แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - powertom

หน้า: [1]
1



ยอดธรรมยอดคาถา........หลวงพ่อดาบส สุมโน

(ยโขธมมํ วรํตสส เยขนาเต ชนาวรํ โกจิตตํสํ ขตํมุตโต เอโส ปารโม ทุกขํขโย)

ยโขธมมํ-ธรรม ใดแล เป็นธรรมที่ไม่มีที่ภายใน และที่ภายนอก ไม่มีที่ล่วงมาแล้ว และที่ยังมาไม่ถึง ไม่มีทั้งที่กำลังเป็นอยู่ เป็นธรรมกวมทั่ว ผ่องใสปราศจากอารมณ์ต่างๆ อันจักถึงติดต้อง เป็นธรรมว่างเปล่าจากปวงสังขตะที่เกิดดับ

วรํตสส-ธรรม นั้นแล เป็นธรรมจักพึงประจักษ์เฉพาะตน อันบุคคลจักพึงเห็นเอง คือ พระนิพพาน เป็นที่หลุดรอด ที่เรียกว่า "ฝั่ง" ล่วงวังวน เป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย อันบุคคลข้ามได้แสนยาก เป็นธรรมประเสริฐ อันพระตถาคตเจ้าตรัสแสดงไว้ดีแล้ว

เยชนาเต-บรรดา มนุษย์ทั้งหลาย ชนเหล่าใด ที่เป็นผู้พ้นทุกข์ เข้าถึงฝั่ง ล่วงวังวน เป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย อันบุคคลข้ามได้แสนยาก ชนเหล่านั้นมีประมาณน้อย ส่วนหมู่สัตว์คือ ชาย หญิง ย่อมเลาะเลียบไปตามชายฝั่ง คือ ไปแล้วในอารมณ์ต่างๆ ตามเห็นรูป รส โผฏฐัพพะ เสียง กลิ่น อยู่นั่นแหละ เหมือนหลับอยู่ ก็ชนทั้งหลายเหล่าใด ประพฤติตามธรรม ในธรรมที่พระตถาคตเจ้า ตรัสแสดงไว้ดีแล้ว ชนทั้งหลายเหล่านั้น จักเป็นผู้พ้นทุกข์ เข้าถึงฝั่ง ล่วงวังวน เป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย อันบุคคลข้ามได้แสนยากนั้นฯ

ชนาวรํ-ก็ ชนใด ทำจิตของตน ไม่ให้มีที่ภายใน และที่ภายนอก ไม่ให้มีที่ล่วงมาแล้ว และที่ยังมาไม่ถึง ไม่ให้มีทั้งที่กำลังเป็นอยู่ ไม่ให้ตามเห็นอารมณ์ต่างๆ ให้ผ่องใสปราศจากอารมณ์ต่างๆ อันมาติดต้อง ให้ว่างเปล่า จากปวงสังขตะที่เกิดดับ ชนนั้นจักเป็นผู้พ้นทุกข์ เข้าถึงฝั่ง ล่วงวังวน เป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย อันบุคคลข้ามได้แสนยากนั้น ฯ หรือมิฉะนั้น ชนใดเป็นผู้กำหนดรู้อารมณ์ อันใดอันหนึ่งเป็นที่ตั้ง(ทีรูปอารมณ์เป็นต้น) โดยความแยบคายแห่งจิตอยู่เฉพาะ ชนนั้นก็จักประจักษ์แจ้งอารมณ์ต่างๆตามความเป็นจริง ที่มันไม่จริง คือ ว่างเปล่า แล้วระอาท้อถอย เหนื่อยหน่ายคลายวาง เป็นผู้พ้นทุกข์ เข้าถึงฝั่ง ล่วงวังวน เป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย อันบุคคลข้ามได้แสนยากนั้น ฯ

โกจิตตํสํ-ก็จิตของเรานี้เล่า มันเพลินเที่ยวไปแล้วในอารมณ์ต่างๆ ตามเห็นรูป รส โผฏฐัพพะ เสียง กลิ่น อยู่เหมือนหลับอยู่

ขตํมุตโต-ไฉนเล่า เราจักเป็นผู้พ้นทุกข์ จิตของเราจักเข้าถึงฝั่ง ล่วงวังวน เป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย อันบุคคลข้ามได้แสนยากนั้นได้ ฯ

โสปราโม- เหตุนั้น กาลบัดนี้ เราจักทำจิตของเรา ไม่ให้มีที่ภายใน และที่ภายนอก ไม่ให้มีที่ล่วงมาแล้ว และที่ยังมาไม่ถึง ไม่ให้มีทั้งที่กำลังเป็นอยู่ ไม่ให้เห็นตามอารมณ์ต่างๆ ให้ผ่องใสปราศจากอารมณ์ต่างๆ อันมาติดต้อง ให้ว่างเปล่าจากปวงสังขตะที่เกิดดับ

ทุกขํขโย-เป็น ผู้พ้นทุกข์เข้าถึงฝั่ง ล่วงวังวน เป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย อันบุคคลข้ามได้แสนยากนั้น ฯ หรือ มิฉะนั้น เราจักกำหนดรู้อารมณ์อันใดอันหนึ่งเป็นที่ตั้ง(มีรูปอารมณ์เป็นต้น) โดยความแยบคายแห่งจิตอยู่เฉพาะ เพื่อประจักษ์แจ้งอารมณ์ต่างๆตามความเป็นจริง ที่มันไม่จริง คือ ว่างเปล่า แล้วระอาท้อถอย เหนื่อยหน่ายคลายวาง เป็นผู้พ้นทุกข์ เข้าถึงฝั่ง ล่วงวังวน เป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย อันบุคคลข้ามได้แสนยากนั้น ซึ่งเป็นธรรมประเสริฐ คือ พระนิพพาน เป็นที่หลุดรอด ตามที่พระตถาคตเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว นั้นนั่นแล ฯ

"บุคคลใด แม้มาเจริญ คือ สาธยายยอดธรรมยอดคาถานี้ อยู่เนืองๆ บุคคลนั้น จักสบประโยชน์ใหญ่หลวง เป็นผู้มีโชคใหญ่ จักไม่เข้าถึงความตาย ความตายจักไม่เห็นคนผู้นั้น จักบรรลุคุณวิเศาอันหาค่ามิได้".......

 

                                  ดาบส สุมโน

                         ถ้ำจักรพรรดิ อ.ลอง จ.แพร่

2



ปุจฉา-วิสัชนาข้อปฏิบัติธรรม 9 ข้อ กับหลวงพ่อดาบส สุมโน........

1.ปุจฉา-สมาธิไม่มีอารมณ์ภาวนา จะเป็นสมาธิได้อย่างไร?

หลวงพ่อดาบส สุมโน วิสัชนา-เป็นสมาธิได้ ได้ดังนี้ ขั้นต้น น้อมใจหมายเข้าหาธรรมที่สงบละเอียดประณีต การน้อมใจ หมายถึง โน้มใจนี้นี่แหละ เป็น"ตัวสมาธิ"ชี้ ชัดอยู่แล้ว จะว่าใจเคลื่อนเข้าหาความสงบ ความละเอียด และความประณีต หรือมีทุกข์ มีสังขารเป็นที่สิ้นไปก็ใช่ การโน้มใจถึง หรือโน้มใจหาธรรมชาติที่สงบละเอียดประณีตนี้นี่เอง อารมณ์อื่นๆ คือ อารมณ์นึก อารมณ์คิด ก็ไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ เหมือนถูกตัดตอน ย่อมสงบไปเอง นอกจากอารมณ์ต่างๆที่กล่าวมานี้สงบไปเองแล้ว ความยึดถือเกาะกำ ที่เป็นเสมือนรากยึดอันลึกเข้าไป ที่มีอยู่ ก็จะถูกถอนออกตามไปด้วย เพราะการน้อมเข้านำออก มีทั้งส่วนตื้นและส่วนลึก ที่ยึด คือ เกาะกำ ชื่อว่าเป็นส่วนลึก อารมณ์นึกคิด ชื่อว่าส่วนตื้น

สมาธิแบบนี้ แม้ไม่มีอารมณ์ภาวนา ไม่ต้องทำอารมณ์ แต่ก็เหมือนมี เหมือนทำ เพราะมีการกระทำภายในใจแทน และความหมายก็ไปอีกอย่างหนึ่ง

การ ทำสมาธิทั่วไปส่วนมาก เปรียบเหมือนการทำการผูกมัดวัวควาย ให้อยู่กับหลัก แต่แบบนี้ จะเหมือนทำการปลดปล่อยวัวควาย ที่ถูกผูกมัดอยู่กับหลัก ให้ออกจากหลักไป พร้อมทั้งถอนหลักที่เป็นหลักผูกล่ามทิ้ง เลิกสิทธิ์เป็นเจ้าของวัวควายต่อไป

ผู้ผูกมัด คือ การทำ ผู้ปลดปล่อย ก็คือ การทำ เป็นผู้ทำเหมือนกัน แต่ทำไปคนละแบบ คนละความหมาย

เมื่อ ทำการปลดปล่อยอารมณ์ จิตว่างใจว่าง หรืออารมณ์สงบ ใจผ่องใสดังแก้วมณีไม่มีรอยแล้ว อะไรเล่า ที่เป็นของหยาบจะเข้ามาจับต้องหรือปลิวมาติดมาค้างได้?

ถ้า จะมีการย้อนถามอีกว่า การทำสมาธิแบบนี้ เปรียบเหมือน ทำการปลดปล่อยวัวควายที่ผูกมัดไว้แล้ว ในที่นี้ก็หมายถึง วัวควายที่ถูกผูกมัดไว้แล้วนั่นเอง วัวควาย ก็หมายถึง จิตที่ไปแล้วในอารมณ์ ต่างมีรูปอารมณ์ เป็นต้น อันรู้ได้ยาก เห็นได้ยาก แต่จิตจริงๆ แล้วไม่ได้ไปอย่างนั้น นั่นมันเป็นเพียงอารมณ์จิต ที่กระจายออกไปคว้านั่น จับนี่ วุ่นวายไป เมื่อเราทำในจิต ปล่อยวางความนึกคิดออกไป เราก็รู้ว่า ต้นตอจิตที่แท้ มันอยู่ภายในนี่เอง ตัวที่อยู่ภายในนี้ มันถูกมัดถูกล่ามอยู่แล้ว คือ ไปมัดติดอยู่กับอารมณ์ต่างๆ หย่อนยานบ้าง เคร่งเครียดบ้าง เราเมื่อมารู้ว่า จิตนี้ มันถูกมัดถูกล่าม อยู่กับอารมณ์อยู่ตลอดเวลามาแล้ว เราก็ไม่จำเป็นจะต้องผูกมัดอีก เพราะฉะนั้น การทำสมาธิในแบบนี้ จึงตัดปล่อยทั้งต้นและปลายไปทั้งหมดเลย ทำไม่ให้มีที่ภายใน ทั้งภายนอก ทั้งต้นและปลาย

สมาธิแบบนี้ เป็นสมาธิย่อ และรวบยอดเป็นองค์มรรค 6 หรือทั้งสมถะและวิปัสสนาพร้อม ที่ตั้งไม่มี ภพก็ขาดไป ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ ก็ขาดไป บาปกรรม นรกอบาย ก็ขาดไป ทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงก็ขาดไป เพราะจิตสงบจากสังขาร ข้ามพ้นล่วงแดนฯ

2.ปุจฉา-จิตที่คลายอารมณ์ สละวางทุกสิ่ง ไม่เกาะอะไรแล้ว จิตยังไม่รู้อะไรอยู่บ้างหรือไม่?

หลวงพ่อดาบส สุมโน วิสัชนา-ถ้า เข้านิโรธสมาบัติในขั้นสุด ความเสวยอารมณ์ไม่มี เพราะสัญญาความจำดับ แต่ถ้าไม่เข้านิโรธสมาบัติดังกล่าว ยังคงมีความรู้อยู่ แต่อยู่ในห้วงแห่งความสงบ เหนือความนึกคิด และรู้นี้ จะอยู่กับความรู้เดิม และเป็นรู้ที่รู้ทั่วพร้อม เป็นรู้เต็มเปี่ยม หรือเต็มรอบ เป็นรู้มีในทุกขุมขน ถ้าจะเปรียบก็เหมือนน้ำ มีอยู่เต็มสระใหญ่ ทั้งซึมซาบไปตามบริเวณรอบๆด้วย ฉะนั้นฯ

3.ปุจฉา-จิตที่ไม่มีนอกไม่มีใน ไม่มีที่ตั้ง ไม่เกาะเกี่ยวอะไร จิตจะอยู่ในแบบใด?

หลวงพ่อดาบส สุมโน วิสัชนา-จิตจะอยู่ได้ด้วยตัวเอง เหมือนฟ้าไม่ต้องอาศัยแผ่นดิน หรือดวงดาวอะไรๆทั้งนั้น แต่จะพูดว่า อาศัยธรรมนั้นก็ได้อยู่

จะ เปรียบให้ฟังง่ายๆ ทารกน้อยแรกเกิดมา ไม่อาจนั่ง ยืน เดินได้ เอาเพียงจะพลิกคว่ำพลิกหงายในที่นอนอยู่ก็ทั้งยาก หมายความว่า เป็นตัวของตัวเองไม่ได้ แต่ผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์ซิ นั่น นอน ยืน เดิน หรือ จะทำอะไร ก็ย่อมทำได้ คือ หมายความว่า เป็นตัวของตัวเองได้ อุปมาเปรียบนี้ก็ฉันนั้นฯ.......

4.ปุจฉา-พุ ทโธ พุทธบริษัทมีพุทธรัตนะเป็นที่พึ่ง เป็นต้น เริ่มต้น เราก็นึกถึงพุทโธเป็นอารมณ์ แม้ทำสมาธิภาวนา เราก็นึกถึงพุทโธเหมือนกัน แต่การทำสมาธิภาวนา แบบสงบจิต ปล่อยวางคลายอารมณ์นี้ บอกว่าไม่ต้องมีคำภาวนาใดๆ แม้คำว่าพุทโธ เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะเอาอะไรมาเป็นที่หน่วงเหนี่ยวพึ่งพา มิเป็นการห่างไกลไปจากพุทโธหรือ?

หลวงพ่อดาบส สุมโน วิสัชนา-พุ ทโธเป็นรัตนะอันประเสริฐ หาได้ยาก....แม้เพียงพระนาม ก็หาได้ยินยาก พุทโธเป็นยิ่งกว่าแก้วทั้งหลายในโลก ผู้มีพุทโธ ย่อมไม่ไปอบาย ผู้ถึงพุทโธ ทุกข์ย่อมดับ การที่เราถึงพุทโธนั้นก็ดีแล้ว แต่เรายังไม่ได้เข้าถึงพุทโธ การรู้เพียงพระนาม หรือเรียกพระนามถูก จะเป็นผู้เข้าถึงหาไม่ได้ เรารู้กันหรือไม่ว่า พุทโธนั้น ท่านเป็นอรหันต์ ไกลจากกิเลสแล้ว เป็นผู้ไปถึงฝั่งโลกุตตระแล้ว ไปอยู่ฝั่งโน้นแล้ว!!!

พระองค์ตรัสว่า "โย ธัมมัง ปัสสติ โส มังปัสสติ"-ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดถึงธรรม ผู้นั้นถึงเรา......

ธรรม ณ ที่นี้ ไม่ใช่ธรรมที่เกิดที่ดับ ตามที่คนส่วนมากเข้าใจกัน ธรรม ณ ที่นี้ ก็คือ "อมตะนิพพาน"-อันเป็นธรรมชาติสงบ ละเอียด ประณีตยอดเยี่ยม ปัจจัยตกแต่งไม่ได้ เป็นอสังขตะธรรม.......

ในเมื่อเราอยากพ้นทุกข์ อยากถึงพุทโธ อยากเห็นพุทโธ อยากมีพุทโธเป็นที่พึ่ง....แต่เราอยู่ฝั่งนี้ พุทโธอยู่ฝั่งโน้น .....ร้อง หาพุทโธ หรือฝั่งโน้น ให้มาหาเรา มารับเรา พุทโธ หรือฝั่งโน้น คงไม่มาหาเราแน่ หากจะมีบ้าง ก็เพียงฉายแสงวูบๆวาบๆ มาหาเรา เพื่อแสดงให้เรารู้ว่า พระองค์ท่านคอยเราอยู่ฝั่งโน้นแล้ว หากเรายังโง่ ไม่รีบติดตามข้ามฟากไป พุทโธก็คงช่วยอะไรเราไม่ได้!!!

การ ที่เราบางคน นั่งสมาธิภาวนาว่า "พุทโธ" หรือ นึกถึงพุทโธ ไปเรื่อยๆจนติด เราเหน็ดเหนื่อยงวยงง เฉยไปชั่วครู่บ้าง ว่างเปล่าไปบ้าง เราก็เกิดมีความเบา ความสบายขึ้นมาเอง นี่ก็เหมือนกับว่า พุทโธร้องตอบร้องเรียกเรา ให้เราข้ามฟากไปสู่ฝั่งโน้น เพื่อจะได้เห็นพระองค์ ถึงพระองค์.....

ตราบ ใด เราไม่ลงมือสละปล่อยคลายวาง หากเอาแต่เรียกร้องให้มากยิ่งขึ้นๆ จนเกินกว่าเหตุ ก็ซ้ำจะยิ่งเป็นการห่างไกลไปจากพุทโธหนักขึ้น การกล่าวว่าพุทโธ หรือ การยึดพุทโธ เป็นการปรุงสังขาร เมื่อใครมัวปรุงสังขารอยู่  ก็จะถึงอมตะนิพพานไม่ได้!!!

ผู้จะรู้จักอมตะนิพพาน ก็ต้องสงบสังขาร ดังที่พระองค์ตรัสไว้ว่า "สังขารานัง ขยังญัตวา อกตัญญู สิ พราหมณะ".....ท่านรู้จักความสิ้นไปแห่งสังขารทั้งหลายแล้ว จะเป็นผู้รู้จัก"อมตะนิพพาน" ที่ปัจจัยทำไม่ได้ นะพราหมณ์ฯ......

ก็เป็นอันว่า การจะถึงพุทโธ  หรือเห็นพระพุทโธ ณ ที่นี้ ก็ด้วยการสงบสังขาร ปล่อยวางสงบเมื่อใด ปล่อยเมื่อใด ก็ย่อมจะถึง หรือเห็นพุทโธเมื่อนั้น!!!!.....

และก็ไม่ต้องสงสัยหรอกว่า การปล่อย การวาง จะเป็นการเดินทางผิด เพราะทางถึงทางพ้นทุกข์ มีทางเดียว ทางอื่นไม่มี!!!!!.......ยิ่งปล่อยวางได้ยาก ก็ยิ่งใกล้พุทโธมาก ยิ่งนึกคิดมาก ยึดถือมาก ก็ยิ่งไกลพุทโธออกไป.......ปล่อยได้รอบ ก็เหมือนจันทร์เต็มดวง!!!!!.....

"จิตที่ปล่อยวาง ว่างสงบแล้ว" นี่แหละ "เป็นแก้วผุดผ่องวิเศษ" คือ "แก้วพุทธรัตน์-แก้วธรรมรัตน์-แก้วสังฆรัตน์".....ไม่มีแก้วใดในโลก จะยิ่งไปกว่านี้แล้ว ฯ .......
5.ปุจฉา-เราไม่เคยเห็นเคยพบสิ่งนั้น แล้วจะนึกถึงสิ่งนั้นได้อย่างไร?

หลวงพ่อดาบส สุมโน วิสัชนา-"สิ่งนั้น ในที่นี้ คือ อมตะนิพพาน"-ธรรมชาติที่สงบ ละเอียด ที่ประณีตยอดเยี่ยม หรือ ที่เรียกว่า "ฝั่งโน้น".......

จริง อยู่ เราไม่เคยเห็นเคยพบมาก่อนเลย แต่เราก็พอจะรู้ได้โดยนัย เพราะธรรมดามีให้เทียบ ให้รู้อยู่ตลอดกาล เช่น หนาว ร้อน หนัก เบา หยาบ ละเอียด สุข ทุกข์ ดีแล้ว.....เราก็เทียบได้

ความสงบระงับเป็นอย่างไร?

เราไม่รู้ เราก็ย้อนดูสิ่งที่ตรงกันข้าม คือ ดูที่ความนึก ความคิด ดูที่ความเกาะความถือ ก็สิ่งที่ตรงกันข้ามนั้นอย่างไรเล่า?......

ก็ต้องไม่ใช่นึกใช่คิด ไม่ใช่เกาะใช่ถือ ความนึกความคิดเป็นทุกข์ ความเกาะ ความถือเป็นทุกข์ ที่ไม่นึก ไม่คิด ที่ไม่เกาะไม่ถือ ก็ต้องเป็น อมตะ นิพพาน เป็นฝั่งโน้น เป็นที่ล่วงทุกข์ล่วงแดน เป็นสุข....

เพราะฉะนั้น อมตะ นิพพาน ที่เราไม่เคยเห็นเคยพบมาก่อน ก็พึงนึกเทียบเคียง แล้วทำภายในใจให้ถึง ให้เป็นเช่นนั้น แต่เมื่อเราปล่อยวางไป มันก็ไม่ไปไหนได้ และเส้นทางปฏิบัตินี้ ก็เหมือนกับ มีเครื่องหมายชี้บอกอยู่ตลอดทาง และสุดทางไม่สุดทาง ผู้ปฏิบัติก็รู้ด้วยตัวเอง  เหมือนตัดท่อนไม้ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น.......

6.ปุจฉา-ผู้อยู่กับบ้านกับเรือน ไม่ได้โกนหัว นุ่งห่มผ้าย้อมฝาดอยู่กับวัด จะปฏิบัติสมาธิแบบนี้ได้หรือไม่?

หลวงพ่อดาบส สุมโน วิสัชนา-ได้ จะเป็นสมาธิแบบนี้หรือแบบอื่น ก็ได้ทั้งนั้น ทุกคนมีสิทธิ์จะได้จะถึง ไม่เลือกเพศเลือกชั้น ส่วนจะได้จะถึง มากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับตัวเอง.....

7.ปุจฉา-การทำสมาธิแบบนี้ เราจะเริ่มต้นที่ไหน หรือ ทำอย่างไร?

หลวงพ่อดาบส สุมโน วิสัชนา-เริ่มต้นที่"ใจเรา"นี่ แหละ ทันที ไม่ต้องรอเวลา หรือมีพิธีอะไร จะอยู่ป่า อยู่โคนไม้ ศาลาว่าง กุฏิ นั่ง นอน ยืน เดิน แม้ไปในยามหลับตาทำ หรือลืมตาทำ ก็ได้ ขอแต่ว่าปลอดภัย และไม่มีโทษ และมีความจริงใจที่จะทำ ฯ

8.ปุจฉา-ถ้าทำจิตให้สงบ ว่างจากอารมณ์นึกคิดไม่ได้ ตามแบบข้างต้น จะมีวิธีใดบ้างที่เป็นมูลฐาน ช่วยให้จิตสงบ มีความว่างแจ่มใส?

หลวงพ่อดาบส สุมโน วิสัชนา-มีเหมือนกัน คือ ให้นึกถึงรูปร่าง ดอกดวง สีแสง อย่างใดอย่างหนึ่ง  เพื่อให้"จิตรวมตัวเป็นอารมณ์ หยุดอยู่ที่หนึ่ง"เสียก่อน จิตรวมตัวหยุดอยู่ที่หนึ่งนี้ จะเรียกว่า"นิมิต"ก็ใช่

เมื่อจิตรวมตัวเป็นอารมณ์หนึ่งแล้ว แล้วเราก็เบนจิตออกจากอารมณ์หนึ่งนั้น โน้มเข้าหา"ความว่าง-ความสงบ"ทั่วรอบ ที่เรียกว่า "โน้มเข้าหาฝั่ง เพื่อขึ้นฝั่ง"

ที่ว่า ให้นึกถึง รูปร่าง ดอกดวง สีแสงนั้น เป็นต้นว่า ดูส่วนอันใดอันหนึ่งในร่างกายเราท่าน หรือ ศพ หรือ วัตถุ ขาว เขียว แดง  อะไรก็ได้ แต่อย่าลืมว่า วิธีนี้ไม่ใช่วิธีย่อตัดตรง

อีกนัยหนึ่ง จะนึกถึงอัตภาพสังขารทั้งหลาย ภายนอกภายใน ว่าไม่เที่ยง-เกิดขึ้นแล้วย่อมสลายไป ไม่มีส่วนเหลือ จิตก็จะเข้าสุ่ความสงบ ว่างเปล่า ล่วงสังขารทั้งหลาย ไปเข้าถึงฝั่ง พ้นทุกข์ อันเป็นฝั่งพ้นทุกข์ที่เดียวกันนั่นเอง  หลักธรรม ยอดธรรมยอดคาถา ก็แสดงไว้อย่างนี้

9.ปุจฉา- ผู้ครองเรือน จะถึงอมตะนิพพานได้หรือไม่?

