เพชรในพระไตรปิฏก
ทีนี้ ก็ชวนให้นึกถึงสิ่งที่เรียกว่า "เพชร" เพชรในพระไตรปิฏกนั้นมีอยู่ คือสิ่งที่จะดับทุกข์ได้ ในฐานะเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา มีอยู่อย่างสมควรที่จะเรียกว่าเพชร แล้วแถมยังมีเครื่องมือสำหรับขุดเพชรในพระไตรปิฏก นั่นเอง, มีหีบ มีลัง มีกล่อง มีผอบที่จะใส่เพชร ล้วนมีอยู่ในพระไตรปิฏก แม้กระทั่ง กระสอบ หรือ กระดาษ หรือเชือกถัก ที่จะห่อหุ้มหีบหรือกล่องเหล่านั้น. ขอให้รู้จักพระไตรปิฏกในลักษณะอย่างนี้ว่า มีเพชรอยู่ในพระไตรปิฏก, มีเครื่องมือขุดอย่างครบถ้วน, มีภาชนะสำหรับจะใส่และหุ้มห่อ อยู่อย่างครบถ้วน. เห็นไหม ว่าในพระไตรปิฏกนี้ ส่วนไหนเป็นอะไร อย่างไร เท่าไร เพียงไร; จะได้ถือเอาอย่างถูกต้อง ตรงตามที่ควรจะถือเอา. มิฉะนั้นกลัวว่า จะไปถือเอาผืนกระสอบห่อชั้นนอกไม่เข้าถึงแม้แต่หีบที่ใส่เพชรไว้ แถมยังไม่มีเครื่องมือขุดหาเพชร แล้วจะหาเพชรได้ที่ไหน, ฉะนั้น จึงขอร้องว่าให้สนใจเรื่องนี้ให้มาก อย่าพึ่งเข้าใจไปว่า เป็นเรื่องหยาบคาย รุนแรง จ้วงจาบพระไตรปิฏก แม้แต่ประการใดเลย.
หัวใจของพุทธศาสนา
ทีนี้ เราจะพูดกันถึงข้อที่ว่า พระไตรปิฏกนั้นมีค่าอย่างไร ส่วนไหนมีค่าเท่าไร?
คนงมงายบางคนมักจะพูดว่า เหมือนกันทั้งหมดเลย รวมทั้งหีบทั้งลังทั้งกล่อง กระทั่งกระสอบห่อชั้นนอก เป็นหัวใจพุทธศาสนาไปหมด อย่างนี้มันไม่ถูก: มันต้องเอาเฉพาะที่เป็นเพชร ที่ดับทุกข์ได้ ว่าเป็นหัวใจของพุทธศาสนา. แต่สิ่งที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนานั้น อาจจะหยิบออกมาได้หลายชนิด หลายอย่าง หรือหลายรูปแบบ: เรื่องอริยสัจก็ดี คาถาพระอัสสชิก็ดี ปฏิจจสมุปบาทก็ดี ตถตาหรือสุญญตาก็ดี ล้วนแต่เรียกได้ว่า หัวใจของพุทธศาสนา ทั้งนั้น, แต่ว่า มันเป็นหัวใจในแง่ของปริยัติบ้าง หัวใจในแง่ของการปฏิบัติบ้าง หัวใจในแง่ของปฏิเวธบ้าง. ทีนี้อะไรเล่า ที่จะเป็นหัวใจทีเดียวได้หมดทั้งของปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ? นั่นคือพระพุทธภาษิตที่ได้ตรัสไว้ว่า สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย แปลว่า "สิ่งทั้งหลายทั้งปวง อันใครๆ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น (ว่าเป็นตนหรือของตน)". สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย นั่นแหละ เป็นตัวเพชรเม็ดเดียวในพระไตรปิฏก หรือในพุทธศาสนา, แต่ขยายออกไปเป็นรูปจำลองรูปอื่นๆ หลายอย่าง.
มีคำตรัสไว้ที่ถือเป็นหลักได้ว่า ผู้ใดได้ยินได้ฟังคำว่า "สิ่งทั้งหลายทั้งปวง อันใครๆ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น" ผู้นั้นชื่อว่า ได้ยินได้ฟังทั้งหมด ในพุทธศาสนา, ผู้ใดได้ปฏิบัติเพื่อความไม่ยึดมั่นถือมั่น ผู้นั้นชื่อว่า ได้ปฏิบัติทั้งหมดในพุทธศาสนา, ผู้ใดได้รับผลของการปฏิบัติ ในความไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว ผู้นั้น ชื่อว่า ได้รับผลทั้งหมดที่พึงได้รับจากพุทธศาสนา, ดังนั้น ธรรมะข้อนี้ จึงเป็นหัวใจของพุทธศาสนา ทั้งในแง่ของปริยัติ ทั้งในแง่ของปฏิบัติ และทั้งในแง่ของปฏิเวธ.
ขอให้ท่านทั้งหลายได้รับเอาเพชรในพุทธศาสนา ที่เป็นชั้นหัวใจคือพระธรรมที่เป็นคำสรุปหลักในพุทธศาสนาทั้งหมด การที่พูดว่า มี ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้น เป็นการสมมติกันเองทีหลัง. ถ้าจะว่ากันให้ถึงที่สุดแล้ว เพชรนั้นมีเม็ดเดียวเท่านั้นแหละ แต่มันกระจายเรื่องราวออกไปได้มาก เป็นเรื่องลักษณะ อาการ คุณค่าและอะไรๆ ของเพชรเม็ดนั้น จนกระทั่งถึงวิธีขุดเพชรอย่างไร กี่สิบกี่ร้อยวิธีก็นำมากล่าวไว้หมด.
ความเป็นมาของพระไตรปิฏก
ทีนี้ จะพูดกันถึงพระอาจารย์ชั้นหลัง : พระอาจารย์ชั้นหลังต่อๆ มา จะเป็นชั้นไหนค่อยว่ากันทีหลัง, ท่านได้ยัดเอาหีบสำหรับใส่เพชร เข้าไปในพระไตรปิฏกด้วย, ชั้นหลังต่อมาอีก ได้เอากระดาษห่อหีบชั้นนอก ยัดเข้าไปด้วย ได้แก่ข้อความที่เป็นโฆษณาชวนเชื่อ ที่เป็นเรื่องปาฏิหาริย์ เรื่องเทวดา สวรรค์วิมาน ภูตผีปีศาจ เป็นอันมาก. มีผู้กล่าวให้เชื่อกันว่า พระไตรปิฎกมีมาตั้งแต่สมัยครั้งแรกที่ยังไม่ได้เป็นปิฎก: ในการทำสังคายนาครั้งแรกที่สุดนั้นน ยังไม่มีพระไตรปิฎก เพราะยังไม่ได้จารึกเป็นอักษรลงในสิ่งใด ยังเรียกปิฎกไม่ได้, จึงยังไม่มี. ยิ่งกว่านั้น เกิดมีคำกล่าวในอรรถกถาธรรมบท ที่กล่าวไว้ให้คนชั้นหลังเข้าใจว่ามี ในลักษณะที่เรียกว่า มุสาด้วยความหวังดี ก็ได้, แต่จะไม่เรียกอย่างนั้น เพราะท่านทำไปด้วยเจตนาดี อย่างบริสุทธิ์ใจ ข้อความนั้นกล่าวว่า มีคนบวชใหม่ทูลถามพระพุทธเจ้า ว่าบวชแล้วจะให้ทำอะไร? พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธุระมีอยู่ ๒ อย่าง คือ คันถธุระและวิปัสสนาธุระ. ถามว่าคันถธุระเป็นอย่างไร? เขาเขียนให้พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า คันถธุระคือการเรียนปิฎกทั้งสาม หรือปิฎกใดปิฎกหนึ่ง; ซึ่งเป็นทำนองว่า มีพระไตรปิฎกมาแล้ว ตั้งแต่สมัยที่พระพุทธองค์ยังทรงพระชนมายุอยู่ ถ้ายอมให้พูดตรงๆ ก็จะพูดว่า : เป็นการหลับตามุสาโดยบริสุทธิ์ใจ อย่างเป็นเรื่องเป็นราว.
ก็พระไตรปิฎกนั้นจะมีไม่ได้ในครั้งที่พระพุทธองค์ยังทรงมีชีวิตอยู่ และยังไม่จำเป็นที่จะต้องทำเป็นปิฎกดอก มีแต่เรื่องธรรมวินัยที่สอนไว้อย่างไร ก็จำสืบต่อกันมาด้วยปาก พอปรินิพพานลงไป สิ่งแรกที่กระทำคือ สิ่งที่เรียกกันว่า สังคายนาเป็นการประชุมกันด้วยเรื่องที่ตรัสไว้ทั้งหมด สอบถามจากผู้ที่ยืนยันว่าได้ฟังมาเช่นนั้นๆ ครั้นสอบถามได้ความแน่นอนหรือถูกต้องแล้ว เป็นที่ยอมรับในที่ประชุมแล้ว ก็สวดข้อความนั้นพร้อมๆ กันเป็นการสังคายนา เสร็จแล้วจัดเรื่องที่ถือว่าถูกต้องแล้ว เข้าเป็นพวกๆ เรื่องยาวๆ พวกหนึ่ง เรื่องขนาดกลางพวกหนึ่ง เรื่องขนาดสั้นพวกหนึ่ง และพวกที่จัดไว้เป็นหมวดตามจำนวนเลขมากน้อย นั้นอีกพวกหนึ่ง เป็น ๔ จำพวก แล้วก็ยังมีอีกพวกหนึ่งในลักษณะเป็นพวกสำรอง คือจัดไว้สำหรับเรื่องเบ็ดเตล็ด เพื่อการเติมเข้าหรือชักออกได้ตามพอใจนี้เรียกว่า พวกเบ็ดเตล็ด. พวกเบ็ดเตล็ดหรือพวกที่ ๕ นี้ ปรากฏว่าไม่ค่อยตรงกันในบรรดาประเทศที่มีพระไตรปิฎก มีมากน้อยกว่ากัน จนในครั้งหลังสุดนี้ มีการหยิบยืมมาเพิ่มเติมแก่กัน ในระหว่างประเทศที่มีพระไตรปิฎก, จีงมีครบเหมือนกันหมด.
ครั้งแรกทีเดียว มีพระธรรมคำสั่งสอน แบ่งเป็น ๔ พวก คือ ๔ นิกาย หรือ ๔ อาคม ข้อนี้มีเค้าเงื่อนที่เห็นได้ ทั้งฝ่ายเถรวาทและฝ่ายมหายานที่กล่าวถึงเถรวาท, ต่อมาจึงได้มีนิกายหรืออาคมที่ ๕ เข้ามาดังที่กล่าวแล้ว. มหายานก็ยังคงยึดถือว่า เถรวาทมีหลัก ๔ อาคมอยู่.
สำหรับพระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาทเรานั้น การทำสังคายนาครั้งหลังๆ เป็นโอกาสให้เพิ่มเติมเรื่องต่างๆ เข้าไปได้ จนเป็น ๓ ปิฎกใหญ่ หรือ ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์ ตามที่ยอมรับกันในยุคหลังๆ สำหรับในครั้งพุทธกาลนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะมีเป็นปิฎก ๓ ปิฎก. ที่เป็นไปได้ ก็จะเป็นเพียงพวกเดียว อย่างที่ทรงใช้คำตรัสอยู่บ่อยๆ ว่า "สุตตันตะทั้งหลาย" ตัวอย่างเช่น คำว่า สุญฺญตปฺปฏิสํยุตฺตา สุตฺตนฺตา เป็นต้น, หมายถึงหมวดหมู่แห่งสูตรต่างๆ ที่มุ่งแสดงเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพวกๆ ไป. พวกฝรั่งนักศึกษาที่คงแก่เรียน ทั้งในทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี ภาษาศาสตร์ ทางธรรมะ ได้ใช้คำที่คิดขึ้นมาคำหนึ่ง ว่า OLD SUTTA ซึ่งหมายถึงข้อความ ที่เป็นสูตรเก่า หรือ สูตรครั้งแรกๆ คือเป็นตัวบันทึกในครั้งแรก ของพุทธศาสนา. คำคำนี้ เขาไม่ใช้เรียกกับวินัยหรืออภิธรรมนั้น เขาถือว่าเป็นของใหม่มาก. ในลักษณะเช่นนี้หมายความว่า วินัยก็ดี อภิธรรมก็ดี มีอยู่ในพวกเบ็ดเตล็ด รวมอยู่ในขุททกนิกาย ดังที่กล่าวปรากฏอยู่ในคัมภีร์สมันตปาสาทิกา. คำว่า "อภิธรรมปิฎก" ไม่มีในปกรณ์ชั้นบาลีที่เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้า เพิ่งมีมาในชั้นหลังรุ่นอรรถกถา เพราะร้อยกรองขึ้นเมื่อหลายร้อยปีล่วงมา จากพุทธปรินิพพาน, แต่เชื่อมเนื้อความให้กลายเป็นว่า พระพุทธเจ้าได้เสด็จขึ้นไปตรัสในเทวโลก เมื่อยังทรงพระชนมายุอยู่ จนทำให้คนชั้นหลังเข้าใจไปว่า มีมาแล้วตั้งแต่ครั้งพุทธกาล. ถ้าเอาหลักกาลามสูตร ที่กล่าวแล้วข้างต้นมาจับดู ก็จะหงายหลังกระจัดกระจายกระเด็นไปหมด เหลืออยู่แต่ คำว่า "ธรรมวินัย" ดังที่ตรัสไว้ในมหาปเทสสี่ แห่งมหาปรินิพพานสูตร เพื่อใช้เป็นหลักตัดสินในเมื่อเกิดปัญหาขึ้นมา ว่ากรณีนั้นมีความถูกต้องอย่างไร คือ บาลีที่ว่า "สุตฺเต โอสาเรตพฺพํ" และ "วินเยสนฺทสฺเสตพฺพํ". สรุปความว่า ในครั้งแรก มีแต