คือ ผม สงสัย ว่าเวลาที่พระอาจารท่าน ปลุกของหรือครอบเศรียร อ่ะคับ บางคน ก็ขึ้น แบบ ออกท่าทาง แต่ ทำไมตัวผมเองถึงแค่รู้สึก ชาๆ ไปทั้ง ตัว ทำไมถึงไม่ออกท่าทางแบบคนอื่นเขาหรอครับ แล้ว ขึ้นแบบไหนของมาแรงกว่ากัน ครับ สงสัยมานานแล้วครับ ขอบคุณมากๆ ครับขนลุกพองสยองกร้าว หนังหนาเป็นกำแพง นั่นหล่ะครับเขาเรียกขึ้นชั้นยอดเลย ขึ้นแล้วแสดงท่าทางกิริยาออกมา ถือว่าขึ้นไม่ดีครับ ถ้าของแรงจริงๆแล้วและไม่จำเป็นจะต้องขึ้นครับ เชื่อเถอะครับแค่ขนลุกก็ถือว่าสุดๆแล้ว ขอบคุณ
อ้างถึงคุณkriengkri P. ที่ว่าขึ้นแล้วแสดงท่าทาง ถือว่าขึ้นไม่ดีนั้น บางครั้งเราเองก็ไม่สามารถรู้ได้นะครับคือ ผม สงสัย ว่าเวลาที่พระอาจารท่าน ปลุกของหรือครอบเศรียร อ่ะคับ บางคน ก็ขึ้น แบบ ออกท่าทาง แต่ ทำไมตัวผมเองถึงแค่รู้สึก ชาๆ ไปทั้ง ตัว ทำไมถึงไม่ออกท่าทางแบบคนอื่นเขาหรอครับ แล้ว ขึ้นแบบไหนของมาแรงกว่ากัน ครับ สงสัยมานานแล้วครับ ขอบคุณมากๆ ครับขนลุกพองสยองกร้าว หนังหนาเป็นกำแพง นั่นหล่ะครับเขาเรียกขึ้นชั้นยอดเลย ขึ้นแล้วแสดงท่าทางกิริยาออกมา ถือว่าขึ้นไม่ดีครับ ถ้าของแรงจริงๆแล้วและไม่จำเป็นจะต้องขึ้นครับ เชื่อเถอะครับแค่ขนลุกก็ถือว่าสุดๆแล้ว ขอบคุณ
อาการของขึ้น
ความคิดเห็น ผมว่าเป็นอาการรับรู้ได้ของจิตเราที่มีต่อ อักขระ เลข ยันต์ ที่พระอาจารย์ได้ประสิทธิ์ประศาตร์ให้เรา
แต่ก็ต้องอยู่ที่เราเป็นหลักว่าจะควบคุมได้เพียงได ซึ่งแต่ละท่านคงจะไม่เท่ากัน
ประโยชน์ คือเราได้สัมผัสกับพลังแห่งยันต์วัดบางพระ เพื่อให้เรารับรู้ว่ามีจริงแล้วเราก็ควรน้อมรับวันทามิ ควรจะพึงระลึกถึงหลวงปู่เปิ่นและพระอาจารย์ทุกๆรูป ว่าเป็น ที่พึ่ง ที่ระลึก และกำจัดภัยได้จริง
ในจิต หากใครได้เห็นภาพหลวงปู่เปิ่นเดินเข้ามาในพิธีไหว้ครูแล้วบรรดาลูกศิษย์ต่างเปล่งพลังแห่งอำนาจเพื่อร่วมกันขาลรับบารมี ผมว่าเป็นใครก็ต้องของขึ้นแต่จะมากหรือน้อยก็แล้วแต่ กำลังศรัทธา กำลังจิตควบคุมตนเอง ของแต่ละคน(เห็นด้วยหรือไม่ก็แล้วแต่นะครับ) แต่ส่วนตัวผมมีมโนภาพว่าในขณะนั้น ท่าน ที่เดินมาเป็นแม่ทัพผู้เกรียงไกรสามารถปลุกจิตดึงพลังศักดิ์สิทธิ์ของขุนทหารทั้งหลายที่แฝงอยู่ให้ออกมาใช้ได้อย่างอัศจรรย์ แต่กระนั้นในยุคปัจจุบันเราท่านส่วนใหญ่ก็คงไม่ได้ไปรบพุ่งกับใครก็ขอให้รับรู้ว่าพลังอำนาจและมีอยู่จริงและใช้ไปในทางที่ถูกที่ควร คือใช้พลังนั้นไปทำแต่ความดีหรือใช้เพื่อต่อสู้ชีวิตในการทำมาหากินตามคำที่ครูบาอาจารย์ได้สั่งสอนไว้เท่านี้เราก็เป็นศิษย์ที่ดีแห่งวัดบางพระและเป็นคนดีของสังคม(คิดเหมือนกันไหมครับ)
บางอย่างเราก้ไม่รู้แน่ชัดครับบางคนขึ้นจริงบางคนขึ้นหลอกก็มี ทราบไม่ทราบอยู่ที่ใจเราครับ ถ้าว่าศรัทธาเยอะจะขึ้นนี่คงไม่เกี่ยวครับเพราะถ้าไม่มีศรัทธาเยอะคงไม่มีที่ว่างแบบนี้แน่นอน ยอมสักหัวให้ไม่มีที่ว่างไปเลย การทำงานในพื้นที่เสี่ยงบางทีขนก็ลุกทั้งตัวนั่นก้หมายความว่าจะมีเหตุในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้แน่ และก็เกิดขึ้นจริงนี่ก็คือประสบการณ์บางอย่างที่ผมสักมาครับผม เห็นด้วยอีกคนครับ :052: :052: :052:
นานาจิตตังครับ ถ้าพูดเรื่องขึ้น คนที่ไม่เคยของขึ้นเลยอาจไม่รับรู้ แต่คนที่เคยของขึ้นจะรู้ดีว่า จริงหรือไม่ คนที่ของขึ้นใช่จะศรัทธาหลวงพ่อมากกว่าคนที่ของไม่ขึ้น เรื่องอย่างนี้มันไม่ได้ชี้ชัดว่าแบบไหนดีกว่า ระหว่างคนของขึ้น กับ คนของไม่ขึ้น แต่ที่เหมือนกันคือผู้ที่มาสักยันต์ที่วัดบางพระล้วนมีใจเคารพ เลื่อมใสศรัทธา ในองค์หลวงพ่อเปิ่น ไม่แตกต่างกันครับ
คือ ผม สงสัย ว่าเวลาที่พระอาจารท่าน ปลุกของหรือครอบเศรียร อ่ะคับ บางคน ก็ขึ้น แบบ ออกท่าทาง แต่ ทำไมตัวผมเองถึงแค่รู้สึก ชาๆ ไปทั้ง ตัว ทำไมถึงไม่ออกท่าทางแบบคนอื่นเขาหรอครับ แล้ว ขึ้นแบบไหนของมาแรงกว่ากัน ครับ สงสัยมานานแล้วครับ ขอบคุณมากๆ ครับขนลุกพองสยองกร้าว หนังหนาเป็นกำแพง นั่นหล่ะครับเขาเรียกขึ้นชั้นยอดเลย ขึ้นแล้วแสดงท่าทางกิริยาออกมา ถือว่าขึ้นไม่ดีครับ ถ้าของแรงจริงๆแล้วและไม่จำเป็นจะต้องขึ้นครับ เชื่อเถอะครับแค่ขนลุกก็ถือว่าสุดๆแล้ว ขอบคุณ
