ผู้เขียน หัวข้อ: ศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก  (อ่าน 10157 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ratsameeporm

  • ตติยะ
  • ***
  • กระทู้: 70
    • ดูรายละเอียด
ศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก
« เมื่อ: 03 ส.ค. 2552, 09:17:01 »

size=18pt][/size]ศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก
                                   ครูบาอาจารย์เป็นใคร?แล้วฝึกปฎิบัติธรรมกันอย่างไร?                       คณะศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก เริ่มก่อตั้งโดยอาจารย์หมอสมสุข  คงอุไร เมื่อพ.ศ.2515ตอนนั้นยังใช้ชื่อคณะศิษย์รัศมีพรหม โดยตั้งตามคำพูดของหลวงพ่อพรหม ถาวโรวัดช่องแค จ.นครสวรรค์ หลังจากที่ปลุกเสกพระสมเด็จรุ่น ปืนแตก พ.ศ.2515 เมื่อปลุกเสกเสร็จท่านว่าพระรุ่นนี้มีรัศมีสว่างไสวเหมือนรัศมีของพรหม สว่างออกไปข้างละ 9 วา ดังนั้นอาจารย์หมอสมสุข   คงอุไร จึงนำคำว่า รัศมีพรหมมาตั้งเป็นชื่อคณะ เมื่อหลวงพ่พรหม
มรณภาพลงในปี 2518 อาจารย์หมอสมสุข   คงอุไร ได้เจออาจารย์องค์ที่ 2 คือครูบาชุ่มโพธิโก วัดวังมุย จ.ลำพูน ท่านจึงนำฉายาโพธิโก มาต่อท้ายคำว่า รัศมีพรหม จึงกลายมาเป็น?คณะศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก? ครูบาอาจารย์ของคณะศิษย์รัศมีพรหมโพธิโกที่ถ่ายทอดหลักการ
ปฎิบัติอานาปานสติอันสัมปะยุตต์ด้วยสมาธิ,ฌาน,อรูปฌาน,และวิปัสสนาญาณ ให้แก่คณะ
ศิษย์ฯ มีดังนี้
             1.หลวงพ่อพรหม ถาวโร วัดช่องแค จ.นครสวรรค์
             2.ครูบาชุ่มโพธิโก วัดวังมุย จ.ลำพูน
             3.ครูบาอินทรจักร  อินทจักรโก วัดน้ำบ่อหลวง จ.เชียงใหม่
             4.ครูบาพรหมา  พรหมจักรโก วัดพระพุทธบาทตากผ้า จ.ลำพูน
             5.ครูบาขันแก้ว  อุตตโม วัดสันพระเจ้าแดง จ.ลำพูน


             ตามที่สอบถามหมอสมสุข ไว้ว่าแต่ละองค์สอนการปฎิบัติให้แค่ไหน ท่านกล่าวว่า
หลวงพ่อพรหม สอนถึงรูปฌาน 4 ก็มรณภาพ โดยครั้งแรก พ.ศ.2514 ที่ท่านรับอาหมอสมสุข
เป็นศิษย์ ท่านบอกว่า ?สมบัติอยู่ในท้องเอ็งไปหาเอา เอ็งไปถีบลมให้ขาด? ซึ่งการถ่ายทอดทั้งหลักธรรม และบอกเล่าประวัติของท่านนั้น เวลากลางวันห้ามถาม พูดคุยเรื่องนี้ตอนกลางคืนเวลาเที่ยงคืนท่านจะจุดตะเกียงน้ำมันก๊าดบนหัวนอน เป็นสัญญาณให้เข้าไปถามเรื่องราวต่างๆ

ออฟไลน์ ratsameeporm

  • ตติยะ
  • ***
  • กระทู้: 70
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 03 ส.ค. 2552, 09:21:50 »

หลวงปู่พรหม วัดช่องแค

หลวงปู่ครูบาบุญชุ่ม วัดวังมุย

ออฟไลน์ ratsameeporm

  • ตติยะ
  • ***
  • กระทู้: 70
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 03 ส.ค. 2552, 09:23:42 »

หลวงปู่ขันแก้ว วัดสันพระเจ้าแดง

ออฟไลน์ ratsameeporm

  • ตติยะ
  • ***
  • กระทู้: 70
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 03 ส.ค. 2552, 09:25:20 »

หลวงปู่ครูบาอินทรจักร วัดน้ำบ่อหลวง

ออฟไลน์ ratsameeporm

  • ตติยะ
  • ***
  • กระทู้: 70
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 03 ส.ค. 2552, 09:27:40 »

