แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - ชลาพุชะ

หน้า: 1 [2]
1001
งานนี้ได้ไปแล้วครับ ลามางานนี้ไม่ผิดหวังจริงๆ ขอบคุณ สำหรับข่าวงานบุญครั้งนี้

1003
ครับที่หายไปนาน ตอนนี้ มา อยู่กทม สัก อาทิตย์ครับ สักวันแรกแล้ววันกลับ ช่วงนี้ของพักซัก 5-6 วันครับ

1004
สวยๆกันทุกๆท่านเลยนะครับ
หากจะสักต้องใช้เวลา ค่อยศึกษานะครับ ของดีจะอยู่กับเรา หากเรา คิดดี พูดดี ทำดี

1005
ตามหลักความเชื่อ ของบ้านเมืองผม การสักคือการทดสอบความเป็นลูกผู้ชายครับ หากเราสลบไป คนที่สักคงไม่ได้อะไรนอกจากรอยหมึก
การสักมีความเชื่อว่าจะเอาของดีที่เรานับถือ(เทพ บทสรรเสริญต่างๆฯลฯ) หรือ อยากมีความสามารถ อย่างรูปนั้น(เสือ จรเข้ฯลฯ) มาอยู่ติดกับตัวจะได้อยู่กับเราตลอดเวลา ไม่หล่นหาย การสักอาจารย์จะใส่หัวใจ คาถาตอนสักด้วยหากสลบไปคงไม่ได้ในจุดนี้
นี้ก็เป็นความคิดของผมนะครับผิดพลาดประการใด ขออภัย

1006
เพิ่งมาถึงกรุงเทพ วันที่ 01-04-52  เกิดอาการเสี้ยนเข็มอย่างสุดๆ แบบอยากสักมากเลยครับ ตั้งแต่ไหว้ครูยังไม่โดนเข็มสักนิด เลยนึกถึงอาจารย์เอ ตำหนักวิมานทิพย์ แถววัดท่านกระบือ ก็สักหนุนดวงไป หนึ่งรอย กำลังจะกับอาจารย์บอกที่ผมให้หาพิมพ์ท้าวเวชสุวรรณ ตอนนี้อาจารย์หาได้แล้วนะ ผมเลยบอกอยากสักครับ พอเห็นพิมพ์ แบบสวยมากๆเลยครับ ดูทั้งตัวก็เหลือแต่สีข้าง ซัดเลยครับ เข็มวางไปครั้งแรก ตกใจเลยครับ เอาเรื่องเลย ขอสารภาพเลยว่า เจ็บครับ ขนาดผมชอบเจ็บๆนะครับ
เริ่มสัก 21.00-24.00น งานนี้สวยสมใจครับ ท่านอาจารย์ท่านเมตตาผมมากครับ

1007
ขอบคุณสำหรับข้อมูล แล้ว ผมจะไปสักหมึกขาวที่ไหนครับนี่ เกิดกิเลสแล้วครับ

1009
ข้อความดีๆต้องเก็บไว้ อ่านหลายๆรอบครับ

1010
ส่วนผมไม่มีความรู้ด้านนี้ แต่ ขอบอกว่าพระองค์นี้ สวยมากๆครับ

1011
นำข้อมูลมาแต่ล่ะครั้ง ตาร้อนน้ำลายไหล อยากได้มากๆ ทำไงดีครับท่านเจ้าของกระทู้

1012
เสียดายที่ผมเกิดช้าไปไม่ทันได้ไปเป็นศิษย์ท่าน ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะครับ

1013
เคยนำมาลงแล้วนะครับ รถคันนี้ ยังไงก็แปลกดีนะครับ

1014
สักแล้ว เอามาให้ดูบ้างนะครับ

1015
มีของดีๆมายั่วคนบ้านไกลอีกแล้วนะท่าน

1017
งั้น ผมขอร่วมด้วย เอา 07 ก็แล้วกัน หากเป็น3 ตัว ก็คงเป็น 007 ครับ สนุกๆนะครับ

1018
การนิมนต์พระ รึ อาจารย์ที่มีวิชาให้ไปอยู่แถวบ้านท่านก็ดีอยู่นะครับ แต่ ยากครับ ยิ่งพระนะครับยากมากๆ มีขั้นตอนทางสงฆ์อีกท่าน  หากเราชอบทางนี้แต่ชาวบ้านบางคนไม่ชอบจะลำบากนะท่าน ยิ่งการสร้างศรัทธานี้โคตรยากเลย บางครั้งพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบแต่เข้ากับชาวบ้านไม่ได้ก็มีนะท่าน พระทางอีสาน อาจารย์ทางอีสานดังๆก็มีเยอะ การที่ท่านไปหาพระอาจารย์ อาจารย์นั้นก็เป็นการพิสูจณ์ ศรัทธาและความตั้งใจของท่านนะครับ
อะไรที่ได้มายากๆมันจะอยู่ในใจคนๆนั้นนาน นะท่าน

1019
ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะครับ หลวงปู่ท่านเป็นเกจิที่คนอีสานและชาวลาวนับถือมากครับ

1020
ข้อมูลนี้สุดยอดเลยท่าน

1021
ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะครับ

1022
ของแบบนี้มีเยอะนี่ สาวๆช่วยกันรักรึแย่งกันรักนะท่านอชิตะ

1023
อย่างท่านอชิตะเค้าไม่เอารางแล้วท่านต้องท่าอากาศยานเลยดีกว่า (ระวังโดนม๊อบสาวๆปิดนะท่าน) :007:

1024
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: ทำแจก
« เมื่อ: 22 มี.ค. 2552, 10:51:46 »
ผมเคยทำหนังสือสวดมนต์ แจกงานศพปู่เมื่อไม่ถึงเดือน ขนาดครึ่งหนึ่งของ A4 ปกแข็ง มีหน้าเป็นสีหลายหน้าอยู่ ทำ 500 เล่มๆละ 30บาทครับ ผมว่าทุกโรงพิมพ์ราคาคงไม่ทิ้งกัน เพราะเป็นการแข่งขันทางการค้า ผมว่าหากสั่งเยอะๆอาจถูกกว่านี้นะครับ ส่วนโรงพิมพ์นี้ไม่ยากเลย หาในเน็ทก็คงจะดีกว่าเอาใกล้ๆบ้านนะครับ

1025
แต่ล่ะท่านนี้เป็นอาจารย์ดังๆ ลำดับต้นๆ ของแผ่นดินเลยนะท่าน ที่ยังมีชีวิตก็คงน่าจะเป็น พ่อป่อง(ลูกชายปู่เที่ยง)คนเดียวนะครับ ท่านสักอยู่ที่บ้านแถวเขตบางกอกน้อย นะครับ

1026
การสักส่วนใหญ่ทุกที่ก็จะมีการทำความสะอาดเข็มที่ เชื่อถือได้ ก็อย่างที่ท่านอชิตะว่า หากเชื้อโรคนี้ทนแอลกอฮอล์ได้ :037: ความร้อน  :044:นี่ก็น่ากลัวนะครับ  23;หากจะเป็นก็ต้องเป็นแล้วล่ะครับ 13; ก็ป้องกันกันขนาดนี้แล้วนี่

1027
มาช้า ตอบกันไปหมดแล้ว ห้อยเอวได้แน่นอนครับ

1028
ผมก็จะสักกับท่านอาจารย์ก๊อต นะครับ แต่วันนั้นคนเยอะ วันหลังไปสักแน่ๆครับ

1029
บทความ บทกวี / ตอบ: คนดี ผีคุ้ม
« เมื่อ: 21 มี.ค. 2552, 01:05:39 »
สุดยอดที่ การใช้ภาษาเข้าใจง่ายเลยท่าน จริงๆนึกว่าท่านเก่งด้านเสน่ห์อย่างเดียว นี่มีข้อความดีๆชักชวนพี่น้องชาวบางพระทำความดี สวดมนต์
ผมสวดมนต์ทุกวันแต่ขอเป็นนางฟ้านะท่านที่มานั่งฟัง  20; 20; 20;อิอิ

1030
ต้องศรัทธาแรงกล้า จริงนะครับสร้างเจดีย์แก้บน(ต้องมีตังห์ไม่น้อยด้วยนะ)

1031
ได้ข่าวอีกทีจะเลิกสักแล้วนะท่าน ท่านครับคิดดีๆก่อน การฝันครั้งนี้ ผมไม่อยากพูดมากเพราะพวกเราทุกคนศรัทธาหลวงพ่อเปิ่นเป็นพระบูรพาจารย์ อยู่เหลือเกล้าอยู่แล้วแต่ท่านครับ ลองคิดดีๆนะครับ ท่านลองมาเลี่ยงทายต่อหน้าสังขารหลวงพ่อดีกว่าครับผมนี้จะไปด้วยครับ

1033
น่าจะถ่ายรูปในมุมที่เหมือนกันนะคะ

ถ้าถ่ายทั้งแผ่นหลัง

อีกถาพก็น่าจะถ่ายทั้งแผ่นหลัง

ไม่งั้นมันก็คอมเม้นยากน่ะค่ะ :075:
ขอตอบนิดนะน้องกวาง ที่จริงก็ถ่ายทั้งหลังทั้ง2รูปนั้นล่ะครับ แต่คนล่ะเวลา มุมกล้องก็ คงไม่ต่างกันเท่าไหร่ เพราะเป็น คนถ่ายคนเดียวกัน ขอบคุณทุกท่านที่แสดงความคิดเห็นนะครับ ขอบคุณจากใจจริงๆ

1034
หนังเสือผืนใหญ่ คงได้ตะกรุดหลายดอกเลยนะครับ

1035
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: ทำไงดี
« เมื่อ: 21 มี.ค. 2552, 11:22:13 »
วัวดี วัวเจ๋ง ต้องไม่กินหญ้า วัวกินเหล็ก... เหล็กเปี๊ยะ ...  :095:

ฮ่าๆๆๆๆๆ วัวสายพันธุ์จีนโบราณหรือเปล่าเพื่อน  :007:

จีนแดงสิว่ะ !!! ก๊อตเอ้ย ...  :007:

...วัวไทยของผมนี่แหละครับท่าน สายพันธุ์ลุ่มน้ำทวีวัฒนา 11;...
สายพันธ์ ในที่นี้ แปลว่าจากสำนักรึไหมครับท่าน

1037
มีแน่นอนครับท่าน ผมก็ว่าว่างๆจะเข้าไปสักอยู่เหมือนกัน อาจจะได้เจอกันนะครับ ท่านสักเสร็จแล้ว นำรูปมาให้ดูบ้างนะครับ

1038
ขอบคุณสำหรับข้อมูลนี้นะครับ

1039
ของแนวนี้ไม่ใช่ใครอื่นตามที่คิดจริงๆ ท่านอชิตะ นี้เอง

1040
ของดีนะท่าน

1042
สรรหาอะไรดีๆมาให้ดู อยู่ตลอดเวลาเลยนะท่าน

1043
หากเป็นกระทู้แนวเสน่ห์ผม ล่ะคิดเลยว่าเจ้าของกระทู้ต้องเป็นท่านอชิตะ รึ ไม่ งั้น ท่านโชว แล้วก็ไม่ผิด
ขอบคุณสำหรับ ข้อมูลครับ

1044
คาถาอาคม / ตอบ: พลังลึก คาถา อาคม
« เมื่อ: 20 มี.ค. 2552, 07:36:29 »
ได้คาถาดีๆอีกแล้วครับ

1045
ช่วงนี้ เป็นนักกวี เลยนะท่าน

1046
ก็หาอาวุธที่ทำจากเหล็กน้ำพี้ นะครับ ต้องไปที่บ่อเลย จะได้แน่ใจว่าแท้

1047
พุทธคุณด้านไหนครับ แล้ว บูชาที่ไหนครับ

1048
ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะครับ

1050
รับทราบครับ

1051
กำลังเป็นข่าวอยู่เลยตอนนี้ โดนตำรวจตามล่าอยู่ แล้วหากจับได้นี่โดนข้อหาอะไรนี่

1053
มาอยู่เกือบครึ่งปียังเก็บเงินซื้อไม่ได้เลย แพงมากๆ พอๆกับทองเลย

1054
อย่าด่าทอพ่อแม่ของใครเขา น้ำลายเราก่อนจะบ้วนลงที่ไหน
ควรดูตรวจตราดูแล้วให้แน่ใจ ว่ามิใช่สุขภัณฑ์โถส้วมเอย

ถือศีลห้าอย่างน้อยซักสามข้อ  อย่ารั้งรอทำความดีจิตผ่องใส
จะเป็นเคล็ดสุดเมตตาคนรักใคร่   ไม่มีภัยใดๆมากล้ำกลาย

ระลึกถึงหลวงปู่อยู่เป็นนิจ        มีสติไม่ทำผิดในข้อห้าม
จะสมบูรณ์พูนสุขทุกโมงยาม    เพราะเรางามทั้งกายและวาจา

 :095: :095:
ปล ยินดีด้วยครับที่ได้สิ่งดีๆที่ครูบาอาจารย์เมตตามอบให้มาอยู่กับตัว
ท่านให้เรามาเต็มร้อยอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราจะทำให้อยู่เต็มร้อยเหมือนเดิมหรือว่าลดลง หุๆ :001:
   
มาเป็นกลอนเลยนะท่าน ตามนั้น เลยนะครับ ท่านเจ้าของกระทู้
ยินดีกับของดีที่ได้มาด้วย ขอให้เก็บรักษาให้เป็นของดีตลอดไปนะครับ

1055
มีคุณค่าทางจิตใจมากเลยครับ

1056
น้อมรับครับ

1057
สวยเหลือหลาย

1058

มีคนลงประวัติแล้วก็ตามนั้น ผมของลงรอยสักก็แล้วกันนะครับ

1059
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: แดงเก
« เมื่อ: 20 มี.ค. 2552, 12:12:07 »
แดงเกมียันต์คล้ายกันชื่อดำดื้อ ยันต์ทั้ง สองมีคำเล่าต่อๆกันมาว่า มีลูกศิษย์หลวงพ่อเปิ่น 2คน ชอบดื่มเหล้า พอเมาได้ที่ แล้วชอบเอา มีด-ดาบมาฟันกันเล่นเป็นประจำ หลวงพ่อท่านเลย เอามาสักแล้วใส่หัวใจสี่เกลอลงไป
แดงเก-จะเป็นรูปคนยกขา 1 ข้าง มือ ถือดาบข้างหนึ่ง อีกข้างถือดอกไม้

ดำดื้อ-จะคล้ายกันต่างกันที่มือชี้นิ้วชี้ขึ้นฟ้า(รูปผมไม่มีครับ)
ช่วงนี้มีกระแสอีกแล้วนะนี่

1061
มีแต่ของดีทั้งนั้นเลยนะท่าน

1062
ผมก็คนล้านนาแท้ๆ ได้อ่านข้อความแล้วอยากกลับบ้านใจจะขาดเลย

1063
ได้คาถาดีๆอีกแล้ว ขอบคุณท่าน อชิตะ มากๆเลยนะครับ

1064
นมัสการหลวงพ่อ สำอางค์ ด้วยใจ ศิษย์อยู่ไกลมากไปร่วมงานนี้ไม่ได้ หาเสร็จภาระกิจคงได้ไปกราบท่าน
ขอบคุณสำหรับภาพบรรยากาศในงานนะครับ

1065
งามท่าน งามจริงรอดูแหวนนะท่าน

1066
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: ทำไงดี
« เมื่อ: 19 มี.ค. 2552, 07:24:33 »
วางไว้มันหล่นรึปล่าวค่ะ  :010:
อ่านแล้วอยากเป็นนมข้นหวานตรามะลิ รึ โจ๊ก
ตอบมาได้ไง งง

1067
ผมไม่กล้าจับอ่ะกลัวมันกัด
มันจะเอาอะไรมากัดท่านต้นนี่ครับ ดูปากมันซะก่อน

1068
กระผมเป็นคนนึงที่เชื่อ ว่ารอยสักมีชีวิต หลายเดือนก่อนไปสักกับอาจารย์ประโยชน์ดินแดง ท่านเมตตาให้แดงเกมา เลยถ่ายรูปเก็บไว้ กระผมให้ แฟนถ่ายๆที่ล่ะรูป และภาพรวม เลยเห็นความแปลกตามที่เห็น ขอของแดงเกขยับได้เลยงง

ให้สังเกตที่ขาขวานะครับ ภาพนี้ขาตรง
17/10/51
17/10/51
2ภาพนี้ขางอน ชันสูง
ก็ตามนั้นครับ คือความเชื่อของผม ไม่ใช่สร้างกระแส รึ อวดอ้างอะไรก็เอามาให้ชมนะครับ

1069
ผมเคยเลี้ยงเยอะนะครับ ตอนอยู่บ้าน แต่ตาผมชอบเอาไปเผาไฟ(จี่)กิน สงสารมันเลยเลิกเลี้ยง :065: (แต่อร่อยนะครับขอบอก) :004:

1070
ของแรงนะครับ มาเข้าฝันได้เลย สุดยอดครับ จากใจคนชอบพรายเหมือนกัน

1071
สุกยอดเลยท่าน สวยมาก โดยเฉพาะหอมเชียง นี้ กระผมอยากได้มากครับ สวยครับ

1072
ท่านอชิตะ มีให้ยืมใช้ไหม ขอหน่อยนะ

1073
ข้อมูลแน่นอีกแล้วท่าน

1074
บทความ บทกวี / ตอบ: คำตอบจากฟ้า
« เมื่อ: 19 มี.ค. 2552, 12:22:02 »
เขียนได้ดีนะท่านต้นน้ำ

1075
น่าลักอย่างที่ลงไว้จริงๆ

1076
น่าเศร้า ที่รักกันไม่ได้กัน

1077
ได้ข้อมูลภาพมาจากท่านสิบทัศน์ครับ  :002: :002: :002:

1078
สวยงามมากเลยครับ มาแต่ละองค์ น้ำตา+น้ำลาย ไหลเลย อยากได้

1079
ก็งานวันคล้ายวันเกิด หลวงพ่อสำอางค์เจ้าอาวาสไงท่านวันนี้ด้วย แต่หากเป็นงานอื่น น่าจะพักนะครับ คนไกลอยากไปก็อด นี่อดงานไหว้ครูที่บ้านอาจารย์หนวดไปหนึ่งแล้วครับ การมีงานบุญบ่อยก็ดีนะครับ แต่ศิษย์ที่อยู่ไกลๆคงได้แต่ส่งใจไปร่วมงาน

1080
สวยครับ ดูน่ารักน่าชังเชียว อยากได้มากๆเลยครับ

1081
สวยครับ สวยมากมาย

1082
จิ้งจกจักกิ้ม - ขี้เกี้ยม มีความเชื่อเยอะแตกต่างกันออกไป ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะครับ

1083
ก็ดีนะครับ เห็นด้วยครับ

1085
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ทำไงดี
« เมื่อ: 18 มี.ค. 2552, 06:41:20 »
ได้ควายธนูมาหนึ่งตน เมื่อคืนวันโกน ปล่อยออกไปวิ่งเล่น(ตัวยังอยู่ที่พาน)เช้ามาเห็นเขาบิ่นเลย(สงสารควายจัง) ตกใจมากทำไงดีครับ

1086
สวยครับ อยากได้จัง ทำไง ดี

1087
งามแต้งามว่า ง้าม.....งาม งามจ้าดนัก ปั๋นฮึ้เฮาสักอั๋นได่บ่ ครับกระผม

1088
สวยๆทั้งนั้นเลย

1089
จะหลอกขายทั้งทีไม่ทำให้เนียน ที่จริงพี่ไทยเรื่องปลอมนี่สุดยอดแล้วนะครับ ปลอมเหมือน แบบเห็นของจริงแล้ว ยังงง ว่า อันไหนปลอมอันไหนจริง

1090
วันนี้ แต่ละท่าน นี้ มีของดีๆเยอะจัง มองตัวเราแล้ว ยังห่างไกลเลย คงต้องค่อยๆเป็น ค่อยๆไป ค่อยๆหา ค่อยๆเก็บ นะครับ

1091
ของดี ที่กระผมต้องการ จะมีวาสนาไหมนี่

1092
ของดีเยอะนะครับ ท่านชิน

1093
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: โคราช
« เมื่อ: 18 มี.ค. 2552, 10:07:04 »
นมัสการหลวงปู่ ครับ

1094
คาถาอาคม / ตอบ: มนต์พระเพทยาธร
« เมื่อ: 17 มี.ค. 2552, 08:35:42 »
คืนนี้ มีคนสะดุ้งเยอะแน่ท่าน ขอบคุณที่นำคาถามาลงนะครับ ส่วน ผมยังไม่มี ทั้งผ้ายันต์ และ รอยสักครับ

1095
ข้อความได้ข้อคิดครับ

1096
แปลกครับ แต่สวยนะครับ

1097
ช่วงนี้ สายล้านนา มาแรง นะครับ ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะครับ

1098
รับทราบพร้อมปฏิบัติ

1099
ลิงค์ดูนะครับ มีสมาชิกเขียนไว้ได้ดี ข้อมูลครบเลย
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=2804.0

1100
ผมไม่รู้ว่าป่วยจริงไหม หากท่านอาจารย์หนูป่วยอยู่ก็ให้หายเร็วๆนะครับ

1101
สวยครับ หลวงพี่ท่านให้มา รักษาให้เป็นของดีติดตัวเราไปตลอดนะครับ

1102
ลึกซึ้งเข้าถึงแก่น เลยท่าน สุดยอดจริงๆ

1103
ข้อมูลมีคนลงแล้ว ผมขอลงรูปนะครับ ยกพานเดียวได้ 2 รูปครับ


1104
ก็น่าจะ เขียน อ่าน พูด ภาษาของเราให้ชัดๆนะครับ ผมเองก็มีหลุดบ้าง ก็พยายามอยู่ จะใช้ภาษาให้ถูกต้อง สมกับเป็นคนไทย

1105
ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะท่าน
หล่อมากๆไม่ดีหรอกท่านต้น แบ่งให้คนอื่นหล่อบ้าง ว่าไงท่านเอ็มเอาความหล่อบ้างไหม ต้นน้ำเค้ามีเยอะ

1106
ต่อครับต้องขออภัยอยากลงให้ครบครับเดี๋ยวขาดใจความสำคัญ






กว่าจะครบเล่นเหนื่อยเลย ก็คนไม่เคยลงอะไรที่โหลดนานนะครับ ยิ่งคอมผมน้องๆเต่าเลย เหงือตกเลยงานนี้ :002:

1107
ต่อนะครับเน็ทล้มครับ



1108
ได้เมลล์มาจากท่าน อชิตะ ขออนุญาตลงนะครับแบบตลกดีและมีสาระด้วย




1109
ผมไม่เห็นรูปนะครับ ไม่ทราบเป็นกับผมคนเดียวไหม
ได้ของมาจากหลวงพีนันแล้ว ก็ต้องมั่นใจนะครับว่าของดี

1110
 คงต้อง ผ่าจ้าน ครับ เป็นกิริยา การทำให้แยกจากกันครับ ต้องขออภัยหากทำให้ท่านสับสน นะครับ ผมเขียนผิดครับแก้ไขไม่ทันแล้ว :043: :075:

1112
ผมครับได้ผ่านเข็มหลวงพี่ต้อย 4พานในวันเดียว(6/3/25) ดีนะครับ คนเยอะได้แต่ยันต์ นะ รูปไม่ใหญ่ และด้านหลังของผมเหลือเนื้อทีไม่เยอะ ไม่งั้น ตื่นไหว้ครูไม่ไหวแน่ ยอมรับว่า ได้ความเป็นลูกผู้ชายจริงๆ ครับ สุดๆครับ

1113
ที่จริงวิชาฝ่าจ้าน นี่ก็มีส่วนดีนะครับ คือใช้แยกคู่ที่คนใดคนหนึ่งตายไปแล้วกลัวจะมาตามกันให้ตายตาม ผมมีประสบการณ์ อยากจะเล่า เมื่อ 5 ปีก่อนหลานชายผมกับแฟนขับรถมอไซค์ไปบวกกับรถเก๋ง หลานผมบาดเจ็บสาหัส แฟนหลานคอหักตาย หลานผมพอออกจากโรงพยาบาลก็เพี้ยน พูดกับตัวเองพูดเป็นเดือน จนยายทนไม่ได้พาไปหาครูหมอ ทำการฝ่าจ้าน หลังจากนั้น ไม่ถึงอาทิตย์ หายเพี้ยนเลยครับ นี่คือความเชื่อของคนบ้านผมขอบคุณครับ

1116
สวยงามมากครับ ได้ของดีมาก็ต้องรักษาดีๆนะครับ
หลังจากห่างเข็มไปนาน พอกลับมาสักอีกทีในวันที่ 6/3/52 ก็มาสักกับหลวงพี่หนึ่ง รู้สึกซู่ซ่า เหมือนตอนสักใหม่ๆท่านเมตตามากครับ

1117
คาถาอาคม / ตอบ: คาถาธนูมือ
« เมื่อ: 16 มี.ค. 2552, 12:18:24 »
มีหลายสำนักหลายบทจังเลย  :073: แต่ยังไงก็ขอบคุณนะครับ

1119
บทความ บทกวี / ตอบ: บรมครูเสน่ห์
« เมื่อ: 16 มี.ค. 2552, 12:11:03 »
ชมกันซึ่งหน้าอย่างนี้ อิจฉาท่านอชิตะจังที่โดนสาวรุมทึ่ง ไม่ใช่ รุมรัก :074:

1120
ก็ได้ทุกกุฏินะครับ การแต่งตัวก็ตามที่ ท่าน gottkung ว่าเลยครับ

1121
บทความ บทกวี / ตอบ: บรมครูเสน่ห์
« เมื่อ: 16 มี.ค. 2552, 07:01:18 »
แล้วนะปัจจุบันอยากไปหาครูเสน่ห์ จะไปหาที่ไหนดีครับท่านอชิตะ ที่ผ่านมาใช้แต่ ทุบ อุ้ม มอม ยา จึงได้มา ล่อเล่นนะครับ :007:

1122
ก็อ่านเป็นบางหัวข้อนะครับ แล้วท่านโดนท่านเว็บตำหนิเรื่องอะไรล่ะครับ

1123
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: จากใจ.......
« เมื่อ: 16 มี.ค. 2552, 06:43:03 »
การได้ของดีมาน่ะยากแล้ว แต่การรักษาของดีให้อยู่กับตัวไปตลอดนี่สิอยากยิ่งกว่า เก็บรักษาดีนะครับ

1124
บทความ บทกวี / ตอบ: บรมครูเสน่ห์
« เมื่อ: 15 มี.ค. 2552, 07:22:36 »
ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ในเมื่อเอ่ยถึง"ลิลิตพระลอ" ในฐานะคนแพร่ ขอเอาสถานที่ท่องเที่ยวตามเรื่องนี้มาให้ท่านสมาชิกท่านอื่นๆชมนะครับ ขออนุญาตท่านเจ้าของกระทู้ด้วยนะครับ
พระธาตุพระลอ

  เป็นต้นกำเนิดของวรรณคดีเรื่องลิลิตพระลอ ซึ่งจัดว่าเก่าแก่ที่สุด สันนิษฐานว่าน่าจะแต่งขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น การเดินทาง ไปตามเส้นทางหลวงหมายเลข 101 ประมาณ 24 กิโลเมตร แยกซ้ายเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 103 อีกราว 18 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวขวาสู่อำเภอสองใช้เส้นทางหมายเลข 1154 จากนั้นเลี้ยวซ้ายไปอีก 3 กิโลเมตรถึงพระธาตุพระลอ วัดธาตุพระลอ ตั้งอยู่ที่ ม. 1 บ้านธาตุพระลอ ต. บ้านกลาง อ. สอง จ. แพร่ ห่างจากอำเภอสอง 2.5 ก.ม.


รายละเอียด
พระธาตุพระลอ เป็นโบราณสถานที่มีประวัติเกี่ยวเนื่องกับเวียงสอง เมืองโบราณที่กล่าวถึงวรรณคดีไทยเรื่องลิลิตพระลอ และเป็นที่ประดิษฐานพระศรีสรรเพชญ พระคู่บ้านคู่เมืองของอำเภอสอง ภายในวัดมีรูปปั้นของพระลอ พระเพื่อน พระแพง ประวัติความเป็นมา เิิดิมวัดพระธาตุพระลอนี้เดิมเรียก ธาตุหินส้ม เพราะแต่เดิมก่อนที่จะสร้างพระธาตุนั้นพบว่้ามีซากอิฐและหินกองใหญ่อยู่ หินนี้มีลักษณะเป็นหินส้ม แต่ต่อมาภายหลังได้เปลี่ยนแปลงชื่อเป็น พระธาตุพระลอ การก่อสร้างสันนิฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เนื่องจากมีการขุดพบโบราณวัตถุหลายชิ้น เช่น ดาบ และพระพุทธรูป ซึ่งเป็น ศิลปะสมัยอยุธยาตอนปลาย หล่อด้วยตะกั่ว รูปแบบเจดีย์เป็นทรงลังกา พ.ศ. 2325 ได้รับพระราชทานวิสุึงคามสีมา พ.ศ. 2521จังหวัดให้สร้างอนุสาวรีย์พระลอ พระเพื่อนพระแพงขึ้นในบริเวณวัด เป็นรูปปั้นของกษัตริย์ทั้งสามพระองค์ที่ถูกทหารยิงด้วยธนูจนสิ้นพระชนม์ ประเพณีการนมัสการพระธาตุพระลอกำหนดขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 เหนือของทุกปี พระธาตุพระลอ อยู่ที่ตำบลบ้านกลาง ตามเส้นทางหลวงหมายเลข 1154 กม.ที่ 54 ห่างจากอำเภอสอง ประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นพระธาตุเก่าแก่อายุกว่า 400 ปี สร้างขึ้นเป็นอนุสรณ์เพื่อระลึกถึงความรักอมตะของพระลอแห่งนครแมนสรวง และพระเพื่อน-พระแพง แห่งเมืองสรอง
 ที่มา : http://www.phrae.go.th/Tourist/Song-paloo.htm
พระลอตำนานรักอมตะ พระลอเป็นวรรณกรรมอมตะของชาติไทยที่มีต้นฉบับมาจากนิยายรักพื้นบ้านเมืองเหนือ ที่เชื่อกันว่าสถานที่เกิดเหตุ คือเมืองสรวง และเมืองสรองนั้นมีอาณาเขตส่วนหนึ่งอยู่ในจังหวัดแพร่ หรือเหตุเกิดขึ้นในเมืองแพร่นั่นเอง ดังนั้น เราจึงกล่าวได้ ว่า เรื่องพระลอคือนิยายรักของชาวเมืองแพร่ แรกเริ่มนิยายรักเรื่องพระลอนี้คงจะเป็นเพียงนิทานพื้นบ้านแต่ในยุคสมัยต่อ ๆ มามากวีชาวเหนือได้รจนาขึ้นเป็นค่าว เป็นซอ หรือ เป็นบทกวีและลำนำเพลงขึ้นขับขานสืบต่อ กันไป จนในราวยุคต้นกรุงศรีอยุธยา ก่อนยุคสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จึงมีการนำเรื่องพระลอมาแต่งเป็นลิลิตสุภาพขึ้น โดยมีผู้แต่งช่วยกันแต่งหลายคน จากนั้นเรื่องพระลอจึงเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางมากขึ้น กระทั่งในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยรัชกาลที่ 6 โบราณคดีสโมสรแหล่งรวมนักปราชญ์ราชบัณฑิตทั้งหลายในยุคนั้นต่างก็ พร้อมใจกันยกเรื่อง ลิลิตพระลอนี้ขึ้นเป็นยอดของบทกวีประเภทลิลิตสุภาพของไทยและนับ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเรื่องพระลอจึงมิใช่นิยายรักพื้นบ้านเฉพาะของชาวแพร่ เท่านั้น หากแต่ยังเป็นวรรณกรรมอมตะชิ้นเอกของชาวไทยทั้งมวลด้วย

สำหรับความเกี่ยวพันในเรื่องสถานที่ระหว่างเมืองแพร่กับเรื่องพระลอนั้น เชื่อกันว่าเมืองสรวงก็คืออำเภอสองในปัจจุบัน โดยสืบค้นจากพงศาวดารโยนก กล่าว่า ? เจ้าฟ้าเมืองนายกับเจ้าฟ้าเมืองเชียงทองสองพี่น้อง ยกรี้พลมาตีฟ้าเมืองต่าง ๆ ได้เมืองเชียงราย เชียงแสน เมืองลอ เมืองพะเยา

ลุถึงเดือน 11 ขึ้น 2 ค่ำ ปีเดียวกันยกกองทัพจากแก่งเมืองพะเยาระยะทางแปดพันวา ไปแรมทางเมืองสะเอียบ ยกจากสะเอียบไปแรมป่าเลายกจากป่าเลาไปแรมเมืองสองระยะทางหมื่นวายกจากเมืองสองไปแรมป่าเสี้ยวยกจากป่าเสี้ยวไปแรมเมืองแพร่ ? ดังนั้น หากพิจารณาจากพงศาวดารนี้ เมืองสองจึงเป็นเมืองโบราณที่สร้างมานานนับพันปีทีเดียวนอกจากนั้นพงศวดารเมืองน่านยังกล่าวถึงเมืองสองไว้ว่า ?จุลศักราช 789 พญาน่าน ตนชื่อ อุ่นเฮือน ได้กรี้พลลงมาตีเมืองเทิง เมืองสอง ได้ชัยชนะ กวาดต้อนผู้คนไปเป็นจำนวนมาก ?

จากหลักฐานต่าง ๆ ดังกล่าว นักวรรณคดีจึงเชื่อว่าเมืองสรวง เมืองของพระลอ ก็คือเมืองสอง ในปัจจุบันได้กล่าวมาแล้วนั่นเอง สาเหตุที่เชื่อเช่นนี้นั้น นอกจากความเป็นเมืองเก่าขนาดใหญ่ของเมืองสองแล่ว เมืองก็ยังมีโบราณวัตถุโดบราณสถานเก่าแก่ ให้เห็นหลายประการ เช่นที่ตำบลบ้านกลาง มีร่องรอยเป็นตัวเมือง มีมูลดินถมเป็นกำแพงเมืองสามชั้นล้อมรอบเนื้อที่ประมาณ 500 ไร่เศษ นอกจากนั้นยังมีสถานที่อื่น ๆ ทีมีชื่อพ้องกับเรื่องพระลออีกหลายแห่ง เช่น มีแม่น้ำ กาหลง เด่นนางฟ้อน ถ้ำปู่เขาสมิงพราย เป็นต้น และนอกจากที่กล่าวมาแล้ว ยังมีสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งคือ พระธาตุพระลอ อยู่ห่างจากเมืองสองออกไปทางทิศเหนือ ที่เชื่อกันว่าก็มีเรื่องราวเกี่ยวพันกับเรื่องพระลอ จนทางจังหวัดได้จัดสร้างรูปปั้นพระลอ พระเพื่อน พระแพง ขึ้นไว้ในบริเวณวัดด้วยเช่นกัน

เรื่องพระลอเริ่มต้นขึ้นด้วยสงครามระหว่างสองเมือง คือเมืองสรวงของท้าวแมนสรวง และเมืองสรองของท้าวพิมพิสาคร ผลของการสงครามทำให้เมืองทั้งสองกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาต พระลอซึ่งภายหลังได้เป็นเจ้าเมืองสรอง เป็นชายหนุ่มรูปงาม ที่ความงามของพระองค์ได้รับการขับขานเป็นบทเพลงสรรเสริญที่ขจรขจายไปจนถึงหุของ พระเพื่อน พระแพง สองราชธิดาสาวของเมืองสรองด้วยวิบากกรรมแต่หนหลังทำให้สองพระธิดาเกิดมีใจปฏิพัทธ์ในพระลอทั้ง ๆ ที่ยังไม่เคยพบ จึงร่วมกับพี่เลี้ยงวางแผนให้กวีแต่งบทสรรเสริญความงามของทั้งสองออกขับขานไปบ้าง พร้อมกันนั้นพระพี่เลี้ยงของสองธิดายังไปขอความช่วยเหลือปู่เจ้าสมิงพราย ผู้วิเศษประจำเมือง ให้ใช้เวทมนตร์เรียกพระลอมาหา ด้วยอิทธิอำนาจแห่งปู่เจ้าสมิงพราย พระลอมิอาจทานอำนาจมนตร์อยู่ได้ แม้จะถูกทัดทานด้วยความรักจากทั้งแม่และเมีย ต้องเสด็จมายังเมืองสรองพร้อมด้วยนายแก้ว นายขวัญ สองพี่เลี้ยงระหว่างทาง พระลอเสด็จลงเสี่ยงน้ำที่แม่น้ำกาหลงผลการเสี่ยงบอกว่าพระลออาจต้องเสียพระชนม์หากยังเสด็จไป แต่กระนั้นด้วยความมานะ และอำนาจมนตร์แห่งปู่เจ้าสมิงพราย พระลอก็ยังคงเสด็จมุ่งหน้าไปยังเมืองสรองต่อไป

และในที่สุด พระลอก็สามารถเสด็จเข้าไปจนถึงสวนขวัญ อุทยานหลวงของเมืองสรองได้สำเร็จ ด้วยการชักนำของไก่แก้วที่ปู้เจ้าสมิงพรายเสกมา และพระเพื่อน พระแพง ก็ได้พบกับพระลอรักกัน และเป็นของกันและกันด้วยผลแห่งวิบากกรรมแต่หลังจากที่มีความสุขกันอย่างลับ ๆ ไม่นาน ความก็ทราบไปถึงพระราชบิดาแห่งพระเพื่อน พระแพง

พระองค์เสด็จมาลอบดูด้วยตนเอง ครั้นเห็นความงานสง่าของพระลอเข้าก็นึกรักและให้อภัยจึงเสด็จกลับ แต่พระเจ้าย่าของพระเพื่อน พระแพง ผู้ซึ่งสูญเสียสามีสุดที่รักไปในการสงครามกับเมืองสรวงกลับไม่ยอม พระเจ้าย่าส่งทหารเข้ามาล้อมสวนขวัญ พระลอ พระเพื่อน พระแพง ต่อสู้จนถูกลูกธนูที่ยิงมาดังห่าฝนติดเต็มร่าง ยืนตายอยู่เคียงกันในที่สุด

เมื่อพระราชบิดาของพระเพื่อน พระแพง ทรงทราบเรื่องจึงสั่งให้ประหารชีวิตพระเจ้าย่าเสียแล้วจึงส่งสารไปยังเมืองสรวง ทั้งสองเมืองจัดการพระศพของพระลอ พระเพื่อน พระแพง แล้วจึงสร้างเจดีย์เล็ก ๆ ขึ้น จากนั้นเมืองทั้งสองจึงคืนสู่ความเป็นไมตรีกันสืบมา

หากท่านผู้อ่านได้อ่านเรื่องพระลอตั้งแต่ต้นจนจบ ก็จะพบว่าเรื่องพระลอนั้นมิใช่เป็นเพียงเรื่องราวความรักของคนหนุ่มสาวเท่านั้น หากแต่ยังเป็นเรื่งราวความรักของแม่กับลูก สามีกับภรรยา นายกับบ่าว ที่เจือปนไปด้วยเสียสละ เวทมนตร์อาถรรพ์ ความสนุกสนานตื่นเต้น ความทุกข์ยากความจากพราก อันล้วนเป็นเรื่องราวที่ซาบซึ้งตรึงใจตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งเมื่อรวมเข้ากับรูปแบบ การประพันธ์ด้วยสำนวนโวหารอันไพเราะสละสลวย จนถึงขนาดเป็นยอดแห่งวรรณคดีประเภทลิลิตแล้วพระลอจึงเป็นเรื่องที่น่าอ่านชวนติดตามยิ่งเล่มหนึ่ง

1125
ขนาดผมคนเหนือแท้ๆศึกษาเรื่องสักมายังไม่เคยเจอรูปสวยๆแบบนี้ท่านเจ้าของกระทู้เก่งจริงๆหามาได้ไง สุดยอด :053:

1126
นมัสการหลวงพี่ท่านครับ
ขอบคุณสำหรับข้อมูล นะครับ

1127
สวยมากเลยครับ ของวัดไหนครับ

1128
ไม่น่าอิจฉาเท่าไหร่เลยนะ :058:

1129
ครับ ยังคงหาบทสรุปไม่ได้ ครับ

1130
ฝั่งตะกรุด 15ดอก โอ้โห้ มีเรื่องไม่วิ่งชนกันรึครับ ล้อเล่น ฝั่งตามกำลังศรัทธาท่านเลยนะครับ (ตามที่ฟังมาจะกระตุกเตือนตอนมีเรื่อง) ดีครับเยอะๆช่วยกันเตือนจะได้ไม่เหนื่อย แล้วฝั่งนี้เป็นตะกรุดท้องคำจริงๆเลยไหมท่าน แล้วฝั่งนี่เสียค่าบูขาเท่าไหร่ รวมค่าครูค่าตะกรุดทองด้วยนะครับ

1131
รักทีมไหนก็เชียร์ทีมนั้น คิดเป็นกีฬานะครับ หากคิดเป็นแหล่งทำเงินนะน่ากลัว ไม่รู้ว่าจะทำเงินให้ใคร

1132
มีสถานที่ดีๆมาบอกอีกแล้วนะท่าน

1133
ความรักในความรู้สึกของผม คือสิ่งที่ทำให้ผมมีชีวิตอยู่ได้ ความรักคือความยิ่งใหญ่ ไม่ว่า รักตัวเอง รักครอบครัว รักชาติ รักในสิ่งที่ควรรัก และรักในสิ่งที่ไม่ควรรัก รักทำให้สุขรึทุกข์ ขึ้นอยู่กับใจผู้รักเอง บางครั้งคนทั้งโลกมองว่ารัก คนนี้ สิ่งนี้ แบบนี้ แล้วไม่มีความสุข แต่เรากับมีความสุขก็ได้ สุขที่ได้รัก

1134
ขอบคุณที่ท่าน สรรหาคำถามที่ต่อเนื่องไปสู่ความรู้นะครับ

1135
มีของดีๆเยอะๆกันทั้งนั้นเลย

1136
งานใหญ่นะครับ เสียดายที่ผมไม่ทราบข้าวล่วงหน้าเลย เสียดายแต่ไม่เสียใจครับ ปีหน้าฟ้าใหม่ไม่พลาดแน่ๆครับ ภาพบรรยายกาศในงาน ดูสงบเข้มขลังมากครับ ขอบคุณสำหรับภาพนะครับ

1137
ขอบคุณที่ช่วยตอบนะครับ แต่กระทู้เกือบ2เดือนแล้ว เป็นคนตั้งกระทู้เองยังจำไม่ได้เลย ยังไงก็ขอบคุณนะครับ

1138
ได้ข้อมูลดีๆอีกแล้ว ขอบคุณมากครับ

1139
ไม่กล้าเล่าวีรกรรมเด็ดๆเยอะ เดี๋ยวเสียภาพพจน์(รึว่าไม่มีให้เสียแล้ว สิเรา) :004: :007:

1140
ว่าแต่เตะเสร็จแล้ว รบกวนท่านต้นน้ำรายงานผลด้วยนะครับ บ้านไม่มีทีวี ไฟฟ้าก็ยังต้องใช้เครื่องปั่น น้ำบางวันก็ไหลบ้างไม่ไหลบ้าง แย่จัง

1142
 การพูดในห้องน้ำตามที่ได้ยินมาไม่เห็นพระอาจารย์-อาจารย์สายบางพระห้ามนี่ครับ รึว่าท่านได้ฝั่งเข็มทองมาล่ะครับ

1144
พี่ๆคับ ถ้าผมเอากาวตราช้างมาติด องค์พระให้เหมือนเดิม จะเป็นไรมั้งคับ เพราะว่า รอยหักเข้ากันพอดี
ของดียังไงก็เป็นของดี หากแตกหักก็คือของดีที่เปลี่ยนรูปแบบ ขึ้นอยู่กับจิตผู้ให้และใจผู้รับ

1145
ได้อ่านข้อความดีๆตอนตื่นนอนนี่ดีนะครับ

1146
บิดา-มารดา คือพระอรหันต์ของบุตรอยู่แล้ว

1147
ขออนุญาติลงประวัติท่านครูบาเหนือนะครับกระทู้จะได้สมบรูณ์

ชาติภูมินักบุญแห่งขุนเขา
นายเสมอ ใจปินตา เป็นชื่อและสกุลเดิมของ ครูบาเหนือชัย โฆสิโต เจ้าอาวาสสำนักปฏิบัติธรรมถ้ำป่าอาชาทอง ต.ศรีค้ำ อ.แม่จัน จ.เชียงราย ปัจจุบันอายุ ๔๓ ปี พรรษา ๑๔ เกิดเมื่อวัน จันทร์ที่ ๓ กันยายน ๒๕๐๕ ปีขาล บิดาชื่อ สามยอด มารดาชื่อ น้อย เป็นบุตรชายคนโตในจำนวนพี่น้อง ๓ คน
โยมพ่อและโยมแม่พื้นเพเป็นคนเชื้อสายยอง ซึ่งบรรพบุรุษ อพยพมาจาก จ.ลำพูน โยมแม่เป็นคนมีลูกยากจึงไป ขอลูกจากพระธาตุดอยตุง เมื่อกลับมาถึงบ้านคืนหนึ่งโยมแม่ฝันว่ามีม้าสีขาวมารับ แล้วพาท่องไปทั่วจักรวาล สักพักหนึ่ง จึงท้อง แล้วคลอดครูบาเหนือชัยขึ้นมา
สมัยเป็นเด็กเลี้ยงยาก ร้องไห้ตลอดเวลา จึงไปหาหมอดูประจำเผ่า ได้รับคำ แนะนำว่าให้ใช้ช้างและม้ามารับขวัญ ทำให้โยมพ่อซึ่งขณะนั้นไม่มีเงิน แต่ด้วยความเป็น พ่อจึงได้ออกกุศโลบายนำ ถ่านที่ใช้หุงต้มมาเขียนเป็นรูปช้างและม้าติดไว้ที่ฝาผนังบ้าน แล้วบอกกับ ครูบาว่า นี่เป็นช้างกับม้าที่พ่อซื้อมารับขวัญ หลังจากนั้นมาก็กลายเป็นเด็กเลี้ยงง่าย
ครูบาเหนือชัย จบชั้น ป.๗ จากโรงเรียนบ้านแม่คำชั้น และจบชั้น ม.ศ.๕ จากโรงเรียนแม่จันวิทยา คม จากนั้น เดินทางไปศึกษาต่อที่กรุงเทพฯ โดยเข้าเรียนคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง แต่ศึกษาถึงปีที่ ๓ ก็ต้องลาออก เพื่อกลับมาช่วยงานที่บ้านเนื่องจากบิดาป่วย
ในวัยเด็ก ครูบาเหนือชัยมีความสนใจในเรื่องพระพุทธศาสนามาก เพราะเป็นคนที่ชอบใช้ชีวิตอยู่ สองแห่ง คือ หากไม่อยู่ที่วัดก็จะอยู่ตามทุ่งนาเพื่อฝึกสมาธิ ชอบเข้าหาพระธุดงค์และหนาน (ทิด) โดยศึกษาธรรมกับเจ้าอาวาสวัดแม่คำ ขณะเดียวกันก็มีความสนใจและศึกษาศิลปะการป้องกันตัว ตามตำรา ?อัฏมาศ? หรือที่รู้จักกันในชื่อการต่อสู้ตามแบบ กองกำลังจตุรงคบาท ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัย สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทำให้มีความเชี่ยวชาญในเรื่องกระบี่ กระบอง พลองไทย และแม่ไม้ มวยไทย
เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๓๕ ได้อุปสมบท ณ อุโบสถวัดล้านตอง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย โดยมี ครูบาทองสืบ วิสุทธจาโร เจ้าอาวาสวัดล้านตอง เป็นพระอุปัชฌาย์ ศึกษาธรรมโดยการออกธุดงค์อยู่ ในป่าเขาตามแนวชายแดน และปฏิบัติธรรมอยู่บริเวณถ้ำป่าอาชาทอง จึงได้ตั้งสำนักปฏิบัติธรรมถ้ำ ป่าอาชาทองขึ้นจนถึงปัจจุบัน
ครูบาเหนือชัย โฆสิโต วัดถ้ำอาชาทอง ต.ศรีค้ำ อ.แม่จัน จ.เชียงราย

ปุจฉาวิสัชชนา ครูบาเหนือชัย... ?นักบุญแห่งขุนเขา?