คุณ sonjai ผมสักจนเต็มหลังทั้งหมึกทั้งน้ำ้มันเข้างานบูชาครูทุกปีไม่เคยขาดของยังไม่เคยขึ้นเลยแค่ขนหัวลุกซู่มือไม้แขนขาเกร็งไปทั้งตัวแค่นี้ผมก็พอใจแล้วที่หลวงปู่เปิ่นยังอยู่กับตัวเรา พระอาจารย์หลายท่านเคยกล่าวไว้ว่ามันอยู่ที่จิตของแต่ละคนว่าจิตอ่อนหรือจิตแข็งแตกต่างกันไปไม่ต้องคิดมากหรอกคุณน้อง :058: :058: :058:ถูกต้องแล้วครับ ผมสักหัวถึงข้างล่างยังไม่เคยขึ้นแบบออกท่าทางเลย ขนลุก หนังหนาเป็นกำแพง
ที่บอกว่าขึ้นไม่ดีคือไม่สมควรครับ ขึ้นแล้วให้โทษก็ไม่ดีอยู่แล้วหล่ะครับ ผมคนหนึงที่ศรัทธาไม่น้อยอยู่แล้วไม่อย่างนั้นผมคงมีที่ว่างแล้วหล่ะครับ ทำงานตามแนวชายโดนมาก็เยอะพอสมควรผมก็ปลอดภัยตลอด ผมก็ไม่เคยขึ้นแบบที่ว่าเลย ท่านพระอาจารย์พันสอนผมอยู่ตลอดเวลา เพราะคำพูดนี้ท่านเป็นคนพูดเองครับ ผมฝึกลูกน้องมาก็นับพันๆคน เสือสิงทั้งนั้น บางคนขึ้นไม่รู้เวลาผมก็จัดให้หล่ะครับ หายเลยนานาจิตตังครับ ถ้าพูดเรื่องขึ้น คนที่ไม่เคยของขึ้นเลยอาจไม่รับรู้ แต่คนที่เคยของขึ้นจะรู้ดีว่า จริงหรือไม่ คนที่ของขึ้นใช่จะศรัทธาหลวงพ่อมากกว่าคนที่ของไม่ขึ้น เรื่องอย่างนี้มันไม่ได้ชี้ชัดว่าแบบไหนดีกว่า ระหว่างคนของขึ้น กับ คนของไม่ขึ้น แต่ที่เหมือนกันคือผู้ที่มาสักยันต์ที่วัดบางพระล้วนมีใจเคารพ เลื่อมใสศรัทธา ในองค์หลวงพ่อเปิ่น ไม่แตกต่างกันครับ
มีความเห็นเหมือนพี่ tuxky ครับ
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่แต่ละคนจะสัมผัสรับรู้ได้ด้วยตัวเอง แต่ละคนก็อาจจะรับรู้อาการได้ไม่เหมือนกัน
ของปลอมก็คือของปลอม แต่ของจริงที่ท่านยังไม่เคยรับรู้ด้วยตัวเองนั้นยากที่จะอธิบาย
สุดท้ายแล้วละไว้ในฐานที่เข้าใจรับรู้ในอาการของแต่ละคนดีกว่าคือ ผม สงสัย ว่าเวลาที่พระอาจารท่าน ปลุกของหรือครอบเศรียร อ่ะคับ บางคน ก็ขึ้น แบบ ออกท่าทาง แต่ ทำไมตัวผมเองถึงแค่รู้สึก ชาๆ ไปทั้ง ตัว ทำไมถึงไม่ออกท่าทางแบบคนอื่นเขาหรอครับ แล้ว ขึ้นแบบไหนของมาแรงกว่ากัน ครับ สงสัยมานานแล้วครับ ขอบคุณมากๆ ครับขนลุกพองสยองกร้าว หนังหนาเป็นกำแพง นั่นหล่ะครับเขาเรียกขึ้นชั้นยอดเลย ขึ้นแล้วแสดงท่าทางกิริยาออกมา ถือว่าขึ้นไม่ดีครับ ถ้าของแรงจริงๆแล้วและไม่จำเป็นจะต้องขึ้นครับ เชื่อเถอะครับแค่ขนลุกก็ถือว่าสุดๆแล้ว ขอบคุณ
ขึ้นแล้วแสดงท่าทางกิริยาออกมา ถือว่าขึ้นไม่ดีครับ
เอาอะไรมาวัดว่าขึ้นไม่ดีครับ ?