ครูบาพรหมา วัดพระพุทธบาทตากผ้า

ออฟไลน์ ratsameeporm

  • ตติยะ
  • ***
  • กระทู้: 70
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 03 ส.ค. 2552, 09:34:28 »
ได้ทั้งประวัติหลวงปู่พรหมและหลักการปฎิบัติอานาปาฯ(หลวงพ่อพรหม เรียกพุทธคุณ)
             ครูบาชุ่ม สอนถึงอรูปฌาน3 ก็มรณภาพ เพราะอาหมอสมสุข ได้เจอท่านตั้งแต่ปี 2518 จนถึง 2519 เดือนกันยายน ท่านก็มรณภาพ เป็นระยะเวลา 11 เดือนเท่านั้น แต่การเป็นศิษย์ระหว่างครูบาชุ่มและอาหมอ นับว่าแปลกมาก กล่าวคือ ตั้งแต่หลวงพ่อพรหมมรณภาพ อาหมอสมสุขก็ตระเวนไปหาครูบาอาจารย์ตามที่ต่างๆซึ่งในขณะนั้น พ.ศ.2518มีมากมาย ทั้งอีสาน,ตะวันออก,ตะวันตก ไปหมดแต่ไม่มีองค์ไหนที่อาหมอสมสุขถามหลักปฎิบัติตามที่ หลวงพ่อพรหมสั้งสอนแล้วตอบอธิบายได้เลย เป็นเวลา 6 เดือนจึงมีลูกศิษย์ในคณะมาบอกว่า หลวงพ่อพรหมมาเข้าฝันบอกให้ไปบอกอาหมอสมสุขไม่ต้องไปหาพระองค์ไหนแล้ว ให้เอาเหรียญพระเครื่องที่สะสมไว้มาดูหลังเหรียญ เหรียญไหนมียันต์อิติปิโสแปดทิศ ให้ไปหาองค์นั้น ดังนั้น ในเดือนสิงหาคม 2518 อาหมอสมสุขจึงขึ้นไปพบครูบาชุ่มที่ วัดวังมุย เนื่องจากเหรียญวัตถุมงคลของท่านด้านหลังเป็นยันต์อิติปิโสแปดทิศ เมื่อเข้าไปหาท่าน ท่านถามว่ามีธุระอะไรที่มาหา อาหมอสมสุขตอบว่าพระอาจารย์ผมที่สอนสมาธิให้ท่านมรณภาพ ผมกำลังหาคนสอนต่อ แต่หาไม่ได้ ไม่มีใครรู้แนวปฎิบัตินี้เลย ครูบาชุ่มท่านจึงพูดว่า อ๋อโยมนี่เองหรือ เมื่อคืนนี้มีพระรูปหนึ่ง แล้วท่านก์บอกลักษณะของหลวงพ่อพรหมถูกทุกอย่างออกมา มาหาอาตมาบอกว่าวันพรุ่งนี้จะมีลูกศิษย์ผมมาหาให้ท่านช่วยรับเป็นลูกศิษย์ถ่ายทอด หลักปฎิบัติอานาปานสติฯให้ด้วย ซึ่งอาตมาก็รับปาก ดังนั้น เมื่อเป็นโยมหมออาตมาก็ยินดีรับโยมหมอเป็นลูกศิษย์ และท่านก็สอนการปฎัติสมาธิตามหลักอานาปาฯ ให้จนมรณภาพลง และท่านยังแนะนำให้ไปหาครูบาสองพี่น้อง คือ ครูบาอินทรจักรและครูบาพรหมจักร ซึ่งท่านบอกว่าเป็นพระที่ดีน่ากราบไหว้บูชา ทั้ง 2 องค์ ก็รับอาหมอสมสุขและคณะศิษย์รัศมีฯเป็นลูกศิษย์

ออฟไลน์ ratsameeporm

  • ตติยะ
  • ***
  • กระทู้: 70
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 03 ส.ค. 2552, 09:47:58 »
               ครูบาขันแก้วและครูบาพรหมจักร ทั้งสององค์ ก็ถ่ายทอดหลักปฎิบัติต่อมาให้แก่อาหมอสมสุขจนถึงดวงตาเห็นธรรม รวมทั้งลูกศิษย์ในคณะก็ปฎิบัติจนได้ดวงตาเห็นธรรมกันหลายคนในช่วงขณะปี พ.ศ.2523 ครูบาพรหมจักรท่านได้กล่าวเตือนไว้ว่า โยมหมอให้บอกลูกศิษย์ในคณะศิษย์ฯไว้นะ ?ให้ระวังความรู้ท่วมหัวจะเอาตัวไม่รอด?ซึ่งก็จริงของท่าน ศิษย์ในคณะหลายคนได้มีการกระทำที่ผิดต่อครูบาอาจารย์และแพ้จิตใจตนเอง ซึ่งมีผลทำให้คุณธรรมที่ได้เสื่อมลง(คุณธรรมของพระโสดา,สกิทาคา,อนาคา เป็นกุปธรรม ยังกลับกรอกเสื่อมถอยได้ ส่วนพระอรหันต์เป็นอกุปธรรมไม่มีการเสื่อมถอยแล้ว)ซึ่งการได้ ?ดวงตาเห็นธรรม? นี้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลขั้นแรก คือ พระโสดาบันซึ่งไม่ได้มีฤทธิ์มีเดช เหาะเหินเดินอากาศได้แต่อย่างใด แต่มีคุณธรรมอันวิเศษเกิดขึ้นในจิตใจเท่านั้น เมื่อมีจิตใจที่ตกต่ำจากคุณธรรมวิเศษนั้นก็ทำให้คุณธรรมนั้นเสื่อมจากจิตใจได้ดังนั้นบุคคลเมื่อได้ดวงตาเห็นธรรมแล้วควรจะ?เดาะวิปัสสนาญาณ? ให้แก่กล้า เพื่อทำให้อินทรีย์แก่กล้า จะได้ละตัดสังโยชน์และ อนุสัยที่หลงเหลือให้หมดสิ้นไปดังนั้น ครูบาพรหมจักรท่านจึงให้ปริศนาธรรม  ไว้สำหรับศิษย์ผู้ได้ ? ดวงตาเห็นธรรม ? แล้วว่า? ผู้ใดตามดูจิตโดยความเป็นธรรม ผู้นั้นจะพ้นจากบ่วงของมาร ? ครูบาอาจารย์ทั้ง 5 องค์ของคณะศิษย์รัศมีฯ ได้สั่งสอนหลักปฎิบัติอานาปาฯ  ทั้งสมถกัมมฐานและวิปัสสนากัมมฐานทั้ง 2 อย่าง  ซึ่งมีการถกเถียงกันมากมายว่าสมถะฯ  เป็นโลกียะ  ไม่ต้องปฎิบัติให้ปฎิบัติวิปัสสนาฯ  เลยเพราะเป็นโลกุตตระ  แต่พระอาจารย์ของคณะศิษย์ฯ  ได้อธิบายไว้ว่า  สมถะฯ  และวิปัสสนาฯ  เป๊นธรรมที่เกื้อกูลกัน  เพราะถ้าไม่ปฎิบัติสมถะฯ  ก็ไม่สามารถเข้าสู่วิปัสสนาฯ  ได้ เพราะการจะเข้าสู่วิปัสสนาญาณได้นั้น  ต้องเปลี่ยนบาทของสมถะฯ ในอรูฌาน 3 เพื่อจะยกเข้าสู่วิปัสสนาญาณฯ  (เพื่อทำจิตให้ปราโมทยิ่ง,ทำจิตให้ตั่งมั่น ทำจิตให้ปล่อยว่าง)
บางคนบอกว่า  สมถะฯ  เป็นพวกฝึกฌาน  ซึ่งทำให้เกิดฤทธิ์  (สมถะฯประกอบด้วย  ฌาน 4 และอรูปฌาน 4 ) ซึ่งจะขอถามผู้รู้ว่าการฝึกฌานมันเกิดฤทธิ์ตรงไหน
   ฌาน 4 เป็นธรรมที่แผดเผากิเลสอย่างหยาบ  (ผลคือค่อยๆละการยึดติดในรูป  เช่น  การชอบรถยี่ห้อนี้  สีนี้ ,ชอบสร้อยทองเส้นนี้ ฯลฯ  แต่เป็นการละอย่างช้าๆ  แบบไม่รู้ตัว)
   อรูปฌาน 4 เป็นธรรมที่แผดเผากิเลสอย่างละเอียด  (คือการละเกี่ยวกับนาม เช่น  ชื่อเสียง , เกียรติยศ ,การชมเชย , สรรเสริญ  เยินยอ  เป็นต้น)
   ที่ถามว่าฌานมีฤทิ์ตรงไหนกล่าวคือฌาน 4 ประกอบด้วย
วิตก-การยกอารมณ์ขึ้นสู่จิต
วิจาร-การประคองอารมณ์นั้นไว้
ปิต-ผรณาปิติ  ความอิ่มเอิบ  ซาบซ่านใจในการสามารถยกวิตก , วิจารขึ้นมาได้
สุข-สุขที่เกิดจากการหน่ายปิตินั้น
อุเบกขาเอกัตคตา-ความเป็นอารมณ์เดียวแห่งจิตหลังจากละสุขได้
ขอถามว่า  อารมณ์แห่งฌาน 4 อันประกอบด้วย  วิตก , วิจาร, ปิติ , สุข , อุเบกขาเอกัตคตารมณ์  นั้นทำให้มีฤทธิ์ตรงไหน
[bgcolor=#ff3a00]อรูปณาน 4 ประกอบด้วย[/bgcolor]
1.อากาสานัญจายตนฌาน-เอาอากาศเป็นอารมณ์จึงจะก้าวล่วงรูปสัญญาทั้งปวงได้  และดับปฏิฆสัญญา , นานัตตสัญญาได้
2.วิญญาณัญจายฌาน-การกำหนดธาตุรู้ทางใจ (มโนธาตุ)
3.อากิญญาณัญจายฌาน-การพิจารณาว่าไม่มีอะไรในอารมณ์ (ความว่าง)
4.เนวสัญญายตนฌาน-การพิจารณาว่ามีสัญญก็ไม่ใช่  ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่
[bgcolor=#006bff]ดังนั้น  อารมณ์ของจิตในอรูปฌาน 4ทำให้เกิดฤทธิ์ตรงไหน  ครูบาอารย์ทั้ง 5 องค์ของคณะศิษย์ฯ  จึงสอนวิธีปฎิบัติมาอย่างนี้  ซึ่งให้ปฎิบัติทั้ง  สมถะฯ  และวิปัสสนาฯเพราะธรรมทั้งสองอาศัยซึ่งกันและกั[/bgcolor]น]

