แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - อชิตะ

หน้า: [1]
1
[youtube=425,350]8JgB77t8VDg[/youtube]

เหตุ ๒๔๑ ที่หาดใหญ่ จ.สงขลา

สองเซลแมนลองของตะกรุดอาจารย์xxx   ลั่นปืนใส่ขมับเพื่อนดับคาห้องพักโรงแรม

เหตุเพราะท้าลองความเหนียวของตะกรุดกันครับ


จริงๆ ของแบบนี้ไม่น่าลองเลยนะครับ จะอวดความเหนียวกันไปทำไม นะ

คงเป็นเพราะความเมา ผิดศีลแล้วพระท่านจะคุ้มได้อย่างไร

นำมาให้ชมกันเพื่อเตือนสติครับ ของดีเพราะคนใช้เป็นคนดี ครับ


เนื้อข่าวโดยละเอียด

 เมื่อเวลา 20.30 น.วันที่ 5 พ.ย. พ.ต.ต.โชคชัย หนูคง สวส.สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา รับแจ้งว่า เกิดเหตุฆ่ากันตายภายในห้องพักหมายเลข A 211 ของโรงแรมพิมานโอเต็ล ถนนราษฎร์ยินดี กลางเมืองหาดใหญ่ จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วย พ.ต.อ.ศุภวัฒน์ ทับเคลียว ผกก. พ.ต.ท.ศักดา เจริญกุล รอง ผกก.ภ.จว.สงขลา ที่เกิดเหตุ พบศพ นายศิริศักดิ์ วายลม อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 17 หมู่ 7 ต.ชมพู อ.เมือง จ.ลำปาง มีอาชีพเป็นเซลแมนของบริษัทแห่งหนึ่ง ถูกยิงที่ขมับขวา 1 นัดเสียชีวิตจมกองเลือดอยู่บนพื้นข้าง ๆ เตียงนอน ในสภาพสวมเพียงกางเกงสีดำขายาวตัวเดียว ที่คอสวมตะกรุดอาจารย์xxวัดxxxx ในที่เกิดเหตุพบหัวกระสุนปืนขนาด .357 จำนวน 1 นัด โดยภายในห้องพักไม่มีร่องรอยการต่อสู้ โดยพบข้าว 1 กล่องและน้ำอัดลมหนึ่งขวด รวมทั้งเอกสารส่วนตัวและเอกสารที่เกี่ยวกับบัญชีสินค้า

       สอบสวนพนักงานโรงแรมทราบว่ามือปืนที่ก่อเหตุคือ นายนิตร สังข์ทอง อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่ 29/3 หมู่ 4 ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นเพื่อนเซลแมนที่พักอยู่ห้องพักเดียวกันกับผู้ตาย หลังก่อเหตุได้วิ่งออกจากโรงแรมหลบหนีไป แต่เจ้าหน้าที่สามารถติดตามจับกุมได้ในสภาพที่มึนเมา และควบคุมตัวมาสอบสวนยังห้องพักที่เกิดเหตุ

      โดย นายนิตร ให้การรับสารภาพว่า ขณะเกิดเหตุได้นั่งกินข้าวและดื่มเหล้าอยู่กับผู้ตายในห้องพักจนกระทั่งเมา ได้ที่ จึงเกิดการท้าลองเกี่ยวกับความขลังและหนังเหนียว ของตะกรุดอาจารย์xxxที่ผู้ตายแขวนคออยู่ ตนจึงใช้ปืนปากกาจ่อยิงที่ขมับผู้ตายไปหนึ่งนัดแต่ปรากฏว่ากระสุนเจาะเลือด สาดหงายหลังเสียชีวิตทันที ด้วยความเมาและตกใจจึงวิ่งออกจากห้องหลบหนีไป เบื้องต้นตำรวจได้ควบคุมตัวนายนิตร ไปดำเนินคดี

ขอนุญาตตัดส่วนที่อ้างอิงถึง ตะกรุดของท่านไหน วัดอะไร ออกไปนะครับ

ขอบคุณ พี่สมิหลา เจ้าของคลิปและข่าวครับ

2
[youtube=425,350]533u8EBJ-1M[/youtube]

เรื่องย่อๆ ก็คือว่า หนุ่มแบกแก๊สปราจีนฯ เผยรอดตายราวปาฏิหาริย์จากการที่นายจ้างล็อคคอจ่อยิงกลางหลังครับ


เนื้อหาข่าวโดยละเอียดครับ

เมื่อเวลา 16.00 น. วันนี้ 18 ก.ย.52 นายสัณวิชัย อินจันทร์ อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 69 ม.1 ต.ดงขี้เหล็ก อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี กล่าวคืบหน้า หลังได้เข้าร้องเรียน และขอเปลี่ยนพนักงานสอบสวนใหม่ ต่อพ.ต.อ.นพดล สุทธิเสริม ผกก.สภ.เมืองปราจีนบุรี ในคดีที่ถูกนายจ้าง คือ นายวีระยุทธ เสภาศีราภรณ์ อายุ 28 ปี เมาสุรา และใช้อาวุธปืนพกจ่อยิงที่บริเวณกลางหลังจนได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุเกิดเมื่อคืนวันที่ 11 ส.ค.52 เวลา 21.00 น.ที่ผ่านมา หลังจากได้ติดตามตรวจสอบ และพบข้อพิรุธ ในการสอบสวนดำเนินคดีของพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีหลายประการว่า

     

      “ซึ่งในวันนี้ เมื่อเวลา 15.00 น. ที่ผ่านมาตนได้รับจดหมายด่วน ลงทะเบียนประทับตราไปรษณีย์ เมื่อวันที่ 17 ก.ย.52 จาก พ.ต.ท.เอนก อุ่นจันทร์ พนักงานสอบสวน สบ.2 เจ้าของคดี ซึ่งลงนามในฐานะ ปฏิบัติราชการแทน ผู้กำกับการ สภ.เมืองปราจีนบุรี แจ้งความคืบหน้าในการสอบสวนคดีอาญา ที่ 548/2552 ลงวันที่ 11 ส.ค.52 ว่า 1.ผลการดำเนินการได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ต้องหาทราบแล้ว ตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค.52 และได้รวบรวมพยานตั้งแต่วันเดียวกัน 2.เรื่องความคืบหน้าของคดี รอใบชันสูตรบาดแผลจากทางโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร 3.รอผลการตรวจสอบการขอใช้อาวุธปืนจากทางอำเภอของผู้ถูกกล่าวหา และ 4 รอสอบปากคำจากแพทย์เป็นพยาน โดยได้ลงบันทึกอ้างวันที่ในจดหมาย เมื่อวันที่ 16 ส.ค.52 นายสัณวิชัย กล่าว

     

      และกล่าว ต่อไปอีกว่า สำหรับสาเหตุที่ตนสามารถรอดชีวิต จากการถูกจ่อยิงในระยะเผาขนผ่านอวัยวะที่สำคัญในร่างกายมาได้ในครั้งนี้ น่าจะมาจากความศักดิ์สิทธิ์ และอภินิหารของยันต์เก้ายอด ที่ตนได้เดินทางไปสักไว้บนแผ่นหลัง เมื่อ 6 ปีก่อน ในขณะที่บวชเรียนเป็นพระ ถึง 2 พรรษา จากอาจารย์หนู ในวัดเขต อ.บ้านสร้าง จ.ปราจีนบุรี ประกอบกับการประพฤติตน ตั้งอยู่ในคุณงามความดีที่ไม่เคยไปเบียดเบียนหรือรังแกใคร พร้อมได้เคยช่วยเหลือผู้อื่นมาโดยตลอด โดยเฉพาะพระคุณแม่ที่ในวันเกิดเหตุจะหลับมากราบแม่ในวันแม่แห่งชาติ จึงทำให้เกิดความขลังและศักดิ์สิทธิ์ของยันต์ จนทำให้รอดตายมาได้ในครั้งนี้”

     

      “เหตุการณ์ที่เกิดนี้ อยากให้สะท้อนถึงสังคม บทบาทกระบวนการยุติธรรมและสื่อสามวลชนที่ยังพอเป็นที่พึ่งพาต่อสู้ความ ยุติธรรม เรื่องของสุราที่ทำให้นายจ้างเมาขาดสติ การใช้อาวุธปืน พร้อมกับความเชื่อด้านโชคลางของขลังเพราะนอกจากยันต์เก้ายอดที่คุ้มครองแล้ว หลังเกิดเหตุยังได้ไปส่งราหูสะเดาะเคราะห์ที่เกิดขึ้น อันเป็นจิตวิทยาสังคมไทยดั้งเดิมที่ทำให้เกิดกำลังใจหลังเข้าวัดเหมือนว่า เกิดใหม่อีกครั้งหนึ่งที่จะได้สั่งสมคุณความดียิ่ง ๆ ขึ้นต่อไป”นายสัณวิชัย กล่าวในที่สุด

ขอบคุณเจ้าของคลิปและบทความ

พี่ มานิตย์ สนับบุญ ปราจีนบุรี



3
[youtube=425,350]yBq21qFyaNU[/youtube]




ข่าวเก่าแล้วครับ เหตุการณ์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ที่ แปดริ้ว ฉะเชิงเทรา  

เห็นว่า น่าสนใจ เป็นโจรแต่หนังเหนียว วุ๊ย...

เล่าย่อๆ ก็คือ  แก๊งค์โจร ตระเวนปล้นชิงทรัพย์ข้ามจังหวัด ก่อเหตุปล้นทรัพย์ เงิน ๑๒๐ บาท  :074: :074:

ดันหนีเข้าซอยตัน ดวลปืนกับตำรวจ บาดเจ็บสาหัสไป ๑ คน อีกคน

โดนเข้าไป ๓ เม็ด  ไม่เป็นอะไรมาก แผลแค่ผิวหนัง ตำรวจนำตัวมาแถลงข่าว นั่งคอตกซะงั้น ..  :095: :095:

ของเขาดีจริง ทำให้รอดจากลูกปืน แต่ไม่รอดคุกครับ  

โถ่ถัง ..มีของดีแต่ใช้ไม่ถูกกับเรื่องซะเลยนะ คุณพี่  :075: :075: :075: :075:








....

เนื้อหาข่าวโดยละเอียดครับ

 วันที่ 11 ก.พ.53 เวลา 14.00 น. พล.ต.ต.มณฑล มีอนันต์ ผบก. ภ. จว.ฉะเชิงเทรา พร้อมด้วย พ.ต.อ.สุเทพ บุญค้ำ ผกก. สภ.เมืองฉะเชิงเทรา พ.ต.ท.จิระวัสส์ เชื้อจันทร์อัตถ์, พ.ต.ท.ชินโชติ เสนาจักร รอง ผกก. สภ.เมืองฉะเชิงเทรา ได้นำตัว นายสถาพร ศรีสุขภู่ อายุ 18 ปี อยู่บ้านเลขที่ 31 ม.9 ต.บางสมบูรณ์ อ.องครักษ์ จ.นครนายก นายสายัณ เนียมพาง อายุ 22 ปี อยู่บ้านเลขที่ 29/1 ม.6 ต.บางสมบูรณ์ และนายอานนท์ เคหะรอด อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 42/2 ม.6 ต.ดอนเกาะกา อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา พร้อมของกลางอาวุธปืนบกสั้น ขนาด .38 แบบลูกโม่ ไม่มีทะเบียน 1 กระบอกกระสุนปืน 6 นัด และปลอกกระสุนที่ยิงแล้วคาลูกโม่อีก 3 ปลอก

      

      นอกจากนี้ยังมีผู้ต้องหาถูกยิงได้รับบาดเจ็บอีกหนึ่งคน คือ นายศริ เจริญรุ่งเรือง อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 69 ม.10 ต.บางสมบูรณ์ นอนพักรักษาตัวอยู่ที่ รพ.เมืองฉะเชิงเทรา โดยมีของกลางที่กลุ่มคนร้ายปล้นได้ไปจากเหยื่อ คือ เงินสดจำนวน 120 บาท กระเป๋าสะพายภายในบรรจุเสื้อผ้า 1 ใบ โทรศัพท์มือถือจำนวน 1 เครื่อง และรถยนต์กระบะยี่ห้อมิตซูบิชิ รุ่นไทตัน สีเทา ทะเบียน บธ-5450 ปราจีนบุรี ที่ใช้ในการก่อเหตุ จำนวน 1 คัน นำตัวมาแถลงข่าว ที่บริเวณห้องประชุมชั้น 2 อาคารห้องสืบสวนปราบปราม ด้านหลัง สภ.เมืองฉะเชิงเทรา

      

      โดย พล.ต.ต.มณฑล กล่าวว่า เมื่อเวลาประมาณเที่ยงคืนที่ผ่านมา (23.50 น. วันที่ 10 ก.พ.53) ร.ต.ท.สมคิด ยานะพันธ์ ร้อยเวรงานป้องกันและปราบปราม สภ.เมืองฉะเชิงเทรา ได้รับแจ้งเหตุ มีคนร้าย 4 คน ใช้รถยนต์ตามประกบรถจักรยานยนต์ของเหยื่อผู้เสียหายในเส้นทางสายเปลี่ยว ถนนสายเลี่ยงเมือง บางน้ำเปรี้ยว-ฉะเชิงเทรา พื้นที่ ม.7 ต.ท่าไข่ อ.เมืองฉะเชิงเทรา พร้อมใช้อาวุธปืนจี้ที่ศีรษะ น.ส.ลัดดา หงส์วิหาร และนายสุพจน์ คล่องการ เพื่อปล้นชิงทรัพย์สินจากผู้เสียหายไป จึงได้นำกำลังสายตรวจไปตรวจสอบยังที่เกิดเหตุ พร้อมออกติดตามไล่ล่ารถของคนร้าย


      

      จนในที่สุดทราบว่า คนร้ายได้ขับรถเข้าไปภายในซอยฟาร์มไก่ ด้านฝั่งตรงข้ามเยื้องกับ เส้นทางเข้าสวนวรลักษณ์ ใกล้ที่เกิดเหตุซึ่งเป็นซอยตัน จึงได้ขับรถติดตามเข้าไปยังภายในซอยดังกล่าว พร้อมด้วยกำลังฝ่ายสืบสวน จนในที่สุดได้พบเห็นรถของคนร้ายที่ได้กลับรถและวิ่งสวนออกมา จึงได้เปิดสัญญาณไฟวับวาบ แสดงตนว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมเรียกให้หยุดรถ เพื่อเข้าทำการตรวจค้นจับกุม แต่กลุ่มคนร้ายที่อยู่ภายในรถ ได้ใช้อาวุธปืนยิงใส่เจ้าหน้าที่เพื่อเปิดทาง จึงเกิดการยิงต่อสู้กัน

      

      โดยที่คนร้ายยังได้พยายามหลบหนี ด้วยการขับรถฝ่าการปิดล้อมของเจ้าหน้าที่ ไปตามถนนสายเลี่ยงเมืองบางน้ำเปรี้ยว แต่เจ้าหน้าที่ได้ใช้อาวุธปืนติดตามไล่ยิงยางรถยนต์ จนสามารถหยุดรถของคนร้ายไว้ได้ จากนั้นคนร้ายทั้ง 4 คนจึงลงมาจากรถ และยังได้พยายามที่จะวิ่งหลบหนี แต่ได้ถูกเจ้าหน้าที่ พร้อมด้วยชาวบ้านพากันเข้าไปตะรุมบอลจนสามารถล็อคตัวเอาไว้ได้ในที่สุด ทั้ง 4 คน และพบของกลาง คือ ทรัพย์สินของผู้เสียหาย เป็นเงินสดจำนวน 120 บาท โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง กระเป๋าเสื้อผ้า 1 ใบ พร้อมอาวุธปืน ขนาด .38 ของคนร้าย จำนวน 1 กระบอก ภายในมีเพียงปลอกกระสุนปืนที่ยิงไปจนหมดแล้ว จำนวน 3 ปลอก และพบกระสุนปืนขนาดเดียวกันวางอยู่ที่หน้ารถอีก 6 นัด


      

     โดยที่มีผู้ต้องหาถูกยิงได้รับบาดเจ็บจำนวน 2 คน คือ นายศริ เจริญรุ่งเรือง อายุ 29 ปี ได้รับบาดเจ็บสาหัส ถูกยิงเข้าที่บริเวณหน้าท้อง จำนวน 1 นัด ส่วนนายสถาพร ศรีสุขภู่ อายุ 18 ปี ถูกยิงที่แผ่นหลังใต้หัวไหล่ขวาจนเสื้อทะลุเป็นรูถึง 3 นัด แต่กลับไม่เป็นอะไรมาก โดยได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยที่ผิวหนังเท่านั้น ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวได้สร้างความแปลก ประหลาดใจ ให้แก่เจ้าหน้าที่ และผู้สื่อข่าวเป็นอย่างมาก ที่คนร้ายถูกยิงถึง 3 นัดซ้อน กลับไม่ได้รับอันตราย โดยที่พบว่าที่กลางแผ่นหลังจนถึงบริเวณที่ถูกกระสุนปืนยิงนั้น นายสถาพร ได้สักยันต์ 9 ยอดไว้

      

     จึงเชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเป็นอิทธิฤทธิ์ ของยันต์แผ่นดังกล่าว ที่ทำให้นายสถาพรรอดตายมาจากคมกระสุนของเจ้าหน้าที่ไปได้ แต่ก็ต้องถูกเจ้าหน้าที่ดำเนินคดี พร้อมตั้งข้อกล่าวหาหนักหลายข้อหา คือ 1 “ร่วมกันปล้นทรัพย์ โดยมีหรือใช้อาวุธปืน โดยใช้ยานพาหนะเพื่อความสะดวกในการพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม” 2 “ร่วมกันพยายามฆ่าเจ้าหน้าที่ ซึ่งกระทำตามหน้าที่ และพยามฆ่าผู้ช่วยเจ้าพนักงานฯ” 3 “ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ โดยร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป โดยมีและใช้อาวุธปืน”

      

      ข้อหาที่ 4 “มีอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต” 5 พาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควร และจำเป็นเร่งด่วน” และข้อหาสุดท้าย 6 คือ ยิงปืนในที่สาธารณะโดยใช่เหตุ” ซึ่งผู้ต้องหาทั้ง 4 คนให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา

      

      โดยที่ นายอานนท์ ยังกล่าวยอมรับอีกว่า ได้ขับรถยนต์ออกตระเวนก่อเหตุ ปล้นชิงทรัพย์ในลักษณะเดียวกันนี้ไปจนทั่ว หลายพื้นที่ ทั้งในเขต จ.นครนายก และฉะเชิงเทรา โดยที่จะเลือกลงมือกระทำการก่อเหตุต่อเหยื่อที่ขับรถ และใช้เส้นทางสายเปลี่ยวในเวลากลางคืน ก่อนที่จะตามประกบบังคับ และใช้อาวุธปืนจี้ที่ศีรษะ เพื่อปล้นชิงเอาทรัพย์สินไป ซึ่งปกติจะมีผู้ร่วมขบวนการรวม 5 คน โดยที่มีนายสมควร หรือหนุ่ย ไม่ทราบนามสกุล บ้านอยู่ในเขตพื้นที่ คลอง 21 ต.ดอนเกาะกา อ.บางน้ำเปรี้ยว เป็นหัวหน้าแก๊งค์ ซึ่งมีอาชีพเก็บเงินกู้นอกระบบ ตามบ่อนการพนัน

      

      แต่ในครั้งนี้ไม่ได้เดินทางมาด้วย จนมาพลาดท่าเสียทีให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องจากไม่รู้จักเส้นทางหลบหนี ในซอยดังกล่าว นายอานนท์ กล่าว

      

      ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ขอความร่วมมือผ่านทางสื่อมวลชนไปยังผู้เสียหายที่เคยถูกคนร้ายแก๊งค์นี้ ก่อเหตุปล้นชิงทรัพย์ ในท้องที่ต่างๆ ให้สามารถเข้ามาดูตัวพร้อมด้วยรถยนต์ของกลาง ยานพาหนะที่ใช้ในการก่อเหตุ ได้ที่ สภ.เมืองฉะเชิงเทรา เพื่อแจ้งความดำเนินคดีเพิ่มเติมต่อไป



เครดิตเจ้าของข่าว

ขอบคุณพี่   สนทะนาพร อินจันทร์/ฉะเชิงเทรา   เจ้าของข่าวครับ

ขอบคุณที่มา http://76.nationchannel.com/playvideo.php?id=79648

4




ตะกรุด ๓ ดอก ครับ คนละที่ คนละสำนัก

ดอกแรก บนสุด เป็นตะกรุดปั๊ม รูปยันต์พระพุทธ ของ หลวงพ่อเฮง  วัดบ้านขอม   เด่นเรื่องเหนียว แน่นอน

ดอกกลาง  เป็นตะกรุดหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอมครับ  จารหรือปั๊มไม่แน่ใจ  ฝากท่านเก่งช่วยชี้แนะด้วยครับ

ดอกล่างสุด  หาสำนักลงไม่ได้ เจ้าของเดิมบอกว่า ได้มา เขาบอกว่า เป็นของหลวงพ่อเต๋็ คงทอง วัดสามง่าม


ทั้ง ๓ ดอก ผมชอบเพราะชื่อ ครับ  เฮง เงิน คงทอง


เรื่อง เฮง ๆ  ใครเลยจะไม่ชอบ
   :095: :095: :095:

5







พระเกจิอาจารย์ ที่มักจะได้ยินเรื่องราวประสบการณ์อยู่บ่อยๆ
 
ชนิดที่เรียกว่า เห็นแขวนในคอแบบไม่ยอมให้ใครง่ายๆ
 
เท่าที่สัมผัสมาก มากที่สุด เห็นจะเป็น หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้
 
ส่วนพระเกจิอาจารย์ สำนักอื่น ที่ได้ยินประสบการณ์โดยส่วนตัวบ่อยมากๆ
 
เห็นจะเป็น หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม  และหลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ
 
อาจเป็น เพราะ พระเครื่องของหลวงพ่อ ทั้ง ๒ รูปนี้ ยังพอที่จะหาได้ ในราคารับได้
 
และ ในช่วงทีท่านทำของออกแจกนั้น  ท่านแจกจริงๆ
 
โดยเฉพาะในหมู่วัย รุ่นและเด็กช่างทั้งหลาย  มีประสบการณ์บ่อยมาก
 
ทุกครั้งที่เจอใคร แขวนพระหลวงพ่อแดงหรือหลวงพ่อเงิน ถ้าถามขอเช่า จะถูกปฎิเสธทันที

 
"ให้ ไม่ได้หรอกพี่ องค์นี้เจอมากับตัว"
 
ต้องใช้เล่นเล่ห์เพทุบาย สารพัด ทั้งแลก ทั้งทำให้เขว  กว่าจะได้มาแต่ละชิ้น
 
 
สำหรับ หลวงพ่อแเดง วัดเขาบันไดอิฐ เพชรบุรีนั้น  หนึ่งในของดีที่มีประสบการณ์บ่อยครั้ง
 
ก็คือ  ล็อคเกตรูปถ่ายของหลวงพ่อ  ทั้งที่เป็นรูปถ่ายขาวดำ ๒ หน้า  มีจารด้านหลัง

และรูปถ่ายสีเลี่ยมเดิมๆ จากวัด
 
จำนวน สร้าง ผมเองก็ไม่ทราบข้อมูลเท่าไร  แต่ที่ใช้เพราะมีประสบการณ์กับตัวหลายครั้งด้วยกัน
 
เรื่องรถรา การเดินทางไกล มั่นใจหายห่วง เรืองเหนียวก็ชัดเจนครับ
 
 
ยิ่้งได้ ยินคำบอกเล่าจากคนเก่าแก่ ที่เพชรบุรี บอกว่า หลวงพ่อท่านปลุกเสกพระ ท่านเสกเต็มที่
 
จะเอามาเป่าๆ ให้ท่านนั่งปลุกเสกแค่ ชั่วพักชั่วครู่ไม่ได้
 
ต้องปลุกเสกเป็นเดือนๆ ถึงจะมารับของไปได้
 
และด้วยสมาธธิจิตของหลวงพ่อแดงนั้น  เป็นที่ยอมรับว่า ท่านปลุกเสกวัตถุมงคลได้ขลังมากๆ
 
นำมาแบ่งปันให้ชมกันครับ  :054: :054: :054: :054:


6
ใกล้จะสิ้นปีแล้ว  สังคมชาวบอร์ดพี่น้องศิษย์วัดบางพระ มีสีสันและความมันหลายระดับ

ทั้งสาระ ข้อมูลความรู้  ข้อแนะนำสิ่งดีๆ ทั้ง หยอกเย้า โต้แย้ง  ได้ครบทุกรสจริงๆ

แต่สุดท้่าย ก็พี่น้องกันล่ะครับ แม้หลายท่านไม่ได้เคยพบเจอกันแต่ก็แบ่งปันความรู้สึกดีๆให้กัน มากกว่าคนเห็นหน้ากันจริงๆด้วยซ้ำ

ส่งท้ายปีเก่า ด้วยข้อสังเกต ที่อ่านแล้วต้องบอกว่า เออ.มันใช่นะ ..นี่ละ สังคมบอร์ด .. ชัดมากๆ  เลยละครับ พี่น้อง  :095: :095:

1. คนรู้เรื่องของคนที่เขาเกลียดดีกว่าคนที่รัก

2. คนชอบถามหาหลักฐาน แต่เวลาตัวเองอ้างมั่งไม่ค่อยจะมีหลักฐาน

3. เขียนยาวไปคนไม่อ่าน

4. เขียนสำนวนเคร่งขรึมคนก็ไม่อ่าน

5. ชาวเว็บไม่ชอบเรื่องซีเรียส ถึงเป็นเรื่องเครียดก็ต้องเขียนให้ฮา

6. ยอดคนคอมเมนต์แสดงความคิดเห็น เป็นเหมือนยอดภูเขาน้ำแข็ง

7. มีคนคอยตามอ่านเงียบๆมากมายที่ไม่โผล่ตัวออกมา

8. บางทีเรื่องที่เถียงกันไม่มีสาระอะไร แต่เถียงกันไปเพราะแค่อยากเอาชนะ

9. ปิดจอคอมไปนอนก่อนซะอาจจะดีกว่านั่งเถียงแบบอินเตอร์ แอ็คทีฟ

10. เกรียนปากดีตามเว็บบอร์ด พอเจอตัวจริงมักเจี๋ยมเจี้ยม

11. แต่คนอัธยาศัยดีในบอร์ด ตัวจริงก็อัธยาศัยดีเหมือนกัน

12. มนุษย์สายพันธุ์กูเกิลรู้ทุกเรื่อง แต่ถ้าคุยลึกๆจริงๆแล้วจะไม่รู้สักเรื่อง

13. แถมวิเคราะห์ วิจารณ์ ไม่ได้อีกตะหาก

14. เรื่องดราม่ามักจบลงด้วยคำว่า "ขอโทษ"

15. แต่ถ้ามีเรื่องครั้งใหม่ เรื่องเดิมก็จะถูกขุดโคตรเหง้าศักราชมายำต่อ

16. คำด่าในเว็บ โดยมากมักจะไม่ใช่คำด่าจริงๆที่คนพิมพ์กล้าพูดต่อหน้ า

17. คนด่าบางทีก็ลืมไปว่าตัวเองเคยด่าเรื่องอะไรไว้

18. แต่คนถูกด่ามักจะไม่ลืม

19. คอมเมนต์มักถูกชี้นำด้วยความคิดเห็นแรกเสมอ

20. โดยเฉพาะเว็บเด็กX และพันติ๊ปเฉลิมX

21. เวลาไพรม์ไทม์ในการตั้งกระทู้ คือ 17.00-22.00

22. แต่เวลาอัพบล็อกจะเป็น 9.00-12.00 และ 19.00-23.00

23. อยากดราม่าให้เริ่มประเด็นต่อไปนี้ การเมือง สถาบันการศึกษา ภาษา ศาสนา ความเชื่อ และ XXX

24. แล้วอีกไม่นานคุณก็จะได้พาดหัวขึ้นดราม่าแอดดิคต์เอง

25. อีกวิธีคือไปหาเรื่องเมมเบอร์ดังๆ

26. เกือบทุกความคิดเห็นพร้อมจะเปลี่ยนข้างเมื่อกระแสเปลี่ยน

27. ทั้งที่ข้อเท็จจริงมันไม่เปลี่ยน

28. คนที่ไม่เปลี่ยนข้างมีสองกรณี คือเกรียน กับ มั่นใจ

29. ซึ่งทั้งสองประเภทแยกออกได้จากลักษณะการใช้คำ

30. คนตั้งกระทู้/เขียนบล็อกมีสามแบบ

31. หนึ่งคือเขียนแล้วทิ้ง กลับมาดูแต่ไม่ให้ความเห็นตอบ

32. สองคือตะบี้ตะบันขยันตอบมันทุกคอมเมนต์ ไม่ว่าจะเป็นคอมเมนต์หาเรื่องหรือคอมเมนต์ดีๆ


33. สามคือเลือกตอบเฉพาะคอมเมนต์ที่พอใจจะตอบหรือมีสาระพ อจะตอบ

34. หลายคนอ่านแค่หัวเรื่องแล้วพิมพ์ตอบเลย

35. ซึ่งทำให้เกิดดราม่าหรือเรื่องฮา ขึ้นอยู่กับความซีเรียสของเนื้อหาและคำตอบ

36. แต่หลายคนอ่านจนครบแล้วก็ยังตอบไม่เข้าเรื่อง

37. เรียกว่าอ่านหนังสือไม่แตก เป็นปัญหาของระบบการศึกษาภาษาไทย

38. ทำให้เกิดดราม่ามากมาย หาได้ตามเว็บบอร์ดทั่วไป

39. การเถียงกันบนกระทู้สาธารณะ ไม่ร้ายเท่าการถูกส่งเมล์ด่า เอ็มเอสเอ็นด่า หรือหนักสุดคือโทรตามด่า

40. กรณีดังกล่าวถือว่าเป็นโรคจิตคุกคาม คนที่เคยโดนควรแจ้งตำรวจลงบันทึกประจำวัน

41. อย่าปล่อยให้คนโรคจิตบนเน็ตลอยนวล

42. คนที่อ้างว่าเป็นกลาง ไม่เคยเป็นกลางจริงๆ

43. บางทีคนเลือกข้างยังเป็นกลางกว่า

44. อำนาจโฟโต้ช็อปเหนือทุกสิ่ง

45. แต่ที่เหนือกว่าคือ ICT

46. เพราะประเทศนี้มีระบบกรองข้อมูลจากต่างประเทศระดับสู งที่มีเพียงสามประเทศในโลก

47. ซึ่งอีกสองประเทศคือจีนแดง และเกาหลีเหนือ

48. อย่าซีเรียสกับเรื่องทุกเรื่องที่เกิดขึ้นบนสังคมอิน เตอร์เน็ต

49. สุดท้ายแล้วเราก็ต้องทำงานหาเงินมาจ่ายค่าไฟ-ค่าเน็ตเองอยู่ดี


ขำๆ ครับ เดี๋ยวก็จะปีใหม่แล้ว  เฮงๆ รวยๆ กันทุกท่านนะครับพี่น้อง

เนื้อหาแบบนี้ อ้างอิงจาก FW mail  แน่นอนละครับ
:095: :095:

7

ไปเจอเรื่องราวดีๆ มาครับ  นำมาฝากให้ลองอ่านกันดู

บางครั้งเราก็หลงลืม จนมีคำพูดว่า  รู้ตัวเมื่อสายไปแล้ว ...






































ที่มา ...forward mail ขอบคุณพี่เอก... ที่ส่งเมล์ ดีๆ มาให้ ครับผม

8
นายวรวิทย์ ตันวุฒิบัณฑิต ปราชญ์ ภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านดาราศาสตร์ไทยกล่าวว่า 17-18 พฤศจิกายน 2552
จะมีปรากฏการณ์ดาราศาสตร์ครั้งสำคัญที่ชาวไทยเคยประทับใจมาแล้วเมื่อปี 2541-2544
คือในคืนวันที่ 17 ต่อเนื่องวันที่ 18 พฤศจิกายน 2552
จะเกิดปรากฏการณ์ฝนดาวตกจากกลุ่มดาวสิงโตหรือฝนดาวตกเลโอนิคส์
ที่นักดาราศาสตร์ทั้งหลายคาดว่าจะมีประมาณ 100-150 ดวงต่อชั่วโมง

ทั้งนี้ จะเห็นได้ชัดตามพื้นที่ไม่มีแสงสว่างรบกวนสายตา เช่น นอกตัวเมืองที่ไม่มีแสงจากอาคารบ้านเรือนส่องสว่าง
ในครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งสำคัญอีกปีหนึ่งเพราะเป็นเวลาที่ดาวหางที่โคจร
ทิ้งอุกกาบาตไว้และการร่วงหล่นสู่บรรยากาศโลกจะเกิดเสียดสีจนเห็นแสงไฟสว่าง ดังที่เคยเกิดขึ้นในปี พ.ศ.2541
หรือเมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา

นายวรวิทย์ กล่าวอีกว่า ฝนดาวตก ลีโอนิคส์ ปี พ.ศ. 2552 (2009) นี้ เวลาตก Peak (โลกปะทะดาวตก)สูงสุด
ตามเวลาในประเทศไทยมีสองช่วงคือเวลา4 นาฬิกา 43 นาที และ 4 นาฬิกา 50 นาที ของคืนวันที่ 17 พฤศจิกายน
ต่อเช้ามืดวันที่ 18 พฤศจิกายน 2552 ซึ่งตรงกับแรม 13 ค่ำ ขณะ Peak สูงสุดช่วงแรกโลกโคจรเข้าไปในกลุ่มฝุ่นของดาวหาง Tempel-Tuttle ที่ทิ้งไว้เมื่อปี ค.ศ. 1466 เวลา 4 นาฬิกา43 นาที

ช่วงที่สองโลกโคจรเข้าไปในกลุ่มฝุ่นของดาวหาง Tempel-Tuttle ที่ทิ้งไว้เมื่อปี ค.ศ. 1533 เวลา 4 นาฬิกา50 นาที
ทั้งสองช่วงมีระยะเวลาใกล้กัน ซึ่งคาดกันว่าน่าจะมีฝนดาวตกมากกว่า100 ดวง ต่อชั่วโมง
ประเทศที่เห็นได้ดีคือประเทศแถวเอเชีย ตะวันออก ไทย จีน พม่า อินเดีย ปากีสถาน ฯลฯ

ที่มา http://www.bangkokbiznews.com/



คนเมืองคงเห็นไม่สวยเท่าในส่วนภูมิภาค  ลุ้นกันครับ 
:095: :095: :095:

9
เป็นเรื่องราวของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) วัดระฆังฯ  ครับ

เมื่อครั้งสมัยที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯเป็นสมภารวัด ระฆังฯนั้น ปรากฏว่ามีพระเณรประพฤติล่วงพระวินัย
ท่านก็ไม่กล่าวห้ามปรามหรือลงโทษทัณฑ์แต่อย่างไร
ท่านใช้วิธีทำให้ผู้ทำผิดเกิดความละอายทีหลังก็ไม่กล้าทำอีก


ครั้งหนึ่งพระ 2 รูปทะเลาะกัน ทุ่มเถียงกันที่หน้าวัด เสียงเถียงกันดังลั่นไปหมด
เถียงกันไปเถียงกันมากลายเป็นท้าชก เมื่อถูกท้าอีกองค์ก็บอก


"พ่อไม่กลัว"

"พ่อก็ไม่กลัว"


พระจะชกต่อยกันเสียแล้วล่ะครับ

เจ้าประคุณสมเด็จฯ โต ได้ยินเสียงเอะอะอย่างนั้น

ก็เอาดอกไม้ ธูปเทียนเข้าไปหาพระที่เถียงกันนั้น นั่งประนมมือพูดว่า


"พ่อเจ้าประคุณ ฉันขอฝากเนื้อฝากตัวกับพ่อด้วย ฉันเห็นแล้วว่าพ่อเจ้าประคุณเก่งนัก นึกว่าเอ็นดูฉันเถิดพ่อคุณ"

พระ ๒ รูปนั้น ได้ฟังต่างก็แยกย้ายกันกลับกุฏิ
ต่อมาเกิดความละอายและเสียใจได้เข้าไปกราบ ทำปฏิญาณกับท่านว่า จะไม่ประพฤติเช่นนั้นอีกต่อไป



คราวหนึ่งท่านไปธุระกับนายเทศ ขณะเดินผ่านหลังโบสถ์ พบว่าพระกลุ่มหนึ่งกำลังเตะตะกร้อกัน

ท่านเอาพัดด้ามจิ๋วคลี่ออก แล้วยกขึ้นบังหน้า ทำเป็นทีว่าไม่เห็น นายเทศถามว่า "ทำไมท่านจึงไม่ห้าม"


ท่านตอบว่า "ถึงเวลาเลิก เขาเลิกกันเองแหละ ถ้าไม่ถึงเวลาเลิก แม้เราจะห้าม เขาก็ไม่เลิก"


ต่อมาพระเหล่านั้นเตะตะกร้อกันอีก คราวนี้ท่านให้ไปตามพระเหล่านั้นมา

ฉันน้ำร้อนน้ำชาผสมน้ำตาลทราย แล้วถามเป็นทำนองอยากรู้ว่า


การเตะตะกร้อนี่ต้องฝึกหัดกันนานไหม

ลูกข้างลูกหลัง อันไหนเตะยากกว่ากันอย่างไร

พระเหล่านั้นรู้เจตนาของท่าน เกิดความละอาย ต่างก็เลิกไม่เตะตะกร้อกันแต่นั้นมา



นำมาฝากให้อ่านเพลินๆ ครับ  เรื่องของพระ พระท่านมีกุศโลบายแก้ไขในหมู่ของท่านเอง

สมเด็จฯ โต ท่านทรงภูมิธรรมขั้นไหน ท่านก็ยังไม่ข่มหรือใช้อำนาจกับพระผู้น้อยเลยครับ

พระคุณมัดใจคนได้มากกว่าพระเดช  ครับผม   


ขอบคุณที่มาของข้อมูล http://board.palungjit.com.html

10


เวลาที่ไปกราบหลวงปู่ หลวงพ่อ ที่มีอายุมาก หลายท่านคงจะคุ้นตากับภาพการฉันหมาก-พลู หรือเคี้ยวหมาก เคี้ยวพลู กันประจำ

พระสมัยก่อน จะนิยมฉันหมากพลูกันแทบทั้งนั้น   ว่ากันว่า เป็นเภสัชหรือยา ในตัว

มาถึงวันนี้จะหลงเหลือให้เห็นภาพบ้างก็ต้องเป็นพระที่น่าจะมีอายุเกิน ๗๐  ปีขึ้นไป

สำหรับชานหมาก แต่เดิมนั้นจริงๆ แล้วก็คือ  เปลือกของผลหมากที่ติดกับเนื้อใน  เวลาที่ฉันกับใบพลู ที่ทาปูนแดงแล้ว จะเคี้ยวไม่ได้ไม่ละเอียด แค่พอแหลกๆ  ประมาณๆ ชานอ้อย ละครับ

แต่สำหรับพระเกจิอาจารย์ที่อายุมากจริงๆ ลูกศิษย์ที่คอยปรนนิบัติ ก็จะเลือกเฟ้นแต่เนื้อหมากที่นิ่ม ให้เท่านั้น
ชานหมากจึงมีความเหลว แล้วไม่จับตัวเป็นก้อน เท่ากับชานหมาก ที่เคี้ยวจนเหลือแต่ชานจริงๆ


ชานหมาก ถือเป็นของดี หรือเป็นเครื่องรางอย่างหนึ่ง  เพราะก่อนที่ครูบาอาจารย์จะฉัน ก็ต้องเสกเป่า อาพัดหมากพลู เสียก่อน

โดยทั่วไปก็จะภาวนาบทพิจารณาเภสัชก่อนฉัน  จากนั้นถ้าจะมีคาถาอาคม อะไรก็เสกเพิ่มเติมเข้าไปอีก

โดยทั่วไป ก็จะเป็นบทคาถาใน อิติปิโสรัตนมาลา ห้อง
ปิฯ (ปิโยเทวะมนุสสานัง…………….ฯ)
หรือไม่ก็ห้อง บท ที่ขึ้นต้นแล้ว โตฯ ( โตเสนโตวะระธัมเมนะ….ฯ)


จากนั้นก็เป็นคาถาเฉพาะสำนักของแต่ละหลวงพ่อ หลวงปู่จะเสกลงไปตามที่ท่านร่ำเรียนมา

หลวงพ่อบางวัด  ถ้ามีคนไปเข้าไปกราบ เข้าไปคุย ถ้าหลวงพ่อหยิบหมากมาเคี้ยวเป็นอันไม่ได้ลุก  ถ้าหลวงพ่อไม่ลุกเสียก่อน
นัยว่า หมากที่เคย มีมนต์สะกดให้หลงใหล อยากคุยจนลืมเวลา ไม่มีอากาเบื่อหรือเร่งรีบให้เห็น

บางแห่งที่เคยเห็น คือ ท่านจะเสกหมากพลูก่อนฉัน พอเคี้ยวเข้าปากก็ภาวนาคาถาจนสำเร็จ 
ท่านก็จะคายให้กับลูกศิษย์ที่เป็นเด็กรุ่นกระทง  ประสบการณ์กันหมา กันเขี้ยวงา ชงัดนัก

ขานหมากจึงเป็นของดี ที่ผู้นำมาถวาย คือ ศิษย์ นำมาถวายด้วยความเคารพรักในหลวงพ่อ หลวงปู่นั้นๆ
อีกทั้งครูบาอาจารย์ก็เสก ภาวนาก่อนจะเคี้ยว พอเคี้ยวหมากไป คุยไป ก็มีแต่เรื่องดีๆ ให้ศีล ให้พร เป็นมงคลทั้งนั้น
ยิ่งถ้าหลวงพ่อภาวนาเสกให้ด้วยแล้ว  ถือเป็นความเมตตาให้ของดีกันเลยทีเดียว

เคยได้กราบเรียนถามหลวงพ่อ หลวงปู่ หลายๆ รูป ว่า ชานหมากดีอย่างไร   

ท่านก็ตอบยิ้มๆ  ว่า หมาก กินแล้วมันติด   เคี้ยวเพลิน   เมตตาดีนัก ..




บางเกจิอาจารย์เมตตาเล่าให้ฟังว่า ชานหมากดีทางเหนียว เขี้ยวงาไม่ได้กิน   
แล้วแต่ว่าหลวงพ่อ หลวงปู่รูปนั้นๆ ท่านจะเก่งหรือมีวิชาทางไหน  ใช้ได้ทุกทาง  แต่ถ้าจะเด่นก็เมตตามหานิยม
สำหรับชานหมาก ของพระคณาจารย์ที่นิยมแจกให้ ชานหมากกับศิษย์  ที่มีชื่อเสียง ก็หลายรูป หลายสำนัก

อาทิ  หลวงพ่อทบ วัดชนแดน  ชานหมากท่าน ดีทางแคล้วคลาด ปลอดภัย
หลวงพ่อเกตุ วัดเกาะหลัก  เป็นเมตตา ด้วย มหาอุตม์ด้วย
ชานหมากหลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุนนาค   หลวงปู่เมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา หลวงพ่อพูน วัดบ้านแพน

และรู้จักกันดี ก็คือ ชานหมาก ของหลวงปู่ทิม วัดพระขาว

เคล็ดลับความเป็นเมตตาของชานหมากทั้งหมดนั้น
คือ  หลวงพ่อเมตตาเสกให้  แล้วเคี้ยวเสกอีกที ก่อนจะคายมาให้ไว้บูชา
และถ้าจะให้ขลังชนิด พูดแล้วคนหลง คนรัก ก็มีเคล็ดการหาหมาพลู มาให้ถวายท่านอีกเช่นกัน
อย่างหลวงปู่อั้น วัดโรงโค เอง ท่านก็มีของดีเกี่ยวกับใบไม้หรือ หมากพลู ด้วยเช่นกัน
ส่วนวิธีหาหมากพลูให้เป็นของดีทางเมตตานั้น  เป็นสิ่งที่แต่ละท่านที่ทราบไม่ค่อยจะบอกกล่าวกันแพร่หลาย
แต่ที่เห็นๆ มา คือ  สั่งได้ ตามปากจริงๆ ครับ


ประสบการณ์แบบนี้ คนมี คนใช้เป็น จะทราบกันดี     นำมาบอกเล่าเป็นของฝากกันครับพี่น้อง

ใครมีประสบการณ์เรื่องชานหมาก เรียนเชิญมาบอกเล่า แบ่งปันกันนะครับ

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่าน ครับผม


11






แท่งเหล็กเก่าคร่ำคร่า ที่เห็นในรูป ลักษณะคล้ายตะปูเก่า นั้น  เป็นของดีแต่โบราณมาแล้วครับ  เรียกกันว่า ตะปูสังฆวานร

ตะปูสังขวานร นั้น  นับเป็นวัตถุมีดีในตัวเครื่องรางกันภูตผี

ในอดีตเกจิอาจารย์ผู้มีวิชาอาคาแก่กล้า เมื่อต้องการจะทำหารสร้างมีดหมอ หรืออาวุธใดๆ

ที่ใช้ในการป้องกันภูตผีปีศาจ หรือคุณไสยต่างๆ สิ่งที่จะขาดมิได้เลยก็คือตะปูสังขวานรครับ

เนื่องจากมีอานุภาพในการป้องกันภูตผี คุณไสยต่างๆ สิ่งอัปมงคลทั้งหลาย ได้ผลชัดเจน




ตะปูสังฆวานร คือ อะไร ?

ตะปูสังฆวานร หรือที่เรียกกันว่า ชินสังฆวานร เดิมเป็นวัสดุที่สร้างขึ้นจากโลหะผสมตระกูลดีบุก

ซึ่งอาจจะมีตัวโลหะเจือที่เป็นกลุ่มของสังกะสี ตะกั่ว ปรอทและอื่นๆ นำมาใช้ประโยชน์เป็นตัวยึดโครงสร้างไม้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโครงสร้างของวัด หรือปราสาทราชวัง

       

ในสมัยอยุธยายังไม่มีตะปูหรือน๊อตในการสร้างโบสถ์ วิหาร สมัยนั้นจึงใช้ชินเขียวทำเป็นตะปู 
นำมาเป็นตัวตอกสลัก โดยเทและทำเป็นแท่งกลม แท่งเหลี่ยม ปลายแหลม เรียกว่า ตะปูสังฆวานร 
ใช้ตอกยึดเสนานะและถาวรวัตุในวัด


ตลอดอายุการใช้งานอันยาวนาน ตะปูสังฆวานรได้ผ่านศาสนพิธีการสวดมนต์ ทำวัตรเช้า-เย็น 
สวดพระปาติโมกข์ และการสวดญัตติเวลาที่มีการบวชพระ
อีกทั้งหลวงพ่อ หลวงปู่ ในสมัยนั้นก็มักจะนิยมปลุกเสกวัตถุมงคลในโบสถ์สม่ำเสมอ
เมื่อเสนานะโบสถ์ วิหาร ชำรุด ปรักหักพังลง โบราณจารย์ผู้ชาญฉลาดเล็งเห็นว่า
ตะปูสังฆวานร นั้นได้ผ่านกาลเวลา และผ่านการปลุกเสกตลอดมา รวมถึง ได้ผ่านพิธีการทางสงฆ์ต่างๆ มาเป็นระยะเวลายาวนาน
จึงเชื่อว่าน่าจะเต็มไปด้วยพลังพุทธคุณต่างๆ นั่นเอง จึงได้นำมาหลอมละลายเพื่อผสมผสานในการสร้างพระเนื้อชิน
ยิ่งไปกว่านั้นท่านยังนิยมนำมาตอกสะกดภูติผีปีศาจได้ผลยิ่งนัก  ต่อมาจึงใช้เป็นส่วนผสมในการสร้างมีดหมอหรือมีดอาคมต่างๆ
เนื่องจากสมัยก่อนไม่นิยมนำของวัดเข้าบ้านโดยตรง
ต้องแปรสภาพหรือสร้างขึ้นใหม่เสียก่อน เป็นมีดหมอหรือพระเครื่องเนื้อชิน จึงจะสบายใจกัน
ทุกวันนี้ ถ้าใครมีไว้ติดตัว ติดบ้าน ก็มั่นใจได้ว่า มีของดี ที่ทรงคุณค่าและอานุภาพในตัวพร้อมสรรพ ทีเดียวครับ



ภาคผนวก….
ความเป็นมาของ "สังขวานร" หรือ "สังฆวานร"


เกิดจากพญาวานรตนหนึ่งซึ่งลงมาจุติเกิดในภพภูมิของมนุษย์ แล้วเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา
แต่ก็ยังมิวายที่จะติดใจหลงไหลในฤทธิ์อำนาจของตนเองที่ติดตัวมาตั้งแต่ อดีตชาติ

เมื่อเข้ามาบวชเรียนแล้ว พญาวานรก็ยังชอบที่จะใช้ฤทธิ์ใช้อำนาจที่มีอยู่เดิม
ในการเหาะเหิรเดินอากาศเพื่อที่จะไปเก็บรวบรวมเหล็กไหลธาตุ(สีขาวนวล) ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศธาตุ
ซึ่งมิได้ถูกเทพ-เทวาอัญเชิญไปเป็นฐานพระเกตุแก้ว จุฬามณี(ฐานของพระเกตุแก้วจุฬามณีเป็นวัชรธาตุ)

เมื่อเก็บรวบรวมเหล็กไหลธาตุได้ตามต้องการแล้ว พญาวานรก็นำไปหลอมละลายเข้ากับเงินยวง หรือเงินบริสุทธิ์
แล้วทำการประจุพลังปลุกเสกอริยธาตุขึ้นมาใหม่ เพื่อให้มีฤทธิ์มีอำนาจตามที่พญาวานรต้องการ
จากนั้นจึงนำไปเก็บไว้ในถ้ำลึกที่ตนอาศัยอยู่เพื่อใช้ในการทดสอบฌานสมาบัติ และฤทธิ์อำนาจของตัวเอง

ความติดในฤทธิ์อำนาจจึงทำให้พญาวานรไม่เจริญก้าวหน้าในทางธรรม
เพราะมัวแต่หลงไหลยึดมั่นถือมั่นในฤทธิ์อำนาจ เมื่อถึงเวลาธาตุ 4 ขันธ์ 5 ของพญาวานรแตกดับไป
แต่ด้วยจิตที่ผูกพันหวงแหนในธาตุกายสิทธิ์ที่ตัวเองสร้างขึ้นมา ทำให้จิตวิญญาณของพญาวานรติดตามไปดูแล
ธาตุกายสิทธิ์นั้นไม่ให้ได้ตกไปอยู่ในมือของหมู่มารที่มีอคติต่อพระพุทธศาสนา

ดังนั้นแร่สังฆวานรจึงเกิดจากเหล็กไหลขาวที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ ถูกนำมาหุงใหม่บวกกับฤทธิ์ฌานสมาบัติของพญาวานรเข้าไปรวมด้วย เราจึงเรียกธาตุกายสิทธิ์นี้ว่า "สังฆวานร" หรือบางคนก็เรียก "สังขวานร" โลหะชนิดนี้มีสีเงินยวง ขาวนวลกว่าเหล็กไหลขาวทั่วไป

เพราะสังฆวานรมีฤทธิ์อำนาจในการป้องกันศัตรูหมู่มารและภัยพิบัตินานา ประการ มิให้เข้ามากร้ำกรายลุกร้ำสถานที่นั้น ๆ ได้

โดยมีคาถากำกับเอาไว้ว่า "นะมะหะนุ วะลุสังหะ" จึงมีฤทธานุภาพเหมือนกับหนุมาน

แต่ที่แตกต่างกันก็คือธาตุกายสิทธิ์นี้มีบารมีธรรมขั้นสูงกำกับอยู่

นั่นคือมีบารมีธรรมของเหล่าอริยสงฆ์ที่ตั้งใจลงมาช่วยเหลือเกื้อกูลต่อพระ พุทธศาสนา ให้หลุดรอดจากเหล่าหมู่มารทั้งหลาย

บวกกับฤทธานุภาพของพญาวานร จึงทำให้แร่สังฆวานรนี้มีอานุภาพอย่างยิ่ง




ขอบคุณที่ติดตามอ่าน ครับ

ที่มาของข้อมูล
บทความของ คุณปรีชา เอี่ยมธรรม
พี่ metalman เวบร่มโพธิ์ไทร http://romphosai.com/forums/forum7/thread1792-2.html  ไว้ ณ ที่นี้ ครับ

12


ธงจระเข้ ..สัญลักษณ์ของการทอดกฐิน
      
            ระยะนี้ พี่น้อง หลายๆ ท่านคงได้ร่วมทอดกฐิน หรืออนุโมทนาบุญกฐินกันทั่วหน้า  ในการทอดกฐินแทบทุกวัด

โดยเฉพาะที่เป็นวัดราษฎร์   เครื่องกฐินและบริวารกฐิน มีมากมายหลากหลาย

แต่ที่เห็นจะขาดไม่ได้ คงเป็น  ผ้าห่มพระประธาน เทียนปาฎิโมกข์ และ ธงจระเข้-นางมัจฉา

โดยธรรมเนียมแล้วถ้าวัดไหน ขึ้นธงจระเข้ไว้ที่หน้าวัด ก็เป็นที่รู้กันว่า วัดนั้นได้มีการทอดกฐินแล้ว

สำหรับประวัติความเป็นมาของ ธงจระเข้ ก็มีตำนานความเป็นมาที่หลายๆ ท่าน คงพอจะทราบกันดี

ซึ่งก็แฝงไปด้วยแง่คิด คำสอนทางธรรมะ อย่างดีทีเดียว


ที่มาประการแรก เป็นเรื่องของการอาศัยดวงดาวในการเดินทางไปทอดกฐิน  นั้นก็คือว่า

สมัย โบราณ การเดินทางต้องอาศัย การดูทิศทางจากดวงดาว เช่น ในการ เคลื่อนขบวนทัพ ในตอนจวนสว่าง

ต้องอาศัยดาวจระเข้ ซึ่งขึ้นในช่วงนั้นพอดี

การ ทอดกฐินสมัยโบราณ เป็นงานใหญ่ มีภาระต้องจัดทำมาก บางที่ต้องไปทอด ณ วัดซึ่งอยู่ไกลบ้าน

ก็ต้อง อาศัยดูทิศทาง จากดาวจระเข้ ซึ่งพอขึ้นก็เริ่มเคลื่อนขบวนกฐิน จะได้ไปสว่างที่วัดพอดี  


ส่วน อีกตำนานหนึ่งนั้น มีนิทานโบราณว่า เศรษฐีผู้หนึ่งเป็นคนขี้เหนียว ไม่เคยคิดทำบุญสร้างกุศล

นำสมบัติ ไปฝังไว้ที่ท่าน้ำหน้าบ้าน ครั้นตายลงจึงไปเกิดเป็นจระเข้เฝ้าสมบัติของตน ได้รับความทุกขเวทนา

จึงไปเข้าฝัน ภรรยาให้มาขุดสมบัติ ไปทำบุญกุศล ภรรยาจึงจัดให้มีการทอดกฐินขึ้น

จระเข้เศรษฐีนั้นก็บังเกิดความยินดี ว่ายน้ำตามขบวนเรือแห่องค์กฐินไป

แต่ยังไม่ทันถึงวัดก็หมดแรง ไปต่อไม่ไหว จึงบอกภรรยาให้วาดรูปจระเข้ ใส่ในธงไปแทน



"คติความเชื่อเรื่องนี้ ถือว่า ตรงกับเรื่องบาปบุญทางพุทธศาสนา เตือนสติให้คนรู้จักเสียสละ ทำบุญบ้าง
เมื่อ ตายแล้ว หากยังหวงสมบัติอยู่ ก็จะเกิดเป็นสัตว์ มาเฝ้าสมบัติ
ตรงกับหลักธรรมที่ว่า


ตายด้วยความโลภ จะเกิดเป็นเปรต

ตายด้วยความโกรธจะตกนรก

ตายด้วยความหวง จะเกิดเป็นสัตว์เดรัชฉาน"

ที่มาของธงจระเข้ ก็มีมาประมาณนี้ละครับ


 :007:

เหตุผลความเชื่อ เรื่องธงจระเข้เป็นของดี หรือเป็นเครื่องรางทางค้าขาย  
ก็มีอิทธิพลความเชื่อว่า

การทอดกฐินเป็นของบริสุทธิ์  พระหรือวัดจะไปขอ ให้ใครมาทอดไม่ได้

ต้องมาเองด้วยความศรัทธาและบริสุทธิ์

และเวลามาก็มากันไม่ใช้น้อยๆ เรือนร้อย เรือนพัน คน อีกทั้งยังได้เงินเข้าวัดเป็นจำนวน แสน  จำนวนล้าน

หลายคนจึงเชื่อว่า ธงจระเข้ จะดึงดูดคนเข้าร้าน ทำมาค้าขายแบบซื้อง่าย ขายคล่อง มากันทั่วทุกทิศ


และจระเข้ในธง ก็หมายถึงเศรษฐีที่มีร่ำรวย จนขนาดต้องเอาทรัพย์สมบัติไปฝังไว้เลยทีเดียว

จะเรียกว่า ธงเศรษฐีก็ได้

ในแง่คิดที่เป็นคติสอนใจ ก็คงประมาณว่า รวยแล้วอย่างเหนียว  เดี๋ยวจะไปเกิดเป็นจระเข้