ภาพ "พระเณรขี่ม้าออกบิณฑบาต" นำโดย "ครูบาเหนือชัย โฆสิโต" นอกจากสร้างความประทับใจต่อ พุทธศาสนิกชนไทยแล้ว ยังกระฉ่อนโด่ง ดังไปทั่วโลก เหตุที่พระ เณรและลูกศิษย์ต้องขี่ม้าบิณฑบาต เนื่องจาก สำนักอยู่ห่างไกลจากชุมชน และถนนหนทางยังไม่สะดวก การใช้ม้าจึง มีความสะดวกในการเดินทาง กว่า ๑๐ ปี ของการออกธุดงค์ เผยแผ่หลักคำสอนของพระพุทธเจ้าตาม ชายแดนไทย-พม่า โดยไม่แบ่งชาติพันธุ์ ในที่สุดท่านก็ได้รับการขนาน นามว่า "นักบุญแห่งขุนเขา"

นอกจากจะมีชื่อเสียงในรูปแบบและวิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแล้ว นักบุญแห่งขุนเขายังมีชื่อ เสียงใน เรื่องของเครื่องรางของขลัง ด้านอยู่ยงคงกระพัน เมตตามหานิยมและเกี่ยวกับการค้าขาย ให้มีความเจริญก้าวหน้า ร่ำรวยอีกด้วย จนเป็นที่กล่าวขวัญของบรรดาชาวบ้านและพุทธศาสนิกชน ทั้งในเมืองไทย และประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนจะดีเพียงใดนั้น ต่อไปนี้คือบทสัมภาษณ์แบบ ?คม ชัด ลึก?

"คำว่า ?นักบุญแห่งขุนเขา? ใครเป็นผู้ตั้งให้ครับ ?"

?นักบุญแห่งขุนเขา? ฉายานี้ได้มาจากเจ้าหน้าที่ที่ร่วมงานกันในโครงการ ?มิตรมวลชน คนชาย แดน? ส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ทหารจากกองกำลังเฉพาะกิจ กรมการทหารราบที่ ๑๗ กองพันที่ ๓ (ฉก.ร.๑๗ พัน ๓) ตั้งให้ เพราะเห็นว่าเราเป็นพระที่ใช้ชีวิตอยู่ในป่า เผยแผ่ธรรมะอยู่ในป่า"

"การตั้งสำนักปฏิบัติธรรมถ้ำป่าอาชาทองมีที่มาที่ไปอย่างไรครับ ?"

"ครูบาเผยแผ่ธรรมะอยู่ในป่า มานั่งวิปัสสนากรรมฐานอยู่หน้าถ้ำป่าอาชาทองแห่งนี้ มีชาวบ้านมา ถวายภัตตาหาร และมาทำบุญบ่อยๆ ก็เลยมีคนบอกว่าน่าจะตั้งเป็นวัดดีกว่า ประกอบกับท่านเจ้า ประคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จสังฆราช องค์ปัจจุบัน มีดำริให้ดำเนินโครงการ "บวร" พุทธ ศาสนา อันหมายถึง บ คือ บ้าน ว คือ วัด ร คือ โรงเรียน เป็นการนำหลักธรรมเผยแผ่ให้ครบทั้งสาม สถาบัน"

"ที่สำนักปฏิบัติธรรมมีพระเณรและเด็กวัดเท่าไรครับ ?"

"พระ ๔ รูป สามเณร ๑๗ รูป และมีเด็กในอุปการะอีก ๒๐ คน เด็กที่รับอุปการะส่วนใหญ่เป็นเด็ก กำพร้าพ่อแม่ เพราะติดคุกเรื่องยาเสพติด บางคนพ่อแม่เสียชีวิต ก็เพราะไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ก็เลยรับอุปการะเด็กๆ เหล่านี้ไว้ แล้วส่งให้เรียนหนังสือและช่วยทำงานต่างๆ ในสถานปฏิบัติธรรม เช่น เลี้ยงม้า ทำความสะอาด รวมถึงหัดแม่ไม้มวยไทย ให้เด็กๆ ด้วย"

"ปัจจัยส่วนใหญ่ได้มาจากไหนครับ ?"

"ส่วนใหญ่เป็นเงินรายได้ที่คนมาบูชาเครื่องรางของขลัง วัตถุมงคลต่างๆ อีกทางหนึ่งได้มาจากการ ขายปุ๋ยอินทรีย์คือ ปุ๋ยที่ได้จากม้า เด็กๆ ก็จะมีรายได้จากการทำงานด้วย วันหยุดเสาร์อาทิตย์ เด็กๆ จะมีรายได้วันละ ๑๐๐ บาท เอาไว้เป็น เงินค่าขนมตอนไปโรงเรียน"

"นอกจากนั้นยังมีการชกมวยทุกๆ วันเสาร์ การชกมวยไม่เหมือนมวยตู้ ไม่มีการพนัน ชกจบมีค่าขนม ให้ทั้งคู่ คนชนะ ได้ ๗๐๐ บาท คนแพ้ได้ ๓๐๐ บาท เป็นการฝึกให้เด็กๆ ออกกำลัง แต่ไม่สนับสนุน ให้เด็กๆ ชกมวยหาเงินนะเพราะเป็น การพนัน เด็กจะเสียคน อีกอย่างผิดวัตถุประสงค์ของมวยที่ฝึก ในวัด คือ มวยคู่แผ่นดิน ใช้สำหรับป้องกันตัว"

"ความคิดเรื่องขี่ม้าออกบิณฑบาตมาจากไหนครับ ?"
 
"ครั้งแรกเลยไม่เคยมีความคิดจะใช้ม้าในการออกรับบิณฑบาตหรอก แต่มีชาวบ้านบนขอให้หายป่วย พอหายป่วยก็ เลยเอาม้ามาแก้บน ครูบาเห็นว่าเราอยู่ในป่าเขา ใช้ม้าเป็นพาหนะ ย่อมมีความสะดวกกว่า ม้าไม่ต้องใช้น้ำมันด้วย ก็เลย ใช้ม้ามาตั้งแต่ตอนนั้น"

"ม้าตัวแรกได้มาจากไหนครับ ?"

"ก็ชาวบ้านเอาม้ามาแก้บนไง เลยต้องเลี้ยงไว้เพราะเขาเอามาถวาย เราเป็นพระไม่รับก็ไม่ได้ การขี่ม้าเพื่อออกบิณฑบาต นั้นก็เพราะแต่ละหมู่บ้านอยู่ห่างไกลกันมาก ต้องข้ามเขาเป็นลูกๆ การเดินด้วยเท้าจะลำบาก ยิ่งหน้าฝนทางเดินลื่นมาก ใช้ม้าช่วยให้การออกรับบาตรสะดวกขึ้น และยังช่วยให้การเผยแผ่หลักธรรมตามหมู่บ้านชาวเขาในแนวชายแดนที่ห่างไกล ได้สะดวกขึ้นด้วย ส่วนความเหมาะสมหรือไม่ที่พระขี่ม้า เห็นว่าน่าจะดูที่การปฏิบัติกิจของสงฆ์มากกว่า ครูบาได้ใช้ม้าเพื่อเผย แผ่ศาสนาในโครงการ "มิตรมวลชน คนชายแดน" ที่สมเด็จพระสังฆราชทรงรับเป็นองค์สังฆราชูปถัมถ์โครงการนี้ด้วย

"การฝึกให้พระเณรขี่ม้านี่ยากไหมครับ ?"

"ของแบบนี้ต้องใช้เวลา เริ่มตั้งแต่ให้พระและเณรเลี้ยงม้าเอาหญ้ามาเป็นอาหารของม้า ม้าของพระเณรรูปใด พระเณร รูปนั้นจะต้องเป็นคนดูแลเอง เมื่อทำความคุ้นเคยแล้วก็จะเริ่มหัดขี่ม้าได้ไม่ยากหรอก สามเณรที่นี่อายุ ๑๐ ปี ก็ขี่ม้าเป็นแล้ว"

"ใครเป็นผู้ตั้งชื่อม้าครับ ?"

"ชื่อม้าแต่ละตัวที่เห็นนั้น สมเด็จพระสังฆราช ทรงพระเมตตา ประทานชื่อให้ ครูบาไม่ได้ ตั้งเองหรอก จำได้ทุกตัว ตัวแรกชื่อ เพชรเทวดา อาชาทอง หนุ่ม โพธิ์ชัย อาเธอร์ ส่วนตัวที่เห็นนี่ ชื่อคชสีห์อาชาทอง ปัจจุบันที่นี่มี ม้าทั้งหมด ๒๐๐ ตัว ตอนหลัง นอก จากม้า ๒๐๐ ตัวแล้ว ก็ยังมี ไก่อีกประมาณ ๑,๐๐๐ ตัว ช้าง ๙ เชือก วัว ๑๕ ตัว และควายอีก ๑๖ ตัว"

"ใช้ม้าออกรับบิณฑบาตแล้วชาวบ้านว่ายังไงบ้างครับ ?"

"ชาวบ้านไม่ว่าอะไรหรอก เขาอยู่ในพื้นที่ เขารู้เขาเห็นเขาเข้าใจถึงเหตุผล แต่หลังจากที่เป็นอันซีน ไทยแลนด์นี่แหละ มีเสียงสะท้อนออกมา ทั้งดีบ้างไม่ดีบ้าง บางท่านก็ว่าไม่เหมาะสม"

"ครูบาสักยันต์เพื่ออะไรครับ ?"

"ไม่มีคำว่ากลัวตายหรอก ตายไวเท่าไรยิ่งดีเท่านั้น เพราะถ้ามีชีวิตอยู่ยิ่งนานเท่าไรก็ต้องแบกรับ ภาระทุกอย่างไว้ เหตุที่ครูบาสักยันต์เต็มตัวนี่เพื่อประกาศให้ทุกคน รวมทั้งโยมผู้หญิง (เมีย) รู้ว่าเรา ได้มอบร่างกายและจิตใจเพื่อพระพุทธศาสนาแล้ว เพราะในเมื่อใจเรามุ่งไปในพุทธรรมแล้วก็เหมือน ได้ตายจากทางโลก รอยสักที่เห็นตามร่างกายก็คือคำสอนในพุทธศาสนา"

"รู้สึกอย่างไรที่ ททท.มาโปรโมทท่านเพื่อการท่องเที่ยว ?"

"เรื่องนี้ก็ใช้เวลาคิดอยู่นานเหมือนกันคือประมาณปี ๒๕๔๕ มีเจ้าหน้าที่จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เขาเข้ามาสำรวจ เขาเห็นว่าแปลกดี ต้องการ สนับสนุนให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว เราก็ยังไม่ตกลงเพราะเราต้องการความ สงบมากกว่า เราไม่อยาก ดังหรอก"

"เพราะอะไรถึงตกลงเข้าร่วมโครงการได้ล่ะครับ ?"

"ก็พอดีปี ๒๕๔๕ เขามาสำรวจ เราไม่ตอบตกลง เขาก็ติดต่อมาอีกหลายครั้ง แล้วอีกประมาณ ๒ ปีได้ คือปี ๒๕๔๗ เราก็มานั่งคิดว่าถ้าต้องการให้ชาวบ้านมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เห็นว่าการท่อง เที่ยวนี่แหละที่จะช่วยให้ชาวบ้านมี ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้เร็วกว่าวิธีอื่น เพราะถ้ากลายเป็นแหล่ง ท่องเที่ยว ชาวบ้านก็สามารถขายของได้ มันเร็วกว่าที่ จะไปทำไร่ทำนา ก็เลยจัดสินใจเข้าร่วมเป็น อันซีน ไทยแลนด์"

"การปฏิบัติธรรมยังเหมือนเดิมหรือเปล่าครับ ?"

"เรายังปฏิบัติเหมือนเดิม แต่ก็ต้องเพิ่มเวลาที่ใช้ปฏิบัติธรรมเพิ่ม เพราะเวลาที่มีญาติโยมมาพบก็จะมีเวลา ปฏิบัติธรรมน้อยลง"

"ที่ว่าใช้เวลาเพิ่มนี่ ครูบาทำอย่างไรครับ ?"

"เวลาที่ใช้ในการปฏิบัติธรรมก็ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เคยใช้เวลาในการปฏิบัติเท่าไรก็ให้เวลา เหมือนเดิม จนบางคืนต้องนอนดึกกว่าปกติ ส่วนพื้นที่ใน สถานปฏิบัติธรรมก็ต้องมีการแบ่งเขต เป็นส่วนฆราวาสและส่วนสงฆ์ ให้เป็นสัดส่วน"

"ครั้งหนึ่งท่านเคยถูกรุมทำร้ายระหว่างเผยแผ่ธรรมจริงหรือเปล่าครับ ?"

"เป็นความจริง เหตุเกิดที่บ้านหัวแม่คำ มีคนมาทำร้ายประมาณ ๔๐ คน แต่ก็เอาตัวรอดมาได้"

"แสดงว่ามีของขลังเลยรอดมาได้สิครับ ?"

"(หัวเราะ) ไม่ใช่ด้วยของขลัง แต่เป็นเพราะมีสติและใช้วิชาความรู้ที่ได้เรียนมา เลยเอาตัวรอด"

"วิชาอะไร แล้วครูบาทำอย่างไรครับ ?"

"วิชาแม่ไม้มวยไทย แต่ไม่ได้หมายความว่าครูบาสู้กับคน ๔๐ คนนะ อาศัยว่าวันนั้นกำลังปฏิบัติธรรมอยู่ เราก็จุดเทียนใช้ตอนกลางคืน เมื่อมีคนเข้ามาเราก็ใช้วิธีดับเทียน ทีนี้มันก็มืดใช่ไหม แล้วคนตั้ง ๔๐ คน มองอะไรก็ไม่เห็น เราก็หมอบลงอยู่กับพื้นเฉยๆ นี่แหละ บาง คนก็วิ่งชนกัน ชกกันเอง กลายเป็นพวกเดียวกัน จัดการกันเอง ก็เลยกลายเป็นที่เล่าขานกันมาจนทุกวันนี้"

"มีเหตุหนักกว่านี้ถึงขนาดมีคนจ้องทำร้ายถึงขั้นยิง วางยาสั่งกันเลย จริงหรือเปล่าครับ ?"

"เรื่องนี้ไม่เคยคุยกับใครเลยนะ รู้มาจากไหน ครูบาเป็นพระป่า อยู่ในพื้นที่นี้ ซึ่งก็ทราบกันดีว่าเป็น พื้นที่ ชายแดน และก็ต่อต้านเรื่องยาเสพติดอยู่แล้ว เราก็อาจจะไปขวางทางใครเข้าก็ไม่ทราบ เลย โดน ครูบาก็มีครูบาอาจารย์ เขาใช้วิธี ฟัน แทง ยิง ไม่ได้ผล ก็เลยโดนยาสั่ง ตอนปลายปี ๒๕๔๓ แทบแย่ ตอนนี้ก็ยังรักษาตัวอยู่เลย ร่างกาย ก็ฟื้นมาได้ซัก ๘๐ เปอร์เซ็นต์"

"ครูบาโดนยาสั่งได้อย่างไร และมีอาการอย่างไรบ้างครับ ?"

"มีศรัทธามาทำบุญตักบาตร เราก็นำมาฉัน ก็เลยรู้ว่าโดนยาสั่ง เวลาโดนจะอาเจียนออกมา ครั้งนั้น เต็มถังน้ำ อาเจียนจนหมดแรงเลย ก็ต้องใช้วิธีนั่งเข้ากรรมฐานแก้พิษ"

"แล้วยาสั่งนี้เขาทำกันอย่างไรครับ ?"

"เขาก็จะใช้หมูตัวผู้มาทำยาสั่ง เริ่มด้วยเลี้ยงหมูด้วยพิษจากงู เห็ด ว่านต่างๆ หรือคางคก เอาให้กิน ทีละน้อยๆ พอโตได้ที่ก็ฆ่า แล้วนำไปย่างไฟแดง ๗ วัน ๗ คืน แล้วนำมาตากน้ำค้างอีก ๗ วัน ๗ คืน เสร็จแล้วนำมาบดให้ละเอียด แล้วก็ปลูกฟักแฟงในป่าช้า เอาเมล็ดออกแล้วนำผงที่ได้จากหมูมายัด ใส่แทนจนลูกฟักลูกแตงตาย แล้วจึงเอาลูกฟัก ลูกแตง ไปทำพิธีบนกิ่งไม้ใหญ่ เวลาทำพิธีต้องอยู่ เหนือลม เวลานำฟัก แตงมากินก็จะเกิดอาการทันที"

"เครื่องรางของขลังของครูบาที่สร้างขึ้นมีกี่อย่างครับ ?"

"ก็จะมีประเภทอยู่ยงคงกระพัน เมตตามหานิยม ค้าขายรุ่งเรือง ส่วนใหญ่จะนิยมเรื่องอยู่ยงคง กระพัน เพราะคน ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ชายแดน"

"ของขลังของครูบาดีดีด้านไหนครับ ?"

"เครื่องรางของขลังปลุกเสกขึ้นเพื่อเอาไว้ใช้ป้องกันตัว คนที่นำติดตัวต้องมีพุทธรรมอยู่ในใจจึงจะ เกิดผล แต่หากคิดไม่ดี ทำไม่ดี พุทธะไม่อยู่กับตัว และหลักพุทธรรมก็เป็น หลักธรรมที่ใช้เผยแผ่ ให้กับพุทธศาสนิกชนทั่วไป ครูบาจะบอกเสมอว่าพุทธะอยู่ที่ตัวเรา หากกินเหล้าก็เหมือนกับเราเอา เหล้ามารดพระที่อยู่ในตัวเรา หากเราคิดจะ ฆ่าผู้อื่นก็เหมือนเราคิดจะฆ่าพระในตัวเรา แล้วอย่างนี้ พระจะอยู่กับเราได้อย่างไร เครื่องรางจะขลังได้อย่างไร"

"เรื่องการสอนศิลปะมวยไทยมีมาตั้งแต่ตอนไหนครับ ?"

"เดิมครูบาเผยแผ่ศาสนาให้กับชาวเขาตามแนวตะเข็บชายแดน มีลูกศิษย์มากมาย และได้ออกติด ตามครูบา เพื่อช่วยในเผยแผ่ศาสนาในหลายพื้นที่ ซึ่งบางพื้นที่เราไม่สามารถที่จะคาดเดาได้ว่าเขา คิดอะไรกับเราอย่างไร ซึ่งลูกศิษย์บางคนก็ถูกทำร้ายร่างกายกลับมา ครูบาจึงได้ถ่ายทอดวิชาศิลปะ มวยไทยที่ตนเองได้รับการถ่ายทอดมา จากบรรพบุรุษ และอาจารย์อีกหลายท่านก่อนที่ครูบาจะบวช เป็นพระได้เคยร่ำเรียนมาจากบรรพบุรุษ เป็นวิชาที่ สืบทอดมาจากบุคคลที่เป็นทหารในการรักษา ขาช้างที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงช้างออกไปทำศึก จึงเป็นศิลปะที่มี ความแข็งแกร่ง ยากที่จะมีผู้ที่ ต่อกรแต่อย่างไร"

"ทำไมครูบามีความคิดที่จะฝึกสอนมวยให้กับเด็กๆครับ ?"

"อยากให้เด็กๆ ที่อยู่ในพื้นที่และเด็กกำพร้าที่รับอุปการะไว้ มีวิชาความรู้เกี่ยวกับแม่ไม้มวยไทย เอาไว้ป้องกันตนเอง ป้องกันประเทศชาติก่อนจะฝึกทุกคนต้องบวชก่อน เพื่อจะได้ซึมซับหลักธรรม และมีธรรมะอยู่ในใจ การฝึกเป็นการฝึก แม่ไม้มวยไทยคู่แผ่นดิน ไม่ต้องการให้ฝึกเพื่อไประรานผู้อื่น"
ที่มาของข้อมูล : http://www.amulet.in.th/forums/view_topic.php?t=826

1148
ขอนมัสการครับหลวงพ่อ
ถึงเจ้าของกระทู้ ท่านลงข้อมูลซ้ำไหมครับ เหมือนผ่านๆตาไปแล้วนี่ครับ

1149
นมัสการครับหลวงพี่
ของดีๆไม่ว่าใครก็อยากได้อยู่กับตัวครับ

1150
ขอบคุณสำหรับข้อคิดดีๆ นะครับ

1151
เคยเป็นจุดขายการท่องเที่ยวของประเทศตอนปี2545ด้วย ใกล้ๆบ้านผม แต่ยังไม่เคยเห็นกับตา ขอบคุณครับ

1152
งงครับ คัดของคืออะไร คัดทำไม แล้วคัดไปเพื่ออะไร ช่วยตอบด้วยครับ

1153
ไปเที่ยวไม่ชวนเลย ดีนะที่ยังถ่ายรูปมาให้ดู แล้วไปกับใคร ระวังนะสัตว์ปีกมีหลายโรคเลย หากกินมากๆระวังเกาต์ หากใกล้ชิดมากระวังหวัดนกนะ

1154
กระผมได้ไปสักและครอบครูพ่อแก่นารอดมา เลยอยากทราบประวัติของท่าน พอได้อ่านจึงเห็นว่าคงมีประโยชน์กับสมาชิกท่านอื่นๆ
                               

พระนารท หรือ พระนารอด หรือ พระนาระทะ
     เป็น1 ใน พระประชาบดี (เทวฤาษีที่เป็นพระผู้สร้าง) ๑๐ องค์ คือ เป็นผู้ประดิษฐ์ "วีณา" -- พิณน้ำเต้า
     พระฤๅษีนารทบำเพ็ญพรตอยู่เชิงเขาโสฬส นอกเมืองลงกา เมื่อคราวหนุมานไปถวายแหวนแก่นางสีดาได้เหาะเลยเมืองลงกาเพราะไม่รู้จักทาง ไปพบกันเข้าจึงเกิดการประลองฤทธิ์กัน แต่หนุมานเกิดพ่ายแพ้ต่อฤทธิ์พระฤๅษีจึงยอมอ่อนน้อม และเมื่อคราวหนุมานไปเผากรุงลงกาไฟที่ติดหางหนุมานจะดับอย่างไรก็ไม่สามารถดับได้ หนุมานจึงไปหาพระฤๅษีนารทให้ช่วยดับไฟให้
    พระฤาษีนารอด เป็นครูของฤาษีทั้งปวง ทรงกำเนิดจากเศียรที่ ๕ ของพระพรมธาดา ทรงเพศเป็นฤาษี พระฤาษีนารอดถือว่าเป็นฤาษีองค์แรกของไตรภูมิ ไม่ว่าจะมีการบูชาสิ่งใด หากไม่มีการเชิญท่านแล้ว พิธีกรรมนั้นมักไม่สมบูรณ์
    รูปลักษณ์ของท่านที่สร้างเป็นหัวโขน(ศรีษะครู)สำหรับบูชาเป็นรูปหน้าพระฤาษีหน้าปิดทอง สวมลอมพอกฤาษี มี(กระดาษ)ทำเป็นผ้าพับเป็นชั้นลดหลั่นกันไป เสียบอยู่กลางลอมพอก

สิ่งที่เกี่ยวกับพระฤาษีนารอด เพิ่มเติม
     พระรอดเป็นพระเครื่องราง ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไม่แพ้พระสมเด็จฯ และพระนางพญา ได้ถูกขนานนามว่าเป็น " เทวีแห่งนิรันตราย " ทั้งได้แสดงคุณวิเศษทางแคล้วคลาดเป็นที่ประจักษ์มาแล้วมากมาย ตามตำนานกล่าวว่า "พระนารทฤาษี" เป็นผู้สร้างพระพิมพ์นี้ขึ้น จึงเรียกพระพิมพ์นี้ว่า "พระนารท" หรือ "พระนารอด" ครั้นต่อมานานเข้ามีผู้เรียกและผู้เขียนเพี้ยนไปเป็น "พระรอท" และในที่สุด ก็เป็น"พระรอด" อีกทั้งเหมาะกับภาษาไทยที่แปลว่า รอดพ้น จึงนิยมเรียกพระพิมพ์เครื่องรางชนิดนี้ว่า พระรอด เรื่อยมาโดย ไม่มีผู้ใดขัดแย้ง พระรอดพบในอุโมงค์ใต้เจดีย์ใหญ่วัดมหาวัน หรือที่เรียกว่า มหาวนาราม ณ จังหวัดลำพูน ซึ่งปรากฏอยู่ถึงจนปัจจุบันนี้ อนึ่ง วัดมหาวันเป็นวัดโบราณของมอญลานนาในยุคทวาราวดี ขณะที่พระเจ้าเม็งรายยกทัพมาขับไล่พวกมอญออกไปราว พ.ศ.1740 นั้น ก็พบว่าวัดนี้เป็นโบราณสถานอยู่ก่อนแล้ว ฉะนั้นจึงไม่น่ามีปัญหาใดเลยว่า พระรอดนี้ควรมีอายุ เกินกว่าพันปีเป็นแน่ แต่เพิ่งมาพบเมื่อประมาณ 50 ปีมานี่เอง

พระฤาษีนารอด ท่านเป็นหมอยาที่มีคาถาอาคมเก่งกล้า ทั้งยังเป็นอาจารย์รดน้ำมนต์ที่เก่งที่สุดอีกด้วยท่านมีบารมีมาก ปวงชนทั่วไปก็มักจะรู้จักพระนามของท่านแทบทั้งนั้น รูปร่างหน้าตาของท่านก็ยังมีหนวดเครายาวลงมาจากคางถึงในระหว่างอกมือถือดอกบัว ตรงด้านหน้ามีบาตรน้ำมนตร์ตั้งอยู่เป็นประจำ เก่งในทางรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ชงัดนักแล ถ้าหากผู้ใดมีความทุกข์ที่เกี่ยวกับการเจ็บไข้ได้ป่วย ก็จงบนบานศาลกล่าวกับท่านดูแล้วท่านก็จะต้องเมตตาเสด็จลงมาปัดเป่ารักษาให้โรคภัยนั้นหายไปในเร็ววันมักจะมีคนพูดกันทั่วไปว่า พระฤาษีนารอดเป็นพี่ชายของ พระฤาษีนารายณ์แต่บำเพ็ญพรตกันอยู่คนละแห่ง นานๆจึงจะได้พบกันสักครั้งหนึ่ง แต่เรื่องนี้มีความคลาดเคลื่อนอยู่ ที่จริงแล้วผู้ที่เป็นน้องชายของพระฤาษีนารอดก็คือ พระฤษีนาเรศร์ มิใช่พระฤาษีนารายณ์ ที่ถูกต้องก็คือ พระฤาษีนาเรศร์ นี่แหละที่เป็นน้องชายแท้ๆของ พระฤาษีนารอด และก็ได้บำเพ็ญตบะอย่างมุ่งมั่นอยู่กันคนละแห่ง สำหรับพระฤษีนาเรศร์นี้ ท่านเก่งในคาถาอาคมศักดิ์สิทธิ์มีเวทมนตร์ขลังเป็นที่สุด ชอบสันโดษบำเพ็ญพรตอยู่แต่ในป่าลึกๆ ไม่ค่อยชอบสมาคมกับใครเท่าใดนัก แม้แต่พี่น้องกันแท้ๆ ยังนานๆได้พบกันที พอพบกันก็จะดีใจถึงกับกอดกันแน่นด้วยความปลื้มปิติยินดีท่านที่กราบไหว้บูชาพระฤาษีสององค์พี่น้องก็จะเป็นมงคลอันสูง ท่านก็จะได้แผ่บารมีแห่งความเมตตามายังท่าน มาป้องปัดบำบัดรักษา และคุ้มครองมิให้โรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียนตลอดกาล....   

ตำนานพระปรคนธรรพ หรือ พระฤาษีนารอท ดุริยเทพที่ประทานความสำเร็จ เสน่ห์เมตตามหานิยม


     พระฤาษีนารอดเป็นคำที่คนไทยเราคุ้นเคยเป็นอย่างดี แต่หาก ถามถึงความเป็นมาหลายคนก็ไม่รู้ ที่รู้ก็อาจไม่ถูกต้อง ดังนั้น จึงขอนำประวัติที่น่าสนใจของพระฤาษีตนนี้มาเล่าสู่กันฟังให้ผู้อ่านที่สนใจได้รับความรู้ที่ถูกต้อง เกี่ยวกับพระฤาษีตนนี้ด้วย

พระฤาษีนารอดเป็นพระฤาษีที่เกี่ยวข้องกับการดนตรีและมีชื่อเยกอยู่หลายชื่อ สำหรับชื่อคนทางนาฏศิลป์และดุริยางคศิลป์ ดนตรีไทย คุ้นเคยและกราบไหว้บูชากันคือ "พระปรคนธรรพ" ถ้ากล่าวชื่อนี้ในหมู่นาฏศิลป์ย่อมรู้จักกันดีแต่คนทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงนาฏศิลป์ก็คงไม่รู้จัก หรือบางคนอาจเพิ่งเคยได้ยินนามนี้เป็นครั้งแรก

ในหนังสือบูชาครูดุริยะเทพ เรียบเรียงโดยพระอาจารย์ศิริพงศ์ ครูพันธ์กิจ เล่าเรื่องพระปรคนธรรพไว้ว่า มีนามจริงว่า "นารท" มีประวัติปรากฏในวรรณคดีต่างๆมากมาย ทั้งฝ่ายพราหมณ์และทางพระพุทธศาสนา พระปรคนธรรพแปลว่า ยอดของฤาษี ราชาแห่งฤาษี ผู้ประดิษฐ์พิณขึ้นเป็นท่านแรก บางแห่งออกนามว่า "เทพคนธรรพ์" "คนธรรพราช" เป็นผู้เชี่ยวชาญในการบรรเลง ขับร้อง โหราศาสตร์ กฏหมาย และทางการแพทย์ นักเลงไสยศาสตร์เรียกว่า "พระฤาษีนารอด" (พระฤาษีนารท) ตามภัมภีร์โบราณของอินเดียกล่าวว่า พระฤาษีนารทเป็น พรหมฤาษี มหาประชาบดี พระนารทเป็นบุตรของมนู บางตำราว่า พระนารท เกิดจากพระนลาตของพระพรหมจึงได้รับสมญาว่าเป็นบุตรแห่งพรหม
 

 ในคัมภีร์วิษณุปุราณะกล่าวว่า พระนารทเป็นบุตรของพระกศยปเทพบิดร พระนารทได้รับการยกย่องนับถือมากกว่าบรรดาฤาษีทั้งปวง นอกจากพระปรคนธรรพจะมีนามจริงว่า นารท แล้ว ยังมีชื่ออื่น ๆ อีกมากมาย เช่น พระปิศุนา แปลว่า ผู้สื่อข่าว บางทีเรียกว่าพระกสิการกะ (ผู้ทำให้เกิดการถกเถียงต่อสู้ทะเลาะวิวาท) บางแห่งเรีกพระกปิพัตร (หน้าลิง) พระนารทนอกจากจะมีเพศเป็นชายแล้ว ยังมีเพศเป็นหญิงอีกปางหนึ่งชื่อนาง นารที เป็นภรรยาของพระนารายณ์แปลง ชื่อพราหมณ์สันนยาสี มีบุตรด้วยกัน 60 คน

คราวหนึ่งพระปรคนธรรพ (นารท) แปลงกายเป็นพญานกบินไปเกาะที่กิ่งของต้นมะเดื่อใหญ่ริมแม่น้ำ ด้วยกำลังของพญานกทำให้ผลมะเดื่อร่วงลงน้ำ ทำให้เกิดเสียงสูงต่ำต่างกันตามระดับความสูงต่ำของผลมะเดื่อ ทำให้พระปรคนธรรพ (นารท) คิดประดิฐ์เครื่องดนตรีได้อีกชิ้นหนึ่ง

ด้วยนิสัยประจำตัวของพระปรคนธรรพ (นารท) นี้เป็นผู้มีนิสัย ชอบแนะนำ ยุแหย่ให้เกิดเรื่องราวต่างๆ ขึ้นมากมายในหมู่เทวดา จึงได้นามว่า "ปิศุนา" พระบาทสมเด็จพระมงกูกเกล้าเจ้าอยู่หัว ฯ ทรงกล่าวถึงความสามารถของพระนารทว่า เป็นตริกาลสัชณระ ผู้รอบรู้ในกาลทั้งสาม คือ อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต สามารถสอดส่องเห็นทั่วไปด้วยตบะ เป็นผู้มีวชาทางเสน่ห์ เมตตามหานิยม เป็นผู้แต่งคัมภีร์ทางกฏหมาย ชื่อ "นารทิยธรรมศาสตร์" และเป็นผู้เล่าเรื่องรามายะณะได้ พระฤาษีวาลมิกิฟัง และพระฤาษีวาลมิกิจึงรถจาคัมภีร์รามายะณะขึ้นตามเทวโองการของพระพรหม

นักดนตรีปี่พาทย์และนาฏศิลป์ยกย่องนับถือพระปรคนธรรพ (นารท) มาก และถือว่าพระปรคนธรรพเป็นประธานควบคุมดูแลการบรรเลงคุมจังหวะหน้าทับ กำกับการบรรเลงและการฟ้อนรำ จึงนับถือตะโพนซึ่งมีหน้าที่บรรเลงคุมจังหวะหน้าทับว่าเป็นตัวแทนขององค์พระปรคนธรรพ
ทุกครั้งเมื่อเลิกจากการบรรเลงจะนำตะโพนเก็บไว้ในที่สูงกว่าเครื่องดนตรีประเภทอื่นๆ และก่อนการบรรเลงทุกครั้งจะมีการถวายเครื่องกำนลบูชาครูตะโพน ตลอดถึงการบรรเลงปี่พาทย์ประกอบการไหว้ครูทุกครั้งจะมีการห่มตะโพนด้วยผ้าขาว และปูลาดผ้าขาวเพื่อรองเท้าตะโพน จัดวางขันกำนลสำหรับให้ผู้บรรเลงเพลงหน้าพาทย์ทุกคนได้บูชาครูที่หน้าผ้าขาวที่ปูลาดหน้าตะโพน และก่อนที่พิธีกรผู้ประกอบพิธีไหว้ครูจะทำพิธีไหว้ครูจะต้องมาบูชาครูตะโพนก่อน แล้วนำสังข์บรรจุน้ำสะอาด ขอพลีน้ำล้างหน้าตะโพน เพื่อทำน้ำมนต์ธรณีสาร ประพรมเครื่องดนตรีและผู้ร่วมพิธีไหว้ครู

เรื่องตำนานของพระปรคนธรรพ หรือ พระปรโคนธรรพ หรือพระนารท หรือพระฤาษีนารอดนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะมีตำแหน่งเป็นทั้งมหาฤาษี เทพฤาษี พรหมฤาษี ซึ่งหมายถึงเป็นผู้ที่มีตบะฌานแก่กล้า มีญาณหยั่งรู้กว้างขวาง ทรงความรู้รอบด้าน ทั้งพระเวท ทั้งการดนตรี กฏหมาย นอกจานี้ยังเป็นประชาบดี หมายถึงผู้เป็นใหญ่เหนือประชา คือ กลุ่มผู้สร้างมนุษย์กลุ่มแรก ตามตำนานกล่าวว่า ประชาบดีนั้นมีด้วยกัน ทั้งหมด 10 คน

1.   มรีจิ
2.   อัตริ
3.   อังคีรส
4.   ปุลัสสตะยะ
5.   ปุลหะ
6.   กระตุ
7.   วสิฐ
8.   ประเจตัส (ทักษะ)
9.   ภฤคุ
10. พระนารท

นอกจากนี้พระนารทยังเป็นหนึ่งสัตปฤาษี หรือเจ็ดยอดฤาษีที่ได้รับความนับถือสูงสุดอีกด้วย ส่วนคำว่าพระปรคนธรรพ หรือปรโคธรรพ นั้นก็หมายถึงท่านเป็นยอดแห่งคนธรรพทั้งหลาย นี่แสดงให้เห็นว่าพระนารทนี้มีความสำคัญและได้รับการยกย่องมากที่สุด

ในบางแห่งกล่าวว่า พระฤาษีนารท (นารอด) เป็นพวกกระเทพ เรื่องี้เห็นจะเป็นเพราะว่า พระฤาษีนารทนั้นบางครั้งเป็นหญิง บางครั้งเป็นายและยังชอบทางการดนตรีด้วย แต่เรื่องนี้ถือว่าเป็นความเข้าใจผิด เพราะหากพิจารณาดูแล้วทางด้านคุณธรรมที่เป็นถึงพรหมฤาษีนั้น แสดงว่า พระนารทหรือพระฤาษีนารอดนี้อยู่ชั้นพรหม ตามตำราทางพระพุทธศาสนา และพราหมณ์กล่าวคล้ายกนว่า ในชั้นพรหมนั้นผู้ที่เข้าถึงไดต้องได้ฌานสมาบัติตั้งแต่ฐมฌานขึ้นไป ผู้เข้าสู่ชั้นพรหมนั้นจะเป็นผู้หมดจากอุปาทานทางเทศ ในพรหมจึงไม่ปรากฏว่าเป็นชายหรือหญิง เสวยสุขด้วยกำลังฌานตามแต่ละขั้นของตน

พระนารท หรือพระฤาษีนารอด คือผู้สำเร็จฌานแก่กล้า จึงย่อมเป็นผู้ไม่อยู่ในวิสัยของกะเทย เพราะย่อมละ อัตภาพของความเป็นหญิงและชายไปแล้ว ทั้งผู้ที่ถึงเรื่องพรหมย่อมไม่มีกามราคะ เพราะกามราคะนั้นนอนนิ่งเหมือนตะกอนใต้น้ำ หรือดั่งหญ้าโดนหินทับด้วยอำนาจตบะฌานนันแล ส่วนเรื่องวาจาไม่อยู่สุขและเรื่องราวต่างๆ ที่มักปรากฏขึ้นในวรรณคดีนั้น หากพจารณาแล้วจะเข้าใจได้ว่าแท้จริงเรื่องราวทั้งหมดที่ เกิดขึ้นก็ล้วนเป็นมายา พระนารทเป็นประดุจลมที่พัดเอาวาจาหรือคำพูดของแต่ละคนไปเท่านั้นเอง พระนารทเสมือนหนึ่งเป็นผู้ดำเนินเรื่องให้สมบูรณ์ และเรื่องทั้งหมดแท้จริงเป็นเพียงมายา หามีสาระอย่างใดไม่ เป็นเพียงคติสอนใจว่าการพูดจาสิ่งใด การกระทำสิ่งใดควรไตร่ตรองพิจารณาให้ดี แล้วจึงทำทุกอย่างย่อมเป็นสุขไม่มีทุกข์เกิดขึ้นในภายหลัง

จากที่อธิบายมาโดยตลอดนี้ ท่านผู้อ่านคงเข้าใจได้ว่าวิชานาฏศิลป์ดุริยางคศิลป์นั้น หาใช่วิชาสามัญหรือวิชาพื้นๆ ก็หาไม่ แต่เป็นวิชาศักดิ์สิทธิ์มีเค้ามาจากเบื้องบน มีเทพยเจ้าเป็นผู้ให้กำเนิด เป็นของมีครู ดังนั้นเราคนไทยผู้ได้รับการสืบสานวิชาการเหล่านี้มาจนถึงปัจจุบันจึงควรให้ความสนใจและสมควรแก่การอนุรักษ์สืบต่อไปมิให้สูญหายไปตามวันเวลา
ที่มาข้อมูล : www.yimwhan.com/board/show.php?user=ittipatihan&topic=3&Cate=1 - 59k -

1155
อ่านแล้วได้ข้อคิดดีๆ ขอบคุณครับ

1157
อนุโมทนา สาธุด้วยครับ

1158
2 รูปบน เป็น พระผงรุ่นห้าเสาร์ ประจุตะกรุดทองคำ ปี 2534 ส่วน 2รูปล่างนี้ไม่แน่ใจครับ ทั้ง2องค์ สวยครับ