หลวงพ่อดาบส สุมโน วิสัชนา-ผู้อยู่ครองเรือน แต่ไม่ยึดถือเรือน ก็ถึงอมตะนิพพานได้ .....

แต่คำว่า"อยู่ครองเรือน" อาจแยกออกเป็น 2 คือ ปุถุชน และ ตั้งแต่ โสดาบันบุคคล ถึงสกิทาคามีบุคคล ชื่อว่า "ผู้ยังมีเรือน"

อนาคามีบุคคล กับ อรหันต์บุคคล ชื่อว่า "ผู้ไม่มีเรือน"

ผู้ไม่มีเรือน-อาจอยู่ในสถานที่มุงที่บัง เหมือนชาวบ้านผู้มีเรือนก็ได้ และอยู่ในเพศที่มีผมยาว นุ่งห่มเหมือนชาวบ้านก็ได้ ฯ.......


สวากขาโต ภควตาธัมโม ธัมมังนมัสสามิ ข้าพเจ้าขอบนมัสการซึ่งพระธรรมของพุทธองค์
ฐาตุ จิรัง สะตัง ธรรมโม ขอพระสัทธัมของพระพุทธเจ้าจงตั้งอยู่ชั่วกาลนาน เทอญ

3

ประวัติหลวงพ่อดาบส สุมโน

“หลวงพ่อดาบส สุมโน
” เดิมชื่อ “สง่า” นามสกุล “เจริญจิตต์”
เกิดเมื่อวันที่ ๑๒ กัน ยายน ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ พ.ศ.๒๔๖๗ ปีชวด ตำบลบางกระไชย อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี
เป็นลูกคนที่ ๖ ในจำนวนทั้งหมด ๘ คน
บิดาชื่อ “นายเถียน” มารดาชื่อ “นางเวียง”
ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๗๔ ขณะอายุได้ ๗ ปี มารดาก็ถึงแก่กรรมและต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๗๘ อายุได้ ๑๑ ปี “เด็กชายสง่า” ก็ต้องสูญเสียบิดาบังเกิดเกล้าไปอีกคน จึงอยู่ภายใต้การดูแลของ “คุณป้า” และเริ่มเรียนหนังสือชั้นประถมศึกษาที่ ๑ โรงเรียนวัดบางกระไชย จบชั้นประถมปีที่ ๔ เมื่อ พ.ศ.๒๔๑๘

ครั้นเมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๕ อายุได้ ๑๘ ปี “คุณป้า” ได้นำ “เด็กชายสง่า” ไปบรรพชาที่ “วัดจันทนาราม จังหวัดจันทบุรี” เพื่อเรียนปริยัติธรรมซึ่งต่อมาสามารถ สอบได้ทั้ง “นักธรรมตรี” และ “นักธรรมโท”

ในปี พ.ศ.๒๔๘๗ อายุครบ ๒๐ ปี “สามเณรสง่า” จึงอุปสมบทเป็น “พระภิกษุ” โดยมีท่าน “เจ้าคุณอมรโมลี” เป็นอุปัชฌาย์ได้ฉายาว่า “สุมโน” กระทั่งปี พ.ศ.๒๔๘๙ อันเป็นพรรษาที่ ๔ “พระภิกษุสง่า สุมโน” ได้กราบลา “พระอุปัชฌาย์” เพื่อเดินทางไปศึกษา “ภาษาบาลี” กับท่าน “เจ้าคุณรัชมงคลมุณี” วัดหนองบัว จังหวัดระยอง ต่อมาในปี

พ.ศ.๒๔๙๐ ด้วยจิตที่มุ่งมั่นจะปฏิบัติธรรม แสวงหาธรรม จึงออกเดินธุดงค์ไป “จังหวัดเชียงใหม่” ตามเส้นทาง “อำเภอดอยสะเก็ด” สู่ “ถ้ำเชียงดาว” อำเภอเชียงดาวได้ธุดงค์พลัดเข้ามาสู่เขตพื้นที่ของ “อำเภอพร้าว” ในปี ๒๔๙๐ ถึง ๒๔๙๔ จึงพำนักและปฏิบัติธรรมใน “ป่าช้า” ของตำบลเวียง อำเภอพร้าว หรือ “วัดป่าเลไลย์” เป็นเวลาถึง ๔ ปี

ปี พ.ศ.๒๔๙๔ “พระภิกษุสง่า สุมโน” เดินทางมาพำนักที่ “วัดเจดีย์หลวง” จัง หวัดเชียงใหม่ โดยปฏิบัติธรรมกับ “เจ้าคุณวินัยโกศล” (จันทร์ กุสโล) หรือ “พระพุทธพจนวราภรณ์” แล้วจึงออกจาก “วัดเจดีย์หลวง” ธุดงค์ไปตามเส้นทางสู่ “อำเภอดอยสะเก็ด” อีกครั้งพร้อมลัดเลาะไปตามป่าเขาถึง “ดอยพระเจ้าหล่าย” วันนั้นเป็น วันอาทิตย์ที่ ๒๘ มกราคม พ.ศ.๒๔๙๔ ตรงกับแรม ๖ ค่ำ เดือนยี่เวลา ๑๗.๐๐ น. “พระภิกษุสง่า สุมโน” จึงตั้งสัจจะอธิษฐาน ณ ดอยพระเจ้าหล่าย ขอสละเพศบรรพชิตขอลาสิกขาบทจากการเป็น “พระภิกษุสงฆ์” โดยหันมาถือการครองเพศเป็น “ดาบส” ที่มีเพียง ผ้าอังสะและผ้าสบง เพียงสองผืนหุ้มห่อร่างกายไว ้จากนั้นจึงครองเพศเป็น “ดาบส” และปฏิบัติธรรมอยู่บน “ดอยพระเจ้าหล่าย” โดยมิได้ฉันทั้งอาหาร และน้ำถึง “๓ วัน ๓ คืน” จากนั้นจึงเดินทางลงจากดอยเพื่อธุดงค์ไปจังหวัด ต่างๆ ทั้ง แพร่ ลำปาง น่าน ยะลา ชุมพร และท้ายสุดปฏิบัติธรรมที่ “อาศรมไผ่มรกต” ต.ป่าอ้อดอนชัย อ.เมือง จ.เชียงราย จนมรณภาพ เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๓๔ สิริอายุได้ ๗๖ ปี

“หลวงพ่อดาบส สุมโน” นับเป็น “ผู้บำเพ็ญเพียร” ด้วยศีลาจารวัตร บริสุทธิ์ผุดผ่องจนได้พบแสงสว่างแห่งธรรมเจิดจ้า และธรรม ที่ท่านแสดงให้บรรดาศิษย์ได้ยังความสุข ความสงบ ความร่มเย็น ให้เกิดขึ้นในจิตใจของผู้ที่เคยฟังธรรมจากท่านจึงนับได้ว่าท่านเป็น “ประทีปธรรม” แห่งภาคเหนือที่ยังคงอยู่ในความทรงจำ และในจิตใจ ของประชาชนตลอดไป



อะหังวันทามิสัพพะทา ข้าพเจ้าขอบูชาพระคุณของท่านด้วยประการทั้งปวง

4
นิโรธสัญญา    โดยพระคุณเจ้าดาบส สุมโน อาศรมไผ่มรกต เชียงราย

นิโรธ แปลว่า ดับความทุกข์ ความชั่ว บาป ดับรูปกาย นามซึ่งมีในกายดับจากวัตถุธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า นิพพาน ดับหรือว่างจากทุกสิ่งทุกอย่างในโลก นรก สวรรค์ พรหม ไม่เหลือการเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งเป็นสาเหตุของความทุกข์ยากลำบากอีกต่อไป
สัญญา แปลว่า ความจดจำ หมายจำเอาไว้หรือจำได้ นิโรธสัญญา จึงแปลว่า ความจำได้หมายรู้ในการดับความทุกข์ยากลำบากทั้งปวง ดับธาตุทั้งหมด ดิน น้ำ ลม ไฟ ให้เหลือแต่ความว่างเปล่า การปฏิบัตินิโรธสัญญานี้เป็นทางลัด รวดเร็ว ทำง่ายมาก เป็นการปฎิบัติได้ผลรวดเร็วไม่ยากนัก เพียรเฝ้าทำจิตให้ว่างจากสิ่งที่เป็นของหนักคือ ร่างกายเราเขาหรือขันธ์ ๕ ขจัดสิ่งวุ่นวายวิตกกังวลเรื่องต่างๆออกจากจิตเท่านั้น
ทางปฎิบัตินิโรธสัญญา ก็เริ่มด้วยตัดจิตให้มีเมตตาไปยังสรรพสัตว์ทั่ว ๓ โลก นรกโลก เทวโลก รักษาศีล ๕ ให้ครบถ้วน การเฝ้ากำจัดความคิดที่ไม่ดีไร้สาระออกจากจิตก็เป็นสมาธิอย่างหนึ่ง การเฝ้าพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างในโลกในที่สุดก็แตกสูญสลายกลายเป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นอากาศ แยกกระจายจากอนูเป็นอะตอมเล็กๆละเอียด เป็นธาตุว่างคือวิปัสสนาญาณ ผู้มีศีลเจริญสมาธิภาวนานิดเดียวตั้งจิตทำเพื่อจิตเข้าสู่ความสุขอย่างยิ่ง คือ พระนิพพาน ก็เข้าถึงเมืองแก้วพระนิพพานได้ง่าย พระนิพพานนั้นไม่ใช่ไกลเกินเอื้อมออกไป อยู่ในจิตในใจเรานี่เอง เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน ทั้งที่ขันธ์ ๕ กายยังไม่แตกสลาย ถ้าร่างกายตายจิตสะอาดหมดความยึดติดในขันธ์ ๕ จิตก็จะเคลื่อนเข้าเสวยความสุขยอดเยี่ยมแดนทิพยนิพพาน เรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพาน
นิโรธสัญญา คือการเพียรพยายามทำจิตให้ว่างจากสิ่งที่เป็นของสมมุติทั้งปวงในโลก รวมถึงชีวิต คนและสัตว์ ทรัพย์สิ่งของเป็นของสมมุติเป็นของชั่งคราวทั้งสิ้นเป็นของปลอม พระนิพพานธาตุ พุทธิธาตุ ภูตะธาตุ อสังขธาตุ ทั้งหมดนี้เป็นของจริง เป็นธาตุอะตอมไม่ตายไม่สูญสลายเหมือนธาตุของโลก ถึงตาจะมองไม่เห็นแต่มีอยู่จริง เป็นธาตุบริสุทธิ์มีอยู่แล้วโดยธรรมชาติ ไม่มีใครสร้าง เปรียบธาตุนิพพานอมตะนี้ก็เหมือนเมืองหรือฝั่งข้างโน้นที่เราจะข้ามไป จิตเป็นนามธรรม อาศัยอยู่ในกายในขันธ์ ๕ ที่เป็นของสมมุติชั่วคราว จิตเป็นธาตุบริสุทธิ์ โดยธรรมจากในจิตนั้น มีธรรมกายหรือพุทธิกาย หรือนามกายทิพย์ นิพพานกายอยู่ มีตา หู จมูก ลิ้น กายทิพย์ จิตทิพย์ ไม่ต้องทำขึ้น มีอยู่แล้ว ไม่ตายเป็นอมตะ ในกายทิพย์นิพพานไม่มีประสาท ไม่มีอวัยวะภายใน โปร่งใสเบา เย็นสบายเป็นจิตรู้ฉลาดสะอาดบริสุทธิ์ อิสระจากกฏทั้งปวงอยู่เหนือกฏของกรรมหรือกฏของธรรมชาติ หรือเรียกอีกอย่างว่า จิตของพระอรหันต์ จิตของพระขีณาสพ ผู้หมดกิเลสอวิชชาตัณหาอุปาทานบาปทั้งปวง
รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อารมณ์ดีร้ายทั้ง ๖ นี้ เป็นผู้มาทีหลัง เป็นของผ่านไปมา เป็นของสมมุติ เป็นของปลอม ไม่ใช่ของจริง เป็นของร้อนเป็นของหนัก ถ้าจิตเราไปคิดเอาเป็นจริงก็ทำให้เกิดความไม่สบายใจ ผิดหวังเป็นทุกข์ใจมิได้หยุดหย่อน รูปเสียง กลิ่น รส สัมผัส อารมณ์ทั้งหลายเป็นของสกปรกของชั่วคราวเป็นฝ่ายดำ เป็นสิ่งที่เราจะต้องรู้เท่าทัน และกำจัดออกจากจิตทันที คือให้ว่างเปล่าจากของที่เป็นทุกข์เป็นโทษ จิตจะอยู่ว่างเปล่าเฉยๆ ไม่ชินก็นึกถึงพระคุณความดีขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า นึกถึงฝั่งแดนทิพยนิพพานเป็นสุขเลิศล้ำ นึกถึงร่างกายสมมุตินี้ตายโดนเผาทิ้งแน่นอน แบบนี้จิตจะว่างจากของหนัก ว่างจากความเครียด ความฟุ้งซ่าน ความวุ่นวายหรือปลอดภัยจากอันตรายได้ เพราะจิตว่างสะอาด ปราศจาก โลภ โกรธ หลง เพราะมีแต่พระรัตนตรัย พระนิพพานเต็มเปี่ยมอยู่ในจิต แถมอีกนิดมีเมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้ง ๓ โลก ต้องการให้ทุกผู้ทุกคนพ้นทุกข์ได้เหมือนเรา
วิธีปฏิบัตินิโรธสัญญา หรือ ทำจิตให้ว่างจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน บาปกรรม มี ๓ อย่าง

๑) โน้มใจเข้าหาความว่าง ด้วยการนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระมหาเมตตา มีพระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ นำสัตว์ชี้ทางเข้าสู่พระนิพพาน เริ่มระลึกถึงความว่างเปล่าไม่มีอะไร ทั้งโลกอากาศว่างเปล่า ธาตุว่างอยู่รอบตัวเราเอิบอาบไปทั่ว เป็นธาตุอะตอม โอบอุ้มทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นธาตุเบา ธาตุเย็น ธาตุสงบ ธาตุพอเพียง ธาตุแท้
๒) ทำจิตว่างด้วยสลัดขจัดทิ้งความคิดไม่ดีไร้สาระออกจากจิต หรือปล่อยวางอารมณ์ดีชั่วทั้งปวงออกจากจิตให้มีเพียงแต่คำว่ารู้ แต่ไม่นำเอามาคิดปรุงแต่งเป็นตัวเราตัวเขา เป็นแต่เพียงธาตุของโลก จิตเป็นธาตุเบาไม่เอาไปปนกับธาตุหนักๆของโลก กายก็เป็นธาตุของโลกไม่ใช่ของจิต แต่จิตก็เพียงให้รู้ว่าจิตมาอาศัยอยู่ในกายบ้านสมมุติชั่วคราว ไม่เอามาปนกับจิต จิตส่วนจิต กายส่วนกาย ไม่ใช่อันเดียวกัน มีกายแล้วจิตก็ทำเป็นว่าไม่มี เพราะไม่ช้ากายก็ตายสูญสลาย ไม่มีกายอีก เป็นของว่างๆ เพียรคิดสลัดกาย อารมณ์ทั้งหลายออกจากจิต จิตจะสว่างสะอาดจากกิเลสเฝ้าผูกพันยึดมั่นกายเรากายเขา แต่ก็ยังคงทำหน้าที่การงาน สังคมครบถ้วน จิตใจสะอาดผ่องใส ร่างกายก็ไม่มีโรคหรือโรคน้อย จิตก็จะแปรสภาพจากหนักเป็นเบา โปร่งสบาย จิตหยาบก็จะกลายเป็นจิตละเอียดสะอาดผ่องใส ไม่มีความวุ่นวายจิตสงบนิ่งมีปัญญาดี
๓) วิธีทำจิตให้สะอาดว่างจากกิเลสแบบให้สังเกตหรือจับดูอารมณ์ตามความเป็นจริง แต่มิใช่ให้จับแบบยึดมั่นถือมั่น คือจิตมันชอบคิดเรื่องต่างๆอยู่เสมอ มันคิดอะไรก็เอาเรื่องนั้นแหละมาพิจารณาดูให้ลึกและไกลออกไป ให้เห็นความไม่คงที่ จะเป็นไปในทางที่ดีหรือไม่ดีก็เท่ากันไม่มีอะไรเป็นจริงเป็นจัง เป็นแก่นสารย่อมถึงความแปรผันดับสูญเสมอกัน


