แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - ชลาพุชะ

หน้า: [1]
1
ผ้ายันต์ พ่อรอด สุขแสงจันทร์ เชิญชมครับ
 

2
รูปรอยสักของรุ่นพี่ ที่สักมาจากหลายๆวัด ก็ มารวมกันก็เป็นรอยสักที่สวยครับเชิญผม







    การสักหลายที่ก็ข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน ผมขอพูดถึงแต่ข้อดีนะครับ ตามความคิดผม วัดแต่ละวัดสำนักแต่วัด ย่อมมีวิชาเอกแต่ต่างกัน ความสวย ลายเส้นก็ไม่เหมือนกันแล้วแต่คนชอบ แต่มีอย่างหนึ่ง ใกล้เคียงกัน นั้นคือสอนให้ทุกคนเป็นคนดี สามัคคี เคารพผู้อื่น ไม่ใช้วิชาทำร้ายคนอื่น การมีคุณธรรม อยู่ในศลีในธรรม รู้จักตัวเอง และสอนให้เป็น ลูกผู้ชาย ไม่ใช่แค่เกิดมามีเพศชายครับ ครับ

3
ตะกรุด หลวงพ่อจำลอง วัดเจดีย์แดง อยุธยา อย่างที่เห็นเป็นดอกสีดำ พุทธคุณ ด้านคงกระพัน เหนียวสุดยอด
หนุมานหลวง หลวงพ่อพูลวัดไผ่ล้อม นครปฐม ที่จริง ตามที่เจ้าของเล่าให้ฟังเป็นเนื้อสัมฤทธิ์ แล้วเอาไปชุบเงิน ผมเห็นว่าสวย เลย ขอมาพุทธตามที่ท่านผู้เป็นเจ้าของเดิมเล่าว่า ขจัดปัดเป่าสิ่งไม่ดี เรื่องรัก เรื่องเมตตา เรื่องบู๊ อยู่ในตัวนี้หมดเลยชอบครับ

4
ประวัติหลวงพ่อเกษม เขมโก (โดยสังเขป)

"ท่าน เขมโกภิกขุ” หลวงปู่เกษม หรือ หลวงพ่อเกษม เขมโก ที่เราท่านเคารพบูชา และรำลึกภาวนา ขอบารมีจากท่านช่วยคุ้มครอง ปกป้องจากอันตราย ยามเมื่อเกิดความทุกข์ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด เพราะบารมี หลวงพ่อที่เพียรเจริญวิปัสสนากรรมฐานด้วยความมานะบากบั่น ยากที่จะมีผู้ปฏิบัติได้เสมือนนั้น สร้างศรัทธาและความเชื่อมั่นสูงยิ่งนัก" หลวงพ่อเกษมท่านเจริญวิปัสสนาด้วยถือสันโดษเป็นที่ตั้ง ใช้อำนาจจิต ควบคุมร่างกายเข้าสู่สมาธิภาวนา เบื้องหน้าเชิงตะกอน ท่านไม่ติดรสอาหารเมื่อมีผู้นำมาถวาย แม้อาหาร จะเสียจนราขึ้น ถ้าหลวงพ่อท่านยังมิได้แผ่เมตตา ท่านก็จะรับประเคนบาตรแล้วแผ่เมตตาให้ หลวงพ่อ เป็นผู้มีศีลอันบริสุทธิ์ และเมตตาธรรมสูงส่ง ท่านหมดสิ้นแล้วซึ่งกิเลส และเปี่ยมล้นด้วยบารมี ทุกวันนี้ หลวงพ่อยังเป็นดุจร่มโพธิ์ร่มไทรที่ให้ความร่มเย็นแก่พวกเราทุกคน

        ประวัติและเรื่องราวต่าง ๆ ของท่าน จึงถูกบันทึกเพื่อให้อนุชนรุ่นหลัง ได้รับรู้ถึงในยุคปัจจุบัน ประวัติบางตอนของ ครูบาศรีวิชัย ตอนหนึ่งกล่าวว่า ท่านครูบาศรีวิชัยได้พยากรณ์ไว้ว่า จะมีตนบุญมาเกิดที่ลำปาง ครั้นต่อมาครูบาศรีวิชัยได้มรณภาพไป โดยทิ้งคำพยากรณ์นี้ไว้ให้ชาวลำปางได้เฝ้ารอคอยการมาจุติของตนบุญ ที่ครูบาศรีวิชัยได้พยากรณ์ไว้ จนเวลาล่วงเลยไปหลายสิบปี ก็ยังไม่ปรากฏ แต่ชาวลำปางก็ยังเชื่อในคำพยากรณ์ของครูบาศรีวิชัย

        เมื่อปี  พ.ศ.2455  ได้มีครอบครัว เชื้อเจ้าผู้ครองนครลำปาง หรือเขลางค์นครในอดีต หัวหน้าครอบครัว คือ     เจ้าหนูน้อย ณ ลำปาง ภายหลังเปลี่ยนนามสกุลใหม่เป็น มณีอรุณ รับราชการเป็นปลัดอำเภอ ภรรยาชื่อ เจ้าแม่บัวจ้อน ณ ลำปาง ทั้งสองเป็นหลานเจ้าของพ่อบุญวาทย์ วงศ์มานิตย์ เจ้าผู้ครองนครลำปางองค์สุดท้าย

        ครอบครัวนี้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ บ้านท่าเก๊าม่วง ริมแม่น้ำวัง อ.เมือง จ.ลำปาง อยู่กินกันมาอย่างมีความสุขในที่สุดเจ้าแม่บัวจ้อนได้ตั้งครรภ์  และพอถึงกำหนดคลอด ตรงกับวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ.2455 ตรงกับวันพุธ เดือนยี่ (เหนือ) ปีชวด ร.ศ.131 ค.ศ.1912 เจ้าแม่บัวจ้อนให้กำเนิดทารกเพศชาย เป็นลูกคนแรกของครอบครัว

        ขณะนั้นไม่มีใครทราบกันเลย ตนบุญ ที่ครูบาศรีวิชัยได้พยากรณ์ไว้นั้นได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว บิดามารดาก็ได้ตั้งชื่อทารกนั้น เกษม ณ ลำปาง เพราะเด็กชายเกษม ณ ลำปาง ได้เกิดมาในเชื้อสายของเจ้าทางเหนือ จึงได้รับการยกย่องของคนทั่วไป ทุกคนต่างเรียกกันว่า เจ้าเกษม ณ ลำปาง หลังจากที่ได้คลอดบุตรมาได้ไม่กี่ปี เจ้าแม่บัวจ้อนได้ให้กำเนิดทารกอีกคน แต่เป็นเพศหญิง ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องของ เจ้าเกษม สืบสายเลือด แต่ทว่าเจ้าแม่น้อยคนนี้วาสนาน้อย ได้เสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก จึงไม่มีโอกาสได้รูว่าพี่ชายของเธอคือ ตนบุญ ที่ชาวลำปางรอคอยเป็นสิบ ๆ ปี

        ข้อมูลตรงนี้ คุณพัลลภ ทิพย์วงศ์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานหลวงปู่เกษม โดยคุณแม่ของคุณพัลลภ เป็นพี่สาวแท้ ๆของโยมแม่หลวงปู่ ได้ทักท้วงมาว่า ที่แท้จริงแล้ว เจ้าแม่บัวจ้อน ได้ให้กำเนิดทารกน้อยอีกคนหนึ่ง เป็นเพศชาย ชื่อ "สวาสดิ์" และได้เสียชีวิตแต่เล็ก โดยมีหลักฐานใบเกิดเก็บไว้กับญาติใกล้ชิด ระบุชื่อ เพศ วันเดือนปีเกิด คือ เกิดเมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๘ ร.ศ. ๑๓๔ ตรงกับวันพุธ แรม ๗ ค่ำ จุลศักราช ๑๒๗๗ จึงได้ทักท้วง เพื่อให้ผมแก้ไขข้อมูลที่ถูกต้องเป็นจริง จึงต้องขอขอบคุณ คุณพัลลภ ไว้ ณ ที่นี้ (อ.เล็ก  พลูโต - ๓๐  ตุลาคม ๒๕๔๗)

        เมื่อวัยเด็ก เจ้าเกษม ณ ลำปาง เป็นคนมีลักษณะค่อนข้างเล็กบอบบาง ผิวขาวแต่ดูเข้มแข็ง คล่องแคล่ว และมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด เป็นเด็กที่ชอบซน คืออยากรู้อยากเห็น เมื่อถึงวัยเรียน เจ้าเกษม ณ ลำปาง ได้รับการศึกษาระดับประถมที่โรงเรียนบุญทวงศ์อนุกูล ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำ อ.เมือง  จ.ลำปาง สมัยนั้นเปิดเรียนชั้นสูงสุดแค่ชั้นประถมปีที่ 5 เท่านั้น เจ้าเกษม ณ ลำปาง ได้ศึกษาจนจบชั้นสูงของโรงเรียน คือชั้นประถมปีที่ 5 ใน พ.ศ.2466 ขณะนั้นอายุ 11 ปี

        เมื่อออกจากโรงเรียนก็ไม่ได้เรียน อยู่บ้าน 2 ปี ใน พ.ศ.2468 อายุขณะนั้นได้ 13 ปี เจ้าเกษม ณ ลำปาง ก็ได้มีโอกาสเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ โดยบรรพชาเป็นสามเณร เนื่องในโอกาสบรรพชาหน้าศพ (บวชหน้าไฟ) ของเจ้าอาวาสวัดป่าดั๊ว ครั้นบวชได้เพียง 7 วันก็ลาสิกขาออกไป ต่อมาอีก 2 ปี ราว พ.ศ.2470 ขณะนั้นมีอายุ 15 ปี เจ้าเกษม ณ ลำปาง ก็ได้มีโอกาสเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์อีกครั้งหนึ่ง โดยบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ที่วัดบุญยืน จ.ลำปาง เมื่อบรรพชาแล้วสามเณรเจ้าเกษม ณ ลำปาง ก็ได้จำพรรษาศึกษาพระธรรมวินัยที่วัดบุญยืนนั่นเอง สามเณรเจ้าเกษม ณ ลำปาง เป็นคนที่ทำอะไรจริงจัง เรียนทางด้านปริยัติศึกษาธรรมะจนถึง ปี พ.ศ.2474 สามเณรเจ้าเกษม ก็สามารถสอบนักธรรมชั้นโทได้ ครั้นมีอายุได้ 21 ปี อายุครบที่จะอุปสมบทเป็นพระภิกษุได้แล้ว จึงได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุในปี พ.ศ.2475 ณ พัทธสีมาวัดบุญยืน โดยมีพระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณพระ ธรรมจินดานายก (ฝ่าย) เจ้าอากาสวัดบุญวาทย์วิหาร ซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอในขณะนั้นเป็นพระอุปัชฌาย์ พระคุณเจ้าท่านพระครูอุตตรวงศ์ธาดา หรือที่ชาวบ้านเหนือรู้จักกันในนาม ครูบาปัญญาลิ้นทอง เจ้าอาวาสวัดหมื่นเทศ และดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอเมือง จังหวัดลำปางในขณะนั้น เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และยังพระเดชพระคุณ ท่านพระธรรมจินดานายก(อุ่นเรือน) เจ้าอาวาสวัดป่าดั๊วเป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า เขมโก แปลว่า ผู้มีธรรมอันเกษม

        หลังจากได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว พระภิกษุเกษม เขมโกก็ได้ศึกษาทางด้านภาษาบาลี ซึ่งเป็นการศึกษาปริยัติอีกแขนงหนึ่ง ที่สำนักวัดศรีล้อม สมัยนั้นก็มีอาจารย์หลายรูป เช่น มหาตาคำ พระมหามงคล เป็นครูผู้สอน และยังได้ไปศึกษาที่สำนักวัดบุญวาทย์วิหาร ซึ่งมีพระมหามั่ว พรหมวงศ์ และพระมหาโกวิทย์ โกวิทญาโน เป็นครูสอน

        ในเวลาเดียวกันนั้น พระภิกษุเจ้าเกษม เขมโก ก็ได้ไปศึกษาทางด้านปริยัติ ในแผนกนักธรรมต่อที่สำนักวัดเชียงราย ครูผู้สอนคือ พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณ พระเทพวิสุทธิโสภณ  ซึ่งเป็นเจ้าคณะจังหวัดลำปางสมัยนั้น  ปรากฎว่าพระภิกษุเจ้าเกษม เขมโก ก็สามารถสอบนักธรรมชั้นเอกได้ในปี พ.ศ.2479 ส่วนทางด้านการศึกษาบาลีนั้น ท่านเรียนรู้จนสามารถเขียนและแปลได้เป็น (มคธ) เป็นอย่างดี แต่ก็ไม่ยอมสอบเอาวุฒิ จนครูบาอาจารย์ทุกองค์ต่างเข้าใจว่า พระภิกษุเกษม เขมโก ไม่ต้องการมีสมณศักดิ์สูง ๆ เรียนเพื่อจะนำเอาวิชาความรู้มาใช้ในการศึกษาค้นคว้าพระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดาเท่านั้น

        เมื่อสำเร็จทางด้านปริยัติพอควรแล้ว สามารถนำไปปฏิบัติได้โดยไม่หลงทาง ท่านจึงหันมาปฏิบัติต่อไปจนแตกฉาน แค่นั้นยังไม่พอ พระภิกษุเกษม เขมโก ได้เสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ ที่มีความรู้และมีความเชี่ยวชาญในด้านนี้ จนกระทั่งได้ทราบข่าวภิกษุรูปหนึ่งมีชื่อเสียงในด้านวิปัสสนา ภิกษุรูปนี้ คือ ครูบาแก่น  สุมโน อดีตเจ้าอาวาสวัดประตูป่อง

            ครูบาแก่น สุมโน เป็นพระภิกษุสายวิปัสสนา ถือธุดงค์เป็นวัตร หรือที่เรียกกันว่า พระป่า หรือภาษา ทางการเรียกว่า พระภิกษุฝ่ายอรัญญวาสี ตอนนั้นครูบาแก่น ท่านได้ธุดงค์แสวงหาความวิเวกทั่วไป ยึดถือป่าเป็นที่บำเพ็ญเพียร นอกจากมีชื่อเสียงในด้านวิปัสสนาแล้ว ท่านยังเก่งรอบรู้ในด้านพระธรรมวินัยอย่างแตกฉานอีกด้วย

     พระภิกษุเกษม เขมโก จึงเดินทางไปขอฝากตัวเป็นศิษย์ และได้อธิบายความต้องการที่จะศึกษาในด้านวิปัสสนาให้ครูบาแก่นฟัง ครูบาแก่น สุมโน เห็นความตั้งใจจริงของภิกษุเกษม เขมโก ท่านจึงรับไว้เป็นศิษย์ และได้นำภิกษุเกษม เขมโก ออกท่องธุดงค์ไปแสวงหาความวิเวก และบำเพ็ญเพียรตามป่าลึกตามที่ภิกษุเกษม เขมโก ต้องการ จึงถือได้ว่า ครูบาแก่น สุมโน รูปนี้เป็นอาจารย์ทางวิปัสสนากรรมฐานรูปแรกของ พระภิกษุเจ้าเกษม เขมโก

        ดังนั้น พระภิกษุเกษม เขมโก จึงได้เริ่มก้าวไปสัมผัสชีวิตของภิกษุฝ่ายอรัญญวาสี ประกอบกับจิตของท่านโน้มเอียงมาทางสายนี้อยู่แล้ว จึงไม่ใช่เป็นเรื่องลำบากสำหรับในการไปธุดงค์ กลับเป็นการได้พบความสงบสุขโดยแท้จริง กับความเงียบสงบ ซ้ำยังได้ดื่มด่ำกับรสพระธรรมอันบังเกิดท่ามกลางความวิเวก พระภิกษุเกษม เขมโก จึงมุ่งมั่นปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง โดยมีครูบาแก่นแนะอุบายธรรมอย่างใกล้ชิด ระหว่างท่องธุดงค์แสวงหาความวิเวกในที่สงัดตามป่าเขาและป่าช้าต่าง ๆ การฉันอาหารในบาตร คือ อาหารหวานคาวรวมกัน เรียกว่า ฉันเอกา ไม่รวมอาสนะกับสงฆ์อื่น ฉันมื้อเดียว ช่วงบ่ายก็จะเดินจงกรม เพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ พร้อมกำหนดจิตจนกระทั่งถึงเย็น เมื่อเสร็จจากการเดินจงกรม ก็กลับมานั่งบำเพ็ญภาวนาต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงประมาณ 5 ทุ่ม เสร็จจากการบำเพ็ญภาวนาก็สวดมนต์ทำวัตรเย็น ในตอนดึกก่อนจำวัดท่านก็ไม่นอนเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ท่านจะหมอบเท่านั้น และท่านจะทำเป็นกิจวัตร คือการกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล แผ่เมตตาไปให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย

        จนกระทั่งถึงช่วงเข้าพรรษา ที่พระภิกษุจำเป็นต้องยุติการท่องธุดงค์ชั่วคราว ต้องอยู่กับที่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง จะเป็นวัดอาราม หรือถือเอาป่าช้าเป็นวัด โดยกำหนดเขตเอาตามพุทธบัญญัติ ดังนั้นภิกษุเจ้าเกษม เขมโก จึงต้องแยกทางกับอาจารย์ คือ ครูบาแก่น ตั้งแต่นั้นมาภิกษุเจ้าเกษม เขมโก กลับมาจำพรรษาที่วัดบุญยืนตามเดิม พอครบกำหนดออกพรรษาภิกษุเกษม เขมโก ก็ติดตามอาจารย์ของท่าน คือครูบาแก่น ออกธุดงค์บำเพ็ญภาวนา ท่านถือปฏิบัติเช่นนี้เรื่อยมา

        ต่อมาเจ้าอธิการคำเหมย เจ้าอาวาสวัดบุญยืนถึงแก่มรณภาพลง ทำให้ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบุญยืนว่าง ทางคณะสงฆ์จึงต้องเลือกภิกษุที่มีคุณสมบัติมาปกครองดูแลวัด เพื่อเป็นเจ้าอาวาสสืบต่อไป คณะสงฆ์จึงได้ประชุมกันและต่างลงความเห็นพ้องต้องกันว่า ควรจะเป็นภิกษุเกษม เขมโก เพราะเป็นพระที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับตำแหน่งเจ้าอาวาส เมื่อท่านได้รับเลือกเป็นเจ้าอาวาสวัดบุญยืน ท่านก็ไม่ยินดียินร้าย แต่ท่านก็ห่วงทางวัด เพราะท่านเคยจำวัดนี้ ท่านก็เห็นว่าบัดนี้ทางวัดบุญยืนมีภารกิจต้องดูแล ก็ถือว่าเป็นภารกิจทางศาสนาเพราะท่านเองต้องการให้พระศาสนานี้ดำรงอยู่ จึงไม่อาจจะดูดายภารกิจนี้ได้ จึงยอมรับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบุญยืน

        ครูบาเจ้าเกษม เขมโก อยู่ในตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบุญยืนเรื่อยมาจนถึงปี พ.ศ.2492 ท่านก็ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาส ทำหนังสือลาออกกับพระเดชพระคุณท่านเจ้าพระอินทรวิชาจารย์ (ท่านเจ้าคุณอิน อดีตเจ้าคณะจังหวัดลำปาง) แต่ก็ถูกท่านเจ้าคุณยับยั้งไว้ ครูบาเจ้าเกษม เขมโก จึงจำใจกลับไปเป็นเจ้าอาวาสวัดบุญยืนอีกระยะหนึ่งนานถึง 6 ปี ท่านคิดว่าควรจะหาภิกษุที่มีคุณสมบัติมาแทนท่าน เพราะท่านอยากจะออกธุดงค์ ดังนั้นท่านจึงตัดสินใจสละตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบุญยืน โดยยื่นใบลากับคณะสงฆ์ในเขตปกครอง ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ จึงเดินทางไปลาออกกับเจ้าคณะจังหวัด ซึ่งอยู่ที่วัดเชียงราย แต่ท่านเจ้าคณะจังหวัดก็ไม่อนุญาต

        เรื่องการลาออกจากการเป็นเจ้าอาวาสของครูบาเจ้าเกษม เขมโก นี้ดูค่อนข้างจะเป็นเรื่องแปลกพิสดาร แม้แต่การสละตำแหน่งลาภยศ ท่านยังต้องประสบกับอุปสรรคต่าง ๆ นานา ไม่เหมือนกับพระองค์อื่น ๆ ที่ฟันฝ่าเพื่อแสวงหาลาภยศ เมื่อท่านลาออกไม่สำเร็จประมาณปี พ.ศ.2492 ก่อนเข้าพรรษาในปีนั้น หลวงพ่อก็หนีออกจากวัดบุญยืนก่อนเข้าพรรษา เพียงวันเดียวโดยไม่มีใครรู้ พอเช้าวันรุ่งขึ้นเข้าพรรษา หมู่ศรัทธาก็นำอาหารมาเตรียมถวายในวิหาร ทุกคนรอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นหลวงพ่อเกษม จึงเกิดความวุ่นวายเที่ยวตามหาตามกุฏิก็ไม่พบหลวงพ่อเกษม พอมาที่ศาลาทุกคนเห็นกระดาษวางบนธรรมาสน์ เป็นข้อความที่หลวงพ่อเกษมเขียน ลาศรัทธาชาวบ้านยาวถึง 2 หน้ากระดาษ

        ข้อความบางตอนที่จำได้มีอยู่ว่า ทุกอย่างเราสอนดีแล้ว อย่าได้คิดไปตามเรา เพราะเราสละแล้วการเป็นเจ้าอาวาส เปรียบเหมือนหัวหน้าครอบครัวต้องรับผิดชอบภาระหลายอย่าง ไม่เหมาะสมกับเรา เราต้องการความวิเวกจะไม่ขอกลับมาอีก แต่พวกชาวบ้านก็ไม่ละความพยายาม เพราะชาวบ้านเหล่านี้ศรัทธาในตัวหลวงพ่อพอรู้ว่าหลวงพ่ออยู่ที่ไหนเมื่อรวมกันได้ 40-50 คน ก็ออกเดินทางไปตามหาหลวงพ่อเกษม และไปพบหลวงพ่อที่ศาลาวังทาน หลวงพ่อเกษมได้ปฏิบัติธรรมที่นั่น พวกชาวบ้านได้อ้อนวอนหลวงพ่อขอให้กลับวัด บางคนร้องไห้เพราะศรัทธาในตัวหลวงพ่อมาก แต่หลวงพ่อเกษมท่านก็นิ่งไม่พูดไม่ตอบ จนพวกชาวบ้านต้องยอมแพ้ ตลอดพรรษาปี 2492 หลวงพ่อเกษมท่านก็อยู่ที่ศาลาวังทานโดยไม่ยอมกลับวัดบุญยืน

        พวกชาวบ้านจึงพากันเข้าไปพบโยมแม่ของหลวงพ่อ โยมแม่รักหลวงพ่อเกษมมาก เพราะท่านมีลูกชายคนเดียว จึงให้คนพาไปหาหลวงพ่อที่ศาลาวังทาน โดยมี (เจ้าประเวทย์ ณ ลำปาง) ตอนนั้นยังบวชเป็นสามเณรอยู่ โยมแม่ได้ขอร้องให้หลวงพ่อเกษมกลับวัด แต่หลวงพ่อกลับบอกโยมแม่ว่า

        แม่เฮาบ่เอาแล้ว เฮาบ่เหมาะสมกับวัด เฮาชอบความวิเวก เฮาขออยู่อย่างวิเวกต่อไป เฮาจะไปอยู่ที่ป่าเหี้ยว แม่อาง จนทำให้โยมแม่หมดปัญญา ไม่รู้จะขอร้องยังไง ผลที่สุดก็ต้องตามใจหลวงพ่อ วันรุ่งขึ้นหลวงพ่อเกษมก็ออกจากศาลาวังทานเดินทางไปบ้านแม่อางด้วยเท้าเปล่า เช้ามืดไปถึงป่าเหี้ยวแม่อางก็ค่ำพอดี ฝ่ายโยมมารดาพอกลับมาบ้านก็เกิดคิดถึงพระลูกชาย เพราะเกรงว่าพระลูกชายจะลำบากจึงออกจากบ้านไปตามหาพระลูกชาย โดยมีคนติดตามไปด้วยชื่อ โกเกตุ โยมแม่สั่งให้โกเกตุขนของสัมภาระเพื่อจะไปอยู่บนดอย ของที่เหลือในร้านเพชรพลอยแจกให้ชาวบ้านจนหมดเกลี้ยง ไม่เอาอะไรเลย นอกจากของใช้ที่จำเป็นบางอย่างเท่านั้น

        เกตุ พงษ์พันธุ์ ซึ่งเป็นญาติใกล้ชิดก็พาโยมแม่ไปส่งที่แม่อาง และพวกชาวบ้านเห็นโยมแม่ของหลวงพ่อมาก็สร้างตูบกระท่อมอยู่ข้างวัดแม่อาง ส่วนหลวงพ่อเข้าบำเพ็ญภาวนาในป่าช้าบนดอยแม่อาง บำเพ็ญภาวนาบารมีวิปัสสนาปฏิบัติธรรมได้หนึ่งพรรษา ทิ้งให้โยมแม่ซึ่งอยู่กระท่อมตีนดอยก็คิดถึงพระลูกชาย โดยแม่ก็ตามไปหาที่ป่าช้าข้างเนินดอย ก็มีชาวบ้านแถวนั้นอาสาสร้างตูบกระท่อมให้โยมแม่พักใกล้ ๆ ที่หลวงพ่อปฏิบัติ ธรรม โดยมแม่บัวจ้อนได้พำนักที่ข้างเนินดอยได้พักหนึ่ง ก็ล้มป่วยลงด้วยโรคไข้ป่า ชาวบ้านก็ไปตามหมอทหารมาฉีดยารักษาให้ แต่โยมแม่ท่านมีสติที่เข้มแข็ง และยังได้สั่งเสียเณรเวทย์ว่ามีเงินซาวเอ็ดบาท ให้เก็บไว้ถ้าโยมแม่ตายให้เณรไปบอกลุงมา เมื่อสั่งเสร็จโยมแม่ก็หลับตา เณรเวทย์ก็ไปบอกหลวงพ่อเกษม หลวงพ่อก็มา ท่านได้นั่งดูอาการของโยมแม่ท่านนั่งสวดมนต์ เป็นที่น่าแปลกใจขณะที่หลวงพ่อสวดมนต์ มีผึ้งบินมาวนเวียนตอมไปตอมมาสักครู่ใหญ่ ๆ โยมแม่ก็ถอดจิตอย่างสงบ นัยน์ตาหลวงพ่อเกษมมีน้ำตาค่อย ๆ ไหลขณะที่ท่านแผ่บุญกุศลให้กับโยมแม่ ท่านยังเอ่ยว่า “แหม เฮาว่า เฮาจะบ่ไห้(ร้องไห้) แล้วนา…”

        ศพของโยมแม่บัวจ้อน มีเณรเวทย์และชาวบ้านได้มาช่วยจัดการจนเสร็จพิธี ชาวบ้านช่วยเป็นเงินในสมัยนั้นได้ 700 บาท ถือว่ามาก ศพของโยมแม่บัวจ้อนเผาที่ป่าช้าแม่อาง หลังจากที่เสร็จพิธีงานศพโยมแม่จ้อนแล้ว หลวงพ่อก็สั่งเณรเวทย์ให้กลับไปเรียนธรรมที่วัดบุญยืน อยู่มาไม่นานหลวงพ่อก็จากป่าช้าแม่อางกลับมาบำเพ็ญภาวนาที่ป่าช้าศาลาวังทานอีก เพียงหนึ่งพรรษาท่านก็เดินทางไปอยู่ที่ป่าช้านาป้อ และกลับมาอยู่ประตูม้า ซึ่งก็คือ สุสานไตรลักษณ์ ในปัจจุบัน

        หลวงพ่อเกษม เขมโก ท่านได้ปฏิบัติธรรมจนเป็นพระที่ขาวสะอาด และเป็นที่เคารพสักการะของคนทั่วประเทศ ศีลบริสุทธิ์ตามพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเป็นพระไม่ติดยึดใคร ต้องการอะไร ขออะไร ไม่เคยปฏิเสธ จนสังขารของท่านดูแล้วไม่แข็งแรง แต่จิตของหลวงพ่อแข็งแรง และท้ายที่สุด หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้ละสังขาร ณ ห้องไอซียู โรงพยาบาลศูนย์ภาคเหนือ จังหวัดลำปาง เมื่อเวลา 19.40 น. ของวันจันทร์ที่ 15 มกราคม 2539 ซึ่งตรงกับวันแรม 11 ค่ำ เดือน 2  ยังความอาลัยเศร้าโศกเสียใจมายังหมู่ศานุศิษย์ทั่วประเทศ…

                                  
………………………………………………
[/size]
ที่มาhttp://www.usagreencardthai.com/kasem.php

5
แม่ให้มาดีใจมากครับจ้องมานานแล้ว เป็นหลวงพ่อเกษม เขมโก รุ่น 2 ปี 26 วัดนางเหลียว จังหวัดลำปาง หากเป็นรุ่น1 น่าจะเป็นปี 14 ใครมีรุ่นนั้นบ้างอยากเห็น แม่ว่าคล้ายๆกัน ช่วยโพสด้วยครับ

6
         กระผมได้รับเมตตา มาจากหลวงพี่ท่านหนึ่ง เป็นพระสมเด็จพิมพ์นิยม ชุดใหญ่ ได้ ดี ของวัดบางพระ ซึ่ง ในตลับเขียน ว่า พิมพ์ประธานใหญ่ พิมพ์เส้นด้าย พิมพ์ทรงเจดีย์ แต่ผมดูยังไงก็แยกทั้ง 3 องค์ไม่ออกครับ ขอพี่น้องช่วยอธิบายด้วยครับ เพื่อเป็นวิทยาทานแก่กระผม และ ผู้ไม่รู้คนอื่นๆ

----------------


----------------


----------------


ขอรบกวนด้วยนะครับ

7
      ขอนำรูปมาให้ชมเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กันนะครับ ไม่โพสมานานแล้ว น้องคนนี้ทนเอาเรื่องเลย สักบทกระทู้เจ็ดแบกเป็นแถวรอบสะดือ เจ็บเอาเรื่องเลย ชมความตั้งใจน้องเค้า





ต้องขออภัยใช้กล้องมือถือความชัดเลยไม่มากครับ

8
        ชลาพุชะ อยากสักยันต์มานานแล้วตั้งแต่เด็ก เห็นตามตัวของตาและปู่ แต่แม่ไม่ให้สัก พ่อโตหน่อยเรียนจบมีแฟน แฟนก็ไม่ให้สัก ว่าจะไปสักน้ำมัน ก็ ไหนๆก็ไหนแล้ว สักหมึกดีกว่า รอจังหวะให้ดีๆ จนอายุ 30 ปี เอาไงก็เอา ลองขอแม่ดู แม่ก็อนุญาตแบบ ไม่เต็มใจ ขอแฟนซึ่งอยู่กัน มาหลายปีแล้ว เค้าคงสงสาร ไปก็ได้แต่อย่าสักพวกสายเสน่ห์นะ รับปากในวันนั้น(วันนั้นวันเดียว)16 ตุลาคม 2551 ตรงไปวัดบางพระครับ มีพี่ชายที่ทำงานใกล้ๆกันไปด้วยครั้งแรกเข้า
กุฏิหลวงพี่แป๋ว ยกพานเสร็จ หลวงพี่ทานให้ไปกวาดรอบโบสถ์ ตามนั้นครับไปก็ไปครับ รีบกวาดรีบเสร็จ นั่งรอพักใหญ่ ก็ถึงเวลาเพล อ้าวรอยาวอีกแล้วงานนี้ ไม่เป็นไรของดี กว่าถึงคิวก็ได้นั่งใกล้หลวงพี่ หลวงพี่ก็ถามว่ามาจากไหน มากับ ใคร ทำงานอะไร แล้วก็ให้ถอดเสื้อ หลวงพี่ว่าน้ำมันใช่ไหม ผมตอบหมึกครับ หลวงพี่ยิ้มแล้วว่าเจ็บนะ เจ็บก็เอา หลวงพี่ท่านก็เมตตา สักเก้ายอดให้ สมใจเลยครับงานนี้


สักเสร็จ ก็15.00 น. คุยกับพี่ที่พาไป ทำไงดี ยังไม่สมใจอยากได้เยอะๆ พี่ก็พาไป
กุฏิพระมหาสมชายครับ ครั้งนี้ ขอท่านเลย ว่าขอเต็มหลัง หลวงพี่ว่ากลัวทนไม่ไหว แต่ผมบอกงานที่ผมทำลาไม่ได้ครับ เป็นงานต้องรักษาความปลอดภัยในการทำงาน ก็เล่า ให้ท่านฟังท่านว่า ทนไหวก็ลองดู คนไม่เคยกลัวหักโหมแบบนี้กลัวพรุ่งนี้จะป่วยเอา ผมรีบกราบแล้วรีบไปสักที่ชั้น2 วั้นนั้นที่กุฏิท่านมหาสมชาย เป็นฆารวาสสักให้ ก็ มี 3 ท่าน ยันต์ที่สัก ก็มี




งบน้ำอ้อย

C:\Documents and Settings\COM10\Desktop\รอยสัก\พระอาจารย์สมชาย\2009_09110082.JPG

แม่ทัพ



พุทธซ้อน



แปดทิศ



หนุมานและเสือคู่

ในวันนั้นผมก็สามารถทนได้เท่านี้สักเสร็จให้ท่านพระอาจารย์มหาสมชายเป่าแทบเป็นลม กลับบ้าน 21.30 น.ตอนเช้า ตื่นขึ้นมา มาอยู่ในโรงพยาบาลมหาชัย มีแฟนนั่งตาแต่อยู่ ตามที่แฟนเล่าให้ฟัง ผมแหกปากร้องกลางดึกวิ่งทั่วห้อง แฟนตกใจโทรเรียกคนงานช่วยกันจับ อยู่พักใหญ่ แล้วก็ส่งโรงบาล มหาชัย ผมก็หัวเราะๆแล้วว่าจะเป็นไปได้ไง หมอเจ้าของไข้ลงความเห็นว่าเป็นผลกระทบจากการสักและจิตใจ คิดถึงการสักเยอะไปหน่อย แล้วให้น้ำเกลือนี้คือวันแรกครับ ต่อไปคงเรียงลำดับไม่ไหวแต่ขอเสนอรอยสักของพระอาจารย์ และ อาจารย์แต่ละท่านก็แล้วกันนะครับ

หลวงพี่ญา



เสือตีนโต



จิ้งจก



สาริกา



เกราะเพชร ยันต์นี้ผมขอเลิกเหล้าตลอดชีวิตถวายหลวงพี่ญาครับ



กวางเหลียว ยันต์กลับบ้านแฟนเห็นไปบ้านแทบแตก แต่ก็เคลียได้ของแรงจริงๆ



ลิงแต่ไม่รู้ชื่อเต็มว่าอะไรครับ



สิงห์


หลวงพี่ต้อย





จิ้งจก





ที่เหลือไม่แน่ใจว่าเป็นยันต์อะไร แต่เป็นของดีที่หลวงพี่เมตตาครับ
ยังมีต่ออีกนะครับขอตัวไปทำงานก่อน วันนี้เย็นๆจะม่ลงต่อครับ

9
กระทู้นี้ไม่คำบรรยายมีแต่รูปครับ :004: :004: :004:

10
12.00 น. มีเสียงพี่สาวโทรมาบอกเก็บของไปวัดสุทัศน์ ขนาดตอบว่าขอกินข้าวก่อน พี่ท่านก็ไม่ยอม มากินที่นี้บัดเดี๋ยวนี้ อ่ะไปก็ไปถึงพี่สาวเลี้ยงข้าว พาขึ้นเบ๊นซ์ขับเหมือนรู้ทางพาหลงซะ แหมไปกับเด็กแพร่ด้วย กว่าจะไปถึง666 ไปถึงคนเยอะมาก งานนี้ผมถ่ายรูปยากมากคนเยอะครับและใช้กล้องพี่สาวด้วย กล้องผมถ่านหมดเชิญชมครับ



เข้าสู่พิธีขั้นตอนการครอบครูครับ




ขอตัวไปนอนก่อนนะครับพรุ่งนี้ขะทำการลงรูปเพิ่ม
ปล.พี่สาวช่วยลงข้อมูลด้วยนะงานนี้อะไรเป็นอะไร แต่งานนี้หลวงปู่กาหลงไม่ได้มาครับเสียดายมากๆ

11

หลวงพี่ต้อยท่านเมตตามอบให้ครับ เลยเอามาให้ชมครับ

12
         ปีนี้ลุงพงษ์ให้ของขวัญวันเกิดเป็นพระหลวงพ่อคูณ ไม่ยักรู้ว่าลุงพงษ์สะสมพระทางอีสานด้วย กราบขอบคุณลุงพงษ์ครับ แต่ให้ช้าไปนิดนะครับนึกว่าลืมเสียแล้ว เหรียญนี้ผ่านการใช้งานมาแล้ว เหลี่ยมทองเฉพาะขอบแบบเปิดหน้าหลัง คนโบราณบางท่าน เชื่อว่าเหลี่ยมแบบปิดหมดพระจะออกมาช่วยไม่ได้ ยิ่งกันน้ำหมดสิทธิ์ออกมาช่วยเลย ก็ฟังไว้เพราะผมขอใส่กรอบแบบปิดหมดครับ สะดวกดี  
เพราะผมได้มาเป็นเหรียญเปล่าๆนะครับ ทองไปไหน???!!! คงไม่สนใจอะไร ได้พระก็ดีแล้วครับ



13
     ไปเยี่ยมอาจารย์ประโยชน์ อาจารย์ทาสีสำนักใหม่ด้วย สวยดูสว่างดีครับ  เชิญชมครับ



ไปก็ได้เจอภาพนี้เป็นภาพแรกเลย เสือตีนโตพระอาจารย์พงษ์ยังดุเหมือนเดิม สีสวยดีครับ

 

พี่คนนี้คุ้นๆ



เสือตีนโต คู่เลย สักที่เดียว 2 ทนได้ไง สักไปวันเสาร์ นี้วันจันทร์พี่ท่านจะมาเอาอะไรอีกนะ



หนุมาน สี่กร ที่ท้องด้วย พี่ท่านเยี่ยมมากๆ สุดๆๆ



สักเสร็จไป1



เอาคนต่อไปยกพานเลยครับ ไม่เคยสักยันต์เลย เคยสักแต่กราฟฟิก งั้นต้องขึ้นเก้ายอดก่อน แล้วค่อยคุย จะเอาเสือตัวใหญ่ๆเข้ม ได้สักให้....สักเสือต้องทำใตให้เป็นเสือนะครับ อาจารย์ประโยชน์จะพูดไปสักไปให้กำลังใจตลอด



มาครั้งแรก เก้า ยอด กับเสือ ตัวค่อนหลัง ว้าวๆๆๆ ลูกผู้ชายตัวจริง



ตอนเสกต้องจิกเล็บ



ชลาพุชะ วันนี้ ไม่อยากเจ็บอย่างมีความสุข แต่ขอรบกวนอาจารย์ช่วยเมตตาจารเขี้ยวเสือ ที่ได้ จากจ่าธง(ศิษย์พี่)ครับผม จารเสร็จแล้วกราบขอบคุณ ขอตัวลากลับเลยนะครับ อาจารย์พักผ่อนบ้างนะครับ


ปล.บางคนอาจกลัวที่อาจารย์ประโยชน์สักแรง สักเจ็บ แต่ทุกอย่างขอได้นะครับ สักเบาสักแรงบอกได้นะครับ เดี๋ยวจะว่าผมนำภาพมานำเสนอมีแต่ ลึกๆ เลือดๆ เส้น ใหญ่ เบาๆอาจารย์ก็สักได้นะครับ บอกท่าน ท่านใจดีตามใจลูกศิษย์

14
        วัน เสาร์ 5 แรม 1 ค่ำ เดือน 10 ที่ผ่านมา เป็นวันแรงที่ในรอบปีจะมีไม่กี่วัน กระผมจึงขอเมตตาจากอาจารย์เหน่งอ่อนนุช ช่วยสักจรเข้ ที่ผมอยากได้มานานแล้วครับ สมใจเลยครั้งนี้

15
นายณสรรค์ พันธรักษ์ราชเดช บุตรชายคนที่ 9 ของ ขุนพันธรักษ์ราชเดช เปิดเผยวีรกรรมที่บิดาเคยเล่าให้ฟังว่า โจรหรือเสือร้ายในสมัยก่อนมีพฤติกรรมปล้นฆ่าอย่างโหดเหี้ยมผิดมนุษย์มนา เช่น ขุนโจรอะแวสะดอ ตาและ หรือ ?เจ้าพ่อเขาบูโด? ทั้งกระสุนปืน คมหอก คมดาบ ที่ตำรวจระดมสาดเข้าใส่ร่างของมัน แต่ทำอะไรมันไม่ได้ พอ กระสุนหมดทั้งคู่ คุณพ่อก็วิ่งไล่จับขุนโจรชื่อก้องได้ด้วยมือเปล่า กระโจนเข้าไปชกต่อยพัลวัน ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงก็จับเจ้าพ่อเขาบูโดใส่กุญแจมือ ลากคอเข้าคุกได้ และจากการตรวจสอบพบว่ากระสุนที่ยิงใส่ตามลำตัวไม่ถูกมันเลย และที่ยิงบริเวณปาก 9 นัด มันอมกระสุนไว้ในปากโดยไม่มีร่องรอยบาดแผลใด ๆ ฟันก็ไม่หัก มันคายหัวกระสุนทั้ง 9 เม็ดลงกลางโต๊ะสอบสวน !!?? นับเป็นเรื่องที่หาข้อพิสูจน์ไม่ได้จนทุกวันนี้

การสยบขุนโจรแห่งขุนเขาบูโดด้วยมือเปล่า โดยไม่รู้ว่าใช้คาถาอาคมอะไร ทำให้ขุนพันธ์ได้รับการยกย่องสรรเสริญจากคนไทยมุสลิม และพวกแขกมลายู (มาเลเซีย) เสียงดังกระหึ่มไปทั่ว จึงตั้งสมญานามให้ขุนพันธ์ ว่า ?รายอกะจิ? หมายถึง ราชาร่างเล็ก หรืออัศวินพริกขี้หนู

?คุณพ่อเล่าให้ฟังว่าการปราบเสือแต่ละคนไม่ง่ายเลย สมัยก่อนต้องใช้เวลาติดตามด้วยความยากลำบาก ไม่สะดวกเหมือนสมัยนี้ เพราะต้องบุกป่าฝ่าดงไล่ล่ากันเป็นเดือนเป็นปี พ่อบอกว่าเสือภาคใต้ปราบยากกว่าเสือภาคกลางเพราะเสือภาคใต้มีวิชา มีของดี ของขลังติดตัว ผิดกับเสือภาคกลางที่อาศัยสมัครพรรคพวกมากเป็นสำคัญ บรรดาชุมโจรหรือขุนโจรที่เกรงกลัวขุนพันธรักษ์ราชเดช เนื่องจากเป็นคนเอาจริงเอาจังกับการปราบปราม ไม่ท้อ จิตใจทรหดอดทน หากมันไม่ตายเราก็ตาย? บุตรชายคนที่ 9 ของขุนพันธ์ กล่าว

ปี พ.ศ.2485 ขุนพันธรักษ์ราชเดช ย้ายไปเป็นผู้กำกับการตำรวจเมืองสุราษฎร์ธานี ก็ดำเนินการปราบ ?เสือสาย? ผู้มีอิทธิพลในเมืองสุราษฎร์ฯ มานานกว่า 8 ปี จากนั้นบุกทลายซ่อง ?ไม้ไผ่งาช้าง? ของผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ จนถูกย้ายไปเป็นผู้บังคับกองเมืองพิจิตร พอไปอยู่เมืองพิจิตร ก็ปราบเสือโน้ม อ.พรานกระต่าย และได้รู้จักกับ ?หลวงกล้ากลางณรงค์? นายทหารลูกหลานตระกูล ?พระยาพิชัยดาบหัก? ที่มารับราชการที่เมืองพิจิตร ขุนพันธ์จึงฝากตัวเป็นบุตรบุญธรรม หลวงกล้ากลางณรงค์ได้มอบดาบคู่เหล็กน้ำพี้ให้กับขุนพันธ์ จนกลายเป็นอาวุธประจำตัว ดังฉายา ?ขุนพันธ์ดาบคู่?

ถัดมาในปี พ.ศ.2489 ขุนพันธ์ย้ายไปเป็นผู้กำกับการตำรวจเมืองชัยนาท ลุยปราบชุมโจรสุพรรณบุรี โดยเฉพาะ ?เสือฝ้าย? ถือเป็นก๊กเสือร้ายที่มีอิทธิพลมากที่สุด มีสมุนอยู่ทั่วใน จ.สุพรรณบุรี ที่โด่งดังเป็นที่รู้จักคือ 4 เสือสุพรรณ ประกอบด้วย เสือฝ้าย เสือใบ เสือมเหศวร และเสือดำ ทางกรมตำรวจจึงคัดเลือกนายตำรวจ เพื่อตั้งเป็น ?กองปราบปรามพิเศษ? ต่อสู้กับเสือร้ายภาคกลาง มี พ.ต.อ.สวัสดิ์ กันเขต เป็นผู้อำนวยการ และขุนพันธ์ เป็นรองผู้อำนวยการ จนชุมโจรเมืองสุพรรณถูกปราบปรามอย่างราบคาบ ส่วนเสือฝ้ายตัดสินใจเข้ามอบตัวในที่สุด

เมืองพัทลุงร้อนระอุขึ้นมาอีกครั้งในปี พ.ศ.2490 ปัญหาโจรผู้ร้ายชุกชุม คดีปล้นฆ่าผุดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน ชาวบ้านเดือดร้อนอย่างหนัก จึงมีการทำหนังสือขอตัวขุนพันธ์กลับพัทลุง มาต่อกรกับโจรร้ายก๊กใหม่ กระทั่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรเขต 8 จ.นครศรีธรรมราช และเกษียณอายุราชการเมื่อปี พ.ศ. 2511
  ยิ่งผมหาข้อมูลของท่านพล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช  ก็จะเจอข้อมูลของเสือทุกๆคนที่ท่านปราบ เสือบางคนโดนบีบจากผู้มีอิทธัพลเถื่อนและเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเลวๆให้เป็นเสือ เสือบางคนปล้นคนเลวที่รวยที่มีอำนาจเพื่อมาช่วยคนจน :037: กระผมกลัวเหลือเกินหากนำประวัติการปราบเสือและประวัติเสือเหล่านั้น จะไม่ผ่านเซ็นเซอร์ครับ

16
ย้ายกลับพัทลุง
ต่อมาในปี พ.ศ. 2491 ทางจังหวัดพัทลุงมีโจรผู้ร้ายกำเริบชุกชุมขึ้นอีก ราษฎรชาวพัทลุงนึกถึงขุนพันธ์ฯ นายตำรวจมือปราบ เพราะเคยประจักษ์ฝีมือมาแล้ว จึงเข้าชื่อกันทำหนังสือร้องเรียนต่ออธิบดีกรมตำรวจ ผ่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขอตัวขุนพันธ์ฯ กลับพัทลุงเพื่อช่วยปราบปรามโจรผู้ร้าย กรมตำรวจอนุมัติตามคำร้องขอ ขุนพันธ์ฯ จึงได้ย้ายมาเป็นผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุงอีกวาระหนึ่ง ได้ปราบปรามเสือร้ายที่สำคัญๆสิ้นชื่อไปหลายคน ผู้ร้ายบางรายก็หนีออกนอกเขตพัทลุงไปอยู่เสียที่อื่น นอกจากงานด้านปราบปรามซึ่งเป็นงานที่ท่านถนัดและสร้างชื่อเสียงให้ท่านเป็นพิเศษแล้ว ท่านยังได้พัฒนาเมืองพัทลุงให้เป็นเมืองท่องเที่ยว โดยปรับปรุงชายทะเลตำบลลำปำให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว และให้มีตำรวจคอยตรวจตรารักษาความปลอดภัยแก่ผู้โดยสารรถไฟที่เข้าออกเมืองพัทลุง ทำให้เมืองพัทลุงในสมัยที่ท่านเป็นผู้กำกับการตำรวจ มีความสงบสุขน่าอยู่ขึ้นมาก ตำรวจที่ทำหน้าที่ดังกล่าวได้เลิกไปเมื่อกรมตำรวจจัดตั้งกองตำรวจรถไฟขึ้น ด้วยความดีความชอบในหน้าที่ราชการ ท่านจึงได้รับพระราชทานเลื่อนยศ เป็นพันตำรวจโทในปี พ.ศ. 2493 ท่านอยู่พัทลุงได้ 2 ปีเศษ จนถึง พ.ศ. 2494 จึงได้รับการแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับการตำรวจภูธรเขต 8 จังหวัดนครศรีธรรมราช จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2503 จึงดำรงตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจภูธรเขต 8 และได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็นพลตำรวจตรี จนกระทั่งเกษียณอายุในปี พ.ศ. 2507
ครั้งหนึ่งเคยมีคำขวัญอันคมคายของกรมตำรวจอยู่ประโยคหนึ่งว่า "ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้" นี่เป็นถ้อยคำที่เกิดขึ้นในยุคอัศวินแหวนเพชรเฟื้อง ในสมัยของท่านอธิบดีฯ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ปกครองกรมตำรวจ วีรบุรุษผู้สร้างเกียรติประวัติให้กรมตำรวจนั้นมีอยู่มาก มีอยู่ทุกยุคทุกสมัย แต่ในยุคสมัยที่ท่าน อธิบดีกรมตำรวจหลวงอดุลย์เดชจรัสนั้น...นามของ"ขุนพันธรักษ์ราชเดช" ระบือลือลั่นสุดยอดแผ่นดินด้ามขวานทอง แม้ท่านขุนพันธ์จะปลดเกษียณราชการไปนานปี แล้วก็ตาม แต่ชื่อของท่านยังอยู่ในความทรงจำของกรมตำรวจและประชาชนทั่วไป นั่นเป็นเพราะผลงานอันน่าอัศจรรย์ของท่าน กลายเป็นผลงานอันยากยิ่งที่จะหาผู้ใดเสมอเหมือน ควรค่าแก่การบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คนเมืองใต้และคนของแผ่นดิน
พลตำรวจตรีขุนพันธรักษ์ราชเดช ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 ที่บ้านในซอยราชเดช ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช อายุได้ 108 ปี
เกียรติประวัติ
ชีวิตของ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นชีวิตที่มีค่าของแผ่นดินเมืองใต้และเมืองไทย ลมหายใจของท่านเคยโลดแล่นอยู่ท่ามกลางหมู่โจรผู้ร้าย ไม่เฉพาะแต่ผู้ร้ายในภาคใต้เท่านั้น แต่ที่ไหนประชาชนเดือดร้อนจากโจรผู้ร้ายชุกชุม ตำรวจคนอื่นปราบปรามไม่สำเร็จ กรมตำรวจจะต้องส่งตัวขุนพันธ์ฯ ไปปราบปรามทุกถิ่นที่มีครั้งหนึ่ง พล.ต.ต. ขุนพันธรักษ์ราชเดชเป็นรองผู้บังคับการตำรวจภูธรเขต 8 ท่านเคยเดินทางมาตรวจสืบราชการลับที่เกาะสมุย ขุนพันธ์ฯท่านชอบดูมวย วันนั้นท่านไปยืนดูมวยอยู่ข้างเวที บังเอิญถอยหลังไปเหยียบเท้านางพล้อยเข้าโดยไม่ตั้งใจ ป้าพล้อยแกเป็นคนปากจัด ใครแตะเป็นด่าไม่ไว้หน้า แกก็ด่าขุนพันธ์ฯ ขุนพันธ์ฯก็วางเฉยไม่โต้ตอบอะไร มีคนรู้จักกันเข้าไปเตือนสติป้าพล้อยว่า "คนที่ป้าด่าอยู่นั้นรู้มั๊ยว่าเป็นใคร...นั่นแหละขุนพันธ์ฯ" พอได้ยินชื่อขุนพันธ์ฯเท่านั้น ป้าพล้อยแกเงียบเป็นเป่าสาก รีบก้มหน้างุดๆ เดินมุดผู้คนหนีไปโดยไม่เหลียวหลังมาอีกเลย คำบอกเล่าสั้นๆนี้ทำให้เห็นว่า ขุนพันธ์ฯ ท่านมีตบะสูง เพียงได้ยินว่าเป็นขุนพันธ์เท่านั้น ใครๆก็ขยาดทั้งนั้น เพราะรู้กิตติศัพท์ของท่านมาก่อนนั่นเอง
สมัยที่ขุนพันธ์ฯกลับมาอยู่เมืองนครศรีธรรมราช ก็มีเรื่องเล่ากันว่า ตอนนั้นมีเสือใหญ่อยู่ 10 ตัว ในจำนวนเสือร้าย 10 ตัวนั้น มีเสือข่อย เสือจ้อย เสือหวน ฯลฯ รวมอยู่ด้วย เสือทั้ง 10 คนนั้น ล้วนเคยเป็นศิษย์หลวงพ่อช่วย เมืองนครศรีธรรมราช ผู้ซึ่งเป็นพระมีวิชาเก่งกล้าทางไสยศาสตร์ หรือกฤตยาคม ขุนพันธ์ฯ เคยเรียนวิชาด้วยผู้หนึ่ง เมื่อท่านขุนพันธ์ฯกลับมาอยู่ในตำแหน่งสำคัญระดับภาค ท่านมีประกาศิตสั่งให้ผู้ร้ายทั้ง 10 คนนั้น เลิกประพฤติเยี่ยงโจร ให้กลับใจเลิกเป็นเสือเสีย โดยให้บวชเป็นพระภิกษุ ถ้าหากไม่ทำตามคำขอร้องนั้น ขุนพันธ์ฯ ก็จะยิงทิ้งทุกคน เล่ากันว่าประกาศิตของขุนพันธ์ฯทำให้เสือร้ายส่วนใหญ่ปฏิบัติตามแต่โดยดี มีเพียงเสือข่อยเพียงรายเดียวเท่านั้นที่ไม่ยอมทำตามคำของขุนพันธ์ฯ เสือข่อยไม่ยอมเลือกทางเดินที่ขุนพันธ์ฯเลือกให้ ซ้ำร้ายยิ่งท้าทายอำนาจของกฎหมายบ้านเมือง ด้วยความเชื่อว่า ตนนั้นเป็นศิษย์หลวงพ่อช่วย ผู้เรืองวิชาอาคมแก่กล้า เป็นลูกศิษย์อาจารย์เดียวกับขุนพันธ์ฯ จึงคิดว่าขุนพันธ์จะยกเว้นไว้สักคนหนึ่ง แต่ปรากฏว่า ขุนพันธ์ฯ ทำตามที่พูด ว่ากันว่าท่านยิงเสือข่อย แต่ยิงไม่เข้า จึงสั่งให้ลูกน้องฆ่าด้วยศูลแทงสวนทวารจนถึงแก่ความตาย คำเล่าลือเหล่าเสือร้ายในหมู่บ้านของชาวเมืองปักษ์ใต้ มีทั้งเรื่องจริงบ้าง หรือต่อเติมเสริมแต่งของผู้เล่าอ่านเองบ้าง มันคือตำนานอมตะของวีรบุรุษเล็กพริกขี้หนู ที่มีนามว่า "นายร้อยบุตร์ พันธรักษ์ราชเดช" หรือขุนพันธรักษ์ราชเดช ขุนพันธ์ฯ เป็นบุคคลที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ว่าตำแหน่งใด ยศใด ยกย่อง นับถือ และกล่าวถึง เนื่องจากท่านเป็นแบบอย่างที่ดีของตำรวจนั่นเอง
ขุนพันธ์ในฐานะนักการเมือง

ขุนพันธ์รักษ์ราชเดช เคยเป็น ส.ส. ของพรรคประชาธิปัตย์ จ.นครศรีธรรมราช ในการเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2512[1]

ขุนพันธ์ในฐานะนักวิชาการ
 
ขุนพันธ์กับบุตรชาย คุณณสรรค พันธรักษราชเดชนอกจากเกียรติคุณทั้งในและนอกตำแหน่งหน้าที่ราชการดังกล่าวมาแล้ว ขุนพันธ์ฯ ยังมีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่สำคัญซึ่งควรกล่าวถึงคือ เป็นนักวิชาการที่สำคัญคนหนึ่ง ท่านเป็นทั้งนักอ่านและนักเขียน ได้เขียนเรื่องราวต่างๆ ลงพิมพ์ในหนังสือและวารสารต่างๆ หลายเรื่อง ขุนพันธ์ฯ เป็นคนหนึ่งที่มีความสนใจในเรื่องไสยศาสตร์อยู่มาก เรื่องที่เขียนส่วนใหญ่จึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อทางไสยศาสตร์ นอกจากนั้นก็มีเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ทั้งประวัติบุคคลและสถานที่ ตำนานท้องถิ่น มวย และเรื่องเกี่ยวกับประสบการณ์ของตนเอง ข้อเขียนต่างๆของท่าน เช่น ความเชื่อทางไสยศาสตร์ในภาคใต้ สองเกลอ ช้างเผือกงาดำ หัวล้านนอกครู ศิษย์เจ้าคุณ มวยไทย เชื่อเครื่อง กรุงชิง เป็นต้น โดยเฉพาะเรื่องกรุงชิงนั้น ท่านเล่าว่าเป็นเรื่องที่ท่านเขียนทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลปัจจุบันตามพระบรมราชโองการ และต่อมามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานีได้ขออนุญาตนำไปตีพิมพ์เผยแพร่ใน "รูสมิแล" วารสารของมหาวิทยาลัยปีที่ 6 ฉบับที่ 3 เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม พ.ศ. 2526 งานเขียนของท่านส่วนมากจะลงพิมพ์ใน สารนครศรีธรรมราช หนังสืองานเดือนสิบวิชชา (วารสารทางวิชาการของวิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช) รูสมิแล (วารสารทางวิชาการของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์) และหนังสือที่ระลึกในโอกาสต่าง ๆ ของโรงเรียนและหน่วยงานต่าง ๆ ร่วมทั้งเป็นผู้ริเริ่มให้มีการบวงสรวงพระธาตุนครศรีธรรมราช อันเป็นที่มาของการสร้างจตุคามรามเทพรุ่นแรกในปี พ.ศ. 2530 ด้วย

ในด้านชีวิตครอบครัว ขุนพันธ์ฯ มีภรรยาคนแรกชื่อ เฉลา ตอนนั้นท่านมีอายุได้ประมาณ 30 ปี ขณะที่รับราชการอยู่ที่จังหวัดพัทลุง มีบุตรด้วยกัน 8 คน ต่อมาภรรยาเสียชีวิต ท่านจึงได้ภรรยาใหม่ชื่อ สมสมัย มีบุตรด้วยกัน 4 คน
งานพระราชทานเพลิงศพ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช

        กว่าจะมาเป็นพล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช ที่เราท่านรู้จักได้ต้องผ่านการทำความดีไว้มากมายใช่ว่าจะเลียนแบบกันง่ายๆครับ ต่อไปผมจะนำข้อมูลการจับผู้ร้ายมาให้ชมในตอนหน้านะครับ

ที่มาของข้อมูล : วิกิพีเดีย
นำรูปภาพจากองค์จตุคามดอทคอม www.ongjatukarm.com

17


ขุนพันธรักษ์ราชเดช
            พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช (18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2446-5 กรกฎาคม พ.ศ. 2549) อดีตนายตำรวจชื่อดังของวงการตำรวจไทย ซึ่งท่านมีชื่อเสียงเป็นอันมากในการปราบโจรร้ายในภูมิภาคต่างๆของไทย ในภาคกลางเช่น เสือฝ้าย เสือย่อง เสือผ่อน เสือครึ้ม เสือปลั่ง เสือใบ เสืออ้วน เสือดำ เสือไหว เสือมเหศวร ที่พัทลุง ปราบ เสือสังหรือเสือพุ่ม ที่นราธิวาส ปราบผู้ร้ายทางการเมือง ในปี พ.ศ. 2481 หัวหน้าโจรชื่อ ?อะเวสะดอตาเละ? จนท่านได้ฉายาว่าจากชาวไทยมุสลิมว่า ?รายอกะจิ? ซึ่งแปลว่า อัศวินพริกขี้หนู จากผลงานที่ท่านสามารถปราบโจร เสือร้ายต่างๆ ได้มากมาย จึงได้รับฉายา ดังต่อไปนี้
-นายพลตำรวจหนังเหนียวผู้จับเสือมือเปล่า
-นายพลตำรวจหนวดเขี้ยว
-ขุนพันธ์ฯ ดาบแดง (เชื่อกันว่าเป็นดาบที่ตกทอดมาจาก พระยาพิชัยดาบหัก ฝักดาบมีถุงผ้าสีแดงห่อหุ้ม ตัวดาบมีความคมกล้ายิ่งนัก )
-รายอกะจิ (อัศวินพริกขี้หนู) ฯลฯ
-จอมขมังเวทย์
ประวัติ
พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช หรือชื่อเดิมว่า บุตร พันธรักษ์ เกิดเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2446 ที่บ้านอ้ายเขียว หมู่ที่ 5 ตำบลดอนตะโก อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นบุตรของนายอ้วน นางทองจันทร์ พันธรักษ์ เริ่มเข้าเรียนในชั้นประถมปีที่ 1 ที่โรงเรียนวัดสวนป่าน อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช เนื่องจากท่านมีความรู้ในวิชาเลขและหนังสืออยู่แล้วก่อนที่จะเข้าโรงเรียน ดังนั้นเมื่อเข้าเรียนในชั้นประถมปีที่ 1 ได้ 1 วัน ทางโรงเรียนก็เลื่อนชั้นให้เรียนในชั้นประถมปีที่ 2 และวันรุ่งขึ้นก็เลื่อนชั้นให้เรียนชั้นประถมปีที่ 3 เป็นอันว่าท่านเข้าโรงเรียนได้เพียง 3 วัน ได้เลื่อนชั้นถึง 3 ครั้ง
เมื่อครั้งเรียนชั้นประถมปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสวนป่าน มีพระภิกษุอินทร์ รัตนวิจิตร เป็นผู้สอน เรียนอยู่ประมาณ 2 เดือน โรงเรียนนั้นก็ถูกยุบ ท่านจึงเข้าเรียนในชั้นเดิม ที่โรงเรียนวัดพระนคร ตำบลพระเสื้อเมือง (ปัจจุบันคือตำบลในเมือง) อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช มีครูเพิ่ม ณ นคร เป็นครูประจำชั้น เรียนจบชั้นประถมปีที่ 3 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของโรงเรียน ในปี พ.ศ. 2456 ได้เข้าเรียนต่อชั้นมัธยมปีที่ 1 ที่โรงเรียนวัดท่าโพธิ์ (โรงเรียนเบจมราชูทิศในปัจจุบัน)
พอเรียนชั้นมัธยมปีที่ 2 ได้ไม่กี่เดือนก็ต้องออกจากโรงเรียนเพราะป่วยเป็นโรคคุดทะราด ต้องพักรักษาตัวปีกว่า เมื่อหายจึงคิดจะกลับมาศึกษาต่อที่โรงเรียนเดิมแต่ปรากฏว่าเพื่อนๆ ที่เคยเรียนด้วยกันเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 และปีที่ 3 แล้ว จึงเปลี่ยนใจเดินทางเข้าไปศึกษาที่กรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. 2459 โดยไปอยู่กับพระปลัดพลับ บุณยเกียรติ ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้า ที่วัดส้มเกลี้ยง (วัดราชผาติการาม) ได้เรียนอยู่ที่โรงเรียนวัดเบญจมบพิตร (โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตรในปั้จจุบัน)ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ขณะเรียนที่โรงเรียนนี้ท่านได้เรียนวิชามวย ยูโด และยิมนาสติกจากครูหลายคน เช่น ครูย้อย ครูศิริ ครูนก ครูมณี จนมีความชำนาญในเชิงมวย ท่านสอบไล่ได้ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 8 ในปี พ.ศ. 2467
ต่อมาในปี พ.ศ. 2468 จึงได้เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจห้วยจระเข้ จังหวัดนครปฐม ขณะที่เรียนได้เป็นครูมวยไทยด้วย เรียนอยู่ 5 ปี สำเร็จหลักสูตรในปี พ.ศ. 2472
พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นคนสุดท้ายของประเทศไทยที่ได้รับพระราชทานทินนาม ซึ่งพลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช ได้ถึงแก่อนิจกรรมด้ายโรคชรา ในวันที่ 5 เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช 2549 เวลา 23.27 น. ที่บ้านเลขที่ 764/5 ซ.ราชเดช ถ.ราชดำเนิน ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช
การทำงาน
ในชุดเจ้าพิธีกรรมในวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.นครศรีธรรมราชหลังจากจบการศึกษาแล้ว ทางราชการได้แต่งตั้งให้ไปรับราชการในตำแหน่งนักเรียนทำการนายร้อย ที่กองบังคับการตำรวจภูธรมณฑลนครศรีธรรมราช ประจำจังหวัดสงขลา ในปี พ.ศ. 2473 เป็นนักเรียนทำการอยู่ 6 เดือน ได้เลื่อนยศเป็นว่าที่ร้อยตรี
ในปี พ.ศ. 2474 ได้ย้ายมาเป็นผู้บังคับหมวดที่กองเมืองจังหวัดพัทลุง ที่พัทลุงนี่เองท่านได้สร้างเกียรติประวัติในตำแหน่งหน้าที่ จนเป็นที่รู้จักและยอมรับในวงราชการและคนทั่วไป โดยการปราบปรามผู้ร้ายสำคัญของจังหวัดพัทลุง คือ เสือสัง หรือเสือพุ่ม ซึ่งเป็นเสือร้ายที่แหกคุกมาจากเมืองตรัง ขุนพันธรักษ์ราชเดช เล่าว่า เสือสังนี้มีร่างกายใหญ่โต ดุร้าย และมีอิทธิพลมาก มาอยู่ในความปกครองของกำนันตำบลป่าพยอม อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง นอกจากนั้นแล้วยังมีคนใหญ่คนโตหลายคนให้ความอุ้มชูเสือสัง จึงทำให้เป็นการยากที่จะปราบได้ แต่ท่านก็สามารถปรามเสือสังได้ในปีแรกที่ย้ายมารับราชการ โดยท่านไปปราบร่วมกับ พลตำรวจเผือก ด้วงชู มี นายขี้ครั่ง เหรียญขำ เป็นคนนำทาง การปราบปรามเสือสังครั้งนี้ทำให้ชื่อเสียงของท่านโด่งดังมาก ตอนนั้นจเรพระยาศรีสุรเสนา ไปตรวจราชการตำรวจที่พัทลุงพอดี ผู้ปราบเสือสังจึงได้รับความดีความชอบ คือ ว่าที่ร้อยตำรวจตรีบุตร พันธรักษ์ ได้รับแต่งตั้งเป็นร้อยตำรวจตรี พลตำรวจเผือก ชูด้วง เป็นสิบตรี และนายขี้ครั่ง ได้รับรางวัล 400 บาท
หลังจากนั้นมาอีก 1 ปี ท่านก็ได้ปราบผู้ร้ายสำคัญอื่นๆ 16 คน เช่น เสือเมือง เสือทอง เสือย้อย เป็นต้น ด้วยความดีความชอบ จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "ขุนพันธ์รักษ์ราชเดช" และในปี พ.ศ. 2478 ได้รับเลื่อนยศเป็นนายร้อยตำรวจโท และในปีนี้ได้อุปสมบทที่วัดมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมีท่านเจ้าคุณรัตนธัชมุนี (แบน) เป็นพระอุปัชฌาย์ บวชอยู่ได้ 1 พรรษา จึงลาสิกขา ในปี พ.ศ. 2479 ท่านได้ย้ายไปเป็นหัวหน้ากองตรวจ ประจำกองบังคับการตำรวจภูธรมณฑลนครศรีธรรมราช ประจำจังหวัดสงขลา ได้ปราบโจรผู้ร้ายหลายคน
การปราบโจรครั้งสำคัญและทำให้ท่านมีชื่อเสียงมากคือ การปราบผู้ร้ายทางการเมืองที่นราธิวาส ในปี พ.ศ. 2481 หัวหน้าโจรชื่อ "อะแวสะดอ ตาเละ" นัยว่าเป็นผู้ที่อยู่ยงคงกระพัน เที่ยวปล้นฆ่าเฉพาะคนไทยพุทธเท่านั้น ในที่สุดก็ถูกขุนพันธ์ฯ จับได้ ท่านได้รับการยกย่องจากทั้งชาวไทยพุทธและไทยมุสลิมเป็นอันมาก ท่านจึงได้รับฉายาจากชาวไทยมุสลิมว่า "รายอกะจิ" หรือแปลว่า "อัศวินพริกขี้หนู" และได้เลื่อนยศเป็นร้อยตำรวจเอกในปีนั้นเอง พ.ศ. 2482 ขุนพันธ์ฯ ได้ย้ายมาเป็นผู้บังคับกองเมืองพัทลุง ปี พ.ศ. 2485 ย้ายเป็นรองผู้กำกับการตำรวจภูธรที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ปราบปรามโจรหลายราย รายสำคัญ คือ เสือสาย และเสือเอิบ
ขุนพันธรักษ์ราชเดช ถือดาบและเหน็บกริช แสดงลายนายตำรวจมือปราบหนวดเฟิ้มหลังจากนั้นขุนพันธ์ฯ ได้ย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดในภาคอื่น คือ ในปี พ.ศ. 2486 ได้ย้ายไปเป็นผู้กำกับการตำรวจภูธรที่จังหวัดพิจิตร ได้ปฏิบัติหน้าที่มีความดีความชอบเรื่อยมา และได้ปราบปรามโจรผู้ร้ายมากมาย ที่สำคัญคือการปราบ เสือโน้ม หรืออาจารย์โน้ม จึงได้รับพระราชทานยศเป็นพันตำรวจตรี พ.ศ. 2489 ย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดชัยนาท ได้ปะทะและปราบปรามเสือร้ายหลายคน เช่น เสือฝ้าย เสือย่อง เสือผ่อน เสือครึ้ม เสือปลั่ง เสือใบ เสืออ้วน เสือดำ เสือไหว เสือมเหศวร เป็นต้น กรมตำรวจได้พิจารณาเห็นว่า ผู้ร้ายในเขตจังหวัดชัยนาทและสุพรรณบุรี ชุกชุมมากขึ้นทุกวันยากแก่การปราบปรามให้สิ้นซาก จึงได้ตั้งกองปราบพิเศษขึ้น โดยคัดเลือกเอาเฉพาะนายตำรวจที่มีฝีมือในการปราบปรามรวมได้ 1 กองพัน แต่งตั้งให้ พ.ต.ต. สวัสดิ์ กันเขตต์ เป็นผู้อำนวยการกองปราบ และ พ.ต.ต. ขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นรองผู้อำนวยการ กองปราบพิเศษได้ประชุมนายตำรวจที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2489 เพื่อวางแผนกำจัดเสือฝ้าย แต่แผนล้มเหลว ผู้ร้ายรู้ตัวเสียก่อน ขุนพันธ์ฯ ได้รับคำสั่งด่วนให้สกัดโจรผู้ร้ายที่จะแตกเข้ามาจังหวัดชัยนาท
ครั้งนั้นขุนพันธ์ฯ ใช้ดาบเป็นอาวุธคู่มือแทนที่จะใช้ปืนยาว ดาบนั้นถุงผ้าแดงสวมทั้งฝักและด้าม คนทั้งหลายจึงขนานนามท่านว่า "ขุนพันธ์ดาบแดง" ฝีมือขุนพันธ์ฯ เป็นที่ครั่นคร้ามของพวกมิจฉาชีพทั่วไป แม้แต่เสือฝ้ายเองก็เคยติดสินบนท่านถึง 2,000 บาท เพื่อไม่ให้ปราบปราม แต่ขุนพันธ์ฯ ไม่สนใจ คงปฏิบัติหน้าที่อย่างดีจนปราบปรามได้สำเร็จ ท่านอยู่ชัยนาท 3 ปี ปราบปรามเสือร้ายต่างๆ สงบลง แล้วได้ย้ายมาเป็นผู้กำกับการตำรวจภูธรที่อยุธยา อยู่ได้ประมาณ 4 เดือนเศษก็เกิดโจรผู้ร้ายชุกชมที่กำแพงเพชร ขณะนั้นเป็นระยะเปลี่ยนอธิบดีกรมตำรวจ และขุนพันธ์ฯ ก็ถูกใส่ร้ายจากเพื่อนร่วมอาชีพว่าเป็นโจรผู้ร้าย พล.ร.ต. หลวงสังวรยุทธกิจ อธิบดีกรมตำรวจยังเชื่อมั่นว่าขุนพันธ์ฯ เป็นคนดี จึงโทรเลขให้ไปพบด่วน และแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดกำแพงเพชร
เมื่อปี พ.ศ. 2490 ขุนพันธ์ฯ ได้ปรับปรุงการตำรวจภูธรของเมืองนี้ให้มีสมรรถภาพขึ้น และได้ปราบปรามโจรผู้ร้ายต่างๆ ที่สำคัญคือ เสือไกร กับ เสือวัน แห่งอำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร ทำให้ฝีมือการปราบปรามของขุนพันธ์ฯยิ่งลือกระฉ่อนไปไกล

โปรดติดตามตอนต่อไปครับ

ปล.จากที่ได้อ่านเกียรติประวัติขุนพันธรักษ์ราชเดชแล้วได้ข้อคิดดีหลายอย่าง แต่ เนื้อหามีความยาวมากๆขอแบ่งเป็นตอนๆนะครับ

[shake]ที่มาของข้อมูล:http://go.microsoft.com/fwlink/?LinkId=74005[/shake]

18
    งานบูชาครูเข็มทอง หลวงปู่พิมพ์มาลัย โดยพระอาจารย์มนตรี ฐิตโสภโณ (พระอาจารย์หนุ่ม) และอาจารย์ประครอง ณ. วัดบางแวก ปีนี้ ตรงกับ แรม 10 ค่ำเดือน 9 ปีฉลู หรือ วันที่ 16 สิงหาคม 2552



เป็นครั้งแรกของผมครับ เป็นบุญเหลือเกินที่ได้มาร่วมพิธี จะได้ฝังเข็มไหมนี่คนเยอะมากๆเลยครับ
เอาพี่สาวเราวันนี้มาก่อนเราอีกนะนี่ อ่ะๆพาไปหน่อยไปไม่ถูกขอสักรูปนะพี่นะเดี๋ยวว่าไม่ได้มาฮิฮิ เอ้าเซสวีส










กราบนมัสการพระอาจารย์ญา กราบนมัสการหลวงพี่ตูน และ กราบนมัสการพระเก่งด้วยนะครับ รับนำมนต์จากพระอาจารย์ญา สดชื่น เฮงๆนะครับ





อาจารย์ประคองเริ่มฝังเข็มแล้วครับ


งานนี้พี่สาวเราฝัง ตะกรุด  3 อย่าง ทั้ง สาลิกา ตัวผู้ตัวเมีย เสน่ห์มอญอีก ว้าวๆๆๆ แรงไปไหมพี่ จะเอาอยู่ไหม.........หุหุ ทำมาน้ำคาซึมเปลี่ยนใจก็ไม่ทันแล้ว เจ็บ 3 ที แป๊บๆ ดูที่ตาอ้อนคนที่ฝังน่าดูอ้อนยังไงก็เจ็บครับพี่ๆๆๆๆๆๆๆ [/size]
มีต่ออีนะครับ
1/2

19

ของชุดนี้ได้มาก็ไม่นานเลยไม่รู้ว่าใช่ของที่หลวงปู่อั๊บท่านสร้าง รึปลุกเสกไหม
เป็นภาพที่คลี่ตะกรุดออกมาเพื่อขอดูลายมือครับ เป็นตะกรุดขวาล่าง

20

ตั้งหน้าตั้งตาไปตั้งแต่ 05.00 น. ตามภาพฟ้าปิดมุมไหนๆก็ไม่เห็นดวงอาทิตย์ สุริยุราคาแท้ๆ
         ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ขอไปไหว้พระราหูที่วัดศรีษะทอง ซักหน่อยวันนี้วันดี ตามเคยโทรหา เจ๊โชวน้องหยก งานนี้เจ๊ไปได้น้องหยก บาย งานเยอะครั้งนี้ปล่อย 2 แก่ลุย เอเอางี้ชวนอาจารย์เหน่งไปดีกว่า ท่านว่างไหมโทรหาก่อน อ้าวว่างดีเลยเอ้าไปเลยพี่โชวลุย


วัดคนเยอะมากๆหาที่จอดรถอย่างยากเลย



วัดสวยนะครับมาครั้งแรกด้วย



ไหว้หลวงพ่อน้อย ทำสังฆทานก่อนไปกราบพระราหู



ต่อด้วยไหว้พระราหู

1/2
ยังมีต่อนะครับขัดข้องทางเทคนิคเล็กน้อย

21
   วันนี้ลุงพงษ์ท่านนำของ 2 สิ่งมาให้ดู แล้วบอกให้กลับไปคิด 1 คืนจะเอาอะไร งานนี้กระผมต้องขอพึ่งความรู้ของทุกท่านช่วยผมด้วยว่าผมจะเอาอะไรดีครับ
1.ผ้ายันต์

ยันต์นี่หากจำไม่ผิดน่าจะรุ่น 1
2.เสือแกะ ทำจากเรซิ่ง




มีรูปหลวงพ่อเปิ่น ด้านหลัง ครับ
     งานนี้ต้องขอทุกๆท่านช่วยผมทีรบกวนด้วยครับ

22
วันนี้คล้องกล้องไปไม่ไกลครับ ไปกราบขอพรที่เทวสถาน เสาชิงช้า ใกล้ๆ วัดสุทัศฯและศาลเจ้าพ่อเสือครับ

เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ เสาชิงช้า โบราณสถานที่ประดิษฐานเทวรูปพระพิฆเนศ พระพรหม พระอิศวร พระนารายณ์ อันเก่าแก่ ไปทีได้ไหว้ครบเลยครับ


ที่เทวสถานนี้ไม่อนุญาติให้เข้าไปถ่ายรูปด้านใน จึงได้แค่ขอนำบรรยากาศโดยรอบมาให้ชมครับ

ไปต่อที่ศาลเจ้าพ่อเสือ ที่สามารถไดนไปได้ไม่ไกลจากเทวสถานเท่าไรนัก

ที่ศาลก็ห้ามถ่ายรูปครับเลยเก็บมาได้เท่านี้
จบทริปแบบง่ายๆครับ สวัสดี

23
              ขอเชิญบรรดาศิษย์ของอาจารย์ถึง คงทน มาร่วมงานบูชาครูในวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๕๒ ตั้งแต่เวลา ๐๘.๐๐ น. เป็นต้นไป


:*: กราบขอบคุณ ท่านผู้ดูแลเว็ปวัดบางพระทุกๆท่านที่อนุญาติให้ใช้พื้นที่ครับ

24
เหมือนเด็กที่ไปดูของเล่นที่ห้าง ไปจ้องดู ตั้งแต่ไปสักครั้งแรก จนหลวงพี่ที่ตู้จำได้ไปวัดที่ไร กราบนมัสการสังขารหลวงพ่อเปิ่น แล้วไปกราบหลวงพ่อสำอางค์ ต่อจากนั้นทุกครั้ง ต้องเดินไปที่ตู้ แล้วพูดเหมือนเดิม 2 ประโยค ดังนี้
1.หลวงพี่ขอดูมีดอันนี้หน่อยครับ
2.ขอบคุณครับ (แล้วก็ส่งคืนด้วยน้ำตาคลอๆ) 23;

      มาวันอังคารคุยเอ็มกับน้องในเว็ปบางพระ น้องเค้าพึ่งไป ผมเลยถามถึง น้องเค้าว่าไม่เห็น ผมได้ยิน นอนไม่หลับเลย โทรหาพี่สาวให้ไปส่งโดยด่วน ไปก็ยังอยู่ดี แต่ครั้งนี้ ต้องบูชาเลยครับ เป็น มีด ด้ามและฟักทำจากกระดูกช้าง ยาวรวมด้ามฟัก 9 นิ้วครับ งานนี้สมใจเลย 9 เดือนแห่งการรอคอย 33;



            

25
ตั้งใจถ่ายออกมายังไงก็มืดมองไม่ชัด ก็ผมมันมือสมัครเล่นต้องขออภัยครับ เห็นว่าสวยดีเลยนำมาให้ชมครับ

หลวงปู่ทวดด้านหลังเป็นยันต์ 5 แถว




26
ผมอ่านเจอบทความนี้แล้วมีมุมมองถึงศาสนาพุทธในหลายมุมมองที่น่าสนใจลองอ่านกันดูนะครับ
         หาก จะตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับศาสนาพุทธ ก็คงจะไม่ถูกนัก เพราะแม้แต่นักปราชญ์ชาติต่างๆที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ในยุโรป และสหรัฐอเมริกา อาทิ เบอร์ทรันด์ รัสเซล,อัลเบิร์ต ไอนสไตน์,อาร์เธอร์ โชเพนเฮาว์ ฯลฯ รวมทั้งซุปเปอร์สตาร์ระดับโลก เช่น ริชาร์ด เกียร์, โรเแบร์โต บาจโจ ฯลฯ ก็ยังได้กล่าวคำสดุดีและยอมรับนับถือพระพุทธศาสนา เป็นหลักในการดำเนินชีวิต

         พุทธศาสนาเริ่มเป็นที่รู้จักกันในตะวัน ตกเมื่อประมาณ 150 ปีที่แล้ว โดยในระยะแรกนั้นเป็นเพียงการศึกษาทางวิชาการเท่านั้น แต่เมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมาจากความนิยมทางหลักวิชาการ ก็กลายมาเป็นที่นิยมในแง่ของ การปฏิบัติมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ชาวตะวันตกหันมาสนใจปฏิบัติธรรมในศาสนาพุทธมากขึ้นนั้น เป็นเพราะความน่าเลื่อมใสศรัทธาของพระหรือครูผู้สอน ที่ทำตนเป็นแบบอย่างที่ดี และมีความรู้ความสามารถในการทำให้ผู้ที่เข้ามาปฏิบัติได้เข้าใจหลักธรรมและ วิธีการปฏิบัติ จนประสบผลสำเร็จในสิ่งที่ต้องการ

         ประเด็นสำคัญที่ น่าคิดก็คือทำไมที่ผ่านมาชาวตะวันตกจำนวนมากจึงหันมาหาพุทธ ศาสนา คำตอบก็คือพวกเขาคิดว่า ศาสนาพุทธแตกต่างจากศาสนาอื่นมาก ในแง่ที่ว่าชาวพุทธเป็นผู้รักสงบและไม่ใช้ความรุนแรง

         ในประเทศ อังกฤษเองนั้น เป็นที่ทราบกันดีแล้ว จากข่าวของพระเขมธัมโม พระไทยชาวอังกฤษ ศิษย์ของหลวงพ่อชา ซึ่งได้เข้าไปสอนปฏิบัติธรรมให้แก่นักโทษในเรือนจำของอังกฤษกว่า 26 ปี จนเกิดผลดีช่วยลด ปัญหาของเรือนจำได้มาก กระทั่งได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ จากสมเด็จพระราชินีอลิซาเบ็ธที่ 2 แห่ง สหราชอาณาจักร ไม่เพียงแต่เท่านั้น ยังมีนักโทษจำนวนมากมายที่หันมานับถือพุทธศาสนา บางรายที่พ้นโทษ ออกมาก็ได้มาเป็นอาสาสมัครในการเผยแผ่พุทธธรรมด้วย พุทธศาสนิกชน ชาวอังกฤษเชื่อว่าศาสนาพุทธจะขยายตัวออกไปเรื่อยๆ และจะเป็นศาสนาที่สำคัญที่สุดในตะวันตก

หากไม่เชื่อ ลองอ่านคำสดุดีที่นักคิดนักเขียน นักปราชญ์ชาวตะวันตก กล่าวไว้ ดังนี้
อาร์เธอร์ โชเพนเฮาว์ (ค.ศ.1788-1860) นักปรัชญาชาวเยอรมัน กล่าวว่า ?ถ้าข้าพเจ้าจะถือเอาผลแห่งปรัชญาของข้าพเจ้าว่าเป็นมาตรฐานแห่งความ จริง ข้าพเจ้าก็ควรมีข้อผูกพันที่ต้องยอมรับพระพุทธศาสนาว่าเด่นเป็นพิเศษเหนือ ศาสนาที่เหลือ อย่างไรก็ตาม ก็จะต้องเป็นที่น่ายินดีสำหรับข้าพเจ้าที่ได้พบว่า คำสอนของข้าพเจ้าเข้ากันได้อย่างใกล้ชิดกับศาสนาซึ่งมนุษย์ส่วนมากนับถือ การเข้ากันได้นี้ ต้องเป็นที่น่าพอใจมาก เพราะในการคิดปรัชญานั้น ข้าพเจ้ามิได้ตกอยู่ใต้อิทธิพลของศาสนานั้น(พระพุทธศาสนา)อย่างแน่นอน?
แมกซมึลเลอร์ (ค.ศ.1823-1900) ศาสตราจารย์ทางนิรุกติศาสตร์ ชาวเยอรมัน ผู้นำในการศึกษาความรู้เกี่ยวกับตะวันออก กล่าวว่า ?ประมวลศีลธรรมของพระพุทธเจ้า สมบูรณ์มาก ที่สุดที่โลกเคยรู้จักมา?

เอช. จี. เวลส์ (ค.ศ.1866-1946) นักประพันธ์ นักหนังสือพิมพ์ และนักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ ผู้ริเริ่มการเขียนนวนิยายทางวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า ?พระพุทธศาสนาได้กระทำไว้มาก ยิ่งกว่าอิทธิพลอื่นใดที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ เพื่อความก้าวหน้าแห่งอารยธรรมของโลก และวัฒนธรรมที่แท้จริง?

เบอร์ทรันด์ รัสเซล (ค.ศ.1872-1970) นักปรัชญา นักเขียน นักคณิตศาสตร์ และนักต่อสู้คัดค้านอาวุธนิวเคลียร์ ชาวอังกฤษ ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ในปี 1950 กล่าวว่า?พระพุทธศาสนาเป็นการ รวมกันของปรัชญาแบบพินิจความจริง กับวิทยาศาสตร์ ศาสนานั้นสนับสนุน วิธีการทางวิทยาศาสตร์ และติดตามวิธีการนั้นจนถึงที่สุด ซึ่งอาจเรียกได้ว่า เป็นศาสนาแห่งเหตุผล ในพระพุทธศาสนาเราจะได้พบคำตอบที่น่าสนใจ เช่น จิตใจกับวัตถุคืออะไร? ระหว่างจิตใจกับวัตถุนั้นอย่างไหนสำคัญมากกว่ากัน? เอกภพเคลื่อนไปหาจุดหมาย ปลายทางหรือไม่? พระพุทธศาสนาพูด ถึงเรื่องที่วิทยาศาสตร์ยังหานำทางไปได้ไม่ เพราะความจำกัดแห่งเครื่องมือ ของวิทยาศาสตร์ ชัยชนะของพระพุทธ ศาสนาเป็นชัยชนะทางจิตใจ?

ศาสตราจารย์คาร์ล กุสตาฟ จุง (ค.ศ.1875-1961) นักจิตวิทยา ชาว สวิสส์ กล่าวว่า ?ในฐานะเป็นนักศึกษา ศาสนาเปรียบเทียบ ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่สมบูรณ์มากที่สุดที่โลกเคยพบเห็น มา ปรัชญาของพระพุทธเจ้า ทฤษฎีวิวัฒนาการและกฎแห่งกรรม (ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว) ยิ่งใหญ่เหนือลัทธิอื่นอย่างห่างไกล?

อัลแบร์ต ชไวเซอร์ (ค.ศ.1875-1965) แพทย์นักสอนศาสนาชาวฝรั่งเศส นักเทววิทยา และนักดนตรี ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ในปี 1952 (พ.ศ.2495)บอกว่า ?พระองค์ (พระพุทธเจ้า)ได้ทรงแสดงออกซึ่ง สัจธรรมอันมีคุณค่าเป็นนิรันดร และได้ ทำให้จริยธรรมมิใช่ของอินเดียเท่านั้น แต่ของมนุษยชาติก้าวหน้าไป พระพุทธ เจ้าเป็นผู้หนึ่งในบรรดาอัจฉริยมนุษย์ทางศีลธรรม ที่โลกเคยได้มา?
อัลเบิร์ต ไอนสไตน์ (ค.ศ.1879-1955)นักฟิสิกส์ ชาวเยอรมัน ผู้เสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพ กล่าวว่า ?ศาสนาในอนาคต จะต้องเป็นศาสนาสากล ศาสนานั้นควรอยู่เหนือพระเจ้าที่มีตัวตน และควรจะเว้นคำสอนแบบสิทธันต์ (คือเป็นแบบสำเร็จรูปที่ให้เชื่อตามเพียงอย่างเดียว) และแบบเทววิทยา (คืออ้างเทวดา เป็นหลักใหญ่) ศาสนานั้นเมื่อครอบคลุมทั้งธรรมชาติและจิตใจ จึงควรมีรากฐานอยู่บนความสำนึกทางศาสนาที่เกิดขึ้นจากประสบ- การณ์ต่อสิ่งทั้งปวง คือ ทั้งธรรมชาติและจิตใจ อย่างเป็นหน่วยรวมที่มี ความหมาย พระพุทธศาสนาตอบข้อกำหนดนี้ได้ ถ้าจะมีศาสนาใดที่รับมือได้กับความต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบัน ศาสนานั้นก็ควรเป็นพระ พุทธศาสนา?
อัลดัส ฮักซลี่ย์ (ค.ศ.1894-1963) นักเขียนนวนิยาย ชาวอังกฤษ กล่าวว่า ?ในบรรดาศาสนาที่ยิ่งใหญ่ของโลกทั้งหมด พระพุทธศาสนาเพียงศาสนาเดียว ที่ดำเนินไปโดยปราศจากการเบียดเบียนคนทั้ง การตรวจควบคุม และการซักถามสอบสวน (ซึ่งมีลูกขุนหรือเจ้าหน้าที่ดำเนินการ เพื่อจะเอาผิด หรือควบคุมผู้ไม่นับถือ) ในแง่เหล่านี้ทั้งหมด ประวัติของพระพุทธ ศาสนายิ่งใหญ่มากเหนือศาสนาอื่นซึ่งดำเนินไปในระหว่างประชาชน ผู้ติดอยู่ กับระบบทหาร?

เจ.โรเบิร์ต ออพเพนไฮเมอร์ (ค.ศ. 1904-1976) นักฟิสิกส์ ชาวอเมริกัน ผู้นำในการพัฒนาระเบิดปรมาณู กล่าวว่า ?ขอยกตัวอย่าง เช่นเราถามว่า ฐานะของอิเล็กตรอนเป็นอันเดียวกันใช่หรือ ไม่? เราจะต้องตอบว่าไม่ ถ้าเราถามว่า ฐานะของอิเล็กตรอนเปลี่ยนไปพร้อมกับกาลเวลาใช่หรือไม่? เราจะต้องตอบ ว่าไม่ ถ้าถามว่า อิเล็กตรอนหยุดพักใช่ หรือไม่? เราจะต้องตอบว่าไม่ ถ้าเราถามว่ามันเคลื่อนไหวใช่หรือไม่? เราจะต้องตอบว่าไม่ พระพุทธเจ้าก็ได้ประทานคำตอบเช่นเดียวกัน เมื่อทรงได้รับคำถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของตัวตนของมนุษย์ภายหลังความตาย แต่คำตอบเหล่านั้นมิใช่คำตอบที่คุ้นกับจารีตประเพณีของวิทยาศาสตร์ สมัยศตวรรษที่ 17และ 18?

สำหรับซุปเปอร์สตาร์ที่คนทั่วโลกชื่นชอบ และคลั่งไคล้กันนั้น การที่เขาสนใจและบางรายถึงกับเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ พร้อมอุทิศตนทำงานเพื่อช่วยจรรโลงพุทธศาสนานั้น ย่อมแสดงให้เห็นว่าหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์เป็นที่พึ่งที่ระลึกของพวก เขาได้อย่างแท้จริง

ทอม ครูซ (Tom Cruise) ชาวอเมริกัน พระเอกหนุ่มเนื้อหอม ผู้มี ชื่อเสียงโด่งดังจากภาพยนต์เรื่อง ?Misson Impossible? ได้กล่าวยกย่องพุทธศาสนา ในการแถลงข่าวงานเปิดรอบปฐมทัศน์ของหนังเรื่องใหม่ที่เขาแสดงนำคือ ?The Last Samurai? ณ โรงแรมริซท์ กลางใจกรุงปารีส ว่า หลังจากที่ตนได้ศึกษาบทนำจากหนังเรื่องดังกล่าว ซึ่งจะต้อง ทำความเข้าใจในปรัชญาตะวันออก ทั้งพุทธศาสนาและศิลปะบูชิโดของญี่ปุ่น ทำให้ตนได้เรียนรู้หลักการดำเนินชีวิต ที่เรียบง่าย และยืดหยุ่น ซึ่งสามารถนำ มาปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้อย่างน่าเหลือเชื่อ นอกจากนี้เขายังได้กล่าวยกย่องศาสนาพุทธว่าเป็นศาสนาที่เป็นรากฐานของวิทยา ศาสตร์ทั้งหมด ซึ่งสอนให้คนรู้จักตนเองและมอบความรักเผื่อแผ่ให้ผู้อื่นได้ และถือว่าการได้สัมผัสกับพุทธศาสนาเป็นประสบการณ์ทีี่่มีค่ายิ่งในชีวิตของ เขา

ริชาร์ด เกียร์ (Richard Gere) ดาราชื่อก้องชาวอเมริกัน ได้ชื่อว่าเป็นดาราหนุ่มที่ประสบความสำเร็จที่สุดคนหนึ่งในปี 1980-1990 ภาพยนต์ที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขามากก็คือ Pretty Woman(1990) และเมื่อปี 2546 ที่ผ่านมา เขาก็คว้ารางวัลลูกโลกทองคำ ครั้งที่ 60 ในฐานะดารานำชายยอดเยี่ยมจากภาพยนต์เรื่องชิคาโก

ริชาร์ด เกียร์ หันมาสนใจศึกษาพุทธศาสนาอย่างจริงจัง จนพบว่าศาสนาพุทธให้คำตอบกับชีวิตของเขาได้ ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ และใช้เวลานอกจอช่วยเหลืองานขององค์ทะไลลามะ ในการเผยแผ่ศาสนา และเมื่อครั้งที่มีการประกาศรางวัลออสการ์ปี 1993 ท่ามกลางสายตาของผู้ชมนับล้านๆ คู่ ริชาร์ด เกียร์ ก็ใช้เวทีนี้เรียกร้องความรักและสัจธรรมให้กับมวลมนุษย์ และในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ถล่มตึกเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 45 นั้น ริชาร์ด เกียร์ ให้สัมภาษณ์ว่า เขากำลังศึกษาและปฏิบัติธรรมอยู่ที่รัฐแมสซาชูเซตส์

เกียร์เคยพูด ว่า เราต้องคิดว่าบรรดาผู้ก่อการร้ายนั้นได้ก่อความเลวร้ายให้กับชีวิตภายหน้า ของพวกเขาไว้แล้ว เรียกว่าสร้างกรรมชั่ว และเราจะต้องมองให้กว้างไกลว่าเราทุกคนต่างเกี่ยวโยงกับการกระทำครั้งนี้ เช่นกัน เขาย้ำว่า เราต้องให้ความรักและเมตตากับทุกคน ไม่เว้นแม้พวกที่ก่อการร้าย ถ้าเราทั้งหลายสามารถที่จะมองพวกผู้ก่อการร้าย ด้วยความคิดว่าเขาเหล่านั้นคือผู้ป่วยที่ต้องได้รับการบำบัดรักษา ยาที่จะรักษาพวกเขาได้ก็คือ ความรักและเมตตานั้นเอง ไม่มีอะไรจะดีกว่านั้นอีกแล้ว

สตีเว่น ซีกัล (Steven Seagal) พระเอกนักบู๊ชื่อดังของฮอลลีวู้ด ชาวอเมริกัน โด่งดังขึ้นมาในฮอลลีวู้ดในฐานะพระเอกหนังแอ๊คชั่น หนังเรื่องล่าสุดของเขา คือ Exit Wounds ซีกัลได้ศึกษาและปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนในพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด จนกระทั่งมีลามะในทิเบตบางรูปพูดถึงเขาว่า เขาเป็นอดีตลามะองค์สำคัญที่กลับชาติมาเกิดทีเดียว

โรเแบร์โต บาจโจ (Roberto Baggio) นักฟุตบอลชื่อดังชาวอิตาลี หันมาสนใจพุทธศาสนา หลังผ่าตัดเข่าข้างขวา และต้องหยุดเล่นนานถึง 2 ปี ช่วงนี้เขาต้องฝึกกายภาพ ด้วยความหวังที่เลือนลาง และไม่มีความสุข หงุดหงิด อารมณ์เสียบ่อยครั้ง เมาริซิโอ โบลดรินี เจ้าของร้านขายแผ่นซีดี ซึ่งโรเบอโต้เป็นลูกค้าประจำที่ร้าน จึงได้แนะนำให้เขาสวดมนต์ บาจโจรู้สึกดีขึ้นมาก และหันมาสนใจศึกษาพุทธศาสนา จนนำไปสู่การปฏิบัติอย่างจริงจัง กระทั่งอาการบาดเจ็บที่เข่าของ เขาค่อยทุเลาลง และสามารถกลับมาเล่นฟุตบอลได้อีกครั้ง

บาจโจ บอกไว้เมื่อ พ.ศ.2539 ว่า แม้จะปฏิบัติธรรมได้เพียง 8 ปีเท่านั้น แต่บุญกุศลที่ได้รับนั้นมากมายเกินกว่าจะกล่าวได้หมด อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาก็คือได้เปลี่ยนแปลงทัศนคติของตนเอง เพราะก่อนหน้าที่จะหันมาปฏิบัติธรรมนั้น เขาเป็นคนที่จะต้องคิดในรูปแบบที่ตัวเองวางกรอบ หรือกำหนดไว้แล้ว หรือไม่ก็ตัดสินสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นโดยใช้ความคิดของตนเองเป็นหลัก และคิดว่าการกระทำเช่นนี้ของตนถูกต้องเสมอ แต่หลังการปฏิบัติธรรมแล้วมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างมากมายในชีวิตจิต วิญญาณของตัวเอง ซึ่งต้องใช้สติปัญญาในการตัดสินใจ แม้จะเป็นเรื่องที่ยากเพราะบางครั้งจิตใจก็ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางกาย

บาจโจบอกว่าสำหรับชาวอิตาเลียน แล้ว พุทธศาสนานั้นอยู่ห่างไกลและไม่เกี่ยวข้องอะไรกับปัญหาต่างๆ ในชีวิตประจำวัน และชาวอิตาเลียนจะมีความเชื่อในความคิดเห็นของตนเองมากและไม่ต้องการศึกษา เรียนรู้ หรือเข้าใจปรัชญาอื่นๆ ที่แตกต่างไปจากที่ พวกเขาเคยรับรู้มา แต่จะตัดสินสิ่งต่างๆ ตามความคิดเห็นของตนเอง สำหรับเขาแล้วการตัดสินใจหันมานับถือพุทธศาสนา ไม่รู้สึกว่าขาดความ เชื่อมั่น และไม่แคร์ว่าใครจะพูดว่าอย่างไร เพราะเป้าหมายของตนคือต้องการจะเป็นบุคคลที่มีความสุขที่สุด
....

ไม่ เพียงแต่คนดังเหล่านี้ที่หันมาสนใจและประพฤติปฏิบัติตามหลักพุทธธรรมเท่า นั้น ยังมีชาวตะวันตกอีกมากมายที่มุ่งหน้าค้นหาสัจธรรมของชีวิต เดินทางเข้าสู่ดินแดนแห่งพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นทิเบต ภูฐาน ศรีลังกา พม่า หรือประเทศไทย เพื่อการศึกษาหลักธรรมคำสอนและปฏิบัติกันอย่างจริงจัง คอร์สอบรมวิปัสสนาที่วัดหรือหน่วยงานบางแห่งในบ้านเราจัดขึ้นสำหรับชาวต่าง ชาตินั้นได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม
คัดลอกมาก-http://www.dmc.tv/forum/lofiversion/index.php/t15679.html

27
7.วัดอมรินทรารามวรวิหาร
     วัดอมรินทรารามวรวิหาร หรือ วัดบางหว้าน้อย ตั้งอยู่เลขที่ 566 แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร เป็นพระอารามหลวงชั้นตรีชนิดราชวรวิหาร ต่อมาได้ถูกจัดเป็น ชั้นตรีชนิดวรวิหาร ตามประกาศลงวันที่ 30 กันยายน 2548
ในสมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช โปรดฯ ให้บูรณะปฏิสังขรณ์ แล้วสถาปนาให้เป็นพระอารามหลวง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 1 กรมพระราชวังหลังได้โปรดสถาปนาวัดนี้ขึ้นใหม่ได้เป็นผู้สถาปนาขึ้นใหม่หมดทั้งพระอาราม คือ สร้างพระอุโบสถ พระระเบียง วิหาร กำแพงแก้ว ศาลาราย หอระฆัง หอไตร หอสวดมนต์ ศาลาการเปรียญ กุฏิ เสนาสนะ และ ถนนในพระอาราม รัชกาลที่ 1 ได้พระราชทานนามใหม่ว่า "วัดอมรินทราราม" คู่กับวัดบางหว้าใหญ่ ที่เปลี่ยนชื่อเป็นวัดระฆังโฆสิตาราม




แก้บนด้วยไข่ต้มสอบถามส่วนใหญ่จะขอเรื่องลูก น้องสาวที่ห่างกัน17ปีกับผมก็ขอที่นี่ครับ แม่เค้าว่ามานะ

8.วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร
                     เป็นวัดโบราณ สร้างในสมัยอยุธยา เดิมชื่อ วัดบางว้าใหญ่ (หรือบางหว้าใหญ่) ในสมัยธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงสร้างพระราชวังใกล้วัดบางว้าใหญ่ โปรดเกล้าฯ ให้ยกเป็นพระอารามหลวงและเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช ในสมัยรัตนโกสินทร์ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช วัดบางว้าใหญ่อยู่ในพระอุปถัมภ์ของเจ้านายวังหลัง คือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี (สา) พระเชษฐภคินีของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและเป็นพระชนนีของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ทรงมีตำหนักที่ประทับอยู่ติดกับวัด ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดร่วมกับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และได้ขุดพบระฆังลูกหนึ่ง ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้นำไปไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยทรงสร้างระฆังชดเชยให้วัดบางว้าใหญ่ 5 ลูก จากนั้นได้พระราชทานนามวัดใหม่ว่า ?วัดระฆังโฆสิตาราม? นอกจากเป็นเพราะขุดพบระฆังที่วัดนี้และเพื่อฟื้นฟูแบบแผนครั้งกรุงศรีอยุธยาที่มีวัดชื่อวัดระฆังเช่นกัน ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อ ?วัดระฆังโฆสิตาราม? เป็น ?วัดราชคัณฑิยาราม? (คัณฑิ แปลว่าระฆัง) แต่ไม่มีคนนิยมเรียกชื่อนี้ ยังคงเรียกว่าวัดระฆังต่อมา
วัดระฆังโฆสิตารามมีหอพระไตรปิฎกซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงามมาก เคยเป็นพระตำหนักและหอประทับนั่งของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชขณะทรงรับราชการในสมัยธนบุรี และโปรดเกล้าฯ ให้รื้อมาถวายวัด เมื่อเสด็จขึ้นครองราชสมบัติแล้ว มีพระราชประสงค์จะบูรณปฏิสังขรณ์ให้สวยงามเพื่อเป็นหอพระไตรปิฎก







9.วัดอรุณราชวราราม            
         เป็นวัดโบราณ สร้างในสมัยอยุธยา ว่ากันว่าเดิมเรียกว่า วัดมะกอก และกลายเป็นวัดมะกอกนอกในเวลาต่อมา เพราะได้มีการสร้างวัดขึ้นอีกวัดหนึ่งในตำบลเดียวกัน แต่อยู่ในคลองบางกอกใหญ่ ชาวบ้านเรียกวัดที่สร้างใหม่ว่า วัดมะกอกใน (วัดนวลนรดิศ) แล้วจึงเรียกวัดมะกอกซึ่งอยู่ปากคลองบางกอกใหญ่ว่า วัดมะกอกนอก ส่วนเหตุที่มีการเปลี่ยนชื่อเป็นวัดแจ้งนั้น เชื่อกันว่า เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงตั้งราชธานีที่กรุงธนบุรีใน พ.ศ. 2310 ได้เสด็จมาถึงหน้าวัดนี้ตอนรุ่งแจ้ง จึงพระราชทานชื่อใหม่ว่าวัดแจ้ง แต่ความเชื่อนี้ไม่ถูกต้อง เพราะเพลงยาวหม่อมภิมเสน วรรณกรรมสมัยอยุธยาที่บรรยายการเดินทางจากอยุธยาไปยังเพชรบุรี ได้ระบุชื่อวัดนี้ไว้ว่าชื่อวัดแจ้งตั้งแต่เวลานั้นแล้ว เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังที่ประทับนั้น ทรงเอาป้อมวิชัยประสิทธิ์ข้างฝั่งตะวันตกเป็นที่ตั้งตัวพระราชวัง แล้วขยายเขตพระราชฐานจนวัดแจ้งเป็นวัดภายในพระราชวัง เช่นเดียวกับวัดพระศรีสรรเพชญ์สมัยอยุธยา และเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตที่อัญเชิญมาจากเวียงจันทน์ใน พ.ศ. 2322 ก่อนที่จะย้ายมาประดิษฐานที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามใน พ.ศ. 2327
ในสมัยรัตนโกสินทร์ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ได้เสด็จมาประทับที่พระราชวังเดิม และได้ทรงปฏิสังขรณ์วัดแจ้งใหม่ทั้งวัด แต่ยังไม่ทันสำเร็จก็สิ้นรัชกาลที่ 1 สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระองค์ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดแจ้งต่อมา และพระราชทานนามใหม่ว่า ?วัดอรุณราชธาราม? ต่อมามีพระราชดำริที่จะเสริมสร้างพระปรางค์หน้าวัดให้สูงขึ้น แต่สิ้นรัชกาลเสียก่อน จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้เสริมพระปรางค์ขึ้นและให้ยืมมงกุฎที่หล่อสำหรับพระพุทธรูปทรงเครื่องที่จะเป็นพระประธานวัดนางนองมาติดต่อบนยอดนภศูล ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดอรุณราชธารามหลายรายการ และให้อัญเชิญพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมาบรรจุไว้ที่พระพุทธอาสน์ของพระประธานในพระอุโบสถด้วย เมื่อการปฏิสังขรณ์เสร็จสิ้นลง พระราชทานนามวัดใหม่ว่า ?วัดอรุณราชวราราม?





       อ้าว!!!!! เครื่องเป็นอะไรก็ไม่รู้ครับ มีจรเข้มาตรง จะดึงรูปเฉยเลย เอาไว้คอมผมดีแล้วจะมาโพสเพิ่มนะครับ

28
4.วัดใหม่อมตรส
แม้ว่าตามธรรมเนียมของวัดโบราณ หลายวัดนั้นมักจะสร้างให้อยู่ติดริมน้ำเพื่อที่จะให้พระสงฆ์องค์เจ้ารวมทั้งผู้มีจิตศรัทธา ได้สัญจรไปมาได้โดยสะดวกในยุคที่บ้านเมืองเรายังไม่มีถนนนั้น จะมีวัดหลวงอยู่บางวัดเหมือนกันที่ไม่ได้สร้างติดกับริมน้ำ ส่วนหนึ่ง น่าจะมาจากเหตุที่ว่าวัดบางวัดเหล่านี้ สร้างขึ้นจากแรงศรัทธาของชาวบ้าน ก่อนที่จะได้รับการบูรณะ โดยพระมหากษัตริย์หรือเจ้าฟ้าองค์อื่นๆ จนกลายมาเป็นวัดหลวงตามธรรมเนียมนี้อย่างเช่นที่ วัดเอี่ยมวรนุช , วัดอินทรวิหาร หรือแม้แต่ วัดใหม่อมตรส ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กัน ตรงบริเวณแยกบางขุนพรหมนั้น ก็เป็นอีกวัดที่สร้างกันมานาน ตั้งแต่ก่อนที่ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจะสถาปนา บางกอกให้เป็นเมืองหลวง วัดใหม่อมตรสนี้ แต่เดิมเป็นวัดใหญ่มีชื่อว่า วัดบางขุนพรหม ซึ่งมีชื่อตามตำบลที่ตั้ง ต่อมา ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระราชดำริ ให้มีการสร้างถนนขึ้น แล้วผังเมืองในการสร้างถนนในคราวนั้นปรากฏออกมาว่า ต้องผ่าวัดออกเป็น 2 พื้นที่ โดยมีถนนตัดผ่านกลาง วัดบางขุนพรหมนี้ จึงได้กลายเป็น 2 วัดพร้อมทั้งมีชื่อใหม่ที่ ในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงพระราชทานนามให้ โดยวัดที่ตัดออกมาทางทิศเหนือนั่นเรียกว่า วัดอินทรวิหาร ส่วนวัดทางทิศใต้มีชื่อใหม่ว่า วัดใหม่อมตรส ซึ่งแปลว่า รสที่ไม่เปลี่ยนแปลง โดยทรงตั้งให้เป็นไปตามพุทธภาษิตที่ว่า สัพพะ รสัง ธัมม รสัง ชินาติ รสทั้งปวง ธัมมรสชนะรสทั้งปวง


5.วัดชนะสงครามวัดชนะสงคราม เป็นวัดโบราณสร้างในสมัยอยุธยา ไม่ปรากฏหลักฐานการสร้าง เดิมเรียกว่าวัดกลางนา เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี มีพระราชประสงค์ที่จะสร้างสิ่งก่อสร้างขึ้นให้คล้ายคลึงกับกรุงศรีอยุธยามากที่สุด วัดที่ตั้งอยู่ใกล้พระบรมมหาราชวังได้ทรงปฏิสังขรณ์ใหม่ ตลอดจนเปลี่ยนชื่อวัดให้เหมาะสม โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อวัดกลางนาเป็นวัดตองปุ และให้เป็นวัดพระสงฆ์ฝ่ายรามัญ เช่นเดียวกับวัดตองปุที่กรุงศรีอยุธยา เพื่อเทิดเกียรติทหารชาวรามัญในกองทัพสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการต่อสู้กับพม่าในสงครามเก้าทัพ เมื่อ พ.ศ. 2328 สงครามที่ท่าดินแดงและสามสบ เมื่อ พ.ศ. 2329 และสงครามที่นครลำปางป่าซาง เมื่อ พ.ศ. 2330 สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดตองปุแล้วถวายเป็นพระอารามหลวงโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามใหม่ว่า วัดชนะสงคราม เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ทรงมีชัยชนะต่อพม่าในการรบทั้ง 3 ครั้ง
วัดชนะสงครามได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์มาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งได้ทรงเริ่มดำเนินการก่อสร้างที่บรรจุพระอัฐิเจ้านายฝ่ายพระราชวังบวรสถานมงคลที่เฉลียงพระอุโบสถด้านหลังตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระพันปีหลวงทรงพระราชอุทิศพระราชทรัพย์ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากฤษดาภินิหาร กรมพระนเรศร์วรฤทธิ์ดำเนินการ แต่การก่อสร้างมาแล้วเสร็จในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งพระราชทานพระราชทรัพย์ให้ราชบัณฑิตยสภาดำเนินการก่อสร้าง ขณะนั้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นนายกราชบัณฑิตยสภาและสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงดำเนินการก่อสร้างจนเสร็จสิ้น ได้มีพิธีอัญเชิญพระอัฐิจากพระราชวังบวรสถานมงคลไปประดิษฐานใน พ.ศ. 2470




6.วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร
         วัดสุทัศนเทพวราราม เป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาขึ้นใน พ.ศ. 2350 เดิมพระราชทานนามว่า ?วัดมหาสุทธาวาส? โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระวิหารขึ้นก่อนเพื่อประดิษฐานพระศรีศากยมุนี (พระโต) ซึ่งอัญเชิญมาจากพระวิหารหลวงวัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย แต่สิ้นรัชกาลก่อนที่จะประดิษฐานเป็นสังฆาราม จึงเรียกกันว่า วัดพระโต วัดพระใหญ่ หรือวัดเสาชิงช้าบ้าง จนกระทั่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดเกล้าฯ ให้สร้างต่อ และทรงจำหลักบานประตูพระวิหารด้วยพระองค์เอง แต่ก็สิ้นรัชกาลเสียก่อนที่การก่อสร้างจะแล้วเสร็จ การก่อสร้างวัด มาเสร็จบริบูรณ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ใน พ.ศ. 2390 และพระราชทานนามว่า ?วัดสุทัศนเทพวราราม? ปรากฏในจดหมายเหตุว่า ?วัดสุทัศนเทพธาราม? และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงผูกนามพระประธานในพระวิหาร พระอุโบสถ และศาลาการเปรียญ ให้คล้องกันว่า "พระศรีศากยมุนี" "พระพุทธตรีโลกเชษฐ์" และ "พระพุทธเสรฏฐมุนี"
ภายในวัดสุทัศนเทพวรารามเป็นที่ประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร และได้อัญเชิญ พระบรมราชสรีรางคารของพระองค์ มาบรรจุที่ผ้าทิพย์ด้านหน้าพุทธบัลลังก์พระศรีศากยมุนีเมื่อ พ.ศ. 2493 และมีพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทรในวันที่ 9 มิถุนายนของทุกปี







ปาท่องโก๋นอนเอาแรง มีต่ออีก3วัดนะครับ
             2/3

29
      ตอนแรกวางแผนจะไปไหว้ที่อยุธยา โดยขับรถไปเส้นเอเชีย แต่แม่ว่าขากลับหากดึกกลัวแก๊งปาหิน เลยเปลี่ยนแผนเอาแถวบ้าน งั้นก็ตามใจแม่เลยครับไปไหนไปกัน แม่ออกเงินค่าน้ำมัน [shake]ไปเลย งานนี้มีน้องปาท่องโก๋ขอไปด้วย[/shake]
1.วัดสามัคคีสุธาวาส
วัดในซอยบ้านผมครับ
2.วัดมังกรกมลาวาส (เล่งเน่ยยี่)
วัดตั้งอยู่ไม่ไกลกับตลาดบางบัวทองครับมีป้ายบอกตลอดทางครับ ไปถึงที่จอดรถสะดวกสบายดีครับ คนเยอะพอให้รู้ว่าวันหยุด



ลอยเทียนรูปดอกบัวที่อ่างน้ำฐานเจ้าแม่กวนอิมครับ



ท้าวจตุโลกบาล (ท้าวธตรฐ /ท้าววิรุฬหก /ท้าววิรูปักษ์ /ท้าวกุเวรหรือท้าวเวชสุวรรณ) แหมของจีนก็มีความเชื่อตรงกันกับไทย ต่างที่รูปร่างกับอาวุธ






กำลังจะกลับมีป้ายบอก ปีจอชงกับปีวัว น้องปาท่องโก๋เลยร้อนใจขอนิดนึงนะเพื่อความสบายใจ
3.วันอินทรวิหาร
เป็นวัดโบราณสร้างขึ้นสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ปี พ.ศ. 2295 เดิมชื่อ "วัดไร่พริก" อยู่ในบริเวณสวนผักของชาวจีน อุโบสถก่ออิฐสร้างแบบเตาเผาปูน ไม่ปรากฏนามผู้สร้างวัด

ต่อมาสมัยกรุงธนบุรี ปี พ.ศ. 2321 พระเจ้าสิริบุญสาร ผู้ครองนครศรีสัตนาคนหุต ได้ยกทัพรุกรานมาถึงบ้านดอนมดแดง (จังหวัดอุบลราชธานี-ปัจจุบัน) ได้จับพระลอ ผู้สวามิภักดิ์ในพระบรมโพธิสมภารของพระเจ้ากรุงธนบุรี แล้วทำการประหารเสีย เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงทราบก็ขัดเคืองพระทัย จึงโปรดฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเป็นแม่ทัพ พร้อมด้วยพระยาสุรสีห์ กรีฑาทัพขึ้นไปปราบปราม และสามารถตีเมืองเวียงจันทน์แตก ส่วนพระเจ้าสิริบุญสารได้ลี้ภัยไปอาศัยในแดนญวน ภายหลังเสร็จศึกสงคราม สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ได้นำตัวเจ้าอินทวงศ์ โอรสในพระเจ้าสิริบุญสาร ลงมากรุงธนบุรีด้วย และโปรดเกล้า ฯให้เจ้าอินทวงศ์และคณะพำนักตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนอยู่ ณ บริเวณ ตำบลไร่พริก (แขวงบางขุนพรหม-ปัจจุบัน) เจ้าอินทวงศ์มีศักดิ์เป็นน้าชายของเจ้าน้อยเขียว เจ้าเมืองเวียงจันทน์ ธิดาคนหนึ่งของเจ้าอินทวงศ์ นามว่า เจ้าทองสุก กับ เจ้าน้อยเขียว ได้เป็นพระสนมในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เจ้าอินทวงศ์เป็นผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก เมื่อได้มาอยู่ใกล้วัดอินทรวิหาร จึงได้เข้าดำเนินการบูรณะปฏิสังขรณ์เปลี่ยนรูปทรงเสียใหม่ ก่อด้วยอิฐถือปูน ดังแบบที่ปรากฏมาถึงปัจจุบัน ได้สร้างศาลาการเปรียญ ขุดคลองเหนือ-ใต้วัด และด้านหลัง เมื่ออารามมั่นคงดีแล้ว จึงได้อาราธนาท่านเจ้าคุณอรัญญิก(ด้วง) ผู้เรืองในวิปัสสนาธุระและใจดี มาช่วยเป็นธุระในกิจการของคณะสงฆ์ และถือเป็นเจ้าอาวาสรูปแรกที่มีหลักฐานปรากฏยืนยัน ในแผ่นดินรัชกาลที่ 5 พระองค์เจ้าอินทร์ ในกรมพระราชวังบวรมหาศักดิ์พลเสพย์ ได้บูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ ซึ่งปรากฏมากระทั่งปัจจุบัน
ชื่อวัดอินทรวิหาร
- ตั้งชื่อตามที่สถานที่สร้าง คือ วัดไร่พริก สร้างขึ้นในสวนผักของชาวจีน
- ชื่อวัดอินทาราม เปลี่ยนตามนามผู้ปฏิสังขรณ์วัด คือ เจ้าอินทวงศ์ กษัตริย์ของลาว
- ชื่อวัดอินทร์หลวงพ่อโต เพราะท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พฺรหฺมรํสี)ได้ มาสร้างพระยืนใหญ่ คือ หลวงพ่อโต
- ชื่อวัดอินทร์บางขุนพรหม เพราะอยู่ในแขวงบางขุนพรหม (ขุนพรหมเป็นชื่อของหมู่บ้าน ที่ "ขุนพรหม" อยู่)
- ชื่อวัดอินทรวิหาร พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้คณะสงฆ์เปลี่ยนนามวัดที่มีชื่อพ้องกัน ซึ่งวัดอินทารามไปพ้องกับวัดอินทาราม(วัดใต้) ที่บางยี่เรือ ตลาดพลู สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ ( ม.ร.ว. ชื่น) แห่งวัดบวรนิเวศวิหารเป็นผู้เปลี่ยนนาม เป็น "วัดอินทรวิหาร" ในปี พ.ศ.2470 และคงใช้ชื่อนี้ตราบถึงปัจจุบัน


บ่อน้ำมนต์ที่ว่ากันว่าเป็นบ่อที่สมเด็จฯโต ท่านใช้ปลุกเสกในพิธีต่างๆ


มีการเสี่ยงท้ายยกพระครับผมไม่กล้วกลัวยกไม่ขึ้น วันนี้มาไหว้พระ ของดเสี่ยงทายทุกชนิด



ยังมีอีก 6 วัดนะครับ(วัดใหม่อมตรส วัดชนะสงคราม วัดสุทัศ วัดหลวงพ่อโบสถ์น้อย วัดระฆัง วัดแจ้ง)
1/3

30
เมตตาจากหลวงพี่ต้อยและผู้การเสือให้  ..................
ที่หลวงพี่ต้อยพกติดตัวเชิญชมครับ

เขี้ยวเสือทำเป็นที่เก็บยานัด


มาชมของผู้การเสือบ้างครับ
ถ่ายรวมก่อนเลยครับ

เป็นรูปที่หลวงพ่อเปิ่นใช้ทำพาสปอร์วีซ่าและบัตรต่างๆ มีจีวรและเกศา ของหลวงพ่อเปิ่นด้วย
หลวงพ่อพิมพ์ มาลัย ด้านหลังมีเข็มทอง อัจฐิและตะกรุด

พระนางพญา ที่ผู้การว่าบูชามา ราคาสูงที่สุดที่อยู่ในคอของท่านครับ

หลวงพ่อเปิ่น รุ่นพิเศษ 19 ด้านหลังมีเกศาหลวงพ่อ ท่านผู้การเสือบูชาจากซุ้มหน้าวัดตอนปี 49

เหรียญหลวงปู่ศุข เหรียญนี้ท่านผู้การว่าเจอข้างถนน ไปเดินแถวไหนครับอยากไป
ปล.หลวงพี่ต้อยและผู้การเสือให้.....................(ที่เว้นไว้คือ คำว่าถ่ายรูปครับ 666)

31
ชลาพุชะ กราบขออภัยศิษย์พี่ ศิษย์น้องวัดบางพระ
 
กระผม ชลาพุชะ กราบขออภัยศิษย์พี่ ศิษย์น้องวัดบางพระ ทุกท่าน ที่ได้รับข้อความของผม แบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ซึ่งอาจทำให้พี่น้องหลายท่านสับสน และไม่สบายใจ

สุดท้ายนี้  หากไม่ได้กล่าวคงไม่สบายใจ และไม่ใช่ตัวตนแท้จริงของชลาพุชะ กระผม? ชลาพุชะ ถือโอกาสนี้กราบขออภัยหลวงพี่ญา ท่านต่าย หลวงพี่นรินทร์ (ท่านเว็บ) พี่โชว และศิษย์พี่ ศิษย์น้องทุกท่าน ที่กระผมออกมาปัดป้อง ปกป้องครูบาอาจารย์ในวิถีที่ไม่เหมาะไม่ควร... และขอได้โปรดอภัยให้กระผมชลาพุชะ (สักดา) ด้วยครับ


ขอแสดงความนับถือ


ชลาพุชะ


(กรุณาเมตตาล๊อคกระทู้เหมือนกับของท่านต่าย เพื่อจุดประสงค์เดียวกันครับท่านโองการยันนะรังสี)


หมายเหตุ:แก้ไขเนื้อหา เนื่องจากเนื้อหามีการกล่าวพาดพิงถึงบุคคลที่สองที่สาม... ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด

               และอาจเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมาอีก


               หลวงพี่เว็บ...

32
มาดูพระคู่บ้านคู่เมืองบ้านเกิดผมนะครัน เชิญครับ

พระธาตุช่อแฮ เป็นปูชนียสถานอันศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดแพร่ ตั้งอยู่ในวัดพระธาตุช่อแฮ พระอารามหลวง ต.ป่าแดง อ.เมือง จ.แพร่ ห่างจากจังหวัดแพร่ไปทางทิศตะวันออกประมาณ 8 กิโลเมตร

องค์พระธาตุช่อแฮเป็นที่รู้จักและเคารพนับถือแก่ประชาชนทั่วไปมาเป็นเวลาช้านาน องค์พระธาตุมีลักษณะเป็นรูปแปดเหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง ศิลปะแบบเชียงแสน บุด้วยทองดอกบวบสูง 33 เมตร ฐานมีเหลี่ยมกว้างด้านละ 11 เมตร

พระครูวิมลกิตติสุนทร เจ้าอาวาสวัดพระธาตุแฮ พระอารามหลวง กล่าวถึงความเป็นมาของพระธาตุช่อแฮ ว่า พระธาตุช่อแฮสร้างขึ้นระหว่างจุลศักราช 586-588 (พ.ศ.1879-1881) ในสมัยที่พระมหาธรรมราชาลิไทย ยังทรงเป็นพระมหาอุปราช พระราชบิดาทางโปรดให้ไปครองเมืองศรีสัชนาลัย สวรรคโลก

พระองค์มีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนา ทรงสั่งสอนศีลธรรมแก่ประชาชน และทรงวางแบบแผนแก่คณะสงฆ์ ตามลังกาทวีป จัดให้มีพระสงฆ์ 2 ฝ่าย คือ คามวาสี ศึกษาวินัยเพื่อสั่งสอนคน อรัญวาสี ศึกษาวิปัสสนา มุ่งความสงบแห่งจิตใจ

นอกจากนี้ ยังทรงทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา โดยโปรดให้สร้างสถานที่ที่ปรากฏในพุทธประวัติไว้ตามสถานที่ต่างๆ เพื่อให้คณะสงฆ์ตลอดชาวเมืองทั้งหลาย ศึกษาวิปัสสนา

พระองค์ได้โปรดพระราชทานพระบรมธาตุแก่ "ขุนลัวะอ้ายก๊อม" ให้นำไปบรรจุฐานเจดีย์ที่จะสร้างให้คนทั้งหลายได้กราบไหว้บูชา ในการนี้ขุนลัวะอ้ายก๊อม ได้กล่าวชักชวนหัวเมืองต่างๆ ให้มาร่วมสร้างพระเจดีย์ โดยช่วยกันสำรวจสถานที่จัดสร้าง

เมื่อขุนลัวะอ้ายก๊อมมาถึงบริเวณโกสิยธชัคบรรพต เห็นเป็นทำเลที่เหมาะสมจึงกำหนดให้สร้างเจดีย์ขึ้น

ขุนลัวะอ้ายก๊อมได้สร้างสิงห์ทองคำขึ้น 1 ตัว เอาผอบที่บรรจุพระบรมธาตุไว้ในท้องสิงห์ทองคำตัวนั้นแล้วหล่อเงินและทองคำเป็นแผ่นแล้วมาก่อเป็นแท่นสำหรับตั้งสิงห์ทองคำ นำสิงห์ทองคำนั้นบรรจุในองค์พระเจดีย์เรียบร้อยให้โปกปูนปิดช่องทับเจดีย์ เอาแผ่นทอเหลือง (ทองจังโก) บุรอบองค์พระเจดีย์ตั้งแต่ฐานถึงคอระฆังสูง 2 วา

เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขุนลัวะอ้ายก๊อมและมิตรสหายจัดงานสักการะบำเพ็ญกุศลฉลองอย่างมโหฬารเป็นเวลา 7 วัน 7 คืน โดยรอบองค์พระเจดีย์ประดับประดาด้วยผ้าแพรสีต่างๆ พระเจดีย์องค์นี้ จึงได้ชื่อว่า "พระธาตุช่อแฮ" คำว่า แฮ คงเป็นคำที่เรียกมาจาก แพร

ที่วัดพระธาตุช่อแฮนี้มีพระพุทธรูปองค์หนึ่ง เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่กับวัดพระธาตุช่อแฮมาช้านานแล้ว ชื่อว่า "พระเจ้าทันใจ" ตั้งประดิษฐานอยู่ในซุ้มเจดีย์ด้านทิศใต้ขององค์พระธาตุช่อแฮ

พระเจ้าทันใจ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างในสมัยใด ใครเป็นผู้สร้างแต่สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างมาพร้อมการสร้างพระธาตุช่อแฮ

พระเจ้าทันใจ เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิขนาดหน้าตัก 2 ศอก สูง 4 ศอก องค์พระเจ้าทันใจจะมีทองคำเปลวเหลืองอร่ามจากชาวบ้านปิดบูชา เอาไว้ตลอด

จากตำนานที่เล่าสืบกันมาว่า พระเจ้าทันใจ หรือ พระเจ้าตันใจ๋ มีความศักดิ์สิทธิ์หากใครได้ไปกราบไหว้และอธิษฐานให้ดลบันดาลให้พบกับความสำเร็จในชีวิตก็จะได้สมตามความประสงค์

เช่น ในปี พ.ศ.2533 ประเทศไทยมี นางสาวไทย ชื่อ ภัสราภรณ์ ชัยมงคล ซึ่งเป็นนางสาวแพร่มาก่อน โดย น.ส.ภัสราภรณ์ได้มากราบอธิษฐานขอให้การประกวดนางสาวไทย ประสบความสำเร็จได้ตำแหน่ง และเธอก็ได้เป็นนางสาวไทยสมความปรารถนา

ทุกวันนี้ที่วัดพระธาตุช่อแฮ จะมีชาวบ้านและนักท่องเที่ยวแวะไปกราบนมัสการองค์พระธาตุช่อแฮ และพระเจ้าทันใจ

รวมทั้งบรรดาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่เดินทางมารับตำแหน่งใหม่ประจำจังหวัดแพร่ ล้วนแล้วแต่ต้องมากราบขอพรจากพระเจ้าทันใจ เพื่อความเป็นสิริมงคลในอาชีพรับราชการ

ทั้งนี้ ที่วัดพระธาตุช่อแฮยังได้จัดสร้างวัตถุมงคลจตุคามรามเทพ รุ่น เศรษฐีทันใจ ด้านหน้าเป็นรูปพระเจ้าทันใจ ด้านหลังเป็นองค์ท้าวจตุคามรามเทพ และยังมีเหรียญของ พระเจ้าทันใจ อีกหลายรุ่น

รุ่นล่าสุด คือ พระเจ้าทันใจ รุ่นมหาโชค มหาลาภ ซึ่งด้านหลังจะเป็นรูปขององค์พระธาตุช่อแฮ โดยเกจิอาจารย์ชื่อดังนั่งปรกอธิษฐานจิตภาวนา สำหรับให้ชาวบ้านที่มีศรัทธาได้ไว้บูชาอีกด้วย วัตถุมงคลของพระเจ้าทันใจ นับว่าเป็นสิริมงคลยิ่ง

นักท่องเที่ยวที่มีโอกาสเดินทางไปเมืองแพร่ แวะไปนมัสการพระธาตุช่อแฮและกราบขอพรพระเจ้าทันใจจะได้สิ่งที่ท่านปรารถนาทันใจ

คาถาบูชาพระเจ้าทันใจ "นะโม นะมะ สะขัง โกธะมัง ใจจะคุ" กล่าว 3 จบ จะเป็นสิริมงคลนักแล
ได้ข้อมูลมาจาก-http://www.navy22.com/smf/index.php/topic,14758.msg12838.html

33
        วันที่29-30 ที่ผ่านมากระผมไปวัดบางพระเพื่อเข้าร่วมงานร่วมงานทำบุญวันคล้ายวันมรณะภาพ พระอุดมประชานาถ ( หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ )ครบรอบ ปีที่ ๗ และถือโอกาสนี้กราบครูบาอาจารย์ ทุกรูป ทุกท่าน เพื่อเป็นศิริมงคล
29/06/52  09.00-22.00น

เข้าวัดเข้าไปกราบสังขารหลวงพ่อเปิ่น ไปกราบหลวงพ่อสำอ่งค์ แล้วตรงไปกุฏิหลวงพี่ญา


เข้าไปกราบหลวงพี่ญาหลวงพี่นัน และก็พบท่านผู้การเสือ ท่านพาว่าที่คุณหมอ จากชิคคาโก้ มาสัก หมอยังสักเลย หมอนอกเสียด้วย

หลังท่านเสือขาวครับ มาช่วยงานโดยเฉพาะ ชอบหอมเชียงมากๆครับ

พระในคอท่านเสือขาว ที่หลวงพ่อเปิ่นท่านเมตตาจารให้ สวยมากๆครับ

พอผมเห็นพระท่านผู้การเสือ ชอบเลยครับ เลยขอถ่ายและขอสอบถามประวัติพระแต่ละองค์ท่านก็เมตตาให้ข้อมูลอย่างละเอียด ซึ่งจะลงข้อมูลในกระทู้ต่อไป[/size]30/06/52  04.30-16.00น

ได้ถ่ายภาพดีๆครับที่กุฏิหลวงพี่ต้อย

พอเริ่มสายนิดๆเริ่มห็นพี่น้องชาวเว็ปมากันได้ข่าวมีลูกชิ้น งานนี้รอกินครับ





ใครเป็นใครดูเองครับท่านมากันเยอะครับ

ชอบลูกสาวท่านคนรักษ์พระครับ น่าเกลียดน่าชังมากๆขอบอก ไม่งอแงเลย

ระดับบิ๊กของเว็ปเรา

คิดได้ไงเอาหมีมาถวายหลวงพี่ ไม่กล้านะ




หลวงพี่ญาให้ของแจก มีของ สิบทัศน์ และของผู้การด้วย โดยผู้การเสือเป็นผู้แจก


มาชมที่กูฏิใหญ่บางนะครับ

ปล.มีรูปอีกเยอครับ แต่เน็ทที่ร้านที่ทำงานแพงมากๆ ชัว่โมง 60 คิดได้ไง


34
    วันนี้ไปวัดสว่างอารมณ์ เพื่อ เข้าไปกราบนมัสการหลวงพ่อแป๊ะเจ้าอาวาสและเข้าพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร ไปแต่เช้า พอมองป้ายประกาศบ่ายโมงโน้นงานนี้รอหลายชั่วโมงเลย งั้นเดินดูรอบวัดและขอเก็บภาพมาให้ชมครับ เชิญชมครับ

เข้ามาก็เจอด่านแรกทำบัตรก่อนเลยครับ เล่นมาซะเช้ายังไม่แจกพานครู รอก่อนเลย รับบัตรไปก่อน 666

พอลงทะเบียนแล้วก็ไปกราบนมัสการหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านเมตตาให้ยันต์กับมะรุมทอง-เงิน ต่อเงินต่อทอง



โล่งเลยครับ มีเศียรเยอะมา ดูเองนะครับ บรรยายกลัวผิด 666

มีนอนโลงด้วย ผมกลัวเหมือนในหนัง ผมขอผ่านครับ


ทีมจู่โจมเตรียมทำงาน

ผมชอบพ่อแก่ปางนี้มากๆโหดดีชอบครับ

มาแต่เช้าเลยยังเงียบ ดีครับถ่ายรูปเต็มที่เลย
ภาพนี้สงสารเด็กๆจัง โดนใช้แรงงาน ผมล่ะยืนดูจนขนเสร็จ [shake]อ้าว!งงทำไมไม่ไปช่วยน้องเค้า
ทั้งคอกเลย น่า กิน ไม่ใช่ น่าสงสาร

จะได้ลอดโบสถ์ครั้งแรกในชีวิต

นี่ใต้โบสถ์นะนี่ เหมือนเขาวงกต


ทางออกครับ โชคดีไม่อุปสรรคในชีวิตแล้วเรา

หอระฆัง สูง และ สวยดีครับ

เริ่มมากันแล้ว คนอย่างเยอะ




กราบตามจุดตามขั้นตอน ครับ
 
ตอนนี้ต้องเข้าสู่พิธีและคงจะไม่สะดวกถ่ายรูปนะครับ ขอบคุณครับ



35
   วันนี้ไปขอให้อาจารย์ ถึง คงทน เมตตามาครับ โชคดีมากๆที่ได้สักกับท่าน ได้คุยและได้รับความรู้จากท่านมากมาย วันนี้ท่านสักผมคนเดียวเลย ไม่มีใครมาก็ดีไปอย่างนะครับ แต่ อาจารย์ว่าน่าจะมีคนมาช่วยขึงจะได้เร็วและสวย สำนักเงียบสงบมากๆ นี่ล่ะครับพระลักษณ์หน้าทองที่ผมไปสักมาครับ นี่ขนาดอาบน้ำแล้วทองคำเปลวยังติดอยู่เลยครับ
ปล.ขอบคุณท่าน เปรี้ยวปี้ด มากๆนะครับ ที่ให้แผนที่และที่อยู่อย่างละเอียดครับ

36
   วันนี้คิดถึงอาจารย์ต้อย วัดกำพร้าสมุทรสาครมากๆ ตื่นนอนแต่เช้ารีบไปหาท่านเลย ไปถึงบ้านท่าน 06.30 น.ไม่น่าเชื่อมีลูกศิษย์ชาวมอญมารอสักก่อนเราอีก ขยันมาจัง พอ 09.00 น.อาจารย์ก็เริ่มสัก พอท่านเมตตาสักให้กระผมเสร็จแล้ว กระผมจะขอตัวกลับ กราบลากะเดินทางกลับโดยรถตู้ นั่งรถสองแถวได้ยินคนคุยกันเรื่องรถไฟฟรี ไปลงวงเวียนใหญ่เลยอยากลองดูไม่ได้นั่งรถไฟมานานแล้ว น่าจะ10 ปีได้พอไปถึงสถานีรถไฟ มีป้ายบอกที่จุดขายตั๋ว รถออก 13.15 น. ดูเวลา
          อีกเป็นชั่วโมงว่าแล้วก็ไปไหว้ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองดีกว่า ไม่ได้ไหว้ศาลมานานแล้วได้แต่ผ่านไปมา


    ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาคร ต.มหาชัย เป็นแผ่นไม้รูปแกะสลัก ขนาดสูงประมาณ 1 เมตร เรียกว่าเทพเจ้าจอมเมือง เป็นเทวดาหัตถ์ขวายกประทานพร หัตถ์ซ้ายถือพระขรรค์ มีกุมารน้อย 2 คน เป็นบริวารอยู่ด้านข้าง มีตำนานเล่าสืบต่อกันมาว่า แผ่นไม้สลักนี้ลอยน้ำผ่านคลองมหาชัย ชาวบ้านได้อัญเชิญขึ้นสักการะสร้างเป็นศาลเล็กๆ ไว้ที่ป้อมวิเชียรโชฎกเรียกศาลเทพเจ้าจอมเมืองตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น      ต่อมาสร้างอาคารทรงไทยใน พ.ศ. 2460 แต่อาคารนี้ถูกรื้อหลังการก่อสร้างศาลหลัก เมืองใน พ.ศ. 2525 เชิญเจ้าพ่อหลักเมืองไปประดิษฐานบนด้านเหนือศาลหลักเมือง แต่มีการประทับทรงเจ้าพ่อวิชียรโชติ จึงสร้างอาคารใหม่เป็นศิลปกรรมจีนสวยงามมาก เป็นที่นับถือกราบไหว้ของชาวไทย ชาวจีน โดยเฉพาะชาวประมงมักขอพรบนบานขอให้ทำกิจการปลอดภัยและร่ำรวย จะมีการแก้บนด้วยฝิ่นเสมอ โดยนำมาป้ายที่บริเวณปากส่วนศาลหลักเมืองอยู่ถัดออกไป เป็นหลักเมืองที่สร้างขึ้นใหม่ ส่วนการบนบานขพรนั้นโดยส่วนใหญ่จะเป็นชาวประมงเพราะชาวสมุทรสาครส่วนใหญ่จะปรักอบอาชีพประมงดังนั้นชาวประมงจะมาขอพรก่อนจะนำเรือออก นอกจากนี้ยังมีคนมาไหว้ขอพรในเรื่องการค้าขาย ถือได้ว่าเจ้าพ่อหลักเมืองเป็นศูนย์รวมน้ำใจของชาวสมุทรสาครโดยแท้


สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานภาคกลางเขต 2 โทรศัพท์หมายเลข 0 3247 1005 ? 6 หรือที่ E-mail : tatphet@tat.or.th[/color]
  แล้วก็มาเดินชมตลาดต่อ ที่นี่ของทะเลขึ้นชื่อว่าสด-ใหม่-ราคาถูก ขอนำภาพตลาดมาให้ชมนะครับ

ปลาทูตัวเท่าศอกเลยครับใหญ่มาก
ปูเฉพาะก้ามก็สดๆ

มองนาฬิกาใกล้เวลารถไฟออกแล้วไปดีกว่า
รับตั๋วฟรีขึ้นรถไฟ รถสะอาดมากครับว่างด้วยเลือกที่นั่งตามสบายเลย
เดินทางกลับแบบไม่เสียเงินค่าโดยสารจาก สมุทรสาคร-กทม ครั้งแรกเลยนะนี่ดีจัง

นำข้อมูลศาลหลักเมืองมาจาก-สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานภาคกลางเขต 2 โทรศัพท์หมายเลข 0 3247 1005 ? 6 หรือที่ E-mail : tatphet@tat.or.th

37
      กระผมไปวัดหลายครั้งที่โดยสารรถโดยสาร ดอนตูม-นครปฐม ตามปกติ รถคนสุดท้ายจะผ่านหน้าวัดบางพระ 18.00-19.00น. ซึ่งผมจะนั่งไปลงแยกท่านาเพื่อต่อรถ มีหลายครั้ง รถหมดก่อนเวลา หรือไม่วิ่งต่อ 3 วันก่อน ผมมารอรถ 17.30-19.30น.  นั่งไป รถดอนตูมก็วิ่งผ่าน 4 คัน ทุกคันไม่วิ่งต่อ แม่ค้าขายของว่าประจำเลยหากดูแล้วไม่คุ้มบางทีก็ไม่วิ่ง งงครับ แต่เข้าใจ

ที่มาสร้างกระทู้นี่ไม่ใช่จะว่าใครผิดแต่ประการใด เพียงแค่อยากให้หลายๆท่านเผื่อเวลานิดนึง


38
           ผมก็ไปวัดนกหลายครั้งได้เข้าไปในจุดที่ให้บูชาวัตถุมงคล ซึ่งมาจากหลายๆวัดดัง ในนั้นก็มีวัตถุมงคลจากวัดบางพระ และมีหลายอย่างที่ผมชอบ แต่ยังขาดองค์ประกอบในทางเศรษฐกิจส่วนตัวของผม แต่มีท้าวเวชสุวรรณที่ผมอยากได้ไปบูชาที่บ้านมาก ตั้งใจหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ลังเลในการตั้งบูชา เดินไปเดินมา เห็นรูป หลวงพี่ญา ร่วมเป็น พระคณาจารย์นั่งปรกบริกรรมปลุกเสกด้วย ก็มีพระอาจารย์รูปอื่นๆหลายท่านแต่ผมศรัทธาในตัวหลวงพี่ญาและรู้จักท่านเพียงรูปเดียวซึ่งท่านเมตตาสักให้กระผมหลายต่อหลายครั้ง เลยตัดสินใจบูชาเลย โทรหาแม่ ขอนำท้าวเวชสุวรรณขนาด 19 นิ้ว เข้าบ้านโทรสั่งเมียเตรียมห้องเตรียมโต๊ะหมู่ เอาแยกเดี่ยวเลย วางหูไป 5 นาที ขณะนั้นกำลังคิดว่า จะบูชา เนื้อโลหะรมดำ รึ เนื้อโลหะปิดทองเพ้นท์สีดี เสียงโทรจากพ่อก็ดังขึ้น ท่านขอว่าไม่บูชาได้ไหม ซึ่งฟังเหตุผลแล้ว ไม่สามารถ บอกต่อได้อายครับ ผมเศร้าและขอต่อรองเป็น รูปหล่อองค์เล็กๆได้ไหม กว่าจะได้เกือบเสียน้ำตา ในที่สุดก็ได้บูชาเข้าจนได้ ดีใจมากๆครับ ขอลงรูปสักนิดนะครับถ่ายทอดความภูมิใจ







ปล.ไว้ผมแยกครอบครัวก่อนจะนำขนาดบูชาเข้าบ้านให้ได้ครับ ถึงตอนนั้นจะหาที่ไหนนี่

39
        วันนี้กระผมไปวัดบางพระเพื่อทำการขอเมตตาจากพระอาจารย์ช่วยสักให้แต่พอไปถึงก็ได้สักกับหลวงพี่ญา 1รอยสัก แล้วพระอาจารย์ทุกท่านก็ไปฉันท์เพล ผมเลยว่างครับ มาเดินชมวัดบางพระ เพราะที่ผ่านมามุ่งเน้นไปสักอย่างเดียวเลยไม่ค่อยไปไหน พอออกมาเดินตกใจมาก ที่กระผมมองข้าม ของดีของวัดในหลายสิ่ง ในมุมมองของผมซึ่งบางท่านอาจชินตาแต่ผมเพิ่งสังเกตุครับเชิญชมครับ
       
       
ไม่เคยเข้าไปกราบเลยครับ ครั้งนี้ครั้งแรกครับ


ภาพพ่อแก่ปางต่างๆที่ช่างกำลังบรรจง ปั้น ทาสี โดยมีหลวงพี่นัน คอยดูแลอย่างใกล้ชิดครับ




      มีชาวต่างชาติ เป็น นักมวยไทย รุ่นยักษ์ หนักไม่น่า ต่ำกว่า 150 กิโลกรัม ไปชนะที่สมุยมาและเคยมาสักกับพระอาจารย์ที่วัดบางพระแต่จำไม่ได้ว่าสักกับท่านไหน เพราะสักมา 5ปีแล้ว แท๊กซี่เลยพามาขอให้หลวงพี่ญาท่านเมตตา หลวงพี่ก็ให้หนุมานเลย สวยสุดๆ ผมก็อยากได้ แต่ มันตัวใหญ่ไป ไม่มีที่ลงแล้ววววว หลวงพี่ยังเอ่ยขำๆว่า มันแปลว่าคางหักนะ ผมอดขำไม่ได้ 666 ก่อนมา วัดบางพระ แท๊กซี่ พาไป ชลบุรี นั้นก็ บางพระ ไม่รู้ว่าจงใจ ต้มฝรั่ง รึ ไม่รู้ จริงๆ แหม วัดเราออกจะดัง
ปล.วันนี้ ได้เจอท่านซัมซุง คนเดิม แหมตอนโดนสักหน้าได้อารมณ์มากๆ

40
      ครั้งแรกที่ผมห้อยพระ คือที่ได้จากท่านเอ็ม หลวงพ่อเปิ่นปี 35 หลังตราแผ่นดิน ก็คล้องเดียวมาหลายเดือน แล้วก็พกลูกอมเสือที่หลวงพี่ญาท่านเมตตาให้มาตลอด มา 2-3 วันก่อนได้วัวธนูของหลวงพ่อพุฒมา ก็ เลยพกแบบหนีบ มาวันนี้ได้ เหรียญจอบเงิน รุ่น 1 ของพ่อทองก็เลย ต้องคล้องแบบตามรูป นั้นคือ แขวนหลวงพ่อเปิ่น องค์เดียวด้วยสร้อยติดคอ แล้ว แขวนพ่อทองโดยมีเสือ กับ วัว อยู่ด้วย แบบนี้ไม่รู้เหมาะสมไหมครับ

ปล.กล้องเมียเอาไป ยังไม่มาคืนเลยต้องใช้เว็ปแคมถ่าย มัวๆแต่คงดูออกนะครับ

41
         หลังจากได้รับเมตตาจากหลวงพี่ญา และ หลวงพี่นัน สักให้แล้ว มีความตั้งใจอยากไปกราบสังขารหลวงพ่อพุฒ วัดกลางบางพระ เลย นั่งวินจากบางพระไปเลย ไปถึงก็เข้าไปกราบสังขารหลวงพ่อพุฒ แล้ว บูชาวัวธนู ซึ่งถามพระหน้าตู้ว่าทันหลวงพ่อพุฒไหม หลวงพี่ ท่านว่าทัน ผมก็เดินถ่ายรูปมาฝากพี่น้องชาวเว็บบางพระครับ ก็มือสมัครเล่นนะครับ การถ่ายอาจไม่มีศิลปะ แต่ ก็มุ่งเน้นถึงการบรรยายเป็นภาพครับ

                
                           1.สังขารหลวงพ่อพุฒในโรงแก้วครับ



                                                    ชอบหอนี้มากๆดูลำโพงสิครับ




                           พลวงพ่อทับทิม ผมได้ถ่ายรูปป้ายบรรยายประวัติหลวงพ่อท่านไว้ด้วย


                 หลวงพ่อองค์นี้ใหญ่มากๆ ไม่ทราบว่าชื่อหลวงพ่ออะไร ท่านใดทราบบ้างครับ
ปล.มีข้อสงสัยครับ ที่ผม บูชา มานี้ ทันหลวงพ่อพุฒไหม บางท่านก็ว่า ทัน บางท่านก็ว่าไม่ทัน แล้ว ที่ทัน นะ อันไหน ครับ กลุ้มมากๆ

  


42
       เคยมีหลายท่านเคยสร้างกระทู้ว่าสักกับอาจารย์ คนเดียวดียังไง หลายคนดียังไง ผม จึงขอนำ รอยสักของลูกศิษย์ของอาจารย์ประโยชน์บางท่าน ที่สักกับ อาจารย์ประโยชน์ ท่านเดียว มาให้ชม
     คนนี้ลุงกุ๋ย ปกติไม่ยอมให้ถ่ายวันนี้ใจดียอมโดยไม่ขอ เลยกดซะ นี่ล่ะครับ สีหมึกเป็นสีเดียวกัน หากสังเกตุดีๆการจัดวางจะมองเป็นหน้าเสือครับ มองดีนะครับ
    ส่วนคนนี้ผมไม่รู้จักชื่อแต่ชอบ ที่มีพ่อแก่อยู่กลางหลังเลย ชอบครับ
ไม่รู้จะบรรยายยังไงเชิญชมต่อลยครับ




43
วันนี้ไปแถวสนามหลวงตั้งใจไปวัดพระแก้ว เลยถ่ายรูปมาฝากนะครับเชิญชม
                              
                
อากาศไม่ร้อนมากแต่แดดแรงเอาเรื่องเลยครับ
                



มีแต่งสภานที่สวยงามทั้งนั้น ไม่มีคำบรรยายนะครับ

หนุมานภาพนี้ผมก็สักติดตัวครับ


ภาพรามเกียรติ์ครบทุกตอนเลย นี่ถ่ายมาบางส่วนนะครับ
1/3
เป็นมงคลกับตัวกระผมและที่ได้ถ่ายภาพ พระแก้วมรกต

44
        ไปบ้านพ่อทองวันก่อน เจอ พี่สักแปดทิศใหญ่มากๆครับ ขนาดเส้นฝ่าศูนย์กลาง 28 ซม. ก็ลองกางไม่บรรทัดดูนะครับ เจ้าของรอยสัก หนัก 100 โลขึ้นแน่ๆ เชิญชมครับ

45
         เนื่องจากในวันอังคาร ที่ 30 มิถุนายน2552 ทางวัดบางพระจัดงานทำบุญวันคล้ายวันมรณะภาพ ครบรอบปีที่ 7 พระอุดมประชานาถ ( หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ ) กระผมก็ไปและต้นน้ำ-เอ็มไร่ขิงไปด้วย ในรถจึงว่างอีก 2 ที่นั่ง ตามนโยบายไปทางเดียวกัน ใครจะไปด้วยก็ขอเชิญแจ้งมานะครับ มี ข้อแม้ว่าต้องมารอที่ หน้า KFC สาขาพาต้าปิ่นเกล้า เวลา 07.30 น. ของวันที่ 30 มิถุนายน 2552 นะครับ ขอบอกว่าต้องไปจริงๆแล้วมาให้ตรงเวลาด้วยนะครับ และ หากจะกลับเองก็ได้ ผมจะเดินทางกลับ 14.30 น.ครับ
ปล.ไม่เสียค่าใช้จ่ายครับ

46
วันนี้กระผมเกิดอยากไปวัดบางพระและวัดท้องไทร มากๆ
03.00น.โทรหาท่าน กายทิพย์(น้องหยก)ตั้งแต่  ปลุกน้องเค้าแต่ตัว น้องก็เชื่อ 666 (เริ่มบ้าแล้วผม)โทรหาท่านโชวกับลิงน้อยแต่ท่านทั้ง2 ไม่รับ (ใครจะรับไม่ดูเวลาเลย) ก็เลยตระเวนทำหน้าที่ต่อไป
06.00น.ลิงน้องโทรมา เอางานนี้ ได้ขาแล้ว ไปบางพระเลย มองซ้ายมองขวานี่ กม.ที่12 บางนา บอกลิงเลยครับ ครึ่งชั่วโมงถึง
08.00น. ยังฟังเพลงชาติที่ไบเทคบางนาอยู่เลย พระเจ้า 2 ชั่งโมงแล้ว
09.00น.คลานไปถึง แถวจรัญ13 เคยได้ยินวัดนกอยู่แถวนี้ แวะครับเลย เหลวไหลมากๆ666 งั้นก็จะโดนว่ามาดูภาพกันนะครับ



รีบถ่ายรีบไหว้พระ-พระบรมสารีลิกธาตุ ซื้อกระเบื้อง ชมวัดอีกนิด ก็รีบไปครับ
09.30น.ถึงจุดรับผู้ร่วมทริปคนที่ 1 ท่านกายทิพย์ แวะเติมแก๊ส เด็กปั๊มมองน้องหยกใหญ่ 666 มีตุ๊กตาหน้ารถดี แต่น้องเค้าไม่ค่อยจะรู้สึกดีนัก ที่มีหนุ่มวัยทำงานหนักจ้องมองมุ่งหน้าต่อเนื่องไปรับ ลิงน้อย ไปเสร็จ พร้อมเดินทาง วัดท้องไทร และ วัดบางพระ
10.30น.ขับไปจึงถึงกลางทางมีเสียงโทรศัพท์จาก เจ๊โชว ดังขึ้น 3 คนในรถ ดีใจมาก ลิงถามเลย พี่ไปท้องไทรกับบางพระไหม จะกลับไปรับ เจ๊โชวสวนกลับนี่ นัดมารับฉัน 11.00น เพื่อจะไปบ้านอาจารย์ประโยชน์ ตอนนี้ถึงไหนแล้ว งานเข้า มองหน้ากันและตะโกนพร้อมกันว่า ลืมเลย ลิงน้อยชงไม่ใช่ความผิดหนูนะ ส่งโทรศัพท์ให้ หยกเซ็ทหนูมาตามเค้า ซวยแล้วมาถึงหนูชลาพุชะตอบกลับไปพี่ครับไม่นานไม่เกินเที่ยงถึงพี่ หาอะไรทำไปก่อนนะพี่ พี่โชว รีบมานะ พี่รอนะ
10.45น.แวะหาท่านเอ็มเมืองไร่ขิงรับแจกพระครับครับ ใจดีจังเกรงใจนะนี่ คราวหน้าขอแบบเลี่ยมแล้วนะ ล้อเล่น
11.30 น.ถึงวัดท้องไทร พอถึงชลาพุชะทำการทักท่านกระถางต้นไม้ต้นมะขามด้วยกันชน งานนี้แตกครับแตก กันชนนะครับ ไม่ว่ากันเราไม่มีสติเอง ไปที่กุฏิหลวงปู่ หลวงปู่ท่านกำลังฉันท์เสร็จ รีบเข้าไปกราบนมัสการท่าน ทั้งวัดมีแต่เรา โชคเข้าข้างสุดๆ เต็มที่ครับ หยกก็บังสกุลเป็น-ตาย ลิงก็ให้หลวงปู่เป่าให้ตะกรุด ส่วนกระผมงานนี้ให้หลวงปู่เป่าแม่พิมพ์ที่สักเมื่อครั้งก่อน หลวงปู่ท่านเมตตามากครับเสร็จเสร็จรีบไปต่อมุ่งหน้าบางพระ
11.45 น.ถึงบางพระ ไปกราบนมัสการสังขารหลวงพ่อเปิ่น ต่อด้วยเข้าไปขอให้หลวงพี่ญา กับ หลวงพี่นันเมตตา 12.00น. เสียงจากเจ๊ส่งผ่าน  AIS ถึงไหนกันและจ๊ะ(เสียงนุ่นเชียว)ลิงไม่ตอบ ส่งให้ชลาพุชะ กระผมส่อต่อหยก น้องเค้าตอบ กุฏิหลวงพี่ญา เท่านั้นล่ะ เสียงนุ่นกลายเป็นเสียงป้าวรนาทเลยครับ "นี่เธอให้ฉันลาครึ่งวันนะ จะมากี่โมงไหนว่า 11โมง นี่ก็ ขอ เที่ยง ทำไมไม่มาบ่าย 2 เลย ล่ะ" :043: เข้าทางหยกตอบเลย พี่ไม่เกินบ่าย 2 แน่นอนพี่ วันนี้คนน้อย


อะไรเป็นอะไร ผมดูไม่ออก ต้อง ถามลิงนะครับ ผลของการหนีเจ๊ได้นี่มากัน (ส่วนหยก ตอนสัก ผมก็สักเลยไม่ได้ถ่ายครับ ต้องขออภัย)
16.00 น.สักเสร็จ เพราะไม่ได้ลัดใคร เห็นใจเค้า อิอิ  รีบกลับไปคืนรถ แล้วไปหาเจ๊โชวต่อไป
17.30 น.ส่งรถ นั่งแท๊กซี่ขึ้นด่วนไปเลย
20.00 น. มาตรงเวลาเลยครับ เจ๊บอกไม่โกรธ มันเลยโกธรแล้ว อ้าวกินอะไรมารึยัง ฉันรอกินปะๆ ฉันเลี้ยง พอไปกินที่ร้าน เจ๊กินกินด้วยความหิว ส่วน 3 เรานั่งมอง ข้าวที่สั่งโดยไม่กล้าบอกเจ๊ว่า ซัดมากลางทางแล้ว ผมซัด 2 ด้วย กรรมต้องเก็บอาการครับ
21.30 น. ท่านข้าวเสร็จ ไปหาอาจารย์ประโยชน์ ท่านก็เมตตารอ เริ่มกันเลยครับ


ส่วนยันต์ที่พี่ๆเค้ารับมา สวยครับแต่ถ่ายออกมาแล้ว แต่ไม่ขอลงนะครับ
ลิงโทรหาท่าน TTTUTTT เพื่อให้มาสักด้วย ขอช่วยลงรูปด้วยนะท่านTTTUTTT
 23.00 น. กลับถึงบ้านเมียไม่ด่า วันนี้ได้ของดีมา ได้ผลครับ จบทริปนี้
ปล.วันหลังไม่ทำอีกแล้วเจ๊ นี่หยกกับลิงอยากไปหนูขับรถเฉยๆนะ


47
                วันนี้ ผมได้หนังสือมา 1 เล่มครับมีชื่อว่า จิตรกรรมฝาฝนังในพระอุโบสถ วัดไร่ขิง จึงอยากจะมอบให้สมาชิก แต่ ก็มีเล่มเดียว เลยเอาเป็นช่วยตอบคำถามผม 3 ข้อ ให้ถูกต้อง และ เวลาที่ตอบ ต้องใกล้ที่สุดกับ 18.00 น. ของ วันที่10/05/52 นะครับ

1.รูปนี้เป็นรูปอดีตเจ้าอาวาสของวัดไร่ขิง ที่มีชื่อว่าหลวงพ่ออะไร และ มรณะภาพ ในวัน/เดือน/ปีไหน
2.ที่ตั้งของวัดท้องไทรคือขอแค่ หมู่ ตำบล ก็พอครับ
3.วันไหว้ครู ของวัดบางพระ ปี 53 คือวันไหน ขอ วัน /เดือน /ปี ครับ
ประกาศชื่อผู้ได้รางวัล 20.00น. ของวันที่ 10/05/52 นะครับ

48
       วันนี้ ออกรถแท๊กซี่ไม่ค่อยมีคนเลยไปเที่ยวดีกว่า โทรชวนท่านโชว ก็ไม่ไป อยู่กับครอบครัว โทรชวนท่านเอ็ม ก็มุขเดิมครับเฝ้าร้านครับต้องโทรจองตัวก่อนนะทีหลังก็ ก็ใช่เรามันไม่สำคัญ แต่ในที่สุดก็มี สุดหล่อตอบไปด้วย 666 ดีครับ ไม่เหงา นั้นคือ ท่านต้นน้ำ
วันนี้ เที่ยวไปเรื่อยๆทัวส์นกขมิ้นครับ มาเริ่มเลยนะครับ

1.วัดไร่ขิงครับ
                          
                   
                          

                          

                          

                          

                          
     
                                         เข้าไปกราบหลวงพ่อ รู้สึกดีขึ้นเลยครับ

                          

                           

                  ออกไปท้ายวัดให้อาหารปลาเพลินดีครับปล่อยอารมณ์ซักพักมีเสียงสายเข้าจากเอ็ม บอกว่าท่านต้นให้เกียติไปด้วยครับ ผมรีบเลยกลัว ท่านต้นเปลี่ยนใจรีบไปรับ แล้ว มุ่งหน้าไป

2.สำนักวิมานทิพย์
             อาจารย์ เอ แถววัดท่านกระบือ ผมก็ต่ออักขษะ ตรงท้าวเวชสุวรรณ ส่วนท่านต้น ก็ สักครั้งแรกก็ต้องพิธีเยอะหน่อย แต่ก็สมใจท่านต้นน้ำครับอมยิ้มทั้งวันเลย ก็ดูเถิดครับได้นี่มา

                           

                            

                                          เสร็จแล้วรีบไป วัดท้องไทร เลยครับ

2.วัดท้องไทร

           ที่วัดสงบมากๆครับ ผมไปรับการสักแม่พิมมาที่หน้าขาด้านขวาครับ พอท่านอาจารย์อั้นสักเสร็จก็ไปยกพานกับหลวงปู่อั๊บ ท่านเมตตาผูกข้อมือให้ท่านเมตตามากครับ
 
                           

                            

                           

                            

3.วัดบางพระ
          วัดนี้คงไม่ต้องว่ากันมากคงรู้จักดีกันนะครับ วันนี้ ผมก็ไป กราบสังขารหลวงพ่อเปิ่น ไปขอเมตตาหลวงพี่ญา หลวงพี่ต้อย และหลวงพี่นัน ก็ได่สักสมใจ เพียงหลวงพี่ญา และหลวงพี่ต้อย แต่หลวงพี่นัน ผมต้องส่งรถให้คู่กะเลยไม่ได้สักเสียใจมากๆยกพานแล้ว ถึงคิวผมด้วย น้ำตาซึมเลย

                           

                           

                            
                                                               เจอหนุ่มซัมซุงด้วยครับ

จบทริปนี้ด้วยดี กลับถึงอู่ส่งรถเรียบร้อยครับ

49
       วันที่ 5 พฤษภาคม 2552 เวลา 09:09 น.เริ่มพิธีไหว้ครูของอาจารย์ประโยชน์ และ ปีนี้ อาจารย์ประโยชน์ จะทำการมอบเข็ม ให้ศิษย์ 2 ท่าน ท่านแรก อาจารย์ วิสุทธิ์ สรีรัตนา (อาจารย์เหน่ง) ส่วน อีกรูป ผม จดชื่อมาแล้ว ทำหายครับ ที่จำได้คือเป็นพระที่จำพรรษาที่โคราช หากทราบชื่อจะนำมา บอกภายหลัง





                                                     ทำบุญเลี้ยงพระ-กรวดน้ำ-พรมน้ำมนต์

                                                     ผมเองครับ มาช้าแต่ยังมาทันยกขันครับ


                                                                 มาด้วยศรัทธาจริงๆ



                                                                         มีต่อนะครับ
                                                                              1/3

50
        วันนี้มีผู้เข้าใช้งานพร้อมกันมากที่สุด: ๑๙๒. วันที่มีผู้เข้าใช้งานพร้อมกันมากที่สุด: ๑๙๒ (วันนี้ เวลา ๑๗:๐๐:๑๗)
๑๖๘ สมาชิกที่เข้าใช้งานวันนี้ (ไม่รวมผู้เยี่ยมชม):
ชลาพุชะ, chatsmm, Chotipat, เด็กนอกวัด, cho presley, ۞เณรน้อยเส้าหลิน۞, ขุนส่อง, อชิตะ, ~เสน่ห์จันทร์~, job@love, artid22, คุณยิ้ม, karnjana, nutagul, nok2009, no_bangchak, หอมเชียง, นะโมพุทธายะ, ???--สายัณ--???, Teerawat, Jamesrongchai, tum72, Ronaldo 2007, มังกร, x_ratchai, น้องต้นน้ำ, จอแจ ^^~, น้องลิงน้อย, praw007, ตามพรลิงค์, ณ.อยุธยา, ][_kmitnb_][, ศท.5522, Gearmour, หนึ่ง, a?xๅea?ๅeบๅJws=, พัน ร. มทบ.๑๑, cck05, kk777, JET LEE, nosida, kaitip, ตั้ม, SiMPle, St.Pipo, ~♣~โจรสลัด~♣~, พุงโต, ArDET, เอ็มเมืองไร่ขิง, ราหู, Sak1459, นพณัช, ChinCop, เด็กสุรินทร์, nobeeta, โองการยันนะรังสี, Hanu-Marn_Neverdie, เว็บ..., เปรี้ยวปี้ด, อิ่มอุ่น, นายเกษตร, chai2009, ณัฐ, Keng TOYO, porpar, Kanya, punpon, แก๊งค์ - ยา - กู - ซ่า, เด็กบ้านนอก, โคมแก้ว, ราหูอมจันทร์, bomnoi, j_kirsada, CHAI, DEKDOY, pancake1, nonlimite, kongkeha, dejnarong, thanomsak, berth1999, k911, blc_18, tonsaknina, ~๐คนเดินเท้า๐~, PAE, กนฺตปญฺโญ, burt, makantong, ที_lowrider, Noopui, ชินฺนปญฺชร, MasterT, นโม, banana, นะมะพะทะ, amazing2511, Pig_Never_Die, ART2530, santa, mue, เทพสายขาว, พยัคฆ์จำศีล, [= Jo_o* =], khomkrit, adisorn, duracel, mawin_14, vespa, แมวเซา, phan, fourbobook, panoopong14, derbyrock, utan, เสือไฟ, สาลิกา, ?motion_On?™, ทราย บางเลน, noppkun, mongsan, เต้, JoeBS, seenamzaa, Myrmidon, Kitisin, MJ?lln ้มป่oJ???, to, nakprok, ชาญ, Dekwatnai, rescuer, porvfc(สิบทัศน์), prathomsak, Thongkam, schoolbus, CaSaNoVa, tuxky, CONNEX, ~<กัญชสโรชิน>~, kkk, ? ชินจัง ?, ratsameeporm, motana2008, mootongdang, ~พระลักษณ์~, นามมงคล, zolomon13, tuytan, ปูดำ, ICELAND, ˜ขงเบ้ง˜, 162cm, ta-keng, gobgab.vk@live.com, seka, Pujchong, B@nJ™, เด็กลำปาง, SIC, eXeCuTioNz - IX, minkey_mouse, chiv@s, โอม..., baboon, gottkung, taeysurat, kengkun

51
        วันนี้ไปบ้านอาจารย์พลพยัคฆราช ซึ่งเป็นวันไหว้ครูวันแรก วันนี้อาจารย์ทำบุญเลี้ยงพระ 9 รูปที่บ้าน เชิญชมภาพครับ

บรรยากาศก่อนพระมาครับ



อาจารย์กำลังตั้งเสียงกลองยาว




พระมาแล้วครับ/ตีกลองยาวรับพระ






อาจารย์นิมนต์พระขึ้นชั้น 2/เริ่มพิธี/ถวายภัตตาหารพระสงฆ์     


นู๋ชลาพุชะมาดีนะท่านเหมียว เสาร์5                                                 
                                                    1/3

52
            ตื่นตอนเช้าตั้งใจจะไปวัดตุ๊กตา แต่ เจ็บตามแขนขาเนื่องจากหักโหมลดน้ำหนักเพื่อสุขภาพ
 แต่ใจร้อนเลยนอนกระดุดกระดิกไม่ได้ พอช่วยบ่าย เริ่มดีขึ้นแต่งานที่วัดตุ๊กตาเริ้มไปแล้ว นี่ทำไง
 นึกขึ้นได้ที่สนามหลวงมีงานไปดูดีกว่าก็มีงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาเนื่องในเทศกาลวันวิสาขบูชา
คนก็ไม่เยอะเนื่องจากอากาศร้อนเอาเรื่องเลย กระผมจึงเดินอย่างไม่ต้องเบียดจึงเก็บภาพมาให้ชมดังนี้




                                              รูปวัดไทยในอังกฤษ 
                                                        ยังมีต่อครับ 1/4

53
       ช่วงนี้ตระเวนหาเสียง ไม่ใช่ ไปเยี่ยมผู้หลักผู้ใหญ่ที่อยู่ใน กทม.และปริมลฑล ไปกราบพี่สาวคุณยาย เรียกไม่ถูกว่า จะ ลำดับญาติยังไง ท่าน ให้พระมาองค์แปลกดี อยากทราบว่า เป็น พระอะไรครับ รู้ว่าคงเป็น เนื้อนวโลหะครับ
                             
                                                                       

54
บทความ บทกวี / วันฉัตรมงคล
« เมื่อ: 26 เม.ย. 2552, 01:35:20 »
                                                   
        วันฉัตรมงคล เป็นวันที่ระลึก พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ ๙ แห่งราชอาณาจักรไทย โดยสมบูรณ์ กล่าวคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ได้เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ ต่อจาก สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ในเวลานั้น ดำรงพระอิสริยยศเป็น "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช" เนื่องจากในเวลานั้น ยังมิได้ทรงผ่านพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั่นเอง

จากนั้น พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปทรงศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จนเมื่อทรงบรรลุนิติภาวะแล้ว จึงได้เสด็จนิวัตประเทศไทย รัฐบาลไทยในขณะนั้น ก็ได้น้อมเกล้าน้อมกระหม่อม จัดงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกถวาย เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 ปวงพสกนิกรชาวไทย จึงได้ถือเอาวันที่ 5 พฤษภาคม ของทุกปี เป็นวันฉัตรมงคลรำลึก

ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการ ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้นว่า

      "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม"

วันฉัตรมงคล โดย สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
ดึงข้อมูลจาก "http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%89%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A5".


ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน. ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ. ข้าพระพุทธเจ้า นายศักดิ์ดา คงทิม

55
      เมื่อวานผมได้อ่านกระทู้ของท่านหนึ่ง จึงคิดถึงสิ่งที่เคยเจอมา กระผมสุดจะทนกับการกระทำของคนบางคนที่ถือตัวเองว่ามีของแต่แสดงออกมาแบบสุดจะทน ขอเล่า 2 เหตุการณ์ นะครับ
1.ต้นปีนี้ผมไปที่โรงเรียนที่ผมจบ ปวชมา ผมไปหาเพื่อนที่เป็นครูที่นั้น ก็ธรรมดาครับ คุยกัน พอตกเย็นเพื่อนชวนไปกิน ลาบน้ำตกหน้าปากซอย ผมก็ไป มีนักเรียน รุ่นน้องนั่งเต็มเลย เพื่อนผมรับไหว้ เป็นศาลพระภูมิเลย ทักทายกันตามปกติ นั่งดื่มนั่งทานกันไปซะพัก เอาแล้ว ร่นน้องโต๊ะข้างสั่นครับ ดีนะที่คนละโต๊ะสั่นกวาดเรียบบนโต๊ะ ของขึ้นครับงงเลยผมเกิดเพิ่งเคยเจอของขึ้นแบบนี้ ใครใกล้ไม่ได้มีเตะมีชก งงครับสักอะไรมา พักหนึ่งก็หยุด เพื่อนบอก กลุ่มนี้ประจำลูกศิษย์อาจารย์...................... ผมคิดในใจเลย ว่ามันมีเงินไปสักได้ไงแพงมาก พอเหตุการณ์เริ่มเข้าที่ ผมก็เรียกมาถาม เลย ก็ วนคำถามอื่นๆก่อน แล้วก็ ถามเลยว่า น้อง ของแรงนี่ สักที่ไหนมา น้องตอบดังเลย ผมศิษย์อาจารย์........... แบบได้ยินกันทั้งร้าน ผมบอกเบาๆน้อง ผมถามต่อ ไหนดูสิ ผมเห็นแล้ว ไม่น่าใช่สำนักนั้น เพราะ ลายเส้นห่วยมากๆ ผมก็ถามสำนักนี้ ค่าครูเท่าไหร่ น้องบอก ค่าครูอะไรพี่ผมก็ สักกันกันเอง ก๊อปมาจากเน็ต ผมแทบอยากจะถีบน้องคนนั้นร่วง(แต่ทำไม่ได้) ดูมัน เอาแบบจากเน็ทมาสักแล้วบอกเป็น ศิษย์เค้าคิดได้ไง
2.ไปงานบวชหลานเพื่อน ก็นั่งกิน กันปกติ เหล้าอีกแล้วงานนี้ มีวัยรุ่นกลุ่มใหญ่นั่งกัน10คนได้ ลายเต็มหลัง กราฟิกบ้างยันต์บ้างนั่งกินแบบถอดเสื้อ แต่เค้าก็กินดีๆนะ คุยไม่ดังมาก ก็คุยเรื่องของเค้า ชมไม่ทันขาดคำเพลงพระเจ้าตากขึ้น เท่านั้น ของขึ้นครับ งานนี้ ผมอายม้วยเลยครับ เก่งกันมากมาย โดดไปโดดมา ทั้งงานแทบมองเป็นสายตาเดียว เอาอะไรมาคิด ฟังเพลงพระเจ้าตากแล้วของขึ้น นึกว่าต้องให้อาจารย์ปลุกของจึงขึ้น งงครับ
            มันมัวได้ถึงใจกันมากๆครับ ผมว่าหากหมดคนพวกนี้ไป สังคมคงมองการสักยันต์เป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยอันดีงามเป็นแน่ ผมอยากให้คนทั่วไปได้รู้ว่า คนสักยันต์ มีกฏ ต้องถือ ศีลมากกว่าคนธรรมดาอีก
            ตามข้อ 1. 2. นั้น แค่กากเดน ไม่ได้ อยู่ในกลุ่ม ที่ใช้ คนสักยันต์ อย่างแท้จริง
            ของจริงไม่ใช่ขึ้นโชว์ตามใจ ของจริงไม่ใช่ลองได้โดยง่ายๆถึงเวลาจะรู้เอง หากมีครูบาอาจารย์ควรนึกว่าอะไรที่ทำให้ท่านเสื่อมเสียบาง คิดทำแต่สิ่งดี ไม่ใช่ประกาศ ว่าเก่งแน่ ฟันแทง ไม่ เข้า โดยการยกพวกตีกัน เต้นแร้งเต้นกาตามงาน ตามร้านเหล้า ควรคิดบ้างว่า
                                


                                               ท่านไม่ได้สักยันต์คนเดียว

56
        ข้อมูลที่ผมนำมาลงนี้ผมว่าทุกท่านต้องเคยอ่าน เราอยู่ร่วมกันต้องมีกฏ กฏคือสิ่งที่ทำทุกคนอยู่ร่วมกันได้ กฏคือข้อตกลงอย่างมีเหตุผลในกลุ่มคนนั้นๆ ผมจึงอัดลอกมาฝากทุกๆท่านรบกวนอ่านอีกครั้ง
 
ยินดีต้อนรับเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกระดานสนทนาเว็บไซต์ วัดบางพระ

ขอชี้แจงเกี่ยวกับ กฏกติกา และ มารยาท ในการใช้งานกระดานสนทนาเว็บไซต์ วัดบางพระ ดังต่อไปนี้

๑. ผู้สมัครสมาชิกจะต้องใช้นามแฝงที่เหมาะสม ไม่หยาบคาย ไม่ส่อไปในทางลามกอนาจาร ไม่ก่อให้เกิดความสับสนหรือความแตกแยก

๒. ห้ามกล่าวพาดพิงกระทบถึงสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อันเป็นที่เคารพสูงสุดยิ่งในทางเสื่อมเสีย

๓. ห้ามตั้งกระทู้ใดๆ ที่ส่อไปในทางลามก อนาจาร และ ผิดศีลธรรมอันดีงามของสังคมไทย

๔. ห้ามตั้งกระทู้และหรือส่งข้อความ (pm) ใดๆ ที่หยาบคาย ส่อเสียด ดูหมิ่น กล่าวหาให้ร้ายหรือหมิ่นประมาท สร้างความแตกแยก สร้างความสับสน สร้างความปั่นป่วน

๕. ห้ามตั้งกระทู้ใดๆ ที่มีข้อความ เนื้อหาซ้ำๆ กัน หลายๆ กระทู้ และหรือตอบกระทู้ ที่เข้าข่ายการปั่น การปั๊ม หรือขุดกระทู้เก่าขึ้นมาตอบโดยไม่มีเหตุจำเป็น

๖. ห้ามตั้งกระทู้ที่เกี่ยวข้องกับการเมืองโดยเด็ดขาด

๗. ห้ามตั้งกระทู้ใดๆ ที่เกี่ยวกับการประกาศโฆษณาชวนเชื่อ หลอกลวงต่างๆ

๘. ไม่อนุญาตและหรือสนับสนุน ให้มีการแสวงหาผลประโยชน์ใดๆ การซื้อขายแลกเปลี่ยน ทั้งทางตรงและทางอ้อมผ่านกระดานสนทนาเว็บไซต์ วัดบางพระ

๙. ห้ามตั้งกระทู้ที่มี เนื้อหา วางลิงค์ วางหมายเลขโทรศัพท์ เพื่อส่อเจตนาไปในทางซื้อขายแลกเปลี่ยนใดๆ เช่น พระเครื่อง วัตถุมงคล และ เครื่องรางของขลังต่างๆ หรือโฆษณาบอกประกาศ

๑๐. การตั้งกระทู้ใดๆ ที่เกี่ยวกับการทำบุญร่วมบริจาคในลักษณะต่างๆ ให้ส่งข้อความ (pm) แจ้งรายละเอียดไปที่ Contact Us เพื่อตรวจสอบก่อน เมื่อตรวจสอบความถูกต้องแล้วเห็นว่าสมควร ทางทีมงานจะเป็นผู้ตั้งกระทู้ให้เอง หากสมาชิกมีการตั้งกระทู้เองทีมงานขอลบทิ้งทั้งหมด

๑๑. ผู้ดูแลเว็บไซต์ วัดบางพระ ขอสงวนสิทธิ์ในการ ลบ หรือ แก้ไข ทุกความคิดเห็น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ

๑๒. การยกเลิกความเป็นสมาชิก การแบนสมาชิก ให้อยู่ในการพิจารณาของทีมงานผู้ดูแลเว็บไซต์ ตัดสินถือเป็นที่สุด

๑๓. คำตัดสินของผู้ดูแลเว็บไซต์ วัดบางพระ ถือเป็นที่สิ้นสุด

*** การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการทำผิดต่อ กฏกติกา และ มารยาท ของสมาชิก มีตั้งแต่ตักเตือน แบนกำหนดระยะเวลา แบนถาวร และหรือดำเนินคดีตามกฏหมาย

*** ปรับปรุงแก้ไขให้ตรงกับสถานการณ์ เมื่อ วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒ และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

                                                                                               ขอขอบคุณทุกท่านที่ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
คัดลอกมาจาก http://www.bp.or.th/webboard/index.php/topic,357.html

57
    ไปหาอาจารย์มาท่านหนึ่งท่านเมตตา อยากรู้ว่า ชื่อรุ่นมงคลโชค ปี 39 และ ทันหลวงพ่อเปิ่นไหมครับ ขอรบกวนด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
                         
                         
ต้องขออภัยที่ภาพไม่ชัดครับ พี่โชวจ๋าน้องขอยืมกล้องหน่อยสิ

58
             
               วันนี้กระผมไป สำนักอาจารย์พล พยัคฆราชโดยการบอกเส้นทางของท่าน۞เณรน้อยเส้าหลิน۞ ต้องขอขอบคุณ ศิษย์พี่ด้วยไปถึงอย่างรวดเร็วไม่หลงครับ  ที่สำนักเป็นระเบียบมาก มีตู้ขายเครื่องราง มีความสงบดีครับ ผมไปรับบัตรคิวเป็นลำดับที่ 9 แล้วกระผมก็ไป นั่งรอที่จะสัก ก็ไปเจอแมวลักษณะดีตัวหนึ่ง แหมน่ารักอุ้มทีสิ มันกัดเลยครับ กัดแบบโกธรผมมาก ดุโคตรๆ (บ้านผม เรียก จ้าด สวก) แมวอะไรดุได้ใจมากๆ ผมสะบัดหลุด มันก็กระโดดเข้ามากัด แหมโหดร้ายไม่ดูขนาดเลยว่าสู้กับใคร  ผมใช้วิธี อันแสนชั่วร้ายที่สุดกับแมวตัวนี้ นั้นคือ ร้องให้พี่ๆ ที่สำนักช่วย "ช่วยด้วยครับ พี่แมวมันกัดครับไม่ยอมปล่อยด้วยครับ พี่ช่วยด้วยครับ "ได้ผลครับพี่ๆเค้ามาช่วยผมไว้ทัน ผมสังเกตุเห็นแมวมีตะกรุดด้วยแปลกแท้ ได้เวลาผมขึ้นไปสักกับอาจารย์พล ท่านอาจารย์จำผมได้ด้วย ขนาดเจอครั้งเดียวแล้วไม่เจอท่านอีกเป็นปี ผมดีใจมากๆเลยครับ แต่น้อยใจมากกว่า ที่ท่านไม่ให้ยันต์เสือหางด้วน ท่านบอกให้ไหว้ครูก่อนจึงจะสักให้ วันนี้ผมเลยได้ ยันต์ นะธรณี และ เป่าทองคนองฤทธิ์ มาครับ ท่านดูดุ แต่ป่าวเลยใจดีมากๆคุยดีสุภาพ เล่าเรื่องราวที่น่าสนใจให้ฟังด้วย ผมเลยถามว่าทำไม แมวท่านทำไมจึงมีตะกรุด ท่านเล่าว่าที่ แมวใส่อยู่นั้นเป็นตะกรุดหัวใจเสือ (ไม่แปลกใจเลย) แมวตัวนี้ท่านได้มาวันเสาร์ที่ห้า ตอนทำพิธีอะไรสักอย่างเลยให้ชื่อเสาร์ห้า ท่านบอกสงสารมัน มันชอบโดน หมากัด คนแกล้ง เลยใส่ตะกรุดหัวใจเสือให้ ดุเลยครับ สมใจท่าน ท่านว่าเคยมีเกจิรูปหนึ่งทำตะกรุดให้หมาใส่โดยมีเหตุผลเหมือนกัน (จำไม่ได้ว่าพิธีอะไรและเกจิรูปนั้นชื่ออะไร ท่านเล่าตอนสักครับ เจ็บไปฟังไปครับ)
            ยังมีอีกตัวครับ อีกที่แมวต้องใส่ตะกร้อปากเลยครับ โหดพอๆกัน แบบมองหน้าไม่ได้ วิ่งมากัดเลย แมวอะไรโหดสุดๆ สมโดนใส่ตะกร้อปาก น่าจะถักเองจากเชือก แมวอีกตัวนี้ อยู่ที่สำนักวิมานทิพย์ ของอาจารย์แดงและอาจารย์เอครับ
            ยังมีอีกตัวนั้นคือ นกเขาครับ นกเขาของพระครูที่วัดร้องเข็ม จังหวัดแพร่ โหดมากมาย คงเชื่องกับท่านองค์เดียว แบบชนิดปล่อยออกจากกรงได้ไม่ไปไหน เราก็พวกรักสัตว์เข้าไป เล่นด้วย มันก็เลย ปักๆๆๆๆๆๆ ไล่จิกเฉยเลย ใครเข้าใกล้มันจิกหมด งงเลยครับ นี้ นกรึหมา ดุมาก
          พี่น้องชาวเว็บเคยเจอสัตว์เลี้ยงแสนโหดที่สำนักไหนบ้าง ช่วยเล่าให้ฟังหน่อย ไปจะได้ระวังไว้ครับ ส่วนตัวผมตัวเคยเจอมา 3 ที่ 3ตัว ครับกระผม

59
         
เรียนเชิญศิษยานุศิษย์ของอาจารย์ประโยชน์ดินแดงทุกท่าน

เข้าร่วมงานพิธีไหว้ครูประจำปี 2552 และ ครอบเศียรพ่อแก่ 

ในวันที่ 05/05/52 เวลา 09.09 น.

ณ. ที่บ้านอาจารย์ประโยชน์ แฟลตดินแดง ตึก 6 ชั้น2

จึงขออนุญาตเรียนประชาสัมพันธ์ให้ทราบ
                                                                                                                 

   ชลาพุชะ

60
อาจยาวไปนิดนะครับ แต่น่าศึกษา ครับ
                                                         
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิอโศกมหาราช (เทวนาครี: अशोकः, อังกฤษ: Ashoka the great - พ.ศ. 240 - พ.ศ. 312 ครองราชย์ พ.ศ. 270 - พ.ศ. 311) ทรงเป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโมริยะผู้ปรีชาสามารถพระองค์สุดท้ายของราชวงศ์ ทรงปกครองแคว้นมคธ มีพระราชธานีชื่อว่า ปาฏลีบุตร (ปัจจุบันเรียกว่า ปัฏนะ Patna) ทรงเป็นพระโอรสของพระเจ้าพินทุสารแห่งราชวงศ์โมริยะ พระมารดานามว่าศิริธรรม พระเจ้าอโศกมีพระโอรส และธิดา 11 พระองค์
         สมเด็จพระมหาจักรพรรดิอโศกมหาราช หรือพระเจ้าอโศกมหาราช เดิมเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่โหดร้าย ชอบการทำสงครามกับแว่นแคว้นต่าง ๆ จนได้รับสมญานามว่า พระเจ้าอโศกผู้โหดเหี้ยม (จัณฑาโศกราช) แต่หลังจากที่พระองค์หันมานับถือพระพุทธศาสนา พระองค์ก็ทรงกลายเป็นองค์เอกอัครพุทธศาสนูปถัมภก์ ผู้อุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนาให้มีความเจริญรุ่งเรืองและแผ่ขยายมากที่สุดในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา และจากพระราชกรณียกิจมากมายนานัปการที่พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญด้วยทศพิธราชธรรมอย่างแท้จริง ทำให้ภายหลังทรงได้รับการขนานพระราชสมัญญานามว่า ธรรมาโศกราช (พระเจ้าอโศกผู้ทรงธรรม)
เนื้อหา
1 พระเจ้าอโศกมหาราช กับพระพุทธศาสนา
2 ดำเนินรัฐศาสนโยบาย
3 อัครศาสนูปถัมภก
4 ทรงเป็นหนึ่งใน 6 ในอัครมหาบุรุษ
4.1 คุณธรรมที่ควรเป็นแบบอย่าง
4.2 บุรพกรรมของพระเจ้าอโศกมหาราช
5 อ้างอิง
                                         
พระเจ้าอโศกมหาราช กับพระพุทธศาสนา
ก่อนที่จะเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนา มีความดุร้ายและโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง จนได้รับฉายาว่า จัณฑาโศก แปลว่าอโศกผู้ดุร้าย ต่อมาเมื่อไปรบที่แคว้นกาลิงคะ (ปัจจุบันอยู่รัฐโอริสสา)มีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก จึงเกิดความสลดสังเวชในบาปกรรม และตั้งใจแสวงหาสัจธรรมและพบนิโครธสามเณรที่มีกิริยามารยาทสงบเรียบร้อย จึงทรงนิมนต์พระนิโครธโปรดแสดงธรรม พระนิโครธก็แสดงธรรม จึงมีความเลื่อมใสในพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า ต่อมาได้ฟังพระธรรมจากพระสมุทระทรงส่งกระแสจิตตามพระธรรมเทศนาจนบรรลุพระโสดาบัน พระองค์ทรงทำนุบำรุงพุทธศาสนา เช่น ทรงสร้างวัด วิหาร พระสถูป พระเจดีย์ หลักศิลาจารึก มหาวิทยาลัยนาลันทา ทรงเป็นกษัตริย์พระองค์แรกที่ทรงผนวชขณะที่ยังทรงครองราชย์อยู่ และเลิกการแผ่อำนาจในการปกครอง มาใช้หลักพุทธธรรม(ธรรมราชา)ปกครอง นอกจากนี้พระเจ้าอโศกมหาราชยังทรงส่งสมณะทูตไปเผยแพร่ศาสนา โดยแบ่งเป็น 9 สาย สายที่ 8 มาเผยแพร่ที่ สุวรรณภูมิ โดยพระโสณะและพระอุตระเป็นสมณะทูต และพระองค์เป็นผู้จัดการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่3 ณ วัดอโศการาม เมืองปาฏลีบุตร

ต่อมาก็ทรงโปรดเกล้าให้สร้างบ่อน้ำ ที่พักคนเดินทาง โรงพยาบาล และปลูกต้นไม้ เพื่อจัดสาธารณูปโภคและสาธารณ ตามหลักพุทธธรรม ต่อจากนั้นก็เสด็จไปพบสังเวชนียสถาน4แห่ง เป็นผู้แรก และทรงสถาปนาให้เป็นเป็นสถานที่สักการะบูชาของพุทธศาสนิกชนในเวลาต่อมา นับว่าพระองค์เป็นอัครศาสนูปถัมภ์พระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง และต่อมาพระองค์ทรงได้สมญานามว่า ธรรมมาอโศก แปลว่า อโศกผู้ทรงธรรม ทรงครองราชย์ได้43ปี
                                                   

ดำเนินรัฐศาสนโยบาย
 จักรวรรดิโมริยะช่วงรุ่งเรืองที่สุดประมาณ พ.ศ. 278ด้วยทรงถือหลักธรรมวิชัยปกครองแผ่นดินโดยธรรม ยึดเอาประโยชน์สุขของพสกนิกรของพระองค์เป็นที่ตั้ง ทรงส่งเสริมสารธารณูปการ และประชาสงเคราะห์ ทรงทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมในชมพูทวีปอย่างกว้างขวาง ได้เป็นบ่อเกิดอารยธรรมที่มั่งคงไพศาล อนุชนได้เรียกขานพระนามของพระองค์ด้วยความเคารพเทอดทูน ยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์หลายองค์ที่พิชิตนานาประเทศด้วยสงคราม แม้พระนามของพระองค์ก็ปรากฏอยู่ถึงปัจจุบัน
อัครศาสนูปถัมภก
พระเจ้าอโศกมหาราช ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในพระพุทธศาสนา ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ในชมพูทวีป ทรงเป็นพระอัครศาสนูปถัมภกทั้งฝ่ายมหายาน และฝ่ายเถรวาท ตามพระราชประวัติในคัมภีร์อโศกาวทาน ของฝ่ายมหายาน ใน อรรถกถาสมันตปาสาทิกา คัมภีร์ทีปวงศ์ และคัมภีร์มหาวงศ์ ของฝ่ายเถรวาท และทรงอุปถัมภ์ผู้ที่นักถือศาสนาเชน โดยการถวายถ้ำหลายแห่ง ให้แก่เชนศาสนิกชน เพื่อไปประกอบพิธีทางศาสนา
ทรงเป็นหนึ่งใน 6 ในอัครมหาบุรุษ
เอช. จี. เวลส์ (H.G.Wells) นักประวัติศาสตร์คนสำคัญในตะวันตกก็ยกย่องพระเจ้าอโศกมหาราช ว่าทรงเป็นอัครมหาบุรุษท่านหนึ่ง ใน 6 อัครมหาบุรษแห่งประวัติศาสตร์โลก คือ พระพุทธเจ้า โสเครติส อริสโตเติล โรเจอร์ เบคอน และอับราฮัม ลิงคอล์น
คุณธรรมที่ควรเป็นแบบอย่าง
ทรงมีปัญญาเป็นเลิศ ได้ฟังธรรมจากพระสมุทระส่งพระกระแสจิตตามพระธรรมเทศนาจนบรรลุพระโสดาบัน
เป็นผู้มีความรับผิดชอบสูง เมื่อพระอลัชชี คือพวกนอกศาสนาปลอมตัวเป็นพระมาทำลายศาสนา พระองค์ทรงส่งอำมาตย์ไปไกล่เกลี่ยแต่อำมาตย์ฆ่าพระโดยโทสะ พระองค์ทรงยอมรับผิดแต่โดยดี แม้จะไม่ได้ทำ ทรงรับผิดชอบโดยการชำระสังฆมณฑลให้ขาวรอบ
ทรงนับถือศาสนาพุทธ แต่มิได้เบียดเบียนศาสนาอื่น กลับสนับสนุนอีก แม้มิได้นับถือ เช่น ทรงอุทิศถ้ำอชันตาให้แก่พวกนักบวชศาสนาเชนดั่งคำหลักศิลาจารึกที่13ว่า " การเหยีดหยามศาสนาอื่น มิได้ทำให้ศาสนาของตนดีเลย กลับแย่ลงเสียอีก"
ทรงมีพระทัยอันกว้างใหญ่ เช่น ทรงอนุญาตให้ พระมหินท และพระสังฆมิตตา อุปสมบทได้ ทั้งสองทำวิปัสสนาด้วยความเพียรจนบรรลุอรหัตตผล และเป็นกำลังสำคัญของพระพุทธศาสนา ควรถือเป็นแบบอย่าง
ทรงปกครองบ้านเมืองโดยเป็นธรรม โดยใช้หลักพรหมวิหารธรรม4 ไม่ขาดและไม่ทำลาย เป็นตัวอย่างแก่ผู้นำบริษัทและเจ้าขุนมูลนายทั้งสมัยโบราณกาลและสมัยปัจจุบันอย่างยิ่ง
เป็นมหาราชในอุดมคติ พระองค์ทรงใช้ หลัก"ธรรมราชา"คือการปกครองบ้านเมืองโดยธรรม เป็นหลักการปกครอง พระมหากษัตริย์ต่างเมืองต่างประเทศทั้งสมัยอดีตจนสมัยปัจจุบัน ได้กระทำตามจนบ้านเมืองของตนเจริญรุ่งเรือง
ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างมากมาย เช่น
หัวเสารูปสิงห์ 4 ทิศ รัฐบาลอินเดีย นำมาใช้เป็นตราราชการแผ่นดิน
ทรงเป็นอัครศาสนาณูปถัมภ์ การสังคายนาพระไตรปิฎก ครั้งที่ 3 ณ วัดอโศการาม เมืองปาฏลีบุตร ใช้เวลาสอบสวนสะสางสำเร็จภายใน 9 เดือน
ทรงส่งสมณทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ทั้งประเทศอินเดีย และนอกประเทศอินเดีย
ทรงสร้างวัดทั้ง 84000 วัดและพระสถูปทั่วชมพูทวีป ทั้ง 84000 องค์ ตามจำนวนพระธรรมขันธ์ และทรงให้จารึกธรรมะที่เป็นหัวใจสำคัญของพระพุทธศาสนา คือ อริยสัจ 4 และหลักธรรมวิชัย คือการชนะจิตใจคนด้วยพระธรรม ฯลฯ
ทรงชำระสังฆมณฑล โดยจับพระปลอมจับสึกจำนวน 60000 รูป
ทรงค้นพบสังเวชนียสถาน 4 ตำบล และประดิษฐานด้วยเงิน 100000 กหาปณะ
ทรงปักหลักเสาศิลาจารึก ณ พุทธสถานที่สำคัญ ทำให้นักโบราณคดีค้นพบพุทธสถานมากมาย หัวเสาอโศกเป็นรูปสิงห์4ตัวหันหลังชนกัน ซึ่ง ต่อมาเป็นตราแผ่นดินประจำประเทศอินเดีย
ทรงโปรดเกล้าฯให้สร้าง โรงพยาบาล ขุดสระน้ำ ปลูกต้นไม้ ที่พักคนเดินทาง เป็นต้น
ทำนุบำรุงพระสงฆ์อย่างยิ่งใหญ่ เช่นสร้างวัด และวิหาร ถวายพระสงฆ์ เพื่อเป็นที่ศึกษาพระธรรมวินัย
ทรงประดิษฐานจารึกอโศก ทั่วแคว้นหลายแคว้น จารึกเกี่ยวกับหลักธรรมะที่ทรงสั่งสอนประชาชนและข้าราชการ พระราชกรณียกิจของพระองค์ หลักการปกครอง และหลักการบริหารประเทศชาติ เป็นต้น
ทรงใช้หลัก "ธรรมราชา" เป็นหลักนโยบายในการปกครอง พระมหากษัตริย์ทั่วเมืองทั่วประเทศทั้งสมัยอดีตจนสมัยปัจจุบัน ได้กระทำตามจนบ้านเมืองของตนเจริญรุ่งเรือง
ทรงศึกษาและประพฤติปฏิบัติธรรมะอย่างเคร่งครัด
ทรงประกาศห้ามฆ่าสัตว์โดยไม่สมควร
ทรงประกาศเลิกการชุนนุมเพื่อความบันเทิง ให้มาปฏิบัติกิจกรรมทางธรรมและกิจกรรมที่มีสาระแทน เช่นทรงสั่งสอนให้ประชาชนปฏิบัติธรรมทรงเสด็จเยี่ยมเยียน ประชาชน ทั้งชาวเมือง และชาวชนบท และทรงเสด็จไปนมัสการพุทธสถานที่สำคัญ
ทรงบริจาคทรัพย์ ให้ในการช่วยเหลือและ นวกรรม คือการก่อสร้างหลายสิ่งหลายอย่าง ให้ประชาชน และทรงเน้นเรื่องธรรมทาน คือการแนะนำสั่งสอนธรรมะ คือ การดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ให้แก่ประชาชน
ทรงแนะนำให้ประชาชนประพฤติปฏิบัติธรรม และทรงส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดี เช่น ลูกต้องเชื่อฟังบิดา มารดา ลูกศิษย์ ต้องเชื่อฟัง อาจารย์ ปฏิบัติต่อคนรับใช้อย่างดี เป็นต้น
ทรงให้เสรีในการนับถือศาสนาแก่ประชาชน
                                                  
พระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าอโศกมหาราช ในประเทศไทย บุรพกรรมของพระเจ้าอโศกมหาราช
กล่าวว่าด้วยเหตุอันที่พระเจ้าอโศกเป็นใหญ่ในชมพูทวีป เพราะได้เคยถวายน้ำผึ้งแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า
กล่าวว่าด้วยเหตุอันที่พระเจ้าอโศกผูกพันกับนิโครธสามเณรเมื่อแรกพบ เพราะเมื่อชาติอดีตที่เป็นพ่อค้าขายน้ำผึ้ง เป็นพี่น้องกัน รวมทั้งพระเจ้าเทวานัมปิยะติสสะ ที่ลังกาทวีป
บทสรุป
พระเจ้าอโศกมหาราช
พระปรมาภิไธย เทวานัมปิยติสสะ ปิยทัสสี
พระอิสริยยศ พระมหาจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโมริยะ
ราชวงศ์ ราชวงศ์โมริยะ
ครองราชย์ พ.ศ. 270 - พ.ศ. 311
ระยะครองราชย์ 41 ปี
รัชกาลก่อนหน้า พระเจ้าพินทุสาร
รัชกาลถัดไป พระเจ้าทสารถ เมารยะ
ข้อมูลส่วนพระองค์
สวรรคต พ.ศ. 311
พระราชบิดา พระเจ้าพินทุสาร
พระราชมารดา พระนางศิริธรรมาอัครมเหสี
พระมเหสี พระนางเวทีสาคีรี
พระราชโอรส/ธิดา 2 พระองค์
คัดลอกมาจาก : http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%A8%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A

61
     กระผมไปสักที่วัดบางพระ ช่วงมีนาคม-เมษายน 2552 เจอ ผู้ชายชาวต่างชาติ น่าจะเป็นเกาหลี รึ ใต้หวั่น ไม่แน่ใจพูดไทยไม่ได้ อังกฤษก็ไม่ได้(กระผมก็ไม่ได้)ได้ข่าวมาเป็นเดือนแล้ว ไม่รู้ตอนมาขาวแค่ไหน ขอให้ท่านโชว ช่วยถ่าย ท่านก็ล่อซะ แหมทำหน้าที่ดีมากๆเลย เอๆยังไงถ่ายไปตาหวานไป ไม่รู้ ชาวต่างชาติคนนี้ จะหลงเสน่ห์ เจ้าแม่สายเสน่ห์ ของเราไหมนี่  เชิญชมนะครับ สุดยอดจริงๆ








   ที่นี้ตาผมอยากโชว์ครับ อาจจะยังไม่เต็มเชิญชมครับ

ผมกับน้องตะกรุดลูบฆ้องอันใหญ่ ผมลูบจนดัง ก่อนลูบน้องตะกรุดให้อธิฐาน แล้ว ไม่ให้บอกใคร ก่อนที่จะสมหวัง บัดนี้บอกได้แล้ว ศักดิ์สิทธิ์มากครับ สิ่งที่ผมขอ คือได้กลับมาอยู่กับภรรยาที่กรุงเทพฯ

62
      มีท่านสมาชิกท่านหนึ่งให้หา ผมก็พร้อมรับใช้ หวังว่าข้อมูลนี้คงมีประโนชน์กับท่านอื่นๆนะครับ
                                     
พระสุพรรณกัลยา ทรงเป็นพระธิดาใน สมเด็จพระมหาธรรมราชา และ พระวิสุทธิกษัตรีย์ เป็นพระพี่นางของ สมเด็จพระนเรศวร มหาราช และสมเด็จ พระเอกาทศรถ สมภพเมื่อวันเสาร์ ปีมะเส็ง พุทธศักราช ๒๐๙๕ ณ พระราชวังจันทน์ เมืองพิษณุโลก (บริเวณ ที่ตั้ง โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม ในปัจจุบัน) พระองค์เป็น วีรสตรี ผู้กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว ทรงเสียสละความสุขส่วนพระองค์ ยอม พลัดพรากจากแผ่นดินไทย ไปเป็นองค์ประกัน ณ กรุงหงสาวดี เพื่อแลกกับ องค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และ  สมเด็จพระ เอกาทศรถ ต่อมาได้ทรงสิ้นพระชนม์ชีพในแผ่นดินพม่าอย่างไร้พิธีอัน
สมระยศ ความ เสียสละอัน ใหญ่หลวง ของพระองค์ในครั้งนั้น   เป็นผลทำให้  สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงกลับมากอบกู้ เอกราชของชาติไทยได้สำเร็จ วีรกรรมดังกล่าวของ พระสุพรรณกัลยา  จึงสมควรได้รับการเทิดพระเกียรติให้แพร่หลาย  ยิ่งขึ้นสืบไปตลอดกาลนานสถานที่สักการะบูชา :
"พระอนุสาวรีย์ พระสุพรรณกัลยาณี" ณ ค่ายสมเด็จพระนเรศวร มหาราช (กองทัพภาคที่ ๓) อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก
หลังสงครามเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งแรก เมื่อปี พุทธศักราช ๒๑๑๒ พระนาง และพระอนุชา ทั้งสอง พระองค์ ได้ถูกพระเจ้าบุเรงนอง กวาดต้อนไปเป็น เชลยยังเมืองหงสาวดี พร้อมด้วย พระมหินทราธิราช เจ้าเหนือหัว แต่พระมหินทราธิราช เสด็จสวรรคตที่เมืองอังวะเสียก่อน พม่าจึงแต่งตั้งให้ พระมหา ธรรมราชา ขึ้นครองกรุงศรีอยุธยา ในขณะที่โอรสและธิดายังเป็นเชลยอยู่ เพื่อเป็นองค์ประกัน ป้องกัน การคิดทรยศของฝ่ายไทยทั้งสามพี่น้อง อยู่ที่หงสาวดีถึง ๖ ปี จึงได้กลับมากรุงศรีอยุธยาครั้งหนึ่ง เมื่อพระนางมีพระชนมายุได้ ๑๙ พรรษา ด้วยเหตุที่ พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง เกิดความพึงใจใน พระสิริโฉม ของพระสุพรรณกัลยา จึงมาสู่ขอจากพระมหาธรรมราชา และนำกลับไปอภิเษก เป็น พระชายา ณ เมืองหงสาวดี ต่อมาพระนางได้ออกอุบาย ทูลขอให้พระอนุชาทั้งสองพระองค์ กลับสู่ กรุงศรีอยุธยา โดยอ้างว่า เพื่อไปช่วยพระบิดารับศึก พระยาละแวกแห่งเขมร พระสุพรรณกัลยา มีสภาพเหมือนถูกทอดทิ้ง ให้ผจญกรรมเพียงลำพัง กับไพร่พลเล็กน้อย ในท่ามกลางหมู่อริราช ศัตรู ทั้งสิ้น แต่กระนั้นพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ก็ทรงมีพระเมตตารักใคร่สิเนหา แก่พระสุพรรณกัลยา อยู่ไม่น้อย และด้วยบารมีแห่งพระสุพรรณกัลยา ได้ปกแผ่คุ้มครองแก่คนไทย ที่ตกเป็นเชลย อยู่ใน เมืองพม่า มิให้ได้รับความลำบาก ต่อมามังไชยสิงหราช(นันทบุเรง)โอรสของพระเจ้าบุเรงนอง เป็น ผู้มักมากในกามคุณ และต้องการเป็นใหญ่ จึงร่วมมือกับชายาชาวไทยใหญ่ นามว่า "สุวนันทา" วางแผนชิงราชสมบัติ และแย่งอำนาจ ทำให้พระเจ้าบุเรงนองตรอมพระทัย และสวรรคต อย่างกระทัน หัน เมื่อพระเจ้านันทบุเรงขึ้นครองราชย์ เกิดความวุ่นวาย เนื่องด้วยการไม่ยอมรับ ของพระญาติวงศ์ หลายฝ่าย ทำให้พระเจ้านันทบุเรง เกิดความหวาดระแวง กอปรด้วยรู้ว่า มีการรวบรวมไพร่พล เตรียม การกู้ชาติ ของ พระนเรศวรและพระเอกาทศรถ ทางเมืองไทย จึงสั่งจับจองจำพระมารดา เลี้ยง (พระสุพรรณกัลยา) และพระธิดาองค์แรกของพระนางให้อดอาหาร ลงโทษทัณฑ์ ทุบตี โบย อย่างทารุณ ในขณะที่พระนางทรงครรภ์แปดเดือน จนพระธิดาสิ้นพระชนม์ จากนั้น ก็ทำทารุณกรรมต่อพระนางอีก จนอ่อนเปลี้ยสิ้นเรี่ยวแรง แล้วใช้ดาบฟัน ฆ่าพระนางพร้อมด้วยทารกในครรภ์ แม้ร่างกายของพระนาง สิ้นสูญแล้ว ก็ยังไม่เป็นที่สาแก่ใจ ของพระเจ้านันทบุเรง แม้ดวงพระวิญญาณของพระองค์ ก็ถูก กระทำ พิธีทางไสยศาสตร์ ตราสังรัดตรึง ไม่ให้วิญญาณกลับสู่เมืองไทย ให้วนเวียนอยู่ อย่างทุกข์ทรมาน นานนับร้อยปี ... ในปีพุทธศักราช ๒๔๙๑ หลวงปู่โง่น โสรโย แห่งวัดพระพุทธบาทเขารวก อำเภอ ตะพานหิน จังหวัดพิจิตร ได้รับกิจนิมนต์จาก พระมหาปีตะโก ภิกขุ ให้ไปช่วยงานด้านประติมากรรม ซ่อมแซมรูปลายฝาผนัง ที่เมืองพะโค (หงสาวดี) ประเทศพม่า ในขณะนั้น ประเทศพม่า มีเหตุการณ์ ทางการเมืองภายใน เกี่ยวกับสมณศักดิ์พระภิกษุ หลวงปู่โง่น พลอยต้องอธิกรณ์โทษการเมืองไปด้วย กลับเมืองไทยไม่ได้ ระหว่างถูกกักบริเวณ ท่านใช้เวลาในการฝึกจิต กำหนดตัวแฝง และพลังแฝง ในกายได้ สามารถติดต่อกับโลกวิญญาณ และได้เข้าถึงกระแสพระวิญญาณที่สื่อสารต่อกัน กล่าวว่า ท่านเคยเป็นนายทหารช่าง สร้างบ้านเรือน ทั้งยังเคยถูกพม่ากวาดต้อนไป พร้อมกับพระนางในครั้งนั้น เคยเป็นข้ารับใช้ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา และกรุงธนบุรี พระสุพรรณกัลยา ได้ขอร้องให้หลวงปู่โง่น ช่วยแก้พันธนาการทางไสยศาสตร์ เพื่อดวงพระวิญญาณของพระองค์ จะได้กลับไปเมืองไทย และให้นำ ภาพลักษณ์ของพระองค์ อันเกิดจากกระแสพระวิญญาณ เผยแพร่ให้แก่ชาวไทย ผู้ลืมพระองค์ ท่าน ไปแล้ว พระองค์จะกลับมาทำคุณประโยชน์ ช่วยเหลือประเทศชาติ ทั้งยังปณิธาน จะกลับมาอุบัติเป็น เจ้าหญิงในปัจฉิมสมัยของวงศ์กษัตริย์ไทย จะสร้างบารมี ประกอบคุณความดี เพื่อให้อยู่ในหัวใจ ของคนไทยทั้งประเทศ ด้วยเหตุเพราะ  คนไทย ลืมคุณกู้ชาติของพระองค์ ที่ยอมสละความสุขในชีวิต เพื่อให้สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และสมเด็จพระเอกาทศรถ มีโอกาสกู้ชาติบ้านเมืองได้สำเร็จ ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น หลวงปู่โง่น โสรโย และท่านพลโทถนอม วัชรพุทธ แม่ทัพกองทัพภาคที่ ๓ ได้ร่วมมือกันสร้างพระอนุสาวรีย์ ของพระสุพรรณกัลยา มีขนาดเท่าองค์จริง และได้อัญเชิญ มา ประดิษฐานไว้ ณ ริมฝั่งแม่น้ำน่าน ในบริเวณ "ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช" ใกล้กับพระบรม ราชานุสาวรีย์ พระอนุชาทั้งสองพระองค์ โดยได้นำส่วนของสรีระ เช่น กระดูก ฟัน และเครื่องประดับ ของมีค่าบางอย่าง ที่ขุดค้นได้จาก แหล่งฝังพระศพของพระนาง นำมาบรรจุ ในพระอุระของพระรูปด้วย เพื่อให้ชาวไทยทุกคน ได้มีโอกาสเคารพสักการะ วีรสตรีผู้เสียสละยิ่งใหญ่กว่าผู้ใด เพียงให้สยามไทย ได้คงอยู่ชั่วฟ้าดิน ...
                                                      คาถาบูชาพระสุพรรณกัลยา 
   (ตั้งนะโม สามจบ) เอหิภูโต มหาภูโต สะมะนุสโส สะเทวะโก กะโรหิ เทวะทิตานัง อาคัจเฉยะ อาคัจฉาหิ
                              เอหิวิญญานะ สุพรรณกัลละยา เทวะทิตา อาคัจเฉยยะ อาคัจฉาหิ มานิมามา



เอกสารอ้างอิง :
หนังสือ "ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา" (พ.ศ. ๒๕๔๑) เขียนโดย หลวงปู่โง่น โสรโย วัดพระพุทธบาทเขารวก อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร
หนังสือ "สมเด็จพระนเรศวรมหาราช วีรกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่" (พ.ศ. ๒๕๔๑)ค้นคว้าและรวบรวมโดย พันโทหญิง จีรวรรณ ชินะโชติ
เอกสารเผยแพร่ ณ ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคมจัดทำโดย ชูศรี เกิดศิลป์, พาที ศรีสวัสดิ์, และ ภราดร จุณศิริ
รวบรวมข้อมูล และภาพประกอบ เผยแพร่เพื่อเทิดพระเกียรติ โดย .. ฉวีวรรณ สุวรรณรัฐ (licsw@mahidol.ac.th) 

63
ชนชาวไทย น้อยคนนักที่ไม่รู้จักพระสุพรรณกัลยาและสมเด็จพระนเรศวรมหาราช แต่มี อีกพระองค์ ซึ่งกระผมอยากให้สมาชิกได้ข้อมูล นี้ไปอ่านบ้าง
สมเด็จพระเอกาทศรถ                                                      
          พระบาทสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๓ (สมเด็จพระเอกาทศรถ) หรือ พระนามเดิมว่า พระองค์ขาว เสด็จพระราชสมภพ ณ พระราชวังจันทน์เมืองพิษณุโลก เป็นพระราชโอรสองค์สุดท้ายในสมเด็จพระมหาธรรมราชา กับพระวิสุทธิกษัตรีย์ ทรงเป็นพระอนุชาของพระสุพรรณกัลยาและสมเด็จพระนเรศวรมหาราช


  พระนามเต็ม"พระศรีสรรเพชญ์ สมเด็จบรมราชาธิราชรามาธิบดี ศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิ สวรรยาราชาธิบดินทร์ องค์ปรมาธิเบศร ตรีภูวเนตร นาถนายก ดิลกรัตนราชชาติอาชาวสัย สมุทัย ตโรมนต์ สกลจักรวาฬาธิเบนทร สุริเยนทราธิบดินทร หริหรินทรา ธาดาธิบดีศรีวิบุลย คุณรุจิตรฤทธิราเมศวรธรรมิกราชเดโชไชย พรหมเทพาดิเทพตรีภูวนาธิเบศร โลกเชษฐวิสุทธิคตา มกุฎเทศมหาพุทธางกูร บรมบพิตร"


ก่อนขึ้นครองราชสมบัติ
หลังจากที่สมเด็จพระนเรศวรทรงประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง เมื่อปีพ.ศ. ๒๑๒๗ สมเด็จพระเอกาทศรถก็ได้เสด็จออกร่วมทำการรบคู่กับสมเด็จพระนเรศวร ได้โดยเสด็จในการทำศึกสงครามด้วยทุกครั้งนับแต่นั้นมาจนสิ้นรัชสมัยเสมอเหมือนพระเจ้าแผ่นดินและให้ประทับอยู่ที่พระราชวังจันทร์เกษมในกรุงศรีอยุธยา
หลังขึ้นครองราชสมบัติ
 พระเอกาทศรถ จากภาพยนตร์เรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ. 2550) รับบทโดย พ.ต.วินธัย สุวารีเมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. ๒๑๔๘ พระองค์ก็ได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากสมเด็จพระนเรศวร ในปีเดียวกันในรัชสมัยของพระองค์ บ้านเมืองเป็นปกติสุข เป็นที่เคารพยำเกรงแก่ประเทศเพื่อนบ้าน อันเป็นผลจากการที่สมเด็จพระนเรศวร และพระองค์เองได้ทรงสร้างอานุภาพ ของราชอาณาจักรอยุธยาไว้อย่างยิ่งใหญ่ มีพระราชอาณาเขตแผ่ออกไปอย่างกว้างใหญ่ไพศาลเกินกว่ายุคใดๆของไทย พระองค์ทรงเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาทำศึกมาตลอดการครองราชย์ของสมเด็จพระนเรศวร จึงไม่มีพระราชประสงค์จะแผ่พระราชอาณาเขตออกไปอีก และหันมาเน้นทางการปกครองบ้านเมืองแทน

ในรัชสมัยของพระองค์ได้มีชาวต่างประเทศอาศัยในกรุงศรีอยุธยาอยู่มากจึงมีการยอมรับชาวต่างชาติเข้ามาเป็นทหาร เรียกว่า ทหารอาสา โดยได้จัดแบ่งออกเป็นพวก ๆ ตามเชื้อชาติ และตามความชำนาญในการรบ เกิดหน่วยทหารอาสาขึ้นหลายหน่วย เช่น กรมอาสาญี่ปุ่น กรมอาสาจาม กรมทหารแม่นปืน (โปรตุเกส) นอกจากนั้นในรัชสมัยของพระองค์ ยังมีชื่อเสียงในด้านความสามารถหล่อปืนใหญ่สำริดที่มีคุณภาพสูง ซึ่งน่าจะได้เรียนรู้มาจากโปรตุเกสและฮอลันดา เมื่อมาผสมผสานกับขีดความสามารถ ในด้านการหล่อโลหะของไทยที่มีการหล่อ ระฆังและพระพุทธรูป ที่มีมาแต่เดิม จึงทำให้การหล่อปืนใหญ่ของไทยในครั้งนั้นเป็นที่ยกย่องชมเชยไปถึงต่างประเทศ ดังจะเห็นได้จากการที่โชกุนของญี่ปุ่น ได้มีหนังสือชมเชยคุณสมบัติของปืนใหญ่ไทยเป็นอันมาก พร้อมกับขอให้ไทยช่วยหล่อปืนใหญ่ให้อีกด้วย (โชกุนของญี่ปุ่นในรัชสมัยของพระองค์คือโชกุนโตกุงาวะ อิเอยาสุ)
การสงคราม
ในสมัยของพระองค์ยังมีการไปตีทัพเมืองอังวะของสมเด็จพระสีหสุธรรมราชา (พระอนุชาของสมเด็จพระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง) ที่มายึดไทยใหญ่ และทวายมาเป็นของอังวะ
 พระราชโอรสและพระราชธิดา
สมเด็จพระเอกาทศรถมีพระราชโอรสที่ประสูติจากพระอัครมเหสี สององค์คือ เจ้าฟ้าสุทัศน์ และเจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์ และมีพระราชโอรสที่ประสูติจากพระสนม อีกสามองค์คือ พระอินทรราชา พระศรีศิลป์ และพระองค์ทอง ไม่ปรากฏว่าทรงมีพระราชธิดา
เสด็จสวรรคต
สมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จสวรรคตเมื่อปี พ.ศ. ๒๑๕๓ ขณะมีพระชนม์พรรษาได้ ๕๓ พรรษา และทรงอยู่ในราชสมบัติได้ห้าปี เนื่องจากตรอมพระทัยที่พระโอรสคือเจ้าฟ้าสุทัศน์เสวยยาพิษปลงพระชนม์ พระราชโอรสองค์รอง คือ สมเด็จพระศรีเสาวภาคย์ จึงได้เสวยราชสมบัติสืบต่อมา
คัดลอกข้อความมาจาก : th.wikipedia.org/wiki/สมเด็จพระเอกาทศรถ - 306k -
รูปพระเอกาทศรถ จากภาพยนตร์เรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ. 2550) รับบทโดย พ.ต.วินธัย สุวารี

64
  วันนี้ ป๊า กับคุณแม่ นำพระเครื่องมาจัด กระผมเข้าไปช่วย น้ำลายไหลเลย อยากได้ทุกๆองค์เลยครับ นี่ก็แอบถ่ายอย่างเร่งรีบ และกล้องติดมือถือโคตรห่วย ได้เท่านี่ครับ แต่อยากให้ทุกๆท่านชม

รูปป๊าผม กำลังระวังลูกชาย อมพระครับ อิอิ
หลวงพ่อเกษม รุ่น 2

พระนางพญาไม้แก่นมะขาม วัด เวฬุราชิ ตลาดพลู

พระที่สร้างแบบเป็นชุด 2530-2540
[img]
ไม่รู้ว่าที่ไหนบ้างครับ

65
              วันนี้เป็นวันสงกรานต์ ตื่นแต่เช้า ช่วยคุณแม่ กับ ป๊า จัดของเตรียมสรงน้ำพระ ถวายผลไม้ ต่างๆถือเป็นกิจกรรมสานสัมพันธ์ในครอบครัว ของผมเลยก็ว่าได้


ป๊าเริ่มไหว้คนแรก

โต๊ะบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงค์ และพระบรมสารีริกธาตุ

พระพุทธสิหิงค์จำลอง
หลวงพ่อบัวเข็ม สร้างด้วยไม้จันทร์ อายุไม่น่าต่ำกว่า 150 ปี นับจาก อายุอาเหลาก๋ง ครับ

หลวงปู่ทวด เป็นกระดาษ สร้างปี 2505 ครอบกระจก แต่ท่านไม่ยอมอยู่ ใส่กระจกกีครั้ง แตก โดยไม่มีสาเหตุ

หลวงพ่อโสธร รุ่น 2519

แบบพระของขวัญวัดปากน้ำรุ่น 6

โต๊ะบูชาเทพองค์ต่างๆ และขัน 9 ของคุณแม่

คุณแม่ กับ ป๊า ช่วยกันเช็ดผมมีหน้าที่เปลี่ยนน้ำ
ครอบครัวผมมีกิจกรรมร่วมกันดังที่กล่าวมา ครอบครัวท่านสมาชิกท่านอื่นๆไปทำอะไรร่วมกันบ้างครับ

66
รบกวนสายพรายช่วยดูหน่อย ว่าใช่แม่เป๋อและงั่งไหม
  ขอเล่านิด เนื่องด้วยพอดีสงกรานต์ ได้มีการสรงน้ำพระ ส่วนสองสิ่งนี้อยู่ที่ห้องแต่งตัวหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง คุณแม่เค้าพรมน้ำอบด้วย สองสิ่งนี้อยู่กับบ้านผม มานานมากๆไม่น่าต่ำกว่า 80 ปี คุณตาเล่าให้ฟังว่าคุณตาทวดให้มา และคุณแม่ ได้มาอีกต่อหนึ่ง ตอนเด็กผมเห็นอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งบ้านที่แพร่ ตอนนี้มาอยู่บ้านแม่ที่ กทม. กระผมทึกทักเอาเองว่าเสร็จผมแน่ ไม่ให้ก็อาจมีขโมย ฮิฮิ 20; ล่อเล่น
1.
ขอเดาอย่างมีหลักการว่าน่าจะเป็นแม่เป๋อ
2.

ขอเดาอย่างมีหลักการว่าน่าจะเป็น
ขอสอบถามว่าที่ผมคาดเดาถูกต้องไหมครับ เลี้ยงไว้ทำไม และเลี้ยงยังไง ขอความรู้ด้วยนะครับขอบคุณมากครับ

67
เทพธิดาเงิน

มีคนส่งมาให้ ทาง HOTMAIL ผมล่ะไม่เคยได้ยินเลยท่านใดรู้จักบ้าง ผมอยากรู้มากเลยครับ ช่วยให้ข้อมูลผมด้วยนะครับ 22;

68
พระบางเป็นพระพุทธรูปปางประทานอภัย สูงสองศอกเจ็ดนิ้ว(ประมาณ 1.14 เมตร)หล่อด้วยสัมฤทธิ์(ทองคำผสม 90 เปอร์เซ็นต์) มีอายุอยู่ราวปลายพุทธศตวรรษที่ 18 ถึงตอนต้นของพุทธศตวรรษที่ 19 ตามศิลปะลาว-ขเมรแบบบายนตอนปลาย โดยมีพุทธลักษณะคือ ประทับยืนยกพระหัตถ์ขึ้น นิ้วพระหัตถ์เรียบเสมอกัน พระพักตร์ค่อนข้างเป็นรูปสี่เหลี่ยม พระนลาฏกว้าง พระขนงเป็นรูปปีกกา พระเนตรเรียว พระนาสิกค่อนข้างแบน พระโอษฐ์บาง พระเศียรและพระเกตุมาลาเกลี้ยงสำหรับสวมเครื่องทรง ปั้นพระองค์เล็ก พระโสภีใหญ่ ครองจีวรห่มคลุม แลเห็นแถบสบงและหน้านาง

พระบางเดิมนั้นประดิษฐานอยู่ที่นครหลวงของอาณาจักรขอม จนเมื่อ พ.ศ. 1902 พระเจ้าฟ้างุ้มกษัตริย์แห่งล้านช้างซึ่งมีความเกี่ยวพันทางเครือญาติกับพระเจ้ากรุงเขมร มีพระราชประสงค์ที่จะเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้ประดิษฐานมั่นคงในพระราชอาณาจักร จึงได้ทูลขอพระบางเพื่อมาประดิษษฐาน ณ เมืองเชียงทองอันเป็นนครหลวงของอาณาจักรล้านช้างในขณะนั้น

 
หอพระบาง พิพิธภัณฑ์เมืองหลวงพระบางแต่เมื่ออันเชิญพระบางมาได้ถึงเมืองเวียงคำ(บริเวณแถบเมืองเวียงจันทร์ในปัจจุบัน) ก็มีเหตุอัศจรรย์ขึ้นจนไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ พระบางจึงได้ประดิษฐานอยู่ที่เมืองนี้จนถึง พ.ศ. 2055 อันเป็นสมัยของพระเจ้าวิชุณราช ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเจ้าเมืองเวียงคำมาก่อน จึงสามารถนำเอาพระบางขึ้นไปประดิษฐานไว้ที่วัดวิชุนราชในนครเชียงทอง ทำให้เมืองเชียงทองถูกเรียกว่า หลวงพระบาง นับแต่นั้นเป็นต้นมา

ในสมัยที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้ยกทัพเข้ายึดครองอาณาจักรล้านช้างไว้ได้ จึงได้อาราธนาพระบาง พร้อมทั้งพระแก้วมรกต ลงมาประดิษฐานที่กรุงธนบุรี ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จึงได้พระราชทานพระบางคืนให้แก่ล้านช้างดังเดิม

ปัจจุบันพระบางประดิษฐานอยู่ที่ หอพระบาง พิพิธภัณฑ์เมืองหลวงพระบาง
ที่มาของข้อมูล: http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%87

69
            วันนี้ตื่นแต่เช้าไปรับยาที่โรงพยาบาลมหาชัย เสร็จ 10.00น. คิดถึงอาจารย์ต้อยวัดกำพร้าครับ เลยไปหาท่าน อย่างที่เคย เห็นหน้าอาจารย์ไม่ได้ต้องขอของดีติดกายกลับบ้านวันนี้ให้ องคตมาครับที่สีข้างด้านขวาครับ


แล้วนี่ยันต์อะไรครับอาจารย์ต้อย วัดกำพร้าให้มา ช่วยบอกทีครับ
       แล้วท่านอาจารย์ต้อยให้ผมไปสักกับอาจารย์ทองตลาดพลู ท่านเมตตาให้ยันต์ครูมาครับ เข็มแรงครับ ของที่นี่แรงมากครับ ของขึ้นตอนสักเลย ต้องลืมตาครับ(มีพี่คนหนึ่งบอกมา)จึงสักต่อได้

ยันต์ครูอาจารย์ทองครับ
ขอประกาศด้วยนะครับ พ่อทองจะสักวันนี้แล้วจะพักผ่อน ประมาณ3วัน ก่อนจะไปสาธารณรัฐสิงคโปร์ (Republic of Singapore) กลับมาประเทศไทยวันที่13/05/52 จะเริ่มสัก 16/05/52 นะครับ
ปล.ไปสักกับอาจารย์ท่านไหนวันรุ่งขึ้นจะต้องไปต่างประเทศทุกทีเลย ฮิฮิ :004: :004: :004:

70
ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ดลบันดาลให้ พระอาจารย์ สุขภาพแข็งแรงนะครับวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของพระอาจารย์สมชาย กระผมเพิ่งรู้ตอนไปสักวันนี้ กระผมเป็นศิษย์ที่แย่มากครับ วันคล้ายวันเกิดพระอาจารย์ก็ไม่รู้ แต่ท่านก็เมตตาให้เสื้อผมมาครับ

71
กระผมได้บริจากอวัยวะให้ศูนย์รับอวัยวะ สภากาชาติไทย ตั้งแต่ปี 2542 อยากให้ท่านที่ยังไม่บริจาคช่วยบริจากกันนะครับhttp://www.organdonate.in.th/

72
                                     บันทึก ของ เสด็จในกรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์                                        เจอบันทึกนี้   ให้เอาคำต่อไปนี้ของกูไปประกาศให้คนรับรู้ว่า
                                           กู กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
                                           ผู้เป็นโอรสของพระปิยะมหาราช
                                           ขอประกาศให้พวกมึงรับรู้ไว้ว่า
                                      แผ่นดินสยามนี้ บรรพบุรุษได้เอาเนื้อเอาชีวิตเข้าแลกไว้
                                         ไอ้อีผู้ใดมัน คิดบังอาจทำลายแผ่นดิน
                                         ทำลายชาติ ทำลายศาสนา พระมหากษัตริย์
                                     ฤากระทำการทุจริต ก่อให้เกิดความเดือนร้อนต่อส่วนรวม
                                            จงหยุดคิดการกระทำนั้นเสียโดยเร็ว
                          ก่อนที่กูจะสั่งทหารผลาญสิ้นทั้งโคตรให้หมดเสนียดของแผ่นดินสยาม
                                         อันเป็นที่รักของกู ตราบใดที่คำว่าอาภากร
                                      ยังยืนหยัดอยู่ในโลก   กูจะรักษาแผ่นดินสยามของกู
                                                       ลูกหลานทั้งหลาย
                                   แผ่นดินใดให้กำเนิดเรามา   แผ่นดินใดให้ที่ซุกหัวนอน
                                          ให้ความร่มเย็นเป็นสุข  มิให้อนาทรร้อนใจ
                                                    จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้น

ที่มา : http://www.seal2thai.org/etc/chumporn/record.html
           กระผมไปอ่านเจอแล้วอยากให้ทุกๆฝ่ายที่กำลังจะทำอะไรที่เห็นแต่ผลปรโยชน์ของตัวเอง กลับมามอง ถึงการกระทำที่ช่วยชาติอย่างจริงๆไม่แอบแฝง
 ให้สำนึกของความเป็นคนไทย รัก ประเทศไทย รู้บุญคุณแผ่นดิน และไม่ทำลายชาติไทยไปมากว่านี้ครับ

73
บทความ บทกวี / บวชลูกแก้ว
« เมื่อ: 04 เม.ย. 2552, 11:36:14 »
     แม่ฮ่องสอนเป็นดินแดน แห่งความฝัน ของชาวต่างชาติ เพราะตั้งอยู่สุดชายแดนไทยตอนบน ซึ่งรายล้อม ไปด้วยขุนเขา ที่สลับซับซ้อน และมีหมอกปกคลุมตลอดทั้งปี ด้วยเหตุนี้ ผู้ใดที่ได้มาเยือน ย่อมเกิดความประทับใจไม่รู้ลืม และพากัน ขนานนามจังหวัดนี้ว่า "เมืองสามหมอก" หรือ "สวิสเซอร์แลนด์ แห่งเมืองไทย " สมกับคำขวัญที่ว่า
"หมอกสามฤดู กองมูเสียดฟ้า ป่าเขียวขจี ผู้คนดี ประเพณีงาม ลือนามถิ่นบัวตอง"
           ชนพื้นเมืองในจังหวัด แม่ฮ่องสอนนั้น ส่วนมากเป็นคนไต หรือไทยใหญ่ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญการเดินป่า โดยเร่ร่อน ไปค้าขาย ของป่า และทำไม้ ยังต่างแดนในเขตพม่าและลาว เช่น หลวงพระบาง สิบสองปันนา ฯลฯ
           ก่อนนั้นมีถิ่นฐานเดิม อยู่ในประเทศจีน พอถูกกองทัพ จักรพรรดิเจงกีสข่านแผ่อำนาจลงมา ทางทิศตะวันตก เฉียงใต้ของจีน ทำให้ชาวไทยใหญ่จำนวนหนึ่งต้องอพยพ ลงมาทางใต้ แถบประเทศพม่า จนกระทั่ง สมัยที่พม่าตกอยู่ภายใต้การปกครอง ของประเทศอังกฤษ จึงมีบางส่วน อพยพเข้ามา อยู่บริเวณภาคเหนือของไทย เช่น เชียงราย แม่ฮ่องสอน ฯลฯ ดังนั้นชาวไทยใหญ่ จึงมิใช่คนเชื้อสายพม่า ซ้ำยังมีอารยธรรม ที่สูงกว่าพม่าเสียอีก โดยเฉพาะด้านศิลปะกรรม วัฒนธรรม และขนบธรรมเนียม ประเพณี พลเมืองไทยใหญ่ ส่วนมากนับถือ ศาสนาพุทธ ในรอบปีมีการ ประกอบศาสนกิจหลายครั้ง แต่ครั้งที่สำคัญ และยิ่งใหญ่สุด ได้แก่ ปอยส่างลอง หรือ การบวชลูกแก้ว ของคนไต ปอยส่างลอง เป็นภาษาไทยใหญ่ ความหมาย ของคำสามารถ แยกได้ดังนี้
?   ปอย แปลว่า งานบุญ งานฉลอง หรือพิธี
?   ส่าง สันนิษฐานว่า อาจเพี้ยน มาจากคำว่า สาง ที่แปลว่า พระพรหม ซึ่งเป็นเทพที่ชาวไทยใหญ่ นับถือมาก โดยเรียกว่า ขุนสาง และ เรียกสามเณรว่าเจ้าสาง
?   ลอง มาจากคำว่า "อลอง" แปลว่า ประโพธิสัตว์ หรือหน่อพุทธางกูร แต่หมายถึง สภาวะที่กำลัง ก้าวเข้าสู่ชีวิต สามเณรได้ด้วย
รวมความแล้ว "ปอยส่างลอง" จึงหมายถึง พิธีงานบุญ ที่กำลังก้าว ไปสู่เพศสามเณร นั่นเอง แต่มีบางท่าน ให้คำจำกัดความ คำว่า "ส่างลอง" นั้น มาจากคำว่า "สำรอง" ซึ่งหมายถึง มีไว้หรือตระเตรียม ไว้เผื่อเหลือเผื่อขาด
           คนไตถือว่า การบรรพชา สารเณร หรือการอุปสมบท พระภิกษุนั้น เป็นงานบุญกุศล ของพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ส่วนจะมี อานิสงส์ มากน้อยเพียงใด มีรายละเอียด ดังต่อไปนี้
?   ถ้าอุปสมบท บุตรตนเอง เป็นพระภิกษุ มีอานิสงส์ 16 กัลป์
?   ส่วนอุปสมบท บุตรผู้อื่น เป็นพระภิกษุ จะมีอานิสงส์ 8 กัลป์
?   หากได้บรรพชา บุตรเอง เป็นสามเณร มีอานิสงส์ 8 กัลป์
?   หรือบรรพชา บุตรผู้อื่น เป็นสามเณร จะมีอานิสงส์ 4 กัลป์
?   ผู้ที่เป็นพ่อแม่ ของสามเณร สังคม จะให้การยกย่อง เป็น พ่อส่าง แม่ส่าง
?   ส่วนพ่อแม่ ของพระภิกษุ จะถูกยกย่อง เป็น พ่อจาง แม่จาง
           ชาวไทยใหญ่ ให้ความสำคัญ กับพิธีบรรพชา สามเณรมาก เพราะถือว่า เมื่อวัยเด็กยัง อ่อนต่อโลก เมื่อเป็นเพศสมณะ จะเป็นผู้สะอาด บริสุทธิ์ เปรียบเสมือน อัญมณีที่กำลังผ่าน การเจียระไน ดังนั้น พิธีปอยส่างลอง จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "การบวชลูกแก้ว"
           ปอยส่างลอง หรือการบวชลูกแก้ว กำหนดไว้ว่า ควรเป็นเยาวชน ที่อายุระหว่าง 10 - 14 ปี อันเป็นวัย ที่อยู่ในช่วง ศึกษาเล่าเรียน จึงนิยมบวชกัน เป็นหมู่ในช่วงปิด เทอมใหญ่ ภาคฤดูร้อน ซึ่งก่อนนั้น มักกระทำกัน ในเดือนมีนาคม อันเป็นช่วง ที่ว่างเว้นจากการ ทำนาทำไร่ และอากาศ กำลังเย็นสบาย เหตุที่เปลี่ยนเป็น เดือนเมษายน ของทุกปี เพราะเงื่อนไข ทางการศึกษา เป็นเหตุผลสำคัญ
           แต่ละปี งานปอยส่างลอง ใช้เวลาจัดประมาณ 3 - 7 วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ ฐานะของเจ้าภาพ แต่ละราย แต่พิธีที่สำคัญจริง ๆ มีแค่ 3 วันเท่านั้น
วันแรก คือ วันรวมส่างลอง เด็กที่จะได้รับ การบรรพชาเป็นสามเณร นั้นพ่อแม่จะรับตัว ไปแต่งกาย ที่วัดใกล้บ้านตน เมื่อลูกแก้ว โกนผมแล้ว บรรดาญาติพี่น้อง ที่เป็นผู้หญิง จะมาช่วยทาหน้า เขียนคิ้ว แต่งตัวให้อย่าง ปราณีต
           เริ่มจากการ วางมวยผม บนศีรษะที่เกลี้ยงเกลา โดยใช้เชือกแดง มัดให้แน่นปล่อยห้อย ลงมาเป็น 3 ชาย และโพกผ้าสีสวย สดคาดทับทิ้งชายผ้า โพกให้คลี่บานเป็นแบบ รูปพัดอยู่เหนือหูด้านขวา แซมด้วยดอกเอื้องคำ หรือดอกไม้อื่นๆก่อนนั้นนิยม ใช้ดอกไม้สด พอถึงยุคนี้ พากันหันมาใช้ ดอกไม้ประดิษฐ์ จากผ้าหรือกระดาษ เพราะรักษาง่าย ทนทาน ไม่โรยเร็ว และเก็บได้นาน
           สำหรับ มวยผมบนศรีษะ หากได้เส้นผม ของผู้ให้กำเนิด ส่างลองได้ยิ่งดี ถือเป็นสิ่งมงคล สูงสุด หากเป็นลูกกำพร้า อาจหยิบยืม หรือเส้นผมของผู้มีพระคุณ ที่บวชให้มาใช้แทนก็ได้อาภรณ์ที่สวมใส่ เริ่มจากเสื้อผ้า คอกลมแขนยาว เดินลายด้วย ดิ้นเงินดิ้นทอง อย่างแพรวพราว นุ่งผ้า โจงกระเบนแบบ ทางภาคกลางยาว เกือบจรดพื้น มีชายเสื้อปล่อยห้อย ทับผ้านุ่ง แลดูคล้าย เจ้าชายในสมัยโบราณ
           บริเวณแผ่นอกห้อย "แคบคอ" ซึ่งเป็นทองคำ เนื้อดีถูกตีแผ่ เป็นรูปแปดเหลี่ยมพิมพ์เป็น ลายนูนออกลวดลาย ต่างๆ บางทีเป็นรูป นกหงส์ก็มี ซึ่งอาจจะ หมายถึงหงสาวดี เมืองสำคัญ ในอดีตของไทยใหญ่ โดยส่างลองคนหนึ่ง จะห้อยประมาณ 5 - 9 แผ่น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ ฐานะของแต่ละครอบครัว วิธีการประดับ ใช้ผูกร้อยด้วยด้ายสีแดง เวลาสวมห้อยไว้ ด้านหน้า และผูกเงื่อน ไว้ด้านหลังประมาณ 1 - 2 เส้น
           นอกจากนี้ ยังมีผู้ที่ทำหน้าที่ แบกส่างลอง ไปมายัง สถานที่ต่างๆ ยกเว้นบนปะรำ พิธีหรือที่วัด เนื่องจาก มีความเชื่อว่า ส่างลอง มีความสำคัญ กว่าคนธรรมดา สามัญ ถึงแม้จะยังไม่ได้ บรรพชาเป็นสามเณร แต่ก็ได้ รับการยกย่อง เป็นสมมุติเทพ องค์หนึ่ง ดังนั้น เวลาเดิน ต้องคล้ายเหินเท้าจะแตะถูก พื้นดินไม่ได้ จึงต้องมีพี่เลี้ยง ที่ได้รับการแต่งตั้ง จากเจ้าภาพ คอยสอดส่องดูแล ส่างลอง บุคคลเหล่านี้ มีชื่อเรียกกันว่า "ตะแป" บทบาทของตะแป ส่างลองมี ความสำคัญมาก นอกจากต้อง รับน้ำหนักของส่างลอง อยู่บนบ่านาน ถึง 2 - 3 วัน ยังต้อง คอยระมัดระวัง ทรัพย์สินเครื่องประดับ อันมีค่าอีกด้วย จึงจำเป็นต้อง ใช้ตะแป หลายคนคอย ผลัดเปลี่ยน หน้าที่กัน บรรดาตะแป เหล่านี้ยังต้องมีหัวหน้า คอยควบคุม อีกคนหนึ่ง เพื่อให้บรรดา ตะแป สนุกอยู่ใน ขอบเขตมิให้แหวกแนว และป้องกัน การผิดพลาด
           ในตอนสาย วันรวมส่างลอง บรรดาส่างลอง พอแต่งกายเสร็จ ตะแป จะแยกจากวัด แห่แหนไปตาม ถนนหนทาง เพื่อไปขอขมา ลาโทษผู้ใหญ่ และรับการให้ศีล ให้พรกับผูกข้อมือ ทั้งนี้ไม่จำกัด ว่าต้องเป็นญาติ ในหมู่ตน ชาวไทยใหญ่ เป็นชนกลุ่มน้อย จึงอยู่ด้วยการ เอื้ออารีต่อกัน แบบฉันท์พี่น้อง มีความรักใคร่ ปรองดองกัน ทุกคนเป็นญาติ กันหมดส่างลอง สามารถเข้าบ้านนั้น ออกบ้านนี้ ได้สะดวก บ้านใดที่ส่างลอง เข้าไปเยี่ยมเยือน ถือเป็นสิริมงคล เจ้าของบ้าน จะต้อนรับ อย่างเต็มที่ ด้วยการเตรียม น้ำดื่ม ขนม หมาก เมี่ยง พลู บุหรี่ มาเลี้ยงแขก มิให้ขาดตกบกพร่อง
วันที่สองวันแห่ครัวทาน ที่ยิ่งใหญ่ ตะแปจะพา ส่างลองทั้งหมด ออกไปแห่รอบๆ เมืองแม่ฮ่องสอน มุ่งสู่จุดหมาย ปลายทางที่วัด พร้อมด้วยเจ้าเมือง และขบวนฟ้อน ที่แต่งกายแบบ พื้นเมือง โดยมีดนตรีพม่า ช่วยขับกล่อมบรรเลง ตลอดเส้นทาง
           ในค่ำคืนนั้น หลังจากที่ส่างลอง อาบน้ำเสร็จ พร้อมกับแต่งกาย ด้วยส่างลองชุดใหม่ เพื่อเข้าพิธีฮ้องขวัญ ซึ่งคล้ายกับการ ทำขวัญนาคของ ภาคกลาง ต่างกันที่สวดเป็น ภาษาไทยใหญ่ ในพิธี ผู้เป็นพ่อแม่ จะป้อนอาหาร 12 อย่าง ให้ส่างลอง รับประทานอัน หมายถึงความ อุดมสมบูรณ์ ของข้าวปลาธัญญาหาร ตลอดปี ของชาวไทยใหญ่ จากนั้นผู้เข้า ร่วมพิธีจะแยกย้าย กันกลับบ้านพักผ่อน
วันที่สาม การเข้าสู่พิธีบรรพชา
           เช้ววันนี้ บรรดาตะแป จะแบกส่างลอง ไปทำการขอขมา ญาติผู้ใหญ่ต่อ หรือเรียกกันตาม ภาษาท้องถิ่นว่า "การกั่นตอ" จนกระทั่งถึง ในช่วงบ่าย จะมาชุมนุมกัน ที่วัดจองคำเพื่อ รอวันเวลาที่จะกระทำ พิธีบวชสามเณร
           พระสงฆ์จากอารามต่างๆ ได้รับการนิมนต์ มาเป็นอุปัชฌาย์ ในงานนี้ ซึ่งมีจำนวนมากเพียงพอ กับส่างลอง เสียงกล่าวคำขอบวช ของเหล่าส่างลอง ดังก้องกระหึ่มไปทั่วบริเวณวัด ท่ามกลางที่ชุมนุมสงฆ์ เมื่อได้รับอนุญาต การบวชจึงมีการ รับจีวรจากบิดามารดา
           ชั่วเวลาไม่นาน ชุดส่างลองอันสวยงาม ถูกเปลื้องออก พร้อมเครื่องประดับอันล้ำค่า เปลี่ยนมาเป็นนุ่งผ้าเหลือง ในเพศของสามเณรน้อย ที่สมบูรณ์หลังจาก ที่ได้รับศีลสิบแล้วนับแต่นี้ต่อไป จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีสามเณรเพิ่มขึ้น อีกจำนวนหนึ่ง และได้พากันแยกย้าย ไปจำพรรษายังวัดอาราม ที่ใกล้กับภูมิลำเนา ของแต่ละคนต่อไป
           ประเพณี ปอยส่างลองนี้ ได้เริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อใด นั้นไม่ปรากฏ หลักฐานที่แน่ชัด ทราบแต่ว่า เป็นประเพณีเก่าแก่ ของชาวไทยใหญ่ โดยมีประวัติ ความเป็นมาดังนี้
           ในสมัยพุทธกาล มีกษัตริย์อยู่พระองค์หนึ่ง ทรงครองราชสมบัติ โดยทศพิธราชธรรม มีโอรสอยู่องค์หนึ่ง มีพระนามว่า จิตตะมังชา ขณะที่มีพระชนมายุได้ 10 พรรษา พระบิดามีความปรารถนา จะให้ผนวชเป็นสามเณร แต่ก็มิได้บังคับ แต่อย่างใดฝ่ายจิตตะมังชา แม้จะยังเยาว์วัย แต่ก็มีพระทัย เลื่อมใสพระบวร พุทธศาสนา มีพระประสงค์ อยากบวชเป็นสามเณร จึงได้ขออนุญาต ต่อพระบิดาด้วยเหตุบังเอิญที่พระทัย ทั้งสองฝ่ายพ้องต้องตรงกัน จึงเกิดความปลื้ม ปีติยิ่งนัก พระบิดาจึงโปรดให้ จัดการฉลองอันยิ่งใหญ่ ให้สมเกียรติพระโอรส แห่งนครมีงาน เฉลิมฉลองติดต่อกัน ถึง 7 วัน 7 คืน และนำเจ้าชาย จิตตะมังชา มาผนวชกับ พระบรมศาสดา มีฉายาใหม่ว่า จิตตะมาแถ่ ด้วยจิตที่เลื่อมใส ต่อพุทธศาสนา ภายหลังต่อมา จึงบวชเป็น พระภิกษุสืบไป
           2 ปีต่อมา พระพุทธองค์ ได้เสด็จมา ที่กรุงกบิลพัสดุ์ เพื่อทรงเยี่ยม พระประยูรญาติ พระนางประชาบดี ซึ่งเป็นพระเจ้าน้า ได้ทรงถวายจีวร ทอด้วยเส้นใย ทองคำ 2 ผืน ผืนหนึ่งถวายแด่ พระพุทธองค์ ส่วนอีกผืนหนึ่ง นั้นให้ถวายกับสาวก ที่ตามเสด็จ โดยมิได้ เจาะจงเป็น รูปหนึ่งรูปใด บรรดาสาวก ไม่มีรูปใดกล้ารับ คงมีแต่ พระจิตตะ มาแต่องค์เดียว ที่เดินเข้าไป รับผ้าจีวร ทองคำผืนนั้น พระสาวกทั้งปวง ต่างติเตียน พระจิตตะมาแถ่ ที่ไปรับของ ที่เสมอกับ พระพุทธองค์พระบรมศาสดา ทราบเรื่องจึงโยนบาตร ขึ้นไปใน ห้องอากาศตรัสว่า
           "ขอศิษย์ตถาคตทั้งหลาย จงนำบาตรลูกนั้น กลับคืนมา แก่เราด้วยเถิด"
           บรรดาพระสาวกต่าง เหาะขึ้นไป เพื่อจะนำบาตร ลูกนั้นมาคืน แก่พระพุทธองค์ ปรากฏว่า จิตตะมาแถ่ เท่านั้นที่พุ่ง นำหน้าสาวก ทั้งปวงนำบาตร คืนมาได้ และได้มอบ ต่อพระศาสดา พระพุทธองค์ ตรัสแก่สาวก ทั้งหลายว่า
           "บารมี พระจิตตะมาแถ่นี้ ได้สร้างสมมา เป็นเวลาช้านาน จึงสมควร ที่จีวรทองคำนั้นตกแก่เขา โดยชอบ และจิตตะมาแถ่ นี้คือพระหน่อพุทธางกูร ในอนาคตกาล"
           จากตำนาน ความเชื่อเรื่องนี้ จึงเป็นที่มาของ ประเพณีบวชลูกแก้ว หรือปอยส่างลอง ของเมืองแม่ฮ่องสอน ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ของชาวไทยใหญ่ ไม่สามารถ จะหาชมได้จาก ที่อื่นๆ
                                     ประเพณีการบวชลูกแก้ว ณ เมืองม้า ประเทศพม่า
 
 
 
    การบวชเรียน นับเป็นประเพณีในพระพุทธศาสนา ที่สืบทอดกันมาแต่ครั้งอดีต และดูเหมือนว่ากระแสโลกที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ได้กลืนเอาประเพณีอันดีงามเหล่านี้ไป จนผู้คนหลงลืมกันไปว่า การบวชเรียนนั้นเป็นอย่างไร แต่ไม่น่าเชื่อว่าประเพณีการบวชเรียนนี้ จะยังคงเป็นสิ่งที่ ชาวเมืองม้า ประเทศพม่า ยึดถือ และปฏิบัติกันเรื่อยมา และถือเป็นประเพณีแห่งบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ ที่ชาวเมืองต่างตั้งหน้าตั้งตารอคอย
 
    ชาวเมืองม้าทุกคน ต่างให้ความสำคัญต่อพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่า พระพุทธศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต โดยชาวเมืองจะน้อมนำหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ดังนั้นประเพณีต่างๆที่เกี่ยวเนื่องด้วยพระพุทธศาสนา ก็จะได้รับการสืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น และรักษาไว้ไม่ให้สูญหายไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเพณีบวชลูกแก้ว หากบ้านไหนมีลูกชายวัย 8ขวบขึ้นไป ก็จะส่งลูกไปบวชเรียนที่วัด และให้อยู่ฝึกตัว ศึกษาพระธรรมคำสอนไปจนโต
 
    แต่ก่อนที่เด็กชายเหล่านั้นจะได้บวช ?ลูกแก้ว? (หรือนาค) จะต้องผ่านการฝึกฝนอบรมเป็นเวลานานเกือบ 4เดือน เพื่อขัดเกลา และเตรียมกาย-ใจ ให้พร้อมต่อการบวชครั้งนี้ ซึ่งการบวชจะมีขึ้นในช่วงหลังออกพรรษา โดยที่ลูกแก้วจะมาฝากตัวเป็นศิษย์และขอบวช
 
 
 
    ลูกแก้วจะได้รับการยกฐานะ ให้เป็นเสมือนเจ้าชายที่กำลังจะออกบวช เมื่อชาวบ้านทราบข่าวการบวช ก็จะพากันมาแสดงความยินดี และมาช่วยงานบวชกันอย่างเต็มที่ ไม่ใช่แค่ชาวเมืองม้าเท่านั้น แต่ชาวเมืองอื่นๆในละแวกนั้นก็มาด้วย เพราะพวกเขาเห็นว่า การบวชเป็นสิ่งที่ได้บุญมาก และการที่ลูกหลานในเมืองได้บวชก็ถือเป็นสิริมงคลแก่เมืองอย่างยิ่ง ชาวบ้านจะชวนกันมาทำบุญกับลูกแก้ว ซึ่งที่นี่จะเรียกว่า ?การทาน? ทั้งทานของ และทานเงิน และที่น่าแปลกก็คือ จะมีการขับเพลง ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับการทำขวัญนาค โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องการบวช และการเสด็จออกบวชของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งจะขับเพลงตั้งแต่สองทุ่มเรื่อยไปจนถึงรุ่งเช้าวันใหม่ โดยที่เนื้อหาของเพลงที่ขับนั้นไม่ซ้ำกันเลย
 
 
 
    หลังจากบวชแล้ว สามเณรลูกแก้วจะได้รับฉายาจากเจ้าอาวาสทันที สามเณรจะปฏิบัติตนตามหลักธรรมคำสอนอย่างเคร่งครัด จะมีการสวดมนต์ สวดธรรม และนั่งสมาธิ เวลาเรียนธรรมะหลวงพ่อเจ้าอาวาสก็จะเป็นผู้สอนเอง โดยการสอนด้วยปากเปล่า แล้วให้สามเณรลูกแก้วท่องตาม ซึ่งสามเณรก็สามารถท่องจำธรรมะทั้งหมดได้ในเวลาอันรวดเร็ว และสามเณรแต่ละองค์ก็จะมีผ้าพาดบ่า (ซึ่งมีลักษณะคล้ายผ้าสังฆาฏิ แต่เป็นสีๆ) โดยมีความเชื่อว่า หากญาติพี่น้องคนใดตกนรก ผ้าผืนนี้จะไปมัด ไปเกี่ยว ช่วยเอาญาติพี่น้องกลับขึ้นมาจากนรกได้
 
 
 
    หลวงพ่ออุ่นหลวง ญาณสิริ เจ้าอาวาสวัดราชฐานหลวงเชียงทุ้ง ท่านได้กล่าวถึงการบวชสามเณรลูกแก้วว่า ?การบวชสามเณรลูกแก้วนี้เป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันมาช้านานแล้ว ซึ่งสามเณรจะบวชจนเป็นพระ แต่เมื่อไฟฟ้าเข้าถึง และมีทีวี ก็ทำให้คนสอนยากขึ้น เด็กเห็นตัวอย่างจากในทีวีก็อยากเอาเป็นแบบอย่าง ทำให้สามเณรที่เคยบวชอยู่นานจนเป็นพระ ลาสิกขาออกไปมาก พระตามวัดก็เหลืออยู่น้อย อาตมาเป็นห่วง แต่ DMC นี้เป็นสื่อที่ดี แต่มีอยู่เฉพาะที่วัดอาตมาเท่านั้น อาตมาอยากให้ชาวบ้านได้ดู DMC ด้วย?
 
 
 
    ในวันที่ 22 เมษายน วันคุ้มครองโลก ปีนี้ ท่านก็ตั้งใจว่า จะเดินทางมาร่วมงานครั้งนี้ด้วย ท่านบอกว่า ?อยากจะเห็นภาพการรวมสงฆ์ครั้งยิ่งใหญ่ครั้งนี้จริงๆ ถ้าได้เห็นจะดีใจมากๆ อย่างน้อยก็ครั้งหนึ่งที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และได้บวชอยู่ในผ้าเหลือง? และท่านก็ได้ฝากของขวัญวันเกิดมาถวายแด่พระเดชพระคุณหลวงพ่อด้วย นั่นก็คือ คัมภีร์ใบลานโบราณ เรื่องทศพิธราชธรรม
 
    นอกจากนี้ พระสังฆราชเมืองเชียงตุง ผู้ปกครองคณะสงฆ์ 3เมือง ได้แก่ เมืองม้า เมืองลา และเมืองเชียงตุง ท่านจะเดินทางมาร่วมงานด้วยตนเอง และจะนำคณะสงฆ์มาร่วมงานวันคุ้มครองโลกครั้งนี้ด้วย เพราะท่านอยากจะเห็นภาพของพุทธบุตรที่รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนดวงตะวันที่มีดวงเดียว และจะได้เป็นส่วนหนึ่งในภาพประวัติศาสตร์ครั้งนี้
ที่นำข้อมูลมาลงเพราะหน่วยงานราชการแม่ฮ่องสอนจะผลักดันให้ประเพณีบวชลูกแก้วเป็นมรดกโลกครับ ผมก็อยากให้เป็นมรดกโลกต้องขอภัยที่ผมพยายลงรูปแต่ดึงยากมากๆ ขออภัยจริงๆ
ที่มา : http://www.kmitl.ac.th/northern/article/traditional/poisanglong.html
       :http://www.dmc.tv/print/latest_update/Myanmar_Novice.html

74
กระผมก็เป็น คนไทยคนนึง ที่มีสิทธ์รับเช็คช่วยชาติ แต่พอผมอ่านข้อมูลนี้ ผมล่ะดีใจมากท่านที่ยังไม่ได้ใช้เช็คก็ตามนี้นะครับ แต่ที่ใช้ไปแล้วก็เสียใจด้วย

        หลังจากที่รัฐบาลมีนโยบายจ่ายเช็คจำนวน 2,000 บาท เพื่อช่วยค่าครองชีพผู้มีรายได้ต่อเดือนไม่ถึง 15,000 บาทนั้น โออิชิ ได้จัดแคมเปญตามหลังทันที กับ ?โปรโมชั่นช่วยชาติกับโออิชิ กรุ๊ป? เพื่อหวังกระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดการใช้จ่ายเงินอุดหนุนดังกล่าว เพื่อให้เศรษฐกิจมีการใช้จ่าย หมุนเวียนต่อไปยังการผลิต การลงทุน และการจ้างงานในที่สุด อันจะทำให้ประเทศไทยฝ่าฟันวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของโลกในปัจจุบันได้

แคมเปญ ?โปรโมชั่นช่วยชาติกับโออิชิ กรุ๊ป? จะเริ่มขึ้น 1 ? 30 เมษายนนี้ โดยประชาชนที่ได้รับเช็คสามารถนำเช็คมูลค่า 2,000 บาทมาใช้จ่ายได้ที่ร้านค้าในเครือโออิชิทั้งหมดได้ 2 รูปแบบ

รูปแบบแรก ประชาชนสามารถนำเช็คดังกล่าวไปซื้อสินค้าและบริการที่ร้านค้าในเครือ โดยถ้ายอดซื้อไม่ถึง 2,000 บาท โออิชิ กรุ๊ป ยินดีทอนให้เป็นเงินสดทันที ส่วนรูปแบบที่ 2 ประชาชนสามารถนำเช็ค 2,000 บาท มาเข้าร่วมแพ็กเกจช่วยชาติกับโออิชิ โดยนำเช็ค 2,000 บาท มาแลกเป็นบัตรของขวัญของโออิชิมูลค่า 4,000 บาท และสามารถนำไปใช้ได้กับทุกร้านค้าในเครือ

?การที่โออิชิ กรุ๊ป จัดโครงการนี้ขึ้นในฐานะองค์กรเอกชนที่ต้องการช่วยชาติในการกระตุ้นให้เกิด การใช้จ่ายของประชาชน อันจะส่งผลต่อการหมุนเวียนต่อไปทางเศรษฐกิจอันจะเป็นตัวแปรสำคัญที่จะทำให้ เศรษฐกิจไทยผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปได้และถ้าหากภาคเอกชนทุกแห่งให้ความร่วม มือและช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของภาคประชาชนจะทำให้งบประมาณ 20,000 ล้านบาทที่รัฐบาลใช้ในโครงการนี้หมุนเวียนเพิ่มมูลค่าได้อีกหลายเท่าตัวจน อาจจะกลายเป็นมูลค่ากว่า 100,000 ล้านบาทก็เป็นได้ ในทางกลับกันถ้าหากประชาชนนำเช็ค 2,000 บาทไปเก็บ หรือฝากไว้กับธนาคาร จะไม่ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มหรือการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจใดๆ เลย? - ตัน ภาสกรนที กรรมการผู้จัดการ โออิชิ กรุ๊ป
ปล.ท่าน อชิตะว่างไหม ภรรยาผมไม่รู้เรื่องโออิชิจ่ายเพิ่ม 2000 บาท ไม่รู้จะไปไหนดี ผมถูหลังไม่ถึงไปหาคนถูหลังกับผมไหม

ที่มา : http://photo.lannaphotoclub.com/index.php?topic=11048.0

75
เพิ่งมาถึงกรุงเทพ วันที่ 01-04-52  เกิดอาการเสี้ยนเข็มอย่างสุดๆ แบบอยากสักมากเลยครับ ตั้งแต่ไหว้ครูยังไม่โดนเข็มสักนิด เลยนึกถึงอาจารย์เอ ตำหนักวิมานทิพย์ แถววัดท่านกระบือ ก็สักหนุนดวงไป หนึ่งรอย กำลังจะกับอาจารย์บอกที่ผมให้หาพิมพ์ท้าวเวชสุวรรณ ตอนนี้อาจารย์หาได้แล้วนะ ผมเลยบอกอยากสักครับ พอเห็นพิมพ์ แบบสวยมากๆเลยครับ ดูทั้งตัวก็เหลือแต่สีข้าง ซัดเลยครับ เข็มวางไปครั้งแรก ตกใจเลยครับ เอาเรื่องเลย ขอสารภาพเลยว่า เจ็บครับ ขนาดผมชอบเจ็บๆนะครับ
เริ่มสัก 21.00-24.00น งานนี้สวยสมใจครับ ท่านอาจารย์ท่านเมตตาผมมากครับ

76
กระผมเป็นคนนึงที่เชื่อ ว่ารอยสักมีชีวิต หลายเดือนก่อนไปสักกับอาจารย์ประโยชน์ดินแดง ท่านเมตตาให้แดงเกมา เลยถ่ายรูปเก็บไว้ กระผมให้ แฟนถ่ายๆที่ล่ะรูป และภาพรวม เลยเห็นความแปลกตามที่เห็น ขอของแดงเกขยับได้เลยงง

ให้สังเกตที่ขาขวานะครับ ภาพนี้ขาตรง
17/10/51
17/10/51
2ภาพนี้ขางอน ชันสูง
ก็ตามนั้นครับ คือความเชื่อของผม ไม่ใช่สร้างกระแส รึ อวดอ้างอะไรก็เอามาให้ชมนะครับ

77
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ทำไงดี
« เมื่อ: 18 มี.ค. 2552, 06:41:20 »
ได้ควายธนูมาหนึ่งตน เมื่อคืนวันโกน ปล่อยออกไปวิ่งเล่น(ตัวยังอยู่ที่พาน)เช้ามาเห็นเขาบิ่นเลย(สงสารควายจัง) ตกใจมากทำไงดีครับ

78
ได้เมลล์มาจากท่าน อชิตะ ขออนุญาตลงนะครับแบบตลกดีและมีสาระด้วย




79
กระผมได้ไปสักและครอบครูพ่อแก่นารอดมา เลยอยากทราบประวัติของท่าน พอได้อ่านจึงเห็นว่าคงมีประโยชน์กับสมาชิกท่านอื่นๆ
                               

พระนารท หรือ พระนารอด หรือ พระนาระทะ
     เป็น1 ใน พระประชาบดี (เทวฤาษีที่เป็นพระผู้สร้าง) ๑๐ องค์ คือ เป็นผู้ประดิษฐ์ "วีณา" -- พิณน้ำเต้า
     พระฤๅษีนารทบำเพ็ญพรตอยู่เชิงเขาโสฬส นอกเมืองลงกา เมื่อคราวหนุมานไปถวายแหวนแก่นางสีดาได้เหาะเลยเมืองลงกาเพราะไม่รู้จักทาง ไปพบกันเข้าจึงเกิดการประลองฤทธิ์กัน แต่หนุมานเกิดพ่ายแพ้ต่อฤทธิ์พระฤๅษีจึงยอมอ่อนน้อม และเมื่อคราวหนุมานไปเผากรุงลงกาไฟที่ติดหางหนุมานจะดับอย่างไรก็ไม่สามารถดับได้ หนุมานจึงไปหาพระฤๅษีนารทให้ช่วยดับไฟให้
    พระฤาษีนารอด เป็นครูของฤาษีทั้งปวง ทรงกำเนิดจากเศียรที่ ๕ ของพระพรมธาดา ทรงเพศเป็นฤาษี พระฤาษีนารอดถือว่าเป็นฤาษีองค์แรกของไตรภูมิ ไม่ว่าจะมีการบูชาสิ่งใด หากไม่มีการเชิญท่านแล้ว พิธีกรรมนั้นมักไม่สมบูรณ์
    รูปลักษณ์ของท่านที่สร้างเป็นหัวโขน(ศรีษะครู)สำหรับบูชาเป็นรูปหน้าพระฤาษีหน้าปิดทอง สวมลอมพอกฤาษี มี(กระดาษ)ทำเป็นผ้าพับเป็นชั้นลดหลั่นกันไป เสียบอยู่กลางลอมพอก

สิ่งที่เกี่ยวกับพระฤาษีนารอด เพิ่มเติม
     พระรอดเป็นพระเครื่องราง ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไม่แพ้พระสมเด็จฯ และพระนางพญา ได้ถูกขนานนามว่าเป็น " เทวีแห่งนิรันตราย " ทั้งได้แสดงคุณวิเศษทางแคล้วคลาดเป็นที่ประจักษ์มาแล้วมากมาย ตามตำนานกล่าวว่า "พระนารทฤาษี" เป็นผู้สร้างพระพิมพ์นี้ขึ้น จึงเรียกพระพิมพ์นี้ว่า "พระนารท" หรือ "พระนารอด" ครั้นต่อมานานเข้ามีผู้เรียกและผู้เขียนเพี้ยนไปเป็น "พระรอท" และในที่สุด ก็เป็น"พระรอด" อีกทั้งเหมาะกับภาษาไทยที่แปลว่า รอดพ้น จึงนิยมเรียกพระพิมพ์เครื่องรางชนิดนี้ว่า พระรอด เรื่อยมาโดย ไม่มีผู้ใดขัดแย้ง พระรอดพบในอุโมงค์ใต้เจดีย์ใหญ่วัดมหาวัน หรือที่เรียกว่า มหาวนาราม ณ จังหวัดลำพูน ซึ่งปรากฏอยู่ถึงจนปัจจุบันนี้ อนึ่ง วัดมหาวันเป็นวัดโบราณของมอญลานนาในยุคทวาราวดี ขณะที่พระเจ้าเม็งรายยกทัพมาขับไล่พวกมอญออกไปราว พ.ศ.1740 นั้น ก็พบว่าวัดนี้เป็นโบราณสถานอยู่ก่อนแล้ว ฉะนั้นจึงไม่น่ามีปัญหาใดเลยว่า พระรอดนี้ควรมีอายุ เกินกว่าพันปีเป็นแน่ แต่เพิ่งมาพบเมื่อประมาณ 50 ปีมานี่เอง

พระฤาษีนารอด ท่านเป็นหมอยาที่มีคาถาอาคมเก่งกล้า ทั้งยังเป็นอาจารย์รดน้ำมนต์ที่เก่งที่สุดอีกด้วยท่านมีบารมีมาก ปวงชนทั่วไปก็มักจะรู้จักพระนามของท่านแทบทั้งนั้น รูปร่างหน้าตาของท่านก็ยังมีหนวดเครายาวลงมาจากคางถึงในระหว่างอกมือถือดอกบัว ตรงด้านหน้ามีบาตรน้ำมนตร์ตั้งอยู่เป็นประจำ เก่งในทางรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ชงัดนักแล ถ้าหากผู้ใดมีความทุกข์ที่เกี่ยวกับการเจ็บไข้ได้ป่วย ก็จงบนบานศาลกล่าวกับท่านดูแล้วท่านก็จะต้องเมตตาเสด็จลงมาปัดเป่ารักษาให้โรคภัยนั้นหายไปในเร็ววันมักจะมีคนพูดกันทั่วไปว่า พระฤาษีนารอดเป็นพี่ชายของ พระฤาษีนารายณ์แต่บำเพ็ญพรตกันอยู่คนละแห่ง นานๆจึงจะได้พบกันสักครั้งหนึ่ง แต่เรื่องนี้มีความคลาดเคลื่อนอยู่ ที่จริงแล้วผู้ที่เป็นน้องชายของพระฤาษีนารอดก็คือ พระฤษีนาเรศร์ มิใช่พระฤาษีนารายณ์ ที่ถูกต้องก็คือ พระฤาษีนาเรศร์ นี่แหละที่เป็นน้องชายแท้ๆของ พระฤาษีนารอด และก็ได้บำเพ็ญตบะอย่างมุ่งมั่นอยู่กันคนละแห่ง สำหรับพระฤษีนาเรศร์นี้ ท่านเก่งในคาถาอาคมศักดิ์สิทธิ์มีเวทมนตร์ขลังเป็นที่สุด ชอบสันโดษบำเพ็ญพรตอยู่แต่ในป่าลึกๆ ไม่ค่อยชอบสมาคมกับใครเท่าใดนัก แม้แต่พี่น้องกันแท้ๆ ยังนานๆได้พบกันที พอพบกันก็จะดีใจถึงกับกอดกันแน่นด้วยความปลื้มปิติยินดีท่านที่กราบไหว้บูชาพระฤาษีสององค์พี่น้องก็จะเป็นมงคลอันสูง ท่านก็จะได้แผ่บารมีแห่งความเมตตามายังท่าน มาป้องปัดบำบัดรักษา และคุ้มครองมิให้โรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียนตลอดกาล....   