นานาจิตตังครับ ถ้าพูดเรื่องขึ้น คนที่ไม่เคยของขึ้นเลยอาจไม่รับรู้ แต่คนที่เคยของขึ้นจะรู้ดีว่า จริงหรือไม่ คนที่ของขึ้นใช่จะศรัทธาหลวงพ่อมากกว่าคนที่ของไม่ขึ้น เรื่องอย่างนี้มันไม่ได้ชี้ชัดว่าแบบไหนดีกว่า ระหว่างคนของขึ้น กับ คนของไม่ขึ้น แต่ที่เหมือนกันคือผู้ที่มาสักยันต์ที่วัดบางพระล้วนมีใจเคารพ เลื่อมใสศรัทธา ในองค์หลวงพ่อเปิ่น ไม่แตกต่างกันครับ
จริงดังคำพูดคุณ kriengkri P. (พี่เกรียง จอมขมังเวทย์เเห่งรบพิเศษครับ) ผมก็เคยถามกับพระอาจารย์พันครับ พระอาจารย์บอกว่า ขนลุกขนพองสยองเกล้าครับ เเค่นี้เเหละพอเเล้วครับ เเละพระอาจารย์พันเคยสอนกระผมไว้ว่า หลวงพ่อเปิ่นเคยพูดกับพระอาจารย์พันไว้ว่า บุคคลที่ของขึ้นนั้นมีจิง เเต่มี 1ใน100 ที่ขึ้นเป็นท่าทางเพราะของนั้นมีฤทธิ์ ขึ้นมา ครับ พระอาจารย์พันธ์บอกว่าเเค่ขนลุกขนพองเย็นวูบวาบเเหละครับ ดังคำ คุณ kriengkri P. พูดไว้ครับ เป็นข้อมูลจริงที่บรรดาศิษย์ควรทราบไว้ครับ ที่กระผมพูดไม่มีเจตนาอื่นๆๆครับ นอกจากจะให้พี่ๆๆน้องเเยกคำว่าศรัทธา กับคำว่าจิตตก เเละงมงายครับ เเละโกหกตัวเองครับ อีกนิดครับส่วนงานไหว้ครูนั้น พระอาจารย์พันเคยสอนผมว่า ให้ระลึกถึงคุณครูอาจารย์ เจ้าของตำหรับตำรา ที่สักยันต์ให้กับเรา เเละคุณบิดา มารดา ครับไม่ใช้โชว์กระโดดโลดเต้นครับตามนั้นครับ เมื่อวันที่26 ม.ค.55ที่ผ่านมา เกิดระเบิดขึ้นที่ แผนก3 นครสวรรค์ ศิษย์พระอาจารย์พันที่อยู่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดของกรมสรรพาวุธทหารบก ถึงขั้นวิ่งเข้าไปดับไฟก่อนที่จะลามเข้าไปหากระสุนปืนใหญ่155มม.โชคดีบารมีหลวงพ่อเปิ่นและหลวงพ่อเกาะท่านคุ้มครองครับไม่อย่างนั้นแล้วตายทั้งชุดเพราะอานุภาพ กระสุนปืนใหญ่155สามารถทำลายรถถังแหลกเป็นชิ้นๆได้ ที่สำคัญกระสุน45นัดด้วยซ้ำไปอะไรจะเหลือ ระเบิดที่ใต้ยังจิ๊บๆถ้าเทียบกัน และพวกเขาเหล่านั้นก้จอมขมังเวทยืทั้งนั้นถามดูได้เลย ครอบครูทีไม่มีขึ้น ขนลุกถึงหัว การันตีของจริงหล่ะครับ ดูหนังเสือพิมพ์ได้เลย ออกหน้า1ด้วย