เงา ในกระจกหรือเงาในน้ำมิใช่ของจริงฉันใด สรรพสังขาราทั้งหมดก็ไม่ใช่ของจริงฉันนั้น หรือจะมองชีวิตทั้งหมดนี้เหมือนความฝันก็ได้ เพราะจุดจบของชีวิตคือความตาย ความตายของชีวิตร่างกายของคนนี่แหละ คือการตื่นจากความฝัน คือจิตออกจากร่างไปหาที่อยู่ใหม่ ที่อยู่ใหม่ของเราท่านเที่ยงแท้แน่นอนไม่ยอมแปรผันอีกต่อไปคือ แดนอมตะทิพยนิพพาน
เมื่อมาพิจารณารู้ความจริงของชีวิตร่างกายทุกผู้ทุกนามแล้ว ก็จะเห็นได้ว่าสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ทั้งคน สัตว์ สิ่งของ มีก็เท่ากับไม่มี คือว่างเปล่านั่นเอง เพราะสูญสลายไม่ช้าก็เร็ว
เมื่อกำหนดจิตเห็นทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเป็นของว่างเปล่า จิตก็จะเข้าถึงความว่าง ธาตุว่างจากทุกสิ่งทุกอย่างในโลก เมื่อพิจารณาทบทวนถึงความไม่มีในร่างกายเรากายเขา ขันธ์ ๕ เรา ขันธ์ ๕ เขา มันมีแล้วก็เหมือนกับไม่มี เพราะแปรปรวนไม่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่จริง เป็นของปลอมของสมมุติ หาตัวตนตัวเราตัวเขาไม่ได้ เพราะทุกอย่างมีแต่เดินทางหาความทรุดโทรม ผุพังสลายตายกันในที่สุด จิตก็จะหลุดจากกิเลสคือว่างจากความทุกข์ยาก จิตจะเป็นอิสระเสรีไม่ยึดเกาะในสิ่งของจอมปลอมอีกต่อไป ถึงแม้จิตจะยังอาศัยอยู่ในกาย แต่จิตไม่หลงรักว่าเป็นอันเดียวกับจิต อย่าเอาจิตไปนึกว่ามันมี รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ปล่อยไปเพียงแต่ผ่านมาผ่านไปเท่านั้น ถ้าทรงอารมณ์อยู่จิตไม่สนใจขันธ์ ๕ ของใครวางเฉยไม่ทุกข์ร้อน ทำงานทุกอย่างตามหน้าที่ อารมณ์เฉยเป็นเอกัคตารมณ์ เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีสำหรับเรา เราไม่มีสำหรับกาย จิตจะสะอาดเบิกบานผ่องใสพ้นจากความยึดมั่นในของปลอมของทุกข์ของร้อนพระท่าน เรียกว่า จิตของพระอรหันต์
วิธีทำจิตให้ว่างจากกายเรากายเขาแบบนี้ เป็นวิธีลัดแบบง่าย มีแต่พรหมวิหาร ๔ ไม่ยึดถืออารมณ์ใดๆมาไว้ในจิตมีความจำได้หมายรู้ก็เหมือนไม่มีความจำ เพราะความจำอยู่ได้ไม่นานไม่ช้าก็ลืม ประสาทสมองลืมง่าย ความคิดความจำ ความฟุ้งซ่าน วิตกกังวลเป็นเรื่องของกายให้สลัดทิ้ง ให้จิตเต็มไปด้วยพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จิตจะเบาบริสุทธิ์สะอาด จิตอันนี้เราจะตามรอยพระพุทธบาทเมื่อกายพังแตกสลาย
ผู้เพียรทำจิตให้ว่างจากร่างกาย หรืออารมณ์ต่างๆแบบนี้เป็นแบบของพระอริยเจ้า เป็นสมาธิเป็นวิปัสนาญาณอยู่ด้วยกัน ทำได้ทุกเวลา ทุกอิริยาบถ นั่ง นอน ยืน เดิน ทำได้ทั้งที่อยู่คนเดียวและอยู่แบบหมู่คณะ เป็นทางหลุดพ้นทุกข์ได้อย่างแน่นอน เป็นทางลัดตรงไปสู่จุดหมายปลายทางคือ พระนิพพาน
นิพพานธาตุ คือ นิโรธธาตุ อันเดียวกัน มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง แม้ในจิตเราท่านที่อยู่ในร่างกายที่สกปรกนี้ ทำจิตให้เข้าถึงพระนิพพานได้ทันทีทั้งๆที่ยังไม่ตาย นิพพานไม่ใช่มนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก แต่อยู่เหนือโลกทั้งสิ้น มีอยู่ทั่วไปถ้าจิตจิตดับทุกข์ดับขันธ์ ๕ ว่างจากกิเลสจะรู้สภาวะพระนิพพานทันที
นิโรธสัญญา คือทำจิตให้ว่างไม่มีอารมณ์ใดๆทั้งปวงคือเฉยๆ จิตจะสะอาดปล่อยวางจากทุกสิ่งทุกอย่างทั้งโลก รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส จิตจะเข้าสู่ภาวะ ที่เป็นจิตพุทธะดั้งเดิม จิตประภัสสร
นิโรธสัญญา ทำจิตให้ว่างจากพันธะใดๆในโลก จะทำวิชชาให้สำเร็จด้วยฤทธิ์ก็ย่อมได้ เพราะจิตสงบทรงตัว แต่ท่านที่เจริญความว่างทางจิตแบบนี้ ท่านไม่ต้องการอิทธิฤทธิ์ใดๆ ความรู้พิเศษใดๆอีก ทั้งสิ้น เพราะจิตท่านอิ่มด้วยความสุข สงบ สบาย สว่างสดใส ไม่ต้องการอะไรอีกต่อไป เป็นความสุขยอดเยี่ยม ไม่สามารถบรรยายเป็นตัวหนังสือได้



5
กราบนนมัสการท่านครับ อหังวันทามิสัพพะทา ขอบูชาด้วยประการทั้งปวง

และขอบพระคุณมากครับสำหรับที่นำมาเผ่ยแพร่จ้า

6
แม่โกหกผม 8 ครั้งในชีวิต

เรื่องเริ่มขึ้นตอนเมื่อผมเป็นเด็ก ๆ ผมเกิดในครอบครัวยากจน ครอบครัวของเราจนมากจนต้องอดข้าวบ่อย ๆ เมื่อไหร่ก็ตามเมื่อถึงเวลากินข้าว...แม่จะแบ่งข้าวม าให้ผมเพิ่มขึ้นอีก พร้อมทั้งพูดว่า "ลูกต้องกินข้าวเพิ่มขึ้นนะ...ส่วนแม่ไม่ค่อยหิว" นี้เป็นครั้งแรกที่แม่โกหกผม

เมื่อผมเติบโตขึ้น คุณแม่เพียรพยายามหาเวลาว่างไปตกปลาในแม่น้ำ เพื่อว่าผมจะได้กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของผม แม่ต้มปลาที่ตกมาได้ทำเป็นซุปให้ผมกิน ในขณะที่ผมกินแกงต้มปลา..แม่จะนั่งข้าง ๆผม แทะกิน เศษเนื้อปลาที่ติดอยู่ตามก้างปลาหลังจากที่ผมไ ด้กินเนื้อปลาไปแล้ว ผมรู้สึกตื้นตันใจมาก..ผมพยายามแบ่งเนื้อปลาให้แม่ แต่แม่ปฎิเสธทันควันพร้อมกับกล่าวว่า "ลูกกินเถอะ...แม่ไม่ค่อยชอบกินเนื้อปลา" นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่แม่โกหกผม

เมื่อผมเรียนอยู่ชั้นมัธยม เราต้องใช้เงินเพิ่มมากขึ้น แม่ต้องหารายได้พิเศษด้วยการรับงานเล็ก ๆน้อยจากโรงงานมาทำที่บ้าน บางครั้งผมตื่นขึ้นมาตอนตี 1 หรือตี 2...ผมยังเห็นแม่กำลังทำงาน "แม่ครับ...นอนเถอะครับมันดึกมากแล้ว พรุ่งนี้แม่ต้องไปทำงานอีก" แม่ยิ้มกับผมพูดว่า "ลูกนอนต่อก่อนนะ...แม่ยังไม่เหนื่อย...นอนไม่หลับ" ครั้งที่ 3 แล้วที่แม่โกหกผม

ตอนเมื่อใกล้จบชั้นมัธยมผมต้องไปสอบเป็นวันสุดท้าย แม่อุตส่าห์หยุดงานไปเป็นเพื่อนและเพื่อเป็นกำลังใจใ ห้ผม มันเป็นวันที่แดดร้อนมาก ๆ...แม่ต้องรอผมอยู่หลายชั่วโมงเมื่อผมทำข้อสอบเสร็จ...รีบออกมาหาแม่ เห็นแม่ผมมีเหงื่อออกท่วมตัว.. แต่ท่านกลับรินน้ำเย็นที่เตรียมมาให้ผมดื่ม ผมเห็นแม่รู้สึกเหนื่อยและร้อนจึงขอให้แม่ดื่มน้ำก่อน แม่พูดขึ้นว่า "ลูกดื่มเถอะ....แม่ยังไม่กระหายน้ำ" นั่นเป็นครั้งที่ 4 ที่แม่โกหกผม

หลังจากที่พ่อผมล้มป่วยและเสียชีวิต คุณแม่ที่น่าสงสารต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัว แต่ก็ยังไม่ค่อยเพียงพอไม่ว่าคุณแม่จะพยายามมากขึ้นเพียงไร คุณลุงที่อยู่ข้าง ๆ บ้านท่านเป็นคนดี พยายามมาช่วยเหลือครอบครัวเราเสมอ....เช่นซ่อมแซมบ้า นที่ผุพัง..ฯลฯ เพื่อนบ้านเห็นครอบครัวลำบากมากก็แนะนำให้แม่แต่งงาน ใหม่ แต่แม่ยืนกรานไม่เห็นด้วย แม่พูดกับผมว่า "แม่มีลูกอยู่ทั้งคน...แม่ไม่ต้องการความรักอีก" แม่โกหกผมเป็นครั้งที่ 5 แล้ว

ในทื่สุดผมก็เรียนจบและมีงานทำ ผมอยากให้แม่ซึ่งตรากตรำทำงานหนักมาตลอดได้พักผ่อนบ้าง แต่แม่ไม่ยอม.....กลับไปตลาดทุกเช้า ขายผักที่หามาได้เพื่อเลี้ยงชีพทั้ง ๆ ที่ผมพยายามส่งเงินมาให้แม่ (ผมต้องไปทำงานในเมืองที่ห่างไกล) แม่ผมไม่ค่อยยอมรับเงินผม..บางครั้งยังส่งเงินกลับคืนให้ผมอีก แม่พูดกับผมว่า "แม่มีเงินพอใช้แล้ว...ลูกควรเก็บเงินไว้สร้างฐานะ" แม่โกหกผมเป็นครั้งที่ 6

เพื่ออนาคตที่ก้าวหน้า.. ผมตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทด้วยทุนของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในอเมริกา เมื่อผมเรียนจบก็ได้งานทำที่นั่นและมีเงินเดือนค่อนข้างสูง เมื่อทำงานไปได้สักพัก...ผมอยากให้แม่ผมมาอยู่กับผมที่อเมริกา เพื่อว่าแม่จะได้หยุดทำงาน...พักผ่อนให้สบายในบั้นปลายของชีวิต แต่แม่ผมไม่อยากรบกวนผม...บอกผมว่า "แม่ไม่คุ้นเคยกับชีวิตต่างแดน" ครั้งที่ 7 แล้วซินะที่แม่โกหกผม

เมื่อแม่แก่ตัวลงไปเรื่อย ๆ.. ในที่สุดแม่ก็เป็นมะเร็งและต้องเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาล ผมลางานแล้วรีบบินกลับมาหาแม่สุดที่รักทันที แม่ผมนอนพักฟื้นอยู่บนเตียงเมื่อผมไปถึง น้ำตาผมไหลอาบแก้มเมื่อเห็นแม่ซึ่งผ่ายผอมและดูทรุดโทรมลงอย่างมาก แม่รู้สึกดีใจมากที่เห็นผม....พยายามยิ้มอย่างสดชื่น ด้วยความลำบาก

ผมรู้ดีว่าแม่ได้ฝืนความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างสุดฝืน จากโรคมะเร็งร้ายที่ลามไปทั่วทั้งตัว ผมโอบกอดแม่พร้อมกับร้องไห้ด้วยความสงสาร หัวใจผมในขณะนั้นเศร้าหมองและเจ็บปวดอย่างที่สุด แม่พยายามปลอบผมด้วยเสียงที่แหบพร่าและสั่นเครือ "ลูกรักของแม่...เห็นหน้าลูกแม่ไม่รู้สึกเจ็บแล้ว" นี่เป็นครั้งที่ 8 ที่แม่โกหก และเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของแม่ที่โกหกผม

แม่ที่ผมรักและบูชามาตลอดชีวิตได้ปิดตาลงและจากผมไปอย่างไม่มีวันกลับ หลังจากที่เธอกล่าวคำโกหกครั้งที่ 8 จบลง …

....




7
กำลังใจดีๆ ให้ตัวเอง


.. ไม่มีใครเกิดมาไร้ค่า
แม้แต่คนโง่ที่สุดยังฉลาดในบางเรื่อง
และคนฉลาดที่สุด
ก็ยังโง่ในหลายเรื่อง ..

.. ไม่มีอะไรเสียเวลาไปมากกว่า
การคิดที่จะย้อนกลับไปแก้ไขอดีต

ไม่เคยมีอะไรช้าเกินไป
ที่จะทำใหสิ่งที่ตนฝัน ..

.. คนที่ไม่เคยหิว
ย่อมไม่ซาบซึ้งรสของความอิ่ม

ความสำเร็จที่ผ่านความล้มเหลว
ย่อมหอมหวานกว่าเดิม ..

.. อันตรายที่สุดของชีวิตคนเราคือ การคาดหวัง
อย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่
เหตุผลขอคนๆ หนึ่ง อาจไม่ใช่เหตุผลของคน
อีกคนนึง ถ้าคุณไม่ลองก้าว คุณจะไม่มีทางรู้เลยว่า
ทางข้างหน้าเป็นอย่างไร
ปัญหาทุกอย่างล้วนอยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น
ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป
หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ
มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง ..

.. คนเรา
ไม่ต้องเก่งไปทุกอย่าง
แต่จงสนุกกับงานทุกชิ้น
ที่ได้ทำ ..

หัวใจของการเดินทางไม่ได้อยู่ที่จุดหมาย
หากอยู่ที่ประสบการณ์สองข้างทาง .. มากกว่า


8
พระอัฐิธาตุของท่านเป็นสิ่งบ่งบอกถึงธรรมมะภายในใจท่านนั้นสูงส่ง และสิ่งนี้ยังยืนยันว่าธรรมะของพระพุทธองค์ยังปฏิบัติได้และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล
ฐาตุจิรังสะตังธัมโม ขอพระสัทธรรมของพระองค์ท่านจงตั้งมั่นคู่พระพุทธศาสนาตลอดกาลนานเทอม สาธุ
จากพระกรรมฐานแก่ เมืองเทิง

10
ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ :002:

11
สำนักไหนอ่ะครับรบกวนท่านชี้แนะด้วยจ้า แก้ไขไหม่

12
พระครูบาคำหล้า สํวโร


- ครูบาคำหล้า สํวโร เกิดเมื่อวันพุธที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ.๒๔๖๐ ที่บ้านเลขที่ ๑๖ หมูที่ ๑๔ ตำบลรอบเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เป็นบุตรคนสุดท้องของนายใจ และนางน้อย สุภายศ
- เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ เมื่ออายุได้ ๘ ปี ที่โรงเรียนจำรูญราษฎร์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย พออายุ ๙ ปี ได้ล้มป่วยกระเสาะกระแสะ พ่อแม่จึงนำไปถวายตัวเป็นลูกศิษย์ครูบาศรีวิชัย สิริวิชโย ซึ่งขณะนั้นท่านพำนัก ณ วัดเชียงยืน(วัดสันโค้งหลวง) อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เพื่อบูรณะพระบรมธาตุดอยตุง ครูบาศรีวิชัย ได้ทำการบรรพชาให้ครูบาคำหล้า ณ วัดเชียงยืน ประมาณ พ.ศ.๒๔๗๐ หลังจากบูรณะพระธาตุดอยตุงเสร็จแล้ว ครูบาศรีวิชัยก็ธุดงค์กลับลำพูน ครูบาคำหล้าได้พำนักที่วัดเชียงยืน หลังจากนั้นครูบาคำหล้าก็ได้เรียนหนังสือจนจบชั้นประถม ๔ จึงเข้าศึกษาต่อระดับชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ จึงลาออกจากการเป็นนักเรียน ด้านปริยัติธรรมท่านสอบได้นักธรรมชั้นตรี ที่วัดเจ็ดยอด อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย นอกจากนี้ท่านยังได้ศึกษาอักษรพื้นเมืองกับพระครูปัญญา ที่วัดฮ่างต่ำ อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย เป็นเวลา ๓ ปี (ระหว่างปี พ.ศ.๒๔๗๗-๒๔๗๙)
- ครูบาคำหล้า สํวโร อุปสมบทเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๘๑ ณ พัทธสีมาวัดมุงเมือง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย โดยมีพระครูพุทธิสารเวที (แฮด เทววังโส) เจ้าคณะจังหวัดในขณะนั้นเป็นพระอุปัชฌาย์ โดยได้รับฉายาว่า “ฐิตสํวโร” ครูบาคำหล้าเป็นพระที่มีปฎิปทาคล้ายกับครูบาศรีวิชัยมาก เช่น การไม่ฉันเนื้อ การถือฉันมื้อเดียวเป็นวัตร ชอบธุดงค์ และสร้างถาวรวัตถุทั้งศาสนสถาน และสาธารณสถาน ครูบาคำหล้า สํวโร เคยธุดงค์ข้ามไปในเขตเมืองเชียงตุง เมืองพะยาก เมืองเชียงรุ่ง เมืองเลน และเคยจำพรรษาที่เมืองผง(เมืองพง) สหภาพพม่า เป็นเวลา ๓ ปี ท่านได้สร้างถาวรวัตถุมากมายในเขตจังหวัดเชียงราย จังหวัดพะเยาและจังหวัดน่าน รวมแล้วไม่ต่ำกว่า ๒๐ แห่ง ใน พ.ศ.๒๔๙๖ ท่านได้รับนิมนต์จากพระพิมลธรรม (อาสภมหาเถระ) วัดมหาธาตุ ให้ไปศึกษาวิปัสสนากรรมฐาน ณ วัดมหาธาตุ กรุงเทพฯ เป็นเวลา ๓ เดือน
- ศาสนสถานที่ครูบาคำหล้า สํวโร สร้างนั้น ผู้ออกแบบและร่วมสร้าง ได้แก่ ครูบาอินถา สุทนฺโต ซึ่งเป็นสหธรรมมิกของครูบาคำหล้า ศาสนสถานที่สำคัฐที่ครูบาคำหล้าได้บูรณะซ่อมแซม ได้แก่ วัดพระธาตุดอยจอมสักสังวราราม ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย พระธาตุดอยเขาควาย ตำบลรอบเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย วิหารพระเจ้านั่งดิน ตำบลเวียง อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา พระธาตุและวิหารวัดขิงแกง ตำบลจุน อำเภอจุน จังหวัดพะเยา เจดีย์วัดนาหนุน ตำบลแสนทอง อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน ฯลฯ สาธารณสมบัติที่สำคัญที่ครูบาคำหล้า สํวโร สร้าง คือสะพานข้ามแม่น้ำพุง ตำบลป่าแงะ อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย เป็นต้น
- ในช่วงท้ายของชีวิตครูบาคำหล้า สํวโร ท่านได้เลิกสร้างศาสนสถานโดยเข้าไปจำพรรษาในสำนักสงฆ์ห้วยขุนสวด บ้านแวนโค้ง ตำบลฝายกวาง อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา ซึ่งเป็นบริเวณป่าลึกห่างไกลจากการคมนาคมเพื่อบำเพ็ญเพียร ปลายปี พ.ศ.๒๕๓๒ ครูบาคำหล้า สํวโร ได้ล้มป่วยด้วยโรคลำไส้อักเสบ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเชียงคำ อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา และโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ จังหวัดเชียงรายหลายครั้ง แต่อาการก็ไม่ทุเลาลง ท่านถึงแก่มรณภาพ ณ ตึกสงฆ์อาพาธ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ เมื่อวันที่ ๘ มกราคม พ.ศ.๒๕๓๓ ศพของครูบาคำหล้า ฌาปนกิจ ณ สำนักสงฆ์ห้วยขุนสวด บ้านแวนโค้ง ตำบลฝายกวาง อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ.๒๕๓๕ สิริอายุได้ ๗๓ ปี พรรษา ๕๓ พรรษา
เพิ่มเติม**
 อุปนิสัยท่าน ท่านเป็นพระอริยะสงฆ์ที่มีวาจาสิทธ์ดุดัน การเทศนาท่านบางทีเป็นไปในทำนองเผ็ดมันส์ดุเดือด
__________________
นิปป๋านัง ปะระมัง สุขังฯ
พระนิปปาน เป๋นความสุขยิ่ง แต้แล...


...มารบ่มี ป๋าระมีบ่เกิด...

นี่คือสิ่งที่ควรพิจารณาถึงธรรมะในจิตของท่านตามรูปครับ

13
ผมคิดว่าสิ่งที่เราเห็นยังเชื่อไม่ได้เลยว่ามันจะจริงดังที่ได้เห็น แต่นี่คือสิ่งที่มองไม่เห็นมันจะเชื่อได้เหรอครับ การที่เราเป็นพุทธศาสนิกชนต้องใช้ปัญญาพิจารณาก่อนถึงจะตกลงปลงใจเชื่ออะไร ก่อนที่เราจะนำเอาสิ่งที่มองไม่เห็นมามีอำนาจบั่นทอนจิตใจตนเอง 5555

14
รบกวนถามทีจ้า เขี้ยวเสือแกะวัดไหนอ่ะครับ ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงที่พิจารณาชี้แนะให้ครับ

15
ผมว่า ขนาดเราเองยังผูกมัดใจเขายังไม่อยู่เลย แล้วเราจะวัดอะไรกับการที่คนอื่นมาผุกมัดใจแฟนให้อยุู่่กับเรา ผมว่าถ้าเขาไม่คิดที่จะอยุ่กับเราหรือเขาไม่คิดที่จะเลือกเราแล้ว เราปล่อยไปเหอะครับ อย่ากังวลไรเลย และสำหรับวิธีการต่างๆๆที่จะทำเพื่อให้ได้เขากลับมานั้นส่วนตัวผมเเล้วไม่เห็นด้วยครับ เพราะถ้าขืนทำอย่างเช่นนั้นไป เขาก็กลับมาในแบบที่ไม่ปกติมันไม่มีความสุขหรอกครับ โดยเฉพาะเราเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นนี่เป็นความคิดผมเองนะครับ ลงพิจารณาดู แต่อย่าลืมนะครับ สิ่งต่างๆที่มันเกิดขึ้นกับเราไม่ว่าจะเป็นความรักความผูกพันธ์หรืออะไรต่างๆมันล้วนเกิดขึ้นมาที่กาลเวลาสะสมทีละเล็กทีละน้อยจนมันมากที่จะลืมลงไปในชั่วเวลาแป๊ปเดียว แต่ถ้าเราจะลืมมันไปเลยนั้นมันต้องใช้กาลเวลาลืมมันไปทีละนิดทีละน้อย สักวันเวลาจะช่วยเราลืมได้เองครับ ความคิดผมเองอย่าเชื่อแต่ลองพิจารณาดูครับ ปล.จีวรเศร้าหมอง เชียงราย ใจ+เวลาเป็นสิ่งสำคัญ

16
ผมว่าดวงไม่ถึงฆาต 555

หน้า: [1]