ผู้เขียน หัวข้อ: ลมเพลมพัด?  (อ่าน 48130 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ลมเพลมพัด?
« เมื่อ: 13 มิ.ย. 2554, 12:07:39 »
อ่านเพื่อความบันเทิงกันนะครับ :004:

ลมเพลมพัดเป็นอย่างไร…?..1/2

(ลมเพลมพัด อาการเจ็บป่วยโดยหาสาเหตุไม่ได้   คนโบราณพากันเข้าใจว่า  ต้องคุณไสย์คุณผี (ผีทำ) คุณคน (คนทำ)

หรือถูกของที่ผู้มีวิชาไสยศาสตร์ปล่อยมาตามลม ส่วนใหญ่มักมีอาการเจ็บปวด  เคลื่อนย้ายไปตามจุดต่างๆ

ซึ่งแพทย์แผนโบราณท่านว่า  คุณไสย์หลบหนีไปซ่อนตัวในตำแหน่งอื่น เพราะกลัวน้ำมนต์)

หมอชีวกท่านสอนว่า..................

ให้พิจารณาดูว่าการเคลื่อนย้ายของจุดที่เกิดการเจ็บปวดเคล็ดขัดยอกนั้น

เริ่มต้นที่จุดตำแหน่งใด ? มีแนวทางเคลื่อนย้ายอย่างไร ?

ถ้าใช้ปากกาเคมีหรือสีแต้มลากไปตามจุดที่อาการเจ็บปวด เคล็ดขัดยอกเคลื่อนที่โคจรไป จะพบว่ามันตรงกับแนวของเส้นประสาทในร่างกาย

สาเหตุของการเจ็บปวดเมื่อยเคล็ดขัดยอกที่แพทย์ตรวจหาไม่พบก็จะปรากฏขึ้น

ให้รู้ว่าอาการเจ็บป่วยนั้นเกิดจากเส้นเอ็นที่เป็นเส้นประธาน แต่บางครั้งการโคจรของโรคมีวิธีทางที่ไม่ตรงกับเส้น

ประธานใด   ให้พิจารณาบริเวณที่นอนหรือเตียงนอน ที่นอนราบเรียบเสมอกันหรือไม่ ? มีแง่ปุ่มปมสูงต่ำไม่เสมอกันไหม ?  มีสิ่งแปลกปลอมบนที่นอนหรือเปล่า ?

ถ้าอาจารย์ผมจำไม่ผิดอาจารย์ผมเขียนเรื่องอาการของผู้ป่วย ลมเพลมพัดว่าที่แท้จริงเกิดจากการนอนทับขอบหรือมุมหนังสือปกแข็งที่นำไปอ่าน

จนหลับบนเตียงและหรือนอนหลับทับหลอดยาดมที่ต้องดม อยู่ตลอดเวลาจนติดเป็นนิสัยและกลายเป็นสันดานที่แก้ไม่ได้

นอนทับแต่ละจุดนานเป็นเวลาหลายชั่วโมง เปลี่ยนจุดทับไปที่ใดเกิดการเจ็บปวดเคล็ดขัดยอกเปลี่ยน

ตำแหน่งจุดไปที่นั่น   แต่หลงเข้าใจผิดคิดว่าโรคเคลื่อนย้ายที่ได้เอง  (ความจริงเปลี่ยนจุดตำแหน่งทับ)

อาจารย์ผมเคยแนะนำผู้ป่วยที่มีอาการเหมือนหรือคล้ายแบบนี้หายมาหลายรายแล้ว

แต่ที่เกิดจากลมเพลมพัดจริงๆก็มี (แต่ไม่ถึงหนึ่งในร้อยหรือน้อยมาก)

คนที่เรียนวิชาลมสลาเหิร(อาจารย์ผมเขียนตามที่ได้ยินจากปากคำของท่านอาจารย์ท่าน

จึงเขียนตามคำพูดอาจไม่ตรงตามศัพท์ สมัยที่อาจารย์ผมเรียน เรื่อง วิชาภาษาไทย  อาจารย์ผมตกอยู่แล้ว)

คนที่เรียนวิชานี้เท่านั้นที่จะต้องทำการปลดปล่อยวิชาให้ล่องลอยไปตามลมปีละครั้ง

มิฉะนั้น ของที่เรียนมาจะเข้าตัวเองของที่ทำไว้จะถูกปลดปล่อยให้ล่องลอยไปตามแรงลมคล้ายนุ่นหรือเมล็ดดอกรัก

มีผู้เรียกวิชานี้แตกต่างกันไป..................


ที่มา
http://www.chaynichsart.com/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 มิ.ย. 2554, 12:08:15 โดย ทรงกลด »
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว....ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา...สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา...กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ลมเพลมพัด?
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 13 มิ.ย. 2554, 12:13:16 »
ลมเพลมพัดเป็นอย่างไร…?..2/2

ลมสลาเหิร  มนต์รักฝากพระพาย  วิชามนต์เพชรหึง ผู้ที่เคราะห์ร้ายหรือดวงตก  ดวงชะตาต้อง (ถึง) ฆาต

ได้ยินเสียงลมพัดสิ่งของตกหล่นหรือทำเสียงดังเสียงเรียก เสียงทักโดยไม่เห็นตัว

ไปร้องทักหรือเอะอะโวยวายหรือไปขานรับเข้าของนั้นจะพุ่งเข้าหาและเข้าร่าง

คนโบราณท่านจึงห้ามทักสิ่งของที่ต้องลมตกหล่น  เสียงดังเสียงทักเสียงเรียกหา ก่อนที่จะเห็นตัวตน  บรรดาท่านปู่เจ้าทั้งหลายชอบใช้และเชี่ยวชาญในวิชานี้

วิธีแก้เมื่อบางท่านเผลอตัวเกิดไปทักเข้า คนโบราณท่านว่าให้ใช้วิธีแก้เคล็ดง่ายๆ

ให้ใช้วิธีหนามยอกให้เอาหนามเบ่ง
(บ่งไม่เป็นหนามที่บ่งหักคาเนื้อ หนามที่ยอกอยู่ก็ไม่ออกอีก)

ท่านให้สูดลมเข้าให้สุดแล้วเป่าลมออกให้สุดเหมือนกัน  ลมเพลมพัดเขาปล่อยมาตามลมเมื่อมันมาเข้าร่างใคร ก็ให้คนนั้นเป่าออกไปต่อตามลมไปเหมือนกัน  ท่านว่าหายแล

เรื่องนี้จะจริงเท็จอย่างไร อาจารย์ผมบอกตามตรงว่าอาจารย์

ผมไม่กล้ารอง…เข็ด…เคยถูกคนโบราณหลอกมาแล้ว  แบบว่า เชื่อโบราณมันก็ต้องบานบุรี  ไม่เชื่อเลยมันก็ไม่ดี
ท่านว่า

ถ้าเผลอไปสบตากับคนที่เป็นโรคตาแดงให้แลบลิ้น ให้มินั้นจะติดโรคตาแดง
พอแลบลิ้นให้โดนตบตาเหลือกตาปลิ้น

คนโบราณว่าเป็นโรคปากนกกระจอก ต้องแก้เคล็ดด้วยการไปแอบลักน้ำตาลปี๊บร้านชำกิน
ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีนิสัยลักของใคร (นอกจากของเมีย)

พอเจ้าของร้านเผลอรีบเอานิ้วชี้ควักน้ำตาลในปี๊บใส่ปาก ตาคอยจับจ้องมองแต่เจ้าของร้านกลัวโดนเขาจับได้
(ก้อหนูไม่เคย) โดนขอบปี๊บคมบาดนิ้วมือเกือบถึงกระดูก

นึกอยากนั่งไทม์แมชชีนย้อนกาลเวลาไปสู่โลกในอดีต อยากไปตามตบหน้าเขกกะโหลกอ้ายคนต้นคิดวิธีแก้เคล็ดแบบนี้

แต่พูดก็พูดเถอะ...คนทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเลือกเชื่อถือโชคลางและวิธีแก้เคล็ดของแต่ละคน

ที่มา
http://www.chaynichsart.com/

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ลมเพลมพัด?
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 13 มิ.ย. 2554, 12:24:42 »
คุณไสย กับ ผู้แก้ ... พระอาทรกาญจนกิจ
(พระอาจารย์หอม) วัดวังก์วิเวการาม

เรื่องของคุณไสย  ในทุกวันนี้ไม่ใช่จะเป็นของที่หาดูได้ง่าย  คุณไสยพิสูจนได้์ยากในยุคปัจจุบันแต่ก็ไม่ใช่จะเหลวไหลไปทั้งหมด  อาจบอกได้ว่าคุณไสยเป็นของเล่นคนโบราณบ้านป่าเมืองดง  เรียนทั้งผูกทั้งแก้  ไว้กระทำให้กันถ้ารักสาวแต่สาวไม่รักก็ทำเสน่ห์ผูกใจ  ถ้าเกลียดคุมแค้นก็ให้ตายหรือบ้ากันไปข้าง  คุณไสยกระทำได้ทั้งด้วยตนเอง หรือว่าจ้างคนอื่นกระทำ

คุณไสยเป็นวิชามาร อยู่ฝ่ายเวทมนต์ต่ำช้า  ไม่ใช่มนต์ดำ  แต่เป็นมนต์ร้ายของคนชั่ว  ผู้เลือกประโยชน์จากคุณไสยล้วนเป็นคนมีจิตใจชั่วร้ายทั้งสิ้น  ก่อเวรสร้างกรรมแก่ผู้อื่นเพื่อบังเกิดความพึงใจในวิบัติของคนที่ตนไม่ชอบ

คุณไสยมีจริง,  กล่นเกลื่อนในสมัยเก่า  ไม่เป็นที่สงสัย  ไม่ถูกลบหลู่ว่าเป็นของไม่มีจริง  แต่สมัยของวันนี้คุณไสยแทบสาปสูญไปแล้ว  เหมือนป่าช้าผีดุที่กลายเป็นบ้านจัดสรรแสนสุข  ผีที่แสนเฮี้ยนก็สลายไปพร้อมกับการเข้ามาถึงของไฟแสงสีและผู้คนขวักไขว ่คุณไสยก็เช่นกัน   โลกยุคใหม่  แทบไม่มีใครเคยเห็นหรือเคยสัมผัส  คงได้แค่เพียงฟังเขาเล่ากันมาเท่านั้น และ เขาเล่าว่าก็ยังเล่ากันอยู่ในทุกวันนี้

