต่างๆ  มาปลุกเสกลงเลขยันต์ เรียกรูปนาม และที่สำคัญคือการใช้วิชาธาตุ 4 หรือที่เรียกว่าการปั่นธาตุ ทางเหนือสายล้านนาเรียกว่า วิชาสี่ท่าห้าธาตุ  จนเกิดเป็นวิญญาณหรือเจตภูตมีตัวมีตนสามารถช่วยเหลือคนได้  กุมารทองชนิดนี้หาคนสร้างยากเช่นกัน เนื่องจากมีข้อมูลและผู้สืบทอดวิชาน้อยไม่ชัดเจน ที่เห็นๆก็มี หลวงพ่อเต๋ และหลวงพ่อแย้มวัดสามง่าม หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง หลวงพ่ออั้น วัดพระญาติเท่านั้น
วิญญาน 3 ชนิด
การสร้างกุมารทองนั้นแบ่งออกหลักๆเป็น 3 วิธีการสร้างคือ
       1. สร้างด้วยดิน 7 ป่าช้าผสมผงพรายกุมาร ผงพรายกุมารนั้นคือผงที่ได้จากการเอากระดูกเด็กมาป่นละเอียดผสมกับผงอิทธิเจและปถมัง กุมารประเภทนี้จะเฮี้ยนและแรงที่สุด  แต่มีทั้งคุณและโทษภายในตัว วิญญานที่เชิญลงมานั้นมักเป็นวิญญานในป่าช้า หรือเป็นวิญญานเด็กที่ติดอยู่กับผงพรายกุมารนั่นเอง  กุมารประเภทนี้ต้องเซ่นไหว้ให้ดี และหากเวลาผ่านไปนานวันวิญญานภายในตัวกุมารก็สามารถโตขึ้นได้
       2. การสร้างด้วยเนื้อดินหรือเนื้อไม้แล้วเชิญญานเทพลงมา  กุมารประเภทนี้มักจะไม่ค่อยแสดงตัวเหมือนอย่างแรก เพราะเป็นเทพไม่ต้องเสพอาหารหยาบ ปกติมักปลุกเสกรวมกับพระเครื่อง
       3. สร้างด้วยไม้ตายพราย ที่นิยมนั้นมักจะสร้างด้วยเนื้อไม้รักซ้อมตายพรายและไม่มะยมตายพราย เพราะถือว่าไม้ตายพรายนั้นเป็นไม้เทพสถิต มีความขลังอยู่ในตัวแม้ไม่ต้องปลุกเสก เมื่อได้ไม้ชนิดนี้มานั้นอาจารย์ผู้เสกจะประจุอาคมพระเวทย์ จิต ตั้งธาตุ หนุนธาตุ เรียกอาการ 32 เรียกนาม จนเกิดเป็นวิญญานอุบัติขึ้นมา วิญญานที่เกิดขึ้นมานั้นจะเรียกว่าพราย คือไม่รู้จักโต พรายพวกนี้จะไม่ทำร้ายผู้ใด แต่ถ้าขาดการดูแลจะอ่อนกำลังและสลายไปในที่สุด
การเลี้ยงดูกุมารทอง
         การเลี้ยงกุมารทองในช่วงแรก โตด้วยมนต์ของอาจารย์วิทยาธรกับของอาจารย์ในเมือง มนุษย์ แต่จะอาศัยบุญของอาจารย์วิทยาธรที่ดูแลควบคุมวิชาพวกนี้เป็นหลัก จะใช้มนต์เลี้ยงจนกระทั่งโตเหมือนเด็กที่ถึงเวลาคลอดออกจากครรภ์มารดา ตอนนี้จึงจะให้ดื่มนม  การให้ดื่มนมมี ๒ ประเภท คือ อาศัยนมมารดากับนมจากวิทยาธร การดื่มนม มารดาก็เหมือนกับการดื่มนมของเด็กทั่วไป นมของ
วิทยาธรน้ำนมจะไหลออกจากปลายนิ้วมือของวิทยาธร เมื่อกุมารทองดูดน้ำนมก็จะไหลไปเรื่อยๆ ด้วยฤทธิ์ของวิทยาธร พออิ่มแล้ว น้ำนมก็หายไป จะสลับสับเปลี่ยนกันให้ดื่มนมจากแม่บ้าง จากวิทยาธรบ้าง  มารดาของกุมารทองอยู่ได้ด้วยบุญของอาจารย์วิทยาธร ท่านจะให้อาหารทิพย์ กายละเอียดพวกนี้จะมีความเป็นอยู่คล้ายๆ มนุษย์ คือ มีครอบครัว มีลูก มีอะไรสารพัด แม่ลูกอยู่ได้ด้วยบุญของวิทยาธรและมนต์ของวิทยาธรกำกับ เด็กที่เป็นลูกกรอก รักยม กุมารทอง พวกนี้เมื่อเลี้ยงแล้วก็โตขึ้นเรื่อยๆ แต่ระยะเวลาในการเจริญเติบโตจะช้ากว่าในเมืองมนุษย์ ซึ่งจะมีอายุยาวกว่าของมนุษย์ กุมารทองบางตัวโตเร็ว บางตัวโตช้า เพราะวิบากกรรมไม่เท่ากัน ถ้าตัวไหน ใกล้หมดกรรมจะโตเร็วหรือไม่ก็ไปเกิดเลย ตัวไหนที่โตช้า และเป็นกุมารทองนาน แสดงว่ามีวิบากกรรมมาก สัมภเวสีเด็กที่ถูกเลี้ยงให้เป็นกุมารทองจะมีนิสัยเหมือนเด็กมนุษย์ คือ ชอบเล่นและซุกซนเหมือนเด็กๆ แต่ถึงแม้จะซุกซนแค่ไหน แต่ก็อยู่ในสายตาของวิทยาธรตลอด เพราะเขามีตาทิพย์
วิธีการเลี้ยง และใช้งานกุมารทอง
วิธีการเลี้ยงกุมารทองก็เหมือนกับการ เลี้ยงเด็ก เลี้ยงลูก พูดง่ายๆ คือ เลี้ยงด้วยการ เซ่นไหว้ ให้กินผลไม้ ให้กินน้ำหวาน น้ำเขียว น้ำแดง กินขนม เขาจะกินของละเอียดที่ซ้อนกันอยู่ การใช้งานส่วนใหญ่จะมีวัตถุ ประสงค์เพื่อให้ช่วยเหลือด้านค้าขายบ้าง เฝ้าของ เฝ้าบ้านเป็นหลัก ให้ดูหวย หรือดูดวง เป็นเรื่องรองลงมา เช่น ให้เฝ้าของ เฝ้าบ้าน แม้เจ้าของบ้านไม่อยู่ ก็ทำให้เหมือนมีคนอยู่ในบ้าน จะมีเสียงเด็กวิ่งเล่น หรือบางทีก็แปลงกายเป็นสุนัขดำตัวใหญ่ก็ได้ หรือแปลงกาย เป็นอะไรก็ได้ แต่กุมารทองทำอย่างนี้ไม่ได้ทุกตัว