กระดานสนทนาวัดบางพระ

หมวด มิตรไมตรี => บทความ บทกวี => ข้อความที่เริ่มโดย: รวี สัจจะ... ที่ 31 ธ.ค. 2552, 11:12:53

หัวข้อ: เล่าสู่กันฟัง...สิ้นปีก็ให้สิ้นไป
เริ่มหัวข้อโดย: รวี สัจจะ... ที่ 31 ธ.ค. 2552, 11:12:53
ณ ตถตาอาศรม(มันเป็นเช่นนั้นเอง) ริมฝั่งแม่น้ำโขง
๓๑  ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒
         ใกล้จะสิ้นไปอีกปีแล้ว วันเวลาผ่านไปตามปกติไม่เคยหยุดนิ่ง สรรพสิ่งแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา
เป็นไปตามกฏพระไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ผ่านมาแล้วจากไป สิ่งที่เหลือไว้นั้นคือความทรงจำ
ประทับใจบ้าง ขัดข้องขุ่นใจบ้าง ตามกิเลสตัณหาและอารมณ์ ของแต่ละคนแต่ละท่าน และมุมมองที่แตกต่างกัน
"มันเป็นเช่นนั้นเอง" ปีเก่าหรือปีใหม่ล้วนแล้วแต่สมมุติบัญญัติ ที่กำหนดขึ้นมาเพื่อให้รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้ว
แต่สิ่งที่สำคัญนั้นคือ ทุกวันทุกเวลาทุกขณะและทุกโอกาศ เราได้ทำหน้าที่ของเราให้ถึงพร้อมสมบูรณ์แล้วหรือยัง
ทบทวนใคร่ครวญพิจารณาว่าวันเวลาที่ผ่านไปนั้น เราได้สร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้แก่ชีวิตของเราแล้วรึยัง สมบูรณ์แล้วหรือยัง
ลองชั่งดูระหว่างบุญกุศลและบาปกรรมที่เราได้กระทำมาแล้วนั้น ที่เราพอจะระลึกได้ ว่าอย่างไหนจะมีกำลังมากกว่ากัน
แล้วลองคิดสมมุติดูว่าถ้าเราไม่มีโอกาศที่จะได้ลืมตาตื่นและหายใจในวันพรุ่งนี้ เราจะไปอยู่ที่ไหน เราจะเป็นอย่างไร
กรรมที่เราได้เคยกระทำมาจะเป็นตัวส่งผลให้จิตของเราไป กรรมที่เป็นกุศลย่อมส่งผลไปสู่สุขคติคือไปในทิศทางที่ดี
กรรมที่เป็นอกุศลย่อมส่งผลไปสู่ทุคติคือทิศทางที่ไม่ดี วันสิ้นปีจึงเป็นวันที่เราจะควรสรุปการกระทำของเราที่ผ่านมา
ว่าอะไรคือความเจริญก้าวหน้า อะไรคือความเสื่อมถอย จงเอาอดีตที่ผ่านมาเป็นบทเรียนของชีวิต คิดและพิจารณา
เพื่อกำหนดอนาคตในภายภาคหน้าของชีวิตเรา ว่าจะเดินไปในทิศทางใดและอย่างไร
      อย่าให้วันเวลาผ่านไปโดยไร้ค่า เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ และเป็นโทษต่อชีวิตของเราเลย ทุกสิ่งทุกอย่าง
เรากำหนดขึ้นมาได้ด้วยตัวของเราเอง คือการกระทำที่เรียกว่ากรรมของเราในวันนี้ ซึ่งพรุ่งนี้ก็จะกลายเป็นอดีตไปแล้ว
ยอมรับในความเป็นจริงของสรรพสิ่งที่เผชิญอยู่ รู้ตน รู้ประมาณ รู้กาลเวลา ว่าเราควรจะปรารถนาได้ในสิ่งใด เพียงใด
ที่เราคิดว่ามันไม่สำเร็จ ไม่สมปรารถนา ก็เพราะว่าเราไม่ได้สร้างเหตุและปัจจัย และอาจจะมุ่งหวังมากเกินไปเกินประมาณ
กับเหตุและปัจจัยที่เราได้กระทำไว้ในอดีต แต่ถ้าเรารู้ตน รู้ประมาณ รู้กาล รู้โอกาศ และทำหน้าที่สร้างเหตุและปัจจัยให้
สมบูรณ์ในวันนี้ สิ่งที่เรามุ่งหวังตั้งใจไว้คงจะไม่ไกลเกินปรารถนา "อย่ามัวหลงติดอยู่กับความคิดซึ่งเป็นเพียงจินตนาการ
เป็นเพียงนามธรรมที่จับต้องมิได้ จงเอาความคิดนั้นมาแปรเปลี่ยนเป็นการกระทำให้เป็นรูปธรรมที่จับต้องและเห็นได้"
อย่าได้กระทำเพียงน้อยนิดแล้วคิดหวังผลที่ยิ่งใหญ่ เพราะจะเป็นค้ากำไรเกินควร และมันจะสำเร็จได้ยากต้องใช้เวลา
ในการสะสมสั่งสมกำลังของเหตุและปัจจัยอีกยาวนาน
     ทุกวันของชีวิต เมื่อคิดดีและทำดี ก็เป็นวันที่เป็นมงคลต่อชีวิตของเรา ไม่มีคำอวยพรอันใดที่จะประเสริญล้ำเลิศ
ไปยิ่งกว่าการที่เราได้สร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้แก่ชีวิตของเรา เพราะพรนั้นคือคำชี้แนะแนวทางที่เป็นกุศลให้เราประพฤติปฏิบัติ
เพื่อจะให้ชีวิตของเราเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า ไปในทำนองคลองธรรมอันประกอบด้วยกุศลเป็นที่ตั้ง ซึ่งจะทำให้สมหวังดั่งที่
ใจของท่านปรารถนา ขอฝากบทความนี้เป็นคำอวยพรเพื่อให้ท่านทั้งหลายได้ย้อนคิดพิจารณา ในวาระที่เรียกกันว่าวันสิ้นปี
ขอความสุขสวัสดี ความมีสิริมงคลและสิ่งที่เป็นบุุญกุศลจงบังเกิดแก่ท่าน เมื่อท่านได้คิดพิจารณาและนำไปปฏิบัติ...
    เชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา-ศรัทธาในพระธรรมคำสอนของพระศาสดา-ปรารถนาดีที่จะเดินตามแบบอย่างของพระอริยสงฆ์
                                             (เชื่อมั่น-ศรัทธา-ปรารถนาดี)
                                       พระอาจารย์เมสันติ์  คมฺภีโร(หลวงโด่ง)
                                 รวี สัจจะ-วจีพเนจร-สมณะไร้นาม-สมณะชายขอบ
๓๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๒ เวลา ๑๑.๑๑ น. ณ ศาลาน้อยริมน้ำโขง ชายขอบประเทศไทย
หัวข้อ: ตอบ: เล่าสู่กันฟัง...สิ้นปีก็ให้สิ้นไป
เริ่มหัวข้อโดย: ~เสน่ห์ack01~ ที่ 31 ธ.ค. 2552, 12:21:06
"อย่ามัวหลงติดอยู่กับความคิดซึ่งเป็นเพียงจินตนาการ เป็นเพียงนามธรรมที่จับต้องมิได้
 จงเอาความคิดนั้นมาแปรเปลี่ยนเป็นการกระทำให้เป็นรูปธรรมที่จับต้องและเห็นได้"


กราบนมัสการขอบพระคุณที่เมตตาสอนครับ...
หัวข้อ: ตอบ: เล่าสู่กันฟัง...สิ้นปีก็ให้สิ้นไป
เริ่มหัวข้อโดย: derbyrock ที่ 03 ม.ค. 2553, 12:51:53
ทุกวันของชีวิต เมื่อคิดดีและทำดี ก็เป็นวันที่เป็นมงคลต่อชีวิตของเรา ไม่มีคำอวยพรอันใดที่จะประเสริญล้ำเลิศ
ไปยิ่งกว่าการที่เราได้สร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้แก่ชีวิตของเรา

กราบนมัสการพระอาจารย์ครับ