เขาเล่าว่า ..... เรื่องที่  1

ลมเพ ลมพัด


  “รักษ์  มีแสง”    กองสอดแนมพระเครื่องดี  เป็นผู้เล่า  ลมเพ ลมพัด  คือ  กริยาอาการประการหนึ่งของคุณไสยที่ถูกปล่อยออกไปทำร้ายคนอื่นโดยไม่เลือกเป้า  ไม่กำหนดว่าจะกระทำกับใคร  สุดแต่ว่าใครจะเป็นผู้เคราะห์ร้ายไม่เลือกว่าเด็กคนแก่  หญิงหรือชาย

ว่ากันว่าคนเรียนผูกคุณไสยเหล่านั้น  หากถึงกำหนดแล้วไม่ปล่อยคุณไสยออกไป  คุณไสยก็จะเข้าตนเอง  ลมเพ ลมพัด ก็คือ การปล่อยคุณไสยออกไป เพื่อไม่ให้คุณไสย แว้งใส่ตัว จะไปโดนใครก็ช่าง  สุดแต่ลมเพ ลมพัดไป

เด็กนักเรียนในโรงเรียน ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งซึ่งจะต้องสงวนนามเอาไว้แต่จะสมมติให้มีชื่อว่า “บุญสร้าง”  เพื่อเรียกสะดวก

  บุญสร้างกำลังเล่นกีฬากับผองเพื่อนอยู่ดี ๆ เกิดอาการปวดแขน ปวดขากระทั่งหมดแรง เล่นต่อไปไม่ไหว  และ มีอาการลุกลามขึ้นเนือง ๆ ถึงขั้นนอนแบบอยู่กับบ้าน  ลุกไม่ได้  เรียนหนังสือไม่ได้  ต้องให้เพื่อมาช่วยติวที่บ้าน  เหมือนคนเป็นอัมพาตที่ยังใฝ่ศึกษาซึ่งได้เป็นความปวดร้าวใจของพ่อแม่อีกด้วย  สำหรับชะตากรรมของลูกชายที่ไม่อาจหาต้นสายปลายเหตุของความเจ็บไข้  อย่าว่าแต่พ่อแม่เลย  กระทั่งแพทย์ที่ตระเวนรักษาทุกโรงพยาบาลที่เชื่อว่าแพทย์เรืองฝีมือประจำการอยู่ก็ไม่ทราบไม่สามารถวินิจฉัยโรคที่บุญสร้างเป็นได้ถูกต้อง

กาลเวลาผ่านไปเนิ่นนาน  หมดไปทั้งกำลังกาย กำลังใจ และ กำลังทรัพย์หลายหมื่น  อาการของบุญสร้างก็ไม่ดีขึ้นมิหนำกลับเลวลงเรื่อย ๆ

จะเข้าห้องน้ำก็ต้องหิ้วปีกกันเข้า  และ หมดสติไปในที่สุด เป็นที่ทุกข์ใจแก่ญาติพี่น้อง และ ผู้ที่รักบุญสร้างทุกคน

ญาติพี่น้องบางคนถึงกับแนะนำให้พ่อแม่บุญสร้างให้พาบุญสร้างไปหาคนทรง  ในเมื่อแพทย์แห่งยุคสมัยหมดฝีมือแล้วคนทรงก็เป็นทางเลือกเดียวที่จะต้องลองดู

คนทรงบอกว่า  ผู้ที่จะสามารถรักษาโรคของบุญสร้างได้นั้นมีอยู่  เป็นพระภิกษุ  อาศัยอยู่บนภูเขาสูง ในเขตเมืองกาญจนบุรี

คำแนะนำของคนทรงก็แทบจะช่วยอะไรพ่อแม่บุญสร้างไม่ได้  ภิกษุบนเขาสูงในเมืองกาญจนบุรีเพียงองค์เดียวเสียเมื่อไหร่  ภิกษุมากมายในเมืองกาญจนบุรี  ล้วนอาศัยบนเขาสูงทั้งนั้น

วันหนึ่ง  “บุญ”  ของบุญสร้างก็เกิดขึ้น รถยนต์โฆษณาประชาสัมพันธ์ งานพุทธาภิเษกคันหนึ่งแล่นผ่านหน้าบ้าน  และ ใบปลิวแผ่นหนึ่งที่โปรยออกจากรถได้ปลิวเข้ามาในบ้าน  1 แผ่น

ชื่อของหลวงพ่ออุตตมะ ปรากฏอยู่ในใบปลิวแผ่นนั้น หรือนี่จะเป็นภิกษุที่อยู่บนภูเขาสูงซึ่งคนทรงเคยชี้นำเอาไว้
ฟางเส้นเดียวลอยน้ำมา  ในคราจะจมน้ำตายก็ ต้องคว้าไว้ก่อน

พิธีพุทธาภิเษก  จัดกันใหญ่โต  คนมาก  ไม่สามารถเข้าพบหลวงพ่ออุตตมะได้สะดวก  แต่ความพยายามของพ่อแม่บุญสร้างก็บรรลุผล  เมื่อถึงช่วงการพักพิธีพุทธาภิเษก  เจ้าหน้าที่งานพิธีกรุณาให้พ่อแม่บุญสร้างเข้าพบหลวงพ่อได้

หลังจากเล่าทุกข์ และ เล่าอาการของบุญสร้างให้หลวงพ่อทราบ  ท่านจึงขอเทียนเล่มหนึ่ง และ ขอชื่อบุญสร้าง  และ ทำพิธีของท่านไปครู่หนึ่ง

“เด็กถูกลมเพ ลมพัด  รักษาได้  แต่ตอนนี้เรามีภาระพิธีพุทธาภิเษกอยู่หลังพิธีแล้วให้นำเด็กไปพบเราที่หลัง”

เมื่อหลวงพ่ออุตตมะ กลับสู่วัดทุ่งสมอที่ท่านมักอาศัยพำนัก ในขณะที่กลับวัดวังก์วิเวการามไม่ทัน พ่อแม่บุญสร้างก็นำตัวบุญสร้างเข้าพบท่านในคืนเดียวกันนั้น  ซึ่งหลวงพ่อได้เมตตารักษาให้ในเบื้องต้นก่อนทันที่

บุญสร้างก็มีอาการดีขึ้นใน ระดับหนึ่งทันควันเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง

แต่หลวงพ่อได้บอกว่า  การรักษาบุญสร้างครั้งนี้ต้องอาศัยสมุนไพรเข้าช่วยซึ่งตัวท่านเองมีภารกิจมากรุ่งขึ้นต้องไปพิษณุโลก  เห็นจะช่วยเหลือให้ตลอดรอดฝั่งไม่ถนัด  แต่ยังมีผู้ที่ทำได้และสามารถทำแทนท่านอยู่ทุกเวลา

“ท่านชื่อว่าอาจารย์หอม”

หลวงพ่อได้มีลิขิตให้ พ่อแม่บุญสร้างถือไปพบพระอาจารย์หอมโดยลงชื่อของหลวงพ่อกำกับไว้ด้วยเพื่อความสะดวกในการพิจารณารักษาของพระอาจารย์หอม  ผู้ซึ่งเป็นภิกษุลูกวัดอยู่ใน        วัดวังก์วิเวการามของหลวงพ่อเอง  และ มีศักดิ์ฐานะเป็นหลานหลวงพ่ออีกด้วย

ครั้งบุญสร้างถูกนำตัวไปพบพระอาจารย์หอม ตามคำแนะนำของหลวงพ่ออุตตมะแล้ว  พระอาจารย์หอมซึ่งอ่านลิขิตที่หลวงพ่อฝากตัวเด็กแล้วก็ไม่ลังเลที่จะลงมือรักษาอาการเจ็บป่วยของบุญสร้างทันที่

คืนเดียวเท่านั้น เบ้าตาบุญสร้างที่มีน้ำขุ่นเหลืองหล่อหลอม ตลอดเวลาก็แจ่มกระจ่าง  มีประกายสดใส อย่างเห็นได้ชัด  บุญสร้างคลายจากอาการเหม่อลอย  สติฟื้นกลับคืน  อยากจะพูดอยากจะเดิน  ผู้เป็นพ่อแม่ต้องพยุงบุญสร้างที่เกาะราวบันไดเดินเตาะแตะไป เป็นครั้งแรกในรอบ  2  เดือนที่นอนแบบ

เมื่อหลวงพ่ออุตตมะกลับจากพิษณุโลก  ท่านเมตตาทำพิธีให้บุญสร้างอีกครั้งหนึ่งภายในวิหารพระหินอ่อน  และ ส่งตัวให้พระอาจารย์หอมรักษาต่ออีก  2   วัน  บุญสร้างก็หายขาด

เหลือเชื่อที่สุด!!! เหมือนฟ้ามืดตอนกลางคืนที่อาจไม่คิดถึงว่ายังจะมีแสงตะวันปรากฏตอนรุ่งอยู่เสมอ

ผู้เป็นพ่อแม่มีปิติกับลูกชาย อย่างสุดจะระงับได้หอบเงินก้อนโตมาถวายพระอาจารย์หอม  แต่ท่านไม่ยอมรับ  เมื่อพระอาจารย์หอมไม่รับ  ก็หอบไปถวายหลวงพ่ออุตตมะซึ่งท่านก็ไม่รับอีกเช่นกัน

“รับไม่ได้หรอก  ถ้ารับก็เหมือนรับจ้าง  ถ้าอยากจะทำบุญจริง ๆ ให้เด็กบวชเณรให้เรา  7  วันก็พอ”

นี่คือผู้แก้คุณไสยของจริง  ของแท้  ไม่แก้เพื่ออามิสสินจ้าง  แต่เพื่อเป็นทานแก่สัตว์ผู้ตกยากแสดงวิสัยของพระให้เห็นถนัดที่สุด

คุณไสย , เป็นเรื่องตลก และ ไร้สาระหรือไม่ งมงายเหมือนไดโนเสาร์  เต่าล้านปีหลงยุคหรือเปล่า

บทความนี้มีขึ้นเพื่อแนะนำ ผู้แก้คุณไสยที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาอย่างที่เรียกว่าสายตรง ของหลวงพ่ออุตตมะตรงชนิดไม่มิคดงอ  ตรงทั้งหลวงพ่อเป็นผู้บวชให้  ตรงทั้งสายวิชาอาคม  ตรงทั้งจรรยาบรรณผู้แก้ที่มีวิชา.