1159
ถึงบวชก็สักได้ครับ ช่วงวันไหว้ครูผมเห็นพระภิกษุหลายรูปก็ไปสักครับ

1160
ขอพลังจงอยู่กับท่าน (สตาร์วอร์)
                                           เพื่อท่านจะได้มีแรง และสติปัญญา ทำงานเพื่อส่วนรวมต่อไป

1162
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / งาช้างดำ
« เมื่อ: 12 มี.ค. 2552, 01:15:53 »
 ช้างเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองไทย มานาน ช้างเป็นสัตว์ใหญ่ สัตว์มงคลยิ่งช้างเผือกนี่ก็หายาก แต่หายากยิ่งกว่าคือช้างงาดำ บ้านเมืองไหนมีช้างงาดำ บ้านเมืองนั้นมีความอุดมสมบูรณ์ เมื่อ 2ปีที่แล้ว ผมไปเที่ยวเมืองน่านได้เข้าไปที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดน่านได้ไปสักการะงาช้างดำ จึงอยากนำบทความและรูปภาพเกี่ยวกับงานช้างดำมาลงเผื่อเป็นประโยชน์กับสมาชิกท่านอื่นไม่มากก็น้อยครับ

    งาช้างดำ
   
งาช้างดำมีลักษณะเป็นงาปลียาว 97 เซนติเมตร วัดโดยรอบตรงส่วนใหญ่ที่สุด 47 เซนติเมตร โพรงตอนโคนลึก
 14 เซนติเมตร  สีออกน้ำตาลเข้มไม่ดำสนิท มีจารึกอักษรล้านนาภาษาไทยว่า ?กิ่งนี้หนักหนึ่งหมื่นห้าพัน? หรือประมาณ 18 กิโลกรัม
สันนิษฐานว่าเป็นงาข้างซ้ายเพราะมีรอยเสียดสีกับงาชัดเจน ความเป็นมาของงาช้างดำนี้ไม่มีหลักฐานแน่ชัด มีเพียงตำนานเล่า
สืบต่อกันมา 2 เรื่อง
   เรื่องที่  1  กล่าวว่าในสมัยพระเจ้าสุมนเทวราช  เจ้าผู้ครองนครเมืองน่าน  (พ.ศ.2353-2368)  มีพรานคนเมืองน่านได้เข้าป่า
ล่าสัตว์เข้าไปถึงเขตแดนระหว่างไทยกับเชียงตุงได้พบซากช้างตัวดำสนิทตายในห้วย พอดีกับพรานชาวเชียงตุงมาพบด้วยพราน
ทั้งสองจึงแบ่งงาช้างดำกันคนละข้าง ต่างคนก็นำมาถวายเจ้าเมือง ต่อมาเจ้าเมืองเชียงตุง ได้ส่งสารมาทูลเจ้าสุมนเทวราชว่า ตราบใด
งาช้างดำคู่นี้ไม้สูญหาย  เมืองน่านกับเมืองเชียงตุงจะเป็นมิตรไมตรีกันตลอดไป
   เรื่องที่ 2 กล่าวว่าเมืองน่านยกทัพไปล้อมเมืองเชียงตุงหลายเดือน ทำให้ชาวเมืองเชียงตุงเดือดร้อนโหรเมืองเชียงตุงทูล
เจ้าเมืองว่าเป็นเพราะมีงาช้างดำอยู่ด้วยกัน ทางที่ดีควรแยกออกจากกัน  จึงนำงาช้างดำกิ่งหนึ่งมอบให้กองทัพเมืองน่านแล้วกระทำสัตย์สาบานเป็นมิตรกันตลอดกาลC:\Documents and Settings\Owner\Desktop\pormea5[1].jpg
   ความสำคัญของงาช้างดำนี้เชื่อกันว่า พญาการเมือง เจ้าผู้ครองนครน่านองค์ที่ 6 ราวพุทธศตวรรษที่ 20 ได้ทำพิธีสาปแช่ง
เอาไว้ว่า  ให้งาช้างดำนี้เป็นของคู่บ้านคู่เมืองน่านตลอดไป ผู้ใดจะนำไปเป็นสมบัติส่วนตัวมิได้  ต้องไว้ที่หอคำหรือวังเจ้าผู้ครองนคร
เท่านั้น งาช้างดำเป็นวัตถุมงคลคู่บ้านคู่เมืองน่านและถือเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของจังหวัดน่าน  เป็นวัตถุโบราณที่หายากและมีคุณค่า
ทางประวัติศาสตร์อย่างมาก
            ตอนผมไปเที่ยวที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดน่าน ได้เห็นภาพที่แสนหดหู่ เนื่องด้วยมีพระยืนแบบล้านนาแกะสลักด้วยไม้ มากมายที่โดนคนใจปาบ ไม่เกรงกลัวกรรมและกฎหมาย ขโมยเลื่อยไปขาย ผมไม่ทราบว่าคนขโมยและคนซื้อจะได้รับผลกรรมยังไง แต่คนเหล่านี้ไม่มีวันมีความสุขแน่ๆ
ที่มาของข้อมูล : http://xchange.teenee.com/index.php?showtopic=48254
                   :http://images.google.co.th/imgres?imgurl=http://doctorchangthai.com/images_content/pormea5.jpg&imgrefurl=http://doctorchangthai.com/show_detailinform.php%3Fid_inform%3D5&usg=__rMVn3FUa5LgOLaMO-8bMDWDBcbA=&h=315&w=500&sz=51&hl=th&start=2&um=1&tbnid=gHfLSh_wbE45gM:&tbnh=82&tbnw=130&prev=/images%3Fq%3D%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%258A%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B3%26hl%3Dth%26sa%3DN%26um%3D1

1163
สยๆทั้งนั้นเลย ครับ ว่าแต่สั่งแกะนี้ ค่าแกะเท่าไหร่ครับ

1164
ขอบคุณสำหรับเวป และ คาถา ครับ
มีก็มีคาถา ดีๆ นำมาเสนอ ครับ
นะโม 3 จบ
ข้าวทุกจาน อาหารทุกอย่างอย่าง อย่ากินทิ้งกว้าง
เป็นของมีค่า หลายคนเหนื่อยยากลำบากนักหนา
สงสารบรรดาคนอยากคนจน
ในโลกนี้? ?ยังมีคนที่จนยากแสนลำบากอัตคัดและขัดสน
อย่ากินทิ้งกว้าง ตามใจตน สงสารคนอื่นที่เขาไม่มีกิน

แล้วนึกถึง คุณค่าของ ข้าว ครับ และผู้มีพระคุณทั้งหลาย

หากท่องทุกวัน ผมรับลอง ครับ จะมีสิ่งศักสิทธิ์คุ้มคลอง ทำให้แคล้วคลาดปลอดภัย

ฝากเวป http://www.watprom.iirt.net/index.html ด้วยนะครับ วัดไทยในต่างแดน ครับ  :015:




เห็นคาถานี้ของท่านเอ็ม อดนึกถึงวัยเด็กไม่ได้

1166
บทความดีครับ ดีจริงๆ จะเอาไปประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันนะครับ

1167
ขอบคุณมากครับ สำหรับข้อมูลดีๆแบบนี้

1168
บทความ บทกวี / สงครามเก้าทัพ
« เมื่อ: 12 มี.ค. 2552, 05:56:34 »
                                      
สงครามเก้าทัพ เป็นสงครามระหว่างสยามกับพม่า หลังจากที่พระบาทพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทำการย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรี มาทางทิศตะวันออก สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เป็นราชธานีแห่งใหม่ เวลานั้นบ้านเมืองอยู่ในช่วงผ่านศึกสงครามมาใหม่ ๆ ประจวบทั้งการสร้างบ้านแปลงเมือง รวมทั้งปราสาทราชวังต่าง ๆ เวลาผ่านมาได้เพียง 3 ปีพ.ศ. 2328 พระเจ้าปดุง กษัตริย์อังวะ หลังจากบรมราชาภิเษกขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินพม่าแล้ว ต้องการประกาศแสนยานุภาพ เผยแผ่อิทธิพล โดยได้ทำสงครามรวบรวมเมืองเล็กเมืองน้อยรวมถึงเมืองประเทศราชให้เป็นปึกแผ่น แล้วก็ได้ยกกองกำลังเข้ามาตีไทย มีจุดประสงค์ทำสงครามเพื่อทำลายกรุงรัตนโกสินทร์ให้พินาศย่อยยับเหมือนเช่นกรุงศรีอยุธยา
            สงครามครั้งนี้พระเจ้าปดุงได้ยกทัพมาถึง 9 ทัพ รวมกำลังพลมากถึง 144,000 นาย โดยแบ่งการเข้าโจมตีกรุงรัตนโกสินทร์ออกเป็น 5 ทิศทาง
ทัพที่ 1 ได้ยกมาตีหัวเมืองประเทศราชทางปักษ์ ใต้ตั้งแต่เมืองระนองจนถึงเมืองนครศรีธรรมราช
ทัพที่ 2 ยกเข้ามาทางเมืองราชบุรีเพื่อที่จะรวบกำลังพลกับกองทัพที่ตีหัวเมืองปักษ์ใต้แล้วค่อยเข้าโจมตีกรุงรัตนโกสินทร์
ทัพที่ 3 และ 4 เข้ามาทางด่านแม่ละเมาแม่สอด
ทัพที่ 5-7 เข้ามาทางหัวเมืองฝ่ายเหนือตั้งแต่เชียงแสน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ตีตั้งแต่หัวเมืองฝ่ายเหนือลงมาสมทบกับทัพที่ 3 4 ที่ยกเข้ามาทางด่านแม่ละเมา เพื่อตีเมืองตาก กำแพงเพชร พิษณุโลก นครสวรรค์
ทัพที่ 8-9 เป็นทัพหลวงพระเจ้าปดุงเป็นผู้คุมทัพ โดยมีกำลังพลมากที่สุดถึง 50,000 นาย ยกเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์เพื่อรอสมทบกับทัพเหนือและใต้โดยมีจุดมุ่งหมายที่กรุงเทพฯ
                         
             เวลานั้นทางฝ่ายไทยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าได้รวบรวมกำลังไพล่พลได้เพียง 70,000 นายมีกำลังน้อยกว่าทัพพระเจ้าพม่าถึง 2 เท่าแต่ก็มีความเก่งกล้าชำนาญการสงคราม ประจวบเป็นทหารรบเดิมของพระเจ้ากรุงธนบุรีที่สามารถกอบกู้บ้านเมืองสมัยเสียกรุงศรีอยุธยาได้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงทรงปรึกษาวางแผนการรับข้าศึกกับ สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ว่าจะทำการป้องกันบ้านเมืองอย่างไร แผนการรบของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ คือจัดกองทัพออกเป็น 4 ทัพโดยให้รับศึกทางที่สำคัญก่อน แล้วค่อยผลัดตีทัพที่เหลือทัพที่ ๑ ให้ยกไปรับทัพพม่าทางเหนือที่เมืองนครสรรค์ ทัพที่ ๒ ยกไปรับพม่าทางด้านพระเจดีย์สามองค์ ทัพนี้เป็นทัพใหญ่ มีสมเด็จพระบวรราชเจ้ามาหาสุรสิงหนาทเป็นแม่ทัพ คอยไปรับหลวงของพระเจ้าปดุงที่เข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ ทัพที่ ๓ ยกไปรับทัพพม่าที่จะมาจากทางใต้ที่เมืองราชบุรี ส่วนทัพที่ ๔ เป็นทัพหลวงโดยมีพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เป็นผู้คุมทัพคอยเป็นกำลังหนุน เมื่อทัพไหนเพลี้ยงพล้ำก็จะคอยเป็นกำลังหนุน สมเด็จพระอนุชาธิราช พระบวรราชเจ้ามาหาสุรสิงหนาท ได้ยกกองทัพไปถึงเมืองกาญจนบุรี ตั้งรับทัพอยู่บริเวณทุ่งลาดหญ้า เชิงเขาบรรทัด สกัดกั้นไม่ให้ทัพพม่าได้เข้ามารวบรวมกำลังพลกันได้ นอกจากนี้ยังจัดกำลังไปตัดการลำเลียงเสบียงของพม่าเพื่อให้กองทัพขาดเสบียงอาหาร แล้วยังใช้อุบาย โดยทำเป็นถอยกำลังออกในเวลากลางคืน ครั้นรุ้งเช้าก็ให้ทหารเดินเข้ามาผลัดเวร เสมือนว่ามีกำลังมากมาเพิ่มเติมอยู่เสมอ เมื่อทัพพม่าคาดแคลนเสบียงอาหารประจวบกับครั้นคร้ามคิดว่ากองทัพไทยมีกำลังมากกว่า จึงไม่กล้าจะบุกเข้ามาโจมตี สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทเมื่อสบโอกาสทำการโจมตีกองทัพ 8-9 จนถอยร่นพระเจ้าปดุงเมื่อเห็นว่าไม่สามารถบุกโจมตีต่อได้ประจวบทั้งกองทัพขาดเสบียงอาหารจึงได้ถอยทัพกลับ สำหรับการโจมตีทางด้านอื่น ทางด้านเหนือพระยากาวิละเจ้าเมืองลำปางสามารถป้องกันทัพพม่าที่ยกมาทางหัวเมืองฝ่ายเหนือได้สำเร็จ ส่วนทัพที่บุกมาทางด่านแม่ละเมา มีกำลังมากกว่าจึงสามารถตีเมืองพิษณุโลกได้ แต่เมื่อเสร็จศึกทางด้านพระเจดีย์สามองค์แล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จึงเสด็จยกทัพขึ้นไปช่วยหัวเมืองทางเหนือ ส่วนทางปักใต้ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท เมืองเสร็จศึกที่ลาดหญ้าแล้ว เสด็จยกทัพลงไปช่วยทางปักต์ใต้ต่อ แต่ก่อนที่จะเสด็จไปถึงทัพพม่าได้โจมตีเมืองระนองถึง เมืองถลาง เวลานั้นเจ้าเมืองถลางเพิ่งจะถึงแก่กรรมยังไม่มีการตั้งเจ้าเมืองคนใหม่ แต่ชาวเมืองถลางนำโดยคุณหญิงจันภริยาเจ้าเมืองถลางที่ถึงแก่กรรมและนางมุกน้องสาว ได้รวบรวมกำลังชาวเมืองต่อสู้ข้าศึกจนสุดความสามารถ สามารถป้องกันข้าศึกพม่าไม่ให้ยึดเมืองถลางไว้ได้ หลังเสร็จศึกแล้วพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้คุณหญิงจันเป็นท้าวเทพกษัตรีย์ (หรือท้าวเทพสตรี) นางมุกน้องสาวเป็นท้าวศรีสุนทร นอกจากนี้ทัพพม่าบางส่วนสามารถตีเมืองนครศรีธรรมราชได้ และยกลงไปตีเมืองสงขลาต่อ เจ้าเมืองและกรมการเมืองพัทลุงพอทราบข่าวทัพพม่าตีเมืองนครศรีธรรมราชได้ด้วยความขลาดจึงหลบหนีเอาตัวรอด แต่มีภิษุรูปหนึ่งนามว่าพระมหาช่วยมีชาวบ้านนับถือศรัทธากันมาก ได้ชักชวนชาวเมืองพัทลุงให้ต่อสู้ป้องกันสกัดทัพพม่าไม่ให้เข้ายึดเมืองพัทลุงได้ เมืองกองทัพสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ยกกองทัพลงมาช่วยหัวเมืองปักต์ใต้ ตีทัพพม่าตั้งแต่เมืองไชยาลงมาจนถึงนครศรีธรรมราช เมื่อทัพพม่าแตกพ่ายถอยร่นไปพ้นจากหัวเมืองปักต์ใต้แล้ว พระมหาช่วยต่อมาได้ลาสิกขาบทและเข้ารับราชการ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงทรงตั้งให้เป็นพระยาทุกขราษฎร์ กรมการเมืองพัทลุง หลังจากพ่ายแพ้ไทยกลับไป พระเจ้าปดุง ได้รวบรวมกำลังหมายจะเข้ามาตีไทยในปีถัดมา ในปี พ.ศ. ๒๓๒๙ โดยครั้งนี้พระเจ้าปดุงได้รวมกำลังเป็นทัพใหญ่ทัพเดียว พร้อมจัดหาเสบียงอาหารให้บริบูรณ์ ยกทัพมาทางด่านพระเจดีย์สามองค์แล้วตั้งทัพที่ท่าดินแดง เมืองกาญจนบุรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทเป็นแม่ทัพหน้าพระองค์เป็นแม่ทัพหลวง ทัพทั้งสองได้โจมตีทัพพม่าพร้อมกัน สู้รบกันเพียง ๓ วัน ทัพของพม่าก็แตกพ่ายไป สงครามครั้งแรกที่พระเจ้าปดุงยกทัพเข้ามาโจมตีไทยถึง 9 ทัพจึงเรียกสงครามเก้าทัพ ส่วนครั้งหลังที่รบกันที่ท่าดินแดงจึงเรียกว่า สงครามท่าดินแดง
         เหตุการณ์ตอนปลายรัชกาลที่ 35 แห่งกรุงศรีอยุธยา ไทยเสียกรุงแก่พม่า เพราะความเสื่อมเรื้อรังในสถาบันการเมืองและสังคม คนไทยทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างรุนแรง บางกลุ่มทั้งดื้อทั้งบ้า ความเสื่อมยังมาจาก การที่ไทยไม่มีผู้นำเด็ดขาด ไพร่พลก็ค้นหาแต่ความสุขสนุกสบาย ไม่พร้อมรบ และร้ายที่สุด ก็คือ เกิดไส้ศึกภายใน!!!....
ที่มาขอบทความ : http://www.buddhapoem.com/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&Category=buddhapoemcom&thispage=1&No=1185985
ในสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน บ้านเมืองเรามีศึกมาประชิดประเทศทุกด้าน ข้าศึกเราคือเศรษฐกิจโลกอันผันผวน เราควรสามัคคีกัน ไม่ควรแบ่งแยกแบ่งฝ่าย ร่วมมือกันรบ ด้วยการประหยัด ผมคิดว่าเราจะมีชัยคงไม่ยาก

1169
มีโอกาสคงได้ไปสักสายล้านนาครับ ขอบคุณสำหรับข้อมูลและภาพสวยๆนะครับ

1170
[shake]ถ้าสักหลาย อาจารย์ จะมีข้อเสียอะไรมั้ยครับ[/shake]
ผมว่าไม่ข้อเสียนะครับ แต่ละสำนัก แต่ละวัด จะมีวิชาเอกที่แตกต่างกัน ผมว่าศึกษาหาความรู้ มีวิชาติดตัว ไม่มีเสียหายครับ

1171
บทความ บทกวี / ตอบ: ทองคำ
« เมื่อ: 11 มี.ค. 2552, 08:06:40 »
เพิ่มเติ่มครับ
เว็บที่มาของมูล : http://share.psu.ac.th/blog/sec-gold-pyrite/955
                                                                                             ขอบคุณครับ

1172
บทความ บทกวี / ทองคำ
« เมื่อ: 11 มี.ค. 2552, 06:47:23 »
     ผมอยากรู้ว่าทำไมคนถึงชอบทอง โลหะสีเหลืองกันนะ บางครั้ง ถึงฆ่ากัน ทำสงคราม เพื่อได้มาทองคำ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี   
บทความนี้เกี่ยวกับธาตุ สำหรับความหมายอื่น ดูที่ ทอง
79 แพลตินัม ← ทองคำ → ปรอท
Ag

Au

Rg 
ตารางธาตุ
 
 
ทั่วไป
ชื่อ, สัญลักษณ์, หมายเลข ทองคำ, Au, 79
อนุกรมเคมี โลหะทรานซิชัน
หมู่, คาบ, บล็อก 11, 6, d
ลักษณะ สีเหลืองวาว
 
มวลอะตอม 196.96655(2) กรัม/โมล
การจัดเรียงอิเล็กตรอน [Xe] 4f14 5d10 6s1
อิเล็กตรอนต่อระดับพลังงาน 2, 8, 18, 32, 18, 1
คุณสมบัติทางกายภาพ
สถานะ ของแข็ง
ความหนาแน่น (ใกล้ r.t.) 19.3 ก./ซม.³
ความหนาแน่นของของเหลวที่m.p. 17.31 ก./ซม.³
จุดหลอมเหลว 1337.33 K
(1064.18 °C)
จุดเดือด 3129 K(2856 °C)
ความร้อนของการหลอมเหลว 12.55 กิโลจูล/โมล
ความร้อนของการกลายเป็นไอ 324 กิโลจูล/โมล
ความร้อนจำเพาะ (25 °C) 25.418 J/(mol·K)
ความดันไอ P/Pa 1 10 100 1 k 10 k 100 k
ที่ T K 1646 1814 2021 2281 2620 3078
 
          คุณสมบัติของอะตอม
โครงสร้างผลึก cubic face centered
สถานะออกซิเดชัน 3, 1
(amphoteric oxide)
อิเล็กโตรเนกาติวิตี 2.54 (Pauling scale)
พลังงานไอออไนเซชัน ระดับที่ 1: 890.1 กิโลจูล/โมล
ระดับที่ 2: 1980 กิโลจูล/โมล
รัศมีอะตอม 135 pm
รัศมีอะตอม (คำนวณ) 174 pm
รัศมีโควาเลนต์ 144 pm
รัศมีวานเดอร์วาลส์ 166 pm
อื่น ๆ
การจัดเรียงทางแม่เหล็ก no data
ความต้านทานไฟฟ้า (20 °C) 22.14 nΩ·m
การนำความร้อน (300 K) 318 W/(m·K)
การขยายตัวจากความร้อน (25 °C) 14.2 µm/(m·K)
ความเร็วเสียง (thin rod) (r.t.) (hard-drawn)
2030 m/s
โมดูลัสของยังก์ 78 GPa
โมดูลัสของแรงเฉือน 27 GPa
โมดูลัสของแรงบีบอัด 220 GPa
อัตราส่วนปัวซอง 0.44
ความแข็งโมห์ส 2.5
ความแข็งวิกเกอร์ส 216 MPa
ความแข็งบริเนล 2450 MPa
เลขทะเบียน CAS 7440-57-5
ไอโซโทปที่น่าสนใจ
บทความหลัก: ไอโซโทปของทองคำ iso NA ครึ่งชีวิต DM DE (MeV) DP
195Au syn 186.10 d ε 0.227 195Pt
196Au syn 6.183 d ε 1.506 196Pt
β- 0.686 196Hg
197Au 100% Au เสถียร โดยมี 118 นิวตรอน
198Au syn 2.69517 d β- 1.372 198Hg
199Au syn 3.169 d β- 0.453 199Hg
 
          แหล่งอ้างอิง
ทองคำ (อังกฤษ: gold) คือธาตุเคมีที่มีหมายเลขอะตอม 79 และสัญลักษณ์คือ Au (มาจากภาษาละตินว่า aurum) ทองคำเป็นธาตุโลหะทรานซิชันสีเหลืองทองมันวาวเนื้ออ่อนนุ่ม สามารถยืดและตีเป็นแผ่นได้ ทองคำไม่ทำปฏิกิริยากับสารเคมีส่วนใหญ่ ทองคำใช้เป็นทุนสำรองทางการเงินของหลายประเทศ ใช้ประโยชน์เป็นเครื่องประดับ งานทันตกรรม และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

    เนื้อหา 1 คุณสมบัติของทองคำ
2 การเกิดของแร่ทองคำ
3 หน่วยน้ำหนักของทองคำ
4 การแปลงน้ำหนักทองคำ
5 การลงทุนทองคำ
6 ประโยชน์อื่น
7 รายชื่อของบริษัทและห้างหุ้นส่วนในธุรกิจค้าทองคำที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย
8 รายชื่อตลาดทองคำที่สำคัญของโลก
9 อ้างอิง
10 แหล่งข้อมูลอื่น
คุณสมบัติของทองคำ
มีความแวววาวอยู่เสมอ ทองคำไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนดังนั้น เมื่อสัมผัสถูกอากาศสีของทองจะไม่หมองและไม่เกิดสนิม มีความอ่อนตัว ทองคำเป็นโลหะที่มีความอ่อนตัวมากที่สุด ด้วยทองเพียงประมาณ 2 บาท เราสามารถยืดออกเป็นเส้นลวดได้ยาวถึง 8 กิโลเมตร หรืออาจตีเป็นแผ่นบางได้ถึง 100 ตารางฟุต เป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดี ทองคำเป็นโลหะชนิดหนึ่งที่สามารถนำไฟฟ้าได้ดี สะท้อนความร้อนได้ดี ทองคำสามารถสะท้อนความร้อนได้ดี ได้มีการนำทองคำไปฉาบไว้ที่หน้ากากหมวกของนักบินอวกาศ เพื่อป้องกันรังสีอินฟราเรด

มนุษย์รู้จักทองคำมาตั้งแต่ประมาณ 5,000 ปี เป็นความหมายแห่งความมั่งคั่ง จุดหลอมเหลว 1064 และจุดเดือด 2970 องศาเซลเซียส เป็นโลหะที่มีค่าที่มีความเหนียว (Ductility) และความสามารถในการขึ้นรูป (Malleability) คือจะยืดขยาย (Extend) เมื่อถูกตีหรือรีดในทุกทิศทาง โดยไม่เกิดการปริแตกได้สูงสุด ทองคำบริสุทธิ์หนัก 1 ออนซ์สามารถดึงเป็นเส้นลวดยาวได้ถึง 80 กิโลเมตร ถ้าตีเป็นแผ่นก็จะได้บางเกินกว่า 1/300,000 นิ้ว ส่วนความกว้างจะได้ถึง 9 ตารางเมตร

ทองคำบริสุทธิ์จะไม่ทำปฏิกิริยาทางเคมี (Chemicalinactive) ได้ง่าย จึงทนต่อการผุกร่อนและไม่เกิดสนิมกับอากาศ (Oxidide) แต่มีปฏิกิริยากับคลอรีน ฟลูออรีน น้ำประสานทอง

คุณสมบัติเหล่านี้ประกอบกับลักษณะภายนอกที่เป็นประกายจึงทำให้ทองคำเป็นที่หมายปองของมนุษย์มาเป็นเวลานับพันปี โดยนำมาตีมูลค่าสำหรับการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศและใช้เป็นวัตถุดิบที่สำคัญสำหรับวงการเครื่องประดับ

ทองคำได้รับความนิยมอย่างสูงสุดในวงการเครื่องประดับทองคำ เพราะเป็นโลหะมีค่าชนิดเดียวที่มีคุณสมบัติพื้นฐาน 4 ประการซึ่งทำให้ทองคำโดดเด่น และเป็นที่ต้องการเหนือบรรดาโลหะมีค่าทุกชนิดในโลก คือ

งดงามมันวาว (lustre) สีสันที่สวยงามตามธรรมชาติผสานกับความมันวาวก่อให้เกิดความงามอันเป็นอมตะ ทองคำสามารถเปลี่ยนเฉดสีทองโดยการนำทองคำไปผสมกับโลหะมีค่าอื่นๆ ช่วยเพิ่มความงดงามให้แก่ทองคำได้อีกทางหนึ่ง
คงทน (durable) ทองคำไม่ขึ้นสนิม ไม่หมอง และไม่ผุกร่อน แม้ว่ากาลเวลาจะผ่านไป 3000 ปีก็ตาม
หายาก (rarity) ทองเป็นแร่ที่หายาก กว่าจะได้ทองคำมาหนึ่งออนซ์(31.167 gram) ต้องถลุงก้อนแร่ที่มีทองคำอยู่เป็นจำนวนหลายตัน และต้องขุดเหมืองลึกลงไปหลายสิบเมตร จึงทำให้มีค่าใช้จ่ายที่สูง เป็นเหตุให้ทองคำมีราคาแพงตามต้นทุนในการผลิต
นำกลับไปใช้ได้ (reuseable) ทองคำเหมาะสมที่สุดต่อการนำมาทำเป็นเครื่องประดับเพราะมีความเหนียวและอ่อนนิ่มสามารถนำมาทำขึ้นรูปได้ง่าย อีกทั้งยังสามารถนำกลับมาใช้ใหม่โดยการทำให้บริสุทธิ์ (purified) ด้วยการหลอมได้อีกโดยนับครั้งไม่ถ้วน
การเกิดของแร่ทองคำ
สรุปจากเอกสารของกรมทรัพยากรธรณี ได้มีการแบ่งการเกิดของแร่ทองคำออกเป็น 2 แบบ ตามลักษณะที่พบในธรรมชาติได้ดังนี้

แบบปฐมภูมิ คือกระบวนการทางธรณีวิทยา มีการผสมทางธรรมชาติจากน้ำแร่ร้อน ผสมผสานกับสารละลายพวกซิลิก้า ทำให้เกิดการสะสมตัวของแร่ทองคำในหินต่างๆ เช่น หินอัคนี หินชั้น และหินแปร มีการพบการฝังตัวของแร่ทองคำในหิน หรือสายแร่ที่แทรกอยู่ในหิน ซึ่งส่วนใหญ่จะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
แบบทุติยภูมิหรือลานแร่ คือการที่หินที่มีแร่ทองคำแบบปฐมภูมิได้มีการสึกกร่อน และถูกน้ำพัดพาไปสะสมตัวในที่แห่งใหม่ เช่น ตามเชิงเขา ลำห้วย หรือในตะกอนกรวดทรายในลำน้ำ
แหล่งแร่ทองคำปฐมภูมิในไทย เช่น

แหล่งโต๊ะโมะ จ.นราธิวาส
แหล่งเขาสามสิบ จ.สระแก้ว
แหล่งชาตรี(เขาโป่ง) จ.พิจิตร - จ.เพชรบูรณ์
แหล่งดอยตุง (บ้านผาฮี้) จ.เชียงราย
แหล่งเขาพนมพา จ.พิจิตร
แหล่งแร่ทองคำทุติยภูมิในไทย เช่น

แหล่งบ้านป่าร่อน จ.ประจวบคีรีขันธ์
แหล่งบ้านนาล้อม จ.ปราจีนบุรี
แหล่งบ้านทุ่งฮั้ว จ.ลำปาง
แหล่งในแม่น้ำโขง จ.เลย - จ.หนองคาย
แหล่งบ้านผาช้างมูบ จ.พะเยา




หน่วยน้ำหนักของทองคำ
กรัม : ใช้กันเป็นส่วนใหญ่ ถือว่าเป็นหน่วยสากล
ทรอยเอานซ์ : ใช้ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย
โทลา : ใช้กันทางประเทศแถบตะวันออกกลาง อินเดีย ปากีสถาน
ตำลึง : ใช้ในประเทศที่ใช้ภาษาจีน เช่น จีน ไต้หวัน ฮ่องกง
บาท : ใช้ในประเทศไทย
ชิ : ใช้ในประเทศเวียดนาม

 การแปลงน้ำหนักทองคำ
ทองคำความบริสุทธิ์ 96.5% (มาตรฐานในประเทศไทย)
ทองรูปพรรณ น้ำหนัก 1 บาท เท่ากับ 15.16 กรัม
ทองคำแท่ง น้ำหนัก 1 บาท เท่ากับ 15.244 กรัม
ทองคำความบริสุทธิ์ 99.99%
ทองคำ 1 กิโลกรัม เท่ากับ 32.1508 (ทรอย) ออนซ์
ทองคำ 1 (ทรอย) ออนซ์ เท่ากับ 31.1040 กรัม
หมายเหตุ: ทรอยออนซ์ เป็นหน่วยชั่งของโลหะมีค่า แต่มักเรียกสั้นๆ ว่า ออนซ์

1 ทรอยออนซ์ เท่ากับ 1.097 ออนซ์ (ปกติ)
12 ทรอยออนซ์ เท่ากับ 1 ทรอยปอน
1 ทรอยปอน เท่ากับ 373 กรัม

การลงทุนทองคำ
การตั้งราคาทองในประเทศไทยจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ Goldspot และ USD-THB

Goldspot
คือ ราคาทองต่างประเทศ มีการซื้อขายทองโดยใช้เงินสกุลดอลล่าร์

USD-THB
คือ อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเทียบกับเงินสกุลดอลลาร์

การตั้งราคาทองในประเทศไทย มีสูตรคำนวณดังนี้
สูตรคำนวณราคาทองคำ = (spot gold + 1) x อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท x 0.4729


ประโยชน์อื่น ด้านอวกาศ
ในทางอวกาศได้มีการนำทองคำมาใช้เป็นชุดนักบินอวกาศและแคปซูล เพื่อป้องกันไม่ให้นักบินอวกาศกระทบกับรังสีในอวกาศที่มีพลังงานสูง นอกจากนี้ยังมีการใช้ทองคำบริสุทธิ์เคลือบกับเครื่องยนต์ ระบบอิเล็กทรอนิกส์ หมวกเหล็ก เกราะบังหน้า และอุปกรณ์อื่นๆ ที่ใช้ในอวกาศ เนื่องจากทองคำที่มีความหนา 0.000006 นิ้ว จะมีคุณสมบัติช่วยสะท้อนรังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์ไม่ให้ทำลาย หรือลดประสิทธิภาพการทำงานของอุปกรณ์เหล่านี้


      ด้านทันตกรรม
มีการใช้ทองคำเพื่อการครอบฟัน เชื่อมฟัน หรือการเลี่ยมทอง และยังมีการใช้ในการผลิตฟันปลอมด้วย เนื่องจากทองคำมีความคงทนต่อการกัดกร่อน การหมองคล้ำ และยังมีความแข็งแรงอีกด้วย โดยจะใช้ทองคำผสมกับธาตุอื่น เช่น แพลตินัม


            ด้านอิเล็กทรอนิกส์
มีการนำทองคำมาใช้เป็นวัสดุที่ทำหน้าที่สัมผัสในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น เครื่องคิดเลข โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือ เนื่องจากทองคำมีค่าการนำไฟฟ้าสูง และมีความคงทนต่อการกัดกร่อน จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และอายุการใช้งานของเครื่องไฟฟ้าเหล่านั้น

รายชื่อตลาดทองคำที่สำคัญของโลก
ตลาดทองคำนิวยอร์ก
ตลาดทองคำลอนดอน
ตลาดทองคำฮ่องกง
ตลาดทองคำอินเดีย
ที่มาของข้อมูล  :   สมาคมค้าทองคำแห่งประเทศไทย
โลหะก็คือโลหะไม่มีค่าเท่าคุณงามความดี

1174
ขอบคุณสำหรับข่าวสารงานบุญนี้นะครับ

1175
สวยงามมากๆครับ สักวันคงได้ไปสักกับท่านหลวงพี่พัน

1176
ถ้างานบุญไม่มี ... คงมีงานหมั้น หรือไม่ก็งานแต่ง ม้างคะ...   :009:

ส้อมคู่กะช้อนฉันท์ใด

เนอะน้องเอ็มเนาะ?

...งานพี่โชว์ด้วยหรือเปล่าครับ แจ้งล่วงหน้าด้วยนะครับ จะได้ไปตัดสูท  37;...

ดีครับๆ พี่เอ็กผมเห็นด้วย ผมจะได้ใส่ชุดเกราะไปงานครับ  :007:
งั้นผมไม่ต้องเอารถหุ้มเกราะไปรึครับ แบบกลัวนะครับ งานนี้มียิงกันสนั่นแน่ ยิงมุขครับ

1178
ตอนนี้หากดูไม่ผิด มีเข้าเพิ่มเป็น192 คนแล้วนี่ครับ

1179
รูปนี้เคยลงแล้วนะครับ แต่เห็นกี่ครั้ง ก็สวยงามครับ

1180
ถ้าสักน้ำมัน แล้ว ทับหมึกได้ ครับ
แต่ถ้าสักหมึก และ มาทับ หมึก แย่ ครับ ...  :075:
กวนเลยนะท่านเอ็ม........


การสักทับ ตามความคิดผม น่าจะเป็นอาจารย์ท่านเดียวกันนะครับ เพื่อเป็นการให้เกียรติท่าน

1181
สวยครับสวยมากๆ

1183
ใช้สีภาพแปลกมากเลย สวยดีครับ

1184
ดีครับเข้ามาดูส่วนหนึ่งของความเป็นชาติไทย เข้ามายิ่งเยอะยิ่งดีครับ

1185
ได้ความรู้มากครับ

1186
จะไม่หมดได้ไงครับวันที่6 ตี2ครึ่ง สักให้ผมเสร็จยังมีลูกศิษย์วางดอกไม้ใส่พานอยู่เลย ท่านเมตตามากครับ สักต่ออีก ขอบพระคุณท่านมากครับ

1187
เสียดายครับที่พึ่งรู้จะได้อยู่ยาว กลับมาที่กระบี่แล้วครับ คงทำได้ก็เพียงส่งใจไปไหว้ด้วย

1189
ขอบคุณสำหรับข้อความดีๆนะครับท่าน

1190
การแสดงออกทางการ แต่งกาย การสัก การเจาะ ก็แสดงถึงจิตใจ บางครั้งหากทำอะไรเกินไปเค้าก็ว่าบ้า แต่แบบนี่ เกินจะบรรยายจริงๆ

1191
ผมได้พระหลวงพ่อเปิ่น ปี35 มาจากท่านเอ็มครับ ผมจะแขวนองค์นี้องค์เดียวตลอดชีวิต หากมีเงินจะเลี่ยมทอง หากรวยจะฝั่งเพชรเลยครับ แต่ตอนนี้แบบพอเพียงพลาสติกไปก่อนนะครับ :004: ขอบคุณท่านเอ็มมากนะครับ


1192
รูปมาแล้วครับ ซะ :090:ครับ แต่ขอผ่านไม่ขอเข้าใกล้เลย คิดได้ไง :073: ใจเค้าใจเรานะเค้าคงคิดว่าสวยในความคิดเค้า แต่กล้านะครับเล่นถลกหนังเป็นรูปเลย ว่าแต่ตอนไม่ชอบแล้วจะลบยังไง :010:

1193
มีการสักที่บางพระเหมือนกันนะครับ เท่าที่รู้มา กุฏิพระอาจารย์สมชายก็มีสักครับ ส่วนของจะขึ้นเพราะสัก 5 แถวไหมผมว่าไม่น่าขึ้นนะครับหากมีรูปอื่นๆไม่แน่ ส่วนตัวกระผมไม่ได้สักที่วัดบางพระ สัก กับอาจารย์ประโยชน์ดินแดงสายบางพระและอาจารย์ทองครับ

1194
สวยมากๆครับ
ปล.ถ่ายภาพเทียบกับเก้าอี้ น่าจัดของด้านหลังหน่อยนะครับ ขำๆนะครับ

1195
ว่าไงว่าตามกันครับท่านสิ่งดี กระผมพร้อมปฎิบัติ

1196
ได้ขึ้นกันทั่วหน้าเลย ผมไม่ขึ้นครับ ไม่ค่อยมี สมาธิ ปรับตัวไม่ทัน ไหว้ครูปีหน้ารู้แล้วว่าจะทำยังไง

1197
แล้วบูชายังไง นำมาสักระที่บ้านจะดีไหมครับ วางที่หิ้งพระรึต้องต่ำกว่าครับ

1199
สวยๆครับ

1201
ขอบคุณที่นำภาพดีๆมาให้ชมนะครับ

1202
ไหว้ครูปีหน้าคงได้เจอทุกๆท่านนะครับ

1204
ไหว้ครูบูรพาจารย์ / ตอบ: **ไหว้ครู**
« เมื่อ: 09 มี.ค. 2552, 10:08:37 »
นมัสการ ครับ

1205
หนังท่านสวยนะครับ สวยแบบของท่าน

1206
เสียดายที่เจ็บขาไม่งั้นขอไปด้วยแล้ว :070:

1207
ถ่ายภาพได้สวยครับ เป็นธรรมชาติได้อารมณ์ครับ

1208
ขอบคุณสำหรับภาพสวยๆนะครับ

1209
สวัสดีครับ ยินดีครับ

1211
ได้ควายธนูจากอาจารย์ท่านหนึ่ง วันที่ได้ท่านรีบๆถามถึงเรื่องการเลี้ยงการเสกการสวดคาถาต่างๆไม่ทันบอกท่านก็ไป กลุ้มครับงานนี้
ใจอยากเลี้ยงมานาน แต่ไม่รู้เลี้ยงยังไง จึงอยากเรียนถามท่านผู้รู้ มีคาถาเกี่ยวกับควายธนู
-ตอนเสกประจำทุกวัน
-ใช้งาน
-ตอนให้กินหญ้า+น้ำ(จุดธูปกี่ดอก)
-ตอนให้ไปข้างนอก(วิ่งเล่น)
-เรียกกลับ
-และอื่นๆ ทีมีนะครับ
คือแบบไม่รู้เลยอยากถามนะครับ ขอเป็นวิทยาทาน ด้วยครับขอบคุณครับ

1212
อ่านกี่ครั้งกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ(ว่าแต่ใช่อันนี้ไหมหลวงพี่)

1213
อยากจาทราบว่ากุฎิไหนคับที่สักแบบคิดตามภาพ  เพื่อนของผมไปสักมา ผมเลยยังคงงงอยู่ว่ามีด้วยหรือ
ไม่เคยรู้มาก่อนเลย  แล้วอยากทราบว่าเปนยังไงเหมือนกันมั๊ย?  ใครเคยไปช่วยตอบที
ส่วนตัวผมเองกุฎิพระอาจารย์ญาตลอดมิเปลี่ยนใจ      05;   อย่าปล่อยให้ผมงงนานนะคับ

พอได้ยินผ่านหู ... มาบ้าง อยู่ไม่ไกล้ไม่ไกลอ่ะครับ แต่ก็อนุโมทนาครับ

รู้สึกว่าที่วัดบางพระเรา ค่าครู 25 บาทนะครับ ถ้าไงก็พิจารณา สาธุ ....  :089:

ตามที่ผมสัมผัสมา ผมสักที่นี้มาหลายครั้งหลวงพี่สมชายท่านว่าอะไรตรงๆนะ ส่วนเรื่องราคาก็ตกลงกันก่อนสักแล้วสักได้สวยงามครับ ตามที่ขอเลย บางครั้งลูกศิษย์บางคนมาตอนใกล้ฉันเพล-ทำวัตรเย็น พระอาจารย์ก็ต้องไปทำกิจของสงฆ์ ก็คงต้องให้อาจารย์ที่เป็นฆารวาสสัก ซึ่งฆารวาสก็มีค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่าย กระผมเป็นคนหนึ่งที่เป็นลูกศิษย์กุฏินี้ซึ่งระลึกถึง เมตตาของอาจารย์และพระอาจารย์ของกุฏินี้ทุกท่าน ซึ่งเป็นสายบางพระเหมือนกัน ไม่ควรแบ่งแยก

1214
หากจะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ ผมเคารพในการทำมาหากินของทุกๆท่าน แต่ ที่เขียนมันมีหลายคำที่บ่งบอกถึงความมีอคติกับผู้มีรอยสักยันต์ และกระผมอยากให้ ผู้เขียนแก้ไขในสิ่งที่ใช้ถ้อยคำแบบเหมารวม การวัดค่าของจิตใจคนก็เท่านั้นหากปล่อยไปนานๆ คนภายนอกที่ไม่ได้เรียนศาสตร์นี้ จะเข้าใจผิด คิดว่าวิชานี้เป็นอย่างที่ผู้เขียน เขียนไว้ในหนังสือดังกล่าว ที่สำคัญหากการที่มีข้อมูลผิดๆมาบันทึกไว้ คนรุ่นหลังอาจจำอะไรผิดๆไปนะครับ อะไรผิดก็ว่าไปตามผิด หากผิดแล้วต้องรีบแก้ไข ผมว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นนะครับ

1215
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: ใครเอย ?
« เมื่อ: 08 มี.ค. 2552, 02:17:58 »
ด้วยความเคารพ ผมคาดตาให้นะครับ


ดีครับดีทำเหมือน ศาลาคนเศร้าหาคู่เลย5555 ขำๆครับไม่ต้องคิดมาก หากท่านโดนผมไปเยี่ยมชอบอะไรว่ามาเลย

1216
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: ใครเอย ?
« เมื่อ: 08 มี.ค. 2552, 02:10:39 »
ส่วนกระผมเจอเป็นกลุ่มเลยครับ ไม่เป็นมวยเลย คนของขึ้นเข้าไปล๊อคเค้าก็โดนลากโดนสบัดไปตามระเบียบ