ออฟไลน์ ratsameeporm

  • ตติยะ
  • ***
  • กระทู้: 70
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: 03 ส.ค. 2552, 10:06:39 »
หลังจากครูบาอาจารย์ทั้ง 5 นี้แล้วทาง  อาหมอสมสุข  ได้นำคณะศิษย์ฯ  ไปกราบไหว้ครูบาอาจารย์อีกหลายองค์และมีหลายองค์และมีหลายภาคของไทย  เช่น
ภาคเหนือ-ครูบาหล้า  วัดป่าตึง  จ.เชยงใหม่ ,ครูบาสุรินโท  วัดศรีเตี้ย  จ.ลำพูน ,ครูบาอิน  วัดฟ้าหลั่ง  จ.เชียงใหม่ ,ครูบาน้อย  วัดบ้านปง  จ.เชียงใหม่ ,ครูบาธรรมธิ  วัดสันป่าตึง  จ.เชียงใหม่  ฯลฯ
ภาคกลาง-หลวงปู่เจ๊ก  วัดระนาม ,หลวงปู่ผิว  วัดสง่างาม  จ.ปราจีนบุรี ,หลวงปู่แช่ม  วัดดอนยามหอม ,หลวงพ่อพูล  วัดไผ่ล้อม    ,หลวงปู่ทองอยู่  วัดใหม่หนองพะอง หลวงปู่แก้ว วัดช่องลม ฯลฯ
ภาคตะวันออก-ท่านพ่อคร่ำ  วัดวังหว้า  จ.ระยอง ,ท่านพ่อสีนวล  วัดเกวียนหัก  จ.จันทบุรี ,หลวงปู่ชม  วัดโป่ง  จ.ชลบุรี  หลวงเตี่ย วัดประชุมคงคา หลวงปู่พุฒ วัดเขาไม้แดง  ฯลฯ
ภาคตะวันตก-หลวงปู่หนู  วัดทุ่งแหลม  หลวงปู่ชอบ วัดเขารังเสือ  หลวงปู่จ่าง วัดเขื่อนเพชร ฯลฯ
ภาคใต้-พ่อท่านแก้ว  วัดโคกโคน  จ.พัทลุง ,พ่อท่านฤทธี  วัดบ้านสวน  ,พ่อทานแดง  วัดศรีมหาโพธิ์ ,พ่อท่านปลอด  วัดหัวป่า , พ่อท่านแดง  วัดขุนทอง ,พ่อท่านเนียน  วัดต้นเลียบ ,หลวงปู่สุภา  วัดเขารัง  จ.ภูเก็ต  พ่อหลวงคล้อย วัดถ้ำเขาเงิน หลวงปู่กล่ำ วัดศาลาบางปูน หลวงปู่เล็ก วัดประดูเรียง  เป็นต้น
ซึ่งครูบาอาจารย์แต่ละองค์กล่าวรับรองยืนยันกับทางคณะศิษย์รัศมีฯ  ว่าการปฏิบัติอานาปานสติฯ  อนสัมประยุตต์  ด้วยสมาธิ ,ฌาน ,อรูปฌาน ,วิปัสสนาญาณนี้  ที่พวกลูกศิษย์ทั้งหลาย  ได้รับการสั่งสอนจากอาหมอสมสุข  มานี้ถูกต้องแล้ว  เป็นการปฎิบัติที่ตรงที่สุด   ไม่มีทางลัดกว่านี้แล้ว  พระพุทธเจ้าท่านได้วางไว้เป็นขั้นเป็นตอน  พวกเราจะเข้ามรรคผลนิพพานได้  ก็ต้องเดินตามที่พระพุทธองค์ได้วางไว้แล้วเท่านั้น ไม่มีทางอื่น
ทางอาจารย์หมอสมสุขได้กล่าวไว้ว่า  ?การให้ธรรมทาน  (การสอนการปฎิบัติธรรม)  ถ้าผู้ให้รู้จริงก็ถึงมรรคผลนิพพาน?  ?แต่ถ้าให้ผู้รู่ไม่จริง  ก็ถึงนรกมหาอเวจีได้ง่ายๆ เหมือนกัน?
และ  หลวงพ่อพรหม  ถาโร  ท่านได้กล่าวกับอาจารย์หมอสมสุขไว้ว่า
1. คนที่จะมาปฎิบัติกับเอ็ง  เขาเหมือนกับน้ำเต็มแก้วมา  เอ็งต้องให้เขาริมน้ำในแก้วทิ้งให้หมด  แล้วเอ็งค่อยเติมน้ำใส่แก้วให้เขา  ถ้าเขายังมีน้ำเต็มแก้วอยู่  เอ็งขืนริมน้ำของเอ็งเติมให้เขา  น้ำในแก้วเขาล้นหมด  = (คนที่มาเรียนปฎิบัติธรรมต้องลบความทรงจำเกี่ยวกับความรู้ในการปฏิบัติเก่า ๆ ที่เคยเรียนมาทิ้งให้หมดก่อน)
2.เอ็งบอกเขาว่าสมาธิอันแท้จริงหลับตามีอยู่ลืมตาสมาธินั้นก็ต้องยังยู่  แต่ถ้าหลับตาเอ็งมองเห็นลืมตาแล้วหายหมดอันนั้นเป็นสมาธิของปลอม = (สมาธิต้องทำได้ทั้งหลับตาและลืมตา)
การปฎิบัติอานาปาสติฯ  ความที่ครูบาอาจารย์ทั้ง 5 องค์  ของคณะศิษย์ฯ  ได้ถ่ายทอดมาให้นี้ตรงนี้อาจสรุปได้ว่า  การปฎิบัติอานาปาสติฯ  ตามที่ครูบาอาจารย์ทั้ง 5 องค์  ได้ถ่ายทอดให้มานี้  ถูกต้องตามคำสั่งสอนของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า  ซึ่งท่านผู้อ่านสามารถตรวจสอบได้จาก  หนังสือปฐมสมโภค  ที่กล่าวถึงประพุทธองค์ในคืนตรัสรู้  แนวทางปฎิบัติที่พระผู้มีพระภาคเจ้าหรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า  ต้องผ่านอารมณ์แห่ง ฌาน  อรูปฌาน และ วิปัสสนาญาณ ตามลำดับ ถ้ามีแนวทางอื่นแสดงว่าพระพุทธองค์ต้องบัญญัติไว้แล้วหรือถ้ามีแนวทางอื่นแสดงว่าต้องมีผู้ที่เก่งกว่าพระพุทธองค์แล้วจะมีไหมละครับ