ที่มา
http://www.masteryuk.net/bb6/viewtopic.php?f=14&t=353

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ลมเพลมพัด?
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 13 มิ.ย. 2554, 12:32:37 »
เรื่องที่ 2 จากเวป pantip โดยคุณ : ชายสมบูรณ์

"แม่จะให้ผมไปรดน้ำมนต์ทำไม ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย เห็นใครเป็นอะไรก็รดน้ำมนต์ทุกที "
ผมมักจะเบี่ยงเบนการไปรดน้ำมนต์ทุกครั้งที่แม่ขอร้องให้ไปเวลารู้สึกว่าผมเป็นอะไรสักอย่างตามความคิดแก
"แม่จะบอกให้ฟังนะเราไม่ค่อยอยู่บ้านจะรู้เรื่องอะไร เมื่อวานยายเหลียวแกโดนเจ้าที่เจ้าทางเล่นงานเกือบตาย ฐานที่แกไปถางหญ้าแล้วมีดพลาดไปโดนจอมปลวกตรงนั้นพอดี เคยเห็นไหมละ จอมปลวกใหญ่ข้างบ้านแก"

ผมแต่งตัวออกจากบ้านไปกินเหล้ากับเพื่อนโดยไม่สนใจอะไรแม่นัก แม่มักเป็นแบบนี้เสมอนั้นละ

ผมกลับบ้านมาตอนดึกมากที่จริงจะบอกว่าเกือบเช้าก็ได้เพราะมันเกือบตี 5 แล้วละตอนนั้น พอเดินใกล้บ้านก็ได้ยินเสียงคนเอะอะกันใกล้ๆบ้าน ใจผมงี้หล่นไปที่ตาตุ่ม คิดว่าใครที่บ้านเป็นอะไรเข้าให้แล้ว
แต่พอเข้าไปใกล้ก้เห็นชัดเลย เด็กข้างบ้านผมนอนตายโดยมีญาติๆและคนแถวนั้นวิจารณ์ให้แซด

"มันเป็นอะไรตายละเนี้ยแม่" ผมถามแม่ แต่แม่ไม่ตอบ ไล่ให้ผมไปอาบน้ำก่อนแล้วมาคุยกัน
เอาอีกละ แม่ผมชอบทำเป็นมีลับลมคมใน
ผมอาบน้ำแล้วก็หลับยาว  ตื่นอีกทีก็ เกือบ 5 โมงเย็น
ตื่นมาถามแม่ว่า "เด็กข้างบ้านเป็นอะไรตาย"
เชื่อไหมครับ แม่ผมแกไม่ตอบหรอกแต่แกกลับบอกผมว่า "เดินไปดูในบ้านหน่อยสิมันยังอยู่ครบหลังไหม"
ผมก็งง ถามว่า "ทำไมเหรอแม่"
แม่ผมก็ตอบกลับมาว่า "ก็นอนกินบ้านกินเรือนขนาดนั้น มันจะเหลืออยู่ไหมละ"
อ้าว แม่นะแม่ ผมไม่ถามแกอีก อาบน้ำเสร็จก็ออกไปกินเหล้าอีก โดนไม่สนใจเรื่องเด็กคนนั้นอีก

ก็นานเหมือนกันที่ผมไม่ได้สนใจอะไรนักเรื่องเกี่ยวกับแถวบ้าน จนวันสงกรานตปีที่แล้วนี้เอง(2547) เด็กแถวบ้านผมชื่อเก๋ ซึ่งผมก็สนิทมาตั้งแต่เขายังเด็กๆเคยเลี้ยงเขาบ้างเป็นบางครั้งคือสนิทกันมาก  ตอนนี้เขาอายุครบ 20 ปีเต็มแล้ว เป็นหนุ่ม ช่วงสงกรานตเขาออกไปเล่นน้ำกับเพื่อนๆ คือนั่งหลังรถกะบะแล้วก็ตะเวนเล่นน้ำไปทั่ว พอกลับมาถึงบ้านคนอื่นๆก็เขาบ้านกันหมดแต่เก๋ขอนอนพักอยู่หลังรถก่อนบอกว่าเมาไปหน่อยของีบนิดนึง
แต่เขาหลับแบบไม่ตื่นมาอีกเลยจนถึงทุกวันนี้ เขาหลับแล้วก็ตายไปโดยหมอก็ไม่กล้าระบุสาเหตุตรงๆ แค่บอกว่าขาดอากาศหายใจ
ตอนนี้ละที่ผมเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเพราะอยากรู้สาเหตุที่แท้จริง แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ

ผมเริ่มถามเด็กพวกที่ไปเล่นน้ำด้วยกันกับเก่ ก็ได้ความว่า เก๋ก็ไม่ได้เมามากนัก แต่คงเล่นมากไป แต่ทุกคนก็ไม่เป็นอะไร บางคนตั้งข้อสังเกตุว่ารอบๆคอเหมือนมีรอยคล้ำๆ บางคนก็บอกว่า ไอ้หนุ่ม เพื่อนมันที่ตายก่อนหน้านี้มาเอามันไปเป็นเพื่อน
แต่มีผู้ใหญ่บางคนบอกไว้ว่า มันโดนลมเพลมพัดเหมือนเพื่อนของมัน แถวบ้านเรามีคนเล่นของแน่ๆ เพราะเคยเห็นดวงไฟสีแปลกๆผ่านหน้าต่างบ้าน

เอาละยิ่งพูดยิ่งไปกันใหญ่ แต่สิ่งที่ผมคิดมากกว่าก็คือ เด็กแถวบ้านผมตายไป 2 คนติดๆ คนหนึ่ง เพิ่งย้ายมาไม่นาน อีกคนอยู่ที่นี้ตั้งแต่เกิด  แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเพิ่งรู้ก็คือ ทั้ง 2คนตายเหมือนกัน

เรื่องเจ้าเก๋ตายนี้ทำเอาผมลำบากไปเหมือนกันเพราะไม่กล้ากลับบ้านดึก เพราะชอบมาเรียกกินเหล้าอยู่บ่อยๆ
ผมเลยแก้ปัญหาด้วยการเมากลับเช้าไม่ก็เมาไม่กลับแทน

เรื่องนี้ก็เงียบไปนานพอดู จนเมื่ออาทิตยที่ผ่านมานี้เอง

   ยายเหลียวก็เกิดล้มนอนฟุบอยู่คาจอมปลวกที่แกเคยไปถางหญ้าไว้ คราวนี้แกไม่ไหวนอนพะงาบๆพี่น้องลูกหลานมาดูใจแกเป็นครั้งสุดท้ายผมเองก็ไปดูเหมือนกันเห็นว่าแกไม่รอดแน่เพราะแกเพ้อว่าไอ้เก๋จะมารับแกแล้ว เขียนไปนี้เสียวหลังไป
แม่ผมนี้ละครับฮีโร่ตัวจริง แกไปหาคนทรงเจ้าที่หนึ่ง แล้วเขาก็บอกมาว่าถ้าเอาออกจากบ้านยายเหลียวตายแน่ ถ้าไม่อยากให้ตาย ก็ให้ยายเหลียวทำบุญเป็นพระประธาน 1 องค เขาบอกว่าบ้านที่ยายเหลียวปลูกไปขวางทางที่เขาเดินทางประจำ วันดีคืนดีก็เข้าตัว เพราะวันพระ เขาจะปล่อยให้บริวารออกมาข้างนอกบ้าง
น่าแปลกที่แม่ผมถามยังไงเขาก็ไม่บอกว่า ใครเป็นตนเล่นของ แบบนี้วันดีคืนดีก็ต้องมีคนโดนของแบบที่เรียกว่าลมเพลมพัดกันอีกแน่ๆ

  หลังจากแม่ผมไปเรี่ยไรเงินมาได้บ้างก็เอาไปให้ลูกยายเหลียวไปซื้อพระขนาดหน้าตัก12นิ้วไปถวายวัด อาการแกก็หายเป็นปลิดทิ้ง แปลกนะผมยังงงกับเรื่องนี้อยู่ เพราะหลังจากเรื่องนี้เกิดขึ้นก็มีคนพูดให้ฟังว่า เคยเห็นกันทั้งนั้นแต่ไม่กล้าพูด บางวันก็เห็นหมาดำตัวใหญ่บ้าง เห็นดวงไฟใหญ่ลอยช้าๆบ้าง

จบนะ

ที่มา
http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/A3270366/A3270366.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 มิ.ย. 2554, 12:33:51 โดย ทรงกลด »

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ลมเพลมพัด?
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 13 มิ.ย. 2554, 12:42:36 »
ลมเพ ลมพัด คืออะไร ?

อันดับแรกก็คือว่าบรรดาหมอไสยศาสตร์วิชาการเขาเรียกง่ายๆว่า มันร้อนเมื่อมันร้อนถึงเวลาถึงวาระอย่างเช่นทุกวันอังคารหรือวันเสาร์เขาจะต้องทำการปล่อยของนั้นออกไปถ้าเขาไม่ปล่อยของนั้นออกไปของนั้นจะเข้าตัวเขาเองเขาก็ต้องทำพิธีของเขาไปสิ่งทั้งหลายที่เขาปล่อยไปนี้เรียกว่า"ลมเพ​-​ลมพัด" ถ้าหากว่าใครมีเคราะห์กรรม​ ​สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เมื่อไปถึงมันจะกระทบทำให้เกิดเสียงดังอย่างเช่นเหมือนยังกับใครสาดทรายใส่หลังคากราวไปเลย​...​หรือไม่ก็มีเสียงใครเคาะข้างฝาโป๊กเป๊กตุ้บตั๊บ​

สมัยนี้เป็นยุคใหม่ บางท่านก็อาจจะคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ หรือเรื่องไม่มีอยู่จริง...แต่สําหรับผม คิดว่าเชื่อไว้ก็ดีไม่เสียหาย เพราะบางทีเราก็ได้รับรู้และหาวิธีแก้. เพราะสิ่งแบบนี้ มันอาจจะเป็นอาถรรพ์ อย่างใดอย่างหนึ่ง ของพวกเล่นของ และร้อนวิชา.