1217
             ข้อความนี้ กระผมจะเขียนบทความถึงความคิดเห็นส่วนตัวนะครับอาจมีบางข้อความที่อาจทำให้ผู้เขียนหนังสือไม่พอใจซึ่งกระผมจะขอรับผิดชอบแต่ผู้เดียว
              หนังสือชื่อ เกจิขมังเวท หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ
              กระผมขอวิจารณ์แยกเป็นข้อดังนี้นะครับ
1.ในหน้าที่ 10 บรรทัดที่ 16 กล่าวว่า"หลวงพ่อเปิ่นเป็นบุตรคนที่3 ของครอบครัว "ที่จริง หลวงพ่อเป็นบุตรคนที่ 9
2.ในหน้าที่11บรรทัดที่ 2 กล่าวว่า "หลวงพ่อเปิ่น เกิดวันที่ 2 สิงหาคม พศ. 2466 "ที่จริงท่านเกิด วันที่ 12 สิงหาคม พศ.2466
3.ทางผู้เขียนได้ตั้งช่อเรื่องว่า หนังสือชื่อ เกจิขมังเวท หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ ซึ่งผมดูแล้วน่าจะเขียนถึงหลวงพ่อเปิ่นเป็นส่วนใหญ่ นี่ เป็นเรื่องหลวงพ่อ ไม่ถึง 40 หน้า จาก 130 หน้า รวมปก  ซึ่งท่านเหมือนเอาชื่อหลวงพ่อท่านมาสร้างความสนใจ ท่านควรตั้งชื่อเรื่องเป็น รวม เกจิ หรือ อะไรก็ได้ที่บ่งบอกถึงเนื้อหาที่มีในเล่มตรงๆ และ 40 หน้านั้น ก็มีบางส่วนกล่าวถึง คนสักยันต์ที่ไม่ใช่มาจากสายบางพระ ไปก่อเหตุปล้น ฆ่าทำผิดกฏหมายมากมาย และท่านผู้เขียนกล่าวถึง ท่านหลวงพ่อมีใจนักเลง ซึ่งอันนี้ ไม่ว่ากัน แต่ที่สงสัยว่าผู้เขียน คิดยังไง ถึงกล่าวเช่นนี้ คือ "คนที่มีจิตใจเป็นนักเลงก็ต้องพยายามเสาะหาครูบาอาจารย์ผู้เรืองอาคมและไสยเวท เพื่อเรียนวิชาเอาไว้ป้องกันตัวบ้าง เพื่อเป็นบารมีเผื่อจะดังขึ้นมาเหมือนอย่างสี่เสือสุพรรณนั่นบ้าง" ผมอาจจะมองโลกไม่กว้างเหมือนท่านผู้เขียน แต่หากท่านลงบทความเช่นนี้ ผมไม่พอใจมาก ท่านยังแยก การกระทำของคนใจนักเลง กับ อันธพาล-อาชกร ไม่ออกเลย ผู้เขียนมีทัศนะคติกับคนสักยันต์ตามที่ท่านเขียนว่า "คนสักยันต์เป็น คนไม่ดี เป็นโจรดังที่มีวิชาแล้วกล้า ไม่กลัวตาย" ผมว่าคนสักยันต์ที่ดีมีเยอะมากจนผู้เขียนนึกไม่ถึงและเป็นข้าราชการใหญ่ๆก็เยอะหากอยากรู้กระผมจะบอกให้เป็นการส่วนตัว ตามที่ผมเคยฝากเบอร์ไว้ที่สำนักพิมพ์
หากทางเว็บบอร์ดวัดบางพระต้องการจะลบข้อความนี้ผมก็ยินดีและขออภัย

1218
เศร้าเลยครับ กะจบงานไหว้ครู แล้วจะไปวัดท้องไทร

1219
ขออนุญาตแจ้งถึงท่านเจ้าของกระทู้นะครับ เรื่องเสียงธรรมะที่ดังอัตโนมัตินั้นก็คลิกปิดง่ายๆตรงรูปสี่เหลี่ยม ที่แสดงอยู่ รูปหยุดเสียงนี้ใช้สัญลักษณ์ที่เป็นสากล เข้าใจกันทั่วโลก คลิกแล้วก็เงียบ ง่ายๆครับลองทำดู และท่านครับ ธรรมะนี้คือคำตรัสสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เป็น ของสูงนะครับ ไม่ควรอย่างยิ่งที่ใช้คำว่า"รำคาญ"นะครับ

1220
ขอบคุณครับ น่าจะมีประวัติประกอบรูปมาให้อ่านกันด้วย อิอิ
ขอเพิ่มเติมนะครับ
พระพิฆเณศ, พระคเนศ,พระวิฆเนศวร, พระคณปติ, พระคณบดี, เหรัมภะ, เอกทันตะ และชื่อเรียกอื่นๆอีกมากมาย
กำเนิดพระพิฆเนศวร
คัมภีร์ปราณะได้บันทึกไว้ช่วงหลังพุทธศตวรรษที่ 1 กล่าวถึงการกำเนิดพระพิฆเนศในฐานะเทพ และโอรสของพระแม่อุมาเทวีกับพระศิวะเทพ โดยแต่ละตำนานได้กล่าวไว้แตกต่างกัน ดังนี้

ตำนานที่หนึ่ง ปราบอสูรและรากษส

เมื่ออสูรและรากษส ทำการบวงสรวงพระศิวะเพื่อขอพรต่อพระองค์จนได้รับพร สมประสงค์ ต่อเมื่อได้ใจกลับรุกรานเหล่าเทวดาให้ได้รับความเดือดร้อนไปทั่ว จนความถึงพระอินทร์จึงจำต้องพาเหล่าเทวดาทั่งหลายไปขอเข้าเฝ้าพระศิวะเจ้า เพื่อขอให้ทรงหนหนทางหรือผู้ที่จะปราบเหล่าอสูรและรากษสใจพาลเหล่านั้น เมื่อได้ฟังคำร้องทุกข์จากเหล่าเทวดาแล้ว พระศิวะจึงทรงแบ่งกายเป็นบุรุษรูปงามซึ่งจะไปถือกำเนิดในครรภ์ของพระอุมาเทวี เมื่อถึงเวลากำเนิดแล้ว พระองค์จึงทรงให้พระนามว่าพระวิฆเนศวรเพื่อทำหน้าที่ปราบอสูรและรากษสทั้งหลาย เมื่อเสร็จสิ้นการปราบอสูรแล้ว พระองค์จึงทรงมอบหมายให้พระวิฆเนศวรทรงเป็นผู้ขัดขวาง และป้องกันเหล่าผู้มีจิตใจพาลต่างๆ ที่จะมาขอพรจากพระศิวะเพื่อนำไปใช้ในทางที่ผิด รวมทึ้งเป็นผู้คัดสรรเหล่าเทวดาและมนุษย์ผู้ทำกรรมดีและช่วยเหลือให้ค้นพบกับความสำเร็จ จากการขอพรต่อพระสิวะต่อไป

ตำนานที่สอง พระปารวตี (พระแม่อุมาเทวี) ปั้นเหงื่อไหลให้เป็นพระบุตร

เมื่อคราวที่พระปารวตีสรงน้ำอยู่ในอุทยาน พระองค์ทรงนำเหงื่อไคลของพระองค์มาปั้นเป็นหุ่นเทวบุตรรูปงาม และทรงใช้เวทย์มนต์เพื่อให้หุ่นนั้นมีชีวิตขึ้นมา จากนั้นจึงทรงรับสั่งให้เทวบุตรออกไปเฝ้ายังด้านหน้าประตูทางเข้าอุทยาน โดยได้รับสั่งว่าห้ามมิให้ผู้ใดเข้ามาโดยเด็ดขาด เหตุการณ์เป็นเช่นนี้มาโดยตลอดทุกครั้งที่พระแม่อุมาทรงสรงน้ำ ณ อุทยานแห่งนี้ จนกระทั่งเมื่อถึงวันกำหนดเสด็จกลับของพระศิวะ และเมื่อทั้งสองพระองค์พบกันในคราแรกต่างก็จะเข้าไปในอุทยาน อีกฝ่ายก็ปกป้องมิให้ผู้ใดย่างกายเข้าในอุทยานได้ด้วยเทวบุตรทรงได้รับคำสั่งของพระอุมา ห้ามมิให้ผู้ใดล่วงละเมิดเข้าไปยังสถานที่สรงน้ำแห่งนี้ เมื่อเป็นดั่งนั้นพระศิวะจึงทรงสั่งให้บริวารเข้าต่อสู้และได้สังหารเทวบุตร (แต่ในบางคัมภีร์ก็ว่าพระศิวะทรงใช้ตรีศูลตัดเศียรเทวบุตรนั้น บ้างก็ว่าพระวิษณุทรงใช้จักรตัดเศียร)

เมื่อพระปารวตีทรงพบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พระองค์ทรงโกรธและโมโหพระสวามียิ่ง จนถึงกับทำศึกใหญ่ระหว่างทั้งสองพระองค์ ร้อนถึงพระฤาษีนารอด (นารท) ต้องออกรับหน้าเจรจาศึกในครานี้ โดยพระปราวตีได้กล่าวให้พระศิวะผู้สวามีต้องหาหนทางให้เทวบุตรฟื้นชีวิตจึงจะยอมสงบศึกให้

พระศิวะจึงทรงมีคำสั่งให้เทวดาผู้เป็นบริวารเดินทางไปทิศเหนือ และให้ตัดศรีษะของสิ่งมีชีวิตแรกที่พบเพื่อนำมาต่อให้กับเทวบุตรผู้เป็นโอรส ไม่นานนักเทวดาก็เดินทางกลับมาพร้อมกับนำเศียรช้าง (มีงาเดียว) เพื่อมาต่อให้พระโอรส ซึ่งต่อมาจึงทรงตั้งพระนามใหม่ คือ คชานนะ (มีหน้าเป็นช้าง) และเอกทันต (ผู้มีงาเดียว) เมื่อได้ชุบชีวิตฟื้นแล้วพระปราวตีจึงทรงเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ทั้งสองพระองค์ได้ฟังว่าทั้งสองพระองค์ทรงเป็นพระบิดาและพระโอรส ซึ่งฝ่ายโอรสได้ฟังดังนั้นถึงกลับหมอบกราบขออภัยโทษเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของตน พระศิวะทรงพอพระทัยยิ่งนัก ถึงกับประทานพรให้พระโอรสให้เป็นผู้มีอำนาจเหนือเหล่าภูตผีทั้งปวง และทรงแต่งตั้งให้เป็น คณปติ ผู้เป็นใหญ่ในที่สุด

ตำนานที่สาม ขวางคนชั่วที่ต้องการล้างบาป ณ เทวาลัยโสมนาถ และเทวาลัยโสมีศวร

ตำนานกล่าวถึงว่าพระปารวตีได้ทรงนำน้ำที่ใช้ในการสรงน้ำมาผสมเหงื่อไคล ปั้นเป็นเทวบุตรรูปเป็นมนุษย์แต่มีเศียรเป็นช้าง จากนั้นจึงนำน้ำจากพระคงคามาประพรมเพื่อให้มีชีวิตขึ้นมา โดยมีพระประสงค์ให้ไปขัดขวางคนชั่วที่จะไปบูชาศิวลึงค์ เพราะหวังที่จะล้างบาปตนเอง ณ เทวาลัยโสมนาถ และเทวาลัยโสมีศวร เพื่อไม่ให้ตนตกขุมนรก

จากเรื่องเล่านี้ ทำให้ชาวฮินดูทั้งหลายนิยมนำรูปปั้นพระพิฆเนศมาจุ่มน้ำ ณ วัดคเนศจาตุรถี หรือบางครั้งก็จะนำเทวรูปเล็กๆ นำไปทิ้งตามแม่น้ำคงคาด้วยความเชื่อที่ว่า น้ำจากแม่น้ำคงคาจะทำให้พระคเณศมีชีวิตขึ้นมานั่นเอง

ตำนานที่สี่ พระกฤษณะอวตาร

เล่าไว้ว่าเมื่อครั้งพระปารวตียังไม่มีโอรส พระศิวะเทพผู้สวามีจึงให้คำแนะนำว่าให้จัดทำพิธีปันยากพรต (การบูชาพระวิษณุเทพในวันขึ้น 13 ค่ำ เดือนมาฆะ) โดยใช้เวลาในการทำพิธีตลอด 1 ปี ซึ่งหากทำโดยตลอดจนครบก็จะประสบความสำเร็จในการขอบุตร ซึ่งพระกฤษณะจะอวตารมาจุติ ต่อเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามคำของพระศิวะเทพแล้ว เหล่าเทพเทวดาทั้งหลายก็ได้มาร่วมอวยพรกับการถือกำเนิดของพระโอรสพระองค์นี้ รวมถึงเทพศนิ (พระเสาร์) ก็เข้ามาร่วมพิธีอวยพรด้วย ซึ่งพระศนิพระองค์นี้มีเรื่องกล่าวไว้ว่า เมื่อพระองค์ทรงเพ่งมองสิ่งใดมักจะเกิดไฟเผาผลาญสิ่งนั้นๆ จนหมดสิ้นไป

ในคราวเข้าร่วมพิธีอวยพร พระศนิก็ทรงได้ชื่นชมพระโอรส จนเผลอตนเพ่งมองพระโอรสจนเศียรของพระกุมารหลุดกระเด็นไปยังโคโลก (ที่ประทับพระกฤษณะ) พระศิวะจึงมีบัญชาให้พระวิษณุออกตามหาเศียรพระโอรส แต่ก็ไม่ทรงพบต่อมาเมื่อผ่านแม่น้ำบุษปภัทร พระวิษณุทรงแลเห็นช้างนอนหันหัวไปทางทิศเหนือ จึงตัดเศียรช้างนั้นนำกลับมาต่อให้พระโอรส

ตำนานที่ห้า พระศิวะ-พระปารวตีแปลงเป็นช้าง

คราหนึ่งพระศิวะและพระปารวตีได้เสด็จไปยังภูเขาหิมาลัย ได้แลเห็นช้างกำลังสมสู่กัน จึงบังเกิดความใคร่ จากนั้นจึงทรงแปลงกายเป็นช้างและสมสู่กันจนเกิดพระโอรส นามพระพิฆเนศ

ตำนานที่หก พระวิษณุเทพ เปล่งวาจากสิทธิ์ในพิธีโสกันต์

จากที่พระศิวะและพระปารวตีทรงจัดพิธีโสกันต์ให้กับพระโอรสในพิธีฤกษ์คือ วันอังคารจึงได้แจ้งเชิญเทพทั้งหลายทั้งมวลมาเป็นสักขีพยาน แต่คงยังขาดเพียงองค์วิษณุเทพที่ทรงอยู่ระหว่างบรรทม จนเมื่อใกล้เวลาอันเป็นมงคล พระศิวะเทพจึงทรงให้พระอินทร์นำสังข์ไปเป่าเพื่อปลุกให้พระวิษณุเทพตื่นจากบรรทม เมื่อพระวิษณุเทพทรงตืนจากบรรทมด้วยเสียงดังของสังข์ จึงทำให้พระวิษณุเทพพลั่งโอษฐ์ออกไปว่า "ไอ้ลูกหัวขาดจะนอนให้สบายก็ไม่ได้" เพียงวาจานี้ถึงกลับทำให้เศียรของพระโอรสหายไปในทันที เหล่าเทพทั้งหลายเมื่อเห็นดังนี้แล้วจึงปรึกษากันว่า วันอังคารถือเป็นฤกษ์ไม่ดีขอห้ามทำพิธีการมงคลใดๆ ทั้งมวล กลับถึงเรื่อง พระเศียรของโอรสพระศิวะเทพจึงมีบัญชาให้พระวิษณุกรรมไปตัดหัวมนุษย์ที่เพิ่งสิ้นชีวิต ณ ทิศตะวันตก แล้วนำกลับมาโดยเร็ว แต่ในวันนั้นหาได้มีมนุษย์ผู้ใดสิ้นอายุขัยลง พระวิษณุกรรมแลเห็นเพียงช้างพลายงาเดียวเท่านั้นที่สิ้นชีวิตลง จึงตัดหัวช้างพลายตัวนั้นกลับมาถวายพระศิวะเทพ

ในช่วงเวลาที่ศาสนาพุทธกำลังเติบโตในอินเดีย มีเรื่องเล่ากล่าวในตอนนี้ว่า เมื่อเทวดานำหัวช้างมาต่อแต่ก็ยังไม่สามารถทำให้พระโอรสฟื้นชีวิตได้ พระศิวะเทพจึงต้องให้พระวิษณุเทพไปทูลเชิญเสด็จพระศิริมานนท์อรหันต์ ให้โปรดเสด็จมาสวดพระคาถาชินบัญชรจนสำเร็จทำให้พระโอรสฟื้นชีวิต

หรือบ้างก็กล่าวว่าในพิธีโสกัณต์ พระราหูได้เตือนพระศิวะแล้วว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น จึงควรทูลเชิญเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เข้าร่วมพิธีนี้ด้วย แต่พระศิวะเทพก็หารับฟังไม่ บ้างก็ว่าพระอังคารไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมพิธีจึงโกรธแค้น และได้ลอบตัดเศียรพระโอรสไปโยนทิ้งทะเล
ที่มา   :  http://www.siamganesh.com/story05.html

1222
หลังสวยครับ ดวงดีที่รอดมาได้นะครับ

1223
หาโอกาสไปสักกับท่านอยู่ครับ ผมศรัทธาท่านอาจารย์พลมากครับ

1224
แปลกดีครับแต่สวยครับ ใครรู้บางครับว่ายันต์อะไร

1225
พิสูจน์ศรัทธานะครับ ไปยากๆ นี้ก็ดีครับ สวยครับสวย

1226
สาธุครับ ท่าน

1227
เห็นดีด้วยครับท่าน

1228
ที่ไหนว่างก็จอดเลยครับ คำนึง ถึงเรื่องหาย เรื่องอุบัติเหตุ และกีดขวางทางจราจรด้วยนะครับ

1229
ไม่น่าใช่นะครับ บางครั้งผมก็ไปสักและพาคนไปลงนะหน้าทองวันพระนะครับ

1230
อยากรู้มากเลยครับ ว่า ท่านลงนะหน้าทองนี่เจ็บตรงไหนครับ (แซวเล่นๆนะครับ)
              สักน้ำมันก็เจ็บนะครับอาจจะเบากว่าสักหมึกนิดหน่อยตรงลายละเอียด ส่วนสักทางเมตตานี้ได้ทุกกุฏิแต่หากเป็นกุฏิหลวงพี่ติ่งท่านจะสักน้ำมันเป็นส่วนใหญ่นะครับ

1231
แอบถ่ายได้ดีครับ

1232
ส่วนกระผม หากจะสักรูปอะไรก็ท่องหัวใจของรอยสักนั้นตลอด แต่ท่องอะไรยังไงก็เจ็บครับ แต่อยากได้ของดี ต้องทนครับ

1233
สวยงามหาดูได้ยากนะครับ

1235
ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จงดลบันดาล ให้ท่านเว็บ พบแต่ความสุข ความเจริญ นะครับ

1236
สวยงามมากเลยครับ ไหนท่านบอกสักไม่เยอะไงล่ะครับ สวยงามมากเลยครับจากใจเลยครับ

1237
ขอบคุณสำหรับข้อความดีๆนะครับ

1238
ขอบคุณที่มีเรื่องน่าดูมาให้ชม เสียวครับ ผมไม่รู้ว่าเสือกระโดดได้สูงมากขนาดนั้น นี้อยู่บนหลังช้างนะ หากเดินอยู่ท่าจะเป็น ลาบน้ำตก ซกเล็ก ของเสือไปแล้ว

1239
ผมก็ว่าดีนะครับ ประหยัดดี

1240
ขอบคุณที่เอายันต์สวยๆดีๆมาให้ชมนะครับ

1241
ขึ้นอยู่กับการรวบรวมจิตและเหตุการณ์ครับ อยู่ดีๆของขึ้นกลางสี่แยกไฟแดงก็ใช้ที่ แต่ของดีไม่ต้องลองถึงเวลาก็เห็นเอง

1242
คงเจ็บนะครับ แต่ คุ้มที่มีของดีไปตลอดชีวิต

1243
ขอบคุณที่นำภาพดีๆมาให้ชมครับ

1244
ส่วนกระผมจะไม่คลี่เด็ดขาดครับ

1246
ข้อห้ามสำหรับคนสักยันต์
              ๑. ห้ามผิดลูกเมียเขา
              ๒. ห้ามด่าบุพการี
              ๓. ห้ามกิน น้ำเต้า มะเฟือง
              ๔. ห้ามลอดไม้ค้ำกล้วย สะพานหัวเดียว
              ๕. ให้ถือศีล ๕ อย่างเคร่งครัด ทำแต่กรรมดี


ครูบาอาจารย์ขอแค่นี้ละครับ  ถือให้มั่น ทำให้ได้จริงๆ  เห็นผลแน่นอนครับ
ตามนั้นเลยครับ แต่อยากถามผู้รู้หน่อยนะครับ  สะพานหัวเดียว นี่ มันเป็นยังไง
รบกวนตอบหน่อยครับ

1247
ตะกรุดสวยงามมากเลยครับ เคยมีไว้ในครอบครองอยุ่เหมือนกันครับ... 36;

คุณโชว์ สาวเจ้าสเน่ห์ ...มีของเมตตาเยอะแยะมากมาย...

..ระวังปะทะกันกับท่านเด็กนอกวัดนะคร๊าบ หุหุ..
ท่านนี้รู้จริงเลยนะครับ
มาว่าเรื่องตระกรุดนะครับ สวยงามมากเลยนะครับ

1248
เคยคุยกับท่านสิบทัศน์แล้วท่านถามว่าตอนนี้ทำงานอยู่ที่ไหน ผมบอกว่าทำอยู่ที่ จังหวัดกระบี่ ท่านสิบทัศน์ถามถึง ลูกปัดคลองท่อม กระผมเลย หาข้อมูล ได้ข้อมูลมา น่าสนใจเลยขอนำบทความมาลงครับ
ควนลูกปัดแหล่งชุมชนโบราณคลองท่อมจังหวัดกระบี่
 

ชุมชนโบราณควนลูกปัด(คลองท่อม)
ตั้งอยู่ประมาณเส้นละติจูดที่ ๗ ๕๕ ๑๖ เหนือ และลองติจูดที่ ๙๙ ๙ ๔๙ ตะวันออก ทิศเหนือที่ดินวัดคลองท่อม บ้านเรือนของชาวบ้าน ทิศใต้ติดกับที่ครอบครองของชาวบ้าน สวนและป่าละเมาะ ทิศตะวันออก ติดกับที่นาสวนยางพารา ทิศตะวันออกติดต่อกับสวนผลไม้ บ้านเรือนและวัดคลองท่อม
ลักษณะของแหล่งเป็นเนินดิน ไม่มีคูน้ำคันดินหรือคูเมือง เป็นเนิราบในระดับความสูง ๘ เมตร จากระดับน้ำทะเล เป็นที่ราบกว้างประมาณครึ่งตารางกิโลเมตร แวดล้อมด้วยสวนยางพารา สวนผลไม้ ป่าละเมาะบ้านเรือนของชาวบ้าน ด้านตะวันออกเป็นแนวสูงต่อมาจากไหล่เขา เนินด้านเหนือไปสิ้นสุดกลางบริเวณที่ราบต่ำทางใต้และตะวันตก เป็นที่ราบลำคลองไหลผ่านชื่อคลองท่อม
ประวัติ
ชื่อชุมชน คำว่า"ควนลูกปัด" เป็นชื่อชาวบ้านเรียก เมื่อมีการค้นพบลูกปัดแก้วสีต่างๆ บนเนิดินบริเวณนี้ สมัยก่อนไม่มีใครสนใจเพราะวเห็น่าไม่มีค่าอะไร หรื่อเห็นว่าเป็นของโบราณเกรงจะเกิดอาเพทตามความเชื่อ และเรียกว่าบริเวณนี้ว่า ควนลูกปัด ส่วนชื่อ "คลองท่อม" เป็นชื่อหมู่บ้าน ตำบลและอำเภอ ตั้งขึ้นตามชื่อ "ลำคลอง" ที่ไหลผ่านแหล่ง คำว่า "ท่อม" มีผู้ให้ความเห็นดังนี้
"ท่อม" เป็นชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่ง สมัยก่อนขึ้นอยู่ทั่วไปบริเวณสายลำคลอง
"ท่อม" เลื่อนมาจากคำว่า "ทุ่ม" ซึ่งแปลว่าทอดทิ้ง ละร้างไป ที่สันนิษฐานว่าชุมชนแห่งนี้ถูกละทิ้งไปเพราะสาเหตุหลายประการ เช่นถูกข้าศึกรุกราน หรือละทิ้งไปเพราะเกิดโรคระบาดอย่างร้ายแรง
ประวัติทางโบราณคดี
พบหลักฐานการเข้าอยู่อาศัยของมนุษย์ตั้งแต่สมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ แต่ก็มีการพบวัตถุสมัยก่อนประวัติศาสตร์อีกด้วย คงจะเป็นการสืบทอดวัฒนธรรมมาจากสมัยก่อนประวัติศาสตร์ กลุ่มคนที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานบนเนินดินคลองท่อมคงเป็นพื้นเมืองสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่อาศัยอยู่ตามป่าเขาใกล้เคียงนั่นเอง เพราะจากหลักฐานต่างๆจากบริเวณอ่าวพังงาลงมาถึงบริเวณเขาขนาบน้ำ ถ้ำเสือ ถ้ำหลัง โรงเรียนทับปริก ถ้ำอ่าวโกบหน้าเชิง ล้วนเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ทั้งสิ้น ชุมชนคลองท่อมอยู่ใกล้ทะเล มีลำคลองไหลผ่าน อยู่ในเส้นทางการเดินข้ามแหลมจากตะวันตกไปตะวันออก เป็นที่ผ่านไปมาของบรรดาพ่อค้าต่างๆ เช่น จากอินเดีย อาหรับ เปอร์เซีย เป็นต้น ชื่อเดิมจะเป็นอย่างไรไม่พบหลักฐานอาจจะเป็น"ตะโกลา" ด้วยก็ได้ เพราะพิกัดแผนที่โบราณย่อมไม่แน่นอน
หลักฐานทางโบราณคดี
ที่พบ มีดังนี้
(๑) วัตถุที่ทำด้วยหิน มีดังนี้
๑.๑ เครื่องมือหิน มีทั้งหินกะเทาะซึ่งเป็นยุคหินกลางและเครื่องมือหินขัด เช่น ขวานหินทั้งมีบ่าและไม่มีบ่า
๑.๒ หินดุ เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการทำภาชนะดินเผา ส่วนมากทำด้วยหินทราย
๑.๓ แท่งหินสลัก มีหลายขนาดแกะเป็นลวดลายต่างๆ นอกจากนี้ยังมีแท่งหิน คาร์เนเลี่ยนสลักเป็นรูปสัตว์และรูปคน (น่าจะเป็นเทพหรือเทวีตามลัทธิที่นับถือ)
๑.๔ แม่พิมพ์ เช่น แม่พิมพ์ใช้หล่อขวานและหล่อตุ้มหู เป็นต้น
๑.๕ ตราประทับ พบตราที่เป็นข้อความ ตราเป็นรูปสัตว์ ตราประทับที่เป็นข้อความทำด้วยหินคาร์เนเลี่ยน นักโบราณคดีว่าเป็นอักษรปัลลวะ (อินเดียใต้) น่าจะมีอายุระหว่างพุทธ ศตวรรษที่ ๕ - ๑๒
๑.๖ ลูกปัดหิน เป็นวัตถุที่พบมากที่สุดมีหลายขนาด หลายสี ทำจากหินแก้วชนิดต่างๆ
๑.๗ หินซึ่งมีลักษณะเป็นก้อนรัตนชาติ พบจำนวนมากมีหลายขนาด หลายสี ยังไม่ได้นำมาตกแต่ง
๑.๘ วัตถุอื่นๆ ที่ทำด้วยหิน เช่น หินบด หินลับ ครกหิน เป็นต้น
(๒) วัตถุที่ทำด้วยแก้ว มีดังนี้
๒.๑ ลูกปัดแก้ว พบหลายขนาด หลายสี เช่นสี เช่นสีดำทึบแสง สีฟ้าแสลและโปร่งใส สีน้ำเงินแสงและโปร่งใส สีส้มทึบแสง สีแดง สีน้ำตาลทึบแสง บางชนิดยังมีริ้วลายสลับสี นอกจากนี้พบลูกปัดพิเศษออกไป เช่น ลูกปัดหน้าคน ชาวบ้านเรียก "หน้าอินเดียแดง" สันนิษฐานว่าจะเป็นรูปพระสุริยเทพ น่าจะได้รับอิทธิพลจากแถบเมดิเรเนียน
๒.๒ กำไลแก้ว ทำด้วยแก้วสีมีขนาดต่างๆ กัน ส่วนมากชำรุดทั้งสิ้น
๒.๓ แก้วหล่อมและเศษแก้วหลอม พบทั้งที่เป็นแท่งและเป็นก้อน บางก้อนโตมากทีหลายสี เช่น สีเขียว แดง ขาว น้ำเงินเข้ม สีชา บางก้อนมีเศษลูกปัดติดอยู่เป็นพืดอีกด้วย ทำให้เข้าใจว่า ควนลูกปัดน่าจะเป็นแหล่งอุตสาหกรรมผลิตรูปปัดอีกด้วย
๒.๔ แหวน พบแหวนที่ทำด้วยแก้วมากพอสมควรในแหล่งโบราณดคีแห่งนี้
๒.๕ เศษภาชนะที่เป็นแก้ว เศษเครื่องแก้วเหล่านี้ลักษณะบ่งบอกเป็นภาชนะจะผลิตในแหล่งนี้หรือเดินทางนำมาก็ได้ บางท่านระบุว่าเป็น "แก้วโรมัน"
(๓) วัตถุที่ทำด้วยดินเผา มีดังนี้
๓.๑ ภาชนะดินเผา เศษภาชนะดินเผาพบมากที่สุดกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป มีทั้งเคลือบและไม่เคลือบ มีลายและไม่มีลาย บางชิ้นเขียนลายเป็นรูปสัตว์ต่างๆอีกด้วย
๓.๒ ตะคันดินเผา สันนิษฐานว่าเป็นภาชนะใช้แทนตะเกียง พบมากพอควรไม่น้อยกว่า ๑๐ ชิ้นและหลายขนาด
๓.๓ แวดินเผา แวเป็นส่วนปรกอบของไนปั่นฝ้าย พบจำนวนมากมีหลายแบบ
๓.๔ แม่พิมพ์ เช่น แม่พิมพ์ดินเผาเป็นรูปนก
๓.๕ ลายประทับ พบหลายประทับเป็นรูปกลีบบัวและดอกไม้
๓.๖ ดินเผาในรูปอื่นๆ เช่นรูปสัตว์ คนขนาดเล็ก หินดุ เป็นต้น
(๔) วัตถุที่ทำด้วยสำริด มีเป็นจำพวกแหวนสำริด กำไล ตุ้มหู รูปสัตว์ต่างๆ เหรียญที่เป็นรูปสัญลักษณ์ต่างๆ ชิ้นส่วนคันฉ่องสำริดของจีน
(๕) วัตถุที่ทำด้วยเงิน มีจำพวกกำไล แหวน ตุ้มหู เหรียญรูปสัญลักษณ์ต่างๆ แร่เป็นก้อนซึ่งสันนิษฐานว่าแร่เงิน
(๖) วัตถุที่ทำด้วยทองคำ มีจำพวกลูกปัดต่างๆ ทองคำแท่งหรือเป็นแผ่น แหวนทองคำเป็นต้น
แหล่งคลองท่อมหรือควนลูกปัด เป็นสถานที่สำคัญในเชิงประวัติศาสตร์โบราณคดี วัตถุโบราณส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์วัดคลองท่อม โดยพระครูอาทรสังวรกิจเป็นดำเนินการ ผู้สนใจทางโบราณคดีแวะไปชมและศึกษาอยู่เป็นประจำ



--------------------------------------------------------------------------------
ที่มา : http://kanchanapisek.or.th/kp8/culture/krb/krb101.html

1249
ผมว่าไม่มีการสักรอยไหน ตัวอะไรเปลี่ยนนิสัย หรอกท่าน กระผมการสักดำดื้อ+แดงเก อาจจะดึงความก้าวร้าวที่ท่านเก็บซ่อนในใจมานานก็เท่านั้นเอง ท่านอาจห้าวขึ้น ใจร้อนขึ้น นั้นก็ขึ้นอยู่กับใจท่านนะครับ

1250
คลายเครียดดีครับ ขอบคุณท่านผู้จัด

1251
สวยมากเลยครับ

1252
ของดีนะครับ หากนำไปแกะแล้ว นำมาลงอีกนะครับ

1253
ทานอะไรไปก่อนเข้างานซิครับ ใช่มุขเดียวกับผมก็ได้ ลดความอ้วน อาหารเย็นงด ผมใช่บ่อย

1254
บ้านท่านนี้ น่าไปเที่ยวจังเลย มีของสวยๆเยอะ

1255
ไม่แปลกใจเลยว่ามีหนุ่มคิดถึงท่านเยอะ

1257
ยังไม่เคยเจอกับตัวเอง แค่ได้รู้จากท่านนี่ก็เกียจพอดู อย่าให้เจอนะไม่งั้น จะเกียจเพิ่มขึ้น คงทำได้แค่นี้นะครับ

1259
ไม่น่าจะตีกันได้นะครับ

1260
ความรู้เต็มๆ ขอบคุณครับ

1262


ลายนี้สักที่ขาเน้นเสน่ห์เมตตาครับ ม้าฮ่อ จิ้งจกทับ ข้างล่างปลัดหัวสิงห์น้อยคนที่จะได้ครับ




ปลัดลิงลม และบัวบังใบ




เต็มหลังของอีกท่านครับ
การวางภาพสุดยอดเลยครับสวยงาม จริงๆ ผมเคยมีโอกาส ได้รับวัตถุมงคลจากท่านแล้วรู้สึกศรัทธาท่านมาก หากมีโอกาสคงได้ไปเป็นศิษย์ท่าน

1266
สวยทุกเหรียญเลยครับ มีมากกว่าหนึ่งเหรียญทุกแบบเลย แบ่งม่ะได้ไหม :004: :004: :004: ล้อเล่นอย่างมีหวังนะครับ

1267
ผมมีวิธี ครับ แบบไม่ต้องใช้คาถา .... เอาบุหรี่วางใว้ข้างนอกอะครับ ไม่ต้องใส่ในซอง สัก 2 วัน ก็จืดและครับ แหะๆ  :075:

ถ้าอยากรู้คาถา รู้ถามผู้รู้ต่อไป ครับ ขอบคุณครับ

ท่านเอ็มวิชาล้ำลึก ไม่ต้องท่องคาถาด้วยสิครับ    :005: :005:


เพิ่งเคยได้ยินนี่ล่ะครับ

1268
รับทราบพร้อมปฏิบัติครับ

1269
สวยมากครับ

1270
การหากินก็มีหลายแบบ ก็ ปล่อยเค้าหาก เค้าจะทำแบบนั้นเราห้ามเค้าไม่ได้ แต่เราไม่ทำอย่างเค้าก็พอ เราไปประชาสัมพันธ์ ทุกเรื่องไม่ได้หรอกนะครับ

1271
สวยงามมากเลยครับเก็บได้ดีนะครับเหมือนใหม่แกะกล่องเลยนะครับ

1272
ก็แล้วแต่ละสำนักที่จะผสมหมึกนะครับสูตรใครก็สูตรใคร ส่วนผม ก็มี ดำบ้างเขียวบ้างแต่ไม่ได้คิดอะไรกับสีที่ปรากฏนะครับ ผมศรัทธาในอาจารย์และวิชาที่ได้มา มากกว่าสีหมึก ขอบคุณครับ

1273
ใช่ครับ ผมก็ลงไว้ด้านล่างตรง ที่มาแล้วนี่ครับ

1274
เสียดายคอมช้าเลยไม่รู้ว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร แต่ที่อยากรู้ที่สุดคือ ทำไมต้องลองด้วย

1275
สวยงามมากเลยครับ ว่าแต่สักด้วย เข็ม รึ ว่าสักเครื่องครับ ยอมรับว่าอาจารย์สักให้สวยมากครับ เจ้าของรอยสักก็อึดเอาเรื่องเลย

1276
ที่จริงผมลงผิดหมวด ที่ถูกต้องลงหมวด เกจิอาจารย์ภาคกลาง ต้องขออภัยด้วยนะครับ

1277
พระครูธรรมานุกูล (ภู จนฺทเกสโร)

วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม กรุงเทพ


ประวัติ วัดอินทรวิหาร
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?

เดิมชื่อ วัดอินทาราม หรือ วัดบางขุนพรหมนอก ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าผู้ใดเป็นคนสร้าง แต่มีเรื่องเล่ากันว่า เจ้าอินทร์ หรือ อินทะวงศ์ มีศักดิ์เป็นน้าชายของเจ้าน้อยเขียวเมืองเวียงจันทร์ เป็นผู้ปฏิสังขรณ์ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ธิดาของเจ้าอินทะ คนหนึ่งมีนามว่า เจ้าทองสุก กับเจ้าน้อยเขียว ได้เป็นพระสนมของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

ในสมัยนั้น เมืองเวียงจันทร์ยังเป็นเมืองขึ้นของกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้ทรงพระราชทานที่ดิน แถบที่ตั้งวัดอินทรฯ ในปัจจุบัน ให้เป็นที่อยู่ของชาวเวียงจันทร์ เจ้าอินทร์ได้นิมนต์ท่านเจ้าคุณพระอรัญญิก ซึ่งมีเชื้อสายชาวเวียงจันทร์ มาปกครองวัด

มูลเหตุการเปลี่ยนชื่อ
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๓ พระองค์เจ้าอินทร์ในกรมพระราชวังบวรมหาศักดิ์พลเสพย์ ได้บูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถส่วนการเปลี่ยนชื่อเพราะเนื่องจากชื่อวัด ไปตรงกับวัดอินทาราม (ใต้) ฝั่งธนบุรี จึงได้เปลี่ยนเป็น วัดอินทราวิหาร เพื่อไม่ให้ซ้ำกัน ในสมัยรัชกาลที่ ๖

พระพุทธรูปที่สำคัญ ของวัดอินทรวิหาร
๑. พระประธาน ในพระอุโบสถ

๒. พระศรีสุคต อังคีรสศากยมุนี

๓. พระศรีอริยเมตไตรย์ หรือ หลวงพ่อโต

ความสัมพันธ์ของ เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) กับหลวงปู่ภู
พระศรีอริยเมตไตรย์เป็นพระพุทธยืนอุ้มบาตร สูงใหญ่ที่สุดในเมืองไทย ซึ่งท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ได้เริ่มต้นสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ และหลวงปู่ภู เป็นผู้ดำเนินงานก่อสร้างต่อจนแล้วเสร็จ

ปกติ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านมักจะสร้างพระพุทธรูปที่ใหญ่โต สมกับชื่อเพื่อเป็นพุทธบูชา (อุเทสิกเจดีย์) ไว้เป็นที่สักการะบูชา และปริศนาธรรมควบคู่ไปด้วยตามประวัติท่านสร้างไว้หลายแห่งเช่น

๑. ที่วัดสะตือ จังหวัดอยุธยา ได้สร้างพระนอน มีความหมายว่า ท่านได้เกิดที่นั่น ต้องนอนแบเบาะก่อน

๒. ที่วัดเกศไชโย สร้างพระพุทธรูปปางนั่งหมายถึงท่านหัดนั่ง ณ ที่นั้น

๓. ที่วัดอินทรวิหาร สร้างพระศรีอริยเมตไตรย์ (พระยืนอุ้มบาตร) หมายถึงท่านหัดยืน ณ ที่นั้น

ในขณะที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ดำเนินงานก่อสร้างหลวงพ่อโต ท่านก็ได้หลวงปู่ภู เป็นกำลังสำคัญ เพราะท่านเจ้าประคุณสมเด็จสร้างพระโต ไปได้เพียงครึ่งองค์ก็สิ้นชีพตักษัยเสียก่อน ตามหลักฐานขณะนั้นหลวงปู่ภูอายุได้ ๔๓ ปี พรรษาที่ ๒๓ นับว่าชราภาพมากแล้ว

ความสัมพันธ์ของเจ้าประคุณสมเด็จโตกับวัดอินทรวิหาร
เมื่อเยาว์วัยท่านเจ้าพระคุณสมเด็จ (โต) ได้เป็นศิษย์ของท่านเจ้าคุณอรัญญิก (แก้ว) ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสอยู่ในสมัยนั้นตามหลักฐาน ท่านเจ้าคุณธรรมถาวร (ช่วง) มีความใกล้ชิดกับเจ้าประคุณสมเด็จดี ได้เคยกล่าวกับพระยาทิพโกษาฯ ว่าถ้าอยากรู้ประวัติของท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ก็ไปดูภาพฝาผนังโบสถ์ที่วัดอินทรฯ ได้

นอกจากนี้ในสมัยที่หลวงปู่ภูยังมีชีวิตอยู่ท่านได้สั่งกำชับ และสอนลูกศิษย์ทุกคนห้ามมิให้ขึ้นไปบนพระโต เนื่องจากเจ้าประคุณสมเด็จได้บรรจุของดีไว้ภายในฐาน ถ้าใครขึ้นไปจะเป็นอัปมงคลแก่ตัวเอง ส่วนของดีนั้นเข้าใจว่าอาจจะเป็นพระเครื่องสมเด็จก็ได้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าซักถามหลวงปู่ว่า ภายในบรรจุอะไรไว้ เพราะตลอดระยะเวลา ที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ดำเนินงานก่อสร้างหลวงพ่อโตและบรรจุของศักดิ์สิทธิ์ หลวงปู่ได้รู้เห็นโดยตลอด ถ้าของที่บรรจุไว้ไม่ใช่ของสูงท่านคงไม่กำชับลูกศิษย์ลูกหาของท่านเป็นแน่

เอาละครับตอนนี้ข้าพเจ้าขอนำท่านผู้อ่านได้มารู้จักกับชีวประวัติของพระครูธรรมานุกูล
พระครูธรรมานุกูล นามเดิมชื่อว่า ภู เกิดที่หมู่บ้านตำบลวังหิน อำเภอเมือง จังหวัดตาก ในปี พ.ศ. ๒๓๗๓ ตรงกับปีขาลโดยบิดามีนามว่า นายคง โยมมารดามีนามว่า นางอยู่ พออายุได้ ๙ขวบ บิดามารดาได้พาไปบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดท่าคอย ได้ศึกษาเล่าเรียกอักขระสมัย (ภาษาขอม) และหนังสือไทย กับท่านอาจารย์ วัดท่าแคจนกระทั่งอายุได้ ๒๑ ปี จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในปี พ.ศ. ๒๓๙๔ ณ พัทธสีมา วัดท่าคอย โดยมี พระอาจารย์อ้น วัดท่าคอย เป็นพระอุปัชฌาย์พระอาจารย์คำ วัดท่าแค เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์คำ วัดท่าแค เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์มา วัดน้ำหัด เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายานามทางพระว่า "จนฺทสโร"

เมื่อบวชแล้วได้จำพรรษาอยู่ สำนักวัดท่าแคชั่วระยะหนึ่งก็ได้ออกเดินธุดงค์ จากจังหวัดตากมาพร้อมกับพระพี่ชาย คือ หลวงปู่ใหญ่

สำหรับวัดท่าแค ในสมัยที่หลวงปู่ภูจำพรรษาอยู่ นั้นยังเป็นวัดเล็กๆ เข้าใจว่าโบสถ์ยังไม่ได้สร้างท่านจึงได้มาอุปสมบท ที่วัดท่าคอยแล้วกลับไปจำพรรษาอยู่ที่วัดเดิมอีก ปัจจุบันวัดท่าแคนี้ตั้งอยู่ตรงเชิงสะพานกิตติขจรฝั่งตัวจังหวัดตากตำบล เชียงเงิน อำเภอเมือง ปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็นวัดชนะสงคราม

ในสมัยที่หลวงปู่ภูเดิมธุดงค์มากรุงเทพฯ ครั้งแรก ท่านได้เล่าให้ศิษย์ใกล้ชิดฟังว่า ได้มาปักกลดอยู่ ณ บริเวณที่ตั้งวังบางขุนพรหม (ธนาคารแห่งประเทศไทย) สมัยนั้นพื้นที่บริเวณนั้นยังเป็นป่ารกร้างว่างเปล่าและเปลี่ยวมาก มีแต่ต้นรังต้นตาลที่ขึ้นระเกะระกะไปหมด นอกจากนี้ยังมีทางเกวียนทางเท้าเป็นช่องเล็กๆ พอเดินไปได้เท่านั้น ท่านได้มาปักกลดอยู่บริเวณชายแม่น้ำเจ้าพระยา พอตกกลางคืนได้นิมิตฝันไปว่า ได้มีคนนำเอาตราแผ่นดินมามอบถวายให้ท่าน ๓ ดวง เมื่อท่านตื่นขึ้นมาก็ได้พิจารณาถึงนิมิตนั้นพอจะทราบว่า ท่านเองจะมีอายุยืนยาวถึง ๑๐๓ ปีเศษ

การเดินธุดงค์ของหลวงปู่นับตั้งแต่เดินทางออกมาจากวัดท่าแคเข้าจำพรรษาที่วัดในกรุงเทพฯ สันนิษฐานจากคำบอกเล่าของท่านที่ได้เล่าให้ศิษย์ใกล้ชิดฟังว่า ได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดสระเกศฯ ได้ช่วยชีวิตรักษาคนป่วย เป็นอหิวาตกโรคไว้ ๖ คนซึ่งยุคนั้นถือว่าอหิวาตกโรคร้ายแรงมาก ยังไม่มียาจะรักษาถ้าใครเป็นมีหวังตายลูกเดียว และในปี พ.ศ. ๒๔๑๖ ซึ่งเป็นปีที่อหิวาตกโรคระบาดหนัก จนเป็นที่กล่าวขวัญเรียกกันจนติดปากว่า "ปีระกาห่าใหญ่"

ต่อมาท่านได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัดสามปลื้ม ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นวัดจักรวรรดิ์ราชาวาสและได้ย้ายไปจำพรรษาอยู่ วัดโมลีโลกยาราม (วัดท้ายตลาด) ตามลำดับ

กาลต่อมาได้ย้ายไปจำพรรษาอยู่ที่วัดอินทาราม ซึ่งในสมัยนั้นยังใช้ชื่อวัดบางขุนพรหมนอก ในปี พ.ศ. ๒๔๓๒ และได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๔ ส่วนสมณศักดิ์ที่หลวงปู่ได้รับไม่ปรากฏหลักฐานว่าได้รับตำแหน่งในปีใด เข้าใจว่าได้รับก่อนปี พ.ศ. ๒๔๖๓ เพราะตามหลักฐาน ศิลาจารึกเกี่ยวกับการสร้าง พระศรีอริยเมตไตรย์ มีข้อความตอนหนึ่งกล่าวไว้ว่า

ถึง พ.ศ. ๒๔๖๓ ท่านพระครูธรรมานุกูล (ภู) ผู้ชราภาพอายุ ๙๑ ปี พรรษาที่ ๗๐ ได้ยกเป็นกิตติมศักดิ์อยู่ในวัดอินทรวิหาร ท่านจึงได้มอบฉันทะ ให้พระครูสังฆบริบาล ปฏิสังขรณ์ต่อมาจนสำเร็จ

ท่านได้มรณภาพลงเมื่อ วันเสาร์ที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ ตรงกับวันขึ้น ๑๓ ค่ำเดือน ๖ ปีระกา เวลา ๐๑.๑๕ น. รวมสิริอายุได้ ๑๐๔ ปี ๘๓ พรรษา นับว่าท่านได้ยกเป็นพระครูกิตติมศักดิ์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๖๓ จนถึงวันมรณภาพเป็นเวลา ๑๓ ปี

จากบันทึก จริยาวัตร ของหลวงปู่ภู
จริยาวัตรซึ่งลูกศิษย์รุ่นสุดท้ายที่ได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้ท่าน จนถึงบั้นปลายชีวิตได้บันทึกเรื่องราวของหลวงปู่ภูไว้โดยละเอียดเกี่ยวกับการเดินทางธุดงค์ และการสร้างอิทธิวัตถุมงคลต่างๆ ของท่านไว้สมบูรณ์ที่สุด ผมจะขอนำมากล่าวไว้เพื่อเป็นเกียรติประวัติแด่ท่าน ณ ที่นี้

การถือธุดงค์เป็นกิจวัตร

สมัยที่หลวงปู่ยังแข็งแรงดี ท่านจะถือธุดงค์วัตรมาโดยตลอด พอออกพรรษา ท่านจะออกรุกขมูลมิได้ขาดท่านเคยเล่าให้ลูกศิษย์ฟังเสมอว่า ได้ร่วมเดินธุดงค์ไปกับท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) เป็นบางครั้งบางคราวบางทีท่านออกธุดงค์ก็มีพระภิกษุติดตามด้วยท่านได้เล่าให้ฟังว่า ถึงเรื่องแปลกๆที่ด้ออกรุกขมูลไปตามป่าเขามากมายหลายเรื่องซึ่งล้วนแล้วแต่ตื่นเต้นน่าอ่านมาก

ผจญจระเข้

ในสมัยที่เดินธุดงค์ มีอยู่คราวหนึ่ง ท่านได้ปักกลดพักอยู่ใกล้บึงใหญ่แห่งหนึ่ง ใกล้บริเวณนั้นมีหมู่บ้านเล็กๆ ที่ชาวบ้านปลูกอาศัยอยู่ ๒-๓ หลัง ขณะนั้นเป็นเวลาใกล้เที่ยงวัน อากาศร้อนอบอ้าว ท่านจึงได้ผลัดผ้า-อาบ และลงสรงน้ำในบึงใหญ่ พอดีชาวบ้านแถบนั้นเห็นเข้า จึงได้ร้องตะโกนบอกท่านว่า "หลวงตาอย่าลงไป มีจระเข้ดุ" แต่ท่านมิได้สนใจ ในคำร้องเตือนของชาวบ้าน ท่านกลับเดินลงสรงน้ำในบึงอย่างสบายใจ ในขณะที่กำลังสรงน้ำอยู่นั้น ท่านได้แลเห็นพรายน้ำเป็นฟองขึ้นเบื้องหน้ามากมายผิดปกติ เมื่อได้เพ็งแลไปจึงได้เห็นหัวจระเข้โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ ห่างจากตัวท่านประมาณ ๓ วา พร้อมกันนั้นเจ้าจระเข้ยักษ์ มันหันหัวมุ่งตรงรี่มาหาท่านแต่ท่านก็มิได้แสดงกิริยาหวาดวิตกแต่ประการใดไม่ กลับยืนสงบตั้งจิตอธิษฐานเจริญภาวนาจนจระเข้ว่ายมาถึงตัวท่าน พร้อมกับเอาปากมาดุนที่สีข้างของท่านทั้งด้านซ้ายและด้านขวา ข้างละ ๓ ครั้ง แล้วก็ว่ายออกไป มิได้ทำร้ายท่าน

เรื่องนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ต่อชาวบ้านที่ยืนดูอยู่บนฝั่ง เมื่อท่านขึ้นจากน้ำชาวบ้านต่างบอกสมัครพรรคพวก เข้าไปกราบนมัสการด้วยความเลื่อมใสศรัทธายิ่งนักและได้ขอของดีจากท่านคือ ตะกรุด ท่านได้บอกกับลูกศิษย์ว่าในขณะที่เผชิญกับจระเข้ ท่านได้เจริญภาวนา อรหัง เท่านั้น

เสือเลียศีรษะ

ท่านได้เล่าให้ฟัง คราวที่เดินธุดงค์รอนแรมไปในป่าใหญ่เพียงองค์เดียวในขณะที่เดินอยู่กลางป่า ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายมากแล้ว พร้อมกับร่างกายเหนื่อยล้า อ่อนเพลียมาก เพราะท่านออกเดินทางตั้งแต่เช้ายังมิได้หยุดพักเลย พอเห็นต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ริมทางเกวียนร่มรื่นดี จึงได้หยุดพักอยู่โคนต้นไม้นั้น บังเอิญเกิดเคลิ้มหลับไป ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ปักกลดเพราะคิดว่าจะนั่งพักสักครู่พอหายเหนื่อยก็จะเดินทางต่อไปในขณะที่กำลังหลับเพลินอยู่นั้น ก็มาสดุ้งตื่นอีกครั้ง เมื่อรู้สึกว่ามีอะไรมาเลียอยู่บนศีรษะของท่าน ท่านจึงได้ผงกศีรษะขึ้นพร้อมกับหันหลังไปดู ก็เห็นเสือลายพาดกลอนขนาดใหญ่ยาวประมาณ ๘ ศอก ยืนผงาดอยู่แต่มิได้ทำร้ายประกานใด พอเจ้าเสือลายพาดกลอน มันรู้ว่าสิ่งที่มันเลียอยู่นั้นรู้สึกตัวตื่นขึ้น มันกลับเดินเลยไปเสียมิได้ทำร้าย ท่านได้เล่าให้ลูกศิษย์ฟังพร้อมกับหัวเราะ หึ หึ ว่า ตอนเสือมันเดินผ่านไป ได้ยินเสียงข้อเท้าของมันดังเผาะๆ ในเวลาเดิน

ผจญงูยักษ์

เนื่องจากการเดินธุดงค์ของท่าน ออกจะแปลกสักหน่อย ตรงที่ไม่ค่อยเลือกเวลา เพราะว่าส่วนมากพระภิกษุองค์อื่นๆ มักจะเดินกันตอนกลางวัน ก่อนตะวันตกดินถึงจะหาสถานที่ปักกลด ส่วนหลวงปู่ภู ท่านมิได้เดินเฉพาะกลางวันเท่านั้น ตอนกลางคืนท่านก็ออกเดินด้วยเพราะท่านเชื่อมั่นในตัวเอง อีกทั้งวิชาอาคมที่ได้ร่ำเรียนมา ท่านก็ถือว่า สามารถคุ้มกายท่านได้

มีอยู่คราวหนึ่ง ท่านได้ออกเดินธุดงค์ในเวลากลางคืน โดยอาศัยแสงจันทร์ เป็นเครื่องส่องนำทาง แต่ก็ไม่สว่างมากนัก พอจะมองเห็นบ้างทั้งนี้ เพื่อจะมุ่งหน้าไปถึงหมู่บ้านตอนเช้า เพื่อรับบิณฑบาต การเดินทางกลางป่าดงดิบรกรุงรังไปด้วยแมกไม้นานาชนิด อีกทั้งเถาวัลย์ระแกะระกะเต็มไปหมด แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อท่านนัก

ในขณะที่ท่านกำลังเดินผ่านสถานที่แห่งหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงซู่ๆ และเสียงใบไม้ดังกรอบแกลบคล้ายเสียงสัตว์เลื้อยคลานผ่านท่านก็หยุดเดิน เพื่อดูให้แน่ว่าเป็นเสียงอะไร พอท่านหยุดเดินเจ้างูยักษ์ก็โผล่หัวออกมาจากดงไม้ ตัวโตเท่าโคนขาและตรงเข้ารัดลำตัวของท่านโดยรอบ ท่านตั้งสติยืนตรงพร้อมกับเอากลดยันไว้มิได้ล้มลง เจ้างูยักษ์ยันพยายามจะฉกกัดใบหน้าของท่าน แต่ท่านได้สติ ยืนนิ่งทำสมาธิจิตเจริญภาวนาอยู่ครู่หนึ่ง เจ้างูใหญ่ตัวนั้นมันก็คลายจากการรัดร่างของท่านแล้วเลื้อยเข้าป่ารกไป มิได้ทำอันตรายแก่ท่าน

อธิษฐานบาตรลอยทวนน้ำ

สำเร็จสุดยอดต้องใช้เวลา ปฏิบัติวิชาละ ๑๐ ปี จะเสกน้ำมนต์ให้เดือดได้ ต้องเรียนถึง ๑๑ ปี เต็มฉะนั้นการศึกษาวิชาอาคมของท่าน กว่าจะสำเร็จจะต้องใช้เวลาถึง ๗๑ ปีเต็ม

กิจวัตรประจำวัน

ตลอดระยะเวลาที่หลวงปู่ภูมีชีวิตอยู่ ท่านมิได้ใช้เวลาให้ว่างเปล่า ทุกเวลาของท่านมีค่ามาก มุ่งหน้าปฏิบัติมีพุทธภูมิเป็นที่ตั้ง การร่ำเรียนวิชาอาคมมา ก็เพียงเพื่อช่วยเหลือ ผู้ที่กำลังทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บนับว่าท่านมีเมตตาธรรมสูงส่ง

การที่ท่านมุ่งมั่นเรียนวิชา ดูเมฆ หรือเรียกกันว่า วิชาเมฆฉาย ในพจนานุกรม หมายความว่า "การอธิษฐาน" โดยบริกรรมด้วยมนต์คาถาจนเงาของคนเจ็บลอยขึ้นไปในอวกาศ แล้วพิจารณาดู คนเจ็บนั้นเป็นอะไร

ส่วนวิชากสิณนั้นหมายถึง อารมณ์ที่กำหนดธาตุทั้งสี่ มีปฐวี อาโป เตโช วาโย อัน มีวรรณ ๔ คือ นีล ปีต โลหิต โอกทาต อากาศแสงสว่าง ก็คือ อาโลกกสิณ

ซึ่งวิชาทั้งสอง ที่ท่านได้เพียรพยายามศึกษาเมื่อมุ่งช่วยเหลือมวลมนุษย์ ที่ประสบเคราะห์กรรมเป็นต้น

การบำเพ็ญปฏิบัติของท่านจะเริ่มขึ้นหลังจากท่านได้ฉันจังหันแล้ว คือเวลา ๗.๐๐ น. ตรง ตลอดชีวิตท่านฉันเพียงมื้อเดียว(ถือเอกา)มาโดยตลอด ผลไม้ที่ขาดไม่ได้ คือ กล้วยน้ำว้าท่านบอกว่าเป็นโสมเมืองไทย

ท่านออกบิณฑบาตทุกวัน ซึ่งถือเป็นกิจวัตรของพระสงฆ์ที่พึงปฏิบัติทั้งๆ ที่ท่านไม่จำเป็นจะต้องออกก็ได้ เพราะเจ้าฟ้าสมเด็จกรมพระนครสวรรค์พินิจ ได้จัดอาหารมาถวายทุกวันแต่ท่านก็ได้บอกว่า การออกบิณฑบาตโปรดสัตว์เป็นกิจของสงฆ์

เมื่อท่านฉันจังหันเสร็จแล้ว ก็จะครองผ้าลงโบสถ์และลั่นดานประตู เพื่อมิให้ผู้ใดเข้าไปรบกวนท่าน จะเจริญพุทธมนต์ถึง ๑๔ ผูก วันละ ๗ เที่ยวแล้วจึงนุ่งวิปัสสนากรรมฐานต่อไปจนถึงเที่ยวทุกๆวัน ท่านเคยเล่าให้ศิษย์ใกล้ชิดฟังว่า ขณะที่นั่งกรรมฐานอยู่พอได้เวลาเที่ยง ทางการจะยิงปืนใหญ่ (เพื่อบอกเวลาว่าเที่ยงแล้ว)ในขณะที่ยิงปืนใหญ่ กูหงายหลังทุกทีพอท่านพักได้ชั่วครู่ก็จะบำเพ็ญเจริญภาวนาต่อไปจนถึงตีหนึ่ง จึงจะจำวัด

ถึงแม้ตอนท่านชราภาพ ท่านก็มิได้ขาดจากการลงทำวัตร เว้นแต่ท่านอาพาธหนักจนลุกไม่ไหวท่านก็เจริญวิปัสสนา โดยการนอนภาวนา ซึ่งในพระธรรมวินัยได้กล่าวไว้ เรื่องวิปัสสนากรรมฐานการปฏิบัติด้วยอิริยาบถ ๔ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน ก็ปฏิบัติได้ เป็นต้น

ท่านเคยเปิดก้นให้ลูกศิษย์ดู พร้อมกับถามลักษณะก้นของกูเป็นอย่างไร ลูกศิษย์ก็ตอบว่าก้นหลวงปู่ด้านเหมือนกับก้นของลิง หรือเสน ท่านจึงได้บอกว่า "ปฏิบัติอย่างนี้ ไม่ได้ดี แล้วจะดีเมื่อไหร่ คนที่เป็นอาจารย์เขา "จริง" อย่างเดียวไม่พอต้อง "จัง" ด้วยคือต้องทั้งจริงและจังควบคู่กันไป (ต้องรู้แจ้งแทงตลอด)

หยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า
ในคราวที่ทางการได้สร้างสะพานพระพุทธยอดฟ้าฯ แล้วเสร็จทางการได้จัดงานเฉลิมฉลองได้มีข่าวลือกันหนาหูว่า จะมีการยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นระบบประชาธิปไตยและจะมีการนองเลือด ข่าวนี้ได้ลือกันแพร่สะพัดมาเป็นเวลาแรมเดือน ก่อนที่จะกำหนดงานจนผู้คนแตกตื่นเกรงกลัวกันมาก พอมีงานเฉลิมฉลองสะพานบางคนก็ไม่กล้าออกจากบ้านไปเที่ยง ทางการก็ได้สั่งเตรียมพร้อม เพื่อรับสถานการณ์

ในขณะนั้นศิษย์ใกล้ชิดของหลวงปู่ในใจก็อยากจะไปเที่ยวดูงาน เพราะมีมหรสพการแสดงหลายอย่างแต่ก็ไม่กล้าไป จนกระทั่งเวลา ๖ โมงเย็นจึงได้อาบน้ำอาบท่าเสร็จแล้วก็คลานเข้าไปหาหลวงปู่ นั่งพัดให้ท่านจนหลวงปู่รู้สึกหนาว จึงได้ดุศิษย์ผู้นั้นว่า "หยุด กูไม่ร้อน ต่อไปพวกมึงซิจะร้อน" แต่ศิษย์ผู้นั้นหาได้ฟังไม่ กลับพัดอยู่ต่อไปท่านจึงได้หันมาดุเอาอีก "เอ๊ะอ้ายนี้แปลก วันนี้ทางการบ้านเมืองเขามีงานมีการที่สะพานพุทธฯ มีโขนมีลิเกกันทำไมมึงเป็นหนุ่มเป็นแน่นไม่ไปเที่ยวกันละวะ ดันทุรังนั่งพัดอยู่ได้ กูบอกไม่ร้อน แต่พวกมึงจะร้อนไปดูงานเถอะไป"

ศิษย์ผู้นั้นก็ตอบว่า "ผมไม่ไปละครับผมกลัวเขาลือกันว่าจะมีเรื่อง" เมื่อท่านได้ฟังแล้วก็หัวเราะ พร้อมกับพูดขึ้นว่า "ไป ไป๊ ไปดูงานให้สบายเถอะ ไม่ต้องกลัวและไม่ต้องห่วงกู มึงนับถือกูไหมล่ะ ถ้านับถือกู มึงต้องรีบไปได้แล้ว กูว่าเรื่องที่ว่าไม่มี" ศิษย์ผู้นั้นจึงได้กราบลาท่านออกไป เที่ยวงานฉลองสะพานพุทธฯ

หลังจากที่ศิษย์ผู้นั้นได้ไปเที่ยวงานกลับตอนตีหนึ่งเศษ ท่านยังไม่จำวัดจึงได้เข้ากราบท่าน ท่านก็สอบถามว่า มีการยิงกันตามข่าวลือหรือไม่ ศิษย์ได้เรียนท่านว่า ไม่มีครับ ท่านจึงได้พูดต่อไปว่า "อ้ายคนเดี๋ยวนี้มันพูดกันไปจริง" แล้วท่านก็หยุดนิ่งสักครู่จึงได้พูดต่อไปอีกว่า "เดือน ๗ แรม ๖ ค่ำ เวลาย่ำรุ่งเถอะมึงเอย ตูมเบ้อเร่อทีเดียว" ศิษย์คนนั้นก็สอบถามท่านอีกจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น หรือหลวงปู่ ท่านก็เพียงบอกว่า "มึงคอยดูไป มึงคอยดูไป"

คำกล่าวของหลวงปู่นั้น ต่อมาปรากฏว่า เป็นความจริงตามที่ท่านได้กล่าวไว้ คือได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ เกิดการต่อสู้กันที่วังบางขุนพรหม ในเวลาย่ำรุ่งและยังมีการต่อสู้อีกหลายแห่ง ตรงกับที่ท่านได้พยากรณ์ไว้ว่าเดือน ๗ แรม ๖ ค่ำเวลาย่ำรุ่ง

พอรุ่งเช้าลูกศิษย์ของท่าน ซึ่งรับราชการอยู่ในกองทัพเรือ แต่งตัวเข้าไปรายงานตัว แต่ก็ไม่สามารถจะเข้าไปทำงานได้ จึงกลับมาหาหลวงพ่อเข้าไปกราบนมัสการท่าน ท่านกลับลุกขึ้นไปหยิบจีวรคลุมศีรษะโผล่หน้าออกมา ให้เห็นเพียงนิดเดียว แล้วพูดขึ้นว่า "กูว่าแล้วนะปะไร" พอพูดจบท่านก็หัวเราะ สักครู่หนึ่งน้ำตาท่านได้ไหลซึมออกมาจากเบ้าตา (เข้าใจว่าคงจะสงสารกรมพระนครสวรรค์วรพินิต ซึ่งถูกจับเป็นตัวประกัน ในพระที่นั่งอนันตสมาคม) ท่านนั่งอยู่สักครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า "เออกูได้ทางแล้ว กูได้ทางแล้ว"

บอกใบ้ม้าแข่ง
พูดถึงเรื่องม้าแข่ง ซึ่งผู้คนติดกันชนิดถอดตัวไม่ขึ้น ในสมัยนั้นมีศิษย์ของหลวงปู่ก็ติดม้ากันงอมแงม พอจะถึงวันแข่ง ก็ได้นัดหมายเพื่อนมานั่งปรนนิบัติหลวงปู่ ขณะนั้นเป็นเวลาตอนกลางคืน ซึ่งหลวงปู่กำลังอารมณ์ดีอยู่ ท่านได้พูดขึ้นลอยๆ ว่า "อ้ายคนสมัยนี้ก่อนเวลาตายเขาเอาใส่โกศทอง เขาไม่ได้ใช้หีบไม้ เขาไม่เสียดายเขาใส่โกศทองจริงๆ นะมึงนะ โกศทองจริงนะมึงนะ" ท่านได้พูดซ้ำซากอยู่หลายครั้งหลายหน ศิษย์ที่นั่งอยู่ด้วยก็รู้ว่าท่านบอกใบ้ให้เพราะทุกคนรู้ว่าท่านมีญาณสูงสามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้

พอวันรุ่งขึ้นศิษย์ทั้งสองจึงได้ชวนกันเข้าสนามม้า จ้องดูว่าม้าตัวไหนสีเหลือง ในขณะนั้นได้มีจ๊อกกี้ของคอกพระปฎิพัทธภูบาล ใส่เสื้อสีเหลือง อยู่เพียงคนเดียวจึงได้ทุ่มซื้อแต่ก็ผิดหวังเพราะไม่เข้าหลักชัย พอเที่ยวที่สองก็แทงอีก แต่ไม่เข้าสักตัวเล่นเอาทั้งสองต่างเหงื่อกาฬแตก เพราะหมดเงินและนึกในใจที่หลวงปู่บอกใบ้มาผิดหมด พอเที่ยวที่ ๗ ม้าคอกนี้ก็เข้าแข่งอีก เป็นม้าเทศ แต่ข่าวว่าม้าตัวนี้เจ็บป่วยอีกทั้งตามประวัติไม่เคยชนะเลย พอม้าตัวนี้ลงสนามจึงไม่มีใครสนใจ แม้แต่ศิษย์ทั้งสองก็ไม่สนใจเช่นกัน แม้แต่ชื่อของม้าตัวนั้นก็ไม่สนใจ จนเสร็จสิ้นการแข่งขันม้าตัวนั้นก็ชนะแบบขาดลอย แต่มีชาวจีน ๒ คนที่นั่งอยู่ข้างๆ แทงไว้คนละใบ ถูกวิน ศิษย์ทั้งสองจึงได้ขอดูชื่อม้าตัวนั้น ก็ตกใจ เพราะมันชื่อ "โกลเด็นเอิร์น" ซึ่งแปลว่า "โกศทอง" ตรงกับที่หลวงปู่กล่าวไว้

หลวงปู่ต้องย้ายไปอยู่หลายวัด หวย ก.ข. หวยจับยี่กี เป็นเหตุ


ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ทางการได้อนุญาตให้ประชาชนเล่นหวย กันโดยชอบด้วยกฎหมาย ชาวบ้านต่างมุ่งหน้าเข้าหาพระเกจิอาจารย์ เพื่อขอหวยหวังเสี่ยงโชคตอนนั้นใครๆ ต่างเล่าลือกันว่าหลวงปู่ภูให้หวยแม่น ใครๆ ก็มุ่งหน้ามาขอหวยจากท่าน จนท่านเกิดความรำคาญ ที่ไม่ค่อยได้ปฏิบัติบำเพ็ญธรรมท่านจึงได้หลบไปจำพรรษาที่วัดโมลีฯ วัดสระเกศฯ วัดม่วงแค วัดสามปลื้มฯ บ้าง

ในคราวที่ท่านหลบมาจำพรรษาอยู่ วัดโมลีโลกฯ (ท้ายตลาด) ได้มีชายคนหนึ่งมาขอหวยท่านได้ปฏิเสธชายคนนั้นว่า "ไม่มี" แล้วท่านก็นั่งเจริญภาวนาต่อไป มิได้สนใจชายคนนั้น แต่ชายคนนั้นก็มิได้ละความพยายามนั่งเฝ้ารออยู่ตรงนั้น พอนานเข้าก็พูดขึ้นว่า "หลวงพ่อครับ ผมขอไอ้ที่แน่ๆ สักตัวครับ"

ถึงจะพูดอย่างไรท่านยังคงนิ่งเจริญภาวนาไปเรื่อยๆ ชายคนนั้นก็พูดซ้ำซาก จนท่านรำคาญหรือเกิดขัดใจอะไรไม่ทราบได้ ท่านได้ลุกขึ้นพร้อมกับเตะชายคนนั้น ตกลงไปจากหอไตรพร้อมกับพูดว่า "นี่แนะ ไอ้ที่แน่" ถึงชายคนนั้นจะถูกเตะตกหอไตร แต่ก็มิได้รับอันตรายและคิดเอาเองว่าหลวงปู่ใบ้หวยให้ จึงได้ตีกิริยาอาการของท่านว่าหมายถึง ต.เรือจ้าง ชายคนนั้นรีบกลับไปแทง วันนั้นหวยออก "ต.เรือจ้าง" นับว่าอัศจรรย์มาก

หยั่งรู้อนาคตและอดีต
ในสมัยนั้นข้าราชการส่วนมากนิยมตั้งคอกม้า มีข้าราชการชั้นโท ผู้หนึ่งก็ตั้งคอกม้าขึ้นได้เดินทางมากับเพื่อนเพื่อมาหาหลวงปู่ คิดว่าจะสอบถามท่านถึงการดำเนินงานจะประสบผลสำเร็จหรือไม่ ในขณะที่ทั้งสองเข้าไปกราบหลวงปู่ ยังไม่ทันได้บอกอะไร หลวงปู่กับพูดขึ้นก่อนว่า "ฉิบหายจ๊ะไม่ได้การดอก" แล้วท่านก็นิ่งเงียบ ชายทั้งสองจึงขอให้ท่านลงกะหม่อมให้แล้วกราบลาท่านออกมา ต่อมาอีกไม่นานคอกม้าของชายคนนั้นทุกครั้งที่ลงแข่งจะแพ้ทุก จนต้องเลิกกิจการไป เป็นจริงตามคำทำนายของท่านทุกประการ

มีเมตตาธรรมสูง
ได้มีลูกศิษย์ใกล้ชิดของท่านได้บันทึกคุณธรรมท่านไว้ ดังที่ข้าพเจ้าจะขอนำมาลงไว้ ณ ที่นี้ด้วย

"ก่อนข้าฯ เป็นศิษย์ได้ถวายตัวเป็นลูกรับใช้ปฏิบัติมาตั้งแต่ต้นจนอวสาน ข้าฯ ได้เห็นองค์ท่านช่วยทุกข์แก่สัตว์มนุษย์ทุกรูปวัยไม่แบ่งชั้นวรรณะ เสมอต้นหมดแม้จะเป็นเจ้า หรือขุนนางชั้นสายสะพายทองก็ตาม ตลอดจนยาจนเข็ญใจข้าฯ จึงปลาบปลื้มในองค์ท่านมิรู้หาย ตราบเท่าทุกวันนี้"

เรื่องการรักษาโรค ท่านเชี่ยวชาญมาก แต่ละวันจะมีผู้คนที่เจ็บไข้ไปหาท่าน ให้ช่วยรักษาปัดเป่าจนหายเช่น การรักษาฝีท่านจะถามว่า "จะเอาแตกหรือจะเอายุบ" แล้วท่านจึงรักษาให้ตามประสงค์ แต่ก็เป็นที่อัศจรรย์มากถ้าใครบอกว่าเอาแตกพอท่านรักษาเสร็จ คนไข้พอเดินยังไม่พ้นวัด ฝีจะแตกทันที

มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านป่วยจนไข้ขึ้นสูง เพราะไม่ได้ถ่ายมาหลายวัน หมอที่เป็นศิษย์บอกว่าจะต้องรักษาด้วยการสวนทวาร เพื่อให้ถ่ายจะได้ลดไข้ แต่ท่านก็ไม่ยอมให้สวน กลับบอกให้ลูกศิษย์ให้ไปหามะตูมมาหนึ่งลูก พร้อมกับผ่ามะตูม ท่านจึงตักมะตูมฉันไป ๓ ช้อน ส่วนที่เหลือให้ลูกศิษย์กิน พอเวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง ท่านก็ลุกไปถ่ายอุจจาระไข้จึงลดลง พอลูกศิษย์เห็นดังนั้นก็เกิดวิตกเพราะตนกินมะตูมผลนั้นไปมากกว่าหลวงปู่ แต่ปรากฏว่าศิษย์ผู้นั้นกับท้องผูกไปสามวัน ท่านได้พูดกับลูกศิษย์ว่า "ของทุกอย่างขึ้นอยู่กับการกำหนดจังหวะและเวลา"

ทดสอบหมอ

มีอยู่คราวหนึ่ง ขณะนั้นท่านอารมณ์ดี จึงได้พูดกับศิษย์ว่า "เขาว่ามึงเป็นหมอหรือ" ศิษย์คนนั้นเป็นนายแพทย์ได้ตอบท่านว่า "พอมีความรู้"ท่านก็ถามต่อไปว่า "มึงตรวจลมกูได้ไหม" ศิษย์ก็ตอบว่า "ได้" ท่านจึงนอนลงพิงหมอนขวานแล้วบอกให้ศิษย์ตรวจลม หมอคนนั้นได้เอามือจับชีพจรด้ายซ้ายแต่ไม่พบ เพื่อจับเหนือสะดือก็ไม่พบจนเวลาล่วงไปประมาณ ๒๐ นาที ก็ยังตรวจไม่พบ ท่านจึงสะบัดมือพร้อมกับพูดว่า "ยังไง มึงตรวจลมกูได้ไหม" ศิษย์ก็ตอบว่าตรวจไม่พบ ท่านจึงบอกว่า

"ยังงั้นมึงก็หมอลากข้าง นี่แหละเขาเรียกว่าลมกองละเอียด เขาทำให้เดินตามผิวหนังเท่านั้น มันยากหรือง่ายวะ"

หลวงปู่ภูมีเมตตาสูง

แม้แต่สัตว์ทุกชนิดยังไม่เกรงกลัว แต่ละตัวเชื่องมาก ในสมัยท่านมีชีวิตอยู่ จะมีอีกาบินมาเกาะต้นพิกุล ตอนเช้าพอท่านฉันจังหันเสร็จ มันก็จะบินมาเกาที่หน้าต่างกุฏิท่านจะปั้นข้าวสุกเสกแล้วยื่นให้มันกิน พอมันคาบข้าวสุกปั้นก้อนนั้น ท่านจะเอามือตบหัวมันเบาๆ แล้วมันก็จะบินออกไป เป็นเช่นนั้นอยู่ประจำ

ที่กุฏิของท่านจะมีไก่วัดมาอยู่บริเวณหน้ากุฏิท่านจำนวนมาก วันหนึ่งขณะที่ท่านเดินมาหน้ากุฏิ ยืนดูลูกไก่ที่เพิ่งออกจากไข่ใหม่ๆ ท่านให้ศิษย์เอาข้าวสารมา ๑ กำมือ พร้อมกับโปรยให้ลูกไก่กิน และยืนดูอยู่สักครู่แล้วจึงออกเดินพร้อมกับพูดว่า "กูไปละนะ กุ๊กๆ" ลูกไก่กลับวิ่งตามท่าน เมื่อท่านเห็นดังนั้นจึงพูดว่า "เจ้ามาตามกูทำไมไปอยู่กับแม่มึง" ลูกไก่ถึงได้วิ่งกลับไปอยู่กับแม่ไก่



 พระพุทธ4พระธรรม4พระสงฆ์4อุบาสก4อุบาสิกา4ปกิณกะ4? พุทธประวัติ? พุทธประวัติทัศนศึกษา? ทศชาติชาดก4? ชาดก ๕๔๗ เรื่อง4? ประทีปแห่งเอเซีย? ๓ เดือนก่อนปรินิพพาน? บุคคลผู้เป็นเอกหาได้ยากในโลก? พระสัมมาสัมพุทธเจ้า? พระปัจเจกพุทธเจ้า? พระพุทธเจ้าในนิกายเถรวาทและมหายาน? พุทธกิจ ๔๕ พรรษา? พุทธการกธรรม? พุทธธรรมดา ๓๐ ทัศ? พุทธศาสนายุคหลังพุทธปรินิพพาน? พระไตรปิฎก4? พระอภิธรรม4? ศีล4? บทสวดมนต์4? พระคาถาชินบัญชร4? มิลินทปัญหา? พระพุทธศาสนาจากพระโอษฐ์? นวโกวาท? ปกิณกธรรม4? พระอสีติมหาสาวก? เอตทัคคะ ภิกษุ4? เอตทัคคะ ภิกษุณี4? ประวัติอาจารย์ สายพระป่า? ประวัติอาจารย์ สายพระบ้าน? คำสอนอาจารย์? ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช? พระประวัติสมเด็จพระสังฆราช4? สมณศักดิ์? พระบุญนาคเที่ยวกรรมฐาน? บันทึกลับ ภิกษุนิรนาม? ภาพในหลวงกับพระสุปฏิปันโน? เอตทัคคะ(อุบาสก)4? ประวัติอุบาสกคนสำคัญ4? ธรรมะโดยอุบาสก4? พระสมาธิของพระเจ้าอยู่หัว? พระราชกฤษฎาภินิหาร? พระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงพระปรีชา? ทิพยอำนาจในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว? เมื่อกษัตริย์โบดวง ทรงชักนำในหลวงเปลี่ยนศาสนา? เอตทัคคะ (อุบาสิกา)4? ประวัติอุบาสิกาคนสำคัญ4? คำสอนโดยอุบาสิกา4? นิทานเซน? โอวาทสี่ของเหลี่ยวฝาน? โอวาทท่านจี้กง? ระเบียบปฏิบัติของชาวพุทธ? ศาสนพิธี? สารบัญปัญหาจากการปฏิบัติ? สารบัญปัญหาจากการดูจิต? พุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์4? เรื่องที่น่าสนใจ? เตมีย์ชาดก? ชนกชาดก? สุวรรณสามชาดก? เนมิราชชาดก? มโหสถชาดก? ภูริทัตชาดก? จันทกุมารชาดก? นารทชาดก? วิทูรชาดก? เวสสันดรชาดกเรียงตามนิบาตเรียงตามชื่อความรู้เรื่องพระไตรปิฎกความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาทประวัติพระไตรปิฎกฉบับจีนพากย์ความหมายของพระไตรปิฎกความเป็นมาของพระไตรปิฎกคำอธิบายพระไตรปิฎกอย่างย่อลำดับคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาเนื้อหาโดยสังเขปของพระไตรปิฎกแก่นธรรมจากทีฆนิกายความคิดของคนที่ไม่เข้าถึงสภาวะธรรมความสำคัญและการรักษาพระไตรปิฎกสาระน่ารู้เกี่ยวกับพระอภิธรรม4พระอภิธรรมในชีวิตประจำวันปรมัตถธรรมสังเขปจิตตสังเขปนวโกวาท วินัยบัญญัติ เบญจศีล อานิสงส์ของศีล ๕ข้อห้ามและศีลของสมณเพศ 4อย่างไรจึงผิดศีลผิดศีล..ตัดสินอย่างไรถือศีลอย่างไรจึงจะไม่กลายเป็นสังโยชน์วินัยของพระภิกษุสงฆ์ ที่ประชาชนควรทราบบทสวดทำวัตรเช้าบทสวดทำวัตรเย็นบทสวดมนต์เจ็ดตำนานบทสวดมนต์สิบสองตำนานบทสวดถวายพรพระอานิสงส์ของการสวดพระพุทธคุณบทสวดมนต์ต่าง ๆบทสวดพระอภิธรรมในงานศพฉบับอ.พร รัตนสุวรรณฉบับพระพิมลธรรม (อาสภเถระ)ฉบับ 'ฉันทิชัย'ฉบับสิงหฬฉบับ สงฺขฺยาปกาสกฎีกาความหมายของธรรมปฏิจจสมุปบาทตำนานพระปริตรการอ่านภาษาบาลีคำถามเกี่ยวกับบทสวดมนต์อกุศลกรรมบท ๑๐4สมถะกรรมฐาน-อัปปนาสมาธิภพภูมิ 31 ภูมิกิเลส ๑๐อนุสสติ ๑๐กังขาเรวตะกาฬุทายีกุมารกัสสปะกุณฑธานะจุลปันถกะทัพพมัลลบุตรนันทะ (พุทธอนุชา)นันทกเถระปิณโฑลภารทวาชะปิลินทวัจฉะปุณณมันตานีบุตรพากุละพาหิยทารุจีริยะภัททิยกาฬิโคธาบุตรมหากัจจายนะมหากัปปินะมหากัสสปะมหาโกฐิตะมหาปันถกะโมคคัลลานะโมฆราชะรัฐปาละราธะราหุลเรวตขทิรวนิยะลกุณฎกภัททิยะวักกลิวังคีสะสาคตะสารีบุตรสีวลีสุภูติโสณกุฏิกัณณะโสณโกฬิวิสะโสภิตะอนุรุทธอัญญาโกณทัญญะอานนท์อุบาลีอุปเสนวังคันตบุตรอุรุเวลกัสสปะนางสุชาดานางวิสาขามิคารมาตานางขุชชุตตรานางสามาวดีนางอุตตรานันทมาตานางสุปปวาสาโกลิยธีตานางสุปปิยาอุบาสิกานางกาติยานีนางนกุลมาตาคหปตานีนางกาฬีอุบาสิกาสมเด็จพระสังฆราช (ศรี)สมเด็จพระสังฆราช (ศุข)สมเด็จพระสังฆราช (มี)สมเด็จพระสังฆราช (สุก)สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน)สมเด็จพระสังฆราช (นาค)กรมพระปรมานุชิตชิโนรสกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์สมเด็จพระสังฆราช (สา)กรมพระยาวชิรญาณวโรรสกรมหลวงชินวรสิริวัฒน์สมเด็จพระสังฆราช (แพ)กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราช (ปลด)สมเด็จพระสังฆราช (อยู่)สมเด็จพระสังฆราช (จวน)สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น)สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์)สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ)พ่อค้าชื่อตปุสสะและภัลลิกะอนาถปิณฑิกคฤหบดีจิตตคฤหบดีหัตถกอุบาสกเจ้ามหานามศากยะอุคตคฤหบดีอุคคฤหบดีสูรัมพัฏฐเศรษฐีบุตรหมอชีวกโกมารภัจจ์นกุลปิตาคฤหบดีอุบาสกเปลี่ยน รักแซ่อ.เสถียร โพธินันทะอ.พร รัตนสุวรรณอ.สุชีพ ปุญญานุภาพศ.นพ.อวย เกตุสิงห์เซียนสู พรหมเชยธีระอ.สัญญา ธรรมศักดิ์อ.บุญมี เมธางกูรม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชอ.วศิน อินทสระดร.ระวี ภาวิไลสุลักษณ์ ศิวรักษ์สมพร เทพสิทธาสัตยา นารายัน โกเอ็นก้า? สันตินันท์? สู พรหมเชยธีระ? ดังตฤณ? เสถียร โพธินันทะ? สุชีพ ปุญญานุภาพ? วศิน อินทสระ? น.พ.กำพล พันธ์ชนะ? เขมานันทะ? ไชย ณ พล? กำพล ทองบุญนุ่ม? บุญมี เมธางกูร? มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช? ศ.นพ.อวย เกตุสิงห์? สุลักษณ์ ศิวรักษ์? ท่านอื่น ๆพระมหาปชาบดีโคตมีเถรีพระเขมาเถรีพระอุบลวัณณาเถรีพระปฏาจาราเถรีพระธัมมทินนาเถรีพระนันทาเถรีพระโสณาเถรีพระสกุลาเถรีพระภัททากุณฑลเกสาเถรีพระภัททากปิลานีเถรีพระภัททากัจจานาเถรีพระกีสาโคตมีเถรีพระสิงคาลมาตาเถรีกี นานายนกนิษฐา วิเชียรเจริญแนบ มหานีรานนท์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ม.จ.พูนพิศมัย ดิสกุลสิริ กรินชัยพิมพา วงศาอุดมศันสนีย์ เสถียรสุตสุจิตรา อ่อนค้อมรัญจวน อินทรกำแหงบุญเรือน โตงบุญเติมสุรีพันธ์ มณีวัตแก้ว เสียงล้ำ? กี นานายน? สุจินต์ บริหารวนเขตต์? แนบ มหานีรานนท์? Nina Van Gorkom? อัญญมณี มัลลิกะมาส? ละมัย เขาสวนหลวง? พิกุล มโนเจริญ? อมรา มลิลา? พิมพา วงศาอุดม? รัญจวน อินทรกำแหง? สุรีพันธ์ มณีวัตความมหัศจรรย์ของธรรมชาติการกำเนิดชีวิตและจักรวาลชีวิตกับจักรวาลความรู้กับสภาวะแห่งการรู้ธรรมะเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์อย่างไรเต๋าแห่งฟิสิกส์พุทธศาสนาในฐานะรากฐานของวิทยาศาสตร์วิทยาศาสตร์สมาธิคำนำห้ามฉันเนื้อ ๑๐ อย่างศีล ๑๐ ข้อของสามเณรศีล ๒๒๗ ข้อของพระภิกษุ4ครุธรรม ๘ ของภิกษุณีคำนำ ปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุ มิจฉาจาร มุสาวาท ปิสุณาวาจา ผรุสวาจา สัมผัปปลาปะ อภิชฌา พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ สรุปอกุศลกรรมบท ๑๐ปาราชิกสังฆาทิเสสอนิยตกัณฑ์นิสสัคคิยปาจิตตีย์ปาจิตตีย์ปาฏิเทสนียะเสขิยะสารูปโภชนปฏิสังยุตตธัมมเทสนาปฏิสังยุตต์ปกิณสถะธิกรณสมถะคำนำพระอภิธรรม คืออะไรปรมัตถธรรมบัญญัติธรรมปรมัตถธรรม อยู่เหนือการสมมุติประวัติพระอภิธรรมพระอภิธัมมัตถสังคหะการสวดพระอภิธรรมในงานศพประโยชน์ของการศึกษาพระอภิธรรมสำนักศึกษาพระอภิธรรมผู้เรียบเรียงบรรณานุกรม
ที่มา : http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-poo-hist.htm

