การให้อภัยไม่ใช่การสูญเสีย แต่เป็นการ ได้ อย่างไม่มีขีดจำกัด บางครั้งเรามักจะคิดว่า การให้อภัย เป็นการสูญเสีย เช่น การเสียศักดิ์ศรี เสียหน้า และเสียเปรียบ เนื่องจากเราได้ยอมคู่กรณีที่เคยล่วงละเมิด หรือทำให้เราประสบกับความทุกข์ หรือเจ็บปวดในลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว การแสดงออกด้วยการให้อภัยในทางพระพุทธศาสนาถือว่าเป็น การได้อย่างมีขีดจำกัด การได้ที่เกิดจากการให้อภัยสามารถประเมินได้จากหลายด้าน กล่าวคือ
(๑) ได้เปิดโอกาสให้คู่กรณีได้พัฒนา ปรับปรุง และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในเชิงบวกมากยิ่งขึ้น ซึ่งการพัฒนาดังกล่าวมิได้ส่งผลในเชิงบวกต่อเราเท่านั้น แต่ได้ส่งผลต่อคนข้างเคียงคนอื่นๆ ของเขาด้วย เช่น ครอบครัว และเพื่อนร่วมงาน
(๒) ได้เปิดโอกาสให้คู่กรณีได้รับผิดชอบต่อสิ่งที่ได้เคยกระทำผิดพลาด เพราะบางครั้งการที่เราไม่ให้อภัยก็ถือได้ว่าเป็นการปิดช่องทางมิให้คู่กรณีได้แสดงออกอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งการรับผิดชอบดังกล่าวอาจจะไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อเราโดยตรง แต่หมายถึงการรับผิดชอบสาธารณะ (Public Accountability) ที่จะต้องแสดงออกต่อคนอื่นๆ ในสังคม
(๓) ได้เปิดโอกาสให้ใจของตัวเองได้เรียนรู้ที่จะให้อภัยคนอื่นๆ และผลที่เกิดต่อตัวเองก็คือ การปล่อยวาง ไม่น้อมใจเข้าไปแบกรับความเลวร้าย หรือความขุ่นมัวที่จะเกิดตาม ซึ่งจะทำให้ใจเข้าถึงอิสรภาพอย่างแท้จริง โดยไม่ขึ้นตรงต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่อาจจะส่งผลต่อความทุกข์ หรือปัญหาที่จะเกิดขึ้น
(๔) ได้เพื่อน หรือมิตรภาพที่ยั่งยืนจากคนอื่นๆ ในสังคม เพราะการให้อภัยเป็นการซ่อมแซมมิตรภาพที่เสื่อมทรุด หรือพังทลายลงให้คืนกลับมา แต่การรื้อ และสร้างใหม่ของมิตรภาพในลักษณะนี้จะทำให้สัมพันธภาพระหว่างคู่กรณีเต็มไปด้วยการรัก เคารพ และให้เกียรติระหว่างกันมากยิ่งขึ้นที่มา:บทความเรื่องอภัยทานกับการสร้างความสมานฉันท์ในสังคมไทย
พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส,ผศ.ดร.
ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการ
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย