ผู้เขียน หัวข้อ: การดูพระอริยเจ้านั้นดูได้ยาก  (อ่าน 2194 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ อิศวรน้อย

  • จตุตถะ
  • ****
  • กระทู้: 92
  • เพศ: ชาย
  • สิงห์จ้าวทุ่ง
    • ดูรายละเอียด
 

 


พระอาจารย์ทูล ขิปฺปปญฺโญ
วัดป่าบ้านค้อ จ.อุดรธานี


การดูพระอริยเจ้านั้นดูได้ยาก


การดูพระอริยเจ้านั้น ส่วนมากจะสุ่มเดาตามกิริยาที่แสดงออกมาทางกายและวาจา การดูในลักษณะอย่างนี้ก็ยากที่จะถูกต้องได้ เพราะพระอริยเจ้ากับผู้ยังเป็นปุถุชนมีกิริยามรรยาทการแสดงออกมาทางกายและวาจาเหมือน ๆ กัน ถึงท่านผู้นั้นจะได้บรรลุธรรมถึงขั้นเป็นพระอรหันต์แล้วก็ตาม จะตัดนิสัยเดิมของท่านเองไม่ได้ นิสัยเป็นมาอย่างไรก็เป็นไปอย่างนั้น เช่น พระสารีบุตรในชาติก่อนมา เคยเป็นลิง นิสัยลิงก็ยังติดตัวมา

ฉะนั้น พระสารีบุตรจึงชอบกระโดดโลดเต้นอยู่เป็นนิสัย เห็นกิ่งไม้ใดพอจะกระโดดจับโหนตัวเล่นก็ต้องทำ หรือเห็นน้ำบ่อพอจะกระโดดข้ามได้ก็ต้องกระโดดไปมา จนพระองค์อื่นเห็นก็เกิดความแปลกใจ ทำไมพระสารีบุตรจึงแสดงในกิริยามรรยาทที่ไม่เหมาะสมอย่างนี้ ไม่สมศักดิ์ศรีที่ได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าว่า เป็นพระอรหันตสาวกข้างขวาของพระพุทธเจ้าเลย จึงมีพระองค์อื่นโจษขานกันขึ้น และเล่าเรื่องของพระสารีบุตรถวายแด่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นิสัยเดิมของพระสาวกนั้นละไม่ได้ นิสัยเคยเป็นมาในอดีตมีอย่างไร การแสดงออกมาทางกายและวาจา ก็ชอบแสดงออกมาอย่างนั้น ฉะนั้น จึงได้เปรียบนิสัยของพระอริยเจ้าและปุถุชนไว้ดังนี้

๑. น้ำลึกเงาลึก
๒. น้ำลึกเงาตื้น
๓. น้ำตื้นเงาลึก
๔. น้ำตื้นเงาตื้น

ทั้ง ๔ ข้อนี้ เป็นวิธีตัดสินได้ยากมาก เพราะไม่มีญาณหยั่งรู้พิเศษเฉพาะตัว นอกจากจะสุ่มเดาไปเท่านั้น

ข้อ ๑ คำว่า น้ำลึกเงาลึก นั้น หมายความว่า ท่านผู้นั้นมีคุณธรรมอยู่ในใจแล้ว และก็ยังมีนิสัยกิริยามรรยาทการแสดงออกมาทางกายและวาจามีความสุขุมลุ่มลึก เป็นนิสัยเดิมของท่านเป็นมาอย่างนั้น ถ้าลักษณะอย่างนี้ก็พอจะเดาถูกบ้าง

ข้อ ๒ คำว่า น้ำลึกเงาตื้น หมายความว่า ท่านผู้นั้นมีคุณธรรมอยู่ภายในใจแล้ว แต่กิริยามรรยาทการแสดงออกมาทางกายและวาจาไม่มีความสำรวมเลย อยากแสดงตัวอย่างไร อยากพูดอย่างไร ก็เป็นในความไม่สำรวมทั้งสิ้น แต่ก็ไม่ผิดในพระธรรมวินัย ไม่มีอกิริยาภายในใจ แต่เป็นเพียงกิริยาที่แสดงออกมาเท่านั้น ถ้าหากไปพบเห็นผู้ที่ท่านเป็นนิสัยอย่างนี้ ก็จะเดาภายในใจไปเลยว่า ท่านผู้นี้ยังเป็นปุถุชนทันที เพราะมีนิสัยไม่น่าเคารพเชื่อถือได้เลย

ข้อ ๓ น้ำตื้นเงาลึก หมายความว่า ท่านผู้นั้นยังไม่มีคุณธรรมภายในใจ แต่กิริยามรรยาทการแสดงออกมาทางกายและวาจานั้นมีความสุขุมลุ่มลึกมาก การสำรวมทางกาย การสำรวมทางวาจาน่าเลื่อมใส ใครได้พบเห็นแล้วจะเกิดความเชื่อถือเป็นอย่างมาก เพราะความบกพร่องในความชั่วร้ายในตัวท่านไม่มี ถ้าได้พบเห็นผู้ที่ท่านมีนิสัยอย่างนี้ ก็จะเดาไปว่าเป็นพระอริยเจ้าทันที

ข้อ ๔ น้ำตื้นเงาตื้น หมายความว่า ท่านผู้นั้นยังไม่มีคุณธรรมภายในใจเลย กิริยามรรยาทการแสดงออกทางกายทางวาจาไม่มีความสำรวมแต่อย่างใด ทำไปพูดไปตามใจชอบ ถ้าหากพบเห็นท่านผู้ใดมีกิริยาการแสดงออกมาอย่างนี้ ก็จะพอเดาถูกอยู่บ้าง


ถ้าจะดูนิสัยน้ำลึกเงาตื้น หรือดูนิสัยน้ำตื้นเงาลึก คิดว่าท่านจะต้องเดาผิดอย่างแน่นอน ฉะนั้น การสุ่มเดาว่าใครเป็นพระอริยเจ้า และใครเป็นปุถุชนนั้น จึงยากที่จะสุ่มเดาให้ถูกทั้งหมดได้ ถึงพระอริยเจ้าด้วยกันก็ยังไม่รู้กันทั้งหมดได้ เช่น พระอริยเจ้าขั้นพระโสดาบันก็ยังไม่สามารถดูภูมิธรรมของพระอริยเจ้าขั้นพระสกิทาคามี พระอริยเจ้าขั้นพระสกิทาคามีก็ไม่สามารถดูภูมิธรรมของพระอริยเจ้าขั้นพระอนาคามีได้ พระอริยเจ้าขั้นพระอนาคามีก็ไม่สามารถดูภูมิธรรมของพระอริยเจ้าขั้นพระอรหันต์ได้ แม้พระอรหันต์องค์ที่ท่านไม่มีญาณพิเศษส่วนตัว ก็ไม่สามารถรู้ภูมิธรรมขององค์อื่นได้ แต่เมื่อได้สนทนาธรรมกันแล้ว ท่านจะรู้ทันทีว่า ท่านผู้นั้นมีภูมิธรรมขั้นนั้นขั้นนี้ทันที

ในบางกรณีพระอรหันต์ก็ย่อมรู้กันได้ หรือรู้ภูมิธรรมของพระอริยเจ้าขั้นอื่นได้ด้วย นั่นคือ เป็นผู้มีนิสัยเกี่ยวข้องกันมาในอดีต เคยสร้างบารมีร่วมกันมา และเคยร่วมสุขร่วมทุกข์กันมาหลายภพหลายชาติ ถ้าในกรณีอย่างนี้ก็พอรู้กันบ้าง ถึงจะรู้ท่านก็ไม่โฆษณา นอกจากว่าจะพูดเป็นนัย ๆ ให้ลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดฟังบางโอกาสเท่านั้น เช่นว่า เพชรน้ำหนึ่งอยู่ที่โน้นที่นี้ หรือพูดว่า ท่านองค์นั้นมีสติดีแล้วนะ อย่างนี้เป็นต้น

เมื่อศาสนาล่วงเลยมาจนบัดนี้แล้ว ความคิดเห็นของแต่ละท่านก็ย่อมมีความแตกต่างกันไป ดังได้ยินอยู่เสมอว่า ในยุคนี้สมัยนี้ ไม่มีพระอรหันต์เกิดขึ้นได้เลย เพราะหมดยุคหมดสมัยไปแล้ว ส่วนใหญ่จะมีความเข้าใจกันอย่างนี้ แต่ก็ยังมีผู้เชื่อว่าในยุคนี้สมัยนี้ยังมีพระอรหันต์อยู่ แต่ก็มีน้อยองค์ จะนับเป็นเปอร์เซ็นต์ออกมาไม่ได้ ดังคำว่า เมื่อใดยังมีผู้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอยู่ เมื่อนั้นจะไม่ขาดจากพระอรหันต์ ถึงจะมีพระอรหันต์ หรือพระอริยเจ้าขั้นอื่น ๆ น้อยก็ตาม ก็ยังนับว่ายังมีอยู่นั้นเอง ถ้าหากมีคำถามว่า ในยุคนี้สมัยนี้ถ้าหากยังมีพระอรหันต์อยู่จริง ว่าใครเป็นพระอรหันต์ ก็บอกแล้วว่าดูยากมาก ถ้าหากจะดูจริง ๆ ก็ดูอัฐิของหลวงพ่อต่าง ๆ ที่ถูกเผาไปก็แล้วกัน ถ้าอัฐินั้นได้แปรสภาพเป็นเม็ดใสเหมือนกับเมล็ดงา หรือมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง หลักจากเผาไปแล้วไม่นานนัก นั้นแหละคือพระอรหันต์โดยแท้ ส่วนพระอนาคามี พระสกิทาคามี พระโสดาบัน อัฐิยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด เพราะมีกิเลสภายในใจละยังไม่หมด บางท่านยังเข้าใจว่า อัฐิได้แปรสภาพเป็นพระธาตุตั้งแต่ภูมิธรรมพระโสดาบันขึ้นไป

ความเข้าใจอย่างนี้ไม่มีประวัติในครั้งพุทธกาลเลย ถ้าเช่นนั้น พระโสดาบันผู้ที่จะไปเกิดอีก ๗ ชาติข้างหน้าโน้น แต่ละชาติภูมิธรรมก็ไม่ได้เสื่อมไปจากใจ เมื่อตายไปแต่ละชาติ อัฐิก็จะกลายเป็นพระธาตุทุกชาติไปอย่างนั้นหรือ บางท่านก็เข้าใจว่า การอธิษฐานให้อัฐิกลายเป็นพระธาตุก็เป็นได้ นี้ความเข้าใจของคนเรา จึงมีความแตกต่างกันไป ดังได้ยินว่า อัฐิของหลวงปู่องค์นั้นได้แปรสภาพเป็นพระธาตุขึ้นมาแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งก็สวนขึ้นมาทันทีว่า เรื่องไร้สาระหาวิธีหลอกประชาชนให้งมงาย คนประเภทนี้ก็มีอยู่ในโลก ไม่ยอมรับความจริงจากใคร ๆ ไม่ว่าในยุคนี้หรือครั้งพุทธกาล แม้พระพุทธเจ้าของเรา ก็ยังมีคนอีกประเภทหนึ่งยังไม่เชื่ออยู่นั่นเอง ฉะนั้น ในโลกนี้จึงเกิดลัทธิขึ้นมาเป็นกลุ่มเป็นคณะ แต่ละกลุ่มแต่ละหมู่ก็พยายามปกป้องในกลุ่มตัวเองและปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง โจมตีกันไปว่าฝ่ายโน้นไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ไป ในที่สุดก็เกิดสงครามน้ำลายกัน หรือมากกว่านี้ก็ใช้เครื่องทุ่นแรง มีปืน มีระเบิดเข้าถล่มกัน ล้มตายกันไปทั้งสองฝ่าย ลักษณะอย่างนี้นับวันจะเกิดความรุนแรงขึ้นไปเรื่อย ๆ นี่คือความแปรปรวนที่เป็นธรรมชาติของสัตว์โลกทั้งหลาย เมื่อถึงกาลเวลาแล้วจะต้องเป็นไปในตัวของมนุษย์เอง อาวุธทุกประเภทที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ก็เพื่อสังหารในหมู่มนุษย์กันเองมิใช่หรือ

ฉะนั้น นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอให้ปัญญาชนผู้มีเหตุผลเป็นส่วนตัว ก็พอจะเข้าใจแล้วว่า การเปลี่ยนไปในสังคมโลก จะเบี่ยงเบนไปในทางทิศใด ถ้าหากเราจะพิจารณาย้อนหลังลงไปสัก ๕๐ - ๑๐๐ ปีที่ผ่านมาแล้ว มาเปรียบเทียบดูในสังคมยุคปัจจุบันว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร แล้วให้คาดการณ์ล่วงหน้าไปอีกสัก ๑๐๐ - ๒๐๐ ปีข้างหน้า ก็จะรู้ว่าสังคมในหมู่มนุษย์ทั่วโลกย่อมมีการเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน

ฉะนั้น ขอนักปฏิบัติทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิต บุญกุศลใดที่เราจะพึงทำในขณะนี้ก็รีบทำเอาเสีย เพราะไม่รู้ว่าชีวิตเราจะหมดไปเมื่อไร เมื่อถึงวันนั้นแล้วจะปรับตัวไม่ทัน ดังเราเห็นกันอยู่ในขณะนี้เอง และบุญกุศลที่ได้พิมพ์หนังสือประวัติหลวงพ่อทูลในครั้งนี้ ขอจงเป็นพลวปัจจัยให้ได้รู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมในชาติปัจจุบันนี้เทอญ.
                                                                                      __________________

ขอขอบคุณที่มา...
http://board.agalico.com/showthread.php?t=33944

ออฟไลน์ ~@เสน่ห์เอ็ม@~

  • ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย พระคุณบิดามารดาผู้มีพระคุณ แล ครูบาอาจารย์ผู้เกื้อหนุน สาธุ..
  • เด็กวัด
  • *****
  • กระทู้: 5894
  • เพศ: ชาย
  • ศิษวัดบางพระ
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: การดูพระอริยเจ้านั้นดูได้ยาก
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 18 ธ.ค. 2552, 03:59:37 »
กราบมนัสการ พระอาจารย์ทูล ขิปฺปปญฺโญ ด้วยครับ  :054:

ขอบคุณท่าน  อิศวรน้อย  นะครับ สำหรับบมความดีๆ

ออฟไลน์ ~เสน่ห์ack01~

  • ผู้คุมกฎ
  • *****
  • กระทู้: 5330
  • เพศ: ชาย
  • " ไม่เมาเหล้าแล้วเรายังเมารัก"
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: การดูพระอริยเจ้านั้นดูได้ยาก
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 18 ธ.ค. 2552, 08:13:09 »
กราบนมัสการพระอาจารย์ทูล ครับ....

...ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับ...



...น้ำตื้นเงาลึก ยากแท้หยั่งถึง...

ทำบุญ วันคล้ายวันเกิด หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ
วันอาทิตย์ ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๕