ออฟไลน์ ~เสน่ห์ack01~

  • ผู้คุมกฎ
  • *****
  • กระทู้: 5330
  • เพศ: ชาย
  • " ไม่เมาเหล้าแล้วเรายังเมารัก"
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: 03 ส.ค. 2552, 11:22:17 »
ขอบคุณท่านratsameeporm ครับที่นำเสนอปฎิบัติอานาปานสติอันสัมปะยุตต์

...กราบนมัสการพระอาจารย์ทุกรูปครับ...

ทำบุญ วันคล้ายวันเกิด หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ
วันอาทิตย์ ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ 

ออฟไลน์ เสือไฟ

  • ตติยะ
  • ***
  • กระทู้: 113
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: 03 ส.ค. 2552, 11:54:15 »
สาธุ กราบนมัสการ ครูบาอาจารย์ทุกๆท่าน ท่านดีครับ
อ.หมอสมสุข คงอุไรมีลูกศิษย์เป็นพระดีอยู่รูปหนึ่ง
ท่านส่งไปเรียนปฎิบัติและพระเวทย์กับท่านพ่อคร่ำ
วัดวังหว้าและหลวงปู่สุภาที่ภูเก็ตเป็นเวลายาวนาน
ได้รับการถ่ายทอดมาเต็มๆ ชื่อ พระอาจารย์เจี๊ยบ
อยู่วัดรัศมีพรหมโพธิโก อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย
วัดนี้คุณหมอ สมสุข คงอุไรนำคณะศิษย์ไปสร้างไว้
และขอให้พระเจี๊ยบศิษย์เอกมาเป็นเจ้าอาวาส
ท่านอ.เจี๊ยบเป็นพระถ่อมตน ไม่ขี้โม้ ไม่อวดอุตริ
พัฒนาการศึกษาทำคุณประโยชน์ให้ท้องถิ่น.......
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03 ส.ค. 2552, 12:12:15 โดย เสือไฟ »

ออฟไลน์ ~เสน่ห์โจรสลัด~

  • อัฏฐมะ
  • ***
  • กระทู้: 7913
  • เพศ: ชาย
  • " ถ้ามุ่งมั่นจะเป็นที่หนึ่งคุณจะเป็นที่หนึ่ง "
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: 03 ส.ค. 2552, 09:04:56 »
แวะมากราบนมัสการเกจิอาจารย์ทุกท่านครับ ...  :089:

ออฟไลน์ bamisak

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 100
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: ศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: 04 ส.ค. 2552, 06:31:52 »

ออฟไลน์ ratsameeporm

  • ตติยะ
  • ***
  • กระทู้: 70
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: 04 ส.ค. 2552, 08:46:02 »
ขอบคุณครับรูปหลวงปู่วัดพระพุทธบาทตากผ้ารูปนี้สวยมากครับ

ออฟไลน์ ratsameeporm

  • ตติยะ
  • ***
  • กระทู้: 70
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: 04 ส.ค. 2552, 09:16:02 »

หลวงอาชนิทร ชึ่งคณะศิษย์รัศมีพรหมให้ความเคารพท่านได้สืบทอดเจตนาของครูบาอาจารย์ในการเผยแพร่แนวทางปฎิบัติธรรมทางอนาปาซึ่งเป็นทางจริงแท้ ตอนนี้ท่านได้สร้างสถานปฎิบัติธรรมรัศมีพรหมโพธิโก ที่อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิถต์