ตำนานพระปรคนธรรพ หรือ พระฤาษีนารอท ดุริยเทพที่ประทานความสำเร็จ เสน่ห์เมตตามหานิยม


     พระฤาษีนารอดเป็นคำที่คนไทยเราคุ้นเคยเป็นอย่างดี แต่หาก ถามถึงความเป็นมาหลายคนก็ไม่รู้ ที่รู้ก็อาจไม่ถูกต้อง ดังนั้น จึงขอนำประวัติที่น่าสนใจของพระฤาษีตนนี้มาเล่าสู่กันฟังให้ผู้อ่านที่สนใจได้รับความรู้ที่ถูกต้อง เกี่ยวกับพระฤาษีตนนี้ด้วย

พระฤาษีนารอดเป็นพระฤาษีที่เกี่ยวข้องกับการดนตรีและมีชื่อเยกอยู่หลายชื่อ สำหรับชื่อคนทางนาฏศิลป์และดุริยางคศิลป์ ดนตรีไทย คุ้นเคยและกราบไหว้บูชากันคือ "พระปรคนธรรพ" ถ้ากล่าวชื่อนี้ในหมู่นาฏศิลป์ย่อมรู้จักกันดีแต่คนทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงนาฏศิลป์ก็คงไม่รู้จัก หรือบางคนอาจเพิ่งเคยได้ยินนามนี้เป็นครั้งแรก

ในหนังสือบูชาครูดุริยะเทพ เรียบเรียงโดยพระอาจารย์ศิริพงศ์ ครูพันธ์กิจ เล่าเรื่องพระปรคนธรรพไว้ว่า มีนามจริงว่า "นารท" มีประวัติปรากฏในวรรณคดีต่างๆมากมาย ทั้งฝ่ายพราหมณ์และทางพระพุทธศาสนา พระปรคนธรรพแปลว่า ยอดของฤาษี ราชาแห่งฤาษี ผู้ประดิษฐ์พิณขึ้นเป็นท่านแรก บางแห่งออกนามว่า "เทพคนธรรพ์" "คนธรรพราช" เป็นผู้เชี่ยวชาญในการบรรเลง ขับร้อง โหราศาสตร์ กฏหมาย และทางการแพทย์ นักเลงไสยศาสตร์เรียกว่า "พระฤาษีนารอด" (พระฤาษีนารท) ตามภัมภีร์โบราณของอินเดียกล่าวว่า พระฤาษีนารทเป็น พรหมฤาษี มหาประชาบดี พระนารทเป็นบุตรของมนู บางตำราว่า พระนารท เกิดจากพระนลาตของพระพรหมจึงได้รับสมญาว่าเป็นบุตรแห่งพรหม
 

 ในคัมภีร์วิษณุปุราณะกล่าวว่า พระนารทเป็นบุตรของพระกศยปเทพบิดร พระนารทได้รับการยกย่องนับถือมากกว่าบรรดาฤาษีทั้งปวง นอกจากพระปรคนธรรพจะมีนามจริงว่า นารท แล้ว ยังมีชื่ออื่น ๆ อีกมากมาย เช่น พระปิศุนา แปลว่า ผู้สื่อข่าว บางทีเรียกว่าพระกสิการกะ (ผู้ทำให้เกิดการถกเถียงต่อสู้ทะเลาะวิวาท) บางแห่งเรีกพระกปิพัตร (หน้าลิง) พระนารทนอกจากจะมีเพศเป็นชายแล้ว ยังมีเพศเป็นหญิงอีกปางหนึ่งชื่อนาง นารที เป็นภรรยาของพระนารายณ์แปลง ชื่อพราหมณ์สันนยาสี มีบุตรด้วยกัน 60 คน

คราวหนึ่งพระปรคนธรรพ (นารท) แปลงกายเป็นพญานกบินไปเกาะที่กิ่งของต้นมะเดื่อใหญ่ริมแม่น้ำ ด้วยกำลังของพญานกทำให้ผลมะเดื่อร่วงลงน้ำ ทำให้เกิดเสียงสูงต่ำต่างกันตามระดับความสูงต่ำของผลมะเดื่อ ทำให้พระปรคนธรรพ (นารท) คิดประดิฐ์เครื่องดนตรีได้อีกชิ้นหนึ่ง

ด้วยนิสัยประจำตัวของพระปรคนธรรพ (นารท) นี้เป็นผู้มีนิสัย ชอบแนะนำ ยุแหย่ให้เกิดเรื่องราวต่างๆ ขึ้นมากมายในหมู่เทวดา จึงได้นามว่า "ปิศุนา" พระบาทสมเด็จพระมงกูกเกล้าเจ้าอยู่หัว ฯ ทรงกล่าวถึงความสามารถของพระนารทว่า เป็นตริกาลสัชณระ ผู้รอบรู้ในกาลทั้งสาม คือ อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต สามารถสอดส่องเห็นทั่วไปด้วยตบะ เป็นผู้มีวชาทางเสน่ห์ เมตตามหานิยม เป็นผู้แต่งคัมภีร์ทางกฏหมาย ชื่อ "นารทิยธรรมศาสตร์" และเป็นผู้เล่าเรื่องรามายะณะได้ พระฤาษีวาลมิกิฟัง และพระฤาษีวาลมิกิจึงรถจาคัมภีร์รามายะณะขึ้นตามเทวโองการของพระพรหม

นักดนตรีปี่พาทย์และนาฏศิลป์ยกย่องนับถือพระปรคนธรรพ (นารท) มาก และถือว่าพระปรคนธรรพเป็นประธานควบคุมดูแลการบรรเลงคุมจังหวะหน้าทับ กำกับการบรรเลงและการฟ้อนรำ จึงนับถือตะโพนซึ่งมีหน้าที่บรรเลงคุมจังหวะหน้าทับว่าเป็นตัวแทนขององค์พระปรคนธรรพ
ทุกครั้งเมื่อเลิกจากการบรรเลงจะนำตะโพนเก็บไว้ในที่สูงกว่าเครื่องดนตรีประเภทอื่นๆ และก่อนการบรรเลงทุกครั้งจะมีการถวายเครื่องกำนลบูชาครูตะโพน ตลอดถึงการบรรเลงปี่พาทย์ประกอบการไหว้ครูทุกครั้งจะมีการห่มตะโพนด้วยผ้าขาว และปูลาดผ้าขาวเพื่อรองเท้าตะโพน จัดวางขันกำนลสำหรับให้ผู้บรรเลงเพลงหน้าพาทย์ทุกคนได้บูชาครูที่หน้าผ้าขาวที่ปูลาดหน้าตะโพน และก่อนที่พิธีกรผู้ประกอบพิธีไหว้ครูจะทำพิธีไหว้ครูจะต้องมาบูชาครูตะโพนก่อน แล้วนำสังข์บรรจุน้ำสะอาด ขอพลีน้ำล้างหน้าตะโพน เพื่อทำน้ำมนต์ธรณีสาร ประพรมเครื่องดนตรีและผู้ร่วมพิธีไหว้ครู

เรื่องตำนานของพระปรคนธรรพ หรือ พระปรโคนธรรพ หรือพระนารท หรือพระฤาษีนารอดนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะมีตำแหน่งเป็นทั้งมหาฤาษี เทพฤาษี พรหมฤาษี ซึ่งหมายถึงเป็นผู้ที่มีตบะฌานแก่กล้า มีญาณหยั่งรู้กว้างขวาง ทรงความรู้รอบด้าน ทั้งพระเวท ทั้งการดนตรี กฏหมาย นอกจานี้ยังเป็นประชาบดี หมายถึงผู้เป็นใหญ่เหนือประชา คือ กลุ่มผู้สร้างมนุษย์กลุ่มแรก ตามตำนานกล่าวว่า ประชาบดีนั้นมีด้วยกัน ทั้งหมด 10 คน

1.   มรีจิ
2.   อัตริ
3.   อังคีรส
4.   ปุลัสสตะยะ
5.   ปุลหะ
6.   กระตุ
7.   วสิฐ
8.   ประเจตัส (ทักษะ)
9.   ภฤคุ
10. พระนารท

นอกจากนี้พระนารทยังเป็นหนึ่งสัตปฤาษี หรือเจ็ดยอดฤาษีที่ได้รับความนับถือสูงสุดอีกด้วย ส่วนคำว่าพระปรคนธรรพ หรือปรโคธรรพ นั้นก็หมายถึงท่านเป็นยอดแห่งคนธรรพทั้งหลาย นี่แสดงให้เห็นว่าพระนารทนี้มีความสำคัญและได้รับการยกย่องมากที่สุด

ในบางแห่งกล่าวว่า พระฤาษีนารท (นารอด) เป็นพวกกระเทพ เรื่องี้เห็นจะเป็นเพราะว่า พระฤาษีนารทนั้นบางครั้งเป็นหญิง บางครั้งเป็นายและยังชอบทางการดนตรีด้วย แต่เรื่องนี้ถือว่าเป็นความเข้าใจผิด เพราะหากพิจารณาดูแล้วทางด้านคุณธรรมที่เป็นถึงพรหมฤาษีนั้น แสดงว่า พระนารทหรือพระฤาษีนารอดนี้อยู่ชั้นพรหม ตามตำราทางพระพุทธศาสนา และพราหมณ์กล่าวคล้ายกนว่า ในชั้นพรหมนั้นผู้ที่เข้าถึงไดต้องได้ฌานสมาบัติตั้งแต่ฐมฌานขึ้นไป ผู้เข้าสู่ชั้นพรหมนั้นจะเป็นผู้หมดจากอุปาทานทางเทศ ในพรหมจึงไม่ปรากฏว่าเป็นชายหรือหญิง เสวยสุขด้วยกำลังฌานตามแต่ละขั้นของตน

พระนารท หรือพระฤาษีนารอด คือผู้สำเร็จฌานแก่กล้า จึงย่อมเป็นผู้ไม่อยู่ในวิสัยของกะเทย เพราะย่อมละ อัตภาพของความเป็นหญิงและชายไปแล้ว ทั้งผู้ที่ถึงเรื่องพรหมย่อมไม่มีกามราคะ เพราะกามราคะนั้นนอนนิ่งเหมือนตะกอนใต้น้ำ หรือดั่งหญ้าโดนหินทับด้วยอำนาจตบะฌานนันแล ส่วนเรื่องวาจาไม่อยู่สุขและเรื่องราวต่างๆ ที่มักปรากฏขึ้นในวรรณคดีนั้น หากพจารณาแล้วจะเข้าใจได้ว่าแท้จริงเรื่องราวทั้งหมดที่ เกิดขึ้นก็ล้วนเป็นมายา พระนารทเป็นประดุจลมที่พัดเอาวาจาหรือคำพูดของแต่ละคนไปเท่านั้นเอง พระนารทเสมือนหนึ่งเป็นผู้ดำเนินเรื่องให้สมบูรณ์ และเรื่องทั้งหมดแท้จริงเป็นเพียงมายา หามีสาระอย่างใดไม่ เป็นเพียงคติสอนใจว่าการพูดจาสิ่งใด การกระทำสิ่งใดควรไตร่ตรองพิจารณาให้ดี แล้วจึงทำทุกอย่างย่อมเป็นสุขไม่มีทุกข์เกิดขึ้นในภายหลัง

จากที่อธิบายมาโดยตลอดนี้ ท่านผู้อ่านคงเข้าใจได้ว่าวิชานาฏศิลป์ดุริยางคศิลป์นั้น หาใช่วิชาสามัญหรือวิชาพื้นๆ ก็หาไม่ แต่เป็นวิชาศักดิ์สิทธิ์มีเค้ามาจากเบื้องบน มีเทพยเจ้าเป็นผู้ให้กำเนิด เป็นของมีครู ดังนั้นเราคนไทยผู้ได้รับการสืบสานวิชาการเหล่านี้มาจนถึงปัจจุบันจึงควรให้ความสนใจและสมควรแก่การอนุรักษ์สืบต่อไปมิให้สูญหายไปตามวันเวลา
ที่มาข้อมูล : www.yimwhan.com/board/show.php?user=ittipatihan&topic=3&Cate=1 - 59k -

80
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / งาช้างดำ
« เมื่อ: 12 มี.ค. 2552, 01:15:53 »
 ช้างเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองไทย มานาน ช้างเป็นสัตว์ใหญ่ สัตว์มงคลยิ่งช้างเผือกนี่ก็หายาก แต่หายากยิ่งกว่าคือช้างงาดำ บ้านเมืองไหนมีช้างงาดำ บ้านเมืองนั้นมีความอุดมสมบูรณ์ เมื่อ 2ปีที่แล้ว ผมไปเที่ยวเมืองน่านได้เข้าไปที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดน่านได้ไปสักการะงาช้างดำ จึงอยากนำบทความและรูปภาพเกี่ยวกับงานช้างดำมาลงเผื่อเป็นประโยชน์กับสมาชิกท่านอื่นไม่มากก็น้อยครับ

    งาช้างดำ
   
งาช้างดำมีลักษณะเป็นงาปลียาว 97 เซนติเมตร วัดโดยรอบตรงส่วนใหญ่ที่สุด 47 เซนติเมตร โพรงตอนโคนลึก
 14 เซนติเมตร  สีออกน้ำตาลเข้มไม่ดำสนิท มีจารึกอักษรล้านนาภาษาไทยว่า ?กิ่งนี้หนักหนึ่งหมื่นห้าพัน? หรือประมาณ 18 กิโลกรัม
สันนิษฐานว่าเป็นงาข้างซ้ายเพราะมีรอยเสียดสีกับงาชัดเจน ความเป็นมาของงาช้างดำนี้ไม่มีหลักฐานแน่ชัด มีเพียงตำนานเล่า
สืบต่อกันมา 2 เรื่อง
   เรื่องที่  1  กล่าวว่าในสมัยพระเจ้าสุมนเทวราช  เจ้าผู้ครองนครเมืองน่าน  (พ.ศ.2353-2368)  มีพรานคนเมืองน่านได้เข้าป่า
ล่าสัตว์เข้าไปถึงเขตแดนระหว่างไทยกับเชียงตุงได้พบซากช้างตัวดำสนิทตายในห้วย พอดีกับพรานชาวเชียงตุงมาพบด้วยพราน
ทั้งสองจึงแบ่งงาช้างดำกันคนละข้าง ต่างคนก็นำมาถวายเจ้าเมือง ต่อมาเจ้าเมืองเชียงตุง ได้ส่งสารมาทูลเจ้าสุมนเทวราชว่า ตราบใด
งาช้างดำคู่นี้ไม้สูญหาย  เมืองน่านกับเมืองเชียงตุงจะเป็นมิตรไมตรีกันตลอดไป
   เรื่องที่ 2 กล่าวว่าเมืองน่านยกทัพไปล้อมเมืองเชียงตุงหลายเดือน ทำให้ชาวเมืองเชียงตุงเดือดร้อนโหรเมืองเชียงตุงทูล
เจ้าเมืองว่าเป็นเพราะมีงาช้างดำอยู่ด้วยกัน ทางที่ดีควรแยกออกจากกัน  จึงนำงาช้างดำกิ่งหนึ่งมอบให้กองทัพเมืองน่านแล้วกระทำสัตย์สาบานเป็นมิตรกันตลอดกาลC:\Documents and Settings\Owner\Desktop\pormea5[1].jpg
   ความสำคัญของงาช้างดำนี้เชื่อกันว่า พญาการเมือง เจ้าผู้ครองนครน่านองค์ที่ 6 ราวพุทธศตวรรษที่ 20 ได้ทำพิธีสาปแช่ง
เอาไว้ว่า  ให้งาช้างดำนี้เป็นของคู่บ้านคู่เมืองน่านตลอดไป ผู้ใดจะนำไปเป็นสมบัติส่วนตัวมิได้  ต้องไว้ที่หอคำหรือวังเจ้าผู้ครองนคร
เท่านั้น งาช้างดำเป็นวัตถุมงคลคู่บ้านคู่เมืองน่านและถือเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของจังหวัดน่าน  เป็นวัตถุโบราณที่หายากและมีคุณค่า
ทางประวัติศาสตร์อย่างมาก
            ตอนผมไปเที่ยวที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดน่าน ได้เห็นภาพที่แสนหดหู่ เนื่องด้วยมีพระยืนแบบล้านนาแกะสลักด้วยไม้ มากมายที่โดนคนใจปาบ ไม่เกรงกลัวกรรมและกฎหมาย ขโมยเลื่อยไปขาย ผมไม่ทราบว่าคนขโมยและคนซื้อจะได้รับผลกรรมยังไง แต่คนเหล่านี้ไม่มีวันมีความสุขแน่ๆ
ที่มาของข้อมูล : http://xchange.teenee.com/index.php?showtopic=48254
                   :http://images.google.co.th/imgres?imgurl=http://doctorchangthai.com/images_content/pormea5.jpg&imgrefurl=http://doctorchangthai.com/show_detailinform.php%3Fid_inform%3D5&usg=__rMVn3FUa5LgOLaMO-8bMDWDBcbA=&h=315&w=500&sz=51&hl=th&start=2&um=1&tbnid=gHfLSh_wbE45gM:&tbnh=82&tbnw=130&prev=/images%3Fq%3D%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%258A%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B3%26hl%3Dth%26sa%3DN%26um%3D1

81
บทความ บทกวี / สงครามเก้าทัพ
« เมื่อ: 12 มี.ค. 2552, 05:56:34 »
                                      
สงครามเก้าทัพ เป็นสงครามระหว่างสยามกับพม่า หลังจากที่พระบาทพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทำการย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรี มาทางทิศตะวันออก สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เป็นราชธานีแห่งใหม่ เวลานั้นบ้านเมืองอยู่ในช่วงผ่านศึกสงครามมาใหม่ ๆ ประจวบทั้งการสร้างบ้านแปลงเมือง รวมทั้งปราสาทราชวังต่าง ๆ เวลาผ่านมาได้เพียง 3 ปีพ.ศ. 2328 พระเจ้าปดุง กษัตริย์อังวะ หลังจากบรมราชาภิเษกขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินพม่าแล้ว ต้องการประกาศแสนยานุภาพ เผยแผ่อิทธิพล โดยได้ทำสงครามรวบรวมเมืองเล็กเมืองน้อยรวมถึงเมืองประเทศราชให้เป็นปึกแผ่น แล้วก็ได้ยกกองกำลังเข้ามาตีไทย มีจุดประสงค์ทำสงครามเพื่อทำลายกรุงรัตนโกสินทร์ให้พินาศย่อยยับเหมือนเช่นกรุงศรีอยุธยา
            สงครามครั้งนี้พระเจ้าปดุงได้ยกทัพมาถึง 9 ทัพ รวมกำลังพลมากถึง 144,000 นาย โดยแบ่งการเข้าโจมตีกรุงรัตนโกสินทร์ออกเป็น 5 ทิศทาง
ทัพที่ 1 ได้ยกมาตีหัวเมืองประเทศราชทางปักษ์ ใต้ตั้งแต่เมืองระนองจนถึงเมืองนครศรีธรรมราช
ทัพที่ 2 ยกเข้ามาทางเมืองราชบุรีเพื่อที่จะรวบกำลังพลกับกองทัพที่ตีหัวเมืองปักษ์ใต้แล้วค่อยเข้าโจมตีกรุงรัตนโกสินทร์
ทัพที่ 3 และ 4 เข้ามาทางด่านแม่ละเมาแม่สอด
ทัพที่ 5-7 เข้ามาทางหัวเมืองฝ่ายเหนือตั้งแต่เชียงแสน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ตีตั้งแต่หัวเมืองฝ่ายเหนือลงมาสมทบกับทัพที่ 3 4 ที่ยกเข้ามาทางด่านแม่ละเมา เพื่อตีเมืองตาก กำแพงเพชร พิษณุโลก นครสวรรค์
ทัพที่ 8-9 เป็นทัพหลวงพระเจ้าปดุงเป็นผู้คุมทัพ โดยมีกำลังพลมากที่สุดถึง 50,000 นาย ยกเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์เพื่อรอสมทบกับทัพเหนือและใต้โดยมีจุดมุ่งหมายที่กรุงเทพฯ
                         
             เวลานั้นทางฝ่ายไทยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าได้รวบรวมกำลังไพล่พลได้เพียง 70,000 นายมีกำลังน้อยกว่าทัพพระเจ้าพม่าถึง 2 เท่าแต่ก็มีความเก่งกล้าชำนาญการสงคราม ประจวบเป็นทหารรบเดิมของพระเจ้ากรุงธนบุรีที่สามารถกอบกู้บ้านเมืองสมัยเสียกรุงศรีอยุธยาได้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงทรงปรึกษาวางแผนการรับข้าศึกกับ สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ว่าจะทำการป้องกันบ้านเมืองอย่างไร แผนการรบของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ คือจัดกองทัพออกเป็น 4 ทัพโดยให้รับศึกทางที่สำคัญก่อน แล้วค่อยผลัดตีทัพที่เหลือทัพที่ ๑ ให้ยกไปรับทัพพม่าทางเหนือที่เมืองนครสรรค์ ทัพที่ ๒ ยกไปรับพม่าทางด้านพระเจดีย์สามองค์ ทัพนี้เป็นทัพใหญ่ มีสมเด็จพระบวรราชเจ้ามาหาสุรสิงหนาทเป็นแม่ทัพ คอยไปรับหลวงของพระเจ้าปดุงที่เข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ ทัพที่ ๓ ยกไปรับทัพพม่าที่จะมาจากทางใต้ที่เมืองราชบุรี ส่วนทัพที่ ๔ เป็นทัพหลวงโดยมีพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เป็นผู้คุมทัพคอยเป็นกำลังหนุน เมื่อทัพไหนเพลี้ยงพล้ำก็จะคอยเป็นกำลังหนุน สมเด็จพระอนุชาธิราช พระบวรราชเจ้ามาหาสุรสิงหนาท ได้ยกกองทัพไปถึงเมืองกาญจนบุรี ตั้งรับทัพอยู่บริเวณทุ่งลาดหญ้า เชิงเขาบรรทัด สกัดกั้นไม่ให้ทัพพม่าได้เข้ามารวบรวมกำลังพลกันได้ นอกจากนี้ยังจัดกำลังไปตัดการลำเลียงเสบียงของพม่าเพื่อให้กองทัพขาดเสบียงอาหาร แล้วยังใช้อุบาย โดยทำเป็นถอยกำลังออกในเวลากลางคืน ครั้นรุ้งเช้าก็ให้ทหารเดินเข้ามาผลัดเวร เสมือนว่ามีกำลังมากมาเพิ่มเติมอยู่เสมอ เมื่อทัพพม่าคาดแคลนเสบียงอาหารประจวบกับครั้นคร้ามคิดว่ากองทัพไทยมีกำลังมากกว่า จึงไม่กล้าจะบุกเข้ามาโจมตี สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทเมื่อสบโอกาสทำการโจมตีกองทัพ 8-9 จนถอยร่นพระเจ้าปดุงเมื่อเห็นว่าไม่สามารถบุกโจมตีต่อได้ประจวบทั้งกองทัพขาดเสบียงอาหารจึงได้ถอยทัพกลับ สำหรับการโจมตีทางด้านอื่น ทางด้านเหนือพระยากาวิละเจ้าเมืองลำปางสามารถป้องกันทัพพม่าที่ยกมาทางหัวเมืองฝ่ายเหนือได้สำเร็จ ส่วนทัพที่บุกมาทางด่านแม่ละเมา มีกำลังมากกว่าจึงสามารถตีเมืองพิษณุโลกได้ แต่เมื่อเสร็จศึกทางด้านพระเจดีย์สามองค์แล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จึงเสด็จยกทัพขึ้นไปช่วยหัวเมืองทางเหนือ ส่วนทางปักใต้ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท เมืองเสร็จศึกที่ลาดหญ้าแล้ว เสด็จยกทัพลงไปช่วยทางปักต์ใต้ต่อ แต่ก่อนที่จะเสด็จไปถึงทัพพม่าได้โจมตีเมืองระนองถึง เมืองถลาง เวลานั้นเจ้าเมืองถลางเพิ่งจะถึงแก่กรรมยังไม่มีการตั้งเจ้าเมืองคนใหม่ แต่ชาวเมืองถลางนำโดยคุณหญิงจันภริยาเจ้าเมืองถลางที่ถึงแก่กรรมและนางมุกน้องสาว ได้รวบรวมกำลังชาวเมืองต่อสู้ข้าศึกจนสุดความสามารถ สามารถป้องกันข้าศึกพม่าไม่ให้ยึดเมืองถลางไว้ได้ หลังเสร็จศึกแล้วพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้คุณหญิงจันเป็นท้าวเทพกษัตรีย์ (หรือท้าวเทพสตรี) นางมุกน้องสาวเป็นท้าวศรีสุนทร นอกจากนี้ทัพพม่าบางส่วนสามารถตีเมืองนครศรีธรรมราชได้ และยกลงไปตีเมืองสงขลาต่อ เจ้าเมืองและกรมการเมืองพัทลุงพอทราบข่าวทัพพม่าตีเมืองนครศรีธรรมราชได้ด้วยความขลาดจึงหลบหนีเอาตัวรอด แต่มีภิษุรูปหนึ่งนามว่าพระมหาช่วยมีชาวบ้านนับถือศรัทธากันมาก ได้ชักชวนชาวเมืองพัทลุงให้ต่อสู้ป้องกันสกัดทัพพม่าไม่ให้เข้ายึดเมืองพัทลุงได้ เมืองกองทัพสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ยกกองทัพลงมาช่วยหัวเมืองปักต์ใต้ ตีทัพพม่าตั้งแต่เมืองไชยาลงมาจนถึงนครศรีธรรมราช เมื่อทัพพม่าแตกพ่ายถอยร่นไปพ้นจากหัวเมืองปักต์ใต้แล้ว พระมหาช่วยต่อมาได้ลาสิกขาบทและเข้ารับราชการ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงทรงตั้งให้เป็นพระยาทุกขราษฎร์ กรมการเมืองพัทลุง หลังจากพ่ายแพ้ไทยกลับไป พระเจ้าปดุง ได้รวบรวมกำลังหมายจะเข้ามาตีไทยในปีถัดมา ในปี พ.ศ. ๒๓๒๙ โดยครั้งนี้พระเจ้าปดุงได้รวมกำลังเป็นทัพใหญ่ทัพเดียว พร้อมจัดหาเสบียงอาหารให้บริบูรณ์ ยกทัพมาทางด่านพระเจดีย์สามองค์แล้วตั้งทัพที่ท่าดินแดง เมืองกาญจนบุรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทเป็นแม่ทัพหน้าพระองค์เป็นแม่ทัพหลวง ทัพทั้งสองได้โจมตีทัพพม่าพร้อมกัน สู้รบกันเพียง ๓ วัน ทัพของพม่าก็แตกพ่ายไป สงครามครั้งแรกที่พระเจ้าปดุงยกทัพเข้ามาโจมตีไทยถึง 9 ทัพจึงเรียกสงครามเก้าทัพ ส่วนครั้งหลังที่รบกันที่ท่าดินแดงจึงเรียกว่า สงครามท่าดินแดง
         เหตุการณ์ตอนปลายรัชกาลที่ 35 แห่งกรุงศรีอยุธยา ไทยเสียกรุงแก่พม่า เพราะความเสื่อมเรื้อรังในสถาบันการเมืองและสังคม คนไทยทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างรุนแรง บางกลุ่มทั้งดื้อทั้งบ้า ความเสื่อมยังมาจาก การที่ไทยไม่มีผู้นำเด็ดขาด ไพร่พลก็ค้นหาแต่ความสุขสนุกสบาย ไม่พร้อมรบ และร้ายที่สุด ก็คือ เกิดไส้ศึกภายใน!!!....
ที่มาขอบทความ : http://www.buddhapoem.com/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&Category=buddhapoemcom&thispage=1&No=1185985
ในสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน บ้านเมืองเรามีศึกมาประชิดประเทศทุกด้าน ข้าศึกเราคือเศรษฐกิจโลกอันผันผวน เราควรสามัคคีกัน ไม่ควรแบ่งแยกแบ่งฝ่าย ร่วมมือกันรบ ด้วยการประหยัด ผมคิดว่าเราจะมีชัยคงไม่ยาก

82
บทความ บทกวี / ทองคำ
« เมื่อ: 11 มี.ค. 2552, 06:47:23 »
     ผมอยากรู้ว่าทำไมคนถึงชอบทอง โลหะสีเหลืองกันนะ บางครั้ง ถึงฆ่ากัน ทำสงคราม เพื่อได้มาทองคำ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี   
บทความนี้เกี่ยวกับธาตุ สำหรับความหมายอื่น ดูที่ ทอง
79 แพลตินัม ← ทองคำ → ปรอท
Ag

Au

Rg 
ตารางธาตุ
 
 
ทั่วไป
ชื่อ, สัญลักษณ์, หมายเลข ทองคำ, Au, 79
อนุกรมเคมี โลหะทรานซิชัน
หมู่, คาบ, บล็อก 11, 6, d
ลักษณะ สีเหลืองวาว
 
มวลอะตอม 196.96655(2) กรัม/โมล
การจัดเรียงอิเล็กตรอน [Xe] 4f14 5d10 6s1
อิเล็กตรอนต่อระดับพลังงาน 2, 8, 18, 32, 18, 1
คุณสมบัติทางกายภาพ
สถานะ ของแข็ง
ความหนาแน่น (ใกล้ r.t.) 19.3 ก./ซม.&sup3;
ความหนาแน่นของของเหลวที่m.p. 17.31 ก./ซม.&sup3;
จุดหลอมเหลว 1337.33 K
(1064.18 &deg;C)
จุดเดือด 3129 K(2856 &deg;C)
ความร้อนของการหลอมเหลว 12.55 กิโลจูล/โมล
ความร้อนของการกลายเป็นไอ 324 กิโลจูล/โมล
ความร้อนจำเพาะ (25 &deg;C) 25.418 J/(mol&middot;K)
ความดันไอ P/Pa 1 10 100 1 k 10 k 100 k
ที่ T K 1646 1814 2021 2281 2620 3078
 
          คุณสมบัติของอะตอม
โครงสร้างผลึก cubic face centered
สถานะออกซิเดชัน 3, 1
(amphoteric oxide)
อิเล็กโตรเนกาติวิตี 2.54 (Pauling scale)
พลังงานไอออไนเซชัน ระดับที่ 1: 890.1 กิโลจูล/โมล
ระดับที่ 2: 1980 กิโลจูล/โมล
รัศมีอะตอม 135 pm
รัศมีอะตอม (คำนวณ) 174 pm
รัศมีโควาเลนต์ 144 pm
รัศมีวานเดอร์วาลส์ 166 pm
อื่น ๆ
การจัดเรียงทางแม่เหล็ก no data
ความต้านทานไฟฟ้า (20 &deg;C) 22.14 nΩ&middot;m
การนำความร้อน (300 K) 318 W/(m&middot;K)
การขยายตัวจากความร้อน (25 &deg;C) 14.2 &micro;m/(m&middot;K)
ความเร็วเสียง (thin rod) (r.t.) (hard-drawn)
2030 m/s
โมดูลัสของยังก์ 78 GPa
โมดูลัสของแรงเฉือน 27 GPa
โมดูลัสของแรงบีบอัด 220 GPa
อัตราส่วนปัวซอง 0.44
ความแข็งโมห์ส 2.5
ความแข็งวิกเกอร์ส 216 MPa
ความแข็งบริเนล 2450 MPa
เลขทะเบียน CAS 7440-57-5
ไอโซโทปที่น่าสนใจ
บทความหลัก: ไอโซโทปของทองคำ iso NA ครึ่งชีวิต DM DE (MeV) DP
195Au syn 186.10 d ε 0.227 195Pt
196Au syn 6.183 d ε 1.506 196Pt
β- 0.686 196Hg
197Au 100% Au เสถียร โดยมี 118 นิวตรอน
198Au syn 2.69517 d β- 1.372 198Hg
199Au syn 3.169 d β- 0.453 199Hg
 
          แหล่งอ้างอิง
ทองคำ (อังกฤษ: gold) คือธาตุเคมีที่มีหมายเลขอะตอม 79 และสัญลักษณ์คือ Au (มาจากภาษาละตินว่า aurum) ทองคำเป็นธาตุโลหะทรานซิชันสีเหลืองทองมันวาวเนื้ออ่อนนุ่ม สามารถยืดและตีเป็นแผ่นได้ ทองคำไม่ทำปฏิกิริยากับสารเคมีส่วนใหญ่ ทองคำใช้เป็นทุนสำรองทางการเงินของหลายประเทศ ใช้ประโยชน์เป็นเครื่องประดับ งานทันตกรรม และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

    เนื้อหา 1 คุณสมบัติของทองคำ
2 การเกิดของแร่ทองคำ
3 หน่วยน้ำหนักของทองคำ
4 การแปลงน้ำหนักทองคำ
5 การลงทุนทองคำ
6 ประโยชน์อื่น
7 รายชื่อของบริษัทและห้างหุ้นส่วนในธุรกิจค้าทองคำที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย
8 รายชื่อตลาดทองคำที่สำคัญของโลก
9 อ้างอิง
10 แหล่งข้อมูลอื่น
คุณสมบัติของทองคำ
มีความแวววาวอยู่เสมอ ทองคำไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนดังนั้น เมื่อสัมผัสถูกอากาศสีของทองจะไม่หมองและไม่เกิดสนิม มีความอ่อนตัว ทองคำเป็นโลหะที่มีความอ่อนตัวมากที่สุด ด้วยทองเพียงประมาณ 2 บาท เราสามารถยืดออกเป็นเส้นลวดได้ยาวถึง 8 กิโลเมตร หรืออาจตีเป็นแผ่นบางได้ถึง 100 ตารางฟุต เป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดี ทองคำเป็นโลหะชนิดหนึ่งที่สามารถนำไฟฟ้าได้ดี สะท้อนความร้อนได้ดี ทองคำสามารถสะท้อนความร้อนได้ดี ได้มีการนำทองคำไปฉาบไว้ที่หน้ากากหมวกของนักบินอวกาศ เพื่อป้องกันรังสีอินฟราเรด

มนุษย์รู้จักทองคำมาตั้งแต่ประมาณ 5,000 ปี เป็นความหมายแห่งความมั่งคั่ง จุดหลอมเหลว 1064 และจุดเดือด 2970 องศาเซลเซียส เป็นโลหะที่มีค่าที่มีความเหนียว (Ductility) และความสามารถในการขึ้นรูป (Malleability) คือจะยืดขยาย (Extend) เมื่อถูกตีหรือรีดในทุกทิศทาง โดยไม่เกิดการปริแตกได้สูงสุด ทองคำบริสุทธิ์หนัก 1 ออนซ์สามารถดึงเป็นเส้นลวดยาวได้ถึง 80 กิโลเมตร ถ้าตีเป็นแผ่นก็จะได้บางเกินกว่า 1/300,000 นิ้ว ส่วนความกว้างจะได้ถึง 9 ตารางเมตร

ทองคำบริสุทธิ์จะไม่ทำปฏิกิริยาทางเคมี (Chemicalinactive) ได้ง่าย จึงทนต่อการผุกร่อนและไม่เกิดสนิมกับอากาศ (Oxidide) แต่มีปฏิกิริยากับคลอรีน ฟลูออรีน น้ำประสานทอง

คุณสมบัติเหล่านี้ประกอบกับลักษณะภายนอกที่เป็นประกายจึงทำให้ทองคำเป็นที่หมายปองของมนุษย์มาเป็นเวลานับพันปี โดยนำมาตีมูลค่าสำหรับการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศและใช้เป็นวัตถุดิบที่สำคัญสำหรับวงการเครื่องประดับ

ทองคำได้รับความนิยมอย่างสูงสุดในวงการเครื่องประดับทองคำ เพราะเป็นโลหะมีค่าชนิดเดียวที่มีคุณสมบัติพื้นฐาน 4 ประการซึ่งทำให้ทองคำโดดเด่น และเป็นที่ต้องการเหนือบรรดาโลหะมีค่าทุกชนิดในโลก คือ

งดงามมันวาว (lustre) สีสันที่สวยงามตามธรรมชาติผสานกับความมันวาวก่อให้เกิดความงามอันเป็นอมตะ ทองคำสามารถเปลี่ยนเฉดสีทองโดยการนำทองคำไปผสมกับโลหะมีค่าอื่นๆ ช่วยเพิ่มความงดงามให้แก่ทองคำได้อีกทางหนึ่ง
คงทน (durable) ทองคำไม่ขึ้นสนิม ไม่หมอง และไม่ผุกร่อน แม้ว่ากาลเวลาจะผ่านไป 3000 ปีก็ตาม
หายาก (rarity) ทองเป็นแร่ที่หายาก กว่าจะได้ทองคำมาหนึ่งออนซ์(31.167 gram) ต้องถลุงก้อนแร่ที่มีทองคำอยู่เป็นจำนวนหลายตัน และต้องขุดเหมืองลึกลงไปหลายสิบเมตร จึงทำให้มีค่าใช้จ่ายที่สูง เป็นเหตุให้ทองคำมีราคาแพงตามต้นทุนในการผลิต
นำกลับไปใช้ได้ (reuseable) ทองคำเหมาะสมที่สุดต่อการนำมาทำเป็นเครื่องประดับเพราะมีความเหนียวและอ่อนนิ่มสามารถนำมาทำขึ้นรูปได้ง่าย อีกทั้งยังสามารถนำกลับมาใช้ใหม่โดยการทำให้บริสุทธิ์ (purified) ด้วยการหลอมได้อีกโดยนับครั้งไม่ถ้วน
การเกิดของแร่ทองคำ
สรุปจากเอกสารของกรมทรัพยากรธรณี ได้มีการแบ่งการเกิดของแร่ทองคำออกเป็น 2 แบบ ตามลักษณะที่พบในธรรมชาติได้ดังนี้

แบบปฐมภูมิ คือกระบวนการทางธรณีวิทยา มีการผสมทางธรรมชาติจากน้ำแร่ร้อน ผสมผสานกับสารละลายพวกซิลิก้า ทำให้เกิดการสะสมตัวของแร่ทองคำในหินต่างๆ เช่น หินอัคนี หินชั้น และหินแปร มีการพบการฝังตัวของแร่ทองคำในหิน หรือสายแร่ที่แทรกอยู่ในหิน ซึ่งส่วนใหญ่จะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
แบบทุติยภูมิหรือลานแร่ คือการที่หินที่มีแร่ทองคำแบบปฐมภูมิได้มีการสึกกร่อน และถูกน้ำพัดพาไปสะสมตัวในที่แห่งใหม่ เช่น ตามเชิงเขา ลำห้วย หรือในตะกอนกรวดทรายในลำน้ำ
แหล่งแร่ทองคำปฐมภูมิในไทย เช่น

แหล่งโต๊ะโมะ จ.นราธิวาส
แหล่งเขาสามสิบ จ.สระแก้ว
แหล่งชาตรี(เขาโป่ง) จ.พิจิตร - จ.เพชรบูรณ์
แหล่งดอยตุง (บ้านผาฮี้) จ.เชียงราย
แหล่งเขาพนมพา จ.พิจิตร
แหล่งแร่ทองคำทุติยภูมิในไทย เช่น

แหล่งบ้านป่าร่อน จ.ประจวบคีรีขันธ์
แหล่งบ้านนาล้อม จ.ปราจีนบุรี
แหล่งบ้านทุ่งฮั้ว จ.ลำปาง
แหล่งในแม่น้ำโขง จ.เลย - จ.หนองคาย
แหล่งบ้านผาช้างมูบ จ.พะเยา




หน่วยน้ำหนักของทองคำ
กรัม : ใช้กันเป็นส่วนใหญ่ ถือว่าเป็นหน่วยสากล
ทรอยเอานซ์ : ใช้ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย
โทลา : ใช้กันทางประเทศแถบตะวันออกกลาง อินเดีย ปากีสถาน
ตำลึง : ใช้ในประเทศที่ใช้ภาษาจีน เช่น จีน ไต้หวัน ฮ่องกง
บาท : ใช้ในประเทศไทย
ชิ : ใช้ในประเทศเวียดนาม

 การแปลงน้ำหนักทองคำ
ทองคำความบริสุทธิ์ 96.5% (มาตรฐานในประเทศไทย)
ทองรูปพรรณ น้ำหนัก 1 บาท เท่ากับ 15.16 กรัม
ทองคำแท่ง น้ำหนัก 1 บาท เท่ากับ 15.244 กรัม
ทองคำความบริสุทธิ์ 99.99%
ทองคำ 1 กิโลกรัม เท่ากับ 32.1508 (ทรอย) ออนซ์
ทองคำ 1 (ทรอย) ออนซ์ เท่ากับ 31.1040 กรัม
หมายเหตุ: ทรอยออนซ์ เป็นหน่วยชั่งของโลหะมีค่า แต่มักเรียกสั้นๆ ว่า ออนซ์

1 ทรอยออนซ์ เท่ากับ 1.097 ออนซ์ (ปกติ)
12 ทรอยออนซ์ เท่ากับ 1 ทรอยปอน
1 ทรอยปอน เท่ากับ 373 กรัม

การลงทุนทองคำ
การตั้งราคาทองในประเทศไทยจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ Goldspot และ USD-THB

Goldspot
คือ ราคาทองต่างประเทศ มีการซื้อขายทองโดยใช้เงินสกุลดอลล่าร์

USD-THB
คือ อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเทียบกับเงินสกุลดอลลาร์

การตั้งราคาทองในประเทศไทย มีสูตรคำนวณดังนี้
สูตรคำนวณราคาทองคำ = (spot gold + 1) x อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท x 0.4729


ประโยชน์อื่น ด้านอวกาศ
ในทางอวกาศได้มีการนำทองคำมาใช้เป็นชุดนักบินอวกาศและแคปซูล เพื่อป้องกันไม่ให้นักบินอวกาศกระทบกับรังสีในอวกาศที่มีพลังงานสูง นอกจากนี้ยังมีการใช้ทองคำบริสุทธิ์เคลือบกับเครื่องยนต์ ระบบอิเล็กทรอนิกส์ หมวกเหล็ก เกราะบังหน้า และอุปกรณ์อื่นๆ ที่ใช้ในอวกาศ เนื่องจากทองคำที่มีความหนา 0.000006 นิ้ว จะมีคุณสมบัติช่วยสะท้อนรังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์ไม่ให้ทำลาย หรือลดประสิทธิภาพการทำงานของอุปกรณ์เหล่านี้


      ด้านทันตกรรม
มีการใช้ทองคำเพื่อการครอบฟัน เชื่อมฟัน หรือการเลี่ยมทอง และยังมีการใช้ในการผลิตฟันปลอมด้วย เนื่องจากทองคำมีความคงทนต่อการกัดกร่อน การหมองคล้ำ และยังมีความแข็งแรงอีกด้วย โดยจะใช้ทองคำผสมกับธาตุอื่น เช่น แพลตินัม


            ด้านอิเล็กทรอนิกส์
มีการนำทองคำมาใช้เป็นวัสดุที่ทำหน้าที่สัมผัสในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น เครื่องคิดเลข โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือ เนื่องจากทองคำมีค่าการนำไฟฟ้าสูง และมีความคงทนต่อการกัดกร่อน จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และอายุการใช้งานของเครื่องไฟฟ้าเหล่านั้น

รายชื่อตลาดทองคำที่สำคัญของโลก
ตลาดทองคำนิวยอร์ก
ตลาดทองคำลอนดอน
ตลาดทองคำฮ่องกง
ตลาดทองคำอินเดีย
ที่มาของข้อมูล  :   สมาคมค้าทองคำแห่งประเทศไทย
โลหะก็คือโลหะไม่มีค่าเท่าคุณงามความดี

83
ได้ควายธนูจากอาจารย์ท่านหนึ่ง วันที่ได้ท่านรีบๆถามถึงเรื่องการเลี้ยงการเสกการสวดคาถาต่างๆไม่ทันบอกท่านก็ไป กลุ้มครับงานนี้
ใจอยากเลี้ยงมานาน แต่ไม่รู้เลี้ยงยังไง จึงอยากเรียนถามท่านผู้รู้ มีคาถาเกี่ยวกับควายธนู
-ตอนเสกประจำทุกวัน
-ใช้งาน
-ตอนให้กินหญ้า+น้ำ(จุดธูปกี่ดอก)
-ตอนให้ไปข้างนอก(วิ่งเล่น)
-เรียกกลับ
-และอื่นๆ ทีมีนะครับ
คือแบบไม่รู้เลยอยากถามนะครับ ขอเป็นวิทยาทาน ด้วยครับขอบคุณครับ

84
             ข้อความนี้ กระผมจะเขียนบทความถึงความคิดเห็นส่วนตัวนะครับอาจมีบางข้อความที่อาจทำให้ผู้เขียนหนังสือไม่พอใจซึ่งกระผมจะขอรับผิดชอบแต่ผู้เดียว
              หนังสือชื่อ เกจิขมังเวท หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ
              กระผมขอวิจารณ์แยกเป็นข้อดังนี้นะครับ
1.ในหน้าที่ 10 บรรทัดที่ 16 กล่าวว่า"หลวงพ่อเปิ่นเป็นบุตรคนที่3 ของครอบครัว "ที่จริง หลวงพ่อเป็นบุตรคนที่ 9
2.ในหน้าที่11บรรทัดที่ 2 กล่าวว่า "หลวงพ่อเปิ่น เกิดวันที่ 2 สิงหาคม พศ. 2466 "ที่จริงท่านเกิด วันที่ 12 สิงหาคม พศ.2466
3.ทางผู้เขียนได้ตั้งช่อเรื่องว่า หนังสือชื่อ เกจิขมังเวท หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ ซึ่งผมดูแล้วน่าจะเขียนถึงหลวงพ่อเปิ่นเป็นส่วนใหญ่ นี่ เป็นเรื่องหลวงพ่อ ไม่ถึง 40 หน้า จาก 130 หน้า รวมปก  ซึ่งท่านเหมือนเอาชื่อหลวงพ่อท่านมาสร้างความสนใจ ท่านควรตั้งชื่อเรื่องเป็น รวม เกจิ หรือ อะไรก็ได้ที่บ่งบอกถึงเนื้อหาที่มีในเล่มตรงๆ และ 40 หน้านั้น ก็มีบางส่วนกล่าวถึง คนสักยันต์ที่ไม่ใช่มาจากสายบางพระ ไปก่อเหตุปล้น ฆ่าทำผิดกฏหมายมากมาย และท่านผู้เขียนกล่าวถึง ท่านหลวงพ่อมีใจนักเลง ซึ่งอันนี้ ไม่ว่ากัน แต่ที่สงสัยว่าผู้เขียน คิดยังไง ถึงกล่าวเช่นนี้ คือ "คนที่มีจิตใจเป็นนักเลงก็ต้องพยายามเสาะหาครูบาอาจารย์ผู้เรืองอาคมและไสยเวท เพื่อเรียนวิชาเอาไว้ป้องกันตัวบ้าง เพื่อเป็นบารมีเผื่อจะดังขึ้นมาเหมือนอย่างสี่เสือสุพรรณนั่นบ้าง" ผมอาจจะมองโลกไม่กว้างเหมือนท่านผู้เขียน แต่หากท่านลงบทความเช่นนี้ ผมไม่พอใจมาก ท่านยังแยก การกระทำของคนใจนักเลง กับ อันธพาล-อาชกร ไม่ออกเลย ผู้เขียนมีทัศนะคติกับคนสักยันต์ตามที่ท่านเขียนว่า "คนสักยันต์เป็น คนไม่ดี เป็นโจรดังที่มีวิชาแล้วกล้า ไม่กลัวตาย" ผมว่าคนสักยันต์ที่ดีมีเยอะมากจนผู้เขียนนึกไม่ถึงและเป็นข้าราชการใหญ่ๆก็เยอะหากอยากรู้กระผมจะบอกให้เป็นการส่วนตัว ตามที่ผมเคยฝากเบอร์ไว้ที่สำนักพิมพ์
หากทางเว็บบอร์ดวัดบางพระต้องการจะลบข้อความนี้ผมก็ยินดีและขออภัย

85
เคยคุยกับท่านสิบทัศน์แล้วท่านถามว่าตอนนี้ทำงานอยู่ที่ไหน ผมบอกว่าทำอยู่ที่ จังหวัดกระบี่ ท่านสิบทัศน์ถามถึง ลูกปัดคลองท่อม กระผมเลย หาข้อมูล ได้ข้อมูลมา น่าสนใจเลยขอนำบทความมาลงครับ
ควนลูกปัดแหล่งชุมชนโบราณคลองท่อมจังหวัดกระบี่
 

ชุมชนโบราณควนลูกปัด(คลองท่อม)
ตั้งอยู่ประมาณเส้นละติจูดที่ ๗ ๕๕ ๑๖ เหนือ และลองติจูดที่ ๙๙ ๙ ๔๙ ตะวันออก ทิศเหนือที่ดินวัดคลองท่อม บ้านเรือนของชาวบ้าน ทิศใต้ติดกับที่ครอบครองของชาวบ้าน สวนและป่าละเมาะ ทิศตะวันออก ติดกับที่นาสวนยางพารา ทิศตะวันออกติดต่อกับสวนผลไม้ บ้านเรือนและวัดคลองท่อม
ลักษณะของแหล่งเป็นเนินดิน ไม่มีคูน้ำคันดินหรือคูเมือง เป็นเนิราบในระดับความสูง ๘ เมตร จากระดับน้ำทะเล เป็นที่ราบกว้างประมาณครึ่งตารางกิโลเมตร แวดล้อมด้วยสวนยางพารา สวนผลไม้ ป่าละเมาะบ้านเรือนของชาวบ้าน ด้านตะวันออกเป็นแนวสูงต่อมาจากไหล่เขา เนินด้านเหนือไปสิ้นสุดกลางบริเวณที่ราบต่ำทางใต้และตะวันตก เป็นที่ราบลำคลองไหลผ่านชื่อคลองท่อม
ประวัติ
ชื่อชุมชน คำว่า"ควนลูกปัด" เป็นชื่อชาวบ้านเรียก เมื่อมีการค้นพบลูกปัดแก้วสีต่างๆ บนเนิดินบริเวณนี้ สมัยก่อนไม่มีใครสนใจเพราะวเห็น่าไม่มีค่าอะไร หรื่อเห็นว่าเป็นของโบราณเกรงจะเกิดอาเพทตามความเชื่อ และเรียกว่าบริเวณนี้ว่า ควนลูกปัด ส่วนชื่อ "คลองท่อม" เป็นชื่อหมู่บ้าน ตำบลและอำเภอ ตั้งขึ้นตามชื่อ "ลำคลอง" ที่ไหลผ่านแหล่ง คำว่า "ท่อม" มีผู้ให้ความเห็นดังนี้
"ท่อม" เป็นชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่ง สมัยก่อนขึ้นอยู่ทั่วไปบริเวณสายลำคลอง
"ท่อม" เลื่อนมาจากคำว่า "ทุ่ม" ซึ่งแปลว่าทอดทิ้ง ละร้างไป ที่สันนิษฐานว่าชุมชนแห่งนี้ถูกละทิ้งไปเพราะสาเหตุหลายประการ เช่นถูกข้าศึกรุกราน หรือละทิ้งไปเพราะเกิดโรคระบาดอย่างร้ายแรง
ประวัติทางโบราณคดี
พบหลักฐานการเข้าอยู่อาศัยของมนุษย์ตั้งแต่สมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ แต่ก็มีการพบวัตถุสมัยก่อนประวัติศาสตร์อีกด้วย คงจะเป็นการสืบทอดวัฒนธรรมมาจากสมัยก่อนประวัติศาสตร์ กลุ่มคนที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานบนเนินดินคลองท่อมคงเป็นพื้นเมืองสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่อาศัยอยู่ตามป่าเขาใกล้เคียงนั่นเอง เพราะจากหลักฐานต่างๆจากบริเวณอ่าวพังงาลงมาถึงบริเวณเขาขนาบน้ำ ถ้ำเสือ ถ้ำหลัง โรงเรียนทับปริก ถ้ำอ่าวโกบหน้าเชิง ล้วนเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ทั้งสิ้น ชุมชนคลองท่อมอยู่ใกล้ทะเล มีลำคลองไหลผ่าน อยู่ในเส้นทางการเดินข้ามแหลมจากตะวันตกไปตะวันออก เป็นที่ผ่านไปมาของบรรดาพ่อค้าต่างๆ เช่น จากอินเดีย อาหรับ เปอร์เซีย เป็นต้น ชื่อเดิมจะเป็นอย่างไรไม่พบหลักฐานอาจจะเป็น"ตะโกลา" ด้วยก็ได้ เพราะพิกัดแผนที่โบราณย่อมไม่แน่นอน
หลักฐานทางโบราณคดี
ที่พบ มีดังนี้
(๑) วัตถุที่ทำด้วยหิน มีดังนี้
๑.๑ เครื่องมือหิน มีทั้งหินกะเทาะซึ่งเป็นยุคหินกลางและเครื่องมือหินขัด เช่น ขวานหินทั้งมีบ่าและไม่มีบ่า
๑.๒ หินดุ เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการทำภาชนะดินเผา ส่วนมากทำด้วยหินทราย
๑.๓ แท่งหินสลัก มีหลายขนาดแกะเป็นลวดลายต่างๆ นอกจากนี้ยังมีแท่งหิน คาร์เนเลี่ยนสลักเป็นรูปสัตว์และรูปคน (น่าจะเป็นเทพหรือเทวีตามลัทธิที่นับถือ)
๑.๔ แม่พิมพ์ เช่น แม่พิมพ์ใช้หล่อขวานและหล่อตุ้มหู เป็นต้น
๑.๕ ตราประทับ พบตราที่เป็นข้อความ ตราเป็นรูปสัตว์ ตราประทับที่เป็นข้อความทำด้วยหินคาร์เนเลี่ยน นักโบราณคดีว่าเป็นอักษรปัลลวะ (อินเดียใต้) น่าจะมีอายุระหว่างพุทธ ศตวรรษที่ ๕ - ๑๒
๑.๖ ลูกปัดหิน เป็นวัตถุที่พบมากที่สุดมีหลายขนาด หลายสี ทำจากหินแก้วชนิดต่างๆ
๑.๗ หินซึ่งมีลักษณะเป็นก้อนรัตนชาติ พบจำนวนมากมีหลายขนาด หลายสี ยังไม่ได้นำมาตกแต่ง
๑.๘ วัตถุอื่นๆ ที่ทำด้วยหิน เช่น หินบด หินลับ ครกหิน เป็นต้น
(๒) วัตถุที่ทำด้วยแก้ว มีดังนี้
๒.๑ ลูกปัดแก้ว พบหลายขนาด หลายสี เช่นสี เช่นสีดำทึบแสง สีฟ้าแสลและโปร่งใส สีน้ำเงินแสงและโปร่งใส สีส้มทึบแสง สีแดง สีน้ำตาลทึบแสง บางชนิดยังมีริ้วลายสลับสี นอกจากนี้พบลูกปัดพิเศษออกไป เช่น ลูกปัดหน้าคน ชาวบ้านเรียก "หน้าอินเดียแดง" สันนิษฐานว่าจะเป็นรูปพระสุริยเทพ น่าจะได้รับอิทธิพลจากแถบเมดิเรเนียน
๒.๒ กำไลแก้ว ทำด้วยแก้วสีมีขนาดต่างๆ กัน ส่วนมากชำรุดทั้งสิ้น
๒.๓ แก้วหล่อมและเศษแก้วหลอม พบทั้งที่เป็นแท่งและเป็นก้อน บางก้อนโตมากทีหลายสี เช่น สีเขียว แดง ขาว น้ำเงินเข้ม สีชา บางก้อนมีเศษลูกปัดติดอยู่เป็นพืดอีกด้วย ทำให้เข้าใจว่า ควนลูกปัดน่าจะเป็นแหล่งอุตสาหกรรมผลิตรูปปัดอีกด้วย
๒.๔ แหวน พบแหวนที่ทำด้วยแก้วมากพอสมควรในแหล่งโบราณดคีแห่งนี้
๒.๕ เศษภาชนะที่เป็นแก้ว เศษเครื่องแก้วเหล่านี้ลักษณะบ่งบอกเป็นภาชนะจะผลิตในแหล่งนี้หรือเดินทางนำมาก็ได้ บางท่านระบุว่าเป็น "แก้วโรมัน"
(๓) วัตถุที่ทำด้วยดินเผา มีดังนี้
๓.๑ ภาชนะดินเผา เศษภาชนะดินเผาพบมากที่สุดกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป มีทั้งเคลือบและไม่เคลือบ มีลายและไม่มีลาย บางชิ้นเขียนลายเป็นรูปสัตว์ต่างๆอีกด้วย
๓.๒ ตะคันดินเผา สันนิษฐานว่าเป็นภาชนะใช้แทนตะเกียง พบมากพอควรไม่น้อยกว่า ๑๐ ชิ้นและหลายขนาด
๓.๓ แวดินเผา แวเป็นส่วนปรกอบของไนปั่นฝ้าย พบจำนวนมากมีหลายแบบ
๓.๔ แม่พิมพ์ เช่น แม่พิมพ์ดินเผาเป็นรูปนก
๓.๕ ลายประทับ พบหลายประทับเป็นรูปกลีบบัวและดอกไม้
๓.๖ ดินเผาในรูปอื่นๆ เช่นรูปสัตว์ คนขนาดเล็ก หินดุ เป็นต้น
(๔) วัตถุที่ทำด้วยสำริด มีเป็นจำพวกแหวนสำริด กำไล ตุ้มหู รูปสัตว์ต่างๆ เหรียญที่เป็นรูปสัญลักษณ์ต่างๆ ชิ้นส่วนคันฉ่องสำริดของจีน
(๕) วัตถุที่ทำด้วยเงิน มีจำพวกกำไล แหวน ตุ้มหู เหรียญรูปสัญลักษณ์ต่างๆ แร่เป็นก้อนซึ่งสันนิษฐานว่าแร่เงิน
(๖) วัตถุที่ทำด้วยทองคำ มีจำพวกลูกปัดต่างๆ ทองคำแท่งหรือเป็นแผ่น แหวนทองคำเป็นต้น
แหล่งคลองท่อมหรือควนลูกปัด เป็นสถานที่สำคัญในเชิงประวัติศาสตร์โบราณคดี วัตถุโบราณส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์วัดคลองท่อม โดยพระครูอาทรสังวรกิจเป็นดำเนินการ ผู้สนใจทางโบราณคดีแวะไปชมและศึกษาอยู่เป็นประจำ



--------------------------------------------------------------------------------
ที่มา : http://kanchanapisek.or.th/kp8/culture/krb/krb101.html

86
พระครูธรรมานุกูล (ภู จนฺทเกสโร)

วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม กรุงเทพ


ประวัติ วัดอินทรวิหาร
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?

เดิมชื่อ วัดอินทาราม หรือ วัดบางขุนพรหมนอก ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าผู้ใดเป็นคนสร้าง แต่มีเรื่องเล่ากันว่า เจ้าอินทร์ หรือ อินทะวงศ์ มีศักดิ์เป็นน้าชายของเจ้าน้อยเขียวเมืองเวียงจันทร์ เป็นผู้ปฏิสังขรณ์ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ธิดาของเจ้าอินทะ คนหนึ่งมีนามว่า เจ้าทองสุก กับเจ้าน้อยเขียว ได้เป็นพระสนมของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

ในสมัยนั้น เมืองเวียงจันทร์ยังเป็นเมืองขึ้นของกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้ทรงพระราชทานที่ดิน แถบที่ตั้งวัดอินทรฯ ในปัจจุบัน ให้เป็นที่อยู่ของชาวเวียงจันทร์ เจ้าอินทร์ได้นิมนต์ท่านเจ้าคุณพระอรัญญิก ซึ่งมีเชื้อสายชาวเวียงจันทร์ มาปกครองวัด

มูลเหตุการเปลี่ยนชื่อ
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๓ พระองค์เจ้าอินทร์ในกรมพระราชวังบวรมหาศักดิ์พลเสพย์ ได้บูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถส่วนการเปลี่ยนชื่อเพราะเนื่องจากชื่อวัด ไปตรงกับวัดอินทาราม (ใต้) ฝั่งธนบุรี จึงได้เปลี่ยนเป็น วัดอินทราวิหาร เพื่อไม่ให้ซ้ำกัน ในสมัยรัชกาลที่ ๖

พระพุทธรูปที่สำคัญ ของวัดอินทรวิหาร
๑. พระประธาน ในพระอุโบสถ

๒. พระศรีสุคต อังคีรสศากยมุนี

๓. พระศรีอริยเมตไตรย์ หรือ หลวงพ่อโต

ความสัมพันธ์ของ เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) กับหลวงปู่ภู
พระศรีอริยเมตไตรย์เป็นพระพุทธยืนอุ้มบาตร สูงใหญ่ที่สุดในเมืองไทย ซึ่งท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ได้เริ่มต้นสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ และหลวงปู่ภู เป็นผู้ดำเนินงานก่อสร้างต่อจนแล้วเสร็จ

ปกติ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านมักจะสร้างพระพุทธรูปที่ใหญ่โต สมกับชื่อเพื่อเป็นพุทธบูชา (อุเทสิกเจดีย์) ไว้เป็นที่สักการะบูชา และปริศนาธรรมควบคู่ไปด้วยตามประวัติท่านสร้างไว้หลายแห่งเช่น

๑. ที่วัดสะตือ จังหวัดอยุธยา ได้สร้างพระนอน มีความหมายว่า ท่านได้เกิดที่นั่น ต้องนอนแบเบาะก่อน

๒. ที่วัดเกศไชโย สร้างพระพุทธรูปปางนั่งหมายถึงท่านหัดนั่ง ณ ที่นั้น

๓. ที่วัดอินทรวิหาร สร้างพระศรีอริยเมตไตรย์ (พระยืนอุ้มบาตร) หมายถึงท่านหัดยืน ณ ที่นั้น

ในขณะที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ดำเนินงานก่อสร้างหลวงพ่อโต ท่านก็ได้หลวงปู่ภู เป็นกำลังสำคัญ เพราะท่านเจ้าประคุณสมเด็จสร้างพระโต ไปได้เพียงครึ่งองค์ก็สิ้นชีพตักษัยเสียก่อน ตามหลักฐานขณะนั้นหลวงปู่ภูอายุได้ ๔๓ ปี พรรษาที่ ๒๓ นับว่าชราภาพมากแล้ว

ความสัมพันธ์ของเจ้าประคุณสมเด็จโตกับวัดอินทรวิหาร
เมื่อเยาว์วัยท่านเจ้าพระคุณสมเด็จ (โต) ได้เป็นศิษย์ของท่านเจ้าคุณอรัญญิก (แก้ว) ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสอยู่ในสมัยนั้นตามหลักฐาน ท่านเจ้าคุณธรรมถาวร (ช่วง) มีความใกล้ชิดกับเจ้าประคุณสมเด็จดี ได้เคยกล่าวกับพระยาทิพโกษาฯ ว่าถ้าอยากรู้ประวัติของท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ก็ไปดูภาพฝาผนังโบสถ์ที่วัดอินทรฯ ได้

นอกจากนี้ในสมัยที่หลวงปู่ภูยังมีชีวิตอยู่ท่านได้สั่งกำชับ และสอนลูกศิษย์ทุกคนห้ามมิให้ขึ้นไปบนพระโต เนื่องจากเจ้าประคุณสมเด็จได้บรรจุของดีไว้ภายในฐาน ถ้าใครขึ้นไปจะเป็นอัปมงคลแก่ตัวเอง ส่วนของดีนั้นเข้าใจว่าอาจจะเป็นพระเครื่องสมเด็จก็ได้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าซักถามหลวงปู่ว่า ภายในบรรจุอะไรไว้ เพราะตลอดระยะเวลา ที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ดำเนินงานก่อสร้างหลวงพ่อโตและบรรจุของศักดิ์สิทธิ์ หลวงปู่ได้รู้เห็นโดยตลอด ถ้าของที่บรรจุไว้ไม่ใช่ของสูงท่านคงไม่กำชับลูกศิษย์ลูกหาของท่านเป็นแน่

เอาละครับตอนนี้ข้าพเจ้าขอนำท่านผู้อ่านได้มารู้จักกับชีวประวัติของพระครูธรรมานุกูล
พระครูธรรมานุกูล นามเดิมชื่อว่า ภู เกิดที่หมู่บ้านตำบลวังหิน อำเภอเมือง จังหวัดตาก ในปี พ.ศ. ๒๓๗๓ ตรงกับปีขาลโดยบิดามีนามว่า นายคง โยมมารดามีนามว่า นางอยู่ พออายุได้ ๙ขวบ บิดามารดาได้พาไปบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดท่าคอย ได้ศึกษาเล่าเรียกอักขระสมัย (ภาษาขอม) และหนังสือไทย กับท่านอาจารย์ วัดท่าแคจนกระทั่งอายุได้ ๒๑ ปี จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในปี พ.ศ. ๒๓๙๔ ณ พัทธสีมา วัดท่าคอย โดยมี พระอาจารย์อ้น วัดท่าคอย เป็นพระอุปัชฌาย์พระอาจารย์คำ วัดท่าแค เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์คำ วัดท่าแค เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์มา วัดน้ำหัด เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายานามทางพระว่า "จนฺทสโร"

เมื่อบวชแล้วได้จำพรรษาอยู่ สำนักวัดท่าแคชั่วระยะหนึ่งก็ได้ออกเดินธุดงค์ จากจังหวัดตากมาพร้อมกับพระพี่ชาย คือ หลวงปู่ใหญ่

สำหรับวัดท่าแค ในสมัยที่หลวงปู่ภูจำพรรษาอยู่ นั้นยังเป็นวัดเล็กๆ เข้าใจว่าโบสถ์ยังไม่ได้สร้างท่านจึงได้มาอุปสมบท ที่วัดท่าคอยแล้วกลับไปจำพรรษาอยู่ที่วัดเดิมอีก ปัจจุบันวัดท่าแคนี้ตั้งอยู่ตรงเชิงสะพานกิตติขจรฝั่งตัวจังหวัดตากตำบล เชียงเงิน อำเภอเมือง ปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็นวัดชนะสงคราม

ในสมัยที่หลวงปู่ภูเดิมธุดงค์มากรุงเทพฯ ครั้งแรก ท่านได้เล่าให้ศิษย์ใกล้ชิดฟังว่า ได้มาปักกลดอยู่ ณ บริเวณที่ตั้งวังบางขุนพรหม (ธนาคารแห่งประเทศไทย) สมัยนั้นพื้นที่บริเวณนั้นยังเป็นป่ารกร้างว่างเปล่าและเปลี่ยวมาก มีแต่ต้นรังต้นตาลที่ขึ้นระเกะระกะไปหมด นอกจากนี้ยังมีทางเกวียนทางเท้าเป็นช่องเล็กๆ พอเดินไปได้เท่านั้น ท่านได้มาปักกลดอยู่บริเวณชายแม่น้ำเจ้าพระยา พอตกกลางคืนได้นิมิตฝันไปว่า ได้มีคนนำเอาตราแผ่นดินมามอบถวายให้ท่าน ๓ ดวง เมื่อท่านตื่นขึ้นมาก็ได้พิจารณาถึงนิมิตนั้นพอจะทราบว่า ท่านเองจะมีอายุยืนยาวถึง ๑๐๓ ปีเศษ

การเดินธุดงค์ของหลวงปู่นับตั้งแต่เดินทางออกมาจากวัดท่าแคเข้าจำพรรษาที่วัดในกรุงเทพฯ สันนิษฐานจากคำบอกเล่าของท่านที่ได้เล่าให้ศิษย์ใกล้ชิดฟังว่า ได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดสระเกศฯ ได้ช่วยชีวิตรักษาคนป่วย เป็นอหิวาตกโรคไว้ ๖ คนซึ่งยุคนั้นถือว่าอหิวาตกโรคร้ายแรงมาก ยังไม่มียาจะรักษาถ้าใครเป็นมีหวังตายลูกเดียว และในปี พ.ศ. ๒๔๑๖ ซึ่งเป็นปีที่อหิวาตกโรคระบาดหนัก จนเป็นที่กล่าวขวัญเรียกกันจนติดปากว่า "ปีระกาห่าใหญ่"

ต่อมาท่านได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัดสามปลื้ม ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นวัดจักรวรรดิ์ราชาวาสและได้ย้ายไปจำพรรษาอยู่ วัดโมลีโลกยาราม (วัดท้ายตลาด) ตามลำดับ

กาลต่อมาได้ย้ายไปจำพรรษาอยู่ที่วัดอินทาราม ซึ่งในสมัยนั้นยังใช้ชื่อวัดบางขุนพรหมนอก ในปี พ.ศ. ๒๔๓๒ และได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๔ ส่วนสมณศักดิ์ที่หลวงปู่ได้รับไม่ปรากฏหลักฐานว่าได้รับตำแหน่งในปีใด เข้าใจว่าได้รับก่อนปี พ.ศ. ๒๔๖๓ เพราะตามหลักฐาน ศิลาจารึกเกี่ยวกับการสร้าง พระศรีอริยเมตไตรย์ มีข้อความตอนหนึ่งกล่าวไว้ว่า

ถึง พ.ศ. ๒๔๖๓ ท่านพระครูธรรมานุกูล (ภู) ผู้ชราภาพอายุ ๙๑ ปี พรรษาที่ ๗๐ ได้ยกเป็นกิตติมศักดิ์อยู่ในวัดอินทรวิหาร ท่านจึงได้มอบฉันทะ ให้พระครูสังฆบริบาล ปฏิสังขรณ์ต่อมาจนสำเร็จ

ท่านได้มรณภาพลงเมื่อ วันเสาร์ที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ ตรงกับวันขึ้น ๑๓ ค่ำเดือน ๖ ปีระกา เวลา ๐๑.๑๕ น. รวมสิริอายุได้ ๑๐๔ ปี ๘๓ พรรษา นับว่าท่านได้ยกเป็นพระครูกิตติมศักดิ์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๖๓ จนถึงวันมรณภาพเป็นเวลา ๑๓ ปี

จากบันทึก จริยาวัตร ของหลวงปู่ภู
จริยาวัตรซึ่งลูกศิษย์รุ่นสุดท้ายที่ได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้ท่าน จนถึงบั้นปลายชีวิตได้บันทึกเรื่องราวของหลวงปู่ภูไว้โดยละเอียดเกี่ยวกับการเดินทางธุดงค์ และการสร้างอิทธิวัตถุมงคลต่างๆ ของท่านไว้สมบูรณ์ที่สุด ผมจะขอนำมากล่าวไว้เพื่อเป็นเกียรติประวัติแด่ท่าน ณ ที่นี้

การถือธุดงค์เป็นกิจวัตร

สมัยที่หลวงปู่ยังแข็งแรงดี ท่านจะถือธุดงค์วัตรมาโดยตลอด พอออกพรรษา ท่านจะออกรุกขมูลมิได้ขาดท่านเคยเล่าให้ลูกศิษย์ฟังเสมอว่า ได้ร่วมเดินธุดงค์ไปกับท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) เป็นบางครั้งบางคราวบางทีท่านออกธุดงค์ก็มีพระภิกษุติดตามด้วยท่านได้เล่าให้ฟังว่า ถึงเรื่องแปลกๆที่ด้ออกรุกขมูลไปตามป่าเขามากมายหลายเรื่องซึ่งล้วนแล้วแต่ตื่นเต้นน่าอ่านมาก

ผจญจระเข้

ในสมัยที่เดินธุดงค์ มีอยู่คราวหนึ่ง ท่านได้ปักกลดพักอยู่ใกล้บึงใหญ่แห่งหนึ่ง ใกล้บริเวณนั้นมีหมู่บ้านเล็กๆ ที่ชาวบ้านปลูกอาศัยอยู่ ๒-๓ หลัง ขณะนั้นเป็นเวลาใกล้เที่ยงวัน อากาศร้อนอบอ้าว ท่านจึงได้ผลัดผ้า-อาบ และลงสรงน้ำในบึงใหญ่ พอดีชาวบ้านแถบนั้นเห็นเข้า จึงได้ร้องตะโกนบอกท่านว่า "หลวงตาอย่าลงไป มีจระเข้ดุ" แต่ท่านมิได้สนใจ ในคำร้องเตือนของชาวบ้าน ท่านกลับเดินลงสรงน้ำในบึงอย่างสบายใจ ในขณะที่กำลังสรงน้ำอยู่นั้น ท่านได้แลเห็นพรายน้ำเป็นฟองขึ้นเบื้องหน้ามากมายผิดปกติ เมื่อได้เพ็งแลไปจึงได้เห็นหัวจระเข้โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ ห่างจากตัวท่านประมาณ ๓ วา พร้อมกันนั้นเจ้าจระเข้ยักษ์ มันหันหัวมุ่งตรงรี่มาหาท่านแต่ท่านก็มิได้แสดงกิริยาหวาดวิตกแต่ประการใดไม่ กลับยืนสงบตั้งจิตอธิษฐานเจริญภาวนาจนจระเข้ว่ายมาถึงตัวท่าน พร้อมกับเอาปากมาดุนที่สีข้างของท่านทั้งด้านซ้ายและด้านขวา ข้างละ ๓ ครั้ง แล้วก็ว่ายออกไป มิได้ทำร้ายท่าน

เรื่องนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ต่อชาวบ้านที่ยืนดูอยู่บนฝั่ง เมื่อท่านขึ้นจากน้ำชาวบ้านต่างบอกสมัครพรรคพวก เข้าไปกราบนมัสการด้วยความเลื่อมใสศรัทธายิ่งนักและได้ขอของดีจากท่านคือ ตะกรุด ท่านได้บอกกับลูกศิษย์ว่าในขณะที่เผชิญกับจระเข้ ท่านได้เจริญภาวนา อรหัง เท่านั้น

เสือเลียศีรษะ

ท่านได้เล่าให้ฟัง คราวที่เดินธุดงค์รอนแรมไปในป่าใหญ่เพียงองค์เดียวในขณะที่เดินอยู่กลางป่า ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายมากแล้ว พร้อมกับร่างกายเหนื่อยล้า อ่อนเพลียมาก เพราะท่านออกเดินทางตั้งแต่เช้ายังมิได้หยุดพักเลย พอเห็นต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ริมทางเกวียนร่มรื่นดี จึงได้หยุดพักอยู่โคนต้นไม้นั้น บังเอิญเกิดเคลิ้มหลับไป ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ปักกลดเพราะคิดว่าจะนั่งพักสักครู่พอหายเหนื่อยก็จะเดินทางต่อไปในขณะที่กำลังหลับเพลินอยู่นั้น ก็มาสดุ้งตื่นอีกครั้ง เมื่อรู้สึกว่ามีอะไรมาเลียอยู่บนศีรษะของท่าน ท่านจึงได้ผงกศีรษะขึ้นพร้อมกับหันหลังไปดู ก็เห็นเสือลายพาดกลอนขนาดใหญ่ยาวประมาณ ๘ ศอก ยืนผงาดอยู่แต่มิได้ทำร้ายประกานใด พอเจ้าเสือลายพาดกลอน มันรู้ว่าสิ่งที่มันเลียอยู่นั้นรู้สึกตัวตื่นขึ้น มันกลับเดินเลยไปเสียมิได้ทำร้าย ท่านได้เล่าให้ลูกศิษย์ฟังพร้อมกับหัวเราะ หึ หึ ว่า ตอนเสือมันเดินผ่านไป ได้ยินเสียงข้อเท้าของมันดังเผาะๆ ในเวลาเดิน

ผจญงูยักษ์

เนื่องจากการเดินธุดงค์ของท่าน ออกจะแปลกสักหน่อย ตรงที่ไม่ค่อยเลือกเวลา เพราะว่าส่วนมากพระภิกษุองค์อื่นๆ มักจะเดินกันตอนกลางวัน ก่อนตะวันตกดินถึงจะหาสถานที่ปักกลด ส่วนหลวงปู่ภู ท่านมิได้เดินเฉพาะกลางวันเท่านั้น ตอนกลางคืนท่านก็ออกเดินด้วยเพราะท่านเชื่อมั่นในตัวเอง อีกทั้งวิชาอาคมที่ได้ร่ำเรียนมา ท่านก็ถือว่า สามารถคุ้มกายท่านได้

มีอยู่คราวหนึ่ง ท่านได้ออกเดินธุดงค์ในเวลากลางคืน โดยอาศัยแสงจันทร์ เป็นเครื่องส่องนำทาง แต่ก็ไม่สว่างมากนัก พอจะมองเห็นบ้างทั้งนี้ เพื่อจะมุ่งหน้าไปถึงหมู่บ้านตอนเช้า เพื่อรับบิณฑบาต การเดินทางกลางป่าดงดิบรกรุงรังไปด้วยแมกไม้นานาชนิด อีกทั้งเถาวัลย์ระแกะระกะเต็มไปหมด แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อท่านนัก

ในขณะที่ท่านกำลังเดินผ่านสถานที่แห่งหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงซู่ๆ และเสียงใบไม้ดังกรอบแกลบคล้ายเสียงสัตว์เลื้อยคลานผ่านท่านก็หยุดเดิน เพื่อดูให้แน่ว่าเป็นเสียงอะไร พอท่านหยุดเดินเจ้างูยักษ์ก็โผล่หัวออกมาจากดงไม้ ตัวโตเท่าโคนขาและตรงเข้ารัดลำตัวของท่านโดยรอบ ท่านตั้งสติยืนตรงพร้อมกับเอากลดยันไว้มิได้ล้มลง เจ้างูยักษ์ยันพยายามจะฉกกัดใบหน้าของท่าน แต่ท่านได้สติ ยืนนิ่งทำสมาธิจิตเจริญภาวนาอยู่ครู่หนึ่ง เจ้างูใหญ่ตัวนั้นมันก็คลายจากการรัดร่างของท่านแล้วเลื้อยเข้าป่ารกไป มิได้ทำอันตรายแก่ท่าน

อธิษฐานบาตรลอยทวนน้ำ

สำเร็จสุดยอดต้องใช้เวลา ปฏิบัติวิชาละ ๑๐ ปี จะเสกน้ำมนต์ให้เดือดได้ ต้องเรียนถึง ๑๑ ปี เต็มฉะนั้นการศึกษาวิชาอาคมของท่าน กว่าจะสำเร็จจะต้องใช้เวลาถึง ๗๑ ปีเต็ม

กิจวัตรประจำวัน

ตลอดระยะเวลาที่หลวงปู่ภูมีชีวิตอยู่ ท่านมิได้ใช้เวลาให้ว่างเปล่า ทุกเวลาของท่านมีค่ามาก มุ่งหน้าปฏิบัติมีพุทธภูมิเป็นที่ตั้ง การร่ำเรียนวิชาอาคมมา ก็เพียงเพื่อช่วยเหลือ ผู้ที่กำลังทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บนับว่าท่านมีเมตตาธรรมสูงส่ง

การที่ท่านมุ่งมั่นเรียนวิชา ดูเมฆ หรือเรียกกันว่า วิชาเมฆฉาย ในพจนานุกรม หมายความว่า "การอธิษฐาน" โดยบริกรรมด้วยมนต์คาถาจนเงาของคนเจ็บลอยขึ้นไปในอวกาศ แล้วพิจารณาดู คนเจ็บนั้นเป็นอะไร

ส่วนวิชากสิณนั้นหมายถึง อารมณ์ที่กำหนดธาตุทั้งสี่ มีปฐวี อาโป เตโช วาโย อัน มีวรรณ ๔ คือ นีล ปีต โลหิต โอกทาต อากาศแสงสว่าง ก็คือ อาโลกกสิณ

ซึ่งวิชาทั้งสอง ที่ท่านได้เพียรพยายามศึกษาเมื่อมุ่งช่วยเหลือมวลมนุษย์ ที่ประสบเคราะห์กรรมเป็นต้น

การบำเพ็ญปฏิบัติของท่านจะเริ่มขึ้นหลังจากท่านได้ฉันจังหันแล้ว คือเวลา ๗.๐๐ น. ตรง ตลอดชีวิตท่านฉันเพียงมื้อเดียว(ถือเอกา)มาโดยตลอด ผลไม้ที่ขาดไม่ได้ คือ กล้วยน้ำว้าท่านบอกว่าเป็นโสมเมืองไทย

ท่านออกบิณฑบาตทุกวัน ซึ่งถือเป็นกิจวัตรของพระสงฆ์ที่พึงปฏิบัติทั้งๆ ที่ท่านไม่จำเป็นจะต้องออกก็ได้ เพราะเจ้าฟ้าสมเด็จกรมพระนครสวรรค์พินิจ ได้จัดอาหารมาถวายทุกวันแต่ท่านก็ได้บอกว่า การออกบิณฑบาตโปรดสัตว์เป็นกิจของสงฆ์

เมื่อท่านฉันจังหันเสร็จแล้ว ก็จะครองผ้าลงโบสถ์และลั่นดานประตู เพื่อมิให้ผู้ใดเข้าไปรบกวนท่าน จะเจริญพุทธมนต์ถึง ๑๔ ผูก วันละ ๗ เที่ยวแล้วจึงนุ่งวิปัสสนากรรมฐานต่อไปจนถึงเที่ยวทุกๆวัน ท่านเคยเล่าให้ศิษย์ใกล้ชิดฟังว่า ขณะที่นั่งกรรมฐานอยู่พอได้เวลาเที่ยง ทางการจะยิงปืนใหญ่ (เพื่อบอกเวลาว่าเที่ยงแล้ว)ในขณะที่ยิงปืนใหญ่ กูหงายหลังทุกทีพอท่านพักได้ชั่วครู่ก็จะบำเพ็ญเจริญภาวนาต่อไปจนถึงตีหนึ่ง จึงจะจำวัด

ถึงแม้ตอนท่านชราภาพ ท่านก็มิได้ขาดจากการลงทำวัตร เว้นแต่ท่านอาพาธหนักจนลุกไม่ไหวท่านก็เจริญวิปัสสนา โดยการนอนภาวนา ซึ่งในพระธรรมวินัยได้กล่าวไว้ เรื่องวิปัสสนากรรมฐานการปฏิบัติด้วยอิริยาบถ ๔ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน ก็ปฏิบัติได้ เป็นต้น

ท่านเคยเปิดก้นให้ลูกศิษย์ดู พร้อมกับถามลักษณะก้นของกูเป็นอย่างไร ลูกศิษย์ก็ตอบว่าก้นหลวงปู่ด้านเหมือนกับก้นของลิง หรือเสน ท่านจึงได้บอกว่า "ปฏิบัติอย่างนี้ ไม่ได้ดี แล้วจะดีเมื่อไหร่ คนที่เป็นอาจารย์เขา "จริง" อย่างเดียวไม่พอต้อง "จัง" ด้วยคือต้องทั้งจริงและจังควบคู่กันไป (ต้องรู้แจ้งแทงตลอด)

หยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า
ในคราวที่ทางการได้สร้างสะพานพระพุทธยอดฟ้าฯ แล้วเสร็จทางการได้จัดงานเฉลิมฉลองได้มีข่าวลือกันหนาหูว่า จะมีการยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นระบบประชาธิปไตยและจะมีการนองเลือด ข่าวนี้ได้ลือกันแพร่สะพัดมาเป็นเวลาแรมเดือน ก่อนที่จะกำหนดงานจนผู้คนแตกตื่นเกรงกลัวกันมาก พอมีงานเฉลิมฉลองสะพานบางคนก็ไม่กล้าออกจากบ้านไปเที่ยง ทางการก็ได้สั่งเตรียมพร้อม เพื่อรับสถานการณ์

ในขณะนั้นศิษย์ใกล้ชิดของหลวงปู่ในใจก็อยากจะไปเที่ยวดูงาน เพราะมีมหรสพการแสดงหลายอย่างแต่ก็ไม่กล้าไป จนกระทั่งเวลา ๖ โมงเย็นจึงได้อาบน้ำอาบท่าเสร็จแล้วก็คลานเข้าไปหาหลวงปู่ นั่งพัดให้ท่านจนหลวงปู่รู้สึกหนาว จึงได้ดุศิษย์ผู้นั้นว่า "หยุด กูไม่ร้อน ต่อไปพวกมึงซิจะร้อน" แต่ศิษย์ผู้นั้นหาได้ฟังไม่ กลับพัดอยู่ต่อไปท่านจึงได้หันมาดุเอาอีก "เอ๊ะอ้ายนี้แปลก วันนี้ทางการบ้านเมืองเขามีงานมีการที่สะพานพุทธฯ มีโขนมีลิเกกันทำไมมึงเป็นหนุ่มเป็นแน่นไม่ไปเที่ยวกันละวะ ดันทุรังนั่งพัดอยู่ได้ กูบอกไม่ร้อน แต่พวกมึงจะร้อนไปดูงานเถอะไป"

ศิษย์ผู้นั้นก็ตอบว่า "ผมไม่ไปละครับผมกลัวเขาลือกันว่าจะมีเรื่อง" เมื่อท่านได้ฟังแล้วก็หัวเราะ พร้อมกับพูดขึ้นว่า "ไป ไป๊ ไปดูงานให้สบายเถอะ ไม่ต้องกลัวและไม่ต้องห่วงกู มึงนับถือกูไหมล่ะ ถ้านับถือกู มึงต้องรีบไปได้แล้ว กูว่าเรื่องที่ว่าไม่มี" ศิษย์ผู้นั้นจึงได้กราบลาท่านออกไป เที่ยวงานฉลองสะพานพุทธฯ

หลังจากที่ศิษย์ผู้นั้นได้ไปเที่ยวงานกลับตอนตีหนึ่งเศษ ท่านยังไม่จำวัดจึงได้เข้ากราบท่าน ท่านก็สอบถามว่า มีการยิงกันตามข่าวลือหรือไม่ ศิษย์ได้เรียนท่านว่า ไม่มีครับ ท่านจึงได้พูดต่อไปว่า "อ้ายคนเดี๋ยวนี้มันพูดกันไปจริง" แล้วท่านก็หยุดนิ่งสักครู่จึงได้พูดต่อไปอีกว่า "เดือน ๗ แรม ๖ ค่ำ เวลาย่ำรุ่งเถอะมึงเอย ตูมเบ้อเร่อทีเดียว" ศิษย์คนนั้นก็สอบถามท่านอีกจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น หรือหลวงปู่ ท่านก็เพียงบอกว่า "มึงคอยดูไป มึงคอยดูไป"

คำกล่าวของหลวงปู่นั้น ต่อมาปรากฏว่า เป็นความจริงตามที่ท่านได้กล่าวไว้ คือได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ เกิดการต่อสู้กันที่วังบางขุนพรหม ในเวลาย่ำรุ่งและยังมีการต่อสู้อีกหลายแห่ง ตรงกับที่ท่านได้พยากรณ์ไว้ว่าเดือน ๗ แรม ๖ ค่ำเวลาย่ำรุ่ง

พอรุ่งเช้าลูกศิษย์ของท่าน ซึ่งรับราชการอยู่ในกองทัพเรือ แต่งตัวเข้าไปรายงานตัว แต่ก็ไม่สามารถจะเข้าไปทำงานได้ จึงกลับมาหาหลวงพ่อเข้าไปกราบนมัสการท่าน ท่านกลับลุกขึ้นไปหยิบจีวรคลุมศีรษะโผล่หน้าออกมา ให้เห็นเพียงนิดเดียว แล้วพูดขึ้นว่า "กูว่าแล้วนะปะไร" พอพูดจบท่านก็หัวเราะ สักครู่หนึ่งน้ำตาท่านได้ไหลซึมออกมาจากเบ้าตา (เข้าใจว่าคงจะสงสารกรมพระนครสวรรค์วรพินิต ซึ่งถูกจับเป็นตัวประกัน ในพระที่นั่งอนันตสมาคม) ท่านนั่งอยู่สักครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า "เออกูได้ทางแล้ว กูได้ทางแล้ว"

บอกใบ้ม้าแข่ง
พูดถึงเรื่องม้าแข่ง ซึ่งผู้คนติดกันชนิดถอดตัวไม่ขึ้น ในสมัยนั้นมีศิษย์ของหลวงปู่ก็ติดม้ากันงอมแงม พอจะถึงวันแข่ง ก็ได้นัดหมายเพื่อนมานั่งปรนนิบัติหลวงปู่ ขณะนั้นเป็นเวลาตอนกลางคืน ซึ่งหลวงปู่กำลังอารมณ์ดีอยู่ ท่านได้พูดขึ้นลอยๆ ว่า "อ้ายคนสมัยนี้ก่อนเวลาตายเขาเอาใส่โกศทอง เขาไม่ได้ใช้หีบไม้ เขาไม่เสียดายเขาใส่โกศทองจริงๆ นะมึงนะ โกศทองจริงนะมึงนะ" ท่านได้พูดซ้ำซากอยู่หลายครั้งหลายหน ศิษย์ที่นั่งอยู่ด้วยก็รู้ว่าท่านบอกใบ้ให้เพราะทุกคนรู้ว่าท่านมีญาณสูงสามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้

พอวันรุ่งขึ้นศิษย์ทั้งสองจึงได้ชวนกันเข้าสนามม้า จ้องดูว่าม้าตัวไหนสีเหลือง ในขณะนั้นได้มีจ๊อกกี้ของคอกพระปฎิพัทธภูบาล ใส่เสื้อสีเหลือง อยู่เพียงคนเดียวจึงได้ทุ่มซื้อแต่ก็ผิดหวังเพราะไม่เข้าหลักชัย พอเที่ยวที่สองก็แทงอีก แต่ไม่เข้าสักตัวเล่นเอาทั้งสองต่างเหงื่อกาฬแตก เพราะหมดเงินและนึกในใจที่หลวงปู่บอกใบ้มาผิดหมด พอเที่ยวที่ ๗ ม้าคอกนี้ก็เข้าแข่งอีก เป็นม้าเทศ แต่ข่าวว่าม้าตัวนี้เจ็บป่วยอีกทั้งตามประวัติไม่เคยชนะเลย พอม้าตัวนี้ลงสนามจึงไม่มีใครสนใจ แม้แต่ศิษย์ทั้งสองก็ไม่สนใจเช่นกัน แม้แต่ชื่อของม้าตัวนั้นก็ไม่สนใจ จนเสร็จสิ้นการแข่งขันม้าตัวนั้นก็ชนะแบบขาดลอย แต่มีชาวจีน ๒ คนที่นั่งอยู่ข้างๆ แทงไว้คนละใบ ถูกวิน ศิษย์ทั้งสองจึงได้ขอดูชื่อม้าตัวนั้น ก็ตกใจ เพราะมันชื่อ "โกลเด็นเอิร์น" ซึ่งแปลว่า "โกศทอง" ตรงกับที่หลวงปู่กล่าวไว้

หลวงปู่ต้องย้ายไปอยู่หลายวัด หวย ก.ข. หวยจับยี่กี เป็นเหตุ


ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ทางการได้อนุญาตให้ประชาชนเล่นหวย กันโดยชอบด้วยกฎหมาย ชาวบ้านต่างมุ่งหน้าเข้าหาพระเกจิอาจารย์ เพื่อขอหวยหวังเสี่ยงโชคตอนนั้นใครๆ ต่างเล่าลือกันว่าหลวงปู่ภูให้หวยแม่น ใครๆ ก็มุ่งหน้ามาขอหวยจากท่าน จนท่านเกิดความรำคาญ ที่ไม่ค่อยได้ปฏิบัติบำเพ็ญธรรมท่านจึงได้หลบไปจำพรรษาที่วัดโมลีฯ วัดสระเกศฯ วัดม่วงแค วัดสามปลื้มฯ บ้าง

ในคราวที่ท่านหลบมาจำพรรษาอยู่ วัดโมลีโลกฯ (ท้ายตลาด) ได้มีชายคนหนึ่งมาขอหวยท่านได้ปฏิเสธชายคนนั้นว่า "ไม่มี" แล้วท่านก็นั่งเจริญภาวนาต่อไป มิได้สนใจชายคนนั้น แต่ชายคนนั้นก็มิได้ละความพยายามนั่งเฝ้ารออยู่ตรงนั้น พอนานเข้าก็พูดขึ้นว่า "หลวงพ่อครับ ผมขอไอ้ที่แน่ๆ สักตัวครับ"

ถึงจะพูดอย่างไรท่านยังคงนิ่งเจริญภาวนาไปเรื่อยๆ ชายคนนั้นก็พูดซ้ำซาก จนท่านรำคาญหรือเกิดขัดใจอะไรไม่ทราบได้ ท่านได้ลุกขึ้นพร้อมกับเตะชายคนนั้น ตกลงไปจากหอไตรพร้อมกับพูดว่า "นี่แนะ ไอ้ที่แน่" ถึงชายคนนั้นจะถูกเตะตกหอไตร แต่ก็มิได้รับอันตรายและคิดเอาเองว่าหลวงปู่ใบ้หวยให้ จึงได้ตีกิริยาอาการของท่านว่าหมายถึง ต.เรือจ้าง ชายคนนั้นรีบกลับไปแทง วันนั้นหวยออก "ต.เรือจ้าง" นับว่าอัศจรรย์มาก

หยั่งรู้อนาคตและอดีต
ในสมัยนั้นข้าราชการส่วนมากนิยมตั้งคอกม้า มีข้าราชการชั้นโท ผู้หนึ่งก็ตั้งคอกม้าขึ้นได้เดินทางมากับเพื่อนเพื่อมาหาหลวงปู่ คิดว่าจะสอบถามท่านถึงการดำเนินงานจะประสบผลสำเร็จหรือไม่ ในขณะที่ทั้งสองเข้าไปกราบหลวงปู่ ยังไม่ทันได้บอกอะไร หลวงปู่กับพูดขึ้นก่อนว่า "ฉิบหายจ๊ะไม่ได้การดอก" แล้วท่านก็นิ่งเงียบ ชายทั้งสองจึงขอให้ท่านลงกะหม่อมให้แล้วกราบลาท่านออกมา ต่อมาอีกไม่นานคอกม้าของชายคนนั้นทุกครั้งที่ลงแข่งจะแพ้ทุก จนต้องเลิกกิจการไป เป็นจริงตามคำทำนายของท่านทุกประการ

มีเมตตาธรรมสูง
ได้มีลูกศิษย์ใกล้ชิดของท่านได้บันทึกคุณธรรมท่านไว้ ดังที่ข้าพเจ้าจะขอนำมาลงไว้ ณ ที่นี้ด้วย

"ก่อนข้าฯ เป็นศิษย์ได้ถวายตัวเป็นลูกรับใช้ปฏิบัติมาตั้งแต่ต้นจนอวสาน ข้าฯ ได้เห็นองค์ท่านช่วยทุกข์แก่สัตว์มนุษย์ทุกรูปวัยไม่แบ่งชั้นวรรณะ เสมอต้นหมดแม้จะเป็นเจ้า หรือขุนนางชั้นสายสะพายทองก็ตาม ตลอดจนยาจนเข็ญใจข้าฯ จึงปลาบปลื้มในองค์ท่านมิรู้หาย ตราบเท่าทุกวันนี้"

เรื่องการรักษาโรค ท่านเชี่ยวชาญมาก แต่ละวันจะมีผู้คนที่เจ็บไข้ไปหาท่าน ให้ช่วยรักษาปัดเป่าจนหายเช่น การรักษาฝีท่านจะถามว่า "จะเอาแตกหรือจะเอายุบ" แล้วท่านจึงรักษาให้ตามประสงค์ แต่ก็เป็นที่อัศจรรย์มากถ้าใครบอกว่าเอาแตกพอท่านรักษาเสร็จ คนไข้พอเดินยังไม่พ้นวัด ฝีจะแตกทันที

มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านป่วยจนไข้ขึ้นสูง เพราะไม่ได้ถ่ายมาหลายวัน หมอที่เป็นศิษย์บอกว่าจะต้องรักษาด้วยการสวนทวาร เพื่อให้ถ่ายจะได้ลดไข้ แต่ท่านก็ไม่ยอมให้สวน กลับบอกให้ลูกศิษย์ให้ไปหามะตูมมาหนึ่งลูก พร้อมกับผ่ามะตูม ท่านจึงตักมะตูมฉันไป ๓ ช้อน ส่วนที่เหลือให้ลูกศิษย์กิน พอเวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง ท่านก็ลุกไปถ่ายอุจจาระไข้จึงลดลง พอลูกศิษย์เห็นดังนั้นก็เกิดวิตกเพราะตนกินมะตูมผลนั้นไปมากกว่าหลวงปู่ แต่ปรากฏว่าศิษย์ผู้นั้นกับท้องผูกไปสามวัน ท่านได้พูดกับลูกศิษย์ว่า "ของทุกอย่างขึ้นอยู่กับการกำหนดจังหวะและเวลา"

ทดสอบหมอ

มีอยู่คราวหนึ่ง ขณะนั้นท่านอารมณ์ดี จึงได้พูดกับศิษย์ว่า "เขาว่ามึงเป็นหมอหรือ" ศิษย์คนนั้นเป็นนายแพทย์ได้ตอบท่านว่า "พอมีความรู้"ท่านก็ถามต่อไปว่า "มึงตรวจลมกูได้ไหม" ศิษย์ก็ตอบว่า "ได้" ท่านจึงนอนลงพิงหมอนขวานแล้วบอกให้ศิษย์ตรวจลม หมอคนนั้นได้เอามือจับชีพจรด้ายซ้ายแต่ไม่พบ เพื่อจับเหนือสะดือก็ไม่พบจนเวลาล่วงไปประมาณ ๒๐ นาที ก็ยังตรวจไม่พบ ท่านจึงสะบัดมือพร้อมกับพูดว่า "ยังไง มึงตรวจลมกูได้ไหม" ศิษย์ก็ตอบว่าตรวจไม่พบ ท่านจึงบอกว่า

"ยังงั้นมึงก็หมอลากข้าง นี่แหละเขาเรียกว่าลมกองละเอียด เขาทำให้เดินตามผิวหนังเท่านั้น มันยากหรือง่ายวะ"

หลวงปู่ภูมีเมตตาสูง

แม้แต่สัตว์ทุกชนิดยังไม่เกรงกลัว แต่ละตัวเชื่องมาก ในสมัยท่านมีชีวิตอยู่ จะมีอีกาบินมาเกาะต้นพิกุล ตอนเช้าพอท่านฉันจังหันเสร็จ มันก็จะบินมาเกาที่หน้าต่างกุฏิท่านจะปั้นข้าวสุกเสกแล้วยื่นให้มันกิน พอมันคาบข้าวสุกปั้นก้อนนั้น ท่านจะเอามือตบหัวมันเบาๆ แล้วมันก็จะบินออกไป เป็นเช่นนั้นอยู่ประจำ

ที่กุฏิของท่านจะมีไก่วัดมาอยู่บริเวณหน้ากุฏิท่านจำนวนมาก วันหนึ่งขณะที่ท่านเดินมาหน้ากุฏิ ยืนดูลูกไก่ที่เพิ่งออกจากไข่ใหม่ๆ ท่านให้ศิษย์เอาข้าวสารมา ๑ กำมือ พร้อมกับโปรยให้ลูกไก่กิน และยืนดูอยู่สักครู่แล้วจึงออกเดินพร้อมกับพูดว่า "กูไปละนะ กุ๊กๆ" ลูกไก่กลับวิ่งตามท่าน เมื่อท่านเห็นดังนั้นจึงพูดว่า "เจ้ามาตามกูทำไมไปอยู่กับแม่มึง" ลูกไก่ถึงได้วิ่งกลับไปอยู่กับแม่ไก่



 พระพุทธ4พระธรรม4พระสงฆ์4อุบาสก4อุบาสิกา4ปกิณกะ4? พุทธประวัติ? พุทธประวัติทัศนศึกษา? ทศชาติชาดก4? ชาดก ๕๔๗ เรื่อง4? ประทีปแห่งเอเซีย? ๓ เดือนก่อนปรินิพพาน? บุคคลผู้เป็นเอกหาได้ยากในโลก? พระสัมมาสัมพุทธเจ้า? พระปัจเจกพุทธเจ้า? พระพุทธเจ้าในนิกายเถรวาทและมหายาน? พุทธกิจ ๔๕ พรรษา? พุทธการกธรรม? พุทธธรรมดา ๓๐ ทัศ? พุทธศาสนายุคหลังพุทธปรินิพพาน? พระไตรปิฎก4? พระอภิธรรม4? ศีล4? บทสวดมนต์4? พระคาถาชินบัญชร4? มิลินทปัญหา? พระพุทธศาสนาจากพระโอษฐ์? นวโกวาท? ปกิณกธรรม4? พระอสีติมหาสาวก? เอตทัคคะ ภิกษุ4? เอตทัคคะ ภิกษุณี4? ประวัติอาจารย์ สายพระป่า? ประวัติอาจารย์ สายพระบ้าน? คำสอนอาจารย์? ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช? พระประวัติสมเด็จพระสังฆราช4? สมณศักดิ์? พระบุญนาคเที่ยวกรรมฐาน? บันทึกลับ ภิกษุนิรนาม? ภาพในหลวงกับพระสุปฏิปันโน? เอตทัคคะ(อุบาสก)4? ประวัติอุบาสกคนสำคัญ4? ธรรมะโดยอุบาสก4? พระสมาธิของพระเจ้าอยู่หัว? พระราชกฤษฎาภินิหาร? พระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงพระปรีชา? ทิพยอำนาจในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว? เมื่อกษัตริย์โบดวง ทรงชักนำในหลวงเปลี่ยนศาสนา? เอตทัคคะ (อุบาสิกา)4? ประวัติอุบาสิกาคนสำคัญ4? คำสอนโดยอุบาสิกา4? นิทานเซน? โอวาทสี่ของเหลี่ยวฝาน? โอวาทท่านจี้กง? ระเบียบปฏิบัติของชาวพุทธ? ศาสนพิธี? สารบัญปัญหาจากการปฏิบัติ? สารบัญปัญหาจากการดูจิต? พุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์4? เรื่องที่น่าสนใจ? เตมีย์ชาดก? ชนกชาดก? สุวรรณสามชาดก? เนมิราชชาดก? มโหสถชาดก? ภูริทัตชาดก? จันทกุมารชาดก? นารทชาดก? วิทูรชาดก? เวสสันดรชาดกเรียงตามนิบาตเรียงตามชื่อความรู้เรื่องพระไตรปิฎกความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาทประวัติพระไตรปิฎกฉบับจีนพากย์ความหมายของพระไตรปิฎกความเป็นมาของพระไตรปิฎกคำอธิบายพระไตรปิฎกอย่างย่อลำดับคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาเนื้อหาโดยสังเขปของพระไตรปิฎกแก่นธรรมจากทีฆนิกายความคิดของคนที่ไม่เข้าถึงสภาวะธรรมความสำคัญและการรักษาพระไตรปิฎกสาระน่ารู้เกี่ยวกับพระอภิธรรม4พระอภิธรรมในชีวิตประจำวันปรมัตถธรรมสังเขปจิตตสังเขปนวโกวาท วินัยบัญญัติ เบญจศีล อานิสงส์ของศีล ๕ข้อห้ามและศีลของสมณเพศ 4อย่างไรจึงผิดศีลผิดศีล..ตัดสินอย่างไรถือศีลอย่างไรจึงจะไม่กลายเป็นสังโยชน์วินัยของพระภิกษุสงฆ์ ที่ประชาชนควรทราบบทสวดทำวัตรเช้าบทสวดทำวัตรเย็นบทสวดมนต์เจ็ดตำนานบทสวดมนต์สิบสองตำนานบทสวดถวายพรพระอานิสงส์ของการสวดพระพุทธคุณบทสวดมนต์ต่าง ๆบทสวดพระอภิธรรมในงานศพฉบับอ.พร รัตนสุวรรณฉบับพระพิมลธรรม (อาสภเถระ)ฉบับ 'ฉันทิชัย'ฉบับสิงหฬฉบับ สงฺขฺยาปกาสกฎีกาความหมายของธรรมปฏิจจสมุปบาทตำนานพระปริตรการอ่านภาษาบาลีคำถามเกี่ยวกับบทสวดมนต์อกุศลกรรมบท ๑๐4สมถะกรรมฐาน-อัปปนาสมาธิภพภูมิ 31 ภูมิกิเลส ๑๐อนุสสติ ๑๐กังขาเรวตะกาฬุทายีกุมารกัสสปะกุณฑธานะจุลปันถกะทัพพมัลลบุตรนันทะ (พุทธอนุชา)นันทกเถระปิณโฑลภารทวาชะปิลินทวัจฉะปุณณมันตานีบุตรพากุละพาหิยทารุจีริยะภัททิยกาฬิโคธาบุตรมหากัจจายนะมหากัปปินะมหากัสสปะมหาโกฐิตะมหาปันถกะโมคคัลลานะโมฆราชะรัฐปาละราธะราหุลเรวตขทิรวนิยะลกุณฎกภัททิยะวักกลิวังคีสะสาคตะสารีบุตรสีวลีสุภูติโสณกุฏิกัณณะโสณโกฬิวิสะโสภิตะอนุรุทธอัญญาโกณทัญญะอานนท์อุบาลีอุปเสนวังคันตบุตรอุรุเวลกัสสปะนางสุชาดานางวิสาขามิคารมาตานางขุชชุตตรานางสามาวดีนางอุตตรานันทมาตานางสุปปวาสาโกลิยธีตานางสุปปิยาอุบาสิกานางกาติยานีนางนกุลมาตาคหปตานีนางกาฬีอุบาสิกาสมเด็จพระสังฆราช (ศรี)สมเด็จพระสังฆราช (ศุข)สมเด็จพระสังฆราช (มี)สมเด็จพระสังฆราช (สุก)สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน)สมเด็จพระสังฆราช (นาค)กรมพระปรมานุชิตชิโนรสกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์สมเด็จพระสังฆราช (สา)กรมพระยาวชิรญาณวโรรสกรมหลวงชินวรสิริวัฒน์สมเด็จพระสังฆราช (แพ)กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราช (ปลด)สมเด็จพระสังฆราช (อยู่)สมเด็จพระสังฆราช (จวน)สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น)สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์)สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ)พ่อค้าชื่อตปุสสะและภัลลิกะอนาถปิณฑิกคฤหบดีจิตตคฤหบดีหัตถกอุบาสกเจ้ามหานามศากยะอุคตคฤหบดีอุคคฤหบดีสูรัมพัฏฐเศรษฐีบุตรหมอชีวกโกมารภัจจ์นกุลปิตาคฤหบดีอุบาสกเปลี่ยน รักแซ่อ.เสถียร โพธินันทะอ.พร รัตนสุวรรณอ.สุชีพ ปุญญานุภาพศ.นพ.อวย เกตุสิงห์เซียนสู พรหมเชยธีระอ.สัญญา ธรรมศักดิ์อ.บุญมี เมธางกูรม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชอ.วศิน อินทสระดร.ระวี ภาวิไลสุลักษณ์ ศิวรักษ์สมพร เทพสิทธาสัตยา นารายัน โกเอ็นก้า? สันตินันท์? สู พรหมเชยธีระ? ดังตฤณ? เสถียร โพธินันทะ? สุชีพ ปุญญานุภาพ? วศิน อินทสระ? น.พ.กำพล พันธ์ชนะ? เขมานันทะ? ไชย ณ พล? กำพล ทองบุญนุ่ม? บุญมี เมธางกูร? มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช? ศ.นพ.อวย เกตุสิงห์? สุลักษณ์ ศิวรักษ์? ท่านอื่น ๆพระมหาปชาบดีโคตมีเถรีพระเขมาเถรีพระอุบลวัณณาเถรีพระปฏาจาราเถรีพระธัมมทินนาเถรีพระนันทาเถรีพระโสณาเถรีพระสกุลาเถรีพระภัททากุณฑลเกสาเถรีพระภัททากปิลานีเถรีพระภัททากัจจานาเถรีพระกีสาโคตมีเถรีพระสิงคาลมาตาเถรีกี นานายนกนิษฐา วิเชียรเจริญแนบ มหานีรานนท์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ม.จ.พูนพิศมัย ดิสกุลสิริ กรินชัยพิมพา วงศาอุดมศันสนีย์ เสถียรสุตสุจิตรา อ่อนค้อมรัญจวน อินทรกำแหงบุญเรือน โตงบุญเติมสุรีพันธ์ มณีวัตแก้ว เสียงล้ำ? กี นานายน? สุจินต์ บริหารวนเขตต์? แนบ มหานีรานนท์? Nina Van Gorkom? อัญญมณี มัลลิกะมาส? ละมัย เขาสวนหลวง? พิกุล มโนเจริญ? อมรา มลิลา? พิมพา วงศาอุดม? รัญจวน อินทรกำแหง? สุรีพันธ์ มณีวัตความมหัศจรรย์ของธรรมชาติการกำเนิดชีวิตและจักรวาลชีวิตกับจักรวาลความรู้กับสภาวะแห่งการรู้ธรรมะเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์อย่างไรเต๋าแห่งฟิสิกส์พุทธศาสนาในฐานะรากฐานของวิทยาศาสตร์วิทยาศาสตร์สมาธิคำนำห้ามฉันเนื้อ ๑๐ อย่างศีล ๑๐ ข้อของสามเณรศีล ๒๒๗ ข้อของพระภิกษุ4ครุธรรม ๘ ของภิกษุณีคำนำ ปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุ มิจฉาจาร มุสาวาท ปิสุณาวาจา ผรุสวาจา สัมผัปปลาปะ อภิชฌา พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ สรุปอกุศลกรรมบท ๑๐ปาราชิกสังฆาทิเสสอนิยตกัณฑ์นิสสัคคิยปาจิตตีย์ปาจิตตีย์ปาฏิเทสนียะเสขิยะสารูปโภชนปฏิสังยุตตธัมมเทสนาปฏิสังยุตต์ปกิณสถะธิกรณสมถะคำนำพระอภิธรรม คืออะไรปรมัตถธรรมบัญญัติธรรมปรมัตถธรรม อยู่เหนือการสมมุติประวัติพระอภิธรรมพระอภิธัมมัตถสังคหะการสวดพระอภิธรรมในงานศพประโยชน์ของการศึกษาพระอภิธรรมสำนักศึกษาพระอภิธรรมผู้เรียบเรียงบรรณานุกรม
ที่มา : http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-poo-hist.htm

87
บทความ บทกวี / สายบู๊ต้องชอบแน่ๆ
« เมื่อ: 20 ก.พ. 2552, 06:05:27 »
ผมไปเจอเว็บๆนึง ดีมากเลยครับ ก็เลยอยากให้ท่านสมาชิกท่านอื่นๆอ่านบ้าง

....ขณะที่สมรภูมิในสมัยโบราณนั้นงดงามด้วยธงทิวและรูปแบบการจัดกระบวนทัพ แต่ก็เป็นสถานที่ ที่อันเต็มไป ด้วยความน่าสยดสยองจากคมหอกคมดาบของแต่ละฝ่าย เพราะเป็นการรบพุ่งในลักษณะเข้าตะลุมบอน ที่แต่ละฝ่าย เข่นฆ่ากันอย่างโหดเหี้ยมต่อหน้าต่อตา ในสถานการณ์อันวิกฤตเช่นนี้ ชั้นเชิงในการต่อสู้อย่างเดียว ย่อมไม่เพียงพอ ผู้ที่มีกำลังใจกล้าแข็งเท่านั้นจึงจะครองสติอยู่ และสามารถถืออาวุธออกประจันหน้ากับข้าศึกต่อไปได้โดย ไม่หวาดหวั่น หรือถูกฆ่าตายไปก่อน ชินศรัทธา หรือ ความเชื่อที่นำไปสู่ชัยชนะ คือ สิ่งที่นักรบไทยแต่โบราณนำมา ใช้บ่มเพาะกำลังใจควบคู่กับการฝึกปรือฝีมือในเชิงรบตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อทางศาสนาพุทธ พราหมณ์ โหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ เช่น เครื่องราง ของขลัง คาถาอาคม เป็นต้น

.....แม่ทัพนายกองจะต้องมีความรู้ในวิชาเหล่านี้เป็นอย่างดี จึงจะสามารถแต่งทัพออกรบกับข้าศึกในสนามรบได้ อีกทั้งในอดีต ชายไทยทุกคนมีหน้าที่เป็นทหาร ยามเกิดศึกสงคราม สมรภูมิจึงเป็นสนามทดสอบความเชื่อโดยมี ชีวิตของตนเป็นเดิมพัน วิชาใดที่ใช้ได้จริงก็จะมีผู้รอดชีวิตกลับมาบอกเล่า และถ่ายทอดสู่คนรุ่นหลัง ๆ ในยาม ว่างเว้นจากสงคราม นอกเหนือจากวิชาการต่อสู้อันเป็นมรดกไทยแล้ว คนรุ่นเรายังสามารถเรียนรู้ความเชื่อที่แฝงอยู่ ในวิถีชีวิตของบรรพบุรุษไทยในอดีต เพื่อทำความเข้าใจ ในรากเหง้าความเป็นมาของชาติไทยไปด้วยพร้อมๆกัน
..... ชนชาติไทย สืบทอดความเชื่อ ความศรัทธา และนับถือลัทธิพราหมณ์ มาช้านาน ก่อนจะถึงยุครุ่งเรืองของ พระพุทธศาสนา การได้รับอิทธิพลนี้จากอินเดีย ผสมร่วมกับความเชื่อของชนหลายเผ่าในท้องถิ่นเดิม จึงทำให้ คนไทยรวบรวมดัดแปลง อิทธิวิธี พิธีกรรม เลขยันต์ ต่างๆ เข้าเป็นเอกลักษณ์ เฉพาะตน เป็นลัทธิพุทธศาสนา อันเกี่ยวกับการใช้คาถาอาคม หรือ ลัทธิพุทธตันตระ
.....พุทธศาสนา จัดแบ่งความเชื่อในปาฏิหาริย์ ไว้ ๒ อย่างคือ
...............๑. อนุศาสนีปาฏิหาริย์ หรือ คำสอนที่เป็นความจริง สอนให้เห็นจริง นำไปปฏิบัติได้ผลจริง เป็นอัศจรรย์
...............๒. อิทธิปาฏิหาริย์ หรือ ฤทธิ์อันเป็นอัศจรรย์

