ผู้เขียน หัวข้อ: คงกระพันชาตรี (๒)  (อ่าน 56908 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
คงกระพันชาตรี (๒)
« เมื่อ: 10 มิ.ย. 2554, 07:50:11 »
สืบเนื่องจากกระทู้เก่า หัวข้อ คงกระพันชาตรี โดยคุณsad(เบสท์)
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=993.msg5063
มีข้อมูลอยู่อ่านแล้วน่าสนใจใคร่ศึกษาขยายความ
และจากข้อมูลของเวปบางพระฯ มีเรื่องที่เกี่ยวข้องมากมายถึง 9 หน้า
จะพยายามลองรวบรวมข้อมูลและเชื่อมโยงข้อมูลทั้งหลายเท่าที่จะทำได้

คงกระพันนั้นสามารถทำได้หลายด้านเช่น เสกปูนคาดคอด้วย อิติมัตติยา มัตติภะเว ของหลวงปู่ศุข หรือ อุนุยัง เสกแล้วป้ายคอถ้าทำด้วยใจเชื่อแล้วก็จิตนิ่งไม่เข้าแนนอน  ต่อมาเป็นการเสกของกินหรือที่เรียกว่า อาพัด เช่นหมาก เหล้า ข้าวเป็นต้นเช่น เสกหมากกินใช้หัวใจ นิพพานจักกรีว่า อิ สะ วิ ระ มะ สา พุ เท วาเป็นต้น เสกเหล้าด้วยคาถา4เกลอว่า กะระมะถะ กิริมิถิ กุรุมุถุ เกเรเมเถนอกจากจะเหนียวแล้วถ้าเสกแค่3ประโยคแรกจะเมาช้า ถ้าเสก4 แถวแล้ววางไว้ให้คนอื่นในวงกินเป็นอันตีกัน ส่วนเสกข้าวใช้หัวใจปฏิสังขาโยว่า จิ ปิ เส คิครับผม แล้วเดี่ยววันอื่นเอาวิธีอื่นมาลงอีกนะครับผม

เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว....ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา...สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา...กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: คงกระพันชาตรี (๒)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 10 มิ.ย. 2554, 07:54:09 »
คงกระพันชาตรี ๖ ประเภท

.....ท่านอาจารย์เทพย์ สาริกบุตร ได้เขียนไว้ในหนังสือ วิชาคงกระพันชาตรีว่า วิชาไสยศาสตร์ที่ทำให้มนุษย์พ้น อันตรายจากอาวุธนั้นแบ่งออกได้เป็น ๖ ประเภท คือ

วิชาคงกระพัน

.....เป็นวิชาที่ทำให้ร่างกายมนุษย์อยู่คงต่ออาวุธทั้งปวง ฟันแทงไม่เข้า ถ้าจะฆ่าให้ตายต้องใช้ไม้แทงทะลุทวารหนัก เท่านั้น แบ่งเป็นวิชาย่อยต่างๆ เช่น

...............๐ การเสกของกิน วิธีนี้เรียกว่าอาพัด เช่น อาพัดเหล้า อาพัดว่าน
...............๐ เสกฝุ่นผงน้ำมันทาตัว หรือปูนแดงป้ายลูกกระเดือก
...............๐ การเรียกของเข้าตัว เช่นน้ำมันงา หรือประกายเหล็กเพื่อให้คงทนเยี่ยงเหล็ก เป็นต้น

.....การเรียกประกายเหล็กเข้าตัวนี้มีกรรมวิธีที่พิศดารมาก คือ ให้นำเหล็ก ที่มีประกายเวลากระเทาะหินมานั่งับไว้ตรงรูทวารหนัก หลังจากนั้นจึงบริกรรม คาถาเรียกประกายเหล็กเข้าตัวทุกวัน เมื่อเวลาผ่านไปให้นำเหล็กกระเทาะหินดู หากหินนั้นมีประกายอยู่ให้บริกรรมต่อไป หากหินนั้นหมดประกายแล้วก็แสดงว่า ประกายเหล็กถูกเรียกเข้าตัวหมดแล้ว

วิชาชาตรี

.....เป็นวิชาที่ใช้ป้องกันอาวุธให้ฟันแทงไม่เข้าได้เช่นเดียวกับ วิชาคงกระพัน วิชานี้ทำให้ตัวเบากระโดดได้สูงและอาวุธที่มากระทบตัวนั้นนอกจากไม่ระคายผิวหนังแล้ว ยังไม่รู้สึกเจ็บอีกด้วย วิชานี้มีจุดอ่อน คือ หากถูกตีด้วยของเบา เช่น ไม้ระกำ ไม้โสนกลับเป็นอันตรายได้


วิชาแคล้วคลาด

.....เป็นวิชาที่ทำให้อันตรายที่จะมาถึงตัวนั้นหลีกเลี่ยงไป และแม้จะถูกทำร้ายซึ่งหน้าก็ดี อาวุธนั้นก็จะมีเหตุให้บังเอิญพลาดเป้าไป มีทั้งการใช้เครื่องราง เช่น ตะกรุด และคาถาอาคม วิชานี้รวมถึง วิชาพรหม 4 หน้า ที่นักมวยคาดเชือกใช้บริกรรมเพื่อให้คู่ต่อสู้ชกไม่ถูกเพราะเห็นเป็นหลายหน้าด้วย

วิชามหาอุด

.....เป็นวิชาที่เกิดขึ้นในชั้นหลัง ใช้กันปืนให้เกิดอาการขัดลำกล้อง ยิงไม่ออก ดังคำว่า อุด มีทั้งที่เป็นคาถาภาวนา และเครื่องรางเช่น ตะกรุดที่อุดหัวอุดท้ายแล้ว ตลอดจนกระทั่งลูกปืนที่ด้านแล้วก็นำมาใช้ลงคาถามหาอุดเช่นเดียวกัน ด้วยถือคติว่าแม่ย่อมไม่ฆ่าลูก ผู้ใช้จะปลอดภัยไปด้วย

วิชาแต่งคน

.....วิชานี้แม่ทัพนายกองในสมัยโบราณใช้คุ้มกันทหารในกองทัพ มักนิยมเสกน้ำมัน ใช้ปูนป้ายลูกกระเดือก หรือเสกหมากให้กินก็ได้

วิชาล่องหนหายตัว

.....วิชานี้กล่าวว่าเมื่อผู้ฝึกถึงขั้นจะสามารถ กำบังตนและพาหนะไม่ให้คู่ต่อสู้มองเห็นได้

*ซึ่งยังมีวิชาปลีกย่อยอีกมากมายในตำราพิชัยสงครามที่อาจจัดเข้าหมวดหมู่ที่จัดไว้หรือแยกไปตากหาก เช่น สมานแผล เป็นต้น


Posted by terapak at 3:37 AM
ที่มา
http://siamyuth.blogspot.com/2007/03/blog-post_1958.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 มิ.ย. 2554, 08:06:03 โดย ทรงกลด »

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: คงกระพันชาตรี (๒)
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 10 มิ.ย. 2554, 08:05:00 »
suriyan said...

    การอยู่คงกระพันชาตรีตามที่กล่าวมานี้ ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากเวทมนต์ทำให้เป็นไป แต่ยังมีสิ่งที่อยู่คงได้โดยไม่ต้องใช้คาถา เราเรียกของจำพวกนี้ว่า"ทนสิทธิ์"ได้แก่พวกคต แร่ เขี้ยว งา และว่านยาทั้งปวง ที่มีคุณสมบัติทำให้อยู่คงได้ ซึ่งการอยู่คงนี้มีหลายประการนัก นอกจากที่กว่าวมาแล้วท่านยังจำแนกการอยู่คงไว้ดังนี้ "บ้างอยู่ด้วยรากไม้ไพรว่าน
บ้างอยู่ด้วยโอมอ่านพระคาถา
บ้างอยู่ด้วยเลขยันต์น้ำมันทา
บ้างอยู่ด้วยสุราอาพัดกิน
บ้างอยู่ด้วยเขี้ยวงาแก้วตาสัตว์
บ้างอยู่ด้วยกำจัดทองแดงหิน
บ้างอยู่ด้วยเนื้อหนังฝังเพรชนิล
ล้วนอยู่สิ้นทุกคนทนศาสตรา"

    การอยู่คงด้วยว่านและยานั้น เฉพาะพวกที่อยู่คงด้วยยานั้น ก็ได้แก่พรรณไม้ที่เป็นเครื่องยาต่างๆ บางทีก็ใช้รากยานั้นมาเสกเช่น รากหางนกกระลิง รากตำเลีย รากกระเช้าผีมด รากพระยายา รากมะตูมหรือเช่นบรเพ็ด ไพร ขมิ้น เหล่านี้เอามาเสกเข้าแล้วจึงกินไป ทำให้เนื้อหนังอยู่คง ส่วนคาถาที่เสกนั้นก็ให้ไช้ตามบทคาถาที่วางไว้ในคำภีร์ต่างๆ ว่าไว้ดังนี้

เสกไพร
"อะระหังคารัง เพชคังคารัง อะระหังจังเหล็ก
เพชคังจังเหล็ก อะระหังตรีเพชชคงคง"


เสกขมิ้น
"กะระมะถะ กิริมิถิ กุรุมุถุ เกเรเมเถ พุทธังคงทรหด ตใจหนัง ธัมมังคงทรหดมังสังเนื้อ สังฆังคงทรหดอัตถิกระดูก อิสวาสุคงคง ตรีเพชชคงคง"


เสกบอระเพ็ด
"นะอิเพชชคงอรหังสุคโตภควา
โมติพุทธะสังเพชชคงอรหังสุคโตภควา
พุทปิอิสวาสุเพชชคงอรหังสุคโตภควา
ธาโสมะอะอุเพชชคงอรหังสุคโตภควา
ยะภะอุอะมะเพชชคงอรหังสุคโตภควา "


อ้างอิงจาก ตำราพระเวทพิสดาร ภาค 2
โดย อาจารย์ เทพย์ สาริกบุตร

ที่มา
http://siamyuth.blogspot.com/2007/03/blog-post_1958.html

ออฟไลน์ Nick_Charansarom

  • ฉัฏฐะ
  • *
  • กระทู้: 204
  • เพศ: ชาย
    • MSN Messenger - charansarom_tect@hotmail.com
    • Yahoo Instant Messenger - charansarom.tect@yahoo.com
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: คงกระพันชาตรี (๒)
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 10 มิ.ย. 2554, 08:25:57 »
ขอบคุณสำหรับความรู้ใหม่ๆ ที่นำมาเผยแพร่นะครับ

ขออนุญาตเข้ามาตอบนะครับ ผิดถูกประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ)
อิติสุคคะโต อะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ
ฐิตคุโณ อาจาริโย จะมหาเถโร มหาลาโภ
สัพพะสุขขัง จะมหาลาภัง สัพพะโภคัง สัพพะธะนัง ภะวันตุเม.

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: คงกระพันชาตรี (๒)
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 10 มิ.ย. 2554, 08:39:50 »
วิชาคงกระพันชาตรี ทานทนต่อศาสตราวุธร้ายทุกชนิด
                           
     เมื่อวานนี้เองเพื่อนของผู้เขียนท่านหนึ่งที่เป็นชาวอิตาเลี่ยนชน  เป็นผู้ชายครับแต่ท่านนับถือศาสนาพุทธแถมพูดภาษาไทยได้ชัดถ้อยชัดคำมากได้โทรศัพท์ตามผู้เขียนให้ออกมานั่งดื่มน้ำชาเพื่อขอปรึกษาเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง  ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องอะไร???  เลยจำต้องเออออห่อหมกออกจากบ้านมาตอนสายๆพอเจอกันที่ร้านน้ำชาเล็กๆร้านหนึ่งในตัวเมืองสงขลาก็พูดคุยกันสักครู่พอที่จะจับใจความได้ว่า คุณเพื่อนของผมท่านนี้ต้องการที่จะทราบถึงเรื่อง ?คาถาวิชาคงกระพันชาตรี ทานทนต่อศาสตราวุธร้ายทุกชนิด? เพราะเขา(เพื่อนชาวอิตาเลี่ยนชนของผม)ไปสืบทราบมาได้อย่างไรก็ไม่รู้ว่าผมเคยสะสมตำราในแนวนี้ไว้  คุยกันไปคุยกันมานี่ผมถามกลับไปประโยคหนึ่งว่า ?คุณเชื่อเหรอ เรื่องคาถาจำพวกนี้????  เขาก็มองหน้าผมอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดตอบกลับมาว่า ?ก็เชื่อ เพราะเคยเจอเข้ากับตัวเอง?  ผมเองก็ไม่ได้ถามกลับไปว่าท่านเจอมา

     อย่างไรบ้างและต้องการเอาเรื่องเหล่านี้ไปทำอะไร แต่ก็เพียงบอกเอาไว้ว่าขอเวลาสัก 2-3 วันแล้วจะไปหาข้อมูลมาให้  อีก 3 วันต่อมาผมจึงนำตำราเก่าๆที่ได้เก็บเอาไว้ในตู้เก็บหนังสือมาให้กับคุณเพื่อนท่านดังกล่าว   ครับ.......ตำราที่ผมนำมาให้นี่เป็นตำราอันเกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องวิชาคงกระพันชาตรี ทานทนต่อศาสตราวุธร้ายทุกชนิด(เรื่องนี้สุดแต่ใครจะเชื่อกันนะครับ)  แต่.......ไหนๆก็สู้อุตส่ารื้อค้นหาจนเจอแล้วก็ขอแอบเอามาอ่านเสียหน่อยครับ  ตำรา(เก่าๆ)เล่มที่ผมถืออยู่ในมือนี้เป็นตำราที่เขียนลงบนกระดาษสีเหลืองๆน่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่า 60 ปีล่วงเลยผ่านมาแล้ว ในตำราก็เล่าเอาไว้เกี่ยวกับผู้ทรงวิทยาคมท่านต่างๆในยุคดังกล่าว อาทิ หลวงพ่อทอง แห่งวัดคลองแห  และหลวงพ่อปาน ลิ้นดำ(วาจาสิทธิ์)แห่งวัดโคกสมานคุณ และวัดคลองเรียน เป็นต้น

     พลิกตำรับตำราเล่ม(ดังกล่าว)ดูแล้วแลเห็นอยู่หน้าหนึ่งที่บันทึกเอาไว้เกี่ยวกับเรื่องของ ?คาถาคงกระพันชาตรี?  เลยขออ่านเสียหน่อย(เอาไว้ประดับความรู้  ส่วนเรื่องจะเชื่อหรือไม่นี่ก็อีกเรื่องหนึ่งครับ) ในตำรา(เล่มดังกล่าวอธิบายเอาไว้ว่า เรื่องคาถาพวกนี้มีอยู่จริง  โดยวิชาคาถาที่เป็นที่นิยมกันนี่ก็มีคาถาสายหลวงพ่อปาน ลิ้นดำ(วาจาสิทธิ์)ที่ต้องท่องคำว่า ?อุทธัง อัทโธ โธอุทธังอัด? เอาไว้ในใจ พร้อมทั้งต้องตั้งจิตให้มั่นคงแล้วจะสามารถทานทนต่อศาสตราวุธร้ายชนิดต่างๆได้  ส่วนอีกหน้าหนึ่งของตำราก็บอกเล่าและบันทึกถึงคาถาคงกระพันชาตรีของทางพระป่าสายเหนือเอาไว้ว่าด้วยความเชื่อในคาถาสาย ?พญาคางคก? ว่าคาถาสายพญาคางคกนี้เป็นคาถาที่เชื่อกันว่าถ้าผู้ใดนำมาใช้จะสามารถทานทนต่อศาสตราวุธร้ายทุกแขนงได้เช่นเดียวกันกับของสายหลวงพ่อปาน ลิ้นดำ(วาจาสิทธิ์) ดังมีความเชื่อในเรื่องของคาถาพญาคางคกร่วมกันดังนี้คือ ให้ท่องคำว่า ?อิติคกคก  คกคกอิติ  อิติคกคก  นะมะพะทะ  ดะฮึม  ดะฮัม  ดะฮึม  นะอะฮึม?  ภาวนาคาถาไว้ในลำคอทุกเช้า- ค่ำวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 3 บทในเวลากิน- ทานอาหาร โดยเมื่อเสกคาถาเสร็จ 1 จบครั้งจะต้องปั้นข้าวสวยเข้าปาก 1 ก้อน เชื่อกันว่าถ้าทำแล้วนี่ผู้ที่เสกข้าวเข้าปากจะมีความคงกระพันชาตรีติดตัวตน เป็นต้น 

    อ่านมาจนถึงหน้านี้แล้วก็ปรากฏว่าคุณเพื่อน(ท่านดังกล่าว)ขับรถมาถึงหน้าบ้านพอดี ผมจึงนำตำราไปมอบให้(ให้ยืม)ดูท่าทางว่าท่านจะดีใจมาก  เขียนมาจนถึงตรงนี้ก็ต้องขอบอกกล่าวกันล่ะครับว่า ?ความเชื่อส่วนบุคคล? นี่เราไม่สามารถที่จะไปห้ามได้ครับ คุณจะเชื่ออะไรก็เชื่อไปเหอะถ้าความเชื่อดังกล่าว(ที่คุณเชื่อ)นั้นมันไม่ไปทำให้ใครเดือดร้อนและมันทำให้คุณมีความสุข  คนแถบบ้าน

ผู้เขียนก็เหมือนกันครับก่อนจะถึงวันต้นเดือนและกลางเดือนนี่ดูว่าพวกเขามีความสุขกันเสียเหลือเกินครับ  แต่.......พอหลังจากนั้นแล้วแต่ละคนก็ดูมีความทุกข์และความเซ็งอยู่เต็มถ้วนหน้าเช่นกัน  ส่วนจะเรื่องอะไรนะหรือก็เรื่องของชมรมคนรักตัวเลขล่ะครับ ตัวเลขเหล่านี้มันทำให้คนเรามีทั้งความสุขและความทุกข์(ได้เช่นเดียวกัน) นับจากวันที่ผู้เขียนให้คุณเพื่อน(ท่านดังกล่าว)ยืมตำราไปก็ปรากฏว่าท่านได้นำตำรามาส่งคืนให้ พร้อมกับความเชื่อมั่นในหน้าที่การงานที่ได้กระทำยิ่งๆขึ้นไปอีก  ก็ดีครับเอาความเชื่อดังกล่าวที่ได้รับนำมาแปรเปลี่ยนเป็นกำลัง และใจในการทำงาน ทำให้มีความเชื่อมั่นในตนเองมากยิ่งขึ้น(แบบนี้ผมสนับสนุนครับ) ส่วนเรื่องที่จะเอาคาถา(ดังกล่าวมาข้างต้น)ไปลองเล่นอะไรแผลงๆ หรือทดสอบซึ่ง ?ความขลังความศักดิ์สิทธิ์? นี่ผมไม่ขอสนับสนุนครับ เพราะไม่มีใครหรอกครับจะรับประกันว่า ?มันได้ผล 100 เปอร์เซ็นต์?.........หรือใครจะลองก็แล้วแต่ความเชื่อครับ?????


คุณาพร/30/3/2550/ www.siamsouth.com
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=2202.0

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: คงกระพันชาตรี (๒)
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 10 มิ.ย. 2554, 09:14:49 »

    บันทึกการสำรวจของพวกฝรั่งได้กล่าวถึงมนุษย์กลุ่มหนึ่งอยู่ในมหาสมุทรอินเดียทางใต้ถึงรอบอ่าวไทยเรียกว่าสามารัส หรือสยามัสมีนิสัยชอบสักหมึกดำตามแขนขา ลำตัว รบเก่ง การช่างเก่ง ทำกสิกรรม รักสันตินับถือพุทธ      ทีนี้เผ่าสยามัสนี่นิยมเอาหมึกจากกระดูกผีมาสักลงผิวคนครับ เป็นลวดลายติดถาวรต่าง ๆ ซึ่งฝรั่งยุคหลัง มานิยมเป็น Tatto มีสีสรรมากมายก็ช่างเขาเถอะ แต่สยามัส เอามาทำยำยีใส่คุณไสยให้อักขระลวดลายมีฤทธิ์ต่างๆได้ คือมีผีเฝ้าอักขระ   บ้างเพื่อการเสน่ห์เมตตามหานิยม บ้างเพื่อลาภยศเงินทองเพิ่มพูน  และสุด ๆไปเลยคือหนังเหนียวคงกระพันชาตรี

  คนหนังเหนียวมีร่ำลือกันมาในหมู่ทหารเสือสมัยกอบกู้กรุงแตกครั้งที่สองมีคนเหล่านี้อยู่ประมาณห้าสิบกว่าคนติดตามพระเจ้าตากลงมาตอนยังเป็นยกกระบัตร  ด้วยความเป็นนักล่องซุงด้วย คนเหล่านี้เก่งมากหนังเหนียว ทั้งเดินบนซุงซึ่งลอยน้ำไปหมุนกลิ้งไปได้อย่างยอดเยี่ยม (ไม่เชื่อท่านผู้อ่านไปเดินดูสักครั้งไม่ตกน้ำให้รู้ไป)  กลุ่มนี้ล่ะครับเป็นกลุ่มบุกเบิกคุ้มกันพระเจ้าตากในการฝ่าพม่าออกไปสู่จันทบุรี  และเป็นกองหน้าหัวหมู่ทะลวงฟัน ทำสงครามกองโจรก่อกวนหรือปล้นสดมภ์พม่าอย่างได้ผลมาตลอดทุกครั้ง   


เล่ากันว่าย้อนขึ้นไปในสมัยพระนารายณ์มหาราช   ได้เคยจัดทหารหนังเหนียว 16คน ไปกับคณะทูตโกษา(ปาน)  ได้แสดงหนังเหนียวต่อหน้าพระเจ้าหลุยส์ 14มาแล้ว โดยยืนหน้ากระดานให้ทหารฝรั่งเศส 500 ยิงปืนเข้าใส่ปรากฎว่ายิงไม่เข้า...ประวัติศาสตร์เขาเล่ากันอีกว่าระหว่างขาไปปารีส   คณะเรือของท่านทูต  ถูกกระแสน้ำพัดเข้าวังน้ำวน "เบอร์มิวด้า" (ซึ่งเรือฝรั่งเท่าที่บันทึกมา   ถูกดูดจมเกือบไปทุกลำ) แต่เรือคณะทูตสยามมีพระอาจารย์ที่ไปด้วย แกร่ายเวทย์ทวนวังน้ำวนกลับออกมาได้ครับ  จริงไม่จริง ก็สุดแล้วแต่

............ทหารฝรั่งเศสลองของทหารไทย.....

เรื่องนี้อ่านมาจากพงศาวดารฉบับราชหัถเลขา เห็นน่าสนใจจำนำมาเล่าสู่กันฟัง


  ในสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงมีพระราชสัมพันธ์ไมตรีอย่างใกล้ชิดกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก โดยมีการส่งคณะฑูตไปมาหาสู่กันหลายคณะ
 
ทูตคนแรกของฝรั่งเศสที่มาไทยคือ เชอวาเลียร์ เดอ โชมองต์ และราชฑูตไทยคือ โกษา ปาน


แต่ในสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศต่างมีความใน กล่าวคือ ไทยต้องการคานอำนาจของ ฮอลันดา ที่กำลังเข้ามาแผ่อำนาจล่าอณานิคมเข้ามาใกล้จนเป็นภัยคุกคาม ส่วนทางฝรั่งเศสเองพระเจ้าหลุยส์ที่14 ต้องการที่จะเปลี่ยนศาสนาของสมเด็จพระนารายณ์ ถ้าเปลี่ยนได้ก็จะเป็นการกระเดื่องพระเกียรติยศของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14นั้นเอง
  นี้แหละครับการเมือง.........................



  ในพงศาวดารมีเรื่องเล่าน่าสนุกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับการไปเยือนของกลุ่มราชทูตไทยว่า
  ชาวฝรั่งเศสเคยได้ยินว่าคนไทยอยู่ยงคงกระพัน ฟัน แทง ยิง ไม่เข้า จึงขอ "ลองของ" แล้วกลุ่มราชทูตไทยก็จัดให้
   ในวันลองของ ต่อหน้าคณะผู้ปกครอง หลังจากทำการบวงสรวงตั่งศาลเพียงตาของคนไทย ทางฝรั่งเศสได้ให้กลุ่มผู้ติดตามราชทูตโกษา ปาน นั่งกลางพิธี แล้วทหารฝรั่งเศสยืนเรียงหน้ากระดานหลายสิบนาย แต่ละคนอยู่ในท่าเตรียมยิงปืน เลงไปที่ทหารไทยกล่มนั้น พอได้สัญญาณ จึงยิงออกไปคนละหนึ่งนัด เรื่องน่าแปลกก็คือ ปืนด้านทุกกระบอก จากนั้นทหารฝรังเศสจึงขอลองอีก โดยยิงออกไปอีกคนละหนึ่งนัด ครั้งนี้ยิงออก แต่ลูกปืนที่ยิงออกไปนั้นตกแค่ตีนเสื่อที่กลุ่มคณะทูตไทยนั่งเท่านั้น
  เท่ห์มั้ยล่ะ เรื่องนี้ฝรังเขาบันทึกเอาไว้ คนไทยไม่ได้เขียนเองนะ

คุณเชื่อหรือไม่  มีเรื่องจริงที่คุณไม่ยากจะเชื่ออีกมากมาย
ด้วยความเคารพคนอ่าน

ขอขอบคุณ...วาทิน ศานติ์ สันติ

ขอขอบคุณ...http://atcloud.com/stories/72570

ที่มา
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=14655

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: คงกระพันชาตรี (๒)
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 10 มิ.ย. 2554, 09:29:19 »


   ไพฑูรย์ อินทศิลา จากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์เข้าสัมภาษณ์ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช ไว้ในวันที่ 5 ตุลาคม 2546 ขุนพันธรักษ์ราชเดช นับเป็นแบบอย่างตำรวจไทยที่น่ายกย่อง ข้อมูลต่าง ๆ จากนี้ เสมือนเป็นแผ่นหน้าประวัติศาสตร์แห่งวงการตำรวจไทย และเป็นทั้งข้อคติเตือนใจให้อนุชนรุ่นหลังตระหนักถึง"เสือ" อาชญากรแผ่นดินที่ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง ท่านขุนฯ ได้พูดถึงเสือในยุคสมัยนั้นว่า เสือในขณะนั้นเป็นสิ่งที่ใครต่อใครก็อยากเป็นอยู่แล้ว เพราะนั่นย่อมหมายถึง ความยิ่งใหญ่ ความโหดร้าย และคำว่า"เสือ" กระตุ้นให้เกิดความระห่ำ ความกล้าใจพองโตและฮึกเหิม เสือพวกนี้จะมีอิทธิพล มีสมัครพรรคพวกมาก อีกทั้งในเวลานั้นการปราบปรามเป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะต้องไล่ล่าบุกป่าฝ่าดงแหวกคมหนามเข้าไปในถิ่นของมัน ยิ่งถ้าเสือตัวนั้นเป็นเสือทางภาคใต้ปราบยากกว่าเสือภาคกลาง เพราะเสือภาคใต้มีวิชา มีของดี ของขลัง ติดตัว แต่ทางภาคกลางไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้มากนัก แต่ให้ความสำคัญกับจำนวนของสมัครพรรคพวก "เสือแต่ละรายมีพฤติกรรมโหดเหี้ยมกว่าในปัจจุบัน แต่ถ้าจะว่าไปแล้วเสือในสมัยนั้นจะยึดถือและรักษาคำสัตย์

    ท่านขุนฯได้เปรียบเทียบเสือในแต่ละยุคสมัยไว้น่าคิด เมื่อสังคมเปลี่ยน จิตใจคนก็อาจเปลี่ยนตามได้เหมือนกัน การรักษาสัจจะนี้เองผลักดันให้เกิดการตกลงกันระหว่างฝ่ายเสือ กับฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการเข้าร่วมปราบปรามเสือในก๊กอื่น ๆ เช่น ชุมเสือฝ้าย ได้มีการพูดคุย และส่วนหนึ่งก็ถูกกดดันจากเจ้าหน้าที่ให้ร่วมกันปราบปรามเสือ ซึ่งสร้างความเสียหายให้แก่เสือชุมอื่น ๆ เป็นอย่างมาก ท่านขุนฯ ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของเสือร้าย และเหตุการณ์เป็นช่วง ๆ อย่างในภาคใต้ เช่นเสือสังข์ เสืออะแวสะดอ ตาและ ส่วนเสือในภาคกลาง ก็ 4 เสือสุพรรณ อันประกอบด้วย เสือฝ้าย เสือใบ เสือมเหศวร และเสือดำ นั่นคือชื่อบรรดาเสือที่มีอำนาจ มีอิทธิพลอย่างมาก

    แต่การปราบเสือที่ได้รับการยกย่องมากที่สุด คือการปราบขุนโจรอะแวสะดอ ตาและ เจ้าพ่อแห่งขุนเขาบูโด จ.นราธิวาส ขุนโจรผู้นี้มีความโหดเหี้ยม และมีเป้าหมายที่น่ากลัวมาก โดยต้องการที่จะแบ่งแยกแผ่นดินอิสลามใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทุกครั้งที่ทำการปล้นตามหมู่บ้านจะจงใจเลือกเหยื่อที่เป็นคนไทยนับถือศาสนาพุทธเท่านั้น เมื่อปล้นแล้วจะฆ่าเจ้าของบ้านตายด้วยวิธีที่โหดเหี้ยมพิสดารทุกรายไป อย่างการจิกผมแล้วใช้"กริช" ซึ่งเป็นอาวุธประจำตัวมาทิ่มแทงที่คอจากนั้นจะกดกริชหมุนเอาเนื้อ หรือหลอดลมออกมา สิ่งที่ท่านขุนฯ ยอมรับขุนโจรอะแวสะดอ ตาและ ก็เห็นจะเป็น ความที่มันมีของขลังอยู่จริง ท่านขุนฯ เคยยิงปะทะซึ่ง ๆ หน้ามาแล้ว แต่ก็ทำอะไรมันไม่ได้ การติดตามปราบปรามเกิดปะทะกันอีกครั้ง หลังจากกระหน่ำกระสุนยิงแล้วไม่สามารถเอาชีวิตมันได้ ท่านขุนฯ จึงวิ่งเข้าไปชกต่อยกันพัลวันร่วมครึ่งชั่วโมง จึงจับมันใส่กุญแจมือได้ และจากการตรวจสอบพบว่า กระสุนที่ยิงตามลำตัวไม่ถูกมันเลย ส่วนกระสุนที่ซัดเข้าที่ปาก 9 นัด มันอมกระสุนไว้ในปากโดยที่ไม่มีร่องรอยบาดแผลใด ๆ ฟันก็ไม่หัก ขุนโจรผู้นี้ยังคายหัวกระสุนทั้ง 9 นัด ลงกลางโต๊ะสอบสวน เห็นชัดว่า คาถาอาคมในยุคสมัยก่อนมีบทบาทมากที่ทำให้"เสือ" มีความกล้า และไม่เกรงกลัวเจ้าหน้าที่
    
    วิชาอาคมนั้นมีมากมาย อย่างวิชามหายันต์ วิชาตรีนิสิงเห ไทยศาสตร์ขาว ผ่านพิธีเสกว่านกิน พิธีหุงข้าวเหนียวดำ พิธีเสกน้ำมันงาดิบ พิธีแช่ยาแช่ว่าน คาถาอาคมนั่นก็คือส่วนหนึ่งที่สร้างความฮึกเหิมให้กับ เสือแล้วยังมีเครื่องรางของขลังอีกหลายอย่าง เช่น พระประหนังอยุธยา แหวนพระรอด ตะกรุดโทน เป็นต้น หลังจากการคุมขังโจรผู้นี้แล้ว ไม่เกิน 10 วัน เหมือนมันรู้ว่าจะถูกตัดสินประหารชีวิต จึงตัดสินใจกินยาพิษฆ่าตัวตาย ไม่เพียงแต่ ขุนโจรอะแวสะดอ ตาและ ที่ต้องใช้เวลาเป็นอย่างมากในการไล่ล่า

    ยังมี"เสือสังข์" เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เวลาในการติดตามหลายเดือน อาวุธปืนก็ทำอะไรมันไม่ได้เหมือนกัน พอมีจังหวะในการปะทะ ท่านขุนก็บุกใส่เปลี่ยนจากการยิงเป็นการเข้าแลกด้วยมือเปล่า หมัด เท้า เข่า ศอก รวมทั้งใช้ปากกัด เสือสังข์ตัวใหญ่มาก เสือสังข์กัดขุนพันธ์ไม่ยอมปล่อย ขุนพันธ์จึงใช้ง่ามหัวแม่เท้าขวาหนีบพวงสวรรค์เสือสังข์ และกดให้เสือสังข์ชิดติดกับพื้น มันชักมีดพร้าที่เหน็บอยู่ที่เอวมาเชือดคอ แต่คมมีดเอาขุนพันธ์ไม่อยู่ ในที่สุดเสือสังข์ก็สิ้นฤทธิ์และตายในที่สุด ท่านขุนฯ ยอมรับว่าการปราบเสือสังข์นั้นทำให้ท่านเกือบเอาตัวไม่รอด.

ที่มา อ่านทั้งหมด
http://www.jatukarm-ramatep.com/library/kunepan.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 มิ.ย. 2554, 09:32:03 โดย ทรงกลด »

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: คงกระพันชาตรี (๒)
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: 10 มิ.ย. 2554, 09:44:18 »
ไสยศาสตร์ที่มีบทบาทในประเทศไทยในอดีต

            เมื่อครั้งสมัยสุโขทัย  ไสยศาสตร์เข้ามามีบทบาทมากที่สุด เพราะยุคนั้นพระมหากษัตริย์และขุนนางต้องออกรบพร้อมกับทหาร รวมถึงการปกครองการบ้านการเรือนทั้งหมดต้องใช้ไสยศาสตร์ทั้งสิ้น เพราะไสยศาสตร์แยกเป็นหลายแขนง เช่น วิชาคงกระพันชาตรี, วิชาแคล้วคลาด,
วิชาเมตตามหาเสน่ห์มหานิยม, วิชาเสน่ห์เล่ห์ , กลวิชาแต่งคน , วิชากำบัง  และอื่นๆอีกมากมาย

วิชาคงกระพันชาตรี 
         เขาใช้เมื่อเวลาจะออกรบ ผู้เป็นเจ้านายหรือผู้มีวิชาอาคมก็จะแจกเครื่องรางของขลังต่างๆ ทั้งตะกรุดผ้ายันต์และวัตถุมงคลต่างๆ บ้างก็ลงอักขระสักยันต์ลงตามร่างกายเป็นหมึกบ้างน้ำมันบ้าง  บางรายก็เขียนยันต์ลงตามร่างกาย บางรายก็เป่ายันต์ลงตามร่างกาย แล้วแต่ว่าใครจะเรียนมาแบบไหน
ก็จะใช้วิชาตามที่ตนเรียนมา  แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ก็มีจุดประสงค์เดียวกันคือ เพื่อให้เกิดความเป็นมงคลแก่ตัวของผู้เข้าทำพิธีและเพื่อให้มีพลังงานมาประจุลงสู่ตัวของคนนั้นๆ เมื่อมีพลังงานมาประจุแล้วก็จะส่งผลให้เนื้อหนังมีความคงทนต่อคมอาวุธทุกประเภท จนมีดฟันแทงไม่เข้า แต่ถ้าจะทำให้ตายต้องใช้ของแหลมแทงสวนทวารอย่างเดียว


วิชาคงกระพันชาตรีนั้นยังมีแยกออกไปอีก 9 วิชา

วิชาอาพัด, เหล้า, หมาก, ใบพลู, ยาสูบ, พริกไทย, ว่านและรากไม้ต่างๆ วิชานี้ใช้เสกของกินเพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี


วิชาปูนคาดคอ 
วิชานี้ใช้เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี

วิชาเรียกน้ำมันเข้าตัว 
วิชานี้ใช้เสกเรียกน้ำมันให้เข้าไปอยู่ในตัว  เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี

วิชาอาบน้ำว่าน 
วิชานี้ใช้อาบ  เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี

วิชาอาบน้ำมันเดือด 
วิชานี้ใช้เสกอาบ  เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี  แต่เวลาอาบจะไม่รู้สึกร้อนแต่อย่างใด

วิชาเสกฝุ่นทาตัว
วิชานี้ใช้เสกฝุ่นทาตัว  เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี   ในบางทีเรียกว่า  “ หนุมารคลุกฝุ่น ”

วิชาสักยันต์
วิชานี้จะใช้ของแหลมจุ่มหมึกหรือน้ำมันมาแทงลงบนผิวหนัง  เพื่อให้เกิดเป็นยันต์ต่างๆ เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี

วิชาเขียนยันต์ 
วิชานี้จะใช้ของไม่แหลมจุ่มน้ำมันมาเขียนลงบนผิวหนัง  เพื่อให้เกิดเป็นยันต์ต่างๆ, เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี

วิชาเป่ายันต์วิชานี้จะใช้เป่ายันต์ต่างๆ
เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี

วิชาชาตรี คนส่วนใหญ่มักเรียกรวม  วิชาคงกระพัน กับ วิชาชาตรีเข้าด้วยกัน เป็นวิชาคงกระพันชาตรีแต่ที่จริงแล้ววิชาชาตรีนั้นต่างจากวิชาคงกระพันตรงที่.......... 
วิชาคงกระพันพันแทงไม่เข้าแต่ก็ยังมีความเจ็บปวดเกิดขี้นอยู่ แต่วิชาชาตรีนั้น ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บเลย  เพราะวิชาชาตรีนั้นทำให้ของหนักต่างๆที่จะมากระทบตัวจะเบาไปหมด คนที่สำเร็จวิชานี้สามารถกระโดดได้สูงเกินสามวา  วิชานี้เป็นวิชาแต่งตัวแล้วบริกรรมคาถา  และเอามือทั้งสองลากไปตามตัว   
เรียกว่า  “ ชักยันต์ ” แต่ส่วนมากมักจะเป็นวิชาของอิสลาม


วิชาแคล้วคลาด
วิชาแคล้วคลาดเป็นวิชาที่เหนือกว่าวิชาคงกระพันและวิชาชาตรี  เพราะแม้มีคนมุ่งร้ายหมาย จะทำอันตรายก็มิอาจจะทำอันตรายได้ เป็นแคล้วคลาดทุกครั้งไป คือไม่เจอ  ไม่โดน  และไม่เจ็บ ถึงแม้จะสู้กันซึ่งหน้า ไม่ว่าจะเป็นยิงหรือฟันก็จะหลบเลี่ยงหลุดรอดได้ทุกครั้งไป  โดยฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถทำอันตรายได้ แต่วิชานี้ส่วนมากจะถูกประจุอยู่ในเครื่องรางของขลังและลายสักยันต์ต่างๆรวมถึงการเขียนยันต์และการเป่ายันต์ด้วย  วิชาแคล้วคลาดถือเป็นวิชาที่เกจิอาจารย์ส่วนมากนิยมใช้กันอีกด้วย

วิชามหาอุด
วิชามหาอุดเป็นวิชาที่นำมาใช้เฉพาะ  “กันปืน ” ถ้าผู้ใดสำเร็จวิชามหาอุด “ เมื่อครั้งมีเหตุให้โดยยิงปืนที่จะยิงจะยิงไม่ออก ” หรือในบางครั้งอาจจะทำให้ปืนแตกคามือของผู้ยิงได้เลย  วิชามหาอุดมักถูกเขียนลงตระกรุด  ใช้กันปืนและมักจะเสกรวมกับวิชาคงกระพันและแคล้วคลาด
เพื่อให้ขลังยิ่งขึ้น และเป็นการกันพลาดอีกด้วย คือ หากยิงออกก็ไม่โดน หากโดนก็ไม่เข้า  เป็นต้น

วิชาแต่งคน
วิชาแต่งคนเป็นวิชาที่ใช้คุ้มครองตนเองและคนอื่น ในอดีตผู้เป็นแม่ทัพนายกองมักจะใช้วิชานี้ คุ้มครองตนเองและลูกน้องให้รอดพ้นจากคมมีดคมกระสุน วิชานี้มักใช้เสกน้ำมันงาหรือปูนกินหมาก  ทาใต้คางหรือบางรายใช้ทาตัว ทำให้คงกระพันเป็นอย่างดี
 
“ วิชาต่างๆที่กล่าวมาทั้งหมด ในอดีตจนถึงปัจจุบันพระสงค์และผู้มีวิชาอาคมทั้งหลาย  มักนำมาใช้ในการสร้างพระเครื่องและเครื่องรางของขลังเพื่อใช้คุ้มครอง และให้เป็นสิริมงคลต่อผู้ที่นำไปบูชา ในบางอาจารย์อาจจะนำมาใช้ในการลงอักขระสักยันต์ลงบนร่างกายอีกด้วย ”

ที่มา
http://www.pu108.com/historymwnu/beginarticemenu.html

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: คงกระพันชาตรี (๒)
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: 10 มิ.ย. 2554, 10:18:11 »

เรียนวิชาคงกระพันเผลอสักวันคงต้องตาย

หลวงพ่อสมภพท่านไปได้วิชาคงกระพันชาตรียิงไม่เข้าฟันไม่เข้ามาจากเสือเย็นขุนโจรสมัยเก่า
เมื่อตอนที่ท่านได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้ทางคงกระพันชาตรีใหม่ๆ  ท่านทดสอบทดลองแทบทุกวัน
ท่านรู้สึกภาคภูมิใจมากที่เป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในทางนี้ แต่พอนานไปท่านก็เริ่มลังเลใจ ท่านคิดผิดไปหรือเปล่า  ?
บรรดาศิษย์ที่เข้าหาท่านนอกจากผู้ที่มีหน้าที่ที่จะต้องจับอาวุธแล้วยังเต็มไปด้วย
พวกนักเลงอันธพาล
มือปืนรับจ้าง
นักฆ่ามืออาชีพ
 
บทเรียนที่ทำให้ท่านต้องทบทวนบทบาทของตัวท่านเองใหม่
ชาวบ้านแถบชายแดนนิมนต์ท่านไปฉันเพลในงานของนักเลงใหญ่ประจำหมู่บ้าน
ท่านหลงเชื่อจึงต้องพาตัวไปเป็นเป้าหมายให้พวกนักเลงมือปืนในหมู่บ้าน ทดสอบวิชาคงกระพันชาตรีของท่าน
มือปืนลอบยิงท่านโดยไม่ทันได้ระวังตัวในระยะเผาขนเข้าที่ขมับขวา ในขณะที่ท่านกำลังฉันเพลิน
ท่านหัวคว่ำลงในสำรับอาหารสลบเหมือดทันที คนในหมู่บ้านกรูกันเข้ามารุมล้อมดูหลวงพ่อซึ่งหมดสติอยู่
ทุกคนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง กระสุนที่ยิงใส่ขมับของหลวงพ่อในระยะเผาขนนัดนั้นมิได้เจาะผ่านเข้าไปในเนื้อท่าน
มันเพียงแต่ทำให้เกิดรอยช้ำบวมขนาดเท่าลูกมะนาวเป็นรอยเขียวช้ำจนเกือบดำ
มือปืนผู้ทำการทดสอบความเหนียวของหลวงพ่อรีบเข้าไปช่วยทำการปฐมพยาบาล จนท่านฟื้นลืมตาขึ้น
พอท่านรู้สึกตัวแล้วมือปืนก็เข้าไปกราบแทบเท้าขอขมาหลวงพ่อ
พร้อมกับขอฝากตัวเป็นศิษย์ก้นกุฏิของท่าน
 
หลวงพ่อเล่าว่าในตอนนั้นท่านยังไม่หายจากอาการมึนงงและปวดหัวอย่างรุนแรง
ท่านขอให้ญาติโยมช่วยนำท่านไปส่งที่วัดโดยรถยนต์ของผู้ใหญ่บ้านคนดัง
คืนนั้นท่านนอนไม่หลับคิดทบทวนอยู่ตลอดคืนจนรุ่งเช้า ขืนอยู่ที่นี่ต่อไปคงไม่ได้ตายดีแน่
คนในหมู่บ้านนี้มันไม่มีศีลธรรมกันเลยแม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้ามันยังยิงได้ลงคอ
ยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่ได้เห็นตอนที่ท่านถูกยิงและอยากจะเห็นอยากจะลองกับมือตัวเองบ้าง
ถ้าขืนเป็นแบบนี้อีกท่านคงดังไปได้ไม่นานก็คงจะต้องดับไปสักวันแน่
 
ท่านเพิ่งเข้าใจที่ท่านอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาคงกระพันชาตรีให้ท่านที่ว่า
หมองูตายเพราะงูเป็นอย่างไร
ท่านจะยอมยกตัวให้ตกเป็นเครื่องมือของพวกนักเลงปืนทั้งหลายไปเพื่ออะไรกัน ?
ท่านออกอุบายขอไปเยี่ยมญาติโยมต่างจังหวัดแล้วหายวับไม่กลับวัดอีกเลย
ท่านหายหน้าไปนานหลายปีพบอีกทีท่านกลายเป็นหมอดูและหมอยาไปแล้ว
เหตุผลง่ายๆ สั้นๆ แต่ชัดเจน
กูเรียนวิชาคงกระพันเผลอสักวันคงต้องตาย  เรียนหมอยาหมอดูเรียนแล้วกูสบายใจ
มีวิชาคงกระพันมีแต่พวกนักรบนักเลงเข้าหา
สู้เรียนวิชาหมอยากับหมอดูไม่ได้มีแต่คุณหญิงคุณนายเข้าหา
แล้วหลวงพ่อไม่นึกเสียดายความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาหรือครับ  ?
กูเสียดายชีวิตของกูมากกว่า
 
วิชาคงกระพันชาตรีหลวงพ่อสมภพได้รับการถ่ายทอดจากท่านอาจารย์แปลก
ท่านอาจารย์แปลกได้รับการถ่ายทอดมาจากเสือเย็น ( ขาเดี้ยง ) จอมโจรชื่อดังในอดีต
ท่านให้จารึกยันต์กำแพงเจ็ดชั้นลงในแผ่นทองเหลืองหรือทองแดงเป็นตระกรุดโทนใช้คาดเอว
โดยให้เตรียมเอาปืนหรือดาบวางบนพานครูเตรียมไว้ทดสอบได้เลย เสกด้วยพระคาถาพระธรรมเจ้าสิบหกพระองค์  ( เสกในตัว )
 
ท่านยกตำราประสิทธิ์ประสาทให้ศิษย์เพียงคนเดียวของท่าน
( ถ้ามีโอกาสวันดีคืนดีผมจะคัดลอกออกมาเผยแพร่ให้คุณที่ชอบเรื่องแบบนี้อ่าน )
ศิษย์ที่ได้รับมอบไว้เคยทำให้กับหลานชายคาดเอาไว้
และเคยถูกกลุ่มอันธพาลรุมตีด้วยไม้แทงด้วยมีดดาบขนาดยาวเป็นศอกถูกยิงด้วยปืน แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บเลย
กลุ่มคนร้ายตื่นตกใจแตกหนีไป
เขาเพิ่มข้อห้ามเข้าอีกหนึ่งข้อ
“  ห้ามบอกใครเด็ดขาดว่า ข้าเป็นคนทำให้เอ็งเดี๋ยวมันจะมาลองทดสอบข้าแบบหลวงพ่อสมภพ ”


ที่มา
http://www.saksitsart.com/index.php?mo=3&art=406708

ออฟไลน์ jidarsarika

  • ปัญจมะ
  • *****
  • กระทู้: 93
  • เพศ: หญิง
  • อาจาริโย วันทามิ
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: คงกระพันชาตรี (๒)
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: 11 มิ.ย. 2554, 01:57:46 »
ชอบ ชอบ อ่านแล้วมันส์ดีค่ะ
พุทธัง ธรรมมัง สังฆัง มาตาปิตุโร อาจาริโย

ออฟไลน์ saken6009

  • อย่ากลัวคนจะมาตำหนิ แต่จงกลัวว่าตัวเองจะทำผิด อย่ากลัวที่จะรับรู้ความบกพร่องของตน แต่จงกลัวว่าตนจะเป็นคนที่ดีได้ไม่จริง
  • ก้นบาตร
  • *****
  • กระทู้: 893
  • เพศ: ชาย
  • ชีวิตของข้า เชื่อมั่นศรัทธา หลวงพ่อเปิ่น องค์เดียว
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: คงกระพันชาตรี (๒)
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: 11 มิ.ย. 2554, 04:36:51 »
คงกระพันชาตรี ภาค2 36; 36;
                                                             
ขอขอบคุณท่าน ทรงกลด ที่นำบทความดีมากๆมาให้พี่น้องศิษย์วัดบางพระได้อ่านครับ :053: :053:
 
ติดตามอยู่ครับ อ่านแล้วเพลินดีมากๆครับ และ ได้สาระความรู้มากๆครับผม :016: :015:
 
(ขออนุญาตเข้ามาอ่าน เพื่อเป็นความรู้ ขอบคุณครับผม) :054: :054:
   
 

กราบขอบารมีหลวงพ่อเปิ่น คุ้มครองศิษย์ทุกๆท่าน ให้แคล้วคลาด ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง สาธุ สาธุ

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: คงกระพันชาตรี (๒)
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: 11 มิ.ย. 2554, 11:44:41 »
พิธีกรรม ด้านคงกระพัน สำนักเขาอ้อ

     วัดเขาอ้อ เป็นแหล่งวิทยาคมทางไสยศาสตร์ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาแล้ว ตั้งแต่สมัยโบราณ พระเกจิอาจารย์ผู้สืบต่อวิชาทางไสยศาสตร์ ต่างก็เป็นที่พึ่งที่เคารพศรัทธาของประชาชนทั่วไป เช่น พระอาจารย์ทองเฒ่า พระครูสิทธิยาภิรัต (เอียด) พระอาจารย์นำ แก้วจันทร์ พระอาจารย์ศรีเงิน วัดดอนศาลา พระครูพิพัฒน์สิริธร (อาจารย์คง) วัดบ้านสวน พระอาจารย์ปาน วัดเขาอ้อ และ ที่เป็นฆราวาสที่คนทั่วไปรู้จักกันดีได้แก่ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นต้นและยังมีพิธีกรรมทางด้านคงกระพันชาตรี ของสำนักเขาอ้อ หรือ วัดเขาอ้อ ตกทอดสืบต่อกันมาถึงทุกวันนี้
พิธีกรรมทางไสยศาสตร์

     ความเชื่อทางไสยศาสตร์ของสำนักวัดเขาอ้อที่สำคัญถือเป็นหลัก นิยมใช้ประกอบพิธีกรรมให้สานุศิษย์และประชาชนที่ศรัทธาโดยทั่วไปมี 4 พิธี คือ พิธีเสกว่านให้กิน พิธีหุงข้าวเหนียวดำ พิธีเสกน้ำมันงานดิบ และพิธีแช่ว่าน นอกจากนี้ก็ยังมีพิธีอื่นๆ อีกหลายอย่าง เช่น พิธีสอนให้ชักยันต์ด้วยดินสอ และการสร้างพระเครื่องรางของขลัง วิชาดูฤกษ์ยาม ตำรารักษาโรคภัยไข้เจ็บจากสมุนไพร และการรักษาด้วยคาถาอาคม เพื่อประโยชน์ของการศึกษาทางด้านความเชื่อทางไสยศาสตร์ จึงขอนำเอาพิธีกรรมที่กล่าวแล้วข้างต้น มาอธิบายไว้ในที่นี้พอสังเขป...
 