1278
อ่านแล้วรู้สึกว่าคุณไม่รู้อะไรเลย.....เวลาคุณสักแล้วอาจารย์เขายัดให้คุณแล้วจะเอาคืนได้อย่างไร คุณไม่ได้อยู่หรือให้อาจารย์เขาเอาคืนที่  อาจารย์เขาคงไม่เรียกคืนทุกคนหลอก มีเหตุผลอะไร  หากทำอย่างนั้นอาจารย์มีเวลาหรือ อาจารย์ทุกคนทุกสำนักไม่ฆ่าศิษย์ตัวเองหรอก...เพราะหากคุณปฏิบัติตัวดี พุทธคุณกล้าแกร่ง ก็ดีกับตัวคุณและอาจารย์ เพราะชื่อเสียงเป็นของอาจารย์นั้นแหละ อาจารย์แต่ละสำนักก็มักจะให้ศิษย์ตัวเองเต็มที่เพื่อเป็นเกียรติภูมิของอาจารย์และศิษย์ด้วย ดังนั้นผมว่าที่ได้ยินมาลองใช้วิจารณญาณวิเคราะห์หน่อยผมก็เป็นศิษย์วัดช้างให้  มานานไม่เคยเจอหรือได้ยินเรื่องแบบที่คุณว่ามาเลย  ส่วนที่คุณจะไปสักกับอาจารย์โบ้  หรืออาจารย์ท่านอื่นๆ ก็ได้ ไม่ได้มีข้อห้ามอะไร เพราะผมก็มีอาจารย์หลายสำนัก ทุกภาคของประเทศ รวมๆ 6 อาจารย์ได้ ไม่มีปัญหาอะไร   ดังนั้นจะไปสักกับอาจารย์โบ้ก็ไม่น่าจะเป็นไร  หากอยู่ยะลา น่าจะได้คุยกัน จะได้เข้าใจ อีกอย่างอาจารย์โบ้ตอนนี้ย้ายจากวัดลานควาย ไปอยู่ที่วัดตุยง หนองจิกปัตตานี  มีน้องๆที่รู้จักเป็นศิษย์อาจารย์โบ้อยู่หลายคน เขาก็ไปกันอยู่ เดิมก็เป็นศิษย์วัดช้างให้ด้วย และก็เป็นศิษย์อาจารย์โบ้ด้วย...มีอะไรก็คุยกันได้ถามมาจะได้รู้ ...เขียนแบบนี้จะทำให้คนอื่นเสียหายได้ อาจมีความผิดฐานประมาทและ ศิษย์ช้างให้ในนี้ก็มีหลายคน เขาอาจจะตอบโต้คุณได้ มีอะไรก็ถามมาจะได้ตอบ  เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องดีกว่า.....คนหลังลายศิษย์หลายสำนัก
ท่านเขียนได้เยี่ยมมากเลย ผมก็คิดตามนั้น

1279
บทความ บทกวี / สายบู๊ต้องชอบแน่ๆ
« เมื่อ: 20 ก.พ. 2552, 06:05:27 »
ผมไปเจอเว็บๆนึง ดีมากเลยครับ ก็เลยอยากให้ท่านสมาชิกท่านอื่นๆอ่านบ้าง

....ขณะที่สมรภูมิในสมัยโบราณนั้นงดงามด้วยธงทิวและรูปแบบการจัดกระบวนทัพ แต่ก็เป็นสถานที่ ที่อันเต็มไป ด้วยความน่าสยดสยองจากคมหอกคมดาบของแต่ละฝ่าย เพราะเป็นการรบพุ่งในลักษณะเข้าตะลุมบอน ที่แต่ละฝ่าย เข่นฆ่ากันอย่างโหดเหี้ยมต่อหน้าต่อตา ในสถานการณ์อันวิกฤตเช่นนี้ ชั้นเชิงในการต่อสู้อย่างเดียว ย่อมไม่เพียงพอ ผู้ที่มีกำลังใจกล้าแข็งเท่านั้นจึงจะครองสติอยู่ และสามารถถืออาวุธออกประจันหน้ากับข้าศึกต่อไปได้โดย ไม่หวาดหวั่น หรือถูกฆ่าตายไปก่อน ชินศรัทธา หรือ ความเชื่อที่นำไปสู่ชัยชนะ คือ สิ่งที่นักรบไทยแต่โบราณนำมา ใช้บ่มเพาะกำลังใจควบคู่กับการฝึกปรือฝีมือในเชิงรบตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อทางศาสนาพุทธ พราหมณ์ โหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ เช่น เครื่องราง ของขลัง คาถาอาคม เป็นต้น

.....แม่ทัพนายกองจะต้องมีความรู้ในวิชาเหล่านี้เป็นอย่างดี จึงจะสามารถแต่งทัพออกรบกับข้าศึกในสนามรบได้ อีกทั้งในอดีต ชายไทยทุกคนมีหน้าที่เป็นทหาร ยามเกิดศึกสงคราม สมรภูมิจึงเป็นสนามทดสอบความเชื่อโดยมี ชีวิตของตนเป็นเดิมพัน วิชาใดที่ใช้ได้จริงก็จะมีผู้รอดชีวิตกลับมาบอกเล่า และถ่ายทอดสู่คนรุ่นหลัง ๆ ในยาม ว่างเว้นจากสงคราม นอกเหนือจากวิชาการต่อสู้อันเป็นมรดกไทยแล้ว คนรุ่นเรายังสามารถเรียนรู้ความเชื่อที่แฝงอยู่ ในวิถีชีวิตของบรรพบุรุษไทยในอดีต เพื่อทำความเข้าใจ ในรากเหง้าความเป็นมาของชาติไทยไปด้วยพร้อมๆกัน
..... ชนชาติไทย สืบทอดความเชื่อ ความศรัทธา และนับถือลัทธิพราหมณ์ มาช้านาน ก่อนจะถึงยุครุ่งเรืองของ พระพุทธศาสนา การได้รับอิทธิพลนี้จากอินเดีย ผสมร่วมกับความเชื่อของชนหลายเผ่าในท้องถิ่นเดิม จึงทำให้ คนไทยรวบรวมดัดแปลง อิทธิวิธี พิธีกรรม เลขยันต์ ต่างๆ เข้าเป็นเอกลักษณ์ เฉพาะตน เป็นลัทธิพุทธศาสนา อันเกี่ยวกับการใช้คาถาอาคม หรือ ลัทธิพุทธตันตระ
.....พุทธศาสนา จัดแบ่งความเชื่อในปาฏิหาริย์ ไว้ ๒ อย่างคือ
...............๑. อนุศาสนีปาฏิหาริย์ หรือ คำสอนที่เป็นความจริง สอนให้เห็นจริง นำไปปฏิบัติได้ผลจริง เป็นอัศจรรย์
...............๒. อิทธิปาฏิหาริย์ หรือ ฤทธิ์อันเป็นอัศจรรย์

.....การใช้พุทธคุณ จึงมีทั้งในรูปของ คำสวดมนต์ คาถา หัวใจพระคาถา หลายแบบหลายวิธี และในรูปของ รูป เหรียญ เครื่องราง ของขลัง ยันต์ ตะกรุด ฯลฯ ที่พระสงฆ์ ได้ กำหนดจิต ทำพิธีปลุกเสก แล้ว เชื่อว่ามี ฤทธิ์อันเกิดจากจิต มีคุณในด้านต่าง ๆ
.....ผลสำเร็จอันจะเกิดจาก คาถา หรือ เครื่องรางอื่นใด ย่อมขึ้นอยู่กับผู้ใช้ คุณวิเศษจะเกิดขึ้นได้อยู่ที่ จิตที่สำรวมเป็นสมาธิ ซึ่งอาจสามารถแสดง อิทธิฤทธิ์ ได้ตามภูมิ (จิตตานุภาพ) ของผู้บริกรรม
.....หากแต่ ความเชื่อเรื่อง กรรม เป็นผลจากการกระทำ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ยังคงเป็น อนุศาสนี ที่พิสูจน์ได้อยู่เสมอ ความเป็นมงคลที่ดี ย่อมขึ้นอยู่กับ ความเป็นผู้มี จิตใจดีงาม มีสติอยู่เสมอ และไม่ประมาท สิ่งนี้เป็น สัจจะธรรม แห่ง พุทธคุณบริสุทธิ์ ยอดแห่งปาฏิหาริย์อันอัศจรรย์แท้ ในทุกยุคทุกสมัย
.....นักรบและนักมวยไทยในสมัยโบราณ ไม่เพียงแต่เรียนรู้การใช้อาวุธและอวัยวุธเท่านั้น หากจำเป็นต้องเรียนรู้การใช้อำนาจของจิตในการต่อสู้ ทั้งจากการจูงจิต สมาธิ คาถาอาคม ว่านยา ธาตุกายสิทธิ์ และเครื่องของขลังในรูปแบบต่างๆ เพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจให้ให้เข้มแข็งมั่นคงกว่าฝ่ายตรงข้ามและปกป้องอันตรายในขณะต่อสู้ จนอาจถือได้ว่าเป็นอีกเอกลักษณ์หนึ่งของนักรบไทยทีเดียว ดังที่พบได้ในวรรณคดีเรื่องขุนช้าง-ขุนแผน ที่สะท้อนค่านิยมและชีวิตความเป็นอยู่ในยุคกรุงศรีอยุธยาตอนปลายจนถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ได้เป็นอย่างดี ตัวขุนแผนเองนอกจากหน้าตาดี มีคาถาอาคมแล้ว ก็มีของวิเศษสามสิ่ง คือดาบฟ้าฟื้น กุมารทอง และม้าสีหมอก แต่เมื่อมาพบกับ ตรีเพชรกล้า ทหารเอกฝ่ายเมืองเชียงใหม่แล้ว เครื่องรางของขลังของขุนแผนก็ดูน้อยลงถนัดใจ เพราะตรีเพชรกล้ามีเครื่องรางของขลังชนิดฟูลออปชั่น คุ้มตัวตั้งแต่หัวจดเท้าเลยทีเดียว
.....ท่านอาจารย์เทพย์ สาริกบุตร ได้เขียนไว้ในหนังสือ วิชาคงกระพันชาตรีว่า วิชาไสยศาสตร์ที่ทำให้มนุษย์พ้น อันตรายจากอาวุธนั้นแบ่งออกได้เป็น ๖ ประเภท คือ
.....เป็นวิชาที่ทำให้ร่างกายมนุษย์อยู่คงต่ออาวุธทั้งปวง ฟันแทงไม่เข้า ถ้าจะฆ่าให้ตายต้องใช้ไม้แทงทะลุทวารหนัก เท่านั้น แบ่งเป็นวิชาย่อยต่างๆ เช่น
...............๐ การเสกของกิน วิธีนี้เรียกว่าอาพัด เช่น อาพัดเหล้า อาพัดว่าน
...............๐ เสกฝุ่นผงน้ำมันทาตัว หรือปูนแดงป้ายลูกกระเดือก
...............๐ การเรียกของเข้าตัว เช่นน้ำมันงา หรือประกายเหล็กเพื่อให้คงทนเยี่ยงเหล็ก เป็นต้น
.....การเรียกประกายเหล็กเข้าตัวนี้มีกรรมวิธีที่พิศดารมาก คือ ให้นำเหล็ก ที่มีประกายเวลากระเทาะหินมานั่งับไว้ตรงรูทวารหนัก หลังจากนั้นจึงบริกรรม คาถาเรียกประกายเหล็กเข้าตัวทุกวัน เมื่อเวลาผ่านไปให้นำเหล็กกระเทาะหินดู หากหินนั้นมีประกายอยู่ให้บริกรรมต่อไป หากหินนั้นหมดประกายแล้วก็แสดงว่า ประกายเหล็กถูกเรียกเข้าตัวหมดแล้ว
.....เป็นวิชาที่ใช้ป้องกันอาวุธให้ฟันแทงไม่เข้าได้เช่นเดียวกับ วิชาคงกระพัน วิชานี้ทำให้ตัวเบากระโดดได้สูงและอาวุธที่มากระทบตัวนั้นนอกจากไม่ระคายผิวหนังแล้ว ยังไม่รู้สึกเจ็บอีกด้วย วิชานี้มีจุดอ่อน คือ หากถูกตีด้วยของเบา เช่น ไม้ระกำ ไม้โสนกลับเป็นอันตรายได้

.....เป็นวิชาที่ทำให้อันตรายที่จะมาถึงตัวนั้นหลีกเลี่ยงไป และแม้จะถูกทำร้ายซึ่งหน้าก็ดี อาวุธนั้นก็จะมีเหตุให้บังเอิญพลาดเป้าไป มีทั้งการใช้เครื่องราง เช่น ตะกรุด และคาถาอาคม วิชานี้รวมถึง วิชาพรหม 4 หน้า ที่นักมวยคาดเชือกใช้บริกรรมเพื่อให้คู่ต่อสู้ชกไม่ถูกเพราะเห็นเป็นหลายหน้าด้วย
....เป็นวิชาที่เกิดขึ้นในชั้นหลัง ใช้กันปืนให้เกิดอาการขัดลำกล้อง ยิงไม่ออก ดังคำว่า อุด มีทั้งที่เป็นคาถาภาวนา และเครื่องรางเช่น ตะกรุดที่อุดหัวอุดท้ายแล้ว ตลอดจนกระทั่งลูกปืนที่ด้านแล้วก็นำมาใช้ลงคาถามหาอุดเช่นเดียวกัน ด้วยถือคติว่าแม่ย่อมไม่ฆ่าลูก ผู้ใช้จะปลอดภัยไปด้วย
.....วิชานี้แม่ทัพนายกองในสมัยโบราณใช้คุ้มกันทหารในกองทัพ มักนิยมเสกน้ำมัน ใช้ปูนป้ายลูกกระเดือก หรือเสกหมากให้กินก็ได้
.....วิชานี้กล่าวว่าเมื่อผู้ฝึกถึงขั้นจะสามารถ กำบังตนและพาหนะไม่ให้คู่ต่อสู้มองเห็นได้

*ซึ่งยังมีวิชาปลีกย่อยอีกมากมายในตำราพิชัยสงครามที่อาจจัดเข้าหมวดหมู่ที่จัดไว้หรือแยกไปตากหาก เช่น สมานแผล เป็นต้น
ชุดประเจียดหัวและแขนของครูทอง
.....หากใครเคยชมภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ไทย จะพบว่านักรบไทยมีผ้าสีแดงรัดต้นแขนหรือโพกศีรษะขณะเข้าสงคราม นี่คือ ผ้าประเจียด ซึ่งเป็นเครื่องรางที่นักมวยไทยนำมาใช้ผูกตัว เมื่อเข้า มักทำจากผ้าสีแดงหรือผ้าขาวบาง อย่างดีจากประเทศอินเดียที่
 เรียกว่า ผ้าสาลู ตัวผ้าประเจียดนั้นจริงๆแล้ว คือ ผ้ายันต์ที่พับเข้าเป็นแถบ หรือม้วนเป็นวง เพื่อสะดวกต่อการใช้ผูกแขนหรือศีรษะนั่นเอง บนผืนผ้านั้นเกจิอาจารย์จะลงเลขยันต์ประเภท มหาอำนาจ, ชาตรีมหายันต์ หรืออาจนำ ตะกรุดแผ่น บรรจุไว้ด้วย ก่อนนำเข้าพิธีพุทธาภิเษก เพื่อเพิ่มพูนความศักดิ์สิทธิ์ สำหรับนักมวยนั้นมีมงคลสวมศีรษะอยู่แล้ว ก็จะนำผ้าประเจียดมารัดต้นแขนเพื่อเป็นสิริมงคล
.....สำหรับนักมวยสายไชยา มักนิยมสวมผ้าประเจียด เพียงอย่างเดียว เรียก ประเจียดหัว กับ ประเจียดแขน เมื่อศิษย์จะทำการตีมวย ครูบาอาจารย์ท่านจะนำประเจียดทั้งสองชนิดมาเสกเป่าด้วยพระคาถา พร้อมทั้งเจิมประแจะเสกลงที่หน้าผาก ก่อนการสวมประเจียดหัว ประเจียดแขน 
....................................
.....เรื่องราวของผ้าประเจียดที่โด่งดังในประวัติศาสตร์จนถึงทุกวันนี้ คือเหตุการณ์ในสมัยรัชกาลที่ 1 ที่พระครูแช่ม วัดฉลองได้ทำพิธีปลุกเสกผ้าประเจียดให้กับชาวภูเก็ตเพื่อรบกับอั้งยี่จนประสพชัยชนะ 
................................................
.....มงคลเป็นเครื่องรางสำหรับสวมศีรษะ มักทำจากผ้าแถบผืนแคบๆ ที่ลงยันต์แล้วม้วนพันด้วยด้ายสายสิญจ์ หลังจากนั้นจึงหุ้มด้วยผ้าลงอาคมขดเป็นวงแล้วทิ้งหางยาวไว้ด้านหลัง หรืออาจทำจากเชือกขด หรือสายสิญจ์หลายเส้น นำมาขวั้นรวมกันเป็นเส้นใหญ่แล้วหุ้มผ้าประเจียดก็ได้ นักมวยแต่ละภาคก็จะมีมงคลเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง (เว้นแต่มวยไชยาเท่านั้นที่ใช้ผ้าประเจียดสวมศีรษะแทนมงคล) และเนื่องจากมงคลมิใช่เครื่องประดับแต่เป็น เครื่องรางเพื่อคุ้มครองนักมวยตั้งแต่เบื้องศีรษะลงมา จึงถือเป็นประเพณี ว่าต้องให้ครูมวยเป็นผู้สวมให้โดยขณะสวม ครูมวยแต่ละสำนักก็มักบริกรรมคาถากำกับไปด้วยและที่สำคัญนักมวยจะไม่ถอด ประเจียด หรือ มงคลออก ขณะตีมวยกัน
.....พิรอดคล้ายกับประเจียดแต่ต่างกันที่มีกรรมวิธีที่ซับซ้อนกว่า โดยเริ่มจากการนำผ้าลงยันต์มาม้วนเป็นเส้น แล้วชโลมด้วยน้ำข้าว เพื่อให้ผ้ายันต์ม้วนตัวกันแน่นเป็นเส้นก่อนนำด้ายสายสิญจน์มามัดทับผ้ายันต์ไว้ให้สวยงาม ถักขึ้นรูปเป็นพิรอดและเข้าพิธีปลุกเสก หลังจากนั้นจึงทดสอบความขลังด้วยการเผาไฟ วงใดไฟไม่ไหม้ จึงจะนำไปลงรักน้ำเกลี้ยงและปิดทองเพื่อความสวยงาม ตัวพิรอดมีหลายรูปแบบ ทั้งแหวนพิรอด พิรอดสวมต้นแขน หรือพิรอดมงคลสวมหัวที่ขึ้นชื่อในหมู่นักสะสมเครื่องราง คือ แหวนพิรอดของหลวงปู่ทอง วัดราชโยธา
.....ขวานฟ้า จัดอยู่ในหมวดธาตุกายสิทธิ์ เป็นหินมีรูปร่างคล้ายขวาน นักมวยคาดเชือกในสมัยโบราณถือเป็น เครื่องคาดเครื่องราง ที่จะใส่ไว้ในซองมือระหว่างพันหมัดด้วยด้ายดิบก่อนการตีมวย คนโบราณเชื่อกันว่า ขวานฟ้ามีฤทธานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์ จะพบได้บริเวณที่มีฟ้าผ่าลงดินและคนมีบุญบารมีเท่านั้นที่จะขุดพบ นอกจากนี้ท่านยังใช้เป็นเครื่องมือรักษาโรค กดที่บวม และบดเป็นยา เชื่อกันว่าหากเอาขวานฟ้าไว้ในยุ้งข้าว ข้าวจะไม่พร่อง วางขวานฟ้าไว้ที่ลานตากข้าวเปลือก ไก่ป่าจะไม่เข้ามาจิกกิน บางจังหวัดในภาคกลาง ใช้ไล่ผีโดยให้เอาขวานฟ้าซุกไว้ใต้ที่นอนคนที่มีผีเข้า นอกจากนี้ในบ่อนไก่บางแห่ง ยังใช้ขวานฟ้าบด เพื่อใช้รักษาตาไก่ที่แตกเป็นแผล
*หมายเหตุ
.....วิชาโบราณคดี กล่าวถึงขวานฟ้าว่า เป็นขวานหิน แหล่งที่พบมักมีร่องรอยของหลักฐานด้านสังคมเกษตร และการใช้ภาชนะดินเผา จึงเรียกชุมชนของมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในยุคนี้ว่า มนุษย์ยุคหินใหม่ หรือ ยุคสังคมเกษตรเริ่มต้น
.....ขวานหินพบเห็นอยู่ทั่วไป ในทุกภาคของประเทศไทย มีหลายขนาด แยกออกได้เป็น ๒ แบบ คือ ขวานหินขัด และ ขวานหินกะเทาะ มีอายุประมาณ ๖-๔ พันปี
.....ตะกรุด คือ แผ่นโลหะลงยันต์ศักดิ์สิทธ์ เช่น ยันต์อิติปิโสกลบท นำมาม้วนเป็นวง และปลุกเสกด้วยกำลังจิต ตามกรรมวิธีโบราณของเกจิอาจารย์แต่ละท่าน ใช้ร้อยเชือกผ่านรูตรงกลางแล้วนำมาห้อยคอหรือคาดเอว โดยหวังผลทางเมตตามหานิยม แคล้วคลาดและคงกระพันชาตรี ตระกรุดมีหลายขนาด หากเป็นตะกรุดขนาดใหญ่ ใช้ห้อยคอหรือเอวเพียง ชิ้นเดียว เรียกว่า ตะกรุดโทน ฯลฯ
....หากใครเคยได้เห็นการร่ายรำไหว้ครูของมวยไชยา และออกเป็นคนช่างสังเกตสักหน่อยจะพบว่าหลังจากนักมวยถวายบังคมพระมหากษัตริย์แล้ว นักมวยจะนั่งยองลงบริกรรมคาถาและก้มลง กราบที่พื้น๓ ครั้งแล้ว นักมวยจะยืนขึ้นสำรวมกาย พร้อมกับยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นอุดที่รูจมูกทีละข้าง สูดลมหายใจเข้าออกช้า ๆ จึงกระทืบเท้าตั้งท่าครูแล้วร่ายรำมวย ล่อหลอก คุมเชิง ดูคู่ต่อสู้ ที่จริงแล้วนี่คือวิชาตรวจลมหายใจ หรือตรวจ "ปราณ" ที่สืบทอดมาแต่ครั้งโบราณ
  .....ด้วยว่า มวยไทยนั้น เป็นเอกลักษณ์ของชาติไทย อันประกอบด้วย วิทยาการต่อสู้แบบฉบับเฉพาะของคนไทย และยังประกอบไปด้วย ประเพณี พิธีกรรม อันดีหลายอย่าง ที่บ่งบอกถึงความเป็นคนกล้าหาญ เข้มแข็ง อีกทั้งยัง อ่อนน้อม ถ่อมตน รู้คุณ กตัญญู กตเวที ต่อชาติ ต่อครูบาอาจารย์ คุณธรรมเหล่านี้ ได้ถูกแสดงออกด้วย ประเพณี พิธีกรรม และขั้นตอนต่างๆ อย่างมีหลักเกณฑ์ ด้วยจิตคารวะของผู้เป็นศิษย์ ผู้มีจรรยา สอดคล้องกับวัฒนธรรมอันดีของชาติ
.....ผู้สมัครแจ้งความประสงค์ ขอเข้ามอบตัวเป็นศิษย์ เพื่อรับการอบรม สอนสั่ง วิทยาการต่าง จากครู โดยมากใช้ วันพฤหัสบดี ซึ่งถือเป็น วันครู เมื่อผู้สมัครกล่าวแนะนำตนแล้ว ครูก็จะพูดคุยซักถาม ประวัติความเป็นมา และดูกิริยาท่าทาง ว่าสุภาพ เรียบร้อย มีสัมมาคารวะ เป็นผู้ที่เหมาะสมจะได้รับการอบรมสั่งสอนหรือไม่
....เมื่อครู พอใจแล้ว จึงรับผู้สมัคนั้นเข้าเป็นศิษย์ ถ่ายทอดศิลปะวิทยา โดยให้ศิษย์อยู่ฝึกฝนในสำนักตนสักระยะหนึ่ง ครูจึงค่อยพิจารณา หากเห็นว่า ศิษย์มีความขยันหมั่นเพียร ฝึกซ้อมทำตามแบบวิชาที่สอนเบื้องต้นได้ดีพอควรแล้ว อีกทั้งมีอุปนิสัยดี ครูจึงจะเรียกศิษย์ผู้นั้นให้มา ขึ้นครู อีกครั้งหนึ่ง
.....( ในยุคที่ ครูทอง สอนอยู่นั้น ครูมักจะพูดเสมอว่า หากใครที่ยัง ทำท่าไหว้ครู ไม่ได้ หรือ ครูยังไม่ได้รับรองว่า ผู้นั้นสามารถ รับเตะรับต่อย ได้คล่องแล้ว อย่าบอกว่า เรียนมวยไชยา )

การขึ้นครู

..........

....." การขึ้นครู " เป็นการแสดงความคารวะ และรับสัตย์ เบื้องต้น เท่ากับสมัครตัว ยอมใจ เข้าพวก และรับการอบรม สั่งสอน มารยาทและวัฒนธรรม เพื่อดำรงชีวิตอยู่ด้วยความสงบปราศจากศัตรู หรือรู้จกประพฤติและวางตน รู้จักคบ และสงวนบุคคล ไว้เป็นที่พึ่ง " (ปรมาจารย์ เขตร์ ศรียาภัย )

.....ในการทำ พิธีขึ้นครู นั้นครูจะเป็นผู้เลือกวัน ตามฤกษ์ยาม และกำหนด สิ่งของที่จะใช้ในพิธี อย่างเช่น ดอกไม้ ธูปเทียน ขันน้ำ ผ้าขาวม้า เงิน ฯลฯ

.....พิธีจะกระทำต่อหน้า พระพุทธรูป ศิษย์รับศีลห้า และกล่าวคำขอขึ้นครู พร้อมสาบานตน ครูกล่าวรับเป็นศิษย์ และให้โอวาท เป็นเสร็จพิธี

........

.....การขึ้นครูนั้น บางครั้ง ครูจะเป็นผู้เลือกศิษย์เอง ด้วยเห็นในความสามารถ หรือความเหมาะสม อื่น ๆ



.....เป็นพิธีสำคัญ ในการมอบหมายให้ศิษย์ ที่ครูไว้วางใจในทุกด้าน ให้เป็นผู้สืบทอด ส่งต่อวิชาได้มี ศักดิ์ และ สิทธิ์เทียบเท่าครู

..... นักมวยที่จะทำการตีมวย ต่อหน้าพระที่นั่ง จะต้องกระทำการถวายบังคมเพื่อเป็นการแสดงออกซึ่ง ความกตัญญูรู้คุณ ต่อแผ่นดิน และจงรักภักดีต่อพ่อบ้านพ่อเมือง และเพื่อเป็นการขอพระราชทานอภัยโทษด้วยเหตุ ที่จะต้องมีการกระทำกิริยาอันไม่เหมาะไม่ควร ต่อเบื้องพระพักต์ขององค์พระมหากษัตริย์ อันเป็นประเพณีที่กระทำ สืบต่อกันมานาน

.....การไหว้และขอขมา ประเพณีนิยมอย่างหนึ่งซึ่งเราชาวไทยมักเห็นกันเสมอ เมื่อมีการแสดงการละเล่น กระบี่กระบอง และมวยไทย จบลงฝ่ายชนะหรือทั้งสองฝ่ายจะนั่งคุกเข่าพนมมือไหว้ฝ่ายที่นอนอยู่หรือไหว้ ซึ่งกันและกัน คนไทยเป็นผู้ที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นวัฒนธรรมที่ทั่วโลกยกย่องสรรเสริญ การแสดงออกด้วยการ ไหว้แลการขอขมาซึ่งกันและกันนี้ ก็นับเป็นศิลปะวัฒนะธรรมที่ควรสืบทอดอนุรักษ์ให้ดำรงอยู่ควรคู่ลูกหลานไทย สืบไป
ที่มา : http://www.muaychaiya.com

1280
ได้ของดีมาก็รักษาดีๆนะครับ

1282
ยินดีต้อนรับครับ

1283
เขี้ยว งา กะลา เขา เป็นคำพูดที่พูดกันมานมนาน ซึ่งหมายถึง วัตถุที่นำมาสร้างเครื่องรางของขลัง นั่นเอง เครื่องรางที่ สร้างจากเขี้ยวสัตว์ นั้น ส่วนใหญ่จะเน้น เขี้ยวเสือ เขี้ยวหมี และ เขี้ยวหมูป่า เป็นหลัก ที่สร้างจาก งา คงเป็นแค่ งาช้าง เท่านั้น

ส่วนเครื่องรางของขลังที่ทำจาก กะลามะพร้าว ส่วนใหญ่จะใช้ กะลามะพร้าวที่มีตาเดียว แต่ถ้าเจอกะลามะพร้าวที่มีห้าตา สิบตา ก็ยิ่งดี ถือว่าเป็นของหายาก สำหรับ เขาสัตว์ จะเน้นไปทาง เขาวัวกระทิง เขาควาย และ เขากวาง เป็นหลัก

วัตถุที่นำมาสร้างเครื่องรางของขลังเหล่านี้ เชื่อกันว่า มีความขลังในตัวอยู่แล้ว ยิ่งนำมาทำพิธีปลุกเสกด้วย ยิ่งเพิ่มความขลังเป็นทวีคูณขึ้นหลายเท่า

วันนี้ผู้เขียนขอเขียนเรื่อง เขี้ยว สักเรื่องหนึ่งก่อน โอกาสหน้าค่อยเขียนถึงเรื่อง งา กะลา เขา ให้ละเอียดอีกครั้ง

เขี้ยว นับว่าเป็นเครื่องรางของขลัง ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ชนิดหนึ่ง เกจิอาจารย์บางท่านนำเขี้ยวมา แกะสร้างเครื่องรางของขลัง จนได้รับความนิยม ให้นั่งอยู่แถวหน้า ประเภทเครื่องรางยอดนิยม เช่น เสือของหลวงพ่อปาน วัดคลองด่าน หรือ เสือ อาจารย์เฮง วัดเขาดิน เป็นต้น

เขี้ยวสัตว์ที่นิยมนำมาสร้างเครื่องรางของขลัง มีอยู่ ๓ ชนิด คือ เขี้ยวเสือ เขี้ยวหมี และเขี้ยวหมูป่า ซึ่งมีผู้ซักถามและถกเถียงกันอยู่บ่อยๆ คือ เขี้ยวสัตว์แต่ละชนิด มีความแตกต่างกันอย่างไร

วันนี้เรามาทำความเข้าใจกัน ผู้เขียนเองยอมรับว่าไม่ได้เก่งกาจ อะไรมากเรื่องเครื่องรางของขลัง แต่เป็นผู้ชื่นชอบวัตถุมงคลประเภทเครื่องรางเอามากๆ คนหนึ่งเลยทีเดียว ชอบค้นคว้า ค้นตำราต่างๆ ถามผู้รู้ ผู้ชำนาญ เคยซื้อผิด ซื้อถูก ทุกอย่างผู้เขียนถือว่าเป็นครูเท่านั้น เมื่อได้ความรู้อะไรมา ที่เห็นว่าสำคัญและถูกต้องก็จะถ่ายทอดกันต่อๆ ไป จะได้ไม่สูญหายไปจากวงการ

เขี้ยวเสือ เขี้ยวหมี และ เขี้ยวหมูป่า ถ้าเป็นอาจารย์เดียวกันสร้าง เขี้ยวเสือจะได้รับ ความนิยมมาเป็นอันดับหนึ่ง รองมาก็คือ เขี้ยวหมี และ เขี้ยวหมู เป็นอันดับท้าย ทั้งนี้น่าจะเป็นเพราะความเชื่อว่า เสือเป็นสัตว์มหาอำนาจ เป็นเจ้าป่า หายาก และฆ่าก็ยาก หมียังพอเห็นมากกว่า ส่วนหมูป่านั้นมีจำนวนมากมาย แต่ถ้าเป็นหมูป่าเขี้ยวตัน หรือเขี้ยวยาวใหญ่ ก็ถือว่าหาชมได้ยากเช่นกัน ดังคำโบราณที่กล่าวว่า ถ้าจะเล่นเขี้ยวหมูต้องเล่นเขี้ยวตัน จะเล่นเขี้ยวเสือต้องเล่นเขี้ยวโปร่ง (โปร่งฟ้า)

ก่อนจะแยกแต่ละประเภทของเขี้ยวนั้น อยากพูดถึงลักษณะของการนำเขี้ยวมาแกะ ว่ามีลักษณะใดบ้าง คือมีทั้งที่แกะเต็มเขี้ยว ครึ่งเขี้ยว หรือ นำเอาเขี้ยวมาผ่าเป็นซีก แกะเป็นชิ้นเล็กๆ ก็มี

เต็มเขี้ยว หมายถึง เขี้ยวที่ถูกถอดรากออกจากเหงือกทั้งอัน ซึ่งยังมีปลายเขี้ยวแหลม ยาวอยู่ เช่น เสือ หลวงพ่อนก วัดสังกะสี

ครึ่งเขี้ยว หมายถึง เขี้ยวที่ถูกถอดรากออกจากเหงือกทั้งอัน แล้วนำมาตัดแบ่งครึ่ง ส่วนใหญ่นิยมเอาครึ่งแถบที่เป็นรากเขี้ยวมาแกะ เช่น เสือ หลวงพ่อปาน คลองด่าน ที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไป

เขี้ยวซีก หมายถึง การเอาเขี้ยวเต็มมาผ่าแบ่งเป็นชิ้นๆ แล้วนำมาแกะเป็นวัตถุมงคลอีกทีหนึ่ง เช่น เสือเขี้ยวซีก หลวงพ่อปาน คลองด่าน หรือ เสือ อาจารย์เฮง วัดเขาดิน

การแกะวัตถุมงคลจากเขี้ยวซีกชิ้นเล็กๆ นั้น บางท่านอาจเข้าใจผิดว่าแกะมาจากปลายเขี้ยว ซึ่งเป็นไปได้ยากมาก เพราะปลายเขี้ยวมีลักษณะ แข็ง และ กรอบ ถ้าโดนแกะก็จะปริแตกไม่เป็นรูปทรง

ความจริงแล้ว เขี้ยวเสือ เขี้ยวหมี และเขี้ยวหมูป่า มีลักษณะที่แยกออกจากกันได้ชัดเจน ผู้เขียนจะอธิบายไปทีละขั้น จะได้เข้าใจง่าย ไม่สับสน โดยดู รูปภาพประกอบ จะเห็นได้ชัดเจน

เขี้ยวเสือ มีทั้งขนาดเล็กและใหญ่ ขึ้นอยู่กับชนิด และขนาดของตัวเสือ เขี้ยวจะยาว เรียว ปลายแหลมคม โค้งพอประมาณ ดูจากปลายเขี้ยวจะเห็นเหลี่ยม เป็นร่องเล็กๆ อยู่สี่มุม วิ่งเป็นแนวร่องเข้ามายังตัวเขี้ยวชัดเจน เราเรียกกันว่า ร่องเส้นเลือด และถ้านำเขี้ยวเสือมาตัดแบ่งครึ่ง เราจะเห็นรูตรงกลาง เป็นรูกลวงโปร่ง ไปสุดโคนเขี้ยว ซึ่งจะมีลักษณะกลม หรือกลมรีเล็กน้อย กว้างประมาณ ๒๐-๓๐ % ของพื้นที่หน้าเขี้ยวที่เราตัดครึ่ง และจะมีคลื่นรัศมีวิ่งรอบปากรูเขี้ยว ซึ่งมองเห็นได้ชัดเจน

เขี้ยวหมี มีขนาดเล็กและใหญ่เช่นกัน เขี้ยวหมีเมื่อดูภายนอกลักษณะทั่วไปคล้ายเขี้ยวเสือมาก คือมีความเรียว โค้งยาว ปลายแหลมคม สิ่งที่แตกต่างจากเขี้ยวเสือนั้น คือปลายเขี้ยวหมี ก็มีร่องเลือดเหมือนกัน แต่เป็นแบบ เส้นเลือดสีน้ำตาลแดงวิ่งรอบเป็นวงเดือน จากปลายเขี้ยวเข้ามาด้านใน เป็นสิบๆ รอบ ซึ่งเรามองด้วยตาเปล่าได้ชัดเจน และเมื่อเรานำเขี้ยวมาตัดผ่าแบ่งครึ่ง จะพบรูกลวงโปร่งเช่นเดียวกับเขี้ยวเสือ แต่ รูของเขี้ยวหมีจะกว้างกว่ารูของเขี้ยวเสือ มาก บางเขี้ยวเจอรูกว้าง ๗๐-๘๐% ของหน้าเขี้ยวเลยทีเดียว

เขี้ยวหมูป่า มีลักษณะแตกต่างจากเขี้ยวเสือและเขี้ยวหมี ซึ่งเห็นได้ชัดเจนมาก คือ เขี้ยวหมูป่า มีทั้งขนาดเล็กและใหญ่ มีลักษณะแบน เป็นเหลี่ยม โค้ง ยาว ปลายแหลม รูกลวง บางเขี้ยวยาวมากๆ จนเกือบจะเป็นครึ่งวงกลมเลยก็มี ส่วนใหญ่จะเป็นเขี้ยวกลวงเกือบทั้งนั้น จะหาเขี้ยวแบบตันยากมาก


 

สรุปได้ว่า เขี้ยวเสือ เขี้ยวหมี และเขี้ยวหมูป่า มีลักษณะที่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาแล้วก็สามารถแยกออกจากกันได้อย่างชัดเจน
ได้บทความนี้มาจาก

                             ขอบคุณครับ

1284
สวยมากครับ รอชมตอนเสร็จ นะครับ

1285
ใจหนึ่ง ขอชมว่าสวยครับ :015:
ใจหนึ่ง สงสารเสือน้อยตัวนี้จัง :070:

1286
ผมว่าทุกท่านคงให้เกียรติ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ นะครับ

1287
ยินดีด้วยนะครับ

1288
ร้านศศิวิมลรัตน์เลยครับร้านของเอ็มไร่ขิงคับ.....โฆษณาให้แล้วนะเพื่อนเอ็ม..อิอิอิ

กำแล้ว ............โทษนะครับ เพื่อนๆพี่น้องๆ ร้านผมเป็นร้านเล็กๆ รับจำนวนคนไม่หมดหลอก ครับ
ร้านอื่นดีกว่า ครับ แหะๆ ขอบใจเพื่อนต้นมากนะ ..แหะๆ :075:

อีกอย่าง ..มันไกลจากบางพระมากเลย ครับ หาที่ใกล้ๆดีกว่านะเพื่อนต้น


จะไปไหนผมไปด้วยนะครับ

1289
สวยมากเลยครับ สอบถามท่านผู้รู้ว่า ยันต์นี้ มีชื่อว่าอะไรครับ

1290
ของดีๆ สวยทั้งนั้น ชอบๆทุกองค์เลย

1291
ถามครอบจักรวาลเลยนะท่าน ตามความเห็นของกระผม มีความเห็นดังนี้
 -ยันต์ที่สมควรไว้สูงกว่าเอว ก็ประเภท รูปเทพ รูปพระเกจิ บทคาถาสรรเสริญ พระรัตนตรัย เช่น สักรูปพระพิฆเนศ ยันต์ตะกร้อวัดกาหลง ยันต์เกราะเพชร พ่อแก่
 -ยันต์ที่ไว้ต่ำกว่าเอวได้ ก็ประเภทเมตตา รูปสัตว์ เช่น นางพิมดำเซ็น เพรญพญาธร พวกลิงลม จระเข้
                                                                                  ขอบคุณครับ

1292
ขอรายละเอียดด้วยนะครับทำไง ถึงได้

1293
มีคนใช้งานเยอะมากนะครับช่วงนี้ ได้ข่าวว่า 1-18 นี้ คนใช้เว็บเป็นแสน คนเลยนะครับ ดาต้าเบสอาจรวนได้

1294
            ตั้งแต่เล็กผมชอบศาสตร์ทางนี้มาก แต่ยายไม่อยากให้สัก เพราะขนาดไม่สักหัวแตกบ้างตาเขียวกลับบ้านเกือบทุกวัน ยายบอกถ้าสักมันบ้าไปกันใหญ่ ผมเกรงใจยาย จึงไม่สัก พอโตหน่อยภรรยาก็ไม่ชอบคนสักยันต์ บอกหากสักจะเลิก กลัวครับกลัวโดนทิ้ง ผมได้มีโอกาสไปทำงานที่มหาชัยได้เจอลุงพงษ์ ท่านมีหน้าที่ดูแลคนงานพม่าเกือบพัน คล้ายเป็นผู้ใหญ่บ้านในซอยที่ผมอยู่ ผมก็แปลกใจนะครับ ว่าคนแก่วัย 70 กว่า ทำไมพม่าถึงกลัวนัก เพราะมีเหตุการณ์นึง คือคนงานของผมซึ่งเป็นคนไทย ไปจีบสาวพม่าที่ในซอยนั้น โดนชายหนุ่มชาวพม่า ล้อมหลายร้อย คนงานคนนั้นโทรมาบอกให้ผมไปช่วย ตามนิสัยผมไปเลยครับ พกปืนไปด้วย พอถึงเห็นคนงานผม กองอยู่กับพื้นครับเลือดทั่วเลย ผมชักปืน ยิงขึ้นฟ้า 3 นัด แล้วไปเอาตัวคนงานออกมา ชายกลุ้มนั้นทำท่าจะไม่ให้ผมพาตัวคนงานออกไป นี่ผมถือปืนนะครับไม่มีใครกลัว แต่ก็มีเสียงคนแก่คนหนึ่ง ตะโกนว่า จาก รึ ยาก (เป็นภาษาพม่า ผมอาจจะจำผิด) ที่นี้คนงานพม่าหยุดตัวแข็งทื่อ เป็นเสาไฟฟ้าเลย แหวกทางเหมือนเสก ลุงแก่ๆบอกให้วิ่งออกมา ผมวิ่งชนิด 100เมตรชายเดียวเลยครับ จนลืมคนงานตัวเจ้าปัญหาเลย ต้องกลับไปเอามัน พยุงออกมา จบเรื่องตอนเช้าผมก็ไปขอบคุณลุง ก็ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ ก็พยายามสังเกตว่าทำไมคนถึงกลัวลุงแกนัก ลุงแกก็เผยมาที่ละนิด ทีละนิด จนรู้ว่าลุงเป็นศิษย์หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระนครชัยศรี ลุงแกก็ไม่สักมาก มี3 รอยสักเท่านั้น คือ พ่อแก่นารอด ท่านั่งขัดสมาธิ หงษ์ ชูชก ทุกรอยหลวงพ่อท่านสักให้ ผมขอจับรอยสัก ขนผมลุกเลยครับ ที่นี่ตั้งใจเลยไม่ฟังเสียงใครห้ามเพราะ ณ ปัจจุบันอายุ 30 ปีแล้วทิ้งก็ทิ้งใจกล้าครับ ยายก็อยู่ถึงแพร่คงนานกว่าจะเห็นว่าสัก ไปสักเลยวันแรกสักเยอะหน่อย เกือบเต็มหลัง เสียดายนะครับที่ผมไม่ทันหลวงพ่อเปิ่น แต่ขอมาสักที่เขตวัดบางพระก็พอใจแล้ว พอกลับบ้านมารดา+บิดา+ภรรยา+น้องสาว งงครับที่สักเยอะ แต่ไม่มีใครกล้าว่าอะไร ที่นี่รุ่งเช้าไปมหาชัยเลยครับ ด้านหลังสักไม่ได้เพราะเมื่อวานเยอะ ที่นี้ ซัดด้านหน้าเต็มๆ พอกลับบ้านไม่มีใครคุยด้วยเลย เพราะทั้งตระกูลเกียจคนสักมาก ผมเลยต้องพิสูจน์ว่าคนสักยันต์มาแล้วดีขึ้น เริ่มจากตื่นตี5 สวดมนต์ ทำกิจวัตรเสร็จ ก่อนไปทำงานไหว้ บิดามารดา โทรมาหาท่านตอนกลางวันว่าทานข้าว รึยัง พาท่านไปที่ๆท่านอยากไป ทำงานที่ท่านเคยให้ทำแบบที่ท่านไม่ต้องสั่ง ท่านงงครับ ตั้งแต่เกิดมา เป็นผู้ชายคนเดียว ของตระกูล เอาแต่ใจ ตอนนี้เอาใจใส่ บุคคลรอบข้าง รักและเคารพบิดามารดาแบบแสดงออกให้เห็น(เมื่อก่อน ก็รักแต่ไม่กล้าแสดงออก) ตอนนี้ท่านชมว่าสักมาแล้วดี ไม่ขาดปาก ผมมาทำงานไกลมากครับ หาวัดทำบุญยากมา แต่ไหว้ครูไปแน่นอน เจอกันทักกันบ้างนะครับ

1295
เหนียว ครับ อยู่ยงคงกระพันครับ หากคนสักถูกตีล้มแล้วโดนซ้ำ ที่นี้เป็นตาเอาคืน เคยโดนกับตัวมา เอาเป็นออกแนวบู๊ครับ ฟันธง

1296
เป็นผมฉุดเลยงานนี้ ล้อเล่น อดทนไว้นะดีแล้วนะครับ โดนตบหัวด้วยมือนะครับจิ๊บๆ อย่าให้ใครหน้าไหนมาข้ามหัวก็แล้วกัน งานนี้เสื่อมเต็มๆ อดทนนะครับ คนที่สัก เราอยู่ร่วมกับคนหมู่มากอันไหนเคร่งได้ก็เคร่ง อันไหนผ่อนได้ก็ผ่อน ขึ้นอยู่ว่า จะเคร่งรึ่ผ่อนอย่างไร เรื่องแบบนี้ต้องใช้ประสบการณ์นะครับ ขออวยพรให้ท่านอยู่ในสังคมของท่านอย่างมีความสุข

1297
..........