.....การใช้พุทธคุณ จึงมีทั้งในรูปของ คำสวดมนต์ คาถา หัวใจพระคาถา หลายแบบหลายวิธี และในรูปของ รูป เหรียญ เครื่องราง ของขลัง ยันต์ ตะกรุด ฯลฯ ที่พระสงฆ์ ได้ กำหนดจิต ทำพิธีปลุกเสก แล้ว เชื่อว่ามี ฤทธิ์อันเกิดจากจิต มีคุณในด้านต่าง ๆ
.....ผลสำเร็จอันจะเกิดจาก คาถา หรือ เครื่องรางอื่นใด ย่อมขึ้นอยู่กับผู้ใช้ คุณวิเศษจะเกิดขึ้นได้อยู่ที่ จิตที่สำรวมเป็นสมาธิ ซึ่งอาจสามารถแสดง อิทธิฤทธิ์ ได้ตามภูมิ (จิตตานุภาพ) ของผู้บริกรรม
.....หากแต่ ความเชื่อเรื่อง กรรม เป็นผลจากการกระทำ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ยังคงเป็น อนุศาสนี ที่พิสูจน์ได้อยู่เสมอ ความเป็นมงคลที่ดี ย่อมขึ้นอยู่กับ ความเป็นผู้มี จิตใจดีงาม มีสติอยู่เสมอ และไม่ประมาท สิ่งนี้เป็น สัจจะธรรม แห่ง พุทธคุณบริสุทธิ์ ยอดแห่งปาฏิหาริย์อันอัศจรรย์แท้ ในทุกยุคทุกสมัย
.....นักรบและนักมวยไทยในสมัยโบราณ ไม่เพียงแต่เรียนรู้การใช้อาวุธและอวัยวุธเท่านั้น หากจำเป็นต้องเรียนรู้การใช้อำนาจของจิตในการต่อสู้ ทั้งจากการจูงจิต สมาธิ คาถาอาคม ว่านยา ธาตุกายสิทธิ์ และเครื่องของขลังในรูปแบบต่างๆ เพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจให้ให้เข้มแข็งมั่นคงกว่าฝ่ายตรงข้ามและปกป้องอันตรายในขณะต่อสู้ จนอาจถือได้ว่าเป็นอีกเอกลักษณ์หนึ่งของนักรบไทยทีเดียว ดังที่พบได้ในวรรณคดีเรื่องขุนช้าง-ขุนแผน ที่สะท้อนค่านิยมและชีวิตความเป็นอยู่ในยุคกรุงศรีอยุธยาตอนปลายจนถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ได้เป็นอย่างดี ตัวขุนแผนเองนอกจากหน้าตาดี มีคาถาอาคมแล้ว ก็มีของวิเศษสามสิ่ง คือดาบฟ้าฟื้น กุมารทอง และม้าสีหมอก แต่เมื่อมาพบกับ ตรีเพชรกล้า ทหารเอกฝ่ายเมืองเชียงใหม่แล้ว เครื่องรางของขลังของขุนแผนก็ดูน้อยลงถนัดใจ เพราะตรีเพชรกล้ามีเครื่องรางของขลังชนิดฟูลออปชั่น คุ้มตัวตั้งแต่หัวจดเท้าเลยทีเดียว
.....ท่านอาจารย์เทพย์ สาริกบุตร ได้เขียนไว้ในหนังสือ วิชาคงกระพันชาตรีว่า วิชาไสยศาสตร์ที่ทำให้มนุษย์พ้น อันตรายจากอาวุธนั้นแบ่งออกได้เป็น ๖ ประเภท คือ
.....เป็นวิชาที่ทำให้ร่างกายมนุษย์อยู่คงต่ออาวุธทั้งปวง ฟันแทงไม่เข้า ถ้าจะฆ่าให้ตายต้องใช้ไม้แทงทะลุทวารหนัก เท่านั้น แบ่งเป็นวิชาย่อยต่างๆ เช่น
...............๐ การเสกของกิน วิธีนี้เรียกว่าอาพัด เช่น อาพัดเหล้า อาพัดว่าน
...............๐ เสกฝุ่นผงน้ำมันทาตัว หรือปูนแดงป้ายลูกกระเดือก
...............๐ การเรียกของเข้าตัว เช่นน้ำมันงา หรือประกายเหล็กเพื่อให้คงทนเยี่ยงเหล็ก เป็นต้น
.....การเรียกประกายเหล็กเข้าตัวนี้มีกรรมวิธีที่พิศดารมาก คือ ให้นำเหล็ก ที่มีประกายเวลากระเทาะหินมานั่งับไว้ตรงรูทวารหนัก หลังจากนั้นจึงบริกรรม คาถาเรียกประกายเหล็กเข้าตัวทุกวัน เมื่อเวลาผ่านไปให้นำเหล็กกระเทาะหินดู หากหินนั้นมีประกายอยู่ให้บริกรรมต่อไป หากหินนั้นหมดประกายแล้วก็แสดงว่า ประกายเหล็กถูกเรียกเข้าตัวหมดแล้ว
.....เป็นวิชาที่ใช้ป้องกันอาวุธให้ฟันแทงไม่เข้าได้เช่นเดียวกับ วิชาคงกระพัน วิชานี้ทำให้ตัวเบากระโดดได้สูงและอาวุธที่มากระทบตัวนั้นนอกจากไม่ระคายผิวหนังแล้ว ยังไม่รู้สึกเจ็บอีกด้วย วิชานี้มีจุดอ่อน คือ หากถูกตีด้วยของเบา เช่น ไม้ระกำ ไม้โสนกลับเป็นอันตรายได้

.....เป็นวิชาที่ทำให้อันตรายที่จะมาถึงตัวนั้นหลีกเลี่ยงไป และแม้จะถูกทำร้ายซึ่งหน้าก็ดี อาวุธนั้นก็จะมีเหตุให้บังเอิญพลาดเป้าไป มีทั้งการใช้เครื่องราง เช่น ตะกรุด และคาถาอาคม วิชานี้รวมถึง วิชาพรหม 4 หน้า ที่นักมวยคาดเชือกใช้บริกรรมเพื่อให้คู่ต่อสู้ชกไม่ถูกเพราะเห็นเป็นหลายหน้าด้วย
....เป็นวิชาที่เกิดขึ้นในชั้นหลัง ใช้กันปืนให้เกิดอาการขัดลำกล้อง ยิงไม่ออก ดังคำว่า อุด มีทั้งที่เป็นคาถาภาวนา และเครื่องรางเช่น ตะกรุดที่อุดหัวอุดท้ายแล้ว ตลอดจนกระทั่งลูกปืนที่ด้านแล้วก็นำมาใช้ลงคาถามหาอุดเช่นเดียวกัน ด้วยถือคติว่าแม่ย่อมไม่ฆ่าลูก ผู้ใช้จะปลอดภัยไปด้วย
.....วิชานี้แม่ทัพนายกองในสมัยโบราณใช้คุ้มกันทหารในกองทัพ มักนิยมเสกน้ำมัน ใช้ปูนป้ายลูกกระเดือก หรือเสกหมากให้กินก็ได้
.....วิชานี้กล่าวว่าเมื่อผู้ฝึกถึงขั้นจะสามารถ กำบังตนและพาหนะไม่ให้คู่ต่อสู้มองเห็นได้

*ซึ่งยังมีวิชาปลีกย่อยอีกมากมายในตำราพิชัยสงครามที่อาจจัดเข้าหมวดหมู่ที่จัดไว้หรือแยกไปตากหาก เช่น สมานแผล เป็นต้น
ชุดประเจียดหัวและแขนของครูทอง
.....หากใครเคยชมภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ไทย จะพบว่านักรบไทยมีผ้าสีแดงรัดต้นแขนหรือโพกศีรษะขณะเข้าสงคราม นี่คือ ผ้าประเจียด ซึ่งเป็นเครื่องรางที่นักมวยไทยนำมาใช้ผูกตัว เมื่อเข้า มักทำจากผ้าสีแดงหรือผ้าขาวบาง อย่างดีจากประเทศอินเดียที่
 เรียกว่า ผ้าสาลู ตัวผ้าประเจียดนั้นจริงๆแล้ว คือ ผ้ายันต์ที่พับเข้าเป็นแถบ หรือม้วนเป็นวง เพื่อสะดวกต่อการใช้ผูกแขนหรือศีรษะนั่นเอง บนผืนผ้านั้นเกจิอาจารย์จะลงเลขยันต์ประเภท มหาอำนาจ, ชาตรีมหายันต์ หรืออาจนำ ตะกรุดแผ่น บรรจุไว้ด้วย ก่อนนำเข้าพิธีพุทธาภิเษก เพื่อเพิ่มพูนความศักดิ์สิทธิ์ สำหรับนักมวยนั้นมีมงคลสวมศีรษะอยู่แล้ว ก็จะนำผ้าประเจียดมารัดต้นแขนเพื่อเป็นสิริมงคล
.....สำหรับนักมวยสายไชยา มักนิยมสวมผ้าประเจียด เพียงอย่างเดียว เรียก ประเจียดหัว กับ ประเจียดแขน เมื่อศิษย์จะทำการตีมวย ครูบาอาจารย์ท่านจะนำประเจียดทั้งสองชนิดมาเสกเป่าด้วยพระคาถา พร้อมทั้งเจิมประแจะเสกลงที่หน้าผาก ก่อนการสวมประเจียดหัว ประเจียดแขน 
....................................
.....เรื่องราวของผ้าประเจียดที่โด่งดังในประวัติศาสตร์จนถึงทุกวันนี้ คือเหตุการณ์ในสมัยรัชกาลที่ 1 ที่พระครูแช่ม วัดฉลองได้ทำพิธีปลุกเสกผ้าประเจียดให้กับชาวภูเก็ตเพื่อรบกับอั้งยี่จนประสพชัยชนะ 
................................................
.....มงคลเป็นเครื่องรางสำหรับสวมศีรษะ มักทำจากผ้าแถบผืนแคบๆ ที่ลงยันต์แล้วม้วนพันด้วยด้ายสายสิญจ์ หลังจากนั้นจึงหุ้มด้วยผ้าลงอาคมขดเป็นวงแล้วทิ้งหางยาวไว้ด้านหลัง หรืออาจทำจากเชือกขด หรือสายสิญจ์หลายเส้น นำมาขวั้นรวมกันเป็นเส้นใหญ่แล้วหุ้มผ้าประเจียดก็ได้ นักมวยแต่ละภาคก็จะมีมงคลเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง (เว้นแต่มวยไชยาเท่านั้นที่ใช้ผ้าประเจียดสวมศีรษะแทนมงคล) และเนื่องจากมงคลมิใช่เครื่องประดับแต่เป็น เครื่องรางเพื่อคุ้มครองนักมวยตั้งแต่เบื้องศีรษะลงมา จึงถือเป็นประเพณี ว่าต้องให้ครูมวยเป็นผู้สวมให้โดยขณะสวม ครูมวยแต่ละสำนักก็มักบริกรรมคาถากำกับไปด้วยและที่สำคัญนักมวยจะไม่ถอด ประเจียด หรือ มงคลออก ขณะตีมวยกัน
.....พิรอดคล้ายกับประเจียดแต่ต่างกันที่มีกรรมวิธีที่ซับซ้อนกว่า โดยเริ่มจากการนำผ้าลงยันต์มาม้วนเป็นเส้น แล้วชโลมด้วยน้ำข้าว เพื่อให้ผ้ายันต์ม้วนตัวกันแน่นเป็นเส้นก่อนนำด้ายสายสิญจน์มามัดทับผ้ายันต์ไว้ให้สวยงาม ถักขึ้นรูปเป็นพิรอดและเข้าพิธีปลุกเสก หลังจากนั้นจึงทดสอบความขลังด้วยการเผาไฟ วงใดไฟไม่ไหม้ จึงจะนำไปลงรักน้ำเกลี้ยงและปิดทองเพื่อความสวยงาม ตัวพิรอดมีหลายรูปแบบ ทั้งแหวนพิรอด พิรอดสวมต้นแขน หรือพิรอดมงคลสวมหัวที่ขึ้นชื่อในหมู่นักสะสมเครื่องราง คือ แหวนพิรอดของหลวงปู่ทอง วัดราชโยธา
.....ขวานฟ้า จัดอยู่ในหมวดธาตุกายสิทธิ์ เป็นหินมีรูปร่างคล้ายขวาน นักมวยคาดเชือกในสมัยโบราณถือเป็น เครื่องคาดเครื่องราง ที่จะใส่ไว้ในซองมือระหว่างพันหมัดด้วยด้ายดิบก่อนการตีมวย คนโบราณเชื่อกันว่า ขวานฟ้ามีฤทธานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์ จะพบได้บริเวณที่มีฟ้าผ่าลงดินและคนมีบุญบารมีเท่านั้นที่จะขุดพบ นอกจากนี้ท่านยังใช้เป็นเครื่องมือรักษาโรค กดที่บวม และบดเป็นยา เชื่อกันว่าหากเอาขวานฟ้าไว้ในยุ้งข้าว ข้าวจะไม่พร่อง วางขวานฟ้าไว้ที่ลานตากข้าวเปลือก ไก่ป่าจะไม่เข้ามาจิกกิน บางจังหวัดในภาคกลาง ใช้ไล่ผีโดยให้เอาขวานฟ้าซุกไว้ใต้ที่นอนคนที่มีผีเข้า นอกจากนี้ในบ่อนไก่บางแห่ง ยังใช้ขวานฟ้าบด เพื่อใช้รักษาตาไก่ที่แตกเป็นแผล
*หมายเหตุ
.....วิชาโบราณคดี กล่าวถึงขวานฟ้าว่า เป็นขวานหิน แหล่งที่พบมักมีร่องรอยของหลักฐานด้านสังคมเกษตร และการใช้ภาชนะดินเผา จึงเรียกชุมชนของมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในยุคนี้ว่า มนุษย์ยุคหินใหม่ หรือ ยุคสังคมเกษตรเริ่มต้น
.....ขวานหินพบเห็นอยู่ทั่วไป ในทุกภาคของประเทศไทย มีหลายขนาด แยกออกได้เป็น ๒ แบบ คือ ขวานหินขัด และ ขวานหินกะเทาะ มีอายุประมาณ ๖-๔ พันปี
.....ตะกรุด คือ แผ่นโลหะลงยันต์ศักดิ์สิทธ์ เช่น ยันต์อิติปิโสกลบท นำมาม้วนเป็นวง และปลุกเสกด้วยกำลังจิต ตามกรรมวิธีโบราณของเกจิอาจารย์แต่ละท่าน ใช้ร้อยเชือกผ่านรูตรงกลางแล้วนำมาห้อยคอหรือคาดเอว โดยหวังผลทางเมตตามหานิยม แคล้วคลาดและคงกระพันชาตรี ตระกรุดมีหลายขนาด หากเป็นตะกรุดขนาดใหญ่ ใช้ห้อยคอหรือเอวเพียง ชิ้นเดียว เรียกว่า ตะกรุดโทน ฯลฯ
....หากใครเคยได้เห็นการร่ายรำไหว้ครูของมวยไชยา และออกเป็นคนช่างสังเกตสักหน่อยจะพบว่าหลังจากนักมวยถวายบังคมพระมหากษัตริย์แล้ว นักมวยจะนั่งยองลงบริกรรมคาถาและก้มลง กราบที่พื้น๓ ครั้งแล้ว นักมวยจะยืนขึ้นสำรวมกาย พร้อมกับยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นอุดที่รูจมูกทีละข้าง สูดลมหายใจเข้าออกช้า ๆ จึงกระทืบเท้าตั้งท่าครูแล้วร่ายรำมวย ล่อหลอก คุมเชิง ดูคู่ต่อสู้ ที่จริงแล้วนี่คือวิชาตรวจลมหายใจ หรือตรวจ "ปราณ" ที่สืบทอดมาแต่ครั้งโบราณ
  .....ด้วยว่า มวยไทยนั้น เป็นเอกลักษณ์ของชาติไทย อันประกอบด้วย วิทยาการต่อสู้แบบฉบับเฉพาะของคนไทย และยังประกอบไปด้วย ประเพณี พิธีกรรม อันดีหลายอย่าง ที่บ่งบอกถึงความเป็นคนกล้าหาญ เข้มแข็ง อีกทั้งยัง อ่อนน้อม ถ่อมตน รู้คุณ กตัญญู กตเวที ต่อชาติ ต่อครูบาอาจารย์ คุณธรรมเหล่านี้ ได้ถูกแสดงออกด้วย ประเพณี พิธีกรรม และขั้นตอนต่างๆ อย่างมีหลักเกณฑ์ ด้วยจิตคารวะของผู้เป็นศิษย์ ผู้มีจรรยา สอดคล้องกับวัฒนธรรมอันดีของชาติ
.....ผู้สมัครแจ้งความประสงค์ ขอเข้ามอบตัวเป็นศิษย์ เพื่อรับการอบรม สอนสั่ง วิทยาการต่าง จากครู โดยมากใช้ วันพฤหัสบดี ซึ่งถือเป็น วันครู เมื่อผู้สมัครกล่าวแนะนำตนแล้ว ครูก็จะพูดคุยซักถาม ประวัติความเป็นมา และดูกิริยาท่าทาง ว่าสุภาพ เรียบร้อย มีสัมมาคารวะ เป็นผู้ที่เหมาะสมจะได้รับการอบรมสั่งสอนหรือไม่
....เมื่อครู พอใจแล้ว จึงรับผู้สมัคนั้นเข้าเป็นศิษย์ ถ่ายทอดศิลปะวิทยา โดยให้ศิษย์อยู่ฝึกฝนในสำนักตนสักระยะหนึ่ง ครูจึงค่อยพิจารณา หากเห็นว่า ศิษย์มีความขยันหมั่นเพียร ฝึกซ้อมทำตามแบบวิชาที่สอนเบื้องต้นได้ดีพอควรแล้ว อีกทั้งมีอุปนิสัยดี ครูจึงจะเรียกศิษย์ผู้นั้นให้มา ขึ้นครู อีกครั้งหนึ่ง
.....( ในยุคที่ ครูทอง สอนอยู่นั้น ครูมักจะพูดเสมอว่า หากใครที่ยัง ทำท่าไหว้ครู ไม่ได้ หรือ ครูยังไม่ได้รับรองว่า ผู้นั้นสามารถ รับเตะรับต่อย ได้คล่องแล้ว อย่าบอกว่า เรียนมวยไชยา )

การขึ้นครู

..........

....." การขึ้นครู " เป็นการแสดงความคารวะ และรับสัตย์ เบื้องต้น เท่ากับสมัครตัว ยอมใจ เข้าพวก และรับการอบรม สั่งสอน มารยาทและวัฒนธรรม เพื่อดำรงชีวิตอยู่ด้วยความสงบปราศจากศัตรู หรือรู้จกประพฤติและวางตน รู้จักคบ และสงวนบุคคล ไว้เป็นที่พึ่ง " (ปรมาจารย์ เขตร์ ศรียาภัย )

.....ในการทำ พิธีขึ้นครู นั้นครูจะเป็นผู้เลือกวัน ตามฤกษ์ยาม และกำหนด สิ่งของที่จะใช้ในพิธี อย่างเช่น ดอกไม้ ธูปเทียน ขันน้ำ ผ้าขาวม้า เงิน ฯลฯ

.....พิธีจะกระทำต่อหน้า พระพุทธรูป ศิษย์รับศีลห้า และกล่าวคำขอขึ้นครู พร้อมสาบานตน ครูกล่าวรับเป็นศิษย์ และให้โอวาท เป็นเสร็จพิธี

........

.....การขึ้นครูนั้น บางครั้ง ครูจะเป็นผู้เลือกศิษย์เอง ด้วยเห็นในความสามารถ หรือความเหมาะสม อื่น ๆ



.....เป็นพิธีสำคัญ ในการมอบหมายให้ศิษย์ ที่ครูไว้วางใจในทุกด้าน ให้เป็นผู้สืบทอด ส่งต่อวิชาได้มี ศักดิ์ และ สิทธิ์เทียบเท่าครู

..... นักมวยที่จะทำการตีมวย ต่อหน้าพระที่นั่ง จะต้องกระทำการถวายบังคมเพื่อเป็นการแสดงออกซึ่ง ความกตัญญูรู้คุณ ต่อแผ่นดิน และจงรักภักดีต่อพ่อบ้านพ่อเมือง และเพื่อเป็นการขอพระราชทานอภัยโทษด้วยเหตุ ที่จะต้องมีการกระทำกิริยาอันไม่เหมาะไม่ควร ต่อเบื้องพระพักต์ขององค์พระมหากษัตริย์ อันเป็นประเพณีที่กระทำ สืบต่อกันมานาน

.....การไหว้และขอขมา ประเพณีนิยมอย่างหนึ่งซึ่งเราชาวไทยมักเห็นกันเสมอ เมื่อมีการแสดงการละเล่น กระบี่กระบอง และมวยไทย จบลงฝ่ายชนะหรือทั้งสองฝ่ายจะนั่งคุกเข่าพนมมือไหว้ฝ่ายที่นอนอยู่หรือไหว้ ซึ่งกันและกัน คนไทยเป็นผู้ที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นวัฒนธรรมที่ทั่วโลกยกย่องสรรเสริญ การแสดงออกด้วยการ ไหว้แลการขอขมาซึ่งกันและกันนี้ ก็นับเป็นศิลปะวัฒนะธรรมที่ควรสืบทอดอนุรักษ์ให้ดำรงอยู่ควรคู่ลูกหลานไทย สืบไป
ที่มา : http://www.muaychaiya.com

88
เขี้ยว งา กะลา เขา เป็นคำพูดที่พูดกันมานมนาน ซึ่งหมายถึง วัตถุที่นำมาสร้างเครื่องรางของขลัง นั่นเอง เครื่องรางที่ สร้างจากเขี้ยวสัตว์ นั้น ส่วนใหญ่จะเน้น เขี้ยวเสือ เขี้ยวหมี และ เขี้ยวหมูป่า เป็นหลัก ที่สร้างจาก งา คงเป็นแค่ งาช้าง เท่านั้น

ส่วนเครื่องรางของขลังที่ทำจาก กะลามะพร้าว ส่วนใหญ่จะใช้ กะลามะพร้าวที่มีตาเดียว แต่ถ้าเจอกะลามะพร้าวที่มีห้าตา สิบตา ก็ยิ่งดี ถือว่าเป็นของหายาก สำหรับ เขาสัตว์ จะเน้นไปทาง เขาวัวกระทิง เขาควาย และ เขากวาง เป็นหลัก

วัตถุที่นำมาสร้างเครื่องรางของขลังเหล่านี้ เชื่อกันว่า มีความขลังในตัวอยู่แล้ว ยิ่งนำมาทำพิธีปลุกเสกด้วย ยิ่งเพิ่มความขลังเป็นทวีคูณขึ้นหลายเท่า

วันนี้ผู้เขียนขอเขียนเรื่อง เขี้ยว สักเรื่องหนึ่งก่อน โอกาสหน้าค่อยเขียนถึงเรื่อง งา กะลา เขา ให้ละเอียดอีกครั้ง

เขี้ยว นับว่าเป็นเครื่องรางของขลัง ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ชนิดหนึ่ง เกจิอาจารย์บางท่านนำเขี้ยวมา แกะสร้างเครื่องรางของขลัง จนได้รับความนิยม ให้นั่งอยู่แถวหน้า ประเภทเครื่องรางยอดนิยม เช่น เสือของหลวงพ่อปาน วัดคลองด่าน หรือ เสือ อาจารย์เฮง วัดเขาดิน เป็นต้น

เขี้ยวสัตว์ที่นิยมนำมาสร้างเครื่องรางของขลัง มีอยู่ ๓ ชนิด คือ เขี้ยวเสือ เขี้ยวหมี และเขี้ยวหมูป่า ซึ่งมีผู้ซักถามและถกเถียงกันอยู่บ่อยๆ คือ เขี้ยวสัตว์แต่ละชนิด มีความแตกต่างกันอย่างไร

วันนี้เรามาทำความเข้าใจกัน ผู้เขียนเองยอมรับว่าไม่ได้เก่งกาจ อะไรมากเรื่องเครื่องรางของขลัง แต่เป็นผู้ชื่นชอบวัตถุมงคลประเภทเครื่องรางเอามากๆ คนหนึ่งเลยทีเดียว ชอบค้นคว้า ค้นตำราต่างๆ ถามผู้รู้ ผู้ชำนาญ เคยซื้อผิด ซื้อถูก ทุกอย่างผู้เขียนถือว่าเป็นครูเท่านั้น เมื่อได้ความรู้อะไรมา ที่เห็นว่าสำคัญและถูกต้องก็จะถ่ายทอดกันต่อๆ ไป จะได้ไม่สูญหายไปจากวงการ

เขี้ยวเสือ เขี้ยวหมี และ เขี้ยวหมูป่า ถ้าเป็นอาจารย์เดียวกันสร้าง เขี้ยวเสือจะได้รับ ความนิยมมาเป็นอันดับหนึ่ง รองมาก็คือ เขี้ยวหมี และ เขี้ยวหมู เป็นอันดับท้าย ทั้งนี้น่าจะเป็นเพราะความเชื่อว่า เสือเป็นสัตว์มหาอำนาจ เป็นเจ้าป่า หายาก และฆ่าก็ยาก หมียังพอเห็นมากกว่า ส่วนหมูป่านั้นมีจำนวนมากมาย แต่ถ้าเป็นหมูป่าเขี้ยวตัน หรือเขี้ยวยาวใหญ่ ก็ถือว่าหาชมได้ยากเช่นกัน ดังคำโบราณที่กล่าวว่า ถ้าจะเล่นเขี้ยวหมูต้องเล่นเขี้ยวตัน จะเล่นเขี้ยวเสือต้องเล่นเขี้ยวโปร่ง (โปร่งฟ้า)

ก่อนจะแยกแต่ละประเภทของเขี้ยวนั้น อยากพูดถึงลักษณะของการนำเขี้ยวมาแกะ ว่ามีลักษณะใดบ้าง คือมีทั้งที่แกะเต็มเขี้ยว ครึ่งเขี้ยว หรือ นำเอาเขี้ยวมาผ่าเป็นซีก แกะเป็นชิ้นเล็กๆ ก็มี

เต็มเขี้ยว หมายถึง เขี้ยวที่ถูกถอดรากออกจากเหงือกทั้งอัน ซึ่งยังมีปลายเขี้ยวแหลม ยาวอยู่ เช่น เสือ หลวงพ่อนก วัดสังกะสี

ครึ่งเขี้ยว หมายถึง เขี้ยวที่ถูกถอดรากออกจากเหงือกทั้งอัน แล้วนำมาตัดแบ่งครึ่ง ส่วนใหญ่นิยมเอาครึ่งแถบที่เป็นรากเขี้ยวมาแกะ เช่น เสือ หลวงพ่อปาน คลองด่าน ที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไป

เขี้ยวซีก หมายถึง การเอาเขี้ยวเต็มมาผ่าแบ่งเป็นชิ้นๆ แล้วนำมาแกะเป็นวัตถุมงคลอีกทีหนึ่ง เช่น เสือเขี้ยวซีก หลวงพ่อปาน คลองด่าน หรือ เสือ อาจารย์เฮง วัดเขาดิน

การแกะวัตถุมงคลจากเขี้ยวซีกชิ้นเล็กๆ นั้น บางท่านอาจเข้าใจผิดว่าแกะมาจากปลายเขี้ยว ซึ่งเป็นไปได้ยากมาก เพราะปลายเขี้ยวมีลักษณะ แข็ง และ กรอบ ถ้าโดนแกะก็จะปริแตกไม่เป็นรูปทรง

ความจริงแล้ว เขี้ยวเสือ เขี้ยวหมี และเขี้ยวหมูป่า มีลักษณะที่แยกออกจากกันได้ชัดเจน ผู้เขียนจะอธิบายไปทีละขั้น จะได้เข้าใจง่าย ไม่สับสน โดยดู รูปภาพประกอบ จะเห็นได้ชัดเจน

เขี้ยวเสือ มีทั้งขนาดเล็กและใหญ่ ขึ้นอยู่กับชนิด และขนาดของตัวเสือ เขี้ยวจะยาว เรียว ปลายแหลมคม โค้งพอประมาณ ดูจากปลายเขี้ยวจะเห็นเหลี่ยม เป็นร่องเล็กๆ อยู่สี่มุม วิ่งเป็นแนวร่องเข้ามายังตัวเขี้ยวชัดเจน เราเรียกกันว่า ร่องเส้นเลือด และถ้านำเขี้ยวเสือมาตัดแบ่งครึ่ง เราจะเห็นรูตรงกลาง เป็นรูกลวงโปร่ง ไปสุดโคนเขี้ยว ซึ่งจะมีลักษณะกลม หรือกลมรีเล็กน้อย กว้างประมาณ ๒๐-๓๐ % ของพื้นที่หน้าเขี้ยวที่เราตัดครึ่ง และจะมีคลื่นรัศมีวิ่งรอบปากรูเขี้ยว ซึ่งมองเห็นได้ชัดเจน

เขี้ยวหมี มีขนาดเล็กและใหญ่เช่นกัน เขี้ยวหมีเมื่อดูภายนอกลักษณะทั่วไปคล้ายเขี้ยวเสือมาก คือมีความเรียว โค้งยาว ปลายแหลมคม สิ่งที่แตกต่างจากเขี้ยวเสือนั้น คือปลายเขี้ยวหมี ก็มีร่องเลือดเหมือนกัน แต่เป็นแบบ เส้นเลือดสีน้ำตาลแดงวิ่งรอบเป็นวงเดือน จากปลายเขี้ยวเข้ามาด้านใน เป็นสิบๆ รอบ ซึ่งเรามองด้วยตาเปล่าได้ชัดเจน และเมื่อเรานำเขี้ยวมาตัดผ่าแบ่งครึ่ง จะพบรูกลวงโปร่งเช่นเดียวกับเขี้ยวเสือ แต่ รูของเขี้ยวหมีจะกว้างกว่ารูของเขี้ยวเสือ มาก บางเขี้ยวเจอรูกว้าง ๗๐-๘๐% ของหน้าเขี้ยวเลยทีเดียว

เขี้ยวหมูป่า มีลักษณะแตกต่างจากเขี้ยวเสือและเขี้ยวหมี ซึ่งเห็นได้ชัดเจนมาก คือ เขี้ยวหมูป่า มีทั้งขนาดเล็กและใหญ่ มีลักษณะแบน เป็นเหลี่ยม โค้ง ยาว ปลายแหลม รูกลวง บางเขี้ยวยาวมากๆ จนเกือบจะเป็นครึ่งวงกลมเลยก็มี ส่วนใหญ่จะเป็นเขี้ยวกลวงเกือบทั้งนั้น จะหาเขี้ยวแบบตันยากมาก


 

สรุปได้ว่า เขี้ยวเสือ เขี้ยวหมี และเขี้ยวหมูป่า มีลักษณะที่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาแล้วก็สามารถแยกออกจากกันได้อย่างชัดเจน
ได้บทความนี้มาจาก

                             ขอบคุณครับ

89
บทความ บทกวี / ใบหนาด
« เมื่อ: 18 ก.พ. 2552, 07:06:23 »
บังเอิญว่า ที่บ้านพักของผมมีใบหนาดเยอะ เลยถามคนแถวนนี้ ว่าปลูกทำไมเยอะจัง เค้าบอกเอาไว้กันผี กระผมเลย หาข้อมูลในเน็ทพอเจอเป็นข้อมูลเลย นำมาลงเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กันนะครับ

     ความเชื่อเรื่องผีทำให้เกิดอะไรหลายอย่างในระบบความคิดและความเชื่อของมนุษย์ ตั้งแต่เรื่องที่น่าขบขันไปจนถึงเรื่องจริงจัง โดยเฉพาะเรื่องของเครื่องรางของขลัง ทุกสังคมมีเรื่องของเครื่องรางของขลัง ไม่ว่าจะที่ไหนในโลก  สังคมตะวันตกมีความเชื่อเรื่องกระเทียมกับผีดูดเลือด สังคมไทยเชื่อว่าใบหนาดสามารถกันผีได้และเรื่องใบหนาดนี่เองที่น่าสนใจ เพราะมีความจริงทางวิทยาศาสตร์และความเชื่อที่สร้างขึ้นปะปนกันอยู่อย่างน่าสนใจ

      ต้นหนาดจัดเป็นไม้ตระกูลไม้พุ่ม ทุกส่วนของต้นจะมีกลิ่นการบูร (อ่านว่า กา-ระ-บูน) ใบมีขนาดใหญ่และขนดก มีสรรพคุณในการส่งเสริมและซ่อมสุขภาพ คือช่วยลดไข้ แก้ปวดท้อง (โดยเฉพาะอาการท้องอืดท้องเฟ้อ) ช่วยในเรื่องเหน็บชาและโรคอื่นๆ อีกหลายโรค บางคนนำใบหนาดมามวนสูบเพื่อแก้ริดสีดวงจมูกด้วย
                     

      ส่วนเรื่องผีกลัวใบหนาด เป็นความเชื่อแบบไทยที่ถ่ายทอดต่อกันมาแต่โบราณ แต่ก็มีข้อสันนิษฐานที่น่าสนใจว่า สัตว์ร้ายและแมลงมีพิษหลายชนิดเกลียดกลิ่นการบูรยิ่งนัก การพกพาใบหนาดไปในที่ต่างๆ ในยามค่ำคืน จึงช่วยป้องกันอันตรายจากสัตว์ร้ายได้ เป็นภูมิปัญญาไทยที่มักจะมีเหตุผลดีๆ แอบซ่อนอยู่ในเรื่องต่างๆ ที่สร้างขึ้นมา เพื่อให้เกิดความสนใจ
ทำไมผีถึงกลัวใบหนาด...

เรื่องที่ว่าผีกลัวต้นหนาด เท่าที่ทราบ ไม่เคยมีกล่าวไว้ในตำราต่างประเทศ คงมีกล่าวแต่เพียงว่า ในประเทศฟิลิปปินส์ถือกันว่า ถ้านำใบหนาดไปกับตัวจะทำให้ปลอดภยันตรายต่าง ๆ

     ใบหนาดจะกันผีได้หรือไม่ คงต้องไปถามผี แต่สิ่งที่แน่นอนคือใบหนาดเป็นสมุนไพรไทยที่มีสรรพคุณทางยาและสุขภาพเป็นอย่างยิ่งทีเดียว
   

                  กระผมอยากได้ความรู้เพิ่มจากบทความที่ลงไว้ รบกวนท่านสมาชิกแลกเปลี่ยนความรู้ กันนะครับ

90
วิชาเก้าเฮเป็นวิชาทางไหนครับ

91
กระผมได้ยินชื่อนี้มานานเลยอยากทราบความหมาย พอทราบความหมายแล้ว เป็นคำที่มีความหมายดีมากเลยครับ กระผมขออนุญาติท่านเจ้าของนามนี้ ลงความหมายและประวัติของคำๆนี้นะครับ[bgcolor=#ff0000]พระอชิตะ[/bgcolor]ผู้ได้รับคำพยากรณ์ (เถรวาท) ว่าเป็นพระศรีอาริยเมตไตรย์ก็อรหันต์แล้ว?

หลายท่านคงได้ยินมาประจำว่า ด่าน 18 อรหันต์ ในหนังจีนมาบ้าง แต่จะมีซักกี่คนที่รู้ว่าแท้จริงแล้ว 18 อรหันต์นั้นเป็น พระอรหันต์สมัยพุทธกาลที่มีความสำคัญมากเนื่องจากเป็นผู้นำการปกครองของคณะสงฆ์ในแคว้น ต่าง ๆ ในสมัยพุทธกาล

พระอรหันต์ 18 องค์ หรือ 18 ยอดอรหันต์ เป็นที่รู้จักกันดีของชาวจีน มีประวัติความเป็นมาดังนี้

** องค์ที่ 1ปินโฑลภารัทวาช แปลว่า ก้อนข้าวผู้รับทาน ภารัทวาชเป็นสกุลใหญ่ 1 ใน 18 ของพราหมณ์ สถิตอยู่อมรโคยานทวีปพร้อมด้วยพระอรหันต์อีก 1,000 องค์ เป็นบริวาร ท่านได้แสดงปาฏิหารย์ หยิบบาตรไม้จันทน์บนยอดเขาสูง ความทราบถึงพระพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า แสดงปาฏิหารย์เพื่อบาตรไม้จันทน์ต่อหน้าพวกที่ยังมิได้รับศีล จึงขับออกไปเสียจากชมพูทวีปไปอยู่ทวีปอมรโคยาน ต่อมา บรรดาสาวกคิดถึงท่าน จึงขอให้กลับมา พระพุทธองค์ก็ยอมอนุโลมให้กลับมาแต่ไม่ให้เข้าปรินิพพาน ต้องดำรงขันธ์เป็นเนื้อนาบุญต่อไป เพื่อพิทักษ์พระศาสนาจนกว่าพระศรีอารยจะมาตรัส ฉะนั้นการสักการบูชาท่านจึงได้กุศลมาก ลักษณะพิเศษของท่าน คือถ้ามีผู้ใดเลี้ยงพระ ท่านก็จะปลอมแปลงเป็นพระธรรมดาแอบเข้าไปร่วมรับประทานด้วย รูปเป็นผอมเห็นซี่โครง บ้างยืน บ้างนั่ง มือถือหนังสือ อีกมือถือบาตร หรือมือทั้งสองถือหนังสือ หรือวางบนเข่า บ้างยืนในท่าหยิบบาตร

** องค์ที่ 2 กนกวัจฉ แปลว่าลูกโคทอง
สถิตอยู่แคว้นกัศมีระ พร้อมด้วยพระอรหันต์อีก 500 องค์เป็นบริวาร ท่านเป็นสาวกที่สารถในทางรู้แจ้งบรรดาลัทธิธรรมต่าง ๆ และเป็นผู้ทรมานร่างกายได้ดี สามารถนั่งเข้าฌาณในกลางฝนได้ รูปท่านเป็นรูปห้อยเท้าขวา มือขวาวางบนเข่า มือซ้ายวางที่ฝ่าเท้าซ้าย

**องค์ที่ 3 กนกภารัทวาช เป็นชื่อฤษี 1 ใน 7 มหาฤษี
สถิตอยู่แคว้นบูรพวิเทพ พร้อมด้วยพระอรหันต์ 600 องค์เป็นบริวาร รูปท่านนั่งห้อยเท้า เท้าซ้ายยกขึ้นจากรองเท้า มือขวาวางอยู่บนเข่า มือซ้ายอยู่ข้างหูเป็นรูปคนแก่ผมยาว

** องค์ที่ 4 สุปินฑ
สถิตอยู่อุตตรกุรุทวีป พร้อมด้วยอรหันต์ 700 เป็นบริวาร ท่านองค์นี้อาจจะเป็นพระสุภัทร ซึ่งเป็นพราหมณ์ชาวเมืองกุสินารา บรรลุพระอรหันต์ เมื่ออายุ 120 ปี โดยสดับพระธรรมเมื่อพระพุทธเจ้าทรงประชวรหนักจวนเสด็จดับขันธ์ ท่านสุภัทรไม่ต้องการจะเห็นพระอริยสาวกองค์สุดท้าย รูปเป็นคนแก่นั่งเข้าสมาธิ มือถือหนังสือบ้างทำเป็นรูปนั่งธรรมดา มีบาตรและกระถางธูปอยู่ข้างหนึ่ง มือซ้ายถือหนังสือ มือขวาทำมุทราดีดนิ้ว บ้างยกมือขวาหงาย

** องค์ที่ 5 นกุล แปลว่า พังพอน
สถิติอยู่ชมพูทวีป พร้อมด้วยพระอรหันต์ 800 องค์ เป็นบริวาร ท่านชอบอยู่โดดเดี่ยว ถือการธุดงค์เป็นพรต ไม่มีศิษย์ไม่เคยเทศนา ไม่ของอยู่ปะปนกับใคร ไม่เคยอาพาธ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นศิษย์ที่มีอายุยืนยาวที่สุด คือ 160 ปี ทั้งนี้เพราะเมื่อสมัยพระวิปัสสีพุทธ ท่านได้ถวายเภสัชแก่ภิกษุผู้อาพาธ ท่านไม่เคยเทศนาโปรดใครนั้น เพราะท่านเห็นว่าพระสารีบุตร พระอานนท์และพระมหาสาวกองค์อื่น ๆ เทศนาได้ดีแล้ว ท่านจึงไม่จำเป็นต้องเทศน์ รูปท่านเป็นนั่งห้อยเท้า มีพังพอนอยู่ข้าง ๆ บ้างเป็นรูปกบสามขาอยู่ใต้รักแร้บ้างเป็นรูปเข้าฌาณ มีเด็กน้อยอยู่ข้างหนึ่งหรือแบมือทั้งสองข้าง

* องค์ที่ 6 ภัทร แปลว่า ประเสริฐ
สถิตอยู่ตามระทวีปพร้อมด้วยพระอรหันต์ 900 องค์ บ้างว่าท่านเป็นพระญาติพระพุทธเจ้าบ้างว่ามีสกุลสูง เป็นมหาสาวกองค์หนึ่งสามารถอธิบายอรรถธรรมที่ลึกซึ้งด้วยคำพูดงง่าย ๆ รูปท่านเป็นรูปนั่งห้อยเท้า ถือหนังสือมีอยู่ข้าง ๆ แสดงว่าท่านปราบเสือได้บ้างทำเป็นรูปมีขนคิ้วยาว ประณมมือ

** องค์ที่ 7 กาลิก แปลว่า เวลา ชั่วเวลา
สถิตอยู่สังฆ ฏทวีปพร้อมด้วยพระอรหันต์ 1,000 องค์ ท่านเป็นที่นับถือ แห่งพระเจ้าพิมพิสาร รูปท่านเป็นรูปนั่งห้อยเท้าหรือเข้าฌาณบ้างถือหนังสือหรือใบไม้ บ้างทำเป็นรูปคิ้วยาวลงมาจนลากดิน ต้องใช้มือถือไว้ บ้างฉาบทั้งสองมือ

**องค์ที่ 8 วัชรบุตร
สถิตอยู่บรรณทวีป พร้อมพระอรหันต์ 1,,100 องค์เป็นบริวาร รูปห้อยเท้า ถือไม้เท้าขักขระ ไม้เท้านี้บนยอดมีโลหะมีชองเป็นวงกลมสำหรับร้อยแหวนโลหะ เมื่อเขย่าจะเกิดเสียงเวลาเดินทางในป่า จะทำให้จำพวกสัตว์เลื้อยคลานได้ยินเสียงจะตกใจแล้วหลีกหนีไป

**องค์ที่ 9 สุปากะ
สถิตอยู่กลางเขาคันธมาทน์พร้อมด้วยพระอรหันต์ 900 องค์ ในหนังสือเถรคาถา มีชื่อโสปากะอยู่องค์หนึ่ง เนื่องด้วยตอนจะคลอดมาดาสลบไปผู้คนเข้าใจว่าตาย จึงนำไปทิ้งที่ป่า เมื่อท่านคลอดออกมามารดาก็ถึงแก่กรรมไปจึงชื่อว่าโสปากะ แปลว่าอันเขาทิ้งแล้ว เมื่อท่านอายุได้ 7 ปี ได้ฟังคำพระพุทธเจ้าสั่งสอนก็เลื่อมในแล้วออกบรรพชา ภายหลังได้บรรลุพระอรหันต์ เป็นสาวกองค์หนึ่ง รูปท่านนั่งห้อยเท้า มือถือหนังสือหรือพัด ข้าง ๆ มีอรหันต์องค์เล็ก หรือทั้งสองมือถือลูกประคำ

*องค์ที่ 10 ปันถก แปลว่าทาง บ้างเติมคำมหาเป็นมหาปันถก
สถิตที่สวรรค์ตรัยตรึงพร้อมด้วยพระอรหันต์ 1300 องค์ เป็นบริวาร ท่านเป็นบุตรของพราหมณี พราหมณีนี้ออกลูกที่ใดก็ตายทุกคราว ครั้งหลังจึงไปคลอดที่ถนนใหญ่แล้วได้บุตรคือท่านเอง ท่านมีฤทธิ์ชำแรกกายเข้าของแข็งได้นิรมิตไฟน้ำได้เดินเหินในอากาศได้ ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสให้ไปปราบพญานาค ท่านยังเป็นองค์ที่ยอดเยี่ยมด้วยปัญญา สามารถแก้ความสงสัยในอรรถธรรมให้แจ่มแจ้งได้ เป็นเอตทัคคะสาวกองค์หนึ่ง รูปท่านนั่งห้อยเท้าบนหลังสิงห์ บ้างนั่งห้อยเท้ากำลังทรมานพญานาคให้เหข้าอยู่ในบาตร บ้างนั่งใต้ต้นไม้ มือถือหนังสือ บ้างเป็นรูปนั่งเข้าฌาณ

** องค์ที่ 11 ราหุล
สถิตอยู่ยังปริยังคุปทวีปพร้อมด้วยอรหันต์ 1,100 องค์บริวาร ท่านเป็นพุทธชิโนรส พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ท่านจะได้ไปเกิดเป็นเชษฐโอรส ของพระอานนท์ ฉะนั้น จึงมีสมญาว่า โอรสพระอานนท์ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จพระปรินิพพาน ท่านได้เป็นคณาจารย์นิกายไวภาษิก และเป็นที่เคารพของบรรดาสามเณร ท่านเป็นเอตทัคคะมหาสารวก ศึกษาในธรรมวินัย และประพฤติปฏิบัติเคร่งครัด รูปท่านบ้างทำเป็นผู้มีศรีษะโต ตาโต จมูกเป็นขอ บ้างก็เป็นรูปคนธรรมดา มือทั้งสองอุ้มเจดีย์

** องค์ที่ 12 นาคเสน
สถิตอยู่เขาปาณฑพแคว้นมคธ พร้อมด้วยพระอรหันต์ 1,200 องค์เป็นบริวาร ท่านเป็นผู้มีสง่า มีปฏิภาณในการโต้ตอบแก้ปัญหาธรรม มีความรู้ลึกซึ้ง ดูเหมือนจะเป็นคนเดียวกันกับพระนาคเสน ในมิลินทปัญหา รูปนั่งห้อยเท้า มือซ้ายยกสูงเพียงหู มือขวาอยู่บนเข่า

**องค์ที่ 13 อิงคท
สถิตอยู่ภูเขาไวบูลยบราณศว์พร้อมด้วย พระอรหันต์ 1,300 องค์ เป็นบริวาร ท่านองค์นี้ หากเป็นองค์เดียวกันกับพระอังคช ก็เป็นมหารสาวกเช่นกัน และเป็นองค์ที่บริบูรณ์ในสิ่งทั้งปวง รูปนั่งห้อยเท้า อ้วนสมบูรณ์ ร่าเริง แต่บ้างก็เป็นรูปพระแก่ถือไม้เท้า บ้างถือหนังสือบ้างบาตร

**องค์ที่ 14 วันวาสี แปลว่าอยู่ป่า
สถิตอยู่ภูเขาวัตสะพร้อมด้วยพระอรหันต์ 1,400 องค์ เป็นบริวาร ยังหาเรื่องราวของท่านไม่ได้ ดูเหมือนจะเป็นองค์เดียวกับพระวัจนะ ซึ่งชอบอยู่ตามป่า รูปนั่งห้อยเท้าอยู่ที่ปากถ้ำ หลับตาเหมือนเข้าฌาณ บ้างทำนิ้วมุทรา (ท่านิ้วหงิกงอ) บ้างวางบนเข่า บ้างถือหนังสือ

**องค์ที่ 15 อชิตะ แปลว่าชนะไม่ได้
สถิตอยู่ที่ภูเขาคิชฌกูฏ พร้อมด้วยพระอรหันต์ 1,500 องค์เป็นบริวาร ยังหาเรื่องราวของท่านไม่ได้ ในคราวทุติยสังคายนา ยังมีภิกษุองค์หนึ่งชื่อเดียวกันกับท่าน ในเถรคาถามีพระอชิตเถระเป็นบุตรของพราหมณ์ คำว่า อชิต เป็นนามพระศรีอารย รูปนั่งห้อยเท้า แก่ ขนคิ้วยาว มือวางบนเข่า บ้างนั่งเข้าฌาณ ที่หน้าอกมีรูปหน้าคน ยังไม่ทราบว่ามีความหมายอะไร

**องค์ที่ 16 จูฑะปันถก บ้างเติมคำว่า จูฬ แปลว่า คนทางเล็ก
สถิตอยู่ที่ภูเขาเนมินธรพร้อมด้วยพระอรหันต์ 1,600 องค์ เป็นบริวาร เป็นมหาสาวกองค์หนึ่ง เมื่อแรกอุปสมบทปัญญาโง่ทึบท่องจำอะไรไม่ได้แม้แต่ประโยคเดียว แต่ต่อมา ได้บรรลุอรหัตตผลเชี่ยวชาญในวิชามโนยิทธิ เรื่องราวของท่านปรากฏอยู่อสีติมหาสาวก รูปนั่งห้อยเท้า มือขวาถือถ้วย มีนกกำจิกน้ำ

** องค์ที่ 17 เค่งอิ๋ว นนทิมิตร

** องค์ที่ 18 ปินโทล่อ ปินโทล

พระอรหันต์ 18 องค์ เริ่มมาจากพระอรหันต์อารักษ์ธรรม 4 องค์ พ.ศ. 1000 พระภิกษุจีนวาดภาพพระอรหันต์ 16 องค์ บ้างวาด 48 องค์ และ 500 องค์ก็มี พ.ศ.2280 กษัตริย์เคียงล้งแห่งราชวงศ์เชง โปรดเพิ่มพระอรหันต์ปราบมังกรและเสืออีก 2 องค์ คือท่านนนทิมิตรกับท่านปินโทลจึงเป็น 18 องค์ ความจริงเรื่องปราบมังกรและเสือ เป็นเรื่องของพวกลัทธิเต๋า (พวกเซียน) และก็เลยเป็น 18 องค์ กระทั่งปัจจุบันพระมหากัจจายนะ (มหายาน) เชื่อว่าคือพระศรีอาร์ฯ ก็อรหันต์แล้ว?

มหากัจจายนะ

พระอสีติมหาสาวกองค์หนึ่งเกิดในกัจจายนโคตรที่พระนครอุชเชนี เป็นบุตรปุโรหิตของพระราชาแห่งแคว้นอวันตี เรียนจบไตรเพทแล้ว ต่อมาได้เป็นปุโรหิตแทนบิดา พระเจ้าจัณฑปัชโชตตรัสสั่งให้หาทางนำพระพุทธเจ้าเสด็จมาสู่กรุงอุชเชนี กัจจายนปุโรหิตจึงเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้ว บรรลุอรหัตตผล อุปสมบทแล้ว แสดงความประสงค์ที่จะอัญเชิญเสด็จพระพุทธเจ้าสู่แคว้นอวันตี พระพุทธองค์ตรัสสั่งให้ท่านเดินทางไปเอง ท่านเดินทางไปยังกรุงอุชเชนี ประกาศธรรม ยังพระเจ้าจัณฑปัชโชตและชาวเมืองทั้งหมดให้เลื่อมใสในพระศาสนาแล้ว จึงกลับมาเฝ้าพระบรมศาสดา ต่อมาได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางขยายความคำย่อให้พิสดาร มีเรื่องเล่าเป็นเกร็ดว่าท่านมีรูปร่างสวยงาม ผิวพรรณดังทองคำ บุตรเศรษฐีคนหนึ่งชื่อโสเรยยะเห็นแล้วเกิดมีอกุศลจิตต่อท่านว่าให้ได้อย่างท่านเป็นภรรยาตนหรือให้ภรรยาตนมีผิวพรรณงามอย่างท่าน เพราะอกุศลจิตนั้น เพศของโสเรยยะกลายเป็นหญิงไป นางสาวโสเรยยะแต่งงานมีครอบครัว มีบุตรแล้ว ต่อมาได้พบและขอขมาต่อท่านเพศก็กลับเป็นชายตามเดิม โสเรยยะขอบวชในสำนักของท่าน และได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง
                       [bgcolor=#0013ff] ถ้าจะให้เป็นภาษาญี่ปุ่นต้อง อะชิตะ แปลว่า วันพรุ่งนี้[/bgcolor]

92
ผมเห็นคนงานเอาพระมาคาดเอว ผมบอกทำไมมาคาดต่ำจัง คนงานตอบผมว่า นี่ไม่ใช่พระ คือ ไอ้งั่ง ผมมองยังไงก็พระเถียงกันอยู่พักใหญ่ จะได้รู้ว่านี่เป็นไอ้งั่งจริงๆ ที่นี่ผมอยากรู้ว่ามันเป็นของแนวไหนเจ้าของอายุ56 ก็ตอบไม่ได้ จึงอยากเรียนถามผู้รู้ในเว็บช่วยอธิบายหน่อยครับ
                                          ขอบคุณครับ

93
สวัสดีครับ กระผมอยากทราบรายละเอียด ถึง การสักยันต์แบบล้านนา ที่เป็นล้านนาแท้ๆนะครับ หากมีรูปด้วยจะเป็นพระคุณยิ่ง
                                                                                                                                                   ขอบคุณครับ

                                                                                                   

94
ขอสอบถามผู้รู้ว่ายันต์นี้มีชื่อว่าอะไร และพุทธคุณด้านไหน ขอบคุณครับ

95
ขอถามท่านผู้รู้ทุกๆท่านว่า ยันต์นี้ชื่อว่าอะไร และ มีพุทธคุณ ด้านไหน ขอบคุณครับ

96
ขอ สอบถามสายรถโดยสารประจำทางไปวัด โคปูน มีรุ่นพี่ บอกว่า หลวงพี่พัน จำพรรษา ที่นั้น จึงอยากถามสายรถโดยสารประจำทางไป วัดโคปูน ว่าไปยังไง ค่า รถเท่าไหร่ ใช้เวลาเดินทางกี่ชั่วโมง และรถหมดกี่โมง ครับ

97
ผมได้ตะกรุดจากผู้ใหญ่ที่ผมนับถือ ซึ่งท่านบอกว่าเป็นตะกรุดโทนฝาบาตรหลวงพ่อเปิ่น แต่ท่านไม่ได้ให้ คาถา ตอน คาดและตอนถอดมา จึงอยากเรียนถามท่านผู้รู้ทุกๆท่านช่วยบอกคาถา คาดและถอด ตะกรุดที่เป็นของวัดบางพระ ขอบคุณครับ

98
ขอสอบถามผู้รู้ ว่า มีอาจารย์ สัก สายหลวงพ่อเปิ่น อยู่ แถวจังหวัดกระบี่ ไหม ครับ

99
ขอรบกวนผู้รู้ทุกท่านช่วยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรอยสักในตัวผมแล้วขอความกรุณาบอกหน่อยว่ายังขาดอะไรบ้างจึงจะเหมาะสมครับขอความรู้กันนะครับ รอยสักคงลบออกไม่ได้
ขอบคุณ

หน้า: [1]