ออฟไลน์ ratsameeporm

  • ตติยะ
  • ***
  • กระทู้: 70
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: 04 ส.ค. 2552, 09:18:39 »

ท่านไปงานพุทธาภิเสกที่วัดช่องแคท่านได้สร้างรูปเหมือนปั๊มหลวงปู่พรหมถวายให้กับวัดช่องแค ท่านลืมตาปลุกเเสก

ออฟไลน์ ratsameeporm

  • ตติยะ
  • ***
  • กระทู้: 70
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: 04 ส.ค. 2552, 09:21:58 »


พระพรมน้ำพุทธมนต์และดับเทียนชัยในงานต้มยาและพุทธาภิเสกประจำปีที่วัดช่องแค

ออฟไลน์ berth1999

  • แม้จะล้มก็จะคลานไปให้ถึงที่หวัง
  • ก้นบาตร
  • *****
  • กระทู้: 1265
  • เพศ: ชาย
  • เจอกันไม่ต้องหลบ จะขอเลี่ยงหลบไปเอง
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: ศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: 04 ส.ค. 2552, 11:25:27 »
สาธุฯ

ออฟไลน์ ratsameeporm

  • ตติยะ
  • ***
  • กระทู้: 70
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก
« ตอบกลับ #17 เมื่อ: 05 ส.ค. 2552, 02:44:53 »


หลวงปู่ขันแก้ว หรือพระครูอุดมขันติธรรม เกิดเมื่่อวันอังคารที่ 14 พย 2442 ตรงกับวันขึ้น12ค่ำ เดือน12 ปีกุน ณ ตำบลห้วยยาบ อำเภอเมือง ลำพูน หลวงปู่ขันแก้ว มีนามเดิมว่า ขันแก้ว นามสกุลเดิม อิกำเนิด มีพี่น้อง 5 คน

เมื่อวันที่12 กค 2454 โยมพ่อโยมแม่ของหลวงปู่ได้นิมนต์พระอธิการแก้ว (หลวงปู่ครูบาอินทรจักโก วัดป่าลาน ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงปู่ครูบาฝายหินวัดฝายหินเชียงใหม่) มาเป็นอุปัชฌาย์บวชสามเณร ที่วัดสันพระเจ้าแดง พระอุปัชฌาย์มีความรักและเมตตาต่อหลวงปู่ขันแก้ว ได้ถ่ายทอดธรรมะและเคล็ดวิชาอรูปกรรมฐานและวิปัสนากรรมฐานให้หลวงปู่ขันแก้ว

หลวงปู่ขันแก้วมักจะกล่าวเตือนกับผู้ที่มาปฎิบัติธรรมและลูกศิษย์อยู่เสมอว่า ก่อนจะปฎิบัติสมาธิให้ใช้ปัญญาหาวิธีทำสมาธิให้ถูกต้องตามแนวคำสอนของพระพุทธเจ้าเสียก่อน เช่น อานาปานสติ หรือมหาสติปัฎฐาน4 มีการกำหนดสมาธิอย่างไรมีการบอกอานิสงส์ผลของการประพฤติอย่างไรและที่สำคัญว่าพระพุทธเจ้าใช้พระสูตรอะไรในการปฎิบัติจนเกิดปัญญาในการตรัสรู้อริยสัจ 4
หลวงปู่ขันแก้วได้เทศนาให้กับผู้ปฎิบัติธรรมเกี่ยวกับทางสายกลางคือมัชฌาปฎิปทาที่ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้ามีหลักฐานที่พระพุทธเจ้าได้บอกไว้ในพระสูตรที่มีอยู่ในพระไตรปิฎกว่าพระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้พระองค์ใช้พระสูตรใดปฎิบัติธรรมหลักฐานที่มีอยู่ในพระไตรปิฎกก็คืออานาปานสติกรรมฐาน อานาปานสติกรรมฐานเป็นกรรมฐานที่ประกอบไปด้วยสมาธิ ฌาน อรููปฌานและวิปัสนาฌาน
การพบหลวงปู่ขันแก้วของคุณหมอสมสุข[/size]

ปลายเดือนมกราคมปี2519 คุณพ่อสมสุขและศิษย์รัศมีพรหมโพธิโกได้ขึ้นมาเยี่ยมอาการป่วยของหลวงปู่ครูบาบุญชุ่ม โพธิโกที่โรงพยาบาลวัดสวนดอก ในวันนั้นได้มีภิกษุรูปหนึ่งครองจีวรสีกรัก รูปร่างสันทัด ค่อนข้างผอม ผิวเนื้อดำแดง ท่านก้าวเข้ามาในห้องที่หลวงปู่ชุ่มนอนรักษาตัวอยู่ ท่านเข้าไปสวมกอดหลวงปู่ชุ่มและนั่งบนเตียงแล้วพูดภาษาเหนือกันอย่างสนินสนม จนทุกคนที่มาเยี่ยมไข้ต่างแปลกใจ

คุณพ่อเล่าว่าภิกษุรูปนี้ผิวพรรณดำกร้านเหมือนพระอยู่ป่าอยู่ดง พอมาถึงก็เข้าไปนั่งที่เตียง กอดเอว พูดคุยแบบชนิดตีรุ่นเท่ากับหลวงปู่ชุ่ม เมื่อดูนัยน์ตาไม่เห็นวงแหวนสีฟ้าและสีครีมสองชั้นเลย ก็คิดในใจในทางไม่ดีคิดเห็นแล้วไม่มีอินทรีย์ที่ผ่องใสอย่างหลวงปู่ชุ่ม ซึ่งขณะนั้นหลวงปู่ชุ่มมีชื่อเสียงโด่งดังมาก ต่างให้ความเคราพนับถือในบารมีธรรมอันสูงส่งจากการเข้านิโรสมาบัติ ไม่ต่ำกว่า15ครั้ง พระสงฆ์ที่ได้ผ่านการเข้านิโรธสมาบัติ นั้นได้รับยกย่องว่าเป็นพระอริยเจ้าอย่างแท้จริง ขนาดพระชั้นผู้ใหญ่ที่มาเยี่ยมไข้ยังต้องคารวะและนั่งคุยอย่างสำรวม

ขณะที่คุณพ่อคิดตำหนิพระป่าอยู่ในใจ หลวงปู่ครูบาชุ่มก็ได้ล่วงรู้ความคิดในใจคุณพ่อด้วยอภิญญาจิต เจโตปริญาณ ว่าคุณพ่อกำลังล่วงเกินและลบหลู่ด้วยมโนกรรม หรืออกุศลกรรมที่เกิดจากความคิดติเตียนต่อพระป่ารูปนั้น ซึ่งเป็นพระอริยสงฆ์รุ่นเดียวกับท่านอยู่ หลวงปู่ครูบาชุ่มจึงเรียกคุณพ่อและพูดว่า มานี่โยมหมอ มารู้จักเพื่อนร่วมรุ่นเดียวกับหลวงพ่อ ด้วยคำพูดประโยคเดียวนี้ ทำให้คุณพ่อรู้สึกตัวและช่วยให้พ้นจากการตกนรก จากการตำหนิติเตียนพระป่ารูปนั้นทันที ด้วยสามัญสำนึกและปัญญาที่ได้รับการอบรมทางปฎิบัติธรรมจาก หลวงปู่พรหม ถาวโร วัดช่องแค ว่า พระป่ารูปนี้คงไม่ใช่พระภิกษุธรรมดาเสียแล้ว จึงเข้าไปกราบขอขมาโทษ

หลวงปู่ครูบาชุ่มได้บอกกับคุณพ่อว่าพระภิกษุองค์นี้ ชื่อ ครูบาขันแก้ว อยู่ที่ วัดสันพระเจ้าแดง ตำบลห้วยยาบ อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน หลวงปู่ขันแก้วก็ถามคุณพ่อว่าชื่ออะไรอยู่ที่ไหน ทำอาชีพอะไร คุณพ่อก็ตอบไปและบอกว่ามีอาชีพหมอแผนโบราณ หลังจากนั้นคุณพ่อไม่ได้พบครูบาขันแก้วอีกเลยจนกระทั่งในงานทำบุญพระศพหลวงปู่ครูบาชุ่มเมื่อเดือนกันยายนปีเดียวกัน

ต่อมาในปี2520เดือนกุมภาพันธ์ มีการเตรียมการพุทธาภิเษก เบิกพระเนตรรูปหล่อขนาดเท่าองค์จริงของหลวงปุ่ครูบาชุ่ม 2 องค์ คณะศิษย์รัศมีพรหมตลอด จนญาติมิตรทางกรุงเทพฯ และวัดวังมุ่ย เป็นผู้รวบรวมเงินทุนในการสร้างและเป็นเจ้าพิธี คณะกรรมการวัดได้นิมนต์เกจิอาจารย์ในเชียงใหม่และลำพูน แต่ไม่มีชื่อหลวงปู่ขันแก้ว โดยกรรมการวัดอ้างว่าไม่เคยทราบหรือเห็น หลวงปู่ขันแก้วได้ร่วมพิธีปลุกเสกพระในที่ใดมาก่อน อีกทั้งยังไม่เคยสร้างวัตถุมงคลอะไรเลยและวัดอยู่ห่างไกล จึงไม่ได้นิมนต์มา คุณพ่อจึงได้บอกกับกรรมการวัดที่เป็นหลานๆๆหลวงปู่ว่า ในฐานะที่หลวงปู่ขันแก้วเป็นเพื่อนรักของหลวงปู่ครูบาชุ่มและก็ได้มาเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ในการบำเพ็ญกุศลช่วยงานศพอยู่ทุกคืนน่าจะนิมนต์มาท่านมาร่วมด้วย จะเคยปลุกเสกหรือไม่เคยปลุกเสกไม่สำคัญ คณะกรรมการวัดก็เลยนิมนต์หลวงปู่ครูบาขันแก้วมาร่วมพิธีด้วย
แสดงความมหัศจรรย์นั่งเคี้ยวเมี่ยงในงานพุทธาภิเษก

พิธีปลุกเสกได้เริ่มในตอนกลางคืนวันที่ 18 ก.พ. 2520 เวลา19.50น หลวงปู่ขันแก้วได้นั่งอยู่ในตำแหน่งที่หันหน้าเข้าหาพระประธาน หลวงปู่อีก3 องค์คือ หลวงปู่อินทรจักร วัดน้ำบ่อหลวง ท่านเจ้าคุณญาณ วัดมหาวัน หลวงปู่ท่านเจ้าคุณพระธรรมโมลี วัดพระธาตุหริภุญไชย นั่งหลับตาแผ่อำนาจจิตปลุกเสก แต่หลวงปู่ขันแก้วกับนั่งลืมตาเคี้ยวเมี่ยงอยู่เบิกตากว้างมองดูเฉยๆๆ ชาวบ้านวัดวังมุ่ยเริ่มมีปฎิกริยาพึมพำพูดกันว่าใครหนอนิมนต์ตุ๊เจ้าที่ปลุกเสกไม่เป็นมาร่วมพีธี ทำเอาเจ้าคณะตำบลประตูป่าเข้ามาพูดกับคุณพ่อสมสุขว่า โยมหมอใครไปนิมนต์ตุ๊ลุงองค์นี้มา พวกที่ชมและชาวบ้านในพีธีบ่นว่าไปเอาพระที่ไหนมา ดูซินั่งลืมตาเคี้ยวเมี่ยงไม่เห็นปลุกเสกอะไรเลย คุณพ่อบอกว่าผมนิมนต์มาเองขอให้รอดูประเดี๋ยว

คุณพ่อยังนึกอยู่ว่านั่งเบิกตาอย่างนี้เคยเห็นที่ไหน หลวงปู่ขันแก้วนั่งลืมตาอยู่เกือบ15 นาที่ ประกายตากร้าวแข็ง ส่วนองค์อื่นท่านนั่งหลับตาตามความถนัดของท่าน ส่งกระแสจิตออกมาปลุกเสก หลวงปู่ขันแก้วปลุกเสกด้วย เมตตาเจโตวิมุติ หลวงปู่เริ่มเปลี่ยนอิริยาบถ โดยนั่งห้อยเท้า ตาของท่านเริ่มเป็นประกายกล้า ขณะนั้นช่างภาพก็ถ่ายรูปในอิริยาบถนั้น ทันที่ที่แสงไฟแฟลชสว่างจ้านัยน์ตาของหลวงปู่ขันแก้วก็มิได้กระพริบ ช่างภาพอีกหลายคนก็เข้าไปถ่ายแสงไฟสว่างจ้าแต่นัยต์ตาของหลวงปู่ก็อยู่อย่างปกติคือลืมตาอย่างนั้นไม่กระพริบเลย หลังจากนั้นช่างภาพหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นก็เข้าไปถ่ายซึ่งไฟแฟล็ชแรงกว่ามากก็เข้าไปถ่ายผลปรากฎ ตาของหลวงปู่ขันแก้วก็ไม่กระพริบเป็นเวลานาน คนธรรมาดาไม่สามารถทำได้อย่างแน่ เปิดภูมิปัญญาโลกุตระด้วยมหากริยาจิตคุณพ่อเข้าใจทันที ที่นึกว่าเคยเห็นที่ไหนก็นึกออกว่าเคยเห็นหลวงปู่พรหม ถาวโร แห่งวัดช่องแค ท่านปลุกเสกพระแสงแฟล็ช ถ่ายรูปไม่ทำให้  นัยน์ตา ท่านกระพริบและท่านก็นั่งลืมตาปลุกเสกความจริงแล้วหลวงปู่ขันแก้วไม่ได้มีเจตนาจะแสดงอภินิหารหรืออวดเป็นเพียงการนั่งปลุกเสกของผู้สำเร็จอานาปานสติกรรมฐาน คือสมาธิแบบลืมตาและนั่งหายใจออก หายใจเข้าจนได้ดวงตาเห็นธรรมและใจหมดอาสวะกิเลสเป็นแบบสมาธิที่ถูกต้องของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีหลักฐานแสดงในอานาปาสติสูตรจากหนังสืองานพระศพของหลวงปู่ขันแก้วที่คุณพ่อสมสุขเขียนเอาไว้ จะลงรูปที่หลวงปู่นั่งลืมตาให้ดูที่หลังครับ



ออฟไลน์ หมาป่าพเนจร

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 76
  • เพศ: ชาย
  • -
    • MSN Messenger - chokchai385@hotmail.com
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก
« ตอบกลับ #18 เมื่อ: 08 ส.ค. 2552, 03:29:07 »
ขออนุโมทนา
ทุกอย่างสิ้นสุดด้วยความตาย วุ่นวายทำไม