1298
ก่อนสักก็ถามอาจารย์ที่จะสักสิครับ ท่านรู้ในของที่จะมอบให้ว่าควรปฎิบัติตัวยังไงอยู่แล้ว สายบางพระกฏก็ตามที่ท่านรู้อยู่แล้วนะครับ ทำได้ให้ได้เป็นผลดีกับตัวเราครับ

1299
เท่าที่เคยเจอมา ถ้ายังไม่ขึ้นยันต์ครูพระอาจารย์ก็จะให้ ๙ ยอดนะครับ แต่ถ้ามียันต์ครูจากสำนักอื่นแล้ว ก็จะให้อย่างอื่นแล้วแต่ความเหมาะสม

หลังยังว่างเยอะ ก้ออาจเริ่ม แปดทิศ งบน้ำอ้อยไปเลย ถ้าสักมาเขียวแล้วก็เติมรุปให้ 

คงไม่ตายตัวครับ  แล้วแต่พระอาจารย์แต่ละรูปจะพิจารณาความเหมาะสม

ที่แน่นอนที่สุดไปที่วัดได้สักแน่นอนครับ พระอาจารย์ให้ของดีแน่นอน   :016:

ขออภัยอย่างแรงครับ พลาดไปใช้คำว่า ก้อ ผิด ที่ถูกต้องเป็น ก็ นะครับ  ตัวอย่างไม่ดี  ขอโทษจริงๆครับผม   :054:  :054:
สมกับที่เป็นท่านอชิตะนะครับ ภาษาไทยไม่พลาด ผิดแล้วมาแก้ไขลูกผู้ชายตัวจริง แอนตาซินแจกเข็มละ 500
เข้าเรื่องซักทีนะครับ  ก็อย่างที่ทุกท่านตอบนะครับผมไม่มีอะไรเสริมนะครับ

1300
แล้วแต่เจตนานะครับ หากเรากำลังจะมีอะไรกันแล้ว รู้ว่าฝ่ายหญิงเป็นรอบเดือนก็หยุด หากมีอะไรกันไปแล้วพึ่งรู้ตอนเสร็จ นี่ ต้องพึ่งอาจารย์เป่าใหม่ ผมเคย แต่อาจารย์ท่านบอกอย่าบ่อยนักนะของดีอาจเสื่อม แต่หากบ่อยหรือเจตนาฝ่าไฟแดง ของดีหลุดแน่ๆ  เอาเป็นว่า ระวังดีๆนับวันประมาณการช่วงเสี่ยง โดนมาแล้วจะไม่สบายใจเอานะครับ ช่วงนี้ คนถามแบบนี้หลายกระทู้เลยนะครับ พร้อมใจกันฝ่าไฟแดงเลย

1301
สักได้ครับ สักได้แน่นอน แค่เห็นกับตาตัวกระผมเองมาแล้ว

1302
สุดยอดครับ สวยๆครับ การล้อมสวยจริงๆนับถือ นับถือ ว่าแต่สักกับพระอาจารย์ท่านไหนมาบ้างครับ  :015:

1303
บทความ บทกวี / ใบหนาด
« เมื่อ: 18 ก.พ. 2552, 07:06:23 »
บังเอิญว่า ที่บ้านพักของผมมีใบหนาดเยอะ เลยถามคนแถวนนี้ ว่าปลูกทำไมเยอะจัง เค้าบอกเอาไว้กันผี กระผมเลย หาข้อมูลในเน็ทพอเจอเป็นข้อมูลเลย นำมาลงเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กันนะครับ

     ความเชื่อเรื่องผีทำให้เกิดอะไรหลายอย่างในระบบความคิดและความเชื่อของมนุษย์ ตั้งแต่เรื่องที่น่าขบขันไปจนถึงเรื่องจริงจัง โดยเฉพาะเรื่องของเครื่องรางของขลัง ทุกสังคมมีเรื่องของเครื่องรางของขลัง ไม่ว่าจะที่ไหนในโลก  สังคมตะวันตกมีความเชื่อเรื่องกระเทียมกับผีดูดเลือด สังคมไทยเชื่อว่าใบหนาดสามารถกันผีได้และเรื่องใบหนาดนี่เองที่น่าสนใจ เพราะมีความจริงทางวิทยาศาสตร์และความเชื่อที่สร้างขึ้นปะปนกันอยู่อย่างน่าสนใจ

      ต้นหนาดจัดเป็นไม้ตระกูลไม้พุ่ม ทุกส่วนของต้นจะมีกลิ่นการบูร (อ่านว่า กา-ระ-บูน) ใบมีขนาดใหญ่และขนดก มีสรรพคุณในการส่งเสริมและซ่อมสุขภาพ คือช่วยลดไข้ แก้ปวดท้อง (โดยเฉพาะอาการท้องอืดท้องเฟ้อ) ช่วยในเรื่องเหน็บชาและโรคอื่นๆ อีกหลายโรค บางคนนำใบหนาดมามวนสูบเพื่อแก้ริดสีดวงจมูกด้วย
                     

      ส่วนเรื่องผีกลัวใบหนาด เป็นความเชื่อแบบไทยที่ถ่ายทอดต่อกันมาแต่โบราณ แต่ก็มีข้อสันนิษฐานที่น่าสนใจว่า สัตว์ร้ายและแมลงมีพิษหลายชนิดเกลียดกลิ่นการบูรยิ่งนัก การพกพาใบหนาดไปในที่ต่างๆ ในยามค่ำคืน จึงช่วยป้องกันอันตรายจากสัตว์ร้ายได้ เป็นภูมิปัญญาไทยที่มักจะมีเหตุผลดีๆ แอบซ่อนอยู่ในเรื่องต่างๆ ที่สร้างขึ้นมา เพื่อให้เกิดความสนใจ
ทำไมผีถึงกลัวใบหนาด...

เรื่องที่ว่าผีกลัวต้นหนาด เท่าที่ทราบ ไม่เคยมีกล่าวไว้ในตำราต่างประเทศ คงมีกล่าวแต่เพียงว่า ในประเทศฟิลิปปินส์ถือกันว่า ถ้านำใบหนาดไปกับตัวจะทำให้ปลอดภยันตรายต่าง ๆ

     ใบหนาดจะกันผีได้หรือไม่ คงต้องไปถามผี แต่สิ่งที่แน่นอนคือใบหนาดเป็นสมุนไพรไทยที่มีสรรพคุณทางยาและสุขภาพเป็นอย่างยิ่งทีเดียว
   

                  กระผมอยากได้ความรู้เพิ่มจากบทความที่ลงไว้ รบกวนท่านสมาชิกแลกเปลี่ยนความรู้ กันนะครับ

1304
สักเสร็จแล้วห้ามโดนสบู่ ซัก3-4 วันนะครับ ข้อห้ามก็ถามอาจารย์ที่สักเลยนะครับ สักเสร็จแล้วรบกวนโพสให้ดูบ้างนะครับแลกเปลี่ยนความรู้กัน

1305
ท่านไหนมีรูปเหรียญรุ่น ขอความกรุณาลงรูปด้วยครับ ขอบคุณครับ

1306
สวยครับ ดูยังไงก็สวยครับ

1307
จะนำไปใช้นะครับ

1308
บทความ บทกวี / ตอบ: มงคลชีวิต
« เมื่อ: 18 ก.พ. 2552, 04:45:02 »
บทความดีครับ

1309
สวยครับ ไม่ทราบว่าวางไว้ตรงไหนครับ

1310
แล้วจะแก้ไขยังไงครับ

1311
จะนำไปใช้นะครับ ขอบคุณทุกๆท่านที่ให้ความรู้

1312
ถ่ายภาพได้สวยมากนะครับ ธรรมชาติมากๆเลย น่าไปเที่ยวครับ สวยๆ :002:

1313
ของดีๆ สวยๆทั้งนั้นเลยครับ ขอบคุณครับ

1314
ว่าตามกันครับหาจะรวมตัวกันที่ไหนอย่างไรก็บอก ผมไปได้จะไปทันที เอาด้วยคนครับ

1315
สวย มากครับ อยากได้ วัวมากๆทำยังไงดีครับ บอกหน่อย ขอบคุณครับ

1318
[bgcolor=#0000ff]สวยๆๆๆๆมากครับ[/bgcolor]

1319
สุดสวย+แจ่มมากๆ+ยอดเยี่ยม+จัดวางได้ดีครับ+เส้นคมชัด=อิจฉาตาร้อนครับ

1320
น่าขนลุกมากเลย น่ากลัว รองจากโจรขโมยพระเลยครับ ขอบคุณที่ให้ข้อมูลครับ

1321
ผมเวลาสักใหม่ๆ ห้ามโดนสบู่ ก็ให้ภรรยาเช็ดตัวให้ และใช้แอลกอฮอล์เช็ดบริเวณที่สัก แล้วทา วาสลีนที่เป็นแบบเจล อยู่เป็นอาทิตย์ทุกๆครั้งที่มีการสัก ถามอาจารย์ท่านก็ไม่ว่ากับ บอกดีนะมีคนทำให้
        [bgcolor=#ff1d00]อันนี้ผมคิดเองนะครับ คือก่อนเช็ดตัว ก่อนเช็ดด้วยแอลกอฮอล์ และ ทาวาสลีน นั้น กระผมให้ ภรรยา กล่าวขอขมากับรอยสักครูบาอาจารย์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในตัวของกระผมก่อนทุกครั้ง[/bgcolor]

1322
แล้วแต่เจตนานะครับ หากเรากำลังจะมีอะไรกันแล้ว รู้ว่าฝ่ายหญิงเป็นรอบเดือนก็หยุด หากมีอะไรกันไปแล้วพึ่งรู้ตอนเสร็จ นี่ ต้องพึ่งอาจารย์เป่าใหม่ ผมเคย แต่อาจารย์ท่านบอกอย่าบ่อยนักนะของดีอาจเสื่อม แต่หากบ่อยหรือเจตนาฝ่าไฟแดง ของดีหลุดแน่ๆ ส่วนขาก่ายเหมือนหมอนข้างนี่ปกติคนมีคู่ แต่ห้ามค่อมนะครับ งานนี้ เสื่อมแน่ เอาเป็นว่า ระวังดีๆนับวันประมาณการช่วงเสี่ยง โดนมาแล้วจะไม่สบายใจเอานะครับ

1323
สุดยอดครับพี่ สวยจริงๆ

1324
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ ครับ

1325
ขอบคุณที่ให้เห็นของดี ว่าแต่ท่านมีของดีเยอะเหมือนกันนะครับน่าจะเปิดกรุส่วนตัวให้ชมบ้างนะครับ อยากเห็นเป็นบุตา

1327
แล้วแต่บุคคลนะครับ ตามความคิดผม ของไม่ขึ้นแล้วแกล้งขึ้นเพื่อจุดประสงค์ใดๆ การอวดอ้างในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นี่บาปอย่างแรงนะครับ

1328
มีหลาย บทจังเลย แต่ก็ขอบคุณทุกๆท่านที่ให้ความรู้นะครับ

1329
กระผมยังไม่เคยถูเลยครับ ไหว้ครู กะไปถูเต็มที่เลยครับ

1330
สวยนะครับ

1331
สวยครับ การจัดวางยอดเยี่ยม รอชมตอนล้อมเสร็จนะครับ

1332
กระผมปิดมือถือเลยครับ กลัวรบกวนท่านอื่น

1334
สวัสดี ครับ ชลาพุชะ คนแพร่ทำงานที่กระบี่ ครับ

1335
ลงกระทู้ ได้ละเอียดตามขั้นตอนเลยนะครับท่าน ขอบคุณครับ

1337
คงได้นะคราวนี้ แดงเก อย่าเกเร อีกนะ

หน้าไม่แตกแล้ว ลงได้ นี่ล่ะครับ แดงเก ของผม แปลกนะครับ ทำไมช่วงนี้ กระแสดำดื้อ แดงเกมาแรงจัง

1338
แดงเก ลงไม่ได้ครับ Network Error (tcp_error) ครับ

1339
                  ขอตอบข้อ2 นะครับ หนุมานนี่ก็1 ยันต์ ดำดื้อนี่ก็1ยันต์ แดงเกนี่ก็ 1 บางคนเรียกดำดื้อแดงเก อาจเข้าใจผิดว่าเป็นยันต์เดียวกัน
หนุมาน นี่ไม่ต้องว่ากันมากเลย รู้อยู่แล้วทุกๆท่าน แต่อาจมีการเข้าใจผิด ว่าตัว1 ตัว 2 แต่ที่จริงก็มีตัวเดียวแตกต่างที่ท่าทาง และการเพิ่ม อักขระลายละเอียดเท่านั้น หัวใจก็ใส่ตัวเดียวกัน คือ หะนุ มา นะ


ส่วนดำดื้อ และ แดงเก ตามที่ทราบมา เป็น ลูกศิษย์หลวงพ่อเปิ่น ชอบเมาแล้วเอาดาบ เอามี มาฟัน แทง กัน เล่น เป็น ประจำ ท่านหลวงพ่อ ท่านเลยเอามาสัก แล้วใส่หัวใจ สี่เกอลงไป ดำดื้อจะเป็นรูปผู้ชาย ยกแข้งยกขา ชูมือขึ้นขึ้นสองข้าง นิ้วชี้ สองข้างชี้ฟ้า ส่วนแดงเก เหมือนแดงเก แต่ มือ นึง ถือดอกไม้ มือนึงถือ ดาบหรือพระขันธ์ ส่วนกระผมชอบขวาน เลยให้อาจารย์เปลี่ยนเป็นขวานครับ ดำดื้อผมไม่กล้าลงภาพ เพราะผมไม่ได้สักกลัวเจ้าของรอยสักท่านว่าเอา กระผมขอลงเพียงแดงเกนะครับ
ตามที่รู้มา

1340
สวัสดีครับ ผมชลาพุชะครับ ตอนแรกไม่กล้าลง ปรากฏทุกๆท่านที่เคยคุยกันลงหมดแล้ว เลยกล้าครับ

1342
งานนี้ผมต้องไปหาจีวรหลวงพ่อแล้วล่ะครับ ไม่รู้จะหาที่ไหน แต่ก็ขอบคุณสำหรับข้อความดีๆนะครับ

1343
วิชาเก้าเฮเป็นวิชาทางไหนครับ

1344
สักได้นะครับผมเห็นบางคนเค้าสักแต่ ดำดื้อ-แดงเกนี่ ออกแนวบู๊ๆ นะครับ

1345
เยี่ยมครับ :015:

1346
[bgcolor=#ff5800]พระรบหรือพระลบ [/bgcolor]
ถูกขุดพบที่บริเวณหนองสะเน่า (หรือหนองจามเทวี) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ใกล้กับวัดมหาวัน ปัจจุบันเป็นทุ่งนา แต่เดิมมีซากพระอารามปรักหักพังจมดินอยู่ ต่อมาได้มีการขุดพบพระรบเป็นจำนวนมากที่นี่ พระรบที่ขุดได้มี 3 พิมพ์ คือพิมพ์ใหญ่ พิมพ์กลางและพิมพ์เล็ก เนื้อหาของพระรบนั้น เป็นพระเนื้อดินเผาแต่แตกต่างจากพระเนื้อดินเผาที่ขุดพบในลำพูน เนื่องจากว่าเนื้อของพระรบนั้นจะมีเนื้อหยาบๆ ฝ่อๆ มวลของเนื้อไม่แน่น จะมีลักษณะเป็นเม็ดไข่ปลากลมๆ เล็กๆ และไม่พบแร่ในเนื้อพระรบเลย สีวรรณะของพระรบมีเพียงสีเดียวเหมือนกันหมดคือ เป็นวรรณะแดงเข้ม แบบสีเลือดหมูอมแดง
เรื่องของหนองสะเน่านี้มีเรื่องเล่ากันสืบต่อมา ว่า ในสมัยที่พระนางจามเทวีได้เสด็จขึ้นมาครองเมืองหริภุญชัยนั้น มีขุนลัวะผู้หนึ่งนามว่า วิลังคราช เป็นใหญ่ในหมู่ลัวะทั้งหลาย มีถิ่นฐานอยู่ที่เขาใหญ่ ติดต่อกับดอยสุเทพ ขุนวิลังคราช ได้มีจิตปฏิพัทธ์ในพระนางจามเทวีแต่พระนางไม่เสน่หาด้วย ขุนวิลังคราชจึงโกรธยกกองทัพมาประชิดพระนคร ขุนวิลังคราชผู้นี้มีวิชาอาคมมาก ได้พุ่งหอกมาตกตรงบริเวณหนองสะเน่า ทำให้เกิดดินยุบกลายเป็นหนองสะเน่ามาจนทุกวันนี้ พระนางจามเทวีจึงได้ให้พระโอรสทั้งสองของพระองค์ยกทัพออกไปขับไล่ และได้ให้พระโอรสทรงพระเศวตคชาธาร คือภู่ก่ำงาเขียวไปออกศึก ด้วยฤทธิ์แห่งประกายงาของพระเศวต บรรดาลให้ไพร่พลข้าศึกหน้ามืดตามัว หวั่นไหวแตกทัพพ่ายสิ้น

พระเศวตคชาธาร ภู่ก่ำงาเขียว คือช้างเผือกงาดำ ซึ่งเป็นช้างคู่บารมีของพระนางจามเทวีเรื่องของภู่ก่ำงาเขียวนี้ยังมีหลัก ฐานจนถึงทุกวันนี้คือมีกู่หรือเจดีย์อยู่ คือกู่ช้าง ตามตำนานบอกไว้ว่าเป็นที่ฝังศพของพระยาช้างสาร ภู่ก่ำงาเขียว ซึ่งเป็นช้างคู่บุญบารมีของพระนางจามเทวี และเคยเป็นพาหนะทรงของพระเจ้ามหันตยศ และพระเจ้าอนันตยศ ออกศึกปราบขุนวิลังคะ พอข้าศึกเห็นปลายงาของภู่ก่ำงาเขียวมีรัศมีดังดวงไฟ ก็พากันแตกตื่นหลบหนีไปสิ้น เมื่อภู่ก่ำงาเขียวตายแล้ว กล่าวกันว่า ถ้าจะเอาศพพระยาช้างนี้ไปฝัง ถ้าฝังเอาหัวหรือปลายงาไปทางทิศใดแล้ว ผู้ที่อยู่ในทิศนั้นจะล้มตายได้ความลำบาก จึงจัดเอาสรีระร่างของช้างสารนี้นั่งลงให้ชูงาขึ้นไปในอากาศ แล้วก่ออิฐโบกปูนเป็นวงรอบตัวช้างขึ้นไป กู่ช้างนี้ตั้งอยู่ห่างจากศาลากลางจังหวัดไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 2 กิโลเมตร ชาวเมืองถือว่ากู่ช้างนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ถ้าหากท่านไปเที่ยวเมือง ลำพูนก็ลองแวะไปเที่ยวชมได้ครับ

เอ้าพูดถึงเรื่องพระรบก็เลยออกนอก เรื่องไปเสียหน่อย แต่ก็เกี่ยวเนื่องกันตรงสถานที่พบกรุพระรบนะครับ และถือว่าเป็นการแนะนำการท่องเที่ยวไปในตัวครับ ถ้าเราไปเที่ยวที่จังหวัดใดและรู้เรื่องเกี่ยวกับพงศาวดารหรือเรื่องเล่า พื้นบ้านของจังหวัดนั้นก็จะเที่ยวจังหวัดนั้นได้อย่างสนุกสนานและมีความสุข ครับ

พระรบนั้นที่มีชื่อว่าพระรบ ก็เนื่องมาจากว่า ศิลปะขององค์พระนั้นไม่ค่อยงดงามคือ พิมพ์พระไม่ลึกชัดอย่างพระชนิดอื่นๆ ของลำพูน จึงเรียกกันว่าพระลบหรือพระรบ หมายถึงลบเลือนหรือไม่ชัดครับ พุทธคุณนั้นก็มีประสบการณ์ต่างๆ มากมาย ส่วนมากเด่นทางด้าน อยู่ยงคงกระพัน , แคล้วคลาด , การแก้อาถรรพ์ , แก้คุณไสย และมีคุณทางคดีความขึ้นโรงขึ้น
                                              ตามที่หาข้อมูลมาได้ก็ตามนี้นะครับผิดถูกประการใดก็ขออภัย

1347
สวยๆทุกองค์เลยครับ

1348
ขอบคุณสำหรับข้อความดีๆ

1349
ผมเป็น ศิษย์ของอาจารย์ต้อยวัดกำพร้าและอาจารย์ประโยชน์ดินแดง ทั้งสอนท่านรับเข็มจากท่านอาจารย์ทอง ตลาดพลูมาและทั้ง2 บอกว่าให้หาโอกาสไปสักกับอาจารย์ทองให้ได้ นี่ก็พยายามหลายครั้งแต่ท่านอาจารย์ทอง ไม่อยู่ที่สำนัก คราวนี้จะสักกับอาจารย์ทองให้ได้เลย แล้วคงไปในวันไหว้ครู ครับไปแน่งานนี้

1350
รูปสักหนุมานสวยครับ :015:

1351
ขอเล่าเรื่องของกระผมสักนิด กระผมตอนเป็นเด็กไม่ค่อยได้อยู่กับบิดามารดา ท่านส่งให้ไปอยู่กับยายทางเหนือ ตั้งแต่เด็กจนโต(30 ปี) น้อยใจตัวเองว่า บิดามารดาไม่รัก พอโตทำงานแล้วไม่ค่อยไปหาท่าน(ทำตัวเป็น วัยรุ่นตอนปลายมีปัญหา) แปลกครับพอได้มาสักแล้วอาจารย์ทุกท่าน สั่งสอนให้รักเคารพนับถือบิดามารดาเป็นที่ตั้ง ตอนนี้ มารดาของกระผมเอง พูดออกปากเลยว่า น่าจะให้สักตั้งแต่เด็ก ทั้งที่เมื่อก่อนมารดากระผมเกลียดคนสักมากๆเลย

1352
มีเยอะเลยครับ สวยๆทั้งนั้นเลย ขอบคุณมากที่ให้ชมครับ

1353
ช่วยลงของจริงได้ไหมครับว่ามีกี่รุ่น เอาเฉพาะที่ใน 7-11 ก็ได้ครับ ขอความรู้นิดนึง

1354
ยันต์ตะกร้อ สักกับอาจารย์ต้อยวัดกำพร้าสายอาจารย์ทองตลาดพลูครับ

1355
ของสำนักผม "เกเรเมเถ"ครับ

1356
สวยครับ คงเจ็บใช่น้อย แต่ได้ของดีอยู่กับตัวรักษาดีๆนะครับ

1357
สวยงามมากเลยครับ การจัดวางเยี่ยมยอด ยอมรับว่าเป็นอาจารย์อีกท่านที่สักได้งดงามมากเลยครับ หากมีโอกาสกระผมขอกราบเป็นศิษย์ท่านอาจารย์เจษ สามแยกกระจับแน่นอน ขอบคุณครับ ที่ให้ชมรูปรอยสักสวยๆ

1358
ชอบครับสีดำด้วย ดีครับใส่ไปสักได้เลย ใส่สีอื่นไป คนซัก(จอมโหด)ประจำบ้านของขึ้นค่าแรงทุกที จะมีเหลือถึงวัน ที่ 7 มีนา ไหมครับ

1359
สวยครับหากล้อมเสร็จรบกวน โพสให้ชมด้วยนะครับ

1360
ชอบคำนี้ของท่านอชิตะมากเลยครับ"พระหลักร้อย พุทธคุณหลักล้าน  ของดีครับผม"

1361
ขอให้โชคดีอย่างที่เล่าตลอดไปนะครับ

1362
อลังการงานสร้างจริง สุดยอดเลยครับงานนี้มีข้อมูลที่จะหยุดพักร้อนแล้วครับ เสียดายให้ลาไม่เยอะไม่งั้นไปครับทุกวัดแน่ครับ ขอบคุณหลายๆเด้อท่าน

1363
กระผมได้ยินชื่อนี้มานานเลยอยากทราบความหมาย พอทราบความหมายแล้ว เป็นคำที่มีความหมายดีมากเลยครับ กระผมขออนุญาติท่านเจ้าของนามนี้ ลงความหมายและประวัติของคำๆนี้นะครับ[bgcolor=#ff0000]พระอชิตะ[/bgcolor]ผู้ได้รับคำพยากรณ์ (เถรวาท) ว่าเป็นพระศรีอาริยเมตไตรย์ก็อรหันต์แล้ว?

หลายท่านคงได้ยินมาประจำว่า ด่าน 18 อรหันต์ ในหนังจีนมาบ้าง แต่จะมีซักกี่คนที่รู้ว่าแท้จริงแล้ว 18 อรหันต์นั้นเป็น พระอรหันต์สมัยพุทธกาลที่มีความสำคัญมากเนื่องจากเป็นผู้นำการปกครองของคณะสงฆ์ในแคว้น ต่าง ๆ ในสมัยพุทธกาล

พระอรหันต์ 18 องค์ หรือ 18 ยอดอรหันต์ เป็นที่รู้จักกันดีของชาวจีน มีประวัติความเป็นมาดังนี้

** องค์ที่ 1ปินโฑลภารัทวาช แปลว่า ก้อนข้าวผู้รับทาน ภารัทวาชเป็นสกุลใหญ่ 1 ใน 18 ของพราหมณ์ สถิตอยู่อมรโคยานทวีปพร้อมด้วยพระอรหันต์อีก 1,000 องค์ เป็นบริวาร ท่านได้แสดงปาฏิหารย์ หยิบบาตรไม้จันทน์บนยอดเขาสูง ความทราบถึงพระพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า แสดงปาฏิหารย์เพื่อบาตรไม้จันทน์ต่อหน้าพวกที่ยังมิได้รับศีล จึงขับออกไปเสียจากชมพูทวีปไปอยู่ทวีปอมรโคยาน ต่อมา บรรดาสาวกคิดถึงท่าน จึงขอให้กลับมา พระพุทธองค์ก็ยอมอนุโลมให้กลับมาแต่ไม่ให้เข้าปรินิพพาน ต้องดำรงขันธ์เป็นเนื้อนาบุญต่อไป เพื่อพิทักษ์พระศาสนาจนกว่าพระศรีอารยจะมาตรัส ฉะนั้นการสักการบูชาท่านจึงได้กุศลมาก ลักษณะพิเศษของท่าน คือถ้ามีผู้ใดเลี้ยงพระ ท่านก็จะปลอมแปลงเป็นพระธรรมดาแอบเข้าไปร่วมรับประทานด้วย รูปเป็นผอมเห็นซี่โครง บ้างยืน บ้างนั่ง มือถือหนังสือ อีกมือถือบาตร หรือมือทั้งสองถือหนังสือ หรือวางบนเข่า บ้างยืนในท่าหยิบบาตร

** องค์ที่ 2 กนกวัจฉ แปลว่าลูกโคทอง
สถิตอยู่แคว้นกัศมีระ พร้อมด้วยพระอรหันต์อีก 500 องค์เป็นบริวาร ท่านเป็นสาวกที่สารถในทางรู้แจ้งบรรดาลัทธิธรรมต่าง ๆ และเป็นผู้ทรมานร่างกายได้ดี สามารถนั่งเข้าฌาณในกลางฝนได้ รูปท่านเป็นรูปห้อยเท้าขวา มือขวาวางบนเข่า มือซ้ายวางที่ฝ่าเท้าซ้าย

**องค์ที่ 3 กนกภารัทวาช เป็นชื่อฤษี 1 ใน 7 มหาฤษี
สถิตอยู่แคว้นบูรพวิเทพ พร้อมด้วยพระอรหันต์ 600 องค์เป็นบริวาร รูปท่านนั่งห้อยเท้า เท้าซ้ายยกขึ้นจากรองเท้า มือขวาวางอยู่บนเข่า มือซ้ายอยู่ข้างหูเป็นรูปคนแก่ผมยาว

** องค์ที่ 4 สุปินฑ
สถิตอยู่อุตตรกุรุทวีป พร้อมด้วยอรหันต์ 700 เป็นบริวาร ท่านองค์นี้อาจจะเป็นพระสุภัทร ซึ่งเป็นพราหมณ์ชาวเมืองกุสินารา บรรลุพระอรหันต์ เมื่ออายุ 120 ปี โดยสดับพระธรรมเมื่อพระพุทธเจ้าทรงประชวรหนักจวนเสด็จดับขันธ์ ท่านสุภัทรไม่ต้องการจะเห็นพระอริยสาวกองค์สุดท้าย รูปเป็นคนแก่นั่งเข้าสมาธิ มือถือหนังสือบ้างทำเป็นรูปนั่งธรรมดา มีบาตรและกระถางธูปอยู่ข้างหนึ่ง มือซ้ายถือหนังสือ มือขวาทำมุทราดีดนิ้ว บ้างยกมือขวาหงาย

** องค์ที่ 5 นกุล แปลว่า พังพอน
สถิติอยู่ชมพูทวีป พร้อมด้วยพระอรหันต์ 800 องค์ เป็นบริวาร ท่านชอบอยู่โดดเดี่ยว ถือการธุดงค์เป็นพรต ไม่มีศิษย์ไม่เคยเทศนา ไม่ของอยู่ปะปนกับใคร ไม่เคยอาพาธ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นศิษย์ที่มีอายุยืนยาวที่สุด คือ 160 ปี ทั้งนี้เพราะเมื่อสมัยพระวิปัสสีพุทธ ท่านได้ถวายเภสัชแก่ภิกษุผู้อาพาธ ท่านไม่เคยเทศนาโปรดใครนั้น เพราะท่านเห็นว่าพระสารีบุตร พระอานนท์และพระมหาสาวกองค์อื่น ๆ เทศนาได้ดีแล้ว ท่านจึงไม่จำเป็นต้องเทศน์ รูปท่านเป็นนั่งห้อยเท้า มีพังพอนอยู่ข้าง ๆ บ้างเป็นรูปกบสามขาอยู่ใต้รักแร้บ้างเป็นรูปเข้าฌาณ มีเด็กน้อยอยู่ข้างหนึ่งหรือแบมือทั้งสองข้าง

* องค์ที่ 6 ภัทร แปลว่า ประเสริฐ
สถิตอยู่ตามระทวีปพร้อมด้วยพระอรหันต์ 900 องค์ บ้างว่าท่านเป็นพระญาติพระพุทธเจ้าบ้างว่ามีสกุลสูง เป็นมหาสาวกองค์หนึ่งสามารถอธิบายอรรถธรรมที่ลึกซึ้งด้วยคำพูดงง่าย ๆ รูปท่านเป็นรูปนั่งห้อยเท้า ถือหนังสือมีอยู่ข้าง ๆ แสดงว่าท่านปราบเสือได้บ้างทำเป็นรูปมีขนคิ้วยาว ประณมมือ

** องค์ที่ 7 กาลิก แปลว่า เวลา ชั่วเวลา
สถิตอยู่สังฆ ฏทวีปพร้อมด้วยพระอรหันต์ 1,000 องค์ ท่านเป็นที่นับถือ แห่งพระเจ้าพิมพิสาร รูปท่านเป็นรูปนั่งห้อยเท้าหรือเข้าฌาณบ้างถือหนังสือหรือใบไม้ บ้างทำเป็นรูปคิ้วยาวลงมาจนลากดิน ต้องใช้มือถือไว้ บ้างฉาบทั้งสองมือ

**องค์ที่ 8 วัชรบุตร
สถิตอยู่บรรณทวีป พร้อมพระอรหันต์ 1,,100 องค์เป็นบริวาร รูปห้อยเท้า ถือไม้เท้าขักขระ ไม้เท้านี้บนยอดมีโลหะมีชองเป็นวงกลมสำหรับร้อยแหวนโลหะ เมื่อเขย่าจะเกิดเสียงเวลาเดินทางในป่า จะทำให้จำพวกสัตว์เลื้อยคลานได้ยินเสียงจะตกใจแล้วหลีกหนีไป

**องค์ที่ 9 สุปากะ
สถิตอยู่กลางเขาคันธมาทน์พร้อมด้วยพระอรหันต์ 900 องค์ ในหนังสือเถรคาถา มีชื่อโสปากะอยู่องค์หนึ่ง เนื่องด้วยตอนจะคลอดมาดาสลบไปผู้คนเข้าใจว่าตาย จึงนำไปทิ้งที่ป่า เมื่อท่านคลอดออกมามารดาก็ถึงแก่กรรมไปจึงชื่อว่าโสปากะ แปลว่าอันเขาทิ้งแล้ว เมื่อท่านอายุได้ 7 ปี ได้ฟังคำพระพุทธเจ้าสั่งสอนก็เลื่อมในแล้วออกบรรพชา ภายหลังได้บรรลุพระอรหันต์ เป็นสาวกองค์หนึ่ง รูปท่านนั่งห้อยเท้า มือถือหนังสือหรือพัด ข้าง ๆ มีอรหันต์องค์เล็ก หรือทั้งสองมือถือลูกประคำ

*องค์ที่ 10 ปันถก แปลว่าทาง บ้างเติมคำมหาเป็นมหาปันถก
สถิตที่สวรรค์ตรัยตรึงพร้อมด้วยพระอรหันต์ 1300 องค์ เป็นบริวาร ท่านเป็นบุตรของพราหมณี พราหมณีนี้ออกลูกที่ใดก็ตายทุกคราว ครั้งหลังจึงไปคลอดที่ถนนใหญ่แล้วได้บุตรคือท่านเอง ท่านมีฤทธิ์ชำแรกกายเข้าของแข็งได้นิรมิตไฟน้ำได้เดินเหินในอากาศได้ ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสให้ไปปราบพญานาค ท่านยังเป็นองค์ที่ยอดเยี่ยมด้วยปัญญา สามารถแก้ความสงสัยในอรรถธรรมให้แจ่มแจ้งได้ เป็นเอตทัคคะสาวกองค์หนึ่ง รูปท่านนั่งห้อยเท้าบนหลังสิงห์ บ้างนั่งห้อยเท้ากำลังทรมานพญานาคให้เหข้าอยู่ในบาตร บ้างนั่งใต้ต้นไม้ มือถือหนังสือ บ้างเป็นรูปนั่งเข้าฌาณ

** องค์ที่ 11 ราหุล
สถิตอยู่ยังปริยังคุปทวีปพร้อมด้วยอรหันต์ 1,100 องค์บริวาร ท่านเป็นพุทธชิโนรส พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ท่านจะได้ไปเกิดเป็นเชษฐโอรส ของพระอานนท์ ฉะนั้น จึงมีสมญาว่า โอรสพระอานนท์ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จพระปรินิพพาน ท่านได้เป็นคณาจารย์นิกายไวภาษิก และเป็นที่เคารพของบรรดาสามเณร ท่านเป็นเอตทัคคะมหาสารวก ศึกษาในธรรมวินัย และประพฤติปฏิบัติเคร่งครัด รูปท่านบ้างทำเป็นผู้มีศรีษะโต ตาโต จมูกเป็นขอ บ้างก็เป็นรูปคนธรรมดา มือทั้งสองอุ้มเจดีย์

** องค์ที่ 12 นาคเสน
สถิตอยู่เขาปาณฑพแคว้นมคธ พร้อมด้วยพระอรหันต์ 1,200 องค์เป็นบริวาร ท่านเป็นผู้มีสง่า มีปฏิภาณในการโต้ตอบแก้ปัญหาธรรม มีความรู้ลึกซึ้ง ดูเหมือนจะเป็นคนเดียวกันกับพระนาคเสน ในมิลินทปัญหา รูปนั่งห้อยเท้า มือซ้ายยกสูงเพียงหู มือขวาอยู่บนเข่า

**องค์ที่ 13 อิงคท
สถิตอยู่ภูเขาไวบูลยบราณศว์พร้อมด้วย พระอรหันต์ 1,300 องค์ เป็นบริวาร ท่านองค์นี้ หากเป็นองค์เดียวกันกับพระอังคช ก็เป็นมหารสาวกเช่นกัน และเป็นองค์ที่บริบูรณ์ในสิ่งทั้งปวง รูปนั่งห้อยเท้า อ้วนสมบูรณ์ ร่าเริง แต่บ้างก็เป็นรูปพระแก่ถือไม้เท้า บ้างถือหนังสือบ้างบาตร

**องค์ที่ 14 วันวาสี แปลว่าอยู่ป่า
สถิตอยู่ภูเขาวัตสะพร้อมด้วยพระอรหันต์ 1,400 องค์ เป็นบริวาร ยังหาเรื่องราวของท่านไม่ได้ ดูเหมือนจะเป็นองค์เดียวกับพระวัจนะ ซึ่งชอบอยู่ตามป่า รูปนั่งห้อยเท้าอยู่ที่ปากถ้ำ หลับตาเหมือนเข้าฌาณ บ้างทำนิ้วมุทรา (ท่านิ้วหงิกงอ) บ้างวางบนเข่า บ้างถือหนังสือ

**องค์ที่ 15 อชิตะ แปลว่าชนะไม่ได้
สถิตอยู่ที่ภูเขาคิชฌกูฏ พร้อมด้วยพระอรหันต์ 1,500 องค์เป็นบริวาร ยังหาเรื่องราวของท่านไม่ได้ ในคราวทุติยสังคายนา ยังมีภิกษุองค์หนึ่งชื่อเดียวกันกับท่าน ในเถรคาถามีพระอชิตเถระเป็นบุตรของพราหมณ์ คำว่า อชิต เป็นนามพระศรีอารย รูปนั่งห้อยเท้า แก่ ขนคิ้วยาว มือวางบนเข่า บ้างนั่งเข้าฌาณ ที่หน้าอกมีรูปหน้าคน ยังไม่ทราบว่ามีความหมายอะไร

**องค์ที่ 16 จูฑะปันถก บ้างเติมคำว่า จูฬ แปลว่า คนทางเล็ก
สถิตอยู่ที่ภูเขาเนมินธรพร้อมด้วยพระอรหันต์ 1,600 องค์ เป็นบริวาร เป็นมหาสาวกองค์หนึ่ง เมื่อแรกอุปสมบทปัญญาโง่ทึบท่องจำอะไรไม่ได้แม้แต่ประโยคเดียว แต่ต่อมา ได้บรรลุอรหัตตผลเชี่ยวชาญในวิชามโนยิทธิ เรื่องราวของท่านปรากฏอยู่อสีติมหาสาวก รูปนั่งห้อยเท้า มือขวาถือถ้วย มีนกกำจิกน้ำ

** องค์ที่ 17 เค่งอิ๋ว นนทิมิตร

** องค์ที่ 18 ปินโทล่อ ปินโทล

พระอรหันต์ 18 องค์ เริ่มมาจากพระอรหันต์อารักษ์ธรรม 4 องค์ พ.ศ. 1000 พระภิกษุจีนวาดภาพพระอรหันต์ 16 องค์ บ้างวาด 48 องค์ และ 500 องค์ก็มี พ.ศ.2280 กษัตริย์เคียงล้งแห่งราชวงศ์เชง โปรดเพิ่มพระอรหันต์ปราบมังกรและเสืออีก 2 องค์ คือท่านนนทิมิตรกับท่านปินโทลจึงเป็น 18 องค์ ความจริงเรื่องปราบมังกรและเสือ เป็นเรื่องของพวกลัทธิเต๋า (พวกเซียน) และก็เลยเป็น 18 องค์ กระทั่งปัจจุบันพระมหากัจจายนะ (มหายาน) เชื่อว่าคือพระศรีอาร์ฯ ก็อรหันต์แล้ว?

