ผู้เขียน หัวข้อ: ผีนางไม้  (อ่าน 10921 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ กระเบนท้องน้ำ

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 275
  • เพศ: ชาย
  • การให้ธรรมะ ชนะการให้ทั้งปวง
    • MSN Messenger - krabentongnam2511@hotmail.com
    • ดูรายละเอียด
    • บ้านกระเบนท้องน้ำ
ผีนางไม้
« เมื่อ: 14 มิ.ย. 2554, 11:29:41 »

                         

ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดกล่าวไว้ ว่าเกิดมาเป็นลูกผู้ชายชาติหนึ่ง ถ้าต้องการรู้ว่าความเป็นลูกผู้ชายที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร ให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ระหว่างการเป็นทหาร กับการบวชพระ แล้วจะซาบซึ้งว่า รสชาติของชีวิตเป็นอย่างไร...

อาตมาเกิดมาโชคดีเสมอ อะไรที่เพิ่มความมันแก่ชีวิต มักจะได้พบมากกว่าเขา เป็นทหารก็เป็นซะเอียน ตอนนี้ยังบวชพระอยู่อีก ขอให้คำจำกัดความง่าย ๆ ว่า “เป็นทหาร ลำบากกาย เป็นพระลำบากใจ” ถ้อยคำสั้น ๆ แค่นี้ จะแฝงความหมายสาหัสสากรรจ์เพียงไร ผู้ที่ผ่านมาแล้วเท่านั้น ที่จะซาบซึ้งจนน้ำตาร่วง...
             
ด้วยเหตุจำเป็นบีบบังคับ ทำให้อาตมาต้องเป็นผู้เสียสละ หลบไปเรียนวิชาทหารและรับใช้ชาติอยู่ระยะหนึ่ง ตั้งแต่วาระแรกที่เหยียบย่างเข้าไป จนเบื่อระบบนายใครนายมัน ออกจากราชการมา บอกได้เลยว่า ไม่เคยพบความสุขใจเลยแม้แต่นิดเดียว...
             
ท่านลองนึกภาพดู...ว่าถ้าเป็นท่านแล้วจะเป็นอย่างไร ต้องตื่นนอนแต่ตีห้า ภายในสามนาที ต้องอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟันเข้าส้วม แต่งกายให้เรียบร้อย แล้วลงมาเข้าแถว จัดระเบียบแถวให้เรียบร้อย ขอย้ำ...ภายในสามนาทีเท่านั้น...
             
หากไม่ทันหรือ...? สารพัดการลงโทษที่ท่านจะได้รับ จากนั้นก็วิ่งไปเถอะ จนกว่าครูฝึกจะพอใจ แล้วมาเล่นกายบริหารอีกเป็นชั่วโมงกว่าจะได้กินข้าวเช้าบางทีเกือบจะได้เวลาเคารพธงชาติ ก่อนจะกินยังพบการทรมานจิตใจสารพัด บางทีให้เวลากินนาทีเดียว ซึ่งท่านไม่มีโอกาสโวย ไม่อย่างนั้นอด...
             
รีบ ๆ ยัดอาหารลงกระเพาะ แล้วไปตั้งแถวเคารพธงให้ทัน จากนั้นเป็นการตรวจร่างกาย ใครแต่งกายไม่เรียบร้อย ไม่โกนหนวด ไม่ตัดเล็บ รับเละลูกเดียว... แล้วลงสนามฝึก ทั้งระเบียบแถว ท่าอาวุธ ยุทธวิธีในการรบ กว่าจะได้หยุดก็เที่ยงกว่า ยัง...ยังไม่ได้กินหรอก ต้องเดินแถวสวนสนาม จนกว่าครูฝึกจะพอใจ แล้วไปพบกับการกลั่นแกล้งทุกรูปแบบในโรงเลี้ยง จะได้กินแต่ละมื้อแทบน้ำตาร่วง...
             
เสร็จจากอาหารก็บ่ายโข ไปลงสนามฝึกต่อจนห้าโมงเย็น เวลาจะขึ้จะเยี่ยวยังไม่มี ไปวิ่งออกกำลังยามเย็นต่อ แล้วไปทนทรมานในโรงเลี้ยงอีกรอบ ถึงได้อาบน้ำอาบท่า ไม่ใช่นอนพัก ทฤษฎียังรออยู่อีกบานตะไท ไปเข้าห้องเรียนซะดี ๆ ...
             
เกือบสามทุ่มเลิกเรียน ให้เวลาจัดที่หลับที่นอน และขัดเครื่องหมาย รองเท้า เข็มขัด ทุกชิ้นต้องเงาวับ สามทุ่มตรงเป๊ะแตรนอนดังต้องหลับทันที ใครขยุกขยิกแม้แต่นิดเดียวถือว่าไม่อยากนอน ต้องลงไปวิ่งอยู่คนเดียว หรือ ถ้าโชคดีก็มีเพื่อนร่วมชะตากรรม ที่หลับนั้นอย่าเพิ่งฝันดี...สี่ทุ่มนกหวีดปลุกดังสนั่นหวั่นไหว ไปฝึกการรบเวลากลางคืน ห้ามชักช้างัวเงีย ไม่เช่นนั้นเจ็บตัว...
             
กว่าจะจบการฝึกก็ตีสองขึ้นไปนอนได้ แต่พวกเวรยามต้องถ่างตาต่อไป ตีห้าแตรปลุก ให้ลุกไปพบกับระบบนี้ของวันใหม่ ใครทนไม่ได้จะหนีก็เชิญ ถ้าไม่มีค่ารถจะแถมให้ ไปเป็นคนเถื่อนไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน เกิดอะไรขึ้นมีหวังติดคุกหัวโต...
             
นั่นแค่ภาคที่ตั้งเท่านั้น ภาคป่าและเขานั้น ท่านต้องลุยไปแก้ปัญหาการฝึก ครึ่งเดือนไม่ได้อาบน้ำซักหยด ตัวเหม็นกว่าสกั๊งค์หลายเท่า เดินจนรองเท้าคอมแบ็ทพังเป็นคู่ ๆ กว่าจะแก้ปัญหาแต่ละจุดได้ แทบอ้วกเป็นเลือด...
             
ภาคที่ลุ่มนั้นระยะทางแค่ ๑๐๐ เมตร ให้เวลาตั้งแต่ ๑ ทุ่มถึงตี ๕ ยังไม่แน่ว่าท่านจะลุยโคลนถึงอกขึ้นฝั่งมาได้หรือไม่... ภาคทะเลนั้นท่านต้องฝึกร่วมกับมนุษย์กบที่มาจากหน่วยทำลายใต้น้ำของราชนาวี แต่ละคนว่ายน้ำอย่างกับปลา ให้เราแบกเรือยางวิ่งจนเม็ดทรายฝังเข้าหนังหัว เอาเราไปทิ้งกลางทะเลให้ว่ายน้ำกลับเอง หรือสามวันทิ้งให้อยู่บนเกาะร้างมีมีดให้หนึ่งเล่มกับน้ำอีกหนึ่งลิตร ทำอย่างไรก็ได้ที่ท่านจะรักษาชีวิตไว้ จนกว่าเขาจะมารับ...
             
ยังไม่หมดง่าย ๆ หรอก วิ่งเจ็ดไมล์นี่เจอทุกวัน ค้นแผนที่ปัญหาจากศพอย่างนี้ กระโดดร่มจนไส้เลื่อนแทบรับประทาน หรือดิ่งพสุธาจากผาสูงด้วยเชือกเส้นเดียว ท่านจะไม่กระโดดก็ได้ ครูฝึกยินดีช่วยถีบส่งให้... เขาโหดร้ายต่อท่าน เพื่อให้ท่านรักษาชีวิตอันมีค่าไว้ได้ในยามที่เกิดการรบขึ้นมาจริง ๆ ...
             
ความทุกข์สาหัสทั้งกายทั้งใจของการฝึกทหาร ไม่ได้หนึ่งในร้อยของการบวชพระ ที่มีเงื่อนไขว่า “ต้องเอาดีให้ได้” จะไม่เอาดีก็ไม่มีใครว่า ไฟนรกลุกท่วมฟ้ารอท่านอยู่ ไม่ต้องไปเลือกให้เสียเวลา “อเวจีมหานรก” คือที่ไป...
             
อาตมาถูกส่งไปเปลี่ยนกำลังพล ที่พื้นที่ชายแดนสามอำเภอของจังหวัดปราจีนบุรี คือวัฒนานคร อรัญประเทศ และตาพระยา หลังเหตุการณ์ที่บ้านโนนหมากมุ่นจบลงใหม่ ๆ มีการปะทะใหญ่ ๆ ย่อย ๆ เกือบสามสิบครั้ง สูญเสียเพื่อนรักและเจ้านายไป ๒๖ คน...
             
ปกติฐานแต่ละแห่งจะหมุนเวียนเปลี่ยนพื้นที่กัน ฐานละ ๔ เดือน แต่อาตมาติดอยู่ที่ฐานหน้าตาพระยาเกือบครึ่งปี เพราะปะทะติดพันเปลี่ยนกำลังไม่ได้ และที่นี่เอง ที่อาตมาได้พบกับสิ่งมหัศจรรย์ต่าง ๆ มากมาย...
             
เวลาว่างเว้นจากการรบ ฝ่ายหมอเสนารักษ์ก็ทำการรักษา ทั้งชาวบ้านทั้งทหาร ที่บาดเจ็บ ฝ่ายกำลังพลก็ตรวจตราการวางกำลัง ต้องพร้อมรบอยู่ทุกขณะจิต อาตมาอยู่กับส่วนบัญชาการกองร้อย เมื่อว่างจากเวรยาม ก็ตรวจตราอาวุธ และซักซ้อมการใช้เพื่อความคล่องตัว ที่ชอบเป็นที่สุด คือ การซ้อมขว้างดาบปลายปืน...
             
ตั้งแต่ระยะห่าง ๗ ก้าว ถึง ๑๒ ก้าว เป็นระยะที่อาตมาแม่นยำที่สุด เป้าหมาย คือ ต้นไม้ใหญ่ที่สมมุติเป็นตัวคน เพื่อนก็ช่วยกันขว้างจนพรุนไปเป็นต้น ๆ พอเบื่อก็เปลี่ยนต้นใหม่ วันหนึ่ง...เพิ่งเปลี่ยนไปขว้างต้นใหม่กัน พอเที่ยงคืนเพื่อนก็มาปลุกไปเข้าเวร...
             
ตีหนึ่งกว่า อาตมานั่งถ่างตาอยู่คนเดียว ที่ด่านตรวจหน้าฐาน เห็นหญิงสาวคนหนึ่งตรงมาหา อาตมาคิดว่าเป็นชาวบ้าน ที่มาตามหมอไปช่วยรักษาคนป่วย แต่แปลกที่ถามอะไรเธอไม่ยอมตอบซักคำ พอเพ่งดูถนัด อตามาก็เย็นวาบไปทั้งตัว...
             
ในความมืดสนิทนั้น อาตมากลับเห็นเธออย่างชัดเจน เธอใส่ผ้าถุงสีดำ สวมเสื้อแขนกระบอกสีดำ ปล่อยผมดำสนิทยาวถึงเอว อะไรก็ไม่ร้ายเท่ากับดวงตาคู่นั้น มันไม่มีแววของคนมีชีวิตเลยแม้แต่น้อย ซ้ำจ้องอาตมาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ..ผีนี่หว่า...
             