ถ้าจะเป็นเศรษฐี ก็ให้เป็นเศรษฐีใจบุญ  รู้จักแบ่งปันให้ผู้อื่นและส่วนรวมบ้าง ตามสมควร

ธงจระเข้จึงเป็นมากกว่าเครื่องรางที่จะดลบัลดาลให้แค่รวย  

แต่รวยอย่างมีคุณค่าและน่ารัก ด้วยละครับ












อ้างอิงข้อมูลจาก หนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม / สำนักพิมพ์สารคดี”

13


แวะผ่านไปไหว้พระกลางกรุง พบเห็นพระเครื่องออกให้บูชา  ชอบมุขผู้จัดสร้างครับ  เล่นเอาสาวๆ ที่มาไหว้พระแอบหัวเราะกัน คิกคัก

พระขุนแผน ซ้อน ขุนแผน  ของครูบาต้นบุญ    จ.ร้อยเอ็ด

ออกแนว เหนือเมฆนะครับ  :095: :095: :095:

14

    ไหนๆ ก็คุยเรื่องบริขารของพระท่าน ไปบ้างแล้ว  มาถึงตอนนี้ มาคุยกับเรื่องเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย กันบ้าง

    เรื่องแรก  คาถาลุยแหลก


   ได้รับคาถามาจากหลวงปู่รูปหนึ่ง ท่านให้เรียนคาถาไว้ป้องกันตัว  เป็นคาถา สู้และถอย

   คาถาสั้นมากครับ 

  ถ้าสู้ ให้ว่า  "เทวะ"


 ถ้าถอยให้ว่า "ยาวะ"

 คำว่า ยาวะเทวะ  นี้ ก็มาจาก บทพิจารณาจีวรของพระนั้นเอง

 มีหลักอยู่ว่า พระท่านเวลาจะนุ่งห่มจีวรจะหยิบมาแล้วนุ่งห่มเลยไม่ได้ ต้องพิจารณาก่อน ด้วยบทพิจารณาจีวร ที่ว่า

ปะฎิสังขา โยนิโส จีวะรัง ปะฎิเสวามิ
        เราย่อมพิจารณาโดยแยบคายแล้วนุ่งห่มจีวร

ยาวะเทวะ สีตัสสะ ปะฎิฆาตายะ
        เพียงเพื่อบำบัดความหนาว
อุณหัสสะ ปะฎิฆาตายะ
        เพียงเพื่อบำบัดความร้อน
ฑังสะมะกะสะวาตาตะปะสิริง สะปะสัมผัสสานัง ปะฎิฆาตายะ
        เพียงเพื่อบำบัดสัมผัสอันเกิดจาก เหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย

ยาวะเทวะ หิริโกปินะปะฎิจฉาทะนัตถัง
        และเพียงเพื่อปกปิดอวัยวะอันทำให้เกิดความละอาย


คำว่า ยาวะเทวะ ก็มาจากบทง่ายๆ แค่นี้

เหตุผลคือ คำพ้องเสียงครับ คาถาหลายๆบท อาศัยเคล็ดของคำ และเสียงที่เปล่งออกมา

เท = ใส่ เติม บวกเข้าไป  เทวะ คือ ลุย  ใส่ บวก เหนี่ยว

ยาวะ  ยา = อย่า, ไม่   คือ ไม่โดน, แคล้วคลาด ,หยุด, นะจังงัง


คาถานี้ ผมขอเพราะเห็น ผลงานของรุ่นพี่ๆ ในละแวกวัดที่ผมแวะเข้าไปกราบหลวงพ่อ

 ใช้กันทั้งรุกและรับได้ผล น่าชื่นใจ

แต่พี่ท่านทั้งหลายคงไม่ทราบความหมาย  ต่างท่องกันด้วยศรัทธาเชื่อมั่น จนเกินปาฎิหาริย์

เรื่องทั้งหมด มันก็เป็นจังซี่ ละ พี่น้อง   :095: :095: :095:



เรื่องที่สอง คาถาผีกลัว คาถามัดผี

หลวงพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า  เวลามีพระใหม่มาบวช หลายรูปกลัวผี   ท่านก็เลยให้คาถากันผี มัดผี ไป ว่า

อิมัสมิงอาวาเส  อิมัง เตมาสัง วัสสัง อุเปมิฯ


รับรองผีกลัว

เคล็ดของคาถานี้คือ อิ- มัด -สะ -หมิง ...ฯ  มีคำว่า มัส หรือ มัด   ผีกลัวไม่อยากถูกมัด ถูกจับ เลยไม่เข้ามาใกล้

พระใหม่ใสแบ๊ว ก็ท่องกันไปกันผี  หารู้ไม่ว่า คือ คำอธิษฐานพรรษา ที่แปลว่า "ข้าพเจ้าเข้าอยู่จำพรรษาตลอด ๓ เดือนในวัดนี้"

เกี่ยวอะไรกับผีด้วยเนี๊ย


เรื่องมันก็เป็นจั้งซี่ ละพี่้น้อง  :095: :095:




15
   
    สำหรับบริขารที่จะนำมาเล่าพอเพลินๆ ตอนนี้ ไม่ใช่บริขารหลัก ที่พระท่านเสกทุกวันหรอกครับ

   และก็มีเพียงศิษย์บางกลุ่มหรือคนที่นิยมเฉพาะกลุ่มเท่านั้น   แต่เห็นว่า มีเค้าเงื่อนที่น่ารักดี ก็เลยนำมาเล่าสู่กันฟังนะครับ



  คำว่า บริขารโจล  ทางพระท่านหมายถึง ผ้าที่ใช้สอยเล็กๆน้อยๆ มีก็ได้ ไม่มีก็ได้  ไม่ถือว่าผิดวินัยพระ

  ได้มาแล้ว จะพิจารณาหรือไม่พิจารณาก็ไม่ได้บังคับกะเกณฑ์อะไร

  บริขารโจล มีหลายอย่าง เช่น อังสะ(เสื้อพระหรือสไบ) ย่าม  ผ้ากรองน้ำ ผ้าปิดฝี  ผ้ากราบ ฯลฯ


  มีบริขารโจลที่น่าสนใจอยู่อย่างหนึ่ง นั้นก็คือ ผ้ากราบหรือผ้ารับประเคน


ผ้ากราบหรือผ้ารับประเคน พระท่านมีไว้เป็นผ้าใช้สอยทั่วไป ประเภท บริขารโจล

 เนื่องจากมีวินัยมิให้พระััรับของด้วยมือจากผู้หญิง  จึงต้องมีผ้าไว้คอยรับประเคนแทนรับด้วยมือ

 และผ้าชนิดนี้ พระหลวงพ่อยุคเก่าๆ ท่านเล่าว่า จะินิยมพกติดตัว ไว้ปปูกราบพระประธาน เวลาทำวัตร-สวดมนต์เป็นประจำ



 คนเราก็ช่างถือเคล็ดครับ  ขอจีวรได้แล้ว ขอรัดประคตได้แล้ว  งั้นขอผ้ารับประเคนหรือผ้ากราบหลวงพ่อต่างๆ มาด้วย

 เหตุผลคือเคล็ดหรือความเชื่อที่ว่า


 ผ้านี้ดี มีแต่รับอย่างเดียว มีแต่คนให้ คนรัก โดยเฉพาะสตรี (เพราะผ้าจะใช้รับประเคนจากผู้หญิงเท่านั้น)

 ผ้านี้ดีพระใช้กราบ มีไว้คนได้นับถือยำเกรง รักใคร่


 ยิ่งผืนไหนหลวงพ่อใช้ประจำๆ ละก็ขลังนัก  :095: :095: :095:

 บริขารโจล คือ ผ้ารับประเคนจึงเป็นที่เสาะหาของผู้คนที่อาชีพค้าขาย หรือพบปะผู้คน  คงเพื่อเสริมสร้างกำลังใจ



 คนเราพอใจดีแล้ว หน้าตาก็ยิ้มแย้ม ใสแบ๊ว จะทำงาน ทำการค้าก็อารมณ์ดี  ใครๆก็ติดใจครับ

 มีความเชื่อมั่นในฝีมือเรา มีของดีคอยหนุนกำลังใจ งานอะไรก็ลุย..ไม่ยั้ง  ผลคือ ความสำเร็จ

 ผ้าอาจะขลังแล้วคนมานับถือ หรือคนนับถือแล้วผ้าเลยครับ  ก็แล้วแต่จะคิดละครับ



  นำมาบอกเล่า พอเพลินๆ ครับ  :095: :095: :095:


16


ในบรรดาบริขารของพระที่ ลูกศิษย์ลูกหาอยากได้ไว้ครอบครองบูชาอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ จีวร

ยิ่งเป็นจีวรที่ใช้จนเก่าซีด ยิ่งเป็นที่หมายปองของบรรดาลูกศิษย์ที่เคารพนับถือ

ถ้าถามว่า จีวร มีดีอย่างไร หรือมีความหมายอย่างไร ถึงอยากได้มาบูชากัน

มองกันแบบผิวเผิน หรือพื้นๆ ก็พอจะมองเห็นกันว่า

เพราะจีวรเป็นเสมือนตัวแทนของหลวงพ่อรูปนั้นๆ

จีวรเป็นธงชัยของเหล่าพระอรหันต์

เป็นเครื่องหมายของผู้ไม่มีเวร ไม่มีภัย ไม่เบียดเบียนผู้ใด





แต่ถ้าเรามองให้ลึกลงไปอีกขั้น ก็จะเห็นคุณค่าและความหมายที่ซ่อนอยู่อีกมากมายครับ  นันก็คือ

จีวรของพระนั้นเป็นของที่บริสุทธิ์ จะไปเลียบเคียง ขอหรือบอกให้เขาซื้อมาให้ย่อมไม่ได้

ถ้าไปทำแบบนั้นก็ผิดวินัยอีก

จะต้องมีผู้ศรัทธาถวายมาให้เอง หรือพระท่านไปชักบังสุกุลมาจากป่าหรือซากศพ(ในปัจจุบัน คือ ชักบังสุกุลในงานศพ)

พอมีผู้ถวายแล้วขณะรับก็ต้องภาวนา บริกรรม บทพิจารณา ธาตุปฎิกูล

ไ้ด้มาแล้วก็ต้องมา ภวานาอธิษฐานไว้ใช้ จะใช้ก็ต้องภาวนากำหนดจุดพิืนทุทำให้ของมีตำหนิก่อน

เวลาจะห่มแต่ละครั้งก็ต้องพิจารณาภาวนา อีกขั้น ด้วยบทที่มีความหมายลึกซึ้งว่า


ปะฎิสังขา โยนิโส จีวะรัง ปะฎิเสวามิ
        เราย่อมพิจารณาโดยแยบคายแล้วนุ่งห่มจีวร
ยาวะเทวะ สีตัสสะ ปะฎิฆาตายะ
        เพียงเพื่อบำบัดความหนาว
อุณหัสสะ ปะฎิฆาตายะ
        เพียงเพื่อบำบัดความร้อน
ฑังสะมะกะสะวาตาตะปะสิริง สะปะสัมผัสสานัง ปะฎิฆาตายะ
        เพียงเพื่อบำบัดสัมผัสอันเกิดจาก เหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย
ยาวะเทวะ หิริโกปินะปะฎิจฉาทะนัตถัง
        และเพียงเพื่อปกปิดอวัยวะอันทำให้เกิดความละอาย

ทั้งนี้เพื่อฝึกสติและป้องกันไม่ให้ใช้จีวรด้วยความหลงมัวเมา

เรียกว่า จีวรหนึ่งผืนพระท่านภาวนากำกับไว้ตั้งแต่วินาที ที่ัรับมา และทุกวัน ทุกครั้งที่ท่านหยิบมาห่ม

และที่สำคัญที่สุด คือ ตรงนี้ครับ

ผ้าทั้ง ๓ ผืนของพระท่าน คือ สังฆาฎิ (ผ้าพาดบ่า) จีวร (ผ้าห่มคลุมกาย) สบง (ผ้านุ่ง)

เวลาที่ท่านจะห่มหรือจะถอด โดยเฉพาะผ้าครองหรือผ้าผืนหลักที่ต้องครองทุกเช้า  พระทุกรูปต้องภาวนาคาถาต่อไปนี้


ห่มหรือถอดสังฆาฎิ ครอง  ภาวนาว่า "สัง วิ ธา ปุ กะ ยะ ปะฯ" (หัวใจพระอภิธรรม)

ห่มหรือถอดจีวรครอง ภาวนาว่า "ฑี มะ สัง อัง ขุฯ" (หัวใจพระสูตร)

ห่มหรือถอดสบงครองภาวนาว่า " อา ปา มะ จุ ปะฯ" (หัวใจพระวินัย)

ซึ่งทั้ง ๓ บท รวมแล้วก็คือ พระไตรปิฎก นั้นเอง

คาถาหัวใจพระอภิธรรม พระสูตร และพระวินัยนั้น ก็มีอยู่ในคำบูชารอยสักของวัดบางพระ ที่พิมพ์แจก แผ่นสีชมพู (สีขาวในปัจจุบัน)

ซึ่งถือกันว่า เป็นคาถาที่มีอุปเทห์ สรรพคุณ ครบทุกด้านอย่างมากมายทีเดียว


ดังนั้นจีวรที่พระท่านห่ม ท่านใช้ทุกผืน จึงบรรจุพลังของคาถาหัวใจทั้ง ๓ นี้ไว้เต็มเปี่ยม

เคยได้กราบเรียนถามหลวงพ่อที่มีอายุพรรษามากๆ หลายรูป

ท่านบอกว่า ต้องภาวนาทุกครั้งละ ทั้งพระใหม่พระเก่า เพราะเป็นกิจวัตรของพระ

ด้วยเหตุนี้ ผ้าจีวรของพระนั้น คนไทยเราจึงเชื่อมั่นว่า เป็นของดี ของขลัง

เพราะผ่านการอธิษฐานจิตทุกวัน ๆ กว่าจะเปลี่ยนจีวรกันที อธิษฐานไปนับครั้งไม่ถ้วน

ยิ่งเป็นจีวรเก่าคร่ำคร่า ยิ่งเป็นที่แสวงหากันมากมาย

ปัจจุบันเราจึงเห็นว่า จีวรของหลวงพ่อหลายๆ รูป ถูกนำมาตัดเป็นชิ้นเล็กๆ และบรรจุไว้ด้านหลังพระเครื่อง กันหลายสำนัก

ผ้าจีวร จึงเป็นของดี ของบริสุทธิ์ที่พระท่านเสกเป่าด้วยจิตบริสุทธิ์ ทำถวายพระวินัยและพระพุทธเจ้าโดยแท้

จึงไม่น่าแปลกใจที่ หลายคนชอบที่บูชาจีวรหรือพระเครื่องที่บรรจุจีวรไว้ติดตัวเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต สืบไป










17
           
   

       เห็นว่า ระยะนี้เป็นเทศกาลทอดกฐิน ตั้งแต่ แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ จนถึง ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒  นับแล้วก็ ๑ เดือนครับ
แต่สังคมปัจจุบันดูเหมือน วันทอกกฐิน จะมีแค่ ๔ วันครับ  คือ ทุกวันอาทิตย์ เท่านั้น

          ช่วงเวลาแห่งการทอดกฐิน ก็เป็นเวลาที่พระสงฆ์ท่านจะได้ผลัดเปลี่ยนจีวรกันปีหนึ่ง รวมทั้งอัฐบริขาร ทั้ง ๘ อย่าง
คำว่าบริขาร ก็คือ ของใช้หรือเครื่องใช้ของพระท่าน  มีผ้า ๔ เหล็ก ๓ น้ำ ๑   แต่ ณ จุดนี้ จะคุยกันถึงเรื่องของรัดประคตครับ

   

       ในบรรดาพระเครื่องและเครื่องราง-ของขลังที่คนไทยเรานับถือบูชาติดตัว ติดบ้าน เพื่อเป็นสิริมงคลและกำลังใจนั้น
นอกจากพระเครื่องต่างๆ และเครื่องรางประเภท ตะกรุด ประเจียด พิสมร ผ้ายันต์  ..ฯลฯ
คงมีพี่น้องหลายๆ ท่านสังเกตเห็นว่า บางท่านนิยมจะเก็บหรือขอ รัดประคตของพระเกจิอาจารย์
นำมาเป็นเครื่องราง ของดีติดตัว


 
รัดประคตนั้น คือ แถบผ้ายาวประมาณ ๒-๓ เมตร ลักษณะคล้ายๆ เข็มขัดผ้า ที่พระท่านจะใช้คาดรัดเวลานุ่งผ้าสบง
ยิ่งเป็นของหลวงพ่อ พระเกจิอาจารย์ บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายยิ่งอยากได้ ไว้บูชา





        ถ้าจะถามว่า รัดประคต ดีอย่างไร  ?

เหตุผลน่าจะมาจาก วัตรปฎิบัติของพระภิกษุเวลาจะ ผูกรัดประคตหรือขณะที่นำรัดประคตมาคาดผูกที่เอว

จะต้องภาวนาว่า
“อิมัง กายะพันธะนัง อธิษฐามิฯ” จุดประสงค์ก็เพื่อฝึกสติสัมปชัญญะให้ รู้ตัวทุกขณะที่ใช้บริขาร

ซึ่งคำภาวนาของพระสงฆ์ที่ท่านใช้เวลาคาดรัดประคต ก็ได้กลายมาเป็นคาถา คาดตะกรุด  ที่ใช้กันอยู่แทบทุกสำนัก[/b]


เพียงแต่รัดประคตของพระนั้น พระท่านต้องภาวนาทุกครั้งอย่างตั้งใจ ในเวลาที่คาดรัดประคต
หลายคนจึงมีความรู้สึกว่า รัดประคตนี้ได้ผ่านจิตภาวนามาทุกเช้าค่ำ ทุกครั้งที่พระท่านใช้คาด


แค่รัดประคตพระทั่วๆ ไป  คนสมัยก่อนเชื่อกันว่า เป็นของดีที่ใช้คุ้มครองป้องกันตัวได้หายห่วง


โดยเฉพาะที่เด่นที่สุด เห็นจะเป็น คำที่ว่า  ผีกลัวรัดประคตพระ  เดี๋ยวจะถูกมัด ถูกตรึงไว้ 

และถ้าเป็นรัดประคตของพระเกจิอาจารย์ หลวงปู่ หลวงพ่อด้วยแล้ว ยิ่งมั่นใจในการภาวนากำกับของท่าน
หลวงพ่อบางรูปท่านก็มีคาถาเฉพาะของท่านที่จะเสกเป่าลงไป ขณะคาดรัดประคต   
จุดนี้แล้วแต่ศิษย์ของแต่ละสำนักจะทราบกันว่า ท่านใช้คาถาอะไรประจำตัวท่าน
การที่ ท่านต้องภาวนาทุกครั้งที่ใช้ มาเป็นเวลาหลายปี กว่าจะเปลี่ยนซักทีหนึ่ง


           
บริขารของพระชนิดนี้จึงเป็นของดี ของขลังที่มีลักษณะเฉพาะแบบนี้  มีน้อยครับ 
                   หลวงพ่อท่านจะใช้จนเก่าซักกี่เส้นกันในช่วงชีวิตแต่ละท่าน
                ใครมีไว้ครอบครองบูชา คงปลื้มใจและหวงแหนไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว


18


ปรอทกรอ

จริงๆแล้วเป็นของดีที่วัดหนึ่งวัดจะมีอยู่ลูกเดียวคือฝังไว้ที่ใต้ฐานพระอุโบสถ ขนาดมีหลายขนาดครับ

วัตถุประสงค์ก็เพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้ายและสิ่งอัปมงคลทั้งปวงที่เข้ามารวมทั้งโจรผู้ร้ายเมื่อเขามาปรอทก็จะส่งเสียงดัง

ภายในลูกปรอทกรอนั้นว่ากันว่าเป็นของวิเศษกายสิทธิ์จำพวกเหล็กไหล หรือเรียกปรอท

ที่พระอาจารย์ผู้เรืองวิทยาคมได้เอามาใส่ไว้โดยนำเอามาหุงและหล่อเป็นลูกปรอทกายสิทธิ์

เวลาเขย่าจะคล้ายมีกริ่งอยู่ข้างในปรอทกรอเท่าที่พบก็จะอยู่ตามวัดเก่า ที่เขาไปบูรณะหรือเป็นของตกทอดมาจากบรรพบุรุษ


บางลูกแม้เพียงจับปรอทภายในก็วิ่งเองได้ เสียงดัง กรอดดดด...กรอดดดด...เพียงแค่สัมผัสโดนนิดเดียว

น่าทึ่งมากๆครับ คนโบราณท่านสร้างได้อย่างไร?..
:074: :074: :074: :074:

ต่อมาพระอาจารย์จึงได้นำมาสร้างเป็นเครื่องรางเรียกว่า ปรอทกรอเมื่อมีภัยมาถึงจะส่งเสียงเตือน ให้รู้ล่วงหน้า

เลยมาให้กันดูเล่าสู่กันฟังตามประสา ผู้นิยมเครื่องราง เพื่อสืบสานประวัติเครืองรางบางอย่าง

ก่อนที่อนาคตจะเหลือแค่เรื่องเล่าที่ขาดการประติดประต่อครับ

...........................

เคยมีคนผ่าดูข้างในปรากฎว่ามีความซับซ้อนมากคล้ายหวี ที่ใช้หวีผม สับเข้าหากันเวลาเขย่า

และมีลูกกลมๆเป็นของวิเศษอยู่ภายใน ประเภทเหล็กไหล 

คนสมัยก่อนว่ากันว่าปรอทกรอจะนำความร่มเย็นเป็นสุขมาให้ และป้องกันสิ่งอัปมงคลทั้งปวง เตือนเมื่อมีภัย

เรื่องความหายาก วัดในสมัยก่อนจะมีฝังไว้ที่ใต้อุโบสถทุกวัดแต่หนึ่งวัด มีลูกเดียวครับ

ที่นิยมกันที่สุดก็คือเนื้อสำริด


ปรอทกรอเป็นยุทโธปกรณ์ใช้ในการทำสงครามสมัยโบราณ สร้างไว้ให้สำหรับผู้นำทัพระดับนายกอง หรือหัวหมู่

เวลานอนจะเอาปรอทกรอวางไว้บนดินแล้วนอนเอาหูแนบปรอทกรอไว้

ข้าศึกขี่ม้าหรือช้างเข้ามาใกล้ ปรอทกรอจะสั่นได้ยินเสียง จะได้รู้ตัวก่อน....


บทความนี้ คัดลอกมาจาก http://www.watthummuangna.com/board/showthread.php?p=253010

ขอขอบคุณเจ้าของบทความมา ณ ที่นี้

19
หลายท่านคงได้ยินคำว่า น้ำมนต์ถอนโบสถ์ ถอนเสมากันมาบ่อยๆ 

รู้กันในความหมายที่ว่า น้ำมนต์ที่ัขับไล่ปัดเป่าคุณผี คุณคน คุณไสย สิ่งไม่ดีต่างๆ ออกไปจากตัว

แต่เรื่องราวความเป็นมาจริงๆ นั้น ไม่มีน้ำมนต์ครับ เป็นแค่การสวดถอนเขตเสมา ยกเลิกที่เก่า และัลงมติใช้ที่ใหม่

ป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า วัด ถือเป็น นิติบุคคล ประเภทหนึ่ง 

วัดหนึ่งวัด มีโบสถ์ได้เพียง ๑ หลัง

วัดราษฎร์ฺ เรียกเป็นทางการว่า อุโบสถ  ไม่มีคำว่าพระนำหน้า

วัดหลวงหรือพระอารามหลวง เรียกว่า พระอุโบสถ


เรียกรวมๆ ภาษาบ้านๆ ว่า โบสถ์ ละกันครับ

โบสถ์จะสร้างได้ต้องได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยกให้เป็นพุทธอาณาจักร

แต่ในทางพระวินัย คณะสงฆ์ต้องมีการประชุมพระสงฆ์  ตั้งญัตติและหารือ ลงความเห็นว่า จะยกเว้นเขตโบสถ์เดิม

และอนุมัติพื้นที่ใหม่สร้างโบสถ์

เพียงแต่การหารือและตั้งญัตติ ต้องกล่าวเป็นภาษาบาลี เรียกว่า กรรมวาจาสอนถอนติจีวราวิปวาสและสมานสังวาสสีมา

เป็นการแจ้งให้ที่ประชุมรับทราบถึงการถอนและการตกลงพื้นที่กำหนดนิมิตให้เป็นโบสถ์ โดยสมบูรณ์

และคำกรรมวาจาหรือบทสวดนี่ละครับ ที่ ถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์ เพราะถอนเขตเสมาไ้ด้ ก็ต้องถอนสิ่งไม่ดีต่างๆได้หมด

เวลาที่พระสงฆ์ประกอบสังฆกรรมถอนเขตหรือยกเลิกเขตเสมาพื้นที่เก่า ถ้ามีนำน้ำไปไว้ในเขตเสมานั้นก็ถือกันว่าเป็นน้ำมนต์ถอนเสมา

ดีทางถอดสิ่งไม่ดี อัปมงคล ที่เกิดกันคนเราให้ออกหมดไป

เนื้อแท้ของที่มา ไม่ได้ต่างอะไรจากการที่คนเรานำพระเครื่องไปใส่บาตร นาคตอนบวชพระ

ด้วยเข้าใจว่า คนยังบวชเป็นพระพระสวดญัติ พระเครื่องถ้าเสื่อมหรือจะเพื่อความขลัง สวดญัติฯแล้ว จะขลังดังเดิมหรือยิ่งกว่า

ก็ว่ากันไปครับ

ส่วนคาถาถอนโบสถ์ ถอนเสมา ก็คัด ตัดตอนมาจากบทสวดหารือของพระสงฆ์ท่านละครับ

เพียงแต่พระเกจิอาจารย์ท่านมีสมาธิจิต เสกคาถา ว่าอาคม จนน้ำมนต์ขลัง

เพราะฉะนั้นเรื่องน้ำมนต์ถอนโบสถ์ ถอนเสมา จึงมีสองนัย

๑. น้ำมนต์ที่ได้จากสังฆกรรม ถอนโบสถ์กันจริงๆ ทำกันที่เขตโบสถ์จริงๆ มีพระสงฆ์ร่วมเป็นสักขีพยานจริงๆ นับร้อยรูป 

ถือเป็นน้ำมนต์ที่ผ่านพิธีกรรมที่ถูกต้องตามวิันัย

๒. น้ำมนต์ฺที่พระเกจิอาจารย์ภาวนาคาถาถอนโบสถ์ ถอนเสมา ในกุฎิท่าน

แล้วทำให้กับเรา ถือว่าขลังตามแต่เกจิอาจารย์นั้นจะร่ำเรียนมา

แต่โดยเนื้อแท้แล้ว ความหมายคือ ยกเลิกเขตเก่า เพื่อไปกำหนดเขตใหม่ครับ


คาถาหลายๆบท ท่านถึงไม่ให้แปล  แปลแล้วเป็นธรรมะ หรือคำหารือ ทั้งนั้น

อย่าคาถาไล่ผี  "คัจฉะ อมุมหิ โอกาเส ติฎฐาหิ ฯ"  จริงๆ ก็คือ คำบอกให้เณรไปยิืนหน้าประตูโบสถ์ตอนบวชพระ

ประมาณว่า "เธอจงออกไปยินตรงโน่น" หรือ "จงออกไป"  แค่เนี๊ย ไล่ผีได้แล้วครับ

ไม่แปลขลังดีครับ   :095: :095: :095: :095:




20
"หวายลูกนิมิต" ถือว่าเป็นอีกหนึ่งวัตถุมงคล ที่เป็นของดีพุทธคุณสูง และราคาถูก

วัดไหนก็ได้ มีความศักดิ์สิทธิ์เชื่อว่าเหมือนกันหมด ทั้งนี้วัดส่วนใหญ่จะตัดแจกฟรี สำหรับผู้ไปร่วมบุญวันสุดท้ายของงาน

ด้วยคุณสมบัติที่มี ความเหนียวและความคงทนของหวาย

ดังนั้นพระเกจิอาจารย์ทั้งยุคเก่า แม้กระทั่งยุคใหม่หลายๆ ท่าน ก็นิยมนำมาสร้างเครื่องรางของขลัง ปลุกเสก

เพื่อให้ ลูกศิษย์ลูกหา นำไปใช้ติดตัวเพื่อเป็นสิริมงคลกัน

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีคติความเชื่อว่า หวายที่ได้โอบอุ้มลูกนิมิตไว้ จึงถือว่าหวายมีความศักดิ์สิทธิ์

เทียบเคียงเดียวกันกับลูกนิมิตด้วย ถึงแม้จะไม่มีพระเกจิอาจารย์ดังๆ มาปลุกเสกโดยตรง

แต่เชื่อว่า จิตภาวนาอธิษฐานจากผู้คนทั่วๆ ไป นับหมื่นนับแสนคน ที่มาร่วมกันปิดทองกับลูกนิมิตนั้น ได้แผ่จิตที่เป็นเมตตา

ภาวนาแต่สิ่งที่ดีๆ เพื่อเป็นสิริมงคลทั้งนั้น

ด้วยเหตุนี้เอง หวายลูกนิมิต ของวัดวัดหนึ่งจะมีรุ่นเดียว

ไม่เหมือนวัตถุมงคลชนิดอื่นๆ ที่ออกกันมามาก ชนิดที่เรียกว่า นับจำนวนไม่ถ้วนเลยทีเดียว


คัดลอกบทความของ  ไตรเทพ ไกรงู

ที่มา : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

21
เวลาที่มีใครมาทัก หรือหมอดู มาทักว่า ดวงกำลังตก เคราะห์หามยามร้าย ผีซ้ำด้ำพลอย  

ต้องไปรดน้ำมนต์ ๗ วัด หรือ อาบน้ำมนต์ ๗ วัด

หลายคนก็ตระเวนไปตามวัด ขอน้ำมนต์จากวัดต่างๆ ให้ครบ ๗ วัด กันไป

แต่ในความหมายอีกนัยหนึ่งนั้น ท่านไม่ได้หมายถึง ๗ วัดที่เป็นรูปธรรม หรือ วัดวาอาราม

เช่น วัดลิงขบ วัดไก่กุก  อะไรแบบนั้น

แต่ท่านหมายถึง ๗ วัฑฒโก  คำว่า วัฑฒ แปลว่า เจริญขึ้น มียิ่งขึ้น

ความหมายก็คือให้เจริญด้วยความเจริญ ๗ อย่าง

คือ เจริญด้วยอายุ (อายุวัฑฒโก)

เจริญด้วยทรัพย์ (ธนวัฑฒโก)

เจริญด้วยสิริ (สิริวัฑฒโก)

เจริญด้วยยศ (ยสวัฑฒโก)

เจริญด้วยกําลัง (พลวัฑฒโก)

รวม ๗ วัฑฒโก เวลาพระท่านทําน้ำมนต์จะสวด อย่างนี้ด้วย  เรียกว่า น้ำมนต์ ๗ วัฑฒก์

คนทั้งหลายฟังไม่ได้ศัพท์จับมากระเดียดว่า  ต้องไปรดน้ำมนต์ในวัด ๗ วัด

ซึ่งก่อนที่จะถึงบท ๗ วัฑฒก์ พระท่านจะภาวนาอ้างคุณพระศรีรนัตนตรัยมาบำราศสิ่งไม่้ดีไปก่อน คือ

สัำพเพเต โรคา  บรรดาโรคทั้งหลายของท่าน

สัพเพเต ภะยะ  บรรดาภัยทั้งหลายของท่าน

สัพเพเต อันตรายา  บรรดาอันตรายทั้งหลายของท่าน

สัพเพเต อุปัทวา   บรรดาอุปัทวะ เหตุร้ายจวนตัว ทั้งหลายของท่าน

สัพเพเตทุนนิมิตตา บรรดานิมิตฝันร้าย ลางร้าย ทั้งหลายของท่าน

สัพเพเต อวมังคลา บรรดาอวมงคลทั้งหลายของท่าน

วินาสสันตุ  ขอจงพินาศไป


เพราะฉะนั้นการไปขอน้ำมนต์ ๗ วัฑฒก์ ก็คือ เข้าไปหาพระหรือหลวงพ่อที่เคารพนับถือ ว่า มาขอน้ำมนต์ ๗ วัฑฒก์

ท่านก็จะเมตตาทำให้เอง  ไปแค่ วัดเดียวก็ได้น้ำมนต์ ๗ วัฑฒก์ แล้วครับ

ทั้งแก้และกัน ทั้งล้างสิ่งดีและอำนวยพรสิ่งดีๆ  ที่เดียวได้ถึง ๗   เลยละครับพี่น้อง  :095: :095:



อ้างอิงข้อมูลจากบทความของ อ.วศิน อินทรสระ

22
จะว่าไปแล้ว บอร์ดวัดบางพระเรา มีศิษย์พี่ ศิษย์น้่อง หลากหลายวัย หลายรุ่น

มีไม่น้อยที่เป็นวันหนุ่มรุ่นกระทง  หรือวัยฉกรรจ์ (ฉะ-กัน :095: :095:)  ทั้งชายและหญิง

หลายคนคงเคยโดนทักหรือเกิดอาการจิตตก เวลาที่ จังหวะชีวิตเวียนมาตอนอายุ ๒๕  หรือที่เรียกกันว่า วัยเบญจเพศ

ว่ากันตามหลักภาษาบาลีกันแล้ว คำที่ถูก คงต้องใช้คำว่า "เบญจเพส"

เพราะำคำนี้แผลงจากคำบาลีที่ว่า "ปัญจวีส"   ปัญจะ แปลว่า ๕  วีสติ แปลว่า ๒๐  

ปัญจวีส คือ ๒๕  แผลงมาเป็น เบญจเพส  ตรงความหมาย คือ วัย ๒๕ หรือ อายุ ๒๕

แต่ถ้าเขียนว่า เบญจเพศ  ก็จะแปลได้ว่า เพศที่๕   แปลแบบนี้น่าปวดหัวนะครับ  

เพราะแค่ทุกวันนี้มีเพศที่ ๓  ก็มึนกันจะแย่อยู่แล้ว  และเพศที่ ๕ จะไปไกลถึงไหนกันเชียว :095: :095:




จริงๆ ความเชื่อเรื่องเบญจเพศ ได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาพราหมณ์ เหมือนเช่นหลายหลากความเชื่อของไทยมีได้มาจากพราหมณ์
ศาสนาพราหมณ์นั้นเขาจะแบ่งช่วงชีวิตของคนเราเป็นวัยต่างๆ คือ

๑-๘ ปี นับเป็นกุมาร

๙–๑๖ นับเป็นทารกวัย (วัยรุ่น)

๑๗–๒๕ นับเป็นมาณพ (วัยหนุ่ม)

ชายใดใช้ชีวิตมาถึงปีที่ ๒๕ ตามภาษาของคัมภีร์พฤติศาสตร์เรียก ‘ต้องเบญจเพส’
หมายถึงการเข้าถึงฝ่ายโชคและเคราะห์อันแรงกล้า ส่วนจะเป็นโชคหรือเป็นเคราะห์ก็ต้องดูว่าลงล็อกใดใน
‘เพส ๕’ อันได้แก่เทวะ มนุษย์ เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย

หากดวงตกเทวะก็ได้ลาภยศ

หากดวงตกมนุษย์ก็ปานกลางไม่ดีไม่ร้าย

หากดวงตกเดรัจฉานก็ป่วยหนัก

หากดวงตกเปรตก็ถึงตาย

หากดวงตกอสุรกายก็อาจพิกลพิการ เป็นต้น

ดูจากตรงนี้ใช่แปลว่า ๒๕ หมายถึงซวยหนัก แต่อาจเป็นเฮงระเบิดก็ได้  ทว่าพูดกันทีไร ก็จะว่าเบญจเพสคือปีซวยท่าเดียว

สรุปคือเบญจเพสเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำนายทายทัก ปีที่ ๒๕ เป็นปีแรงได้ทั้งด้านบวกหรือด้านลบ  ก็ได้



ว่าตามหลักกรรมวิบาก ความจริงก็คือทุกปีคนเราก็มีเรื่องดีและไม่ดีได้ตลอดอยู่แล้ว

แล้วแต่ว่าใครทำมาอย่างไร อดีตกรรมวางแผนให้เราได้รับผลตามล็อกเวลาไว้เฉพาะตน

นั่นหมายความว่ามนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ได้ลาภทุกปี แล้วก็สุ่มเสี่ยงกับการตายได้ไม่เว้นวัน

นับแต่จันทร์ถึงอาทิตย์ ใครหยุดราชการ มัจจุราชท่านไม่หยุดด้วย

ใครเชื่อว่ามีสิทธิ์ตายเฉพาะเบญจเพส มัจจุราชท่านไม่เชื่อด้วย
 
เบญจเพสเป็นเพียงการช่วยกันลือ ไม่มีที่มาที่ไปแบบพุทธเอาเลย

สิ่งที่คุณควรพะวงไม่ใช่ปีเบญจเพสควรสะเดาะเคราะห์อย่างไร

แต่ควรสำรวจตรวจตราดีๆว่าทุกวันนี้ใช้ชีวิตบนวิถีบุญน้อยไปหรือเปล่าต่างหาก


ถ้าทำความดี ทำบุญทุกวัน  ถึงจะต้องตาย ก็ไม่มีอะไรให้เสียใจครับ เพราะทำชีวิตให้มีที่สุดแล้ว

แล้วถ้าเกิดไม่ตาย ความดีที่ทำก็หนุนนำให้เรา สุขใจ เพราะใจสุข ทำงานทำการอะไร ก็แฮปปี้ แน่นอนครับ



อ้างอิงข้อมูลจาก http://board.palungjit.com/showthread.php?p=962591

23
แวะมาคุยกันเรื่องวันเกิดกันหน่อยนะครับ

ว่ากันตามวิชาโหราศาสตร์แล้ว ดวงดาวต่างๆที่ส่งผลกับคนเรา ก็ คือ

อาทิิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ เสาร์ ราหู(พุธกลางคืน) พระเกตุ(จำวันเกิดไม่ได้)

ทั้งหมดนี้ ยังถูกแบ่งเป็นลักษณะของดาวที่ส่งผลเป็นคุณและโทษ ก็คือ

ดาวศุภเคราะห์ ฝ่ายดี ส่้งผลด้านดีกับชะตาชีวิต

และ  ดาวบาปเคราะห์ ฝ่ายที่เป็นทุกข์โทษ  ส่งผลด้านมืดกันตัวเรา

ในส่วนที่เป็นดาวศุภเคราะห์ ก็คือ

ดาวพฤหัสบดี (ธาตุดิน มีอิทธิพลเกี่ยวกับปัญญาและความบริสุทธิ์)

ดาวจันทร์ (ธาตุดิน มีอิืทธิพลต่อจริยา นิสัยและอารมณ์)

ดาวพุธ (ธาตุน้ำ มีอิทธิพลต่อกริยา อ่อนหวาน สุภาพ)

ดาวศุกร์ (ธาตุน้ำ  ส่งผลด้านความกำหนัดและกามคุณ)


ในส่วนของดาวบาปเคราะห์ มี ๔ ดวง  คือ

ดาวอาทิตย์ (ธาตุไฟ ส่งผลทางเกียรติยศ ชื่อเสียง)

ดาวอังคาร (ธาตุลม ส่งผลในด้านความกล้า และความ มานะ ขยันเอาจริงเอาจัง)

ดาวเสาร์ (ธาตุไฟ ส่งผลด้านเรื่องไม่สู้ดี เป็นทุกข์ เป็นโทษ เคราะห์หามยามร้าย)

ดาวราหู (ธาตุลม ส่งผลในด้านความมัวเมา หลงใหล ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือหลายๆ เรื่อง)

และอีกประเภท คือ ดาวกลางๆ ที่เรียกว่า อัพยากฤษ  ได้แก่ ดาวเกตุ และ ดาวมฤตยู


ในช่วงจังหวะชีวิตที่ดาวบาปเคราะห์มาเสวยอายุหรือดวงชะตา เราอาจต้องฝ่าฟันหรือมีอุปสรรคขัดขวางเ้ข้ามาให้ผจญบ้าง

ในจังหวะของดาวศุภะเคราะห์ ก็ดูชื่นมื่น แฮปปี้  กันไป

แต่ในทางการใช้เครื่องรางของขลัง 

ของที่เป็นวัตถุที่ไม่ใช่สายพุทธคุณ เช่น วัตถุอาถรรพณ์ หรือของต่ำ ของเสน่ห์ นั้น

การที่ดวงดาวฝ่ายใดเสวยอายุ ย่อมมีผลกับการใช้ พวก กุมาร พยนต์ เจตภูติ ไปจนถึงข้ามล่วงไปกลุ่มพราย

ดาวบาปเคราะห์มักส่งผลให้ใช้ของพวกนี้ได้ดี 

ดาวศุภเคราะห์เป็นดาวฝ่ายดี คุ้มครองเจ้าของอยู่แล้ว ถ้าไปเอาของพวกนี้มาใช้ก็ดูจะแป๊กๆ ไป


ลองสังเกต จังหวะชีวิตของเรากันดูครับ แต่ไม่ต้องซีเรียสนะครับ


ชีวิตต้องมีวันพรุ่งนี้ เดินหน้ากันต่อไป อย่าหยุดนิ่ง ก็แล้วกันครับผม

ข้อมูลอ้างอิงข้างต้น ได้จากหนังสือ สรรพวิทยาโบราณจารย์ ครับผม








24
โดยทั่วไปเราเข้าใจกันดีอยู่แล้วว่า ลักษณะการต้องธรณีสาร คือ การประสบพบเจอสิ่งที่ผิดธรรมชาติ

หรือกริยา อาการที่คนโบราณเขาไม่ทำกัน เอาว่า แปลกๆ ละกันครับ


แต่อีกนัยหนึ่งซึ่งเป็นเหตุเป็นผล ในทางความเชื่อ และน่าสนใจอยู่มากทีเดียว นั้นก็คือ




ลักษณะต้องธรณีสาร 

หมายถึง การไปทำผิดข้อห้ามอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ครูบาอาจารย์ฯลฯ

และมักจะเกิดกับคนที่มีอาชีพเกี่ยวข้องกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งลี้ลับต่างๆ

ได้แก่ อาชีพหมอดู  โหร นักพยากรณ์สาขาต่างๆ เจ้าพิธี  หมอขวัญ หมอไสยศาสตร์ หมอยาแผนโบราณ ฯลฯ

รวมทั้งพวกที่เรียนดนตรีและนาฏศิลป





เมื่อทำผิดข้อห้ามหรือละเมิดครูบาอาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะโดยตั้งใจหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ตาม

กับคนที่ทำอาชีพเหล่านี้ ถือว่า เป็นเรื่องที่อ้างว่าไม่รู้ไม่ได้ แก้ตัวไม่ได้ เพราะโดยอาชีพ ต้องรู้







ดังนั้น ก็จะเกิดอาถรรพณ์ หรืออำนาจลี้ลับอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งโบราณเรียกว่า "แรงครู"

กระทำให้มีอันเป็นไป อย่างหนักที่สุดคือเป็นบ้าเสียสติ หรือประสบอุบัติเหตุ ไฟไหม้บ้านสิ้นเนื้อประดาตัว หรือตาย

หรือสูญเสียของรัก คนรัก อย่างเบาคือ ติดคุกติดตะราง ต้องคดีความ มีเรื่องอื้อฉาว

ทำการใดก็ไม่สำเร็จ ไม่มีความเจริญก้าวหน้าในชีวิต  หวังอะไรก็ผิดหวัง ทำดีก็ไม่มีใครเห็นความดี

ชีวิตตกต่ำลงเรื่อยๆ ไม่ว่าจะพยายามทำดีหรือทำงานสุจริตหรือแม้แต่ทำบุญมากแค่ไหนก็ไม่ช่วยให้ชีวิตดีขึ้น

จนแม้แต่จะทำบุญก็ยังถูกหลอกให้ไปทำบุญแบบจอมปลอม หรือมีอุปสรรคขัดขวางในการทำบุญ

นี่แหละค่ะคือการต้องธรณีสาร 




ส่วนเมื่อรู้ว่าต้องธรณีสารแล้ว แก้ไขยังไง ก็ต้องหาให้ได้ก่อนค่ะ ว่าต้องธรณีสารเพราะอะไร

๑) ถ้าต้องธรณีสารเพราะการวิสาสะกับคนที่ต้องธรณีสาร ไปหาน้ำมนต์ 

มาจากวัดต่างๆ มาผสมน้ำดื่ม  และอาบ+สระผมต่อเนื่อง ๗ วันก็หาย

๒) ถ้าต้องธรณีสารเพราะผิดครู ก็ต้องไปหาเครื่องขอสมาลาโทษมาทำพิธีขอขมาครู แล้วทำแบบข้อ ๑)

๓) ถ้าไม่รู้ว่าต้องธรณีสารเพราะอะไรจริงๆ ให้ตั้งพิธีขอขมาครูไว้ก่อน

แล้วไปขอให้พระเกจิอาจารย์ที่รู้จักกันทำน้ำมนต์ธรณีสารอาบให้ ๓ วัน ๗ วัน ๙ วันก็แล้วแต่สายวิชาของพระท่าน



ข้อมูลข้างต้นเป็นข้อมูลที่คงต้องใช้วิจารณญานกลั่นกรองกัน ก่อนจะนำไปปฎิบัติ

และเห็นว่า ศิษย์มีครูอย่างพวกเราทั้งหลาย ก็มีข้อห้ามเช่นกัน  ไม่ผิดได้เป็นดีครับ 



ขอบคุณบทความของครูดาว  โพสต์โดย คุณบุษกรจันทร์  ในพันทิพ ครับผม

ที่มา ครับ ..http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/04/Y7802640/Y7802640.html

25
ระยะหลังๆ ห่างหายไม่ค่อยได้เข้ามา เฮฮา ปาจิงโก๊ะ กับพี่น้องชาววัดบางพระเท่าไร 

แว๊ปมาบ้าง ก็ตอบได้ไม่กี่กระทู้

ได้ยินน้องๆ เล่าให้ฟังว่า คุยกันออกรส คลุกวงในกัน น่าดูชม   :095: :095:

พอดี จังหวะตามพี่ๆ ชวน น้องๆ ไปเสาะหาดินโป่ง กัน

น้องที่ไปด้วย มันก็เลยถามว่า ทำไมต้่องดินโป่ง  ดินโป่งเป็นยังไง ?  ดินบ้านๆ ไม่ได้หรือไง ?

แล้วพี่น้องชาววัดบางพระ มีข้อมูลว่าอย่างไรครับ  ทำไมต้องดินโป่ง ๗ โป่ง ?

ลองมาเสวนากัน ครับ 



26




หายจากบอร์ดไปหลายวันนะครับ    หุหุ..


คิดถึงพี่้น้องทุกคนครับผม (ปากหวาน..ซะหน่อย)

วันนี้ขอนำเรื่องราวของพระพุทธรุปปางหนึ่งมาคุยกันให้อ่านเพลินๆ ครับ  

ก็เป็นเรื่องราวของพระพุทธรูปปางป่าเลไลย์ ซึ่งเป็นพระประจำวันของคนที่เกิดวันพุธกลางคืน หรือ วันราหู ก็เรียกกันครับ
(ตั้งแต่พระอาทิตย์ตกดินจนถึงเช้าตรู่วันพฤหัสบดี)


พระพุทธรูปปางนี้มีำพระพุทธลักษณะเป็นพระพุทธรูปในอิริยาบถประทับนั่งบัลลังก์
หย่อนพระบาททั้งสองทอดลงมาเหยียบบนพื้น
พระพาหา(แขน)ทั้งสองวางบนพระเพลา(เข่า) หงายพระหัตถ์ขวา
เป็นกิริยารับหม้อน้ำจากพญาช้างปาลิไลยกะ ซึ่งเป็นช้างอยู่ในป่า หลีกหนีจากโขลง มาคอยปรนนิบัติพระพุทธองค์
พระหัตถ์ซ้ายคว่ำลง แสดงกิริยาไม่รับรวงผึ้งจากลิง เนื่องจากรวงผึ้งมีแมลงผึ้งอยู่
ลิงต้องกลับไปเอาแมลงผึ้ง และตัวลูกอ่อนออกหมดก่อน แล้วนำไปถวายใหม่ พระองค์จึงทรงรับประเคน



ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ พระพุทธรูปปางนี้มีมูลเหตุมาจากการที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปประทับในป่าป่ารักขิตวัน
ในละแวะบ้านปาริเลยยกะ (อ่านว่า ปา-ลิ-ไล-ยะ-กะ = ป่าเลไลย์)


มีคำถามว่าทำไม พระพุทธองค์ต้องเสด็จไปทรงประทับในป่า ให้ช้างกับลิงคอยอุปฐากดูแล แทนที่จะเป็นพระภิกษุสาวก
คำตอบก็คือ พระพุทธองค์ทรงหลีกเร้นมาเพราะพระทะเลาะกัน ทรงห้ามแล้วก็ไม่ฟัง จนพระองค์เองต้องทรงหลีกมาอยู่ในป่า


ณ จุดนี้ ทำให้มองเห็นว่า การที่ทะเลาะวิวาทกัน อารมณ์ฟุ่งผล่าน ขนาดที่เรียกว่า พระพุทธเจ้าทรงปรามก็ยังไม่ฟัง

หน้ามืดตาัมัว สุดพลัง.....  จริงๆ ครับ



เรื่องราวความเป็นมา ค่อนข้างจะยาวมาก ซึ่งปกติคนเล่นบอร์ดจะไม่ชอบอ่านอะไรยาวๆ
เพราะถ้าอยากข้อความหรือข้อมูลที่ยาวๆ คงไม่เล่นบอร์ด เอาเวลาไปนั่งอ่านวิกิพิเดีย มันส์กว่าเยอะ   :095: :095:

เรื่องราวแบบย่อๆ พอจะเอามาเล่าแบบภาษาที่อ่านง่ายๆ ก็คือว่า

เรื่องเกิดเพราะ พระนักเทศน์กับพระนักปกครองทะเลาะกัน แล้วก็ทะเลาะกันด้วยเรื่อง ขันในห้องน้ำ  แค่นั้นเอง
ต้องอธิบายเล็กน้อยนะครับว่า วินัยของพระที่มาในปกรณ์ นอกพระปาฎิโมกข์ มีกำหนดไว้ว่า
เมื่อใช้น้ำเวลาเข้าห้องน้ำแล้ว ต้องคว่ำภาชนะหรือขันไว้ที่ขอบอ่าง ห้ามลอยขันไว้ในอ่างน้ำ
ดังนั้นถ้าเราไปวัดและลองสังเกตกันดู ห้องน้ำ ห้องไหนที่ขันลอยในอ่างแสดงว่าห้องน้ำคน
ถ้าห้องน้ำไหนเข้าไปแล้ว เห็นขันวางบนขอบอ่างโดยคว่ำไว้อย่างเรียบร้อย นั้นคือ ห้องน้ำพระ
เพราะพระทำอะไรต้องมีสติควบคุมตลอด เรียบร้อยตลอด  สาธุๆ

แต่เรื่องที่เกิดก็เพราะว่า พระนักเทศน์ซึ่งไม่เก่งเรื่องวินัย เข้าไปในห้องน้ำแล้ว เสร็จธุระแล้ว ไม่ได้คว่ำภาชนะไว้ที่ขอบอ่าง
เหลือน้ำไว้ในภาชนะ  พอพระนักปกครองหรือพระวินัย มาเห็นก็เลยกล่าวตามประสาพระเก่งวินัย
ประมาณว่า ท่านใช้ห้องน้ำแล้วเหลือน้ำไว้หรือ? พอพระนักเทศน์รับว่า ใช่ ตามนั้น..
พระวินัยก็แจ้งข้อหาทันที ว่าเป็ยอาบัติทุกกฎ(แปลว่า ทำชั่ว) เพราะเหลือน้ำไว้ในภาชนะ
พระนักเทศน์ก็บอกว่า ยอมรับเพราะตนไม่รู้
พระวินัยบอกว่า ถึงไม่รู้ก็เป็นอาบัติ
ถึงไม่รู้ก็เป็นอาบัติ" พระวินัยธรว่า
พระนักเทศน์หรือพระธรรมกถึกก็กล่าวว่า "ถ้าอย่างนั้นก็ขอปลง(แสดง)อาบัติละกัน
พระนักปกครองหรือพระวินัยธรก็บอกว่า "แต่ถ้าท่านไม่แกล้งทำ ท่านทำเพราะไม่มีสติ อาบัติก็ไม่มี"
พอพูดแบบนี้ พระนักเทศน์ก็จึุงไม่ปลงอาบัติ...........
ดูเหมือนเรื่องจะจบลงด้วยดี ใช่ไหมครับ..??

แต่จริงๆ เรื่องไม่จบ ซะแล้ว..

เพราะหลังจากนั้นพระวินัยหรือพระปกครองก็เที่ยวไปโพทนากับลูกศิษย์ของตนเองทำนองว่า
พระนักเทศน์ดีแต่เทศน์สอนคนอื่น เป็นอาบัติเองก็ยังไม่รู้ตัวเลย
เมื่อศิษย์ของพระวินัยธรเจอศิษย์ของพระพระนักเทศน์หรือธรรมกถึก ก็พูดใส่หูเป็นเชิงดูหมิ่นว่า
 "อุปัชฌาย์อาจารย์ของพวกท่านด้องอาบัติแล้วก็ไม่รู้"
เท่านี้ก็งานเข้าซิครับ  หมิ่นใครหมิ่นได้ มาหมิ่นครูบาอาจารย์ ต้องถามให้รู้เรื่อง
ลูกศิษย์ของพระันักเทศน์จึงเข้าไปถามพระอาจารย์ว่า จริงหรือไม่ ที่ ต้องอาบัติเรื่องภาชนะใส่น้ำ
พระนักเทศน์จึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ศิษย์ฟังแล้วกล่าวว่า
"พระวินัยธร ทีแรกพูดว่าไม่เป็นอาบัติ มาบัดนี้ ไฉนจึงพูดว่า เป็นอาบัติ พระวินัยธรพูดมุสา"
จากนั้นศิษย์พระนักเทศน์ เมื่อพบศิษย์ของพระวินัยธรก็พูดบ้างว่า "อุปัชฌาย์ของพวกท่านพูดมุสา"


เท่านั้นละครับ งานเข้ายาวเลย

ทั้งสองฝ่ายก็ทิ่มแทงกันด้วยหอก คือ คำพูดเสียดแทง กระทบกระแทกแดกกันกัน สุดพลัง
... :067: :067:

การทะเลาะกันของเหล่าพระนักเทศน์ซึ่งขอใช้คำว่า เก่งทฤษฎี กับพระนักปกครอง ซึ่งเน้นการปฎิบัติ ก็ขยายวงกว้างออกไป
ทะเลาะกันแรงขึ้นๆ ลามถึงชาวบ้านที่ชอบพระกลุ่มไหนก็เข้าข้างพระกลุ่มนั้น ทะเลาะกันไปจนถึงเทวดา ทีเดียว
จนกระทั้งพระพุทเจ้าต่้องเสด็จมาประทานพระโอวาท พระทั้งสองฝ่ายก็ไม่ฟัง

ทรงสั่งสอนและห้าม พระทั้งสองกลุ่มก็ไม่ยอมฟัง ตั้งหน้าตั้งตาจะทะเลาะกัน แบ่งสี แบ่งสาย กันชัดเจน
พระพุทธเจ้าทรงระอิดระอาต่อการทะเลาะของภิกษุเหล่านั้น
มีพระประสงค์จะเสด็จหลีกออกจากหมู่ อยู่โดดเดี่ยว  จึงเสด็จบิณฑบาตลำพังพระองค์เองแล้วหลีกเข้าป่าป่ารักขิตวัน
มีช้างกับลิงคอยดูแลอุปัฎฐากดูแล



ที่นี้ทางพระที่ทะเลาะกันไม่เลิก   จนชาวบ้าน ร้านตลาดเขาเบื่อหน่าย จึุงไม่ใส่บาตรให้ฉัน ไม่ยกมือไหว้ หมดศรัทธา
พอเจอแบบนี้ พระทั้งสองกลุ่มก็เริ่มสำนึกตนได้ว่า


เรามาทะเลาะกันจนคนเขาเบื่อจะแย่แล้วทำไมกัน?