มหากัจจายนะ

พระอสีติมหาสาวกองค์หนึ่งเกิดในกัจจายนโคตรที่พระนครอุชเชนี เป็นบุตรปุโรหิตของพระราชาแห่งแคว้นอวันตี เรียนจบไตรเพทแล้ว ต่อมาได้เป็นปุโรหิตแทนบิดา พระเจ้าจัณฑปัชโชตตรัสสั่งให้หาทางนำพระพุทธเจ้าเสด็จมาสู่กรุงอุชเชนี กัจจายนปุโรหิตจึงเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้ว บรรลุอรหัตตผล อุปสมบทแล้ว แสดงความประสงค์ที่จะอัญเชิญเสด็จพระพุทธเจ้าสู่แคว้นอวันตี พระพุทธองค์ตรัสสั่งให้ท่านเดินทางไปเอง ท่านเดินทางไปยังกรุงอุชเชนี ประกาศธรรม ยังพระเจ้าจัณฑปัชโชตและชาวเมืองทั้งหมดให้เลื่อมใสในพระศาสนาแล้ว จึงกลับมาเฝ้าพระบรมศาสดา ต่อมาได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางขยายความคำย่อให้พิสดาร มีเรื่องเล่าเป็นเกร็ดว่าท่านมีรูปร่างสวยงาม ผิวพรรณดังทองคำ บุตรเศรษฐีคนหนึ่งชื่อโสเรยยะเห็นแล้วเกิดมีอกุศลจิตต่อท่านว่าให้ได้อย่างท่านเป็นภรรยาตนหรือให้ภรรยาตนมีผิวพรรณงามอย่างท่าน เพราะอกุศลจิตนั้น เพศของโสเรยยะกลายเป็นหญิงไป นางสาวโสเรยยะแต่งงานมีครอบครัว มีบุตรแล้ว ต่อมาได้พบและขอขมาต่อท่านเพศก็กลับเป็นชายตามเดิม โสเรยยะขอบวชในสำนักของท่าน และได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง
                       [bgcolor=#0013ff] ถ้าจะให้เป็นภาษาญี่ปุ่นต้อง อะชิตะ แปลว่า วันพรุ่งนี้[/bgcolor]

1364
ขอบคุณครับท่าน(ผู้ที่ไม่มีใครเอาชนะได้)

1365
เส้นคมมากเลยครับเจ้าของรอยสักนี้เป็นคนเชียงใหม่รึปล่าวครับ ผมก็หาโอกาสไปสักกับอาจารย์ทองอยู่ครับ แต่ท่านไปต่างประเทศบ่อยครับ นี่วันที่ 5 มีนากะลองไปอีกครั้ง ผมก็สักกับอาจารย์ต้อยวัดกำพร้า และอาจารย์ประโยชน์ดินแดง สายอาจารย์ทองครับ ขออนุญาติลงรูปนะครับ


1366
คนแบบนี้ ไม่เจริญหรอก ทำได้ไงเนี่ย แต่อย่างว่าสภาพเศรษฐกิจเยี่ยงนี้ ทุกคนย่อมเอาตัวรอด แต่ควรจะเป็นการทำในสิ่งที่ดีและสร้างสรรค์นะ เราก็เคยเห็นใน 7-11 เหมือนกัน แต่ไม่สนใจซื้อ เพราะดูแล้วมันไม่มีความน่าเชื่อถือ และไม่น่าจะทำออกมาง่ายๆ น่ะ ถ้าหากแผ่นยันต์ 5 แถว เค้าทำออกมาขายในลักษณะนี้ได้นะ แสดงว่ายันต์แบบอื่น ๆ อาจจะมีตามมาด้วยก็ได้ ทำให้วงการสักยันต์เสื่อมเสียชื่อเสียงมากขึ้นอีกนะค่ะ
แล้วคนหลายคนที่ทำความดีมาตลอด ก็จะมาเสื่อมเสียกับคนประเภทนี้อีกสักกี่คนเนี่ย :044: :054:
Happy Valentine day นะทุกท่าน :090:
วงการสักยันต์ไม่มีอะไรเสื่อมเสียกับการกระทำแบบนี้แน่นอนครับท่าน ของแท้ยังไงก็คือของแท้ ของปลอมการตลาดดียังไงก็เป็นของปลอม
แล้วผมเห็นขายที่ 7-11 ตั้งนานแล้วพึ่งรู้รึครับว่ายังไม่ได้เสก น่าจะออกบอกบอกตั้งนานแล้ว
งงครับ ขออภัยที่สงสัย ขอบคุณครับ

1367
อยากดูมากเลยครับ

1368
สวยมากครับ เมื่อ เรื่อง คนคุก จริงๆ หลายแทง หาทางออก
cx]แปลว่าอะไรครับ

1369
ของท่านack01  สักอยู่ด้วยกันไม่ตีกันแย่รึครับ

1370
ด้วยความเคารพครับ

  ถ้าสงสัยลองไปหากระทู้เก่าดูนะครับ
ผมยกให้อ่านดู 

มีลูกศิษย์ เป็นลูกสัตว์ มันกัดขบ
ถ้าขืนตบ กัดตอบ ก็ขอบจิต
สารพัด ทำได้ มันไม่คิด
เพราะลูกศิษย์ เป็นลูกสัตว์ จึงกัดเรา
ตอนที่ผมไปวัดชายนา ผมได้เห็นข้อความนี้แล้วประทับใจเป็นอย่างยิ่ง จึงขอนำมาไว้ ณ ที่นี้
ผมขอออกตัวไว้ก่อน ไม่ใช่คนขายของ หรือ อาจารย์สัก และก็เวลาใครถามว่าวัตถุนั้นดีไหม
อาจารย์นั้นเก่งไม่ผมไม่กล้าที่จะตอบ เพราะว่าเรื่องพวกนี้ไม่มีตัวชี้วัด
แต่ที่ต้องของมาระบายนี้เพรารู้สึกว่ามันชักจะอย่างไรอย่างไรแล้ว
ผมพิมพ์เรื่องนี้ด้วยความไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อวานนี้ผมได้อ่านกระทู้ กระทู้หนึ่งของเวปท่านผู้ใหญ่บ้านแล้ว เกิดความรู้สึกว่า การที่ผมพยายามอยู่เฉยๆ ไม่สนใจต่อเรื่องของคนอื่น นี้มันถูกต้องแล้วหรอ ??? จริงๆ ลำพังแค่บทความแค่นี้ผมคงไม่คิดอะไรมาก แต่เนื่องจากมันมีเรื่องสะสมมามาก และยิ่งเห็นกระทู้หนึ่งของคุณโยคีในเวป บางพระ ยิ่งแล้ว
นี้ออกพรรษา เลยขออนุญาตสักหน่อย

ข้อความนะครับ

ค่าครู 1500 บาทคับ แต่เขาลดไห้เหลือ 1200บาท เพราะบอกว่าเป็นเด็ก
แต่ผมไปสืบดูนะบางเว็ปเขาบอก อาจารย์ เป็นศิษสายหลวงปู่ ศุข หลวงพ่อเปิ่น
หลวงพ่อกายบ้าง แต่ล่ะเว็ปไม่ค่อยจะเหมือนกัน ที่เขาโฆษณาอ่ะนะ
ผมไปด้วยความตั้งใจ ทางบ้านก็เงินทองเริ่มเกิดปันหา ขาดสน
ผมจึงไปด้วยความ ศรัทธายิ่งเอาเงินที่ผมเก็บไว้ 1200 ไปเพราะเชื่อ
ผมเป็นคนหลงคำโฆษณาง่ายคับ แต่ผมไม่ทราบข้อเท็จจริง
และก็มีคนไปถามหลวงพ่อกาย ที่วัดเลย เขาก็บอกว่าคุนก็ลองไปถามหลวงพ่อดูแล้วจะพบกับ
ความจริงที่โหดร้าย ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงผมว่าบาปมากๆๆเลยนะครับ นำเอาชื่อครูบาอาจารย์
ต่างๆๆๆมาใช้พรำเพรื่อ คนๆๆเดียวไม่น่าจะเป็นศิษสายอาจารย์ดังๆๆๆถึงหลายท่าน
และถ้าเป็นอย่างนั้นจริงน่าจะสงสารผมบ้าง น่าจะบอกว่าสักไม่ได้นะ
ผมยังเด็กอยู่แท้ๆๆๆๆ เสียใจอย่างยิ่งครับ บอกตรงๆๆไม่เกิดผลไรเลย ใครทราบข้อเท็จจริงอย่างไรแนะนำทีครับ
แง้ๆๆๆๆๆๆๆๆ ขอคำพูดช่วยปลอบผมด้วยครับ เสียจัยมากที่เอาเงินที่พ่อแม่หาอย่างลำบาก
ขอเริ่มเลยแล้วกันนะครับ
ก่อนอื่นผมต้องขอตำหนิ เจ้าของกระทู้ดังกล่าว ที่ไม่ไต่ตรองให้รอบคอบก่อน ที่จะสัก และ
ไม่ควรคาดหวังอะไรจากการสักมากมาย นัก ตัวของเราเราต้องทำมากกว่าขอ มากกว่าพึ่งคนอื่น
มาเข้าเรื่องกันเลยครับ
ถ้าท่านเคยอ่านกระทู้ หรือบทความเกี่ยวกับเรื่องการสักเสกเลขยันต์ จะพบกระทู้กึ่งโฆษณาของอาจารย์ตนหนึ่ง ที่จัดอันดับตนเองอยู่หนึ่งในสิบอันดับ ของเกจิอาจารย์ของไทยที่เป็นที่นิยมในต่างประเทศ
ขอเริ่มประเด็นแรกเลยครับ
ทำไมอาจารย์ตนนั้นถึงเป็นฆาราวาสคนเดียวในอันดับ ทั้งที่ผมเชื่อว่า ยังมีอาจารย์ฆาราวาสหลายๆท่าน ที่น่าจะติดอันดับเป็นที่รู้จักมากกว่า แถมยังจัดตนเองอันดับสูงกว่าพระสงฆ์เสียอีก
ซึ่งเอาเถอะไม่ว่าอะไรครับ วัวใครก็เข้าคอกคนนั้น ว่าแต่บทความที่ว่าแปลมาจากภาษาจีนนี้ไม่ทราบต้นฉบับ??? อยู่ไหนครับ ผมจะให้ล่ามที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงการต่างประเทศแปลและรับรองเอกสารสำเนาให้ จะได้ทราบกันเลยว่าสำนักพิมพ์ในประเทศไหนจัดอันดับแบบนั้น
ต่อมาที่ว่าเป็นศิษย์ของหลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ นี้ไม่ทราบ ว่า มีหลักฐานอะไรไหมครับภาพถ่ายซักใบ มีไหม เคยมีคนที่วัดบางพระ เห็นจารย์ตนนี้ ไปช่วยสักกุฎิไหนบ้าง ว่าแต่เวลารับพาน ต้องว่าอะไรบ้าง ตัวปลุก ตัวชุมชุมอักขระ โองการยันนะรังสี เค้าไม่ให้กันง่ายๆนะครับ ที่สำคัญกว่า ค่าครูวัดบางพระ 25 บาทดอกไม้ธูปเทียนบุหรี่หนึ่งซอง สมัยก่อน สิบสองบาท ขึ้นเป็นยี่สิบสี่บาทตอนสร้างสะพานแต่เพื่อไม่ให้ต้องทอน เลยเป็นยี่สิบห้าบาท ยกครูพานหนึ่งทนได้เท่าไรแทงเต็มหลังก็ได้ 1500 เรียกว่าค่ากูแล้วไม่ใช่ค่าครู
และที่เคืองกว่า และทำร้ายความรู้สึกของศิษย์บางพระหลายๆ ท่านคือการที่ว่านำภาพพร้อมคำโฆษณาว่า เกจิวัดบางพระก็มาสักยันต์ที่สำนัก ไม่ทราบว่าถ้าเป็นลูกศิษย์บางพระจริงสมควรหรือไม่ที่จักทำอย่างนั้น ??? ที่สำคัญ พระองค์ที่ไปสักนั้น บวชคงยังไม่ถึงสิบพรรษา เลย เรียกว่า ยังไม่เป็นเถระ จะเป็นเกจิได้เยี่ยงไร อีกอย่างผมไปเที่ยวบางพระ ตั้งแต่กุฏิท่าน้ำ ที่ผมเชื่อว่าเสกของได้ และเห็นว่าตามงานพุทธาภิเษก แทบนครปฐม หรือที่อื่นที่เค้านิมนต์กัน มี ท่านเจ้าอาวาสองค์ปัจุจบัน หลวงพี่ติ่ง หลวงพี่ต้อย
หลวงพี่ญา ส่วนหลวงพี่พงษ์ ผมไม่ทราบข่าวท่านนานแล้ว และหลวงพี่พัน นั้น ท่านออกจากไปวัดไปนานแล้ว ผมว่าผมเที่ยวทุกกุฎิในบางพระนะ ทำไมไม่เคยเห็นพระองค์ดังกล่าว ในภาพที่อ้างถึง
และที่ว่าเป็นพระครู นี้จริงหรือ ???
ในส่วนของวัดบางพระ ลูกศิษย์ลูกหาต่างๆ ก็ใช้เหล็กมาด ในการสัก ทั้งนั้น ไม่เห็นมีใครใช้เครื่องสักเลย หรือว่าในส่วนนี้เป็นการเพิ่มมูลค่า (ไม่ใช้สินค้าและบริการ) นะครับ
ต่อ
เรื่องของยันต์กำเนิด หรือ อาถันกำเนิด ที่เป็นรูปคนขี่กันนั้น ไม่ใช่ว่าอาจารย์ตนนั้น เรียนไปคนเดียว ผมไม่ทราบว่ายันต์นี้เรียกค่าครูเท่าไร แต่ ตามตำรา เค้าต้องสักไว้ที่ข้างตัว อย่างสีข้าง ต้นขาด้านในด้านนอก เพื่อไม่ให้นอนทับ ในเรื่องนี้ไปถามหลวงตากายได้ ว่าแต่ตามรูปกดไว้กลางหลังเลย ??? ที่สำคัญ อาจารย์ที่ท่านไปเรียนมา ท่านบอกว่าค่าครูสิบสองบาทดอกไม้ธูปเทียนบุหรี่ก็สักแล้ว
ประเด็นต่อมา
มาเรื่องวัตถุมงคลที่ชื่อว่า นางพิมพรายทอง บ้าง
มีบทความออกมาดังนี้
วิชานี้ท่านอาจารย์.....ได้รวบรวมเอาวิชาจากพระเกจิที่ท่านไปร่ำเรียนมา
ทั้งยันต์นางพิมที่เรารู้จักย่านใกล้วัดบางพระ
ผนวกกับกุมารทองอันเรื่องชื่อในสายดอนตูม นครปฐม
จึงเกิดเป็นสุดยอดวิชาที่ได้ที่สุดของที่สุดทั้งสองวิชาทั้งทางโชคลาภ
เสน่ห์เมตตา พรายกระซิบ
เรียกได้ว่าครบสูตรท่านจึงเรียกชื่อเฉพาะขึ้นมาว่า"นางพิม พรายทอง"
หรือที่ศิษย์เรียกกันติดปากว่า"แม่พิม พรายทอง" จึงเกิดกระแสการเลียนแบบกัน
จนทำให้ศิษย์หลายๆท่านสับสน จึงขอเรียนมา ณ ตรงนี้เลยว่า นางพิม พรายทอง
นั้นมีเพียงอาจารย์.......เท่านั้น
ชื่อของครูบาอาจารย์ยังกล่าวถึงเลย ก็ดีครับ ท่านไม่เสียหายด้วย
แต่เรียนถามนะครับ ไม่ทราบว่าไปเรียนมาที่ไหนครับ คนเรียนนางพิม ไปที่เสกได้ขลัง
มีลูกบุญธรรมหลวงปู่ พระอาจารย์หนึ่งองค์ ทางอยุธยา พระอาจารย์หนึ่งองค์ทางบางเลน อาจารย์สักที่อยู่ทางไทรน้อยหนึ่งคน ผมเป็นคนอยู่แถวๆ ย่านใกล้บางพระนั้นละครับ ผมไม่แน่ใจนะครับว่า
อาจารย์คนดังกล่าวเคยไปกราบหลวงปู่เจ้าของวิชานางพิมหรือเปล่า? ถ้าไป เห็นว่าไปกราบเฉยๆ ไม่มีดอกไม้ธูปเทียนไป การเป็นศิษย์เป็นอาจารย์ ผมว่าไม่ใช่แค่ไปกราบแล้วขอเรียนท่านจึงให้ ปู่ท่านดูคนท่านจะสอนอะไรใคร ท่านดูนานๆ นะครับ อย่างน้อยคนจะเรียนวิชาสักจากท่านต้องอยู่กับท่านเป็นปี
ไอ่คนที่ไปขอๆท่าน ท่านก็ให้เอาพิมพ์สักให้ไปเลย ให้ลอกตำราไปด้วย แต่ตัวเสก จริงๆ นี้ไม่ทราบว่ารู้จริงกันหรือเปล่า? ได้ไปหมดหรือเปล่า? ไปให้ท่านเป่าหัวก็เป่าหัว และเหมาว่าเป็นการครอบครูซึ่งการครอบครูต้องมีเครื่องบูชาครูบาอาจารย์

เอาแค่นี้ก่อนนะครับ ?ของจริงต้องนิ่งใบ้? ผมเคยเห็นประโยคนี้ที่วัดปรีดาราม

ขอแสดงความนับถือ
Gearmour

ตั้งแต่ผมเข้าเวบบางพระมา มีข้อความของท่านนี้เข้าถึงใจผมมาก ผมคิดประโยคไหนก็มีในข้อความของท่านแต่ผมไม่กล้าลง แต่ท่านแน่มาก ขอนับถือจากใจ    คารวะ 3ที่เลยครับ

1371
บทความ บทกวี / ตอบ: ขอเล่าครับ
« เมื่อ: 14 ก.พ. 2552, 07:25:54 »
ผมสักครั้งแรก ก็เก้ายอดหลวงพี่แป๊วครับ

1373
มีของดีเยอะนะท่าน  :054:
ระวังสาวๆไปเที่ยวบ้าน  หลงหยิบติดมือมาล่ะ :007:

1374
ผมอยากสักรูปท้าวเวสสุวรรณมากเลยครับ ขอรบกวนแนะนำด้วยครับ

1375
สวยงามครับ

1376

ผมสักแดงเกกับอาจารย์ประโยชน์ดินแดงมาครับ ตามแบบจะถือพระขันธ์  แต่ผมขอท่านเปลี่ยนเป็นถือขวานแทนครับ ตามที่ได้ฟังมา ดำดื้อ จะคล้ายกันแต่มือสองข้างยกนิ้วชี้ ชี้ขึ้นฟ้า  และดำดื้อ+แดงเก เล่ากันว่าเป็นศิษย์หลวงพ่อ ตกเย็นดื่มเหล้าเมาแล้วชอบเอามีดดาบ ฟันกันเล่น เป็นประจำ ตอนของขึ้นนี้ แล้วแต่บุคคลนะครับ ต่างคนต่างลีลา หากข้อมูลที่ลงผิกพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยครับ

1377
รูปบน เป็น ยันต์นะครับ พุทธคุณคล้าดแคล้ว เมตตา ครับ
รูปล่างเป็นหัวใจเสือ มหาอำนาจครับ หลวงพี่แป๋วสักให้รึปล่าวครับ

1378
สวยครับ ดูจากภาพน่าจะเป็นสีข้างนะครับ

1379
ได้ข้อมูลเต็มเลยครับ  ขอบคุณครับ:054:

1380
ได้ความรู้มากเลยครับ

1381
ท่องแล้วสลับรางให้ทันนะครับ ท่าน

1384
กสิณ มี ๑๐ อย่าง จัดเป็นการเจริญสมาธิฝ่าย สมถะกัมมัฎฐาน อันเป็นต้นทางไปสู่ปฎิสัมภิทาญาน ๔

ในทางปฎิบัติ ปฎิสัมภิทา คือฝ่ายมีถทธิ์มีอานุภาพ จะเป็นบุญญฤทธิ์ หรือ อิทธิฤทธิ์ แล้วแต่องค์กัมมัฎฐาน

ในส่วนของ กสิณ ๑๐ มีผลเป็นอิทธิฤทธิ์ชัดเจนกว่า

กสิณ ๑๐

๑. ปฐวีกสิณ กสิณข้อนี้มี ดิน เป็นพื้นฐาน

๒. อาโปกสิณ กสิณข้อนี้มี น้ำ เป็นพื้นฐาน

๓. เตโชกสิณ กสิณข้อนี้มี ไฟ เป็นพื้นฐาน

๔. วาโยกสิณ กสิณข้อนี้มี ลม เป็นพื้นฐาน

๕. โลหิตกสิณ กสิณข้อนี้มี สีแดง เป็นพื้นฐาน

๖. ปีตกกสิณ กสิณข้อนี้มี สีเหลือง เป็นพื้นฐาน

๗. นิลกสิณ กสิณข้อนี้มี สีเขียว เป็นพื้นฐาน

๘. โอทาตกสิณ กสิณข้อนี้มี สีขาว เป็นพื้นฐาน

๙. อากาสกสิณ กสิณข้อนี้มี อากาศ คือ ความว่างเป็นพื้นฐาน

๑๐. อาโลกกสิณ กสิณข้อนี้มี แสงสว่าง เป็นพื้นฐาน

ฝึกได้ ทำได้ ดีครับ ขออนุโมทนา

ขอรบกวนช่วยแปลหน่อยได้ไหมครับ ว่ามีความหมายยังไง แล้ว กสินต่างๆ นี้ ฝึกเพื่ออะไร ขอบคุณครับ

1385
งดงามมากเลยครับ เส้นคมชัด การจัดวางเป็นระเบียบ น่าจะโพสเป็นภาพปกติให้ชมบ้างนะครับ

1386
รอยสักของท่าน thong.yong สวยมากเลยครับไม่ทราบว่าสักที่ไหนครับ

1388
ผมก้ออยากได้วัตถุมงคลของทางเหนือบ้างอ่ะคับสงสัยต้องหาแฟนเป็นคนเหนือแล้วหละ

งั้นขอแนะนำยันต์หนีบครับท่าน ยันต์นี้ของทางล้านนาชัว พุทธคุณตามท่าน ต้นน้ำต้องการด้วยครับ

1389
ข้อมูลนี้เป็นประโยชน์กับผมมากเลยครับ ผมกะจะสักที่สีข้าง แต่ได้ยินว่า ห้ามเรื่องเหล้า แบบชนิดจิบไม่ได้เลยจริงไหมครับ รบกวนผู้รู้ช่วยตอบด้วยครับ ขอบคุณอีกครั้ง

1390
ของอาจารย์ทองตลาดพลูก็มีนะครับ รวมค่าเดินทาง(จาก เชียงใหม่-กทม)ค่าอาหาร 3 มื้อ คงไม่ถึง 2000 บาท

1391
เอาใจช่วยครับ ผมก็รอล้อมเช่นกันครับ

1392
สุดยอดเลยครับท่าน

1393
เป็นความรู้มากเลยครับ

1394
การจัดวางในรูปที่1 สวยงามมากครับ หากเสร็จแล้ว รบกวนช่วยลงรูปให้ดูอีกนะครับ

1395
มีสองความเห็น
1.สวยครับ  :053:
2.สงสารเสือครับ :065: :070:

1396
วัดสวยงามมากเลยครับ ดูกว้างมากเลยครับ

1398
เคยได้ยินมาเหมือนกัน ครับ

1399
เวลาผิดศีล ข้อ 5 ห้ามโชว์ลายสัก ต่อหน้าธารกำนัน :048:
ผมขอสงสัยครับ ว่ามีกฏข้อนี้ด้วยรึครับ มีเหตุผลไหมครับว่าทำไมถึงห้าม รึกลัวคนอื่นหมั่นไส้ ครับ
ส่วนขอตอบกระทู้ว่าถือศีล5 (ข้อ5นี่ผมทำไม่ได้)หมั่นสวดมนต์ ไหว้พระ ไม่ผิดคำครูบาอาจารย์ คำสั่งสอน บิดามารดา ไม่เอาวิชาที่ร่ำเรียนมาไปรังแกผู้อื่น ไม่อวดอ้างลองของ โดยเฉพาะศิษย์สำนักเดียวกัน ต้องรักสามัคคีกัน ของเหลือ ของไหว้งานศพ ฟัก แฟง แตง บวบ มะเฟืองห้ามทาน ราวตากผ้าห้ามลอด ห้ามผู้หญิงขึ้นค่อม  เท่าที่ผมเคยได้ยินมาก็ประมาณนี้ หากไม่ครบ ขาดข้อใด รบกวนท่านสมาชิกท่านอื่นๆช่วยเสริมด้วยนะครับ และ หากการเขียนของผมจัดวางไม่ดีไม่มีหัวข้อก็ขออภัยนะครับ ขอบคุณครับ

1400
ผมอ่านเจอกระทู้นี้ ตอนกลางวันครับ หวังว่าคงเป็นประโยชน์กับท่านhttp://www.bp.or.th/webboard/index.php/topic,6958.msg56685/topicseen.html#new

1401
ผมว่าไม่นะครับ หากเป็นแนวนี้ ก็[bgcolor=#ff3100]อย่า[/bgcolor]ไปมีสัมพันธ์กับภรรยา-สามี คนอื่น เรื่องดูเว็บ หนังสือ วีซีดี นี่ปกติ ดูแล้วไม่ผิดศีลข้อ 3 เป็นพอ ขอบคุณครับ

1402
ยากนะครับ ผมว่าทำดี คิดดี พูดดี ครับ

1403
ขอรบกวนนะครับวัดคันลัด นี่อยู่แถวไหนครับ

1404
ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่ท่านลงไว้นี้ ขอบคุณอีกครั้งครับ

1405
ผมได้มาเล่มหนึ่งชื่อ108พระเครื่องเหรียญหลวงพ่อเปิ่น หากท่าน nontaburi  ต้องการข้อมูลในหนังสือผมส่งเมล์ไปให้ไหมครับ แต่ผมใช้วิธีแสกน นะครับ ข้อความชัดแต่รูปเหรียญ ตำหนิ นี่ไม่ ชัด หากท่านต้องการ ผมจะส่งให้ ทางเมลล์นะครับ
 
 

1406
เห็นไม่ชัด จริงๆ แล้วทำไมตอนสักไม่ถามหลวงพี่ท่านล่ะครับ รึกลับไปถามหลวงพี่ท่านก็ได้นี่ครับ หากท่าน Ogofmayas ได้ข้อมูลแล้ว ช่วยบอกด้วยนะครับ
 
 

1407
งดงามมากครับ หายากนะครับ

1408
ที่จริงยันต์แปดทิศก็ไม่ใหญ่นะครับ ส่วนใหญ่จะวางอยู่กลางหลังครับ

1409
ได้ความรู้เต็มเลยครับ ขอบคุณท่าน ~♣~โจรสลัด~♣~  มากนะครับที่ให้ความรู้

1410
ตามความคิดผมการสักไม่มีใครบังคับใครได้ การเสียค่าครูก็เหมือนกัน ไม่มีใครบังคับใคร หากยินยอมพร้อมใจที่จะเสียค่าครูแล้วได้สัก ผมว่าอาจารย์ที่สักให้ก็ไม่ผิด เพราะ เป็นการตกลงกันก่อนที่จะสัก ไม่ใช่สักแล้วมาขอขึ้นค่าครูทีหลัง กระผมก็เป็นศิษย์คนหนึ่งที่สัก มาหลายกุฎิ แล้วบางกุฏิก็เก็บค่าครูตามขนาด ซึ่งก็ยังเคารพในอาจารย์ที่สักให้ผมทุกรูปและทุกท่าน

1411
กุฏิไหนว่างก็เข้าไปกุฏินั้นเลยครับ เอาใจช่วยนะครับ หากสักแล้วก็ นำภาพมาลงบ้างนะครับ

1412
เห็นด้วยนะครับ กับความคิดของท่าน หากทำได้ก็ดีครับ

1413
สวยครับ กำลังตกสะเก็ดเลย คันหน่อยนะครับ

1414
ตามที่ท่านวางผังไว้นี่ก็สวย นะครับ ผมรอชมตอนสักเสร็จนะครับ

1415
ติดใจลงรูปได้ครั้งแรก ขออีกภาพนะครับ


1416
พยายามอีกครั้งครับ

หงค์คู่ ยันต์ตระกร้อ หนุมาน สักกับอาจารย์ต้อย สายอาจารย์ทอง

พ่อแก่นารอด

พ่อแก่ปู่เจ้าสมิงพราย 2ภาพนี่สักกับอาจารย์เอ สาย4

1417
ผมเห็นคนงานเอาพระมาคาดเอว ผมบอกทำไมมาคาดต่ำจัง คนงานตอบผมว่า นี่ไม่ใช่พระ คือ ไอ้งั่ง ผมมองยังไงก็พระเถียงกันอยู่พักใหญ่ จะได้รู้ว่านี่เป็นไอ้งั่งจริงๆ ที่นี่ผมอยากรู้ว่ามันเป็นของแนวไหนเจ้าของอายุ56 ก็ตอบไม่ได้ จึงอยากเรียนถามผู้รู้ในเว็บช่วยอธิบายหน่อยครับ
                                          ขอบคุณครับ

1418
พยายามลงหลายครั้งแล้วก็ไม่ได้ทำใจแล้วครับ

1419
ที่หลังผมนี้ หากไม่รวม จิ้งจก ชูชกและแดงเก ก็สักวันเดียวครับ แต่กลับไปนอนหงายไม่ได้2วันเลยล่ะครับ อยากได้ของดีอยู่ไกลก็ต้องทนนะครับ แต่ต้องวนหลายกุฏิ หน่อยนะครับ

1420
ขอบคุณท่านสิบทัศน์มากครับ ที่ช่วยลงรูปให้

1421
รูปบนพุตซ้อนพระเจ้า 5 พระองค์ใช้อักขระ พระเจ้า 5 พระองค์มาซ้อนกันคือนะ โม พุทธ ธา ยะ พุทธคุณแคล้วคลาด เมตตา ส่วนรูปล่างไม่ทราบครับ

1422
มีรุ่นพี่ผมกลัวเจ็บเลย ดื่มไปก่อนสัก ที่แรกอาจารย์บอกให้กลับไปก่อนมาสักวันหลัง แต่พี่ท่านดันทุรังจะสักให้ได้อาจารย์ก็ไม่อยากขัดคนเมาซัก2นาที เป็นเรื่องเลยครับเลือดไม่หยุดไหล พี่ท่านก็เลยขอหยุดเอง จนถึงวันนี้ก็เห็นที่หลังมีแต่รูปเท้าเสือยังไม่กล้าไปเพิ่มอีกเลย หากจะสักแล้วกลัวเจ็บแล้วจะสักทำไม ตอนสักต้องมีสมาธิ ตั้งมั่น ผมว่าเจ็บแต่คุ้มครับ ได้ของดีมาติดตัวไม่มีวันหาย แต่ต้องทำตามคำครูนะครับ(กระทู้นี่โพสตั้งนานแล้วนี่ครับ)

1423
แล้วถอนไปทำไมครับ งง แต่เคยได้ยินการถอนของในเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนขุนไกรพ่อขุนแผนต้องอาญาถึงประหาร ขุนไกรกลัวเพชรฆาตรได้รับโทษที่ประหารตนไม่ได้จึงถอนของให้ เพชรฆาตรจึงประหารขุนไกรได้  เท่าที่เคยได้ยินก็มีเท่านี้ครับ

1425
ที่ลง รูปรอยสักห้าแถวของอาจารย์โยชน์ดินแดงสายอาจารย์ทองตลาดพลู บอกอยากให้ ท่านสมาชิกบางท่านเห็นเป็นแนวทาง ไม่ใช่จะแข่งกับสำนักใด เพราะมีท่านสมาชิกถามถึงว่าเหมือนกันไหม ตามที่ผมรู้ ว่าสองสำนักนี่ไม่เหมือนกันแน่นอน ทางของสายอาจารย์ทอง เป็นคาถามงกุฏพระพุทธเจ้า พุทธคุณครบทุกด้าน คลาดแคล้ด กันถูกของ 
                                           ขอบคุณ ครับ(ขอบคุณครับ ที่ท่านเอ็มไร่ขิงที่ช่วยลงรูปให้)

1426
   เอาแบบนี้เลยสิครับเต็มๆเลย     อันเเม่ทัพคนนี้มีศักดาอยู่ยงคงศาสตราวิชาดี เเขนขวาสักเป็นองค์นารายณ์ แขนซ้ายสักชาดเป็นราชสีห์ ขาขวาหมึกสักพยัคฆี ขาซ้ายสักหมีมีกำลัง สักอุระรูปพระโมคคัลลานะ ภควันปิดตานั้นสักหลัง สีข้างสักอักขระนะจังงัง ศรีษะฝังพลอยนิลเม็ดจินดา ฝังเข็มเล่มทองไว้สองไหล ฝังเพชรเม็ดใหญ่ไว้เสกหน้า ฝังก้อนเหล็กไหลไว้อุรา ข้างหลังฝังเทียนคล้ายตาแมว เป็นโปเปาฝนผหยิบทั้งกาย ดูเรี่ยรายรอยร่องเป็นถ่องเเถว แต่เกิดมาอาวุธไม่พ่องแพว ไม่มีแนวหนามขีดสักนิดเดียว

1427
ส่วนผม ได้หมูทองแดง ศิษย์พี่อ้อมได้หนุมาน มีหลายๆท่านก็ได้รูป บางท่านได้ตัวใหญ่ๆด้วยนะครับ ขึ้นอยู่กับจังหวะและจำนวนลูกศิษย์ นะครับ

1428
พุดซ้อน แม่ทัพ หมูทองแดง ดำดื้อ แดงเก ครับท่าน

1429
ของดี ยอมมีคนอยากได้ เมื่อคนต้องการเยอะ ก็มีของปลอม ขึ้นมาเป็นธรรมดา ทำใจครับ

1430
ผมสัก ห้าแถวโดยท่านอาจารย์ประโยชน์ดินแดง ไม่รู้ลงภาพได้ไหม

1431
ผมจะพยายามส่งรูปให้ดูนะครับ

1432
มีนะครับ อยู่ที่กุฏิอาจารย์สมชาย ผมก็สักมาจากที่นั้น

1433
ได้ครับ หากท่านมีความอดทนพอนะครับ ก็ วันเดียว เหมือนกัน แตยังไม่ได้ล้อม ต่อนี้ รอล้อมครับ ขอแนะนำว่า ให้สักวันเดียว พบแล้ว วันที่2 จะเจ็บกว่าวันแรกมานะครับ

1435
เคยรับตะกรุดข้อมือจากท่าน พอ รับแล้วท่านบอกให้ถอดเสื้อแล้วหันหลัง ตอนแรกนึกว่าจะปลุกของให้ ปรากฏเหมือนถูกไม้หน้าสามฟัน5-7ที จุกครับ ท่านบอกเสร็จแล้ว ผมเหลียวกลับมากราบ ท่านเห็นที่ท่านถือ เป็นดาบครับ ดาบครับดาบตกใจ เห็นแล้วเกือบเป็นลม ตอนนี้ หาโอกาสที่จะไปสักกับท่านให้ได้ 
                                                                          ขอบคุณครับ

1436
ของดีๆเอามาสักติดตัวก็รักษา กันหน่อย ไม่งั้นจะสักไปทำไม ตามความคิดผมขึ้นอยู่กับเจตนา ครับ

1437
เรื่องทุกอย่างย่อมเป็นไปตามกรรม การค้าขายก็ต้องดูที่ทำเล สินค้า จำนวนผู้ซื้อ ชีวิตคู่ก็ยิ่งยากต้องเข้าใจ เหมาะสม รักกัน การปฎิบัติตัวต่อกัน ฯลฯ ซึ่ง ท่านรู้เอง ว่าเพราะอะไร แล้วท่านสักแล้วปฎิบัติตัวดี คิดดี พูดดี ผลกรรมดีคงจะทำให้ท่านดีขึ้น ซึ่งขึ้นอยู่กับกรรม ที่เคยสร้างมา

1438
ผมว่า มีความขลังเท่ากัน ครับ

1439
ขอบคุณครับ สำหรับข้อมูลดีๆ

1440
อย่างน้อยก็ยังมีข่าวที่ดีๆบ้าง

1442
วัดบางแวกฝั่งเข็มทอง วันอังคาร,พฤหัสบดี,เสาร์ ถ้าตรงกับ "วันพระ" งด ครับ

ทำพิธีที่กุฎิพระอาจารย์หนุ่ม ครับ อย่าลืมจัดหา ดอกไม้ ธูป และ เทียน ไปด้วยครับ ส่วนกฎข้อบังครับรบกวนถามทางพระอาจารย์เองครับ

1443
ผมว่าแล้วแต่คนจะใช้นะครับ ตอนผมไปเป็นทหารที่ชายแดนเชียงรายมีผู้ใหญ่คนนึงเล่าว่า" การเสกของเข้าท้องนี้มีทั้งดีและเลว หากเสกหนังควาย ตะปูก็เป็นโทษกับผู้รับ แต่หากเป็นครูบา ที่ต้องการรักษาคนไข้ที่อยู่ไกลๆ ก็เปลี่ยนเป็นเสกยาเข้าท้องครับ" ข้อมูลนี้ก็แสดงให้เห็นว่าศาสตร์เดียวกันแต่ใช้คนล่ะอย่างก็ต่างกัน ราวฟ้ากับดิน

1444
เป็นยันต์ห้าแถว อาจารย์ประโยชน์ดินแดงสายอาจารย์ทองตลาดพลู ครับ

1445
สวัสดีครับ กระผมอยากทราบรายละเอียด ถึง การสักยันต์แบบล้านนา ที่เป็นล้านนาแท้ๆนะครับ หากมีรูปด้วยจะเป็นพระคุณยิ่ง
                                                                                                                                                   ขอบคุณครับ

                                                                                                   

1446
เกิดได้ 2กรณีครับ
1.สัก ไม่ว่าเป็นน้ำมัน-หมึก ห้ามโดนสบู่ รึสารที่เป็นด่าง 3-5 วันครับ
2.อุณหภูมิมีผลกับน้ำมันบางสำนัก
ผมคิดว่าทานยาแก้อักเสบ ก็หายนะครับ
                                                       สวัสดีครับ

1447
สวัสดี ครับ ผมขอจองเสื้อผู้ชาย ไซค์ L 1ตัว และ เสื้อผู้หญิง ไซค์ M 1ตัวครับ  ส่วนเข็มกลัด 2อันครับ ขอบคุณครับ

1449
ด้านโภคทรัพย์ เมตตา ค้าขาย ดังภาพนี้มีหมูทองแดง หลวงพี่แป๊วท่านเมตตา

1450
ขอบคุณ สำหรับข้อมูล ที่ควรรู้ครับ

1451
ขอบคุณ ทั้ง สอง ท่าน นะ ครับ

1452
สักได้ สิครับ นำพานดอกไม้ธูปเทียนไปฝากตัว ชอบกุฎิไหน เข้าไปได้เลย

1453
ตามที่ อาจารย์ท่านบอกว่าเป็นคาถา บทหนึ่ง อยู่ ด้านซ้าย ส่วน ด้านขวา คือบทเดิมแต่กลับ หลัง ครับ

1454
ขอสอบถามผู้รู้ว่ายันต์นี้มีชื่อว่าอะไร และพุทธคุณด้านไหน ขอบคุณครับ

1456
ขอถามท่านผู้รู้ทุกๆท่านว่า ยันต์นี้ชื่อว่าอะไร และ มีพุทธคุณ ด้านไหน ขอบคุณครับ

1457
ขอ สอบถามสายรถโดยสารประจำทางไปวัด โคปูน มีรุ่นพี่ บอกว่า หลวงพี่พัน จำพรรษา ที่นั้น จึงอยากถามสายรถโดยสารประจำทางไป วัดโคปูน ว่าไปยังไง ค่า รถเท่าไหร่ ใช้เวลาเดินทางกี่ชั่วโมง และรถหมดกี่โมง ครับ

1458
ขอบคุณสำหรับ ข้อมูลนี้ครับ

1459
ตาม ความ คิด ของผม  การ ที่ มีหลายๆสำนัก มีรอยสักคล้ายหรือเหมือนกัน ไม่ ใช่เรื่องแปลก รึ เสียหายตรงไหน ผม ว่า ดีเสียอีก เป็น การอนุรักษ์ วัฒธรรม ศาสตร์ แขนงนี้ ไม่ให้ หาย เพียงแต่ จะไปทิศทางไหน ก็ แล้ว แต่ คนที่มีรอยสักนั้นๆ  ผม เชื่อมั่นว่า ทุกสำนักคง สอน ให้ เป็นคนดี มี คุณธรรม ไม่ เอา วิชาที่เรียนมา ไปใช้ในทางที่ไม่ดี บางคนที่สักมาใหม่ๆคงภาคภูมิในรอยสักของตนก็อาจ คึกคะนอง โชว์ ลองของ เป็น ธรรมดา คงมีหลายท่านเคย แต่สุดท้าย หากเข้าถึง แก่น ของศาสตร์-วิชาแขนงนี้ คงเข้าใจกันเอง ขอบคุณ ครับ

1460
สำหรับ วัดบางพระ รับ สักให้ ทุกวัน และมีพระอาจารย์ หลายท่าน สำหรับผม ชอบไปวันธรรมดา ไม่ ตรงกับวันหยุด คนจะน้อย ครับ

1461
อย่างแรกท่านเข้าใจถูกต้อง ที่ ต้อง ขึ้นเก้า ยอด ก่อน จะอยู่ สูงหลังจากนั้นก็ แล้วแต่อาจาย์ ครับ ส่วนหลังผมขึ้น เก้ายอดแล้ว สาริกา งบน้ำอ้อย(2)แปดทิศ พุดซ้อน แม่ทัพ หนุมาน เสือคู่  แดงเก ชูชก เจ็ดยอด หมูทองแดง พญาหมี จิ้งจก ทุกรอยสัก การ จัดวางแล้วแต่อาจารย์ที่ จะ สัก ให้ และก็อย่างที่เคยได้ยิน มา สัก แล้วต้องปฎิบัติตามกฎ ที่ ครูบาอาจารย์ ท่าน สอนสั่ง ทุกๆสำนัก จะสอดคล้องไปในทางเดียวกัน คือ ถือ ศีล ๕  ขอให้ ท่านเข้าสู่ ใน ศาสตร์ทางนี้อย่างถูกต้อง ครับ

1462
ขอบคุณ ทุกๆท่านมากครับ

1464
ผมได้ตะกรุดจากผู้ใหญ่ที่ผมนับถือ ซึ่งท่านบอกว่าเป็นตะกรุดโทนฝาบาตรหลวงพ่อเปิ่น แต่ท่านไม่ได้ให้ คาถา ตอน คาดและตอนถอดมา จึงอยากเรียนถามท่านผู้รู้ทุกๆท่านช่วยบอกคาถา คาดและถอด ตะกรุดที่เป็นของวัดบางพระ ขอบคุณครับ

1465
ขอบอกว่า ชื่นชม และ ตื้นตันใจ ใน ความกล้า ของสุนัขที่เข้าไปช่วยเพื่อน แต่ตัวแรกนี้ กล้ามากเก่งด้วย นับถือครับ

1466
เก้ายอด+เจ็ดยอด+หมูทองแดงหลวงพี่แป๊วท่านเมตตา
งบน้ำอ้อย+แปดทิศ+หนุมาน+เสือ 2ตัว+แม่ทัพ+พุดซ้อน ฆารวาสที่กุฎิท่านมหาสมชาย
หมี+จิ้งจก+แดงเก้+ชูชก อาจารย์ประโยชน์ ดินแดง

1467
สำหรับผมเชื่อในวิชาแขนงนี้เป็น ที่ สุด ว่ามี จริง

1468
เพิ่งเคยได้ยินนี่ นะครับ แปลกดีนะครับ

1469
สุดยอดครับ ท่าน

1470
คาถาอาคม / ตอบ: คาถาปลุกผีลุก
« เมื่อ: 20 ธ.ค. 2551, 11:16:21 »
ขอบคุณ ครับ คุณ อชิตะ ผม เองก็เพิ่งเข้ามาเรียนรู้ ทางด้านนี้ ได้ไม่ นาน นี่ก็ เริ่ม สักครั้งแรกเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมานี่เอง ได้เท่าที่เห็น นะครับ

1471
เสียดายที่ไม่ได้ไปชม ว่างส่งภาพมาให้ชมบ้างนะครับ

1472
คาถาอาคม / ตอบ: คาถาปลุกผีลุก
« เมื่อ: 19 ธ.ค. 2551, 03:41:22 »
พี่ครับผมจะลองไปใช้ดูนะครับ ขอบคุณ

1473
ท่าน Gearmour พอจะมีรูปรอยสักที่ท่านพระอาจารย์ ท่านสักไหม ครับ

1474
หนังเหนียว ครับ ไม่ ทราบว่า ขอชมภาพได้หรือไม่ ครับ

1475
หลวงพ่อจำเนียรไม่ รับสัก และ ท่านติดกิจนิมนต์ไปต่างประเทศ ครับ ผม คงต้อง กลับไปสักที่ วัดบางพระเสียแล้ว ครับ พยายาม หาแล้วแถวนี้ ไม่ มีเลย

1476
ที่เคย สอบถาม ผู้ รู้ ทุกๆท่านไป ว่า  มีอาจารย์ สัก สายหลวงพ่อเปิ่น อยู่ แถวจังหวัดกระบี่ คง ยาก ที่ จะหาเป็นจังหวัดใกล้ๆพอจะมีไหมครับ

1478
มีข้อห้ามเรื่องตำลึงด้วย หรือ ครับ หาก มี ข้อนี่ ผมจะได้ปฎิบัติตาม ช่วย ตอบด้วย ครับ

1479
มาทำงานที่กระบี่ แล้วไม่ค่อยมีวัดหรือสำนักที่รับสัก เลย ขอสอบ ถาม ทุกๆ ท่าน ขอบคุณ ครับ

1480
ขอสอบถามผู้รู้ ว่า มีอาจารย์ สัก สายหลวงพ่อเปิ่น อยู่ แถวจังหวัดกระบี่ ไหม ครับ

1481
มีของดี ให้เก็บรักษาดีๆนะครับ

1482
ขอสอบถามผู้รู้ทุกๆท่าน ว่า ระหว่าง หัวกับสีข้าง ตรงไหนเจ็บกว่ากันครับ

1483
ไปแนนอนครับเป็นปีแรกของผมด้วยถึงแม้มาทำงานไกลถึงกระบี่ ก็จะลางานไป

1484
ขอรบกวนผู้รู้ทุกท่านช่วยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรอยสักในตัวผมแล้วขอความกรุณาบอกหน่อยว่ายังขาดอะไรบ้างจึงจะเหมาะสมครับขอความรู้กันนะครับ รอยสักคงลบออกไม่ได้
ขอบคุณ

1485
ขอช่วยแปล บทนี้ด้วยจะเป็น พระคุณ ยิ่ง

สิทธะมัตถุ (3จบ) อิทังพะลัง เอตัสสมีง ระตะนัตตะยัสสมีง สัมปะสาทะนะ เจตะโส

หน้า: 1 [2]