จริงดังคำพูดคุณ kriengkri P. (พี่เกรียง จอมขมังเวทย์เเห่งรบพิเศษครับ) ผมก็เคยถามกับพระอาจารย์พันครับ พระอาจารย์บอกว่า ขนลุกขนพองสยองเกล้าครับ เเค่นี้เเหละพอเเล้วครับ เเละพระอาจารย์พันเคยสอนกระผมไว้ว่า หลวงพ่อเปิ่นเคยพูดกับพระอาจารย์พันไว้ว่า บุคคลที่ของขึ้นนั้นมีจิง เเต่มี 1ใน100 ที่ขึ้นเป็นท่าทางเพราะของนั้นมีฤทธิ์ ขึ้นมา ครับ พระอาจารย์พันธ์บอกว่าเเค่ขนลุกขนพองเย็นวูบวาบเเหละครับ ดังคำ คุณ kriengkri P. พูดไว้ครับ เป็นข้อมูลจริงที่บรรดาศิษย์ควรทราบไว้ครับ ที่กระผมพูดไม่มีเจตนาอื่นๆๆครับ นอกจากจะให้พี่ๆๆน้องเเยกคำว่าศรัทธา กับคำว่าจิตตก เเละงมงายครับ เเละโกหกตัวเองครับ อีกนิดครับส่วนงานไหว้ครูนั้น พระอาจารย์พันเคยสอนผมว่า ให้ระลึกถึงคุณครูอาจารย์ เจ้าของตำหรับตำรา ที่สักยันต์ให้กับเรา เเละคุณบิดา มารดา ครับไม่ใช้โชว์กระโดดโลดเต้นครับ
ที่ผมกล่าวมันมันคือความจริงที่เห็นกันบ่อยนักจนทำให้เสียในวงการ การสักยันต์ ของดีจะรู้เมื่อเกิดเหตุการณ์ยามจวนตัว ผมเห็นมาเยอะทหารตามแนวชายแดนของขึ้นกัน (พลทหาร) เพราะหัวหน้าเขาไม่ขึ้นกัน ส่วนมากก็ตายกันไม่เห็นจะเหนียว ปลุกแล้วปลุกอีก แต่บางคนนิ่งสุขุม ก้เหนียวกันทั้งนั้น ต้องลองมาเจอเองถึงจะรู้ว่าความตายอยู่เบื้องหน้า แล้วจะรู้ว่าไม่มีใครที่ไม่กลัวตาย เพราะฉะนั้นอย่าประมาทเป็นหลัก ขอบคุณครับจริงดังคำพูดคุณ kriengkri P. (พี่เกรียง จอมขมังเวทย์เเห่งรบพิเศษครับ) ผมก็เคยถามกับพระอาจารย์พันครับ พระอาจารย์บอกว่า ขนลุกขนพองสยองเกล้าครับ เเค่นี้เเหละพอเเล้วครับ เเละพระอาจารย์พันเคยสอนกระผมไว้ว่า หลวงพ่อเปิ่นเคยพูดกับพระอาจารย์พันไว้ว่า บุคคลที่ของขึ้นนั้นมีจิง เเต่มี 1ใน100 ที่ขึ้นเป็นท่าทางเพราะของนั้นมีฤทธิ์ ขึ้นมา ครับ พระอาจารย์พันธ์บอกว่าเเค่ขนลุกขนพองเย็นวูบวาบเเหละครับ ดังคำ คุณ kriengkri P. พูดไว้ครับ เป็นข้อมูลจริงที่บรรดาศิษย์ควรทราบไว้ครับ ที่กระผมพูดไม่มีเจตนาอื่นๆๆครับ นอกจากจะให้พี่ๆๆน้องเเยกคำว่าศรัทธา กับคำว่าจิตตก เเละงมงายครับ เเละโกหกตัวเองครับ อีกนิดครับส่วนงานไหว้ครูนั้น พระอาจารย์พันเคยสอนผมว่า ให้ระลึกถึงคุณครูอาจารย์ เจ้าของตำหรับตำรา ที่สักยันต์ให้กับเรา เเละคุณบิดา มารดา ครับไม่ใช้โชว์กระโดดโลดเต้นครับ
ตามนั้นครับ ไหว้ครูปีนี้ดูได้ พวกขึ้นโหดๆ ตกเย็นลองตามไปดูสิเข้าร้านเหล้าแทบทั้งนั้น แล้วครูบาอาจารย์จะเหลือไหม ผมสังเกตุตั้งแต่ไหว้ครูปีแรกที่ผมสัมผัสแล้วครับ มีพกเบียร์ป๋องไปด้วยนะไปแอบกินตรงประตูด้านหลังที่มีร้านค้าและลานจอดรถ ผมเข้าทางนั้นจำได้เลยพอพิธีมาหลวงน้าสำอางค์เริ่มพรมน้ำมนต์นี่ลุกทั้งกลุ่มเลยกระโดดกันใหญ่ มันส์เค้าเลย
จิตตก งมงาย ชอบโชว์
เอาเข้าจริง ถ้ารักษาของไว้กับตัวได้ แค่ขนลุกครับลองไปถามพี่ญาหรือหลวงน้าสำอางค์ดู
เมื่อปี53มีเต้นๆ ที่หน้ากุฏิพี่ญา ตั้งแต่ก่อนพิธี ยังมีพระมาไล่เลยครับ ก็เห็นเดินเฉยๆนะหลังโดนพระด่า :005:
อ้างถึงคุณkriengkri P. ที่ว่าขึ้นแล้วแสดงท่าทาง ถือว่าขึ้นไม่ดีนั้น บางครั้งเราเองก็ไม่สามารถรู้ได้นะครับคือ ผม สงสัย ว่าเวลาที่พระอาจารท่าน ปลุกของหรือครอบเศรียร อ่ะคับ บางคน ก็ขึ้น แบบ ออกท่าทาง แต่ ทำไมตัวผมเองถึงแค่รู้สึก ชาๆ ไปทั้ง ตัว ทำไมถึงไม่ออกท่าทางแบบคนอื่นเขาหรอครับ แล้ว ขึ้นแบบไหนของมาแรงกว่ากัน ครับ สงสัยมานานแล้วครับ ขอบคุณมากๆ ครับขนลุกพองสยองกร้าว หนังหนาเป็นกำแพง นั่นหล่ะครับเขาเรียกขึ้นชั้นยอดเลย ขึ้นแล้วแสดงท่าทางกิริยาออกมา ถือว่าขึ้นไม่ดีครับ ถ้าของแรงจริงๆแล้วและไม่จำเป็นจะต้องขึ้นครับ เชื่อเถอะครับแค่ขนลุกก็ถือว่าสุดๆแล้ว ขอบคุณ
ผมสงสัยว่าหนุมานเป็นแค่ตัวละครใรวรรณคดี จะมีจริงได้อย่างไร? แล้วหนุมานของไทยมาจากรามเกียรติ์ เป็นวรรณคดีแต่งเอาไว้เล่นโขน
เค้าโครงความจริงหนุมานรวมไปถึงพวกกองทัพลิงคือตัวแทนของชนพื้นเมืองที่มาร่วมรบกับพวกป่าเถื่อนที่กรุงลงกา
ผมสงสัยว่าหนุมานมาลงจริงหรอ?