 1.พิธีเสกว่านให้กิน หมายถึง การนำเอาว่านที่เชื่อว่ามีสรรพคุณทางด้านอยู่ยงคงกระพันชาตรี หรือทางด้านมหาอุด มาลงอักขระเลขยันต์ทางเวทมนต์คาถา แล้วนำไปให้พระอาจารย์ผู้ชำนาญเวท ปลุกเสกด้วยอาคมกำกับอีกครั้งหนึ่ง ว่านที่นิยมใช้ในพิธี ได้แก่ ว่านขมิ้นอ้อย ว่านสบู่เลือด ว่านสีดา ว่านเพชรตรี ว่านเพชรหน้าทั่ง ต้นว่านเหล่านี้เชื่อกันว่ามีเทพารักษ์คอยคุ้มครองรักษา พันธุ์ว่านบางชนิดต้องไปทำพิธีกินในสถานที่พบ ที่นิยมมาก ได้แก่ การกินว่านเพชรหน้าทั่ง
การทำพิธีกินต้องหาฤกษ์ยามเสียก่อน เมื่อได้ฤกษ์แล้วพระอาจารย์จะนำสายสิญจน์ไปวนไว้รอบต้นว่าน แล้วตั้งหมากพลูบูชาเทพารักษ์ ปลุกเสกอาคมทางหลักไสยศาสตร์ เมื่อเสร็จพิธีแล้วนำมาแจกจ่ายกินกัน เชื่อว่าจะทำให้ผู้นั้นเป็นคนอยู่ยงคงกระพันชาตรี
การเสกว่านให้กิน เมื่อสิ้นพระอาจารย์ทองเฒ่าแล้ว นิยมไปทำกันที่วัดดอนศาลา ต.มะกอกเหนือ โดยมีพระครูสิทธิยาภิรัต (เอียด) เจ้าอาวาสวัดดอนศาลาเป็นผู้ประกอบพิธี เช่น การประกอบพิธีกินว่านหน้าทั่ง เมื่อวันพุธ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 5 พ.ศ.2473 มีพระอาจารย์นำ แก้วจันทร์ (ยังเป็นฆราวาส) เป็นผู้หาฤกษ์ยาม ผู้ร่วมกินมี พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช และพระเณรในวัดดอนศาลา .

2.พิธีหุงข้างเหนียวดำ นิยมทำพร้อมกับพิธีเสกน้ำมันงาดิบ ชาวบ้านนิยมเรียกว่า "กินเหนียวกินมัน" แต่ละปีจะประกอบพิธีกิน 2 ครั้ง คือ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 และ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10
พิธีหุงข้าวเหนียวดำ หมายถึง การนำเครื่องยาสมุนไพร หรือว่านชนิดต่างๆ ไม่ต่ำกว่า 108 ชนิด มาผสมกันแล้วต้มเอาน้ำยามาใช้หุงข้าวเหนียวดำ
การประกอบพิธีนิยมทำกันภายในอุโบสถมากกว่าสถานที่อื่นๆ ในสมัยก่อนนิยมทำกันในถ้ำฉัตรทันต์ หม้อและไม้ฟืนทุกอัน จะต้องลงอักขระเลขยันต์กำกับด้วยเสมอ พระอาจารย์ผู้ประกอบพิธีจะเริ่มปลุกเสก ตั้งแต่จุดไฟ จนกระทั่งข้าวเหนียวในหม้อสุก แล้วนำข้าวเหนียวที่สุกแล้วไปประกอบพิธีปลุกเสกอีกครั้งหนึ่งจนเสร็จพิธี

   พิธีกินข้าวเหนียวดำ จะทำพิธีกันภายในอุโบสถ ก่อนกินถ้าสานุศิษย์คนใดไม่บริสุทธิ์ต้องทำพิธีสะเดาะ หรือเรียกว่า "พิธีการเกิดใหม่" หรือ "พิธีบริสุทธิ์ตัว" เพื่อให้ตัวเองบริสุทธิ์จากสิ่งไม่ดีชั่วร้ายทั้งปวง

   เมื่อถึงเวลาฤกษ์กินข้าวเหนียวดำ สานุศิษย์จะเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นนุ่งด้วยผ้าขาวม้าโจงกระเบนไม่ใส่เสื้อ แล้วเข้าไปกราบพระอาจารย์ผู้ประกอบพิธี 3 ครั้ง เสร็จแล้วพระอาจารย์จะให้นั่งชันเข่าบนหนังเสือ เท่าทั้ง 2 เหยียบบนเหล็กกล้าหรือเหล็กเพชร ปิดศรีษะด้วยหนังหมี มือทั้ง 2 วางบนหลังเท้าของตัวเอง พระอาจารย์ใช้มือซ้ายกดมือทั้ง 2 ไว้ พร้อมกับภาวนาพระคาถา ส่วนมือขวาปั้นข้าวเหนียวดำเป็นก้อนป้อนให้ศิษย์ครั้งละ 1 ก้อน แล้วปล่อยมือศิษย์ที่กดไว้บนเหลังเท้า มือทั้ง 2 ของศิษย์จะลูบขึ้นไปตั้งแต่หลังเท้าจนทั่วตัวจดใบหน้า การลูบขึ้นนี้เรียกว่า "การปลุก" เสร็จแล้วลูบลง เอามือทั้ง 2 ไปวางไว้บนหลังเท้าทั้ง 2 เช่นเดิม โดยกะประมาณว่ากินข้าวเหนียวก้อนแรกหมดพอดี สำหรับผู้ที่ไม่เคยกินอาจกลืนลำบาก เนื่องจากว่าข้าวเหนียวมีรสขมมาก บางคนป้อนก้อนแรกถึงกับอาเจียนออกมาก็มี แต่ถ้ากลืนก้อนแรกจนหมดได้ ก้อนต่อไปจะไม่มีปัญหา พระอาจารย์จะป้อนจนครบ 3 ก้อน ในแต่ละครั้งจะลูบขั้นลูบลง เช่นเดียวกับครั้งแรก แต่ครั้งที่ 3 นั้นเมื่อศิษย์กินข้าวเหนียวหมดแล้ว พระอาจารย์จะใช้มือซ้ายกดมือทั้ง 2 ไว้ที่เดิมหัวแม่มือขวาสะกดสะดือศิษย์ ทำทักษิณาวัตร 3 รอบ พร้อมกับภาวนาพระคาถาไปด้วย เป็นการผูกอาคม
สำหรับคุณค่าของการกินข้าวเหนียวดำ สานุศิษย์ของสำนักเขาอ้อ เชื่อกันว่าใครกินได้ถึง 3 ครั้ง จะทำให้อยู่ยงคงกระพันชาตรี เป็นมหานิยม และยังเป็นยาแก้โรคปวดหลังปวดเอวได้เป็นอย่างดี


ที่มา
http://www.nathalenoi.com/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11 มิ.ย. 2554, 11:47:06 โดย ทรงกลด »

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: คงกระพันชาตรี (๒)
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: 11 มิ.ย. 2554, 11:46:26 »

 3.พิธีเสกน้ำมันงาดิบ การเสกน้ำมันงาดิบ ต้องมีเครื่องบูชาครูเช่นเดียวกับการหุงข้าวเหนียวดำ คือ หมาก 9 คำ ดอกไม้ 9 ดอก เทียน 1 เล่ม ธูป 3 ดอก สายสิญจน์ หนังเสือ หนังหมี เอาวางไว้ที่หน้าเครื่องบูชา การเสกน้ำมันส่วนใหญ่นิยมใช้น้ำมันงาดิบ หรือน้ำมันยางแดงประสมว่าน พระอาจารย์ผู้ประกอบพิธีจะนั่งบริกรรมพระคาถาจนน้ำมันแห้งเป็นขี้ผึ้ง เรียกว่า "พิธีตั้งมัน"

เมื่อเสกจนน้ำมันแห้งแล้ว พระอาจารย์จะทำพิธีป้อนน้ำมันให้สานุศิษย์แบบเดียวกับพิธีป้อนข้าวเหนียวดำ คือ ผู้ที่จะกินมันต้องเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่เคยผิดศีลข้อกาเมมาก่อน ถ้าบุคคลใดไม่บริสุทธิ์ ต้องให้พระอาจารย์ทำพิธี "บริสุทธิ์ตัว" คือ "สะเดาะ" เสียก่อน เสร็จแล้วก็ทำเช่นเดียวกับกินข้าวเหนียวดำ โดยพระอาจารย์ ผู้ประกอบพิธีจะป้อนน้ำมันให้กิน 3 ช้อน แต่ละช้อนมีขมิ้นอ้อย 1 ชิ้น เมื่อกินช้อนที่ 3 หมด พระอาจารย์จะตักน้ำมันมาทาบบนฝ่ามือทั้ง 2 ของศิษย์ แล้วเขียนตัวอักขระตัว "นะโม" ข้างละ 1 ตัว จับมือศิษย์ทั้ง 2 ประกบกันละเลงให้น้ำมันทั่วฝ่ามือ แล้วนำไปทาบนหลังเท้าทั้ง 2 ข้าง ข้างละมือ พร้อมกับพระอาจารย์จะปลุกเสกคาถากำกับไปด้วย ต่อจากนั้นใช้มือลูบขึ้นและลูบลงเช่นเดียวกับการกินข้าวเหนียวดำ เสร็จแล้วมือซ้ายของอาจารย์จะกดมือทั้ง 2 ไว้หัวแม่มือขวาสะกดสะดือศิษย์ไว้ เช่นเดียวกับการกินข้างเหนียวดำ เพื่อเป็นการผูกอาคม เป็นอันเสร็จพิธีการกินน้ำมันงาดิบ
คุณค่าการกินน้ำมันงาดิบของสำนักวัดเขาอ้อ เชื่อกันว่ามีคุณค่าทางด้านอยู่ยงคงกะพัน มีเมตตามหานิยม แต่มีข้อห้ามไว้ว่า ถ้าผิดลูกเมียผู้อื่นเมื่อใด น้ำมันที่กินเข้าไปจะไหลออกมาตามขุมขนจนหมดสิ้น และถ้าจะกินน้ำมันใหม่ก็ต้องทำพิธีสะเดาะใหม่อีกครั้ง

 4.พิธีแช่ว่านยา เป็นพิธีกรรมชั้นสูงทางไสยศาสตร์ของสำนักวัดเขาอ้อ การแช่ว่านยา หมายถึง การที่บุคคลหนึ่งบุคคลใด ลงไปนอนแช่ในน้ำว่านยาที่ได้ทำพิธีปลุกเสกตามหลักวิชาไสยศาสตร์ จากพระอาจารย์ผู้เรืองอาคม เพื่อประสงค์ให้ตัวเองอยู่ยงคงกระพันชาตรี วัดเขาอ้อจึงได้นามอีกอย่างหนึ่งว่า "วัดพระอาจารย์หลัง" หลายคนเชื่อกันว่าวัดเขาอ้อเป็นต้นตำรับพิธีการแช่ยา ต่อมาเมื่อมีลูกศิษย์มากขึ้น พิธีการนี้ก็แพร่หลายออกไปตามวัดต่างๆ เช่น วัดดอนศาลา วัดบ้านสวน อ.ควนขนุน วัดเขาแดงออก วัดยาง วัดปากสระ อ.เมือง พัทลุง เป็นต้น
พิธีการแช่ยาที่วัดเขาอ้อ นิยมประกอบพิธีบนไหล่เขาหรือภายในถ้ำฉัตรทันต์ ในราวเดือน 5 เดือน 10 ของทุกๆปี โดยก่อเป็นรูปอ่างน้ำสี่เหลี่ยมจัตุรัส หรือใช้เรือขุดจากไม้ก็ได้ให้มีขนาดพอที่จะให้คนลงไปนอนได้ประมาณ 3-4 คน ส่วนมากไม่มีการกำหนดขนาดที่แน่นอน อ่างน้ำนี้เรียกว่า "รางยา"
เนื่องจากพิธีกรรมแช่ว่าว่านยาเป็นพิธีใหญ่มาก และเป็นพิธีชั้นสูงของสำนักวัดเขาอ้อและทำได้ยากลำบาก เครื่องบูชาครูจึงต้องมีมากเป็นธรรมดา คือ หัวหมู บายศรีไหญ่ ยอดบายศรี สวมแหวนทองคำหนัก 1 บาท หมากพลู ธูปเทียน ดอกไม้ และมีหนังสือหนังหมี เหล็กกล้า เป็นเครื่องประกอบ

อ้างอิงจาก
- หนังสือ "วัดดอนศาลา" โดย คุณธีระทัศน์ ยิ่งดำนุ่น และ คุณจำเริญ เขมานุวงศ์
- หนังสือ "ที่ระลึกงานฉลองสัญญาบัตร พัดยศ พระครูอดุลธรรมกิตติ์ เจ้าอาวาสวัดเข้าอ้อ" โดย คุณสมคิด คงขาว และ คุณศิริพงศ์ ยูงทอง 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2536

ที่มา
http://www.nathalenoi.com/

ออฟไลน์ pakkredtop

  • ตติยะ
  • ***
  • กระทู้: 84
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: คงกระพันชาตรี (๒)
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: 11 มิ.ย. 2554, 01:28:23 »
ขอบคุณมากครับ

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: คงกระพันชาตรี (๒)
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: 11 มิ.ย. 2554, 07:50:20 »
เขียนโดย tongn005      อังคาร, 24 เมษายน 2007

วิชาชุบตัวเเละอาบว่านยา

   ในตำราของหลวงพ่อกวย ต้นว่านนี้หมายถึง ไม้มงคลหรือไม้ประเภทมีฤทธิ์ เป็นต้นไม้มีหัวเเละราก นำมากินไปเเล้วจะมีือำนาจทางอยู่ยงคงกระพัน ว่านพวกนี้ เป็นต้นไม้ที่มีเทวดารักษา นี่คือลักษณะของต้นว่าน

   คนโบราณหรืออาจารย์โบราณ มักปลูกว่าน โดยหวังผลทางด้านเมตตามหานิยมหรือทางคงกระพัน ว่านบางอย่างกินเข้าไปจะทำให้ผิวหนังรัดตัว มีความเเข็งเเกร่งหรือเหนียว สามารถป้องกันคมมีดคมดาบได้ ตามความเชื่อ ยิ่งกินว่าน เเล้วมีอาคมเสกด้วย ยิ่งดีใหญ่

   ว่านที่เป็นเสน่ห์ เมตตามหานิยมนั้น มักมีดอกหอม เช่นว่านเสน่ห์จันทร์ ว่านบางอย่างที่มีเทวดารักษา คนมักจะปลูกไว้เพื่อเฝ้าบ้าน ไว้คอยปกป้องรักษา เเต่ว่านบางอย่างก็มีความน่ากลัว เพราะมีภูตผีอาศัยอยู่ เช่นว่านกระสือ ว่านปอบ ว่านเเบบนี้มีประโยชน์บางอย่าง เเต่ก็เเฝงไว้ด้วยอันตราย เหมือนดาบสองคม มีทั้งคุณเเละโทษ

ว่านที่มีอานุภาพทางคงกระพันนั้น เช่น ว่านหนังเเห้ง ว่านสบู่เลือด ว่านหนังคางคก เป็นต้น ดังนั้น จึงมีการทำวิชาอาบว่านขึ้นมา

    วิชาอาบว่าน เป็นที่นิยมมากของทางภาคใต้ เเละสำนักที่โด่งดังในเรื่องนี้ คือ สำนักเขาอ้อนั่นเอง เนื่องจากสรรพคุณต่างๆ จึงมีการนำว่านต่างๆมาผสมพระเครื่องด้วย เพื่อให้เกิดอานุภาพยิ่งขึ้น

   การกินว่านเพื่ออาศัยอานุภาพนั้น จะอยู่ได้ไม่นาน ต้องกินเพิ่มอยู่เรื่อยๆ เขาว่า ถ้าใครกินว่านมากๆ พอหน้าหนาว ว่านออกดอก อาจมีอาการเเพ้ว่าน จะทำให้มีจุดขาวๆตามตัว คล้ายรอยเกลื้อน

   การอาบว่านโดยใช้อาคมกำกับ เมื่อเเช่ว่านนานๆนั้น คนที่เเช่ว่านเมื่อมีอายุมาก ฤทธิ์ว่านจะออกตามลิ้น  เช่นเวลากินข้าว จะมีรสไม่อร่อย คือมีรสขมของว่าน ถ้าอาบหรือเเช่มากๆ ทำให้ผิวหนังรัดตัวมาก รูขุมขน ไม่สามารถระบายไขมันเเละเหงื่อออกได้ จะทำให้เป็นสิวทั้งตัวเลย

ปัจจุบัน วิชาจำพวกนี้ ไม่ค่อยมีคนทำเเล้ว เเทบเสื่อมสูญ เหลือเเต่เพียงคำบอกเล่า

   หลวงพ่อกวยเคยชุบตัวให้ศิษย์โดยมีว่านยาเป็นตัวประกอบ หลวงพ่อเรียนมาจากครูรุน ครูเพ็ง อาจารย์เเหล่ม วัดท่าช้าง ทั้งสามท่านนี้ เป็นศิษย์รุ่นเดียวกับอาจารย์เฮง ไพรวัลย์ เรียนกับหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ ในบันทึกหลวงพ่อท่านเรียกชื่อเป็นหลวงพ่อกลั่น วัดทะยาน

ในตำรา หลวงพ่อได้ระบุว่านยาเอาไว้ พร้อมวาดรูปวิทยาธรที่รักษาว่านยาเอาไว้ด้วย ท่านเขียนไว้ว่า

( รูปเพ็ชพยาทร รักษาอยู่ที่ต้นยา มีฤทธิ์ เมื่อขุดต้องเบิกก่อน ถ้าอาคมไม่กล้า เขาไม่กลัวเราเลย เอามาทำก็ไม่ได้ผล )

เครื่องยาที่หลวงพ่อใช้ทำพิธีอาบว่านชุบตัว มีดังนี้

๑.รากพญารากดำ
๒.รากพญาย้า
๓.รากชะมัด
๔.รากตีนต่าง
๕.รากคาง
๖.รากเถาวัลย์เปรียง
๗.ตาไม่ไผ่ ๗ ตา

ให้เอาเครื่องยาทั้ง ๗ อย่าง เเช่น้ำค้าง ปลุกด้วยคาถาอมพิสหนูครูเเก้ว... ก่อน

เวลาอาบ ให้ตั้งเครื่องบูชาครู ให้อาบที่บันไดขั้นเเรก เเล้วกลับบันไดลง ปลุกด้วยคาถาให้ได้ ๗ ครั้ง อาบ ๓ วัน ถ้าจะลอง ให้ลองด้วยขวานโยน ๗ เล่ม ดาบ ๗ เล่ม ขวากหรือหลาวเสี้ยมเเหลม ใช้ไม้ลวก ๗ อัน

เมื่อจะเก็บเครื่องยา ให้ว่าคาถาเบิกเเละคาถาเรียกก่อน

สมัยที่ีหลวงพ่อทำพิธีอาบว่านยาเพื่อชุบตัวให้ศิษย์นั้น นอกจากจะอาบที่บันไดเเล้ว หลวงพ่อยังทำเเคร่ไม้ไผ่ ให้ศิษย์ขึ้นไปนอนบนเเคร่ เเล้วอาบว่าน ใต้เเคร่หลวงพ่อได้ปักขวากเอาไว้ เป็นไม้รวกเสี้ยมเเหลม ๗ อัน เมื่ออาบจนพอใจ หลวงพ่อจะถีบเเคร่ให้ล้มลง หรือหลุดจากเสา ศิษย์ที่นอนอาบว่านจะตกลงไปด้านล่างที่มีขวาก ๗ อันปักอยู่ ผลคือ ขวากจะตำไม่เข้าเลย เเสดงถึงความมั่นใจในอาคมของท่านมาก สมัยนั้น ถ้าไม่เเน่จริง ไม่เก่งจริง มีสิทธิ์ติดคุกเเน่ ไม่้เหนียวจริง ขวากตำทะลุหลังเเน่

ที่มา
http://www.watkositaram.com/index.php?option=com_content&task=view&id=119&Itemid=42

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: คงกระพันชาตรี (๒)
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: 11 มิ.ย. 2554, 07:54:44 »
สมุนไพร-ว่านสบู่เลือด

ว่านสบู่เลือดสามารถนำมาทำยาได้ แต่ไม่สามารถนำมาปรุงเป็นอาหารได้


หัวว่านสบู่เลือด


เถาและใบว่านสบู่เลือด

  ลักษณะ : ว่านสบู่เลือด เป็นไม้เถาเลื้อย มีหัวขนาดใหญ่ 2 ชนิด มีด้วยกันคือ ตัวผู้กับตัวเมีย ตัวผู้หัวจะมีลักษณะยาวคล้ายหัวมันสำปะหลัง ตัวเมียหัวกลม นิยมใช้ตัวเมียมากกว่าตัวผู้ มียางสีแดงที่หัวเหมือนกัน ใบรูปกลม มีหยักที่ขอบตื้น เมื่อเด็ดไปจะมียางสีส้มจาง จึงถูกเรียก ชื่อตามสีของยางว่า “ว่านสบู่เลือด” พบขึ้นตามป่าบนเขาทุกภาคของประเทศไทย

   ตามความเชื่อที่มีต่อ “ว่านสบู่เลือด” แต่โบราณ เชื่อว่าดีทางด้านคงกระพันชาตรี โดยนักเลงสมัยก่อนนิยมใช้ยางจากหัวให้ อาจารย์ดังๆสักลงอักขระเลขยันต์ใส่ตัว เพื่อจะได้คงกระพันตลอดชีวิต แต่ผู้สักต้องปฏิบัติดี ไม่ผิดศีลห้า เนื้อหัว “ว่านสบู่ เลือด” มีรสขม เมื่อกินเข้าไปจะทำให้คง กระพันเพียงชั่วเมา เมื่อหมดฤทธิ์จะเจ็บปวดได้ ก่อนกินหรือใช้ต้องว่าคาถา “นะโมพุทธายะ” จำนวน 108 คาบ จะศักดิ์สิทธิ์มาก  ทางยาโบราณ ฝานเนื้อหัวเป็นแว่นๆ ตากแห้งแล้วบดเป็นผงผสมน้ำผึ้งแท้ ปั้นเป็นก้อนขนาดปลายนิ้วก้อยมือผู้ใหญ่ กิน 3 เวลาก่อนอาหารและก่อนนอน เป็นยาอายุวัฒนะชั้นยอด สตรีประจำเดือนมาไม่ปกติ ใช้หัวสดกะพอประมาณสับละเอียดผสมน้ำซาวข้าว หรือเหล้า 40 ดีกรีเล็กน้อย กินจะหายได้

    สรรพคุณทางยา : ตำรายา แผนไทยปัจจุบันระบุว่า ใบของ “ว่านสบู่เลือด” เพิ่งจะค้นพบว่า มีสรรพคุณทางเภสัชชั้นยอด โดยใช้ใบจำนวน 7 ใบ ล้างน้ำให้สะอาดต้มกับน้ำกะตามต้องการดื่มแทนน้ำชา จะเป็นยาบำรุงเซลล์สมอง และ บำรุงเส้นปลายประสาทได้ ซึ่งจะทำให้ไม่เป็นโรคความจำเสื่อมได้ แต่มีข้อแม้ ต้องทำกินเพียงเดือนละครั้ง กินติดต่อกัน 5 วัน แล้วหยุด ไปทำกินต่อในเดือนถัดไป

ที่มา
http://www.wiparatfood.com/

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: คงกระพันชาตรี (๒)
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: 11 มิ.ย. 2554, 09:13:12 »
ความหมายของยันต์

   หน้านี้ว่าด้วยเรื่องยันต์แบบต่างๆตามความเชื่อของปรมาจารย์ เส้นที่ขีดลากไปมานอกยันต์นั้นหมาย ถึง"สายรกของพระพุทธเจ้า" ส่วนเส้นที่อยู่ภายในยันต์ เรียกว่า "กระดูกยันต์"ยันต์มีหลายแบบต่างๆ กันไป เช่น ยันต์แบบกลม ยันต์สามเหลี่ยมยันต์สี่เหลี่ยม ยันต์รูปภาพ ส่วนความหมายของยันต์แต่ละแบบมีดังนี้
 
ยันต์กลม มีความหมายว่าเป็นพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า ทางศาสนาพราหมณ์ หมายถึงพระพักตร์ของพระพรหม
ยันต์สามเหลี่ยม มีความหมายว่าเป็นพระรัตนตรัย หรือภพทั้งสาม ส่วนทางศาสนาพราหมณ์ให้ความหมายว่าเป็นพระเป็นเจ้าทั้ง 3 ของพราหมณ์คือ พระอิศวร พระพรหม พระนารายณ์
ยันต์สี่เหลี่ยม มีความหมายว่าเป็นทวีปทั้งสี่ หรือธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ยันต์รูปภาพ มีทั้งรูปภาพ เทวดา มนุษย์ และสัตว์ต่างๆ ส่วนความหมายก็อยู่ในตัวของรูปภาพนั้นๆ

การลงยันต์
    การลงยันต์หรือการเขียนยันต์นั้นจะใช้อักขระขอมซึ่งเขียนเป็นตัวย่อของพระคาถาแต่ละบทเพราะหากเขียนพระคาถาลงไปในยันต์ทั้งหมดเนื้อที่คงไม่พอ จึงใช้อักขระย่อส่วนตัวเลขที่อยู่ในยันต์ก็ย่อมาจากอักขระของพระคาถาข้อควรระวังในการลากเส้นยันต์นั้นควรลากทีเดียวให้ตลอดไม่ใช่ลากแล้วหยุดหากลากแล้วหยุดถือว่ายันต์นั้นใช้ไม่ได้ต้องใช้คาถาหรือสูตรในการต่อเส้นยันต์นั้นใหม่ยันต์นั้น  จึงจะใช้ได้และการลงอักขระให้ระวังอย่าลงอักขระทับเส้นยันต์เพราะจะทำให้ยันต์นั้นใช้ไม่ได้ท่านเรียกว่าเป็นยันต์ตาบอด  การลงยันต์หรือการเขียนยันต์หากยันต์นั้นมีคาถาหรือสูตรกำกับไว้ผู้เขียน

จะต้องภาวนาคาถานั้นไปด้วยพร้อมกันการลงยันต์
คลิกที่นี่ครับเพื่ออ่านรายละเอียดสูตรและคาถาเวลา

เขียนยันต์
ฉะนั้นจึงต้องใช้สมาธิสูง ส่วนขั้นตอนและวิธีการลงยันต์พร้อมทั้งสูตรต่างๆ ยังมีอีกมากครับ

การปลุกเสกยันต์
    เมื่อมีการลงยันต์เสร็จแล้วจะต้องมีการปลุกเสกเพื่อทำให้ยันต์ขลังมีฤทธานุภาพตามจุดประสงค์ของยันต์นั้นๆ   คาถาที่ใช้ในการปลุกเสกจะใช้คาถาที่กำกับยันต์นั้นหรือไม่ก็คาถาที่ใช้เขียนยันต์นั้นหรือใช้คาถาที่เกี่ยวข้องกับยันต์นั้นปลุกเสก เช่น ยันต์คงกระพันชาตรีก็ใช้คาถาคงกระพันชาตรีเสก
เป็นต้นส่วนมากคาถาที่ใช้ทั่วไปในการปลุกเสกยันต์คือ พระไตรสรณคมน์  พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ

ยันต์ลักษณะต่างๆ
ชื่อยันต์ (คลิกดูรูปยันต์)   อิทธิฤทธิ์/อานุภาพ
 
ยันต์รัตนตรัย                 ชนะศัตรู, เมตตามหานิยม...
ยันต์ตะกรุดโทน             กันอันตรายจากอาวุธทุกชนิด
ยันต์พุทธคุณ                คุ้มกันสารพัดภัย แคล้วคลาดจากอันตราย
ยันต์อาวุธทั้ง ๔             กันสารพัดภูตผีปีศาจ ถอนแก้คุณไสยทุกอย่าง
ยันต์กันสะกด                กันอันตรายจากขโมย
ยันต์โภคทรัพย์              ใส่ไว้ในกระเป๋าเงิน ทำให้เงินพอกพูนเพิ่มขึ้น
ยันต์มหาศิริมงคล            เป็นมงคลยิ่งนักและคุ้มภัยอันตรายทั้งปวง   
ยันต์พญาหงส์ทอง          เมตตามหานิยม เป็นเสน่ห์ ทำให้ทุกคนรัก
ยันต์ยอดมงกุฎ              แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง
ยันต์พญาราชสีห์            คนเกรงขาม เป็นตบะเดชะ มีอำนาจ
ยันต์พญาเสือ                คนเกรงขาม เดินป่าป้องกันสัตว์ร้าย
ยันต์บารมีพระพุทธเจ้า     กันภูตผี ปีศาจ ป้องกันอันตรายทั้งปวง
ยันต์พญาหนุมาน           อยู่ยงคงกระพัน เมตตามหานิยม
ยันต์มหาสาวัง              กันและแก้สารพัดโรคภัยและอันตราย
ยันต์ท้าวเวสสุวรรณ        กันภูตผีปีศาจทุกชนิด กันและแก้คุณไสย
ยันต์เมตตามหานิยม(ด้านหน้า)       เป็นเมตตามหานิยม เป็นเสน่ห์ทำให้คนรัก
ยันต์นางกวัก                สำหรับค้าขายให้มีกำไรดี ร่ำรวยเงินทอง
ยันต์เมตตามหานิยม(ด้านหลัง)                  เป็นเมตตามหานิยม ทำให้คนหายโกรธ
ยันต์พระเจ้าเปล่งรัศมี         ไปไหนนำติดตัวไปด้วยทำให้คนรักใคร่
ยันต์มหาอุด                 คงกระพันชาตรี เมตตามหานิยม
ยันต์ห้ายอด                 คุ้มกันภัยและอันตรายทั้งปวง
ยันต์การะเวก                สำหรับนักร้อง นักพูด นักเทศน์ วิเศษยิ่งนัก   
ยันต์ตะกรุดมหาระงับเป็นยันต์นะจังงัง ยิง ฟัน แทงไม่เข้า

ที่มา
http://www.maameu.ath.cx/forum/index.php?topic=6613.0

ออฟไลน์ arada

  • เรียนๆ รักๆ ปากกาถูกลัก ไม่พักเรียน
  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 1111
  • เพศ: ชาย
    • MSN Messenger - nuk_b@hotmail.com
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: คงกระพันชาตรี (๒)
« ตอบกลับ #17 เมื่อ: 12 มิ.ย. 2554, 02:51:53 »
ขอบคุณสำหรับข้อมูลมากครับ
เนื้อหาแน่จริงๆ กว่าจะอ่านจบ ตาลายเลยทีเดียว
ธรณีนี่นี้             เป็นพยาน

เราก็ศิษย์มีอาจารย์    หนึ่งบ้าง

เราผิดท่านประหาร     เราชอบ

เรา บ่ ผิดท่านมล้าง    ดาบนั้นคืนสนอง

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: คงกระพันชาตรี (๒)
« ตอบกลับ #18 เมื่อ: 12 มิ.ย. 2554, 06:54:39 »
ขอบคุณสำหรับข้อมูลมากครับ
เนื้อหาแน่จริงๆ กว่าจะอ่านจบ ตาลายเลยทีเดียว
ขอบคุณครับ
ส่วนรูปภาพของยันต์ต่างๆ ให้คลิกไปดูที่ต้นฉบับนะครับ
ที่มา
http://www.maameu.ath.cx/forum/index.php?topic=6613.0

ออฟไลน์ จิ๋ววัดตะกล่ำ

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 1234
  • เพศ: ชาย
    • MSN Messenger - bigjiew123@hotmail.com
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: คงกระพันชาตรี (๒)
« ตอบกลับ #19 เมื่อ: 12 มิ.ย. 2554, 05:09:42 »
ขอขอบคุณท่านทรงกลดมากๆครับ
สำหรับความรู้ในครั้งนี้  :054:  :054:  :054:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12 มิ.ย. 2554, 05:09:58 โดย จิ๋ววัดตะกล่ำ »
พระอุดมประชานาถ (หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ) วัดบางพระ
"เทพเจ้าแห่งลุ่มน้ำนครชัยศรี"

ออฟไลน์ Ogofmayas

  • ฉัฏฐะ
  • *
  • กระทู้: 337
    • MSN Messenger - gofmaruhi_as@hotmail.com
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: คงกระพันชาตรี (๒)
« ตอบกลับ #20 เมื่อ: 18 มิ.ย. 2554, 03:51:21 »
ความรู้ ล้วนๆ ครับบ บ