เพื่อนเคยเป็นไหมครับ...บางครั้งเราไปในที่แปลกๆในยามค่ำคืน แล้วรู้สึก หนาวๆ บางทีก็ขนลุก ใจหวิวๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว...ถ้ามีเด็กไปด้วย จะร้องกลัว..และไม่ค่อยยอมเดิน..หรือไปในที่ต่างๆ พอกลับมาบ้าน เด็ก งอแง ร้องไห้ไม่หยุด หรือฝันร้าย ละเมอ โหวกเหวกกลางดึก อะไรทํานองนี้..

วันนีมาด้วยวิธีแก้ อาถรรพ์ ลมเพ-ลมพัด ครับ.
(ถ้าเพื่อนๆที่เข้ามาอ่าน หาว่าผมเพ้อเจ้อ...อิอิ อย่าต่อว่าผมนะครับ)

การแก้มี 2 วิธี

1.ให้ไปทําบุญถวายสังฆทาน อุทิศส่วนกุศลให้ภูติ ผี วิญญาณทั้งหลายที่ตามติดตัวมา มารับส่วนกุศลนี้..และด้วยอํานาจพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสงฆ์คุณ ช่วยปกป้องคุ้มครองรักษาให้ปลอดภัยจากอันตรายทั้งหลาย ทั้งปวงด้วย.

2.หาที่ข้ามเรือ ให้ได้ 3 ท่าข้ามเรือ...เมื่อนั่งเรือข้ามฟากไปแล้ว อย่านั่งเรือข้ามกลับ ถ้าจะกลับมาที่เดิม ก็นั่งรถกลับมา. ยิ่งมือได้สัมผัสกับน้ำยิ่งดีใหญ่ครับ...และในใจให้คิดถึงแม่คงคา ช่วยรับสิ่งไม่ดีไปด้วย....ยิ่งเด็กที่งอแงมากๆ...รับรองได้ ว่าหายงอแง จริงๆ.และขอบอกว่าไม่จําเป็นต้องเอามือเด็กโดนน้ำก็ได้นะครับ...เดี๋ยวจะตกน้ำ ตกท่า..เอามือเราก็พอ...

เคยอ่าน วิธีแก้มีเยอะเป็นสิบวิธีเลยครับ
ที่มา
http://sbntown.com/forum/showthread.php?t=5089

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ลมเพลมพัด?
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 13 มิ.ย. 2554, 12:47:47 »

3. หรืออาจใช้วิธีอาบน้ำกลางแจ้ง

    – เตรียมน้ำอาบ 1 ถัง ใส่ยอดทับทิม และกำเช่า ( ชะเอม ) 5 ก้าน
    – สถานที่อาบ ต้องเป็นพื้นดินชั้น 1 กลางแจ้งเท่านั้น
    – เวลาใกล้เที่ยงให้กางผ้าใบรอบตัว โดยเปิดส่วนหัวเพื่อให้แสงอาทิตย์ส่องลงมา
    – พอเวลาเที่ยงตรง 12.00 น. ให้ตักน้ำอาบตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า อย่างน้อย 3 ครั้ง
ตั้งใจทำน้ำมนต์ด้วยความเคารพในคุณพระรัตนตรัย ใช้อิติปิโสฯ ทั้งหมดก็ได้ เอาน้ำมนต์นั้นราด รดหรือให้เขารับประทานก็จะแก้ได้ หรือไม่ก็ไปหาพระที่คุณธรรมพอทรงความดีพอให้ทำน้ำมนต์รดให้ราดให้ ก็สามารถแก้ได้ถอนได้ไสยศาสตร์จริง ๆ แล้วไม่น่ากลัว เพราะว่ากำลังใจของเขาเข้าถึงจุดสูงสุดของการภาวนาไม่ได้ เนื่องจากจิตที่มุ่งร้ายต่อผู้อื่น คิดร้ายต่อผู้อื่นทำให้ขาดตัวอุเบกขาในอารมณ์ฌาน ถ้าไม่มีฌานจะเข้าถึงกำลังสูงสุดไม่ได้ เราภาวนาให้กำลังใจทรงตัว แค่เกินอุปจารสมาธินิดหนึ่งไม่ต้องถึงปฐมฌาน ของเขาก็ทำอะไรเราไม่ได้แล้วแต่อย่าเผลอสติ ถ้าเผลอสติ จะโดนได้
  หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยแนะนำว่า ให้เราภาวนาในตอนเช้าให้กำลังใจทรงตัว แล้วอาราธนาบารมีพระ คือว่ามีพระเครื่องติดตัว ตั้งใจขอบารมีพระให้คุ้มครองเรา ภาวนาให้กำลังทรงตัว แล้วกลืนน้ำลาย ๓ ครั้ง จะสามารถป้องกันอันตรายพวกเหล่านี้ได้ทั้งวัน สำคัญอยู่ว่ากำลังใจของเราทรงตัวไหม ? แก้ได้ถ้าสมาธิเราดีพอ ตั้งใจขอบารมีพระทำน้ำมนต์ด้วยตัวเองก็ได้ อิติปิโสฯ ทั้งจบน่ะง่ายที่สุด


ที่มา
http://www.horolive.com/astrology/r-tun.html

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ลมเพลมพัด?
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 13 มิ.ย. 2554, 12:53:01 »
สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔

ถาม : ทีนี้พวกที่เล่นไสยศาสตร์ พวกอาคมอะไรอย่างนี้จะมีการปล่อยของตามวันพระ ช่วงวันพระเราจะทำอย่างไรที่จะไม่ให้โดนของที่เขาปล่อย หรือว่าช่วยคนที่ถูกของที่ปล่อยออกมาแล้ว ให้เขาทุเลาลง ?
ตอบ : แยกเป็น ๒ ประเด็น อันดับแรกก็คือว่า บรรดาหมอไสยศาสตร์ วิชาการเขาเรียกง่าย ๆ ว่า มันร้อน เมื่อมันร้อนถึงเวลาถึงวาระ อย่างเช่น ทุกวันอังคารหรือวันเสาร์ เขาจะต้องทำการปล่อยของนั้นออกไป ถ้าเขาไม่ปล่อยของนั้นออกไป ของนั้นจะเข้าตัวเขาเอง เขาก็ต้องทำพิธีของเขาไป สิ่งทั้งหลายที่เขาปล่อยไปนี้เรียกว่า “ลมเพ-ลมพัด” ถ้าหากว่าใครมีเคราะห์กรรม สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เมื่อไปถึงมันจะกระทบ ทำให้เกิดเสียงดัง อย่างเช่น เหมือนยังกับใครสาดทรายใส่หลังคากราวไปเลย...หรือไม่ก็มีเสียงใครเคาะข้างฝาโป๊กเป๊ก ตุ้บตั้บ

โบราณถึงได้แนะนำว่า ถ้าได้ยินเสียงอะไรผิดปกติอย่าไปเอ่ยปากทัก ถ้าหากว่าเอ่ยปากทักของดีแค่ไหนก็คุ้มไม่ได้ เหมือนกับเราเป็นเจ้าของบ้านแล้วเราเปิดประตูบ้านให้โจรมันเข้ามา ตำรวจเขาเห็นเจ้าของบ้านเต็มใจต้อนรับ คิดว่าคนรู้จักกันก็ไม่มายุ่งด้วย

ประเด็นที่สอง ถ้าหากว่าถ้าเรากลัวจะโดนของนั้น อันดับแรกอย่าไปเอ่ยปากทักอะไรง่าย ๆ อันดับที่สอง พยายามภาวนาให้กำลังใจของเราทรงตัว จะได้มีสติอยู่กับตัวเราเสมอ ไม่ตกใจอะไร ถ้าตกใจง่าย ๆ เอ่ยปากทักอะไรขึ้นมา เขาจะเข้าแทรก เข้าสิง เข้าทับได้ หรือว่าจะมีผลให้ร้ายได้ในตอนนั้น

ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่เราว่าจะช่วยคนเหล่านี้ได้อย่างไร ถ้าเขาโดนแล้ว ตัวเราเองถ้ามั่นใจตัวเองว่าเราทรงความดีระดับหนึ่ง เอาแค่ว่าทรงปฐมฌานได้ก็พอ ทรงปฐมฌานตั้งใจทำน้ำมนต์ด้วยความเคารพในคุณพระรัตนตรัย ใช้อิติปิโสฯ ทั้งหมดก็ได้ เอาน้ำมนต์นั้นราด รดหรือให้เขารับประทานก็จะแก้ได้ หรือไม่ก็ไปหาพระที่คุณธรรมพอทรงความดีพอให้ทำน้ำมนต์รดให้ราดให้ ก็สามารถแก้ได้ถอนได้

ไสยศาสตร์จริง ๆ แล้วไม่น่ากลัว เพราะว่ากำลังใจของเขาเข้าถึงจุดสูงสุดของการภาวนาไม่ได้ เนื่องจากจิตที่มุ่งร้ายต่อผู้อื่น คิดร้ายต่อผู้อื่นทำให้ขาดตัวอุเบกขาในอารมณ์ฌาน ถ้าไม่มีฌานจะเข้าถึงกำลังสูงสุดไม่ได้ เราภาวนาให้กำลังใจทรงตัว แค่เกินอุปจารสมาธินิดหนึ่งไม่ต้องถึงปฐมฌาน ของเขาก็ทำอะไรเราไม่ได้แล้วแต่อย่าเผลอสติ ถ้าเผลอสติ จะโดนได้

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยแนะนำว่า ให้เราภาวนาในตอนเช้าให้กำลังใจทรงตัว แล้วอาราธนาบารมีพระ คือว่ามีพระเครื่องติดตัว ตั้งใจขอบารมีพระให้คุ้มครองเรา ภาวนาให้กำลังทรงตัว แล้วกลืนน้ำลาย ๓ ครั้ง จะสามารถป้องกันอันตรายพวกเหล่านี้ได้ทั้งวัน สำคัญอยู่ว่ากำลังใจของเราทรงตัวไหม ? แก้ได้ถ้าสมาธิเราดีพอ ตั้งใจขอบารมีพระทำน้ำมนต์ด้วยตัวเองก็ได้ อิติปิโสฯ ทั้งจบน่ะง่ายที่สุด