นางผีร้ายไม่พูดพล่ามทำเพลง เอื้อมมือคว้าหมับเข้าที่คอ อาตมาเผ่นวูบไปสุดช่วงแขน เกือบจะพลัดตกจากป้อมลงไปคอหักตาย มันยังเดินทื่อเข้ามาอีก พ่อแก้วแม่แก้วช่วยลูกด้วย...
             
“ชะยาสะนากะตาพุทธา...”พระคาถาชินบัญชรที่ท่องจำขึ้นใจ กระหึ่มขึ้นมาทันเวลา ร่างนั้นหายวับไปเหมือนถูกกระชาก อาตมาถอนใจเฮือกทั้งที่เหงื่อท่วมตัว มันเรื่องอะไรกัน มาถึงก็ไม่พูดไม่จา จะฆ่ากันท่าเดียว...
             
นั่งคิดทบทวนอยู่จนออกเวร “เราไม่เคยฆ่าผู้หญิงนี่หว่า...บรรดาศพที่ถูกพวกเขมรฆ่าตายเกลื่อนทุ่ง เราก็ช่วยฝังให้แท้ ๆ แล้วยายผีนี่มาจากป่าไหน... ป่า... เฮ้ย...! มาจากต้นไม้ละมั้ง...

ใช่แล้ว...นางไม้แน่ ๆ เลย...
             
รุ่งเช้า...อาตมาไม่ได้บอกใคร กลัวจะทำให้เพื่อน ๆ เสียขวัญ แอบเอาข้าวปลาอาหารไปขอขมาต่อเธอ เราไม่ได้เจตนาล่วงเกินเธอเลยสิ่งที่แล้วมาจงอภัยแก่เรา และเพื่อน ๆ ด้วยเถิด...
             
ยอมรับผิดก็หมดปัญหา เพราะบรรดาภูติผีปีศาจ เขามีเหตุมีผลอยู่แล้ว เรายอมขอขมา เขาก็ยินดีให้อภัย การขอโทษเป็นการขอที่ไม่น่าละอาย การให้อภัยเป็นการให้ที่ไม่สิ้นเปลือง ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา อาตมาเลิกขว้างดาบปลายปืนโดยเด็ดขาด กลัวเจอแจ๊คพ็อตอีกนะซิ...


๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ



ขอขอบพระคุณที่มา...เว็บธรรมะสาธุ

ออฟไลน์ saken6009

  • อย่ากลัวคนจะมาตำหนิ แต่จงกลัวว่าตัวเองจะทำผิด อย่ากลัวที่จะรับรู้ความบกพร่องของตน แต่จงกลัวว่าตนจะเป็นคนที่ดีได้ไม่จริง
  • ก้นบาตร
  • *****
  • กระทู้: 893
  • เพศ: ชาย
  • ชีวิตของข้า เชื่อมั่นศรัทธา หลวงพ่อเปิ่น องค์เดียว
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ผีนางไม้
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 14 มิ.ย. 2554, 03:12:25 »
ผีนางไม้ 41; 41;
                                                                           
ขอบคุณท่าน กระเบนท้องน้ำ  ที่นำบทความเรื่องวิญญาณ มาให้พี่น้องศิษย์วัดบางพระได้อ่านครับ :053: :053:
 
อ่านแล้วเพลินดีมากๆครับ และ ได้ความน่ากลัววังเวงแถมมาครับ :016: :015:
 
(ขออนุญาตเข้ามาอ่าน ขอบคุณครับผม) :054: :054:
   
   

กราบขอบารมีหลวงพ่อเปิ่น คุ้มครองศิษย์ทุกๆท่าน ให้แคล้วคลาด ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง สาธุ สาธุ

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ผีนางไม้
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 14 มิ.ย. 2554, 07:36:16 »
ขอร่วมวงแจมด้วยครับ

ตะเคียนที่สิงสถิตของนางไม้



เมื่อได้ยินได้ฟังเรื่องราวของต้นตะเคียนในที่ใด ก็มักจะมีเรื่องผีสางนางไม้ประกอบมาด้วยเสมอ ซึ่งเรื่องนี้เป็นความเชื่อที่สืบต่อกันมาว่า ต้นไม้ขนาดใหญ่ๆ นั้น มักจะมีเทพเทวดาอารักขา หากใครคิดไปตัดหรือทำลายก็ย่อมประสบเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังเช่นต้นตะเคียนที่มีการเล่าขานกันว่า มีนางตะเคียนสิงสถิตอยู่และมีฤทธิ์มาก ดังนั้น การจะตัดต้นตะเคียนมาทำสิ่งใดก็จะต้องทำพิธีขอเสียก่อน หากไม่ทำพิธีขอจากนางตะเคียนแล้ว ก็มักจะถูกลงโทษให้เจ็บไข้ หรือมีอาการคลุ้มคลั่ง เป็นต้น

ส่วนในทางพฤกษศาสตร์นั้น ตะเคียน เป็นพันธุ์ไม้ดั้งเดิมของเอเชียเขตร้อน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hopea odorata Roxb. อยู่ในวงศ์ Dipterocarpaceae มีชื่อเรียกอื่นๆ ว่า ตะเคียนทอง, ตะเคียนใหญ่, แคน, โกกี้ เป็นต้น

เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ สูงราว 20-40 เมตร ไม่ผลัดใบ ลำต้นเปลาตรง เปลือกสีน้ำตาลดำและจะแตกเป็นสะเก็ด เมื่อต้นมีขนาดใหญ่ มีชันสีเหลืองตามรอยแตกของเปลือก เรือนยอดเป็นพุ่มกลม แน่นทึบ ใบเป็นใบเดี่ยวรูปไข่แกมรูปหอก เรียงสลับ ปลายใบแหลม โคน ใบมน เนื้อใบค่อนข้างหนาเป็นมัน ท้องใบมีตุ่มอยู่ตามง่ามเส้นใบ

 
ดอกมีขนาดเล็ก สีขาวแกมเหลือง ออกรวมกันเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง มีกลิ่นหอม ออกดอกระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม ผลเป็นรูปทรงกลม หรือรูปไข่ มีปีกยาวรูปใบพาย 2 ปีก และยังมีปีกสั้นอีก 3 ปีก ซึ่งปีกเหล่านี้มีหน้าที่ห่อหุ้มผล และนำพาผลปลิวไปตกได้ในที่ไกลๆ

ประโยชน์ของตะเคียนมีมากมาย ทั้งในด้านการทำเครื่องเรือนและสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ อาทิ ใช้ในการก่อสร้างอาคารบ้านเรือน สมัยโบราณนิยมนำต้นตะเคียนมาทำเป็นเสาเอก ขุดเป็นเรือ ทำสะพาน ทำวงกบ ประตูหน้าต่าง หูกทอผ้า กังหันน้ำ กระโดงเรือ เพราะเนื้อไม้แข็ง เหนียว มีความสวยงาม ทนทาน ทนปลวกได้ดี ส่วนชันหรือยางไม้ใช้ผสมน้ำมันทาไม้ ทำน้ำมันชักเงา ใช้ยาแนวเรือ

สำหรับประโยชน์ในด้านสรรพคุณพืชสมุนไพรก็มีมากมาย ได้แก่ เปลือกใช้แก้ปวดฟัน, แก่นใช้แก้โลหิตและกำเดา รักษาคุดทะราด ขับเสมหะ, เนื้อไม้ใช้แก้ท้องร่วง สมานแผล และยางใช้รักษาแผล แก้ท้องเสีย

 

ในอรรถกถาคาถาธรรมบท เรื่องครหทินน์ ได้กล่าวถึงไม้ตะเคียนไว้ว่า สิริคุตต์ซึ่งเป็นอุบาสกในพระพุทธศาสนา และเป็นเพื่อนกับครหทินน์ ซึ่งเป็นสาวกของพวกนิครนถ์ เคยหลอกให้พวกนิครนห์ตกลงในหลุมคูถ (อุจจาระ) ทำให้ครหทินน์เจ็บใจมาก จึงคิดแก้แค้นพระพุทธเจ้าบ้าง โดยวางแผนนิมนต์ให้พระพุทธเจ้าพร้อมเหล่าภิกษุมาฉันภัตตาหารที่บ้านตน

ในขณะเดียวกันก็ให้คนในบ้านขุดหลุมใหญ่ไว้ในระหว่างเรือน 2 หลัง แล้วนำไม้ตะเคียนมาประมาณ 80 เล่มเกวียน ให้จุดไฟสุมตลอดคืนยันรุ่ง แล้วให้ทำกองถ่านเพลิงไม้ตะเคียนไว้ วางไม้เรียบบนปากหลุม ให้ปิดด้วยเสื่อ ลำแพน ลาดท่อนไม้ผุไว้ข้างหนึ่ง แล้วให้ทำทางเป็นที่เดินไป เพื่อที่ว่าในเวลาที่พระพุทธเจ้าและเหล่าภิกษุเหยียบท่อนไม้หักแล้ว ก็จะกลิ้งตกลงไปในหลุมถ่านเพลิง แต่พระพุทธเจ้าทรงล่วงรู้ถึงแผนการนี้

แต่ทรงเล็งเห็นด้วยพระญาณว่าหากพระองค์เสด็จไปก็จะเกิดประโยชน์มากกว่า เพราะในที่นั้นจะมีผู้คนมาฟังธรรม และจะมีผู้บรรลุธรรมเป็นจำนวนมาก รวมทั้งสิริคุตต์และครหทินน์ ก็จะบรรลุโสดาบันด้วย จึงได้เสด็จไป เมื่อไปถึงพระศาสดาทรงเหยียดพระบาทลงเหนือหลุมถ่านเพลิง เสื่อลำแพนหายไปแล้ว ดอกบัวประมาณเท่าล้อผุดขึ้นทำลายหลุมถ่านเพลิง พระศาสดาทรงเหยียบกลีบบัว และเสด็จไปประทับนั่งลงบนอาสน์ที่ปูลาดไว้ รวมทั้งภิกษุทั้งหลายก็กระทำเช่นเดียวกัน

ปัจจุบัน ต้นตะเคียนทองเป็นพันธุ์ไม้พระราชทานประจำจังหวัดปัตตานี


......................................................

จากหนังสือพิมพ์ธรรมลีลา ฉบับที่ 77 เม.ย. 50 โดย เรณุกา
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 11 เมษายน 2550 14:13 น.
คัดลอกจาก
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=12461
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว....ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา...สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา...กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ผีนางไม้
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 14 มิ.ย. 2554, 07:40:22 »
ผีสางนางไม้ กับสัญญาที่ต้องเป็นสัญญา
By    คนเล่นหมอก on October 25th, 2009

…สัญญาต้องเป็นสัญญา สัญญาว่ามาต้องมา … เมื่อใดที่ใครให้คำสัญญา ต้องรักษาดีดี ด้วยหัวใจ


เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่าคุณอา (น้องชายพ่อ) เกิดไม่สบายมาพักใหญ่แล้ว ด้วยอาการที่จะเป็นอัมพฤกษ์ก็ไม่ใช่ แต่ตัวผอมซีดเหลือง แขนขาไม่มีเรี่ยวมีแรง สีหน้าไม่สดใส กินยาม้งก็แล้ว กินยาแผนปัจจุบันเข้าไปก็แล้ว ไปโรงพยาบาลก็ไม่หาย เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ต้นปี

อาการดังกล่าว เมื่อไปพบแพทย์ๆ ก็ไม่สามารถระบุอาการได้ แต่ด้วยความที่ตัวซีดเหลือง ไม่มีเรี่ยวมีแรง และทานอาหารได้น้อย สิ่งแรกที่หมอนึกได้ก็คือ แขวนน้ำเกลือให้ก่อน

แต่เมื่อสองวันก่อน ทางบ้านได้ไปขอให้อาจารย์ซึ่งเป็นคนพื้นราบ ให้ช่วยทำพิธีนั่งทางในดู (เนื่องจากอาจารย์ท่านนี้เคยทักคุณอามาก่อน) จึงได้ทราบว่าคุณอานั้นเคยไปบนบานกับผีสางนางไม้เอาไว้ แต่ยังไม่ได้ทำพิธีแก้บน หรือตอบแทนผีสางนางไม้ตนนั้น … แค่นี้แหละรู้เลย “งานเข้า”

เมื่อพูดถึงตรงนี้แล้ว ก็ต้องได้เท้าความกลับไปเมื่อประมาณห้าหกปีที่แล้ว สมัยที่คุณอาและคุณอาคนอื่นๆ ได้เริ่มบุกเบิกพื้นที่ป่าเพื่อทำไร่ และเลี้ยงสัตว์ โดยทำด้วยกันอยู่สามครอบครัว เริ่มแรกนั้นพวกอาๆ ทั้งหลายได้ทำการเพาะปลูกไปพร้อมๆ กับการทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ (ฟาร์มม้ง …ปล่อยหากินเอง) ซึ่งสัตว์ดังกล่าวก็ได้แก่วัว และแพะ

ในระยะเริ่มแรกของการเข้ามาอยู่อาศัยในพื้นที่แห่งนี้ พวกแพะที่เลี้ยงไว้มักจะถูกหมาป่ากัดกินเป็นอาหาร ส่วนพวกวัวก็จะโดนเสือโคร่งคาบไปกิน เล่นเอาพวกอาๆ ที่แม้จะเป็นพรานล่าสัตว์มือฉมังก็ตาม ยังต้องยอมจำนน

เมื่อได้ใช้ความพยายามทุกทางแล้ว แต่ความเสียหายยังคงหนักขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นสิ่งต่อไปที่พอนึกได้ และหวังพึ่งพาก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เท่านั่นเอง

พูดแล้วชักขนลุก ณ ไร่กลางป่าที่คุณอาทั้งหลายไปอาศัยทำกินอยู่นั้น มีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ กับกระท่อมที่พัก เมื่อหารือร่วมกันแล้วจึงได้ข้อสรุปว่า จะทำพิธีอันเชิญให้ผีสางนางไม้มาสิงสถิตย์กับต้นไม้ต้นนี้ เพื่อป้องปักคุ้มครองสมาชิกในครอบครัว รวมไปถึงสัตว์เลี้ยงทั้งหลาย และในที่สุดพิธีอันเชิญก็ถูกจัดทำขึ้น เรียกพิธีนี้ว่าดงเฟ้ง (Ntoo Feeb)

ตามตำนาน “ดงเฟ้ง” เป็นพิธีที่จัดทำขึ้นหลังจากบุกเบิกพื้นที่ทำกินใหม่ ก็คือหลังจากถางป่าเสร็จก็จะต้องมีการประกอบพิธีนี้ขึ้น และโดยปกติต้องมีการทำบุญเลี้ยงผีสางนางไม้ตนนี้ทุกปี

กลับเข้าเรื่องต่อ หลังจากทำพิธีเสร็จสัตว์ร้ายอย่างหมาป่า หรือเสือโคร่งก็ไม่มายุ่งกับสัตว์เลี้ยงของพวกอาๆ อีกเลย ซึ่งถือเป็นเรื่องแปลก (แต่เกิดขึ้นแล้ว) จนถึงเวลาหนึ่งมีคุณอาสองครอบครัวได้ย้ายออกไปจากพื้นที่นี้ เพื่อไปเลี้ยงสัตว์ที่อื่น จึงเหลือแต่คุณอาที่กำลังป่วยอยู่นี้เพียงครอบครัวเดียว

สี่ปีผ่านไป (ปัจจุบัน) คุณอาไม่เคยทำพิธีกรรมใดๆ หรือทำบุญเพื่อตอบแทน (pauj) ผีสางนางไม้ตนนั้นอีกเลย จนกระทั่งเมื่อต้นปีนี้ตอนคุณอาเริ่มป่วย ได้มีอาจารย์ที่เป็นคนพื้นราบ (คนเดียวกันกับที่นั่งทางในครั้งนี้) มาทัก และว่าอาการป่วยของคุณอานั้น สืบเนื่องมาจากผีสางนางไม้ตนนั้น แต่เวลานั้นคุณอาไม่ได้สนใจคำทักของอาจารย์ท่านนี้ จนเมื่อเวลาล่วงไปหลายเดือน

จนกระทั่งเมื่อสองวันก่อน คุณอาได้กลับไปหาอาจารย์ท่านนี้ และขอให้ท่านช่วย และแล้วเมื่อวานนี้เอง อาจารย์ท่านนี้ก็ได้ช่วยทำพิธีไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยการนำไก่เพศผู้ และเพศเมียอย่างละตัว ไปทำพิธีในครั้งนี้ … สำหรับผลนั้น คงต้องรอดูต่อไป (อย่างที่บอกตอนจบยังไม่ถ่ายทำ) ว่าการทำพิธีครั้งนี้จะเป็นพิธีกรรมที่สายเกินไปหรือเปล่า

ผีสางนางไม้ หรือภูติผีเทวดา ก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากมนุษย์มนา เมื่อสัญญาแล้วก็ต้องเป็นสัญญา หากใครที่ลืมสัญญา หรือไม่ทำตามสัญญาก็อาจจะต้องได้รับบทลงโทษที่ต่างกันไป สำหรับผีสางนางไม้ด้วยแล้ว โทษที่ได้รับอาจจะหนักหนาสาหัสกว่า

ดังนั้นแล้ว … เมื่อใดที่ใครให้คำสัญญา ต้องรักษาดีดี ด้วยตัวและหัวใจ
เพราะผลที่ตามมานั้น สุดที่จะคาดเดาได้ …


ที่มา
http://hmongasia.com/

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ผีนางไม้
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 14 มิ.ย. 2554, 07:42:05 »
ความเชื่อเรื่องนางไม้

นางไม้ความเชื่อนี้มีมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้วค่ะ เป็นเรื่องเล่าที่คนแก่คนเฒ่ามักจะเล่าสืบทอดกันมา โดยมีความเชื่อว่านางไม้จะสิงอยู่ตามต้นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่เช่น

    ต้นตะเคียน เป็นต้น ความเชื่อของคนสมัยก่อนเชื่อว่า เมื่อไปตัดต้นไม้ใหญ่มาทำเสาเรือน จึงต้องบอกกล่าวขออนุญาตนางไม้เสียก่อน ถ้าไม่บอกนางไม้อาจโกรธและลงโทษแก่ผู้ตัดต้นไม้ หรือผู้ที่นำไม้นั้นมาทำเสาเรือน

    คติความเชื่อนางไม้ นี้ มีให้เห็นในบททำขวัญเสาแต่โบราณว่า “ท่านผู้จะสร้างเหย้าเรือน และเคหาที่อาศัย ย่อยไปตัดไม้ ป่าใต้ฝ่ายเหนือ นางไม้หลายเหลือ เลือกตรงตัดเอา”

    ความเชื่อเหล่านี้เป็นความเชื่อที่ยึดถือกันมานาน โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ที่ความเจริญยังเข้าไปไม่ถึง ยังคงมีการนับถือธรรมชาติกันอยู่ ซึ่งความเชื่อเหล่านี้หลายคนอาจจะบอกว่างมงาย ผู้ที่ไม่มีความเชื่อถือก็ไม่ควรที่จะลบหลู่เป็นการดีที่สุดนะคะ

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ผีนางไม้
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 14 มิ.ย. 2554, 07:44:36 »
≈━อ☆นางไม้ ☆━อ

เรืองก็มีอยู่ว่า ผมอยู่ในบ้านกับตา ยาย แล้วก็น้าสาวอีกคน แต่ตา ยาย
น้าสาวอยู่ข้างล่าง ผมอยู่ห้องข้างบนคนเดียว โดยที่ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่า
บนห้องนั้นมีอะไรบางอย่างที่ไม่มีตัวตนแอบแฝงอยู่

วันนั้นฝนตกหนักมาก ประกอบกับบ้านที่ผมอยู่มันค่อนข้างเก่า
หลังคาเป็นสังกะสีแล้วมันผุ ฝนก็รั่วลงมาจนต้องเอาถังรองน้ำฝน
ผมนอนอ่านหนังสือนิยายอยู่คนเดียว ซักพักก็มีเสียงคนเคาะประตูดังมาก ผมถามว่า
"ใครอ่ะ" ก็ไม่มีเสียงตอบ เสียงเคาะก็ดังมาอีก คราวนี้เคาะรัวเลยครับ
เคาะดังมาก จนผมรำคาญด่าไปเสียยกใหญ่ จนในที่สุดผมก็ลุกไปเปิดประตู
แต่สิ่งที่เจอคือความว่างเปล่า

มันคงเป็นสัญชาตญาณของเราแล้วมั้งว่ามันคงไม่ค่อยดีแล้ว ก็เลยค่อยๆ ปิดประตูอ่านหนังสือต่อ
พยายามข่มใจไม่ให้คิดมาก แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า เพิ่งเคาะอยู่เมื่อกี้นี้เอง
ตอนที่เรากำลังเปิดก็เคาะอยู่แต่ทำไมเปิดไปไม่เจอใครเลย อะไรจะเร็วขนาดนั้นทั้งที่ตากับยายก็อยู่ข้างล่าง
ต้องขึ้นบันไดมา แถมบ้านก็เป็นบ้านไม้ด้วยต้องมีเสียงเดินมั่งล่ะ แต่ก็ไม่มี ผมพยายามสลัดความคิดมากทิ้ง
ผมก็นอนอ่านหนังสือต่อ แล้วหน้าต่างก็ดันเป็นกระจกด้วย

สักพักนึงก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนเอามือมาถูกระจกดังเอี๊ยดๆ ผมก็รู้แล้วว่าอะไรคืออะไร
ผมพยายามไม่มองนะครับ แต่ก็ดันห็นจนได้ เป็นมือขาวซีดเหมือนศพเป๊ะ ลูดกระจกไปมาๆ
จนผมทนไม่ไหวพยายามเปิดประตูวิ่งหนี
พอเปิดได้ก็วิ่งลงมาข้างล่างแบบไม่คิดชีวิตเลย มาถามตาตาก็เลยหัวเราะบอกว่า
ผมไม่ได้เจอคนเดียว คนที่เคยมาค้างก็เจอกันมานักต่อนักแล้ว เขาเป็นนางไม้
พอดีอยู่ตรงขื่อด้วยก็เลยเฮี้ยน แล้วตาก็ชี้ไปที่รูปปั้นเป็นผู้หญิงมวยผมท่าเหมือนกำลังย่างเดิน แล้วพูดว่า "ไหว้ซะสิ"


ที่มา
http://www.hi5thai.com/viewthread.php?tid=107018&extra=page%3D1&sid=pa80Qj

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ผีนางไม้
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 14 มิ.ย. 2554, 07:53:25 »
นางไม้
 วันจันทร์ที่ 02 สิงหาคม 2010 เวลา 10:15 น. |  Author: ธนวัฒน์ สวัสดิ์แก้ว |   

  นานแล้วที่ผู้เขียนไม่ได้เขียนเรื่องสัมผัสที่ 6  เพราะเรื่องที่เกี่ยวข้องเป็นเรื่องยากที่จะพิสูจน์ให้เห็นได้จากสัมผัสทั้ง 5  ปกติจึงไม่ค่อยได้เน้น  ส่วนเรื่องนางไม้นั้นอาศัยความรู้ที่มีมาแต่เดิมว่าจิตที่ไม่มีร่างของสิ่งมีชีวิตจะมีกำลังน้อยกว่าจิตที่อยู่ในร่างของสิ่งมีชีวิต  เรื่้องของนางไม้และรุกขเทวดา  หรือแม้แต่เทพที่ต้องอาศัยร่างมนุษย์ในการลงทรงก็เป็นเรื่องที่เกิดจากจิตที่ไม่มีร่างของสิ่งมีชีวิตจะผลิตกำลังสมาธิได้น้อยกว่าจิตที่มีกำลังสมาธิ  ด้วยเหตุนี้เองทำให้รุกขเทวดาหรือนางฟ้าที่ยังไม่บรรลุอรหัตผลจึงต้องลงมาบำเพ็ญเพียรอยู่ตามต้นไม้ใหญ่ต่าง ๆ  เช่นเดียวกับเทพที่จะทำงานแล้วกำลังสมาธิไม่พอจะต้องอาศัยร่างมนุษย์เพื่อลงทรงแล้วก็ทำงาน  โดยผู้ที่เป็นร่างทรงต้องยินยอมให้เทพประทับทรงด้วย

ด้วยเหตุนี้เป็นอีกเหตุหนึ่งซึ่งทำให้เราทั้งหลายที่ยังมีชีวิตอยู่อย่าปล่อยให้โอกาสหลุดลอย  อะไรก็ตามที่ใช้ของตนเองได้ใช้ของตนเองดีที่สุด  อะไรที่ต้องไปหยิบยืมคนอื่นมาเช่นกา่รประทับทรงของเทพในร่างมนุษย์ไม่มีอะไรดีหรอก  ยืมอะไรมาก็ต้องคืนสิ่งนั้นให้เขา  เทพที่ประทับทรงในร่างของมนุษย์ก็ต้องถอนฌาณออกจากร่างนั้น  ฉะนั้นเมื่อมีโอกาสจึงต้องลงมือปฏิบัติธรรมด้วยความเข้มข็ง  นั่นหมายความว่าอย่าเพิ่งเห็นแก่ความสบายที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน  เมื่อไรก็ตามที่เราตายไปแล้วไม่ไปเกิดใหม่  การบำเพ็ญเพียรของเราจะช้าลงไปอย่างน้อย 4 เท่า  อย่างมาก 20  เท่า  อย่างผู้เขียนจะช้าลงทันที 15  เท่า  ฉะนั้นเวลามีจำกัดต้องใช้เวลาให้คุ้มค่า  ด้วยเหตุนี้ทำให้ผู้เขียนใช้ทุกเวลาที่มีปฏิบัติธรรมแล้วก็ทำงานควบคู่กันไปด้วย  อย่างไรผู้เขียนก็ตายแน่นอนไม่วันใดก็๋วันหนึ่ง  ต้องใช้เวาที่ยังมีชีวิตให้คุ้มค่าที่สุด

  ตายไปแล้วหากจะต้องไปบำเพ็ญเพียรอยู่ตามต้นไม้ใหญ่ย่อมทรมานมากกว่าอยู่ในร่างสิ่งมีชีวิตเสียอีก  บำเพ็ญเพียรโดยสิงสถิตอยู่ในจ้นไม้ใหญ่นั้น  มีความเสี่ยงจากความโกรธํที่อาจเกิดขึ้นได้จากการโค่นต้นไม้ของมนุษย์ได้  โอกาสเสื่อมแล้วอาจจะมีความเสี่ยงต่อการไปเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตใหม่ก็มี  เมื่อเกิดใหม่แล้วก็ลืมวิธีปฏิบัติไปแล้ว  ความทกข์จากการเวียนว่ายตายเกิดก็ติดตามตนมาอีก  กว่าที่ใครแต่ละคนจะบำเพ็ญเพียรจนถึงหลุดพ้นวัฏสงสารไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ  แม้แต่มนุษย์ยังมีมารผจญที่สำคัญยิ่ง  คือการไม่เอาชนะตนเองแต่ดันทุรังจะไปเอาชนะผู้อื่น  แล้วเห็นว่าถ้าชนะผู้อื่นได้เป็นสุข  ความคิดเช่นนี้ดึงมนุษย์ลงเหวมามากมายนับไม่ถ้วนแล้ว

ความทรมานชองจิตที่ไม่มีร่างของสิ่งมีชีวิตจะมีความทรมานจิตใจมากกว่าจิตที่มีร่างของสิ่งมีชีวิต  ด้วยเหตุนี้เองการบำเพ็ญเพียรของจิตที่ไม่มีร่างของสิ่งมีชีวิตจะยากกว่าจิตที่มีร่างของสิ่งมีชีวิตด้วย  จิตที่ไม่มีร่างของสิ่งมีชีวิตจึงบำเพ็ญเพียรได้ยากกว่าจิตที่มีร่างของสิ่งมีชีวิตด้วย  เพราะจิตไม่มีร่างจะเห็นอะไรตามความเป็นจริง  แต่จิตที่มีร่างจะแสดงอาการทางกายออกมาแทนโดยที่ไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับตน  สมมุติว่าถ้ารุกขเทวดานางฟ้านั้นเกิดแค้นคนที่ไปตัดต้นไม้ทำลายที่อยู่ของตน  ตนเองก็มีโอกาสที่จะตกต่ำเข้าสู่ความเสื่อมได้ง่าย  บางครั้งการที่รุกขเทวดานางไม้ที่ถูกทำลายที่อยู่  อาจมีเหตุมาจากกรรมปัจจัยที่ตนทำไว้กับมนุษย์ผู้มาตัดทำลายต้นไม้ที่ตนสิงสถิตอยู่ก็อาจเป็นได้  แล้วเมื่อตนเคยทำอย่างใดมาในอดีตก็เป็นไปได้ที่ตนจะทำเช่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีกเหมือนประวัติศาสตร์ที่เคยเป็นมา

แม้แต่เรื่องนี้เองยังเป็นเรื่องสะท้อนให้เห็นว่า  เราทั้งหลายอย่าหวังผลระยะสั้นแล้วเอาแต่สบายในขณะปัจจุบัน  แม้แต่ผู้เขียนเองก็ใช่ว่าจะสบายอะไรมากนักเพราะต้องรับแรงกระทบจากการทำงานเสมอ ๆ  กายภายนอกสบายแต่มันเหนื่อยอยู่ข้างในไม่มีใครรู้เห็น  ด้วยเหตุนี้จึงมีคำสอนว่า  "ความสบายอกุศลกรรมเจริญยิ่ง"  แต่อย่างผู้เขียนได้เคยอธิบายมาแล้วว่าจะลำบากอย่างไหนจึงจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด


ที่มา
http://www.dhumma.net/index.php?option=com_content&view=article&id=950&Itemid=953

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ผีนางไม้
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: 14 มิ.ย. 2554, 09:20:42 »
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน :054:
หลวงพ่อเล่าเรื่องผีนางไม้ 1/2

   ท่าน ผู้ฟังทั้งหลายวันนี้วันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2516 เมื่อวานนี้พูดถึงผีวัดท่าซุงยังค้างอีกนิดหนึ่ง คือว่าตอนที่ผีพระมาบอกว่า การสร้างวัดท่าซุงของหลวงพ่อใหญ่ เดินทีท่านธุดงค์มา แล้วมาพบสถานที่มีชัยภูมิดี ก็ปักกลดตรงนี้ และในที่สุดท่านก็สร้างเป็นวัดขึ้น อันดับแรกทำเป็นอาคารทำด้วยไม้ไผ่ มุงแฝก แล้วก็ใช้สถานที่นั้นเป็นที่อาศัย แม่น้ำหน้าวัดแคบนิดเดียว ที่กว้างออกมาได้ก็เพราะอาศัยเรือเมล์ เรือเขียว เรือแดง วิ่งไปวิ่งมา คลื่นซัดฝั่งพังมาไกล แล้วท่านก็บอกว่าเดิมทีเดียวมีเสาหงส์อยู่หน้าวัด สมัย ที่วัดรุ่งเรือง ถ้าจะดูในระดับเวลานี้ก็อยู่กลางแม่น้ำ บริเวณที่กุฏิพระตั้งอยู่สมัยนี้เป็นเขตแดนของป่าช้า เวลาใช้น้ำจริงๆ ก็ใช้น้ำบึงเล็กๆ ที่หลังวัด นี่ตามที่ท่านเล่าให้ฟังอย่างนี้ ก็รับฟังไว้เหมือนกัน เพราะผีเล่าให้ฟัง ทำไมจึงเรียกว่าผี เพราะว่าคนที่ตายไปแล้ว จะเป็นผีก็ตามเป็นเปรตก็ตาม เทวดาหรือพรหมก็ตาม บรรดามนุษย์ทั้งหลายยกให้เป็นผีเสมอกัน อย่างนี้จึงเชื่อว่าเป็นเรื่องของผี

  หลังจากนั้นมาไม่นาน อาตมาก็ได้พบกับอดีตกำนันชื่ออ่อง เรียกกันว่ากำนันอ่อง ก็แล้วกัน เมื่อปี พ.ศ. 2511 ท่านมีอายุ 93 ปี ท่านกำนันคนนี้รู้เรื่องวัดนี้มาก จึงได้เชิญมาพบ ตอนนั้นท่านยังเดินได้แข็งแรง จึงได้ถามว่าโยม เคยเห็นเสาหงส์ของวัดนี้บ้างไหม ท่านกำนันอ่องก็บอกว่าสมัยผมเป็นเด็กๆ เห็นขอรับ เสาหงส์อยู่ที่นี่ขอรับ แล้วแกก็ชี้ไปที่หน้าศาลา บอกว่าอยู่บริเวณกลางแม่น้ำขอรับ แล้วก็ตลิ่งก็ยาวออกไปประมาณ 4 - 5 วา แสดงว่ำแม่น้ำตอนนั้นเล็กนิดเดียวสมัยนั้น แล้วถามว่าโยมเคยรู้จักบึงหลังวัดบ้างไหม บึงเล็กๆ แกก็บอกว่ามี แล้วก็พาไปชี้สถานที่ ว่าที่ตรงนี้แหละขอรับบึงเล็กๆ ตลอดปีน้ำไม่แห้ง

   สมัยนั้นชาวบ้านแถวนี้ก็ดี ชาววัดก็ดีต้องอาศัยบึงเล็กๆ อันนี้แหละขอรับ รับประทานน้ำกันในฤดูแล้ง เพราะว่าในฤดูแล้งน้ำไม่มีจะใช้ ในคลองขาดน้ำสมัยก่อนมีเขื่อน ก็เป็นอันว่าเรื่องราวของวัดท่าซุงที่ผีเล่าให้ฟังนั้นเรื่องจริง จะว่าผีเหลวไหลก็ไม่ได้ หรือจะว่าเป็นอุปาทาน ฝันไปมันก็ไม่ถูกเหมือนกัน นี่สำหรับอาตมาแน่ใจว่าผีพูดจริง เพราะหลักฐานมีจริง สำหรับท่านผู้ฟังจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เป็นเรื่องของท่าน เอาละตอนนี้ เรื่องของวัดท่าซุงก็ยกยอดไป เพราะเหลืออีกนิดเดียวก็เอามาต่อเข้าต่อ

จากนี้ไปก็มาคุยเรื่องผีกันต่อไปดีกว่า เราจะหาผีที่ไหนดีล่ะ ประเดี๋ยวก่อน ดูก่อนซิ เอาย้อนไปวัดบางนมโคอีกสักครั้งหนึ่ง ตานี้มาว่ากันถึงผีนางไม้ คำว่านางไม้นี้เรียกกันว่ารุกขเทวดาตามภาษาพระพุทธศาสนานะ คือว่าเป็นเทวดาประเภทหนึ่งที่มีบุญญาธิการน้อย วิมานไม่สามารถจะลอยอยู่บนอากาศได้ ต้องอาศัยยอดไม้อยู่ ถ้ามีต้นไม้ที่มีแก่น ตามบาลี ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัส ว่าต้นไม้ที่มีแก่น สูงคืบหนึ่งก็มีรุกขเทวดา ตานี้รุกขเทวดานี่ ความจริงเขาว่าดุ นางไม้นี่นะ เขาลือกันว่าดุ แต่ความจริงไม่แน่นักหรอก ทราบ จากหลักฐานในบาลีว่าบางองค์ท่านก็ดุบางองค์ก็ไม่ดุ บางคนบอกว่าถ้าเทวดามีจริง รุกขเทวดามีจริง ตัดต้นไม้มาหลายหมื่นหลายแสนต้นแล้ว ทำไมถึงไม่มีอันตราย แต่บางคนไปตัดเข้าเพียงต้นเดียวก็เป็นอันตราย อันนี้ ขอแจ้งให้ทราบว่าเทวดามีคุณธรรมพิเศษอยู่ 2 อย่าง คือ หิริ และโอตตัปปะ หิริ แปลว่ามีความละอายต่อผลของความชั่ว โอตตัปปะ เกรงกลัวผลของความชั่ว ขึ้นชื่อว่าความชั่วเป็นการเบียดเบียนตัวและคนอื่น เทวดาไม่ปรารถนาที่จะทำ

ตานี้บางคนที่บังเอิญไปโค่นต้นไม้เข้าแล้วก็เป็นอันตราย นั่นต้องถือว่าเป็นกฎของกรรมของตัวเอง มิใช่ว่าเทวดารุกราน โปรดทราบตามนี้ไว้ด้วย เทวดาแปลว่าผู้ประเสริฐ คนที่ประเสริฐแล้วย่อมไม่รุกรานชาวบ้านย่อมไม่ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน นี่ขอบรรดาท่านผู้ฟังรับทราบไว้ด้วยทีนี้มาว่ากันถึงนางตะเคียน คือ รุกขเทวดาที่อาศัยอยู่บนต้นตะเคียนที่วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นางตะเคียนที่มีความสำคัญอยู่ 2 ต้น คือต้นใหญ่เวลานี้ยังอยู่ ยังไม่มีใครโค่น สมัยนั้นหลวงพ่อปานท่านมีความประสงค์จะโค่น แต่ว่านางตะเคียนไม่ยอมให้โค่น จะรานกิ่งท่านก็บอกว่าเธอไม่ยอมให้ราน ถามว่าแล้วหลวงพ่อว่ายังไงล่ะขอรับ ก็เลยสัญญากับเขา ท่านว่าอย่างนั้น ฉันก็เลยสัญญากับเขาว่า ถ้ากิ่งของตะเคียนนี่หล่นมาโดนหลังคากุฏิ ถ้ากระเบื้องของฉันบิ่นไปนิดเดียวฉันจะตัด

นางตะเคียนเขาก็ให้สัญญา ว่าจะไม่ทำอันตรายแต่กุฏิพระ นี่ก็เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์เหมือนกัน บางคราวนะ กิ่งใหญ่ๆ แห้งหักแล้วก็แห้งห้อยอยู่ ก็คิดว่าหล่นมาเมื่อไหร่ หลังคากุฏิพระจะต้องแตก หรือไม้อาจจะต้องหัก แต่ห้อยอยู่นั่นนานแสนนานไม่ยอมหล่น พอจะหล่นเข้าจริงๆ ก็ปรากฏว่ามีลมพัดมา ทำเอากิ่งตะเคียนอันนั้นแหละไปหล่นอยู่โน่น เลยกุฏิพระไปประมาณ 2 วา อันนี้อาตมาเห็นเองนะ รับรองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ก็เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ แต่ว่าลมนั่นจะเป็นลมของนางตะเคียน หรือว่าธรรมชาติ อาตมาก็ไม่ทราบเหมือนกัน เป็นว่าเคยเห็นก็แล้วกัน

ตานี้มาคุยกันถึงนางตะเคียนให้หวย นางตะเคียนนี่ก็มีดีเหมือนกัน ให้หวยได้ เลขท้าย 3 ตัว เลขท้าย 2 ตัวนี่ให้ได้เรื่อง ราวก็มีอยู่ว่า มีหญิงคนหนึ่ง เป็นหญิงหม้าย ชื่อว่าละออ นามสกุลงามลักษณ์ เป็นภรรยาของอดีตครูของอาตมานี่เอง ครูคนนี้เคยสอนเบื้องต้นในชั้นประถม ความจริงท่านเป็นคนดีมาก เป็นคนที่ชาวบ้านรักมาก เข้าสังคมได้ดี ทำตัวเป็นคนเสมอกัน ต่อมาก็มาเป็นปลัดอำเภอ เมื่อท่านตายไปแล้วตระกูลนี้เมื่อท่านอยู่รู้สึกว่ามีความรุ่งเรืองตามสมควร อาศัยความดีของท่าน สมัยที่เป็นปลัดอำเภอเวลาคนเขาไปหา ขึ้นไปบนอำเภอไปดูโต๊ะโน้นโต๊ะนี้  บางท่านเขาไม่สนใจ คือเรียกว่าชาวบ้านเขาขึ้นไปอำเภอน่ะ ไปหาเจ้าหน้าที่ของอำเภอ หาคนสนใจไม่ได้ บางรายจะไปติดต่อเสียภาษีอากร เจ้าหน้าที่ก็ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ลืมดินสอบ้าง ลืมปากกาบ้าง ลืม ลูกกุญแจเสียบ้าง ทำโยกๆ โย้ๆ จนกระทั่งพ่อค้าแม่ค้า ชาวบ้าน ชาวไร่ชาวนา เบื่อข้าราชการไปตามๆ กัน เพราะว่าข้าราชการเลวๆ อย่างนี้มีปริมาณสูง ในอำเภอนั้นนะ แต่ว่าอำเภออื่นเขาจะเป็นยังไงก็ไม่ทราบ

     ตอนคุณยุ้ย งามลักษณ์ สามีคุณละออ  งามลักษณ์ไปเป็นปลัดอำเภอ ไม่ว่าอำเภอไหนที่ท่านขึ้นไปอยู่ เมื่อเห็นคนขึ้นไปแล้วในฐานะที่เคยเป็นครูมาก่อน ก็ออกต้อนรับขับสู้ ถามว่ามาธุระอะไรมีธุระอะไร ถ้าใครเขาไม่ว่างก็ทำให้เลย อย่างนี้เป็นที่รักของคนไปติดต่อบนสถานที่ราชการมาก ก็เลยมีรายได้ดี คำว่าได้ในที่นี้ไม่ใช่ได้มาจากไหน ถึงเวลาวันเกิดทีหนึ่งก็มีคนมาสงเคราะห์ท่าน เอาเงินมาช่วยบ้าง เอาอะไรมาช่วยบ้าง ตามเรื่องตามราวของชาวบ้านที่มีความกตัญญู กตเวที และบูชาความดีของคน เป็นอันว่าฐานะของบ้านนี้อยู่ในเกณฑ์ดีพอสมควร ไม่มั่งคั่ง เรียกว่าพอใช้พอสอย ต่อมาไม่ช้า ท่านปลัดอำเภอยุ้ย งามลักษณ์ ก็ตาย

   วันหนึ่งแกมาขอหวยอาตมา บอกว่าขอหวย ถามว่าจะเล่นไปทำไม บอกว่าจะเอาเงินไปส่งลูก ก็เลยบอกว่าพี่ พระน่ะให้หวยไม่ได้นะ ถ้ารู้จริงๆ มีเหมือนกัน บางคราวถ้าเผลอเท่านั้น จึงได้พูดไป ถ้าเวลาไม่เผลอ ตั้งใจพูดจริงนี่ให้ไม่ได้ เป็นระเบียบของพระ เพราะการให้ไปแบบนั้นก็เท่ากับเอาอาวุธให้แก่โจร เป็นการปล้นเจ้ามือเขา การเล่นกันตามธรรมดาเป็นการเสี่ยงโชค แล้วอีกประการหนึ่ง คนที่รับหวย เลขหวยไปจากมือพระหรือจากใครก็ตามถ้าหากว่าไม่มีลาภสักการะจริงๆ ตัวเองบุญยังไม่ถึงจริงๆ ก็มักจะไม่เล่น ดูตัวอย่างหลวงพ่อจง ให้คนบอกว่าเลขนี้ตรง เล่นไม่ต้องกลับ แต่ท่านก็ทราบว่าเขาไม่เล่นของท่าน ท่านก็บอกว่าให้ไปแล้วก็ไม่เล่น คนนั้นก็ยืนยันว่าจะเล่น ในที่สุดเวลาหวยออกจริงๆ ปรากฏว่าเลขของหลวงพ่อจง เขาไม่ได้เล่น เล่นของอาจารย์อื่น  เมื่อหวยออกมาแล้วเป็นเลขของหลวงพ่อจงตรงเป๋ง ไม่ต้องกลับ เลยบอกแกอย่างนี้ บอกว่าไอ้นี่มันเป็นเรื่องของโชคลาภ พี่อย่าเล่นมันเลยพี่ จะเล่นก็เล่นอย่างอื่นเถอะ ค้าขายดีกว่า  แก ก็บอกว่าทุนมันน้อย แล้วก็ไม่ถนัด ก็เลยจะหาทางให้แกเลิกเล่นหวย ในฐานะที่แกเป็นผู้หญิง ก็คิดว่าจะทำไม่ได้

แล้ว วัดบางนมโคสมัยนั้น ต้นไม้ก็ครึ้มไปหมด กลางคืนน่ากลัวมาก ไฟฟ้าก็ไม่มี บอกว่าพี่ เอายังงี้ดีกว่านะ นางตะเคียนที่หน้าวัดนี่นะมีอยู่ 2 ต้น ต้นใหญ่ๆต้นหนึ่งมีโพรง นางตะเคียนนี่นะ ต้นหนึ่งให้หวยเก่งจริงๆ ถ้าหากว่าพี่จะขอหวยให้ดีละก็ เวลากลางคืนประมาณ 4 ทุ่มนะ หรือว่าเลยนั้นไปแล้วก็ดี อย่าให้คนเห็น พี่เอาดินสอมาเล่มหนึ่ง แล้วก็เอากระดาษเปล่าๆ มาแผ่นหนึ่ง เอาธูปจุดบูชานางตะเคียนขอให้ให้หวย จะเอาเลขข้างล่างหรือเลขข้างบนก็บอกให้ชัด  จะให้ให้เลขกี่ตัวก็ได้ตามที่นางตะเคียนจะบอก จะบอกได้ตัวเดียว หรือ 2 ตัว หรือ 3 ตัวก็ตามใจ ขอให้บอกเท่านั้น บอกว่าขอให้เขียนเป็นเลขลงไปในกระดาษ แล้วพี่ต้องมาเอาเวลาเช้ามืดนะ ประมาณตี 4 เพราะถ้าสว่างแล้วเลขที่นางตะเคียนเขียนจะมองไม่เห็น จะลบไป ไอ้ที่บอกอย่างนี้ไม่ใช่อะไร  เพราะแกเป็นผู้หญิง เวลามาขอหวยต้องมาคนเดียว ก็คิดว่าแกเป็นผู้หญิงจะมายังไง วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ต้นไม้ครึ้มน่ากลัวจะตาย เวลากลางคืนพระองค์เดียวยังไม่ค่อยจะกล้าเดินนัก แต่ที่ไหนได้ พี่ละออแกเกิดไม่กลัวขึ้นมา

อาตมาไปรู้เอาเวลาผ่านไปประมาณ 3 ปีแล้ว  แกจึงมาเล่าความจริงให้ฟัง รู้สึกว่านับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา 2 - 3 เดือน ค่าใช้จ่ายที่แกจ่ายในการทะนุบำรุงลูก ให้การศึกษาดูเหมือนจะไม่อั้น ลูกอยากจะเรียนอะไร ก็ส่งให้เรียน ทั้งๆ ที่รายได้อะไรก็ไม่มี คิด ว่าแกมีรายได้อย่างอื่น หรือมีเงินกู้หลังจากสามีตายไปแล้ว คือว่าสมัยอยู่อาจจะมีเงินให้เขากู้ก็ได้  คิดว่ายังงั้น ไม่ได้สงสัยว่าได้หวย 3 ปีผ่านไป นางตะเคียนเขียนไว้ในกระดาษบอกว่านับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอให้เลิกเล่นหวย เงินที่ได้จากรายได้หวยพอแล้ว แกจึงมาเล่าให้ฟัง แกบอกว่าท่านมหารู้ไหมที่ท่านมหาบอกฉันให้ไปขอหวยที่นางตะเคียนน่ะ มีผลดีจริงๆ ก็ตกใจถามว่า พี่มาขอจริงๆ น่ะรึ แกบอกว่า ก็ท่านบอกอย่างนั้นนี่ ฉันก็มาจริงๆ ถามว่ามากับใคร บอก มาคนเดียว ถามว่าพี่ไม่กลัวผีรึ บอกฉันอยากได้เงินนี่ ฉันไม่กลัวผีหรอก แล้ว กัน เอาเข้าแบบนี้ แล้วถามว่าผลเป็นยังไง แกก็เลยเล่าให้ฟังว่า เอาธูปมา 3 ดอกจุดบูชาขอหวย ขอให้นางตะเคียนให้หมายเลขรางวัลที่ 1 ตอนท้าย 3 ตัว จะให้ได้ 1 ตัว 2 ตัว หรือ 3 ตัว ก็ตามอัธยาศัยตาที่ท่านบอก ถ้าให้ละก็ขอให้เขียนใส่กระดาษ แล้วแกก็เอากระดาษใส่ไว้ในโพรงไม้ เอาดินสอใส่ไว้ด้วย เวลาตอนตี 4 หรือตี 3 เศษๆ แกก็มา ได้หมามันก็เห่า แกว่ายังงั้น ต้องถือขนมมาด้วยสัก 2 - 3 คราว แทนที่มันจะเห่า มันก็วิ่งไปขอขนมกิน แกบอกว่าได้อาศัยหมาเป็นเพื่อน หมาตอนนั้นเยอะ เกือบร้อยตัว เพราะว่าวัดเลี้ยงหมา ไม่เลี้ยงก็ไม่ได้ เพราะว่าอะไร เพราะว่าหมามันมาก มันมาเองนี่ ก็เลยต้องเลี้ยงมัน แกบอกว่าบางคืน พอหยิบออกมาแล้ว ทั้งๆ ที่อากาศมืดๆ ก็เห็นเลขชัด งวดแรกจริงๆ ได้เลขท้าย 3 ตัว แล้วก็มีหนังสือเขียนไว้ว่า จงอย่าเล่นเกิน 20 บาท คือว่าอย่าซื้อเกิน 20 บาท และอย่าบอกใคร...........


ที่มา
http://www.watpanonvivek.com/index.php?option=com_content&view=article&id=742:-m-m-s&catid=37:2010-03-02-03-52-18

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ผีนางไม้
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: 14 มิ.ย. 2554, 09:41:37 »
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
หลวงพ่อเล่าเรื่องผีนางไม้ 2/2


   แกไปแกก็ซื้อเลขตัวนั้นในอัตรา 20 บาท ปฏิบัติตามคำสั่งจริงๆ แกก็ได้เงินหมื่นสองพันบาท งวดต่อมาอีกให้ 2 ตัว บอกว่าคราวนี้จงอย่าเล่นเกิน 5 บาท แกก็เล่น 2 ตัว ไม่เกิน 5 บาท มาคราวที่ 3 ให้เลขตัวเดียว บอกว่าเลขตัวนี้อยู่ท้าย ให้เล่นปักท้าย จงอย่าเล่นเกิน 5,000 บาท แกก็ไปซื้อปักท้าย 5,000 บาท เขาก็ใช้มานะบาทละ 7 บาท ก็คิดดูแล้วกันได้เท่าไหร่ แล้วในระยะต่อมาก็ให้ตัวเดียวมาอีกสัก 2 - 3 ครั้ง

กำหนดเงินให้เล่นคราวละพันบาทบ้าง 2 พันบาทบ้าง สัก 5 - 6 คราว ก็ให้สามตัวครั้งหนึ่ง แล้วก็ให้ 2 ตัวอีกครั้งหนึ่ง แต่ว่าจำกัดเงินในการซื้อ แกบอกว่าได้อย่างนี้มาตลอดปี เป็นเวลา 3 ปี เวลานี้มีเงินที่เก็บไว้ และให้เขากู้ไปประมาณ 2 แสนบาทเศษ เป็นเงินกู้ที่พอจะเลี้ยงตัวเลี้ยงลูกได้ แล้วก็เงินใช้สอยในการลงทุนค้าขายเล็กๆ น้อยๆ มีทุนหมุนเวียนพอสมควร เวลานี้นางตะเคียนบอกให้เลิกแล้ว แล้วถามว่าพี่จะเล่นต่อไหม แกก็เลยบอกว่าฉันไม่เล่นหรอก เพราะว่านางตะเคียนให้ทำแบบไหนฉันก็ทำแบบนั้น แล้วก็บางคราวฉันมีความขัดข้องอะไรขึ้นมา ฉันก็มาตอนมืดๆ อย่างที่แล้วมานั่นแหละ เดินดินสอใส่ลงไป กระดาษใส่ลงไป ขอให้แม่นางตะเคียนพยากรณ์เหตุร้ายหรือความต้องการหรือความกลุ้มใจที่เกิด ขึ้นนี่ จะปัดเป่าให้หายไปด้วยวิธีใด ก็ปรากฏว่า ตอนเช้ามืดมารับกระดาษนั้น ก็เห็นขอคามที่นางตะเคียนเขียนหนังสือบอกไว้ แกก็ปฏิบัติตามนั้น ผลจริงๆ ที่ได้รับก็คือความสุขใจ คลายความขัดข้องลงไปได้

นี่แหละท่านผู้ฟัง เรื่องของผีที่ตายแล้วนี่ก็มีประโยชน์กับคนเหมือนกัน นางตะเคียนก็ถือว่าเป็นผี จะว่าไม่จริงก็ไม่ได้ เมื่อความจริงมันปรากฏอย่างนี้ประสพการณ์มีมาอย่างนี้ก็มาเล่าสู่กันฟัง ท่านผู้ฟังจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจท่าน คนพูดมีหน้าที่พูด คนฟังมีหน้าที่ฟัง แล้วก็มีหน้าที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ
ขอให้เป็นไปตามอัธยาศัยของท่านต่อนี้ไปก็มาคุยกันถึงนางตะเคียนชุด นี้อีก นางตะเคียนชุดนี้มีชื่อมาก สมัยที่อาตมาเป็นเจ้าอาวาสและเจ้าคณะอยู่ที่
นั่น ก็อาศัยนางตะเคียนเหมือนกัน หลวงพ่อปานท่านก็อาศัย ถึงเวลาปีหนึ่งก็เอาผ้าไปห่มต้นตามประเพณี แล้วก็เอาทองไปปิดให้ แสดงการคารวะ จะหาว่าพระไหว้ผีก็ตามใจเถอะ ในเมื่อผีมีคุณ

เวลาเกิดขัดข้องอะไรขึ้นมาก็ไปถาม เวลาบูชาพระอาตมาเรียกว่าโยม ก็มีอยู่ 2 ต้นด้วยกัน ก็บอกว่าโยมทั้งสองน่ะ เวลานี้อาตมาขัดข้องอย่างนั้นอย่างนี้ จะแก้ไขได้ด้วยวิธีใด กรุณามาบอกด้วย เพียงเท่านี้นอนใกล้จะหลับก็ปรากฏมีหญิงสาว 2 คน แต่งตัวสวย คนหนึ่งนุ่งผ้าสีชมพู ใส่เสื้อสีชมพู อีกคนหนึ่งนุ่งผ้าสีทอง ใส่เสื้อสีทอง มานั่งอยู่ข้างๆ แล้วก็พูดเรื่องที่ต้องการจะรับทราบให้ฟัง หรือว่ามีบุคคลใดก็ตามจะมาคิดร้ายอะไรก็ตาม ส่วนมากมักจะมาบอกข่าวลักษณะนั้นอยู่เสมอ อาตมาก็ยอมรับนับถือว่าท่านเป็นโยม คำว่าโยมแปลว่าผู้รับเลี้ยง อย่างนี้เขาเรียกว่าเลี้ยงใจ หรือว่าเลี้ยงกายด้วยก็ได้ เพราะว่าความดีของท่านที่หาอาหารมาให้ด้วย หมายความว่าถ้าเวลาไหนเขาเกิดยากจนขึ้นมา พระเจ้าในวัดนั้นมีอาหารไม่บริบูรณ์ ฉันกันไม่ค่อยจะพอ ก็บอกนางตะเคียน บอกหลวงพ่อปาน ส่วนใหญ่หลวงพ่อปานท่านบอกว่าเป็นภาระของนางตะเคียน แล้วท่านก็มาท่านก็บอกว่าไม่เป็นไร ท่านก็รับภาระไปหาอาหารมาให้ แล้วผลที่สุดท่านก็บอกว่าจะหาอะไรมาให้ บางทีก็ได้จากคนไกลๆ บ้าง ได้จากคนใกล้ๆ บ้าง เป็นอย่างนี้

จะว่าผีไม่มีประโยชน์มันก็ไม่ได้ สำหรับคนที่รู้จักกับผีและรู้เรื่องราวของผีดีทีนี้ นางตะเคียนท่านนี้ ตามปกติแล้วถ้าคนมาพักที่วัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่กุฏิอาตมา ถ้าไม่เคารพในพระรัตนตรัยละก็ได้ดีทุกคน เป็นอันว่านอนไม่หลับ คราวหนึ่งเพื่อนกันในสมัยที่เป็นฆราวาสอายุเท่ากัน แต่ว่าเขาเป็นฆราวาส อาตมาเป็นพระ เขามาเยี่ยมก็คุยกันมาถึงเวลาดึกประมาณสัก 5 ทุ่ม เขาถามว่าที่วัดนี้ผีดุไหม ก็เลยบอกเขาว่าต้องการแบบไหนล่ะ ต้องการแบบดุหรือต้องการแบบไม่ดุ เขาก็นิ่ง เลยถามเขาอีกคำหนึ่งว่า ต้องการนอนหลับ หรือต้องการนอนไม่หลับ เขาบอกว่าต้องการแบบนอนไม่หลับ เพราะเจ้าเพื่อนคนนี้เขาบอกว่าผีไม่มี ก็เลยบอกว่า เอา ตกลง คืนนี้จงอย่าหลับเลย

เท่านั้นแหละ แล้วก็ปูเสื่อให้นอนใกล้ๆ กัน พออาตมานอนลงไป เขาก็ล้มตัวลงนอน นอนแล้วเขาก็ลุกขึ้น พอลุกขึ้นแล้วก็นอนลงไปอีก รู้สึกว่าหัวพอจะถึงหมอนมันก็ลุกขึ้น เวลาที่นอนนั่น นอนใกล้ๆ กับอาตมา ในที่สุดเขาก็เอาไฟฉาย ฉายมาในระหว่างกลางแล้วก็นอนลงไปอีก อาตมาก็สงสัย ดูเหมือนกันว่าเจ้าทองหล่อนี่มันทำอะไรของมัน แล้วก็ลุกขึ้นมา เขาก็เลยบอกว่า เอางี้ก็แล้วกัน เอาอย่างนอนหลับดีกว่า ถามว่าเป็นไงล่ะ ตอบว่านอนไม่ได้ซี แขนใครก็ไม่รู้ใหญ่จริงๆ มารองทับอยู่ข้างหลัง นอนลงไปก็เอาหลังทับแขน ทีแรกผมนึกว่าแกล้งผมเลยเอาไฟฉาย ฉายตรงกลางไว้ เห็นท่านนอนเฉยๆ พอนอนลงไปอีก ก็พบแขนอีก เป็นอันว่าไม่ใช่แขนท่าน ก็เลยบอกว่าดีแล้ว จะได้รู้ เชื่อหรือยังเล่าว่าผีมีจริง เขาบอกว่าเชื่อแล้ว ถ้าไม่เชื่อน่ากลัวคืนนี้จะไม่ได้นอน บอกแน่นอนแกไม่ได้นอนแน่ เมื่อเขาบอกว่าเชื่อก็บอกเขาว่า เอ้า บูชาพระเสีย ที่กุฏินี้ ถ้าไม่บูชาพระไม่มีโอกาสจะนอนหลับ เขาก็กลายเป็นเด็กว่าง่ายไปนั่งบูชาพระตามสมควรแล้วก็นอน นอนหลับสนิทตลอดคืนทีนี้

มาอีกพวกหนึ่ง มาจากจังหวัดสุพรรณบุรี พวกนี้มา 4 คน มีคนแก่มา 3 คน แล้วมีคนหนุ่มมาคนหนึ่ง เจ้าเด็กหนุ่มคนนี้เคยเข้าป่า มันปกติจะไปไหนก็ตามมันต้องไหว้ผีป่าผีบ้าน ผีเรือนอะไรของมันก็ตาม เพราะอะไร เพราะเคยโดนมา ถ้าไม่เคารพต่อสถานที่ละเป็นอยู่ไม่เป็นสุข มันเคยโดนมาแบบนั้น เกิดความเชื่อถือมาก แต่ว่าเจ้าแก่สามแก่นี่ซี หูหนัก ใจหนัก เมื่อเวลาจะนอนก็เอาตะเกียงมาแขวนให้ใกล้ๆ แล้วก็พรางแสงไว้ คือด้านหนึ่งสว่าง ด้านหนึ่งให้มืด คือ ว่าแสงไฟเข้าตาเดี๋ยวเขาจะนอนไม่หลับ สมัยนั้นไม่มีไฟฟ้า แล้วก็สั่งว่าทุกคนนะ ก่อนจะนอนบูชาพระเสียก่อนนะ ถ้าไม่บูชาพระจะนอนไม่หลับ

เจ้าหนุ่มเคยกระทบแบบนี้มาแล้วมาก บูชาพระด้วยความเต็มใจคนเดียว แต่ว่าเจ้าแก่สามแก่นี่ไม่ยอมบูชา พระ ทั้งๆ ที่มันนอนอยู่ในกุฏิของพระ มันยังไม่บูชาพระดูเถอะ คนสมัยนี้ มันเป็นเสียแบบนี้ คิดว่าตัวน่ะดี รู้อะไรทั้งหมด แต่ว่าพระน่ะแปลว่าผู้ประเสริฐ การบูชาพระน่ะให้บูชาพระพุทธเจ้า เขาเองเขาก็ประกาศตัวเป็นกรรมการวัด เรียกว่าเป็นพุทธศาสนิกชนที่ใกล้ชิดกับพระมาก บางทีอาจจะมีความรู้สึกว่า เขาเป็นเจ้านายพระเสียเลยก็ได้ ไม่ยอมบูชาพระ พอเวลาตีสองอาตมาออกมาจากห้องนอน เห็นเจ้าหนุ่มหลับสบาย แต่ว่าเจ้าแก่ 3 คนนั่งคุยกัน ก็สงสัยว่านี่ทำไมถึงไมนอนล่ะ มันดึกป่านนี่แล้วนี่ หรือ ว่านอนตื่นขึ้นมาแล้ว ทั้งสามคนเขาก็รายงานบอกว่า นอนไม่ได้ขอรับ ถาม ทำไมล่ะ มีเจ้าหน้าที่มาจัดระเบียบหัวอยู่ตลอดเวลา ถามว่ายังไง ไหนลองเล่าให้ฟังที 

เขาก็เลยบอกว่าเวลานอนลงไปมีผู้หญิงสองคน คนหนึ่งนุ่งผ้าสีทองเป็นผ้ายก ใส่เสื้อสีทอง อีกคนหนึ่งนุ่งผ้าสีชมพู ใส่เสื้อสีชมพู เป็นผู้หญิงสาวทั้งคู่  สวยมากมายืนอยู่ด้านหัวนอนคนหนึ่ง ปลายเท้าคนหนึ่ง เวลานอนลงไป คนมันสูงต่ำไม่เท่ากัน ยาวสั้นไม่เท่ากัน ขามันก็ไม่เสมอกัน คนใส่เสื้อและนุ่งผ้า  สีชมพูอยู่ปลายเท้า ดึงเท้าให้เสมอกัน พอเท้าเสมอกัน หัวมันก็เกิดไม่เสมอกัน คนนุ่งผ้าสีทองใส่เสื้อสีทองอยู่ทางศีรษะก็ดึงหัวให้เสมอกัน เล่นกันอยู่แบบนี้ตลอดเวลา แล้วผมจะนอนยังไงเล่าขอรับ เวลาผมลุก ขึ้นมานั่ง ก็ไม่เห็นแก ถ้านอนลงไปเมื่อไร แกก็จัดระเบียบหัวเมื่อนั้น ก็เลยถามว่าพวกเราสามคนนี่น่ะ ไม่ได้บูชาพระใช่ไหม เขาก็รับว่าใช่ ก็ดีแล้วนี่ เราเป็นกรรมการวัด แต่ไม่ใช่วัดบางนมโค วัดของเขาสี อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี เราเป็นกรรมการวัด มันน่าจะปฏิบัติตามแบบฉบับของพระพุทธศาสนาให้เป็นตัวอย่างแก่คนอื่นในทางที่ ดี คือการเคารพในพระพุทธเจ้า แต่เราเองกลับเป็นคนเลวแบบนี้ ไอ้วัดสารี ทั้งวัดนี่คนมันไม่เลวตามนี้หมดรึ นี่เพราะเราเลวนะ เขาจึงมาสอนให้ แล้วไอ้เจ้าอาจล่ะ ทำไมมันถึงนอนหลับ เขาก็เลยรายงานบอก มันหลับจริงๆ ขอรับ จับมันสั่นมันก็ไม่ลุก แล้วก็อีก 2 คน ก็บอกว่าไม่มีทางจะตื่นหรอก เจ้านั่น ถ้าไม่ถึง 6 โมงเช้าเมื่อไรไม่มีทางตื่น เพราะเขาไม่ให้ตื่น แล้วเขาก็ไม่ไปยุ่งกับมัน เขาปล่อยมัน ก็เลยถามว่าเจ้าอาจน่ะ มันบูชาพระใช่ไหม เขาก็บอกว่าใช่ ก็บอกราต้องการจะนอนหลับไหมล่ะ ถ้าต้องการจะนอนหลับก็ไปบูชาพระด้วยความเต็มใจนะ ถ้าสักแต่ว่าบูชาก็คงจะได้ดีอีก หมายความว่าประเดี๋ยวคงจะมาจัดการแบบใดแบบหนึ่งเป็นแน่ เขาถามว่าสองท่านเป็นใคร ก็เลยบอกว่าเป็นนางตะเคียนนี่เรื่องหนึ่ง ที่ผ่านไปนะ

ขอเริ่มอีกเรื่องหนึ่ง ตอนหนึ่งนางตะเคียนชุดนี้เหมือนกันเปิดหน้าพระ เรียกว่าตอนนางตะเคียนเปิดหน้าพระ คำว่าหน้าพระในที่นี้ก็หน้าพระสงฆ์ คือว่าระหว่างนั้นเป็นเวลาเทศกาลมีงานประจำปี ที่วัดนี้สมัยที่อาตมาอยู่ คนมากเหลือเกิน เวลามีงานประจำปี ดี ไม่ต้องมีมหรสพ ขึ้นชื่อว่าลิเก หนัง หรือละครนี่ คนเขาไม่สนใจ เขาสนใจอย่างเดียวคือทำบุญกัน มาปิดทองหลวงพ่อทั้งสาม หลวงพ่อปาน หลวงปู่คล้าย หลวงพ่อแช่ม แล้วก็มาบำเพ็ญกุศลที่กองการกุศลที่อาตมานั่งรับอยู่ การรับบำเพ็ญกุศลน่ะต้องหลายคนด้วยกันรับเงิน คนมายืนกันจนแน่น สถานที่หลังนั้นเป็นกุฏิ 4 ห้องยาว นั่งเต็มหมด แล้วก็ยืนซ้อนกันเป็นตับอีกมาก นักบำเพ็ญกุศลนี่หาเวลาว่างไม่ได้ ฉะนั้น งานบำเพ็ญกุศลวัดนี้ไม่ต้องมีมหรสพดี ปีๆ หนึ่งก็มีเงินสุทธิเหลือจากค่าใช้จ่ายหลายหมื่น อย่างเลวๆ ก็ห้าหกหมื่นบาท ถ้ามีความจำเป็นจะต้องใช้หนี้เป็นแสนก็ได้เป็นแสน นี่ผลเพราะความดีของหลวงพ่อปานท่านทำไว้ ไม่ใช่อาตมาดี หลวงพ่อปานท่านทำไว้ดี แล้วอาตมาก็บูชาหลวงพ่อปาน เวลาจะทำงานทีไรก็ต้องบวงสรวงท้าวมหาราช เมื่อบวงสรวงแล้วก็อาราธนาหลวงพ่อปานและอดีตเจ้าอาวาส ท่านผู้มีทรงคุณความดีทั้งหมด ตามเรื่องของพระเพ้อพระฝัน เรียกว่าเรียกคนที่ไม่มีตัวมาช่วย แต่ผลมันก็เป็นอย่างนั้น เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ จะว่าไม่ได้ผลจริงก็ไม่ได้ ทีนี้คนจะกลับก็ไม่ได้ คนที่มาจากต่างจังหวัด ก็พักบนกุฏิพระโดยเฉพาะกุฏิอาตมาใหญ่กว่าเขา มีคนนอนกันเต็มทั้งผู้หญิงผู้ชาย ไฟฟ้าต้องจุดสว่างตลอดเวลาเกรงว่าอันตรายจะเกิดตานี้

มีพระองค์หนึ่งมาจากวัดเจ้าแปด อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แกมาเที่ยวงานเป็นเพื่อนกับพระลูกศิษย์ของอาตมา เวลาตอนดึกสองนาฬิกาแกง่วงก็มานอน คนน่ะเขานอนเต็มหมดแล้ว สองสามแถวในกุฏิ ทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชาย ผู้ชายนอนอยู่แถวบน ผู้หญิงนอนแถวล่าง ประตูใส่กลอนสนิท แล้วก็มีคนระวังข้างนอก เกรงว่าใครจะย่องมาตัดสร้อยเขาเวลาหลับ แล้วมีเจ้าหน้าที่สารวัตรทหารเรือกับตำรวจคุมอยู่ทุกจุดที่มีคนพัก แล้วก็นอกจากนั้นก็ยังมีคณะขโมย เอามาเป็นกรรมการคุมงาน แล้วก็คณะนักแซ้ง คณะนักเลง หัวหน้านักเลง มาคุมงาน พ่อพวกนี้ถ้ามาคุมงานเสียแล้ว อันตรายในงานมันก็ไม่มี แล้วเงินทองเบี้ยเลี้ยงเขาก็ไม่เอา เรียกว่าเขาไม่เอาหรอก เขาทำงานให้จริงๆ

พระองค์นั้นเวลาแกง่วงแกก็ มานอนบนเตียง บนเตียงของพระที่เป็นเพื่อน พระที่เป็นเพื่อนกันก็บอกแล้วนะ บอกว่า กุฏินี้ไม่ได้นะ ถ้าจะนอนต้องบูชาพระเสียก่อน ถ้าไม่บูชาพระก่อนละท่านจะนอนไม่หลับ พระองค์นั้นน่ากลัวจะเป็นพระหัวดื้อ หรือบางทีก็จะเป็นพระ ส่งเดช เรียกว่าประเภทสักแต่ว่าบวช เวลาจะนอนจะกินนี่คงไม่ได้นึกถึงพระพุทธเจ้า แกรับฟังแล้วแกก็ไม่ปฏิบัติ แกก็นอนคลุมโปง เอาจีวรคลุม พระที่เป็น เพื่อนแกบอกว่าแกก็ต้องร้องเตือนไป บอกว่าทำไมไม่กราบพระเสียก่อนล่ะ เขาก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอก ที่วัดเขาไม่เคยกราบพระสักทีก็นอนได้ พระเพื่อน กันก็รู้อยู่ คิดในใจว่าตามใจเขา ประเดี๋ยวมันคงเห็นดี แกก็ไปนอนใกล้ๆ ไปนอนอีกที่หนึ่ง ครั้นสักประเดี๋ยวเดียวพระองค์นั้นลุกพรวดพราดขึ้นมา พระเพื่อน กันถามว่าอะไรล่ะ บอกมีหญิงผู้หญิงคนสาวๆ คนหนึ่งมาเปิดโปง เปิดทางด้านหัว แกเอาจีวรคลุมหัวคลุมเท้า พอเปิดแล้วก็มองหน้า จ้องหน้าลงไปต่ำ หน้าเกือบจะชนกัน พระเพื่อนก็เลยลุกขึ้นมา เพราะไฟฟ้ามันสว่างนี่ ไม่ได้ดับริบหรี่ จุดติดอยู่ 3 - 4 ดวง สว่างมาก ถามว่าดูซิผู้หญิงคนไหน มีผู้หญิงเขา นอนเป็นตับสักสามสิบสี่สิบ แกก็ไปตรวจดูไม่มี รูปร่างแบบนั้นไม่มี แต่งตัวแบบนั้นไม่มี พระเพื่อนกันก็ถามว่าผู้หญิงคนนั้นน่ะ รูปร่างเป็นยังไง แต่งตัวแบบ ไหน ตอบว่าผิวขาว หน้าตาสวยมาก ดูลีลาดูลักษณะหน้าแล้วคล้ายๆ เป็นเด็กรุ่นๆ อายุ 14 -15 นุ่งผ้าสีทอง ใส่เสื้อสีทอง พระเพื่อนกันก็บอก ได้ดีแล้ว ได้ดีแล้ว พระองค์นั้นถามว่ายังไง บอกว่า นี่นางตะเคียน ไม่ใช่คนที่มานอนอยู่ที่นี่ แต่คนที่นอนที่นี่ลุกไปประเดี๋ยวนี้ จะไปผลัดเครื่องแต่งตัวได้ที่ไหน ประตูก็ปิด ไอ้ท่านมันเป็นคนหัวดื้อ ไม่บูชาพระใช่ไหม แกก็บอกว่าใช่ ก็บอกแล้วว่าที่นี่ไม่ได้ ไม่บูชาพระเป็นโดนดี นี่แกไม่เชื่อข้านี่ ก็ดีแล้ว โดนเสียบ้างก็ดี พระองค์นั้นเลยกลัว ออกจากกุฏิไปเดินเล่นจนกว่าจะสว่าง เป็นอันว่าไม่ได้นอน อันนี้เรียกว่าคนบวชเป็นพระ แต่ว่าใจไม่ได้เป็นพระ เป็นพระแต่ตัวแต่ว่าหัวใจ ไม่ใช่พระ เป็นอันว่าเป็นคนเลวก็แล้วกัน ต้องให้ผีสั่งสอน เรื่องนี้ก็ยุติไว้เพียงเท่านี้นะ เดี๋ยวจะต่อใหม่ เรื่องนางตะเคียนนี่ขอผ่านไป เล่ากันจริงๆ มันไมจบหรอก มีเรื่องเยอะ


ที่มา
http://www.watpanonvivek.com/index.php?option=com_content&view=article&id=742:-m-m-s&catid=37:2010-03-02-03-52-18

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ผีนางไม้
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: 14 มิ.ย. 2554, 10:35:59 »
แถมอีกเรื่องหนึ่ง ก่อนนอนครับ
--------------------
ผีนางไม้( เสาตกน้ำมัน )

ที่ห้องพักเดิมสมัยผมเรียนอยู่ มัธยม ( ตอนนี้เรียนมหาลัยแล้วครับ ) ของผมนั้น ผมยังไม่ได้สังเกตุ ว่าเสาต้นที่อยู่กลางห้องในห้องที่ผมอยู่นั้นเป็นเสาที่ตกน้ำมัน เพราะว่าเจ้าของที่ให้เช่าเค้า เอา กระดาษ ไปปิดบริเวณที่เสาต้นนั้นตกน้ำมัน ผมลืมบอกไปว่าหอพักแต่ก่อนที่ผมอยู่นั้นเป็นหอไม้ แล้วเมื่อผมได้ เข้าไปอยู่แรก ๆ ประมาณ ครึ่งเดือนยังไม่เกิด อะไรขึ้นครับ แต่ก็มีคนถามผมกับ รูมเมจ ว่าฝันอะไรมั้ย หรือว่านอนหลับดีมั้ยในตอนที่ผมเริ่มย้ายเข้ามาแรก แต่เจ้าของหอพักเขาไม่ได้บอกอะไรผมเลยครับ

ตอนนั้นผมยังไม่เอะใจ แล้วเวลาก็ผ่านไปเดือนกว่า ๆ แล้วมีวันหนึ่งผมก็เจอเข้ากับตัวผมเองจนได้ครับ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยโดนหนักขนาด นี้ครับ คืนนั้นผมฝันว่าเป็นผู้หญิงผมยาวสวยครับ อายุประมาณ 30 ต้น ๆ วัยกำลังงามครับครับนุ่งผ้าแพรสีฟ้าอ่อน แต่ผมก็รู้ดีว่าน่าจะไม่ใช่คนในสัณชาตญาณ ของผมมันบอกผม ครับนุ่งผ้าแพรสีฟ้าอ่อน ตามผมไปทุก ๆ ที่เลยครับ ในความฝันผมหนีไปที่โรงเรียนครับ แต่ว่าก็หนีไม่พ้นครับ

ผมวิ่งหนีครับแต่ผู้หญิงคนนั้นยืนเฉยๆ แต่ผมหนีไปไหน ก็จะเจอ แล้วบางครั้งก็เดินมาหาครับถ้าอยู่ใกล้ ๆ จนในที่สุดผมก็รู้ว่าจะพาผมไปอยู่ด้วย ซึ่งตอนนั้นผมท้อแท้มาก ๆ เพราะหนียังไงก็หนีไม่พ้น ซึ่งในตอนนั้เอง ผมกำลังจะตอบตกลงอยู่แล้วครับกำลังอ้าปากในความฝัน ก็มีคล้ายเทวดาเทพารักษ์ หรืออะไรนี่แหละครับ ซึ่งหมวกเป็นชฏา มีสร้อยโลหะสพายไหล่นุ่งจงกระเบนลักษณะเป็นชายวัยกลางคน

ปรากฏมาข้างตัวผมท่านยืนบอกหญิงสาวคนนั้นว่า ยังไงก็ให้เขาอยู่ที่นี่เถอะ( เขาคือผมเองครับ ) อย่าเอาเขาไปเลยอยู่ด้วยกันที่นี่แหละ  ประมาณว่ามาปรามไม่ให้เอาผมไปอยู่ด้วยครับ แล้วเมื่อเทวดา พูดเสร็จผมก็ตื่นครับ เหงื่อออก เยอะมากๆ ครับ ผมกลัวมากแต่ไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง

จากนั้อีกไม่ถึงอาทิตย์ผมจึงกลับบ้านไปเอาพระมาไว้ที่หอพัก เมื่อเวลาผ่านไปอีกจนผมแทบจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ผมก็ฝันอีกครับ

ฝันว่าเห็นนางไม้( ตอนนี้รู้เลยครับว่าเป็นนางไม้ ) เป็นผู้หญิงคนเดิมครับ แต่มาดีครับใส่ชุดสไบสีทองยืนยิ้มให้ผมอยู่ใต้ต้นมะม่วงใหญ่หน้าหอพักครับ

ที่มา
http://eggavee.is.in.th/?md=content&ma=show&id=72