บางตัวแปลงกายได้ บางตัวแปลงไม่ได้ แล้วแต่ฤทธิ์มาก ฤทธิ์น้อย ขึ้นกับการปลุกเสกของครูบาอาจารย์เป็นหลักใหญ่ การช่วยเรื่องการค้าขาย กุมารทองจะมีวิธี คือ เข้าไปสถิตอยู่ใน มโนจิต มโนใจของผู้คนได้ เขาอาจจะดลใจ เข้าไปดึงตัวบ้าง ฉุดมือบ้าง ให้เข้ามาหาเรา โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว จะเหมือนเดินเข้าไปธรรมดา หรือไปกระซิบข้างหู ซึ่งคนที่ถูกกระซิบก็จะไม่ได้ยิน แต่จะเกิดความรู้สึกอยากได้ อยากไปซื้อของร้านนี้ อยากได้สิ่งนี้ ทั้งที่ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน หรือซื้อโดยไม่ตั้งใจ หรือซ์อเพราะเผลอใจ กลับไปบ้านเห็นของแล้วเสียดายเงินแทบแย่ ท่านทั้งหลายเคยเป็นเช่นนี้ไหมครับ  จริงๆ แล้วเรื่องการ ขายของดี หรือไม่ดีนั้น ก็ต้องขึ้นเวรกรรม บุญกุศล และวาสนา ที่สร้างสะสมกันมา วาสนาแต่ละคนไม่เหมือนกัน อาจได้มากได้น้อย ขายดีมากดีน้อยแตกต่างกันไป จะให้เหมือนกันทุกคนก็คงเป็นไปไม่ได้ พอดีกับจังหวะดวงดี กุศลส่งเสริม ช่วงนั้นจะทำอะไรก็ดีทั้งนั้น ส่วนกุมารทองนั้นเป็นของเสริมบุญเรา เป็นพลังวิเศษที่สวรรค์ส่วมาช่วยเรา เขาอาจจะมาเป็นช่วงๆ ไม่ได้หมายความว่าจะอยูกับเราได้ตลอดกาล หมดบุญต่อกันเขาก็ไป  กุมารทองจะช่วยดึงดูดโชคลาภ ดึงกุศลผลบุญนั้นเข้ามาให้ง่ายและเร็วขึ้น ซึ่งจะขายดีทุกครั้งตลอดไปก็ไม่ใช่ จะได้เฉพาะบางครั้งเท่านั้น เพราะกุมารนั้นตนๆหนึ่งนั้นจะถูกแบ่งอนูภาคไปหลายตัว ตามจำนวนครูบาอาจารย์ที่สร้างขึ้นมานั้นแหละ จึงอาจถูกแบ่งจิตไปสู่ผู้เลี้ยงหลายๆคน ใครเลี้ยงดีเรียกดีก็ไปหาคนนั้นบ่อย ใครไม่ค่อยสนใจเลี้ยง หรือหลงๆลืมเขาไป เขาก็ไปหาคนอื่น หรือบางคนเลี้ยงหลายตัวมากเกินไป แทนที่จะช่วยกันทำงาน กลับชวนกันเล่นซะนี่ ฉนั้นการเลี้ยงกุมารทองนั้นต้องเลี้ยงด้วยจิต เอาใจใส่เลี้ยงเหมือนลูกเรา หมั่นกระซิบพูดคุยกับเขาบ่อยๆ พูดเองเออเองอะไรทำนองนั้น ที่เลี้ยงไว้เฝ้าบ้านก็เช่น
เดียวกัน อย่าลืมว่าบุญกรรมที่ทำมาเป็นหลัก ทุกคนมีเจ้ากรรมนายเวร เราทำอะไรใครบ้างไม่ได้จำ เขาจะเอาคืนเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ พวกนี้เล่นทีเผลอ ประมาทเมื่อไหร่โดนครับ ทำกรรมไว้ต้องชดใช้ ถูกต้องแล้ว ขนาดบางทีมีกุมารทองอยู่ ขโมยยังขึ้นบ้านได้ แสดงว่าคนนั้นมีวิบากกรรมเคยไปลักขโมยของคนอื่นเขามาก่อน เพราะเป็นวิบากกรรมที่ติดมากับตัว เมื่อถึงเวลาส่งผล อะไรก็กันไม่อยู่ กุมารเราเผลอไปเที่ยว มันก็เข้ามาได้ 
วิธีการติดต่อกับกุมารทอง
    วิธีการติดต่อระหว่างผู้เลี้ยงกุมารทองกับกุมารทอง ก็คือการเรียกชื่อเขา เรียกด้วยจิต เวลาขออะไรใจต้องนิ่ง มีสมาธิดี จุดเทียน จุดธูป บอกเขา หากรู้สึกเสียวสันหลังวาบ หรือขนลุดซู่นั่นแหละเขามาแล้ว ขออะไรไปได้เรื่องแน่ บางทีกุมารทองก็จะมากระซิบข้างหู แต่ไม่เห็นตัว เพียงแต่มีความรู้สึก หรือบางทีถ้าจิตของใครที่อ่อนไหวง่าย กุมารทองก็จะสิงร่างของผู้นั้นได้ง่าย บางทีก็เข้าฝัน บอกโชค บอกหวยได้ ก็มีให็เห็นกันบ่อย 
 การบูชากุมารทอง     
      การบูชานั้นทำโดยการตั้งเครื่องบูชา เทียน 2 เล่ม ธูปจะจุด 1 -5 หรือ 9 ดอกก็ได้ตามสะดวก ของเซ่นไหว้ประกอบด้วยข้าวปากหม้อ ไข่ต้ม น้ำหวาน น้ำเขียว น้ำแดง นม ขนมหวาน ขนมปัง เบเกอรี่ก็ได้ ไม่ควรถวายของคาวเหล้ายาปลาปิ้งเด็ดขาด เขาเป็นภูติเด็ก ไม่ใช่ผีพรายผู้ใหญ่ นอกจากนี้หากว่าบนสิ่งใดไว้ก็ให้ตอบแทนตามสิ่งที่บนมาเช่น ให้ของเล่น หรือให้สร้อยทอง ตามที่เราได้บนเอาไว้  สำหรับการถวายนั้นให้เราตกลงกับกุมารทองเอาว่าเราสะดวกวันไหน เช่นเราตกลงกับกุมารทองไว้ว่าจะถวายข้าวทุกๆวันพระเราก็ต้องให้เค้าทุกๆวันพระ เพราะกุมารทองเป็นกายทิพย์ถือเรื่องสัจจะเป็นสำคัญ แต่ถ้าหากไม่มีเวลาให้เราบอกเค้าไว้ว่า เวลาไปไหนก็ให้ไปด้วยกันกินอะไรก็กินด้วยกัน ถ้าได้ผลแล้วควรทำบุญทำทานถวายสังฆทานอุทิศไปให้เขาด้วย ฤทธิ์จะแรงขึ้นเรื่อยๆ
 
การนำกุมารทองเข้าบ้าน
  ให้ตั้งชื่อกุมารก่อน เอาชื่อไทยๆเรา ชื่อที่เป็นมงคล เมื่อนำกุมารทองเข้าบ้านนั้นเราจะต้องจุดธูป 16 ดอก บอกกล่าวขออนุญาตต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบ้านทั้งหลาย พร้อมทั้งพระภูมิเจ้าที่ ผีบ้าน ผีเรือน ว่าให้เปิดทางให้แก่กุมารทองที่เรานำมาเลี้ยง  ถ้าหากภายในบ้านเรามีกุมารทองอยู่ก่อนแล้วให้เราทำการจุดธูปหรือบอกปากเปล่าว่าจะเอาพี่หรือน้องมาอยู่ด้วย และเรายังต้องสอนกุมารในทางที่ดีอีกด้วยเพราะเค้าเป็นเด็กยังไม้รู้อะไรดีไม่ดี แนะนำสมาชิกในบ้านให้กุมารรู้จัก ถ้าเรามีลูกให้ลูกเราเรียกกุมารเป็นพี่
   
กุมารที่มีให้บูชาในปัจจุบันมีหลายแบบ
- ปั้นหล่อด้วยปูนปาสเตอร์ หรือพาสติก ไฟเบอร์ก็มี อาจมีอุดผงอาถรรพ์ของครูบาอาจารย์ผู้ปลุกเสก แล้วแต้มสีสันให้ ซึ่งระดับนี้ท่านว่า เรียกว่ากุมารโหล มีฤทธิ์ไม่มาก หรืออาจไม่มีเลย
- แบบเป็นลูกอม จะมีขนาดเล็กครับ พกพาง่าย
- แบบหุ่นดินปั้น ดินป่าช้า ผงอาถรรพ์ ผงว่าน แบบนี้ก้อมีหลายแบบ หลายขนาด
- แบบเนื้อโลหะอาถรรพ์  โลหะที่นำมาทำหลอมตามสูตรตำราของแต่ละอาจารย์ ว่ากันตามวิชาเฉพาะตน บ้างก้อมีอุดผงพราย อุดผง อุดดินเจ็ดป่าช้าง เพื่อเพิ่มความเฮี้ยนขึ้นอีกครับ
- แบบแกะจากไม้อาถรรพ์ คือ ไม้มงคลที่ตายพราย(ยืนต้นตายเอง) เอามาแกะเป็นรูปเด็ก บ้างก้อนำมาแช่น้ำมันจันทร์ต่อ เพื่อเป็นการล่อให้เค้าอยู่กับเรานานๆ เราก้อหมั่นเติมน้ำจันทร์นะครับ ไม่งั้นเค้าก้อจะไม่อยู่กับเรา
- แบบที่แกะจากวัตถุที่มีพลังในตัวเอง เช่น งาช้าง เขากระทิง เขาควายเผือก กระดูกสัตว์โบราณ หินศักดิ์สิทธิ์ อัญมณีมีค่า ซึ่งสมัยนี้ก้อไม่พบกันแล้วครับ(หายากมั่กๆ)
การใช้งานของกุมาร
- เป็นพรายกระซิบ บอกเหตุ บอกภัยที่กำลังจะมาถึง หรือบอกโชคลาภ บอกหวย
- เรียกเงิน เรียกทอง เรียกทรัพย์ เสี่ยงดวงพนัน
- บางตนใช้กันคุณไสยได้ ไล่ผีเร่ร่อนได้
- ช่วยทำมาค้าขาย เรียกคนเข้าร้าน
- ช่วยในเรื่องการงาน การประกอบสัมมาชีพ
- ช่วยทำไร่ทำนา เรือกสวน
- เฝ้าบ้าน เฝ้าของ

คาถาบูชากุมารทอง สูตรของหลวงพ่อเต๋ หลวงพ่อแย้ม**
  นะโม (3 จบ)
  "พุท ธัสสะ บูชา ธัม มัสสะ บูชา สัง ฆัสสะ บูชา ปติ ปติ บูชา ภะวันตุเม อุกาสะ อุกาสะ ข้าพเจ้าขอไหว้ตุ๊กตาทอง ขอจงมาบังเกิดอยู่ในจักขุทวาร ในมะโนทวาร ในกายทวารแห่งข้าพเจ้า ขอเดชเดชะ ข้าพเจ้าได้ทำบำเพ็ญกุศลมาแต่
อเนกอนันตชาติ เกิดด้วยตุ๊กตาทอง ลาภทุกประการ จงมาบังเกิดกับข้าพเจ้าทั้ง 8 ทิศเนืองๆ ขอจงมาทุกวัน อย่าได้ขาดแคลน ลาภ สักการะ นั้นเลย ให้เหมือนดั่งเช่นตุ๊กตาทองนี้เถิด"
 คาถาเรียกกุมารทอง "โอม พะนิจิ เจรุนิ พันธัง เอหิ มะมะ"
 คาถาเรียกกุมารทานอาหาร "โอม กุมาระ รักยม มารับโภชนา อาคัจฉาหิ ติวัปตับโพ อาคัจฉาหิ มาลูกมา" แล้วเรียกชื่อเขา
 