ภายหลังจึงได้ไปขอขมาพระพุทธเจ้า และพระพุทธองค์ทรงอดโทษให้(ยกโทษ)

เรื่องการทะเลาะกันนั้น ท่านกล่าวไว้ว่า เป็นเพราะ ๒ สาเหตุ

๑.ผลประโยชน์ขัดกัน

๒.มีทิฎฐิมานะความคิดเห็นไม่ตรงกัน(หงส์กับผี ,ปืนกับสิงโตน้ำเงิน)  ถือตัวว่าเก่ง ว่าเก๋า หรือลืมตัวนั้นเอง




เรื่องราวของพระปางป่าเลไลย์มีรายละเอียดที่น่าสนใจและสนุกครับ

ผมเก็บมาเล่า คงมีผิดพลาดตกหล่นไปบ้าง อีกทั้งใช้ภาษาที่ไม่ใช่ภาษาดั้งเดิม ต้องขออภัย มา ณ ที่นี้


อยากจะฝากไว้ว่า "การทะเลาะกัน พระพุทธท่านยังหนี แล้วจะมีดีอะไรเหลือไว้คุ้มตัว"

ถ้าจะคุยกันก็คุยกันด้วยดี อย่าทิ่มแทงกันด้วยคำพูดเลยครับ  เรื่องแบบนี่้มีมาแต่โบราณแล้ว  

รัีกกันไว้ดีกว่า  จะได้น่ารักมากกว่าน่าเบื่อ ครับผม


สาธุๆ

(อ้างอิงข้อมูลจาก หนังสือ ทางแห่งความดี ของอาจารย์วิศิน อินทสระ)












27
คลิปนี้ น่าหวาดเสียวครับ ถ้าหนีไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้น

แต่แน่นอนครับ ในสถานะการณ์จริง คนขับคงเตรียมพร้อมแน่นอน ตัวแปรคือ รถคันหลังจะเห็นเช่นคันหน้าสุดไหมนะ

เคยได้ยินรายงานว่า ช้างกระหน่ำทุบรถและพยายามดันให้ตกเหว เพราะการบันทึกภาพแบบนี้ละครับ

*หมายเหตุ เพื่ออรรถรสในการรับชม เปิดเสียงลำโพงดังซักหน่อย จะมันส์มากครับ


[youtube=425,350]R59Kqdgw-ko[/youtube]

28


[youtube=425,350]kTgzp_VLSak[/youtube]
ช้างป่า ไม่ใช่จะน่ารักหรือเชื่องแบบที่คิดกันนะครับ

ช้างป่าเป็นสัตว์หวงถิ่น ไม่ชอบผู้รุกรานหรือแขกแปลกหน้าเข้ามาในถิ่นที่หากินเท่าไรนัก

ผิดกับเสือ ซึ่งเป็นสัตว์สันโดษและทิ้งถิ่น

หากมันพบว่ามีสัตว์แปลกปลอมรุกล้ำถิ่นมันแล้ว เสือพร้อมจะทิ้งป่าเข้าสู่ป่าลึุกทันทีโดยไม่ลังเล


สำหรับช้างป่าแล้ว นักท่องไพรคงทราบกันดีกว่า อย่าได้ประจันหน้ากันเป็นดีที่สุด  โดยเฉพาะแม่แปรก ผู้คุมโขลง

ลักษณะนามของช้างป่า เรียกเป็นตัว ในขณะที่่ช้างบ้านเรียกเป็น เชือก


ตัวอย่างอันตรายของช้างป่า เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน

เมื่อพระธุดงค์พร้อมลูกศิษย์เดินป่าไปเผชิญหน้ากับเจ้างางอน

แต่ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ การถ่ายรูปและแสงแฟลช ทำให้เจ้างางอนตกใจและตรงเข้าทำร้ายพระธุดงค์ถึงมรณภาพ

และัเล่นงานลูกศิษย์จนเสียชีวิตเช่นกัน  


ซึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นทางเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า สัณนิฐานตามภาพที่ปรากฏในกล้องถ่ายรูปที่ตกอยู่ ในที่เกิดเหตุ

อย่าทำให้ช้างป่าตกใจดีที่สุดครับ  ถ้าต้องเดินป่า

29
[youtube=425,350]http://www.youtube.com/watch?v=kTgzp_VLSak[/youtube]


เรื่องราวของช้างป่า ที่ออกมาหากินริมถนนในอุทยานแห่งชาติ หลายคนคงเคยพบเห็นมาแล้ว

การบันทึุกภาพเป็นเรื่องปกติที่นิยมทำกัน ทั้งๆ ที่อาจทำให้ช้างป่าตกใจได้ง่ายๆ

แต่ทุกวันนี้มีทางเลือกใหม่ คือ ถ่ายเป็นคลิปมา ถึงจะมีซีนหลุด ตอนต้องสับขา หนีช้างก็ตาม








และในบรรดาภาพถ่ายช้างป่าที่เคยมีการบันทึกมา มีภาพหนึ่งเป็นที่ชื่นชอบและต้องการของหลายๆท่าน

ได้พบเจอภาพนี้ครั้งแรก ที่ร้านค้าแถวบางลำพู เจ้าของร้านไม่ได้เล่าประวัติอะไรมากนัก

แต่ได้สอบถามว่า ติดไว้ทำไม  ?

เจ้าของร้านบอกว่า  เห็นว่าถ่ายได้แปลกดี ดูเหมือนช้างมีสามหัว  ออกหากิน ทั้งสามทิศ

และตั้งแต่ได้รูปนี้มา ก็ค้าขายดีจริงๆ (เป็นความเชื่อส่วนบุคคลนะครับ)


ประมาณว่า เหมือนช้างสามเศียรหรือช้างเอราวัณ นะครับ 

นำมาฝากให้ชมกัน  เป็นความบังเอิญที่ลงตัว ประมาณนั้นละครับ




ซึ่งจริงๆแล้ว ช้างเอราวัณ ไม่ได้มีสามเศียรอย่างที่เข้าใจทั้งหมดทีเดียว

ช้างเอราวัณเป็นพญาช้างของพระอินทร์  (พระอินทร์เป็นราชาแห่งเทวดาัชั้นดาวดึงส์)

พระอินทร์มีพาหนะเป็นช้าง ๓ เชือก

เชือกหนึ่งพระศิวะเป็นผู้ประทานให้ชื่อว่า เอราวัณ

เชือกหนึ่งพระพรหมป็นผู้ประทานให้ชื่อว่า คีรีเมขล์ไตรดายุค

และอีกเชือกหนึ่งพระวิษณุเป็นผู้ ประทานให้ชื่อว่า เอกทันต์

ช้างเอราวัณเป็นช้างที่มีพละกำลังมากที่สุดในหมู่ ช้างทั้ง ๓ เชือก และเป็นที่โปรดปรานมากที่สุดของพระอินทร์

เชื่อกันว่าช้างเชือกนี้เป็นเทพบุตรองค์หนึ่ง

เมื่อพระอินทร์ต้องการจะเสด็จไปไหนเอราวัณเทพบุตร ก็จะแปลงกายเป็นช้างเผือก

ขนาดสูงกว่าภูเขาเอเวอร์เรสต์ มี ๓๓ เศียร แต่ละเศียรมีงา ๗ งา

งาแต่ละงายาวถึง ๔ ล้านวา ( ๕๐๐ โยชน์ = ๘,๐๐๐ กิโลเมตร)

งาแต่ละงามีสระบัว ๗ สระ แต่ละสระมีดอกบัว ๗ ดอก

แต่ละดอกมีกลีบ ๗ กลีบ มี ๗ เกสร แต่ละเกสรมีปราสาทอยู่ ๗ หลัง

ปราสาทแต่ละหลังมี ๗ ชั้น แต่ละชั้นมี ๗ ห้อง แต่ละห้องมี ๗ บัลลังค์ แต่ละบัลลังค์มีเทพธิดาสถิต ๗ องค์

เทพธิดาแต่ละองค์มีบริวาร องค์ละ ๗ นาง เทพธิดาบริวารแต่ ละนางมีนางทาสีนางละ ๗ ทาสี

รวมทั้งนางเทพอัปสรทั้งหมดประ มาณ ๑๙๐,๒๔๘,๔๓๓ นาง เทพธิดา

เศียรทั้ง ๓๓ ของช้างเอราวัณมีอุเปนทเทพยดา สถิตเศียรละ ๑ องค์

โดยปกติศิลปินไทยมักจะทำช้าง เอราวัณ เป็นช้าง ๓ เศียร แทนครับ





อ้างอิงข้อมูลจาก http://203.172.208.244/web/stu12/site3_1/p2.htm ขอบคุณมากครับ


30
ภาพจากหนังสือพระครับ ประมาณปีพ.ศ. ๒๕๓๗  ก็ประมาณ ๑๕ ปี มาแล้วครับ 

คิดว่าศิษย์พี่น้องวัดบางพระทุกท่าน คงจะจำพระอาจารย์ได้แน่นอนครับ




พระอาจารย์รูปด้านซ้ายคือ ท่านใดหรือครับ  ส่วนพระอาจารย์รูปขวาคิดว่า คือ พระอาจารย์ญาครับ



ความตั้งใจที่จะมอบของดีให้กับศิษย์เต็มเปี่ยมครับ



เห็นเพียงด้านหลังคงจำกันได้ดี นะครับ



ข่าวที่โด่งดัง รอดมาได้เพราะบารมีหลวงปู่ ครับ


ขอบคุณที่รับชมและแสดงความคิดเห็นครับ
:054: :054: :054:

31




ในบรรดาพระเครื่องของหลวงพ่อตัด ปวโร ที่มีความพิเศษ โดดเด่นกว่าแบบอื่นๆ

อีกทั้งเป็นที่ต้องการของศิษย์ที่เคารพนับถือในหลวงพ่อตัด  คงหนีไม่พ้น พระกริ่ง ปี ๒๕๔๓

ซึ่งถือได้ว่าเป็นพระกริ่งรุ่นแรกของหลวงพ่อเลยที่เดียว


เอกลักษณ์ที่โดดเด่นของเนื้อโลหะที่ใช้หล่อพระกริ่งรุ่นนี้  ก็คือ

เป็นเนื้อชนวนโลหะมงคลล้วนๆ ไำม่มีส่วนผสมของโลหะอื่นเจือปนเลย


เนื้อชนวนจะได้มาจากพระเกจิอาจารย์ทั้งยุคเก่าและยุคปัจจุบันที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักโดยทั่วไป

น้ำหนักรวมของชนวนทั้งหมด ๑๕ กิโลกรัม


เททอง เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๔๓

หล่อได้เป็นองค์พระกริ่งเนื้อชนวน จำนวนเพียง ๕๖๐ องค์ และเนื้อนวะโลหะ จำนวน ๙ องค์


โดยไม่มีส่วนผสมอื่นเจือปน ส่วนเม็ดกริ่งที่บรรจุเป็นเหล็กไหล ที่ได้รับการอธิษฐานจิต จาก ๑๒ คณาจารย์

เนื้อชนวน มวลสาร ประกอบด้วย

๑. แผ่นยันต์ จักรพรรดิ์ พระอาจารย์วรงกต วัดถ้ำเมืองนะ จังหวัดเชียงใหม่

๒. แผ่นยันต์ จักรพรรดิ์ หลวงพ่อจ่าง วัดเขื่อนเพชร จังหวัดเพชรบุรี

๓. แผ่นยันต์ จักรพรรดิ์ หลวงพ่ออุ้น วัดตาลกง จังหวัดเพชรบุรี

๔. แผ่นยันต์ จักรพรรดิ์ หลวงพ่อตัด วัดชายนา จังหวัดเพชรบุรี

๕. แผ่นยันต์ ไตรสรณคมณ์ พิธีเสาร์ ๔ วัดเขื่อนเพชร ปี ๒๕๔๓

๖. ตะกรุดโทน หลวงพ่อโอด วัดจันเสน จังหวัดนครสวรรค์

๗. ตะกรุดคู่ชีวิต หลวงพ่อประเทือง วัดหนองยางหอย จังหวัดเพชรบูรณ์

๘. ตะกรุดอาการ ๓๒ หลวงพ่อดำ วัดสันติธรรม จังหวัดสระแก้ว

๙. ตะกรุดเก่าและแผ่นยันต์ ตามสูตรวัดสุทัศน์ อีกตำนวนหนึ่ง

๑๐. ก้านช่อพระกริ่ง รุ่นแรก หลวงพ่ออุ้น วัดตาลกง จังหวัดเพชรบุรี

๑๑. ทองชนวน พระกริ่ง รุ่นแรก รุ่นสอง หลวงพ่อจ่าง วัดเขื่อนเพชร จังหวัดเพชรบุรี

๑๒. ก้านช่อพระกริ่ง นวะโลหะเต็มสูตร ดำสนิท วัดสุทัศน์

๑๓. ทองชนวนจากเบ้าหล่อรูปเหมือนเท่าองค์จริง หลวงพ่อจ่าง วัดเขื่อนเพชร จังหวัดเพชรบุรี

๑๔. ฐานช่อพระกริ่งจากที่ต่าง จำนวน ๓ กิโลกรัม

๑๕. เหรียญคณาจารย์ ที่ผ่านการพุทธาภิเษก จำนวน ๕ เหรียญ

๑๖. เทวรูปชำรุด

เมื่อสร้างเสร็จแล้วได้เข้าพิธีพุทธาภิเษกอีก ๙ งานใหญ่

และนอกจากหลวงพ่อตัดปลุกเสกแล้วได้ให้เกจิที่มีชื่อเสียงปลุกเสกอีกหลายท่าน

๑.หลวงพ่ออุ้น วัดตาลกง เพชรบุรี

๒.หลวงปู่ทิมทิม วัดพระขาว  อยุธยา

๓.หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม    อยุธยา

๔.หลวงปู่ชื้น วัดญาณเสน    อยุธยา

๕.หลวงพ่อจ้อย วัดศรีอุทุมพร

๖.หลวงพ่อหลุย วัดราชโยธา  กรุงเทพ

ฯลฯ

พระกริ่งรุ่นนี้จะตอกโค๊ต ว.ช.น. เรียง (โค๊ดรุ่นแรก) และโค๊ต ดอกจันทน์

ด้านล่างมีรอยจาร และอุดผงว่านของวัดชายนา และผงว่านต่างอีกหลายชนิด






ของเก๊ยังไม่เคยเห็น แต่ได้รับทราบข้อมูลมาว่า มีบ้างแล้ว

แต่ด้วยเอกลักษณ์ของเนื้อโลหะที่เป็นเนื้อชนวนล้วน ไม่ปนโลหะอื่น 

ถ้าใครเคยเห็นของจริงก็จะแยกแยะได้ไม่ยากครับ เนื้อชนวนจะแตกต่างอย่างมาก


จุดน่าสนใจทีี่ศิษย์วัดชายนาหลายท่านได้ประสบกับพุทธคุณของพระกริ่งชุดนี้

ก็คือ ตัดรุ้งได้ขาดอย่างชัดเจน


เคยมีน้องคนหนึ่งที่คุ้นเคยกันพอสมควร กังขากับกิตติศักดิ์เืรื่องตัดรุ้งขาด

พอดีวันนั้นนั่งรถตู้โดยสารประจำทางในกรุงเทพ  จังหวะที่ฝนเพิ่งหยุดตก สภาพรถติดๆ ไม่มีอะไรทำ

เหลือบไปมองเห็นรุ้งด้านนอกรถ ลองเอามีดกรีดขวางดูใกล้ๆกระจกรถ

รุ้งก็ยังคงขาด เหมือนที่เห็นกันที่เพชรบุรี


พระกริ่งรุ่นนี้ ทั้งเนื้อชนวน พิธีปลุกเสก และจำนวนที่ัชัดเจน

พี่น้องท่านใดมีไว้บูชา ต้องถือว่าโชคดีมากครับ

ลองอธิษฐานบูชาติดตัวดูนะครับ  พุทธคุณเต็มเปี่ยมจริงๆ


นำมาบอกเล่าเป็นข้อมูลให้ลองอ่านกันดูครับ









ขอบคุณรูปประกอบจากพี่หิ่งห้อย ครับ










32
กฎแห่งกรรม / ดัชนีเช็คกรรม
« เมื่อ: 30 ส.ค. 2552, 09:53:08 »
มักจะมีคำถามว่า ทำไม แขวนพระดี สักมาดี ทำไมหนังไม่้ดี 

พี่น้องเรามักจะให้คำตอบว่า เพราะกรรมเก่า ...

ลองมาดูกันครับ ว่า บาดแผลหรืออุบัติเหตุ เกิดขึ้นมาจากกรรมอะไรบ้าง


-ฆ่ามด ฆ่าปลวก ฆ่าแมลงวัน

มีผลกรรมทำ มีฝุ่นผงเข้าหน้าเข้าตา ร่างกายกระทบผงพิษทำให้ระคายเคือง ผิวหนังเกิดผื่นคัน


- ฆ่า เป็ด ไก่ นก ปลา

มีผลกรรมทำให้ บาดเจ็บจากการถูกไม้ ถูกมีด ถูกของมีคมขีดข่วนเป็นแผล

เดินสะดุดตอ นิ้วเท้าเจ็บ หกล้มเข่าถลอกปอกเปิก



- ฆ่า ม้า ลา วัว ควาย รวมทั้งสัตว์เลี้ยงที่ให้คุณด้านอื่นด้วย


มีผลกรรมทำให้ มีบาดแผลฉกรรจ์ ไฟไหม้เนื้อตัวเป็นแผลพุพอง ถูกน้ำร้อนลวกแขนด่าง

ประสบอุบัติเหตุรถล้ม รถคว่ำ รถชน แขนขาหัก หรือเจ็บป่วยต้องผ่าตัดช่วงท้อง หรืออวัยวะสำคัญ


- ฆ่าคนร้าย คนชั่ว คนพาล โดยที่ตนเองไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง

มีผลกรรมทำให้เจ็บป่วย ร่างกายพิกลพิการ เช่น ต้องตัดแขนทิ้ง ต้องตัดขา

หรือต้องผ่าตัดเอาอวัยวะสำคัญของร่างกายออกทิ้งไปบางส่วน



- ฆ่าคนดี คนดีของครอบครัว คนดีของสังคม

มีผลกรรมทำให้ ถูกฆ่า ถูกยิง ถูกฟัน พลัดตกจากที่สูง ตายจากอุบัติเหตุรถชน รถพลิกคว่ำ

- ฆ่าคนที่มีบุณคุณต่อตนเอง ฆ่านักบวชที่ทรงคุณธรรม

มีผลกรรมทำให้ชีวิตต้องประสบกับภาวะกลัดกลุ้มคลุ้มคลั่งไม่เป็นสุข ต้องเป็นบ้า เป็นโรคประสาท

เป็นโรคเรื้อรัง ใช้ชีวิตอย่างทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส

หรือมิฉะนั้นก็ฆ่าตัวตาย ทำลายชีวิต เพราะเห็นว่าความตายประเสริฐกว่าการมีชีวิตอยู่



เช่นเดิมครับ  เวลาเราเจ็บ เราจะได้รู้ว่า เพราะเราก็เคยทำเขาเจ็บมาก่อน  .....

ขอบคุณข้อมูลจากพี่วิษณุครับ

33
บทความ บทกวี / พวกบัวต่ำตม
« เมื่อ: 21 ก.ค. 2552, 10:32:56 »
ไปเจอ FW mailเก่าๆ อ่านแล้วอ่านอีกหลายรอบ ซึ่งเป็นบทสนทนาของหลวงพ่อรูปหนึ่งกับคนที่เหมือนบัวต่ำตม 

ลองติดตามกันดูครับ


วันนั้น ไปเทศน์ที่...สิงห์บุรี...
เทศน์ให้ครูฟัง...

ครูนั่งกันเต็มห้องประชุม... ๒-๓ ร้อยคน...
พวกครูผู้ใหญ่...พวกผู้อำนวยการ... ก็นั่งโซฟาข้างหน้า...

มีครูผู้ชายคนหนึ่ง...
นั่งเก้าอี้ข้างหน้า...เหยียดขา...ตาแดง...โงนไป...โ งนมา...
เมา....

ชาวบ้านเวลาฟังพระเทศน์.เขาพนมมือกันหมด...
มันไม่พนมมือ...

แถมเวลาพระเทศน์...มันกระดิกขา...เคาะจังหวะอีก.

ผู้อำนวยการอยู่ข้างหน้า...พยายามจ้องหน้ามัน...
มันหันหนี...ไม่สบตา...
ทำเป็นไม่รู้ ไม่ชี้...

อาตมาเทศน์ไปสักพัก...ทนไม่ไหว...
เลยถามว่า...

" โยม...ทำไมไม่ไหว้พระล่ะ..."

" พระเดี๋ยวนี้ประพฤติตัวไม่ค่อยดี...ไหว้แล้วเสียมือ. .."

แน๊ะ...มันเมาเหล้ากลิ่นคลุ้ง...จนโงหัวไม่ขึ้น...
ยังเสือกมาสอนพระอีก...

" โยม...ที่พระเทศน์นี่...
ท่านเอาธรรมะของพระพุทธเจ้า.มาสอนเรา...
ไม่ใช่ความคิดของท่าน...
การที่เราไหว้...เวลาพระเทศน์...เป็นการบูชาธรรม...
เป็นการแสดงความเคารพพระพุทธเจ้า..."

ไม่ไหว้...

" โยม...อาตมาขอถามอะไรหน่อยได้ไหม ?"

" ถามอะไร... ?"

" ระหว่างเรายกมือไหว้พระเอง...กับมีคนจับมือให้ไหว้พร ะ...
อันไหนดีกว่ากัน... ?
ระหว่างสวดมนต์เอง...กับนอนให้พระสวดให้...อันไหนดีก ว่ากัน.. ?"

มันเงียบ...ไม่ตอบ...
คงเริ่มสำนึกบาปแล้วล่ะ...

อาตมารีบถามต่อเลย...เดี๋ยวจะช้าไป...

" โยม...เคยไปวัดบ้างไหม... ?"

" ไม่ไป...ไม่ชอบวัด..."

" โยม...ระหว่างเดินไปวัดเอง...กับเขาหามไปวัด...อันไหนดีกว่ากัน... ?"

มันจ้องตาเขม็งเลย...
แล้วลุกขึ้นยืน....

" นี่...หลวงพี่...ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม... ?"

" ได้..."

" ระหว่างเดินกลับวัดเอง.กับมีคนหามกลับวัด...อันไหนดี กว่ากัน... ?"



คนพาลแม้เตืิอนดี ๆ ดี ก็โกรธ เฮ้อออ  สงสัยจะมีปัญหากับโพรงจมูกซะแล้ว
:032: :032: :032:

34
เหล่าบรรดา ขุนลิงทั้งหลายคงชอบนะครับ ชมกันขำๆ ครับ

ภาพแรก เป็น ทหารยักษ์ ทรงรีบร้อนไปทำศึกกับกองทัพลิง จนลืมเสบียง



๒. ลิงเล่นกระต่าย



๓. เด็กเด็กแนว..ประมาณว่า ทอดสะพานให้ลิงหนุ่ม




๔. ลิงคอกระเช้า



๕. กางเกงลิง



๖. รูปนี้โดนสุด ลิงกำลัง.เล่น...??




อมยิ้มก่อนนอนครับผม :027: :027:

35
"ทำบุญแล้วอธิษฐานสิ่งดีๆ นะจ๊ะ"

ประโยคนี้ได้ยินกันบ่อยๆ  แล้วก็ไม่ค่อยจะพลาด จัดไปเต็มที่   ทำบุญ ๑๐ บาท อธิษฐานครึ่งชั่วโมง  :095: :095:

จริงๆแล้ว การอธิษฐานเป็นหนึ่งในบารมีของการสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 

การอธิษฐานไม่ใช่การร้องขอ หรืออ้อนวอน การอธิษฐาน คือ การตั้งใจหรือมีเป้าหมายในสิ่งที่ก้าวไปข้างหน้า

ถ้าเปรียบความดีหรือบุญ เป็นเหมือนน้ำมัน  ตัวเราคือรถยนต์หรือคนขับ 

การอธิษฐาน ก็การมีเป้าหมายที่จะเดินทางไปให้ถึงจุดหมายนั้นๆ

รถที่มีน้ำมัน ถ้าไม่มีจุดหมาย ก็ขับเรื่อยเปื่อยไปจนน้ำมันหมด  แต่ถ้ามีเป้าหมาย แม้ไม่ถึงก็ใกล้เต็มที

บุญในแต่ละประเภท มีคุณสมบัติของตัวบุญเอง  เช่น

การที่เราทิ้งเศษอาหารลงพื้นแล้วขอให้สัตว์เล็กสัตว์น้อย เช่น มดหรือแมลง กินอิ่มแค่ครั้งเดียว

ส่งผลให้เราจะมีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ไป ๑๐๐ อัตถาพหรือ ๑๐๐ ชาติ

ถ้าให้ข้าวน้ำกับคนที่มือเปื้อนเลือด เป็นคนชั่วช้าสารเลว ได้กินอิ่มหนึ่ง ส่งผลให้ตัวเราอิ่มไป ๑๐๐๐ อัตถภาพ
(ทักษิณาวิภังคสูตร อปริปัณณาสก์ มัชฌิมนิกายฯ)

นั้นคือลักษณะของบุญที่อำนวยผล แต่ถ้าเราตั้งใจอธิษฐานให้อาหารที่ให้เป็นทานนั้นหากเป็นความดีหรือบุญมากน้อยแค่ไหน

ขอให้ข้าพเจ้าจงมีอาหารและทรัยพ์ไว้ทำบุญได้ไม่จำกัด ให้เป็นผู้มีเมตตาต่อคนอื่น สัตว์อื่นตลอดทุกภพทุกชาติ

กำหนดอธิษฐานไปแบบบนั้น บุญก็จะส่งผลไปในทางเดียว ตามที่เรากำหนดตั้งใจไว้


ส่วนเรื่องทำบุญเล็กน้อยแต่อธิษฐานสิ่งเกิดตัว จะเป็นไปได้หรือ??

ถ้าบุญเปรียบเหมือนน้ำมัน  การตั้งจิตอธิษฐานว่าจะไปเชียงใหม่  แต่มีน้ำมันแค่ ไม่กี่ลิตร ก็ย่อมไปไม่ถึง

ถ้าต้องการสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ก็ต้องทำบุญหรือความดีให้สมเหตุสมผลกันไป

ที่สำคัญคือ การอธิษฐานเป็นการตั้งเป้าหมายให้บุญส่งผลไปในทางเดียว เหมือนแว่นขยายที่รวมแสง

จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราทำบุญแล้วต้องอธิษฐานกำกับให้บุญนั้นส่งผลให้เต็มที่

หลวงพ่อวัดปากน้ำ เคยกล่าวไว้ว่า

"หาบุญได้ ต้องใช้บุญให้เป็น"

สรุปง่ายๆ การอธิษฐาน คือการตั้งใจและทำสิ่งที่ตั้งใจนั้นให้สำเร็จ ตามกำลังบุญที่เราทำไว้ครับ

36
บทความ บทกวี / ปริศนางานบวช
« เมื่อ: 24 มิ.ย. 2552, 11:02:44 »
ระยะนี้ เข้าสู่เทศกาล งานบวชกันถี่ หน่อยนะครับ

สังเกตว่า เวลาไปช่วยงานหรือไปร่วมงานบวช ใกล้-ไกล มักจะได้พบเห็นวัฒนธรรมหรือความเชื่อประจำงานบวชที่คล้ายคลึงกัน

จนหลายครั้งมีน้องๆ เพื่อนๆ ถามกันบ่อยๆ ว่า เขาทำแบบนั้นทำไมพี่ .. ?? 

วัฒนธรรมหรือความเชื่อบางอย่างก็พอจะเดาออก บ้างอย่างก็ต้องทำตัวเป็น กบนอกกะลา ตามหาความจริงกันไป

ลองมาดูทีละอย่างกันนะครับ

การแห่นาครอบโบสถ์

เห็นกันจนชินตาครับ กับการแห่นาครอบโบสถ์ ๓ รอบ

ความหมายหรือเหตุผลที่พอจะเดาออกคงไม่ใช่ แห่เอาสนุึกหรือแห่รอแขกแน่ๆ  :095: :095:

ที่เข้าใจกันส่วนมากก็คือ ให้ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แบบเดียวกันกับเีวียนเทียน

เหตุผลนี้ คงได้รับอิทธิพลมาจากเมืองแขก ประเทศอินเดีย ที่เขาถือกัันว่า การเดินเวียนประทักษิณ(เวียนขวา)นั้น

เป็นการแสดงความเคารพอย่างสูงสุด ถ้าเป็นบ้านเราก็คงประมาณกราบแทบเท้า หรือวิ่งแก้บนรอบสนามหลวง

เหตุผลอีกประการหนึ่ง คือให้ นาคสำรวมจิตใจให้พร้อมก่อนเข้าขออุปสมบท ทบทวนเรื่องราวของชีวิต

ไตร่ตรองถึงหน้าที่ของพระที่จะต้องน้อมนำมาปฎิบัติ ต่อไป

แต่มีเหตุผลอีกประการหนึ่ง ที่ลึกซึ่งเ้ข้าไปอีก นั้นก็คือ การเวียนรอบโบสถฺ์เป็นอุบายสอนให้เห็นว่า......

ชีวิตคนเราล้วนเวียนตายเวียนเกิดในสงสารวัฎฎฺ์ คือ ใน กามภพ รูปภพ อรูปภพ วนเวียนแบบนี้ หลีกหนีได้ยาก

แต่สำหรับผู้บวชหรือพอนาค พอเดินเวียนครบ ๓ รอบ แล้วเดินเข้าสู่โบสถ์

ก็สอนให้เห็นว่า  ได้ค้นพบทางสว่างที่ไม่ต้องวนเวียนอีกแล้ว ทางสายใหม่ ที่เป็นเส้นทางพ้นทุกข์ คือการเข้าหาพระธรรม


มุมมองนี้ ดูดีและทำให้เกิดปัญญามากที่สุด

เหตุใดนาคจึงต้องวันทาเสมา

เมื่อแห่รอบโบสถ์ครบ ๓ รอบแล้ว ลำดับพิธีต่อไป คือ นาคจะต้องไปกราบวันทาเสมาหรือขอขมาเขตเสมา

ซึุ่งเป็นเขตแดนต่อระหว่างพุทธอาณาจักรกับราชอาณาจักร เป็นการแสดงความเคารพต่อสถา่นที่และพระสงฆ์ที่ประชุมกันในโบสถ์

ความหมายอีกประการ คือ  การให้ผู้บวชไม่ว่าจะร่ำรวย เป็นลูกท่านหลายเธอมาจากไหน แสดงการอ่อนน้อม ยอมรับผิด

เป็นอุบายลด ความเย่อหยิ่ง จองหอง ลดทิฎฐิมานะ กล้าปฎิญาณตน ขอขมาในความผิดทั้งหลาย


เหตุใจจึงห้ามเหยียบธรณีประตู

ประเพณีอย่างหนึ่งที่เห็นกันจนชินตา เวลาไปงานบวช คือ การที่พ่อของนาค และแม่ของนาคจะช่วยกันจูงมือนาคข้ามธรณีปะตู

และมีเพื่อนๆ คอยอุ้มชูให้ลอยตัวข้ามธรณีประตูเข้ามาในโบสถ์

ความเชื่อในเรื่องนี้ โบราณถือกันว่า ถ้านาคหรือผู้บวชเหยียบธรณีประตู จะทำให้ตอนเป็นพระศีลไม่บริสุทธิ์ ด่างพรอย

ย่อหย่อนต่อการบวช หรือไม่ก็แหกพรรษา ??


เหตุผลที่เป็นรูปธรรมก็คือ  การเหยีบธรณีประตูจะทำให้ รักทองหรือชาดที่ทาไว้ ชำรุด-เสียหาย

เพราะโบสถ์หลาย ๆ วัด โดยเฉพาะวัดหลวง ธรณีประตูจะมีการลงรักปิดทอง หรือทาชาิด ไ้ว้ให้สวยงาม

ถ้านาคและผู้มาร่วมงานเหยียบย่ำกันทุกคน คงทำให้เกิดการชำรุด เสียหายได้

เหตุผลอื่นๆ ยังมีอีกมากมาย เช่น  เกรงว่านาคจะสะดุดธรณีประตูจนเกิดอุบัติเหตุ ไม่สามารถบวชได้

ธรณีประตูเป็นจุดที่มีนายทวารบาลหรือเทวดารักษาต้องแสดงความเคารพ

แต่เหตุผลในทางธรรม ที่เป็นอุบายสอนใจ คือ การที่ผู้บวชสามารถข้ามพ้นจากโลก

ข้ามพ้นจากอำนาจกิเลส เข้าสู่พุทธอาณาจักร

เข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัตร์ ได้เกิดใหม่ในเพศสมณะ เป็นเครื่องสอนใจให้คนเรา ฝึกฝนตัวเราให้อยู่เหนือกิเลสในใจ


เหตุใดจึงต้องให้นาคเอามือแตะขอบประตูโบสถ์ด้านบนสุด

ในขณะที่นาคกำลังจะก้าวข้ามพ้นธรณีประตูนั้น บรรดาญาติพี่น้องและเพื่อนๆ จะบอกให้นาค ชูมือให้สุดไปแตะขอบประตูโบถ์ด้านบน

ทั้งนี้บรรดาเพื่อนๆและผู้ร่วมงานต่างก็จะช่วยกันอุ้มชูให้นาคเอื้อมให้ถึงขอบประตู

ความเชื่อในเรื่องนี้ ว่ากันว่า ถ้านาคแตะขอบประตูโบถ์ด้านบนได้ จะทำให้ร่ำเรียนได้สูงสุด

แตกฉานในพระธรรมวิัันัย  ต่อไปจะได้เป็นสมภารเจ้าวัด


ส่วนเหตุผลที่เป็นรูปธรรมนั้น ก็คือ ว่า ประตูโบสถ์บางแห่งไม่สูงมากนัก

การอุ้มนาคเข้าโบสถ์อาจทำให้ศรีษะของนาคไปชนขอบประตู ทำให้ได้รับบาดเจ็บ จนทำให้ไม่สามารถบวชได้

เหตุผลในทางธรรมะ ยังไม่ชัดเจน แต่ได้รับการอธิบายจากท่านผู้รู้มาว่า เป็นการปฎิญานหรือแสดงให้เห็นว่า

นาคจะบวชและตั้งใจปฎิบัติให้ได้บุญสูงสุด

อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ การไปสู้พระนิพพานเหมือนจะไกลสุดมือเอื้อมถึง การเป็นจะไปให้ถึงต้องได้แรงหนุนจากคนรอบข้าง

บ่งบอกว่า การไปสู่ที่สูง เราอาจไปคนเดียวไม่ได้ เก่งคนเดียวไปไม่รอด

ต้องอาศัยพวกพ้องเพื่อนฝูง เจ้านาย คอยสนับสนุน ช่วยเหลือ


ดอกบัวของนาคที่วันทาเสมาเชื่อว่า ทำให้คลอดง่าย

ดอกบัวที่นาคพนมไว้ในมือตั้งแต่ตอนแห่รอบโบสถ์ จนถึงขณะวันทาเสมา เมื่อนาควางดอกบัวลงที่เสมาโบสถ์

จะมีผู้คนที่มาร่วมงานพากันแย่งดอกบัวนั้นไปให้ คนที่ท้องใกล้คลอดต้มน้ำดื่ม ด้วยความเชื่อว่า

น้ำดอกบัวของนาคจะทำให้คลอดง่าย

จริงๆ ดอกบัวเป็นสมุนไฟรหรือยาบำรุงครรภ์อยู่้แล้วละครับ ไม่ต้องของนาคก็ดีแน่นอน

แต่ความเชื่อที่ว่าทำให้คลอดลูกง่ายนั้น คงเพราะ นาคเป็นผู้ว่าง่าย พ่อแม่อยากให้บวชก็บวช

งานบวชก็สำเร็จได้โดยง่าย


เป็นงานที่ใครได้ข่าวก็อยากมาช่วยอย่างเต็มใจ  ถ้าได้น้ำมาต้ำน้ำดื่มกิน จะทำให้คลอดง่ายและเด็กทีเกิดมามีปัญญา ว่านอนสอนง่าย


ความเชื่อและวัฒนธรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่เราพบเห็นในงานบวช ล้วนแฝงความหมายที่ลึกซึ้ง

และเป็นความหมายที่สอนใจเราได้ดี 

มิใช่เป็นเพียงพิธีกรรม ที่ทำๆกันไป แบบงมงายหรือไร้ความหมาย แต่แสดงถึงภูมิปัญญาในการสอนธรรมะของคนโบราณ

ได้อย่างลุ่มลึก และมีเหตุมีผล

ไปงานบวชครั้งต่อไป ลองเก็บเกี่ยวแง่คิดดีๆ จาก ประเพณีที่น่ารักและน่าค้นหาเหล่านี้ กันให้ครบถ้วนนะครับ

จะได้ทั้งบุญจากการบวชพระและบุญจากการมีสติ คิดเท่าทันธรรมะของพระพุทธเจ้า

ขออนุโมทนาบุญกับนาคทุกท่าน ที่จะบวชในพรรษานี้ และผู้ที่จะไปร่วมงานบวชทุกท่าน ขอให้ได้เสบียงบุญกันเต็มที่ครับผม

สาธุๆ






 


37
บทความ บทกวี / บางส่วน ของคำสอน
« เมื่อ: 23 มิ.ย. 2552, 06:23:08 »
นั่งรำลึกถึงหลวงพ่อตัด วัดชายนา

พอดีพี่ท่านหนึ่ง ส่งข้อความคำสอนหลวงพ่อทีรวบรวมไว้มาให้อ่าน เห็นว่าพอจะมีประโยชน์บ้าง

นำมาบอกเล่า ครับผม


เนินเนื้อนูนโหนกเป็นโคกใหญ่ หนอกเนื้ออัดแน่นกับเนินเนื้อ จนเหงื่อไหล

เตาะ แตะ ตึง เต่ง โตง เตง ต้อง ตาย

คนอะไรก็ไม่รู้ เขาสอนก็ไม่จำ เขาทำก็ไม่ดู มีความรู้ไม่ปฏิบัติ ลงท้ายกลายไปเป็นสัตว์เอย ควาย

สอบตกจับมือน้อยแทงครู สอบได้จับไก่อูเชือดคอแกล้มเหล้า

เด็กสมัยนี้ไม่โกหกเรียนไม่จบ

คนเก่งมีมาก คนที่หายากคือคนดี

โรคสมัยนี้ มันจบปริญญาเอก ยาตามมันไม่ทัน

คนขอคนอยากได้ คนไม่ให้คนหน้าด้าน


คำที่หลวงพ่อได้สั่งสอนเอาไว้ครับ

เครดิต .. ขอบคุณพี่เก๋  พี่มด ที่รวบรวมและนำมาบอกต่อให้ได้อ่านกันครับ

38
ระยะนี้ ได้รับการ์ดงานบวช พอสมควร  ก็ได้ร่วมอนุโมทนาทางการ์ดบ้าง ไปร่วมอนุโมทนาในโบสถ์บ้าง ตามแต่จะสะดวก

ยังคงเห็นวัฒนธรรมความเชื่อของชาวพุทธ ประการหนึ่ง คือ

การนำพระเครื่องหรือเครื่องราง ใส่ลงไปในบาตรของสามเณร  ก่อนจะเข้าไปขอรับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ  

สอบถามได้ความว่า  ขนาดคนท่านยังสวดญัติฯให้เป็นพระได้เลย  พระเครื่องก็ต้องมีพุทธคุณแน่นอน

เวรกรรม.. :067: :067:

ในบาตรนั้นเท่าที่เห็น รูปพระพุทธเจ้าแทบทั้งนั้น แล้วพระสงฆ์นี่หรือจะสวดญัติให้พระพุทธเจ้าได้  แรงไปหรือเปล่า??

มาพิจารณากันดู คงเป็นความเชื่อให้จิตใจสบายมากกว่า

เพราะเรื่องคาใจแบบนี้ เคยกราบเรียนถามหลวงพ่อ หลวงน้าที่เคารพนับถือ เพื่อ ข้อมูลที่ชัดเจนและถูกต้อง  

ได้ความมาว่า........................

คำว่า "สวดญัติฯ" ก็คือ การสวดญัติจตุตถกรรมวาจา

หรือพูดแบบบ้านๆ ก็ประมาณว่า หารือและลงมติ    ยกบุคคลนี้ให้เป็นพระภิกษุโดนสมบูรณ์ด้วยมติสงฆ์

ไม่ใช่แปลว่า ยัดพุทธคุณหรืออัดพลังเข้าไปในตัวพระ ตัวบาตร  คนละเรื่องกันเลยครับ


อีกประเด็นที่หลวงพ่อ หลวงพี่ได้เมตตาให้ความรู้มาก็คือว่า

การสวดญัติฯ จะต้องออกชื่อฉายาสามเณรผู้ขอบวชหรือที่เรียกว่า อุปสัมปทาเปกขะ

สมมุติว่า ผู้บวชชื่อ ชวนปญฺโญ (ช-ะวะ-นะ-ปัญ-โญ) เวลาพระท่านสวดท่านก็เจะจงชื่อ ชวนปญโญ

ไม่ได้ออกชื่อพระเครื่องที่อยู่บาตรแม้แต่้น้อย การสวดเจาะจงลงไปที่ตัวผู้ขอบวชทั้งหมดทั้งสิ้น


ประเด็นสุดท้ายคือ พระสงฆ์ที่นั่งในโบสถ์ล้วนแต่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า

คงมิอาจจะสวดญัติให้พระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน

และการบวชก็เป็นเรื่องของการบวชไม่เกี่ยวกับการปลุกเสก หรืออธิษฐานจิตแต่อย่างใด

ถึงแม้ในบทคำบวชจะมีหลายท่อนซึ่งเป็นที่มาของคาถา เช่น

บทขอบวชท่อนที่ว่า "อุปะสัมปะ"ฯ ใช้ทางมหาเสน่ห์ เพราะขนาดเข้าไปขอบวช  พระท่านยังเมตตาให้ได้บวช

นำมาเป็นคาถาเมตตา ใครเห็นก็เมตตาเหมือนผู้ขอบวช  แต่ก็เป็นแค่อุบายการนำมาใช้

หรือท่อนที่เรียกนาคเข้ามาหาพระอุปัชฌาย์ บทที่ว่า "อาคัจไฉยยะ อาคัจฉาหิฯ" ประมาณว่า " เธอจงเข้ามานี้"  

จะถูกนำมาใช้เรียกคาถาอาคม หรือเรียกจิตสาวๆ ให้มาหลง ก็คงเป็นแค่แนวทางของคาถาที่ได้มาจาก พิธีบวช


การบวชจึงยังแฝงความหมายอีกมากมาย ให้แง่คิดในทางวัฒนธรรมและแฝงความหมายในทางคาถาอาคม ไว้มากมาย

แต่สรุปสุดท้าย

การนำพระเครื่องใส่บาตรเข้าไปในโบสถ์เพื่อให้พระสวดญัติฯ ก็ไม่เกี่ยวกับการเพิ่มพุทธคุณของพระเครื่องได้

เพราะพุทธคุณเกิดจากพุทธจริยา ได้เกิดขึ้นแล้วโดยพระพุทธเจ้า ไม่ต้องมีใครไปเสกเป่า พระพุทธเจ้าทรงกระทำมาดีแล้ว

การนำพระเครื่องใส่ในบาตรคงเป็นวัฒนธรรมที่ให้กำลังใจและเป็นแนวทางของความเป็นสิริมงคล

อย่างน้อยก็บ่งบอกให้เห็นศรัทธาว่า การบวชเป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์ กระทำในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์

ต่อหน้าพระสงฆ์ที่มีเมตตาพร้อมใจกันมาลงมติยกให้ผู้มีศรัทธาขอบวชได้เป็นพระภิกษุ

และต่อหน้าความปลืมปีติของพ่อแม่ ญาติ ของผู้บวช

ถ้าการใส่พระลงในบาตรเพื่อเข้าพิธีบวช สวดญัติฯ จะมีความดีงามแฝงไว้ให้คิด

ตัวผู้บวชน่าจะได้แง่คิดที่ว่า ของที่เป็นวัตถุยังมีคุณค่าด้วยการบวช

แล้วตัวคนบวชเมื่อบวชแล้วจะสร้างคุณค่าให้กับตัวเองและพระพุทธศานาได้คงทนเท่าพระเครื่อง หรือไม่  ??

เพราะชื่อว่าความดีนั้น อยู่ที่ไหนก็ไม่มีวันเสื่อมแน่นอนครับ  


นำมาแบ่งปันกัน จากการไปงานบวชในช่วงนี้


ขอกราบขอบพระคุณหลวงพ่อ หลวงพี่ หลายๆ วัดที่ได้เมตตาให้ความรู้เรื่องนี้มาครับ

39
พระฤาษี หน้าเสือ ชุดนี้ ปลุกเสกโดยหลวงพ่อตัด วัดชายนาครับ

ที่ไปที่มา มีสองทาง  หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า พระลาว(พระภาคอีสาน) เขาจะสร้างโบสถ์ เขาทำมาให้เสกให้เขา

หลวงพ่อปลุกเสกเรียบร้อยแล้ว ก็มอบคืนให้ผู้สร้างทั้งหมด แต่ก็ได้ถวายไว้ที่วัดจำนวนหนึ่ง

อีกข้อมูล เป็นการพูดกันไปว่า มีคนในวงการสร้างขึ้น เป็นของกลุ่มผู้สร้างพระ

แต่ด้วยรูปแบบที่สวยงามและหลังจากมีผู้บูชาไปมีประสบการณ์ชัดเจน  ทำให้ข้อมูลเป็นเรื่องรอง การหามาบูชาเป็นเรื่องแรก

จำนวนสร้างเนื้อสำริด ประมาณ ๙๙๙ องค์ เนื้อเงินจะมีจำนวนน้อยกว่า (ไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนครับว่าสร้างเท่าไร)

ใต้ฐานจะอุดด้วยว่านเสน่ห์จันทร์แดง-จันทร์ขาว และบรรจุหนังเสือไว้

ส่วนตัวผมชอบพ่อแก่หรือพระฤาษีอยู่แล้ว ได้มีโอกาสรับเนื้อสำริดมาบูชา เนื้อเงินหมดก่อน เพราะน้อยกว่าเยอะ

วันนี้หยิบยืมรูปมาให้ชมกันครับ  ผมไม่มีเนื้อเงิน ก็ต้องขออาศัยบุญบารมีของพี่ที่เขามีนำมาให้ชมกัน ครับ







ขอบขอบคุณพี่คนบ้านแหลม เจ้าของรูปชุดนี้ครับ 

40
ปกติเป็นคนไม่ชอบ อ่าน fwdmail เท่า่ไร

แต่ถ้าเพื่อนทีส่ง ถามว่า อ่านหรือยัง .. นั้นแสดงว่า ต้องมีอะไรสื่อถึงแน่ๆ ก็จะเปิดอ่านซะทีนึง

เก็บตกเรื่องราวดีๆ มาฝากสำหรับคนที่ไม่ชอบอ่าน fwdmail แบบผมครับ  


1. สำหรับสามีที่นอนกรนตอนกลางคืน...
....เพราะเขานอนหลับอยู่ที่บ้านกับเรา และไม่ได้ไปค้างที่อื่นน่ะสิ (คิดอย่างนี้จะทำให้เราทนฟังเสียงกรนไปได้อีกนานเลย)


2. สำหรับลูกสาวที่บ่น บ่น เพราะต้องช่วยคุณแม่ล้างจาน
...เพราะนั่นหมายถึงว่า เธอน่ะอยู่บ้านและไม่ได้อยู่ตามถนน


3. สำหรับเงินภาษีที่ต้องเสีย
...เพราะนั่นหมายถึงว่า ฉันยังมีงานทำอยู่


4. สำหรับความรกและยุ่งเหยิง หลังจากงานปาร์ตี้
...เพราะนั่นหมายความว่า ฉันมีเพื่อนๆ มากมาย


5. สำหรับเสื้อผ้าที่คับไปหน่อย
...เพราะนั่นหมายความว่า ฉันมีพอจะกิน (อาจจะมากเกินไปนะ อิอิ)


6. สำหรับเงาที่ตามฉันตลอดเวลาที่ฉันทำงาน
...เพราะนั่นหมายความว่า ฉันได้มีโอกาสอยู่กลางแสงแดดบ้าง


7. สำหรับพื้นบ้านและหน้าต่างที่ต้องเช็ดถูทำความสะอาด
...เพราะนั่นหมายความว่า ฉันมีบ้าน


8. สำหรับเสียงต่อต้านและคัดค้านต่อรัฐบาล
...เพราะนั่นหมายความว่า ฉันมีสิทธิ์ที่จะพูดและแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผย


9. สำหรับที่จอดรถที่สุดท้ายที่อยู่ไกลโข
...เพราะนั่นหมายความว่า ฉันมีแรงที่จะเดินด้วยเท้า และยังโชคดีที่มีรถขับด้วย


10. สำหรับเสียงดังจากข้างบ้าน
...เพราะนั่นหมายความว่า หูฉันยังดีอยู่


11. สำหรับผ้ากองโตที่จะต้องซักและรีด
...เพราะนั่นหมายความว่า ฉันมีเสื้อผ้าที่จะใส่มากมาย


12. สำหรับความเหน็ดเหนื่อยและเมื่อยล้า
...เพราะนั่นหมายความว่า ฉันได้ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ได้ทำงานหนักมาทั้งวัน


13. สำหรับนาฬิกาปลุกตอนเช้า
...เพราะนั้นหมายความว่า ฉันยังมีชีวิตอยู่


ขอบคุณเพื่อนที่คุ้นเคยกับ fwdmail ดีๆ ที่ไม่ค่อยได้เปิดอ่าน

 14; 14; 14; 14; 14; 14; 14; 14; 14;

41
สองสามวันก่อน ได้มีพี่ท่านหนึ่งที่เคารพนับถือ ได้มอบเหรียญพระเครื่อง มาให้ ๑ เหรียญ

ด้วยความที่ไม่มีข้อมูลและเพิ่งเคยเห็นครั้งแรก ออกอาการโดนใจและตื่นเต้นเล็กน้อย

เหรียญที่ได้รับมา เป็นเหรียญของ พระอาจารย์พรอาจารย์นก วัดเขาบังเหย  จ.ชัยภูมิ

โดนใจที่มีรูปมังกรคู่ และคำ่ว่า "เหี้ยม"  ไม่เคยเห็นมาก่อนครับ ลองให้น้องเลขาคนเก่ง น้องกูลเกิ้ลช่วยหาข้อมูล

พบเจอเหรียญโหด เหรียญเหี้ยม  แปลกดีครับ  ประวัติและประสบการณ์วัตถุมงคลของท่านก็ดุเด็ด เผ็ดมัน ดีจริงๆ

ได้ทราบว่า พระเครื่องของท่านแจกฟรี ห้ามซื้อขาย จุดนี้น่าสนใจครับ

ที่เด็ดสุดเห็นจะเป็น ก้นบุหรี่  มีประสบการณ์กันพอสมควรทีเดียว

ใครพอจะทราบที่มาของคำว่า โหด หรือ เหี้ยม ที่ปรากฏในเหรียญของท่าน  นำมาเล่าสู่กันฟังนะครับ ผมเองก็อยากทราบเช่นกัน

นำภาพมาฝากให้ชมกันครับ  ยังคงถ่ายรูปไม่ได้เรื่องเช่นเคยครับพี่น้อง  :075: :075: :075:





42
เพราะชีวิตคือชีวิต เมื่อมีเข้ามาก็มีเลิกไป
มีสุขสมมีผิดหวัง หัวเราะหรือหวั่นไหว เกิดขึ้นได้ทุกวัน

อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

   ใช่ครับ ฟังเพลง Live & Learn ฟังทีไร ได้แรงใจให้ชีวิตเสมอ  เป็นสัจจะธรรมความจริงที่ชัดเจน 

แต่บางครั้งถ้าเราเจอเรื่องร้ายๆ ซวยเด้งแบบที่เรียกว่า งานเข้า หรือถูกหวย บ่อยๆ  ก็ไม่น่าปลื้มเท่าไรครับ 

คนเราหากเจอช่วงชีวิตที่อับเฉา ติดขัด มีแต่เรื่องร้ายๆ โดยที่เราไม่ได้ก่อขึ้น แน่นอน ดวงไม่ดีโบราณก็ว่าไป

หากเลือดตกยางออก โดนคมเขี้ยวสัตว์ แสดงว่า ดวงตก ควรไปสะเดาะเคราะห์ซะที

   
      จริงๆ ถ้าพิจารณาตามหลักชาวพุทธแล้ว ดวงตกก็คือ อาการที่บาปในอดีตกำลังมาส่งผล ไม่ใช่ดวงดาว กำหนดแบบโหราศาสตร์

เมื่อบาปให้ผลเป็นทุกข์ ทางแก้ที่ดีที่สุด คือเติมบุญไปเจือจางบาป  ในช่วงที่ดวงตก เคราะห์ซ้ำกรรมซัด

คิดอะไรยังไม่ออก บอกปล่อยนก ปล่อยปลา ไว้ก่อน 

อันที่จริง การรักษาอาการดวงตกไม่มีกำเริบมากขึ้น คือ ควรเว้นกิจกรรมมันส์ๆ เมาๆ  ควรถือศีลซักระยะ

ทุกอย่างจะค่อยๆดีขึ้น  ถวายสังฆทานเป็นอีกทางเลือกที่ ป๊อป สุดๆ สำหรับคนหน้าไม่สด ทั้งหลาย

   

อีกวิธีที่พอจะบรรเทาอาการดวงตก จิตตก ก็คือ การสวดมนต์ ไหว้พระ หรือไปฟังพระสวดมนต์ เน้นไปเลยที่ พระปริตร 
   
การสวดพระปริตร หรือฟังพระสวดพระปริตร นั้น มีอานิสงส์และอานุภาพมากกว่าที่คิด ในอดีตสมัยพระพุทธเจ้ายังดำรงพระชนม์ชีพอยู่

มีเรื่องราวของเด็กน้อยที่ต้องตายใน ๗ วัน แต่รอดมาได้ด้วยพระพุทธานุภาพและอานุภาพของพระปริตร
   
เด็กน้อยผู้นั้น  รู้จักกันในนามของ อายุวัฒนกุมาร  เป็นเด็กน้อยที่มีกรรมในอดีตติดจรวดตามมาทัน

แต่โชคดีที่เกิดมาทันพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธเจ้าของเรานี่ละครับ ที่ทรงแนะนำวิธีหนีตายมาได้
   
เรื่องของเรื่องก็คือ มียักษ์ตนหนึ่งชื่อว่า   อวรุทธกยักษ์ เป็นยักษ์รับใช้ของท้าวเวสสุวรรณ ซึ่งก็คือ ๑ ในจอมเทพท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ ทิศ

ท้าวสุวรรณเป็นที่ทราบกันดีว่า เป็น เจ้านายใหญ่ของเหล่ายักษ์และภูติผี ปีศาจทั้งหลาย 


ที่นี้ที่งานเข้าเด็กน้อยอายุวัฒนกุมาร ก็เพราะ เจ้ายักษ์ อวรุทธกยักษ ได้เทคแคร์ปรนนิบัติท้าวเวสสุวรรณเป็นอย่างดี มาถึง ๑๒ ปี

ทำงานเข้าตา เจ้านายสุดๆ จนกระทั้งท้าวเวสฯได้ให้รางวัลพิเศษคือให้ไปจับเด็กกินได้ ภายใน ๗ วัน

 เรื่องแบบนี้คงไม่มีใครทราบได้ นอกจากพระพุทธเจ้า
   
และเด็กน้อยที่เจ้ายักษ์ตนนี้หมายปองจะหม่ำซะให้อร่อย ก็คือ เด็กน้อยอายุวัฒนกุมารนั้นเอง

พระพุทธองค์จึงทรงให้ จัดที่ให้พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์พระปริตร 

โดยทรงแนะนำว่า ให้นิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ตลอด ๗ วัน  แล้วเด็กน้อยจะรอดพ้นจากความตาย


ตอนจบของเรื่องคงพอจะเดาออกว่า เด็กน้อยรอดแน่นอน  แต่เหตุผลที่รอดซิครับ น่าสนใจ

ยักษ์นั้นได้รับพรว่า ใน ๗ วัน จับเด็กกินได้ แต่เมื่อเจ้ายักษ์เดินทางมาเพื่อจะจับเด็กกิน พบพระสงฆ์กำลังเจริญพระพุทธมนต์อยู่

ซึ่งการสวดพระปริตรนั้นมีลักษณะพิเศษคือ ต้องชุมนุมเทวดาและเทวดาทั้งหลายทุกระดับก็จะต้องลงมาฟังพระเจริญพระพุทธมนต์

แม้กระทั้งนายใหญ่อย่างท้าวเวสวุรรณ พระอินทร์ และทุกชั้นฟ้า

   

งานกร่อยซิครับ เจ้านายก็มา เหล่าเทพก็มากันมากมาย เจ้ายักษ์มีฐานะเป็นแค่ยักษ์รับใช้ 

เจอแบบนี้แป๊กไปตามระเบียบ ไม่สามารถเข้าไปจับเด็กกินได้ เพราะรัศมีความเป็นเทพไม่มีกับเขาเลย 

พอครบเวลา ๗ วัน พรที่เป็นรางวัลจากเจ้านาย ก็หมดลง  ไม่สามารถจับเด็กกินได้

ทั้งนี้ในวันที่ ๗ นั้นพระพุทธองค์ได้ทรงเสด็จมาเป็นประธานการเจริญพระพุทธมนต์

 ยิ่งทำให้เหล่า เทวดา มากันมากมาย ยิ่งหมดโอกาสจับเด็กกินแน่นอน


   
การสวดมนต์บทใหญ่ๆ ทั้งมงคลสูตรและพระปริตรทั้ง ๑๒ ตำนานหรือไปฟังพระท่านเจริญพระพุทธมนต์

จึงช่วยบรรเทาและลดโอกาส ของอาการ เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ได้ดีทีเดียว

เพราะเหล่าเทวดาซึ่งเป็นเจ้านายของ ภูติผีปีศาจ ก็จะลงมาฟังการสวดมนต์  โอกาสที่จะโดนคุณผี คุณคนก็หมดไป
   
ในช่วงที่รู้สึกว่าตัวเองดวงตกหรือดวงไม่ดี จึงควรหันหน้าเข้าหิ้งพระ สวดมนต์ให้เยอะๆ รักษาศีลให้บริสุทธิ์

สิ่งอัปมงคลทั้งหลายก็จะบรรเทาลงได้
   
โดยเฉพาะในวันโกน วันพระ ควรงดกิจกรรมบาป ทั้งการดื่มสุรา หลับนอนกับคู่ครองหรือแม้กระทั้งกิจกรรมยามว่าง ซนๆ ทั้งหลาย 

   
ฝากไว้ครับ สวดมนต์ไหว้พระ ได้อานิสงส์มากมายกว่าที่คิด พ้นจากความตายมาได้ก็มีมาแล้ว

43
วันอาทิตย์แบบนี้ พี่น้องศิษย์วัดบางพระหลายๆ ท่าน คงใชัโอกาสวันหยุดไปทำบุญ-ไหว้พระ เพื่อเป็นศิริมงคลและกำลังใจในชีวิต

วันนี้จึงนำเอาเรื่องเก่าที่น่าสนใจ สำหรับหลายๆ ท่านที่ชื่นชอบการไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามสถานที่ต่างๆ  

จริงๆ เขาบอกว่าสถานที่บนบานศาลกล่าวยอดนิยม  

แต่.. คิดว่าลองเปลี่ยนเป็นไปกราบไหว้ แสดงความเคารพต่อท่านและขอพร จะดีกว่าครับ  

ท่านมองเห็นเรามีความอ่อนน้อมเข้าไปกราบท่าน คงจะอำนวยพรที่เป็นสิริมงคลให้กับเราเอง  ไม่ต้องบนบานอะไรหรอกครับ

อ่านเป็นความรู้และทางเลือกไว้  เป็นอาหารสมองครับ

เริ่มกันเลยครับ




๑. พระพรหมโรงแรมเอราวัณ สี่แยกราชดำริ

ที่นี่มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือทั้งชาวไทยและต่างชาติ

เขาว่าที่นี่จะให้ดีต้องบนบานกันด้านธุรกิจ    

และนักธุรกิจฮ่องกงบินมาแก้บนแล้วหลายคน

โดยแก้บนกันด้วยละครรำครับ



 ๒.พระอินทร์ หรือองค์อมรินทร์ บริเวณ โซโก้


สถานที่อยู่ใกล้ๆ พระพรหม ครับ  ที่มักจะเรียกกันว่า สี่แยกเทพเจ้า

ที่นี่นิยมบนบานกันในเรื่อง ครอบครัว งาน และลาภผล

ใช้พวงมาลัยยาวๆ  เป็นเครื่องแก้บนครับ




๓. พระรูป กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ที่หน้า ร.ร พณิชยการพระนคร

ใกล้ๆ ทำเนียบนั่นแหละครับ ที่นี่นิยมบนบานกันในเรื่องการศึกษา ความปลอดภัย และความสุขสมหวังต่างๆ

ใช้กุหลาบแดงกับประทัดเป็นเครื่องแก้บน



๔.พระวิษณุ ที่เสาชิงช้า ข้างวัดสุทัศน์

อยู่ใกล้ๆ ที่ว่าการกทม. ครับ

นิยมบนบานเรื่องธุรกิจการก่อสร้าง การเริ่มโครงการ  และมีการสะเดาะเคราะห์ด้วย


เครื่องบนบานมีจัดเป็นถาดเฉพาะ หาได้บริเวณนั้นครับ และจะมีพราห์มคอยช่วยแนะนำในการบนบาน และแก้บนด้วย



๕. หลวงพ่อโต วัดอินทวิหาร ใกล้ๆแบงค์ชาติ บางขุนพรหม

ที่นี่บนได้ทุกเรื่อง เครื่องแก้บนใช้ทองคำเปลว 100 แผ่น และไข่ต้ม

เสร็จแล้วควรขอน้ำมนต์ไปอาบเพื่อจะได้แรงขึ้นด้วยนะครับ



๖.หลวงพ่อโอภาสี อาศรมบางมด ซอย สุขสวัสดิ์ ๒๙

ที่นี่นิยมบนบานขอความรุ่งโรจน์ในหน้าที่การงาน

เครื่องแก้บนคือน้ำมันก๊าด แต่ไม่ต้องห่วง มีคนคอยแนะนำวิธีให้เสร็จสรรพ



๗. ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ใกล้ๆ สนามหลวงนั่นแหละ

ที่นี่ก็ดังนะครับ นิยมบนบานกันในเรื่องความมั่นคงต่างๆ เช่นหน้าที่การงาน ครอบครัว

เครื่องบนบานใช้พวงมาลัย 7 สี 4 ทิศ และผ้าสามสี



๘.หลวพ่อเกสร วัดท่าพระ

ที่นี่มักบนในด้านความสุขในชีวิต ความเมตตาให้คนรักใคร่ หรือเรื่องความรัก

แต่อย่าไปบนแบบบอกกันตรงๆ ท่านเป็นพระ จะให้ส่งเสริมด้านความรักก็กระไรอยู่


เครื่องแก้บนอ่านแล้วอย่าเพิ่งขำนะครับ คือว่าว และผ้าห่มคลุมพระ




 ๙. หลวงพ่อพระร่วง ๗๐๐ ปี วัดมหรรณพาราม

ที่นี่บนเรื่องครอบครัว ลูกหลานเืชื่อฟังตั้งใจเรียน และความสุขในชีวิต

ตลอดจนการอธิษฐานในเรื่องต่างๆ ครับ

เครื่องแก้บนอย่าเพิ่งขำเหมือนกัน คือ ตะกร้อ ว่าว อย่าลืมถวายสังฆทานด้วย จะได้ครบสูตร

:114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114:
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามสถานที่ต่างๆ ที่นำเรียน ล้วนแต่มีเหล่าเทพเทวดาปกปักรักษาและคอยอำนวยพรให้แก่ผู้ที่มาแสดงความเคารพ

หากจะตั้งใจจะไปกราบไหว้ เน้นว่าควรไปขอพร แสดงความเคารพต่อท่านเหล่านั้นก็เพียงพอครับ

ของแก้บน ก็เปลี่ยนเป็นของบูชา ให้เหมาะสมกันไป  ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักครับ  

เรานำของไปสักการะท่านก่อน ท่านคงมีจิตเมตตาอนุเคราะห์อำนวชัยให้พรแก่เขา ตามที่เราประสงค์แน่นอน

เรื่องบนบานดูจะเป็นการติดสินบนเจ้าหน้าที่เกินไป  

แต่ก็มีบางท่านที่ผมเคยรู้จัก บนขึ้น บนเก่งจริงๆ ลองว่าให้ไปบนละสำเร็จทุกรอบ ก็ว่ากันไปครับ ลางเนื้อชอบลางยา

ผมว่า ขอพรดีกว่า สบายใจที่ซู๊ดด  :095: :095: :095:


ขอขอบคุณภาพจากเวปพลังจิตและหลายๆเวปที่นำมาอ้างอิง เวปละภาพ  :005: :005:

ขอบคุณบทความดีๆ จากพี่ยะครับผม

44
ช่วงนี้  มีอาการเบลอ เวรี่ .. มิอาจจะตั้งกระทู้มีสาระดีๆ ได้เท่าไรนะ

ขอนำเสนอ กระทู้มิตรไมตรี  สันทนาการเชิงจิตวิทยา ให้เล่นกัน พอเพลิน

ลองมาทายใจกันครับ  ว่า  แต่ละท่าน  คิดอย่างไรกับเรื่องสมมุติต่อไปนี้


สมมุติว่าเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในบ้านของคุณพร้อมๆกัน

แล้วคุณจะเลือกรับมือกับเหตุการใดก่อน ?


1.   มีคนโทรมา โทรศัพท์เสียงดัง

2.   เด็กทารกร้องไห้จ้าอยู่ในบ้าน

3.   มีคนมาหา และ เคาะประตูเรียกอยู่หน้าบ้าน

4.   ฝนทำท่าจะตก และคุณยังไม่ได้เก็บเสื้อผ้าที่ตากไว้ข้างนอกเลย

 
5.   คุณลืมปิดก๊อกน้ำในห้องครัวไว้ และ มันก็เริ่มไหลนองพื้นแล้ว

ลองเล่นโดยจัดลำดับเหตุการณ์สำคัญในใจแล้วตอบกันมานะครับ  แล้วจะมาเฉลยครับ  

45
ช่วงนี้ สาระความรู้ พระเครื่องและของดี เข้มข้นได้อรรถรสยิ่งนักในบอร์ดวัดบางพระของเรา

บริโภคข้อมูลเชิงสาระมากๆ เดี๋ยวสมองจะแฮ๊งค์ซะก่อน  มาเปลี่ยนบรรยากาศ เฮฮา กันหน่อยดีกว่าครับ

เฮฮา กับรูปที่ดูแล้วอารมณ์ดีของ เฮียโจ้แล้ว ใครยังไม่เคยอ่านเรื่อง ฮาๆ ของบักหม่อง 

ลองอ่านดูครับ  ฮาวันละนิด ชีิวตยืนยาว

๑...........

...ทำไม บัก หม่อง
 ถึงพาเพื่อน..แห่กันไปเที่ยว ผับ.. ทีละ 18 คน...
 ก็เพราะหน้าผับ .................เขาประกาศไว้ว่า .................ต่ำ กว่า
 18 ห้ามเข้าน่ะสิ (!!)


.............................................

๒.

ทุก ครั้ง..หลังถ่ายเอกสารเสร็จ
บัก หม่อง..จะเอาฉบับก๊อปปี้-มาตรวจทาน..เทียบกับต้น ฉบับ
เพื่อ เช็คดูว่า..มีคำไหนสะกดผิดรึเปล่า
(!!)

.............................

๓.
บัก หม่อง..จะยิ้มทุกครั้ง................ที่ฟ้าผ่า
เพราะนึกว่า..มีคนกำลังถ่ายรูปเขา อยู่ !!)

...................................

๔.
 รู้เปล่าว่า...ทำไมบักหม่อง................ถึงกด โทรศัพท์เบอร์ฉุกเฉิน 911)..ไม่ได้
 ก็เพราะ.....เขาหาเบอร์ 11 (สิบ เอ็ด) .................บนแป้นไม่เจอน่ะสิ

 (!!)

..................................

๕.
บักหม่อง..เข้าไปเดินดูของในร้านจี ฉ่อย
เห็นกระติกน้ำทำจากโลหะอันหนึ่ง วางอยู่
บักหม่องถามอาอึ้มว่า
'อึ้ม.. **ที่วอบแวบสีเงินๆ นั่น อะไร'
อึ้มตอบว่า 'กระติกน้ำไง ................. (** ฟาย)'
'แล้วมันทำอะไรได้มั่ง'
'ก็ใส่ของร้อน-ก็ร้อนนาน .................ใส่ของเย็น-ก็เย็น นาน'.
บักหม่อง..เห็นว่าน่าสนใจ................เลยตกลงซื้อ มาอันนึง
เช้าของวันใหม่..อากาศแจ่มใส
บักหม่อง..ก็เอากระติกน้ำที่เพิ่งซื้อมา..ไปที่ ทำ งาน..
ตั้งอวดบนโต๊ะ..อย่างภาคภูมิ
 หัวหน้าบักหม่องเห็นเข้า................เลยถาม ขึ้น
 'อะไรนั่นน่ะ..บักหม่อง'
 'กระติกน้ำครับ'
 'แล้วมันมีอะไรพิเศษรึ'
 'ก็ใส่ของร้อน..ก็เก็บความร้อนได้
 หรือใส่ของเย็น..ก็เก็บความเย็น ได้'
 หัวหน้าเลยถามว่า..
 'แล้วใส่อะไรมาล่ะ'
 บักหม่องยืด..ก่อนจะตอบ ว่า..
 'กาแฟร้อน 2 แก้ว.. กับไอติม 1 ถ้วย ครับ'
 (!!)


.......................

๖.

 -----------------
 บักหม่อง..เพิ่งซื้อคอมพิวเตอร์มาใหม่เครื่อง หนึ่ง
 เล่นไปซักพัก..ก็เจอปัญหา
 บักหม่อง..เลยลองกดที่ HELP บน แป้น F1
 ผ่านไปพักใหญ่.... บักหม่องหงุด หงิดมาก
 เลยโทรไปต่อว่า..ร้านที่เขาซื้อคอม มา
 'ผมกด F1 ตามที่เครื่องบอก.. เวลาที่มี ปัญหา
 แล้วก็รออยู่เป็นชั่วโมง.. ยังไม่เห็นมี ใครมาช่วย เลย'
 คนขาย : '(**....)' (!!)
 วันรุ่งขึ้น
 บักหม่อง : เครื่อง คอมพิวเตอร์ คุณนี่ห่วยมากอีกแล้ว น่ะ
 ผมเสียเงินซื้อไปตั้งเยอะมีแต่ปัญหาไม่รู้ จบ
 หน่ำซ้ำ
 พอโทรมาสอบถามพนักงานงานขายของ คุณ ก็ดันตอบไม่รู้ เรื่อง
 ผู้จัดการ : มีปัญหาอะไรให้ ดิฉันรับใช้ได้ค่ะ
 ( เสียงสั่นเครือมากด้วยอาการที่หวาดกลัวจะถูกลูกค้าด่า กลับ )
 บักหม่อง : ก็หน้าจอ คอมพิวเตอร์ ของคุณน่ะ
 รายงานผลว่า
 ซีตุ๊ป - ซีตุ๊ป
 ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง
 ผู้จัดการ : บอกว่า เธอก็ไม่รู้ ว่า ไอ้ซีตุ๊ป-ซีตุ๊ปเนี่ยมันคืออะไร
 ช่วงนั้นก็น้ำตาเกือบไหล เพราะกะว่าถ้า ตอบปัญหาลูกค้าไม่ได้
 ต้องถูกไล่ออกแน่เลยตู
 จนกระทั่ง.....
 ผู้จัดการ : คุณลองสะกดคำ ว่า ' ซีตุ๊ป - ซีตุ๊ป ' หน่อยสิคะ
 ว่าสะกดอย่างไร
 บักหม่อง : S - E - T - U-P - S - E - T - U - P
 ผู้จัดการ : คุณนี่ สุดยอด จริง ๆ อ่านได้งัย ซีตุ๊ป ซีตุ๊ป 555!

....................

๗.
 บักหม่อง..ไปหาหมอ...ในส ภาพ หูบวมแดงน่า กลัว
 หมอถามว่า.. 'ไปโดนอะไรมาครับ'
 บักหม่องตอบว่า.. ' ผมกำลังรีดผ้า อยู่.. แล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
 แต่แทนที่จะหยิบโทรศัพท์มาพูด
 ผมดันเผลอ..เอาเตารีดขึ้นมาแนบหูน่ะ สิ'
 'โอ้ว..เดียร์'
 หมออุทานเป็นภาษาฝรั่ง................ ด้วยความเวทนา
 'แล้วหูอีกข้าง..ทำไมถึงแดงเหมือนกัน ล่ะ'
 ..หมอถามต่อ
 'ก็**บ้านั่น...เสือ_ โทร.กลับมา อีกรอบ..อ่ะดิหมอ'

 (!!)

....................

๘.

* หลังจาก...ใช้ความ พยายาม................ต่อจิ๊กซอว์อยู่นาน
 ในที่ สุด..บักหม่องก็ต่อเสร็จ
 เขาเอา ไปอวดเพื่อน...ด้วยความภูมิใจ
 'เป็น ไง ................เนี่ยฉันใช้เวลาต่อ..แค่ 5
 เดือน เองนะโว้ย'
 เพื่อน บักหม่องงง..ที่เขากล้าอวด
 ' 5 เดือน เหรอ ! แถวบ้านฉันเรียก ว่า..!
 โคตร นานเลยนะนั่น'
 'แกนี่ไม่รู้ อะไร'
 บัก หม่อง..ไม่ยอมลดละ
 'ดูที่กล่อง นี่ ................เห็น มั้ย .................มันบอกว่า...
 ' สำหรับ 4-7 ปี'
 แต่.. ฉันใช้เวลาแค่ 5 เดือนเองนะเฟ้ย.. (!!)


จาก Forward Mail ครับ คงเคยได้รับกันบ้างแล้ว 

แบ่งปันรอยยิ้มครับผม

46
ขอแสดงความยินดีกับท่านต้นน้ำด้วยครับ

ที่ได้รับความไว้วางใจและกำลังใจ ให้เป็น ผู้ดูแลบอร์ดวัดบางพระ

ท่านต้นเอาใจใส่ และมีเวลาให้บอร์ดเป็นประจำๆ สมควรกับตำแหน่งนี้ครับ ยินดีด้วยครับท่าน

ช่วยแบ่งเบางานพี่ๆ เพื่อนๆ ที่ดูแลอยู่ตอนนี้นะครับ ท่านต้นทำได้แน่นอน  เหนื่อยหน่อยแต่สุขใจครับท่าน  

ยินดีด้วยครับ   :089: :089: :089: :089: :089:
 :053: :053: :053: :053: :053: :053: :053:

47
ผมเป็นคนหนึ่งที่เวลาพิมพ์อะไรมักผิดประจำ  นึกเซ็งตัวเองและเซ็งแทน ...คนที่อ่านข้อความของผม  ไอ่อชิฯ มันผิดอีกแล้ว ได้ตลอดจริงๆ

แต่พออ่านข้อความที่พิมพ์ผิดในเวปพันทิพนี่  โอ้วว  แรงกว่าเราเยอะ

นำมาให้อ่าน ขำๆ  เวลาำทำงานกันเครียดๆ ครับ  อย่าคิดมาก มันก็แค่ข้อความที่พิมพ์ผิดกันจริงๆ ไม่มีเจตนา

จะได้เป็นบทเรียนให้ระวังและมีสติกันมากขึ้นครับ  (สอนตัวเองก่อนเราผม  :095: :095:)


- "ลูกชายผมสองขวบมีไข่สูงมากให้กินพาราได้ไหม ขอคำตอบด่วนครับ"




- มีพี่ที่ทำงานคนนึงเพิ่งเข้ามาทำงาน เธอเป็นลูกน้องผมแต่อายุแก่กว่าผมมาก 

   ผมจะสอยเธอยังไงดี! ครับถึงจะไม่น่าเกลียด'




- ' ถ้าง่วงก็ลองเคี้ยวหมาฝรั่งดูสิคะเผื่อจะหาย'



- ' เดือนหน้าดิฉันจะมีเพื่อนฝรั่งมาเที่ยวเมืองไทย เค้าชอบช้างมากค่ะ 

   ช่วยแนะนำทัวร์ที่มีโปรแกรมขี้ช้างให้หน่อยได้มั้ยคะ'




- เจอรูแฟนเก่าในโทรศัพท์มือถือแฟน หมายความว่ายังงัย'



- ' อยากไปเที่ยวท้องฟ้าจำลอง ที่ปิดไฟมืด ๆ แล้วฉายภาพดาวน่ะค่ะ
 
   ไม่ทราบว่าเข้าชมฟรีรึต้องเสียตัวด้วยรึป่าวคะ'




- ' พี่ ๆ ครับ ผมจะไปสอบใบขับขี่พรุ่งนี้แต่ผมยังไม่ชำนาญเรื่องการถอยรถเข้าซ่องเลย   

   ใครพอแนะนำเทคนิคได้บ้างครับ'




- ' ผมมีปัญหากับแฟนใหม่ของเธอครับ ไม่น่าคิดมากเลย

  แค่โทรเรียกเธอมาเจอเพราะอยากเลียร์ ให้มันสบายใจทั้งสองฝ่าย'




- ' ขอถามหน่อยค่ะ ใบพลูเดี๋ยวนี้หาซื้อได้ที่ไหน

  คุณยายข้างบ้านกินแต่หมาเปล่า ๆ มานานแล้ว บอกว่าเคี้ยวไม่อร่อย'




- 'ผมตกขาวมากเลยครับ เกือบไม่ได้ไปดูงาน NIKON DAY  '



- 'ผมหาลึงค์กระทู้หมาฝรั่งไม่เจอแล้วสิ'







- 'ถามท่านผู้รู้หน่อยคับ : ทำไงดีคับ เครื่องเสียวผมใช้งานไม่ได้'
:004: :004: :004:





 09; 09; พิมพ์ผิดบางทีก็น่ารักดีครับ ฮา...กันไปพี่น้อง อย่าคิดมากครับ   ยิ้มไว้ครับ

 ยิ้มแล้วรวยครับ ...แถวหน้าใสแบ๊ว   
:005: :005: :005:

48
คนไทยผูกพันยึดมั่นในความเชื่อเรื่องพระเครื่องมายาวนาน

หลายๆ ท่านแขวนพระ เพื่อเตือนสติให้ทำความดี ไม่ไปพลั้งเผลอทำสิ่งไม่ดี ซึ่งถือว่า ห้อยพระเป็น พระคุ้มครองครับ

แต่ในอีกด้านหนึ่งนอกจากวัตถุประสงค์หลักดังกล่าวแล้ว  คงต้องยอมรับว่า พระเครื่องก็เป็นสิ่งให้กำลังใจและคอยยึดเหนี่ยวจิตใจอีกด้วย

นามหรือชื่อของพระเครื่องพิมพ์ต่างๆ นั้น ยังแฝงนัยแห่งความเชื่อหรือแนวทางของการสร้างกำลังใจได้ดีครับ  เราลองมาดูกัน

พระปางมารวิชัย อย่าง พระพุทธชินราช พระหลวงพ่อโตบางกระทิง  ฯลฯ เป็นปางชนะมาร 

เชื่อกันว่า ถ้าต้องผจญกับอุึปสรรคหรือคนไม่ดีแล้วควรแขวนพระปางนี้ครับ

พระปางมารวิชัยจะเป็นกำลังใจให้เรา อาจหาญ เชื่อมั่นในตนเอง ซึ่งผลก็คือ เราเอาชนะผู้อื่นได้ด้วยความดี

พระสะดุ้งกลับ เชื่อกันว่า กลับเรื่องร้ายๆ ให้กลายเป็นดี ..ผ่อนหนักให้เป็นเบา  ที่เบาก็หายไปหมดสิ้น

พระหลวงพ่อโต เชื่อว่า เหมาะกับคนที่ต้องปกครองคนอื่น มีหน้าที่การงานใหญ่โต ย่อมเป็นมหาอำนาจ ลูกน้องยำเกรง

พระปางลีลา เชื่อว่า จะทำให้มีความก้าวหน้า ไม่หยุดนิ่ง พบแต่ความเจริญรุ่งเรือง

พระปางนาคปรก ย่อมมีผู้คอยคุ้มครองให้ปลอดภัย พ้นจาอันตรายทั้งปวง

พระปางปรกโพธิ์  เชื่อว่า จะมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข

พระกริ่ง เชื่อกันว่า เหมาะสำหรับคนที่ต้องการชื่อเสียงโด่งดังหรือทำงานที่ต้องใช้เสียง พูด ร้อง จะเป็นที่ดึงดูกคนทั้งหลาย

พระปางอุ้มบาตร เชื่อกันว่า จะไม่อดยาก ถึงอย่างไรก็มีพอกินพอใช้


และยังมีอีกมากมายครับ ตามความเชื่อของแต่ละบุคคล

ในอีกด้านหนึ่ง คุณสมบัติหรือจริยาของผู้ปลุกเสกก็มีผลทำให้เกิดความเชื่อได้เช่นกัน

พระสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ) วัดเทพศิรินทร์ เชื่อว่า จะเป็นที่ยอมรับนับถือ มีแต่ความเจริญ ใจเย็น

พระท่านเจ้าคุณนรฯ เชื่อว่า เจ้านายรักเมตตา ทำการงานก้าวหน้า เห็นผล

พระสายกัมมัฎฐาน เชื่อว่า เดินป่า หรือเดินทางไกลจะปลอดภัยและมีเทวดาคอยคุ้มครอง


ยังมีความเชื่ออีกมากมายในเรื่องที่คนเราเลือกสรร พระเครื่องซักองค์ไว้ประจำตัว จะด้วยเหตุผลหรือแนวทางใดก็ตาม

หลักการที่สำคัญคงหนีไม่พ้นหลักของกรรม และ การมีสติระลึกเสมอว่่า เรามีพระนำหน้าอยู่ทีคอที่หนัาอก

จะไปทำชั่ว ก็ควรละอายกับพระที่แขวนบ้าง  ถ้าทำได้แบบนี้พระก็ศักดิ์สิทธิ์ คนก็ขลังครับ

หลวงพ่อเคยสอนว่า ต้นไม้มันจะขึ้นได้ต้องมีดิน มีปุ๋ย พระเครื่องจะสถิตอยู่ได้ต้องอยู่กับคนดี 

คนไม่ดีก็เหมือนหิน เหมือนปูน เอาเมล็ดพืิชวิเศษแค่ไหนไปเพาะไปปลูกก็คงโตเป็นต้นไม้่ไม่ได้

ก่อนจะหาพระเครื่องตามชื่อที่เป็นมงคลนาม  เราจึงควรทำตัวเราให้พร้อมจะรองรับสิ่งเป็นมงคลก่อนดีกว่าครับ


คุยกันเพลินๆ พี่ๆน้องๆ วัดบางพระ ท่านใดเคยได้ยินเรื่องความเชื่อตามชื่อพระเครื่องแบบนี้บ้าง ลองมาบอกเล่ากันบ้างนะครับ
[/size]

49
                       

ปลักขิก ผู้เคียงข้าง เครื่องรางแห่งเสน่ห์ โชคลาภ และปัดเป่าเสนียด

วัตถุมลคลที่เป็น เครื่องรางที่อยู่คู่กับคนสังคมไทยมาตั้งแต่นาน ตั้งแต่สมัยอยุธยา

ปลักขิกนั้นนิยมเรียกกันในชื่อ "ขุนเพ็ด" หรือ "ขุนเพชร"

คำว่าปลัด นั้น หมายถึง ตำแหน่งรองจากตำแหน่งที่เหนือกว่า โดยรู้จักกันในความหมาย ผู้ข้างเคียงคอยช่วยเหลือ

ส่วนคำว่า ”ขิก” นั้น คำนี้ได้ถูกเลิกใช้มานานแล้วเพราะเป็นคำหยาบ ได้ผันเปลี่ยนมาใช้คำว่า “คุยหํ” ในภาษาบาลี

และได้แผลงมาเป็น ตวย (ต เปลี่ยนเป็น ค) ในภาษาไทย ซึ่งในปัจจุบันคำนี้ก็เป็นคำหยาบไปอีก แตกต่างกันตรงที่ว่า

ยังนิยมชมชอบที่แจกให้กันเสมอ ๆใน ปัจจุบัน
  :004: :004: :004:


ปลักขิกหรือขุน เพ็ด เป็นเครื่องรางคู่กับโยนี (เครื่องรางรูปของลับของสตรี)

ซึ่งทั้ง 2 สิ่งนี้เป็นดอกไม้ในแดนสวรรค์ เป็นเครื่องหมายของการกำเนิดส่งใหม่ ๆ หรือความงอกงามของชีวิตใหม่



ขุนเพชรหรือ ปลัดขิก แต่เดิมนิยมให้เด็กผู้ชายอายุตั้งแต่ ๓-๔ ขวบขึ้นไป แขวนไว้ที่เอว

เพราะเด็กอายุประมาณนี้จะเริ่มมีเอวแล้ว และเด็กในระยะนี้จะมีภูมิคุ้มกันตนน้อยลง เพราะว่าหย่านมแล้ว

แนวโน้มที่จะเจ็บไข้ไม่สบายมีมากขึ้น ความเชื่อที่ว่าผีสาง ทั้งหมายจะทำให้เด็กเจ็บป่วยไม่สบายจึงให้แขวนปลัดหรือขุนเพชรไว้

ทั้งนี้เพราะปลัดขิกที่นำมาแขวนให้กับเด็กชายนั้น จะอยู่ในลักษณะขององคชาต จำลองย่อส่วนโดยปราศจากหนังหุ้มปลาย

ระดับของการแขวนก็อยู่ที่เอวมิใช่คอ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ห้อยลงมาใกล้กับระดับองคชาต (อ้ายจู๋) ของเด็กให้มากที่สุด

เพื่อจะหลอกผีให้เข้าใจผิดไปว่าเด็กชายนั้นใช่เด็ก หากเป็นผู้ชายเต็มตัวแล้ว โดยมีองคชาตที่ปลายเปิดไม่มีหนังหุ้ม

ส่วนปลัดขิกเหล่านี้ หากจะให้มีความขลังยิ่งขึ้นก็ควรจะต้องผ่านการปลุกเสกเสียด้วยอีกต่างหาก




ปลัดขิกเริ่มด้วยเป็นเครื่องมือหลอกผี

แต่แล้วต่อมาปลัดขิกก็ได้ยกระดับตัวเองให้กลายสภาพจากเครื่องมือหลอกผีมาเป็นของขลังในตัวของมันเอง

โดยไม่จำกัดอยู่กับวัยอีกต่อไป ผู้ใหญ่ซึ่งไม่มีความจำเป็นแต่ประการใดที่จะหลอกผีให้เข้าใจผิด

ก็ยังนิยมที่จะแขวนไว้เป็นเครื่องรางป้องกันสิ่งชั่วร้าย โดยไม่รู้ถึงสาเหตุหน้าที่ของมัน



ปลักขิกนั้นมี เคล็ดการใช้แตกต่างกันไป บางสำนักนิยมให้ถูกเนื้อถูกตัว คือคาดที่เอวให้โดนเนื้อตัวเจ้าของไว้

แต่อีกแบบหนึ่งนั้น นิยมให้ปลัดขิกแขวนออกมาให้คนอื่นๆเห็นจะยิ่งมีอานุภาพ คงเป็นอิทธิพลมาแต่เดิมที่จะใช้หลอกผี

ให้เข้าใจว่า โตแล้ว ผีจะได้ไม่มายุ่ง ส่วนการให้ถูกเนื้อโดนตัวนั้นตามความคิดของผมเข้าใจว่า

สิ่งต่างๆจะสมบูรณ์เมื่อธาตุทั้ง ๖ ประสานต่อเนื่องกันไป

ส่วนเรื่อง อานุภาพหรือความขลังศักดิ์สิทธิ์ของปลัดขิกนั้น มีอานุภาพครบทุกด้านทุกประการ




คาถาที่นิยมใช้กับปลัดขิก คือ หัวใจโจร ที่ว่า “กัณหะเนหะ” ด้วยความหมายที่ว่า โจร เป็นผู้ทำลายล้าง

การใช้หัวใจโจรจึงเป็นการใช้เกลือจิ้มเกลือ หนามยอกเอาหนามบ่ง ให้โจรทำลายล้างสิ่งไม่ดีต่างๆให้หมดไป

ปลักขิกนั้นเด่นทั้งเรื่อง คงกระพัน กันเขี้ยวงา และแคล้วคลาดปลอดภัย ป้องกันเสนียดจัญไร ภูติผีต่างๆ

ในด้านเมตตามหาเสน่ห์ก็มีอยู่ครบ แต่ที่จะโดดเด่น เห็นจะเป็นแค่ ๒ อย่าง คือ คงกระพัน กันเขี้ยวงา และเมตตาค้าขาย

ข้อดีของ เครื่องรางชนิดนี้ คือ ไม่มีข้อห้ามยุ่งยาก ตัดปัญหาเรื่องความเชื่อที่ว่า

ของจะเสื่อมเพราะการพลั้งเผลอไปลอดราวผ้าหรืออยู่ในที่ไม่สมควร

คาถาของขุนเพชร เองก็มีแต่คำพื้นบ้านหรือออกจะหยาบนิดๆพอน่ารัก


เกจิอาจารย์หลาย สำนักสร้างปลัดขิกหรือขุนเพชรได้อย่างยอดเยี่ยม และเห็นผลอย่างเหลือเชื่อ

ในทุกวันนี้จะมีผู้นิยมใช้ปลักขิกในฐานะของเครื่องรางที่ทำให้ค้าขายดี มีคนเข้าร้านมากมาย

จึงนิยมในหมู่แม่ค้าและเจ้าของกิจการระดับทั่วไป แต่อีกกลุ่มหนึ่งที่ยังเหนียวแน่นเป็นแฟนพันธุ์แท้ของปลัดขิก

คือ วัยรุ่นหรือหนุ่มที่ยังคงถือเก็บสะสมเครื่องรางของชายชาตรีให้ครบครัน ปลักขิก ตะกรุด

จึงเป็นเครื่องรางที่ไม่ถูกมองข้ามในคนกลุ่มนี้



ผู้ที่มีความเชื่อ มั่นและคิดเสมอว่าตัวเรามีของดี คือ ขุนเพ็ด เผด็จศึกติดตัวอยู่

ยิ่งมีความผูกพันธ์และเชื่อมั่นมากเท่าไร เครื่องรางชนิดย่อมแสดงผลให้ประจักษ์ได้อย่างชัดเจน

โดยทั่วไปแล้วเกจิอาจารย์เก่าหรือผู้ที่ใช้เครื่องรางทุกอย่าง จะขาดปลัดขิกไม่ได้ เป็นของป้องกันตัวพื้นฐานที่สำคัญ

ในฐานะ “ผู้เคียงข้าง” ตลอดกาล


รบวรวมไว้นานแล้วครับ แบบว่า ชอบ  :095: :095:

ที่มาครับ http://www.yimwhan.com/board/show.php?user=way-always&topic=1&Cate=3

50



ห่างหายจากการเล่าเรื่องในบอร์ดมาระยะหนึ่ง ตอนนี้พอจะหายมึนไปบ้างแล้วครับ   ขอล้อมวงเล่าเรื่องกันต่อดีกว่า

วันนี้ขอพูดถึงตะกรุดอีกแบบหนึ่งที่น่าสนใจครับ คือ ตะกรุดมหาระงับ

พูดถึงตะกรุดมหาระงับ (ปราบหงสา) ซึ่งเป็นตะกรุดโทนดอกเดียว  จารมือทั้งดอกลงอักขระยันต์มหาระงับ-ปราบหงสา

ที่ผมนำมาเล่าให้ได้ศึกษาข้อมูลกันเพราะเห็นว่า ตะกรุดแบบนี้ที่จะสร้างได้ตามแบบโบราณและมีพุทธคุณชัดเจนนั้น

หายากขึ้นทุกวัน

วัดชายนา ได้เคยมีการสร้างตะกรุดมหาระงับ มาบ้างแล้วเมื่อช่วงก่อน ในจำนวนแค่หลักสิบ เท่านั้น

ตะกรุด มหาระงับเป็นตะกรุดชั้นสูงที่แต่ครั้งในสมัยโบราณ

คณาจารย์ที่ศึกษาวิชาการทำตะกรุดแบบนี้จะทำถวายให้พระเจ้าแผ่นดินและแม่ทัพ นายกองเป็นส่วนมาก

ตะกรุดมหาระงับ มีประวัติชัดเจนในสมัยอยุธยา เป็นเครืองรางประจำประองค์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ที่ทรงประทับสวมพระวรกายออกทำศึกกับทัพพม่า กรุงหงสาวดี ที่ทุ่งบ้านหนองสาหร่าย อ.ดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี ในปัจจุบัน

และได้ทำยัทธหัตถี ชนะพระมหาอุปราช(มังสามเกียด) และทำให้กองทัพพม่า กรุงหงสาวดี พ่ายแพ้ในการศึกครั้งนั้น

ตะกรุดมหาระงับ จึงมีการเรียกขานกันในอีกหลายชื่อ ว่า ตะกรุดมหาปราบหงสา หรือตะกรุดนเรศวรปราบหงสา ตั้งแต่นั้นมา

ที่น่าสนใจคือ ยันต์มหาระงับที่ใช้จารลงบนตะกรุดนั้นมีอานุภาพไม่ใช่แค่ ระงับดับทุกข์โศก โรคภัยหรือเรื่องร้ายๆ เท่านั้น

แต่ตะกรุดมหาระงับ (ปราบหงสา) ยังมีพุทธคุณในการสะกดใจคนให้เชื่อฟังและอยู่ในโอวาทคำสั่ง อีกด้วย

อีกทั้งการลงอักขระยันต์ อิติปิโส ๘ ทิศ ตั้งแต่กระทู้ ๗ แบก ไปจนถึง นารายณ์แปลงรูป

ก็มีอานุภาพชัดเจนทางคงกระพัน มหาอุด เป็นกำลังเสริม

มาถึงตรงนี้ ตะกรุดมหาระงับจึงมีเสน่ห์ความขลังที่น่าใจไม่น้อยละครับ

การจารตะกรุดชนิดนี้ต้องใช้ความเชี่ยวชาญชำนาญในการเดินยันต์และเรียกอักขระ อย่างมาก

อีกทั้งการปลุกเสกก็ต้อง ปลุกเสกจนมั่นใจว่าเป็น มหาระงับ มหาปราบอย่างชัดเจน ที่เดียว

เรียกว่าปลุกเสกจนสะกด ระงับ ให้บริเวณนั้นเงียบสงบไม่มีเสียงสรรพสัตว์ให้ได้ยินเลยทีเดียว

นอกจากนี้ตะกรุดยังต้องพอกด้วยใบไม้รู้นอน ๗ อย่าง เช่น ใบระงับ ใบสมี ใบลูกใต้ใบ ใบไมยราพ ใบชุมเห็ด

ใบกะะเฉด ใบก้ามปู เป็นต้น

โดยต้องนำใบไม้ดังกล่าวมาตากแห้งและตำให้ละเอียดพอกด้านนอกตะกรุดและทารัก เพื่อไม่ให้หลุดร่อน

สำหรับตัวยันต์มหาระงับนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะยันต์ที่เป็นเหมือนแผนผัง กั้นเป็นห้องๆ ซ้อนกันไปจนถึงในสุด

ล้อมด้วยพระคาถามหาระงับ พระคาถาบารมี ๓๐ ทัศ และ อิติปิโส ๘ ทิศ เป็นต้น

ตะกรุดที่มีวิธีการสร้างอย่างพิถีพิถันละเอียดอ่อนเป็นขั้นเป็นตอน รักษาแบบแผนของโบราณไว้ครบถ้วน

แม้กระทั่งการปลุกเสกก็ปลุกเสกเป็นการเฉพาะเจาะจงจนเป็นที่แน่ใจแล้วว่า ครบถ้วนสมบูรณ์

อานุภาพของตะกรุดมหาระังับที่โดดเด่น คือ  เป็นมหาระงับ มหาปราบ สะกดใจคนระงับความขัดเคือง ความโกรธ ,

เป็นนะจังงังสะกดให้ผู้คนหลงลืมเรื่องราวบางอย่าง ไม่รู้ตัว และสะกดให้ผู้คนเชื่อฟัง อ่อนน้อม เชื่อถือถ้อยคำหรือคำสั่งของเรา

ตะกรุด ลักษณะนี้แต่เดิมจึงมักจะแจกเฉพาะคนที่เป็นผู้ปกครองหรือดูแลลูกน้อง ไพร่พลเป็นหลัก

ทั้งนี้เพราะเป็นตะกรุดที่สามารถคุ้มครองป้องกันทั้งผู้ครอบครองและลูกน้องบริวารได้อีก ด้วย ดอกเดียวคุ้มครองทั้งกองทัพ

ในส่วนของวัดชายนามีเอกลักษณ์ในการทำตะกรุดและมีตะกรุดเป็นเอกลักษณ์ของวัด

ตะกรุดในแต่ละสายวิชาที่ทางวัดทำขึ้น แต่เดิมแล้วทำเพื่อแจกจ่าย ไม่ได้หวังการบูชาทำบุญแต่อย่างใด

ตะกรุดมหาระงับก็เช่นเดียวกัน ทำแจกกันภายในบ้าง คนใกล้ชิดบ้าง ผู้ที่ช่วยเหลืองานวัดบ้าง เป็นตะกรุดที่สร้างตามตำราเดิม

จึงทำให้สร้างไม่จำนวนไม่มากเท่าไร ถึงในพรรษา ปี ๕๐ จะมีการสร้างตะกรุดมหาระงับ (ปราบหงสา) อีกครั้งหนึ่ง

ก็มีจำนวนแค่หลักสิบโดยประมาณ และเป็นที่ทราบกันเฉพาะภายในเท่านั้น


ลักษณะของตะกรุดเป็น ตะกรุดตะกั่วจารทั้งแผน ยาวประมาณ ๖ นิ้ว หลวงพ่อปลุกเสกตลอดพรรษา ปี ๕๐ ครับ

จำนวนสร้าง ให้คนทั่วไปบูชาแค่ ๕๖ ดอก เท่าจำนวนห้องพระพุทธคุณ

ส่วนที่เหลืออีกเล็กน้อยเก็บไว้แจกศิษย์และผู้ที่ช่วยทำตะกรุดครับ






ตะกรุดชุดนี้เป็นอีกหนึ่งชุึดที่ไม่ค่อยมีใครทราบว่ามีการสร้างขึ้น

และหายากมากกว่าเ้หรียญหลายเท่า   ผู้เป็นเจ้าของตะกรุดมีเพียง ๕๖ ท่านเท่า่นั้น 

นำเรียนเป็นความรู้และข้อมูลในการศึกษาครับ


ขอบคุณที่มาครับ http://www.pantown.com/board.php?id=27967&area=3&name=board1&topic=654&action=view

51
ถ้าเอ่ยถึง ตะกรุดวัดชายนา ต้องถือว่า เป็นวัตถุมงคลอันดับหนึ่งที่ทำให้ทุกคนรู้จักชื่อ หลวงพ่อตัด วัดชายนา

ประสบการณ์ในช่วงปี ๔๖ - ๔๘  เป็นที่ชัดเจนมาก จากปากต่อปากที่ได้เห็นกับตาถึงพุทธคุณของตะกรุด ทั้งที่ไม่ระคายผิวและมหาอุด

จากหลวงพ่อที่ไม่มีใครรู้จักประวัติ ว่าท่านชื่อสกุลเดิมอะไร บวชกับใคร ที่ไหนเมื่อไร  รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร  หลวงพ่อไม่เคยบอก

ไม่ให้สัมภาษณ์ลงปกหนังสือพระเครื่อง ทุกอย่างยังคงเดิมเป็นพระของชาวบ้าน เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า

แต่ด้วยประสบการณ์ที่มากขึ้นๆ ทำให้ทุกคนรู้จักหลวงพ่อตัด ทั้งๆ ที่ไม่มีสื่อไหนจะเผยแพร่เรื่องราวอย่างต่อเนื่องได้

กล่าวได้ว่า ตะกรุด คือ วัตถุมงคลหลักของวัดชายนา เป็นที่รู้จักก่อนเหรียญรุ่นแรกเสียด้วยซ้ำ

ในบรรดาตะกรุดที่หลวงพ่อแจก นับตั้งแต่สมัยแรกๆ ที่พระในวัดชายนาได้ลอนำกระป๋องน้ำอัดลมมา ผ่า ขูดสีออกแล้วลนไฟ

จารอักขระแล้วนำไปให้หลวงพ่อปลุกเสก  จากนั้นก็ใช้กันมา แจกลูกศิษย์บ้างตามโอกาส ประสบการณ์ก็ชัดเจน ไปโดนฟัน โดนยิงไม่เป็นไร

นับจากนั้นตะกรุดแบบต่างๆ ก็เกิดขึ้นตามมาในยุคแรก ตั้งแต่ตะกรุดเตา ตะกรุดคู่ชีวิต ตะกรุดนะกระทืิบหอ  นะหน้าทอง ยันต์ตรีฯ

ตะกรุดเสาร์ห้า -ห้าเสาร์ ตะกรุดมนต์จินดามณี ตะกรุดพระเจ้า ๑๖ พระองค์ และอีกมากมาย

ซึ่งล้วนแต่เป็นที่สะสมบูชาของศิษย์วัดชายนาแทบทั้งสิ้น

ในบรรดาตะกรุดทั้งหมด ล้วนแต่มีพระอาจารย์รองเป็นผู้จารอักขระคาถาถาและเขียนยันต์ตามที่หลวงพ่อได้ถ่ายทอดให้

แต่มีตะกรุดอยู่แบบหนึ่ง ที่หลวงพ่อตั้งใจทำให้เอง จารเอง ม้วนเอง เสกเอง

ทุกขั้นตอนเสร็จสิ้นก่อนสังฆกรรมสวดญัตติฯ

ผู้ที่จะได้ตะกรุดนี้ คือผู้ที่เป็นสัทธิวิหาริกหรือบวชโดยมีหลวงพ่อเป็นพระอุปัชฌาย์ 

ผู้บวชจะได้ตะกรุดฉายา รูปละ ๑ ดอก

เป็นตะกรุดที่หลวงพ่อตั้งใจทำให้ลูกศิษย์ของท่านอย่างเต็มที่  ของใครของคนนั้นจะให้คนอื่นคงไม่ได้และไม่เหมาะสม

เพราะมีชื่ือหรือฉายาของผู้บวชจารอยู่ในตะกรุด เป็นตะกรุดที่ศิษย์ทุกคนต่างหวงแหนและภูมิใจอย่างยิ่ง

กล่าวได้ว่า ตะกรุดฉายาเป็นตะกรุดหนึ่งเดียวที่ไม่ต้องขอให้หลวงพ่อจารให้ แต่หลวงพ่อตั้งใจทำให้โดยความสมัครใจ

และทำให้ในพิธีกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์ ในโบสถ์อันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์  นับเป็นสมบัติล้ำค่ายิ่ง


ถ้ามีศิษย์คนไหนไปขอพระจากหลวงพ่อ ท่านจะถามว่า "เอ็งมีตะกรุดฉายาไหม? ถ้ามีนั้นพอแล้ว ดอกเดียวครอบจักรวาล"

"ไม่ต้องหาอะไรอีกแล้ว ทำให้ครบทุกท่างแล้ว  "

ตะกรุดฉายาไม่มีการเปลี่ยนมือให้บูชาครับ  อย่าได้หลงคำลวงของใคร  ผู้เป็นเจ้าของคือผู้มีฉายาในตะกรุดนั้นคนเดียว

จะพอเก็บรักษาได้คือให้ลูกในใส้เก็บรักษาไว้ครับ

ตะกรุดชนิดนี้จึงเป็นตะกรุดที่จะเห็นได้ในคอของศิษย์วัดชายนาเท่านั้น และไม่แน่ใจว่ามีสำนักไหน สร้างตะกรุดเฉพาะบุคคลแบบนี้อีกหรือไม่


มาชมตะกรุดกันครับ

ภาพแรกเป็นลักษณะของตะกรุดในบางยุคจะเป็นตะกั่วล้วน เบอร์ ๒๒ ในบางยุคจะเป็นแผ่นตะกั่วปนเงินมีความขาวมากขึ้น

ขนาดตะกรุดประมาณ ๓ นิ้ว  ด้านในจารอักขระคาถาและฉายาของเจ้าของตะกรุดครับ  ถ้าหลวงพ่อตั้งฉายาให้ ประมาณว่า

อชิโต , ชวนจิตฺโต, ด้านใจตะกรุดก็จะจารฉายานั้นๆ ตามที่พระสงฆ์จะทำสังฆกรรมสวดญัตติฯให้สำเร็จเป็นพระภิกษุ ในเวลาต่อมา

ส่วนด้านนอกของตะกรุดหลวงพ่อจะจารฉายาของหลวงพ่อและอักขระคาถา ลักษณะการจารแบบหวัดเหมือนลายกอหญ้า

ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของพระเกจิอาจารย์ที่จะมีจริตอุปนิสัยไปในด้านคงกระพัน-มหาอุด ครับ








ตะกรุดฉายามีจำนวนการสร้างเท่ากับจำนวนสัทธิวิหาริกที่บวชกับหลวงพ่อ ซึ่งมีบัญชีสัทธิวิหาริกกำกับไว้ชัดเจนครับ

แต่ลักษณะตะกรุดจะมีความแตกต่างกันไปบ้างตามยุคสมัยที่หลวงพ่อจะทำให้

ถึงวันนี้ ใครจะตามหาตะกรุดยุคแรกๆ ที่หลวงพ่อปลุกเสก ให้ได้มากมายแค่ไหน

แต่ความพิเศษของตะกรุดฉายายังคงเป็นเพชรที่มีคุณค่าในใจศิษย์วัดชายนาทุกคน

เพราะทุกครั้งที่มองตะกรุดฉายาทุกคนต่างมองเห็นถึงคำสอนให้เป็นคนดี

ที่หลวงพ่อจะพร่ำสอนพระใหม่่ของท่านทุกเย็นตั้งแต่วันที่บวชเป็นพระ สิ่งนี้มีค่าสำหรับศิษย์ุืทุกคนซึ่งคุณค่าดังกล่าวแฝงอยู่ในตะกรุดฉายา

ของหลวงพ่้อตัด วัดชายนา ครับ


มีเกร็ดน่่สนใจเกี่ยวกับความเชื่อในเรื่องการนำพระเครื่องหรือวัตถุมงคลใส่ไปในบาตรตอนที่พระจะบวชครับ

มีความเชื่อว่า ถ้านำพระเครื่องหรือของดีใส่ในบาตรพระใหม่ตอนบวชจะทำให้พระเครื่องมีความขลัง ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นหรือกลับมาขลังอีก

จริงๆแล้ว หลวงพ่อเคยตอบแบบอารมณ์ดีว่า ตอนสวดญัตติฯเขาก็บอกว่า ให้คนบวชชื่อนี้ เท่านั้นสำเร็จเป็นพระ

เขาเจาะจงที่จะสวดให้นาคเป็นพระ ไม่ได้เกี่ยวกับพระเครื่อง ใครจะไปสวดญัตติให้พระพุทธเจ้าได้กันละ ??

 07; 07; 07;

52
เวลาไม่เคยหยุดนิ่ง  เมื่อมีเข้ามาก็มีจากไปตามเวลา

สุดท้ายงานบำเพ็ญกุศลและงานพระราชทานเพลิงศพพระุพุทธวิริยากร(หลวงพ่อตัด ปวโร) ก็ผ่านไปอย่างเรียบร้อย สวยงาม

คงเหลือไว้แต่คุณความดีและความอาลัยในปฎิปทาของหลวงพ่อตัด 

อาทิตย์ที่ผ่านเป็นช่วงเวลาที่ศิษย์พี่ ศิษย์น้องและผู้ที่เลื่อมใสในหลวงพ่ออุทิศเวลาทำงานถวายจนกระทั้งถึงงานพิธีพระราชทานเพลิง

ไม่มีเวลามาบอกเล่าเรื่องราวเท่าไรครับ  หลังกลับมาจากเพชรบุรี เคลียร์ภาระกิจการงานพอเข้าที่เข้าทางแล้ว

ขอนำภาพที่พี่ๆ ได้เก็บบบรรยากาศในงานมาให้ชมกัน

งานพระราชทานเพลิงของพระเกจิอาจารย์นั้นโดยทั่วไปจะไม่เคยมีให้เห็นเท่าไร

เพราะแทบทุกวัด ลูกศิษย์ลูกหาของหลวงพ่อต่างใจกันเก็บร่างของหลวงพ่อไว้เป็นที่สักการะบูชากันแทบทั้งนั้น

แต่สำหรับหลวงพ่อตัด ท่านสั่งไว้เป็นเด็ดขาดว่า เมื่อท่านละสังขารแล้วไม่ต้องเก็บให้ปลงศพ

และไม่ต้องตั้งเมรุใหญ่โตให้เสียเงินเสียทอง  นับว่าเป็นสิ่งที่ไ่ม่ค่อยไ้ด้เกิดขึ้นบ่อยนัก ที่พระเกจิอาจารย์จะตั้งศพไว้เพียง  ๗ วัน

หลวงพ่อได้แสดงให้เห็นถึงความไม่ยึดติดและศิษย์ุุทุกท่านทั้งบรรพชิตและฆราวาส

ต่างพร้อมใจทำตามความประสงค์ของหลวงพ่อด้วยความเต็มใจยิ่ง

ซึ่งหลวงพ่อได้สั่งไว้อย่างละเอียดว่า ให้เผาแบบเชิงตะกอน

ถือเป็นการปิดตำนาน "หลวงพ่อผู้ไม่ยอมดัง  หลวงพ่อตัด ปวโร" อย่างสมบูรณ์

หลวงพ่อกล่าวเสมอๆ กับทุกคนว่า  "มาจากไหนมากราบทำไม ไม่ได้วิเศษอะไร  พระหลวงตาแก่ๆ"

เป็นความสมถะ เรียบง่าย สังวรในความเป็นพระของชาวพุทธ ไม่ยึดติดในลาภยศ ซึ่งเป็นปฎิปทาของหลวงพ่อเสมอมา

ขอกราบลาหลวงพ่อด้วยภาพ บรรยากาศในงานครับ














ภาพบรรยากาศในงานพระราชทานเพลิงในอีกมุมหนึ่งครับ

























ภาพบรรยากาศในตอนค่ำ เป็นบรรยากาศผู้ร่วมงานในเวลาเผาจริง




















น้อมกราบแทบเท้าหลวงพ่อ  ลูกศิษย์ทุกคนขอกราบลา

ขอให้ดวงจิตแห่งความดีงามของหลวงพ่อสถิต ณ สุคติโลกสวรรค์อันสูงสุดที่ดีงาม ขอรับ











ขอขอบพระคุณพี่น้องศิษย์หลวงปู่เปิ่น วัดบางพระและเพื่อนสมาชิกทุกท่าน

ที่มีน้ำใจไมตรีแสดงความอาลัยต่อการจากไปของหลวงพ่อ

และน้ำใจไมตรีที่ส่งใจไปร่วมงานพระราชทานเพลิงศพหลวงพ่อ ตลอดทั้งศิษย์วัดบางพระที่สละเวลาไปร่วมงาน ณ ที่นี้

ขอบคุณภาพบรรยากาศในงานของพี่เก๋  ลูกศิษย์หลวงพ่อ 

ขอบคุณพี่บอล pnt19 สำหรับภาพถ่ายในงานชุดนี้เป็นอีกมุมหนึ่งที่น่าประทับใจครับ



53
เป็นที่ทราบกันดีว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาหลวงพ่อตัด ไม่ชอบการโฆษณาโอ้อวด

หรือนำเรื่องราวของท่านไปลงตามหนังสือพระเครื่อง จนมีหนังสือพระหลายฉบับใช้คำว่า "หลวงพ่อผู้ไม่ยอมดัง"

ศิษย์วัดชายนาทุกคนต่างยึดถือคำสั่งและเจตนารมณ์ของหลวงพ่อตลอดมา ทุกคนไม่ลงประวัติ ความเป็นมาของหลวงพ่ออย่างละเอียด

จะทำกันก็เพียงบอกกล่าวปฎิปทาของหลวงพ่อและนำข้อเท็จจริงเรื่องวัตถุมงคลมาบอกเล่า ว่าของรุ่นไหนที่หลวงพ่อสร้างเอง

แต่เมื่อหลวงพ่อละสังขารไปแล้ว บางสิ่งบางอย่างย่อมเปลี่ยนไป

ระยันี้ถ้าได้อ่านข่าวสารข้อมูลเรื่องราวอัตตชีวประวัติของหลวงพ่อตัดตามสื่อต่างๆโดยเฉพาะที่เป็นหนังสือ

ที่ได้มีการนำประวัติหลวงพ่อไปลงบ้างหลายๆที่

ต้องพิจารณาให้ดีครับ สื่อบางที่ก็มีความคลาดเคลื่อนไปบ้าง เช่น

การลงชื่อรุ่นพระเครื่องบางรุ่นที่คลาดเคลื่อนไปจากข้อมูลจริง

ส่วนรูปวัตถุมงคลก็ดูที่เน้นรุ่นใหม่มากกว่าวัตถุมงคลที่ทางวัดตั้งใจสร้างแจกเองในยุคต้น

ได้ปรึกษาเรื่องนี้กับพี่ที่มีข้อมูลด้านลึกเหมือนกัน  มีความเห็นตรงกันว่า ข้อมูลที่ลงไปนั้นคลาดเคลื่อนหลายประเด็น

รู้สึกชื่นชมและอนุโมทนาหากการนำเสนอนั้นเป็นการยกย่องเชิดชูหลวงพ่อและให้ข้อมูลบางประการกับประชาชน

ความผิดพลาดคลาดเคลื่อนเกิดขึ้นได้ครับ ส่วนตัวผมเองก็เคยผิดพลาดเช่นกัน

ในส่วนของศิษย์หลวงพ่อทุกคน ยังคงเก็บข้อมูลประวัิติเอาไว้ยังไม่ได้เผยแพร่  รอเวลาที่เหมาะสมต่อไปครับ


จึงนำเรียนพี่น้องวัดบางพระทุกท่าน ที่ได้อ่านนิตยสารเล่มนี้ ควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนที่จะนำไปเผยแพร่ทางอินเตอร์เนตครับ

ยิ่งระยะนี้กระแสการหาวัตถุมงคลของหลวงพ่อค่อนข้างตื่นตัว เป็นห่วงครับ กับกระแสของใหม่ๆ 

อยากจะให้นึกถึงคำสอนของท่านเจ้าคุณนรฯ ที่กล่าวไว้ว่า

"ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ของพูดได้นั้นไม่จริง "

ของดีจริงไม่ต้องบอกกันบ่อยๆครับ ปล่อยหมัดเด็ดทีเดียว พอ..


นำเรียนมาเพื่อทราบครับ

ขอบคุณครับ[/color]


54


การถ่ายรูปแล้วติดดวงสว่างๆ พบเห็นกันบ่อยในเหตุการณ์ของพระเกจิอาจารย์หลายๆรูป

 ในหมู่ศิษย์วัดชายนาหลายๆ ท่านก็เคยได้พูดคุยกันเรื่องนี้ แล้วก็ผ่านไป

จนกระทั้งในพิธีรดน้ำศพหลวงพ่อ เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม  ไม่ิคิดว่าภาพที่เคยเห็นจากสื่อต่างๆ  ของหลวงพ่อหลายๆรูป

จะมาเกิดขึ้นแบบเดียวกันที่วัดชายนา

พี่สาวที่เคารพของผม ได้ทำหน้าที่ถ่ายรูปเหมือนเช่นเคย รูปที่พี่เขาถ่าย นับสิบ นับร้อย ไม่เคยมีฝุ่นมาผ่านหน้ากล้อง

มาวันที่รดน้ำศพหลวงพ่อ ภาพดังกล่าวก็เกิดขึ้นแบบที่ไม่มีใครคิด ว่า เป็นเพราะอะไร หรือทำไม

หยิบยืมรูปนี้มาจากพี่เก๋ พี่สาวใจดี ที่ตอนนี้คงกำลังทำหน้าที่อยู่ที่วัด

เป็นภาพดวงสว่าง ที่ลอยอยู่เหนือร่างของหลวงพ่อครับ   ภาพติดมาแบบนี้จริงๆ

จะเป็นเพราะเหตุผลทางวิทยศาสตร์่ที่ว่า บังเอิญมีฝุ่นแวะเวียนผ่านมาหน้ากล้องตอนถ่ายพอดิบพอดี

หรือจะเป็นเพราะจิตอันดีงาม ศีลาจารวัตรของหลวงพ่อทำให้เกิดขึ้น ก็แล้วแต่ความเชื่อครับ

เหตุการณ์เกิดขึ้นจริง ก็นำเรียนให้ได้รับทราบกัน จะได้ไม่ตกข่าว

แต่ศิษย์ของหลวงพ่อทุกคนเชื่อว่า เป็นนิมิตหมายที่ดีครับ  หลวงพ่อท่านไปสบายแล้วจริงๆ สาธุ

ถ้ามองจากผลงานรูปถ่ายทั้งหมด เหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นครับ








ฝากเรื่องงานบำเพ็ญกุศลศพหลวงพ่อไว้ด้วยนะครับ


กำหนดการ สวดพระอภิธรรมพระพุทธวิริยากร(หลวงพ่อตัด ปวโร)

ใน 1 วันมีสวดพระอภิธรรม จำนวน ๓ รอบคือ

รอบสาย เวลา ๑๐.๐๐ น.

รอบบ่าย เวลา ๑๓.๐๐ น.

รอบค่ำ  เวลา  ๒๐.๐๐ น.

ขอเรียนเชิญทุกท่านไปร่วมงานครับ

55



เพิ่งกลับมาจากวัดชายนาครับ   นำเรียนเรื่องกำหนดการพระราชทานเพลิงศพ หลวงพ่อตัด ปวโร ครับ

น่าจะเป็นที่แน่นอนแล้วว่า จะไม่มีการบำเพ็ญกุศลศพ ๕๐ วันหรือ ๑๐๐ วัน

คณะสงฆ์ กรรมการวัด และคณะศิษย์ คงใ้ห้เป็นไปตามความประสงค์ของหลวงพ่อ

คือ มีการบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรม เพียง ๗ วัน

แล้วปลงศพ ไม่ต้องเก็บใส่โลงแก้วไ้ว้  เดินตามแนวทางพระบูรพาจารย์สายปฎิบัติ ที่นิยมปลงศพ ไม่เก็บร่างไว้

กำหนดการ คือ ใันวันอาทิตย์ ที่  ๑๐  พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ 

เวลา ๑๖.๐๐ น. พระราชทานเพลิง


งานวันนี้( ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๒)  เป็นการสรงน้ำศพหลวงพ่อตั้งแต่ภาคบ่ายไปจนถึงช่วงเย็นๆ

เวลา ประมาณ ก่อน ห้าโมงเย็น เป็นการพระราชทานน้ำหลวงทรงศพหลวงพ่อตัด

ลักษณะงานเรียบง่ายครับ ทำตามเจตนารมณ์หลวงพ่อเป็นสำคัญ

ไม่มีการจุดธูปหน้าเครื่องตั้ง เพราะหลวงพ่อสั่งไว้ ว่าไม่ต้องจุดธูป

ช่วงค่ำมีการบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรม  โดยมีพระพระธรรมวรเมธี วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เจ้าคณะภาค ๑๔-๑๕(ธรรมยุต)

ได้เดินทางมาร่วมการบำเพ็ญกุศลด้วยในคืนนี้  ศิษย์พี่-ศิษย์น้องและลุงป้าน้าอา ช่วยงานกันเต็มที่ครับ ตามแบบวัดชายนา

ถ้าพี่น้องศิษย์วัดบางพระและทุกๆท่านพอจะสละเวลาได้ตามสมควร

ขอเรียนเชิญไปร่วมงานพระราชทานเพลิงศพหลวงพ่อตัด ปวโร ในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้  นะครับ

การใช้ภาษาและถ้อยคำผิดพลาดไปบ้าง ต้องขออภัย ยังคงมึนๆอยู่ ครับ

ขอขอบพระคุณทีมงานบอร์ดวัดบางพระ ที่มีน้ำใจไมตรีให้ใช้เนื้อที่ของบอร์ดในการประชาสัมพันธ์ข่าวสารครับ

ขอบคุณท่านประธานของบอร์ด  ท่านเวป.. พี่นน และทุกๆท่าน ของบอร์ดวัดบางพระครับ
:054: :054:


56
วันนี้รู้สึกมึนงงไปหมด...

ทันทีที่ได้ทราบข่าวการจากไปของหลวงพ่อตัด ปวโร ในตอนสายๆ  ไม่คาดคิดมาก่อนจริงๆครับ

ถึงหลวงพ่อจะปรารภบ่อยๆ เรื่องความตาย แต่ในบรรดาศิษย์ทั้งหลายก็ไม่ได้คิดว่า วันนั้นจะมาเร็วขนาดนี้ 

คิดแต่เพียงว่า หลวงพ่อเป็นพระท่านก็ต้องพิจารณาความตายเป็นธรรมดาของท่านอยู่แล้ว


พอมาถึงวันนี้ถึงได้รู้ซึ้งแน่นอน หวลระลึกถึงคำหลวงพ่อ เหมือนท่านมาบอกข้างหูว่า  กูบอกพวกเมิงแล้วว่ากูจะไป

อีกไม่กี่วัน คือ ในวันที่ ๘ พฤษภาคม  ๒๕๕๒ ก็เป็นงานฉลองพัดเจ้าุคุณ ของหลวงพ่อ  อีกไม่กี่วัน จริงๆ  ไม่กี่วันเลยครับ

หตุการณ์เพิ่งจะผ่านงานไหว้ครูมา ในวันนี้หลายคนเห็นว่า หลวงพ่อยังแข็งแรง กระฉับกระเฉงต้อนรับศิษย์อย่างสู้ไม่ถอย มีเท่าไรแจกหมด

ใครไปนึกฝันว่า ปิดตายันต์ยุ่งงานบูชาครูปีนี้ จะเป็นวัตถุมงคลงานบูชาครูปีสุดท้ายที่พวกเราจะได้รับจากมือหลวงพ่อกัน

บรรยากาศของวัดในวันนี้เป็นไปอย่างเรียบง่ายและโศกเศร้าครับ หลายคนไม่เชื่อ

ตลอดเวลาที่เดินทางไปวัด ทุกคนภาวนาให้ข่าวนั้นไม่จริง หรือหลวงพ่อแค่เป็นลมไป หลายคนยังไม่อยากจะเชื่อ


จนกระทั่งพอใกล้จะถึงวัดเห็นพี่ๆจราจรและไฟที่ติดประดับพอประมาณ น้ำตาพวกเราซึมออกมาโดยไม่ตั้งใจและเต็มใจที่จะให้มันไหลออกมา

ตลอดเวลาที่โทรไปบอกพี่น้องและเพื่อนๆ  พอโทรติด คำที่จะบอกว่า หลวงพ่อตัดสิ้นแล้วนะ มันจุกอยู่ที่คอพูดไม่ออกจริงๆ

เป็นอะไรที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน  ไม่อยากจะเป็นบอกข่าวนี้กับใครเลยครับ

พอมาถึงวัด ที่กุฎิหลวงพ่อ

ร่างของหลวงพ่อยังคงนอนทอดกายสงบนิ่งในกุฏิของท่าน

ตอนที่หลวงพ่อยังมีชีวิต ท่านไม่ชอบให้ใครมาถ่ายรูปท่าน  ท่านไม่ใช่พระศักดิ์สิทธิ์อะไร ไม่ไ้ด้วิเศษอะไรจะถ่ายกันไปทำไม?

เมื่อถึงวันนี้ ศิษย์พี่ทั้งหลายยินพร้อมกันทำตามความตั้งใจของหลวงพ่อ ไม่มีการถ่ายรูปหลวงพ่อครับ

ทุกอย่างจดจำได้สายตาและความทรงจำ


หลวงพ่อไม่ให้ฉีดยาศพท่าน เน่าเหม็นให้เหม็นไป

(เหมือนจะให้ทุกคนปลงสังขารว่า หลวงพ่อตัดที่พวกมึงรักและเคารพนัก ความจริงก็มีแค่นี้ หลวงพ่อสอนเราทุกเวลาตลอดมาครับ)

งานจัดอย่างเรียบง่าย มีพระผู้ใหญ่ กรรมการวัดและพี่ๆ ทุกท่านต่างมาช่วยเหลือกันอย่างดี 

ผมคงไม่สามารถอธิบายบรรยากาศได้ดีเท่ากับความรู้สึกจริงๆ

ได้มีโอกาสสนทนากับพระอาจารย์บ้างเล็กน้อย ได้ทราบว่า จะยังคงยืนยันตามเจตนารมณ์ของหลวงพ่อ ที่จะให้ตั้งศพเพียง ๗ วัน

แล้วทำการปลงศพอย่างเีรียบง่าย

พรุ่งนี้ช่วงบ่ายคงเป็นพิธีถวายน้ำสรงศพ และในตอนเย็นจะมีพิธีถวายน้ำหลวงอาบศพ ครับ  คิดว่าคงพอทราบกันบ้างแล้ว


ย้อนหลังกลับไปเมื่อก่อนหลวงพ่อจะเข้าไปรับพระราชทานพัดเจ้าคุณ ที่ พระพุทธวิริยากร

ได้เคยเรียนถามหลวงพ่อว่า หลวงพ่อจะฉลองพัดเมื่อไรขอรับ


ท่านบอกกำหนดแล้ว วันที่ ๘ พ.ค. ปีนี้  ถ้ากูไม่ีตาย  ก็คงได้เจอกัน !!!

ถ้าตายก็จบ ไม่มีหลวงพ่อตัดอีกแล้ว ..??

ใครจะไปคิดครับว่า คำพูดวันนั้นเหมือนเป็นลางบอกเหตุ ............

สุดท้ายนี้ ขอฝากข้อความคำกลอน ลายมือหลวงพ่อตัด ปวโร ที่สั่งเสียเรื่องศพของท่าน ตั้งแต่ปี ๒๕๔๑ ให้ได้อ่านกันครับ




รูปหลวงพ่อรุปนี้ เป็นรูปแรกที่มีพี่ท่านหนึ่งโพสไว้ที่หมู่บ้านชายนาในวันแรกๆที่เปิดหมู่บ้านครับ  ขอขอบพระคุณ ณ.ที่นี้



ขอน้อมคารวะแทบเท้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อตัด ปวโร ครับ :054:


57
เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ที่ผ่านมา มีงานบูชาครู ของหลวงพ่อตัด วัดชายนาครับ  ปีนี้ ศิษย์พี่-ศิษย์น้องไปกับมากมายเช่นเคย

ได้ขอยืมรูปจากพี่สาวใจดีใกล้ๆ วัดมาฝากให้ชมกันครับ


งานบูชาครูของวัดชายนา เป็นไปอย่างเรียบง่ายไม่มีกำหนดการอะไรมากมาย  ช่วงเช้าหลวงพ่อเป็นประธานในพิธีครับ










พระครูสารธรรมนิเทศ หรือพระอาจารย์ทิน รองเ้จ้าอาวาส ท่านผู้จารตะกรุดจารมือ จนเป็นที่รู้จักกันทั่ว

นี่ละครับ องค์จริง-เสียงจริง เจ้าของรอยจารบนตะกรุด



งานบูชาครู วัดชายนาจะมีแต่การยกพานสักการะ และให้หลวงพ่อเขกหวัให้เป็นบางท่าน ไม่มีการครอบเศียรครับ



ปีนี้ วัตถุมงคลวันครู เป็นปิดตายันต์ยุ่งเนื้อตะกั่วครับ หลวงพ่อแจกจนหมด  มีเท่าไรแจกหมด






ถ้าเป็นพี่ๆ ทหาร จะได้รับแจกตะกรุดครับ



ศาลาเอนกประสงค์และศาสนวัตถุที่สำเร็จจากตะกรุดและวัตถุมงคลของหลวงพ่อ




ปีนี้คนเยอะเช่นทุกปีครับ  อบอุ่นมากๆ

ขอบคุณพี่เก๋ พี่สาวใจดีที่แบ่งปันรูปวันงานให้ได้ชมกันครับผม

58
01. the best friend กลายเป็น the worst enemy ได้ในชั่วข้ามคืน
02. ผู้ใหญ่ก็คือเด็กที่อายุมากแล้วนั่นแหละ เพราะผู้ใหญ่หลายๆ คนก็คิดและทำเรื่องงี่เง่า เหมือนที่เด็กชอบทำบ่อยจะตายไป
03. ผมไม่ดูหนังเรื่อง สุริโยไท ไม่ได้หมายความว่าผมไม่รักชาติสักหน่อย
04. ราคากระเป๋าสตางค์ของ louise vuitton 1 ใบมากกว่าเงินเดือนของครูบางคนด้วยซ้ำ
05. ถ้าคุณไปกินต้มยำกุ้งในร้านอาหารไทยในยุโรป คุณต้องบอกด้วยว่า
"ผมเป็นคนไทย" ไม่งั้นคุณจะได้แกงจืดใส่กุ้ง 2 ตัว
06. ภาษาไทยได้รับเกียรติเป็น 1 ใน 4 ภาษา ที่ห้างวัตสันสาขาฮ่องกงเขียนตัวเบ้อเริ่มหน้าร้านว่า "ลดราคา" ช่วงปลายปี
07. ภาพตัวเองในบัตรประชาชนมักดูทุเรศกว่าตัวจริงเสมอ
08. นับวัน… มือถือถูกพัฒนาให้ห่างไกลความเป็นมือถือเรื่อยๆ
09. เงิน 550 บาทที่กินในร้านโออิชิ สามารถไปนั่งละเลียดกินอาหารญี่ปุ่นร้านอื่นได้อิ่มแทบอ้วก และอร่อยกว่าหลายเท่า
10. ถ้าคุณตักสลัดในร้านพิซซ่าได้เยอะและสวย คุณจะเป็น "hero"
แต่ถ้าคุณกินไม่หมด คุณจะกลายเป็น " X :-)

11. ถ้าคุณได้ที่จอดรถ ในห้างเดอะมอลล์ บางกะปิ อาจเป็นเพราะชาติก่อนคุณทำบุญมาดี
12. การปรุงก๋วยเตี๋ยวก็ทำให้รสชาติแย่ลงได้
13. พิซซ่าหน้าเขียวหวานไก่ 1 ถาด สามารถซื้อข้าวราดแกงเขียวหวานไก่ได้ 10 จาน
14. เลสเบี้ยนก็คือ เกย์ ประเภทหนึ่งนี่เอง
15. หนังดีไม่จำเป็นต้องดัง หนังดังไม่จำเป็นต้องดี
16. แค่หมาเห่าดังๆทีนึง สัญญาณ PCT อาจจะหลุดได้
17. เพลงที่คุณได้ฟังครั้งแรก แล้วบอกว่า "ไม่เพราะเลย" อาจจะกลายเป็น เพลงที่คุณชอบมากที่สุดในรอบปีหลังจากที่หลายๆคลื่นโหมกระหน่ำเปิดวันละ 275 รอบ
18. แมวตัวใหญ่กว่าหมาก็มีให้เห็นเยอะแยะ
19. ร้านชายสี่บะหมี่เกี๊ยวใส่ผงชูรสเยอะมาก
20. ผู้หญิงก็มีหนวดได้นะคะ

21. ผู้ชายมีหนวด ไม่จำเป็นต้องมีขนหน้าแข้งเสมอไป
22. ขนมที่ package สวยๆที่ขายตามห้าง ราคาแพงกว่าต้นทุน 5 -10 เท่าก็มี
23. คนไทยส่วนใหญ่ชอบซื้อเสื้อของ chaps หรือ jaspal หรืออะไรก็ช่าง ตอนที่เค้า clearance sale ช่วงที่เปลี่ยน season
24. ถ้าเพื่อนมาใช้คอมที่บ้าน หัดเช็ดคีย์บอร์ดให้สะอาดก่อน ไม่งั้นเพื่อนอาจจะไม่กล้าใช้
25. ร้านที่มีเชลล์ชวนชิมอาจจะอร่อยสู้ร้านที่ไม่มีก็ได้
26. ภูมิใจไว้ซะ…ไม่มีแมคโดนัลด์ประเทศไหนในโลกนี้ที่ขาย เบอร์เกอร์กะเพราหมู นอกจากประเทศไทย
27. แล้วแมคโดนัลด์เมืองไทย มีทั้งซอสมะเขือเทศ และซอสพริกให้คุณกินได้ไม่อั้น แต่ที่ USA ไม่มีให้กิน
28. แล้วเมืองไทยก็เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลกที่มี แมคฟิช ขาย
29. กินไดโดมอน ไม่ต้องให้ tip หรอก …มันมี service charge รวมไปแล้ว
30. โดเรมอน อิ๊กคิวซัง tom&jerry จัดเป็นการ์ตูนอมตะของคนไทย
31. ของขวัญอันประเสริฐที่พระเจ้าประทานให้แก่นักศึกษาทั้งหลาย คือ เครื่องถ่ายเอกสาร
32. ถึงจะเป็นอาจารย์ของจุฬา ก็เฉลยข้อสอบ entrance วิชาสังคมผิดเกือบ 20 ข้อ…
33. เว็บ dek-d.com ใช้ notepad เขียนทั้งหมด
34. เวลานางเอกกำลังวิ่งหนีฆาตกรที่กำลังตามฆ่า จะต้องหกล้ม 1
ครั้งแล้วคลานไปอีก 2 เมตร ก่อนจะลุกขึ้นวิ่งอีกครั้ง
35. สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับ mv. เพลงอกหัก คือ ฝน
36. เม็ดไข่มุก ที่ใส่ในชานม ถ้ายังไม่ได้ต้ม ก็เหมือน อาหารปลาดุก
ที่ขายตามจตุจักรไม่มีผิด
37. ถ้ากินไม่เก่งจริง อย่าไปกิน buffet ที่ไหนเลย …ไม่คุ้มหรอก
38. คนส่วนใหญ่ เมื่อกินโออิชิเสร็จ มักจะทรมาณมากกว่ามีความสุขเพราะอิ่มเกินไป
39. คนเราพยายามแปลบททำนาย ของนอสตราดามุส ให้ใกล้เคียงกับคำว่า "โลกแตก"
มากที่สุด
40. ในวันเกิด …คุณสามารถกินไอติม swensen's ได้ฟรีมากกว่า 10 ลูก ถ้าคุณมีปัญญาเดินสายไปในแต่ละสาขาในวันนั้น

41. เป็นโสดเป็นเรื่องปรกติ แม้แต่ จูเลีย โรเบิร์ต ยังเป็นโสดเลย
42. หมาส่วนใหญ่น่ารักก็ตอนที่มันยังเป็น "ลูกหมา" เท่านั้นแหละ
43. ดูหน้าตาของคนขับ taxi ให้ดีก่อนที่จะโบก
44. เวลารอลิฟท์ อย่ากดซ้ำๆ …มันไม่ได้เร่งให้มาลิฟท์มาเร็วซักหน่อย
45. แล้วพอเข้าไปแล้ว กดแค่ชั้นที่ตัวเองจะลงก็พอ  ถ้าไม่อยากโดนด่าแม่ลับหลัง
46. อยู่ในลิฟท์ก็พูดได้ …ไม่มีกฏห้ามจ้ะ
47. ถ้าเดินอยู่ มาบุญครอง แล้วปวดห้องน้ำไม่มาก …กลั้นไว้ …แล้วเดินไป siam discovery แล้วค่อยเข้าจะดีกว่า
48. ผู้หญิงจีบผู้ชาย …เรื่องปรกติ
49. ฝรั่งบางคนข้ามน้ำข้ามทะเลมา พันธุ์ทิพย์ เพื่อซื้อ software
ที่ถูกที่สุดในโลก
50. นาฬิกาสวิสบางยี่ห้อ ซื้อที่ฮ่องกงยังถูกกว่าที่สวิส

51. ฮาวาย = เกาะพีพี + สาวบิกินี่
52. ดื่มลิโพเกินวันละ 2 ขวดก็ไม่ตาย …
53. ช่วงปี 43-44 ที่ผ่านมา ธุรกิจมือถือเมืองไทยขยายตัวแค่ 190% เอง
54. เนื้อหาเลข ม.ปลาย ที่ดูแล้วเป็น "รูปธรรม" มากที่สุดคือ สถิติ และ เลขดัชนี
55. เด็กไทยบางคน เก่ง grammar มากกว่าเจ้าของภาษาซะอีก
56. ลายเซ็นต์ของ อ.อุ๊ไม่ได้ทำให้เราเอ็นท์ติด
57. ตำรวจทุกคนในประเทศไทยไม่มีจรรยาบรรณ เพราะ"จรรยาบรรณ" ใช้ได้กับอาชีพ ครู กะ หมอ เท่านั้น
58. เจอาร์ กับ วอย ไม่ได้เป็นพี่น้องกัน
59. ถ้าอยากตาย …เครื่องบินตกตายดีที่สุด ได้เงินเยอะ ไม่ทรมาณ …
60. ถึงเยาวราชจะขายของกินถึง ตี 2 ตี 3 แต่ถ้าจะกินก๋วยจั๊บ …ไปก่อน 4 ทุ่ม

61. กะเทยทำได้ทุกอย่าง ยกเว้น ตั้งท้อง
62. เกลียดขี้หน้าอาจารย์ - ครูคนไหน …ไหว้เขา แต่อย่าเคารพเขาถ้าเขาไม่ดีจริงๆ
63. เมืองไทยแทบไม่มีนักร้องผิวดำเลย
64. เกมบางเกมไม่จำเป็นต้องซื้อบทสรุป หัดมั่วเองบ้าง
65. ไม่จำเป็นต้องซื้อมือถือหรูๆ ตอนนี้ …เดี๋ยวมือถือ 3G ก็ออกมาเกลื่อนแล้ว
66. คนขนดกก็หัวล้านได้
67. นับวันนางสาวไทยจะพูดไม่ชัดขึ้นเรื่อยๆ
68. ส่วนใหญ่นางสาวไทยจะเป็นสาว imported กันทั้งนั้น
69. เน็ตเมืองไทยถูกกว่าที่นิวซีแลนด์หลายเท่านัก
70. ยอมรับเถอะ …ทุกวันนี้คุณก็ยังอ่านไทยรัฐ ถึงแม้ว่าคุณจะด่ามันทุกวัน
71. เช่นเดียวกับรายการตีสิบ …
72. ผู้หญิงขับรถบรรทุก …ไม่แปลก
73. แผ่นโปรแกรมรวมของ macromedia 150 บาทที่ขายที่พันธุ์ทิพย์
ราคาลิขสิทธิ์ประมาณ 3 หมื่นกว่าบาท ซื้อ PC ดีๆได้เครื่องนึง
74. ถ้าทำรายงานเป็นกลุ่มสัก 10 คน …มีคนที่ทำจริงๆแค่ 3 คน
75. คำว่า mouse ใช้ภาษาไทยว่า "แท่งชี้เต้า"
76. คนเรามักง่วงตอนตื่น แต่ตอนจะนอนมักไม่ง่วง
77. พอถูกหักหลังแล้ว การถูกหักอก ไม่ได้ทำให้มันหักล้างกันได้
78. ดีใจซะเถอะ …เมืองไทยดู dragonball จบก่อนที่ USA ตั้งนาน
79. ทำไมคนเราถึงอยากให้โดเรมอนมีตอนจบ …ไม่เข้าใจ
80. ใครๆที่เล่นเน็ต ก็ต้องเคยเปิดเว็บโป๊กันทั้งนั้น
81. ถ้าใช้ talking - dict ก็อย่าหวังว่าจะจำศัพท์คำนั้นได้เลย
82. สุทธิชัย หยุ่น ก็เคยมีผมเหมือนกัน
83. พายไข่ กับ ชานมไข่มุก มีให้กินที่ไต้หวันมาเป็น 10 ปีแล้ว
84. อย่าไปกลัวเรื่อง virus computer มากนัก …ถ้าไม่สำส่อนทางเมล์ และ diskette
85. คณิตศาสตร์ไม่มีตัวตน มันเป็นศาสตร์ที่คนสมมติขึ้นมาเพื่ออธิบายความเป็นไปของโลกเท่านั้น … แต่แค่นี้ก็ทำให้นักเรียนเกลียดมันได้
86. ถ้าใช้โปรแกรมอะไรไม่เป็น …โทษ programmer ไว้ก่อน
87. สสารทุกชนิดละลายได้ เมื่ออยู่ในตัวทำละลายและอุณหภูมิที่เหมาะสม
88. ผู้หญิงหน้าอกใหญ่ไม่จำเป็นต้อง sexy
89. แล้วปอดใหญ่ไม่ได้ทำให้หน้าอกใหญ่ด้วย
90. ไป พันธุ์ทิพย์ …จอดรถที่สยามดิส แล้วค่อยนั่งรถเมล์ไป ดูจะมีความหวังกว่า การขึ้นไปวนหาที่จอดรถในนั้น ถ้าเราไม่ได้ยกอะไรไปซ่อม
91. โรงหนังบางโรง แถว A คือแถวหลังสุด แต่บางโรงมันก็เป็นแถวหน้าสุด
92. คอมที่เค้าใช้ขายตั๋วหนังน่ะ ใช้ window 3.11 หรือ window 95 กันทั้งนั้นแหละ
93. หนังสือบางเล่มก็สามารถตัดสินจากหน้าปกได้เหมือนกัน
94. เราเรียกหมาที่บ้านว่า "ลูก" แต่เรียกเพื่อนสนิทว่า "มัน"
95. บางทีเราก็ประมูลของจนราคามันสูงกว่าปกติหลายเท่าตัว
96. ในเน็ตเค้าประมูลเบอร์มือถือ VIP (เช่น 718-9999) กันเป็นแสน แต่ที่ mbk เค้าขายกันไม่ถึงหมื่น
97. เรียนมหาวิทยาลัยเอกชนก็ไม่ตาย
98. 4 ชาติที่ได้รับเกียรติขึ้นชื่อบนป้ายโรงหนังควบบ่อยที่สุด คือ ไทย จีน ญี่ปุ่น ฝรั่ง
99. ทอดด์ ทองดี พูดไทยชัดกว่า อั๊ด อัษฎา
99.1 คนที่ได้รับอ่านข้อความนี้ ส่วนใหญ่หน้าตาดี  :027: :027:

ได้จาก Forward Mail  ครับ ขอบคุณน้องคอนฯ ครับผม

59
นำเหรียญรูปเหมือน หลวงปู่สด จนฺทสโร พระมงคลเทพมุนี มาให้ชมกันครับ

คำว่า มาร แปลว่า "ผู้ฆ่าความดี "

มารมี ๕ อย่าง คือ

๑. กิเลสมาร มาร คือ กิเลส ความโลภ โกรธ หลง อิจฉา ริษยา ข่มคุณท่าน อกตัญญู ลบหลู่คุณท่าน มายา ฯลฯ

๒.ขันธมาร  มาร คือ ขันธ์๕ ในตัวเรา

๓.อภิสังขารมาร คือ วิบากหรือผลของกรรมที่เราจะต้องก้มหน้าก้มตาชดใช้ ถ้าไปทำผิดพลาด ก่อบาปกรรมขึ้น

โดยมีกิเลสมารบีบคั้นให้สรรพสัตว์ไปก่อกรรมขึ้น หรือ ก็คือ กิเลสมารบังคับ บีบคั้นให้สร้างกรรม

และต้องมารับผลของวิบากกรรม ซึ่งก็คือ อภิสังขารมาร

๔. เทวบุตรมาร  มารจำแลงมาล่อลวง เช่น รุป รส กลิ่น เสียง สัมผัส  สตรี ความคิดไม่ดีของตัวเราเอง

ในอีกความหมาย เทวบุตรมาร คือ มารที่มีตัวตนจริงๆ คอยขัดขวางเวลาเราทำความดี เช่น เราจะไปวัด เทวบุตรมารจะมาให้รูปของ

เพื่อนบ้าง เสียงจากวิทยุ โทรทัศน์ให้เราไปเที่ยวสถานที่บันเทิง ดื่มสุราแทน

อะไรก็ตามที่มีอิทธิพลทำให้เราคล้อยตามและเลิกทำความดีในขณะนั้น รวมเรียกว่า เป็นเทวบุตรของพญามาร

บางเวลา ตัวเราเองก็เป็นเทวบุตรของเพื่อนหรือคนรอบข้างไ้ด้เหมือนกัน


๕.. มัจจุมาร (มารคือความตาย, ความตายเป็นมาร เพราะเป็นตัวการตัดโอกาส ที่จะก้าวหน้าต่อไปในคุณความดีทั้งหลาย

เหรียญปราบมารมีความหมายใหู้้ผู้ที่บูชา พยายามปราบมารในตัวเรา อย่าให้ตัวเราต้องกลายเป็นสาวกของมารไป

ในด้านความเชื่อเรื่องพุทธคุณ เหรียญปราบมารจะส่งผลให้ผู้บูชารอดพ้นจากการคิดร้ายหรือคนไม่ดีครับ

ที่เด่นชัดคือ บารมีของหลวงปู่สด ไม่มีอดครับ เมตตาดีมากๆ  ฝากไว้ให้ชมครับ







60
จังหวะพอดีวันนี้ไปสำรวจ เวปบ้านน้อยของผมเองที่ชายนา เจอกระทู้ที่มีผู้นำเรื่องราวของการจับพลังมาบอกเล่าไว้

เห็นว่ามีสีสันดีไปอีกแบบ จึงขออนุญาตนำมาให้ได้ลองอ่านกันเป็นอีกแง่มุมหนึ่งครับ 

แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละบุคคลนะครับ


"คือเมื่อปลายปีที่แล้ว ..............ผมได้เจอกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง

ค่อนข้างมีอายุแล้วและค่อนข้างมีชื่อเสียงในเรื่องการจับพลังวัตถุมงคล(ขอ สงวนนาม)

ซึ่งท่านเป็นคนร่างเล็กและผอม แต่เวลาท่านจับวัตถุมงคล พอสัมผัสได้ถึงพลังและพุทธคุณ ตัวของท่านจะสั่นมากๆ

ในการพิจารณาของผมนะครับ คนร่างเล็กและมีอายุขนาดนั้น ไม่น่าที่จะสั่นได้แรงขนาดนั้น

ถ้าเป็นการแกล้งสั่น จากการกระทำของท่านเอง(แค่ความสงสัยของผมครับ)

เรื่องมีอยู่ว่า ผมได้คุยกับท่านและนำตะกรุด ของเกจิยุคปัจจุบันที่ยังมีชีวิตอยู่และค่อนข้างมีชื่อเสียง

เรียกว่าขึ้นชื่อของยุคนี้น่ะแหละครับ มาให้ท่านจับพลังดู

ซึ่งผมไม่ได้บอกท่านว่าเป็นของเกจิท่านใดบ้าง และท่านก็ไม่น่าจะดูออก(ในความคิดของผมนะครับ)

เพราะท่านจะจับพระเครื่องยุคเก่า และพระแท้ พระเก็เป็นส่วนใหญ่

ซึ่งมีพวกนักเล่นพระบางท่าน ทำการลองภูมิของท่าน ได้นำพระที่มีการปลุกเสก และไม่ได้ปลุกเสก

ลองให้ท่านจับดูเชื่อไหมครับ ว่าท่านสามารถทายถูกทุกองค์ว่าพระองค์ไหนมีพลัง(จากประมาณ20องค์)

ผมได้นำตะกรุดยุคปัจจุบันที่หลวงพ่อเหล่านั้นยังคงดำรงค์ชีวิตอยู่ซึ่งมีตะกรุดหลวงพ่อตัด

ส่วนที่เหลือของตัวเองบ้างยืมเพื่อนมาบ้างขอบอกแค่จังหวัดนะครับ ลองเดากันดูเอง

ตะกรุด หลวงพ่อหนังเหนียวที่อยุธยา

หลวงพ่อที่สระแก้ว(ที่ตอนนี้ทำส่งศูนย์เยอะๆ)

หลวงพ่อที่นครสวรรค์ที่ดังเรื่องมหาอุด หลวงพ่อแถวลำลูกกา

แถวนนท์วัดนึงทำโปรดสัตว์เดียรรัจฉานมาก่อน

อีกวัดเป็นตะกรุดดอกเขื่องครับ ตะกรุดโทนแถวอ่างทอง

ตะกรุดจาก2วัดที่นครปฐม

ตะกรุดจากสุรินทร์


และสุดท้ายตะกรุดจากหลวงพ่อแถวอีสานใต้ที่เพิ่งมรณภาพไปที่ท่านสามมารถไป โผล่ที่นั่นที่นี่ได้

ผมขอยืนยันว่าไม่ได้เป็นการลบหลู่ครับ และท่านผู้จับพลังสามารถรู้เพียง1ดอกว่าเป็นของหลวงพ่อท่านใด

จากทั้งหมดที่ผมเอามาครับ(แต่ไม่ใช่ดอกของหลวงพ่อตัดที่ท่านรู้)

ผมให้ ท่านจับพลังทีละดอก จนครบ ท่านสั่นครับ มากบ้าง น้อยบ้าง

แต่ละดอกพอจับเสร็จ จะมีอาการหอบเหนื่อย เหงื่อซึม

ท่านจับตะกรุดของหลวงพ่อตัดเกือบๆสุดท้าย(ซึ่งท่านก็ไม่รู้ว่าของพระเกจิ องค์ใด)

 ผมจำไม่ได้ว่าดอกที่เท่าไหร่ แต่อาการแตกต่างจากหลวงพ่อองค์อื่น

กล่าวคือ สั่นมากที่สุด จนตะกรุด หลุดมือ ลอยออกไปกระทบตู้เย็น และหัวของท่านก็เกือบชนผนัง

ดีที่ลูกสาวของท่านไปจับไว้ทันครับ หลังจากคุยกับท่านหลังจากกินน้ำท่าเรียบร้อย

ท่านบอกว่า *** ดอกตะกั่วเปลือยนี้แหละ(ของหลวงพ่อตัด) แรงที่สุด แรงจนสั่นไปทั้งตัวควบคุมไม่ได้

ส่วนดอกที่แรงรองลงมาคือตะกรุดแถวนนท์ครับ(ที่ทำให้เดียรรัจฉานเพื่อกันคนไป รังแกมัน)

กับตะกรุดจากสุรินทร์ ที่เหลือก็ไม่ค่อยเท่าไหร่ครับ มากบ้างน้อยบ้าง


แต่มีอยู่ดอกหนึ่งครับ ที่พุทธคุณไม่ขึ้นเลย แต่ผมขอยืนยันว่าทุกดอกเอามาจากวัดครับ

ซึ่งผมขอสงวนนามตะกรุดดอกนั้นเอาไว้ครับ

ถือว่าเอามาเล่าสู่กันฟังละกันนะครับ ไม่ได้ให้เชื่อ ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยครับ


ขอบคุณเจ้าของเรื่อง คุณ Chch4  จากเวปที่มา http://www.pantown.com/board.php?id=27967&area=4&name=board1&topic=876&action=view

นำมาฝากให้อ่านกันเพลินๆ เป็นสีสันครับ  ยังไงเสีย ศรัทธาและกรรมดีย่อมก่อเกิดปาฎิหาริย์ไ้ด้ทุกสำนักครับผม

61
มีรูปหล่อแปลกตาอยู่ชิ้นหนึ่งครับ  ไม่ทราบที่ไปที่มา ว่าเป็นเทวรูปหรืออะไรกันแน่

รบกวนท่านผู้รู้ช่วยชี้แนะด้วยครับผม



ลักษณะเหมือนนักรบ สวมหมวก   บางท่านบอกว่าเป็นงั่งญวน ( ว่ากันไปครับ)

ด้านล่างมีเดือยเหมือนจะเอาไว้ยึดติดอะไรบ้างอย่าง




ด้านหลังมีเหมือนเป็นอาวุธหรือเครื่องไม้เครื่องมือ อะไรซักอย่างหนึ่งนะครับ 




สวมหมวกแปลกตานะครับ ไม่ทราบว่าเป็นของเล่นตามสนามหรือมีที่ไปที่มาอย่างไร

เทวรูปนี้ถ่ายรูปยากมาก ไม่ค่อยชัดนะครับ  ต้องขออภัยด้วยครับ
:054: :054:

62
มีเสือ วัดบางพระอยู่ตัวหนึ่งครับ  ทันหลวงปู่หรือเปล่าก็มิทราบ


แต่ก็ปิติยิ่งนัก บูชาสุดจิตสุดใจ  :095: :095:


63
พระสงฆ์ผู้ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ กลั่นกาย กลั่นใจ จนบริสุทธิ์สะอาดดีแล้ว 

แม้แต่อัฐิธาตุหรือกระดูก ยังแปรสภาพเป็นพระธาตุไ้ด้ บ่งบอกถึงความบริสุทธิ์ภายในครับ

พระธาตุของพระผู้ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบจะมีลักษณะเป็นแก้ว หรือผลึก อาจจะเปล่างรัศมีได้  เพิ่มจำนวนได้ และเปลี่ยนแปลงลักษณะได้

เกิดได้จากอัฐิกระดูก  เล็บ  เกศา  แม้กระทั้งอุจจาระ ก็ตาม  ครับ

หลวงพ่อ หลวงปู่บางรูป ผ่าตัดกระดูกออกมาทั้งๆที่ยังมีชีวิตอยู่ กระดูกที่ผ่าตัดออกมาก็ยังเป็นพระธาตุได้




พระธาตุกระดูกหัวสะบ้า ของหลวงปู่แหวน สุจิณโณ แพทย์โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่

ทำการผาตัดหลวงปู่ เอากระดูกหัวสะบ้าออกมา ปรากฏว่า กระดูกหัวสะบ้าของหลวงปู่กลายเป็นหิน

ปัจจุบันได้น้อมเกล้าฯ ถวายแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปแล้ว




รูปนี้ป็นพระธาตุที่แปรสภาพมาจากอุจจาระ ของหลวงปู่มั่น ซึ่งมีแม่ชีท่านหนึ่ง

 บวชอยู่อุปัฏฐากหลวงปู่มั่น ที่วัดป่าบ้าน หนองผือ

หลังจากหลวงปู่มั่นท่านมรณภาพแล้ว ได้มีการแจกแบ่งอัฐิธาตุ แม่ชีไม่ได้รับอัฐิธาตุ ของหลวงปู่

เพราะท่านจะแจกให้พระเถระที่เป็นตัวแทนของแต่ละจังหวัด

ในเวลาต่อมาแม่ชีและ ลูกศิษย์ท่านอื่นๆ ได้ทำการขุดถานของหลวงปู่มั่น และนำเอาอุจจาระของท่านขึ้นมาสักการะบูชา

ในระยะแรกนั้น มีลักษณะเป็นก้อนดินสีดำ เมื่อนำมาบูชาด้วยการปฏิบัติบูชาในเวลาหลายปีต่อมา

จึงได้แปรสภาพดังที่ปรากฏในรูป ปัจจุบันพระธาตุนี้ประดิษฐานอยู่ ณ วัดสันติธรรม ครับ





ชุดนี้เส้นเกศาสานกันรวมตัวเป็นพระธาตุ

มีลักษณะใส่ประดุชเพชร แต่ยังติดอยู่กับเส้นเกศา ดึงไม่ออก

(พระธาตุเกศาหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง เชียงใหม่)




ชุดนี้เป็นพระธาตุของหลวงปู่สาม อกิญฺจโน  ครับ



แม้ผิวหนังของพระอริยเจ้าก็สามารถแปรสภาพเป็นพระธาตุได้ เช่น ริมฝีปาก ของหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ เป็นต้น

ในภาพนี้ประกอบด้วย พระธาตุเกศา และ พระธาตุริมฝีปากของหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ

พระธาตุองค์ใหญ่พรรณทองอุไรนั้น เป็นพระธาตุที่แปรสภาพจากริมฝีปากของหลวงปู่

พระธาตุสัณฐานเมล็ดพันธุ์ผักกาด พรรณใสนั้นเป็นพระธาตุจากเส้นเกศา



ขอบขอบคุณที่มา เวปวัดสันติธรรม ครับผม http://www.santidham.com

อัฐิหรือกระดูกของพระที่มีศีลาจารวัตรที่งดงาม มีความบริสุทธิ์เต็มเปี่ยม ยังแปรสภาพเป็นพระธาตุได้

เป็นสิ่งที่น่าสักการะบูชาและเป็นกำลังใจให้ เราทำความดีครับ 

น่าจะเป็นแนวทางในการบูชาสิ่งที่ควรบูชา  ได้ถูกบุคคล ถูกความดี  นะครับ

มาแสดงความเคารพ กราบไหว้ อัฐิธาตุของหลวงพ่อ หลวงปู่ที่ืท่านปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ  กันดีกว่าครับ


64
คาถานี้เป็นคาถาที่หลวงพ่อตัด วัดชายนา ท่องประจำทุกค่ำคืน 

คาถาสืบทอดมาจาก หลวงพ่อทองวัดเขากระจิว พระอาจารย์ของหลวงพ่อตัด 

หลวงพ่อทองสืบสายวิชามาจากหลวงพ่อกริช  ซึ่งหลวงพ่อกริชเป็นศิษย์ในหลวงพ่อกุน วัดพระนอน เพชรบุรีครับ

นำมาฝากกัน ท่องทุกคืนก่อนนอน แคล้วคลาดปลอดภัย  นิรันตราย พบแต่สิ่งดีงามครับผม




ขอบคุณที่มา บ้านผมเอง แฮ่ะๆ http://www.pantown.com/board.php?id=27967&area=4&name=board1&topic=525&action=view

ที่มาดั้งเดิมครับผม  http://www.uamulet.com/boardDetail.aspx?bid=7&qid=18641

ขอบคุณมากครับ

65
มีพระกรุ ราคาเยาวชน มาคุยกันครับ  เป็นพระแผงสุโขทัย ออกแนวคล้ายๆกับพระเชตุพน  กับพระแผง กรุนาดูน ครับ

ที่หลงใหลเสน่ห์พระกรุ เพราะพุทธคุณเด่นชัด  การอาราธนาติดตัวไม่มีข้อห้ามเฉพาะทางอะไรมากมาย

เรื่องคงกระพัน  มหาอุด ชัดเจนมากครับ  ถ้าวันไหนต้องไปต่างถิ่น ต่างที่ เฺฮฮาปาจิงโกะกับเพื่อนฝูง ก็จะเน้นไปที่พระกรุ


อย่างน้อยๆก็ หนึ่งองค์ อาจเพราะเคยมีประสบการณ์มาตั้งแต่เด็กๆ และตอนโตๆ ด้วยครับ

พระแผงเป็นพระกรุที่พบมาก ตั้งแต่ทางสุโขทัย กำแพงเพชร อยุธยา และล่าสุด น่าจะเป็น กรุนาดูน

ราคาไม่แพงครับ ที่โดนใจจี๊ดๆ คือพุทธคุณเด่นชัด ในราคาที่เบาๆ   อาจเป็นเพราะพระแผงที่ตัดออกมานั้น  ไม่สวย ไ่ม่งามเวลาห้อยเดี่ยวๆ

แต่ถ้าจะเน้นเอาคุ้มตัว  แบบมั่นใจกันละก็  พระกรุ พระแผงตัด เป็นทางเลือกที่ไม่ลำบากนัก


กันเขี้ยวงาเด่นชัด คงกระพัน อิทธิฤทธิ์เวลาัคับขัน เต็มเปี่ยม  และแฝงไปด้วยเมตตามหานิยม

พระกรุที่ผ่านไฟ ผ่านความร้อน ถึงจะเด่นชัดเรื่อง ปาฎิหาริย์ หรือ คงกระพัน ก็จริง แต่คนที่มาดมั่นเด็ดเดียวทางบู๊จะมีเสน่ห์โดนไม่รู้ตัว

พระแผงตัดเป็นพระกรุที่ไม่มีเสริม มีแต่เก๊ ถ้าแม่นพิมพ์ ก็หมดปัญหา  ในราคาหลักร้อย พุทธคุณหลักล้าน


แขวนเดี่ยวได้มั่นใจมากครับผม

ความเห็นส่วนตัวอีกประการหนึ่ง  พระกรุถึงบางเวลาเราจะเมาไปบ้าง  กวนติงชาวบ้านเขาตอนเมาๆ ก็ยังคุ้มตัว เหนียวได้ใจ

ไม่ต้องกังวลเรื่องข้อห้ามครับ ไม่มีปัญหาเรื่องเสื่อมพุทธคุณในข้อห้ามปลีกย่อยเท่าไร  เท่าที่ใช้มา จี๊ดมากๆ ครับ
  :016: :016:



66
ธรรมะ / ธรรมะเสริมเสน่ห์ ชนะใจคน
« เมื่อ: 24 เม.ย. 2552, 10:39:53 »
รื่องของการถูกใจคนหรือมีเสน่ห์ในตัวนั้น ถ้าว่ากันตามหลักคำสอนในพระพุทธศานา

 มีธรรมะหมวดหนึ่ง ขลังมากครับ  ถ้าใครน้อมนำมาปฎิบัติได้ จะทำให้เป็นคนมีเสน่ห์จากเนื้อจากตัว

เสน่ห์จากความดีในตัวเอง ชนะใจผู้อื่นได้ไม่ยากนะ 

ธรรมะที่พูดถึงคือ สังคหวัตถุธรรม ๔ ประการ  คือ 

๑. ทาน การให้  เป็นการมีน้ำใจต่อผู้อื่นรอบตัวเรา การให้มี ๓ แบบ คือ

ให้เพื่ออนุเคราะห์  คือ ให้คนที่ด้อยกว่าเรา ยากจนกว่าเรา  พิกลพิการไม่สมประกอบ ให้เพราะสงสาร

ให้แบบสงเคราะห์  คือ ให้คนที่พอๆกับเรา เช่น พี่น้อง ญาติๆ เพื่อนร่วมงาน  ให้แบบนี้ให้เพราะมีน้ำใจต่อกันก็ได้

เป็นการให้เพื่อสร้างไมตรีก็ได้

และบูชาคุณ  คือให้คนที่สูงกว่าเรา เช่น พ่อแม่ ครูบาอาจารย์  พระสงฆ์ ให้แบบนี้คือให้เพื่อบูชาคุณความดีของท่าน

การให้มีรูปแบบก็คือ  ให้เพื่อเอาคุณ กับให้เพื่อเอาบุญ 

ให้เอาคุณ คือหว่านพืชหวังผล  ให้เขาตอบแทนให้เขารักเรา เช่นให้ของขวัญแฟนหรือคนรัก ให้เพื่อผลประโยชน์ภายหน้า

แบบนี้ได้คุณแต่ไม่ค่อยจะได้บุญ เพราะเจตนาเราต้องการให้เขารักเรามากกว่า

ให้เพื่อเอาบุญ คือ ให้เพื่อสละความงกในตัวเรา  :005: :005: 

ให้เพราะสงสาร ประมาณว่าไปเลี้ยงอาหารเด็กกำพร้า เด็กพิการด้อยโอกาส 

เราคงไม่คิดหวังว่าเด็กเรานั้นจะมาตอบแทนเราแน่นอน

ให้พ่อแม่ พระสงฆ์ ก็ให้แบบเต็มใจ ไม่คิดหวังผล แบบนี้ได้บุญเต็มๆ


อภัยทาน สละความโกรธเคืองก็เป็นการให้ที่สร้างเสน่ห์ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

ยิ่งให้ความรู้ให้ธรรมะ ยิ่งแรงสุดขั้วบุญทีเดียว

๒.ปิยวาจา ข้อนี้สำคัญครับ ปิยวาจาได้แก่ การพูดคำสุภาพ อ่อนหวาน จากใจจริง พูดเพื่อให้เกิดความสมานสามัคคี

ปิยวาจาทำได้ง่าย เพราะวาจานั้นมีในตัวเรา เพียงเรามีสติ มีเมตตาในใจก็สามารถพูดออกมาได้

คำพูดที่พูดออกไปแล้วทำให้คนฟังรัก เช่น คำอ่อนหวาน คำชมเชยจากใจจริง คำพูดที่ชวนให้เกิดความสมัครสมานไมตรี

ให้ทานดีแค่ไหน แต่เป็นคนที่พุดไม่ดีหรือไม่สุภาพ ไม่น่าเชื่อถือ ก็ลำบากครับ ต้องมีวาจาดีบวกเข้าไปด้วย ถึงจะแรงได้อีก  :005:

"ปากเป็นเอกเหมือนเสกมนต์ใช้คนเชื่อ            ฉลาดเหลือวาจาปรีชาฉาน

จะกล่าวถ้อยร้อยคำไม่รำคาญ                     เป็นรากฐานเทิดตนพ้นรำเค็ญ"
                                                                                                (ของท่านผู้หญิงสมโรจน์ สวัสดิกุล ณ อยุธยา)

๓.อัตถจริยา หมายถึง การบำเพ็ญประโยชน์ช่วยเหลือกันและกันในวงแคบ

หลักสร้างเสน่ห์ที่สำคัญต่อมา คือต้องมีช่วยเหลือเรื่องการงานในสังคม มีส่วนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่อยู่ร่วมกัน

จะงานหลวง งานราษฎร์ งานฝาก งานแถม ต้องช่วยเต็มแรง ทำเขามั่นใจ ว่า ลุยได้ทุกลูก  คลุกวงในได้ทุกเวที แบบนี้ละก็ได้เลย


๔.  สมานัตตตา ข้อนี้สำคัญที่สุดเลยครับ และมักจะพลาดกันมาก คือ การวางตัวให้เสมอต้นเสมอปลาย ติดดินไว้ 

ทำตัวเป็นเหมือนหนุมานคลุกฝุ่นกันซักหน่อย

อย่างเล่นจนเกินงาม อย่างเชิดจนคอตั้ง เอาแบบพอดีๆ  เป็นกันเองแต่ไม่ใช่่ว่าเสียฐานะของตนไป

ไม่ลืมตัวและไม่ลดตัวจนเกินไป  มีทั้งพระเดชและพระคุณ สง่างามอย่างสัมผัสได้   

เสมอต้นเสมอปลาย ให้คงดี เป็นคนตรง ก็โอเคเลยครับ

ไม้ที่ตรงเอามาำทำพื้น ทำเสา ทำโต๊ะ ทำเก้าอี้ได้หมด มีประโยชน์ คนตรงเสมอต้นเสมอปลายก็แบบเดียวกันละครับ

ถ้าอยากมีเสน่ห์ เอาชนะใจคนได้ ต้อง รู้จักให้ผูกไมตรี วาจาีดีมีคำหวาน ช่วยการงานไม่ว่างเว้น เล็งเห็นเงาตัวไม่ลืมตน

ทำได้แบบนี้ มีเสน่ห์ชัวร์.. ขลังแน่นอนครับ ไม่ต้องเสกไม่ต้องเป่า  ใครเห็นก็ใจอ่อนให้เราครับ
   :016: :016: :016:

หันหน้ามาปลุกเสกตัวเองให้เป็นคนมีเสน่ห์จากภายในกันดีกว่าครับผม :016: :016: :016:






67
กระทู้ช่วงนี้ ออกจะแนวรักเหงา รักเศร้า  รักเมาๆ  พอประมาณ  :075: :075:

ทำให้นึกถึงหนังสือเล่มหนึ่ง เขียนจากไดอารี่ของพี่ชายที่เสียชีวิตไปแล้ว 

น่าสนใจดีครับ บางเวลาอ่านแล้วรู้สึกว่า  เฮ้ยย  โดนนะ ..เล่มนี้  ...




กฎแห่งการหลีกเลี่ยงการคิดถึงเธอหรือใครสักคน

ตลอดเวลาพยายามหลีกเลี่ยงทุกสิ่งที่จะทำให้ความคิดถึงกลับมาครองอำนาจ


ย่นระยะเวลากลางคืนด้วยวงเหล้า ทำให้กลางคืนไม่ฝันด้วยการเมาอย่างสุดขีด

หลีกเลี่ยงการฟังเพลงทุกชนิด

เพราะสำหรับผม ดนตรีทำให้หัวใจล่องลอยออกนอกร่าง

เนื้อเพลงทุกเพลงแต่งขึ้นมาเพื่อทำร้ายเราโดยเฉพาะ


เพียงเห็นรูปวงดนตรีที่เธอชอบ ใจก็ยิ่งประหวัดไปคิดถึงเธอเพราะเธอชอบวงนั้น

พยายามไม่เหลือบไปมองโทรศัพท์เพราะปวดร้าวที่มันดูแน่นิ่งเงียบสงบเกินไป

เปิดทีวี เลือกดูเฉพาะรายการข่าวหรือรายการสารคดี

หรือหาใครสักคนคุยด้วยตลอดเวลา จะได้ไม่ให้สมองว่างเปล่า


แต่ทั้งหมดไม่เป็นผลสำเร็จ,

.... ผมทำไม่ได้...?????



จากเรื่องสั้นเรื่อง หนาวนี้ ของคมสัน นันทจิต

อารมณ์นี้ต้องอาการอกหักในระยะแรกช่วงที่พิษแทรกซึมทะลวงขั้วหัวใจนะครับ

ถ้านานเกินสองเดือน อารมณ์จะไม่ใช่แบบนี้เท่าไรแล้วละ
:095: :095: :095:

นำมาฝากแบบอ่านเพลินๆ  ไม่เครียดครับผม

68










ขอบคุณเจ้าของภาพ พี่cap ครับผม

69
ปลัดขิกไม้คนผูกคอตาย เป็นตำรับการสร้างปลัดขิกของทางเพชบุรี  สายวิชาของหลวงพ่อชุ่ม วัดกุฎิ บางเค็ม เขาย้อย เพชรบุรี

ซึ่งเป็นพระอาจารย์ผู้ประสิทธิประสาทวิชาทำปลัดขิกให้หลวงพ่อตัด ปวโร วัดชายนา

ปลัดขิกไม้คนผู้คอตาย เป็นเอกลักษณ์และเครื่องรางของดี ในชื่อ วัดชายนา มานานแล้วครับ

จากประสบการณ์ผู้ใช้  ปลัดขิกจะมีอานุภาพทั้งคงกระพันและเมตตามหานิยม หลายท่านแขวนเดี่ยวใช้ได้ผลทั้งเรื่องรักและเรื่องรบ

ที่น่าแปลกก็คือ ปลัดขิกหรือผู้เคียงข้างที่ทำจากไม้คนผู้คอตาย บางชุด มีประสบการณ์พบเห็น ว่า มีคนคอยติดตามและช่วยเหลือ

บางท่านไม่เจออะไรแต่พอวันดีคืนดี มีคนมาลาไปเกิดใหม่แล้ว ขอบคุณที่ดูแลให้อยู่ด้วย ต่อไปนี้จะไม่ได้อยู่ด้วยแล้ว

ทำเอาเจ้าของถึงกับ หลอนเล็กๆ

ที่นิยมหากันจะเป็นปลัดขิกที่หยดเทียนมนต์จินดาฯ  ไม่อบจนครับ   หาสะสมในหมู่ศิษย์ที่รู้ถึงสรรพคุณของปลัดขิกได้ดี

มีเรื่องขำๆ เกี่ยวกับปลัดขิกไม้ผูกคอตาย ครับ  ถ้ามีใครไปถามกับหลวงพ่อว่า  มีปลัดไม้ผูกคอตายไหมขอรับ

หลวงพ่อจะตอบว่า ไม่มี  .!!!


ไม้ผูกคอตายไ่ม่เคยเห็น  มีแต่เขาเอาเชือกไปถูกคอตาย  

ป๊าดดด  หงายท้องเป็บเขียดกันไปหมด  :075:


ปลัดขิกไม้มะขาม คนผูกคอตายครับผม




มีรูปมาให้ทายเล่นสนุกๆครับ

สถานที่ ที่เห็นในรูป คือ อะไรครับ ด้านในมีอะไรอยู่บ้าง ? ลองทายกันดูนะครับ









70
สืบเนื่องจากกระทู้ร่วมสนุก http://www.bp.or.th/webboard/index.php/topic,8363.msg74932/topicseen.html#new

มาทำความรู้จักวัดพระนอนกันเล็กน้อยครับผม

วัดพระพุทธไสยาสน์หรือวัดพระนอน เพชรบุรี

เป็นวัดเก่าแก่อีกวัดหนึ่งของ จ.เพชรบุรี เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์

ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในสี่ของพระพุทธไสยาสน์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทย มีความยาวถึง 43 เมตร ก่ออิฐถือปูนลงรักปิดทอง

เป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามยิ่ง เชื่อกันว่าสร้างด้วยฝีมือสกุลช่างในสมัยอยุธยา

หมอนหนุนของพระพุทธไสยาสน์องค์นี้มีลักษณะเป็นทรงกลมแทนที่จะมีลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยม

เดิมพระพุทธไสยาสน์ประดิษฐานอยู่กลางแจ้ง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดฯให้สร้างหลังคาคลุมไว้

ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการซ่อมหลังคาใหม่ และสร้างผนังล้อมรอบองค์เป็นวิหารพระพุทธไสยาสน์

วัดพระนอน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเขาวัง (พระนครคีรี) เป็นวัดเก่าแก่ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้าขึ้นเมื่อใด   

สันนิษฐานว่าเป็นวั่ดที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นโบราณสถานประกาศให้ขึ้นทะเบียนเมื่อวันทั่ 8 มีนาคม พ.ศ.2478

เป็นพระพุทธรูปนอนขนาดใหญ่องค์หนึ่งในจำนวน 4 องค์ ที่มีอยู่ในเมืองไทย








วัดพระนอน เพชรบุรีนอกจากจะมีพระพุทธรุปสำคัญให้ได้สักการะกราบไหว้แล้ว 

ยังมีพระเกจิอาจารย์ที่เลื่องชื่อในอดีต ได้แก่พระครูสุชาตเมธาจารย์ หรือ หลวงพ่อกุน วัดพระนอนครับ

เครื่องรางที่ขึ้นชื่อของหลวงพ่อกุน คือ ตะกรุดไมยราพสะกดทัพ






ตะกรุดไมยราพสะกดทัพของหลวงพ่อกุนเป็นตะกรุดโทน ที่มีจำนวนการสร้างไม่มากนัก สัณนิฐานว่าประมาณ ๓๐๐ ดอก

ปัจจุบันเป็นตะกรุดในตำนานที่หายากยิ่ง  พุทธคุณโดดเด่นทางคงกระพัน กันเขี้ยวงา และเป็นสะกดผู้คนให้หลับใหล

ได้เคยฟังเรื่องราวอานุภาพของตะกรุดไมยราพสะกดทัพ จากหลวงพ่อครูชาอาจารย์ที่เคารพนับถือ ได้บอกเล่าเรื่องราวไว้ว่า

"เคยเห็นเหมือนกัน ตอนนั้นยังไม่ค่อยได้สนใจทางนี้ มุ่งแต่เรียนทางธรรม  ไปบิณฑบาต บ้านโยมคนหนึ่ง ยินรอสักพักเห็นเงียบผิดปกติ

มารู้ตอนหลังว่า หลับหมดทั้งบ้าน เพราะเมื่อคืนมีคนเอาตะกรุดของหลวงพ่อกุนไปแขวนไว้ที่รอดของบ้าน  ขึ้นไปหุงข้าวต้มแกงกิน

ไม่มีใครรู้สึกตัว แต่ท่านห้ามไม่ให้หยิบของมานะ ผิดครู กินได้อย่าเอาของเขา  คนโบราณเขาถือสัจจะมั่นคง ของถึงได้ขลัง

จากนั้นก็สนใจด้านนี้เรื่อยมา "


ท่านผู้เล่าบอกว่า  "ตะกรุดหลวงพ่อกุน สะกดคนได้จริงๆ" 

ตะกรุดชุดนี้จะจารเป็นทั้งอักขระัยันต์และรูปในเรื่องรามเกีิยรติ์ครับ ภาพประมาณ หนุมานถวายแหวน เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ตะกรุดวันเพ็ญ"

ปัจจุบันการสร้างตะกรุดสายนี้สืบทอดมาถึงวัดเขากระจิว และวัดชายนา

ถึงจะไม่มีการจัดสร้างตะกรุดไมยราพสะกดทัพโดยตรง แต่ยังมีการสร้างตะกรุดวันเพ็ญพอกครั่งอยู่บ้าง ตะกรุดมหาระงับก็พอมี

ที่ชัดเจนคือ สายวิชา มหาอุดและคงกระพันตามตำรับเดิมยังคงมีอยู่ครับผม

ส่วนตะกรุดไมยราพสะกดทัพ คงเป็นตำนานให้บอกเล่ากันต่อไป ของจริงเจ้าของเขาหวงกันสุดๆ ครับ




ขอบขอบคุณข้อมูลและรูปประกอบจากพี่Jin    เวปพลังจิต ครับผม

ขอแนะนำเวปที่บอกเล่าเรื่องราวของหลวงพ่อกุนครับผม http://anchalit.multiply.com/photos/album/46/46#




71
ช่วงสงกรานต์ได้มีพี่ที่เคารพนับถือเมตตาให้เหรียญหลวงพ่อเิงิน มา ๑ เหรียญครับ ไม่ค่อยเคยพบเห็นมาก่อน

ต้องขอรบกวนถามท่านผู้รู้นะครับ ว่า เหรียญแบบนี้มีไหม? และดีหรือเปล่าครับผม

ขอบพระคุณมากครับ
:054: :054:




72
สงกรานต์ปีนี้ ตะลอนเล่นน้ำได้ไม่เท่าไร

ใจร้อนรนอยากไหว้พระ ปิดทองพระ เพิ่มความสบายใจเพิ่มขึ้น ไล่เรียงสำนักอุโฆษก์ที่มีชื่อในอดีต

โดนใจอยู่ที่หนึ่ง เพราะหลงใหลในของดีสำนักนี้มานานแล้ว ยิ่งครูบาอาจารย์เคยเมตตาบอกไว้ว่า ให้ไปกราบต้นตำรับสำนักนี้บ้าง

ตัดสินใจช่วยพรรคพวกไปเที่ยววัดกันดีกว่า ครับ


ไปถึงเข้าไปกราบพระพุทธประธานในอุโบสถเก่าเป็นอันดับแรก





อุโบสถมีความเป็นเอกลักษณ์ครับ ลักษณะศิลปกรรมแบบอยุธยา  แถมมีสะพานข้ามมายังตัวอุโบสถด้วย



บริเวณรอบนอกพระอุโบสถพื้นจะต่ำมาแต่เดิมดูเหมือนมีน้ำล้อมรอบครับ แต่ตอนไป น้ำแห้งซะงั้น  :005: :005:



มองจากอุโบสถจะเห็นวิหารที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญที่ตั้งใจจะขึ้นไปกราบไหว้ครับ



ขึ้นไปบนวิหารแล้ว มองลงมายังอุโบสถครับ เห็นภาพชัดเจนกว่า  ลักษณะอุโบสถเป็นงานสร้างสมัยอยุธยามั้งครับ  สวยดี



มองจากหน้าประตูวิหารเข้าไปยังพระพุทธรูปที่ประดิษฐานภายในครับ



เอ๊ะ  วัดอะไรน๊าครับ??

ลองร่วมสนุกทายกันนะครับ  ๓ ท่านแรกที่ตอบถูก

จะมอบพระสมเด็จเยี่ยวชะนีของหลวงพ่อตัด  ให้ครับผม

คำถามมี ๓ คำถาม ครับผม

๑.วัดนี้ชื่อวัดอะไร

๒.พระเกจิเลื่องชื่อของวัดนี้ คือใคร

๓.ของดีหายากของสำนักนี้ คือ อะไรครับ

ไม่ซีเรียสครับ ตอบได้หนึ่งคำถามก็ถือว่าโอเค แต่คิดว่า ถ้าตอบได้ข้อใดข้อหนึ่ง ก็คงทราบคำตอบทุกข้อละครับ  :005: :005:

คำตอบของท่านจะเป็นการแบ่งปันและบอกกล่าวข้อมูลดีๆ ให้พี่น้องบางพระครับผม

ถ้าต้องการข้อมูลเพิ่มเติมในการตัดสินใจ ลองถามมาดูนะครับ
:005: :005:














73
บทความ บทกวี / บุญของการสรงน้ำพระ
« เมื่อ: 11 เม.ย. 2552, 12:44:54 »



ใกล้ถึงเทศกาลสงกรานต์ หรือที่ในปัจจุบัน มีชื่อ กิ๊บเก๋ ว่า ‘Water Festival

สงกรานต์ทั้งทีก็ต้องมาการรดน้ำดำหัว  เล่นน้ำสงกรานต์กันทั่วหน้า

การเล่นน้ำสงกรานต์ แฝงความหมายว่า  จะช่วยให้ฝนฟ้าตกบริบูรณ์ประการหนึ่ง

น้ำเป็นเครื่องหมายแห่งความอุดมสมบูรณ์ เมื่อมีน้ำการเพาะปลูก ทำไร่ไถนาก็ได้ผล ประการหนึ่ง

อีกประเพณีหนึ่งที่สำคัญของชาวไทยและชาวพุทธ คือ ประเพณีการสรงน้ำพระ  ครับ

การสรงน้ำพระ ได้บุญแน่นอน  ทางเกิดของบุญมีมากมายทีเดียว

๑. เป็นการบูชาบุคคลที่ควรบูชา คือพระพุทธเจ้าด้วยของหอม คือ น้ำสะอาดและดอกไม้

การบูชา คือ เกิดจากการที่เรามองเห็นความดีของผู้อื่นครับ เช่น มองเห็นว่าพระพุทธเจ้ามีดีอย่างไร

พอเห็นความดีแล้วเราจึงได้มาบูชาความดีของพระพุทธเจ้า  ก็เป็นกุศโลบายในการสอนพุทธประวัติได้

อีกอย่างเป็นการสะท้อนใจของผู้มาสรงน้ำว่า เป็นผู้มีใจกว้าง มองเห็นความดีของผู้อื่น ฝึกไว้แบบนี้ดีครับ

จะทำให้เป็นคนที่รู้จักจับถูกไม่ใช่จับผิดผู้อื่น

๒. เป็นการแสดงความเคารพและอ้อมน้อมถ่อมต้น  สองอย่างนี้ถือว่าป็นการสร้างเสน่ห์ในตัว

ใครมีมากคนนั้นมีเสน่ห์มากครับ  เป็นการแสดงความเคารพจากใจไม่ใช่ว่าทำตามๆกันไป 


๓. เป็นประกาศให้ชาวต่างชาติได้เห็นว่า คนพุทธก็มีประเพณีวัฒนธรรมที่เป็นแบบแผนดีงามมาช้านาน

การสรงน้ำพระ ศาสนาพุทธ ใช้คำว่า ถวายเครื่องเถราภิเษก (สรงน้ำพระ) ครับ

ถ้าตั้งใจสรงน้ำพระ มีจิตศรัทธาให้พระวรกายของพระพุทธเจ้าสะอาดปราศจากมลทินแล้ว

ผลบุญนอกจะทำให้เราเป็นผู้มีความ สดชื่น เย็นกาย เย็นใจ ไม่มีเรื่องขุ่นข้องหมองใจแล้ว

ยังมีอานิสงส์ทำให้ได้ไปสู่สวรรค์ ชั้นดุสิต เลยทีเดียวครับ 


มีเรื่องราวความเป็นมา ของบุญจากการสรงน้ำพระมาฝากกันครับ



ในกาลครั้งนั้นองค์สมเด็จพุทธเจ้า เสด็จประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร พร้อมภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป พระเจ้าปัสเสนทิโกศล พร้อมด้วยมหาอำมาตย์ทั้งหลาย ได้นำ เครื่องสักการะทั้งหลาย เข้าไปสู่พระเชตะวันมหาวิหาร ถวายอภิวาท แด่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วทูลถามว่า ภนฺเต ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อันบุคคลใดกระทำสักการะบูชาสรงเถราภิเษก แก่สงฆ์ ด้วยใจเลื่อมใสศรัทธา จะได้ผลอานิสงส์เป็นอย่างไรพระเจ้าข้า

องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค เจ้าจึงตรัสว่า ดูกรมหาราช บุคคลใด มีความเชื่อในคุณพระรัตนตรัยทั้ง ๓ ประการในเมื่อปรารถนาอันใด ก็จะสม ความมุ่งมาตรปรารถนา ทุกประการ การทำเถราภิเษกนี้ได้ทำกันสืบ ๆ มาในครั้งพุทธเจ้าก่อน ๆ


แล้ว พระองค์ทรงแสดงสืบต่อไปว่า ในกาลครั้งนั้นเป็นสมัยครั้งศาสนาของพุทธเจ้าเมธังกร ยังมี พระยาพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าวิชัยยะ ได้เสวยสมบัติ ในเมืองสารนครประกอบไปด้วยทศพิธราชธรรม ๑๐ ประการ มีเถระองค์หนึ่งชื่อว่าอุสสา เป็นอันเตวาสิกแห่งพุทธเจ้าเมธังกร พระยาวิชัยยะ ได้ทอดพระเนตรเห็น พระมหาเถระเข้ามาในเมือง พระยาวิชัยยะก็มีใจศรัทธาเลื่อมใส ในอิริยาบถ ของพระมหาเถระเจ้าเสร็จไปต้อนรับนิมนต์ให้ไปสู่ปราสาทของพระองค์ แล้วก็จัดแจง สรงเถราภิเษกด้วยน้ำหอม เสร็จแล้วถวายภัตตาหาร ตั้งความปรารถนาว่า ปวงชนทั้งหลายที่อยู่ใน ขอบเขตขัณฑเสมา ขอจงตั้งอยู่ใน โอวาทคำสอน ของพระองค์ ทุกเมื่อ และขอให้ข้าพระองค์ได้พ้นจากทุกข์ภัยเวร ข้าศึกศัตรูทั้งหลายด้วยบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้กระทำไว้ในอนาคตกาลโน้นเทอญ พระมหาเถระเจ้า ก็ได้อนุโมทนา แห่งพระยาวิชัยยะ แล้วถวายพระพรทิพย์ ๑๐ ประการ ลากลับไปสู่ สำนักแห่งพระมหาเถระเจ้า พระยาวิชัยยะได้รับพร แห่งพระมหาเถระ แล้วมีจิตยินดีรื่นเริงบันเทิงใจ ต่อบุญกุศลของพระองค์ที่ทรงกระทำไว้ ครั้นจุติจากโลกแล้วก็ไปอุบัติ อยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตพิภพ มีวิมานทองสูง ๒๒ โยชน์ มีนางเทพอัปสรแสนหนึ่งเป็นบริวาร ครั้นสิ้นชีพเทวบุตรแล้ว ได้ไปเกิดเป็นเจ้าพระสิริตะ เสริมสร้างบารมีให้แก่กล้าขึ้นไป ได้มาเกิดเป็น องค์พระตถาคต เดี๋ยวนี้แล


บุญเกิดไม่ยาก เพราะเกิตจากใจของเราเอง   สงกรานต์นี้อย่าลืมสร้างบุญด้วยการสรงน้ำพระ นะครับ

ขอให้เย็นกาย เย็นใจ มีชีวินดั่งอยู่ในสวรรค์ด้วยกันทุกท่านนะครับ


ขอบคุณที่มาของเรื่องราวดีๆ ไว้ ณ ที่นี้ครับ www.84000.org

74
เข้าสู่เทศกาล สงกรานต์แล้วนะครับ  รถท่านใดหมองสุดๆ ยังไม่ได้ล้างละก็ ลองดูรูปข้างล่างแล้วทำตามนะครับ   

เรื่องของฝุ๋นๆ  เอาเป็นว่าให้ชื่อว่า


"ความงามของฝุ่น"   นะครับ






















ฝีมือขนาดนี้ คงไม่กล้าล้าง ใครสาดน้ำมีเคือง  :004: :004: :004:



ของคุณเวปต้นทาง www.gootum.com ไว้ ณ ที่นี้ ครับ






75







 ลูกสะกด ตะกั่วอวนของหลวงพ่อตัด เป็นเครื่องรางอีกประเภทหนึ่งที่น่าสนใจและมีไว้บูชาครับ

เนื่องจาก แถวเพชรบุรีคงหาตะกั่วอวนได้ไม่ยาก และเมื่อไม่ได้ใช้แล้วก็นำตะกั่วอวนเก่าๆ มาถวายให้หลวงพ่อตัด ปลุกเสกเป็นของดีติดตัว

จากปากต่อปาก ลูกสะกดตะกั่วอวน มีประสบการณ์เด่นชัด ทั้งมหาอุด คงกระพัน เมตตามหานิยม สะกดให้หลง ให้รัก

ทำให้ลูกสะกดเป็นเครื่องรางอีกประเภทของวัดชายนา ที่หลายๆคนต้องมีไว้บูชาติดตัว

ลูกสะกดในยุคแรกๆ จะเป็นตะกั่วอวนที่ชาวบ้านนำมาถวายวัด หลวงพ่อจะปลุกเสกอย่างเต็มที่แล้วแจกจ่ายให้กับผู้คนที่ตั้งใจไปกราบท่าน

รวมทั้งชาวบ้านแถบนั้น  จนมีประสบการณ์ปากต่อปาก จนกระทั้งไม่พอแจก 

การตอกโค๊ดจะมีทั้ง โค๊ดตัวนะ วชน. และเฑาะว์ขัดสมาธิ  เด่นชัดมากประมาณปี ๔๘  ในทางคงกระพัน มหาอุด

ในช่วงต่อมาได้มีการนำมาถักเชือกทำเป็น เชือกข้อมือให้ร่วมทำบุญก็เป็นที่ินิยมกันเรื่อยมา จำนวนการปลุกเสกมีมาเรื่อยๆครับ

เป็นของดีที่แจกมาก่อนยุคของลูกแก้วและลูกอม   หลวงพ่อจะแจกเป็นกำเป็นถุง แบบเดียวกับลูกอมดินเผาในปัจจุบัน

แต่ทุกวันนี้ลูกสะกดเป็นที่นิยมและมีราคาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ  ของแจกตอนนี้จึงควรเก็บไว้ให้ดีครับ

ใครที่ชอบเครื่องรางขนาดเล็ก พกพาสบายๆ แต่คุ้มตัวได้แน่นอน ลองศึกษาดูนะครับ 




ลูกสะกด เครื่องรางสะกดใจ

ลูกสะกด เครื่องรางประเภทอมอย่างหนึ่ง ที่มีการสร้างกันมาแต่โบราณ และเป็นที่นิยมอย่างมาก เนื่องจากมีขนาดเล็ก พกพาสะดวก มีอานุภาพเชื่อกันว่าสะกดทัพได้ทีเดียว ถ้าใช้ไปในทางบู๊ สะกดให้หลับใหลไม่ได้สติแต่ถ้าใช้ในทางเสน่ห์ เมตตามหานิยม ก็จะทำให้ผู้คนหลงใหลได้ปลื้ม เป็นที่ชื่นชอบรักใคร่ของคนทั่วไป หรือคนเราประสงค์จะให้บังเกิดผล
          ลูกสะกดมีขนาดที่ใกล้เคียงกับลูกอม ส่วนมากทำลักษณะคล้ายกับลูกรักบี้ แต่ตัดหัวท้ายออก มีรูสำหรับร้อย บางท่านเรียงประคำลูกสะกด แต่ที่นิยมมากๆ ต้องเป็นลูกสะกดโทน คนสมัยก่อนนิยมอมไว้ในปาก คราวคับขัน จำต้องผ่านด่านศัตรู อมท่องคาถา เดินผ่านออกไปไม่มีใครเห็น มีอำนาจมนต์มาสะกดใจให้เห็นเป็นอื่น
           หลายสำนักนิยมสร้างลูกสะกด เพราะสร้างง่าย บางสำนักทำจากชันหมาก หรือแกะจากเขี้ยวงาสัตว์ แต่ที่พบมากกลับเป็นลูกสะกดที่ทำจากตะกั่วลงถม โดยวิธีนำแผ่นตะกั่วมาลงเลขยันต์ตามวิชาอาคมที่เรียนมาทุบทับถมกันหลายแผ่น จนเป็นเนื้อเดียวกัน และนำไปหล่อหลอมเป็นลูกสะกดอีกทีหนึ่ง บางสำนักอาจทำจากการลงถมเลยก็มี
           เครื่องอม เป็นเครื่องรางที่นิยมอมไว้ในปากยามออกศึก หรือจำต้องผ่านเหตุการณ์ ท้องถิ่นที่ไม่คุ้นเคยและไม่น่าไว้ใจ เรียกกันรวมๆ ว่า ลูกอม ขึ้นอยู่กับว่าจะทำจากวัตถุศักดิ์สิทธิ์อย่างไหน เช่น ลูกอมเนื้อชานหมาก แสดงว่าทำจากหมากที่เคี้ยวจนจืดของพระเกจิอาจารย์ ลูกศิษย์ลูกหาที่รักนับถือจะนำมาปั้นเป็นลูกกลมๆ ขนาดเท่าที่ต้องการ เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ส่วนมากมีขนาดเท่าที่อมได้สะดวก เกจิอาจารย์บางรูปทำลูกอมด้วยว่านมีคุณวิเศษ ผงยาวาสนา ผงศักดิ์สิทธิ์ ผงใบลานเผา เทียนชัยในพิธีสำคัญ และโลหะอย่าง ชินตะกั่ว ชินเงิน โลหะผสมปรอท 
          สรรพคุณของเครื่องรางทั้งหลายมีอานุภาพคล้ายกัน เช่น มหาอุดอยู่ยงคงกระพันชาตรี เมตตามหานิยม ช่วยให้แคล้วคลาด ล่องหนหายตัว กำบังตาให้ศัตรูมองไม่เห็น รับสิ่งชั่วร้ายแทนตัว ซึ่งส่วนมากขึ้นอยู่กับว่าผู้สร้างมีความชำนาญ และต้องการให้ดีเด่นทางด้านไหน
           เกจิอาจารย์บางรูปท่านวาสนาอุปนิสัยในทางโทสจริต เครื่องรางมงคลวัตถุของท่านจึงหนักไปทางอยู่ยงคงกระพัน ออกแนวบู๊ บางท่านมีพื้นเป็นคนมีเมตตา ก็จะแผ่อธิษฐานจิตให้วัตถุมงคลหรือเครื่องรางของท่านเด่นไปทางเมตตา เสริมบารมี
          มีบางรูปที่ท่านสามารถสร้างเครื่องรางให้มีสรรพคุณครอบจักรวาล หมายความว่า ดีเด่นทั้งเมตตามหานิยม และอยู่ยงคงกระพันชาตรี แต่ต้องเป็นรูปที่มีความเชี่ยวชาญในคาถาอาคม ชำนาญในกสิณฌาณต่างๆ ถึงจะสามารถสร้างให้มีสรรพคุณครอบจักรวาลได้ สาเหตุที่ไม่สามารถทำได้ทุกรูปไม่ใช่เพราะอ่อนวิชา หรือภูมิไม่ถึง แต่เป็นเพราะบางรูปติดในอุปนิสัยวาสนาของตนมากกว่า ท่านชมชอบที่จะให้เครื่องรางของท่านมีสรรพคุณอย่างนั้นเอง
           เล่ากันว่า หลวงพ่อพุ่ม วัดบางโคล่ ทำเครื่องรางแล้วแจกให้ลูกศิษย์ไว้ป้องกันตัว ต่อมาอีก ลูกศิษย์พาร่างกายบอบช้ำหัวปูดตัวเขียวแต่ไม่มีแผลสักนิด มาหาหลวงพ่อ บอกว่าถ้าไม่ได้ตะกรุดดอกนี้คงตายไปแล้ว หลวงพ่อขอตะกรุดไปดูพูดยิ้มๆ ว่า เอามาให้กูลงคาถา ปลุกเสกเสียใหม่ มุ่งแต่คงกระพันมึงเลยเจ็บตัว อีกเดือนมึงค่อยมาเอา จะลงนะเมตตามหานิยมให้ ใครเห็นจะได้เมตตามหานิยม ไม่ทำร้าย
           ลูกสะกดที่รู้จักกันในส่วนกลางอย่างมากก็มีของ หลวงพ่อปาน วัดคลองด่าน หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน หลวงพ่อเนียม วัดน้อย หลวงพ่อร้าย วัดเขายี่สาร และของหลวงปู่ใจ วัดเสด็จ จ.สมุทรสงคราม และอีกหลายๆ ท่านที่นิยมสร้างไว้ นานวันเข้าขาดการติดต่อสื่อสาร ไม่รู้ว่าเป็นของสำนักไหน เนื่องจากไม่มีหนังสือบอกไว้ และทำคล้ายกัน ส่วนมากคาดเดาจากฝีมือและอายุของวัตถุที่ใช้ในการสร้าง อาจมีการเรียกที่ซ้ำกันระหว่างเครื่องรางที่เป็นลูกอมกันลูกสะกด บางคนใช้เรียกรวมๆ กัน ผู้นิยมที่ชำนาญจริงๆ จะแบ่งแยก ลักษณะลูกอมกลมกว่าลูกสะกดที่มีลักษณะรีๆ คล้ายลูกรักบี้ แต่วิธีใช้เหมือนกัน อาจใช้อมในปาก หรือถักเชือกคาดเอวก็ได้ กล่าวกันว่าลูกอมขลังๆ อมไว้ในปาก ตีฝ่าวงล้อมศัตรูออกมา ห้าต่อหนึ่ง หรือสิบต่อหนึ่ง ผ่านได้สบายมาก เพราะอีกฝ่ายตาถูกอาถรรพ์สะกดให้มองเห็นว่าเรามี 10 คนเหมือนกัน ลูกสะกดจึงเป็นสุดยอดเครื่องรางขนาดเล็กที่นิยมใช้กันมาแต่โบราณ




ขอบคุณเจ้าของบทความครับผม  http://www.prachatouch.com/content.php?id=8754

76
ในสังคมคนที่นิยมสะสมเครื่องรางของขลัง มักจะได้ยินคำพูดว่า "เสียดายเิกิดช้าไป ไม่ทันเก็บ "

หรือไม่ก็ "เสียดาย ไม่ทันได้เก็บของสายนี้"

ถ้าจะคุยกันเรื่องตะกรุดในยุคปัจจุบัน คิดว่า พี่น้องหลายๆท่าน ก็จะมีตะกรุดของหลวงพ่อตัด  วัดชายนา กับบ้างแล้ว

ยิ่งตอนนี้กระแสเหรียญเลื่อนเจ้าคุณฯของหลวงพ่อกำลังเป็นที่พูดถึง

โดยเฉพาะการที่เหรียญในส่วนของวัด เพียงแค่ ๒ วัน เหรียญก็หมดเกลี้ยง

ก็คงทำให้หลายๆท่านสนใจบ้าง  วันนี้เลยนำเรียนเรื่องตะกรุดของดีวัดชายนา ถ้าท่านใดชอบตะกรุดและสะสมของสายนี้ด้วยแล้ว

ตะกรุดของวัดชายนาที่ไม่ควรพลาด คงได้แี่ก่

๑.ตะกรุดมหาอุด หรือตะกรุดแจกในบาตร

๒.ตะกรุดคู่ชีวิต

๓.ตะกรุดมนต์จินดามณี มหาลาภ


ตะกรุดในบาตรหรือตะกรุดมหาอุดนั้น เข้าใจว่าหลายๆท่านคงได้เป็นเจ้าของครอบครองกันไปบ้างแล้ว

ตะกรุดคู่ชีวิต ดูจะหายากซักหน่อย  มีจำนวนสร้างไม่มากและมีบริกรรมวิธีที่มากมายพอสมควร เป็นเอกลักษณ์ของสำนักวัดชายนา

และที่จะพูดคุยกันก็คือ ตะกรุดมนต์จินดามณี มหาลาภ ซึ่งคาถาหรือวิชานี้ ถือเป็นความลับประจำสำนัก

ตะกรุดมนต์จินดาฯ มหาลาภ ได้สร้างออกมาเป็นเรื่องเ็ป็นราวประมาณปี ๒๕๔๘ ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับการบูรณะอุโบสถวัดชายนา

ตะกรุดมีขนาดยาวประมาณ ๕ นิ้ว เขี้ยนคำว่า มนต์จินดามณีมหาลาภไว้ด้านนอก ตอกโค๊ด ว.ช.น.กระโดด มีทั้งแบบอุดผงและไม่อุด

จำนวนสร้างประมาณ ๒๐๐ ดอกเท่านั้น  ซึ่งในช่วงนั้นไม่ค่อยมีใครกล่าวถึงกันมากนึก

อาจเป็นเพราะความนิยมในด้านมหาอุด คงกระพัน ซึ่งเห็นภาพประสบการณ์ชัดกว่า ทางมหาลาภ

หรือจะเป็นเพราะ คนที่บูชาไปต่างเก็บสะสมไว้อย่างหวงแหนไม่คิดจะนำออกให้บูชาก็ตาม

้และในช่วงเวลาปัจจุบันถือได้ว่าตะกรุดมนต์จินดามณี มหาลาภปี ๔๘  ค่อนข้างที่หาชมหรือหาบูชาได้ยาก พอสมควร

แต่ทั้งนี้ก็มีการจัดสร้างขึ้นอีก คือ ในวันลอยกระทงได้มีการสร้างตะกรุทางวัดจึงได้จัดสร้างตะกรุดมนต์จินดามณี ขึ้นอีกชุด

ขนาดประมาณ ๓.๕ นิ้ว จารอักขระคาถาเหมือนชุดเก่า จำนวนสร้าง ๗ ดอก ปลุกเสกในวันเพ็ญลอยกระทง ซึ่งน่าจะมีผลทางเมตตามหานิยม

และในปี ๒๕๕๑ มีการจัดสร้างตะกรุดมนต์จินดามณี ขึ้นอีกชุด เป็นตะกรุดขนาดยาว ๕ นิ้ว ไม่มีการตอกโค๊ด

เป็นตะกรุดแผ่นอลูมิเนียมจำนวน  ๒๐ ดอก แผ่นเงิน ประมาณ ๖๐ ดอก ปลุกเสก ๓ วาระ  ครับ

จำนวนสร้างทั้งหมดที่เป็นการสร้างของทางวัดรวมแล้วก็ไม่กี่ร้อยดอกเท่านั้นเอง

ทั้งนี้ไม่นับที่่มีผู้มาขอให้จารตะกรุดให้ ซึ่งไม่สามารถทราบจำนวนได้นะครับ เพราะมีลงไปเรื่อยๆ ตามโอกาส

วิชามนต์จินดามณี เรียกเนื้อ เรียกปลา ของหลวงพ่อตัดนั้น ท่านได้ร่ำเรียนมาจาก อ.พุฒ ทางชะอำ

เป็นวิชาที่เจ้าของหวงมาก ถ่ายทอดกันได้ในเวลาที่สุดๆ จริงๆ

ความโดดเด่นของตะกรุดมนต์จินดาฯ ก็คือ นอกจะเป็นมหาลาภแล้ว เมตตามหานิยมแล้ว

ที่ชัดเจนคือเป็นเหมือนเบี้ยต่อใส้ คือเหมือนจะหมดแต่ก็มี

เหมือนจะจนแต่ก็มี  ไม่อด ไม่สิ้นหนทาง ถึงเวลาจะมาเอง ลักษณะคล้ายๆ ตำรับทางหลวงพ่อปานหรือของหลวงพ่อฤาษีลิงดำละครับ

จึงมีคำเรียกกันในหมู่ศิษย์หรือชาวบ้านว่า "ตะกรุดต่อลำใส้"

ไม่อับจนจริงๆครับ  ถ้าจะหาตะกรุดดีๆ ที่มีไม่กี่สำันักที่ทำได้รูปแบบสร้างเองในวัด และมีสายวิชาที่แน่นอนแล้ว ก็ควรลองศึกษาดูครับ

โดยเฉพาะนักสะสมตะกรุดสายวัดชายนาไม่ควรพลาด ตะกรุดมนต์จินดาฯ หรือที่แอบเรียกกันว่าตะกรุดต่อลำใส้ครับผม

ส่วนรูปตะกรุดนั้นคงจะเคยเห็นกันมาบ้างแล้ว  ที่เหลือจะหาชมง่ายหรือยากแค่ไหนพี่น้องทุกท่านคงจะลองค้นหารูปมาดูได้ครับ

ส่วนจะมีให้ชมซักกี่ดอก อันนี้น่าสนใจครับ ลองSearchดูนะครับว่าจะได้ง่ายหรือยากแค่ไหนกัน

นำเรียนเพื่อเป็นข้อมูลในการสะสมครับ อยากให้ทุกท่านได้เก็บในช่วงเวลาที่ยังพอหาได้  ต่อไปตะกรุดแบบนี้จะหากันมากขึ้นครับ

ผิดพลาดประการใด น้อมรับคำชี้แนะครับผม



77
คนไทยเรา ชอบคำเป็นมงคลๆ ชื่อก็ต้องเป็นมงคล ทำนอง ชื่องาม นามเพราะ

เคยมีเพื่อนชื่อ ลูกเสือ  ฉกรรจ์  สงคราม   แล้วก็ห้าวได้ใจจริง  :005: :005:

กลับมาเรื่อง คำเป็นมงคล ละกันครับ  ในวัตถุมงคลชื่อต่างๆ มักจะตั้งให้เป็นมงคลนาม

ไม่ว่าจะเป็น รวยไม่เลิก มีกูแล้วไม่จน และอีกมากมายหลายชื่อ

แต่จะมีวัตถุมงคลอีกประเภท ไม่ไดต้องตั้งชื่อ แต่เรียกกันตามเหตุการณ์ และพอดีมีคำมงคลในนั้นด้วย 

อย่าง ผ้ายันต์ที่ระลึกในการเลื่อนสมณศักดิ์ ฟังดูดีครับ เลื่อนขึ้น ก้าวหน้าขึ้น  ใครๆก็ชอบคำมงคลแบบนี้

สังเกตว่า วัตถุมงคลในรุ่นเลื่อนสมณศักดิ์ของหลวงพ่อ หลวงปู่วัดต่างๆ จะได้รับความนิยมเ็ป็นพิเศษครับ

ในโอกาสที่หลวงพ่อตัด ไ้ด้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ ในราชทินนาม "พระพุทธวิริยากร"

หลวงพ่อได้แจกผ้ายันต์เลื่อนสมณศักดิ์ให้แก่ชาวบ้านในดงและศิษยานุศิษย์ครับ เป็นผ้ายันต์มงคลนามที่ หลายๆท่านคงถูกใจ



78


วันนี้มีเรื่องวัตถุมงคลที่มีเอกลักษณ์เฉพาะสำนัก มาบอกเล่าให้น้องใหม่ได้ลองศึกษากันครับ

พระผสมเยี่ยวชะนี หรือที่จะเรียกติดปากกันว่า สมเด็จเยี่ยวชะนี  ของวัดชายนาเป็นที่สนใจมาระยะหนึ่งแล้ว

สมเด็จเยี่ยวชะนี ของหลวงพ่อตัด วัดชายนา มีความเป็นเอกลักษณ์ตรงมวลสารที่นำมากดพิมพ์พระ จะมีเยี่ยวชะนีผสมอยู่

ตำรานี้หลวงพ่อตัดได้เล่าเรียนมาจากครูบาอาจารย์เก่าแก่ในสายเพชรบุรี ต้องนำเยี่ยวชะนีที่ไ่ม่ต้องถึงพื้นดินมาเป็นส่วนผสม

มวลสารหลักก็จะเป็น ผงมวลสารพระเก่าต่างๆ  ยอดสวาท ว่านทางเมตตาต่างๆ และใบมะยมที่นำไปรองเยี่ยวชะนี




สมเด็จเยี่ยวชะนีปรากฏตัวขึ้นครั้งแรกประมาณปี ๒๕๒๗ ออกในนามวัดเขากระจิว

ในจำนวนหลักสิบ เป็นพระพิมพ์ปรกโพธิ์ขนาดค่อนข้างใหญ่  รุ่นแรกนี้พอหาได้แต่ราคาเล่นหากันค่อนข้างสูงใน เพดานหลักหมื่น


สมเด็จเยี่ยวชะนีที่ออกในชื่อวัดชายนา รุ่นแรก ประมาณปี ๒๕๔๘ ต่อ ๒๕๔๙  ในจำนวนประมาณ ๒๐๐ องค์

รุ่นสองนี้มีจะทั้งพิมพ์สมเ็ด็จและขุนแผนเยี่ยวชะนี รุ่นสองนี้มีฝังตะกรุดทองคำจำนวนหลักสิบ มีราคาทีหากันประมาณ พันปลายๆ ถึงหมื่นต้นๆ


ต่อมาในปี ๒๕๕๐ ได้มีการสร้างสมเด็จและขุนแผนเยี่ยวชะนีผสมผงพรายกุมารหลวงปู่ทิม อีกจำนวนหนึ่ง

ในระยะเวลาไล่เลี่ยกันคือปลายปี ๒๕๕๐ ต่อต้นปี ๒๕๕๑ ได้มีการกดพิมพ์สมเด็จเยี่ยวชะนีอีกครั้ง จำนวนเยอะที่สุดตั้งแต่สร้างมา

คือประมาณ ๓,๐๐๐ องค์ มีัวัตุประสงค์ให้หลวงพ่อปลุกเสก ๕ ปี หรือบบรรจุกรุไว้ในโบสถ์ ครบ ๕ ปีแล้วจึงนำออกแจกให้บูชากัน

การสร้างครั้งหลังสุดนี้ได้ทำลายบล็อคทิ้งไปด้วยแล้ว


จำนวนพระสมเด็จเยี่ยวชะนีที่สร้างในระหว่างปี ๕๐-๕๑ จึงมีจำนวนประมาณ ๕,๐๐๐ องค์เท่ากับอายุของพระพุทธศาสนา

จึงไม่น่าแปลกที่ ผู้ที่ศรัทธาจะนิยมหาสมเด็จเยี่ยวชะนีปี ๔๘ มากกว่า เพราะจำนวนสร้างเพียงแค่ ๒๐๐ องค์

และเนื่องจากพระัทั้งหมดใช้บล็อคเดียวกัน การแยกปีหรือรุ่นคงต้องดูความแตกต่างกันที่เนื้อมวลสาร ของแต่ละยุค

คงต้องมีประสบการณ์ในการดูครับ


สมเด็จเยี่ยวชะนี มีความเด่นที่ มวลสารโดยเฉพาะเยี่ยวชะนี ซึ่งจะมีเสียงร้องเหมือน การเรียกหาสามี

คำว่า สามี แปลว่า ผู้ครอบครอง    สาวๆ คงอยากจะได้คนที่มีสมเด็จเยี่ยวชะนีมาครอบครอง มั้ง(คิดเข้าข้างตัวเองตลอด)  :005: :005:

ในส่วนของใบมะยมเป็นไม้นามมงคล  ยอดสวาทเป็นของดีในตัว  ก็เมตตาแรงครับ


ยิ่งพิมพ์ขุนแผนด้วยแล้วถือว่า ได้ครบทุกสัดส่วนทั้งแรงขุนแผน และแรงอาถรรพ์ของเยี่ยวชะนี สองเด้งครับผม

นำชมรูปกันครับ

รูปแรกเป็นสมเด็จเยี่ยวชะนี ปี ๔๘ เนื้อผงขาวเหลืองแก่มวลาสาร จนขึ้นเป็นฝ้า

ความพิเศษคือตะกรุดทองคำ แสดงถึงจำนวนพระองค์นี้ซึงมีแค่หลักสิบ รูปชุดนี้เป็นของพี่ๆที่นับถือไม่ใช่ของผมนะครับ








สมเด็จเยี่ยวชะนีปี ๕๑ ที่ไ้ด้ทำลายบล็อคและบรรจุกรุแล้ว 
พระจะมีทั้งหมด ๓ สี คือ ดำ ขาว เทา บางองค์ก็ออกเทาเขียวๆครับ




ความหนาของพระจะไม่มีรูปแบบแน่นอน หนาบ้าง บางบ้าง คละๆกันไปครับ



ในบางองค์จะมีลักษณะของพระที่แก่มวลสารว่าน วรรณะของผิวพระจะมีสีเข้มกว่าเนื้อขาวทั่วไป



ชุดนี้รวมหลายๆสีครับ คละๆกันไป สีแดงจะสวย แต่ที่หากันจริงๆ คือ อมเหลืองหรือเขียวๆ ครับ




พระของวัดชายนาทุกรุ่นทุกแบบ เอกลัษณ์ คือ แจกฟรี 

ทำบุญก็แจกไม่ทำก็แจก  แจกแล้วก็อดไม่ได้ที่ทำบุญอีกครับ

จะได้มากได้น้อยแล้วแตุ่บุญวาสนา แต่ได้แน่ๆ ครับ 

สมเด็จเยี่ยวชะนี เป็นพระที่น่าสะสมและบูชาครับ เมตตานำหน้าแน่นอนครับ พบเจอที่ไหน ลองหาไว้ใช้นะครับ 







79
พระเนื้อดิน พุทธลักษณะนั่งขัดสมาธิ ในปางตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นัยว่าเป็นพระแห่งการรู้แจ้ง

พระชุดนี้เป็นพระกรุ อายุน่าจะประมาณ ๗๐๐ ปี ขุดค้นพบที่ จ.สุโขทัย กำแพงเพชร พิจิตร

นิยมเรียกตามสถานที่ค้นพบครั้งแรกว่า พระเชตุพน ตามชื่อวัดที่ขุดพบ

จะนิยมกรุกำแพงเพชร มากกว่าสุโขทัย เดาว่าคงเพราะมงคลนาม ของทำำำคำว่า กำแำพงเพชร และทุ่งเศรษฐี

พระเชตุพนเป็นพระเนื้อดินขนาดเล็กครับ เหมาะสำหรับเด็กหรือผู้หญิง  เมื่อก่อนว่ากันว่าเป็นพระน้ำจิ้ม ไม่ค่อยมีผู้ใดสนใจ

แต่พุทธคุณของพระกรุนี้ เป็นที่กล่านขานมานานว่า ดีทางเหนียว  ประเภท ใช้กันสุนัขกัดได้ดีนัก เขี้ยวงาไม่ระคายผิว

ถ้าเป็นเนื้อชินเงินจะเป็นที่นิยมมากกว่าเนื้อดินครับ

ข้อดีของการหาพระเชตุพน กำแพงเพชร คือไว้ใช้ศึกษาลักษณะของเนื้อดินกำแพงเพชรได้ดี ในราคาที่พอจะสัมผัสได้

และเนื่องจากขึ้นกรุที่สุโขทัยในตอนแรกๆ จึงมีหลายท่านมีความเชื่อว่า เป็นพระยุคพระร่วงเจ้าสร้างไว้

จึงมีความนิยมเชื่อกันว่า เป็นพระวาจาสิทธิ์แบบเดียวกับพระร่วง เด่นทางมหาอำนาจ คนยำเกรง

ถ้าเป็นกำแพงเพชร จะเด่นทางความมั่งมีศรีสุขครับ  ว่ากันตามประสาคนคุยเรื่องพระเครื่องละครับ แค่ขำๆ ไว้เป็นแนวทาง


จุดเด่นน่าจะเป็นพิมพ์ทรงและแร่ดอกมะขามนะครับ




80
ธรรมะ / หญิงงามที่ไม่ชราตามอายุ
« เมื่อ: 01 เม.ย. 2552, 12:48:05 »
การศึกษาเรื่องราวของประวัติบุคคลสำคัญในพระพุทธศาสนา ก็ทำให้เกิดแนวทางและกำัลังใจในการทำความดีได้ ง่ายๆ นะครับ

หญิงงามที่จะกล่าวถึง หลายๆ ท่านคงจะเดาออกว่า ว่า คือ นางวิสาขา มหาอุบาสิกา ในพระพุทธศาสนา

อ่านเรื่องนี้เรื่องเดียว ได้ความรู้เพียบเลยครับ  ประวัติน่าสนใจมากๆ

จะพยายามไม่นำมาบอกกล่าวในแบบวิชาการ เพราะคงจะค้นหาอ่านได้ไม่ยากนัก

นำมาบอกเล่าถึงจุดที่น่าสนใจทำให้ต้องไปอ่านรายละเอียดกันต่อดีกว่า

นางวิสาขาเป็นหญิงสาวที่มีความน่าสนใจหลายอย่างด้วยกัน 

เริ่มแรกนางเป็นธิดาของมหาเศรษฐี ที่ชื่อว่า ธนญชัยเศรษฐี 

ซึ่งเป็นเศรษฐีประจำเมืองหรือประจำประเทศ ประมาณว่า เศรษฐีระดับ บิลล์ เกตส์


บุญของนางไม่ใช่แค่่เกิดเป็นลูกสาวเศรษฐีเท่านั้น แต่นางยังมีความสวยพร้อมสรรพ ในลักษณะเบญจกัลยาณี คือ

๑. ผมงาม คือ หญิงที่มีผมยาวถึงสะเอวแล้วปลายผมงอนขึ้น

๒.  เนื้องาม คือหญิงที่มีริมฝีปากแดงดุจผลตำลึงสุกและเรียบชิดสนิทกันดี

๓.  กระดูกงาม คือหญิงที่มีฟันสีขาวประดุจสังข์ และเรียบเสมอกัน

๔.  ผิวงาม คือหญิงที่มีผิวงามละเอียด ถ้าดำก็ดำดังดอกบัวเขียว ถ้าขาวก็ขาวดังดอกกรรณิกา

๕.  วัยงาม คือ หญิงที่แม้จะคลอดบุตรถึง ๑๐ ครั้ง ก็ยังคงสภาพร่างกายสาวสวยดุจคลอดครั้งเดียว

ที่โดนใจผู้หญิงมากที่สุด คงเป็น วัยงาม  สวยแบบดาวค้างฟ้ากันเลยทีเดียว

เพราะนางจะเหมือนสาวรุ่นอายุ ๑๖ ถึงแม้อาุยุจริงจะ ๑๒๐ ปีแล้วก็ตาม


ความสำเร็จในชีวิตที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และมีโอกาสได้พบพระพุทธเจ้า คือ นางได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ตั้งแต่ ๗ ขวบ

นั้นหมายความว่า ไม่ต้องตกนรกแน่นอน ศีล ๕ ไม่มีวันขาดแม้้ต้องตายก็ตาม  และกลับเกิดเป็นมนุษย์อีกแค่ ๗ ชีวิตเท่านั้น

นางเป็นหญิงงาม ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตรัก สามารถผ่านอุปสรรคเอาชนะพ่อสามี จนขนาด มิคารเศรษฐีพ่อสามีต้องเรียกว่า แม่

จุดที่น่าสนใจอีกเรื่องก็คือ ความสวยไม่สร่างของนาง เห็นได้ชัดจากเรื่องที่กล่่าวถึงนางว่า

ในตอนที่นางวิสาขามีอายุ ๑๒๐ ปี นั้น เวลาที่นางวิสาขานั่งฟังเทศน์อยู่กับ ลูก หลาน เหลน จำนวนมากๆ

จะไม่มีใครมองออกว่าหญิงคนไหนคือ นางวิสาขา ขนาดพระราชาก็มองไม่ออก  จะมาถึงบางอ้อก็ตอนลุกยืน

ลูก หลาน เหลน จะลุกได้เลย แต่จะมีหญิงสาวงามนางหนึ่งต้องเอามือยันพื้นช่วยพยุงกาย

 ถึงจะได้ทราบว่า หญิงงามคนนี้คือ นางวิสาขา ผู้มีเหลนถึง ๘,๐๐๐ คน แต่ยังดูสวยเหมือนสาว ๑๖


เรื่องเหลนของนางวิสาขามีกล่าวไว้ว่า   นางวิสาขามีลูกชาย-หญิง ถึง ๒๐ คน ลูกเหล่านั้นแต่งงานมีลูกอีกคนละ ๒๐ คน

นางก็มีหลานนับได้ ๔๐๐ คน หลานเหล่านั้นแต่งงานมีลูกอีกคนละ ๒๐ คน

นางวิสาขามีเหลนนับได้ ๘๐๐๐ คน ดังนั้น รวมแล้วนางวิสาขามีลูกหลาน เหลน รวม ๘,๔๒๐ คน

แ้ล้วนางก็มีบุญคือมีอายุยืนได้เห็นหลานและเหลนทุกคน และบางคนก็เสียชีวิตก่อนนางด้วยซ้ำ


บุญที่ทำให้นางวิสาขาเกิดมาสวยงามไม่แก่ชรา หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ได้เคยเทศน์สอนไว้ว่า

ในอดีตชาติ สมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปพุทธเจ้า 

นางได้ทำบุญด้วยการซ่อมแซมพระพุทธรูปที่เก่า ชำรุด ให้คืนสภาพสวยงามสมบูรณ์อีกครั้ง

ผลบุญในครั้งนั้นทำให้นางเกิดมา จะมีสภาพร่างกายแค่วัยเดียว คือเป็นสาวอายุ ๑๖ ไม่เปลี่ยนแปลง แม้อายุจะยืนยาวถึง ๑๒๐ ปีี

แต่ร่างกายผิวพรรณของนางวิสาขาก็ยังคงเหมือนสาว ๑๖ ทุกอย่าง

น่าสนใจครับ การทำบุญมีผลมากจริงๆ  เดาเอา่ว่า การที่ชาวพุทธนิยมปิดทองพระพุทธรูปคงมาจากเรื่องนี้ ละครับ


ยิ่งปิดทองพระที่ยังไม่มีทองยิ่งจะได้บุญมากกว่าปิดทองพระที่งามอยูแล้ว


ใกล้งานปิดทองหลวงพ่อวัดไร่ขิงแล้วครับ   

ขอเชิญไปร่วมบุญปิดทองหลวงพ่อวัดไร่ขิงกันนะครับ

งานนมัสการปิดทองหลวงพ่อวัดไร่ขิง ประจำปี ๒๕๕๒ ระหว่างวันที่ ๖ - ๑๔ เมษายน ๒๕๕๒

เพิ่มความงามให้พระพุทธรูปซึ่งเป็นองค์สมมุติแทนพระพุทธเจ้า

ส่วนปิดทองแล้วจะสวย จะหล่อ ไม่ต้องไปหวังผลหรอกครับ    ทำดี  ดี  ไม่ต้องทำดีได้ดี 

แบบเราปลูกมะม่วงเพราะต้องการผลมะม่วง ถึงอย่างไรมะม่วงก็ต้องให้ร่มเงาไปด้วย ธรรมชาติเป็นอย่างนั้น

บุญให้ผลของบุญเอง เราไม่ต้องหวังผลครับ   

81




ดาวอาถรรพ์ เป็นเครื่องรางของหลวงปู่ผินะ วัดสนมลาว สระบุรีครับ
 
ในยุคแรกจะเป็นเนื้อผสมของดีีีคือ ของที่เห็นง่าย แต่เอายาก ส่วนในยุคหลังๆ จะเป็นเนื้อไม้มงคล 

ดาวดวงนี้ในภาพของผมเป็นยุคหลังๆครับ เป็นดาวเนื้อไม้มงคล

ลักษณะของดาวด้านหนึ่งเป็น รูปดาว ๕ แฉก ไม่ใช่ดาวทหาบก แต่หมายถึง พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ของภัทรกัปป์นี้

อีกด้านเป็นดาว ๘ แฉก ซึ่งหมายถึงพระอรหันต์ที่ประจำทั้งแปดทิศ น่าจะมีความหมายถึง คุ้มครองป้องกันภัยในทิศทั้ง ๘

เครื่องรางดาวอาถรรพ์นี้จริงแล้วสร้างน้อยมาก มีหลายเนื้อหลายพิมพ์ทั้งใหญ่และเล็ก

เชื่อว่าแต่ละพิมพ์นั้นสร้างเป็นหลักสิบและหลักร้อยต้นๆเท่านั้น  หายากมากคือดาวยุคแรกๆ จะเป็นที่หวงแหนของลูกศิษย์ใกล้ชิดครับ

ส่วนใหญ่จะอยู่กับผู้มีอันจะกินทั้งตำรวจทหารและนายแพทย์


คนนอกจะพอหามาได้ก็จะเป็นเนื้อไม้มงคล ซึ่งว่ากันจริงๆแล้ว เขานิยมเนื้อผงของดีกันมากกว่า

เป็นเครื่องรางที่ให้กำลังใจในเรื่องการงาน ยศตำแหน่งและความเป็นดาวเด่น  ละครับ 

เวลาเลี่ยมใช้จะต้องเลี่ยมเอียงๆ คอยเตือนใจเราว่า คนเราหัวใจมักจะเอียง ยากจะเดาใจที่แท้จริงได้หรือเปล่า
:005: :005:

ก็น่าสนใจดีครับผม

(ป.ล. นอกเรื่องหน่อยนะครับ  พรุ่งนี้วันเกิดน้องหยก ขอให้มีความสุขมากๆ นะครับ รวยๆ และสมหวัง พอแต่สิ่งดีๆ ตลอดไปนะครับ )


> กดเบาๆนะจ๊ะ <

82
ได้ผ้ายันต์หลวงปู่เต๋ คงทอง วัดสามง่าม มาครับ  เห็นเขาบอกว่า หมึกแบบนี้ รุ่นเก่า

นำมาแบ่งปันกันชมครับผม  ตั้งใจจะเอามาบูชากับปลาตะเพียนนะครับ   หาวิธีแขวนอยู่   :005: :005:

ขอภัยครับ ถ่ายรูปไม่ค่อยเก่ง กล้องจิ๊กกะโหล่ยมากๆ เลย  :005: :005:


83
ปลาตะเพียนทอง ตะเพียนเงิน ของหลวงปู่เต๋ วัดสามง่ามครับ 

ส่วนมากจะได้มาพร้อมผ้ายันต์ของหลวงปู่นะครับ ประมาณปี ๒๕๐๐ กว่ามั้งครับ ตัวใหญ่หน่อย

คาถาที่ตัวปลาอ่านได้ว่า อิมะติ(ประหยัด) นะ อะนะระสะอิ เอ อุหิ นะ มามา ปะติเเวะมาวะ อาคัจฉายะ๚ะ๛

ส่วนผ้ายันต์ที่รองปลาตะเพียนเป็นผ้ายันต์ของหลวงปู่แย้มครับ  ไม่ใช่ของหลวงปู่เต๋   

ดูไม่เก่งไม่ทราบรุ่นกับเขาหรอกครับ อาศัยว่าเก่าและชอบ  เท่านั้นพอ 

คงมีไว้สอนใจให้ ขยันพากเพียร นะครับ  ส่วนมากจะบูชาเพื่อผลทางค้าขาย การงาน ไม่มีคำว่าลาภลอยครับ

งานเ้ข้าเยอะจริง เราก็ต้องขยัน เหนื่อยหน่อย แต่น่าภูมิใจ และเห็นคุณค่าของเงินทองที่ได้มา





84
ว่ากันว่า .. มุมมองของคนเราต่างกัน  เรื่องธรรมดาๆ อาจจะสร้างรอยยิ้มได้ ถ้ารู้จักการนำเสนอ  ลองชมครับ















ยิ้มกันไว้นะครับ  มองทุกอย่างให้มีความสุข  ความสุขก็เกิด  ชีวิตไม่ได้ยากอย่างที่คิด มีเรื่องดีๆ อยู่เสมอ




85
บทความ บทกวี / เสน่ห์เลือกได้ ตอน ๒
« เมื่อ: 29 มี.ค. 2552, 08:36:48 »
จากตอนแรกที่กล่าวไว้แล้วว่า  เสน่ห์ของคนเรานั้นลึกๆ เกิดมาจากบุญที่สั่งสมมาดี

คนเราทุกคนมีเสน่ห์ในตัวเองครับ เพิียงแต่มากน้อยแตกต่างกัน ส่วนมากจะอยู่ในลักษณะของ การมีเสน่ห์กับบางคนไม่ใช่ทุกคน

การมีเสน่ห์กับบางคน ก็เพราะ ภพชาติก่อนๆ เราเคยคิดดี หวังดี เลือกเป็นคนๆไป  อันนี้แน่นอน ทุกวันนี้เราก็เป็นอย่างนั้นกันบ่อยๆ

ส่วนใครก็ตามที่ใจเขากว้าง ใจยิ่งใหญ่พอที่จะวางใจให้ดีใจกับความดีของคนอื่นทุกคน เห็นใครทำดีแล้วชื่นนนนนนนนน...ใจ

ดีใจกับความดีของคนอื่นอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่ใช่ว่าเพราะเป็นญาติ เป็นเพื่อน หรือเป็นที่รัก ดีใจเพราะเห็นว่า คนทำความดีเป็นคนน่ายกย่อง

ใจแบบนี้ สร้างเสน่ห์ให้กับตัวเองโดยไม่รู้ัตัว  และทำให้มีเสน่ห์กับคนหลายๆคนรอบข้างตอบกลับมา เรียกว่า มีเสน่ห์มากกว่า ๑ คน

แต่ถ้าดีใจเพราะอยากมีเสน่ห์ จิตไม่ค่อยผ่องใสแล้วละครับ

เสน่ห์ แปลว่า ลักษณะที่ชวนให้รัก  คนเราที่เกิดมามีเชื้อตัณหามาัตั้งแต่เกิด ตัณหาคือความอยาก เน้นไปเลยว่า กามตัณหา อยากในกาม

เืมื่อยังมีความอยากในกาม การหลงเสน่ห์ก็เป็นเรื่องปกติของผู้ยังมีความสุขกับตัณหา  ดังนั้น คนเราทุกคนยังต้องหลงเสน่ห์กันอยู่่ร่ำไป

คนเราจึงมีเสน่ห์เป็นใบเบิกทางให้เกิดสัมพันธภาพด้านต่างๆ กับคนอื่น  ซึ่งความดีก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้คนหลงได้

มีคำถามว่า ...เสน่ห์ กับ เมตตา  เหมือนหรือต่างกันอย่างไร..

ต้องแปลความหมายของคำก่อน จึงตีโจทย์แตก   เสน่ห์ แปลว่า ลักษณะที่ชวนให้รักหรือหลง เกิดจากตัวเราไปหาผู้อื่น

เมตตา แปลว่า ความเอ็นดูและอยากให้เขามีความสุข  เราต้องมีผู้อื่นมีต่อเราและเราก็ควรมีกันคนอื่นๆด้วยเช่นกัน

ถ้าพูดให้ตรงประเด็น คือ เสน่ห์เป็นพลังที่ทำให้เกิดความรักแบบชู้สาวหรือรักแบบเมตตาเอ็นดูสงสาร

เสน่ห์จึงเป็นเหตุ และผลคือทำให้ผู้อื่นรักใคร่เมตตาตอบกลับมา   ในแบบที่น้องก๊อตได้เคยบอกไว้ในตอนแรกนั้นละครับ



ต้นไม้แห่งเสน่ห์ ...

ถ้าเปรียบเสน่ห์กับเมตตา  ลองมองภาพแบบนี้

สมมุติว่าเราเป็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง  คนอื่นๆ คือฝูงนกที่โผบินไปมาหากินผ่านต้นไม้นี้ประจำๆ

เสน่ห์ก็เปรียบเหมือนผลไม้ที่ สุกแดง เย้ายั่วให้ฝูงนกบินเข้ามาลองลิ้ม ชิมรส และจากไป ถ้าต้นไม้นี้ไม่มีดีอย่างอื่น

เมตตาเปรียบเหมือนร่มเงาของต้นไม้ ที่ฝูงนกอาจจะไม่เคยนึกถึง แต่พอวันไหนบินจนเหนื่อยลองมาหยุดพัก เกาะกิ่งพึ่งร่มเงาของต้นไม้้

ก็เกิดความร่มเย็นและเป็นสุข จนต้องสร้างรังเรือนอยูกับต้นไม้นี้ตลอดไป

เสน่ห์เป็นได้แค่จุดเริ่ม ต้องสานต่อด้วยความดีและความจริงใจ

เมตตาเป็นความดีอยู่แล้วย่อมส่งผลในตัวของเมตตาเอง และส่งผลอย่างมั่นคงตลอดไป.....

ตอนต่อไปมาดูเรื่องวัตถุมงคลช่วยได้จริงหรือ กันครับ



 

86
บทความ บทกวี / เสน่ห์เลือกได้
« เมื่อ: 29 มี.ค. 2552, 10:21:42 »
คนมีเสน่ห์ เป็นมากกว่าคนสวย คนหล่อ หรือคนน่ารัก   

เสน่ห์ของคนเราก็มีได้หลายอย่าง เสน่ห์ที่บุคลิก รุปร่างหน้าตา คารมคมหอก 

หรือนิสัยโดนๆ ที่ทำเอาแทบละลาย

คนมีเสน่ห์แบบแรงปรี๊ด ไปไหนใครก็มอง ชนิดมองแบบลืมตัว มองแบบ โอ๊ยไม่ไหวแล้ว จะตายให้ได้

เคยเห็นเพื่อนๆไปดูคอนเสิรต์ของนักร้องที่เขาปลื้ม 

ทันทีนักร้องนักดนตรีออกมา  เจ้าเพื่อนก็กรื๊ดแตก

มีอาการเหมือนคนมีความสุขเต็มที่จนเก็บไว้ไม่อยู่ ระบายด้วยการหันไปทุบเพื่อนข้างๆ

หลับหูหลับตาทุบ จนเพื่อนขยับไปทางอื่น

ก็ยังคงหลับตาทุบใครเขาก็ไม่รู้ จนเพื่อนต้องสะิกิดว่า นี่ๆ ที่เมริงทุบอ่ะไม่ใช่กรูนะเฟ้ย

อ้าวเหรอ งั้นไม่เป็นไร งั้นมานี่ มาให้กรูทุบแก้เขิลต่อไป ..เฮ้ออ อนาถจิต

ชีวิตของผู้หลงเสน่ห์ น่ารักแบบโหดๆคงเป็นเพราะหลงเสน่ห์บางอย่างเข้าแล้ว

แล้วคนเรามีเสน่ห์จากอะไร การเสริมสร้างเสน่ห์ด้วยวิธีการต่างๆ ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่ทำกันไป

ไม่ว่าจะปรับเปลี่ยนบุคลิกหรือพฤติกรรม จนไปถึงการแต่งเนื้อแต่งตัว โป๊ะหน้า เป็นแวมไพร์ทไวไลท์  ก็ตาม

แต่เสน่ห์ในตัวจริงๆ มาจากผลของบุญในอดีต

เสน่ห์แบบนี้ มีกลิ่นไอที่ชวนฝัน เร้าร้อน ซ้อนเร้นและดึงดูดได้ตลอด

คนจะมีเสน่ห์เพราะ พื้นใจเป็นคนมองคนอื่นในด้านดี เห็นใครได้ดีทำดีแล้ว ดีใจ  ดีใจแบบสุด

ไม่ใช่ดีใจแบบเพราะว่าเขาทำดีก็ต้องดีแต่เป็นแบบว่า ดีจนน้ำตาไหล

คนที่ไม่มีเสน่ห์ก็เพราะ ไม่ค่อยดีใจกับใคร มีอารมณ์ประมาณ เฉยๆ

หรือถ้าจะดีใจหรือยินดีกับคนอื่นก็แค่ลอยๆไม่หนักแน่น ไม่อินกับความดีของเขา ไม่กี่วันก็ืลืม

คนที่เห็นใครทำดีแล้วคิดดีกับคนนั้น แอบปลื้มในความดี คอยเป็นกำลังใจให้เขา  คนแบบนี้ มีเสน่ห์ที่สร้างด้วยใจตัวเอง

ผลบุญจะดึงดูดให้ เจอใครเขาก็คิดดีและหลงใหล เป็นคนที่มีเสน่ห์จะทำอะไรมันโดนไปหมด อยู่ใกล้ๆแล้วหลง

คนที่ไปไหนมีแต่คนเฉยๆ เดินผ่านใครเขามองไม่เห็น เหมือนเราเป็นอากาศ

แสดงว่า ชาติก่อนไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตา

หลงตัวเองมาตลอด ว่า ข้าดีเลิศประเสริฐศรีคนเดียว แต่ก็ไม่ถึงกับเกลียดใคร  อารมณ์แบบเย็นชา

ลักษณะแบบนี้ เกิดมาก็จะมีแต่คนเฉยฉิบ ด้วยขาดเสน่ห์จากบุญ

ส่วนคนที่ไปไหน มีคนมอง แบบว่า "อย่าเข้ามานะ  เรามีพระนะ "

หรือเห็นหน้าก็เกลียดซะแล้ว ทำดีแค่ไหนก็ไม่มีใครชม ไม่มีใครชอบ

แน่นอน เป็นเพราะเคยตั้งหน้าตั้งตาแข่งดี อิจฉาคนอื่นมาตลอด ใจไม่เคยมองข้อดีใคร

มองแต่ข้อเสีย ใครพลาดข้าซ้ำ ได้ดีข้าด่า

ลักษณะแบบนี้ถ้าเกิดมาแล้วอยากให้ใครรัก ใครหลงคงยากหน่อย เพราะเรามีใจร้ายๆกับคนอื่นก่อน  เกิดมาก็ต้องเจอคนแบบเดียวกัน

คนมีเสน่ห์คือคนมีบุญที่ใจคิดดี เกลียดใครไม่เป็น ไม่เคยอาฆาตพยาบาทใคร  มีแต่รอยยิ้มให้กับทุกคน แบบนี้ เสน่ห์แรง

คนที่ไม่มีเสน่ห์ คือคนที่ไม่สนใจความดีคนอื่น  เกิดมาก็ไม่มีใครสนใจเรา

คนที่ไม่ม่เสน่ห์และคนเกลียดอีก ก็ตามนั้น  ใจเกลียดคนอื่นมาก่อน ก็ได้รับตามที่ใจชอบคิดเรื่องแบบนั้น

คนที่มีจิตใจดีกับคนอื่นนั้น ผลบุญจะทำให้ เกิดมาผิวพรรณดี เพราะใจละเอียด หน้าตาดี  เพื่อนฝูงดี  เป็นเมตตามหาินิยมในตัว

คนที่ชอบคิดร้าย อาฆาต ขี้โมโห เกิดมามักมีผิวพรรณหยาบ  ทำดีแค่ไหนใครก็ไม่เห็นความดี

 คนมีเสน่ห์จริงๆยังมีส่วนประกอบของบุญอื่นๆ คอยสนับสนุนอีกด้วย ไว้มาคุยกันต่อ


ตอนนี้ก็พอจะสรุปไ้ด้ว่า  คำว่าเสน่ห์เลือกได้ ไม่ใช่มีเสน่ห์แล้วจะเลือกใครก็ได้

แต่มันคือ เสน่ห์นั้นละที่คุณนั้นต้องเลือกความเสน่ห์ให้กับตัวคุณเองได้ ด้วยความดีในใจคุณ คิดดีกับคนอื่นด้วยใจคุณเอง

อย่าหวังพึ่งของดี ของขลัง ภูติ พราย น้ำมันอะไรทั้งนั้น

ให้ของดีแค่ไหน ถ้าถ้าคุณไม่เคยมองเห็นความดีคนอื่น คิดดีกับคนอื่น ของนั้นก็ไร้ค่า

พกให้หนัก ทาให้มันเสียหนัง เสียหน้าเปล่าๆ เพราะคุณเลือกเสน่ห์ผิดจุด หลงประเด็น 

ต้องหาตัวเองให้เจอก่อนครับ แล้วคำตอบจะตามมาเอง  ...



87
ในศาสตร์ของคนจีน หรือคนไทยเชื้อสายจีน มีหลักความเชื่อ ข้อหนึ่ง คือ คนที่มีดวงชะตาชงกัน

หรือเวลาไปงานศพแล้วเราเป็นคนที่ชงกับงานศพ กลับมาแล้ว ปวดหัวตัวร้อน ไม่สบาย เหงาๆ ซึมๆ

มีหลวงปู่รูปหนึ่ง อายุของท่านนับถือวันนี้ก็ ๙๙ ปี ย่าง ศตวรรษ พอดิบพอดี  แต่สุขภาพร่างกายยังแข็งแรง

ท่านคือ หลวงปู่โต๊ะ พระผู้สละชีวิตทางโลก เกิดใหม่ในเพศสมณะ 

ได้เคยไปกราบหลวงปู่หลายครั้งด้วยกัน  สอบถามได้ความว่า ท่านบวชเมื่อตอนอายุ ๙๐ ปี  ก็เรียกว่าบวชมา เกือบจะสี่สิบพรรษา

หลวงปู่มีดีหลายอย่าง ที่ท่านทำแจกประจำ คือ ตะกรุดกันชง ลงอักขระคาถาเกือบ ๖๐ ตัว

ตะกรุดกันชง เด่นทางกันชงกับสิ่งที่เรามองไม่เห็นหรืออะไรที่เราแพ้ทาง 

เป็นตะกรุดขนาดตะกรุดลูกอม ของหลวงปู่ใจ วัดเสด็จ  จารลงบนแผ่นอลูมิเนียม เล็กๆ น่าใช้ครับ

ได้สนทนากับหลวงปู่แล้วสนุกมาก ท่านเป็นพระซื่อๆ ตรงๆ น่าเลื่อมใส คุยเสียงดังแต่ใจดี

ท่านบอกว่า เคยมีคนเอาตะกรุดท่านไปลองยิง ออกเหมือนกัน  ไม่ได้ทำมากันปืนนะ อย่าไปอวดดีกับใครเขา

ท่านเล่าของท่านเองชนิดว่า  "ของข้าทำได้แค่ไหน ข้าก็บอกแค่นั้น" 

ที่เด็ดสุด คือก่อนจะมาบวชท่านมีภรรยามาแล้วหลายคน  ..แหล่มซิครับ 

จะเหลือเหรอ เข้าถ้ำเสือแล้วอย่างนั้นก็ต้องได้ลูกเสือออกมา..... อ้อนจนท่านให้มา ยกพานดอกไม้ขอคาถาเลยอ่ะครับ

ที่ว่าเด็ดก็เพราะคาถาของท่านไม่ใช่แค่ทำให้หญิงรัก แต่ทำให้พ่อตา เอ๊ย พ่อแม่ผู้หญิงรักเราด้วย

ท่นบอกว่า ทำตัวดีๆ เป็นคนดีมีงานทำ พ่อแม่เขาต้องให้โอกาสเรา แต่ถ้ายังยากก็ลองเอาคาถาไปใช้ดู 

โฮ๊ะๆ โฮ๊ะๆ  เมตตาดึงดูดเมตตาจริงๆ ครับพี่น้อง








88
ดวงชะตาเป็นเรื่องของโหราศาสตร์ ว่าด้วยการที่ดวงดาวต่างๆโคจรมาสถิตในตำแหน่งๆต่าง หรือลัคนาดวงเกิดของเรา

ถ้าจะมองในหลักพุทธศาสนา ก็คือ บุญที่เคยทำมาและส่งผลนั้น มีกำลังแผ่นลง ประมาณว่า น้ำมันจะหมด หรือเครื่องมีปัญหาแล้ว

ดวงดี ก็คือ จังหวะเวลาที่บุญเก่าส่งผลต่อเนื่องไม่ขาดสาย

ดวงตก คือ บุญมีกำลังน้อย บาปกรรมที่เคยทำในอดีตกำลังจะตามมาทัน

บุญหรือบาปเล่นเก้าอี้ดนตรีอย่างนี้ในชีวิตคนเราเสมอมา สลับกันนั่ง สลับกันเต้น ไม่เคยหยุด แต่ััทั้งบุญและบาปไม่ใช่เปิดฝากระทิงแดงได้มา

เราเป็นทำมากับมือกันทั้งนั้น

ในเวลาที่รู้สึกว่า ชีวิตไปรุ่งพุ่งไม่สุด หรือขนาดทำอะไรติดขัด เลือดตกยางออก มีแต่เรื่องซวยๆ

ทางแก้ที่ดีที่สุด คือเติมบุญให้เยอะเพื่อไปเจือจางบาป  เป็นหลักปฎิบัติ ซิมเปิ้ลๆ ที่ทุกคนต่างทราบดี

ในเรื่องของวัตถุมงคล ก็มีส่วนช่วย ในเมื่อบารมีเราไม่พอ บุญเราไม่พอจะต้านทานบาปได้

ก็ต้องพึ่งบารมีผู้ที่มีบุญมารมีมากกว่าเรานั้นคือ บารมีของพระพุทธเจ้า

ขอบารมีพระพุทธองค์มาช่วยกางกั้นสิ่งไม่ดีต่างๆ  หรือชะลอไว้ อย่าเพิ่งเข้ามาเร็วนัก

นั้นคือ ที่มา ของตะกรุด หนุนดวง หรือตะกรุดโสฬสหนุนดวง ของพระอาจารย์นคร โฆษการี หรือพระอาจารย์ปุ้ม วัดศาลาแดง

ตะกรุดหนุนดวงของพระอาจารย์ปุ้ม ในระยะแรกท่านแจกฟรีครับ  ท่านจะบอกว่า "เอาไว้กันหมากัด  โบราณท่านว่าอย่างนั้น"

แต่ด้วยอานุภาพยันต์และการอธิษฐานจิต ตะกรุดชุดนี้เป็นได้มากกว่า กันหมา 

หรือว่า หมาในความหมายของพระอาจารย์คือ สิ่งไม่ดีทั้งหลายที่จะเข้ามาในชีวิตเรา

ตะกรุดหนุนดวงในระยะแรกไม่มีการถักเชือกลงรักเหมือนในปัจจุปัน  พุทธคุณเด่นชัดคือ หนุนนำสิ่งดีๆมาสู่ตัวเรา

เป็นได้ทั้งการงาน ความรัก ความสำเร็จ  แต่ไม่ใช่ตูมตาม ค่อยๆเป็น ค่อยๆไป อย่างที่เรารู้สึกได้ว่า ชีวิตดีขึ้น

พอลูกศิษย์นำไปใช้แล้วดีกันแบบนี้ ถึงจะไม่ตั้งชื่อว่า หนุนดวง แต่มีอาุนุภาพจนต้องเรียกหากันแบบนั้น

ของดีครับ เมื่อก่อนท่านแจกเป็นกำมือ แบบเดียวกับพระสีฯ  เป็นวัตถุมงคลที่ใช้แ้ล้วเห็นผลจริงๆครับ



89
พรุ่งนี้ (๒๗ มี.ค.)เป็นวันคล้ายวันเกิดพี่สาวเจ้าเสน่ห์ของน้องๆ หลายคน

ในฐานะที่พี่โชวเป็นปฎิคมของบอร์ดบางพระ  นำเรื่องราวดีๆและรอยยิ้มมาฝากพวกเราเสมอๆ

ขอเชิญพี่้น้องมาร่วมอวยพรวันเกิดให้พี่โชว กันหน่อยนะครับ  น้ำใจไมตรีต่อกัน เผื่อพี่เขาจะพาเราไปเลี้ยงทั้งหมด   :005: :005:

สุขสันต์วันเกิดนะครับพี่สาว ขอให้รวยๆ เฮงๆ มีแต่รอยยิ้ม สุขภาพแข็งแรง

 มีเสน่ห์มากมายอีกนะครับพี่
:089: :089: :089:


> กดเบาๆนะจ๊ะ <
> กดเบาๆนะจ๊ะ <

90
บทความ บทกวี / เรื่องของเสือ
« เมื่อ: 24 มี.ค. 2552, 02:38:22 »
เป็นคนหลงป่าครับ  คือ หลงใหลการเดินป่ามากๆ   ทำให้ต้องเรียนรู้เรื่องสัตว์ป่า้บ้างนิดหน่อย

เวลาเข้าป่า สิ่งแรกที่นึก คือ พี่ใหญ่ และพี่เบิ้ม

พี่ใหญ่ คือ เสือ 

พี่เบิ้ม คือ ช้าง


เรื่องของเสือ น่าสนใจครับ หลายๆท่านคงพอจะทราบ  ถ้ามีตรงไหนไม่สมบูรณ์หรือผิดพลาด กรุณาชี้แนะด้วยนะครับ

๑. เสือเป็นสัตว์ทรนง ข้ามาคนเดียว ไม่เคยมีเพื่อนตาย หรือเดินควงกิ๊ก  ไปไหนมาไหนเดี่ยวๆ 

๒. เสือเป็นสัตว์ผู้ล่าในห่วงโซ่อาหารชั้นบนสุดก็จริง แต่พี่ใหญ่ก็ไม่เคยล่าเอาสนุกเหมือนคน จะล่าเหมือนหิว ถ้าไม่หิว หางตาก็ไม่แล

๓. เสือเป็นสัตว์ที่ไม่ยอมเสี่ยงให้ตัวเองต้องเจ็บ นิสัยแลกหมัด จิ้มหน้าคนละทีไม่มี  ถ้าเห็นท่าว่าไม่ชนะแน่ ขอผ่าน
    เสืออย่าข้าแพ้ไม่เป็น

๔. เสือกลัวคนและสัตว์ที่ไม่อยู่ในวัฎฎจักรวงจรห่วงโซ่อาหาร เสือที่เห็นคนครั้งแรกจะ ทำตาลุกวาว
    ประมาณว่า มันตัวอะไรฟร่ะ ??

๕. เสือจะกินคนหรือทำร้ายคนก็คือ เสือบาดเจ็บ เสือกำลังกินอาหาร เสือแม่ลูกอ่อน และเสือแก่ เท่านั้น

๖. เสือไม่ใช่สัตว์เผชิญหน้า ถ้าคุณเจอเสือแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน แล้วนิ่งไว้ เสือจะไปเอง

๗. เสือจะเล่นทีีเผลอหรือได้เปรียบเท่านั้น  จังหวะที่จู่โจมต้องสำเร็จ

๘. เสือเป็นสัตว์ที่ผิวหนังบอบบางและถ้ามีบาดแผลจะหายยาก จึงไม่ต่อกรกันเองหรือเสี่ยงให้ต้องบาดเจ็บ

๙. เสือจะป้องกันตัวเองจากเสือตัวอื่นด้วยการถ่ายมูลและประทับรอยเท้าไว้ ประมาณว่านี่ ลายเซ็นข้า 
    เสือตัวอื่นเมื่อข้ามถิ่นจะสังเกตลายเซน ถ้าใหญ่กว่า หมายถึง วัดกันไม่ไหวแน่ๆ  ขอผ่านไปก่อน แต่ถ้าพอๆกัน ก็รุกล้ำเข้าไป

๑๐. เสือโคร่งปืนต้นไม้ได้ ว่ายนน้ำได้ กระโดดไกลพอๆกับนักกระโดดไกล


๑๑. สัตว์ที่ไม่กลัวเสือ คือหมูป่า และ หมาใน เสือจะไม่ตอแยด้วย เพราะเอาจริงๆแล้ว หมูป่า เลือดเดือดกว่าเสือเยอะ

๑๒. เสือไม่ชอบให้ใครเขาไปยังดินแดนแห่งพยัคฆ์ ถ้าได้กลิ่นคนเข้าไป ก็จะทิ้งถิ่นและหนีเข้าป่าลึกไปอีก

๑๓. ทั้งหมดคือ พฤติกรรมของเสือป่า มิใช่เสือสวนเสือศรีราชา หรือเสือละครสัตว์  ของจริงน่ากลัวกว่าเยอะ

๑๔. ถ้าคุณอยากเจอสัตว์ป่า เวลาเข้าป่า ไม่ยาก ปากดีเข้าไว้ ได้เจอแน่ๆ    :070: :070:

๑๕. สัตว์ป่าที่ไม่กลัวคน แล้วชอบมาเงียบๆ คือ งูเหลือมและงูหลาม ... ช้างกับหมี ด้วยละครับ พวกนี้ัสัตว์หวงถิ่น


ที่แจงสี่เบี้ยมา คือ เรื่องราวของเสือจริงๆ ในป่าจริงๆ

แต่ถ้าคุยกันในแง่อาถรรพณ์หรืออำนาจของเสือแล้ว จะเป็นอีกversion นะครับ
[/size]

91


เต่า..กับปลา  เป็นเพื่อนเิลิฟกัน  ณ. หนองน้ำแสนสุข 

แล้ววันหนึ่งเจ้าเต่าน้อยก็เกิดไอเดียบรรเจิด อยากไปเที่ยวบนบก 

จึงบอกกับปลาเพื่อนเลิฟว่า วันนี้จะคลานต้วมเตี้ยมไปบนบกซะหน่อย

ปลากก็เออ นะ  เอ็งอ่ะอยู่ในน้ำ ว่ายปรูี๊๊ดปร๊าด อยากจะไปต้วมเตี้ยม บนโน่นก็ตามใจ เจออะไรก็มาเล่าบอกกันบ้างละ

ได้เลย เต่าจัดให้  ...ว่าแล้วก็ค่อยๆ คลานไปอย่างใจเย็น  (ใจร้อนมันก็ไม่ได้เร็วขึ้นอยู่แล้ว ยังไงก็เต่า  :067:)

เต่าไปเจอ อลังการงานสร้างของธรรมชาิติ  โอ้ว นั้น ช้าง นั้นหมี นั้นยอดเขา นั้นดอกไม้สีสันมากมาย

โชคร้ายสมัยนั้นไม่มี cybershot มือถือจะส่ง mms ก็ไม่มี เต่าจึงต้องจดจำเรื่องราวและสิ่งที่พบเห็นเก็บไปเล่าให้เพื่อนปลาฟัง

....โม้ !!  ไม่จริง มันไม่มี..?? ทันทีที่เพื่อนเต่าเล่าสิ่งที่ไปเห็นมา เพื่อนปลาก็เถียงจนเหงือกกระเพื่อม  :005:

เอาไรมาเล่าเจ้าเต่าดุ๊กดิ๊ก !! เกิดมาตั้งแต่เป็นลูกปลาไม่เคยเห็นสัตว์แปลกที่เอ็งเล่ามา ข้าไม่เชื่อ เด็ดๆ ..

เต่าจนปัญญา เพราะยังไงก็คงแบกปลาไปดูสิ่งที่เห็นไม่ได้  สภาพของปลาอยู่ได้แค่ในโลกของปลา

ปลาก็เชื่อในสิ่งทีปลาเห็น    เต่าก็เล่าในสิ่งที่เจอมา  ทั้งสองยืนอยู่ในหลักความจริงของตัวเอง


เพียงแต่ ความจริงที่เต่าเห็น...ปลา ยังไปไม่ถึง ..ตราบใดที่ยังเป็นปลา  แม้แต่น้ำที่อยู่รอบตัวปลา ปลาก็ยังมองไม่เห็นเลย

....................

นรก สวรรค์ ยักษ์ เทวดา นาค  ผี ....  เราไม่เห็น  เพราะเราเป็นเหมือนปลาหรือเปล่า

คำถามง่ายๆ...ตั้งแต่เกิดมาจนถึงวันนี้ เราเคยจำได้ไหมว่า มีใครทำดีกับเรากี่คน และเราทำดีกับคนอื่นไปอีกคน. ??

ถ้าความละเอียดของใจเรายังมองสิ่งที่ใกล้ตัวไม่เห็น สิ่งที่ละเอียดกว่าันั้นยิ่งยากเกินจะมองเห็น ..

อย่าปฎิเสธในสิ่งที่เราไม่เห็นว่าไม่มีจริง ต้องเผื่อใจไว้ว่า..หรือสิ่งที่มีอยู่เกินกว่าความสามารถของเราจะไปถึงในตอนนี้

แต่ถ้าเรามีความตั้งใจและเชื่อมั่น เราต้องไปถึงแน่นอน  .. :016: :016:




92


เวลาที่พวกเราไปวัดบางพระ ขึ้นไปกราบหลวงปู่ที่กุฎิใหญ่

หรือขึ้นไปกุฎิต่างๆไหว้ก็ตาม สวดมนต์ไหว้พระที่บ้านก็ตาม จะท่องคาถาอาราธนาพระก็ตาม

เราต่างก็ต้องเริ่มต้นด้วยการท่องบท นะโมฯ ๓ จบก่อนทั้งนั้น เพราะอะไร ?? ในใจทุกคนคงมีคำตอบให้ตัวเองแล้วละครับ  :050:

เข้าใจว่าหลายๆ ท่านคงทราบที่มาของ บท นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุธธัสสะฯ

บทนนี้จริงๆ คนเราไม่ได้เป็นผู้กล่าวแต่แรก เอาง่ายๆ คนไม่ได้คิดประพันธ์ขึ้น แต่เป็นเหล่าเทพ อุทานขึ้นมา

เป็น ๓ เทพ และ ๑ ยักษ์  นั้นก็คือ


" นโม " อสุรินทราหู เป็นผู้กล่าว

" ตสฺส " พระยามาราธิราช เป็นผู้กล่าว

" ภควโต " พระอินทร์เป็นผู้กล่าว

" อรหโต สมฺมา สมฺพุทฺธสฺส " ท้าวมหาพรหมเป็นผู้กล่าว


ความหมายก็คือ "ข้าพระพุทธเจ้าขอนอบน้อมนมัสการกราบไหว้พระพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบพระองค์นั้น " 

และท่านแรกที่เป็นผู้เริ่มต้นกล่าวนะโม ๓ จบ คือ พระอินทร์  กษัตริย์แห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงษ์

ก้อถือเป็นแบบกันมาตั้งแต่สองพันกว่าปีที่แล้ว


ในสมัยก่อนคนที่จะกล่าว นะโม  คือ ตั้งใจจะนึกถึงกันจริงๆ  ไม่ใช่ต้องมาบิ๊วอารมณ์หรือเฟคขึ้นมาก


ยกตัวอย่างง่ายๆแบบน้องหมากับเจ้าแมว ที่บ้านเราละครับ

หมา เวลาเห็นแมวชอบแหย่เล่น เห่าให้แมวตกใจ พอแมวตกใจ ขนพองฟู่ชูชัน พอได้ทีแมวก็วิ่งหนี

หมานึกสนุก ก็วิ่งไล่ วิ่งเท่าไหร่ก็ไม่เคยทันแมวสักที

ทั้งที่ หมาร่างกายสรีระได้เปรียบแมวทุกอย่าง ตัวใหญ่ พลังเยอะ แต่ไหงวิ่งไม่ทันแมวสักที

เจ้าแมวตัวน้อย ก็รอดตัวจากการถูกแกล้งไปได้ทุกครั้ง



หมามั่นวิ่งไล่ "เพื่อเล่นสนุก"

แมวมันวิ่งหนี "เพื่อชีวิตของมัน"


ความตั้งใจมันต่างกัน

การท่องนะโมก็แนวนั้น  ตั้งใจแค่ไหนผลแห่งอานุภาพจึงต่างกันมาก   แล้วถ้านะโม ศักดิ์สิทธิ์ คาถาก็ศักดิ์สิทธิ์ครับ

เคยได้ฟังเรื่อหนึ่ง เด็กเลี้ยววัวจะโดนผีหรือยักษ์ฆ่า แต่รอดมาด้วยด้วยการท่องแค่บท นะโมฯ

ไว้มาเล่าต่อครับ  เิริ่มจะยาวแล้วครับ เบื่อกันแย่เลย

93
เชื่อไหมครับ คนเรามีเพื่อนอยู่ ๓ ประเภท  ที่เราไม่คิดไม่ถึงจริงๆ 

๑.เ่พื่อนที่เรารักเขามากแต่เขาไม่รักเราเลย

คือ ทรัพย์สมบัติ เรารักเขามากแต่ยามเราตายเราไม่สามารถเอาติดตัวไปได้แม้แต่บาทเดียวและเขาก็ ไม่ตามเราไป

๒. เพื่อนที่เรารารักเขามากแต่เขารักเราครึ่งเดียว

คือ ลูกและเมีย(สามี) เรารักเขามากแต่ยามเราตายเขาได้แต่จัดงานศพให้เราแต่เขาไม่สามารถตายตามเราไปได้

๓. เราไม่ค่อยรักเขาเลยแต่เขารักเรามากที่สุด

คือ บาปกับบุญ เราไม่รักเขาเลยแต่ยามเราตายไม่ว่าเราจะไปอยู่ที่ไหนหรือไปเกิดในที่ใดเขาจะคอยตามเราไปทุกที่


เราหลงลืมเพื่อนแท้กันไปหรือเปล่าครับ  ยังไม่สายที่จะนึกถึงเพื่อนที่จะตามเราไปทุกที

เลือกเอาว่าจะเลือกเพื่อนคือ บุญ หรือ เพื่อนคือ บาป เป็นคู่หูตามเราไปทุกที่  เราุทุกคนมีสิทธิ์เลือกครับ
  :016: :016:

94
เครื่องรางที่เป็นของอาถรรพณ์อีกชนิดหนึ่ง  ที่น่าสนใจ คือ

เม็ดพญาครัว  หรือแต่เดิมเรียกว่า เม็ดพญาเทครัว

ของหลวงปู่ผินะ  วัดสนมหลาว

ลูกหรือเมล็ดของพญาครัวนั้น เป็นไม้ที่อยู่ในป่า มีเทวดารักษา

หลวงปู่เคยบอกเล่าว่า การจะไปเอาลูกพญาครัวนั้นต้องเฝ้ารอให้ตกมาเอง

และต้องเอาผ้าไปรองรับไว้เพราะถ้าตกถึงพื้นจะหายไป ลักษณะเป็นแสงตกลงมา  แต่ก็เกินจะพิสูจน์ ผมก็ไม่ได้ติดใจเชื่อเท่าไร

 "สิ่งที่น่าสนใจคือ เม็ดพญาครัวจะอุดผงอาถรรพณ์ตำรับหลวงปู่ผินะ

ที่รู้กันในนามผง
"เห็นง่าย แต่ เอายาก"

เคยนั่งคุยกับพี่ๆ เรื่องผงนี้เหมือนกันว่าเป็นยังไง  ตอนนั้นนั่งคุยกันที่้ร้านกาแฟชื่อดัง 

พี่เขาตอบว่า เห็นง่ายแต่เอายากนะเหรอ  เราลองมองไปที่น้องผู้หญิงคนที่โต๊ะนั้นซิ  เห็นง่ายแต่เอายากไหม ??

โอ้ววว ชัดเลย  :009: ผมคิดว่าผมเข้าใจนะ แต่พี่เขาบอกว่า มันอยู่ลึกกว่าัันั้น   หุหุ ... :005: :005:


เม็ดพญาเทครัวหรือที่หลวงปู่เรียกว่า เม็ดพญาครัวนั้นชัดเจนเรื่องเมตตาและชนะใจครับ  ขอได้ ไหว้รับจริงๆ

บางคนใช้ทางทำมาหากินก็ได้ผล รวยกันไป  บางคนใช้ทางความรักก็ได้สมใจ  ใช้ทางการพนันก็พอได้ แต่ไม่แนะนำ

เป็นเครื่องรางที่ยากเกินว่าจะหามาได้ เพราะของเก๊เยอะมาก ของแท้มีน้อยจริงๆ  อย่าได้คิดหาเลยครับ  จุกกันมาเยอะแล้ว

ลูกแรกที่ผมได้มามีอันต้องระเบิดไปตอนเล่นกบ  เสียดายมากครับ

เครื่องรางชนิดนี้ อาจจะใช้เวลาซักพักที่จะเห็นผลแต่ถ้าเห็นผลได้จะได้ต่อเนื่องกันไปครับ

คนจะได้มาครอบครองต้องดวงสมพงศ์กันจริงๆ ไม่ใช่เครื่องรางที่จะกำเงินไปแล้วได้ของแท้ ใช้ได้ผลกันหรอกครับ
:005: :005:



95
บทความ บทกวี / คนดี ผีคุ้ม
« เมื่อ: 21 มี.ค. 2552, 12:43:25 »
สุภาษิตไทยกล่าวไว้อย่างนั้น  คนดีมักไม่มีภัย   เป็นเครื่องเตือนใจให้คนทำความดี

แต่ตามหลักจริงๆแล้ว คนดี เทวดาคุ้ม มากกว่า

แล้วทำไมเทวดาต้องมาคุ้มหรือมารักษาคนดี  เพราะว่า เพื่อยืดอายุของเทวดาเองให้ยาวนาน

เทวดาเป็น สิ่งมีชีวิตประเภท โอปปาติกะ คือเกิดแล้วโตเลยเป็นหนุ่มเป็นสาวไม่ต้องเป็นทารกหรือเด็ก  ซึ่งผิดกับสัวตประเภทอื่น คือ 

ชลาพุชะ คือ สัตว์พวกที่เกิดในครรภ์ เช่น คนเราและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม

อัณฑชะ คือ สัตว์ที่เกิดในไข่ ได้แก่ สัตว์ปีก สัตว์เลื้อยคลานบางชนิด

สังเสทชะ คือ สัตว์ที่เกิดในเมือกในไคล สิ่งหมักหมมเช่น แมลง และสัตว์เล็กๆ

เทวดานั้น มีเกิดมีตาย เช่นเดียวกับคนเรา แต่เทวดาตายได้แนวกว่าคน ข้อหนึ่ง คือ ถ้าเทวดาโกรธจะกลายเป็นไฟเผาตัวเอง

ประมาณว่า โกรธปุ๊ปทำลายตัวเองตายเลย  นอกจากนี้เทวดายังจะตาย เพราะหมดบุญ หมดอายุ ตายเพราะเี่ที่ยวเพลินจนลืมกิืนอาหาร

เทวดาที่ไม่อยากตาย ก็มีทางออกเช่นกัน นั้นคือ ต้องไปหาบุญมาเพิ่มใส่ตัวเทวดาเยอะ 


แล้วบุญมาจากไหน? เทวดทำบุญไม่ได้เหมือนคน

คำตอบคือ เทวดาต้องลงมาอยู่ใกล้คนดีๆ ที่ชอบสวดมนต์ไหว้พระและแผ่บุญให้
คนที่มีศีล รักพ่อแม่ ทำดี คิดดี ชอบทำบุญ เข้าวัด อะไรแบบนี้

เพราะคนเซทนี้ จะมีการแชร์บุญให้เทวดาและสัตว์อื่นๆ  ประมาณว่า ช่วงเซลกระหน่ำ  ใครๆก็อยากเข้าหา

เทวดาก็เช่นกันจะคอยตามเป็นบอดี้การ์ดให้คนเหล่านี้ไว้ จะได้แบ่งบุญให้บ่อยๆ ทำให้เทวดาต่อวีซ่าในเมืองสวรรค์ได้อีกนานเลย

คนเราถ้าทำดี ความดีจะดึงดูดสิ่งๆ เข้ามาหาเราครับ แม้เทวดา อินทร์ พรหมก็ทนไม่ได้ต้องลงมาฟังเราสวดมนต์

ทุกคืนที่เราสวดมนต์เทวดาฟังอยู่ ทุกวันที่เราตั้งใจรักษาศีลเทวดาจะตามคุ้มครองเรา

แต่ถ้าเราไม่มีดี  เทวดาก็บ๊าย บาย ที่นี้ละครับ  ผีคุ้มแน่ๆ    :005: :005:



96


ตะกรุดพิสมร ของหลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม จ.นครปฐม 

เป็นตะกรุดที่จารอักขระนวหรคุณ ลงบนใบลานเก่าอายุร่วม ๑๐๐ปี

แล้วนำมาม้วนทำตะกรุดขนาดเล็ก ขนาดยาวประมาณ ๑ นิ้ว

มีพุทธคุณทั้งเมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกระพัน โดยเฉพาะเมตตาจะมีประสบการณ์ชัดเจน  เป็นของดีฝ่ายพุทธคุณ

สร้างประมาณปี ๔๓ ก่อนหลวงพ่อจะมรณภาพครับ

ที่สำคัญ พิสมร ของหลวงพ่อไสว คัดถอนไม่ออก พุทธคุณอยู่ครบครับ

ประสบการณ์ที่ชัดเจน คือ มีพี่ท่านหนึ่งมีตะกรุดและปลัดขิก ของหลวงพ่อไสว ไปฝังตะกรุดไม่เข้า 

ต้องถอดตะกรุดออกก่อนถึงจะฝังตะกรุดได้นะครับ  ของหลวงพ่อไสว มั่นใจได้เต็มร้อยครับ

พี่ๆ หลายท่านในบอร์ดบางพระต่างก็มีพิสมรกันเยอะครับ


คาถาบูชาพิสมร

นะโม ๓ จบ

อมพระฤาษีทั้งสี่ตน พ่อให้กูปลุกมนต์และพิสมร เป็นเมตตามหานิยมแก่บุคคลทั่วไปทั้งหญิงชาย ทางไกลและทางใกล้

กูจะปลุกเลขยันต์พันคาถา ปลุกทั้งเนื้ออันอยู่ที่ใต้หนัง ปลุกทั้งที่นั่ง ปลุกทั้งที่นอน กูจะปลุกพิสมรอันอยู่ที่อกและที่เอว

กูจะปลุกเลือดเหลวและเลือดข้น ให้เลื่อนขึ้นเร็วๆ พัลๆ กูจะปลุกจะปลุกมือและอาภรณ์ ทั้งหลังนอนและหมอนฟูก

ทั้งกระดูกและเลือด พระพุทธเกสา พระธรรม พระสูตร พระวินัย อาโป เตโช ปฐวี คงคา สวาโหม๚ะ๛



97
น้ำมันเชื้อเพลิงว่าแพงแล้ว

แต่น้ำมันขวดเล็กๆ กลับแพงกว่า  แต่ถ้าใช้แล้วประหยัดครับ ไม่ต้องเลี้ยงข้าว เลี้ยงหนัง  ทานข้าวที่ห้องดูทีวีกันเพลินเลย

ประหยัดการจีบไปได้เยอะ  ผมว่าไม่ตื่นเต้นนะ  ของแบบนี้ต้องฝีมือกันหน่อย

ประเด็นที่มีเพราะ อยากลองว่า สมคำร่ำลือแ่ค่ไหน  แป๊กก็มี มาหลอกอย่างเดียวไม่ช่วยก็มี ช่วยไม่ลืมหูลืมตาแฟนจะมาเล่นเราก็มี

สนุกดีครับ ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบลองของ





98


ตอนนั้น ท่านเจ้าคุณนรฯ มรณภาพแล้ว ก็ยังไม่ค่อยรู้จักท่าน ทั้ง ๆ ที่ญาติพี่น้องก็รู้จักท่านกันอย่างดิบดี

เพราะญาติผู้ใหญ่ของดิฉันท่านหนึ่งที่ดิฉันเรียกท่านว่า“หลวงอา”

ท่านบวชอยู่ที่วัดเทพศิรินทร์ฯ ท่านเป็นนักเรียนนอกมาก่อน เป็นนักเรียนอังกฤษ แล้วท่านก็มาบวช

ท่านมีความเคารพท่านเจ้าคุณนรฯ มาก ก็บอกให้หลาน ๆ ทุกคนไปกราบ พี่น้องเขาก็ไปกราบหมด

มีดิฉันคนเดียวที่ไม่ยอมไปกราบท่าน เมื่อไหร่ไปกราบก็ได้

จนกระทั่งท่านมรณภาพไป คนเขาก็ตื่นเต้นฮือฮาท่าน ก็มีเหรียญมีอะไรของท่านที่เขานับถือ

อยู่มาวันหนึ่ง ก็ไปอ่านประวัติท่าน ตอนนั้นอยู่สภานิติบัญญัติค่ะ เสร็จจากงาน หลังจากที่ทำงานมาอย่างหนักแล้ว ดิฉันเป็นกรรมาธิการพิจารณางบประมาณด้วย อยู่ดึก ๆ ดื่น ๆ กันตลอด แล้วก็ต้องอ่านงานมาก

เช้าวันนั้น จำได้ว่าเป็นวันอาทิตย์ ขอตื่นสายสักวันเถอะ แต่ตอนนั้นตื่นแล้ว ยังไม่อยากลุกขึ้น ก็คว้าหนังสือจากหัวเตียงมา จะเป็นหนังสืออะไรได้ขออ่านก่อน

กลายเป็นหนังสือเจ้าคุณนรฯ ซึ่งไม่เคยได้อ่านเลยวันนั้นก็อ่านไปพลิกอ่านอยู่ตอนหนึ่งว่า ท่านนั่งภาวนาตั้งแต่๖ โมงเย็นถึง ๖ โมงเช้าโดยไม่หลับ

ดิฉันก็นึกว่า เอ๊ะ ! นั่งได้อย่างไรคนเรา ? เพราะตอนนั้นไม่รู้ว่ามีพระอย่างนี้ทำได้

พระองค์นี้ท่านต้องมีศีลบริสุทธิ์ซี ! ตอนนั้นเราไม่ค่อยศรัทธานะ เพราะเคยเห็นพระพูดเล่น บางทีล้อสีกา หรือบางครั้งเคยเห็นพระหัดเต้นรำ



แต่เมื่อมาอ่านประวัติเจ้าคุณนรฯ ก็นึกว่าพระท่านอย่างนี้มีนะ !...


ท่านมีศีลบริสุทธิ์น่าเคารพนะ แหม ! ทำอย่างไรเราจะได้พระของท่านสักองค์

แต่นึกในใจว่าป่านนี้คงไม่ได้แล้ว คงหมดแล้ว ใคร ๆ คงแย่งกันตาย เพราะตอนที่เราคิดนี่มันปี ๑๗ แล้วนะคะ.

เสร็จแล้วก็นึกตัดใจว่าไม่เอาแล้ว เลิกกัน

ไปล้างหน้า พอล้างหน้าออกมา แต่งตัวหน้ากระจก มองเห็นโถแก้วที่ใส่สำลีสำหรับเช็ดเครื่องสำอาง จะหยิบขึ้นมาเช็ดมองเห็น

เอ๊ะ ! ในนั้นมีอะไร ?

มีพระอยู่ตั้งหลายองค์ แต่ที่ประหลาดอยู่ที่องค์หนึ่ง ที่แปลกใจเพราะเป็นเหรียญ ก็หยิบขึ้นมาดู มองดูหน้าไปมา

อ๊ะ ! นี่เหมือนกับที่เรานึกเมื่อกี้นี้นี่ ดูลักษณะหน้าตาเหมือนหมด ! เขียนว่า พ.ฆ.อ.


ดิฉันก็วิ่งไปถามลูกว่า ใครเอาอะไรมาไว้ที่นี่ ดิฉันหลุดมาคำว่า เอ! ทำไมเหมือนในหนังสือนี่ เหมือนอย่างที่ท่านเจ้าคุณนรฯ ท่านเสก ที่เราอยากได้สักองค์แต่นึกว่าคงไม่ได้

เอ๊ะ ! นี่เหมือนที่แม่นึกอยากจะได้นี่ แต่ตัดไปแล้ว เราไม่เอาแล้ว พระอื่นก็มี มีพระสมเด็จ พระอะไร ๆ มาหลายองค์เลย


ตอนนั้นไม่รู้ว่าเป็นของแปลก นึกว่าเรามีกันอยู่เสมอ ถ้าใครอยากได้ ก็คงจะตกลงมาให้อย่างนั้น

แต่ตอนนั้นยังสงสัยว่าปลอมหรือเปล่า ยังสงสัย ก็วิ่งไปทาบรุ่นกับเขา จนต้องไปกราบหลวงอาให้ท่านดู ท่านก็บอกว่าใช่

แล้วหลวงอาบอกว่า ที่ท่านเสกอย่างนี้มีพระกริ่งอีกนะ
เราก็บ่นว่า แล้วทำไมเราไม่ได้พระกริ่งอีกล่ะ แล้วพระกริ่งก็มาอีก !

ขอบคุณที่มาครับ http://www.dharma-gateway.com/misc/pra-tart/sureepun-02-01.htm

99

ปู่เจ้าสมิงพราย บรมครูเสน่ห์ ที่เป็นวัตถุอาถรรพณ์ไว้บูชา สำหรับคนที่มีของเสน่ห์อื่นๆ เพื่อหนุนใ้ห้ของที่มี  มีอาุนุภาพยิ่งขึ้นหรือชัดเจน

ธรรมดาของอาถรรพณ์ที่สร้างโดยผู้มีวิชาที่เป็นบุคคลทั่วไป ยอ่มแรง และไม่มีข้อจำักัด 

ถ้าเป็นพระสร้างก็จะไม่ให้เกินขอบเขตกันมากไปนัก 

ปู่เจ้าสมิงพราย เนื้อผงเสน่ห์ยาแฝด แบบนี้ อ.วรา ปราการ เป็นผู้สร้างไว้  เป็นของแรงที่มีประสบการณ์ปากต่อปากมามากมาย

คนที่ชอบลองว่า จริงเหรอ? ดียังไง?  คงเคยได้ลองซี๊ดซ๊าด....กันมาบ้างแล้ว   

สำหรับผมใช้เพื่อระลึกถึงในฐานะรูปแทน ครูบาอาจารย์ทางสายนี้ จะทำอะไรบอกกล่าวครูไว้ ก็ทำให้สิ่งนั้นสำเร็จได้สมควร

แต่ถ้าเป็นนักเที่ยว นักรักทั้งหลาย คงเพลินไปกับอานุภาพของเสน่ห์ยาแฝดกันมากกว่าครับ
   :048: :048:


100
 :005: :005:  ว่ากันว่า ความคิดส่อจิตใจ  ภาษาอย่าให้สองแง่สองง่าม   :005: :005:

แต่เรื่องจริงเป็นอย่างนั้นครับ  ผมหมายถึง ตะกรุด หลวงพ่อทองหยิบ วัดบ้านกลาง  จ.อ่างทอง ครับ  เป็นตะกรุดโทนดอกเดียว

ได้ยินเรื่องราวประสบการณ์ตะกรุดของหลวงพ่อทองหยิบมาพอสมควร  เมื่อตรุษจีนมีเวลาพอจะขึ้นไปกราบหลวงพ่อได้ที่ วัดบ้านกลาง

หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า ตะกรุดนี้เมื่อก่อน ลงยันต์พระเจ้า ๑๖ พระองค์ ต้องตีตารางเอง จารเอง เรียกสูตร เรียกนาม ทั้งหมด

คืนหนึ่ง เขียนได้แค่ดอกเดียวเท่านั้น   ลักษณะตะกรุดและการถักมีเอกลักษณ์เฉพาะตนดีครับ รวมทั้งเชือกที่คาดด้วย

ตะกรุดของท่านมีประสบการณ์ชัดเจนมากๆ  ขาลุย นักบู๊ คงรู้จักกันดี






ถ้าไม่ประมาท ตั้งมั่นอยู่ในความดี  มีสัมมาคารวะ เคารพครูบาอาจารย์ ตะกรุดก็มีปาฎิหาริย์ครับ

มีโอกาสเจอที่ไหน เก็บไว้นะครับ ของดีทีเดียว
  :005: :005:


101
บทบูชาพระพุทธไพรีพินาศ

นะโม ๓ จบ

อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ สุจิรัง ปะรินิพพุโต

คุเณหิ ธัมมาโนทานิ ปาระมีหิ จะ ทิสสะติ

ยาวะชีวัง อะหัง พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สะระณังคะโต

ปูเชมิ ระตะนัตตะยัง ธัมมัง จะรามิ โสตถินา๚ะ๛


คำแปล

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ชอบโดยพระองค์เอง ทรงปรินิพพานนานแล้ว...

ทรงอยู่ด้วยพระคุณทั้งหลาย และปรากฎด้วยพระบารมีทั้งหลายด้วย

ข้าพเจ้า ขอถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ ว่าเป็ฯที่พึ่งที่ระลึกถึง

จะขอบูชาพระรัตนตรัย และประพฤติธรรมโดยสวัสดี.๚ะ๛


คาถาบูชาพระพุทธไพรีพินาศ

ตั้งนะโม ๓ จบ

นะมัสสะ พระพุทธะไพรีพินาศายะ มาราปะราชะยัง นะมามิหัง พุทธังวันทามิ ธัมมังวันทามิ สังฆังวันทามิ สัพพะโส๚ะ๛

ขอให้ข้าพเจ้าจงประสพแต่ความสุข ความเจริญ ด้วยบารมีของพระพุทธไพรีพินาศเทอญฯ



สาธุ สาธุ สาธุ  :054: :054:

102
ว่านไ่ก่แดง มีสองแบบ 

แบบแรกเป็นพันธุ์ไม้สวยงาม พบตามภาคเหนือ ถ้าใครเคยไป ภูสอยดาวคงจะเคยพบเห็นมาบ้างนะครับ ไม่มีสรรพคุณทางเสน่ห์ครับ




ว่านไก่แดง อีกประเภทเป็นว่านจริงๆ คือพืชมีหัวอยู่ในดิน เป็นของมีดีในตัว จะเสะหาต้องเดินป่าเข้าไปลึกละครับ  และก็ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ



การไปนำมาก็ต้องมีพิธีรีตองกันนิดหน่อย 

ว่ากันว่า เป็นว่านที่กินเลือดสัตว์ปีกหรือสัตว์เล็กที่ต้องมนต์ให้เข้าไปในดงว่านนี้

นิยมนำมาเป็นหัวเชื้อหรือส่วนประกอบในการสักทางภาคเหนือ เน้นลายสักทางเมตตา-มหาเสน่ห์  ที่เคยเห็นสักกันก็มี

ยันต์นางคอย  นางสิงสมิงไพร  ม้าเสพนาง แม่เป๋อ    เป็นต้นครับ

แต่ก็ใช่ว่าเอาว่านมาสักกันแดงๆเลยนะครับ  ที่เคยเห็นคือ เมื่อสักเสร็จจะใช้น้ำมันว่านไก่แดงทาที่รอยสักครับ

ว่านไก่แดงนอกจากจะใช้ในการสักแล้ว  สำหรับผู้ที่ไม่นิยมรอยสักหรือเจ็บตัว หรือติดขัดในการถือข้อห้ามของการสัก

ทางเลือกที่สะดวกกว่า  คือ น้ำมันว่านไก่แดงและสีผึ้งว่านไก่แดงครับ  เป็นเมตตา-มหาเสน่ห์ พอได้ครับ

คงทำให้หายเหงาไปได้บ้างครับ   :005: :005:

รักใครชอบใครก็คอยใช้แล้วกันนะครับ ความรักเป็นสิ่งสวยงามเหมือนดอกว่านไก่แดงครับ   รักษากันไว้ให้ดีครับ



103


พระไพรีพินาศ เป็นพระพุทธรูปศิลาปิดทอง ศิลปะศรีวิชัย ปางประทานพร (คล้ายปางมารวิชัย เพียงแต่หงายพระหัตถ์ขวา)  ประวัติการ สร้างไม่ปรากฏแน่ชัด ทราบแต่เพียงว่ามีผู้นำมาทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ตั้งแต่ครั้งทรงผนวช ณ วัดบวรนิเวศวิหาร และพระองค์ทรงเชื่อว่า พระพุทธรูปองค์นี้มีอานุภาพกำจัดภัย ให้ผู้ที่คิดร้ายพ่ายแพ้พระบารมี

เรื่อง มีอยู่ว่า เมื่อรัชกาลที่ ๒ สวรรคตใหม่ ๆ นั้น รัชกาลที่ ๔ ยังทรงอยู่ในสมณเพศและพระองค์มีความชอบธรรมที่จะเสด็จเสวยราชสมบัติต่อ แต่กลับถูกคุกคามจากพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายที่สนับสนุนกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (ต่อมาคือรัชกาลที่ ๓) โดยเฉพาะจากกรมหลวงรักษ์รณเรศ (พระองค์เจ้าไกรสร) ลวงให้เสด็จเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง และถูกควบคุมตัวเอาไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นเวลาหลายวัน จนกระทั่งเมื่อกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ได้เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าแผ่น ดินแล้ว พระองค์จึงได้รับการปล่อยให้เสด็จกลับไปประทับที่วัดสมอรายดังเดิม  แม้รัชกาลที่ ๔ จะไม่ได้เสวยราชย์และดำรงอยู่ในเพศบรรพชิต ก็ยังถูกกรมหลวงรักษ์รณเรศหรือพระองค์เจ้าไกรสรคุกคามกลั่นแกล้งอยู่ตลอด เวลา

ในปลายแผ่นดินรัชกาลที่ ๓  กรมหลวงรักษ์รณเรศต้องราชภัย เพราะความกำเริบเสิบสานและสำเร็จความใคร่บ่าวจนน้ำกามเคลื่อน  จึงถูกถอดเป็นไพร่เรียกว่าหม่อมไกรสร แล้วประหารชีวิตโดยทุบด้วยท่อนจันทน์ 
ผู้ทำหน้าที่ประหารเคยเป็นข้าในกรมของผู้ถูกประหาร จึงมือไม้สั่น ปรกติทุบทีเดียวก็ตายสนิท แต่นี่เจ้านายตัวจึงทุบพลาด เจ้านายก็เด็ดขาด ตะโกนสั่งจากถุงที่คลุมว่า "ทุบใหม่ ไอ้นี่สอนไม่จำ.."

