เรามักจะติดยึดกับคำว่า"ปริยัติ" ว่่าคือการศึกษาเล่าเรียนตำราตามตัวหนังสือ ในห้องเรียน ในชั้นเรียน
แต่ในเชิงปฏิบัติแล้ว คำว่า"ปริยัติ"นั้น คือการเก็บเกี่ยวข้อมูลทั้งหลาย จากการพูดคุยสนทนาสอบถาม
ความรู้ทั้งหลายที่ได้จากการอ่าน การฟัง การพูดคุยสนทนา ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของ"ปริยัติ"ทั้งนั้น
"ปริยัติ"คือข้อมูลพื้นฐาน ที่จะนำมาเป็นแนวทางของการปฏิบัติ ซึ่งถ้าเรานั้นไม่มีความรู้พื้นฐานแล้ว
การปฏิบัติของเราย่ิอมจะหลงทาง เพราะว่าทำไปโดยไม่รู้ ไม่เข้าใจ ในขั้นตอนและวิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง
เมื่อเรามีข้อมูลแล้ว เราจึงลงมือปฏิบัติและสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องของปัจจุบันธรรมที่เกิดขึ้น
โดยที่ไม่ใช่การปรุงแต่งหรือสิ่งที่เราสร้างขึ้นมา แต่เป็นไปตามเหตุและปัจจัยที่เป็นอยู่ในขณะนั้น
เป็นตัวกำหนดให้สภาวะธรรมต่างๆเกิดขึ้น และสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นทั้งหลายเหล่านั้นคือ"ปฏิเวท"
เป็นผลของการปฏิบัติ เมื่อเรานำสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นนั้นมาเทียบเคียงกับหลักธรรมของพระพุทธศาสนา
ก็คือการกลับมาสู่"ปริยัติ" เมื่อเรารู้เราเข้าใจในสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ จิตก็คลายความกังขาสงสัย
ใจก็โปร่่งโล่่งเบาสบาย ผลที่ได้นั้นคือ" ปฏิเวท" ในขบวนการปฏิบัติธรรมต้องอาศัย"ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวท"
เป็นเหตุเป็นปัจจัย สงเคราะห์ อนุเคราะห์ เกื้อกูลแก่กัน ตามหลักของพระพุทธศาสนาที่มีมาแต่พุทธกาล...