แต่หนุมานไทยกับหนุมานฮินดูนี่มันคนละเรื่อง รามเกียรติ์ไทยมันแต่งเอาไว้เพื่อเล่นโขน ฉบับเก่าสุดสมัยอยุธยาคือฉบับที่พากย์หนังใหญ่ พากย์โขน
แต่หนุมานไทยกับหนุมานฮินดูนี่มันคนละเรื่อง รามเกียรติ์ไทยมันแต่งเอาไว้เพื่อเล่นโขน ฉบับเก่าสุดสมัยอยุธยาคือฉบับที่พากย์หนังใหญ่ พากย์โขน
นั้นเอาอย่างนี้ครับ...เอาประวัติไปอ่านครับ อันนี้ผมคัดลอกมาอีกที ไม่ใช่ผมคิดเอง
บทละครเรื่อง รามเกียรติ์ เป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธอดฟ้า
จุฬาโลกมหาราช เนื้อเรื่องมาจากวรรณคดีของอินเดียเรื่อง รามายณะ อันเป็นวรรคดี
ที่สำคัญและมีมานานกว่า ๒๐๐๐ ปีมาแล้ว ไทยเรานำมาเล่นเป็นหนังและโขน
ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีก็ได้ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง
รามเกียรติ์ เป็น กลอนบทละคร แต่ไม่แพร่หลายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬา
โลกมหาราชทรงเกรงว่า เรื่อง รามเกียรติ์ จะสูญไปเสียจึงได้ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้น
และได้โปรดเกล้าฯ ในกวีในสมัยของพระองค์ร่วมนิพนธ์ด้วยหลายตอนรามเกียรติ์
ฉบับพระราชนิพนธ์ฉบับนี้ ถ้าเปรียบเทียบกับวรรณคดีเรื่อง รามายณะ ของอินเดีย
แล้วก็มีที่แตกต่างกันหลายอย่าง เช่น เนื้อเรื่องบางตอน ชื่อตัวละครบางตัว เป็นต้น
นอกจากนี้ในอินเดีย วรรณคดีเรื่องนี้ถือกันว่าเป็นคัมภีร์สำคัญเพราะเป็นเรื่องราว
ที่แสดงให้เห็นอิทธิฤทธิ์ของ พระผู้เป็นเจ้าในศาสนาพราหมณ์ ด้วยเหตุที่ไทย
เรานับถือพุทธศาสนา เราจึงมิได้ยึดถือเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงจังนัก ดังที่กล่าวไว้
ปล. ที่เขาเอามาปรุงแต่งใหม่ ก็เพิ่มตัวละครลงไป แต่ตัวละครเอก หนุมานยังเหมือนเดิม
โครงเรื่องหลักยังเหมือนเดิม ลองไปเช่า รามยณะ ของอิเดียมาดูก็ได้ครับ เนื้อเรื่องหลักเหมือนกัน
เพียงแต่ที่นำมานิพนธ์ใหม่ก็เพื่อให้เป็นไทย แล้วก็ใ้ห้เป็น "บทกลอน"
ไม่ว่ากันครับ บางครั้งเราได้รับรู้มาไม่หมด ก็ทำให้เข้าใจผิดได้ครับ
แต่ที่สำคัญ รู้แล้ว จะยอมรับมันได้แค่ไหน พี่น้องกันไม่ต้องกลัวเสียหน้าครับ
ภาพนี้อธิบายได้มากมาย
ในภาพจากซ้ายไปขวา
- กลุ่มคนที่นั่ง
- พี่คนที่เดินด้วยท่าทางอันดุดัน
- พี่คนขวามือสุดที่ควบคุมตนได้ (แสดงว่าเขามีและสามารถนำพลังนั้นไปใช้งานได้)
(http://bp.or.th/uploads/data/image/ly6iby-455a59.jpg)
ขอบพระคุณ ทุกท่านที่มาแสดงความคิดเห็นส่วนบุคคล..(ปัจจัตตัง)รับรู้ได้เฉพาะบุคคล เฉพาะกาละ เทศะ ....บางท่าน โลกทัศน์แคบ ก็สุดแท้.....กับ วาสนา และปัญญาที่ขบคิดได้
จะยาวไปถึงไหนขอรับ จะออกอ่าวไทยแล้ว ดูหัวข้อกระทู้หน่อยครับคงยากครับท่าน หากเขาตัดความระแวงสงสัยออกไปไม่ได้ ก็จะเกิดความลังเล และเมื่อเกิดความลังเล ก็คงจะยาวไปถึงอ่าวไทยโน่นจริงๆหล่ะขอรับท่าน :004:
ใครสงสัยข้องใจเรื่องไหนมากนักก็ลองศึกษาค้นคว้าลองเข้ามาสัมผัส
ด้วยตัวเองบ้างก็ดีครับ ลอง รู้ ด้วยตัวเองไปเลยครับ จะได้หายสงสัยซักที