ถาม : ถ้าเราไปช่วยเขาแล้ว กลัวว่าของนั้นจะเข้ามาที่ตัวเรา
ตอบ : ตอนที่เราช่วยเขาไม่เข้าหรอกเพราะว่าบารมีพระ ถ้าเรายึดมั่นจริง ๆ ของนั้นจะสลายตัวไปเลย แต่พวกท่านทั้งหลายที่เล่นไสยศาสตร์ มักจะรู้ว่าใครเป็นคนช่วย บางทีเขาเลี้ยงผีไว้ด้วย
ผีฟ้องเขาก็หันมาเล่นงานเราแทน เราเองน่ะโอกาสเผลอมันมี เหมือนคนจ้องขโมยกับคนระวังไม่ให้โดนขโมยของ ให้คนระวังระวังอย่างไรเดี๋ยวก็พลาดจนได้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่ใช่กรรมอันเนื่อง
กันมาจริง ๆ ประเภทมาล้มพราด ๆ มาดิ้นอยู่ตรงหน้า อย่าไปยุ่งกับเขาเลย อันตรายเปล่า ๆ

ถาม : ถ้าเราจำเป็นจริง ๆ ที่จะต้องช่วย มีวิธีที่จะป้องกันตัวเราในระยะยาวอย่างไร ?
ตอบ : ทำตะกรุดหรือผ้ายันต์ด้วยพุทธมนต์ ถ้าอาราธนาพระสงเคราะห์ได้ก็วิเศษเลย ติดตัวไว้บอกให้อาราธนาทุกวันและอย่าเอาออกจากตัวจะป้องกันได้ ถ้าหมดท่าจริง ๆ ก็พระเครื่อง
จากสำนักที่เรามั่นใจว่าท่านทำขึ้นมาด้วยคุณพระรัตนตรัยแน่ ๆ บอกให้ติดตัวไว้และอาราธนาทุกวัน ป้องกันได้

ที่มา
http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1178

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ลมเพลมพัด?
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: 13 มิ.ย. 2554, 01:20:30 »
สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ ๒
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔

ถาม : มีคนเขาเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นเจ้าค่ะ มีญาติของเขาอยู่คนหนึ่ง ตอนสี่ทุ่มนี่ยังคุยกันแบบคนปกติอยู่ดี ๆ พอใกล้ห้าทุ่ม เขาเกิดอาการมึนงงศีรษะ แล้วมีอาการพูดจาเพ้อเจ้อ พูดอะไรไม่รู้เรื่องเลย

ทางบ้านบอกว่า ดูอาการแล้วไม่ไหวแน่ ก็เลยพาส่งโรงพยาบาล พอพามาถึงโรงพยาบาลหมอตรวจแล้ว มีน้ำบวมอยู่ในสมอง แล้วหมอบอกว่า คนนี้จะอยู่ได้ไม่ถึงเจ็ดวันค่ะ

ญาติของเขาจึงพาไปหา... ไม่ทราบว่าเขาไปหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรที่ไหนเจ้าค่ะ หลังจากนั้น ๓ วัน สมองที่บวมอยู่ที่หมอบอกว่าคนนั้นจะเสียชีวิต ก็ยุบลง แล้วหมอก็ไล่บอกว่ากลับบ้านได้แล้ว ไม่เสียชีวิตแล้ว ทีนี้ไม่ทราบว่าพลังอะไรที่มีผลให้เป็นอย่างนั้นได้เจ้าคะ ?

ตอบ : ของลักษณะนั้น อาจจะโดนไสยศาสตร์ที่โบราณเขาเรียกว่า "ลมเพลมพัด"

ลักษณะของการโดนลมเพลมพัด จะทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยพิลึกพิลั่นเกิดขึ้นกับร่างกาย หมอทั่ว ๆ ไป เขาตรวจเขาจะหาสาเหตุไม่ออก หรือว่าถึงรู้สาเหตุเขาก็รักษาไม่ได้

คราวนี้พอเข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หรือหลวงปู่ หลวงพ่อที่ท่านมีความสามารถก็ดี ของพวกนี้ไม่สามารถต้านทานอำนาจความดีได้ ก็จะสลายตัวไป เท่ากับว่าหายเป็นปกติ


ถาม : พวกนี้เสื่อมลงไปได้ใช่ไหมเจ้าคะ?
ตอบ : ได้จ้ะ...ถ้าหากว่าเจอของที่มีอานุภาพสูงกว่าข่มเข้าก็ไม่เหลือ

อย่างในงานเป่ายันต์เกราะเพชรที่ผ่านมา มีพวกที่โดนของไปร่วมงาน อาการก็หายไปหลายคน

ถาม : ผมไปที่วัดป่าถ้ำอาชาทองครับ หลวงพ่อครูบาท่านบอกว่า ท่านโดนของแบบว่าประจำเลย ถ้าเกิดเวลาเผลอสติของนี่จะเข้าตัวทันที ทำไมถึงเข้าได้ละครับ เพราะว่าท่านรับยันต์เกราะเพชรเหมือนกัน ?
ตอบ : เรื่องของยันต์เกราะเพชรนั้น สำคัญตรงที่ว่า เราได้อาราธนาหรือเปล่า ?

หลวงพ่อฤๅษีฯท่านถึงได้ย้ำนักย้ำหนาว่า ตอนเช้าต้องภาวนาอิติปิโสฯ ให้อารมณ์ใจทรงตัวแล้วตั้งใจนึกถึงพระ กลืนน้ำลาย ๓ ครั้ง จะคุ้มครองได้ทั้งวัน

ที่มา
http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2370

ออฟไลน์ pronpinun

  • ปฐมะ
  • *
  • กระทู้: 1
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: ลมเพลมพัด?
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: 13 มิ.ย. 2554, 02:25:16 »
 :086:

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ลมเพลมพัด?
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: 13 มิ.ย. 2554, 02:44:41 »
:086:
เกิดอะไรขึ้นครับ :062:
===================================================================
เรื่อง : นาคบาศ
.          ค รู บ า ฟ้ า ผ่ า ค รู บ า ฟ้ า ผ่ า แดดยามเย็นสาดแสงเศร้า ๆ เข้ามาทางหน้าต่างตะ วันตก แสงบางส่วนตกต้องร่างผอมบางของพ่อดูเศร้าหมอง พ่อนอนแบ็บติดฟูกผืนบางซึ่งปูลาดกับพื้น ร่างกายท่อนบนพ้น ขอบผ้าผวยดูผ่ายผอม กระดูกสีข้างขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวตามลม หายใจ เหงื่อผุดพราวตามหน้าผาก ซอกคอ พับแขนและรักแร้ "พ่อ"
.          ผมเรียกเบา ๆ เอื้อมมือไปหมายจะลูบเช็ดเหงื่อไคลให้ แต่เปลี่ยนใจไปหยิบพัดกาบหมากมาโบกพัดให้แทน
.          ลมลูบผ่านผ้าผวยผืนบางซึ่งคลุมร่างท่อนล่าง ผิวผ้ามีริ้ว คลื่นพลิ้วไหวอยู่บ้าง ผมเลิกผ้าแผ่วเบา รู้สึกสะท้อนใจเมื่อเห็น โคนขาหลวมโพรก หัวเข่าปูดโปน และปลีน่องร่วนคลาย "พ่อ"
.          แดดยามเย็นสาดแสงหม่นเศร้า พ่อยังไม่รู้สึกตัว ยังนอน แผ่หราท่าเดียวเฉกเช่นทุกวันที่ผ่านมา พ่อนอนมาร่วมสองเดือน แล้ว พ่อล้มป่วยลุกไม่ขึ้นมาร่วมสองเดือนแล้ว สงสัยจะเป็นอัม พาต แต่พ่อไม่เชื่อว่าตัวเองเป็นอัมพาต พ่อเชื่อว่าพ่อถูกของ หรือโดนคุณไสยประเภทลมเพลมพัด พ่อพูดว่า
.          "พ่อขุดแต่งฝั่งเหมืองอยู่ดี ๆ จู่ ๆ ก็มีผึ้งมาต่อยหลังขา ต่อย แรงเหมือนโดนคนถีบ พ่อหน้าคะมำตกฝั่งเหมือง แล้วพ่อก็ลุก ไม่ขึ้นมาแต่วันนั้น"
.          พ่อขยับตัว ครู่ต่อมาก็ลืมตาขึ้น แดดอ่อนโรยเลยจากตัว พ่อไปตกต้องข้างฝา ลมนอกบ้านลูบระยอดไผ่เกิดเสียงซ่าซู่ พ่อ ยันตัวลุกนั่งด้วยแรงแขน ผมรีบเลื่อนหมอนสอดรองข้างหลัง พ่อ พ่อมองชุดนักเรียนชั้นมัธยมปลายของผมแล้วถามว่า "มีใครได้ข่าวครูบาฟ้าผ่าบ้างไหม ท่านล่องลงมาละยัง" "ยังเลยพ่อ" ผมถอนใจ เลื่อนตาลงต่ำมองขาผอมลีบ ของพ่อ "ผมว่าไปโรงยาเถอะพ่อ ไม่ไปมันไม่หาย"
.          "มึงอย่ามาอวดรู้กว่ากู" น้ำเสียงน้ำคำของพ่อเปลี่ยนเป็น หงุดหงิดฉุนเฉียวขึ้นมาทันที "กูเป็นพ่อหมอ กูรู้ตัวกูดี ไอ้หมอ สมัยใหม่จะมารู้เรื่องรู้ราวอะไรกับคุณไสยลมเพลมพัด ดีไม่ดี มันเอามีดตัดขากูทิ้ง"
.          พ่อเอื้อมหยิบบุหรี่พื้นเมืองมาจุดสูบ ควันยาสีเทาทึบแผ่ เป็นผืนเมื่อผ่านแดด บ้านเงียบ มีแต่เสียงนกเขาขันมากุ๊กกรู กุ๊กกรู ไม่มีเสียงแม่ พี่สาว พี่เขย มีแต่เสียงนกกับเสียงลมพาน ยอดไผ่ไหวเอน "แม่มึงไปไหน ไอ้หล้า" "ไม่รู้เหมือนกัน กลับมาผมก็ไม่เห็นแม่แล้ว" "ผัวขาแข็งลุกไม่ขึ้น ไม่ยอมมาอยู่ใกล้ใช้สอย กูยังไม่ ตาย เสือกกลัวผีกูกันหมด" "พ่อกินน้ำไหม น้ำเย็น ๆ นะพ่อ ผมจะตักให้"
.          "มึงอีกคน จะไปไหนก็ไป ไม่ต้องมาเคล้าแข้งเคลียขาเป็น ลูกหมาลูกแมว ไปพ้นหน้าพ้นตากูก่อนไอ้หล้า อยากได้อันใดกู ค่อยเรียกเอา" ชานหลังโปร่งโล่ง แดดยามเย็นเลยพื้นชานไปสาด จับฝาเรือน เรือนนี้เป็นเรือนไม้กระดานหลังเก่า สร้างมาแต่เมื่อ ไรผมเองลืมเลือนไปแล้ว ดูเหมือนจะยี่สิบปีแล้วกระมัง ก่อนผม เกิดเสียอีก พอจำความได้ผมก็อยู่เรือนหลังนี้แล้ว ยังมั่นคงแข็ง แรงดีมาก แม่รักและเอาใจใส่เรือนเหมือนเอาใจใส่ลูก ๆ แม่บอก ว่า
.          "น้ำเหื่อน้ำแรงพ่อเอ็งทั้งนั้น มีอยู่ครั้งหนึ่ง คนบ้านหล่าย เหมืองเป็นโรคขาลากขาคู้ ไปรักษาถึงโรงยาก็ไม่หาย พ่อเอ็งเทียว ไปตกยามันอยู่ครึ่งปีก็หาย เรือนมันเก่า มันจะสร้างเรือนใหม่ มันเลยขายให้พ่อเอ็งครึ่งราคาเท่านั้น"
.          ไม้กระดานชานหลังเป็นไม้หนาตีห่างกันขนาดนิ้วมือลอด ได้ ตากแดดมาครึ่งวัน นั่งลงจึงอุ่นก้น เอนหลังพิงโอ่งน้ำก็รู้สึก อุ่นหลัง ชานเรือนลมโกรกแรง กลับจากโรงเรียนผมชอบมานั่ง ตรงนี้ ทบทวนบทเรียนบ้าง ทำการบ้านบ้าง มันโปร่งโล่งลมพัดเย็น ดี ข้อสำคัญคือเวลาพ่อเรียก ผมลุกแล่นไปหาได้เร็วทันใจพ่อ
.          ตั้งแต่ลุกไม่ขึ้นในช่วงสองเดือนมานี้ พ่อขี้มักหงุดหงิดฉุน เฉียวง่าย หากพ่อโมโหขึ้นมา อย่าว่าแต่ผมหรือพี่เลย แม้แต่แม่ก็ ยังเข้าหน้าไม่ติด นอกจากนี้ ผมว่าพ่อเป็นคนดึงดื้อถือทิฐิ อย่าง เรื่องเจ็บป่วยคราวนี้ ไม่ว่าผมหรือพี่หรือแม่จะอ้อนวอนขอร้อง ให้พ่อไปโรงพยาบาลอย่างไร พ่อก็ยังยืนยันว่าไม่อยู่คำเดียวนั่น เอง "ไอ้หล้า เอาน้ำมันมนต์ให้พ่อ"
.          เสียงพ่อเรียกหา ผมยกขวดโหลจุน้ำมันมนต์เข้าไปใน ห้อง น้ำมันมนต์มีตัวยาประกอบอาคมตามความเชื่อถือแบบพื้น บ้าน เหมือนจะมีสมุนไพรชนิดหนึ่งชื่อหญ้าเอ็นยืดอยู่ด้วย นอก นั้นผมจำไม่ได้
.          พ่อเปิดฝาโหล เอาไม้ชุบลงจุ่มน้ำมันแล้วเอาขึ้นมาเกลือก ทาที่ต้นขา ดวงหน้าในแสงใกล้ค่ำดูเหี่ยวตอบ ลูกคนเล็กของ พ่อรี ๆ รอ ๆ จะออกไปทำการบ้านต่อก็กลัวโดนดุ จะอาสาทา น้ำมันให้ก็กลัวไม่เป็นที่ถูกใจ พ่อหมอเงยหน้าขึ้น สีหน้าดูผ่อนคลาย พูดกับผมว่า "พ่อฝันว่าครูบาฟ้าผ่าล่องลงมาเมืองเราแล้ว"
.          ผมมองเห็นอะไรบางอย่างคล้ายประกายแวววับในดวงตา พ่อ พ่อมักฝันถึงครูบาฟ้าผ่า ล่วงเลยมาถึงวันนี้คืนนี้ ครูบาฟ้า ผ่าคล้ายจะเป็นความหวังอันสุดท้ายของพ่อ อื่น ๆ ใด ๆ นอก จากปาฏิหาริย์จากครูบาฟ้าผ่า พ่อคงเลิกหวังไปแล้ว
.          ตอนป่วยใหม่ ๆ พ่อยังมีความหวังหลายอย่าง แต่ละอย่าง ก็ทดลองมาจนหมดเงินหมดทองไปหลาย ยาพื้นบ้าน ยาผีบอก ผีกล่าวใด ๆ พ่อก็ได้ทดลองมาหมด เจ้าพ่อเจ้าแม่สำนักไหนที่ คนลือว่าดี พ่อก็กระเสือกกระสนไปจนถึง นอนไปบนรถกระบะ เหมาเช่าราคาแพง ค่าหยูกยาก็ใช่ว่าจะถูก กี่เจ้าต่อกี่เจ้า กี่หมอ ต่อกี่หมอ ทั้งหมอยา หมออาคม หมอสวดถอนเรียกพรหม เรียกพรายอะไรก็รักษามาหมด ไม่กระเตื้องขึ้นเลย "ลมเพลมพัดคืออะไรพ่อ"
.          ครั้งหนึ่ง ตอนป่วยได้ไม่นานผมเคยถาม พ่อตอบทำนอง ว่า ลมเพลมพัดคือการถ่ายเทคาถาอาคมหรือคุณไสยที่ร้อนแรง เกินไปให้ออกไปจากตัวเสียบ้าง หากไม่ถ่ายออกไป คุณไสยจะ กลับเข้าเล่นงานตัวเอง
.          "มันไปกับลม ไม่เจาะจงว่าจะเล่นงานใคร ใครโดนเข้าท่าน ถึงเรียกว่าลมเพลมพัด" "พ่อล่ะ พ่อเคยถ่ายเทออกไปบ้างไหม" "พ่อก็เคยถ่าย ของพ่อยิ่งร้าย เป็นคาถาพญาเสือโคร่ง หากไม่ถ่ายพ่ออาจกลายเป็นเสือสมิงไปนานแล้ว"
.          พ่อหมดเปลืองค่ารักษาไปเยอะ ผมว่าถ้าไปรักษาที่โรง พยาบาลอาจสิ้นเปลืองน้อยกว่านี้ด้วยซ้ำ อาจหายดีตั้งนานแล้ว ด้วยซ้ำ แต่จนแล้วจนรอดพ่อก็ยังไม่ยอมเข้าโรงพยาบาลอยู่นั่น เอง พ่อคงดึงดื้อถือทิฐิว่าตัวเองเป็นพ่อหมอ หากพ่อยอมเข้า โรงพยาบาลแล้ว ต่อไปคงไม่มีใครเชื่อถือในวิชารักษาแบบพื้น บ้านของพ่อ
.          วันคืนล่วงเลยมา พ่อเกือบปลงใจยอมรับเสียแล้วว่าคง ต้องง่อยหงิกเสียขาไปตลอดชีวิต แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่งพ่อก็ฝัน ถึงครูบาฟ้าผ่า ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาพ่อก็ตั้งตาคอย คอยแล้ว คอยเล่า คอยทั้งที่ไม่รู้ว่าครูบาฟ้าผ่าเป็นใครอยู่ที่ไหน มีตัวตน อยู่หรือตายไปแล้ว
.          "คนลือกันว่าท่านเป็นตนบุญวิเศษ" พ่อบอก "ฟ้าผ่าผ่าลง ปลายไม้ ต้นไม้ไหม้ กลดไหม้ แต่ตนท่านเข้าฌานล้ำลึก สุดแต่ ฟ้าก็ผ่าไม่ถึงท่าน ท่านล่องลงมาแล้ว ท่านบอกพ่อว่าจะเอายามา ให้พ่อ"
.          วันแล้ววันเล่า พ่อยังคงจดจ่อรอคอยบุคคลในความฝัน ช่วงนั้นผมเองห่างพ่อไปบ้างเพราะการบ้าน รายงานและกิจกรรม เสริมหลักสูตรพันตีนพันมือไว้ยุ่งเหยิง การเรียนก็หนักหน่วง ช่วงนั้น กำหนดสอบแข่งขันทักษะทางวิทยาศาสตร์ก็ใกล้เข้า มา เหตุนี้เอง เด็กมัธยมปลายโปรแกรมวิทยาศาสตร์จึงไม่ค่อย ว่าง ประเดี๋ยวเคมี ประเดี๋ยวชีวะ ประเดี๋ยวฟิสิกส์ แม้โรงเรียน ที่ผมเรียนเป็นเพียงมัธยมระดับตำบลเท่านั้น แต่อาจารย์ก็ตั้ง หวังไว้มากเหมือนกัน ท่านว่าอย่างน้อย ๆ พวกเราคนใดคนหนึ่ง น่าจะได้เหรียญทองแดงในระดับจังหวัดสักเหรียญ จะได้เป็น เยี่ยงอย่างแก่เด็กรุ่นน้องสืบไป "ไอ้หล้า เอากลักยาให้พ่อ"
.          เย็นวันหนึ่งที่พ่อป่วยมาแล้วร่วมสี่เดือน พ่อก็เรียกใช้ผม เฉกเช่นปรกติ ผมวางแบบทดสอบความพร้อมทางวิทยาศาสตร์ ไว้กับพื้นชาน แล้วลุกไปหยิบกลักยาสูบเข้าไปให้ "ครูบาฟ้าผ่าไม่มาเข้าฝันพ่ออีกหรือ" "บ่มา"
.          พ่อถอนใจยาว ก้มหน้าซ่อนสีหน้าเศร้าหมอง มวนบุหรี่ เหมือนคนใจลอย จุดดูดจนแก้มตอบวาบ ไม่เฉพาะเพียงร่าง ท่อนล่างเท่านั้นที่เหี่ยวฝ่อ ร่างท่อนบนก็พลอยทรุดโทรมไปด้วย แก้มเหี่ยวมีรอยเป็นริ้ว ผมหงอกขาว ตามัวขุ่นแดงเหมือนคน นอนไม่หลับ อาการเบื่ออาหารกำเริบหนัก แกงนกเขียวเคยเป็น ของโปรดกลับบอกว่าเหม็นเขียว ลาบหมู ลาบงัว ลาบควาย เคยกินจนปากเปรอะกลับบอกว่าเหม็นคาว "แต่ผมฝันนะพ่อ ฝันว่าครูบาฟ้าผ่ามาแล้ว ในฝันท่านยัง ยิ้มให้ผมเลย" "หือ? จริงหรือ เอ็งหลอกพ่อหรือเปล่า ไอ้หล้า" "ผมฝันจริง ๆ ท่านบอกว่าให้พ่อกินข้าวกินปลามาก ๆ เสร็จภาระทางต้นแม่น้ำ ท่านจะล่องตามแม่น้ำลงมา"