การเลี้ยงกุมารทองให้เลี้ยงด้วยจิต เหมือนลูกเราคนหนึ่ง ต้องเอาใจใส่พูดคุยด้วยถึงจะจูนเข้ากันง่าย คนเราสนิทกันแล้วขออะไรก็ได้ เวลาขออะไรจิตต้องนิ่ง หากรู้สึกขนลุกขนพองเป็นอันได้เรื่องแน่ๆ หมั่น หาอาหาร ขนมหวาน ขนมเบเกอรี่ นม น้ำแดง น้ำเขียว ให้กุมาร ทุก 1-3 วัน ตามสะดวก อยากได้ผลเร็วควรตอบแทนด้วยของเล่น เครื่องประดับ สร้อยทอง แหวนทอง เป็นต้น เมื่อได้สมปรารถนาแล้วควรการทำบุญทำสังฆทานอุทิศส่วนกุศล แผ่เมตตาไปให้เขาด้วย จะได้ผลดีขึ้นเรื่อยๆ

ออฟไลน์ JoeBS

  • ปัญจมะ
  • *****
  • กระทู้: 164
  • เพศ: ชาย
    • MSN Messenger - Joey_GeoBuu@hotmail.com
    • ดูรายละเอียด
    • BKD ONLINE
    • อีเมล
อยากเดินทางไปที่วัดเพื่อสักการะหลวงปู่ และเช่าวัตถุมงคลด้วยครับ ไม่ทราบว่าพอมีแผนที่หรือเส้นทางการเดินทางบ้างไหมครับ

ถ้าวิ่งจาก กทม.อะครับ ขอบคุณมากครับ
เพื่อนหาได้ไม่ยาก แต่การรักษาเพื่อนไว้ ยากกว่า

ออฟไลน์ aekcub

  • ทุติยะ
  • **
  • กระทู้: 37
  • เพศ: ชาย
  • http://www.itti-patihan.com/
    • ดูรายละเอียด
    • โปรโมทเว็บ
    • อีเมล
 :)หลวงปู่ มรณภาพแล้วครับ ทางวัดไม่มีวัตถุมงคลแล้ววัตถุมงคลหมดไปจากวัดนานแล้วครับ