ข้อความในพระราชพงศาวดารกล่าวถึงกรมหลวงรักษ์รณเรศว่า “... มักใหญ่ใฝ่สูงจะเป็นวังหน้าบ้าง เป็นพระเจ้าแผ่นดินบ้าง อย่าว่าแต่มนุษย์เขาจะยอมให้เป็นเลย แต่สัตว์เดียรฉานมันก็ไม่ยอมให้ตัวเป็นพระเจ้าแผ่นดิน จึงโปรดให้ถอดเสียจากกรมหลวง ให้เรียกว่าหม่อมไกรสร ลงพระราชอาญาแล้ว ให้ไปสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ที่วัดปทุมคงคา เมื่อวันพุธ เดือนอ้าย แรมสามค่ำ (ตรงกับวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๙๑)”
  ด้วยเหตุนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงเฉลิมพระนามพระพุทธรูปนี้ว่า พระไพรีพินาศ โปรดให้สร้างเก๋งประดิษฐานพระพุทธรูปไว้ที่พระเจดีย์วัดบวรนิเวศวิหาร




ขอบคุณที่มา http://www.oknation.net/blog/panyadeesiri/2007/04/05/entry-1

104
ต้องออกตัวก่อนนะครับ ว่ามือใหม่หัดถ่าย  พระชัยฯ องค์นี้ผมถ่ายรูปได้ไม่สวยเอาซะเลย  :067: :067:

จะพยายามให้ดีขึ้นครับ  :016:


พระชัยวัฒน์ ไพรีพินาศ ปี ๒๔๙๕ องค์นี้  ดูยากมากๆ ส่งประกวดหลายครั้ง ติดแค่รางวัลชมเชย เซ็งเลย

กว่าจะผ่าน ขาใหญ่ ส่องและส่องอีก ต้องมีผู้ชี้ขาด เหมือนเป็นองค์ครูในด้านความแปลกครับ 

ความพิเศษคือ เป็นพระชัยวัฒน์ ไพรีพินาศ ปี ๙๕ ที่มีกริ่งด้วย 

ส่วนตัวผมชอบนะ เป็นทั้งพระกริ่งและพระชัยฯ ในองค์เีดียว

ประวัติของพระพุทธไพรีพินาศ คงเป็นที่ทราบกันดีว่า เด่นทางป้องกันและสนองกลับ ใครคิดร้ายหรือปองร้ายจะแ้พ้ภัยตัวไป

เท่าที่ใช้มา มีพุทธคุณทางมหาอำนาจ ยำเกรง ด้วยครับ เด่นชัดดี

ไม่แปลกที่ ทหาร ตำรวจและข้าราชการ นิยมเป็นพิเศษ

เป็นพระในดวงใจของราชภัฎ คนของพระราชาทั้งหลายที่ต้องทำงานรับใช้บ้านเมืองและประชาชน

พระพุทธไพรีพินาศมีเคล็ดลับการใช้ให้ได้ผลบางอย่าง ที่รู้กันดีในหมู่ผู้ชื่นชอบ

ข้อดีของพระพุทธไพรีพินาศ คือสอนใจเราว่า

อย่าคิดร้ายกับใคร อย่าอิจฉาใคร  ภัยจะมาหาตัว  ให้ชนะคนไม่ดีด้วยความดี   บูชาแล้วสุขใจครับ



105
ตะกรุดยาวๆ ใหญ่ เน้นทางบู๊ เป็นอะไรที่ชอบมากครับ

ยิ่งได้รับทราบข้อมูลการสร้างแล้ว  สุดยอดทุกดอก ผมชอบตะกรุดจาร เพราะมีเอกลักษณ์เฉพาะดอก และพิธีกรรมการสร้างที่พิถีพิถัน

กว่าจะได้แต่ละดอกต้องรอกันเป็นเดือนๆ

พุทธคุณก็เด่นชัด ไว้ใจได้เลยทีเดียว  จะิติดก็ตรงน้ำหนักและขนาดครับ ใหญ่ไปหน่อย :005: :005:








106
พอดีได้รับตะกรุดพอกครั่งพุทราของวัดชายนา มาแล้วจำนวนหนึ่ง

สืบเนื่องมาจากได้มีศิษย์พี่ของวัดชายนาได้นำครั่งพุทรามาถวายให้ทางวัด  จึงมีดำริสร้างตะกรุดชุดนี้ขึ้นมา

ตะกรุดพอกครั่งพุทราที่รู้จักกันดี คือ ตะกรุดของ หลวงปู่ทองศุข วัดโตนดหลวง เพชรบุรี

ตะกรุดพอกครั่งพุทราสร้างขึ้นให้บูชาโดยนำปัจจัยไปบูรณะซ่อมแซมหอระฆัง ของวัดชายนาครับ

น่าจะเป็นตะกรุดชุดสุดท้ายก่อนที่หลวงพ่อจะเ้ข้ารับถวายพัดพระราชาคณะ

ตะกรุดพอกครั่ง จัดสร้างจำนวนไม่มาก ประมาณ ๓๐๐ กว่าดอก

แบ่งเป็น ๒ แบบ คือ

่๑.ตะกรุดทองแดง+แผ่นอลูมิเนียม จารยันต์มหาอุด+ยันต์ตรีนิสิงเห พอกครั่งพุทรา

๒.ตะกรุดตะกั่วจารยันต์แบบเดียวกัน พอกครั่งพุทรา

ทั้ง ๒ แบบ มีจำนวน ๒๐๐ และ ๑๐๐ กว่าดอก ประมาณนั้น

เมื่อพอกครั่งพุทราแล้ว ทำให้มีขนาดใหญ่-เล็กที่ต่างกัน

แบบไหนใหญ่แบบไหนเล็ก คงเดากันออกนะครับ

ได้ปลุกเสกจนถึงวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ครับ  เน้นจันทร์เพ็ญ เพื่อผลทางเมตตาเพิ่มเข้าไปด้วย

ตะกรุดชุดนี้มีจำนวนไม่มาก ส่วนมากลูกศิษย์หลวงพ่อจะบูชาไว้หมด  นำมาให้ชมกันเพลินๆ ครับ






107
ว่างๆ นึกอยากเที่ยวหาของดี ของเหนียว อยากไปหาโรตี-สายไหม นุ่มๆเหนียว หน้าโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยาหม่ำสะหน่อย
  :006: :006:
งานนี้ไม่พลาดแวะ วัดเจดีย์แดง (อยู่ตรงไหนหว่า ไม่เคยสังเกตซะที)  เข้านมัสการหลวงพ่อจำลอง

คนเยอะเช่นเคยครับ หนุ่มมาขอของดี  สาวๆ มาถวายสังฆทานแฮปปี้ๆ วันเกิด ทุกคนมีรอยยิ้มแจกให้กัน ทักทายกันซักพัก ก็หยอกล้่อกันได้บ้าง

เก็บภาพมาฝากครับ

ตะกรุดดำจารยันต์เฉลียวเพชร ถักด้วยสายสิญน์จูงศพ 

แต่ที่น่าสนใจคือ ถังน้ำมนต์ข้างๆหลวงพ่อ ของดีไม่แพ้ตะกรุด  น้ำมนต์หลวงพ่อศักสิทธิ์ครับ  ใช้ได้เลย



ตะกรุดดำ แขวนคอไว้เป็นมหาอำนาจ เคียวไว้ข้างตัวเป็นคงกระพัน  ขาดแต่หนังเนื้อยังอยู่แน่น

เวลาลองหลวงพ่อจะปัดมีดปลายแหลมไปตรงๆ ลากสุดแรง เสียงมีดลากไปบนเนื้อหนังดัง ครื้ดๆ ดีแท้ 

ยิ่งตรงชายโครงปาดตามยาว ตามขวาง ถึงกับร้องไม่รู็ตัวเลยละครับ




ส่วนการจารตะกรุด ที่เห็นมาคือ หลวงพ่อจะจารเฉพาะตะกรุดที่เจ้าของนำกลับไปใช้แล้ว นำกลับมาให้จาร

จะเพราะผิดข้อห้ามหรือเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ก็แล้วแต่ครับ

แต่ถ้าใครบูชาตะกรุดตรงนั้นแล้วให้จาร ณ บัดนาว ละก็ ได้ถอดเสื้อลงครูด้วยมีดแน่ๆครับ ไม่เชื่อว่าดี ก็ถอดเสื้อเข้ามา   

ถึงกับถอยหลังไปนั่งเนียนกับสาวๆ ทันที :048: :048: ตั้งหลักก่อนแล้วค่อยเข้าหาใหม่อย่างกล้าหาญ ได้กำไร ๑ ดอก :048: :048:




ตะกรุดที่หลวงพ่อเคียวไว้ที่ข้างตัว แอบถ่ายมา

เรียนถามหลวงพ่อท่าน จึงได้ทราบว่า เป็นตะกรุดไตรมาส ที่หลวงพ่อทำเองจารเองไว้นานแล้ว

เกิดสนใจขึ้นมาทันที  ดอกน่าจะพอๆ กับตะกรุด ๙ ชั้น ของหลวงพ่อประเทืองครับ  ใหญ่ได้ใจจริงๆ



108
บทความ บทกวี / บรมครูเสน่ห์
« เมื่อ: 15 มี.ค. 2552, 05:16:25 »


ขอเปลี่ยนโหมด มาเป็นเรื่องของอาถรรพณ์แทนเรื่องซึ้งๆ หรือธรรมะนะครับ

ในบรรดาสรรพวิชาแขนงต่างๆ 
ย่อมมีครูบาอาจารย์ไว้เป็นที่พึ่งที่นึกถึงของศิษย์ผู้เล่าเรียน และศิษย์ผู้ศึกษา ตลอดจนถึงผู้ที่ใช้ของที่สร้างขึ้นในด้านนั้นๆ
บรมครูที่สูงสุดสำหรับชาวพุทธเรา คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทางเป็นเอกในโลกทุกๆ ด้าน 
ตอนเป็นเจ้าชายสิทธัตถะมีพระชนมายุ ๑๖ พรรษาเรียนจบปริญญาทางโลก ถึง ๑๘ สาขา
อาทิ นิติศาสตร์ วิชาเกี่ยวกับกฎหมาย ติกิจฉศาสตร์ วิชาแพทย์ ยุทธศาสตร์ วิชาการรบ คันธัพพศาสตร์ วิชาฟ้อนรำและดนตรี ..ฯลฯ
เมื่อบวชแล้วก็ทรงเป็นพระศาสดาเอกของโลก
ต้องยอมรับว่า ทรงเป็นบรมครูที่สูงสุด

แต่ถ้าพูดถึง ของเสน่ห์หรือวัตถุอาถรรพณ์ทางเสน่ห์แล้ว  ไม่ว่าจะเป็น คาถา น้ำมัน  ผ้ายันต์ พยนต์  บรมครูเสน่ห์ที่รู้จักกันดี ก็คือ


ปู่เจ้าสมิงพราย

ปู่เจ้าสมิงพราย ถือเป็นสุดยอดครูเสน่ห์และภูตผีในเรื่อง "ลิลิตพระลอ"

ซึ่งต้องจบลงเป็นโศกนาฏกรรมด้วยแรงเสน่ห์และความรัก ของพระลอ และพระเพื่อน พระแพง

พระลอ หรือ พระลอดิลกราช เป็นโอรสหนุ่มรูปงาม ของท้าวแมนสรวง

ด้วยความรูปงามของพระ จึงทำใ้ห้พระเพื่อน พระแพง หลงเสน่ห์พระลอ และคิดจะทำเสน่ห์ใส่พระลอ

แต่การทำเสน่ห์ในกษัตริย์ซึ่งเป็นสมมุติเทพและมีเทวดาประจำเมืองคอยปกปักรักษานั้น ทำได้ยากยิ่ง ต้องหามือชั้นครูมาทำจึงจะสำเร็จ

นางทั้งสองจึงไปขอความช่วยเหลือจากปู่เจ้าสมิงพรายให้ทำเสน่ห์ใส่พระลอ

และด้วยความเป็นบรมครูทางเสน่ห์ มีความงาม ทั้งหน้าตาและรูปร่าง

เมื่อธิดาทั้งสองเห็นปู่เจ้าสมิงพรายถึงกับแอบชื่นชม เพราะปู่เจ้าสมิงพรายเองท่านก็เป็นชายงามที่สำเร็จวิชาเสน่ห์ทุกกระบวนยุทธ

สิ่งที่ถือเป็นจรรยาบรรณของ บรมครูเสน่ห์ในครั้งนั้นก็คือ พระเพื่อนพระแพงเสนอให้สมบัติรัตนะมากมายแก่ท่าน แต่ด้วยความที่เป็นเทพและ

ไม่ต้องการอามิสรางวัล จึงขอรับแค่หมากที่นางทั้งสองนำมาถวายพอ และการทำเสน่ห์ใส่พระลอก็เริ่มต้นขึ้น

ซึ่งต้องขอบอกว่า ทำแล้วทำอีก เพราะแน่นอน คนโดนของญาติพี่น้องก็ต้องแก้ไขให้

แต่ระดับเทพ( เทพจริงๆ) ลงมือทำทั้งที มีหรือจะให้เสียชื่อ ต้องไว้ชื่อกันหน่อย

การทำเสน่ห์ใส่พระลอ ๒ ครั้งแรก แม้จะทำให้พระลอเพ้อคลั่งรอหาทั้งๆที่ยังไม่ได้ยลโฉม แต่ก็ได้ผู้มีวิชามาแก้ให้สำเร็จ

ในครั้งที่ ๓  ปู่เจ้าสมิงพรายได่เชิญเทวดาและภูติพรายมา หรือจะเรียกว่ายกพลผีก็ได้มาช่วย

ก่อนอื่นต้องกำหราบปราบเทวดาประจำเมืองก่อน จนเทวดาประจำเมืองพ่ายแพ้ ผู้มีวิชาที่มียาดีแก้ของได้ก็ถึงกับถอดใจไม่กล้าสู้

ยาดีต่างๆนั้นก็ถูกบริวารของปู่เจ้าทำให้เสื่อมหมด

เมื่อหมดผู้ที่จะคอยปกป้องพระลอแล้ว ปู่เจ้าสมิงพรายจึงเสกหมากเป็นแมลงภู่ไปตกเชี่ยนหมาก(วิชานี้ในเรื่องเรียกสลาเหินครับ)

พระลอเสวยหมากคำนั้นเข้าไปก็ใด้เรื่อง เกิดอาการคุ้มคลั่งจะออกป่าให้ใด้

แม้แต่ หมอสิทธิไชยก็ไม่สามารถช่วยใด้แล้ว เพราะเทวดาประจำเมืองหนีไปหมดแล้ว

ในที่สุดพระบิดามารดาก็ห้ามไม่ไหว และในที่สุดพระลอก็ออกป่าไป ในที่สุด

และสุดท้ายตอนจบของเรื่องก็อย่างที่เราทราบกันดี พระเพื่อน พระแพง ยอมสละชีวิต เพื่อชายที่รัก เป็นโศกนาฏกรรมความรักในตอนจบ




ปู่เจ้าสมิงพราย จึงเป็นที่ยอมรับในผู้สนใจสายเสน่ห์และร่ำเรียนวิชาทางนี้หรือมีของดีทางนี้ 

ในความเชื่อที่ว่า ท่านจะช่วยเกื้อหนุนให้ของนั้นมีอานุภาพเพิ่มขึ้น 

เข้าหลักที่ว่า คนเราต้องมีครูบาอาจารย์หรือต้นแบบไว้เป็นแนวทางและที่พึ่งทางใจ  ถ้ามีความตั้งมั่นในการใช้จิตก็จะแน่วแน่

ของเสน่ห์เขาก็มีต้นเรื่องที่แรงได้ใจดีเหมือนกันครับ   :048: :048:





ขอขอบคุณพี่กิจหรือเฮียกิจ ครูเสน่ห์ของผม  ซึ่งเป็นเจ้าของข้อมูลเรื่องปู่เจ้าสมิงพรายครับผม

109
บทความ บทกวี / เก่งกับเฮง
« เมื่อ: 13 มี.ค. 2552, 10:36:26 »


ผมคงไม่ได้เล่าเรื่อง  ท่านเก่งมีเพื่อนชื่อเฺฮงแน่ๆ ครับ :005: :005: (รู้นะว่า กำลังนึกในใจว่า มุขฝืดโคตรๆ)

แต่ช่วงนี้เป็น ช่วงปิดเทอมภาคฤดร้อน น้องๆ หลานคนกำลังตั้งใจบวชให้คุณพ่อ-คุณแม่และตัวเอง

ก็เลยนำ เรื่องราวใกล้ตัวเราและคิดไม่ถึง มาบอกเล่าให้อ่านกันเพลินๆ

เรื่องของคนเรานี่ละครับ บางคนเกิดมาฉลาด ฐานะดี  เพอร์เฟค แบบ ยุกต์(สน)

บางคนเกิดมาปานกลางบ้านๆ

บางคนเกิดมาแบบ เกิดวิ่งมาแย่งเขาไม่ทัน เอาแค่ว่าได้เกิดมาก็ดีแล้ว

และในขณะเดียวกัน เคยสังเกตไม่ครับ ว่าทำไมบางคนเก่งแต่ไม่เฺฮง ทำอะไรก็ไม่รุ่ง 

บางคนปานกลางแต่เอาดีได้ ทำอะไรเฮงไปหมด ใครๆก็สู้ไม่ได้

เรื่องนี้ ในศาสนาพุทธเรามีที่ไปที่มา แบบที่เขาเรียกว่า หญ้าปากคอกครับ

คนสองคน ฐานะเท่ากัน เรียนเก่งแข่งกันมา หน้าตากินกันไม่ลง เสน่ห์พอตัว  แต่คนหนึ่งเก่ง ทำอะไรก็ดีทุกเรื่องแต่ไมุ่รุ่ง เงินไม่มา กล่องไม่มี

อีกคนไม่เก่งเท่าคนแรกแต่ทำอะไรเฮงดี เข้าจังหวะ ไหวพริบเข้าช่วยทำอะไร ลงตัว ลงล็อคไปหมด รุ่งสุดๆ

พระพุทธเจ้า พระองค์ทรงแนะเคล็ดลับเอาไว้ครับ 


ลูกคนไหนเลี้ยงดูพ่อแม่ได้เท่ากันที่พ่อแม่เลี้้ยงมา ชีวิตจะทำอะไรก็เสมอตัว ไม่ขาดทุนแต่ก็ไม่มีกำไรชีวิต

ถ้าเลี้ยงดูพ่อแม่ได้ดีกว่าที่เลี้ยงเรามา โอเคครับ  เฮงแน่ ทำอะไรจะมีแต่กำไร ชีวิตไม่รู้จักขาดทุน

ถ้าเลี้ยงดูพ่อแม่ได้น้อยกว่าที่ท่านเลี้ยงมา  จบ..ครับ  ขาดทุนตลอด ไม่เฮงแน่ๆ

คนเราถ้าดูแลต้นทุนชีวิตหรือต้นกำ้เนิดชีวิตเราไม่ีดีพอ  ก็ไม่มีทางเฮงครับ ต้องอาศัยบุญอื่นมาช่วยเรื่อยไป


การบวชของน้องๆ ในช่วงฤดูร้อน

ไม่ว่าจะบวชแค่ไหนทำให้เต็มที่ครับ เงินทองหรือของที่พ่อแม่ชอบ เดี๋ยวเราทำงานก็หาให้ท่านได้

แต่บุญจากการบวช เราให้ท่านได้ตอนบวชเท่านั้น ก็จัดไปอย่าให้เสียครับ   ทำอย่าหวังผล

ตั้งใจทำด้วยหัวใจที่รักพ่อแม่  ถ้าแม่เราจะมีน้ำตาขอให้เป็นน้ำตาแห่งความปลื้มใจที่เห็นลูกชายได้ครองผ้าเหลือง

ทำได้แบบนี้แล้วพบแต่สิ่งดีๆ ทั้งเก่ง ทั้งเฮง ครับ  ตามนั้น 
:048: :048:

บอกกล่าวกันในฐานะ เคยทำช่วยชมรมพุทธฯและงานธรรมทายาทครับผม  :027: :027:

ถ้าจะมีความดีอยู่บ้างขอถวายเป็นพุทธบูชาและถวายครูบาอาจารย์ืีที่สั่งสอนมา รุ่นพี่ธรรมทายาททุกท่าน พี่ๆชมรมพุทธศาสตร์ด้วยครับ

ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านนะครับ



110
เซ็งมากเลยครับ พี่น้อง หางเสือขาด  :065: หางก็ไม่ค่อยสวยด้วย ลีบๆ ยังจะมาขาดซะนั้น จะทำไงดี

ปล้ำต่อให้สำเร็จ ไม่งั้นเป็นเสือหางด้วยแน่ๆ  หมดกันพี่เสือ

แต่เขาเป็นเสือหนุ่มอ่ะครับ ไม่ติดใจเท่าไร กำลังคิดจะแงะเล็บ   เหอๆ  :003: :003:

แล้วอุ้งตีนเสือดีทางไหนหว่า  :049:


111
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / คลิปเสียวๆ
« เมื่อ: 13 มี.ค. 2552, 08:19:30 »
อ๊ะ อ๊ะ คงไม่คิดลึกนะครับ  เป็นคลิปลองของนะครับ ตั้งชื่อกำกวม ว่า เสียว แทน หวาดเสียว  :005: :005:

นำมาฝากครับ  คลิปนี้ต้นทางมาจากเวปสีแดง อัพใหม่ที่ยูทูบให้ง่ายต่อการก็อปมาลงให้ชมครับผม

ไม่ทราบว่าพระอาจารย์รูปนี้ อยู่ที่ใดและอย่างไร พี่น้องท่านใดมีข้อมูล รบกวนนำมาบอกเล่าด้วยนะครับ ขอบคุณครับ

ชมกันเพลินๆ ครับ ว่า จริงหรือมีเทคนิค
  :027: :027:


http://www.youtube.com/v/7gAw1bkqSLc&hl=en&fs=1



112
เคยรู้สึกชอบหรือชื่นชมไหมครับ เวลาที่เห็นใครตั้งใจทำงาน และทำได้ดี

ผมชอบคนที่มีความชัดเจน




เมื่อก่อนชอบกินลาเต้เย็น เจ้าประจำของชาวเดย์โพเอทส์

มีอยู่วันหนึ่งด้วยเหตุขัดข้องบางประการของทางร้าน ทำให้ไม่มีกาแฟ สาวนักชงเสนอโอวัลตินเย็นมาแทน

อร่อยมาก

ทุกวันนี้เลยกินโอวัลตินเย็นแทน

เจ้านี้เค้าใส่ใจทุกรายละเอียด


แม้แต่โอวัลตินก็มีฟองนมด้วย ฟองนมเหมือนที่โปะบนลาเต้เย็น

อร่อยมากๆในราคาแค่ยี่สิบบาทเอง

นี่คือสิ่งที่สตาร์บั๊กส์ไม่มี

ของถูกและดี - และโอวัลตินที่ชงเองแก้วต่อแก้ว – มีในโลก


เมื่อก่อนเคยโปรดปรานการนั่งรถเมล์มากกว่ารถตู้
แม้รถตู้มันจะแล่นถึงที่หมายได้เร็วกว่า แต่ไม่ชอบพื้นที่อึดอัดแบบนั้นครับ
รถเมล์มันช้า บางทีก็ต้องยืน ราคาก็พอๆกับรถตู้ แต่มันโล่งๆ สบายใจดี ไปช้าๆก็ได้อ่านหนังสือนานๆ ได้คิดอะไรนานๆ

รถ เมล์สาย 516 มีกระเป๋ารถเมล์หลายแบบ บ้างก็โหดราวกับเติบโตมาจากการเป็นกระเป๋ารถเมล์มินิบัสสีเขียวเลยทีเดียว
ยังไม่ทันทำอะไรผิดมันก็ด่าเราได้หน้าตาเฉย –จะพยายามจ่ายเงินให้ถูกระเบียบที่สุด – ต้องตั้งมั่นกันขนาดนั้นเลย

แต่มีพี่คนหนึ่งเป็นกระเป๋าที่น่าสนใจ ครับ


พี่ คนนี้มีลีลาการเป็นกระเป๋าที่โดนใจมากๆ เขาจะประกาศทุกป้ายว่าขณะนี้ถึงสถานีใดแล้ว
บางทีพี่เค้าอาจเติบโตมาจากการเป็นคนขับรถบีทีเอสก็ได้ – และไม่ใช่พูดปาวๆธรรมดา
พี่เขามีสำเนียงที่คิดมาแล้วว่าเด็ดจริง ไม่สามารถพิมพ์ออกมาให้ได้อารมณ์ อยากให้มาได้ยินเองกันทุกคน มีรอยยิ้มแน่นอนครับ


ป้ายต๊อไป...โลววววตัส ครับ โลวววตัส...โลตั๊ด! (**มันคือป้ายโลตัส ปิ่นเกล้า และบางใหญ่)

ป้ายต๊อไป..สอนอว์ ครับ สอนอว์....ซอเนาะ! (** มันคือป้ายสน.ตลิ่งชัน)


คือ เริ่มต้นด้วยเสียงยานคาง ห่อลิ้นห่อปากหน่อยๆ

แล้วจบด้วยจุดหมายปลายทางแบบห้วนสั้น กระตุ้นเตือนว่าจะถึงแล้วเตรียมตัว คือ  ต้องพยายามสะกดแบบสเตรสเสียงได้เท่านี้จริงๆ

ถ้าอยากได้ยินเสียงแบบเรียลๆก็ลองไปนั่งกันดู สาย 516 เทเวศร์-บางบัวทอง


ไม่ใช่แค่สำเนียงสนุกสนาน พี่เค้าบริการดีมากๆ ใครจะขึ้นใครจะลงเค้าแทบจะประคองลงไปเลยทีเดียว รู้สึกปลอดภัยจริงๆ



คนชงกาแฟใช่ว่าจะอร่อยทุกคน

กระเป๋ารถเมล์หาน้อยมากที่จะมารยาทดี

งานอะไรก็ตาม ถ้าใส่ใจและมีความสุขกับมัน ฝึกฝนบ่อยเข้า มันก็ดี มันก็เก่ง

เอาใจใส่ในส่วนเล็กๆของตัวเอง พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี

แค่นี้ก็สุขละ


คนที่มีความสุขกับงานของเขา ก็ทำให้คนรอบข้างสุขไปด้วยได้ครับ  วันนี้พี่ๆน้องๆ ทำให้ใครยิ้มบ้างหรือยัง

ถึงเขาจะได้ยิ้มให้เรา แต่มันก็สุขใจครับ ที่ทำงานแล้วคนอื่นมีความสุข
  :005:  :005: :005:  : :027:

113
ต้องนำเรียนก่อนว่า รูปชุดนี้พี่หิ่งห้อย ที่เวบบอร์ดแห่งหนึ่งที่ผมกับพี่ๆหลายคนช่วยกันดูอยู่ ได้ลงรูปไว้ เป็นของหลวงปู่ครูบาดวงทิพย์ อายุ ๙๕ จ.เชียงราย

ขออนุญาตพี่ิหิ่งห้อยและกลุ่มพี่ผญ๋าแก้วนะครับ และขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

หลวงปู่ครูบาดวงทิพย์ครับ



รอยสักที่ขาหลวงปู่ครับ  คงนานมากแล้ว



หลวงปู่เมตตาเป่าให้พี่ชวงครับ รอยสักที่ต้นขายังใหม่อยู่เลย




พี่เอกให้หลวงปู่เป่าให้ครับ




เมื่อพรรษาที่ผ่านมา หลวงปู่ได้สร้างพระุเครื่องขึ้น ๓ พิมพ์  เป็นพระขุนแผน พระนาคล้อม และพระพุทโธ  ท่านสร้างแจกครับไม่ได้จำหน่าย



พระขุนแผนครับ



พระนาคล้อม




พระพิมพ์พุทโธ



พระเครื่องชุดนี้สร้างจัดสร้างเองในวัด โดยหลวงปู่และพระเณรในวัดทั้งสิ้นครับ แจกอย่างเดียว





ขอขอบคุณพี่หิ่งห้อย พี่ผญ๋าแก้ว สำหรับรูป,ข้อมูล และพระเครื่องที่นำมาให้แจกครับผม :054: :054:

114
การได้ทำบุญด้วยการบริจาคสร้างพระ จึงถือว่าได้กุศลสูงมาก พูดถึงเรื่องของความเชื่อแล้วก็ต้องว่ากันต่อไปอีก คือ ดังที่ทราบกันดีว่าคนไทยเชื่อว่าโลกประกอบด้วยธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ในการสร้างเครื่องรางของขลังก็ต้องอาศัยธาตุทั้งสี่นี้ด้วยเหมือนกันครับ อย่างพระเครื่องนี้มีครบถ้วนของธาตุทั้งสี่ คือ

ดิน คือ วัสดุที่นำมาทำพระเครื่องก็มีทั้ง ดิน โลหะ หิน ต้นไม้ หรือผง อันได้มาจากดินหรือจากแร่ธาตุต่างๆ

น้ำ ได้แก่ น้ำมนต์หรือของเหลวที่ได้มาจากธรรมชาติต่างๆ อันเป็นธาตุน้ำหรือความเยือกเย็น เช่น จากน้ำมันจันทร์ เป็นต้น

ลม ได้แก่ ปราณ หรือพลังจิตที่แปรสภาพอยู่ในธาตุลม อันได้แก่ การเสกเป่า เป็นต้น

ไฟ คือ ต้องมีการหล่อหลอม หรือการเผา เพื่อเอาผง การเคี่ยว การต้ม การสะกัด เป็นต้น



พระเครื่องแต่ละองค์ที่ผ่านการปลุกเสกจากพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง ถือกันว่าเป็นเครื่องรางของขลังในระดับชั้นเยี่ยมยอด เพราะนอกจากจะต้องสร้างด้วยวัสดุชั้นดีแล้ว ก็ยังมีพลังกระแสจิตระดับสูงที่ไม่มีสิ่งใดมาเทียบเทียมได้ ผู้ใดได้ครอบครองจึงถือว่าได้ของดี เสริมดวงให้ดี ยิ่งได้สรวงดาว คือหมั่นท่องสวดมนต์ ภาวนาเป็นประจำด้วยแล้วละก็รับรองว่าจะบังเกิดโชคลาภไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อีกทั้งยังเชื่อว่าจะแคล้วคลาด ป้องกันภยันตรายได้อย่างฉมังนัก อย่างที่เราเคยรับทราบว่าพระเครื่องบางองค์ที่นิยมกันมาก ซึ่งหายาก ถ้าพูดในเชิงพาณิชย์ก็จะมีราคาระดับเรือนแสนหรือเรือนล้านได้ แต่คนที่เป็นเจ้าของพระเครื่องบางคนหรืออีกมากที่ไม่สนใจเรื่องเงินๆ ทองๆ เขาก็ไม่คิดในเรื่องของการเปลี่ยนมือ มีแต่จะเก็บไว้บูชาเพื่อความเป็นสิริมงคลของตนเอง และคนในครอบครัว ดีกว่าด้วยประการทั้งปวง

การแขวนพระเครื่องประจำราศีเกิดที่ข้าพเจ้าจะบอกให้ทราบต่อไปนี้ได้มาจาก ตำรา “โฉลกนพคุณ” ในตำราได้บอกไว้ว่าคนราศีใด ควรแขวนพระเครื่องที่มีพระพุทธคุณอันถูกต้องกับโฉลกของตัวเองดังนี้



ราศีเมษ(13 เม.ย.–14 พ.ค.)

ท่านว่าควรแขวนพระเนื้อผงผสมว่านหรือเนื้อดินเผาหรือดินผสมผง หรือเป็นพระเนื้อผงที่ผสมด้วยดินจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ





ราศีพฤษภ(15 พ.ค.-14 มิ.ย.)

ท่านว่าควรแขวนพระประเภทมีความเย็น จะเป็นพระผงหรือพระที่ทำจากหินหรือพระกิ่ง พระชัยวัฒน์ จะบังเกิดความสุข ความร่มเย็น

ราศีมิถุน(15 มิ.ย.-14 ก.ค.)

ท่านว่าควรแขวนพระเนื้อโลหะเป็นพื้น หรือไม่ก็แขวนพระเนื้อชิ้นที่เป็นของพระกรุประเภทพระร่วงยืนหรือนั่ง จะคุ้มครองป้องกันภัยดีนัก

ราศีกรกฎ(15 ก.ค.-14 ส.ค.)

ท่านว่าควรแขวนพระเหรียญที่มีรูปไข่ทุกชนิด จะเป็นเหรียญพระพุทธหรือเหรียญพระเกจิอาจารย์ก็ได้ ที่รองลงไปก็คือเหรียญกลม ส่วนพระเครื่องนั้นควรเป็นพระเนื้อดินหรือดินผสมผงหรือเป็นพระทำจากตะกั่ว หรือหิน

ราศีสิงห์(15 ส.ค.-14 ก.ย.)

ท่านว่าควรแขวนพระเนื้อผง หรือเหรียญมากกว่าพระเนื้อโลหะอย่างอื่น ถ้าเป็นพระกรุให้เลือกปางสมาธิหรือพระปิดตาหรือปิดทวาร เพราะแสดงลักษณะของการสงบนิ่ง

ราศีกันย์(15 ก.ย.-14 ต.ค.)

ท่านว่าควรแขวนพระนางพญาหรือพระที่มีรูปสามเหลี่ยม ถ้าเป็นเหรียญที่เป็นรูปหยดน้ำ เป็นเหมาะที่สุด

ราศีตุลย์(15 ต.ค.-14 พ.ย.)

ท่านว่าควรแขวนพระเครื่องเนื้อโลหะทุกชนิด เพราะจะเด่นที่สุด อีกทั้งช่วยให้ผ่านพ้นเรื่องร้ายๆ ได้ดีมากและถ้าเป็นปางนาคปรกก็จะเสริมบารมีให้ดีขึ้น

ราศีพิจิก(15 พ.ย.-14 ธ.ค.)

ท่านว่าควรแขวนพระทางเมตตา เช่น พระเนื้อผงทางเมตตา หรือพระโลหะที่ปลุกเสกด้วยพระที่มีเมตตาธิคุณแบบสายกรรมฐาน ไม่ควรแขวนพระทางบู๊หรือคงกระพันหรือทางอำนาจ เน้นเมตตาดีที่สุด

ราศีธนู(15 ธ.ค.-14 ม.ค.)

ท่านว่าควรแขวนพระที่มีมุมเหลี่ยม จะเป็นแบบห้าเหลี่ยมหรือซุ้มแหลมหรือสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน หรือแปดเหลี่ยม อาทิ จะเป็นเนื้อผง เนื้อโลหะหรือเหรียญได้ทั้งสิ้น

ราศีมังกร(15 ม.ค.-14 ก.พ.)

ท่านว่าควรแขวนพระที่มีพระนามของพระมหากษัตริย์ประดิษฐานอยู่ด้านหน้าหรือ ด้านหลัง ด้วยคนในราศีนี้นั้นจะต้องอาศัยพระนามของพระมหากษัติย์ เป็นศรีแก่ชีวิตและการงานจะดีมาก

ราศีกุมภ์(15 ก.พ.-14 มี.ค.)

ท่านว่าควรแขวนพระที่มีส่วนผสมของความเย็น เช่น น้ำมนต์หรือน้ำมันหอมต่างๆ หรือเป็นพระที่ผ่านการแช่น้ำมนต์ หรือเป็นพระผง หนุนเสริมชีวิตได้เป็นอย่างดี

ราศีมีน(15 มี.ค.-14 เม.ย.)

ท่านว่าควรแขวนพระที่เป็นเนื้อโลหะหล่อหลอมด้วยไฟหรือเหรียญที่ปลุกเสกด้วย อำนาจแห่งเตโขกษิณ จะเป็นเกราะป้องกันอันตรายได้ดีมาก

นำมาฝากให้พิจารณาตามความเหมาะสมครับ แค่เป็นทางเลือก

ท่านใดมีพระเครื่องในใจแล้ว ก็ตามนั้นครับ
  :027:

115
ดูคลิปเสือร้ายตัวนี้กี่ครั้งก็ชอบครับ  มาแบบไม่มีวี่แวว จริงๆ  เงียบมากครับ แต่ร้ายเหลือ



"http://www.metacafe.com/fplayer/604312/elephant_not_fortress_awesome_vids.swf"

116
ได้พระปิดตาเหรียญหล่อมา กับพระผงครับ ไม่ทราบว่าของสำันักไหน

รบกวนพี่ๆน้องๆ ที่ทราบข้อมูลโปรดชี้แนะด้วยครับผม  ขอบคุณครับ

พระปิดตาครับ



ด้านหลังครับ



พระเนื้อผงใบลาน เจ้าของบอกว่า ของทางนครปฐมครับผม



ด้านหลังครับ



ขอบคุณมากครับ



117
นำคาถาที่ศักดิ์สิทธิ์  แต่ซิมเปิ้ลมากๆ

สำหรับพี่น้องบางพระทุกท่าน คงจะท่องกันได้แน่นอน 

พระคาถาหวัใจพระพุทธคุณ ๙ ห้อง  อันได้แีีี่ก่ "อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะฯ"

ซึ่งอุปเท่ห์วิธีใช้หากแยกเป็นห้องๆ มีอานุภาพในแต่ละด้านดังนี้

๑. อะ คือ อะระหัง หมายถึง เป็นผู้ดับเพลิงทุกข์ เพลิงกิเลสโดยสิ้นเชิง        บทนี้ใช้ด้านกันไฟทั้งปวง

๒. สัง คือ สัมมาสัมพุทโธ หมายถึง เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้ด้วยตัวพระองค์เอง    บทนี้ใช้เป็นตบะเดชะเสริมสร้างสง่าราศี

๓. วิ  คือ วิชาจะระณะสัมปันโน หมายถึง เป็นผู้พร้อมด้วยวิชาและจรณะ      บทนี้ใช้ด้านโภคทรัพย์โชคลาภ

๔. สุ  คือ  สุคะโต หมายถึงเป็นผู้ดำเนินไปได้ด้วยดี                              บทนี้ใช้ในด้านการเดินทาง ทั้งทางบก น้ำ อากาศ

๕. โล คือ โลกะวิทู หมายถึง เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง                           บทนี้ใช้ภาวะนาเมื่อเข้าป่าหรือที่มืด

๖. ปุ คือ  อนุตตโร ปุริสะทัมมะสารถี หมายถึง เป็นผู้ฝึกบุรุษผู้ควรฝึกได้ อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า   บทนี้ใช้ทางมหาอำนาจ ตวาดผี

๗. สะ คือ สัตถาเทวะมนุษานัง หมายถึง เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย บทนี้ใช้ทางเมตามหานิยม สมณะ ขุนนางเอ็นดู

๘. พุ  คือ พุทโธ หมายถึง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน                                     บทนี้ใช้ภาวนาอารมณ์ ทำให้ไม่ตกต่ำอับจน

๙  ภะ  คือ  ภะคะวา ติ หมายถึง เป็นผู้จำเริญ จำแนก ธรรม สั่งสอนสัตว์ดังนี้     บทนี้ใช้ในทางป้องกันภยันอันตรายอันจะกระทำแก่เรา

ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์    อมนุษย์ อสูรกาย สัตว์เดียรฉาน ป้องกันการประทุษร้ายเหล่านั้นได้ ทั้งสิ้นแล ฯ


คาถานี้สอดคล้องกับอานุภาพยันต์ ๙ ยอด ที่่ท่านโจรสลัดเคยนำมาฝากเหมือนกันครับ 

ใครไม่มี ๙ ยอด ลองใช้คาถาดู จิตมั่นคง  อานุภาพย่อมปรากฏ

ขอบคุณพี่สมเกียรติ เจ้าของบทความไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ




             

118
ได้พระร่วงเปิดโลก เนื้อดิน สุโขทัยมาครับ ไม่ทราบว่าดีไหม ??

คือ ชอบพระร่วงนะครับ แต่ไม่แม่นพิมพ์  ขอน้อมรับคำชี้แนะครับ

ขอบคุณครับ  :054:  :054:  :054:


119
สวัสดีครับ

 พอดีน้องชายผมเขาไปค้นเจอเหรียญหลวงพ่อเปิ่นขี่เสือ นำมาถามผม ผมเองก็ไม่ค่อยมีความรู้เท่าไร

 รบกวนฝากพี่ๆ น้องๆ ทุกท่าน ช่วยดูให้ทีนะครับ  ดีไม่ดีอย่างไร  เต็มที่เลยครับ

 ขอบพระคุณครับ





120
"ตร. กรุงเก่าวิสามัญแก๊งยาบ้ารายใหญ่ตายสยองในปั๊มน้ำมัน เปิดฉากดวลปืนกันสนั่นยิ่งกว่าในหนัง

คนร้ายโดน 2 นัดดับสยอง ต่อหน้าแฟนสาวที่นั่งตัวสั่นอยู่ในรถ ค้นเจอยาบ้าซุกกกน.ถึง 600 เม็ด
 
จ.ส.ต.รอดปาฏิหาริย์มีแค่รอยช้ำแดงๆ ที่หน้าอกเชื่อตะกรุดหลวงพ่อจำลอง วันเจดีย์แดง พร้อมเหรียญหลวงพ่อสรวง ขอนแก่นปกปักรักษา"

จากหนังสือพิมพ์ข่าวสด วันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๒ ครับ

ขอขอบคุณ ที่มาครับ http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdOVEU0TURFMU1nPT0=%C2%A7ionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBd09TMHdNUzB4T0E9PQ==

น่าสนใจนะครับ ใส่ของดีไปทำดีปราบคนร้าย

กับมีของดีไปดื่มเหล้า   ๒ ข่าว ๒ ขั้ว ครับ 

ขอบคุณครับ


121
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ลองของ
« เมื่อ: 19 ม.ค. 2552, 12:31:05 »
ขาโจ๋หมั่นไส้หนุ่มสักยันต์มีดเสียบดิ้น
 
ล่าแก๊งโจ่เมืองกรุงเก่าลองเหนียวหนุ่มสักยันต์รับจ้างตอกเสาเข็ม คว้ามีดปอกผลไม้ยาว 5 นิ้ว แทงเข้าหลังเกือบมิดด้าม อาการปางตาย

ก่อนเกิดเหตุ คนเจ็บมารับจ้างทำงานตอกเสาเข็มได้ไม่นาน หลังเสร็จงานผิงไฟจิบเบียร์กับเพื่อนคนงานแก้หนาว

ต่อมามีวัยรุ่นเจ้าถิ่นมานั่งด้วย สอบถามเรื่องยันต์ที่สักไว้เต็มหลัง

แต่คนเจ็บไม่ตอบเลยถูกลองเหนียว แทงจนเกือบมิดด้ามมีด ตร.หาเบาะแสตามล่าคนร้าย

เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า วัยรุ่นเจ้าถิ่นอาจจะเห็นว่านายสุรสิทธิ์ คนเจ็บสักยันต์อักขระเต็มหลัง

ด้วยความคึกคะนองประกอบกับความหมั่นไส้คนเจ็บ

เลยคิดลองของว่าคนเจ็บหนังเหนียวจริงหรือไม่ จึงใช้มีดแทงจนปักมิดด้ามดังกล่าว

เจ้าหน้าที่จะเร่งสืบสวนหาเบาะแสวัยรุ่นนักเลงกลุ่มนี้

มาดำเนินคดีต่อไป.

ที่มา http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=188219&Newstype=1&template=1

...ไม่น่าเลย จริงๆ  โชคดีนะที่แค่บาดเจ็บ




122
คาถาอาคม / คาถาบูชาครู (อีกสำนัก)
« เมื่อ: 04 ธ.ค. 2551, 12:25:15 »
นำมาฝากกันนะครับ บทพระคาถาดีมาก ท่องไปซึ้งไปเห็นภาพเลยครับ  น่าจะเป็นประโยชน์บ้าง

นะโม ๓ จบ

ไตรสรณาคมณ์

บทพระพุทธคุณ  ธรรมคุณ  สังฆคุณ แล้วท่องพระคาถาครับ

ฉะมัญญา สะพุทธคุณนัง คุณพระพุทธเจ้า 56
ธัมมะคุณนัง อัฏฐะติงสะติ คุณพระธรรมเจ้า  38
สังฆะคุณโน จาตุธะโสเจวะ คุณพระสงฆเจ้า  14
ตรีนิคุณา มะทาคุณนัง  คุณแก้วสามประการ
นัตธิปะมาโสนา  หาที่เสมอมิได้
สิเนรุจะ ปิตาคุณนัง  คุณพระบิดาหนักกว่าเขาพระสุเมรุ
เมหะปิตะลัง  มาตาคุณนัง  คุณพระมารดาหนักกว่าแม่พระธรณี
สัตถาคุณนัง  สมุทฐามิ  คุณครูอุปัชฌาย์อาจารย์หนักกว่าท้องพระมหาสมุทร
หิมะวันตัง  ญาติคุณนัง  คุณพระญาติทั้งหลายหนักกว่าป่าหิมพานต์
จักกะวาสัง  ราชาคุณนัง  คุณพระมหากษัตริย์หนักกว่าอนันตจักรวาล
อัฎฐะระคุณนัง สมุทฐามิ  คุณท่านทั้งหลายแปดประการ
โลกะเชษโฐ  ในโลกนี้
อะหังวันทามิ สัพพะทา  ขอเดชเดชะกุศลของข้าพเจ้า
ที่ข้าพเจ้าได้ระลึกถึงคุณของท่านทั้งหลายแปดประการ
ขอคุณท่านทั้งหลายแปดประการนี้  จงมาช่วยอุปถัมภ์ค้ำชูข้าพเจ้า
เมื่อข้าพเจ้าทำการสิ่งใดก็ขอให้การสิ่งนั้นจงสำเร็จ สมความมุ่งมาดปรารถนา
ทุกสิ่งทุกประการด้วยเถิดพระเจ้าข้าฯ


พุทธังเมตตา ธัมมังเมตตา สังฆังเมตตา
นะเมตตา โมกรุณา พุทธปราณี ธายินดี  ยะเอ็นดู
พระบิดาค้ำชู  พระมารดาป้องกัน
พระอุปัชฌายะ พระกรรมวาจาจารย์  พระอนุสาวนาจารย์ จงมาเป็นกำแพงเพชรเจ็ดชั้น
กางกั้นโพยภัยอุปัทวะศัตรูทั้งหลายอย่าได้เข้ามากล้ำกราย
สัพพะรัตติง หิวัง  การิยะเมตตัง  กรุณาไมตรีอินทะโมกขัง
พิสสะวา มะนามัง  ปิยังมะมะ
พุทธังเมตตา  ธัมมังเมตตา สังฆังเมตตา
พุทธังกรุณา  ธัมมังกรุณา สังฆังกรุณา
พุทธังละลวย ธัมมังละลวย สังฆังละลวย
สังฆังละลวย  มะละลวย  อะละลวย  อุละลวย
อุละลวย อะละลวย มะละลวย
นะเมตตา  โมกรุณา  พุทธปราณี ธายินดี  ยะเอ็นดู
พระบิดาอุปถัมภ์  พระมารดาค้ำชู ประสิทธิแก่กู สวาโหม ฯ

123
เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันที่ 5 ธันวาคม ปีนี้  หลวงพ่อตัด ปวโร วัดชายนา จ.เพชรบุรี หรือ พระครูบวรกิจโกศล จะได้รับสมณศักดิ์ เป็นชั้นพระราชาคณะ ชั้น สามัญ ที่ พระพุทธวิริยากร ครับ

 ขอแสดงมุทิตาสักการะ ถวายแด่ หลวงพ่อตัด ปวโร ครับ บารมีและเมตตาธรรมหลวงพ่อสุดประมาณ  สาธุ สาธุ  สาธุ ..

 

124
พอดี คุณ pick ถามมาเรื่อง ตะกรุดหลวงพ่อตัด วัดชายนา? พร้อมส่งรูปมาให้ดู จริงๆ ผมได้ตอบไปแล้ว ที่กระทู้ แต่ลองๆ มานั่งดูอีกที? คิดว่า ตะกรุด แปลกตา และน่าจะเป็นความรู้สำหรับคนที่กำลังหา ตะกรุดวัดชายนา บ้าง เลยมาตั้งกระทู้ตอบตรงนี้ ซะใหม่

จากรูปนะครับ




รูปบนนี้ คุณ pick บอกว่าเป็น การจารด้านในตะกรุด? ดูแล้วผมยังไม่เคยเห็น นะครับว่า จาร แค่ เฑาะว์ขัดสมาธิกับ ตัว นะ แค่ ๒ ตัว? ที่จริงควรจะเป็นอักขระคาถามหาอุด ตามตำรับหลวงพ่อตัด จารเต็มแผ่น? สรุปว่า ไม่ดี นะครับ
รูป ๒



รูปที่ ๒ นี่ จารนอก ลายมือสวย ครับ เขียน ทุสะมะนิ ได้งาม เพียงแต่ ตัวคมไป ไม่ใช่ลักษณะที่ ผู้จารวัดชายนา จารประจำ? ดูขัดๆ ตา ครับ
พอมาดูโค๊ด มีปัญหาแล้ว ครับ? แบบนี้ น่าจะเป็น โค๊ดเก๊ นะ? คำว่า วชน ไม่ควรมี รอยเส้น รอบๆ เหมือนปั๊มบล็อค ลอกจากโค๊ดจริง
ดูจากรูป เหมือนว่า จะเป็นตะกรุดดอกที่คุณ pick เคยถ่ายมาให้ดูตอนยังไม่คลี่ ซึ่งผมก็ตอบไปว่า มองยากไกล ดูไกลๆแล้วเหมือนแท้? จึงตอบว่า น่าจะแท้
แต่พอมาดูใกล้ๆ จากรูปนี้? เพี้ยน ครับ? โค๊ด วชน ไม่น่ามีเส้นรอบๆ ตัวหนังสือ นะ?
คุณ pick ลองดูรูปโค๊ดตะกรุดของคุณโชว หรือ กระทู้ ไอ้ตัวสั้น ของผม ซิ แล้วจะเห็นว่า มันต่างกันยังไง

รูปที่ ๓



รูปที่ ๓ ดูแล้วเป็นดอกปั๊ม บล็อคลายมือต้องแบบนี้เลย? บางกลุ่มก็ว่า เป็นลายมือของหลวงพ่อตัด เขียนยันต์นี้ไปทำบล็อค? ส่วนตัวแล้ว ผมว่า เป็น พระลูกศิษย์ท่าน
สังเกตดูจะเห็นว่า ลักษณะลายมือ จะไม่ได้สวยงาม แต่เป็นเอกลักษณ์ ดูง่าย? ยันต์จะติดชัด แบบลึก หรือ ว่าไม่ชัด แบบตื้น นี่ แล้วแต่ คนปั๊มจะปั๊มแรงแค่ไหน?
ซึ่ง มีหลายคนแน่ๆ ดังนั้น ยันต์จะลึกหรือตื้น ตอบยาก ครับ น้ำหนักไมเท่ากัน แต่แท้แน่นอน

ดอกแรก ที่มีปัญหา ถามว่าเก๊ มั๊ย ตอบยากครับ เพราะ ตะกรุดมีหลายวัดจารเองแล้วให้หลวงพ่อท่านปลุกเสก? อาจเป็นของวัดอื่นก็ได้

แต่ถ้าถามว่า ของวัดชายนาใช่ไหม? คงไม่ใช่แล้วละครับ?

การปลุกเสกตะกรุด หลวงพ่อเรียกสูตรยันต์ตามอักขระที่จาร ในเมื่อข้างในไม่มีตัวคาถา การเรียก ก็คงไม่สัมฤทธิ์ เท่าที่ควรจะเป็น


เราลองมาดูตะกรุด แบบจารมือของวัดชายนาจริงๆ ว่า ข้างใน เป็นอย่างไรกันบ้าง

รูป แรก



ตะกรุดจารด้วยอักขระ ๖ แถว (ถ้าเป็นแบบปั๊ม จะมี ๗ แถว) เป็นคาถามหาอุด ลักษระการจารจะเป็นตัวมนๆ

รูป ๒



ถ้าสังเกต จะเห็นว่า มีความหนักเบาของ ตัวอักขระ? เนื่องจากต้องจารทีละมากๆ? จึงไม่ต้องบรรจงเขียน? ถ้าไปเจอแบบตัวสวยกริ๊บ คมชัด? ห่างๆไว้ดีกว่า ( แต่ต้องคลี่ดูนะครับ)

รูป ๓



จารด้านนอก ด้วยยันต์ ท้ายตะกรุด เป็นเฑาะว์ ขัดสมาธิ หรือ ตัว พุท? ลักษณะเฉพาะตัวอย่างในรูป นะครับ

รูป ๔



ดูดีๆ นะครับโค๊ด ไม่มีเส้นขอบรอบๆ เป็นตัว วชน ล้วนๆ

โค๊ดปลอม จะมี สองแบบ? คือ ใช้กาววิทยาศสตร์แบบแข็งตัวเร็ว เทลงปนโค๊ดจริงแล้ว แกะออกมา ทำบล็อค? สังเกตได้จากการมีฟองอากาศระหว่างช่องว่างตัวอักษร นะครับ

อีกแบบ ใช้ เครื่องพิมพ์ดีด พิมพ์เอาเลย หาดูได้ตามท่าพระจันทร์ ดอกละ ๘๐? ไม่เนียนเท่าไร

ตะกรุด หลวงพ่อตัดเก๊เยอะนะครับ ฝีมือพัฒนาไปเรื่อยๆ? บวกกับการที่วัด ทำตะกรุดแบบเรียบง่าย? การดูหรือจะหามาบูชาจากคนอื่น หรือตามเวป ต้องใจเย็น ซักหน่อย

ทางที่ดี ผมอยากให้ไปเปลี่ยนที่วัด นะครับ ของแท้แน่นอน ดอกละ ๑๐๐? ชัวร์ๆ? แถมยังจะได้อะไรดีๆ อีกด้วย?

ถ้าคุณ pick? มีข้อสงสัยหรือ สนใจ คุยกันได้ ครับ

( อ้อ เกือบลืม ตะกรุดของคุณดอกแรกนี่ เข้าขั้นลองของ กันเลยนะครับ? ฝีมือร้ายกาจมากๆ หุหุ? ล้อเล่น นะครับ ขำ ขำ? ?:005:)

125
จากสุภาษิตสวัสดิรักษา ของท่านสุนทรภู่? ความจริง น่าจะไปอยู่หมวด บทความ บทกวี หรือป่าวหว่า? :049:

อนึ่งวิชาอาคมถมถนำ? เวลาค่ำควรคิดเป็นนิจศีล

จึงศักดิ์สิทธิ์ฤทธิรณพ้นไพริน ให้เพิ่มภิญโญยศปรากฏไป ฯ


อนึ่งสุนัขมักเฝ้าแต่เห่าหอน? อย่าขู่ค่อนด่าว่าอัชฌาสัย
เสียสง่าราศีมักมีภัย? คนมิได้ยำเยงเกรงวาจาฯ


อนึ่งพบปะพระสงฆ์ทรงศีลา? ไม่วันทาถอยถดทั้งยศทรัพย์ฯ


อนึ่งอย่าไปใต้ช่องคลองตะพาน? อย่าลอดร้านฟักแฟงแรงราคี
ทั้งไม้ลำค้ำเรือนแลเขื่อนคอก? ? ใครลอดออกอัปลักษณ์เสียศักดิ์ศรี
ถึงฤทธิ์เดชเวทมนตร์ดลจะดี? ? ?ตัวอัปรีย์แปรกลับให้อัปราฯ


อนึ่งเครื่องผูกลูกสะกดตระกรุดคาด? เข้าไสยาสน์ยามหลับทับฉลาย
เครื่องอาวุธสุดห้ามอย่าข้ามกราย? ?อย่านอนซ้ายสตรีมักมีภัยฯ

แม้นสตรีมีระดูอย่าอยู่ด้วย      ถ้ามิม้วยก็มักเสียจักขุ
มักเกิดมีฝีพองเป็นหนองพุ     ควรทำนุบำรุงองค์ให้จงดี ฯ


เป็นแค่ข้อคิดของ ท่านกวีเอก นะครับ? เชื่อไม่เชื่อ คิดกันเองตามเหตุตามผล? ? :005:

126
 :001: ตะกรุด หลวงพ่อตัด วัดชายนา ครับ หลวงพ่อจะเรียกว่า ไอ้ตัวสั้น เป็นตะกรุดยุคแรก ๆ ที่หลวงพ่อ ทำแจกชาวบ้านที่มาช่วยเทปูน สร้างเมรุ แจกฟรี เป็นน้ำใจที่มาช่วยลงแรงให้วัด
 เรียกกันว่า รุ่นเทปูน หรือ ไอ้ตัวสั้น ประสบการณ์โชกโชน?



มีข้อสังเกต ว่า ตะกรุดยุคแรกๆ ยังไม่มีการตอกโค๊ด? จริง ๆ แล้ว ตะกรุดยุคแรกเลยนั้น เอากระป๋องน้ำอัดลม มาตัดเขียน แล้วม้วนแจก(ไว้จะนำรูปมาให้ชมกันครับ? ทำกันภายใน แต่แจกออกไปแล้ว ประสบการณ์เกิดขึ้นมากมาย? เลยเป็นที่มาขอตะกรุดตะกั่ว ในวันนี้

ตะกรุด ยุคต่อมา ซึ่งก็คงไม่ห่างกันมาก เป็นตะกรุดจารใน จารนอก ตอกโค๊ด รุ่นนี้ละครับ ที่สร้างความฮือฮา..กัน เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป


มีการตอกโค๊ด ว.ช.น. ไว้เป็นสัญลักษณ์


ดอกนี้ตะกรุดโทน รุ่นแรก ครับ? สร้างจำนวนน้อย ตอกโค๊ด 3 โค๊ด?



ดอกนี้ มหาจินดามณีมนต์ มหาลาภ? เด่นเรื่อง เมตตา-โชคลาภ? ใช้ดีจริงๆ เลย ครับ? เห็นผลเร็วมาก



ตอกโค๊ด ว.ช.น. เช่นกันครับ



มาถึงตะกรุด สุดรัก ดอกนี้(ดอกล่างครับ) ช่วยหลวงพ่อซ่อมแซมโบสถ์เลยได้มา? พิเศษตรงที่ เป็นตะกรุด ๒ ชั้น? ชั้นในเป็นตะกรุดรุ่นแรกจารลงกระป๋องน้ำอัดลมแจก? หุ้มด้วยตะกรุดตะกั่วจารทีหลัง เป็น สองชั้น เลย ครับ



ถ่ายใกล้ๆ ให้ดูตะกรุดเก่าที่ม้วนไว้ข้างใน ครับ จะเห็นว่า เป็นโลหะกระป๋องน้ำอัดลมบางๆ ม้วนไว้ตรงกลาง



ลองถ่ายมุมนี้ บ้าง มือสั่น หง่ะ


จัดเป็นชุดเล็ก ให้ดู ครับ



มาดูชุดกลาง กันบ้าง ดีก่า



รวมมาให้ดู ครับ เรียงจากบนลงล่าง นะครับ
๑.รุ่นตัวสั้น
๒.รุ่นจารนอก-จารใน
๓. รุ่นจากในตอกโค๊ด(หลวงพ่อแจกทีละเป็นกำมือเลย)
๔. ดอกนี้ไม่มีรุ่นครับ เพราะหลวงพ่อนั่งจารให้ทำให้เองเลย
๕. ดอกนี้บูชามาครับ ทำบุญซ่อมโบสถ์  เป็นตะกรุดเก่ายุคแรกๆ ม้วนทับด้วยตะกรุดจารทีหลัง
๖.ต่อด้วยตะกรุดมหามนต์จินดามณี มหาลาภ
๗.ตะกรุดโทน
ท้ายสุด ปลัดขิกรุ่นสอง ครับผม แถมด้วยลูกสะกด ครับ แจกฟรีอีกเช่นกัน



คาถาที่ใช้กับตะกรุด จะเป็นคาถาที่จารไว้ด้านใน ใช้ภาวนาเวลาพกติดตัว ครับ

หน้า: [1]