.          เงยหน้าสบตาพ่อ ผมฝันถึงท่านจริง ๆ ผมเองไม่เคยเห็น ท่าน แต่จากปากคำของพ่อที่พร่ำบอกกรอกหูอยู่แทบทุกเมื่อเชื่อ วัน ผมอาจเกิดการยอมรับจนเก็บเอาไปฝันถึงท่านก็เป็นได้ "สาธุ" พ่อจ้องหน้าผมนานแล้วยกมือขึ้นจบ "ครูบาเจ้าจง มาโปรดข้าเจ้าให้หายวันหายคืนทีเทอะ"
.          น้ำเสียง สีหน้าและแววตาของพ่อส่อแววลิงโลดจนเหมือน มันจะกระโดดออกมาเต้น อารมณ์ขุ่นมัวเหมือนจะหายไป พ่อสูบ บุหรี่วาบ ๆ อิ่มควัน และคงจะอิ่มใจด้วยกระมัง พ่อเล่าเรื่องครู บาฟ้าผ่าด้วยน้ำเสียงนอบน้อมศรัทธาว่า ท่านจะเป็นคนเชื้อใด ชาติใดไม่ชัด ท่านขึ้นล่องโปรดคนตั้งแต่ลุ่มน้ำปิงขึ้นไปถึงลุ่ม คงเหนือไกลไปโพ้น อยู่เมืองเรา ท่านพูดคำเรา เข้าเมืองม่าน ท่านพูดคำม่าน ตกแดนกูลาท่านพูดกูลา คำเล่าลือถึงอภินิหาร ของท่านมีหลากหลายใช่แต่เพียงฟ้าผ่าไม่ตายเท่านั้น เขาว่า ท่านมีวิชาล่องหนหายตัว มีวิชาย่นย่อพสุธา บางครั้งเดินไปบน ยอดหญ้า บางครั้งฝนตกแต่ไม่เปียก เขาว่ามีเทวดากางร่มทิพย์ บังฝนให้ท่าน ทุกเช้าพ่อจะตื่นเช้ากว่าใครเพื่อน
.          ตื่นแล้วมักเร่งแม่ให้รีบนึ่งข้าวต้มแกงเตรียมใส่บาตรพระ บางเช้าพบพระแปลกหน้า พ่อก็มีอาการปากสั่นมือสั่น ยกก้อน ข้าวขึ้นจบแล้วถามว่า สาธุเจ้าคือครูบาฟ้าผ่าใช่หรือไม่ ครั้นได้รับ คำปฏิเสธพ่อก็ยังไม่หมดความหวัง ยังคงตั้งใจ มุ่งมั่นและเชื่อ มั่นว่าขาของพ่อจะหาย จะลุกเหินเดินได้ด้วยฤทธิ์อำนาจของ ครูบา "ท่านต้องมา ไม่มาวันนี้ก็มาวันหน้า"
.          พ่อดูมีน้ำมีนวลขึ้นมาบ้าง ตั้งแต่วันที่ผมฝันว่าครูบาฟ้า ผ่ากำชับให้พ่อกินข้าวมาก ๆ พ่อก็กินข้าวกินปลาได้เยอะขึ้น ฝืนใจกิน กระเดือกลงคอลวก ๆ เครื่องดื่มบำรุงกำลังจำพวก ไมโลโอวัลตินที่พี่เขยซื้อมา แต่ก่อนพ่อไม่ยอมแตะจนมันแห้งแข็งคากระป๋อง ตอนนี้พ่อยอมรับมันแล้ว แม่จะเป็นคนชงให้ วันละสองเวลา ตอนเช้าก่อนใส่บาตรพระกับตอนกลางคืนก่อน นอน
.          เช้าวันหนึ่ง สีหน้าพ่อดูคึกคักแจ่มใสกว่าวันก่อน ๆ พ่อ สั่งให้ผมกับพี่เขยพยุงพ่อไปนั่งตั่งหน้าบ้าน แดดส่องอ่อน ๆ แถว แนวพระเณรเดินคุมบาตรย่างผ่าน พ่อใส่บาตรนอบน้อมตั้งใจ จนพระเณรผ่านไปหมดแล้วพ่อก็ยังไม่ยอมลุก "ขึ้นบ้านเถอะพ่อ" "เดี๋ยวก่อน รอก่อน ครูบาฟ้าผ่าท่านอาจจะมาวันนี้"
.          วันนั้นท่านไม่มา พ่อไม่หมดหวัง ความหวังอาจริบหรี่ลง แต่คงไม่หมดเสียทีเดียว วันต่อมาผมไม่ทราบ เพราะรอจนสาย แดดงายแจ่มกล้าท่านก็ไม่มา ผมต้องรีบไปโรงเรียนแล้ว ต่อมา อีกวันเป็นวันเสาร์ พ่อรออยู่จนสาย จนข้าวเหนียวในกล่องเย็น ลงท่านก็ยังไม่มา "พาพ่อขึ้นเรือนเถอะ ไอ้หล้า" "เดี๋ยวก่อนพ่อ" พี่เขยทักท้วง "มาโน่นอีกองค์"
.          พี่เขยชี้ พ่อมีอาการขนลุก พ่อยกมือจบตั้งแต่พระแปลก หน้ารูปนั้นยังอยู่แต่ไกล ท่านเดินเข้ามา ดูชรา เนิบนาบ อ่อนโยน จีวรท่านเป็นสีฝาด สายตาสรุปสำรวม พ่อมีอาการปีติน้ำตา ไหล พ่อยกกล่องข้าวเหนียวขึ้นจบ มือสั่นปากสั่น "ครูบาฟ้าผ่า ตนท่านมาโปรดข้าเจ้าแล้ว"
.          ท่านละสายตาจากปากบาตรขึ้นมองหน้าพ่ออยู่อึดใจหนึ่ง สายตาท่านแจ่มใส ปากท่านยิ้มน้อย ๆ ผมเองแม้เป็นเพียงนัก เรียนมัธยมปลาย แต่ผมก็พบเห็นพระเณรมามากพอสมควร ผมยังไม่เคยเห็นพระรูปใดน่าเลื่อมใสอย่างท่าน "สาธุ ครูบาเป็นเจ้า" พ่อยกมือจบท่วมหัว "ข้าเจ้ารอครูบา มาร่วมสามสี่เดือนแล้ว ในที่สุดตนท่านก็มาโปรดข้าเจ้าให้หาย ให้ลุกเหินเดินได้อย่างเก่า"
.          ท่านรับของที่ใส่บาตร สายตาแน่วนิ่งสำรวมเหมือนจะอ่าน หัวจิตหัวใจของพ่อ "โยมเป็นอะหยังหือ" "ข้าเจ้าโดนของ มีคนเสกของมาเข้าตัวข้าจนตกลงเหมือง แล้วก็ลุกไม่ขึ้นร่วมสี่ห้าเดือนมาแล้ว ขาหดลีบหมดแล้ว"
.          ท่านนิ่งไปอีก สายตาแจ่มใสยังมองนิ่งที่หน้าพ่อ มองอยู่ นาน พ่อเองก็มองตอบท่าน สายตาพ่อเหมือนมีถ้อยคำพร่ำวอน อ้อนขอ มือพ่อยังยกพนมไม่ยอมลดลง น้ำตาพ่อเริ่มเอ่อซึมออก มาอีก ในที่สุดท่านก็ถอนใจยาว ๆ แล้วบอกว่า "อาตมาปักกลดอยู่ที่ป่าช้า ก่อนเพลโยมไปหาอาตมานะ" ก่อนเพลวันนั้นผมกับพี่เขย กับคนอื่น ๆ พาไปพบ ท่าน ครูบาฟ้าผ่าเอาห่อผ้าเล็ก ๆ ให้พ่อห่อหนึ่ง กำชับให้เอาแช่ น้ำกินหลังอาหารวันละสามมื้อ ให้พ่อรักษาศีลภาวนา ถ้าทำอย่าง นี้ได้ทุกวันจนครบร้อยวัน พ่อก็จะหายจากคุณไสยที่พ่อเข้าใจ ว่าตัวเองถูกกระทำ
.          ตั้งแต่วันนั้น พ่อก็ถือปฏิบัติตามคำของครูบาฟ้าผ่าโดย เคร่งครัด ข้าวปลาเคยแตะนิดต้องหน่อยกลับกินได้มาก พ่อมี ความหวัง พ่อมักอารมณ์ดี ไม่ขี้หงุดหงิดฉุนเฉียวง่าย ทุกคืน พ่อจะไหว้พระภาวนาทำสมาธิ ไม่กระวนกระวาย ไม่ซัดลมหาย ใจเสียงดังเฮือก ๆ ต่อไปแล้ว
.          ผ้าห่อนั้นเป็นผ้าสีกรักคล้ายฉีกจากชายจีวรของท่านขนาด สักฝ่ามือ ห่อหุ้มสิ่งที่เป็นยาหรือเป็นของดีวิเศษไว้ภายใน ขนาด ใหญ่เท่าลำไยทั้งเปลือกเห็นจะได้ ผมเองอยากรู้อยากเห็นรุน แรง อยากแก้เส้นด้ายมัดกระจุกออกดูให้รู้แล้วรู้รอดว่าเป็นอะไร แต่พ่อไม่ยอมให้แก้
.          ใกล้ฝาที่พ่อนอนจะมีชอล์ควางอยู่ ทุกคืนพ่อจะขีดหนึ่ง ขีด ครบสิบขีดก็มีเส้นยาวกำกับอยู่ข้างใต้
.          เย็นวันหนึ่ง ขณะผมนั่งทำรายงานวิชาวิทยาศาสตร์ก็มีเสียง เรียกร้อนรนแกมตื่นเต้นจากห้องพ่อ "ไอ้หล้า ไอ้หล้าโว้ย มานี่เร็ว" "อะไรพ่อ"
.          แสงยามเย็นส่องลอดเข้าหน้าต่างทำให้ห้องสว่าง พ่อนั่ง เอน ๆ พิงฟูก เอาสองตาจ่อจ้องหัวแม่ตีนตัวเอง "ไอ้หล้า หัวแม่ตีนพ่อดุกดิกได้แล้ว"
.          จริง ๆ ด้วย หัวแม่เท้าของพ่อกระดุกกระดิกได้จริง ๆ พ่อจ้องมองเหมือนมองสิ่งประหลาดมหัศจรรย์อะไรสักอย่าง พ่อมีอาการขนลุกขนชันขึ้นทั้งตัว ยกมือขึ้นจบท่วมหัว "สาธุ ครูบาฟ้าผ่าโปรดพ่อได้แล้ว ครบร้อยวันพ่อต้องเดิน ได้แน่ ๆ ไอ้หล้า" หญ้าเอ็นยืดกับตัวยาอื่น ๆ ซีดจางลงมากแล้ว ห่อ ผ้าแต่เดิมเป็นสีกรักก็กลายเป็นสีน้ำตาลซีด ๆ พ่อเริ่มดีขึ้น เรื่อย ๆ อารมณ์ดี ใจคอเยือกเย็น เนื้อหนังเริ่มกลับคืนมาตาม จำนวนขีดในกระดานชนวนที่เพิ่มขึ้น กระทั่งถึงขีดที่เจ็ดสิบ กว่า ๆ ขาของพ่อก็เริ่มขยับได้
.          ข่าวว่าพ่อขยับขาได้ด้วยเดชะบารมีครูบาฟ้าผ่าแพร่ลาม ไปรวดเร็ว พี่น้องชาวบ้านมากหน้าหลายตาต่างแวะเวียนมาหา ต่างเล่าลือแซ่ซ้องถึงความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน บ้างก็ว่าตัวตน ของท่านผุสลายไปนานแล้ว เหลือแต่จิตวิญญาณคุมรูปสังขาร มาโปรดสัตว์ผู้ทุกข์ บ้างก็ว่าท่านสำเร็จเป็นอรหันต์ไปแล้ว บ้าง ก็สับสนปนมั่ว จับเอาท่านไปปนกับหลวงปู่แหวน ปนกับครูบา ศรีวิชัยก็มี
.          ถึงรอยขีดที่เก้าสิบ พ่อก็เริ่มสาวฝาลุกขึ้นได้ เริ่มหัดเดิน กระย่องกระแย่งอย่างเด็กหัดเดิน แรก ๆ ก็บ่นอู้ว่าปวดชาเหมือน ขามัดพอกด้วยทั่งเหล็ก ความมั่นใจและศรัทธาในตัวครูบาเพิ่มพูน มากยิ่งขึ้น ใช่แต่เพียงพ่อเท่านั้นที่เคารพศรัทธา พี่น้องเหนือใต้ ใกล้ไกลได้รู้ว่าพ่อเดินได้เพราะเมตตาบารมีครูบาฟ้าผ่า พี่น้อง ไกลใกล้ต่างศรัทธาในท่านหนักแน่นยิ่งขึ้น
.          ส่วนตัวพ่อเอง พ่อมักไหว้หาท่านอยู่ตลอด หลุดปากหลุด คำถึงท่านทีไรก็ยกมือท่วมหัว
.          ผมเองยังจำได้ถึงสีหน้าอิ่มเอมเต็มไปด้วยความหวังของ พ่อ ช่วงนั้นผ่านพ้นการแข่งขันทักษะทางวิทยาศาสตร์นานแล้ว ผมเองไม่ได้ไปแข่งหรอกเพราะสู้เพื่อนไม่ได้ ผมอยู่กับพ่อมาก ขึ้น ผมเห็นพ่อกินได้มาก ออกกำลังมาก หลับนอนก็มากกว่าแต่ ก่อน เนื้อหนังกำลังแข้งกำลังขาของพ่อเพิ่มขึ้น น้ำนวลขึ้นหน้า จนเกือบจะเป็นพ่อคนเดิมเมื่อปีก่อน กระทั่งรอยขีดขึ้นไปเกือบ ครบร้อยพ่อก็ลงกระไดได้ พ่อใช้ไม้ค้ำยันรักแร้พาร่างออกเดิน บางวันเดินไกลไปถึงป่าช้า ไปนั่งภาวนาหงายมือซ้อนกันที่พระ ธุดงค์เคยปักกลด
.          วันที่รอยขีดครบร้อย เย็นวันนั้นผมง่วนอยู่กับการเก็บ ตัวอย่างหินทำรายงานส่งอาจารย์ พ่อเดินมาต่อหน้า ยื่นไม้ยัน รักแร้ให้แล้วบอกว่า "เอาไปเก็บบนยุ้ง พ่อเลิกใช้แล้ว"
.          คืนนั้น พี่น้องชาวบ้านต่างมาอัดอออยู่เต็มโถงเพื่อชมดู ของดีวิเศษที่ครูบาฟ้าผ่ามอบให้พ่อ พ่อจุดธูปเทียนอธิษฐานถึง ท่านแล้วเอาห่อผ้ามากำไว้ หัวขาวหัวดำมุงล้อมร่างพ่อเป็นชั้น ๆ ปมด้ายเปื่อยยุ่ยถูกแก้ออกช้า ๆ คนข้างหลังกลัวจะเห็นไม่ชัดก็ ลุกยืนชะเง้อข้ามหัวคนข้างหน้า เสียงพูดคุยจอแจขาดหายไปชั่ว ขณะ ห่อผ้าคลี่ออก แล้วกรวดเม็ดขาวก็ปรากฏแก่ตา เสียงฮาฮือ ดังขึ้น มีคนขอจับขอคลำแต่พ่อไม่ยอมให้ใครแตะต้อง พ่อห่อไว้ ในผ้าขาวตามเดิม บอกให้ผมเอาไปเก็บบนหิ้งพระเหนือหัวนอน พ่อ
.          รายงานเรื่องหินในท้องถิ่นยังไม่เสร็จ ผมเริ่มสองจิตสอง ใจ ใจหนึ่งอยากเอากรวดกลมเกลี้ยงเม็ดนี้ไปปรึกษาวิเคราะห์ กับอาจารย์ แต่อีกใจกลับคัดค้าน ในที่สุดผมตัดสินใจวางหินไว้ บนหิ้งพระ ยอบตัวลงนั่งกับพื้นแล้วก้มกราบ น้อมจิตรำลึกถึง ครูบาฟ้าผ่าองค์นั้น .
--จบ--
ที่มา
http://www.matichonbook.com/mail.php?send=2&id=470426103242
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 มิ.ย. 2554, 02:50:26 โดย ทรงกลด »

ออฟไลน์ saken6009

  • อย่ากลัวคนจะมาตำหนิ แต่จงกลัวว่าตัวเองจะทำผิด อย่ากลัวที่จะรับรู้ความบกพร่องของตน แต่จงกลัวว่าตนจะเป็นคนที่ดีได้ไม่จริง
  • ก้นบาตร
  • *****
  • กระทู้: 893
  • เพศ: ชาย
  • ชีวิตของข้า เชื่อมั่นศรัทธา หลวงพ่อเปิ่น องค์เดียว
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ลมเพลมพัด?
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: 14 มิ.ย. 2554, 04:45:29 »
ลมเพลมพัด 11; 11;
                                                                       
ขอบคุณท่าน ทรงกลด ที่นำบทความดีมากๆมาให้พี่น้องศิษย์วัดบางพระได้อ่านครับ :053: :053:
   
ติดตามอยู่ครับ อ่านแล้วเพลินดีมากๆครับ และ ได้สาระความรู้มากๆครับผม :016: :015: 

(ขออนุญาตเข้ามาอ่าน เพื่อเป็นความรู้ ขอบคุณครับผม) :054: :054:
   
   

กราบขอบารมีหลวงพ่อเปิ่น คุ้มครองศิษย์ทุกๆท่าน ให้แคล้วคลาด ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง สาธุ สาธุ

ออฟไลน์ pakkredtop

  • ตติยะ
  • ***
  • กระทู้: 84
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ลมเพลมพัด?
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: 14 มิ.ย. 2554, 09:18:30 »
ลมเพลมพัด 11; 11;
                                                                       
ขอบคุณท่าน ทรงกลด ที่นำบทความดีมากๆมาให้พี่น้องศิษย์วัดบางพระได้อ่านครับ :053: :053:
   
ติดตามอยู่ครับ อ่านแล้วเพลินดีมากๆครับ และ ได้สาระความรู้มากๆครับผม :016: :015: 

(ขออนุญาตเข้ามาอ่าน เพื่อเป็นความรู้ ขอบคุณครับผม) :054: :054:
   
   

เห็นด้วยครับทขอบคุณมาก

ออฟไลน์ wolfpack

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 132
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ลมเพลมพัด?
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: 16 มิ.ย. 2554, 08:01:08 »
ขอบคุณมากครับ เยอะดี เดี๋ยวกลับมาอ่านต่อ :053: